อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธกิ าร
สารบัญ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พหนา้ บทนำ ๑ เปำ้ หมำยของวทิ ยำศำสตร์ ๒ เรียนร้อู ะไรในวิทยำศำสตร์ ๓ สำระและมำตรฐำนกำรเรียนรู้ ๔ คุณภำพผู้เรยี น ๘ ๘ จบชน้ั ประถมศกึ ษำปีที่ ๓ ๘ จบชน้ั ประถมศึกษำปที ่ี ๖ ๙ จบช้ันมัธยมศึกษำปที ี่ ๓ ๑๑ จบชน้ั มัธยมศึกษำปีท่ี ๖ (สำหรบั ผู้เรยี นทีไ่ มเ่ น้นวิทยำศำสตร์) ๑๓ จบช้ันมัธยมศึกษำปีที่ ๖ (สำหรบั ผู้เรียนท่เี นน้ วิทยำศำสตร์) ๑๖ จบชั้นมัธยมศกึ ษำปที ี่ ๖ (สำหรบั ผู้เรยี นทุกคน) ๑๗ ตวั ชี้วัดและสำระกำรเรียนรู้แกนกลำง ๑๗ สำระที่ ๑ วิทยำศำสตรช์ วี ภำพ ๔๑ สำระท่ี ๒ วทิ ยำศำสตร์กำยภำพ ๗๘ สำระท่ี ๓ วทิ ยำศำสตร์โลกและอวกำศ ๑๐๔ สำระท่ี ๔ ชวี วิทยำ ๑๓๘ สำระที่ ๕ เคมี ๑๕๙ สำระที่ ๖ ฟิสกิ ส์ ๑๙๑ สำระท่ี ๗ โลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ ๒๐๘ สำระที่ ๘ เทคโนโลยี ๒๓๑ อภธิ ำนศัพท์ ๒๓๕ คณะผ้จู ัดทำ
๑ กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ บทนา ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 น้ีได้กำหนดสำระกำรเรียนรู้ออกเป็น ๘ สำระ ได้แก่ สำระท่ี ๑ วิทยำศำสตร์ชีวภำพ สำระที่ ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ สำระท่ี ๓ วิทยำศำสตร์โลกและอวกำศ สำระท่ี ๔ ชีววิทยำ สำระที่ ๕ เคมี สำระที่ ๖ ฟิสิกส์ สำระท่ี ๗ โลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ และสำระที่ ๘ เทคโนโลยี ซึ่งองค์ประกอบของหลักสตู ร ทั้งในดำ้ นของเนอ้ื หำ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนและกำรวดั และประเมินผล กำรเรียนรู้น้ันมีควำมสำคัญอย่ำงย่ิงในกำรวำงรำกฐำนกำรเรียน รู้วิทยำศำสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับช้ันให้มี ควำมต่อเนื่องเช่ือมโยงกันตั้งแต่ชั้นประถมศึกษำปีท่ี ๑ จนถึงชั้นมัธยมศึกษำปีท่ี ๖ สำหรับกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ วิทยำศำสตร์ ได้กำหนดตัวชี้วัดและสำระกำรเรียนรู้แกนกลำง ท่ีผู้เรียนจำเป็นต้องเรียนเป็นพ้ืนฐำน เพ่ือให้สำมำรถ นำควำมรู้น้ีไปใช้ในกำรดำรงชีวิต หรือศึกษำต่อในวิชำชีพท่ีต้องใช้วิทยำศำสตร์ได้ โดยจัดเรียงลำดับควำมยำกง่ำย ของเนื้อหำท้ัง ๘ สำระในแต่ละระดับชั้นให้มีกำรเชื่อมโยงควำมรู้กับกระบวนกำรเรียนรู้ และกำรจัดกิจกรรมกำร เรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนำควำมคิด ทั้งควำมคดิ เป็นเหตุเปน็ ผล คดิ สร้ำงสรรค์ คิดวิเครำะห์วิจำรณ์ มีทักษะท่ี สำคัญท้ังทักษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์และทักษะในศตวรรษท่ี ๒๑ ในกำรค้นคว้ำและสร้ำงองค์ควำมรู้ด้วย กระบวนกำรสืบเสำะหำควำมรู้ สำมำรถแก้ปัญหำอย่ำงเป็นระบบ สำมำรถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลำกหลำยและ ประจกั ษพ์ ยำนท่ีตรวจสอบได้ สถำบนั ส่งเสรมิ กำรสอนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงควำมสำคัญของกำรจัดกำรเรียนรู้ วิทยำศำสตร์ท่ีมุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมำกที่สุด จึงได้จัดทำตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ข้ึน เพื่อให้สถำนศึกษำ ครูผู้สอน ตลอดจนหน่วยงำนต่ำง ๆ ได้ใช้เป็นแนวทำงในกำรพัฒนำ หนังสือเรยี น คมู่ ือครู สือ่ ประกอบกำรเรยี นกำรสอน ตลอดจนกำรวัดและประเมินผล โดยตวั ชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่จัดทำข้ึนน้ี ได้ปรับปรุงเพ่ือให้มีควำมสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภำยในสำระกำรเรียนรู้ เดียวกันและระหว่ำงสำระกำรเรียนรู้ในกลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์ ตลอดจนกำรเชื่อมโยงเนื้อหำควำมรู้ ทำงวิทยำศำสตร์กับคณิตศำสตร์ด้วย นอกจำกนี้ ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีควำมทันสมัยต่อกำรเปล่ียนแปลง และควำมเจริญก้ำวหน้ำของวิทยำกำรตำ่ ง ๆ และทัดเทียมกับนำนำชำติ กล่มุ สำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์สรปุ เป็น แผนภำพได้ดังน้ี อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ
๒ สาระท่ี ๑ สาระที่ ๒ สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ -มาตรฐาน ว ๑.๑ - ว ๑.๓ -มาตรฐาน ว ๒.๑ - ว ๒.๓ -มาตรฐาน ว ๓.๑ - ว ๓.๒ สาระท่ี ๘ เทคโนโลยี กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สาระที่ ๔ ชวี วิทยา -มาตรฐาน ว ๘.๑ - ว ๘.๒ วิทยาศาสตร์ -มาตรฐาน ว ๔.๑ - ว ๔.๕ สาระที่ ๗ สาระที่ ๖ ฟสิ กิ ส์ สาระท่ี ๕ เคมี โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ -มาตรฐาน ว ๖.๑ - ว ๖.๔ -มาตรฐาน ว ๕.๑ - ว ๕.๓ -มาตรฐาน ว ๗.๑ - ว ๗.๓ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ เปา้ หมายของวิทยาศาสตร์ ในกำรเรียนกำรสอนวิทยำศำสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบควำมรู้ด้วยตนเองมำกที่สุด เพื่อให้ได้ ท้ังกระบวนกำรและควำมรู้จำกวิธีกำรสังเกต กำรสำรวจตรวจสอบ กำรทดลอง แล้วนำผลท่ีได้มำจัดระบบ เป็นหลกั กำร แนวคิด และองค์ควำมรู้ กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนวทิ ยำศำสตร์จึงมีเปำ้ หมำยท่ีสำคญั ดงั น้ี ๑. เพือ่ ใหเ้ ข้ำใจหลกั กำร ทฤษฎี และกฎทีเ่ ป็นพื้นฐำนในวชิ ำวทิ ยำศำสตร์ ๒. เพ่ือให้เข้ำใจขอบเขตของธรรมชำตขิ องวิชำวิทยำศำสตร์และข้อจำกัดในกำรศึกษำวชิ ำวิทยำศำสตร์ ๓. เพ่ือใหม้ ีทกั ษะทส่ี ำคัญในกำรศึกษำคน้ ควำ้ และคดิ ค้นทำงเทคโนโลยี ๔. เพ่ือให้ตระหนักถงึ ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งวชิ ำวทิ ยำศำสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และสภำพแวดลอ้ ม ในเชงิ ท่ีมอี ิทธิพลและผลกระทบซึง่ กนั และกัน ๕. เพื่อนำควำมรู้ควำมเข้ำใจในวิชำวิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม และกำรดำรงชวี ติ ๖. เพ่ือพัฒนำกระบวนกำรคิดและจินตนำกำร ควำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำและกำรจัดกำร ทักษะ ในกำรส่ือสำร และควำมสำมำรถในกำรตัดสนิ ใจ ๗. เพ่ือให้เป็นผู้ท่ีมีจิตวทิ ยำศำสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่ำนิยมในกำรใช้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี อยำ่ งสร้ำงสรรค์
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๓ เรียนรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสำระกำรเรียนรู้วิทยำศำสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยำศำสตร์ ท่ีเน้นกำรเช่ือมโยงควำมรู้ กบั กระบวนกำร มที ักษะสำคญั ในกำรค้นคว้ำและสร้ำงองค์ควำมรู้ โดยใชก้ ระบวนกำรในกำรสืบเสำะหำควำมรู้ และ แก้ปัญหำที่หลำกหลำย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกำรเรียนรู้ทุกข้ันตอน มีกำรทำกิจกรรมด้วยกำรลงมือปฏิบัติจริง อย่ำงหลำกหลำย เหมำะสมกับระดบั ชน้ั โดยกำหนดสำระสำคญั ดังน้ี วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต กำรดำรงชีวิต ของมนุษย์และสตั ว์ กำรดำรงชีวติ ของพชื พันธกุ รรม ควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพและวิวฒั นำกำรของส่งิ มีชีวติ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เก่ียวกับ ธรรมชำติของสำร กำรเปลี่ยนแปลงของสำร กำรเคลื่อนที่ พลงั งำน และคลื่น วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ โลกในเอกภพ ระบบโลก และมนุษย์กับ กำรเปล่ยี นแปลงของโลก ชีววิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับ กำรศึกษำชวี วิทยำ สำรเคมีในส่ิงมีชีวิต เซลล์ของสิ่งมีชวี ิต พันธุกรรมและ กำรถ่ำยทอด วิวัฒนำกำร ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ โครงสร้ำงและกำรทำงำนของส่วนต่ำง ๆ ในพืชดอก ระบบและกำรทำงำนในอวัยวะต่ำง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษย์ และส่ิงมีชวี ิตและสง่ิ แวดล้อม เคมี เรยี นรู้เกี่ยวกับ ปริมำณสำร องคป์ ระกอบและสมบัติของสำร กำรเปล่ียนแปลงของสำร ทักษะ และกำรแก้ปัญหำทำงเคมี ฟิสกิ ส์ เรยี นรู้เกี่ยวกบั ธรรมชำติและกำรค้นพบทำงฟสิ กิ ส์ แรงและกำรเคล่ือนท่ี และพลงั งำน โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรู้เก่ียวกับ โลกและกระบวนกำรเปลี่ยนแปลงทำงธรณีวิทยำ ข้อมูลทำงธรณีวิทยำและกำรนำไปใช้ประโยชน์ กำรถ่ำยโอนพลังงำนควำมร้อนของโลก กำรเปล่ียนแปลงลักษณะ ลมฟ้ำอำกำศกับกำรดำรงชวี ติ ของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดำรำศำสตร์กับมนษุ ย์ เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เก่ียวกับกำรพัฒนำผู้เรียนให้มีควำมรู้ควำมเข้ำใจเก่ียวกับ เทคโนโลยีเพ่ือดำรงชีวิตในสังคมท่ีมีกำรเปล่ียนแปลงอย่ำงรวดเร็ว ใช้ควำมรู้และทักษะทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ และศำสตร์อื่น ๆ เพ่ือแก้ปัญหำ หรือพัฒนำงำนอย่ำงมีควำมคิดสร้ำงสรรค์ด้วยกระบวนกำรออกแบบ เชงิ วิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยอี ย่ำงเหมำะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม วิทยาการคานวณ เรียนรู้เกี่ยวกับกำรพัฒนำผู้เรียนให้มีควำมรู้ควำมเข้ำใจ มีทักษะกำรคิด เชิงคำนวณ กำรคิดวิเครำะห์ แก้ปัญหำเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ควำมรู้ด้ำนวิทยำกำรคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสำรสนเทศสอ่ื สำรในกำรแก้ปญั หำท่ีพบในชีวิตจรงิ ได้อย่ำงมปี ระสิทธภิ ำพ
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๔ สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มำตรฐำน ว ๑.๑ เข้ำใจควำมหลำกหลำยของระบบนเิ วศ ควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งส่ิงไมม่ ีชีวิตกับส่งิ มีชีวติ และ ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งสงิ่ มชี วี ิตกับส่ิงมชี วี ติ ตำ่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ กำรถ่ำยทอดพลังงำน กำรเปลย่ี นแปลงแทนทีใ่ นระบบนิเวศ ควำมหมำยของประชำกร ปญั หำและผลกระทบท่ีมตี ่อ ทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อม แนวทำงในกำรอนุรกั ษ์ทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละกำรแก้ไข ปญั หำสิ่งแวดล้อมรวมท้งั นำควำมรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว ๑.๒ เข้ำใจสมบตั ิของสิ่งมีชวี ติ หน่วยพน้ื ฐำนของสิ่งมีชวี ติ กำรลำเลยี งสำรเขำ้ และออกจำกเซลล์ ควำมสมั พนั ธ์ของโครงสรำ้ ง และหนำ้ ทีข่ องระบบต่ำง ๆ ของสัตว์และมนษุ ยท์ ี่ทำงำนสมั พนั ธ์กนั ควำมสมั พันธข์ องโครงสรำ้ ง และหนำ้ ทขี่ องอวัยวะตำ่ ง ๆ ของพืชท่ที ำงำนสัมพันธ์กนั รวมทัง้ นำควำมรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว ๑.๓ เข้ำใจกระบวนกำรและควำมสำคัญของกำรถ่ำยทอดลกั ษณะทำงพันธุกรรม สำรพนั ธกุ รรม กำรเปลีย่ นแปลงทำงพนั ธุกรรมท่ีมผี ลต่อสง่ิ มชี ีวติ ควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพและวิวัฒนำกำร ของส่งิ มชี ีวติ รวมทั้งนำควำมรไู้ ปใช้ประโยชน์ หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๑.๑ – ว ๑.๓ สำหรับผู้เรียนในระดับชั้นประถมศกึ ษำปที ี่ ๑ ถงึ ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษำปีที่ ๓ และผู้เรยี นในระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษำปีที่ ๔ – ๖ ทไี่ ม่เนน้ วิทยำศำสตร์ สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มำตรฐำน ว ๒.๑ เขำ้ ใจสมบตั ขิ องสสำร องคป์ ระกอบของสสำร ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งสมบตั ิของสสำรกับ โครงสรำ้ งและแรงยดึ เหนย่ี วระหวำ่ งอนุภำค หลกั และธรรมชำติของกำรเปลีย่ นแปลงสถำนะ ของสสำร กำรเกดิ สำรละลำย และกำรเกดิ ปฏิกิริยำเคมี มำตรฐำน ว ๒.๒ เขำ้ ใจธรรมชำติของแรงในชีวติ ประจำวัน ผลของแรงทีก่ ระทำต่อวตั ถุ ลักษณะกำรเคลอ่ื นท่ี แบบตำ่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทงั้ นำควำมร้ไู ปใช้ประโยชน์ มำตรฐำน ว ๒.๓ เขำ้ ใจควำมหมำยของพลังงำน กำรเปลยี่ นแปลงและกำรถ่ำยโอนพลงั งำน ปฏสิ ัมพันธ์ระหว่ำง สสำรและพลงั งำน พลังงำนในชวี ติ ประจำวัน ธรรมชำตขิ องคลืน่ ปรำกฏกำรณ์ที่เกี่ยวขอ้ งกับ เสยี ง แสง และคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟำ้ รวมทงั้ นำควำมรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๒.๑ – ว ๒.๓ สำหรับผู้เรียนในระดับชั้นประถมศกึ ษำปีที่ ๑ ถึงระดับช้นั มธั ยมศึกษำปที ี่ ๓ และผู้เรยี นในระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษำปที ี่ ๔ – ๖ ทไ่ี มเ่ นน้ วทิ ยำศำสตร์ สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ มำตรฐำน ว ๓.๑ เขำ้ ใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนกำรเกดิ และวิวฒั นำกำรของเอกภพ กำแลก็ ซี ดำวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมทง้ั ปฏิสมั พนั ธ์ภำยในระบบสุริยะท่ีส่งผลตอ่ สิง่ มชี วี ิตและกำรประยุกต์ใช้ เทคโนโลยอี วกำศ
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๕ มำตรฐำน ว ๓.๒ เข้ำใจองคป์ ระกอบและควำมสัมพนั ธ์ของระบบโลก กระบวนกำรเปล่ยี นแปลงภำยในโลก และ บนผิวโลก ธรณพี บิ ัตภิ ยั กระบวนกำรเปล่ียนแปลงลมฟ้ำอำกำศและภูมิอำกำศโลก รวมทั้งผลต่อ สิ่งมชี ีวิตและสงิ่ แวดล้อม หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๓.๑ – ว ๓.๒ สำหรับผู้เรียนทกุ คนในระดับช้ันประถมศึกษำปีที่ ๑ ถึงระดับชั้นมธั ยมศึกษำ ปีท่ี ๓ และผู้เรยี นในระดับชั้นมัธยมศึกษำปที ่ี ๔ – ๖ ทไ่ี ม่เนน้ วทิ ยำศำสตร์ สาระที่ ๔ ชีววิทยา มำตรฐำน ว ๔.๑ เขำ้ ใจธรรมชำติของส่ิงมชี วี ติ กำรศกึ ษำชีววทิ ยำและวิธีกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ สำรทเี่ ปน็ องคป์ ระกอบของสิ่งมีชวี ิต ปฏิกิริยำเคมีในเซลลข์ องส่งิ มชี วี ิต กลอ้ งจลุ ทรรศน์ โครงสร้ำงและ หน้ำที่ของเซลล์ กำรลำเลยี งสำรเข้ำและออกจำกเซลล์ กำรแบ่งเซลล์ และกำรหำยใจระดับเซลล์ มำตรฐำน ว ๔.๒ เข้ำใจกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธกุ รรม กำรถ่ำยทอดยีนบนโครโมโซม สมบตั ิและหนำ้ ท่ี ของสำรพนั ธุกรรม กำรเกิดมวิ เทชัน เทคโนโลยีทำงดีเอ็นเอ หลักฐำน ขอ้ มลู และแนวคดิ เกีย่ วกับววิ ฒั นำกำรของส่งิ มชี วี ิต ภำวะสมดุลของฮำรด์ ี-ไวนเ์ บิร์ก กำรเกดิ สปชี สี ใ์ หม่ ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ กำเนิดของส่ิงมชี ีวติ ควำมหลำกหลำยของส่งิ มีชวี ิต และ อนกุ รมวธิ ำน รวมทั้งนำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ มำตรฐำน ว ๔.๓ เขำ้ ใจสว่ นประกอบของพืช กำรแลกเปลย่ี นแก๊สและคำยน้ำของพืช กำรลำเลียงของพชื กำรสังเครำะหด์ ้วยแสง กำรสืบพนั ธ์ขุ องพชื ดอกและกำรเจรญิ เตบิ โต และกำรตอบสนอง ของพืช รวมท้ังนำควำมรูไ้ ปใช้ประโยชน์ มำตรฐำน ว ๔.๔ เขำ้ ใจกำรยอ่ ยอำหำรของสัตว์และมนุษย์ รวมทั้งกำรหำยใจและกำรแลกเปล่ยี นแกส๊ กำรลำเลยี งสำรและกำรหมนุ เวยี นเลือด ภมู คิ ุ้มกนั ของรำ่ งกำย กำรขบั ถ่ำย กำรรับรู้และ กำรตอบสนอง กำรเคลอ่ื นที่ กำรสืบพันธ์ุและกำรเจรญิ เตบิ โต ฮอร์โมนกบั กำรรกั ษำ ดลุ ยภำพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมทงั้ นำควำมรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว ๔.๕ เข้ำใจแนวคิดเก่ียวกับระบบนิเวศ กระบวนกำรถำ่ ยทอดพลงั งำนและกำรหมนุ เวียนสำร ในระบบนิเวศ ควำมหลำกหลำยของไบโอม กำรเปล่ียนแปลงแทนทขี่ องสง่ิ มชี ีวิตในระบบ นิเวศ ประชำกรและรูปแบบกำรเพิม่ ของประชำกร ทรพั ยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม ปัญหำ และผลกระทบทเี่ กดิ จำกกำรใช้ประโยชน์ และแนวทำงกำรแก้ไขปญั หำ หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๔.๑ – ว ๔.๕ สำหรับผู้เรียนในระดับชนั้ มัธยมศกึ ษำปที ี่ ๔ – ๖ ทเ่ี นน้ วทิ ยำศำสตร์ สาระที่ ๕ เคมี มำตรฐำน ว ๕.๑ เขำ้ ใจโครงสร้ำงอะตอม กำรจดั เรียงธำตุในตำรำงธำตุ สมบตั ขิ องธำตุ พนั ธะเคมแี ละสมบัติของ สำร แก๊สและสมบตั ขิ องแกส๊ ประเภทและสมบัติของสำรประกอบอนิ ทรียแ์ ละพอลเิ มอร์ รวมท้ัง กำรนำควำมรไู้ ปใช้ประโยชน์
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๖ มำตรฐำน ว ๕.๒ เขำ้ ใจกำรเขยี นและกำรดลุ สมกำรเคมี ปรมิ ำณสัมพนั ธ์ในปฏิกริ ิยำเคมี อัตรำกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี สมดลุ ในปฏิกริ ิยำเคมี สมบตั ิและปฏิกิริยำของกรด–เบส ปฏกิ ิรยิ ำรดี อกซแ์ ละเซลล์เคมีไฟฟำ้ รวมท้ังกำรนำควำมรูไ้ ปใช้ประโยชน์ มำตรฐำน ว ๕.๓ เข้ำใจหลักกำรทำปฏิบัติกำรเคมี กำรวดั ปริมำณสำร หนว่ ยวัดและกำรเปลยี่ นหนว่ ย กำรคำนวณ ปรมิ ำณของสำร ควำมเข้มขน้ ของสำรละลำย รวมท้งั กำรบรู ณำกำรควำมรูแ้ ละทักษะในกำรอธิบำย ปรำกฏกำรณ์ในชีวิตประจำวันและกำรแกป้ ญั หำทำงเคมี หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๕.๑ – ว ๕.๓ สำหรับผู้เรียนในระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษำปีที่ ๔ – ๖ ทเี่ น้นวิทยำศำสตร์ สาระท่ี ๖ ฟสิ กิ ส์ มำตรฐำน ว ๖.๑ เข้ำใจธรรมชำติทำงฟสิ ิกส์ ปรมิ ำณและกระบวนกำรวัด กำรเคลื่อนท่ีแนวตรง แรงและ กฎกำรเคลอ่ื นท่ขี องนวิ ตัน กฎควำมโนม้ ถว่ งสำกล แรงเสยี ดทำน สมดุลกลของวัตถุ งำน และกฎกำรอนรุ กั ษ์พลงั งำนกล โมเมนตัมและกฎกำรอนุรักษ์โมเมนตมั กำรเคลอื่ นทแี่ นวโค้ง รวมทั้งนำควำมรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว ๖.๒ เข้ำใจกำรเคลอื่ นทีแ่ บบฮำร์มอนกิ ส์อย่ำงงำ่ ย ธรรมชำตขิ องคล่ืน เสยี งและกำรไดย้ ิน ปรำกฏกำรณ์ท่เี กย่ี วขอ้ งกบั เสียง แสงและกำรเห็น ปรำกฏกำรณท์ ี่เก่ยี วขอ้ งกับแสง รวมทงั้ นำควำมรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว ๖.๓ เขำ้ ใจแรงไฟฟำ้ และกฎของคลู อมบ์ สนำมไฟฟำ้ ศักยไ์ ฟฟำ้ ควำมจุไฟฟ้ำ กระแสไฟฟำ้ และ กฎของโอห์ม วงจรไฟฟำ้ กระแสตรง พลงั งำนไฟฟ้ำและกำลงั ไฟฟำ้ กำรเปล่ียนพลงั งำนทดแทน เป็นพลงั งำนไฟฟ้ำ สนำมแมเ่ หล็ก แรงแม่เหล็กท่กี ระทำกบั ประจไุ ฟฟ้ำ และกระแสไฟฟำ้ กำรเหน่ียวนำแมเ่ หลก็ ไฟฟำ้ และกฎของฟำรำเดย์ ไฟฟ้ำกระแสสลับ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำ และ กำรสื่อสำร รวมทง้ั นำควำมรู้ไปใช้ประโยชน์ มำตรฐำน ว ๖.๔ เข้ำใจควำมสัมพนั ธ์ของควำมร้อนกับกำรเปลย่ี นอุณหภมู ิและสถำนะของสสำร สภำพยดื หยนุ่ ของวัสดุ และมอดุลัสของยัง ควำมดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอำร์คิมีดีส ควำมตึงผิว และแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติ และสมกำรแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของ แกส๊ อุดมคติและพลงั งำนในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรำกฏกำรณ์โฟโตอเิ ล็กทริก ทวภิ ำวะ ของคล่ืนและอนุภำค กัมมนั ตภำพรังสี แรงนวิ เคลียร์ ปฏกิ ิริยำนิวเคลียร์ พลงั งำนนวิ เคลยี ร์ ฟิสกิ ส์ อนภุ ำค รวมท้ังนำควำมรไู้ ปใช้ประโยชน์ หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๖.๑ – ว ๖.๔ สำหรับผู้เรยี นในระดบั ช้ันมัธยมศึกษำปีที่ ๔ – ๖ ทเ่ี นน้ วทิ ยำศำสตร์ สาระท่ี ๗ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ มำตรฐำน ว ๗.๑ เข้ำใจกระบวนกำรเปลย่ี นแปลงภำยในโลก ธรณีพบิ ัติภัยและผลตอ่ ส่งิ มชี วี ติ และส่ิงแวดลอ้ ม กำรศกึ ษำลำดับชัน้ หนิ ทรพั ยำกรธรณี แผนท่ี และกำรนำไปใชป้ ระโยชน์
๗ มำตรฐำน ว ๗.๒ เขำ้ ใจสมดลุ พลังงำนของโลก กำรหมุนเวียนของอำกำศบนโลก กำรหมุนเวยี นของน้ำในมหำสมทุ ร กำรเกดิ เมฆ กำรเปลี่ยนแปลงภูมิอำกำศโลกและผลตอ่ สงิ่ มีชีวติ และสง่ิ แวดล้อม รวมทัง้ กำรพยำกรณ์อำกำศ มำตรฐำน ว ๗.๓ เขำ้ ใจองคป์ ระกอบ ลักษณะ กระบวนกำรเกิดและววิ ฒั นำกำรของเอกภพ กำแลก็ ซี ดำวฤกษ์ และระบบสุริยะ ควำมสมั พนั ธ์ของดำรำศำสตรก์ บั มนุษยจ์ ำกกำรศึกษำตำแหน่งดำว บนทรงกลมฟำ้ และปฏิสมั พนั ธภ์ ำยในระบบสรุ ิยะ รวมทง้ั กำรประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกำศ หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๗.๑ – ว ๗.๓ สำหรับผู้เรยี นในระดบั ช้นั มธั ยมศึกษำปที ่ี ๔ – ๖ ทเี่ นน้ วิทยำศำสตร์ สาระที่ ๘ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว ๘.๑ เขำ้ ใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยเี พอ่ื กำรดำรงชวี ิตในสงั คมทีม่ กี ำรเปลยี่ นแปลงอย่ำงรวดเร็ว ใช้ควำมรู้และทักษะทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ และศำสตร์อ่ืน ๆ เพื่อแก้ปัญหำ หรือ พฒั นำงำนอย่ำงมีควำมคิดสรำ้ งสรรคด์ ้วยกระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยี อย่ำงเหมำะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวติ สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม มำตรฐำน ว ๘.๒ เข้ำใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคำนวณในกำรแกป้ ญั หำท่ีพบในชีวติ จริงอย่ำงเป็นข้นั ตอนและเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรส่อื สำรในกำรเรยี นรู้ กำรทำงำน และกำรแก้ปญั หำได้อย่ำงมี ประสทิ ธภิ ำพ รู้เท่ำทนั และมจี ริยธรรม หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๘.๑ สำหรับผู้เรียนในระดับชั้นมธั ยมศกึ ษำปที ี่ ๑ – ๖ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ
๘ คุณภาพผู้เรียน จบช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ ๓อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ เข้ำใจลกั ษณะทวั่ ไปของส่ิงมีชวี ติ กำรดำรงชวี ิตของส่งิ มชี วี ติ และทรพั ยำกรธรรมชำติท่ีหลำกหลำย ในสิ่งแวดลอ้ มของท้องถิ่น เข้ำใจลักษณะท่ปี รำกฏ สมบัติบำงประกำรของวสั ดุ และกำรเปลย่ี นแปลงของวสั ดุรอบตวั เขำ้ ใจกำรเคล่อื นทแ่ี บบต่ำง ๆ ของวตั ถุ และแรงที่กระทำตอ่ วตั ถทุ ำให้วตั ถเุ ปลี่ยนแปลงกำรเคลือ่ นที่ ควำมสำคัญของพลงั งำนไฟฟ้ำและแหล่งผลิตพลังงำนไฟฟำ้ เข้ำใจลักษณะที่ปรำกฏของดวงอำทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดำว องค์ประกอบ และสมบัติทำงกำยภำพ ของดิน หนิ น้ำ อำกำศ ลักษณะภูมิประเทศแบบต่ำง ๆ ในทอ้ งถิ่น และกำรเกิดลม ตง้ั คำถำมเกยี่ วกับสงิ่ มชี ีวติ วัสดุและสงิ่ ของ กำรเคลื่อนทข่ี องวตั ถุ และปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ รอบตวั สังเกต สำรวจตรวจสอบโดยใช้เคร่ืองมืออย่ำงง่ำย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบำยผลกำรสำรวจตรวจสอบ ด้วยกำรเขียน หรือวำดภำพ และสื่อสำรส่ิงทีเ่ รียนรู้ดว้ ยกำรเลำ่ เรื่อง หรือดว้ ยกำรแสดงท่ำทำงเพอ่ื ใหผ้ ู้อ่ืนเข้ำใจ แก้ปัญหำอย่ำงง่ำยโดยใชข้ ้ันตอนกำรแก้ปัญหำ มีทักษะในกำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรส่ือสำร เบื้องต้น รกั ษำข้อมลู ส่วนตวั แสดงควำมกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีควำมคิดสร้ำงสรรค์เกี่ยวกับเร่ืองที่จะศึกษำตำมท่ี กำหนดให้ หรือตำมควำมสนใจ มีสว่ นร่วมในกำรแสดงควำมคิดเหน็ และยอมรับฟังควำมคิดเห็นผ้อู ื่น แสดงควำมรับผิดชอบด้วยกำรทำงำนที่ได้รับมอบหมำยอย่ำงมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย์ จนงำนลุล่วงเปน็ ผลสำเรจ็ และทำงำนร่วมกับผู้อ่ืนอยำ่ งมคี วำมสขุ ตระหนักถึงประโยชน์ของกำรใช้ควำมรู้และกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ในกำรดำรงชีวิต ศึกษำ หำควำมรูเ้ พิ่มเตมิ ทำโครงงำน หรือช้นิ งำนตำมท่ีกำหนดให้หรอื ตำมควำมสนใจ จบช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๖ เข้ำใจโครงสร้ำงและกำรทำงำนของระบบต่ำง ๆ ของสิ่งมีชีวิต ควำมสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบ นเิ วศ และควำมหลำกหลำยของทรพั ยำกรธรรมชำตทิ ีพ่ บในระดับประเทศ เข้ำใจสมบัติและกำรจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถำนะของสำร สมบัติของสำรและกำรทำให้สำร เกิดกำรเปลีย่ นแปลง กำรเกดิ ปฏกิ ริ ยิ ำเคมขี องสำร กำรแยกสำรอย่ำงง่ำย และสำรในชวี ิตประจำวนั เข้ำใจลักษณะของแรงประเภทต่ำง ๆ ผลท่ีเกิดจำกแรงกระทำต่อวัตถุ ควำมดัน หลักกำรเบ้ืองต้น ของแรงพยุง ส่วนประกอบและหนำ้ ที่ของสว่ นประกอบของวงจรไฟฟำ้ กำรถ่ำยโอนพลงั งำนกลที่เกดิ จำก แรงเสยี ดทำนไปเป็นพลังงำนอนื่ สมบัตแิ ละปรำกฏกำรณเ์ บอ้ื งต้นของเสยี ง และแสง เข้ำใจลักษณะของดำวในเอกภพ และจำแนกประเภทของกลุ่มดำว ควำมสัมพันธ์ของดวงอำทิตย์ โลก และดวงจนั ทรท์ ่ีมีผลตอ่ กำรเกิดปรำกฏกำรณ์ธรรมชำติ ควำมกำ้ วหนำ้ ของเทคโนโลยีอวกำศ
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๙ เข้ำใจองค์ประกอบและสมบัติของดิน น้ำ และบรรยำกำศ และปัจจัยที่มีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงของ ผิวโลก กำรเกดิ ลมบก ลมทะเล ผลกระทบที่เกิดจำกธรณพี ิบัตภิ ัยและปรำกกฏกำรณ์เรือนกระจก ต้ังคำถำม หรือกำหนดปัญหำเก่ียวกับส่ิงท่ีจะเรียนรู้ตำมที่กำหนดให้ หรือตำมควำมสนใจ คำดคะเน คำตอบหลำยแนวทำง สรำ้ งสมมติฐำนท่ีสอดคล้องกับคำถำม หรือปัญหำที่จะสำรวจตรวจสอบ วำงแผนและสำรวจ ตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสำรสนเทศที่เหมำะสมในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลท้ังเชิงปริมำณ และคณุ ภำพ ค้นหำข้อมูลอยำ่ งมปี ระสิทธิภำพและประเมินควำมน่ำเชื่อถอื ตัดสินใจเลือกข้อมูล ใช้เหตุผลเชิงตรรกะ ในกำรแก้ปัญหำ ใชเ้ ทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรส่ือสำรในกำรทำงำนรว่ มกัน เข้ำใจสิทธแิ ละหน้ำท่ขี องตน เคำรพ สทิ ธขิ องผอู้ น่ื วิเครำะห์ข้อมูล ลงควำมเห็น และสรุปควำมสัมพันธ์ของข้อมูลที่มำจำกกำรสำรวจตรวจสอบ ในรูปแบบที่เหมำะสม เพ่ือสอื่ สำรควำมรจู้ ำกผลกำรสำรวจตรวจสอบได้อยำ่ งมเี หตุผลและหลักฐำนอ้ำงอิง แสดงถงึ ควำมสนใจ มุ่งมัน่ ในสิ่งท่ีจะเรียนรู้ มีควำมคิดสร้ำงสรรค์เกยี่ วกับเร่ืองท่ีจะศึกษำตำมควำมสนใจ ของตนเอง แสดงควำมคิดเหน็ ของตนเอง ยอมรับในขอ้ มูลที่มหี ลกั ฐำนอ้ำงอิง และรบั ฟงั ควำมคดิ เหน็ ผู้อน่ื แสดงควำมรับผิดชอบด้วยกำรทำงำนท่ีได้รับมอบหมำยอย่ำงมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงำนลลุ ว่ งเปน็ ผลสำเร็จ และทำงำนร่วมกบั ผอู้ ืน่ อย่ำงอย่ำงสร้ำงสรรค์ ตระหนักในคุณค่ำของควำมรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ใช้ในควำมรู้และกระบวนกำร ทำงวิทยำศำสตร์ในกำรดำรงชีวิต แสดงควำมช่ืนชม ยกย่องและเคำรพสิทธิในผลงำนของ ผู้คิดค้น และศึกษำ หำควำมรู้เพมิ่ เตมิ ทำโครงงำน หรอื ชิน้ งำนตำมทก่ี ำหนดให้หรือตำมควำมสนใจ แสดงถึงควำมซำบซ้ึง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับกำรใช้ กำรดูแลรักษำทรัพยำกรธรรมชำติ และส่ิงแวดลอ้ มอยำ่ งรู้คุณค่ำ จบชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓ เข้ำใจลักษณะและองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์ส่ิงมีชีวิต ควำมสัมพันธ์ของกำรทำงำนของระบบ ต่ำง ๆ ในร่ำงกำยมนุษย์ กำรดำรงชีวิตของพืช กำรตอบสนองต่อสิ่งเร้ำของส่ิงมีชีวิต กำรถ่ำยทอดลักษณะ ทำงพันธุกรรม กำรเปล่ียนแปลงของยีน หรือโครโมโซมและตัวอย่ำงโรคที่เกิดจำกกำรเปล่ียนแปลงทำงพันธุกรรม ประโยชน์และผลกระทบของส่ิงมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ กำรถ่ำยทอดพลังงำน ในสง่ิ มชี วี ิต เข้ำใจองค์ประกอบและสมบัติของธำตุ สมบัติของสำรละลำย สำรบริสุทธิ์ สำรผสม หลักกำร แยกสำร กำรเปลี่ยนแปลงของสำรในรปู แบบของกำรเปล่ียนสถำนะ กำรเกดิ สำรละลำย และกำรเกดิ ปฏิกิริยำเคมี เข้ำใจแรงลัพท์และผลของแรงลัพท์กระทำต่อวัตถุ แรงเสียดทำน กำรหมุนของวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงที่ปรำกฏในชีวิตประจำวัน ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงงำน พลังงำนจลน์ พลังงำนศักย์ กฏกำรอนุรักษ์พลังงำน กำรถ่ำยโอนพลังงำน สมดุลควำมร้อน ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปริมำณทำงไฟฟ้ำ หลักกำรต่อวงจรไฟฟ้ำในบ้ำน พลังงำนไฟฟ้ำ และหลักกำรเบ้อื งตน้ ของวงจรอเิ ล็กทรอนกิ ส์
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๐ เข้ำใจสมบัติของคล่ืน และลักษณะของคลื่นแบบต่ำง ๆ เสียง กำรสะท้อน กำรหักเห และควำมเข้ม ของแสง เข้ำใจตำแหน่งของกลุ่มดำวฤกษ์บนท้องฟ้ำ สมบัติและองค์ประกอบของดำวเครำะห์แต่ละดวง ในระบบสุริยะ และปรำกฏกำรณ์ที่เกิดข้ึนบนโลก ควำมสำคัญและประโยชน์ในกำรใช้งำนของเทคโนโลยีอวกำศ สมบัติและประโยชนข์ องบรรยำกำศแต่ละชนั้ ทีม่ ตี ่อสิ่งมชี ีวติ เข้ำใจระบบโลก โครงสร้ำงของโลก กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงทำงธรณีวิทยำบนโลกและใต้ผิวโลก กระบวนกำรเกิดซำกดึกดำบรรพ์ กำรเปล่ียนแปลงของลมฟ้ำอำกำศท่ีทำให้เกิดปรำกฏกำรณ์ต่ำง ๆ กระบวนกำร เกิดธรณีพิบัตภิ ยั และปรำกฏกำรณเ์ รือนกระจกทีม่ ผี ลกระทบตอ่ ส่งิ มชี ีวิตและสิง่ แวดล้อม เข้ำใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทำงเทคโนโลยี กำรเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเทคโนโลยีกบั ศำสตร์อนื่ โดยเฉพำะวิทยำศำสตร์ หรือคณิตศำสตร์ วิเครำะห์ เปรียบเทยี บ และ ตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ควำมรู้ ทักษะ และทรัพยำกรเพื่อออกแบบและสร้ำงผลงำนสำหรับกำรแก้ปัญหำในชีวิตประจำวัน หรือกำรประกอบอำชีพ โดยใช้ กระบวนกำรออกแบบเชิงวศิ วกรรม รวมทั้งเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเคร่ืองมือได้อย่ำงถกู ต้อง เหมำะสม ปลอดภัย รวมท้งั คำนงึ ถึงทรัพย์สนิ ทำงปัญญำ นำข้อมูลปฐมภูมิเข้ำสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเครำะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูลและสำรสนเทศ ได้ตำมวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะกำรคิดเชิงคำนวณในกำรแก้ปัญหำที่พบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรมอย่ำงง่ำย เพอื่ ช่วยในกำรแก้ปัญหำ ใชเ้ ทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรส่ือสำรอยำ่ งรู้เท่ำทันและรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ตั้งคำถำม หรือกำหนดปัญหำที่เชื่อมโยงกับพยำนหลักฐำน หรือหลักกำรทำงวิทยำศำสตร์ท่ีมี กำรกำหนดและควบคุมตัวแปร คิดคำดคะเนคำตอบหลำยแนวทำง สร้ำงสมมติฐำนท่ีสำมำรถนำไปสู่กำรสำรวจ ตรวจสอบ ออกแบบและลงมือสำรวจตรวจสอบโดยใชว้ ัสดุและเครือ่ งมือท่เี หมำะสม เลือกใช้เคร่อื งมือและเทคโนโลยี สำรสนเทศท่ีเหมำะสมในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลทงั้ ในเชงิ ปริมำณและคุณภำพทไี่ ดผ้ ลเทย่ี งตรงและปลอดภยั วิเครำะห์และประเมินควำมสอดคล้องของข้อมูลท่ีได้จำกกำรสำรวจตรวจสอบจำกพยำนหลักฐำน โดยใช้ควำมรู้และหลักกำรทำงวิทยำศำสตร์ในกำรแปลควำมหมำยและลงข้อสรุป และส่ือสำรควำมคิด ควำมรู้ จำกผลกำรสำรวจตรวจสอบหลำกหลำยรปู แบบ หรอื ใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศเพื่อใหผ้ ู้อน่ื เขำ้ ใจไดอ้ ย่ำงเหมำะสม แสดงถึงควำมสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในส่ิงท่ีจะเรียนรู้ มีควำมคิดสร้ำงสรรค์ เก่ียวกับเรื่องที่จะศึกษำตำมควำมสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีกำรท่ีให้ได้ผลถูกต้อง เชี่อถือได้ ศึกษำ ค้นคว้ำเพ่ิมเติมจำกแหล่งควำมรู้ต่ำง ๆ แสดงควำมคิดเห็นของตนเอง รับฟังควำมคิดเห็นผู้อ่ืน และยอมรับ กำรเปล่ยี นแปลงควำมรูท้ ่คี ้นพบเมื่อมีขอ้ มลู และประจักษ์พยำนใหมเ่ พิม่ ขน้ึ หรือโต้แย้งจำกเดมิ ตระหนักในคุณค่ำของควำมรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีท่ีใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ควำมรู้และ กระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีในกำรดำรงชีวติ และกำรประกอบอำชพี แสดงควำมช่ืนชม ยกย่องและ เคำรพสิทธิในผลงำนของผู้คิดค้น เข้ำใจผลกระทบทั้งด้ำนบวกและด้ำนลบของกำรพัฒนำทำงวิทยำศำสตร์ต่อ สง่ิ แวดล้อมและต่อบริบทอน่ื ๆ และศกึ ษำหำควำมรู้เพ่ิมเติมทำโครงงำนหรอื สร้ำงชิ้นงำนตำมควำมสนใจ
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๑ แสดงถึงควำมซำบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับกำรใช้ และรักษำทรัพยำกรธรรมชำติและ ส่งิ แวดล้อมอย่ำงร้คู ุณคำ่ มีส่วนรว่ มในกำรพิทกั ษ์ ดแู ลทรัพยำกรธรรมชำติและสงิ่ แวดล้อมในท้องถิ่น จบช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ (สาหรบั ผเู้ รยี นที่ไม่เน้นวิทยาศาสตร์) เข้ำใจกำรกำรลำเลียงสำรเข้ำและออกจำกเซลล์ กลไกกำรรักษำดุลยภำพของมนุษย์ ภูมิคุ้มกัน ในร่ำงกำยของมนุษย์และควำมผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน กำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม กำรเปลี่ยนแปลง ทำงพันธุกรรม วิวัฒนำกำรท่ีทำให้เกิดควำมหลำกหลำยของสิ่งมีชีวิต ควำมสำคัญและผลของเทคโนโลยีทำงดีเอ็นเอ ตอ่ มนุษย์ สง่ิ มชี วี ิต และส่ิงแวดล้อม เข้ำใจควำมหลำกหลำยของไบโอมในเขตภูมิศำสตร์ต่ำง ๆ ของโลก กำรเปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบ นิเวศ ปัญหำและผลกระทบที่มีต่อทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม แนวทำงในกำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ และกำรแก้ไขปัญหำสิ่งแวดลอ้ ม เข้ำใจชนิดของอนุภำคสำคัญที่เป็นส่วนประกอบในโครงสร้ำงอะตอม สมบัติบำงประกำรของธำตุ กำรจัดเรียงธำตุในตำรำงธำตุ ชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคและสมบัติต่ำง ๆ ของสำรที่มีควำมสัมพันธ์กับ แรงยึดเหน่ียว พันธะเคมี โครงสร้ำงและสมบัติของพอลิเมอร์ กำรเกิดปฏิกิริยำเคมี ปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตรำ กำรเกิดปฏิกริ ิยำเคมี และกำรเขียนสมกำรเคมี เขำ้ ใจปริมำณท่ีเกย่ี วกบั กำรเคลื่อนท่ี ควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งแรง มวลและควำมเร่ง ผลของควำมเร่งท่ีมี ต่อกำรเคลอ่ื นทแ่ี บบต่ำง ๆ ของวัตถุ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็ก ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งสนำมแม่เหล็กและกระแสไฟฟ้ำ และแรงภำยในนิวเคลยี ส เข้ำใจพลังงำนนิวเคลียร์ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงมวลและพลังงำน กำรเปลี่ยนพลังงำนทดแทน เป็นพลังงำนไฟฟ้ำ เทคโนโลยีด้ำนพลังงำน กำรสะท้อน กำรหักเห กำรเลี้ยวเบนและกำรรวมคล่ืน กำรได้ยิน ปรำกฏกำรณ์ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับเสยี ง สีกบั กำรมองเหน็ สี คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟำ้ และประโยชน์ของคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟำ้ เข้ำใจกำรแบ่งชั้นและสมบัตขิ องโครงสร้ำงโลก สำเหตุ และรปู แบบกำรเคล่ือนท่ีของแผ่นธรณีทีส่ ัมพันธ์ กับกำรเกิดลักษณะธรณีสัณฐำน สำเหตุ กระบวนกำรเกิดแผ่นดินไหว ภูเขำไฟระเบิด สึนำมิ ผลกระทบ แนวทำง กำรเฝำ้ ระวงั และกำรปฏิบตั ติ นให้ปลอดภยั เข้ำใจผลของแรงเน่ืองจำกควำมแตกต่ำงของควำมกดอำกำศ แรงคอริออลิส ที่มีต่อกำรหมุนเวียนของ อำกำศ กำรหมุนเวียนของอำกำศตำมเขตละติจูดและผลท่ีมีต่อภูมิอำกำศ ควำมสัมพันธ์ของกำรหมุนเวียนของ อำกำศและกำรหมุนเวียนของกระแสน้ำผิวหน้ำในมหำสมุทร และผลต่อลักษณะลมฟ้ำอำกำศ ส่ิงมีชีวิต และ ส่งิ แวดล้อม ปัจจัยต่ำง ๆ ทมี่ ผี ลต่อกำรเปลยี่ นแปลงภูมอิ ำกำศโลก และแนวปฏิบัติเพ่ือลดกิจกรรมของมนุษยท์ ่ีส่งผล ต่อกำรเปล่ียนแปลงภูมิอำกำศโลก รวมท้ังกำรแปลควำมหมำยสัญลักษณ์ลมฟ้ำอำกำศท่ีสำคัญจำกแผนที่อำกำศ และข้อมลู สำรสนเทศ เขำ้ ใจกำรกำเนดิ และกำรเปลย่ี นแปลงพลังงำน สสำร ขนำด อณุ หภมู ขิ องเอกภพ หลักฐำนทสี่ นับสนุน ทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกำแล็กซี โครงสร้ำงและองค์ประกอบของกำแล็กซีทำงช้ำงเผือก กระบวนกำรเกิดและ กำรสร้ำงพลังงำน ปัจจัยท่ีส่งผลต่อควำมส่องสว่ำงของดำวฤกษ์ และควำมสัมพันธ์ระหว่ำงควำมส่องสว่ำงกับ
๑๒ โชติมำตรของดำวฤกษ์ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสี อุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดำวฤกษ์ วิวัฒนำกำรและ กำรเปลี่ยนแปลงสมบัติบำงประกำรของดำวฤกษ์ กระบวนกำรเกิดระบบสุริยะ กำรแบ่งเขตบริวำรของดวงอำทิตย์ ลักษณะของดำวเครำะห์ท่ีเอ้ือต่อกำรดำรงชีวิต กำรเกิดลมสุริยะ พำยุสุริยะและผลที่มีต่อโลก รวมท้ังกำรสำรวจ อวกำศและกำรประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกำศ ระบุปัญหำ ตั้งคำถำมท่ีจะสำรวจตรวจสอบ โดยมีกำรกำหนดควำมสัมพันธ์ระหว่ำงตัวแปรต่ำง ๆ สืบค้นขอ้ มูลจำกหลำยแหล่ง ตั้งสมมตฐิ ำนที่เปน็ ไปได้หลำยแนวทำง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบสมมตฐิ ำนท่เี ป็นไปได้ ต้ังคำถำม หรือกำหนดปัญหำที่อยู่บนพ้ืนฐำนของควำมรู้และควำมเข้ำใจทำงวิทยำศำสตร์ ที่แสดง ให้เห็นถึงกำรใช้ควำมคิดระดับสูงท่ีสำมำรถสำรวจตรวจสอบ หรือศึกษำค้นคว้ำได้อย่ำงครอบคลุมและเช่ือถือได้ สร้ำงสมมติฐำนที่มีทฤษฎีรองรับ หรือคำดกำรณ์ส่ิงท่ีจะพบเพ่ือนำไปสู่กำรสำรวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีกำรสำรวจ ตรวจสอบตำมสมมติฐำนท่ีกำหนดไว้ได้อย่ำงเหมำะสม มีหลักฐำนเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมท้ังวิธีกำร ในกำรสำรวจตรวจสอบอย่ำงถูกต้องทง้ั ในเชิงปริมำณและคุณภำพ และบันทึกผลกำรสำรวจตรวจสอบอย่ำงเปน็ ระบบ วิเครำะห์ แปลควำมหมำยข้อมูล และประเมินควำมสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับสมมติฐำน ที่ตั้งไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีกำรสำรวจตรวจสอบ จัดกระทำข้อมูลและนำเสนอข้อมูลด้วยเทคนิควิธี ท่ีเหมำะสม สื่อสำรแนวคิด ควำมรู้จำกผลกำรสำรวจตรวจสอบ โดยกำรพูด เขียน จัดแสดง หรือใช้เทคโนโลยี สำรสนเทศเพือ่ ใหผ้ ู้อ่นื เข้ำใจโดยมหี ลกั ฐำนอำ้ งองิ หรือมีทฤษฎีรองรบั แสดงถึงควำมสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในกำรสืบเสำะหำควำมรู้ โดยใช้ เคร่ืองมือและวิธีกำรที่ให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถิอได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่ำควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์อำจมี กำรเปลี่ยนแปลงได้ แสดงถึงควำมพอใจและเห็นคุณค่ำในกำรค้นพบควำมรู้ พบคำตอบ หรือแก้ปัญหำได้ ทำงำนร่วมกับ ผู้อ่ืนอย่ำงสร้ำงสรรค์ แสดงควำมคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้ำงอิงและเหตุผลประกอบ เกี่ยวกับผลของกำรพัฒนำและ กำรใช้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีอยำ่ งมคี ณุ ธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และยอมรับฟงั ควำมคิดเห็นของผ้อู น่ื เข้ำใจควำมสัมพันธ์ของควำมรู้วิทยำศำสตร์ที่มีผลต่อกำรพัฒนำเทคโนโลยีประเภทต่ำง ๆ และ กำรพัฒนำเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีกำรคิดคน้ ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ที่ก้ำวหน้ำ ผลของเทคโนโลยีตอ่ ชีวิต สังคม และ สงิ่ แวดลอ้ ม ตระหนักถึงควำมสำคัญและเห็นคุณค่ำของควำมรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ควำมรู้และกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีในกำรดำรงชีวิต และกำรประกอบอำชีพ แสดงควำมชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้ำงอิงผลงำน ชิ้นงำนท่ีเป็นผลมำจำกภูมิปัญญำท้องถิ่นและกำรพัฒนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย ศึกษำ หำควำมรู้เพม่ิ เติม ทำโครงงำน หรือสร้ำงชิน้ งำนตำมควำมสนใจ แสดงควำมซำบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับกำรใช้และรักษำทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อม อย่ำงรูค้ ุณค่ำ เสนอตวั เองร่วมมอื ปฏิบัตกิ บั ชมุ ชนในกำรปอ้ งกนั ดูแลทรพั ยำกรธรรมชำตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มของท้องถน่ิ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๓ จบชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ ๖ (สาหรบั ผเู้ รยี นท่เี นน้ วิทยาศาสตร)์ เขำ้ ใจวิธีกำรทำงวิทยำศำสตรใ์ นกำรคน้ หำคำตอบเกี่ยวกับส่ิงมชี วี ิต สำรทเ่ี ปน็ องคป์ ระกอบของสง่ิ มีชวี ิต และปฏิกิริยำเคมีภำยในเซลล์ กำรใช้กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้ำงและหน้ำที่ของเซลล์ กำรลำเลียงสำรเข้ำและออก จำกเซลล์ กำรแบ่งเซลล์ และกำรหำยใจระดบั เซลล์ เข้ำใจหลักกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต กำรถ่ำยทอดยีนบนออโตโซมและ โครโมโซมเพศ โครงสรำ้ งและองคป์ ระกอบทำงเคมขี องดีเอน็ เอ กำรจำลองดเี อ็นเอ กระบวนกำรสังเครำะหโ์ ปรตีน กำรเกิดมิวเทชันในส่ิงมีชีวิต หลักกำรและกำรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทำงดีเอ็นเอ หลักฐำนและข้อมูลท่ีใช้ ในกำรศึกษำวิวัฒนำกำรของสิ่งมีชีวิต แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนำกำรของสิ่งมีชีวิต เง่ือนไขของภำวะสมดุลของ ฮำร์ดี-ไวน์เบิร์ก กระบวนกำรเกิดสปีชีส์ใหม่ของส่ิงมีชีวิต ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ลักษณะสำคัญของสิ่งมีชีวิตกลุ่มแบคทีเรีย โพรทิสต์ พืช ฟังไจ และสัตว์ กำรจำแนกส่ิงมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ และวธิ กี ำรเขียนชื่อวิทยำศำสตร์ เข้ำใจโครงสร้ำงและส่วนประกอบของพืชท้ังรำก ลำต้น และใบ กำรแลกเปล่ียนแก๊ส กำรคำยน้ำ กำรลำเลียงน้ำและธำตุอำหำร กำรลำเลียงอำหำร กำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืช กระบวนกำรสร้ำงเซลล์สืบพันธ์ุ และกำรปฏิสนธิของพืชดอก กำรเกิดผลและเมล็ด บทบำทของสำรควบคุมกำรเจริญเติบโตของพืชและ กำรประยุกตใ์ ช้ และกำรตอบสนองของพชื เข้ำใจกลไกกำรรักษำดุลยภำพของสิ่งมีชีวิต โครงสร้ำง หน้ำที่ และกระบวนกำรต่ำง ๆ ของสัตว์และ มนุษย์ ไดแ้ ก่ กำรยอ่ ยอำหำร กำรแลกเปลี่ยนแก๊ส กำรเคลื่อนท่ี กำรกำจัดของเสียออกจำกร่ำงกำยของส่ิงมีชีวิต ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบภมู ิคุ้มกันในร่ำงกำยของมนุษย์ กำรทำงำนของระบบประสำท และอวัยวะรับควำมรู้สึก ระบบสืบพนั ธ์ุ กำรปฏสิ นธิ กำรเจรญิ เตบิ โต ฮอร์โมน และพฤตกิ รรมของสัตว์ เข้ำใจกระบวนกำรถำ่ ยทอดพลังงำนและกำรหมนุ เวยี นสำรในระบบนิเวศ ควำมหลำกหลำยของไบโอม กำรเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบต่ำง ๆ ในระบบนิเวศ กำรเปล่ียนแปลงจำนวนประชำกรมนุษย์ในระดับท้องถ่ิน ระดบั ประเทศ และระดบั โลก แนวทำงกำรป้องกันและแกไ้ ขปญั หำทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม เข้ำใจกำรศึกษำโครงสร้ำงอะตอมของนักวิทยำศำสตร์ กำรจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม สมบัติ บำงประกำรของธำตุและกำรจัดเรียงธำตุในตำรำงธำตุ พันธะเคมี สมบัติของสำรที่มีควำมสัมพันธ์กับพันธะเคมี กฎต่ำง ๆ ของแก๊ส และสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสำรประกอบอินทรีย์ และประเภทและสมบัติของ พอลิเมอร์ เข้ำใจกำรเขียนและกำรดุลสมกำรเคมี กำรคำนวณปริมำณสำรต่ำง ๆ ทเี่ กี่ยวข้องกับปฏิกิรยิ ำเคมี อัตรำ กำรเกิดปฏิกิริยำเคมีและปัจจัยท่ีมีผลต่ออัตรำกำรเกิดปฏกิ ิริยำเคมี สมดุลในปฏิกิริยำเคมีและปัจจัยที่มีผลต่อสมดุล เคมี ทฤษฎีกรด – เบส สมบตั ิและปฏกิ ิริยำของกรด–เบส สำรละลำยบฟั เฟอร์ ปฏิกริ ยิ ำรีดอกซแ์ ละเซลล์เคมีไฟฟ้ำ เขำ้ ใจขอ้ ปฏิบัติเบอ้ื งตน้ เกี่ยวกับควำมปลอดภยั ในกำรทำปฏบิ ตั ิกำรเคมี กำรเลือกใช้อปุ กรณห์ รือ เครื่องมือในกำรทำปฏิบัติกำร หน่วยวัดและกำรเปล่ียนหน่วยวัดด้วยกำรใช้แฟกเตอร์เปล่ียนหน่วย กำรคำนวณ เกี่ยวกับมวลอะตอม มวลโมเลกุล และมวลสูตร ควำมสัมพันธ์ของโมล จำนวนอนุภำค มวล และปริมำตรของแก๊ส
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๔ ที่ STP กำรคำนวณสูตรอย่ำงง่ำยและสูตรโมเลกุลของสำร ควำมเข้มข้นของสำรละลำย กำรเตรียมสำรละลำย และ กำรบูรณำกำรควำมรู้และทักษะในกำรอธบิ ำยปรำกฏกำรณใ์ นชวี ติ ประจำวันและกำรแกป้ ัญหำทำงเคมี เข้ำใจธรรมชำติของฟิสิกส์ กระบวนกำรวัด ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงปริมำณที่เกี่ยวข้องกับกำรเคล่ือนท่ี กำรเคลื่อนท่ีในแนวตรง แรงลัพธ์ กฎกำรเคล่ือนที่ แรงเสียดทำน กฎควำมโน้มถ่วงสำกล สนำมโน้มถ่วง งำน กฎกำรอนุรักษ์พลังงำนกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่ำงง่ำย โมเมนตัมและกำรดล กฎกำรอนุรักษ์ โมเมนตัม กำรชน และกำรเคลอ่ื นที่ในแนวโคง้ เขำ้ ใจกำรเคล่ือนที่แบบคล่นื ปรำกฏกำรณ์คลื่น กำรสะท้อน กำรหักเห กำรเลี้ยวเบนและกำรแทรกสอด หลกั กำรของฮอยเกนส์ กำรเคลือ่ นทข่ี องคลนื่ เสียง ปรำกฏกำรณ์ที่เกีย่ วข้องกบั เสียง ควำมเขม้ เสียงและระดบั เสยี ง กำรได้ยิน ภำพทเ่ี กิดจำกกระจกเงำและเลนส์ ปรำกฏกำรณ์ทเ่ี ก่ียวข้องกบั แสงและกำรมองเห็นแสงสี เขำ้ ใจสนำมไฟฟ้ำ แรงไฟฟำ้ กฎของคูลอมบ์ ศกั ยไ์ ฟฟ้ำ ตวั เกบ็ ประจุ ตัวตำ้ นทำนและกฎของโอหม์ พลังงำนไฟฟำ้ กำรเปล่ยี นพลังงำนทดแทนเป็นพลังงำนไฟฟ้ำ เทคโนโลยีด้ำนพลงั งำน สนำมแม่เหล็ก ควำมสัมพันธ์ ระหว่ำงสนำมแม่เหล็กกับกระแสไฟฟ้ำ กำรเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้ำ ไฟฟ้ำกระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ และ ประโยชนข์ องคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้ำ เข้ำใจผลของควำมร้อนต่อสสำร สภำพยดื หยุ่น ควำมดันในของไหล แรงพยุง ของไหลอดุ มคติ ทฤษฎี จลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตัมของพลังงำน ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรำกฏกำรณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภำวะของคล่ืน และอนุภำค กำรสลำยของนิวเคลียสกัมมันตรังสี กัมมันตภำพ ปฏิกิริยำนิวเคลียร์ พลังงำนนิวเคลียร์ ควำมสัมพันธ์ ระหว่ำงมวลและพลงั งำน แรงภำยในนิวเคลยี ส และกำรค้นควำ้ วิจยั ด้ำนฟิสกิ สอ์ นภุ ำค เขำ้ ใจกำรแบ่งชัน้ และสมบตั ขิ องโครงสร้ำงโลก สำเหตุ และรปู แบบกำรเคลอื่ นที่ของแผ่นธรณีท่ีสมั พันธ์ กับกำรเกิดลักษณะธรณีสัณฐำนและธรณีโครงสร้ำงแบบต่ำง ๆ หลักฐำนทำงธรณีวิทยำท่ีพบในปัจจุบัน และ กำรลำดับเหตุกำรณ์ทำงธรณีวิทยำในอดีต สำเหตุ กระบวนกำรเกิดแผ่นดินไหว ภูเขำไฟระเบิด สึนำมิ ผ ลกระทบ แนวทำงกำรเฝ้ำระวัง และกำรปฏิบัติตนให้ปลอดภัย สมบัติและกำรจำแนกชนิดของแร่ กระบวนกำรเกิดและ กำรจำแนกชนิดหิน กระบวนกำรเกิดและกำรสำรวจแหล่งปิโตรเลียมและถ่ำนหิน กำรแปลควำมหมำยจำกแผนท่ี ภมู ิประเทศและแผนทธ่ี รณวี ทิ ยำ และกำรนำขอ้ มูลทำงธรณวี ิทยำไปใชป้ ระโยชน์ เข้ำใจปัจจัยสำคัญท่ีมีผลต่อกำรรับและปลดปล่อยพลังงำนจำกดวงอำทิตย์ กระบวนกำรท่ีทำให้ เกิดสมดุลพลังงำนของโลก ผลของแรงเนื่องจำกควำมแตกต่ำงของควำมกดอำกำศ แรงคอริออลิส แรงสศู่ ูนย์กลำง และแรงเสียดทำนที่มีต่อกำรหมุนเวียนของอำกำศ กำรหมุนเวียนของอำกำศตำมเขตละติจูด และผลท่ีมีต่อ ภูมิอำกำศ ปัจจัยที่ทำให้เกิดกำรแบ่งช้ันน้ำและกำรหมุนเวียนของน้ำในมหำสมุทร รูปแบบกำรหมุนเวียนของน้ำ ในมหำสมุทร และผลของกำรหมุนเวียนของน้ำในมหำสมุทรท่ีมีต่อลักษณะลมฟ้ำอำกำศ สิ่งมีชีวิต และส่ิงแวดล้อม ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเสถียรภำพอำกำศและกำรเกิดเมฆ กำรเกิดแนวปะทะอำกำศแบบต่ำง ๆ และลักษณะลมฟ้ำ อำกำศทเ่ี กยี่ วข้อง ปัจจัยตำ่ ง ๆ ท่มี ผี ลตอ่ กำรเปล่ียนแปลงภูมิอำกำศของโลก รวมทงั้ กำรแปลควำมหมำยสญั ลกั ษณ์ ลมฟำ้ อำกำศและกำรพยำกรณล์ ักษณะลมฟ้ำอำกำศเบือ้ งต้นจำกแผนท่อี ำกำศและข้อมลู สำรสนเทศ เข้ำใจกำรกำเนิดและกำรเปลี่ยนแปลงพลังงำน สสำร ขนำดอุณหภูมิของเอกภพ หลกั ฐำนทส่ี นับสนุน ทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกำแล็กซี โครงสร้ำงและองค์ประกอบของกำแล็กซีทำงช้ำงเผือก กระบวนกำร
อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๕ เกิดดำวฤกษ์ และกำรสร้ำงพลังงำนของดำวฤกษ์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อควำมส่องสว่ำงของดำวฤกษ์ และควำมสัมพันธ์ ระหว่ำงควำมส่องสว่ำงกับโชติมำตรของดำวฤกษ์ ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงสี อุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดำวฤกษ์ วิธีกำรหำระยะทำงของดำวฤกษ์ด้วยหลักกำรแพรัลแลกซ์ วิวัฒนำกำรและกำรเปลี่ยนแปลงสมบัติบำงประกำรของ ดำวฤกษ์ กระบวนกำรเกิดระบบสุริยะ กำรแบ่งเขตบริวำรของดวงอำทิตย์ ลักษณะของดำวเครำะห์ที่เอื้อต่อ กำรดำรงชีวิต กำรโคจรของดำวเครำะห์รอบดวงอำทิตยด์ ้วยกฏเคพเลอร์ และกฎควำมโน้มถ่วงของนิวตนั โครงสรำ้ ง ของดวงอำทิตย์ กำรเกิดลมสุริยะ พำยุสุริยะและผลที่มีต่อโลก กำรระบุพิกัดของดำวในระบบขอบฟ้ำ และระบบ ศูนย์สูตร เส้นทำงกำรข้ึนกำรตกของดวงอำทิตยแ์ ละดำวฤกษ์ เวลำสุริยคตแิ ละกำรเปรียบเทียบเวลำของแต่ละเขต เวลำบนโลก กำรสำรวจอวกำศและกำรประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยอี วกำศ ระบุปัญหำ ตั้งคำถำมที่จะสำรวจตรวจสอบ โดยมีกำรกำหนดควำมสัมพันธ์ระหว่ำงตัวแปรต่ำง ๆ สบื ค้นขอ้ มูลจำกหลำยแหล่ง ตั้งสมมตฐิ ำนท่เี ปน็ ไปได้หลำยแนวทำง ตัดสนิ ใจเลอื กตรวจสอบสมมติฐำนที่เปน็ ไปได้ ตั้งคำถำม หรือกำหนดปัญหำที่อยู่บนพื้นฐำนของควำมรู้และควำมเข้ำใจทำงวิทยำศำสตร์ที่แสดง ให้เห็นถึงกำรใช้ควำมคิดระดับสูงที่สำมำรถสำรวจตรวจสอบ หรือศึกษำค้นคว้ำได้อย่ำงครอบคลุมและเช่ือถือได้ สร้ำงสมมติฐำนท่ีมีทฤษฎีรองรับหรือคำดกำรณ์ส่ิงที่จะพบเพื่อนำไปสู่กำรสำรวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีกำรสำรวจ ตรวจสอบตำมสมมติฐำนท่ีกำหนดไว้ได้อย่ำงเหมำะสม มีหลักฐำนเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมท้ังวิธีกำร ในกำรสำรวจตรวจสอบอย่ำงถูกตอ้ งทั้งในเชงิ ปรมิ ำณและคุณภำพ และบันทึกผลกำรสำรวจตรวจสอบอย่ำงเปน็ ระบบ วิเครำะห์ แปลควำมหมำยข้อมูล และประเมินควำมสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับ สมมติฐำนท่ีตั้งไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีกำรสำรวจตรวจสอบ จัดกระทำข้อมูลและนำเสนอข้อมูลด้วย เทคนิควิธีที่เหมำะสม ส่ือสำรแนวคิด ควำมรู้จำกผลกำรสำรวจตรวจสอบ โดยกำรพูด เขียน จัดแสดง หรือใช้ เทคโนโลยีสำรสนเทศเพือ่ ใหผ้ ูอ้ ื่นเข้ำใจโดยมหี ลกั ฐำนอำ้ งอิงหรือมีทฤษฎีรองรบั แสดงถึงควำมสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในกำรสืบเสำะหำควำมรู้ โดยใช้ เคร่ืองมือและวิธีกำรที่ให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถิอได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่ำควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์อำจมี กำรเปลี่ยนแปลงได้ แสดงถึงควำมพอใจและเห็นคุณค่ำในกำรค้นพบควำมรู้ พบคำตอบ หรือแก้ปัญหำได้ ทำงำนร่วมกับ ผู้อ่ืนอย่ำงสร้ำงสรรค์ แสดงควำมคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้ำงอิงและเหตุผลประกอบเกี่ยวกับผลของกำรพัฒนำและ กำรใช้วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยอี ยำ่ งมีคณุ ธรรมตอ่ สังคมและส่งิ แวดลอ้ ม และยอมรับฟังควำมคิดเหน็ ของผ้อู ื่น เข้ำใจควำมสัมพันธ์ของควำมรู้วิทยำศำสตร์ที่มีผลต่อกำรพัฒนำเทคโนโลยีประเภทต่ำง ๆ และ กำรพัฒนำเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีกำรคิดค้นควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ท่ีก้ำวหน้ำ ผลของเทคโนโลยีตอ่ ชีวิต สังคม และ สิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงควำมสำคัญและเห็นคุณค่ำของควำมรู้วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ใช้ควำมรู้และกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีในกำรดำรงชีวิต และกำรประกอบอำชีพ แสดง ควำมชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้ำงอิงผลงำน ช้ินงำนที่เป็นผลมำจำกภูมิปัญญำท้องถ่ินและกำรพัฒนำเทคโนโลยี ทท่ี นั สมยั ศึกษำหำควำมรูเ้ พมิ่ เติม ทำโครงงำนหรือสร้ำงชน้ิ งำนตำมควำมสนใจ
๑๖ แสดงควำมซำบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับกำรใช้และรักษำทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดล้อม อย่ำงรู้คุณค่ำ เสนอตัวเองรว่ มมอื ปฏบิ ัติกับชมุ ชนในกำรป้องกนั ดูแลทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดลอ้ มของทอ้ งถิ่น จบชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ (สาหรับผ้เู รียนทกุ คน) วิเครำะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทำงเทคโนโลยีท่ีซับซ้อน กำรเปล่ียนแปลงของ เทคโนโลยี ควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเทคโนโลยีกับศำสตร์อ่ืน โดยเฉพำะวิทยำศำสตร์ หรือคณิตศำสตร์ วิเครำะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพ่ือเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ควำมรู้ ทักษะ ทรัพยำกรเพื่อออกแบบ สร้ำง หรือพัฒนำผลงำนสำหรับแก้ปัญหำที่มีผลกระทบต่อสังคม โดยใช้กระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในกำรออกแบบและนำเสนอผลงำน เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือไดอ้ ยำ่ งถูกต้อง เหมำะสม ปลอดภัย รวมท้ังคำนึงถึงทรพั ยส์ ินทำงปญั ญำ ใช้ควำมรู้ทำงด้ำนวิทยำกำรคอมพิวเตอร์ ส่ือดิจิทัล เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรส่ือสำร เพื่อรวบรวมข้อมูลในชีวิตจริงจำกแหล่งต่ำง ๆ และควำมรู้จำกศำสตร์อื่น มำประยุกต์ใช้ สร้ำงควำมรู้ใหม่ เข้ำใจ กำรเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยที ่มี ผี ลตอ่ กำรดำเนินชวี ติ อำชีพ สังคม วฒั นธรรม และใชอ้ ยำ่ งปลอดภัยมจี รยิ ธรรม อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ
๑๗ ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ ไม่มชี วี ติ กบั ส่ิงมีชวี ติ และความสัมพันธ์ระหวา่ งสิ่งมีชวี ติ กับสิง่ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอด พลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนทีใ่ นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มตี ่อทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนุรกั ษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปัญหาส่งิ แวดล้อมรวมทั้งนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ช้ัน ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ป.๑ ๑. ระบุชือ่ พชื และสตั ว์ท่ีอำศัยอย่บู รเิ วณตำ่ ง ๆ บริเวณต่ำง ๆ ในท้องถ่ิน เชน่ สนำมหญ้ำ ใต้ตน้ ไม้ จำกข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ สวนหย่อม แหล่งนำ้ อำจพบพชื และสตั ว์หลำยชนดิ ๒. บอกสภำพแวดล้อมทีเ่ หมำะสมกบั กำร อำศัยอยู่ ดำรงชวี ิตของสัตว์ในบรเิ วณที่อำศยั อยู่ บริเวณทแี่ ตกต่ำงกนั อำจพบพืชและสัตว์แตกตำ่ งกัน เพรำะสภำพแวดลอ้ มของแต่ละบริเวณจะมี ควำมเหมำะสมต่อกำรดำรงชีวติ ของพชื และสตั ว์ ทอ่ี ำศยั อยใู่ นแตล่ ะบริเวณ เช่น สระนำ้ มีนำ้ เปน็ ท่ีอยู่ อำศัยของหอย ปลำ สำหร่ำย เป็นที่หลบภยั และมี แหล่งอำหำรของหอยและปลำ บริเวณตน้ มะม่วงมี ตน้ มะม่วงเป็นแหล่งที่อยู่ และมีอำหำรสำหรบั กระรอกและมด ถำ้ สภำพแวดลอ้ มในบรเิ วณทพ่ี ชื และสัตวอ์ ำศัยอยู่ มกี ำรเปล่ยี นแปลง จะมผี ลต่อกำรดำรงชวี ิตของพชื และสตั ว์ ป.๒ - - ป.๓ - - ป.๔ - - ป.๕ ๑. บรรยำยโครงสร้ำงและลักษณะของส่ิงมชี ีวติ สง่ิ มีชวี ิตทั้งพชื และสตั วม์ โี ครงสร้ำงและลักษณะ ท่เี หมำะสมกบั กำรดำรงชีวติ ซ่ึงเปน็ ผลมำจำก ที่เหมำะสมในแต่ละแหลง่ ที่อยู่ ซงึ่ เป็นผลมำจำก กำรปรับตวั ของส่งิ มชี วี ิตในแต่ละแหล่งท่ีอยู่ กำรปรับตวั ของสิง่ มชี ีวติ เพื่อให้ดำรงชีวิตและอยู่รอดได้ ในแต่ละแหลง่ ทอี่ ยู่ เช่น ผกั ตบชวำมชี อ่ งอำกำศ
๑๘ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ในก้ำนใบ ชว่ ยให้ลอยน้ำได้ ต้นโกงกำงที่ขึ้นอยใู่ น ปำ่ ชำยเลนมรี ำกค้ำจนุ ทำให้ลำต้นไม่ลม้ ปลำมีครีบ ชว่ ยในกำรเคลอื่ นที่ในน้ำ ๒. อธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงส่ิงมีชีวิตกับ ในแหล่งท่ีอยหู่ น่ึง ๆ สิง่ มีชีวติ จะมีควำมสัมพนั ธ์ สิ่งมีชีวิต และควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งส่ิงมีชวี ิตกับ ซึ่งกนั และกันและสมั พันธ์กบั ส่งิ ไม่มีชีวิต เพ่ือ ส่ิงไม่มชี ีวิตเพ่ือประโยชน์ตอ่ กำรดำรงชวี ิต ประโยชนต์ อ่ กำรดำรงชวี ติ เชน่ ควำมสัมพนั ธก์ นั ๓. เขียนโซ่อำหำรและระบุบทบำทหน้ำที่ของ ด้ำนกำรกินกนั เปน็ อำหำร เป็นแหล่งทอี่ ยู่อำศยั สงิ่ มีชีวิตทเ่ี ป็นผูผ้ ลิตและผบู้ ริโภคในโซ่อำหำร หลบภยั และเลย้ี งดลู ูกอ่อน ใช้อำกำศในกำรหำยใจ ๔. ตระหนักในคุณค่ำของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อ สงิ่ มชี วี ิตมีกำรกินกันเป็นอำหำรโดยกนิ ต่อกนั กำรดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยมีส่วนร่วม เปน็ ทอด ๆ ในรูปแบบของโซ่อำหำรทำให้สำมำรถระบุ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พในกำรดูแลรักษำสงิ่ แวดลอ้ ม บทบำทหน้ำที่ของสงิ่ มชี วี ิตเป็นผู้ผลติ และผบู้ รโิ ภค ป.๖ - - ม.๑ - - ม.๒ - - ม.๓ ๑. อธิบำยปฏิสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบของ ระบบนิเวศประกอบด้วยองคป์ ระกอบที่มชี วี ิต เชน่ ระบบนเิ วศท่ีได้จำกกำรสำรวจ พืช สัตว์ จลุ ินทรยี ์ และองค์ประกอบท่ีไม่มชี วี ิต เช่น แสง นำ้ อุณหภมู ิ แร่ธำตุ แก๊ส องค์ประกอบเหล่ำนี้ มปี ฏิสมั พนั ธ์กัน เช่น พืชต้องกำรแสง นำ้ และแก๊ส คำร์บอนไดออกไซด์ ในกำรสร้ำงอำหำร สัตว์ต้องกำร อำหำรและสภำพแวดล้อมท่ีเหมำะสมในกำรดำรงชวี ติ เช่น อุณหภูมิ ควำมชื้น องคป์ ระกอบท้ังสองส่วนนี้ จะตอ้ งมคี วำมสัมพนั ธก์ นั อยำ่ งเหมำะสม ระบบนิเวศ จงึ จะสำมำรถคงอย่ตู ่อไปได้ ๒. อธิบำยรูปแบบควำมสัมพันธ์ระหวำ่ ง สงิ่ มีชวี ิตกับสิ่งมีชวี ติ มคี วำมสมั พันธ์กันในรูปแบบ สิ่งมชี วี ิตกบั ส่งิ มีชวี ิตรปู แบบต่ำง ๆ ในแหลง่ ที่ ต่ำง ๆ เชน่ ภำวะพ่งึ พำกนั ภำวะอิงอำศยั ภำวะเหยื่อ อยเู่ ดียวกนั ที่ไดจ้ ำกกำรสำรวจ กับผ้ลู ำ่ ภำวะปรสติ สิ่งมชี วี ิตชนิดเดียวกนั ทอ่ี ำศัยอย่รู ว่ มกนั ในแหล่ง ที่อยู่เดยี วกันในชว่ งเวลำเดยี วกนั เรียกวำ่ ประชำกร กลุม่ สิ่งมีชีวติ ประกอบด้วยประชำกรของส่ิงมีชวี ิต หลำย ๆ ชนิด อำศยั อยรู่ ่วมกันในแหลง่ ทีอ่ ยูเ่ ดยี วกนั ๓. สร้ำงแบบจำลองในกำรอธิบำยกำรถ่ำยทอด กลมุ่ ส่งิ มชี ีวติ ในระบบนิเวศแบง่ ตำมหนำ้ ทไ่ี ดเ้ ป็น พลังงำนในสำยใยอำหำร ๓ กลุ่ม ไดแ้ ก่ ผูผ้ ลิต ผู้บริโภค และผยู้ อ่ ยสลำย
๑๙ ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๔. อธิบำยควำมสมั พนั ธข์ องผู้ผลิต ผบู้ ริโภค สำรอนิ ทรีย์ สิ่งมีชวี ิตท้งั ๓ กล่มุ นี้ มีควำมสมั พันธก์ นั และผู้ย่อยสลำยสำรอินทรยี ใ์ นระบบนิเวศ ผูผ้ ลติ เปน็ สง่ิ มชี วี ิตท่ีสรำ้ งอำหำรได้เอง โดย ๕. อธิบำยกำรสะสมสำรพิษในส่งิ มชี วี ติ กระบวนกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสง ผู้บริโภค เป็น ในโซ่อำหำร ส่ิงมีชวี ิตท่ีไม่สำมำรถสร้ำงอำหำรไดเ้ อง และต้องกิน ๖. ตระหนกั ถงึ ควำมสมั พนั ธ์ของสิ่งมชี ีวติ ผู้ผลิต หรอื สิ่งมีชวี ติ อ่ืนเปน็ อำหำร เมอ่ื ผผู้ ลติ และ และสงิ่ แวดลอ้ มในระบบนิเวศ โดยไม่ทำลำย ผบู้ รโิ ภคตำยลง จะถูกย่อยโดยผูย้ ่อยสลำย สมดุลของระบบนเิ วศ สำรอินทรีย์ ซง่ึ จะเปลย่ี นสำรอินทรีย์เปน็ สำร อนินทรยี ก์ ลบั คืนสูส่ ่งิ แวดลอ้ ม ทำใหเ้ กิด กำรหมนุ เวียนสำรเปน็ วฎั จกั ร จำนวนผู้ผลิต ผู้บรโิ ภค และผยู้ อ่ ยสลำยสำรอนิ ทรยี ์ จะต้องมคี วำมเหมำะสม จึงทำใหก้ ลุม่ สิ่งมีชีวิตอยู่ได้อย่ำงสมดุล อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ พลงั งำนถูกถ่ำยทอดจำกผู้ผลิตไปยังผูบ้ รโิ ภคลำดบั ตำ่ ง ๆ รวมท้ังผู้ย่อยสลำยสำรอินทรยี ์ ในรูปแบบ สำยใยอำหำรทป่ี ระกอบดว้ ยโซ่อำหำรหลำยโซ่ ทส่ี ัมพนั ธ์กัน ในกำรถำ่ ยทอดพลงั งำนในโซ่อำหำร พลงั งำนที่ถูกถ่ำยทอดไปจะลดลงเรื่อย ๆ ตำมลำดบั ของกำรบรโิ ภค กำรถำ่ ยทอดพลงั งำนในระบบนิเวศ อำจทำให้ มสี ำรพิษสะสมอยู่ในสิ่งมชี ีวิตได้ จนอำจก่อให้เกิด อันตรำยต่อสง่ิ มีชวี ิต และทำลำยสมดลุ ในระบบนิเวศ ดงั นัน้ กำรดแู ลรักษำระบบนิเวศให้เกดิ ควำมสมดุล และคงอย่ตู ลอดไปจงึ เปน็ สงิ่ สำคัญ ม.๔ ๑. สบื คน้ ข้อมูลและอธิบำยควำมสัมพนั ธ์ของ บรเิ วณของโลกแตล่ ะบริเวณมสี ภำพทำงภมู ิศำสตร์ สภำพทำงภูมิศำสตร์บนโลกกับควำมหลำกหลำย ทแ่ี ตกต่ำงกนั แบ่งออกได้เป็นหลำยเขตตำมสภำพ ของไบโอม และยกตวั อย่ำงไบโอมชนิดตำ่ ง ๆ ภูมอิ ำกำศและปริมำณน้ำฝน ทำใหม้ ีระบบนิเวศ ท่ีหลำกหลำย ซงึ่ สง่ ผลให้เกดิ ควำมหลำกหลำยของ ไบโอม ๒. สืบค้นข้อมูล อภิปรำยสำเหตุ และ กำรเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศเกดิ ขึ้นได้ ยกตัวอยำ่ งกำรเปลย่ี นแปลงแทนทีข่ องระบบ ตลอดเวลำทั้งกำรเปลี่ยนแปลงทเี่ กดิ ข้นึ เอง นิเวศ ตำมธรรมชำตแิ ละเกิดจำกกำรกระทำของมนษุ ย์ กำรเปล่ียนแปลงแทนท่เี ป็นกำรเปลยี่ นแปลงของ กล่มุ สิ่งมชี วี ิตทเ่ี กิดขน้ึ อย่ำงช้ำ ๆ เป็นเวลำนำน
๒๐ ชน้ั ตัวช้วี ดั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ซึ่งเป็นผลจำกปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหว่ำงองค์ประกอบ ๓. สืบคน้ ข้อมลู อธิบำยและยกตวั อยำ่ ง ทำงกำยภำพและทำงชวี ภำพ สง่ ผลใหร้ ะบบนิเวศ เกี่ยวกบั กำรเปลยี่ นแปลงขององคป์ ระกอบ เปลีย่ นแปลงไปสู่สมดุลจนเกดิ สงั คมสมบรู ณ์ได้ ทำงกำยภำพและทำงชวี ภำพท่ีมีผลต่อ กำรเปลย่ี นแปลงขององค์ประกอบในระบบนเิ วศ กำรเปลี่ยนแปลงขนำดของประชำกรสิ่งมีชีวติ ทัง้ ทำงกำยภำพและทำงชวี ภำพมีผลตอ่ ในระบบนเิ วศ กำรเปลี่ยนแปลงขนำดของประชำกร ๔. สบื ค้นขอ้ มูลและอภปิ รำยเกย่ี วกับปัญหำ และผลกระทบทีม่ ีต่อทรัพยำกรธรรมชำติและ มนุษยใ์ ช้ทรัพยำกรธรรมชำติโดยปรำศจำก สงิ่ แวดล้อม พร้อมท้ังนำเสนอแนวทำงในกำร ควำมระมัดระวัง และมีกำรพัฒนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ อนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละกำรแก้ไข เพื่อช่วยอำนวยควำมสะดวกต่ำง ๆ แก่มนุษย์ สง่ ผล ปัญหำสิ่งแวดล้อม ต่อกำรเปลีย่ นแปลงทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละ ส่งิ แวดลอ้ ม ม.๕ - ปญั หำทเ่ี กิดกบั ทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละ ม.๖ - สิง่ แวดล้อม บำงปัญหำสง่ ผลกระทบในระดับท้องถิ่น บำงปญั หำก็ส่งผลกระทบในระดับประเทศ และ บำงปัญหำส่งผลกระทบในระดับโลก กำรลดปรมิ ำณกำรใช้ทรัพยำกรธรรมชำติ กำรกำจดั ของเสียทีเ่ ป็นสำเหตุของปญั หำส่ิงแวดลอ้ ม และ กำรวำงแผนจดั กำรทรพั ยำกรธรรมชำตทิ ี่ดี เปน็ ตัวอยำ่ งของแนวทำงในกำรอนุรกั ษ์ ทรพั ยำกรธรรมชำติ และกำรลดปญั หำสง่ิ แวดลอ้ ม ท่เี กดิ ขน้ึ เพอ่ื ให้เกดิ กำรใชป้ ระโยชน์ทย่ี งั่ ยืน - -
๒๑ สาระที่ ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบตั ิของสงิ่ มชี ีวิต หน่วยพืน้ ฐานของสงิ่ มีชีวติ การลาเลียงสารผา่ นเซลล์ ความสัมพนั ธ์ของโครงสรา้ ง และหนา้ ท่ขี องระบบต่าง ๆ ของสตั ว์และมนุษย์ท่ีทางานสัมพนั ธ์ กนั ความสมั พันธ์ของโครงสรา้ ง และหน้าทข่ี องอวัยวะต่าง ๆ ของพืชทท่ี างานสมั พนั ธก์ นั รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. ระบุชือ่ บรรยำยลักษณะและบอกหนำ้ ที่ มนุษยม์ สี ่วนตำ่ ง ๆ ทม่ี ีลักษณะและหนำ้ ท่แี ตกต่ำงกัน ของสว่ นตำ่ ง ๆ ของรำ่ งกำยมนษุ ย์ สัตว์ และ เพอ่ื ใหเ้ หมำะสมในกำรดำรงชีวติ เช่น ตำมหี น้ำท่ี พชื รวมท้ังบรรยำยกำรทำหน้ำที่รว่ มกนั ไว้มองดู โดยมีหนังตำและขนตำเพื่อป้องกนั อันตรำย ของส่วนตำ่ ง ๆ ของรำ่ งกำยมนษุ ยใ์ นกำรทำ ให้กบั ตำ หมู ีหน้ำท่ีรบั ฟังเสียง โดยมใี บหูและรูหู กิจกรรมต่ำง ๆ จำกข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ เพื่อเปน็ ทำงผ่ำนของเสยี ง ปำกมหี น้ำท่ีพดู กนิ อำหำร อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ มีช่องปำกและมีริมฝปี ำกบนล่ำง แขนและมือมหี นำ้ ท่ี ยก หยบิ จบั มีทอ่ นแขนและนว้ิ มือที่ขยบั ได้ สมอง มหี นำ้ ทคี่ วบคุมกำรทำงำนของส่วนต่ำง ๆ ของร่ำงกำย เปน็ ก้อนอยู่ในกะโหลกศีรษะ โดยส่วนต่ำง ๆ ของ ร่ำงกำยจะทำหนำ้ ทร่ี ่วมกันในกำรทำกจิ กรรม ในชวี ติ ประจำวนั สตั ว์มหี ลำยชนิด แต่ละชนดิ มสี ว่ นต่ำง ๆ ท่ีมี ลักษณะและหน้ำทแี่ ตกตำ่ งกัน เพื่อใหเ้ หมำะสม ในกำรดำรงชีวติ เช่น ปลำมีครบี เปน็ แผ่น สว่ นกบ เต่ำ แมว มขี ำ ๔ ขำและมีเท้ำ สำหรับใชใ้ นกำรเคลื่อนที่ พืชมีส่วนตำ่ ง ๆ ทม่ี ลี ักษณะและหน้ำท่ีแตกตำ่ งกัน เพ่อื ให้เหมำะสมในกำรดำรงชีวติ โดยทว่ั ไป รำกมี ลกั ษณะเรยี วยำว และแตกแขนงเปน็ รำกเล็ก ๆ ทำ หนำ้ ท่ีดูดนำ้ ลำต้นมลี ักษณะเป็นทรงกระบอกตงั้ ตรง และมกี ่ิงกำ้ น ทำหน้ำทช่ี กู ่ิงกำ้ น ใบ และดอก ใบมี ลักษณะเปน็ แผ่นแบน ทำหน้ำท่สี รำ้ งอำหำร นอกจำกนพ้ี ชื หลำยชนิดอำจมีดอกทีม่ ีสี รูปรำ่ งต่ำง ๆ ทำหน้ำทีส่ ืบพนั ธุ์ รวมทง้ั มีผลทม่ี ีเปลือก มเี นื้อห่อหมุ้ เมล็ด และมีเมล็ดซึ่งสำมำรถงอกเป็นต้นใหม่ได้ ๒. ตระหนกั ถงึ ควำมสำคัญของสว่ นตำ่ ง ๆ ของ มนุษยใ์ ชส้ ่วนตำ่ ง ๆ ของรำ่ งกำยในกำรทำกจิ กรรม รำ่ งกำยตนเอง โดยกำรดูแลส่วนตำ่ ง ๆ ตำ่ ง ๆ เพ่ือกำรดำรงชวี ติ มนษุ ย์จึงควรใชส้ ่วนตำ่ ง ๆ
๒๒ ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง อย่ำงถูกต้อง ให้ปลอดภยั และรักษำ ของร่ำงกำยอย่ำงถูกต้อง ปลอดภัย และรกั ษำ ควำมสะอำดอยู่เสมอ ควำมสะอำดอยู่เสมอ เช่น ใช้ตำมองตัวหนังสือในท่ี ๆ มแี สงสวำ่ งเพียงพอ ดูแลตำให้ปลอดภยั จำกอันตรำย และรกั ษำควำมสะอำดตำอยู่เสมอ ป.๒ ๑. ระบวุ ำ่ พชื ต้องกำรแสงและนำ้ เพ่อื กำรเจรญิ พืชต้องกำรน้ำ แสง เพ่ือกำรเจรญิ เตบิ โต เติบโต โดยใชข้ อ้ มูลจำกหลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์ ๒. ตระหนกั ถงึ ควำมจำเปน็ ที่พืชต้องไดร้ ับน้ำ และแสงเพอ่ื กำรเจรญิ เตบิ โต โดยดูแลพชื ให้ได้ รบั สง่ิ ดงั กลำ่ วอย่ำงเหมำะสม ๓. สร้ำงแบบจำลองที่บรรยำยวฏั จกั รชีวิตของ พชื ดอกเม่ือเจริญเติบโตและมดี อก ดอกจะมี อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ พชื ดอก กำรสืบพันธุ์เปล่ียนแปลงไปเป็นผล ภำยในผลมเี มล็ด เม่ือเมลด็ งอก ตน้ อ่อนท่ีอย่ภู ำยในเมลด็ จะเจริญ เติบโตเปน็ พชื ตน้ ใหม่ พชื ต้นใหมจ่ ะเจรญิ เตบิ โต ออกดอกเพ่ือสืบพันธุ์มผี ลตอ่ ไปไดอ้ ีกหมนุ เวียน ตอ่ เน่ืองเปน็ วัฏจกั รชีวิตของพืชดอก ป.๓ ๑. บรรยำยส่ิงทจ่ี ำเป็นต่อกำรดำรงชวี ิต มนษุ ย์และสัตวต์ อ้ งกำรอำหำร นำ้ และอำกำศ และกำรเจรญิ เติบโตของมนษุ ย์และสตั ว์ โดยใช้ เพอื่ กำรดำรงชวี ติ และกำรเจริญเติบโต ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ ๒. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของอำหำร น้ำ และ อำหำรชว่ ยให้ร่ำงกำยแขง็ แรงและเจริญเติบโต อำกำศ โดยกำรดแู ลตนเองและสตั วใ์ หไ้ ด้รบั น้ำชว่ ยใหร้ ำ่ งกำยทำงำนได้อยำ่ งปกติ อำกำศใช้ ส่งิ เหล่ำนอ้ี ยำ่ งเหมำะสม ในกำรหำยใจ ๓. สร้ำงแบบจำลองทีบ่ รรยำยวฏั จกั รชวี ิต สตั ว์เมื่อเปน็ ตวั เตม็ วัยจะสืบพันธุ์มีลูก เมื่อลกู ของสตั ว์ และเปรียบเทียบวฏั จกั รชวี ิตของสตั ว์ เจรญิ เติบโตเปน็ ตวั เตม็ วัยกส็ ืบพนั ธุ์มีลูกต่อไปได้อกี บำงชนดิ หมุนเวยี นตอ่ เนือ่ งเป็นวัฏจกั รชีวิตของสัตว์ ซงึ่ สตั ว์ ๔. ตระหนักถึงคุณค่ำของชวี ติ สัตว์ โดยไมท่ ำให้ แต่ละชนดิ เชน่ ผีเส้อื กบ ไก่ มนษุ ย์จะมวี ฏั จกั รชวี ิต วัฏจักรชีวติ ของสตั วเ์ ปลีย่ นแปลง ทเี่ ฉพำะ และแตกต่ำงกัน ป.๔ ๑. บรรยำยหน้ำท่ีของรำก ลำต้น ใบ และดอก สว่ นตำ่ ง ๆ ของพชื ดอกทำหนำ้ ทแ่ี ตกต่ำงกนั ของพืชดอกโดยใช้ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมได้ - รำกทำหนำ้ ทีด่ ูดน้ำและแรธ่ ำตขุ น้ึ ไปยังลำตน้ - ลำตน้ ทำหนำ้ ทลี่ ำเลียงนำ้ ต่อไปยังส่วนต่ำง ๆ ของพชื - ใบทำหน้ำท่สี รำ้ งอำหำร อำหำรที่พชื สร้ำงขน้ึ คือ นำ้ ตำลซง่ึ จะเปล่ยี นเป็นแป้ง
๒๓ ชนั้ ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง - ดอกทำหนำ้ ทีส่ บื พันธ์ุ ประกอบด้วยส่วนประกอบ ตำ่ ง ๆ ได้แก่ กลีบเลีย้ ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และ เกสรเพศเมีย ซ่ึงส่วนประกอบแตล่ ะส่วนของดอก ทำหนำ้ ทแ่ี ตกต่ำงกนั ป.๕ - - ป.๖ ๑. ระบุสำรอำหำรและบอกประโยชนข์ อง สำรอำหำรท่ีอยูใ่ นอำหำรมี ๖ ประเภท ไดแ้ ก่ สำรอำหำรแตล่ ะประเภทจำกอำหำรทต่ี นเอง คำร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมนั เกลอื แร่ วติ ำมนิ และน้ำ รบั ประทำน อำหำรแต่ละชนิดประกอบดว้ ยสำรอำหำร ๒. บอกแนวทำงในกำรเลอื กรับประทำนอำหำร ที่ แตกต่ำงกัน อำหำรบำงอย่ำงประกอบดว้ ย ใหไ้ ดส้ ำรอำหำรครบถ้วนในสัดส่วนท่เี หมำะสม สำรอำหำรประเภทเดยี ว อำหำรบำงอย่ำง กบั เพศและวยั รวมทัง้ ควำมปลอดภยั ต่ออ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ประกอบดว้ ยสำรอำหำรมำกกวำ่ หนึง่ ประเภท สุขภำพ สำรอำหำรแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่ำงกำย ๓. ตระหนกั ถงึ ควำมสำคญั ของสำรอำหำร โดย แตกตำ่ งกนั โดยคำรโ์ บไฮเดรต โปรตีน และไขมนั กำรเลอื กรบั ประทำนอำหำรที่มสี ำรอำหำร เปน็ สำรอำหำรทใ่ี ห้พลังงำนแก่ร่ำงกำย ส่วนเกลือแร่ ครบถ้วนในสัดส่วนทเี่ หมำะสมกบั เพศและวยั วิตำมินและน้ำ เปน็ สำรอำหำรที่ไมใ่ ห้พลงั งำนแก่ รวมทงั้ ปลอดภัยต่อสุขภำพ ร่ำงกำย แตช่ ่วยใหร้ ่ำงกำยทำงำนได้เปน็ ปกติ กำรรบั ประทำนอำหำรเพื่อให้รำ่ งกำยเจรญิ เตบิ โต มกี ำรเปลี่ยนแปลงของร่ำงกำยตำมเพศและวัย และ มีสขุ ภำพดี จำเปน็ ต้องรบั ประทำนให้ได้พลงั งำน เพียงพอกบั ควำมต้องกำรของรำ่ งกำย และใหไ้ ด้ สำรอำหำรครบถว้ นในสดั สว่ นทเี่ หมำะสมกับเพศ และวยั รวมทงั้ ตอ้ งคำนงึ ถงึ ชนดิ และปริมำณของวตั ถุ เจือปนในอำหำรเพ่ือควำมปลอดภยั ตอ่ สขุ ภำพ ๔. สร้ำงแบบจำลองระบบย่อยอำหำร และ ระบบย่อยอำหำรประกอบดว้ ยอวัยวะตำ่ ง ๆ ได้แก่ บรรยำยหนำ้ ท่ีของอวัยวะในระบบย่อยอำหำร ปำก หลอดอำหำร กระเพำะอำหำร ลำไส้เล็ก รวมทั้งอธิบำยกำรย่อยอำหำรและกำรดดู ซึม ลำไสใ้ หญ่ ทวำรหนัก ตับ และตบั อ่อน ซ่ึงทำหน้ำท่ี สำรอำหำร ร่วมกันในกำรย่อยและดูดซมึ สำรอำหำร - ปำก มีฟนั ช่วยบดเค้ียวอำหำรใหม้ ีขนำดเล็กลง และมลี ิน้ ชว่ ยคลกุ เคล้ำอำหำรกบั นำ้ ลำย ในน้ำลำย มเี อนไซมย์ ่อยแปง้ ใหเ้ ป็นน้ำตำล - หลอดอำหำร ทำหนำ้ ท่ีลำเลียงอำหำรจำกปำก ไปยงั กระเพำะอำหำร ภำยในกระเพำะอำหำร
๒๔ ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง มีกำรยอ่ ยโปรตีนโดยกรดและเอนไซมท์ ่สี รำ้ งจำก กระเพำะอำหำร - ลำไส้เล็กมเี อนไซมท์ ่ีสรำ้ งจำกผนงั ลำไสเ้ ลก็ เอง และจำกตับอ่อนทชี่ ่วยย่อยโปรตนี คำรโ์ บไฮเดรต และไขมนั โดยโปรตนี คำร์โบไฮเดรต และไขมนั ทีผ่ ำ่ นกำรยอ่ ยจนเป็นสำรอำหำรขนำดเล็กพอท่ีจะ ดดู ซมึ ได้ รวมถึงน้ำ เกลือแร่ และวิตำมนิ จะถกู ดูดซมึ ทีผ่ นงั ลำไส้เลก็ เข้ำส่กู ระแสเลอื ด เพ่ือลำเลียงไปยงั สว่ นตำ่ ง ๆ ของร่ำงกำย ซงึ่ โปรตีน คำรโ์ บไฮเดรต และไขมนั จะถกู นำไปใช้เปน็ แหล่งพลังงำนสำหรับใช้ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ในกจิ กรรมต่ำง ๆ ส่วนน้ำ เกลือแร่ และวิตำมิน จะช่วยให้รำ่ งกำยทำงำนได้เป็นปกติ - ตับสรำ้ งนำ้ ดีแลว้ สง่ มำยงั ลำไสเ้ ลก็ ชว่ ยให้ไขมัน แตกตัว - ลำไส้ใหญท่ ำหน้ำที่ดดู นำ้ และเกลือแร่ เป็น บรเิ วณทม่ี อี ำหำรท่ีย่อยไม่ได้ หรอื ย่อยไม่หมด เป็นกำกอำหำร ซง่ึ จะถูกกำจัดออกทำงทวำรหนัก ๕. ตระหนักถึงควำมสำคญั ของระบบยอ่ ย อวัยวะต่ำง ๆ ในระบบย่อยอำหำร มคี วำมสำคัญ อำหำร โดยกำรบอกแนวทำงในกำรดแู ลรกั ษำ จงึ ควรปฏบิ ตั ติ น ดแู ลรกั ษำอวัยวะให้ทำงำนเป็นปกติ อวยั วะในระบบยอ่ ยอำหำรให้ทำงำนเป็นปกติ ม.๑ ๑. เปรียบเทียบรูปรำ่ งและโครงสรำ้ งของเซลล์ เซลลเ์ ปน็ หนว่ ยพน้ื ฐำนของสงิ่ มีชวี ติ ส่ิงมีชีวติ พชื และเซลล์สตั ว์ รวมทัง้ บรรยำยหน้ำที่ของ บำงชนิดมเี ซลล์เพยี งเซลล์เดยี ว เช่น อะมีบำ ผนงั เซลล์ เยื่อห้มุ เซลล์ ไซโทพลำซึม นวิ เคลยี ส พำรำมเี ซยี ม ยสี ต์ บำงชนิดมีหลำยเซลล์ เช่น พชื สัตว์ แวควิ โอล ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลำสต์ โครงสรำ้ งพ้นื ฐำนท่ีพบทั้งในเซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ ๒. ใชก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ใช้แสงศึกษำเซลล์ และสำมำรถสังเกตได้ดว้ ยกล้องจุลทรรศนใ์ ชแ้ สง และโครงสรำ้ งต่ำง ๆ ภำยในเซลล์ ไดแ้ ก่ เย่ือหมุ้ เซลล์ ไซโทพลำซมึ และนวิ เคลยี ส โครงสร้ำงท่พี บในเซลล์พืชแต่ไมพ่ บในเซลลส์ ตั ว์ ไดแ้ ก่ ผนังเซลลแ์ ละคลอโรพลำสต์ โครงสรำ้ งตำ่ ง ๆ ของเซลล์มีหน้ำที่แตกต่ำงกนั - ผนงั เซลล์ ทำหนำ้ ทใ่ี หค้ วำมแขง็ แรงแก่เซลล์ - เยื่อหมุ้ เซลล์ ทำหนำ้ ทหี่ อ่ หุ้มเซลล์และควบคุม กำรลำเลยี งสำรเขำ้ และออกจำกเซลล์
๒๕ ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง - นิวเคลยี ส ทำหน้ำที่ควบคุมกำรทำงำนของเซลล์ - ไซโทพลำซึม มีออร์แกแนลลท์ ่ที ำหน้ำที่แตกตำ่ งกนั - แวคิวโอล ทำหน้ำทีเ่ กบ็ น้ำและสำรตำ่ ง ๆ - ไมโทคอนเดรยี ทำหน้ำทีเ่ กยี่ วกบั กำรสลำย สำรอำหำรเพ่ือให้ไดพ้ ลังงำนแกเ่ ซลล์ - คลอโรพลำสต์ เปน็ แหล่งทีเ่ กดิ กำรสังเครำะห์ดว้ ยแสง ๓. อธิบำยควำมสมั พันธ์ระหว่ำงรูปรำ่ ง เซลลข์ องสงิ่ มชี ีวิตมีรปู ร่ำงลักษณะทห่ี ลำกหลำย กบั กำรทำหนำ้ ทขี่ องเซลล์ และมคี วำมเหมำะสมกบั หนำ้ ที่ของเซลลน์ นั้ เช่น เซลลป์ ระสำทสว่ นใหญ่มเี ส้นใยประสำทเป็นแขนงยำว นำกระแสประสำทไปยังเซลล์อ่นื ๆ ท่ีอยู่ไกลออกไป อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ เซลลข์ นรำกเป็นเซลล์ผวิ ของรำกทม่ี ผี นงั เซลล์และ เย่ือหุ้มเซลล์ย่ืนยำวออกมำ ลักษณะคลำ้ ยขนเสน้ เลก็ ๆ เพอ่ื เพม่ิ พ้นื ท่ผี วิ ในกำรดดู นำ้ และธำตุอำหำร ๔. อธิบำยกำรจัดระบบของสิ่งมชี ีวติ โดยเร่มิ พชื และสตั ว์เปน็ ส่ิงมีชวี ติ หลำยเซลลม์ ีกำรจัดระบบ จำกเซลล์ เนอ้ื เย่ือ อวัยวะ ระบบอวยั วะ โดยเรม่ิ จำกเซลล์ไปเป็นเน้ือเย่ือ อวัยวะ ระบบอวัยวะ จนเป็นส่ิงมีชวี ติ และส่ิงมีชีวิต ตำมลำดบั เซลลห์ ลำยเซลลม์ ำรวมกนั เป็นเน้อื เยื่อ เนื้อเยื่อหลำยชนิดมำรวมกนั และทำงำน ร่วมกนั เป็นอวัยวะ อวัยวะตำ่ ง ๆ ทำงำนร่วมกัน เป็นระบบอวยั วะ ระบบอวัยวะทกุ ระบบทำงำน ร่วมกนั เป็นสง่ิ มีชีวติ ๕. อธบิ ำยกระบวนกำรแพรแ่ ละออสโมซสิ จำก เซลลม์ กี ำรนำสำรเข้ำสเู่ ซลล์เพ่ือใชใ้ นกระบวนกำร หลกั ฐำนเชิงประจักษ์ และยกตัวอย่ำงกำรแพร่ ตำ่ ง ๆ ของเซลล์ และมีกำรขจดั สำรบำงอย่ำงทเ่ี ซลล์ และออสโมซสิ ในชวี ติ ประจำวัน ไมต่ ้องกำรออกนอกเซลล์ กำรนำสำรเข้ำและออก จำกเซลล์มีหลำยวธิ ี เช่น กำรแพรเ่ ปน็ กำรเคลื่อนที่ ของสำรจำกบริเวณทม่ี ีควำมเข้มขน้ ของสำรสงู ไปสู่ บริเวณที่มคี วำมเขม้ ขน้ ของสำรตำ่ สว่ นออสโมซิส เป็นกำรแพร่ของนำ้ ผ่ำนเยอ่ื หุ้มเซลลจ์ ำกดำ้ นท่ีมี ควำมเข้มข้นของสำรละลำยต่ำไปยงั ด้ำนทีม่ ี ควำมเข้มขน้ ของสำรละลำยสูงกว่ำ ๖. ระบุปจั จัยทจี่ ำเป็นในกำรสังเครำะห์ กระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสงของพืชทเี่ กิดข้นึ ด้วยแสงและผลผลติ ทีเ่ กิดขึน้ จำกกำรสังเครำะห์ ใน คลอโรพลำสต์ จำเป็นต้องใช้แสง แก๊สคำร์บอนได- ดว้ ยแสง โดยใชห้ ลักฐำนเชิงประจกั ษ์
๒๖ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ออกไซด์ คลอโรฟลิ ล์ และน้ำ ผลผลิตทีไ่ ดจ้ ำก กำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสง ได้แก่ นำ้ ตำลและแกส๊ ออกซิเจน ๗. อธบิ ำยควำมสำคญั ของกำรสงั เครำะห์ กำรสังเครำะหด์ ้วยแสง เป็นกระบวนกำรทสี่ ำคัญ ด้วยแสงของพืชต่อสง่ิ มชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม ต่อส่ิงมีชีวติ เพรำะเปน็ กระบวนกำรเดยี วทสี่ ำมำรถ ๘. ตระหนักในคณุ คำ่ ของพชื ท่มี ตี อ่ ส่งิ มชี ีวติ นำพลงั งำนแสงมำเปล่ยี นเปน็ พลงั งำนในรูป และสิ่งแวดล้อม โดยกำรร่วมกนั ปลกู และดูแล สำรประกอบอินทรีย์และเก็บสะสมในรปู แบบต่ำง ๆ รกั ษำต้นไมใ้ นโรงเรยี นและชมุ ชน ในโครงสร้ำงของพืช พืชจึงเป็นแหล่งอำหำรและ พลงั งำนท่ีสำคญั ของสงิ่ มีชวี ิตอ่นื นอกจำกนี้ กระบวนกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงยังเป็นกระบวนกำร หลักในกำรสรำ้ งแกส๊ ออกซเิ จนใหก้ บั บรรยำกำศ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ เพ่ือใหส้ งิ่ มีชีวิตอื่นใชใ้ นกระบวนกำรหำยใจ ๙. บรรยำยลกั ษณะและหนำ้ ท่ีของไซเล็ม พืชมไี ซเล็มและโฟลเอม็ ซ่ึงเปน็ เนื้อเยือ่ มลี ักษณะ และโฟลเอ็ม คล้ำยทอ่ เรียงตัวกนั เป็นกลุ่มเฉพำะท่ี โดยไซเล็ม ๑๐. เขยี นแผนภำพที่บรรยำยทศิ ทำง ทำหนำ้ ท่ลี ำเลียงนำ้ และธำตอุ ำหำร มที ศิ ทำงลำเลียง กำรลำเลียงสำรในไซเล็มและโฟลเอม็ ของพชื จำกรำกไปสลู่ ำต้น ใบ และส่วนต่ำง ๆ ของพืช เพื่อใช้ ในกำรสังเครำะหด์ ้วยแสง รวมถงึ กระบวนกำรอ่นื ๆ สว่ นโฟลเอ็มทำหน้ำท่ลี ำเลียงอำหำรท่ีไดจ้ ำกกำร สังเครำะหด์ ้วยแสง มีทศิ ทำงลำเลยี งจำกบรเิ วณท่ีมี กำรสังเครำะหด์ ว้ ยแสงไปสสู่ ่วนต่ำง ๆ ของพชื ๑๑. อธบิ ำยกำรสบื พันธ์ุแบบอำศัยเพศ พชื ดอกทกุ ชนิดสำมำรถสบื พันธแ์ุ บบอำศัยเพศได้ และไมอ่ ำศยั เพศของพืชดอก และบำงชนดิ สำมำรถสืบพันธ์ุแบบไม่อำศัยเพศได้ ๑๒. อธบิ ำยลักษณะโครงสร้ำงของดอกทม่ี ีสว่ น กำรสบื พันธแ์ุ บบอำศยั เพศเป็นกำรสืบพันธท์ุ มี่ ี ทำให้เกิดกำรถำ่ ยเรณู รวมทงั้ บรรยำย กำรผสมกนั ของสเปริ ม์ กับเซลลไ์ ข่ กำรสืบพนั ธุ์ กำรปฏสิ นธิของพชื ดอก กำรเกิดผลและเมลด็ แบบอำศยั เพศของพืชดอกเกิดขึ้นท่ดี อก โดยภำยใน กำรกระจำยเมล็ด และกำรงอกของเมล็ด ๑๓. ตระหนักถงึ ควำมสำคัญของสตั วท์ ่ีช่วย อบั เรณขู องส่วนเกสรเพศผูม้ เี รณู ซ่งึ ทำหนำ้ ที่ สรำ้ งสเปิร์ม ภำยในออวุลของสว่ นเกสร เพศเมยี ในกำรถ่ำยเรณขู องพชื ดอก โดยกำรไม่ทำลำย มีถุงเอ็มบรโิ อ ทำหน้ำทสี่ ร้ำงเซลลไ์ ข่ ชีวิตของสตั ว์ท่ชี ่วยในกำรถ่ำยเรณู กำรสืบพนั ธแ์ุ บบไม่อำศยั เพศ เปน็ กำรสบื พนั ธ์ุที่พืช ตน้ ใหมไ่ มไ่ ด้เกิดจำกกำรปฏสิ นธิระหวำ่ งสเปริ ม์ กับเซลลไ์ ข่ แตเ่ กดิ จำกสว่ นตำ่ ง ๆ ของพชื เช่น รำก ลำต้น ใบ มีกำรเจริญเติบโตและพัฒนำขึ้นมำ เป็นต้นใหม่ได้
๒๗ ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง กำรถำ่ ยเรณู คือ กำรเคลื่อนย้ำยของเรณจู ำก อบั เรณูไปยังยอดเกสรเพศเมีย ซ่งึ เก่ียวข้องกับ ลักษณะและโครงสร้ำงของดอก เชน่ สีของกลบี ดอก ตำแหนง่ ของเกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมีย โดยมีสิง่ ท่ี ช่วยในกำรถ่ำยเรณู เช่น แมลง ลม กำรถ่ำยเรณจู ะนำไปสู่กำรปฏิสนธิ ซึ่งจะเกดิ ขึน้ ท่ี ถุงเอ็มบริโอภำยในออวุล หลงั กำรปฏิสนธจิ ะได้ไซโกต และเอนโดสเปริ ์ม ไซโกตจะพัฒนำต่อไปเป็นเอ็มบริโอ ออวุลพัฒนำไปเปน็ เมล็ด และรังไข่พัฒนำไปเป็นผล ผลและเมลด็ มีกำรกระจำยออกจำกต้นเดิม โดยวิธกี ำรตำ่ ง ๆ เมอ่ื เมลด็ ไปตกในสภำพแวดล้อม ทเี่ หมำะสมจะเกดิ กำรงอกของเมลด็ โดยเอ็มบรโิ อ ภำยในเมลด็ จะเจรญิ ออกมำ โดยระยะแรกจะอำศยั อำหำรท่สี ะสมภำยในเมลด็ จนกระทั่งใบแท้พัฒนำ จนสำมำรถสงั เครำะห์ด้วยแสงได้เตม็ ทแ่ี ละสรำ้ ง อำหำรได้เองตำมปกติ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๔. อธิบำยควำมสำคญั ของธำตอุ ำหำรบำง พืชต้องกำรธำตอุ ำหำรท่ีจำเปน็ หลำยชนิดในกำร ชนดิ ทีม่ ผี ลต่อกำรเจริญเตบิ โตและกำร เจรญิ เตบิ โตและกำรดำรงชีวิต ดำรงชีวิตของพืช พืชต้องกำรธำตุอำหำรบำงชนดิ ในปริมำณมำก ๑๕. เลอื กใชป้ ุ๋ยทม่ี ีธำตุอำหำรเหมำะสมกับพืช ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม แคลเซียม ในสถำนกำรณ์ทีก่ ำหนด แมกนีเซียม และกำมะถนั ซ่ึงในดินอำจมีไม่เพียงพอ สำหรบั กำรเจริญเติบโตของพืช จงึ ตอ้ งมีกำรให้ธำตุ อำหำรในรูปของปุ๋ยกบั พชื อย่ำงเหมำะสม ๑๖. เลอื กวธิ ีกำรขยำยพันธพ์ุ ืชให้เหมำะสมกับ มนษุ ยส์ ำมำรถนำควำมรเู้ ร่ืองกำรสบื พนั ธ์ุ ควำมตอ้ งกำรของมนุษย์ โดยใชค้ วำมรเู้ กย่ี วกับ แบบอำศยั เพศและไม่อำศยั เพศ มำใชใ้ นกำร กำรสืบพันธ์ขุ องพชื ขยำยพนั ธเ์ุ พื่อเพมิ่ จำนวนพืช เชน่ กำรใชเ้ มล็ดท่ีได้ ๑๗. อธบิ ำยควำมสำคัญของเทคโนโลยี จำกกำรสืบพนั ธแ์ุ บบอำศยั เพศมำเพำะเลยี้ ง วธิ กี ำรน้ี กำรเพำะเลีย้ งเนื้อเยือ่ พชื ในกำรใช้ประโยชน์ จะได้พชื ในปริมำณมำก แต่อำจมีลักษณะที่แตกต่ำง ด้ำนตำ่ ง ๆ ไปจำกพอ่ แม่ สว่ นกำรตอนกิ่ง กำรปักชำ กำรต่อก่ิง ๑๘. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของกำรขยำยพันธ์ุ กำรตดิ ตำ กำรทำบก่ิง กำรเพำะเลย้ี งเน้ือเยอื่ พืช โดยกำรนำควำมรู้ไปใช้ในชวี ติ ประจำวัน เป็นกำรนำควำมรู้เรื่องกำรสืบพันธแุ์ บบไม่อำศยั เพศ ของพืชมำใชใ้ นกำรขยำยพนั ธ์ุ เพ่ือให้ได้พืชทีม่ ี
๒๘ ช้นั ตวั ชว้ี ัด อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ลักษณะเหมือนตน้ เดิม ซึ่งกำรขยำยพันธแุ์ ต่ละวิธี ม.๒ ๑. ระบุอวัยวะและบรรยำยหนำ้ ท่ีของอวยั วะ มขี ั้นตอนแตกต่ำงกัน จงึ ควรเลอื กใหเ้ หมำะสมกับ ทเี่ ก่ยี วข้องในระบบหำยใจ ควำมต้องกำรของมนษุ ย์ โดยตอ้ งคำนึงถงึ ชนดิ ๒. อธิบำยกลไกกำรหำยใจเข้ำและออก โดยใช้ ของพชื และลักษณะกำรสบื พันธุ์ของพชื แบบจำลอง รวมทั้งอธิบำยกระบวนกำร แลกเปลี่ยนแกส๊ เทคโนโลยกี ำรเพำะเล้ียงเน้ือเยอ่ื พชื เป็นกำรนำ ๓. ตระหนกั ถงึ ควำมสำคญั ของระบบหำยใจ ควำมร้เู กีย่ วกับปัจจัยที่จำเปน็ ตอ่ กำรเจริญเติบโตของ โดยกำรบอกแนวทำงในกำรดูแลรักษำอวยั วะ พืชมำใชใ้ นกำรเพ่ิมจำนวนพชื และทำให้พชื สำมำรถ ในระบบหำยใจให้ทำงำนเป็นปกติ เจรญิ เติบโตไดใ้ นหลอดทดลอง ซ่ึงจะได้พชื จำนวน มำกในระยะเวลำส้ัน และสำมำรถนำเทคโนโลยี ๔. ระบุอวยั วะและบรรยำยหน้ำที่ของอวัยวะ กำรเพำะเลย้ี งเนื้อเย่ือมำประยุกตเ์ พื่อกำรอนุรกั ษ์ ในระบบขับถำ่ ยในกำรกำจัดของเสยี ทำงไต พนั ธกุ รรมพชื ปรบั ปรุงพนั ธพ์ุ ืชท่ีมคี วำมสำคญั ทำงเศรษฐกิจ กำรผลติ ยำและสำรสำคัญในพชื และอืน่ ๆ ระบบหำยใจมีอวยั วะตำ่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ไดแ้ ก่ จมูก ทอ่ ลม ปอด กะบงั ลม และกระดูกซ่ีโครง มนุษย์หำยใจเข้ำเพื่อนำแกส๊ ออกซิเจนเข้ำส่รู ำ่ งกำย เพอื่ นำไปใช้ในเซลล์ และหำยใจออกเพ่อื กำจดั แกส๊ คำร์บอนไดออกไซด์ออกจำกร่ำงกำย อำกำศเคลอ่ื นท่ี เขำ้ และออกจำกปอดได้ เน่อื งจำกกำรเปลย่ี นแปลง ปริมำตรและควำมดนั ของอำกำศภำยในชอ่ งอก ซึ่ง เก่ียวข้องกับกำรทำงำนของกะบงั ลม และกระดูกซ่ีโครง กำรแลกเปลี่ยนแก๊สออกซเิ จนกับแก๊ส คำร์บอนไดออกไซด์ในรำ่ งกำย เกิดขึน้ บริเวณถุงลม ในปอดกบั หลอดเลือดฝอยที่ถุงลม และระหว่ำง หลอดเลอื ดฝอยกับเนื้อเย่อื กำรสูบบหุ รี่ กำรสูดอำกำศที่มีสำรปนเปือ้ น และ กำรเป็นโรคเก่ยี วกับระบบหำยใจบำงโรค อำจทำให้ เกิดโรคถงุ ลมโปง่ พอง ซ่ึงมผี ลใหค้ วำมจอุ ำกำศของ ปอดลดลง ดงั น้นั จงึ ควรดูแลรักษำระบบหำยใจ ใหท้ ำหนำ้ ท่เี ป็นปกติ ระบบขบั ถ่ำยมีอวยั วะทเี่ กย่ี วขอ้ ง คือ ไต ท่อไต กระเพำะปสั สำวะ และท่อปสั สำวะ โดยมไี ตทำหนำ้ ที่ กำจดั ของเสยี เช่น ยเู รีย แอมโมเนยี กรดยูริก รวมท้ัง
๒๙ ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๕. ตระหนักถึงควำมสำคัญของระบบขับถำ่ ย สำรที่ร่ำงกำยไม่ต้องกำรออกจำกเลือด และควบคุม ในกำรกำจดั ของเสยี ทำงไต โดยกำรบอก สำรที่มมี ำก หรือนอ้ ยเกนิ ไป เช่น น้ำ โดยขับออกมำ แนวทำงในกำรปฏิบตั ิตนทชี่ ่วยใหร้ ะบบขบั ถำ่ ย ในรูปของปสั สำวะ ทำหน้ำทไี่ ด้อย่ำงปกติ กำรเลอื กรับประทำนอำหำรทเ่ี หมำะสม เช่น รบั ประทำนอำหำรท่ีไม่มีรสเค็มจดั กำรดม่ื น้ำสะอำด ให้เพียงพอ เป็นแนวทำงหน่งึ ทช่ี ่วยให้ระบบขบั ถ่ำย ทำหน้ำท่ีไดอ้ ยำ่ งปกติ ๖. บรรยำยโครงสรำ้ งและหน้ำทขี่ องหัวใจ ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบดว้ ย หัวใจ หลอดเลือด และเลอื ด หลอดเลือด และเลอื ด ๗. อธบิ ำยกำรทำงำนของระบบหมุนเวยี นเลอื ด หัวใจของมนุษยแ์ บ่งเปน็ ๔ หอ้ ง ไดแ้ ก่ หวั ใจ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พโดยใชแ้ บบจำลอง ห้องบน ๒ ห้อง และห้องลำ่ ง ๒ ห้อง ระหวำ่ งหัวใจ ห้องบนและหัวใจห้องล่ำงมลี ้นิ หัวใจกัน้ หลอดเลอื ด แบ่งเป็น หลอดเลอื ดอำร์เตอรี หลอดเลอื ดเวน หลอดเลือดฝอย ซ่งึ มีโครงสร้ำงตำ่ งกัน เลือด ประกอบด้วย เซลล์เมด็ เลอื ด เกล็ดเลือด และพลำสมำ กำรบบี และคลำยตวั ของหัวใจทำให้เลือดหมนุ เวยี น และลำเลยี งสำรอำหำร แกส๊ ของเสีย และสำรอ่นื ๆ ไปยงั อวัยวะและเซลลต์ ำ่ ง ๆ ทั่วร่ำงกำย เลอื ดทม่ี ีปริมำณแก๊สออกซเิ จนสูงจะออกจำกหัวใจ ไปยังเซลลต์ ่ำง ๆ ทวั่ ร่ำงกำย ขณะเดยี วกนั แกส๊ คำร์บอนไดออกไซด์จำกเซลล์จะแพร่เขำ้ สู่เลอื ดและ ลำเลียงกลับเขำ้ สูห่ ัวใจและถูกสง่ ไปแลกเปลี่ยนแกส๊ ทป่ี อด
๓๐ ช้ัน ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๘. ออกแบบกำรทดลองและทดลอง ชีพจรบอกถงึ จังหวะกำรเต้นของหัวใจ ซง่ึ อตั รำ ในกำรเปรียบเทียบอตั รำกำรเตน้ ของหัวใจ กำรเตน้ ของหัวใจในขณะปกติและหลังจำก ขณะปกตแิ ละหลังทำกจิ กรรม ทำกจิ กรรมต่ำง ๆ จะแตกต่ำงกัน ส่วนควำมดันเลือด ๙. ตระหนักถงึ ควำมสำคัญของระบบหมุนเวียน เกดิ จำกกำรทำงำนของหวั ใจและหลอดเลอื ด เลอื ด โดยกำรบอกแนวทำงในกำรดูแลรักษำ อัตรำกำรเตน้ ของหัวใจมคี วำมแตกตำ่ งกันในแตล่ ะ อวัยวะในระบบหมนุ เวียนเลอื ดให้ทำงำน บุคคล คนทเ่ี ป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดจะส่งผล เปน็ ปกติ ทำให้หัวใจสบู ฉีดเลอื ดไมเ่ ป็นปกติ กำรออกกำลังกำย กำรเลือกรบั ประทำนอำหำร กำรพักผอ่ น และกำรรกั ษำภำวะอำรมณ์ให้เป็นปกติ จึงเป็นทำงเลือกหนงึ่ ในกำรดูแลรกั ษำระบบหมนุ เวียน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ เลอื ดให้เป็นปกติ ๑๐. ระบอุ วัยวะและบรรยำยหนำ้ ท่ขี องอวยั วะ ระบบประสำทสว่ นกลำง ประกอบดว้ ยสมองและ ในระบบประสำทสว่ นกลำง ในกำรควบคุม ไขสนั หลงั จะทำหน้ำที่ร่วมกบั เสน้ ประสำท ซ่ึงเปน็ กำรทำงำนต่ำง ๆ ของรำ่ งกำย ระบบประสำทรอบนอก ในกำรควบคมุ กำรทำงำน ๑๑. ตระหนักถงึ ควำมสำคญั ของระบบประสำท ของอวยั วะต่ำง ๆ รวมถึงกำรแสดงพฤติกรรมเพ่ือ โดยกำรบอกแนวทำงในกำรดูแลรกั ษำ รวมถึง กำรตอบสนองต่อส่ิงเร้ำ กำรปอ้ งกนั กำรกระทบ กระเทอื นและอันตรำย เม่อื มีส่งิ เรำ้ มำกระตนุ้ หนว่ ยรบั ควำมรสู้ กึ จะเกดิ ต่อสมองและไขสันหลงั กระแสประสำทสง่ ไปตำมเซลล์ประสำทรับควำมร้สู ึก ไปยังระบบประสำทส่วนกลำง แล้วสง่ กระแสประสำท มำตำมเซลลป์ ระสำทสง่ั กำร ไปยังหน่วยปฏบิ ัตงิ ำน เช่น กล้ำมเน้ือ ระบบประสำทเป็นระบบที่มีควำมซับซ้อนและมี ควำมสมั พันธ์กับทุกระบบในร่ำงกำย ดงั นัน้ จงึ ควร ป้องกนั กำรเกิดอบุ ัติเหตุที่กระทบ กระเทือนต่อสมอง หลกี เล่ยี งกำรใช้สำรเสพตดิ หลีกเล่ียงภำวะเครยี ด และรับประทำนอำหำรทีม่ ีประโยชนเ์ พื่อดูแลรกั ษำ ระบบประสำทให้ทำงำนเปน็ ปกติ ๑๒. ระบุอวัยวะและบรรยำยหนำ้ ท่ีของอวัยวะ มนษุ ย์มีระบบสืบพนั ธท์ุ ีป่ ระกอบดว้ ยอวยั วะต่ำง ๆ ในระบบสืบพนั ธุ์ของเพศชำยและเพศหญงิ ท่ีทำหน้ำทเ่ี ฉพำะ โดยรงั ไข่ในเพศหญิงจะทำหน้ำท่ี โดยใชแ้ บบจำลอง ผลติ เซลล์ไข่ ส่วนอัณฑะในเพศชำยจะทำหนำ้ ทีส่ ร้ำง เซลล์อสจุ ิ
๓๑ ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑๓. อธบิ ำยผลของฮอร์โมนเพศชำยและเพศ ฮอร์โมนเพศทำหนำ้ ที่ควบคุมกำรแสดงออกของ หญงิ ท่ีควบคุมกำรเปลี่ยนแปลงของร่ำงกำย ลักษณะทำงเพศทีแ่ ตกต่ำงกนั เมอื่ เข้ำสวู่ ัยหนมุ่ สำว เมอ่ื เข้ำสู่วยั หน่มุ สำว จะมีกำรสรำ้ งเซลล์ไข่และเซลล์อสุจิ กำรตกไข่ ๑๔. ตระหนักถงึ กำรเปลี่ยนแปลงของร่ำงกำย กำรมรี อบเดือน และถำ้ มีกำรปฏิสนธิของเซลล์ไข่ เมือ่ เข้ำส่วู ัยหนุ่มสำวโดยกำรดูแลรักษำรำ่ งกำย และเซลลอ์ สจุ จิ ะทำใหเ้ กิดกำรตั้งครรภ์ และจติ ใจของตนเองในช่วงที่มกี ำรเปล่ียนแปลง ๑๕. อธิบำยกำรตกไข่ กำรมปี ระจำเดือน กำรมีประจำเดอื น มคี วำมสมั พันธก์ ับกำรตกไข่ กำรปฏสิ นธิ และกำรพัฒนำของไซโกต โดยเป็นผลจำกกำรเปล่ียนแปลงของระดบั ฮอรโ์ มน จนคลอดเปน็ ทำรก เพศหญิง ๑๖. เลอื กวิธีกำรคุมกำเนิดท่ีเหมำะสมกับ เมอ่ื เพศหญิงมีกำรตกไข่และเซลล์ไข่ไดร้ ับ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พสถำนกำรณ์ท่ีกำหนด กำรปฏิสนธิกบั เซลลอ์ สุจจิ ะทำใหไ้ ด้ไซโกต ไซโกต ๑๗. ตระหนกั ถึงผลกระทบของกำรต้ังครรภ์ จะเจรญิ เปน็ เอ็มบริโอและฟตี ัส จนกระทงั่ คลอด กอ่ นวยั อันควร โดยกำรประพฤติตนใหเ้ หมำะสม เปน็ ทำรก แต่ถ้ำไมม่ ีกำรปฏิสนธิ เซลลไ์ ขจ่ ะสลำยตัว ผนังดำ้ นในมดลกู รวมท้ังหลอดเลอื ดจะสลำยตวั และ หลุดลอกออก เรยี กวำ่ ประจำเดอื น กำรคุมกำเนดิ เป็นวิธปี อ้ งกันไมใ่ ห้เกดิ กำรต้ังครรภ์ โดยปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ กำรปฏิสนธหิ รือไม่ให้มีกำรฝงั ตัว ของเอม็ บรโิ อ ซึ่งมีหลำยวธิ ี เช่น กำรใชถ้ งุ ยำงอนำมยั กำรกินยำคมุ กำเนิด ม.๓ - - ม.๔ ๑. อธิบำยโครงสร้ำงและสมบัติของเย่ือหมุ้ เยอ่ื หมุ้ เซลล์มีโครงสรำ้ งเป็นเย่อื หุ้มสองช้นั ทม่ี ลี พิ ดิ เซลลท์ สี่ มั พนั ธ์กบั กำรลำเลียงสำร และ เปน็ องคป์ ระกอบ และมีโปรตีนแทรกอยู่ เปรียบเทยี บกำรลำเลยี งสำรผ่ำนเยอื่ ห้มุ เซลล์ แบบตำ่ ง ๆ สำรทีล่ ะลำยได้ในลพิ ดิ และสำรท่ีมีขนำดเล็ก สำมำรถแพรผ่ ่ำนเยือ่ หมุ้ เซลลไ์ ด้โดยตรง สว่ นสำร ขนำดเล็กที่มปี ระจุต้องลำเลยี งผ่ำนโปรตนี ท่ีแทรกอย่ทู ี่ เยื่อห้มุ เซลล์ ซ่งึ มี ๒ แบบ คอื กำรแพรแ่ บบฟำซลิ เิ ทต และแอกทีฟทรำนสปอร์ต ในกรณีสำรขนำดใหญ่ เชน่ โปรตีน จะลำเลียงเขำ้ โดยกระบวนกำรเอนโดไซโทซสิ หรอื ลำเลียงออกโดยกระบวนกำรเอกโซไซโทซิส ๒. อธิบำยกำรควบคุมดุลยภำพของน้ำและสำร กำรรกั ษำดลุ ยภำพของน้ำและสำรในเลือด ในเลอื ดโดยกำรทำงำนของไต เกดิ จำกกำรทำงำนของไต ซึ่งเปน็ อวยั วะในระบบ ขบั ถำ่ ยท่ีมีควำมสำคัญในกำรกำจดั ของเสียทมี่ ี
๓๒ ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ไนโตรเจนเปน็ องค์ประกอบ รวมทง้ั น้ำและสำรทมี่ ี ปรมิ ำณเกนิ ควำมต้องกำรของรำ่ งกำย กำรกำจัดของเสยี โดยไต เลือดท่ีเขำ้ สไู่ ตจะถูกกรอง ที่โกลเมอรูลสั และโบวแ์ มนส์แคปซูลของหนว่ ยไต สำร ทีเ่ ป็นประโยชนจ์ ะถูกดูดกลบั ทท่ี ่อหนว่ ยไตเข้ำสเู่ ลือด สว่ นสำรที่ไม่เปน็ ประโยชนจ์ ะถกู ขบั จำกเลอื ดเข้ำสู่ท่อ หนว่ ยไต กอ่ นที่จะถูกกำจดั ออกจำกร่ำงกำยในรปู ของ ปัสสำวะ ๓. อธิบำยกำรควบคุมดุลยภำพของกรด-เบส กำรรกั ษำดุลยภำพของกรด-เบสในเลือดเกดิ จำก ของเลอื ดโดยกำรทำงำนของไตและปอด กำรทำงำนของไตทที่ ำหนำ้ ที่ขับ หรอื ดดู กลบั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ไฮโดรเจนไอออน ไฮโดรเจนคำร์บอเนตไอออน และแอมโมเนียมไอออน และกำรทำงำนของปอด ท่ีทำหนำ้ ที่กำจดั คำรบ์ อนไดออกไซด์ ๔. อธิบำยกำรควบคมุ ดลุ ยภำพของอุณหภูมิ กำรรักษำดลุ ยภำพของอณุ หภมู ิภำยในรำ่ งกำย ภำยในร่ำงกำยโดยระบบหมนุ เวยี นเลือด เกิดจำกกำรทำงำนของระบบหมนุ เวียนเลอื ดที่ควบคุม ผวิ หนัง และกล้ำมเนื้อโครงร่ำง ปริมำณเลือดไปทผ่ี ิวหนงั กำรทำงำนของต่อมเหงื่อ และกลำ้ มเน้ือโครงร่ำง ซึ่งส่งผลถึงปริมำณควำมร้อนที่ ถูกเกบ็ หรือระบำยออกจำกร่ำงกำย ๕. อธิบำยและเขยี นแผนผงั เก่ียวกับ เมอื่ เชอื้ โรคหรือสิ่งแปลกปลอมอน่ื เข้ำสูเ่ นอ้ื เยอ่ื กำรตอบสนองของรำ่ งกำยแบบไม่จำเพำะ ในร่ำงกำย ร่ำงกำยจะมกี ลไกในกำรต่อต้ำน หรอื และแบบจำเพำะตอ่ สิง่ แปลกปลอมของร่ำงกำย ทำลำยส่ิงแปลกปลอมทั้งแบบไม่จำเพำะและแบบ จำเพำะ เซลล์เม็ดเลือดขำวกลมุ่ ฟำโกไซต์จะมีกลไกในกำร ตอ่ ต้ำนหรือทำลำยสิง่ แปลกปลอมแบบไม่จำเพำะ กลไกในกำรต่อต้ำนหรือทำลำยสิง่ แปลกปลอม แบบจำเพำะเป็นกำรทำงำนของเซลลเ์ ม็ดเลือดขำว ลมิ โฟไซต์ ชนดิ บีและชนดิ ที ซ่ึงเซลล์เม็ดเลอื ดขำว ทงั้ สองชนดิ จะมีตัวรบั แอนติเจน ทำให้เซลลท์ ้ังสอง สำมำรถตอบสนองแบบจำเพำะตอ่ แอนติเจนนัน้ ๆ ได้ เซลล์บที ำหนำ้ ที่สรำ้ งแอนติบอดี ซงึ่ ช่วยในกำรจับ กบั สิง่ แปลกปลอมต่ำง ๆ เพื่อทำลำยต่อไปโดยระบบ ภูมคิ มุ้ กัน เซลล์ทีทำหน้ำทห่ี ลำกหลำย เชน่ กระตุ้น
๓๓ ช้ัน ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง กำรทำงำนของเซลล์บแี ละเซลล์ทีชนิดอืน่ ทำลำย เซลลท์ ่ีติดไวรสั และเซลล์ทผ่ี ดิ ปกติอนื่ ๆ ๖. สบื คน้ ข้อมูล อธิบำยและยกตัวอยำ่ งโรค บำงกรณรี ำ่ งกำยอำจเกิดควำมผดิ ปกตขิ องระบบ หรอื อำกำรทีเ่ กดิ จำกควำมผิดปกติของระบบ ภมู คิ ุม้ กัน เชน่ ภมู คิ มุ้ กนั ตอบสนองต่อแอนตเิ จน ภูมิค้มุ กนั บำงชนดิ อยำ่ งรุนแรงมำกเกนิ ไป หรือรำ่ งกำย มีปฏิกิรยิ ำตอบสนองต่อแอนตเิ จนของตนเอง อำจทำให้รำ่ งกำยเกดิ อำกำรผิดปกตไิ ด้ ๗. อธบิ ำยภำวะภูมิคุ้มกันบกพรอ่ งทมี่ ีสำเหตุ บคุ คลท่ีไดร้ ับเลอื ดหรือสำรคดั หลง่ั ทมี่ เี ชอื้ HIV ซง่ึ มำจำกกำรติดเชอ้ื HIV สำมำรถทำลำยเซลล์ที ทำให้ภมู ิคมุ้ กันบกพร่องและ ติดเชือ้ ต่ำง ๆ ไดง้ ่ำยขน้ึ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๘. ทดสอบและบอกชนดิ ของสำรอำหำรที่พืช กระบวนกำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสงเป็นจดุ เริม่ ตน้ สงั เครำะห์ได้ ของกำรสร้ำงนำ้ ตำลในพชื พืชเปล่ยี นนำ้ ตำลไปเป็น ๙. สืบค้นข้อมูล อภิปรำย และ ยกตวั อย่ำง สำรอำหำรและสำรอ่ืน ๆ เชน่ คำร์โบไฮเดรต โปรตนี เกี่ยวกับกำรใช้ประโยชน์จำกสำรตำ่ ง ๆ ทพ่ี ชื ไขมัน ท่จี ำเปน็ ต่อกำรดำรงชีวิตของพชื และสตั ว์ บำงชนดิ สร้ำงขึ้น มนษุ ย์สำมำรถนำสำรตำ่ ง ๆ ทพี่ ชื บำงชนิดสรำ้ งขน้ึ ไปใชป้ ระโยชน์ เชน่ ใช้เปน็ ยำหรือสมนุ ไพรในกำร รกั ษำโรคบำงชนดิ ใช้ในกำรไลแ่ มลง กำจดั ศัตรูพืช และสัตว์ ใช้ในกำรยบั ยั้งกำรเจริญเติบโตของแบคทีเรยี และใชเ้ ปน็ วตั ถุดิบในอุตสำหกรรม ๑๐. ออกแบบกำรทดลอง ทดลอง และอธิบำย ปจั จยั ภำยนอกท่ีมผี ลต่อกำรเจริญเตบิ โต เช่น แสง เกี่ยวกบั ปจั จยั ภำยนอกทม่ี ผี ลตอ่ กำรเจริญเตบิ โต น้ำ ธำตอุ ำหำร คำร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจน ของพชื ปัจจัยภำยใน เชน่ ฮอร์โมนพืช ซ่ึงพชื มีกำรสงั เครำะห์ ๑๑. สบื ค้นขอ้ มลู เกี่ยวกับสำรควบคมุ กำรเจริญ ขึ้นเพื่อควบคุมกำรเจรญิ เติบโตในชว่ งชวี ติ ตำ่ ง ๆ เตบิ โตของพืชที่มนุษยส์ ังเครำะห์ขึน้ และ มนษุ ยม์ ีกำรสังเครำะหส์ ำรควบคุมกำรเจริญเติบโต ยกตัวอย่ำงกำรนำมำประยุกต์ใช้ทำงด้ำน ของพชื โดยเลียนแบบฮอร์โมนพืช เพื่อนำมำใช้ กำรเกษตรของพืช ควบคมุ กำรเจริญเตบิ โตและเพมิ่ ผลผลติ ของพืช ๑๒. สังเกตและอธบิ ำยกำรตอบสนองของพืชต่อ กำรตอบสนองต่อส่ิงเรำ้ ของพชื แบง่ ตำม สง่ิ เรำ้ ในรูปแบบตำ่ ง ๆ ท่ีมผี ลตอ่ กำรดำรงชวี ติ ควำมสมั พนั ธก์ ับทศิ ทำงของสิ่งเร้ำได้ ได้แก่ แบบท่มี ี ทิศทำงสัมพันธ์กับทศิ ทำงของสิง่ เรำ้ เชน่ ดอกทำนตะวนั หนั เขำ้ หำแสง ปลำยรำกเจริญเขำ้ หำ แรงโนม้ ถ่วงของโลก และแบบท่ีไม่มทิศทำงสมั พนั ธ์
๓๔ ชัน้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง กบั ทศิ ทำงของสงิ่ เร้ำ เช่น กำรหุบและบำนของดอก หรอื กำรหุบและกำงของใบพืชบำงชนิด กำรตอบสนองต่อสงิ่ เร้ำของพชื บำงอย่ำงส่งผลต่อ กำรเจริญเติบโต เช่น กำรเจริญในทศิ ทำงเขำ้ หำ หรือ ตรงขำ้ มกบั แรงโน้มถ่วงของโลก กำรเจรญิ ในทิศทำง เข้ำหำหรือตรงข้ำมกับแสง และกำรตอบสนองต่อ กำรสมั ผัสสงิ่ เร้ำ ม.๕ - - ม.๖ - - อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ
๓๕ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม สาร พนั ธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพนั ธกุ รรมทีม่ ีผลตอ่ สิ่งมีชีวติ ความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิวัฒนาการของส่ิงมีชวี ิต รวมทั้งนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ชนั้ ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ - - ป.๒ ๑. เปรยี บเทยี บลกั ษณะของสิ่งมชี ีวติ และ สิง่ ท่อี ยรู่ อบตวั เรำมีท้ังท่ีเป็นสิ่งมชี ีวติ และ ส่งิ ไม่มีชีวติ จำกข้อมูลทีร่ วบรวมได้ สง่ิ ไมม่ ีชีวิต ส่งิ มชี ีวิตตอ้ งกำรอำหำร มกี ำรหำยใจ เจรญิ เติบโต ขับถ่ำย เคลอ่ื นไหว ตอบสนองต่อส่งิ เร้ำ และสืบพันธุ์ได้ลูกที่มีลักษณะคลำ้ ยคลงึ กับพ่อแม่ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ส่วนส่ิงไมม่ ีชวี ิตจะไม่มลี กั ษณะดงั กล่ำว ป.๓ - - ป.๔ ๑. จำแนกส่ิงมีชีวิตโดยใชค้ วำมเหมอื นและ ส่งิ มชี วี ติ มีหลำยชนดิ สำมำรถจดั กลมุ่ ไดโ้ ดยใช้ ควำมแตกต่ำงของลกั ษณะของสงิ่ มชี ีวิตออกเป็น ควำมเหมือนและควำมแตกตำ่ งของลักษณะต่ำง ๆ เชน่ กลมุ่ พชื กลมุ่ สัตว์ และกลุม่ ที่ไม่ใชพ่ ืชและสตั ว์ กลมุ่ พชื สรำ้ งอำหำรเองได้ และเคลอื่ นท่ดี ว้ ยตนเองไมไ่ ด้ กลุ่มสตั ว์กนิ สง่ิ มีชีวติ อนื่ เปน็ อำหำรและเคล่ือนท่ีได้ กลมุ่ ท่ีไมใ่ ช่พชื และสตั ว์ เชน่ เห็ดรำ จุลนิ ทรยี ์ ๒. จำแนกพชื ออกเป็นพืชดอกและพชื ไม่มีดอก กำรจำแนกพืช สำมำรถใช้กำรมดี อกเป็นเกณฑ์ โดยใช้กำรมดี อกเปน็ เกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มลู ในกำรจำแนก ได้เปน็ พืชดอกและพืชไม่มดี อก ที่รวบรวมได้ กำรจำแนกสตั ว์ สำมำรถใช้กำรมีกระดูกสนั หลัง เป็นเกณฑใ์ นกำรจำแนก ได้เป็นสัตวม์ ีกระดูกสนั หลงั และสัตวไ์ ม่มีกระดกู สันหลัง ๓. จำแนกสัตว์ออกเป็นสัตวม์ ีกระดูกสนั หลังและ สัตวม์ กี ระดูกสนั หลงั มีหลำยกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปลำ สตั ว์ไม่มกี ระดกู สันหลงั โดยใชก้ ำรมีกระดกู สนั หลัง กล่มุ สตั ว์สะเทนิ นำ้ สะเทินบก กลมุ่ สัตวเ์ ลอื้ ยคลำน เปน็ เกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ กลุ่มนก และกลมุ่ สัตว์เลย้ี งลูกดว้ ยน้ำนม ซง่ึ แตล่ ะกลุ่ม ๔. บรรยำยลักษณะเฉพำะที่สังเกตได้ของสัตว์มี จะมีลกั ษณะเฉพำะท่ีสงั เกตได้ กระดูกสันหลังในกล่มุ ปลำ กลุ่มสตั วส์ ะเทนิ นำ้ สะเทินบก กลุ่มสัตวเ์ ล้อื ยคลำน กลุ่มนก และ กลมุ่ สตั ว์เลีย้ งลกู ด้วยน้ำนม และยกตัวอยำ่ ง สง่ิ มีชวี ิตในแต่ละกลุ่ม ป.๕ ๑. อธิบำยลักษณะทำงพันธกุ รรมทีม่ ีกำรถ่ำยทอด สิ่งมชี วี ิตท้ังพืช สตั ว์ และมนษุ ย์ เม่อื โตเตม็ ท่จี ะมี จำกพ่อแมส่ ู่ลกู ของพชื สัตว์ และมนษุ ย์ กำรสืบพนั ธุเ์ พ่ือเพิม่ จำนวนและดำรงพนั ธุ์ โดยลูก
ชัน้ ตวั ชีว้ ัด ๓๖ ๒. แสดงควำมอยำกรู้อยำกเห็นโดยกำรถำม คำถำมเก่ียวกบั ลกั ษณะท่ีคล้ำยคลึงกนั ของ สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตนเองกับพ่อแม่ ท่ีเกิดมำจะไดร้ บั กำรถ่ำยทอดลกั ษณะทำงพนั ธุกรรม จำกพ่อแม่ทำใหม้ ีลักษณะทำงพนั ธุกรรมท่เี ฉพำะ ป.๖ - แตกตำ่ งจำกส่ิงมชี วี ติ ชนิดอน่ื ม.๑ - ม.๒ - พืชมกี ำรถำ่ ยทอดลกั ษณะทำงพนั ธุกรรม เช่น ม.๓ ๑. อธบิ ำยควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำง ยนี ดเี อน็ เอ ลกั ษณะของใบ สีดอก และโครโมโซม โดยใชแ้ บบจำลอง สัตว์มีกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม เชน่ สี อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ขน ลกั ษณะของขน ลักษณะของหู มนษุ ยม์ ีกำรถ่ำยทอดลักษณะทำงพนั ธุกรรม เชน่ เชงิ ผมที่หน้ำผำก ลักยิม้ ลกั ษณะหนังตำ กำรห่อลน้ิ ลักษณะของตงิ่ หู - - - ลกั ษณะทำงพันธกุ รรมของสงิ่ มีชีวติ สำมำรถ ถำ่ ยทอดจำกรุ่นหน่งึ ไปยงั อกี รุ่นหนึ่งได้ โดยมียนี เป็นหนว่ ยควบคมุ ลักษณะทำงพนั ธุกรรม โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ และโปรตีน ขดอยูใ่ นนวิ เคลยี ส ยนี ดีเอน็ เอ และโครโมโซมมี ควำมสัมพันธก์ นั โดยบำงส่วนของดีเอ็นเอทำหนำ้ ท่ี เปน็ ยีนท่กี ำหนดลกั ษณะของส่งิ มีชวี ิต สิง่ มชี ีวิตทม่ี ีโครโมโซม ๒ ชุด โครโมโซมทเี่ ปน็ ค่กู ัน มีกำรเรยี งลำดบั ของยนี บนโครโมโซมเหมอื นกนั เรียกว่ำ ฮอมอโลกสั โครโมโซม ยนี หนงึ่ ท่อี ยบู่ นคู่ ฮอมอโลกัสโครโมโซมอำจมรี ูปแบบแตกต่ำงกัน เรียกแต่ละรูปแบบของยนี ที่ต่ำงกันนี้วำ่ แอลลลี ซึ่ง กำรเขำ้ คูก่ นั ของแอลลีลตำ่ ง ๆ อำจสง่ ผลทำให้ สง่ิ มีชวี ติ มลี ักษณะที่แตกตำ่ งกันได้ สงิ่ มีชีวิตแตล่ ะชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงท่ี มนุษย์ มจี ำนวนโครโมโซม ๒๓ คู่ เป็นออโตโซม ๒๒ คู่ และ โครโมโซมเพศ ๑ คู่ เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเป็น XX เพศชำยมโี ครโมโซมเพศเปน็ XY
๓๗ ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๒. อธิบำยกำรถ่ำยทอดลกั ษณะทำงพนั ธกุ รรม เมนเดลได้ศึกษำกำรถำ่ ยทอดลักษณะทำงพันธุกรรม จำกกำรผสมโดยพจิ ำรณำลักษณะเดยี วที่ ของต้นถ่วั ชนิดหนง่ึ และนำมำสหู่ ลักกำรพน้ื ฐำนของ แอลลีลเด่นขม่ แอลลีลด้อยอย่ำงสมบูรณ์ กำรถำ่ ยทอดลักษณะทำงพนั ธุกรรมของสิ่งมีชวี ติ ๓. อธิบำยกำรเกดิ จโี นไทป์และฟโี นไทปข์ องลูก สงิ่ มีชวี ิตทีม่ โี ครโมโซมเปน็ ๒ ชดุ ยีนแต่ละตำแหนง่ และคำนวณอตั รำส่วนกำรเกิดจโี นไทป์ บนฮอมอโลกสั โครโมโซมมี ๒ แอลลลี โดยแอลลลี และฟีโนไทป์ของรุ่นลกู หน่งึ มำจำกพ่อ และอีกแอลลีลมำจำกแม่ ซึ่งอำจมี รูปแบบเดียวกัน หรือแตกต่ำงกนั แอลลีลท่ีแตกต่ำงกันนี้ แอลลีลหน่ึงอำจมีกำรแสดงออกข่มอีกแอลลลี หน่ึงได้ เรยี กแอลลลี น้นั ว่ำเปน็ แอลลีลเด่น ส่วนแอลลลี ทถ่ี ูกข่ม อย่ำงสมบูรณ์เรียกวำ่ เป็นแอลลีลด้อย อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ เมื่อมีกำรสร้ำงเซลลส์ บื พันธุ์ แอลลลี ทเ่ี ป็นคู่กนั ในแต่ละฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจำกกนั ไปส่เู ซลล์ สบื พันธุแ์ ต่ละเซลล์ โดยแตล่ ะเซลลส์ ืบพนั ธ์จุ ะได้รับ เพียง ๑ แอลลีล และจะมำเข้ำคู่กับแอลลลี ทต่ี ำแหน่ง เดยี วกันของอีกเซลล์สืบพนั ธ์ุหน่งึ เมอื่ เกดิ กำรปฏสิ นธิ จนเกดิ เปน็ จโี นไทป์และแสดงฟีโนไทป์ในรุ่นลูก ๔. อธิบำยควำมแตกต่ำงของกำรแบ่งเซลล์แบบ กระบวนกำรแบ่งเซลล์ของสง่ิ มชี วี ติ มี ๒ แบบ คือ ไมโทซิสและไมโอซิส ไมโทซสิ และ ไมโอซสิ ไมโทซิส เปน็ กำรแบง่ เซลล์เพอ่ื เพ่ิมจำนวนเซลล์ ร่ำงกำย ผลจำกกำรแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ ๒ เซลลท์ มี่ ี ลกั ษณะและจำนวนโครโมโซมเหมอื นเซลลต์ ั้งตน้ ไมโอซสิ เป็นกำรแบ่งเซลล์เพอื่ สรำ้ งเซลลส์ ืบพันธุ์ ผลจำกกำรแบง่ จะได้เซลล์ใหม่ ๔ เซลลท์ มี่ จี ำนวน โครโมโซมเป็นครง่ึ หนงึ่ ของเซลลต์ ัง้ ต้น เม่อื เกิด กำรปฏสิ นธิของเซลลส์ บื พนั ธ์ุ ลกู จะได้รบั กำรถ่ำยทอด โครโมโซมชดุ หน่งึ จำกพ่อและอกี ชุดหน่ึงจำกแม่ จึงเปน็ ผลใหร้ ่นุ ลกู มีจำนวนโครโมโซมเท่ำกับร่นุ พ่อแม่ และจะคงท่ใี นทุก ๆ ร่นุ ๕. บอกไดว้ ำ่ กำรเปลยี่ นแปลงของยีน หรอื กำรเปลี่ยนแปลงของยนี หรือโครโมโซม ส่งผลให้ โครโมโซมอำจทำใหเ้ กดิ โรคทำงพนั ธุกรรม เกิดกำรเปล่ยี นแปลงลักษณะทำงพันธกุ รรมของ พรอ้ มทง้ั ยกตัวอยำ่ งโรคทำงพันธุกรรม สิง่ มีชวี ติ เชน่ โรคธำลัสซีเมยี เกดิ จำกกำรเปลี่ยนแปลง
๓๘ ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๖. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของควำมรู้เรอ่ื งโรค ของยีน กล่มุ อำกำรดำวนเ์ กิดจำกกำรเปลย่ี นแปลง ทำงพันธกุ รรม โดยร้วู ำ่ ก่อนแต่งงำนควร จำนวนโครโมโซม ปรกึ ษำแพทย์เพื่อตรวจและวินจิ ฉัยภำวะเสย่ี ง โรคทำงพันธกุ รรมสำมำรถถ่ำยทอดจำกพ่อแม่ไปสู่ ของลูกทอ่ี ำจเกิดโรคทำงพนั ธุกรรม ลกู ได้ ดงั นนั้ ก่อนแตง่ งำนและมบี ตุ รจงึ ควรปอ้ งกนั โดยกำรตรวจและวินิจฉยั ภำวะเสี่ยงจำกกำรถำ่ ยทอด โรคทำงพันธกุ รรม ๗. อธิบำยกำรใช้ประโยชน์จำกสิ่งมีชวี ิตดัดแปร มนุษย์เปลยี่ นแปลงพนั ธกุ รรมของส่งิ มชี ีวิตตำม พนั ธุกรรมและผลกระทบท่ีอำจมีตอ่ มนุษย์และ ธรรมชำติ เพือ่ ให้ได้สิง่ มชี วี ติ ที่มลี ักษณะตำมตอ้ งกำร สิง่ แวดล้อม โดยใชข้ ้อมลู ที่รวบรวมได้ เรยี กสง่ิ มีชีวติ น้วี ่ำ สิ่งมชี วี ิตดดั แปรพันธกุ รรม ๘. ตระหนักถึงประโยชนแ์ ละผลกระทบของ ในปัจจุบนั มนษุ ย์มีกำรใชป้ ระโยชน์จำกส่ิงมชี ีวติ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ส่งิ มีชวี ิตดดั แปรพันธุกรรมทอ่ี ำจมีต่อมนุษย์ ดดั แปรพนั ธุกรรมเป็นจำนวนมำก เช่น กำรผลติ และสิง่ แวดลอ้ ม โดยกำรเผยแพร่ควำมร้ทู ี่ได้ อำหำร กำรผลติ ยำรกั ษำโรค กำรเกษตร อย่ำงไรกด็ ี จำกกำรโต้แย้งทำงวทิ ยำศำสตร์ซึง่ มขี ้อมูล สังคมยงั มีควำมกังวลเกย่ี วกบั ผลกระทบของสิ่งมีชีวิต สนับสนนุ ดัดแปรพันธกุ รรมที่มตี ่อสิง่ มชี ีวิตและสงิ่ แวดล้อม ซง่ึ ยังทำกำรติดตำมศกึ ษำผลกระทบดงั กลำ่ ว ๙. เปรยี บเทียบควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพ ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพ มี ๓ ระดับ ได้แก่ ในระดับชนดิ สงิ่ มีชวี ติ ในระบบนิเวศต่ำง ๆ ควำมหลำกหลำยของระบบนิเวศ ควำมหลำกหลำย ๑๐. อธิบำยควำมสำคญั ของควำมหลำกหลำย ของชนิดสิง่ มชี ีวติ และควำมหลำกหลำยทำงพันธกุ รรม ทำงชวี ภำพที่มตี ่อกำรรักษำสมดุลของระบบ ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพนม้ี คี วำมสำคญั ต่อ นเิ วศ และต่อมนษุ ย์ กำรรกั ษำสมดุลของระบบนิเวศ ระบบนิเวศที่มี ๑๑. แสดงควำมตระหนกั ในคุณคำ่ และ ควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพสงู จะรักษำสมดลุ ไดด้ ีกวำ่ ควำมสำคญั ของควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพ ระบบนิเวศทม่ี ีควำมหลำกหลำยทำงชวี ภำพต่ำกวำ่ โดยมสี ่วนรว่ มในกำรดแู ลรักษำควำมหลำกหลำย นอกจำกนีค้ วำมหลำกหลำยทำงชีวภำพยงั มี ทำงชวี ภำพ ควำมสำคญั ต่อมนุษยใ์ นด้ำนต่ำง ๆ เชน่ ใช้เป็นอำหำร ยำรกั ษำโรค วตั ถดุ ิบในอุตสำหกรรมตำ่ ง ๆ ดงั นั้น จงึ เป็นหน้ำท่ีของทุกคนในกำรดแู ลรกั ษำ ควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพให้คงอยู่ ม.๔ ๑. อธบิ ำยควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงยนี ดีเอ็นเอ มโี ครงสรำ้ งประกอบดว้ ยนิวคลีโอไทด์ กำรสังเครำะหโ์ ปรตีน และลักษณะทำงพนั ธุกรรม มำเรียงต่อกัน โดยยีนเปน็ ชว่ งของสำยดีเอ็นเอที่มีลำดบั นิวคลีโอไทด์ที่กำหนดลกั ษณะของโปรตนี ที่สงั เครำะห์ ข้นึ ซ่งึ ส่งผลใหเ้ กดิ ลักษณะทำงพันธุกรรมต่ำง ๆ
๓๙ ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๒. อธบิ ำยหลักกำรถ่ำยทอดลักษณะที่ถูก ลกั ษณะบำงลักษณะมโี อกำสพบในเพศชำยและ ควบคมุ ด้วยยนี ท่ีอย่บู นโครโมโซมเพศและ เพศหญิงไมเ่ ท่ำกัน เชน่ ตำบอดสแี ละฮีโมฟเี ลยี มลั ติเปิลแอลลีล ซึ่งควบคมุ โดยยนี บนโครโมโซมเพศ บำงลกั ษณะ มกี ำรควบคุมโดยยีนแบบมลั ติเปิลแอลลีล เช่น หมูเ่ ลอื ดระบบ ABO ซ่ึงกำรถ่ำยทอดลักษณะ ทำงพันธุกรรมดังกล่ำวจดั เป็นส่วนขยำยของ พนั ธศุ ำสตร์เมนเดล ๓. อธบิ ำยผลที่เกิดจำกกำรเปล่ยี นแปลงลำดบั มวิ เทชนั ทเ่ี ปลย่ี นแปลงลำดับนิวคลีโอไทด์ หรอื นวิ คลีโอไทด์ในดีเอ็นเอต่อกำรแสดงลักษณะ เปล่ียนแปลงโครงสรำ้ ง หรอื จำนวนโครโมโซม อำจ ของสิง่ มชี วี ติ ส่งผลทำให้ลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ติ เปลีย่ นแปลงไปจำก ๔. สบื คน้ ข้อมูลและยกตวั อย่ำงกำรนำ เดิม ซงึ่ อำจมผี ลดหี รอื ผลเสยี มวิ เทชนั ไปใชป้ ระโยชน์ มนุษย์ใช้หลกั กำรของกำรเกิดมวิ เทชันในกำรชักนำ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ใหไ้ ดส้ งิ่ มชี วี ิตท่มี ลี ักษณะท่ีแตกตำ่ งจำกเดิม โดย กำรใชร้ งั สีและสำรเคมตี ่ำง ๆ ๕. สืบคน้ ข้อมลู และอภิปรำยผลของเทคโนโลยี มนษุ ยน์ ำควำมร้เู ทคโนโลยีทำงดีเอน็ เอมำประยุกต์ ทำงดเี อน็ เอที่มตี ่อมนษุ ย์และสง่ิ แวดลอ้ ม ใช้ทำงด้ำนกำรแพทย์และเภสัชกรรม เชน่ กำรสรำ้ ง สิ่งมีชวี ิตดดั แปรพันธุกรรม เพ่ือผลิตยำและวัคซนี ด้ำนกำรเกษตร เช่น พชื ดดั แปรพันธกุ รรมที่ต้ำนทำน โรคหรือแมลง สัตว์ดัดแปรพนั ธกุ รรมท่ีมลี ักษณะตำมที่ ต้องกำร และดำ้ นนติ วิ ทิ ยำศำสตร์ เชน่ กำรตรวจ ลำยพิมพ์ดเี อน็ เอ เพ่ือหำควำมสมั พนั ธท์ ำงสำยเลือด หรอื เพื่อหำผ้กู ระทำผดิ - กำรใช้เทคโนโลยที ำงดเี อ็นเอในด้ำนตำ่ ง ๆ ต้อง คำนงึ ถึงควำมปลอดภัยทำงชีวภำพ ชีวจรยิ ธรรม และ ผลกระทบทำงดำ้ นสังคม ๖. สืบค้นข้อมลู อธบิ ำย และยกตัวอย่ำง - สง่ิ มีชวี ิตที่มอี ยใู่ นปจั จุบันมีลกั ษณะที่ปรำกฏใหเ้ ห็น ควำมหลำกหลำยของส่ิงมชี ีวิตซ่ึงเปน็ ผลมำจำก แตกต่ำงกนั ซ่ึงเปน็ ผลมำจำกควำมหลำกหลำยของ วิวฒั นำกำร ลกั ษณะทำงพนั ธุกรรม ซ่ึงเกดิ จำกมิวเทชันร่วมกับ กำรคดั เลือกโดยธรรมชำติ - ผลจำกกระบวนกำรคัดเลือกโดยธรรมชำติ ทำให้ สง่ิ มีชวี ติ ท่มี ีลกั ษณะเหมำะสมในกำรดำรงชวี ติ สำมำรถปรบั ตัวให้อยูร่ อดไดใ้ นสิง่ แวดลอ้ มนนั้ ๆ
๔๐ ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง - กระบวนกำรคัดเลือกโดยธรรมชำตเิ ปน็ หลกั กำร ที่สำคัญอย่ำงหนง่ึ ท่ีทำใหเ้ กิดววิ ัฒนำกำรของสิ่งมชี ีวติ ม.๕ - - ม.๖ - - หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๑.๑ – ว ๑.๓ สำหรับผู้เรียนในระดับช้ันประถมศกึ ษำปที ี่ ๑ ถึงระดับชั้นมธั ยมศกึ ษำปีที่ ๓ และผเู้ รยี นในระดับช้นั มัธยมศกึ ษำปที ่ี ๔ – ๖ ทไี่ มเ่ น้นวทิ ยำศำสตร์ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ
๔๑ สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัตขิ องสสารกบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหน่ยี วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลง สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ชัน้ ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. อธบิ ำยสมบัติทสี่ งั เกตได้ของวสั ดุท่ใี ชท้ ำวตั ถุ วัสดุท่ีใช้ทำวัตถุทเี่ ปน็ ของเล่น ของใช้ มีหลำยชนิด ซงึ่ ทำจำกวสั ดุชนดิ เดยี ว หรอื หลำยชนิด เชน่ ผำ้ แก้ว พลำสตกิ ยำง ไม้ อิฐ หิน กระดำษ ประกอบกนั โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์ โลหะ วสั ดุแตล่ ะชนดิ มสี มบัติทสี่ ังเกตได้ตำ่ ง ๆ เช่น ๒. ระบุชนิดของวัสดุและจัดกลมุ่ วัสดุตำมสมบตั ิ สี นุ่ม แขง็ ขรุขระ เรียบ ใส ขุ่น ยดื หดได้ บดิ งอได้ ทีส่ งั เกตได้ สมบัติทสี่ ังเกตได้ของวสั ดุแต่ชนิดอำจเหมือนกัน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ซ่ึงสำมำรถนำมำใชเ้ ป็นเกณฑ์ในกำรจัดกลุ่มวสั ดุได้ วัสดุบำงอยำ่ งสำมำรถนำมำประกอบกันเพ่อื ทำเป็น วตั ถตุ ำ่ ง ๆ เชน่ ผ้ำและกระดุม ใชท้ ำเสอื้ ไม้และโลหะ ใชท้ ำกระทะ ป.๒ ๑. เปรียบเทยี บสมบัตกิ ำรดูดซบั นำ้ ของวสั ดุ วสั ดุแต่ละชนิดมีสมบตั ิกำรดดู ซับน้ำแตกต่ำงกัน โดยใชห้ ลกั ฐำนเชงิ ประจกั ษ์ และระบกุ ำรนำ จึงนำไปทำวตั ถเุ พื่อใช้ประโยชน์ไดแ้ ตกตำ่ งกนั เช่น สมบตั ิกำรดดู ซับน้ำของวสั ดไุ ปประยุกต์ใช้ ใช้ผำ้ ทด่ี ดู ซบั น้ำได้มำกทำผำ้ เช็ดตวั ใช้พลำสติก ในกำรทำวัตถุในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่ดูดซบั น้ำทำร่ม ๒. อธบิ ำยสมบัตทิ ส่ี ังเกตได้ของวสั ดุท่ีเกดิ จำก วัสดุบำงอย่ำงสำมำรถนำมำผสมกันซึ่งทำให้ได้ กำรนำวัสดุมำผสมกัน โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์ สมบัติท่ีเหมำะสมเพ่อื นำไปใช้ประโยชน์ตำมตอ้ งกำร เชน่ แป้งผสมน้ำตำลและน้ำกะทิ ใชท้ ำขนมไทย ปูนปลำสเตอรผ์ สมเยือ่ กระดำษใช้ทำกระปุกออมสนิ ปูนผสมหิน ทรำย และน้ำใชท้ ำคอนกรตี ๓. เปรียบเทยี บสมบัติท่ีสงั เกตไดข้ องวัสดุ กำรนำวัสดมุ ำทำเป็นวตั ถใุ นกำรใชง้ ำน เพ่อื นำมำทำเปน็ วัตถใุ นกำรใชง้ ำนตำมวัตถปุ ระสงค์ ตำมวตั ถุประสงค์ขน้ึ อยกู่ บั สมบตั ขิ องวัสดุ วสั ดุที่ใช้ และอธบิ ำยกำรนำวสั ดทุ ี่ใชแ้ ล้วกลบั มำใช้ใหม่ แลว้ อำจนำกลบั มำใชใ้ หม่ได้ เชน่ กระดำษใชแ้ ลว้ โดยใช้หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ อำจนำมำทำเป็นจรวดกระดำษ ดอกไมป้ ระดิษฐ์ ๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของกำรนำวสั ดุทีใ่ ช้ ถงุ ใสข่ อง แลว้ กลับมำใช้ใหม่ โดยกำรนำวสั ดุท่ใี ช้แลว้ กลบั มำใช้ใหม่
๔๒ ชนั้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๓ ๑. อธิบำยว่ำวตั ถุประกอบขนึ้ จำกช้ินส่วนย่อย ๆ วตั ถุอำจทำจำกชิ้นสว่ นย่อย ๆ ซงึ่ แต่ละช้นิ มี ซึง่ สำมำรถแยกออกจำกกนั ได้และประกอบกัน ลกั ษณะเหมือนกันมำประกอบเข้ำดว้ ยกนั เม่ือแยก เป็นวัตถชุ ิน้ ใหมไ่ ด้ โดยใช้หลกั ฐำนเชงิ ประจกั ษ์ ชิน้ สว่ นย่อย ๆ แต่ละชิน้ ของวัตถอุ อกจำกกนั สำมำรถนำช้ินส่วนเหลำ่ นัน้ มำประกอบเปน็ วตั ถชุ ้ิน ใหม่ได้ เช่น กำแพงบำ้ นมีก้อนอิฐหลำย ๆ ก้อน ประกอบเขำ้ ดว้ ยกนั และสำมำรถนำก้อนอิฐจำก กำแพงบ้ำนมำประกอบเปน็ พ้ืนทำงเดินได้ ๒. อธบิ ำยกำรเปลยี่ นแปลงของวสั ดุเมอื่ ทำให้ เมอื่ ให้ควำมร้อนหรือทำให้วัสดรุ อ้ นขึน้ และเมื่อ รอ้ นข้นึ หรอื ทำให้เย็นลง โดยใชห้ ลกั ฐำนเชงิ ลดควำมรอ้ นหรือทำให้วัสดุเย็นลง วัสดุจะเกดิ ประจกั ษ์ กำรเปลีย่ นแปลงได้ เช่น สเี ปล่ียน รูปร่ำงเปลี่ยน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ป.๔ ๑. เปรียบเทียบสมบัติทำงกำยภำพดำ้ นควำมแข็ง วัสดุแต่ละชนิดมสี มบัตทิ ำงกำยภำพแตกต่ำงกัน สภำพยืดหยนุ่ กำรนำควำมร้อน และกำรนำ วสั ดทุ ี่มีควำมแข็งจะทนต่อแรงขดู ขดี วสั ดทุ ่มี ีสภำพ ไฟฟ้ำของวสั ดโุ ดยใชห้ ลกั ฐำนเชิงประจกั ษ์จำก ยืดหยนุ่ จะเปล่ยี นแปลงรูปรำ่ งเม่ือมีแรงมำกระทำ กำรทดลองและระบุกำรนำสมบัตเิ ร่อื งควำมแขง็ และกลบั สภำพเดิมได้ วัสดุท่ีนำควำมรอ้ นจะรอ้ นได้ สภำพยดื หยนุ่ กำรนำควำมร้อน และกำรนำ เร็วเมือ่ ได้รับควำมร้อน และวัสดทุ ีน่ ำไฟฟ้ำได้ จะให้ ไฟฟำ้ ของวสั ดไุ ปใชใ้ นชวี ิตประจำวัน ผำ่ น กระแสไฟฟำ้ ไหลผำ่ นได้ ดังนั้นจงึ อำจนำสมบตั ติ ่ำง ๆ กระบวนกำรออกแบบชนิ้ งำน มำพจิ ำรณำเพ่ือใช้ในกระบวนกำรออกแบบช้นิ งำน ๒. แลกเปลย่ี นควำมคดิ กบั ผู้อ่ืนโดยกำรอภปิ รำย เพอื่ ใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวัน เก่ียวกับสมบตั ิทำงกำยภำพของวัสดอุ ย่ำงมี เหตุผลจำกกำรทดลอง ๓. เปรียบเทียบสมบตั ขิ องสสำรทัง้ ๓ สถำนะ วสั ดุเป็นสสำรเพรำะมีมวลและต้องกำรท่ีอยู่ สสำร จำกข้อมลู ที่ไดจ้ ำกกำรสังเกต มวล กำรต้องกำร มีสถำนะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแกส๊ ของแข็ง ที่อยู่ รปู ร่ำงและปรมิ ำตรของสสำร มปี ริมำตรและรปู ร่ำงคงท่ี ของเหลวมีปรมิ ำตรคงท่ี ๔. ใชเ้ คร่อื งมอื เพื่อวดั มวล และปรมิ ำตรของ แต่มรี ูปร่ำงเปล่ยี นไปตำมภำชนะเฉพำะส่วนที่บรรจุ สสำรทง้ั ๓ สถำนะ ของเหลว สว่ นแก๊สมีปรมิ ำตรและรปู ร่ำงเปลยี่ นไป ตำมภำชนะทบ่ี รรจุ ป.๕ ๑. อธิบำยกำรเปลย่ี นสถำนะของสสำร กำรเปล่ยี นสถำนะของสสำรเปน็ กำรเปลีย่ นแปลง เมอื่ ทำให้สสำรร้อนขึน้ หรือเย็นลง โดยใช้ ทำงกำยภำพ เม่ือเพิ่มควำมร้อนใหก้ บั สสำรถึงระดบั หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ หนึ่งจะทำใหส้ สำรทีเ่ ปน็ ของแขง็ เปลยี่ นสถำนะเป็น ของเหลว เรยี กว่ำ กำรหลอมเหลว และเมอื่ เพม่ิ ควำมร้อนต่อไปจนถึงอีกระดับหนึง่ ของเหลวจะ เปลย่ี นเป็นแกส๊ เรียกวำ่ กำรกลำยเปน็ ไอ แต่เมื่อลด
๔๓ ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ควำมร้อนลงถึงระดับหนึ่งแก๊สจะเปล่ียนสถำนะเป็น ของเหลว เรียกวำ่ กำรควบแนน่ และถ้ำลดควำมรอ้ น ต่อไปอีกจนถงึ ระดับหนึ่งของเหลวจะเปล่ียนสถำนะ เป็นของแข็ง เรยี กว่ำ กำรแข็งตวั สสำรบำงชนิด สำมำรถเปล่ียนสถำนะจำกของแขง็ เปน็ แกส๊ โดยไม่ผ่ำน กำรเป็น ของเหลว เรยี กวำ่ กำรระเหดิ สว่ นแก๊สบำง ชนิดสำมำรถเปล่ยี นสถำนะเป็นของแข็งโดยไม่ผ่ำน กำรเป็นของเหลว เรยี กวำ่ กำรระเหดิ กลบั ๒. อธิบำยกำรละลำยของสำรในนำ้ โดยใช้ เมอื่ ใส่สำรลงในน้ำแล้วสำรนน้ั รวมเป็นเนอื้ เดยี วกนั หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ กบั นำ้ ทั่วทุกสว่ น แสดงวำ่ สำรเกดิ กำรละลำย เรียก อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สำรผสมท่ีไดว้ ำ่ สำรละลำย ๓. วิเครำะหก์ ำรเปลี่ยนแปลงของสำร เมอ่ื ผสมสำร ๒ ชนดิ ขึ้นไปแลว้ มีสำรใหม่เกดิ ขึน้ เมอ่ื เกิดกำรเปลย่ี นแปลงทำงเคมี โดยใช้ ซึง่ มีสมบตั ิต่ำงจำกสำรเดิม หรอื เม่ือสำรชนิดเดยี ว หลักฐำนเชิงประจักษ์ เกดิ กำรเปลย่ี นแปลงแลว้ มสี ำรใหมเ่ กดิ ขึ้น กำรเปลี่ยนแปลงนี้เรยี กว่ำ กำรเปล่ียนแปลงทำงเคมี ซง่ึ สงั เกตไดจ้ ำกมสี ี หรือกล่นิ ต่ำงจำกสำรเดมิ หรือ มฟี องแกส๊ หรือมตี ะกอนเกดิ ขน้ึ หรือมกี ำรเพ่ิมขึ้น หรอื ลดลงของอุณหภมู ิ ๔. วิเครำะห์และระบุกำรเปล่ียนแปลงทีผ่ ันกลับได้ เม่อื สำรเกิดกำรเปลยี่ นแปลงแล้ว สำรสำมำรถ และกำรเปลยี่ นแปลงทีผ่ ันกลับไมไ่ ด้ เปล่ียนกลบั เป็นสำรเดมิ ได้ เปน็ กำรเปลี่ยนแปลงท่ผี ัน กลับได้ เช่น กำรหลอมเหลว กำรกลำยเป็นไอ กำรละลำย แตส่ ำรบำงอยำ่ งเกดิ กำรเปล่ียนแปลง แล้วไมส่ ำมำรถเปลี่ยนกลบั เป็นสำรเดมิ ได้ เปน็ กำร เปลีย่ นแปลงท่ผี ันกลับไมไ่ ด้ เชน่ กำรเผำไหม้ กำรเกดิ สนิม ป.๖ ๑. อธบิ ำยและเปรียบเทยี บกำรแยกสำรผสม สำรผสมประกอบดว้ ยสำรต้ังแต่ ๒ ชนิดข้นึ ไปผสมกัน โดยกำรหยิบออก กำรร่อน กำรใชแ้ ม่เหลก็ ดึงดูด เชน่ นำ้ มนั ผสมน้ำ ขำ้ วสำรปนกรวดทรำย วิธีกำร กำรรนิ ออก กำรกรอง และกำรตกตะกอน ทเ่ี หมำะสมในกำรแยกสำรผสมขนึ้ อยู่กบั ลกั ษณะและ โดยใช้หลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์ รวมทง้ั ระบวุ ธิ ี สมบตั ขิ องสำรท่ผี สมกันถ้ำองคป์ ระกอบของสำรผสม แกป้ ัญหำในชวี ติ ประจำวันเกี่ยวกบั กำรแยกสำร เปน็ ของแขง็ กบั ของแข็งท่ีมขี นำดแตกตำ่ งกนั อยำ่ ง ชดั เจน อำจใชว้ ิธีกำรหยิบออกหรอื กำรรอ่ นผำ่ นวัสดุ ท่ีมรี ู ถำ้ มสี ำรใดสำรหนงึ่ เป็นสำรแม่เหล็กอำจใช้วิธี กำรใชแ้ มเ่ หล็กดึงดูด ถำ้ องค์ประกอบเปน็ ของแข็ง
๔๔ ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ทีไ่ มล่ ะลำยในของเหลว อำจใชว้ ิธีกำรรนิ ออก กำรกรอง หรอื กำรตกตะกอน ซึ่งวธิ กี ำรแยกสำรสำมำรถนำไปใช้ ประโยชน์ในชวี ิตประจำวนั ได้ ม.๑ ๑. อธบิ ำยสมบตั ทิ ำงกำยภำพบำงประกำรของ ธำตแุ ต่ละชนดิ มีสมบัตเิ ฉพำะตวั และมสี มบัติ ธำตุโลหะ อโลหะ และกึง่ โลหะ โดยใชห้ ลักฐำน ทำงกำยภำพบำงประกำรเหมือนกันและบำงประกำร เชงิ ประจกั ษ์ท่ีไดจ้ ำกกำรสงั เกตและ ต่ำงกัน ซ่ึงสำมำรถนำมำจัดกล่มุ ธำตุเป็นโลหะ อโลหะ กำรทดสอบ และใช้สำรสนเทศท่ไี ดจ้ ำก และกงึ่ โลหะ ธำตุโลหะมีจดุ เดือด จุดหลอมเหลวสงู แหล่งข้อมลู ตำ่ ง ๆ รวมทง้ั จัดกลุ่มธำตุเป็นโลหะ มผี วิ มนั วำว นำควำมรอ้ นนำไฟฟำ้ ดึงเป็นเส้น หรือตี อโลหะ และกึ่งโลหะ เป็นแผน่ บำง ๆ ได้ และมคี วำมหนำแน่นทั้งสูงและต่ำ ธำตอุ โลหะ มจี ดุ เดือด จดุ หลอมเหลวตำ่ มีผวิ ไม่มัน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ วำว ไม่นำควำมร้อน ไมน่ ำไฟฟ้ำ เปรำะแตกหักง่ำย และมีควำมหนำแน่นตำ่ ธำตุก่ึงโลหะมีสมบตั ิ บำงประกำรเหมือนโลหะ และสมบัติบำงประกำร เหมอื นอโลหะ ๒. วเิ ครำะห์ผลจำกกำรใชธ้ ำตโุ ลหะ อโลหะ ธำตโุ ลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ท่ีสำมำรถแผ่รังสีได้ กึ่งโลหะ และธำตุกมั มันตรงั สี ทมี่ ีตอ่ สงิ่ มชี วี ติ จัดเป็นธำตุกัมมันตรังสี ส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคม จำกข้อมลู ท่ี รวบรวมได้ ธำตุมีทัง้ ประโยชนแ์ ละโทษ กำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ ๓. ตระหนกั ถึงคุณคำ่ ของกำรใชธ้ ำตุโลหะ กึง่ โลหะ ธำตุกมั มันตรงั สี ควรคำนงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ อโลหะ ก่งึ โลหะ ธำตุกัมมนั ตรังสี โดยเสนอ สง่ิ มีชวี ิต สิ่งแวดลอ้ ม เศรษฐกิจและสงั คม แนวทำงกำรใช้ธำตุอยำ่ งปลอดภยั คุ้มค่ำ ๔. เปรียบเทยี บจุดเดือด จดุ หลอมเหลวของ สำรบรสิ ทุ ธิป์ ระกอบด้วยสำรเพียงชนดิ เดียว สำรบรสิ ุทธแ์ิ ละสำรผสม โดยกำรวัดอณุ หภมู ิ สว่ นสำรผสมประกอบดว้ ยสำรตง้ั แต่ ๒ ชนิดขึ้นไป เขยี นกรำฟ แปลควำมหมำยข้อมลู จำกกรำฟ สำรบรสิ ทุ ธิแ์ ตล่ ะชนิดมีสมบัติบำงประกำรทเี่ ปน็ หรือสำรสนเทศ คำ่ เฉพำะตวั เชน่ จดุ เดอื ดและจดุ หลอมเหลวคงท่ี แต่สำรผสมมีจดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวไม่คงที่ ขน้ึ อยกู่ ับชนิดและสัดสว่ นของสำรทผ่ี สมอยดู่ ว้ ยกนั ๕. อธบิ ำยและเปรยี บเทยี บควำมหนำแน่น สำรบรสิ ุทธิ์แต่ละชนิดมคี วำมหนำแน่น หรือมวลต่อ ของสำรบรสิ ทุ ธแิ์ ละสำรผสม หนง่ึ หนว่ ยปรมิ ำตรคงที่ เปน็ ค่ำเฉพำะของสำรนน้ั ณ ๖. ใชเ้ ครอ่ื งมอื เพ่ือวดั มวลและปรมิ ำตรของ สถำนะและอุณหภมู หิ นึง่ แต่สำรผสมมีควำมหนำแน่น สำรบรสิ ุทธิ์และสำรผสม ไม่คงทข่ี ึน้ อย่กู บั ชนดิ และสดั ส่วนของสำรท่ผี สมอยู่ ด้วยกัน
๔๕ ช้ัน ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๗. อธิบำยเกี่ยวกบั ควำมสัมพันธร์ ะหว่ำง อะตอม ธำตุ และสำรประกอบ โดยใช้ สำรบริสุทธแ์ิ บ่งออกเปน็ ธำตุและสำรประกอบ แบบจำลองและสำรสนเทศ ธำตปุ ระกอบดว้ ยอนภุ ำคท่เี ล็กท่ีสุดทีย่ งั แสดงสมบตั ิ ของธำตนุ ้ันเรียกวำ่ อะตอม ธำตแุ ตล่ ะชนิด ประกอบด้วยอะตอมเพยี งชนิดเดียวและไมส่ ำมำรถ แยกสลำยเปน็ สำรอ่นื ไดด้ ว้ ยวิธที ำงเคมี ธำตุเขียนแทน ด้วยสัญลักษณ์ธำตุ สำรประกอบเกิดจำกอะตอมของ ธำตตุ ้ังแต่ ๒ ชนดิ ข้ึนไปรวมตัวกนั ทำงเคมใี นอัตรำส่วน คงที่ มีสมบัติแตกต่ำงจำกธำตุทเี่ ปน็ องค์ประกอบ สำมำรถแยกเปน็ ธำตไุ ดด้ ้วยวิธที ำงเคมี ธำตแุ ละ สำรประกอบสำมำรถเขียนแทนไดด้ ้วยสูตรเคมี อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๘. อธิบำยโครงสรำ้ งอะตอมที่ประกอบด้วย อะตอมประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และ โปรตอน นิวตรอน และอเิ ลก็ ตรอน โดยใช้ อเิ ลก็ ตรอน โปรตอนมีประจุไฟฟ้ำบวก ธำตชุ นดิ แบบจำลอง เดียวกันมีจำนวนโปรตอนเท่ำกนั และเป็นคำ่ เฉพำะ ของธำตุน้ัน นวิ ตรอนเป็นกลำงทำงไฟฟำ้ สว่ น อเิ ล็กตรอนมปี ระจุไฟฟำ้ ลบ เมอ่ื อะตอมมจี ำนวน โปรตอนเทำ่ กบั จำนวนอเิ ลก็ ตรอน จะเป็นกลำง ทำงไฟฟ้ำ โปรตอนและนวิ ตรอนรวมกันตรงกลำง อะตอมเรียกวำ่ นิวเคลียส สว่ นอเิ ลก็ ตรอนเคลื่อนท่ี อยู่ในทว่ี ่ำงรอบนวิ เคลยี ส ๙. อธิบำยและเปรยี บเทยี บกำรจัดเรียงอนภุ ำค สสำรทุกชนดิ ประกอบดว้ ยอนภุ ำค โดยสำรชนดิ แรงยึดเหนย่ี วระหว่ำงอนุภำค และกำรเคล่ือนท่ี เดยี วกนั ท่มี สี ถำนะของแข็ง ของเหลว แก๊ส จะมี ของอนภุ ำคของสสำรชนิดเดียวกันในสถำนะ กำรจัดเรยี งอนุภำค แรงยดึ เหนย่ี วระหว่ำงอนุภำค ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจำลอง กำรเคลอ่ื นท่ีของอนภุ ำคแตกตำ่ งกัน ซง่ึ มีผลต่อ รปู รำ่ งและปรมิ ำตรของสสำร อนุภำคของของแข็งเรยี งชิดกัน มีแรงยึดเหนย่ี ว ระหว่ำงอนุภำคมำกท่ีสุด อนุภำคสน่ั อยูก่ บั ที่ ทำใหม้ ี รูปร่ำงและปริมำตรคงที่ อนุภำคของของเหลวอยู่ใกลก้ นั มีแรงยดึ เหน่ยี ว ระหวำ่ งอนุภำคน้อยกวำ่ ของแข็งแต่มำกกว่ำแกส๊ อนุภำคเคลื่อนท่ีได้แต่ไม่เปน็ อิสระเท่ำแกส๊ ทำใหม้ ี รปู ร่ำงไม่คงที่ แตป่ ริมำตรคงท่ี
๔๖ ช้นั ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง อนภุ ำคของแกส๊ อยหู่ ำ่ งกนั มำก มีแรงยึดเหนี่ยว ระหว่ำงอนุภำคน้อยทสี่ ดุ อนุภำคเคลื่อนท่ีได้อย่ำง อสิ ระทุกทิศทำง ทำใหม้ รี ปู ร่ำงและปรมิ ำตรไม่คงที่ ๑๐. อธบิ ำยควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งพลังงำน ควำมรอ้ นมผี ลต่อกำรเปลี่ยนสถำนะของสสำร ควำมร้อนกบั กำรเปล่ยี นสถำนะของสสำร โดย เมอื่ ให้ควำมร้อนแก่ของแข็ง อนุภำคของของแขง็ ใช้หลกั ฐำนเชงิ ประจกั ษ์และแบบจำลอง จะมพี ลังงำนและอุณหภมู ิเพ่มิ ขนึ้ จนถงึ ระดับหน่งึ ซึง่ ของแขง็ จะใช้ควำมรอ้ นในกำรเปลยี่ นสถำนะเปน็ ของเหลว เรยี กควำมร้อนท่ีใชใ้ นกำรเปลีย่ นสถำนะ จำกของแข็งเปน็ ของเหลวว่ำ ควำมรอ้ นแฝงของ กำรหลอมเหลว และอุณหภมู ิขณะเปลย่ี นสถำนะ จะคงที่ เรียกอุณหภมู ินีว้ ่ำ จุดหลอมเหลว อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ เม่ือให้ควำมรอ้ นแก่ของเหลว อนุภำคของของเหลว จะมีพลงั งำนและอุณหภมู ิเพมิ่ ขน้ึ จนถึงระดับหนง่ึ ซงึ่ ของเหลวจะใช้ควำมรอ้ นในกำรเปลีย่ นสถำนะเป็นแก๊ส เรียกควำมร้อนทใ่ี ช้ในกำรเปลี่ยนสถำนะจำกของเหลว เปน็ แก๊สวำ่ ควำมรอ้ นแฝงของกำรกลำยเปน็ ไอ และ อุณหภมู ิขณะเปลย่ี นสถำนะจะคงท่ี เรียกอุณหภมู นิ ีว้ ่ำ จุดเดอื ด เมอ่ื ทำให้อุณหภูมิของแก๊สลดลงจนถึงระดบั หนึง่ แกส๊ จะเปลย่ี นสถำนะเปน็ ของเหลว เรียกอุณหภูมิน้ี ว่ำจุดควบแน่น ซึง่ มีอุณหภูมิเดียวกับจุดเดือดของ ของเหลวน้นั เมอ่ื ทำให้อุณหภูมขิ องของเหลวลดลงจนถงึ ระดบั หนึง่ ของเหลวจะเปล่ียนสถำนะเป็นของแข็ง เรียก อุณหภูมิน้วี ำ่ จุดเยอื กแข็ง ซ่ึงมีอณุ หภูมิเดียวกบั จุดหลอมเหลวของของแข็งน้ัน ม.๒ ๑. อธิบำยกำรแยกสำรผสมโดยกำรระเหยแหง้ กำรแยกสำรผสมให้เปน็ สำรบรสิ ุทธทิ์ ำไดห้ ลำยวิธี กำรตกผลึก กำรกลั่นอย่ำงง่ำย โครมำโทกรำฟี ขึ้นอยกู่ ับสมบตั ขิ องสำรนั้น ๆ กำรระเหยแหง้ ใช้แยก แบบกระดำษ กำรสกัดดว้ ยตัวทำละลำย โดยใช้ สำรละลำยซงึ่ ประกอบดว้ ยตัวละลำยทีเ่ ปน็ ของแขง็ หลักฐำนเชงิ ประจกั ษ์ ในตัวทำละลำยท่ีเปน็ ของเหลวโดยใชค้ วำมรอ้ นระเหย ตัวทำละลำยออกไปจนหมดเหลอื แต่ตวั ละลำย กำรตกผลกึ ใชแ้ ยกสำรละลำยที่ประกอบด้วยตวั ละลำย
๔๗ ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๒. แยกสำรโดยกำรระเหยแห้ง กำรตกผลึก ทเ่ี ป็นของแข็งในตวั ทำละลำยทเี่ ป็นของเหลว โดยทำให้ กำรกลน่ั อย่ำงงำ่ ย โครมำโทกรำฟแี บบกระดำษ สำรละลำยอ่มิ ตวั แล้วปล่อยใหต้ วั ทำละลำยระเหย กำรสกัดด้วยตวั ทำละลำย ออกไปบำงส่วน ตัวละลำยจะตกผลึกแยกออกมำ กำรกล่ันอย่ำงง่ำยใช้แยกสำรสำรละลำยที่ประกอบด้วย ตัวละลำยและตวั ทำละลำยทเ่ี ป็นของเหลวท่มี ีจุดเดอื ด ตำ่ งกนั มำก วธิ ีนีจ้ ะแยกของเหลว บริสทุ ธิ์ออกจำก สำรละลำยโดยใหค้ วำมรอ้ นกับสำรละลำย ของเหลว จะเดอื ดและกลำยเปน็ ไอแยกจำกสำรละลำยแลว้ ควบแนน่ กลบั เปน็ ของเหลวอีกครงั้ ขณะทข่ี องเหลว เดอื ด อุณหภูมขิ องไอจะคงที่ โครมำโทกรำฟีแบบ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ กระดำษเป็นวิธกี ำรแยกสำรผสมท่มี ีปริมำณนอ้ ย โดยใชแ้ ยกสำรท่ีมีสมบัติกำรละลำยในตัวทำละลำย และกำรถูกดูดซับดว้ ยตวั ดูดซับแตกต่ำงกัน ทำให้ สำรแตล่ ะชนดิ เคล่อื นทไี่ ปบนตวั ดดู ซบั ไดต้ ำ่ งกัน สำรจงึ แยกออกจำกกนั ได้ อัตรำส่วนระหว่ำง ระยะทำงที่สำรองคป์ ระกอบแต่ละชนิดเคลอื่ นท่ไี ด้ บนตัวดูดซบั กบั ระยะทำงที่ตัวทำละลำยเคลอ่ื นทีไ่ ด้ ซ่งึ เป็นคำ่ เฉพำะตัวของสำรแต่ละชนิดในตัวทำละลำย และตัวดดู ซบั หนงึ่ ๆ กำรสกัดด้วยตัวทำละลำย เป็นวธิ กี ำรแยกสำรผสมที่มีสมบตั กิ ำรละลำยใน ตวั ทำละลำยท่ตี ำ่ งกัน โดยชนิดของตวั ทำละลำยมผี ล ต่อชนดิ และปริมำณของสำรที่สกัดได้ กำรสกัด โดยกำรกลนั่ ด้วยไอน้ำ ใช้แยกสำรที่ระเหยง่ำย ไมล่ ะลำยนำ้ และไมท่ ำปฏกิ ิริยำกับน้ำ ออกจำกสำร ทร่ี ะเหยยำก โดยใช้ไอนำ้ เปน็ ตัวพำ ๓. นำวิธกี ำรแยกสำรไปใชแ้ ก้ปญั หำ ควำมรดู้ ้ำนวทิ ยำศำสตรเ์ กี่ยวกับกำรแยกสำร ในชีวติ ประจำวันโดยบูรณำกำรวทิ ยำศำสตร์ บูรณำกำรกับคณิตศำสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้ คณิตศำสตร์ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศำสตร์ กระบวนกำรทำงวศิ วกรรม สำมำรถนำไปใชแ้ ก้ปัญหำ ในชวี ติ ประจำวนั หรอื ปญั หำที่พบในชมุ ชน หรอื สร้ำง นวัตกรรม โดยมีข้นั ตอน ดงั นี้
๔๘ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง - ระบุปัญหำในชวี ติ ประจำวันท่เี ก่ียวกบั กำรแยก สำรโดยใช้สมบัตทิ ำงกำยภำพ หรอื นวัตกรรมท่ี ตอ้ งกำรพัฒนำโดยใช้หลักกำรดังกลำ่ ว - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเกย่ี วกบั กำรแยกสำร โดยใชส้ มบตั ทิ ำงกำยภำพทีส่ อดคล้องกับปัญหำท่ีระบุ หรอื นำไปสูก่ ำรพัฒนำนวตั กรรมนัน้ - ออกแบบวธิ กี ำรแกป้ ญั หำ หรอื พฒั นำนวัตกรรม ที่เกย่ี วกบั กำรแยกสำรในสำรผสมโดยใช้สมบตั ิ ทำงกำยภำพโดยเช่ือมโยงควำมร้ดู ำ้ นวทิ ยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนกำรทำงวิศวกรรม อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ รวมทั้งกำหนดและควบคุมตวั แปรอย่ำงเหมำะสม ครอบคลุม - วำงแผนและดำเนินกำรแก้ปัญหำ หรือพฒั นำ นวตั กรรม รวบรวมขอ้ มูล จดั กระทำขอ้ มูลและเลือก วธิ กี ำรสื่อควำมหมำยทเี่ หมำะสมในกำรนำเสนอผล - ทดสอบ ประเมินผล ปรบั ปรงุ วธิ ีกำรแกป้ ัญหำ หรอื นวตั กรรมที่พัฒนำข้ึน โดยใช้หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ ท่ีรวบรวมได้ - นำเสนอวธิ ีกำรแกป้ ัญหำ หรอื ผลของนวัตกรรม ทพ่ี ฒั นำขนึ้ และผลทีไ่ ด้ โดยใชว้ ธิ ีกำรสอ่ื สำร ที่เหมำะสมและน่ำสนใจ ๔. ออกแบบกำรทดลองและทดลองในกำร สำรละลำยอำจมสี ถำนะเป็นของแข็ง ของเหลว อธบิ ำยผลของชนดิ ตัวละลำย ชนิดตัวทำละลำย และแก๊ส สำรละลำยประกอบดว้ ยตวั ทำละลำย และ อณุ หภูมิ ท่ีมีตอ่ สภำพละลำยไดข้ องสำร ตวั ละลำย กรณีสำรละลำยเกิดจำกสำรทม่ี สี ถำนะ รวมทั้งอธิบำยผลของควำมดันทีม่ ีตอ่ สภำพ เดียวกัน สำรทีม่ ีปริมำณมำกท่ีสดุ จัดเป็นตวั ทำละลำย ละลำยได้ของสำรโดยใชส้ ำรสนเทศ กรณีสำรละลำยเกดิ จำกสำรที่มีสถำนะต่ำงกนั สำรที่ มีสถำนะเดียวกนั กับสำรละลำยจดั เป็นตวั ทำละลำย สำรละลำยที่ตวั ละลำยไม่สำมำรถละลำย ในตัวทำละลำยไดอ้ ีกท่ีอณุ หภูมหิ นึ่ง ๆ เรียกว่ำ สำรละลำยอิ่มตวั สภำพละลำยได้ของสำรในตวั ทำละลำย เป็นคำ่ ท่ี บอกปรมิ ำณของสำรทลี่ ะลำยได้ในตวั ทำละลำย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254