Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดกิจกรรมการเรียนรู้(นักเรียน)_ป.1

ชุดกิจกรรมการเรียนรู้(นักเรียน)_ป.1

Description: ชุดกิจกรรมการเรียนรู้(นักเรียน)_ป.6-เทอม2

Search

Read the Text Version

ก หนา้ สารบญั ๒ ๔ เร่ือง ๙ ๑๗ หนว่ ยยอ่ ยที่ ๑ มงุ่ ม่ันและศรทั ธา ๓๑ แบบทดสอบก่อนเรียน ๓๗ แผนท่ี ๑ ความสาคญั ของศาสนา และศาสนาในประเทศไทย ๔๔ แผนที่ ๒ ประวัตคิ วามเป็นมาและแหล่งกาเนดิ ของศาสนาในประเทศไทย แผนที่ ๓ คัมภรี ์และหลกั ธรรมของแต่ละศาสนา แผนที่ ๔ ศาสนาและการบารุงศาสนสถาน แผนที่ ๕ สาวก ประวตั ิสาวก และการปฏิบัตติ นของสาวก แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยย่อยที่ ๒ ปฏิบัติมาเปน็ นจิ ๔๗ แบบทดสอบกอ่ นเรียน ๔๙ แผนท่ี ๑ ลกั ษณะสาคญั ของศาสนพธิ ี พิธีกรรมของศาสนาต่าง ๆ ๕๕ แผนท่ี ๒ การปฏบิ ัติตนอยา่ งเหมาะสม เม่อื เขา้ ร่วมศาสนพิธีในศาสนาพทุ ธ และศาสนาอ่นื ท่ตี นนับถอื ๕๘ แผนที่ ๓ การแสดงความเคารพพระรัตนตรยั ๖๓ แผนที่ ๔ วิธีปฏิบัติตามไตรสิกขาและหลักธรรมโอวาท ๓ ๗๑ แบบทดสอบหลังเรยี น หน่วยย่อยท่ี ๓ พาจติ แจ่มใส ๗๔ แบบทดสอบก่อนเรียน ๗๕ แผนท่ี ๑ สติสัมปชญั ญะ สมาธิ และปัญญา ๘๑ แผนท่ี ๒ การบริหารจิตและการเจรญิ ปญั ญา ๘๕ แผนที่ ๓ ประโยชน์ของการมสี ติ ๙๒ แผนท่ี ๔ สมาธใิ นการฟงั การอา่ น การคิด การถาม และการคิด ๙๕ แผนท่ี ๕ การพฒั นาจิตตามแนวทางของศาสนาท่ีตนนบั ถอื ๑๐๐ แบบทดสอบหลงั เรียน

๑ หน่วยย่อยท่ี ๓ มุ่งม่นั และศรัทธา

๒ แบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๓ เด็กไทยใฝด่ ี หน่วยยอ่ ยที่ ๑ มงุ่ มนั่ และศรทั ธา ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๖ จานวน ๑๐ ข้อ ………………………………………………………………… คาชแี้ จง นกั เรยี นเลอื กตวั เลอื กท่ีถูกตอ้ งที่สดุ เพียงคำตอบเดียว ๑. พระพทุ ธเจำ้ ทรงจำพรรษำสุดทำ้ ยทใ่ี ด ก. บ้ำนเวฬุวคำม ข. กรงุ กุสินำรำ ค. วัดเวฬวุ ัน ง. เมืองสำวตั ถี ๒. วันถวำยพระเพลิงของพระพุทธเจ้ำ เรียกวำ่ วันอะไร ก. วันมำฆบชู ำ ข. วนั วสิ ำขบูชำ ค. วันอฏั ฐมบี ูชำ ง. วันอำสำฬหบูชำ ๓. รมุ มินเด ปจั จุบันอยู่ในประเทศใด ก. อนิ เดีย ข. เนปำล ค. บังคลำเทศ ง. ศรีลังกำ ๔. ปัจจุบนั สถำนทป่ี รนิ ิพพำน ต้ังอยใู่ นสถำนทีใ่ ด ก. รฐั พิหำร ประเทศอินเดีย ข. รฐั พหิ ำร ประเทศเนปำล ค. สวนลมุ พินี ประเทศเนปำล ง. รัฐอตุ รประเทศ ประเทศอินเดยี ๕. กำรพูดบิดเบอื นจำกควำมจริง เปน็ กำรกระทำทผี่ ิดศลี ขอ้ ใด ก. ศลี ขอ้ 1 ข. ศลี ข้อ 2 ค. ศลี ข้อ 3 ง. ศีลข้อ 4 ๖. ขอ้ ใดเป็นคมั ภีร์สำคญั ของศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู ก. คัมภรี ไ์ บเบิล ข.พระไตรปิฎก ค. คมั ภีร์พระเวท ง. คมั ภีร์อลั กรุ อำน ๗. กำรประกอบพธิ ฮี ัจญ์ จดั ขน้ึ ทใ่ี ด ก. นครเมกกะ ข. เมอื งเยรูซำเลม ค. หมู่บ้ำนเบธเลเฮม ง. สหรัฐอำหรบั เอมเิ รตส์ ๘. เดอื นรอมฎอนตำมปฏิทนิ ของศำสนำอสิ ลำมจะตอ้ งปฏิบัตใิ ดข้อใด ก. กำรถือศีลอด ข. กำรละหมำด ค. กำรปฏญิ ำณตน ง. กำรบริจำคซะกำต

๙. ขอ้ ใดเป็นควำมหมำยของ ปัญญำพละ ๓ ก. กำลังควำมรกั ค. กำลังควำมเพียร ข. กำลงั ปัญญำ ง. กำลังกำรสงเครำะห์ ๑๐.จดุ มุ่งหมำยสำคัญของทกุ ศำสนำ คือขอ้ ใด ก. ใหศ้ ำสนกิ ชนหมนั่ ฝึกสมำธิ ข. เน้นกำรให้ศำสนกิ ชนบรจิ ำค ค. สอนใหศ้ ำสนกิ ชนมุ่งทำควำมดี ง. เน้นให้ศำสนกิ ชนมคี วำมรกั มอบให้แกก่ นั

๔ บ ๓.๑/ผ ๑-๐๑ ใบงานท่ี ๐๑ คาชี้แจง นักเรยี นเขยี นคำตอบลงในตำรำงใหถ้ ูกต้อง ศาสนาในประเทศไทย ความสาคญั ของศาสนา สมำชกิ กลมุ่ ชื่อ.......................................................สกลุ .................................................... เลขที่ ................ ชอ่ื .......................................................สกุล.................................................... เลขที่ ................ ชอื่ .......................................................สกลุ .................................................... เลขที่ ................ ช่ือ.......................................................สกลุ .................................................... เลขที่ ................

๕ ใบความรู้ท่ี ๐๑ ความสาคญั ของศาสนา ศำสนำนนั้ เปน็ สงิ่ ทีส่ ำคญั มำก ไม่ว่ำศำสนำใด ๆ กต็ ำม ล้วนแตม่ ีลกั ษณะรว่ มสำคญั คือ สอนคนใหเ้ ปน็ คนดี มีศลี ธรรมประจำใจ อยใู่ นสังคมไดอ้ ยำ่ งสนั ติสุข อีกท้งั ยงั เปน็ ทยี่ ึดเหน่ยี วทำง จิตใจ และมีหลกั ในกำรดำเนนิ ชวี ติ ทถ่ี ูกต้องและปลอดภัย ดังน้นั ศำสนำจึงเป็นเรอื่ งท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ชีวติ ของมนุษยท์ กุ รูปทกุ นำม ไม่วำ่ มนษุ ยจ์ ะเจรญิ หรอื ลำ้ หลงั กต็ ำม กย็ ่อมมีศำสนำประจำ บำ้ นเมอื ง ประจำหมู่คณะ หรืออยำ่ งน้อยกป็ ระจำตระกลู หรอื ครอบครวั ควำมสำคัญของศำสนำ นอกจำกท่กี ลำ่ วมำแล้วนนั้ ยังมีอีกนำนปั กำร ได้แก่ ๑. ศำสนำเป็นเครอื่ งสง่ั สอนใหม้ นุษย์ประพฤตปิ ฏบิ ตั ใิ นทำงทถ่ี กู ตอ้ งดีงำม เปน็ ประโยชน์ ตอ่ ตนเอง สังคม และประเทศชำติ ๒. ศำสนำเป็นบ่อเกดิ แห่งศีลธรรมจรรยำและขนบธรรมเนยี มประเพณีทชี่ อบ อันเปน็ เครอื่ งประกอบให้เกดิ ควำมสมัครสมำนสำมัคคี มเี อกลักษณ์ อำรยธรรม และวัฒนธรรมอนั ดงี ำม เปน็ ของตนเอง ๓. ศำสนำเปน็ เครอื่ งบำบัดทกุ ขแ์ ละบำรุงสขุ ใหแ้ ก่มนุษย์ ทัง้ ทำงด้ำนรำ่ งกำยและจิตใจ ๔. ศำสนำเปรียบเสมอื นดวงประทีปโคมไฟท่ีใหค้ วำมสวำ่ งไสวแก่เสน้ ทำงกำรดำเนินชีวติ ของมนษุ ยผ์ อู้ ำศัยอยใู่ นโลก ๕. ศำสนำช่วยทำใหช้ ีวิตครอบครัวอบอุ่น เปน็ แหล่งผลิตทรัพยำกรมนษุ ยท์ ีม่ ีคณุ คำ่ ใหแ้ ก่ สังคม ๖. ศำสนำเป็นพลงั ใจให้มนุษยส์ ำมำรถเผชิญชวี ติ ด้วยควำมกลำ้ หำญ ไมห่ ว่ันไหวตอ่ โลก ธรรม ทำใหม้ ีควำมสงบสุขและผำสกุ ในชวี ติ ๗. ศำสนำชว่ ยยกระดบั จิตใจ ทำใหเ้ ป็นผู้ควรแก่กำรเคำรพนับถอื อกี ทัง้ ยงั ชว่ ยสรำ้ ง จิตสำนึกในคณุ ค่ำของควำมเป็นมนุษยใ์ หก้ บั คนในสังคมอกี ด้วย

๖ ๘. ศำสนำช่วยสร้ำงมนุษยสัมพันธอ์ นั ดตี อ่ กัน ชว่ ยขจดั ช่องว่ำงทำงสังคม สรำ้ งควำม ไว้วำงใจซ่งึ กันและกนั ใหเ้ กดิ ขึ้น เป็นรำกฐำนแหง่ ควำมสำมัคคี กำรรว่ มแรงร่วมใจกนั พฒั นำชุมชน และสร้ำงควำมสงบสขุ ควำมมน่ั คงให้แก่ชุมชน ๙. ศำสนำชว่ ยใหม้ นุษย์ได้ประสบควำมสุขสงบและสันตสิ ขุ ขัน้ สูง จนกระท่ังบรรลถุ งึ เปำ้ หมำยสูงสดุ ของชวี ิต คือ หมดทกุ ข์โดยส้ินเชงิ ได้ ๑๐. ศำสนำเป็นมรดกลำ้ ค่ำแหง่ มนษุ ยชำติ เป็นควำมหวังและวิถที ำงสุดท้ำยแห่งควำมอยู่ รอดของมวลมนุษยชำติ ทมี่ ำ http://staykullx.wixsite.com/bhuddhism/untitled-c1v8r คุณค่าของศาสนา ศำสนำมีคุณคำ่ นำนัปกำร คณุ ค่ำของศำสนำทม่ี ีตอ่ มนุษย์เปน็ คณุ ค่ำทำงจติ ใจ อนั ถอื ว่ำสูง กวำ่ คณุ ค่ำทำงวัตถุ คณุ ค่ำของศำสนำทพ่ี อประมวลได้ เชน่ ๑. เป็นทย่ี ึดเหนย่ี วจติ ใจของมนุษย์ คือเปน็ ท่ีพงึ่ ทำงใจ ทำใหไ้ ม่ร้สู กึ อำ้ งว้ำงวำ้ เหว่จนเกนิ ไป ๒. เปน็ บ่อเกิดแห่งควำมสำมัคคีของหมู่คณะ รวมถงึ ควำมสำมคั คีในหมู่มวลมนุษยชำติ ๓. เปน็ บอ่ เกดิ แห่งกำรศึกษำทงั้ ในด้ำนพุทธศิ กึ ษำ จรยิ ศึกษำ และศลี ธรรมจรรยำ ๔. เปน็ บอ่ เกิดแห่งจรยิ ธรรม ศีลธรรม และคณุ ธรรม ๕. เปน็ บอ่ เกิดแห่งขนบธรรมเนียมประเพณอี นั ดีงำมท้งั หลำย ๖. เปน็ เครือ่ งดับควำมเรำ่ รอ้ นทำงใจ ทำใหใ้ จสงบเย็น ๗. เปน็ ดวงประทปี สอ่ งโลกทม่ี ืดมดิ ๘. เปน็ สงิ่ ที่แยกมนษุ ย์ออกจำกสตั ว์ เพรำะสัตว์ไม่มีศำสนำ ประโยชน์ของศาสนา เม่ือมนษุ ย์ไดน้ ำหลักศำสนำไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ิในวถิ ชี ีวติ ของตนอย่ำงสม่ำเสมอแลว้ ยอ่ ม กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนอ์ ยำ่ งอเนกอนนั ต์ตอ่ ตนเองอย่ำงแนน่ อน ประโยชน์ของศำสนำโดยภำพรวมมี ดงั น้ี ๑. ศำสนำช่วยทำให้คนมีจิตใจสูงและประเสรฐิ กว่ำสตั ว์ ๒. ศำสนำชว่ ยทำให้คนมวี นิ ยั ในตัวเองสูง

๗ ๓. ศำสนำช่วยทำให้คนในสงั คมอยู่กันไดอ้ ยำ่ งสงบสุข ๔. ศำสนำช่วยส่งเสรมิ และสร้ำงสรรค์ผลงำนอนั มคี ณุ ค่ำทำงด้ำนศลิ ปะ และวฒั นธรรมแก่ สงั คม ๕. ศำสนำชว่ ยให้คนมีควำมอดทน ไม่หว่นั ไหวในโลกธรรม ไม่ดีใจจนเกินเหตุเมอื่ ประสบกับ อำรมณด์ ี และไม่เสยี ใจจนเสยี คนเมื่อเผชญิ กับเหตุรำ้ ย ๖. ศำสนำชว่ ยประสำนรอยรำ้ วในสังคมมนุษย์ ทำให้สังคมมีเอกภำพในกำรทำ กำรพดู และ กำรคิด ๗. ศำสนำทำใหม้ นุษย์ปกครองตนเองได้ในทกุ เวลำและทุกสถำนท่ี ๘. ศำสนำสอนให้มนษุ ยม์ ีจิตใจสะอำด ไมก่ ล้ำทำควำมชว่ั ทง้ั ในท่ลี ับและทีแ่ จ้ง ๙. ศำสนำทำให้มนุษย์ผูป้ ระพฤตติ ำม พ้นจำกควำมทุกข์ ควำมเดือดรอ้ น และชว่ ยให้ประสบ ควำมสงบสุขทำงจิตใจอย่ำงเป็นลำดบั ขนั้ ตอนจนบรรลเุ ปำ้ ประสงคส์ งู สุดของชีวิต ๑๐. ศำสนำชว่ ยใหม้ นุษย์มีควำมสำมัคคี ชว่ ยเหลือเก้อื กูลกนั ทำใหอ้ ยรู่ ว่ มกนั เป็นหมู่คณะ ได้ อยำ่ งมีควำมสุข ๑๑. ศำสนำช่วยให้มีหลกั ในกำรดำเนนิ ชีวิต ให้ชีวิตมีควำมหมำยและควำมหวัง และช่วยใหเ้ กิด เสถยี รภำพและควำมสงบสุขในสังคม http://religiousrrr.blogspot.com/2015/03/blog-post_28.html

๘ บ ๓.๑/ผ ๑-๐๒ ใบงานที่ ๐๒ คาชแี้ จง นักเรยี นเขยี นเรยี งควำม ประเดน็ เก่ียวกับ ควำมสำคัญของศำสนำ โดยกำหนดชือ่ เรือ่ ง ด้วยตนเอง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ชือ่ ....................................................สกุล.................................................. ชั้น....................เลขที่ .....................

๙ บ ๓.๑/ผ ๒-๐๑ ใบงานที่ ๐๑ คาชี้แจง นักเรียนเขียนประวัติควำมเปน็ มำของศำสนำพุทธ หรือศำสนำที่ตนนบั ถอื โดยยอ่ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ชอื่ ...........................................สกุล..............................................ชั้น................................เลขที่.....................

๑๐ ใบความรู้ที่ ๐๑ ประวัติพระพุทธศาสนา \"ศาสนาพุทธ\" เปน็ ศำสนำประจำชำติไทยของเรำ แล้วมสี กั กค่ี นที่ทรำบถงึ ประวัติของ \"พระสัมมำสัมพทุ ธเจ้ำ\" ผทู้ รงเปน็ \"พระศำสดำ\" ของ \"พระพุทธศำสนำ\" พระพทุ ธเจ้ำทรงมีพระนำมเดมิ ว่ำ \"สิทธตั ถะ\" หมำยถึง ผูท้ ี่สำเร็จควำมมงุ่ หมำยแลว้ หรือ ผู้ปรำรถนำสง่ิ ใด ย่อมได้สิ่งนนั้ ทรงเปน็ พระรำชโอรสของพระเจ้ำสุทโธทนะ กษตั ริยผ์ ู้ครองกรงุ กบิลพัสด์ุ แควน้ สกั กะ และ \"พระนำงสิริมหำมำยำ\" พระรำชธิดำของกษัตริยร์ ำชสกลุ โกลยิ วงศ์ แหง่ กรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ ในคืนทพี่ ระพทุ ธเจำ้ เสดจ็ ปฏิสนธิในครรภ์พระนำงสริ ิมหำมำยำ พระนำงทรงพระสบุ ินนิมติ วำ่ มชี ้ำงเผือกมีงำสำมคไู่ ด้เข้ำมำสู่พระครรภ์ ณ ที่บรรทม กอ่ นท่ีพระนำงจะมพี ระประสูตกิ ำล ที่ ใต้ต้นสำละ ณ สวนลุมพนิ วี นั เมื่อวันศุกร์ ขึ้นสบิ ห้ำคำ่ เดอื นวสิ ำขะ ปจี อ 80 ปีกอ่ นพุทธศักรำช (ปัจจบุ ันสวนลุมพนิ วี นั อย่ใู นประเทศเนปำล) ทนั ทที ป่ี ระสูติ เจำ้ ชำยสทิ ธตั ถะทรงดำเนินด้วยพระบำท 7 ก้ำว และมีดอกบวั ผดุ ขึ้นมำ รองรับพระบำท พร้อมเปล่งพระวำจำว่ำ \"เราเป็นเลิศทีส่ ุดในโลก ประเสรฐิ ทส่ี ดุ ในโลก การเกิด คร้งั นี้เปน็ ครง้ั สดุ ท้ายของเรา\" แต่หลงั จำกเจำ้ ชำยสทิ ธัตถะประสูตกิ ำลได้แล้ว 7 วนั พระนำงสิริ มหำมำยำก็เสดจ็ สวรรคำลัย เจ้ำชำยสิทธัตถะจงึ อยู่ในควำมดูแลของพระนำงประชำบดีโคตมี ซึ่ง เป็นพระกนษิ ฐำของพระนำงสริ มิ หำมำยำ

๑๑ ทง้ั น้ี พรำหมณ์ ทัง้ 8 ได้ทำนำยวำ่ เจ้ำชำยสิทธัตถะมลี กั ษณะเป็นมหำบุรษุ คือ หำกดำรง ตนในฆรำวำสจะได้เปน็ จักรพรรดิ ถ้ำออกบวชจะได้เป็นศำสดำเอกของโลก แตโ่ กณฑญั ญะ พรำหมณ์ผู้อำยุน้อยท่สี ดุ ในจำนวนน้ัน ยนื ยนั หนักแน่นว่ำ พระรำชกมุ ำรสทิ ธตั ถะจะเสด็จออกบวช และจะได้ตรัสรู้เป็นพระพทุ ธเจ้ำแนน่ อน ประวตั พิ ระพุทธเจา้ : ชีวิตในวยั เดก็ เจำ้ ชำยสทิ ธตั ถะทรงศึกษำเล่ำเรยี นจนจบศลิ ปศำสตรท์ ัง้ 18 ศำสตร์ ในสำนักครูวิศวำมิตร และเน่อื งจำกพระบิดำไมป่ ระสงคใ์ ห้เจ้ำชำยสิทธตั ถะเป็นศำสดำเอกของโลก จึงพยำยำมทำให้ เจำ้ ชำยสิทธตั ถะพบเห็นแต่ควำมสุข โดยกำรสรำ้ งปรำสำท 3 ฤดู ใหอ้ ย่ปู ระทบั และจัดเตรียม ควำมพร้อมสำหรบั กำรรำชำภเิ ษกให้เจ้ำชำยขึน้ ครองรำชย์ เมือ่ มพี ระชนมำยุ 16 พรรษำ ทรงอภิเษกสมรสกบั พระนำงพิมพำ หรือยโสธรำ พระธดิ ำ ของพระเจำ้ กรุงเทวทหะซง่ึ เปน็ พระญำติฝ่ำยพระมำรดำ จนเมอื่ มพี ระชนมำยุ 29 พรรษำ พระนำง พิมพำไดใ้ ห้ประสูติพระรำชโอรส มีพระนำมว่ำ \"ราหุล\" ซึ่งหมำยถึง \"บว่ ง\" ประวัติพระพทุ ธเจ้า : เสด็จออกผนวช วันหนงึ่ เจำ้ ชำยสิทธตั ถะทรงเบื่อควำมจำเจในปรำสำท 3 ฤดู จึงชวนสำรถที รงรถม้ำ ประพำสอทุ ยำน คร้ังนั้นได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตำย และนกั บวช โดยเทวทูต (ทตู สวรรค)์ ท่ีแปลงกำยมำ พระองคจ์ ึงทรงคดิ ได้วำ่ นีเ่ ปน็ ธรรมดำของโลก ชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ ในสภำพเชน่ น้นั ไมม่ ีใครสำมำรถหลีกเลย่ี งเกิด แก่ เจบ็ ตำยได้ จึงทรงเหน็ วำ่ ควำมสขุ ทำงโลกเป็น

๑๒ เพยี งภำพมำยำเทำ่ นน้ั และวถิ ที ำงทจ่ี ะพน้ จำกควำมทุกข์ คือตอ้ งครองเรือนเป็นสมณะ ดังน้ัน พระองคจ์ งึ ใคร่จะเสดจ็ ออกบรรพชา ในขณะที่มพี ระชนม์ 29 พรรษา ครำน้นั พระองค์ไดเ้ สด็จไปพรอ้ มกบั นำยฉันทะ สำรถี ซึ่งเตรยี มม้ำพระท่นี ั่ง นำมว่ำกัณฑ กะ ม่งุ ตรงไปยังแมน่ ้ำอโนมำนที ก่อนจะประทับนง่ั บนกองทรำย ทรงตัดพระเมำลีดว้ ยพระขรรค์ และเปล่ียนชดุ ผำ้ กำสำวพัตร์ (ผ้ำยอ้ มด้วยรสฝำดแห่งตน้ ไม)้ และให้นำยฉันทะ นำเครอื่ งทรงกลบั พระนคร กอ่ นท่พี ระองค์จะเสด็จออกมหำภิเนษกรมณ์ (กำรเสด็จออกเพือ่ คณุ อันย่ิงใหญ)่ ไปโดย เพียงลำพงั เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแควน้ มคธ ประวตั ิพระพุทธเจ้า : บาเพญ็ ทุกรกิริยา หลงั จำกทรงผนวชแลว้ พระองคม์ ุ่งไปท่แี มน่ ำ้ คยำ แคว้นมคธ ได้พยำยำมเสำะแสวงทำง พ้นทกุ ข์ ด้วยกำรศกึ ษำค้นคว้ำทดลองในสำนักอำฬำรดำบส กำลำมโครตร และอทุ กดำบส รำม บตุ ร แต่เม่อื เรยี นจบท้งั 2 สำนกั แล้ว ทรงเห็นว่ำนีย่ งั ไม่ใช่ทำงพน้ ทกุ ข์ จำกนั้นพระองคไ์ ด้เสด็จไปที่แมน่ ำ้ เนรัญชรำ ในตำบลอุรเุ วลำเสนำนิคม และทรงบำเพ็ญทุ กรกิริยำ ด้วยกำรขบฟนั ด้วยฟนั กลน้ั หำยใจและอดอำหำร จนรำ่ งกำยซูบผอม แต่หลงั จำกทดลอง ได้ 6 ปี ทรงเห็นว่ำนยี่ งั ไม่ใชท่ ำงพ้นทุกข์ จึงทรงเลกิ บำเพ็ญทุกรกริ ิยำ และหนั มำฉันอำหำร ตำมเดมิ ดว้ ยพระรำชดำริตำมทีท่ ้ำวสกั กเทวรำชไดเ้ สด็จลงมำดดี พณิ ถวำย 3 วำระ คอื ดีดพณิ สำย ที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขำด ดีดพิณวำระที่ 2 ซง่ึ ขึงไว้หยอ่ น เสยี งจะยดื ยำดขำดควำม ไพเรำะ และวำระท่ี 3 ดีดพิณสำยสดุ ท้ำยทีข่ ึงไว้พอดี จึงมเี สยี งกงั วำนไพเรำะ ดังนนั้ จงึ ทรง พิจำรณำเห็นวำ่ ทำงสำยกลำงคือไม่ตงึ เกนิ ไป และไม่หย่อนเกนิ ไป นั่นคือทำงท่ีจะนำส่กู ำรพ้นทุกข์ หลงั จำกพระองค์เลิกบำเพญ็ ทุกรกิรยิ ำ ทำใหพ้ ระปัญจวัคคียท์ ง้ั 5 ไดแ้ ก่ โกณฑัญญะ วปั ปะ ภทั ทิยำ มหำนำมะ อัสสชิ ทม่ี ำคอยรับใชพ้ ระองคด์ ว้ ยควำมคำดหวังวำ่ เม่ือพระองค์คน้ พบ ทำงพน้ ทุกข์ จะได้สอนพวกตนให้บรรลุด้วย เกิดเสอื่ มศรทั ธำท่พี ระองค์ล้มเลิกควำมตัง้ ใจ จงึ เดนิ ทำงกลบั ไปท่ีป่ำอสิ ิปตนมฤคทำยวนั ตำบลสำรนำถ เมอื งพำรำณสี

๑๓ ประวตั ิพระพุทธเจา้ : ตรสั รู้ ประวตั พิ ระพทุ ธเจ้า ครำนัน้ พระองค์ทรงประทับน่งั ขัดสมำธิ ใตต้ ้นพระศรมี หำโพธ์ิ ณ อุรุเวลำเสนำนคิ ม เมือง พำรำณสี หันพระพักตรไ์ ปทำงทิศตะวนั ออก และต้ังจิตอธษิ ฐำนด้วยควำมแน่วแน่วำ่ ตรำบใดทย่ี งั ไม่บรรลสุ ัมมำสมั โพธญิ ำณ กจ็ ะไมล่ ุกข้นึ จำกสมำธิบัลลงั ก์ แมจ้ ะมีหม่มู ำรเขำ้ มำขัดขวำง แตก่ พ็ ่ำย แพพ้ ระบำรมีของพระองค์กลบั ไป จนเวลำผ่ำนไปในทสี่ ุดพระองค์ทรงบรรลุรปู ฌำณ คือ ครำน้ัน พระองคท์ รงประทบั นงั่ ขัดสมำธิ ใตต้ ้นพระศรมี หำโพธ์ิ ณ อรุ เุ วลำเสนำนิคม เมืองพำรำณสี หนั พระพกั ตร์ไปทำงทิศตะวันออก และต้ังจิตอธิษฐำนดว้ ยควำมแน่วแนว่ ่ำตรำบใดทย่ี งั ไมบ่ รรลสุ ัมมำ สมั โพธิญำณ ก็จะไม่ลุกขน้ึ จำกสมำธิบลั ลังก์ แมจ้ ะมหี มมู่ ำรเข้ำมำขัดขวำง แต่กพ็ ำ่ ยแพพ้ ระบำรมี ของพระองค์กลับไป จนเวลำผ่ำนไปในท่ีสดุ พระองคท์ รงบรรลรุ ูปฌำณ คือ ยามต้น หรือปฐมยำม ทรงบรรลุปุพเพนวิ ำสำนุสตญิ ำณ คอื สำมำรถระลกึ ชำตไิ ด้ ยามสอง ทำงบรรลุจตุ ปู ปำตญำณ (ทิพยจักษุญำณ) คือ รเู้ ร่อื งกำรเกดิ กำรตำยของสัตว์ ท้ังหลำยว่ำเปน็ ไปตำมกรรมท่กี ำหนดไว้ ยามสาม ทรงบรรลอุ ำสวักขยญำณ คือ ควำมรทู้ ี่ทำใหส้ ้ินอำสวะ หรอื กิเลส ด้วยอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ สมุทยั นโิ รธ และมรรค และได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเป็นพระสัมมำสมั พทุ ธเจำ้ และ เปน็ ศำสดำเอกของโลก ซง่ึ วนั ที่พระสัมมำสัมพุทธเจ้ำตรสั รู้ ตรงกบั วันเพญ็ เดือน 6 ขณะทีม่ ีพระ ชนม์ 35 พรรษำ

๑๔ ประวัตพิ ระพทุ ธเจา้ : แสดงปฐมเทศนา หลังจำกพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำตรสั รูแ้ ล้ว ทรงพิจำรณำธรรมทพ่ี ระองค์ตรัสร้มู ำเป็นเวลำ 7 สัปดำห์ และทรงเห็นว่ำพระธรรมนั้นยำกต่อบุคคลทั่วไปทจี่ ะเขำ้ ใจและปฏบิ ตั ิได้ พระองคจ์ ึงทรง พิจำรณำว่ำ บคุ คลในโลกน้มี หี ลำยจำพวกอย่ำง บวั 4 เหล่ำ ทีม่ ที ้ังผู้ท่ีสอนได้งำ่ ย และผู้ที่สอนได้ ยำก พระองคจ์ ึงทรงระลกึ ถึงอำฬำรดำบสและอทุ กดำบส ผูเ้ ป็นพระอำจำรย์ จงึ หวังเสด็จไปโปรด แต่ทง้ั สองทำ่ นเสียชีวิตแล้ว พระองคจ์ ึงทรงระลกึ ถงึ ปัญจวคั คีย์ ทั้ง 5 ทเ่ี คยมำเฝ้ำรับใช้ จึงได้เสด็จ ไปโปรดปัญจวคั คีย์ทีป่ ่ำอิสิปตนมฤคทำยวัน ธรรมเทศนากัณฑ์แรกท่ีพระองคท์ รงแสดงธรรมคอื \"ธัมมจกั กปั ปวัตตนสูตร\" แปลวำ่ สูตรของกำรหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป ซึ่งถอื เป็นกำรแสดงพระธรรมเทศนำครงั้ แรก ในวนั เพ็ญ ขนึ้ 15 คำ่ เดอื น 8 ซึ่งตรงกบั วนั อำสำฬหบชู ำ ในกำรน้พี ระโกณฑญั ญะไดธ้ รรมจกั ษุ คือดวงตำเหน็ ธรรมเป็นคนแรก พระพทุ ธองคจ์ ึงทรง เปลง่ วำจำวำ่ \"อญั ญาสิ วตโกณฑญั โญ\" แปลวำ่ โกณฑญั ญะไดร้ ู้แลว้ ทำ่ นโกณฑญั ญะ จึงได้ สมญำวำ่ อญั ญำโกณฑญั ญะ และไดร้ ับกำรบวชเปน็ พระสงฆ์องค์แรกในพระพทุ ธศำสนำ โดยเรียก กำรบวชที่พระพทุ ธเจ้ำบวชให้ว่ำ \"เอหภิ ิกขุอปุ สมั ปทา\" หลังจำกปัญจวคั คยี ์อปุ สมบทท้งั หมดแลว้ พุทธองค์จงึ ทรงเทศน์อนัตตลักขณสูตร ปัญจ วัคคยี จ์ ึงสำเรจ็ เป็นอรหันตใ์ นเวลำตอ่ มำ ประวตั พิ ระพทุ ธเจ้า : การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ต่อมำพระพุทธเจ้ำไดเ้ ทศนพ์ ระธรรมเทศนำโปรดแกย่ สกุลบุตร รวมทัง้ เพือ่ นของยสกุล บุตร จนไดส้ ำเร็จเป็นพระอรหันต์ทง้ั หมด รวม 60 รูป พระพทุ ธเจ้ำทรงมีพระรำชประสงคจ์ ะให้มนุษยโ์ ลกพน้ ทกุ ข์ พ้นกิเลส จงึ ตรัสเรียกสำวกทง้ั 60 รปู มำประชุมกัน และตรัสให้พระสำวก 60 รปู จำริกแยกย้ำยกนั เดนิ ทำงไปประกำศศำสนำ 60 แหง่ โดยลำพัง ในเสน้ ทำงทไ่ี มซ่ ้ำกัน เพื่อใหส้ ำมำรถเผยแผ่พระพทุ ธศำสนำไดใ้ นหลำยพื้นท่ี อย่ำงครอบคลมุ สว่ นพระองคเ์ องไดเ้ สดจ็ ไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรเุ วลำ เสนำนิคม หลงั จำกสำวกได้เดินทำงไปเผยแผ่พระพุทธศำสนำในพ้นื ทีต่ ่ำง ๆ ทำใหม้ ีผู้เล่อื มใสพระพ ทธุ ศำสนำเป็นจำนวนมำก พระองค์จึงทรงอนญุ ำตใหส้ ำวกสำมำรถดำเนินกำรบวชได้ โดยใชว้ ิธกี ำร \"ติสรณคมนปู สมั ปทำ\" คือ กำรปฏญิ ำณตนเปน็ ผถู้ งึ พระรตั นตรัย พระพทุ ธศำสนำจงึ หยั่งรำกฝงั ลึก และแพรห่ ลำยในดนิ แดนแหง่ น้ันเป็นต้นมำ

๑๕ ประวัติพระพุทธเจา้ : เสดจ็ ดับขันธ์ปรินิพพาน พระสมั มำสัมพุทธเจ้ำไดเ้ สด็จโปรดสตั ว์และแสดงพระธรรมเทศนำ ตลอดระยะเวลำ 45 พรรษำ ทรงสดบั ว่ำ อีก 3 เดือนขำ้ งหนำ้ จะปรนิ ิพพำน จึงไดท้ รงปลงอำยุสังขำร ขณะน้ันพระองค์ ได้ประทับจำพรรษำ ณ เวฬคุ ำม ใกลเ้ มืองเวลำสี แควน้ วัชชี โดยก่อนเสด็จดบั ขนั ธป์ รินิพพำน 1 วัน พระองคไ์ ดเ้ สวยสุกรมัททวะทนี่ ำยจนุ ทะทำถวำย แต่เกดิ อำพำธลง ทำให้พระอำนนท์โกรธ แต่ พระองคต์ รสั วำ่ \"บิณฑบำตทีม่ ีอำนิสงสท์ สี่ ดุ มี 2 ประกำร คือ เม่ือตถำคต (พทุ ธองค)์ เสวย บณิ ฑบำตแลว้ ตรสั รู้ และปรินพิ พำน\" และมีพระดำรัสว่ำ \"โย โว อำนนท ธมม จ วินโย มยำ เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถำ\" อันแปลว่ำ \"ดกู อ่ นอำนนท์ ธรรมและวนิ ยั อันทเ่ี รำ แสดงแล้ว บัญญัตแิ ล้วแกเ่ ธอทั้งหลำย ธรรมวนิ ัยนั้น จักเปน็ ศำสดำของเธอทงั้ หลำย เมื่อเรำ ลว่ งลับไปแลว้ \" พระพทุ ธเจ้ำทรงประชวรหนัก แตท่ รงอดกล้นั ม่งุ หนำ้ ไปยังเมอื งกุสินำรำ ประทับ ณ ป่ำ สำละ เพอื่ เสด็จดับขันธุ์ปรินพิ พำน โดยก่อนที่จะเสดจ็ ดับขันธป์ รินิพพำนนน้ั พระองค์ได้อุปสมบท แก่พระสุภัททะปรพิ ำชก ซึง่ ถือไดว้ ่ำ \"พระสุภภัททะ\" คอื สำวกองค์สดุ ท้ำยทีพ่ ระพทุ ธองค์ทรงบวช ให้ ในท่ำมกลำงคณะสงฆท์ ้ังที่เปน็ พระอรหันต์ และปถุ ชุ นจำกแคว้นต่ำง ๆ รวมทง้ั เทวดำ ทีม่ ำ

๑๖ รวมตวั กนั ในวันนี้ ในครำน้ันพระองค์ทรงมีปจั ฉิมโอวำทว่ำ \"ดูก่อนภกิ ษุทัง้ หลำย เรำขอบอกเธอทั้งหลำย สงั ขำรทัง้ ปวงมีควำมเสื่อมสลำยไปเปน็ ธรรมดำ พวกเธอจึงทำประโยชนต์ นเอง และประโยชนข์ อง ผู้อ่ืนให้สมบรู ณ์ด้วยควำมไมป่ ระมำทเถดิ \" (อปปมำเทน สมปำเทต) จำกนั้นได้เสด็จดับขนั ธป์ รินิพพำน ใต้ตน้ สำละ ณ สำลวโนทยำน ของเหล่ำมัลลกษตั รยิ ์ เมืองกสุ นิ ำรำ แควน้ มัลละ ในวนั ขึน้ 15 ค่ำ เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษำ และวันน้ีถือเปน็ กำรเริ่มตน้ ของพทุ ธศักรำช https://hilight.kapook.com/view/37629

๑๗ บ ๓.๑/ผ ๓-๐๑ ใบงานท่ี ๐๑ คาชี้แจง นกั เรยี นรว่ มกนั เขยี นสรปุ เกย่ี วกบั พระคมั ภีรแ์ ละหลักธรรมของ ศำสนำพุทธ ศำสนำ ครสิ ต์ ศำสนำอิสลำม ศำสนำ คัมภีร์ หลกั ธรรม พุทธ ครสิ ต์ อิสลำม ชือ่ ...............................สกุล…………………………………………..........ชั้น...........................เลขที่ .............

๑๘ ใบความรทู้ ่ี ๑ คัมภรี ์และหลักธรรมของแต่ละศาสนา ศาสนาพทุ ธ คมั ภีร์ เม่อื พระพุทธเจำ้ เสดจ็ ปรนิ ิพพำนได้ ๓ เดือน สำวกผไู้ ด้เคยสดบั ฟังคำสงั่ สอนของพระองค์ จำนวน ๕๐๐ รูป ก็ประชุมทำสังคำยนำกัน ณ ถำ้ สัตบรรณคหู ำ ใกลเ้ มอื งรำชคฤห์ แคว้นมคธ สอบปำกคำกันอยู่ ๗ เดือน จึงตกลงประมวลคำสอนของพระพุทธเจ้ำไดส้ ำเร็จเปน็ คร้งั แรก น่คี อื บ่อเกดิ ของคมั ภีรพ์ ระไตรปิฎก ต่อมำเมื่อมีปัญหำขดั แย้ง พระเถระผใู้ หญ่ก็ประชุมขจดั ข้อขัดแยง้ กัน เปน็ สังคำยนำตอ่ มำอีกหลำยครั้ง จนได้พระไตรปฎิ กของฝ่ำยเถรวำทดงั ที่เรำรจู้ ักกันทุกวนั นี้ ซง่ึ ถอื กนั ท่วั ไปวำ่ เป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจำ้ ทน่ี บั วำ่ ใกล้เคียงทีส่ ดุ เน่อื งจำกภำษำมคธที่ใชบ้ นั ทึกคำสง่ั สอนของพระพุทธเจ้ำนั้น ครั้นกำลเวลำล่วงไปกค็ ่อยๆ กลำยเป็นภำษำโบรำณ ยำกที่จะเขำ้ ใจไดท้ ันทีสำหรบั นกั ศึกษำรนุ่ หลังๆ จึงไดม้ ผี ้เู ช่ยี วชำญนิพนธ์ ชแ้ี จงควำมหมำย เรยี กว่ำ อรรถกถา เมื่อนักศึกษำรู้สึกว่ำอรรถกถำยงั ไม่ชัดเจนก็มผี เู้ ช่ียวชำญนิพนธ์ฎกี ำขึ้นชี้แจง ควำมหมำย และมอี นฎุ กี ำสำหรับชีแ้ จงควำมหมำยของฎกี ำอกี ตอ่ หนึ่ง ผู้เช่ยี วชำญเฉพำะปญั หำก็ นพิ นธ์ชีแ้ จงเฉพำะปัญหำขน้ึ เรียกวำ่ ปกรณ์ เหล่ำนถ้ี ือว่ำเป็นคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศำสนำทง้ั ส้ิน แตท่ ว่ำ มนี ้ำหนกั น้อยกว่ำพระไตรปฎิ ก เพรำะถอื ว่ำเปน็ ควำมเห็นส่วนตัวของผู้ตีควำม นักศกึ ษำจะเหน็ กบั บำงคัมภีร์ และไมเ่ หน็ ด้วยกับบำงคมั ภรี ์ก็ได้ ไม่ถือวำ่ มีควำมเป็นพุทธศำสนกิ มำกนอ้ ยกวำ่ กนั เพรำะเร่ืองนี้ https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/phuthth-sasna/khamphir-khxng-phraphuthth-sasna

๑๙ หลกั ธรรม ๑. ขันธ์ ๕ หรอื เบญจขันธ์ คือ องค์ประกอบของชวี ิตมนุษย์ท่ีประกอบดว้ ยรปู และนำม รปู คอื ส่วนทเี่ ป็นรำ่ งกำย ประกอบดว้ ยธำตุ ๔ ไดแ้ ก่ - ธำตดุ นิ (ส่วนของรำ่ งกำยที่เป็นของแข็ง เช่น เนอ้ื กระดูก ผม) - ธำตนุ ้ำ (สว่ นทเ่ี ป็นของเหลวของร่ำงกำย) เช่น เลือด น้ำลำย น้ำเหลอื ง นำ้ ตำ ) - ธำตลุ ม (สว่ นท่เี ปน็ ลมของรำ่ งกำย ได้แก่ ลมหำยใจเข้ำออก ลมใน กระเพำะอำหำร) - ธำตไุ ฟ ( ส่วนที่เปน็ อณุ หภูมขิ องร่ำงกำย ไดแ้ ก่ ควำมร้อนในรำ่ งกำย มนุษย)์ นาม คือ สว่ นท่ีมองไม่เหน็ หรือจติ ใจ ได้แก่ - เวทนำ คอื ควำมร้สู กึ ทเี่ กิดจำกประสำทสัมผสั เช่น สุขเวทนำ ทกุ ขเวทนำและอเุ บกขำเวทนำ ไม่ยนิ ดียินรำ้ ย - สัญญำ คือ ควำมจำได้โดยอำศยั ประสำทสัมผัส เมือ่ สมั ผัสอีกคร้ังก็ สำมำรถบอกได้ - สงั ขำร คือ สภำพที่ปรงุ แต่งจติ ใจใหค้ ิดดี คิดชั่ว หรือเปน็ กลำง ส่ิงทเี่ ข้ำ มำปรุงแต่งจิต ได้แก่ เจตนำ คำ่ นยิ ม ควำมสนใจ ควำมโลภ และควำมหลง - วญิ ญำณ คือ ควำมรบั รทู้ ่ีผ่ำนมำทำงตำ หู จมูก ลน้ิ กำย ใจ (อำยตนะ ๖) ๒. อริยสจั ๔ แปลว่ำ ควำมจริงอนั ประเสริฐ เป็นหลกั คำสอนทสี่ ำคญั ที่สดุ ขอ พระพทุ ธศำสนำ เพรำะเปน็ คำสอนทจ่ี ะช่วยใหบ้ ุคคลรอดพ้นจำกควำมทุกขเ์ พอ่ื สนู่ พิ พำน ได้แก่ ๑. ทกุ ข์ หมำยถงึ สภำพทท่ี นได้ยำกทัง้ รำ่ งกำยและจติ ใจ ๑.๑ สภำวทกุ ข์ หรอื ทุกข์ประจำ ได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตำย ๑.๒ ปกิณกทกุ ข์ หรือทกุ ขจ์ ร เป็นทกุ ขท์ ่เี กดิ ขึน้ ภำยหลัง เกดิ ขึน้ แล้วก็ ผ่ำนไปและเกิดขึ้นเนอื ง ๆ เช่น ควำมเศร้ำโศก ควำมไม่สบำยกำยไมส่ บำยใจ ควำมคบั แคน้ ใจ

๒๐ ๒. สมุทัย หมำยถึง เหตทุ ที่ ำให้เกดิ ทกุ ข์ ได้แก่ ตณั หำ( ควำมอยำก) ๒.๑ กำมตัณหำ ๒.๒ ภวตณั หำ ๒.๓ วิภวตัณหำ ๓. นโิ รธ หมำยถึง ควำมดับทุกข์ คอื ใหด้ บั ทเ่ี หตุ ซ่ึงมขี ั้นตอนตำมลำดับใน มรรค๘ ๔. มรรคมีองค์ ๘ หนทำงแห่งกำรดับทุกข์ ๔.๑ สัมมำทิฐิ ควำมเหน็ ชอบ คือ มีควำมเข้ำใจวำ่ อะไรคอื ทุกข์ อะไรคือ สำเหตแุ หง่ ทกุ ข์ อะไรคอื ควำมดบั ทุกข์ ๔.๒ สมั มำสงั กปั ปะ ควำมดำริชอบ คือ ควำมคิดทป่ี ลอดโปร่ง ควำมคดิ ไม่ พยำบำท ควำมคดิ ไม่เบียดเบียน ๔.๓ สัมมำวำจำ วำจำชอบ คอื ไมพ่ ูดเทจ็ ไมพ่ ูดส่อเสียด ไม่พดู หยำบ ไม่ พดู เพ้อเจ้อ ๔.๔ สัมมำกมั มนั ตะ กำรงำนชอบ คือ ไมท่ ำลำยชวี ติ คนอนื่ ไม่ขโมยของ ไมผ่ ิดในกำม ๔.๕ สัมมำอำชีวะ เลย้ี งชพี ชอบ คอื กำรทำมำหำกินด้วยอำชีพสุจรติ ๔.๖ สมั มำวำยำมะ ควำมเพยี รชอบ คอื เพียรระวังมใิ ห้ควำมชว่ั ที่ยังไม่ เกดิ ขึน้ เพียรละควำมชัว่ ท่ีเกิดขึ้น เพยี รรกั ษำควำมดที ่ีเกดิ ข้นึ แลว้ ๔.๗ สัมมำสติ ควำมระลึกชอบ คือ พิจำรณำกำย พิจำรณำเวทนำ พจิ ำรณำจิต พจิ ำรณำธรรม ๔.๘ สมั มำสมำธิ กำรต้ังใจชอบ คือ กำรตั้งจิตท่แี นว่ แน่อยใู่ นอำรมณ์ใด อำรมณห์ น่ึงไม่ฟุง้ ซ่ำนเพือ่ มุ่งมั่นกระทำควำมดี ๓. ไตรลักษณ์ คือ ลกั ษณะทวั่ ไปของสง่ิ ทง้ั ปวง ๑. อนิจจตา หรือ อนิจจงั ควำมไม่คงท่ี ไม่เทยี่ ง ไมถ่ ำวร ไมแ่ น่นอน ๒. ทกุ ขตา หรือ ทกุ ขัง สภำพทอี่ ยูใ่ นสภำวะเดมิ ไมไ่ ด้ ต้องแปรปรวนไป ๓. อนัตตา ควำมไม่ใชต่ ัวตนแท้จริง ไม่อยูใ่ นอำนำจบังคับบญั ชำ ไม่มีใครเป็น

๒๑ เจำ้ ของในเรอ่ื งไตรลักษณ์ พระพทุ ธศำสนำถือว่ำเป็นคำสอนสงู สดุ ซึ่งทกุ สิ่งในสำกลจกั รวำลลว่ น เปน็ อนัตตำทงั้ ส้ิน ๔. พรหมวิหาร ๔ ธรรมสำหรบั ผเู้ ป็นใหญ่ ผปู้ กครอง พอ่ แม่ จำเปน็ ต้องมีไว้เป็นเคร่ืองยึด เหนย่ี วสำหรบั ดำเนินชีวติ ได้แก่ ๑. เมตตา ควำมรักใคร่ ปรำรถนำจะให้เป็นสุข ๒. กรณุ า ควำมสงสำร ต้องกำรท่ีจะช่วยบุคคลอืน่ สัตวอ์ ่นื ให้หลุดพ้นจำกควำม ทุกข์ ๓. มุทติ า ควำมช่นื ชมยินดีเม่อื เหน็ บคุ คลอื่นเขำได้ดี ๔. อุเบกขา ควำมวำงเฉยไมด่ ีใจไมเ่ สียใจ เม่อื บุคคลอ่ืนประสบควำมวิบตั ิ ๕. สังคหวัตถุ ๔ หลกั ธรรมที่เป็นเคร่อื งยึดเหนยี่ วน้ำใจคน ๑. ทำน กำรให้ ๒. ปยิ วำจำ กำรกล่ำวถอ้ ยคำไพเรำะอ่อนหวำน ๓. อัตถจรยิ ำ กำรบำเพญ็ ประโยชน์ ๔. สมำนัตตตำ กำรประพฤตติ นสม่ำเสมอทง้ั ตอ่ หนำ้ และลบั หลัง ๖. ฆราวาสธรรม ๔ หลักธรรมสำหรบั ผู้ครองเรอื น ได้แก่ ๑. สจั จะ กำรมีควำมซอ่ื ตรงตอ่ กนั ๒. ทมะ กำรรูจ้ กั ขม่ จติ ของตน ไม่หุนหนั พลันแลน่ ๓. ขันติ ควำมอดทนและให้อภยั ๔. จำคะ กำรเ สยี สละแบ่งปันของตนแก่คนทค่ี วรแบง่ ปัน

๒๒ ๗. บุญกริ ิยาวตั ถุ ๑๐ หลกั ธรรมแหง่ กำรทำบญุ ทำงแหง่ กำรทำควำมดี 10 ประกำร ๑. ทำนมยั บญุ สำเร็จดว้ ยกำรบรจิ ำคทำน ๒. ศลี มยั บุญสำเร็จดว้ ยกำรรักษำศลี ๓. ภำวนำมยั บุญสำเรจ็ ด้วยกำรเจริญภำวนำ ๔. อปจำยนมัย บุญสำเร็จด้วยกำรประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนตอ่ ผใู้ หญ่ ๕. เวยยำวจั จมยั บุญสำเร็จด้วยกำรช่วยเหลือขวนขวำยในกิจกำรงำนตำ่ งๆ ๖. ปตั ตทิ ำนมยั บญุ สำเรจ็ ด้วยกำรใหส้ ่วนบญุ ๗. ปตั ตำนุโมทนำมัย บุญสำเรจ็ ด้วยกำรอนุโมทนำส่วนบญุ ๘. ธมั มสั สวนมัย บุญสำเร็จด้วยกำรฟงั ธรรม ๙. ธมั มเทสนำมยั บุญสำเร็จด้วยกำรแสดงธรรม ๑๐. ทิฏฐชุ กุ มั ม์ บุญสำเร็จด้วยกำรทำควำมคิดควำมเห็นของตนใหต้ รง ๘. สัปปุรสิ ธรรม ๗ หลักธรรมของคนดี หรอื คณุ สมบัตขิ องคนดี ๑. ธัมมัญญุตำ ควำมเปน็ ผรู้ ู้จกั เหตุ ๒. อตั ถญั ญุตำ ควำมเป็นผู้รูจ้ กั ผล ๓. อัตตัญญุตำ ควำมเปน็ ผรู้ จู้ ักตน ๔. มตั ตญั ญตุ ำ ควำมเป็นผรู้ จู้ ักประมำณ ๕. กำลญั ญุตำ ควำมเปน็ ผ้รู จู้ ักกำลเวลำ ๖. ปรสิ ัญญตุ ำ ควำมเปน็ ผรู้ ูจ้ ักชุมชน ๗. ปุคคลปโรปรญั ญุตำ ควำมเป็นผ้รู ู้จกั เลอื กคบคนดี

๒๓ ศาสนาครสิ ต์ คมั ภรี ์ คัมภีรข์ องศำสนำคริสต์ เรียกวำ่ \"คมั ภีรไ์ บเบิล (Bible)\" ถือเปน็ คัมภรี ์ศกั ด์สิ ิทธิ์ ทเ่ี ป็นพระ วจนะของพระเจำ้ แบ่งออกเปน็ ๒ ภำค คอื พระคัมภรี ์เก่ำ หรือพนั ธสัญญำเดมิ และพระคมั ภีร์ ใหม่ หรอื พนั ธสญั ญำใหม่ • พันธสัญญาเดิม (Old Teatament) ภำคนี้ เปน็ คมั ภรี ์ ของศำสนำยวิ จำรกึ เปน็ ภำษำ ฮิบรู เลำ่ เร่ือง พระเจำ้ สรำ้ งโลก จนถงึ สมยั กอ่ นพระเยซูประสตู ิ เช่น ควำมเปน็ มำของชน ชำติยิว บัญญตั ิ ๑๐ ประกำร ศำสดำพยำกรณ์ ฯลฯ • พันธสญั ญาใหม่ (New Testament) จำรึกเปน็ ภำษำกรีก เล่ำเรอื่ งต้งั แตพ่ ระเยซูประสูติ กำรเผยแพรศ่ ำสนำ รวมถึงเร่อื งรำวของอัครสำวก และสำวกดว้ ย ภำคนีช้ ำวยิวไมย่ อมรับ ว่ำ เปน็ คัมภีร์ ในศำสนำตน เพรำะไม่ยอมรับพระเยซูวำ่ เปน็ บุตรของพระเจำ้ https://sites.google.com/site/matasitt12/khamphir-khxng-sasna-khrist

๒๔ หลักธรรม ศำสนำคริสต์มีหลักคำสอนท่สี ำคัญ ไดแ้ ก่ ๑. บญั ญตั ิ ๑๐ ประกำร ๑) จงนมสั กำรพระเจำ้ แต่เพยี งพระองคเ์ ดยี ว ๒) อย่ำออกพระนำมพระเจ้ำโดยไม่มเี หตุผล ๓) จงถือวันพระเจ้ำเปน็ วันศกั ด์สิ ทิ ธ์ิ ๔) จงนับถือบิดำมำรดำ ๕) อย่ำฆ่ำคน ๖) อยำ่ ผดิ ประเวณี ๗) อย่ำลกั ทรพั ย์ ๘) อย่ำนินทำว่ำรำ้ ยผ้อู ืน่ ๙) อยำ่ คดิ มิชอบ ๑๐) อย่ำมคี วำมโลภในส่ิงของผอู้ นื่ ๒. ศำสนำคริสตส์ อนใหท้ ุกคนมีควำมรักในพระเจำ้ ปฏบิ ตั ติ ำมคำสอนของพระเจ้ำและมีควำมรกั ในเพื่อนมนษุ ยค์ ำสอนเร่อื งควำมรักในครสิ ต์ ศำสนำ หมำยถึง ควำมรักดว้ ยควำมบริสทุ ธใิ์ จ มีควำมปรำรำถนำให้ผู้อน่ื มีควำมสุข เสยี สละให้แก่ กันเม่อื มคี วำมจำเป็นเกิดข้ึน และยินดีเมอ่ื เห็นผู้อนื่ ไดด้ ี ควำมรักระหวำ่ งมนษุ ยก์ ับพระเจำ้ เปรียบเหมอื นควำมรกั ระหวำ่ งบิดำกบั บุตร

๒๕ ควำมรกั ระหวำ่ งมนุษยกับมนุษย์ พระเยซูสอนให้รกั เพอื่ นบ้ำน (มนุษย์ทั้งโลก) เหมอื นรัก ตนเอง สอนใหร้ กั ศตั รู คอื รู้จักกำรใหอ้ ภยั และเสยี สละ https://sites.google.com/site/chrisst5646/home/hlak-kha-sxn-sasna-khrist ศาสนาอิสลาม คัมภีร์ คัมภีรข์ องศำสนำอิสลำม คือ คมั ภีรอ์ ลั -กุรอำน (Al-Quran) ฝรั่งเรยี กว่ำ โกรำน (Koran) คำวำ่ “อัล” เทำ่ กบั The ซึ่งในภำษำอังกฤษไมไ่ ด้มีควำมหมำยพิเศษอะไร คำว่ำ “กรุ อำน” แปลว่ำ “สิ่งทจี่ ะตอ้ งอ่ำน” (That which is to be read) บำ้ งแปลว่ำ “บท อำ่ น” หรือ “บทท่อง” (The Reading) บ้ำง ถอดควำมง่ำย ๆ กค็ อื แปลวำ่ “พระคัมภีร”์ เพรำะเป็นสงิ่ ท่ีศำสนิกชนจะต้องอ่ำนตอ้ งศกึ ษำใหเ้ ข้ำใจ รวมทั้งใหส้ ำมำรถอำ่ นด้วยทำนอง ทไ่ี พเรำะและมศิ ิลปะได้ คมั ภีรอ์ ลั กุรอำนกำเนดิ มำจำกกำรเขยี นขึ้นจำกคำบอกเล่ำของ ท่ำนนบีมูฮมั มัด ผอู้ ำ้ งวำ่ ไดร้ บั ทรำบจำกฑตู สวรรค์บ้ำง จำกพระองค์อลั ลอฮ์โดยตรงบ้ำง กลำ่ วคือ พระองคอ์ ลั ลอฮ์ทรงประทำนมำให้แกท่ ำ่ นนบีมูฮมั มัด ในลกั ษณะลงวะฮีย์ (เผย โองกำร) โดยตรงบ้ำง โดยผำ่ นญบิ รีล (กำเบรียล) ส่ทู ่ำนนบีบำ้ ง เพ่ือใหใ้ ชเ้ ปน็ ธรรมนูญ ใน กำรดำเนนิ ชวี ติ ของมุสลิมท่วั โลก มุสลมิ ทุกคนถือวำ่ คัมภีรอ์ ัล-กุรอำนเปน็ สิ่งศักด์ิสิทธท์ิ ่ี จะต้องแสดงควำมเคำรพอย่ำงเครง่ ครดั เพรำะทุกตัวอกั ษรทกุ คำเกิดจำกกำรเปดิ เผย (วะฮยี ์) ของพระเจ้ำ เป็นเทวบัญชำของพระเจำ้ และเป็นสัจพจน์ ท่บี ริสุทธ์ิของพระเจ้ำที่ ไม่มใี ครจะสงสยั ดดั แปลงแก้ไขได้

๒๖ คมั ภรี ์อัล-กุรอำนนี้ไดม้ กี ำรรวบรวมบนั ทึกไวด้ ้วยภำษำอำหรับ เป็นรปู เลม่ อยำ่ ง สมบูรณ์ครงั้ แรกหลังจำกท่ที ำ่ นนบีส้ินชวี ติ แล้ว ๕ เดอื น มขี นำดหนงั สือน้อยกวำ่ คมั ภีร์ไบ เบ้ลิ ของศำสนำคริสต์ บนั ทกึ ไวใ้ นทำนองรอ้ ยแกว้ และมบี ำงตอนในบททำ้ ยเล่มทถี ้อยคำ สอดคลอ้ งกนั มจี ังหวะรับกนั เหมือนโคลงกลอนในกวีนิพนธ์ มีเนื้อหำหลำยตอนท่ี คลำ้ ยคลงึ กบั คัมภรี ข์ องศำสนำยิวและศำสนำคริสต์ ซ่งึ อำจเป็นไปไดท้ ่ีว่ำควำมจรงิ แล้ว คัมภรี อ์ ัล-กรุอำน ถอื เปน็ คัมภรี ์สดุ ทำ้ ยทีบ่ รู ณ์ทีส่ ุดเพรำะได้เพ่ิมเติมส่ิงทข่ี ำดในคัมภรี อ์ ่ืน ๆ ไม่ว่ำจะเปน็ ทำงทฤษฎีหรือกำรปฏบิ ัติไวอ้ ย่ำงครบถว้ น สำหรับบุคคลและสงั คมเกีย่ วกับ กำรดำเนนิ ชวี ิตกำรอยรู่ วมกนั กำรแต่งงำน กำรตำย อำชีพกำรทำมำหำกิน เศรษฐกจิ สังคม กำรปกครอง และกำรเมือง ลกั ษณะกำรบรรจเุ นอ้ื หำในคมั ภรี ์อัล-กุรอำนแบง่ ออกเปน็ “ซูเรำะห์” หรือ บทมี ๑๑๔ บท (หรอื จะเรียกว่ำ “บรรพ” ก็ได)้ แต่ละบท ประกอบด้วย “อำยหุ ์” หรอื โองกำร มที ้ังหมด ๖,๖๖๖ โองกำร (หรอื จะเรยี กว่ำ “วรรค” ก็ได)้ จำนวนโองกำรของแตล่ ะบทจะไมเ่ ท่ำกัน ถำ้ คิดเปน็ คำทัง้ หมดในคัมภรียม์ ีจำนวนนบั ได้ ๗๗,๖๓๙ คำ แต่ละบท (ซเู รำะห)์ จะมชี ื่อหวั ข้อกำกบั และบอกวำ่ ทรงส่งข้อควำมลงมำ ณ ทไี่ หน คอื ทีเ่ มอื งเมกกะหรือท่เี มืองเมดินะ ทง้ั ๒ เมอื งน้มี เี นอื้ หำสำระแตกตำ่ งกัน คือ คมั ภีรข์ องศำสนำอิสลำม คือ คมั ภีรอ์ ัล-กุรอำน (Al-Quran) ฝรั่งเรียกวำ่ โกรำน (Koran) คำว่ำ “อัล” เท่ำกับ The ซงึ่ ในภำษำอังกฤษไมไ่ ด้มีควำมหมำยพิเศษอะไร คำว่ำ “กรุ อำน” แปลว่ำ “สิ่งทีจ่ ะตอ้ งอ่ำน” (That which is to be read) บำ้ งแปลวำ่ “บท อ่ำน” หรอื “บทท่อง” (The Reading) บ้ำง ถอดควำมง่ำย ๆ กค็ อื แปลว่ำ “พระคมั ภีร”์ เพรำะเปน็ สงิ่ ที่ศำสนิกชนจะตอ้ งอ่ำนต้องศึกษำใหเ้ ข้ำใจ รวมทงั้ ใหส้ ำมำรถอ่ำนด้วยทำนอง ทไ่ี พเรำะและมิศิลปะได้ คมั ภรี อ์ ลั กุรอำนกำเนิดมำจำกกำรเขยี นขนึ้ จำกคำบอกเล่ำของ ท่ำนนบมี ูฮัมมดั ผ้อู ้ำงวำ่ ได้รับทรำบจำกฑตู สวรรค์บำ้ ง จำกพระองค์อลั ลอฮ์โดยตรงบ้ำง กลำ่ วคือ พระองค์อลั ลอฮ์ทรงประทำนมำให้แกท่ ่ำนนบีมูฮมั มัด ในลกั ษณะลงวะฮีย์ (เผย โองกำร) โดยตรงบำ้ ง โดยผำ่ นญบิ รลี (กำเบรียล) สู่ทำ่ นนบบี ้ำง เพ่ือให้ใช้เปน็ ธรรมนญู ใน กำรดำเนนิ ชีวติ ของมสุ ลมิ ทว่ั โลก มุสลิมทกุ คนถอื วำ่ คมั ภรี อ์ ลั -กุรอำนเป็นสิ่งศกั ดิส์ ทิ ธิ์ท่ี จะตอ้ งแสดงควำมเคำรพอยำ่ งเครง่ ครัด เพรำะทุกตัวอกั ษรทกุ คำเกดิ จำกกำรเปดิ เผย (วะฮยี ์) ของพระเจ้ำ เป็นเทวบัญชำของพระเจำ้ และเป็นสัจพจน์ ที่บริสทุ ธิข์ องพระเจ้ำท่ี ไมม่ ใี ครจะสงสยั ดดั แปลงแกไ้ ขได้

๒๗ คมั ภรี ์อัล-กุรอำนนไ้ี ด้มกี ำรรวบรวมบันทึกไวด้ ้วยภำษำอำหรับ เปน็ รูปเลม่ อยำ่ ง สมบรู ณค์ รง้ั แรกหลังจำกท่ีทำ่ นนบสี ิ้นชีวติ แลว้ ๕ เดือน มีขนำดหนงั สือนอ้ ยกว่ำคัมภีร์ไบ เบล้ิ ของศำสนำครสิ ต์ บนั ทึกไว้ในทำนองรอ้ ยแก้ว และมบี ำงตอนในบทท้ำยเลม่ ทีถ้อยคำ สอดคล้องกนั มจี ังหวะรับกนั เหมอื นโคลงกลอนในกวนี พิ นธ์ มเี น้ือหำหลำยตอนที่ คล้ำยคลงึ กับคัมภีรข์ องศำสนำยิวและศำสนำครสิ ต์ ซึง่ อำจเป็นไปไดท้ ี่ว่ำควำมจรงิ แลว้ คัมภรี ์อัล-กรอุ ำน ถือเป็นคัมภีร์สุดทำ้ ยทบ่ี ูรณท์ ี่สุดเพรำะได้เพมิ่ เติมส่ิงทขี่ ำดในคมั ภรี อ์ ืน่ ๆ ไม่ว่ำจะเป็นทำงทฤษฎีหรอื กำรปฏบิ ตั ิไว้อยำ่ งครบถ้วน สำหรบั บคุ คลและสังคมเกี่ยวกบั กำรดำเนินชีวติ กำรอยูร่ วมกัน กำรแต่งงำน กำรตำย อำชีพกำรทำมำหำกิน เศรษฐกิจ สังคม กำรปกครอง และกำรเมือง ลกั ษณะกำรบรรจุเน้ือหำในคมั ภรี อ์ ลั -กุรอำนแบ่งออกเป็น “ซูเรำะห์” หรอื บทมี ๑๑๔ บท (หรอื จะเรยี กว่ำ “บรรพ” ก็ได้) แต่ละบทประกอบดว้ ย “อำยหุ ”์ หรือโองกำร มี ท้ังหมด ๖,๖๖๖ โองกำร (หรือจะเรยี กว่ำ “วรรค” กไ็ ด้) จำนวนโองกำรของแต่ละบทจะไม่ เทำ่ กนั ถำ้ คิดเป็นคำทั้งหมดในคัมภรียม์ จี ำนวนนบั ได้ ๗๗,๖๓๙ คำ แต่ละบท (ซเู รำะห์) จะมชี อ่ื หัวข้อกำกับและบอกวำ่ ทรงสง่ ขอ้ ควำมลงมำ ณ ท่ไี หน คอื ท่ีเมืองเมกกะหรือท่ี เมอื งเมดินะ ท้ัง ๒ เมอื งนมี้ เี น้ือหำสำระแตกตำ่ งกัน คือ ๑.ซูเรำะห์ที่เมืองเมกกะ เรียกว่ำ มักกียรห์ มจี ำนวน ๙๓ ซูเรำะห์ เปน็ โองกำรส้ัน ๆ กลำ่ วถึง ๑.๑ เรอ่ื งรำวของชนชำตติ ่ำง ๆ และควำมพนิ ำศลม่ จมแห่งสังคมชนชำตติ ่ำง ๆ ๑.๒ ลกั ษณะอันเปน็ เอกภำพของพระองค์อัลลอฮ์ และศรทั ธำทคี่ วรมีตอ่ พระองค์ ๑.๓ ข้อพิสจู น์ควำมเป็นเจำ้ ของอัลลำห์ และคำสอนใหป้ ระพฤตดิ ี เว้นชวั่ ๒.ซเู รำะหท์ เี่ มอื งเมดนิ ะ เรียกวำ่ “มะดะนียะห์” มีจำนวน ๒๑ ซเู รำะห์ เป็น โองกำรทีค่ ่อนข้ำงยำวกล่ำวถึง ๒.๑ ประมวลกฎหมำยตำ่ ง ๆ เช่น กฎหมำยมรดก กำรซ้อื ขำย กำรหยำ่ ร้ำง ฯลฯ ๒.๒ หลักปฏิบตั ิของมสุ ลมิ เช่น กำรถอื ศลี อด กำรประกอบพธิ ีฮจั ญ์ ฯลฯ ขอ้ ควรทรำบอกี อยำ่ งหน่งึ ก็คอื ว่ำ ปรำชญม์ ุสลิมในสมยั ตอ่ มำไดน้ ำเอำซูเรำะห์ ท้งั หมดในคัมภีรอ์ ัล-กรุ อำนมำแบ่งเป็น ๓๐ บท แตล่ ะบทมีควำมยำวใกลเ้ คยี งกนั เรียกวำ่

๒๘ “ญซุ ฮ์” เพอื่ ใหม้ สุ ลมิ ผูม้ ีศรทั ธำได้ใชอ้ ่ำนวนั ละบทในระหวำ่ งถอื ศีลอดในเดือน รอมดอน ครบ ๓๐ วนั ๓๐ บทพอดี ปัจจบุ ันนี้คมั ภรี อ์ ัล-กุรอำนไดร้ บั กำรแปลเป็นภำษำต่ำง ๆ เกือบ ทุกภำษำ และแพร่หลำยไปท่วั โลก รวมทง้ั ฉบบั ภำษำไทย นอกจำกน้ียังมีอลั -ฮะดีต (Al- Hadith) แปลตำมศัพท์วำ่ “อธิบำย” เปน็ กำรบันทึกหรืออธบิ ำยเกี่ยวกบั คำสอน ตลอดจน จริยำวตั รของทำ่ นศำสดำนบีมูฮมั มัด เดมิ เป็นเร่ืองเลำ่ และจดจำสบื ต่อกนั มำ ภำยหลังจึงมี ผรู้ วบรวมบนั ทึกเปน็ ลำยลกั ษณอ์ ักษร มหี ลำยสำนวนหลำยภำษำ และมีมำกมำย ฉบบั ภำษำไทยกม็ ี กล่ำวกันวำ่ มจี ำนวนไมน่ ้อยกว่ำ ๔,๐๐๐ ข้อ เชน่ - มนษุ ยท์ ี่ดที ่สี ดุ คือผู้บำเพญ็ ประโยชนแ์ กเ่ พ่อื นมนษุ ย์ - ผู้ใดมีควำมพยำยำม ผู้นั้นจะได้รบั ควำมสำเรจ็ - บรุ ุษที่อมิ่ หนำสำรำญในขณะที่เพอ่ื นบำ้ นของเขำกำลังตกยำกนั้น ไมใ่ ช่มสุ ลิม - อย่ำริอำ่ นเปน็ คนติดเหล้ำหรอื เลน่ กำรพนัน - ผู้ท่ดี ีทีส่ ดุ ในพวกทำ่ น คือ ผปู้ ฏิบัติต่อครอบครวั ของเขำอยำ่ งดที ่สี ดุ - ฯลฯ https://guru.sanook.com/2288/ หลกั ธรรม

๒๙ หลักธรรมที่สาคญั ของศาสนาอิสลาม ท่ีสาคัญได้แก่ ๑. หลักศรทั ธา ๖ ประการ คำว่ำศรัทธำสำหรบั ชำวมสุ ลมิ หมำยถึง ควำมเช่ือมนั่ ด้วย จิตใจโดยปรำศจำกกำรระแวงสงสัยหรอื กำรโตแ้ ยง้ ใด ๆ หลกั ศรทั ธำในศำสนำอิสลำมมี ๖ ประกำร คือ ๑) ศรทั ธำในพระผเู้ ป็นเจำ้ ชำวมสุ ลิมต้องศรทั ธำต่อพระอัลลอฮแ์ ต่เพยี งพระองค์ เดียว ๒) ศรทั ธำในบรรดำมลำอีกะฮฺ ว่ำมีจริง คำวำ่ “มลำอกี ะฮฺ” หมำยถงึ ทูตสวรรค์ หรือเทวทูตของพระเจ้ำ เป็นคนกลำงระหว่ำงพระเจ้ำกับศำสดำ เปน็ วิญญำณท่ีมองไมเ่ ห็น สัมผัส ไมไ่ ด้ ๓) ศรทั ธำในคมั ภรี อ์ ัลกุรอำน ๔) ศรทั ธำในบรรดำศำสนทูต ในคมั ภีร์อลั กรุ อำนกล่ำวถึงศำสนทูตวำ่ มีทั้งหมด 25 ท่ำน ท่ำนแรก คอื นบีอำดัม และทำ่ นสุดท้ำยคอื นบีมุฮมั มดั ๕) ศรัทธำในวนั พพิ ำกษำ มุสลมิ ต้องเช่ือวำ่ โลกนไี้ ม่จีรัง ต้องมีวันแตกสลำยหรอื มี วันสิ้นโลก ๖) ศรทั ธำในกฎสภำวะ (ลขิ ิต) ของพระเจำ้ ชำวมุสลมิ เชอื่ ว่ำพระเจ้ำได้ทรง กำหนดกฎอันแนน่ อนไว้ ๒ ประเภท คือ กฎทตี่ ำยตวั เปลยี่ นแปลงไม่ได้ ทุกส่ิงเปน็ ไปตำมพระ ประสงคข์ องพระเจ้ำ เช่น กำรถือกำเนดิ ชำติพันธ์ุ รปู ร่ำงหน้ำตำ ฯลฯ และกฎทีไ่ ม่ตำยตัว เป็นกฎ ทด่ี ำเนินไปตำมเหตผุ ล เช่นทำดีไดด้ ี ทำชว่ั ได้ชั่ว ซง่ึ พระเจ้ำไดป้ ระทำนแนวทำงชีวิตทดี่ ีงำมพรอ้ ม กับสตปิ ัญญำของมนษุ ย์ ดังน้ันมสุ ลิมทุกคนตอ้ งพยำยำมทำให้ดีที่สุด ๒. หลกั ปฏบิ ตั ิ ๕ ประการ หลกั ปฏบิ ัติ คือ พธิ ีกรรมเพื่อให้เข้ำสู่ควำมเป็นมสุ ลิมโดย สมบรู ณ์ ซง่ึ ชำวมสุ ลมิ ตอ้ งปฏิบตั ศิ ำสนกิจพรอ้ มท้ัง ๓ ทำง คือ กำย วำจำ และใจ อันถือเป็นควำม ภักดตี ลอดชวี ติ หลกั ปฏบิ ัติ ๕ ประกำร มดี ังนี้ ๑) การปฏิญาณตน ชำวมุสลิมทุกคนตอ้ งปฏญิ ำณตนยอมรับควำมเป็นพระเจ้ำ องคเ์ ดยี วของพระอลั ลอฮ์และยอมรบั ในควำมเป็นศำสนทตู ของทำ่ นนบมี ุฮัมมัด

๓๐ ๒) การละหมาด กำรทำละหมำด หมำยถึงกำรนมัสกำรพระเจ้ำทง้ั ร่ำงกำยและ จิตใจวันละ ๕ ครง้ั ไดแ้ ก่ เวลำก่อนพระอำทิตย์ขน้ึ เวลำกลำงวนั เวลำบำ่ ย เวลำพลบค่ำ และเวลำ กลำงคนื กำรทำละหมำดเร่มิ เมื่ออำยไุ ด้ ๑๐ ขวบ จนถึงขน้ั สิ้นชวี ิต ยกเวน้ หญิงขณะมีรอบเดอื น ๓) การถอื ศีลอด คือ กำรละเวน้ ยับยั้งและควบคุมตน โดยงดกำรบรโิ ภคอำหำร นำ้ ด่ืม และร่วมประเวณี ตงั้ แต่พระอำทติ ย์ข้ึนจนถึงพระอำทติ ย์ตกดนิ เปน็ เวลำ ๑ เดือน ในเดือน รอมฎอน (เดือน ๙ ทำงจันทรคตขิ องอสิ ลำม) กำรถอื ศลี อดเปน็ หน้ำทข่ี องชำวมุสลิมทุกคนท่ีอำยุ ครบ ๑๕ ปี เป็นต้นไป แตผ่ อ่ นผันในกรณีหญงิ ขณะมีรอบเดอื นและหลังคลอด บุคคลในระหว่ำง เดนิ ทำง หญงิ มคี รรภ์ แม่ลกู ออ่ น บุคคลท่มี ีสุขภำพไม่ปกติ มีโรคภยั คนชรำ และบคุ คลที่ทำงำน หนกั ๔) การบรจิ าคซะกาต หมำยถงึ กำรบรจิ ำคทรพั ยเ์ พื่อขดั เกลำจิตใจของผบู้ ริจำคให้ สะอำดบรสิ ทุ ธล์ิ ดควำมตระหนี่ ควำมเห็นแก่ตัว ให้มใี จเอ้อื เฟือ้ เผอ่ื แผ่ ๕) การประกอบพิธฮี ัจญ์ หมำยถงึ กำรเดนิ ทำงไปประกอบศำสนกจิ หรือจำรกิ แสวงบญุ ณ วหิ ำรอัลกะฮ์ และสถำนท่ีตำ่ งๆ ในนครเมกกะ ประเทศซำอุดีอำระเบยี ในช่วงเวลำที่ กำหนด โดยให้ปฏิบัตเิ ฉพำะบุคคลท่มี ีควำมสำมำรถเท่ำนัน้ http://www.maceducation.com/e-knowledge/2413117100/08.htm

๓๑ บ ๓.๑/ผ ๔-๐๑ ใบงานที่ ๐๑ คาชแ้ี จง นกั เรยี นเขียนสรุปขน้ั ตอนเกย่ี วกบั กำรบำรงุ ศำสนสถำนในชุมชนของตนเอง ชื่อ............................................................................................ช้นั ..................เลขที่...............

๓๒ ใบความรทู้ ี่ ๐๑ การบารงุ รักษาศาสนาสถานในชุมชน การปฏิบตั ติ นตอ่ ศาสนสถาน • การปฏบิ ัตติ นต่อวดั กำรไปวดั ควรแต่งกำยสุภำพเรยี บรอ้ ย โดยใช้เสือ้ ผำ้ สีออ่ น ๆ หรอื สีขำวไมค่ วรสวมกำงเกง ขำสัน้ หรือกระโปรงส้ัน ขณะทเี่ รำอยใู่ นบรเิ วณวดั เรำควรสำรวมกำย วำจำ ไม่ควรส่งเสยี งดงั และไมย่ งิ นกตกปลำในวดั • การปฏบิ ัติตนต่อศาสนสถานอื่น ๆ ๑. ชว่ ยกันรกั ษำใหอ้ ยู่ในสภำพเดมิ ไม่ขีดเขียนสิง่ ใด ๆ ให้สกปรก ๒. บำเพญ็ ประโยชนโ์ ดยกำรชว่ ยกันทำควำมสะอำด กำรทำควำมเคำรพ เม่ือเดินผ่ำนวัด หรอื ศำสนสถำนควรยกมอื ไหวด้ ว้ ยควำมเคำรพ กำรบำเพญ็ ตนให้เป็นประโยชนแ์ กว่ ดั วัดเป็นสถำนท่ีอำนวยคุณประโยชนม์ ำกมำย วดั ตั้งอยู่ท่วั ทุกตำบลทกุ หมบู่ ำ้ น วดั มี ควำมสำคัญต่อชีวิตสว่ นบคุ คลตลอดถึงส่วนรวม คอื ประเทศชำติ เปน็ สถำบนั สำคญั สถำบนั หนงึ่ ใน ๓ สถำบัน คือ ชำติ ศำสนำ และพระมหำกษตั รยิ ์ วดั เปน็ สมบตั ิ ส่วนรวมของทุกคน เม่อื วัดเป็นสมบัติของเรำ เรำต้องบำเพญ็ ตนให้เปน็ ประโยชน์แก่วดั ดงั นี้ ๑) ไมท่ ำลำยทรัพย์สมบัตขิ องวัด เชน่ ไม่ขีดเขยี นกำแพงฝำผนัง หรือขำ้ งฝำ ๒) ไม่ลักขโมยทรพั ย์สมบตั ิของวดั ๓) ป้องกันมใิ ห้ผู้อน่ื ทำลำยหรือลักขโมยทรัพย์สมบตั ขิ องวดั ๔) ชว่ ยบรู ณปฏสิ ังขรณถ์ ำวรวัตถทุ ช่ี ำรุดทรุดโทรมใหม้ นั่ คงแข็งแรง โดยช่วยกัน

๓๓ บริจำคทรัพยซ์ ่อมแซมหรอื ชกั ชวนให้ผูอ้ ื่นช่วยกนั บำรุงรักษำวดั ๕) ชว่ ยกนั รักษำควำมสะอำดศำสนสถำนรวมทง้ั บรเิ วณใด ๖) ปลกู ตน้ ไม้และบำรงุ รกั ษำตน้ ไม้ เพื่อใหว้ ัดเป็นสถำนทีร่ ม่ รืน่ สวยงำม ๗) บรจิ ำคส่งิ ของเครอ่ื งใช้ท่ีจำเปน็ เพ่ือใชป้ ระโยชนส์ ว่ นรวมแก่วดั เช่น โตะ๊ เกำ้ อี้ ภำชนะต่ำง ๆ เป็นต้นนอกจำกกำรบำเพญ็ ตนใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ก่วดั แล้ว พทุ ธศาสนกิ ชนควรปฏบิ ัตติ นต่อวัด ดงั น้ี ๑) แสดงควำมเคำรพต่อพระรัตนตรยั คอื พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมท้งั กำรสำรวม กริ ยิ ำมำรยำท ตลอดจนกำรเข้ำไปในบรเิ วณวัดควรจะแต่งกำยสภุ ำพเรียบร้อย ๒) ประพฤติตนอยูใ่ นขอบเขตศีลธรรมอนั ดงี ำม เชน่ ไม่ฆ่ำสัตว์ ไม่ลกั ขโมยไม่ก่อกำร ทะเลำะววิ ำทกนั ๓) หม่นั เข้ำวัดเพ่อื ทำบุญตักบำตร ฟังธรรม สวดมนต์ไหว้พระในวนั พระหรือวนั สำคัญทำง พระพทุ ธศำสนำ กำรบำเพ็ญตนใหเ้ ป็นประโยชน์แก่วดั ถอื วำ่ เป็นกำรบชู ำพระคุณของ พระรัตนตรยั คอื พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ โดยถอื วำ่ วดั เปน็ สมบตั ิของพทุ ธศำสนกิ ชนทุก คน เรำตอ้ งรกั และหวงแหนวดั โดยชว่ ยกนั ทำนุบำรุงวัดเพื่อควำมมัน่ คงถำวรของพระพทุ ธศำสนำ อันเป็นศำสนำประจำชำติไทย การแสดงความเคารพตอ่ ศาสนสถาน ๑. แสดงควำมเคำรพบชู ำโดยกำรกรำบไหว้ ๒. แต่งกำยสุภำพเม่อื เขำ้ ไปในศำสนสถำนและระมัดระวงั กิรยิ ำมำรยำทใหเ้ รียบร้อย ไมส่ ่ง เสยี งดังหรอื ว่งิ เลน่ ๓. ดแู ลรักษำศำสนสถำนโดยกำรกั ษำควำมสะอำด ไมข่ ดี เขียนเลน่ ให้เกิดควำมสกปรก ๔. ไม่สบู บุหร่ี เสพสำรเสพติดให้โทษทุกชนดิ และไม่รังแกหรอื เบยี ดเบยี นสัตว์ในบริเวณ ศำสนสถำน การปฏิบัติตนต่อศาสนสถานของชาวครสิ ต์ ๑. ทำควำมเคำรพกอ่ นเขำ้ ทีป่ ระจำ ๒. ตัง้ ใจทำพิธี ๓. หำ้ มสูบบุหรี่ ๔. หำ้ มนำสตั วเ์ ลยี้ งเข้ำไปในโบสถ์ ๕. ใสร่ องเท้ำเข้ำไปในโบสถ์ ๖. หำ้ มสวมชดุ บอล

๓๔ ๗. ห้ำมสวมหมวก ๘. หำ้ มใส่เสอื้ แขนกดุ และกำงเกงขำส้ัน ๙. หำ้ มทำลำยทรพั ย์สนิ ๑๐. ปดิ โทรศพั ท์และห้ำมส่งเสยี งดงั รบกวนผอู้ ่นื ๑๑. รักษำควำมสะอำดท้งิ ขยะใหถ้ ูกท่ี ๑๒. ห้ำมนำอำหำร เคร่อื งด่ืม เข้ำมำรบั ประทำน ๑๓. ห้ำมทะเลำะวิวำท ๑๔. ห้ำมขน้ึ พระแทน่ ๑๕. ห้ำมลกั ขโมย ๑๖. ห้ำมแสดงควำมรักเกินงำม ๑๗. ห้ำมวำงเทำ้ บนเบำะคกุ เข่ำ การปฏบิ ตั ติ นต่อศาสนสถานของชาวมสุ ลิม ๑. ก้ำวเทำ้ ขวำเข้ำมสั ยดิ พลำงกล่ำวว่ำ “บิสมลิ ลำฮฺ อัลลอฮมุ มะศอลลิอะลำมฮุ ัมมดั อลั ลอฮุมมะอฟั ตะฮฺลี อับวำบะเรำะฮมฺ ะตกิ๊ ” ๒. ก้ำวเทำ้ ซำ้ ยออกจำกมัสยิด พลำงกลำ่ วว่ำ “อลั ลอฮมุ มะศอลลอิ ะลำมุฮัมมดั อลั ลอฮุม มะอัฟตะลี อับวำบะฟฎั ลกิ ” ๓. ถอดรองเทำ้ กอ่ นเข้ำมัสยดิ และนำไปไว้ยังสถำนท่ี ๆ ไดส้ ำรองไว้ หำกจะนำรองเท้ำเข้ำ ไปด้วย ก็ต้องเช็ดส่ิงสกปรกท่พี ืน้ รองเทำ้ เสยี ก่อน แล้วเอำดำ้ นพน้ื รองเทำ้ ประกบกันแลว้ วำงลงท่ี ขำ้ ง ๆ หรอื ด้ำนหน้ำที่ตนน่งั หรือละหมำด ๔. กอ่ นเข้ำมสั ยดิ ตอ้ งทำควำมสะอำดปำกให้หมดกล่ิน หำกกินหวั หอมหรอื กระเทียม และ อำหำรทมี่ ีกลิ่นฉุน ๕. หำ้ มทงิ้ หรอื ทำส่ิงสกปรกในมัสยดิ โดยเฉพำะนะยิส (สิง่ สกปรกตำมหลักกำรศำสนำ) เชน่ เดินด้วยรองเทำ้ ทเ่ี ปือ้ นนะยิส เปน็ ตน้ ๖. ห้ำมถม่ น้ำลำย หรือสัง่ น้ำมูก หรอื เสมหะ ในมัสยิด หรอื เช็ดและปำ้ ยสิง่ น่ำเกลียด เหล่ำนีท้ ี่พรมหรอื ท่ีประตมู ัสยิด รวมทง้ั ในทีท่ ี่อำบนำ้ ละหมำด ซ่ึงอยใู่ นมสั ยดิ และหำกพบก็ต้องรีบ ทำควำมสะอำดหรือนำออกไปจำกมสั ยิดทนั ที ๗. พึงหลกี เลี่ยงกำรวงิ่ เล่นหรอื ทำเสยี งดังในมัสยิด แมเ้ ปน็ กำรอำ่ นอลั กรุ อำนกต็ ำม เพรำะ

๓๕ จะเป็นกำรรบกวนผ้ทู ่กี ำลงั ละหมำดหรอื กำลังอบรมศำสนำกนั อยู่ ๘. ห้ำมรบั ประทำนอำหำร หรอื นอนในมัสยิด และตอ้ งละเว้นโดยสิ้นเชิงท่จี ะทำบำปใน มสั ยิด เชน่ กำรนินทำให้ร้ำย ยแุ หย่ พดู เทจ็ และถกู คนอ่นื เป็นตน้ ๙. ไมค่ วรนำเดก็ อ่อนเขำ้ มสั ยิด แต่เมื่อเด็กรเู้ ดยี งสำโดยเฉพำะเมื่ออำยไุ ด้ 7 ขวบ ควร นำเข้ำยงั มัสยิดดว้ ย เพ่อื เปน็ กำรฝกึ หดั กำรทำอบิ ำดะฮฺ (ศำสนกิจ) ในมสั ยิดและรกั มสั ยิด ๑๐. สำหรบั สุภำพสตรีโดยเฉพำะยังสำว ๆ ท่จี ะเดินทำงไปยงั มสั ยดิ ไมค่ วรใสข่ องหอม หรอื แตง่ ตวั จนเกินงำม และควรจัดสถำนท่ีเขำ้ ออกหรอื ที่ละหมำดเฉพำะให้กบั สภุ ำพสตรี เพ่ือจะ ไดไ้ ม่ปะปนและเบียดเสยี ดกับผู้ชำย ทม่ี า http://kanpatibatton.blogspot.com/

๓๖ ใบงานท่ี ๐๒ คาชแ้ี จง นกั เรียนเขียนเรียงควำม เรือ่ ง กำรบำรงุ ศำสนำสถำนในชมุ ชนของฉนั ...................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ชือ่ ..........................................................สกุล..............................................เลขท่ี...................ชั้น.......................

๓๗ บ ๓.๑/ผ ๕-๐๑ ใบงานที่ ๐๑ คำชีแ้ จง นักเรยี นเขียนสรปุ เกีย่ วกับประวัติของสำวก และวิธกี ำรปฏิบัติตนของ สำวกของศำสนำทตี่ นนบั ถอื พรอ้ มกบั วำดภำพประกอบ แล้วนำไปรวมกับนกั เรียนคน อน่ื ๆ ในชนั้ เรียนเพือ่ รวบรวมเป็นหนงั สืออำ่ นประกอบ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ช่ือ...............................................สกุล.....................................ช้นั .............เลขที.่ ..............

๓๘ ใบความรทู้ ่ี ๑ ประวตั ิพทุ ธสาวก พระอญั ญาโกณฑัญญะ พระประวตั ิ พระอัญญำโกณฑญั ญะ เดิมชื่อ โกณฑัญญะ เป็นบตุ รของพรำหมณ์ในหม่บู ้ำนโฑณวัตถุ ใกล้เมอื งกบลิ พัสด์ุ จบกำรศึกษำด้ำนไตรเพทในคมั ภรี ์พรำมหณ์ ท่ำนเปน็ ผู้มีควำมเชี่ยวชำญในกำรทำนำ ลักษณะ ท่ำนเปน็ หนง่ึ ในจำนวนพรำหมณ์ ๘ คน ทพี่ ระเจ้ำสทุ โธทนะเชิญมำทำนำยลักษณะของเจ้ำชำยสิทธัต ถะ เมื่อครำวประสตู ิได้ ๕ วันและท่ำนได้ทำนำยด้วยควำมเช่ือมัน่ วำ่ พระกมุ ำรจักออกบวชและสำเร็จเปน็ พระ สัมมำสมั พทุ ธเจำ้ เม่อื เจำ้ ชำยสิทธัตถะเสด็จออกบวช และทรงบำเพญ็ ทกุ รกิริยำอยทู่ ่ำนมีควำมเชอ่ื ม่ันว่ำพระ สิทธัตถะจักสำเรจ็ เป็นพระพุทธเจ้ำอย่ำงแน่นอน จึงไดช้ วนพรำหมณ์อกี ๔ คน ประกอบด้วย วปั ปะ ภัททิยะ มหำนำมะ และอสั สชิ ออกบวชตำม และเฝำ้ ปฏิบัติอยู่ด้วยหวงั วำ่ เมอื่ พระสิทธัตถะบรรลุธรรมใดแล้วจกั แสดง แกพ่ วกตนบำ้ ง แต่เม่อื เหน็ พระสทิ ธตั ถะเลกิ บำเพ็ญทุกรกิรยิ ำจงึ หมดศรัทธำชกั ชวนกันหนีไปอยู่ ณปำ่ อิสิปตน มฤคทำยวนั เมอ่ื พระสิทธัตถะบำเพญ็ เพยี งทำงจิตจนไดต้ รัสรู้เป็นพระพทุ ธเจำ้ แล้ว ไดเ้ สด็จไปยงั ปำ่ อิสิปตน มฤคทำยวนั เพื่อแสดงธรรมโปรดปญั จวคั คีย์ มีพระโกณฑัญญะ เปน็ ตน้ พระธรรมเทศนำกัณฑแ์ รกทพ่ี ระองค์ทรงแสดงเรียกวำ่ “ธรรมจกั รกปั ปวตั นสตู ร” เมือ่ แสดงธรรมจบ แล้วทำ่ นโกณฑญั ญะไดด้ วงตำเห็นธรรม พระองคท์ รงเปลง่ อทุ ำนวำ่ อญฺญำสิ วต โภ โกณฑฺ ญโฺ ญ แปลว่ำ โกณ ฑญั ญะ รู้แล้วหนอ อำศยั คำว่ำ อญญฺ ำสิ จึงใชค้ ำว่ำ อัญญำ นำหนำ้ ช่ือทำ่ นโกณฑัญญะ และท่ำนได้ทลู ขอ อปุ สมบทกับพระพทุ ธเจ้ำ พระองค์ทรงประทำนอปุ สมบทด้วยวิธีเอหิภกิ ขอุ ุปสมั ปทำพระพุทธเจ้ำได้แสดงธรรม โปรดอีกสีท่ ำ่ นท่เี หลอื และทกุ ทำ่ นกไ็ ดด้ วงตำเหน็ ธรรมทลู ขออุปสมบท พระองค์ทรงประทำนด้วยวิธี เอหิภกิ ขอุ ุปสมั ปทำ เมือ่ ปญั จวคั คีย์ไดอ้ ุปสมบทครบแล้ว พระองค์ไดแ้ สดงอนัตตลกั ขณสูตรโปรดท่ำนทัง้ หำ้ และท่ำนเหล่ำนนั้ ก็ได้บรรลุอรหตั ผลทกุ รปู พระอญั ญำโกณฑญั ญะ นับเปน็ พระภิกษรุ ูปแรกในพระพุทธศำสนำ ทำ่ นได้รับกำรยกยอ่ งจำกพระพทุ ธเจำ้ วำ่ มีควำมเป็นเลิศทำงรัตตัญญู คือ ผู้มีประสบกำรณ์มำก เนอื่ งจำกท่ำน ไดเ้ ปน็ กำลงั สำคญั ในกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำ ท่ำนไดจ้ ำรกิ ไปในสถำนท่ตี ่ำง ๆ เพอื่ ประกำศพระศำสนำ ตลอดจนชกั ชวนญำติพีน่ ้องใหน้ ับถอื เลื่อมใสในพระพุทธศำสนำ บำงท่ำนไดอ้ อกบวชสำเร็จเป็นพระอรหันต์

๓๙ เชน่ พระปุณณมันตำนีบตุ รผเู้ ปน็ หลำนชำย เป็นต้น และเมื่อทำ่ นมีอำยุมำกขนึ้ เข้ำสวู่ ัยชรำ ท่ำนได้กรำบลำ พระพทุ ธเจำ้ ไปอยู่เสนำสนะป่ำใกล้สระฉทั ทันต์เป็นเวลำ ๑๒ ปี จึงนิพพำนทีป่ ่ำฉัททนั ตน์ ั่นเอง คุณธรรมท่ีควรถอื เป็นแบบอย่าง ๑. เปน็ ผู้มปี ระสบกำรณ์มำก พระอญั ญำโกณฑัญญะ มปี ระสบกำรณ์มำกมีควำมรอบรู้ท้ังทำงคดโี ลก คดีธรรม ซ่ึงเกิดจำกกำรไดศ้ กึ ษำเลำ่ เรียนและมีควำมเช่ียวชำญในวิชำที่เรยี น ตลอดถงึ กำรนำวชิ ำควำมรทู้ ี่ ไดร้ บั มำประยุกตใ์ ช้ในกำรดำเนนิ ชีวติ อำศัยประสบกำรณ์มำปรับปรงุ แกไ้ ขในสว่ นที่บกพรอ่ ง ๒. เป็นผมู้ ีควำมสนั โดษ พอใจในส่ิงทต่ี นเองมีอยู่ ตำมประวัติกลำ่ ววำ่ พระอัญญำโกณฑัญญะชอบ ควำมสงบไม่ชอบคลุกคลกี บั หม่คู ณะ ยินดใี นเสนำสนะปำ่ ๓. เปน็ ผู้มีปัญญำแกก่ ลำ้ พระอญั ญำโกณฑัญญะเมื่อไดร้ บั ฟงั พระธรรมเทศนำที่พระพุทธเจำ้ ตรัส แสดงโปรดครั้งแรก สำมำรถรู้ธรรมไดอ้ ยำ่ งฉับพลัน ได้ดวงตำเหน็ ธรรมและทูลขออุปสมบทเป็นพระภกิ ษรุ ูป แรกในพระพทุ ธศำสนำ ๔. เปน็ ผู้มเี หตุผล เม่อื ครำวทพี่ ระพุทธเจ้ำเสด็จไปแสดงธรรมโปรดเปน็ ครง้ั แรก พระอญั ญำโกณ ฑญั ญะได้นัดแนะกับทำ่ นอืน่ ๆ ไม่ให้แสดงอำกำรตอ้ นรบั ไม่ทักทำย แต่เมอ่ื พระพทุ ธเจำ้ ทรงเตือนให้นกึ ถึง ควำมหลัง ท่ำนไม่หัวด้อื เปน็ ผมู้ ีเหตุผลเมือ่ ฟงั พระธรรมเทศนำแล้วไดด้ วงตำเหน็ ธรรมสำเร็จเปน็ พระโสดำบัน พระประวัติ พระนางมหาปชาบดี เป็นพระรำชธดิ ำของพระเจ้ำอญั ชนะแหง่ โกลยิ วงศ์ เปน็ พระกนิษฐภคินี (พระนอ้ งนำง) ของพระนำง สริ ิมหำมำยำ และทรงเป็นพระน้ำนำงของพระพทุ ธเจำ้ เมอื่ พระนำงสริ มิ หำมำยำประสูตเิ จ้ำชำยสทิ ธัตถะได้ ๗ วันกส็ ิน้ พระชนม์ พระเจำ้ สทุ โธทนะจึงทรงตั้งพระนำงมหำปชำบดีไวใ้ นตำแหน่งอัครมเหสแี ละไดท้ รงมอบ หน้ำทีก่ ำรเลี้ยงดเู จ้ำชำยสิทธัตถะให้กบั พระนำง ซงึ่ พระนำงกไ็ ดท้ รงเลยี้ งดพู ระกมุ ำรเป็นอย่ำงดยี งิ่ กว่ำเจำ้ ชำย นนั ทะและเจ้ำหญิงนนั ทำผเู้ ป็นพระโอรสและพระธิดำของพระนำงเอง เมอ่ื ครำวท่พี ระพุทธเจำ้ ได้เสดจ็ ไปโปรด พระพุทธบิดำและพระประยรู ญำตทิ ่ีกรุงกบลิ พัสดุ์ พระองค์ไดเ้ สด็จประทบั อยู่ ณ นโิ ครธำรำม ใกลก้ รงุ กบิลพสั ด์ุ พระนำงมหำปชำบดีไดเ้ ขำ้ ไปเฝำ้ และกรำบทลู ขอบรรพชำ พระพทุ ธเจำ้ ไม่ทรงอนุญำต แม้จะกรำบ ทูลถงึ ๓ คร้งั ก็ตำม ก็มิไดท้ รงอนุญำตด้วยมเี หตผุ ลวำ่ สตรไี มค่ วรบรรพชำ ทำใหพ้ ระนำงเกิดควำมทุกขเ์ สยี พระทยั เปน็ อย่ำงยิ่ง แตถ่ งึ กระนั้นพระนำงกม็ ไิ ดย้ อ่ ท้อ มีพระทัยม่งุ ม่ันตอ่ กำรบรรพชำเพยี งอย่ำงเดยี ว

๔๐ ในเวลำต่อมำ เมื่อพระพุทธเจ้ำเสด็จประทับอยู่ ณ กฏู ำคำรศำลำ ป่ำมหำวัน ใกลก้ รุงเวสำลี แคว้นวัช ชี พระนำงมหำปชำบดีโคตมีพรอ้ มดว้ ยเจำ้ หญิงศำกยะเป็นจำนวนมำก ได้ทรงปลงพระเกศำ น่งุ ห่มผ้ำย้อมดว้ ย น้ำฝำดไดเ้ สด็จไปยังทีป่ ระทบั ของพระพุทธเจำ้ ด้วยพระบำทเปลำ่ เพอ่ื ทลู ขอบรรพชำ เมือ่ เสดจ็ ไปถงึ ได้ประทบั ยืน ณ ภำยนอกซุ้มประตู เมอ่ื พระอำนนทเ์ หน็ พระนำง ถำมทรำบควำมประสงค์แลว้ เขำ้ ไปเฝ้ำพระพุทธเจ้ำทูล ขอใหท้ รงอนุญำตกำรบรรพชำแก่พระนำง พระพทุ ธเจ้ำทรงปฏเิ สธ ถงึ แม้พระอำนนทจ์ ะทลู ขอถงึ สำมครัง้ ก็ ตำมพระอำนนท์จึงกรำบทลู ถำมว่ำ สตรเี มื่อไดบ้ วชแลว้ จะสำมำรถสำเร็จมรรคผลได้หรือไม่ พระพทุ ธเจำ้ ตรสั ตอบว่ำมสี ิทธิ์สำเร็จมรรคผลได้พระอำนนทจ์ ึงกรำบทลู พระพทุ ธเจ้ำให้ทรงเหน็ แก่พระนำงมหำปชำบดที เ่ี คย ทรงอบรมเลย้ี งดมู ำตั้งแตค่ รัง้ ยงั ทรงพระเยำวถ์ อื วำ่ ทรงมีคุณปู กำรแกพ่ ระพุทธเจ้ำเปน็ เอนกประกำร พระพุทธเจำ้ ตรัสวำ่ ถำ้ พระนำงมหำชำบดี ทรงรับครธุ รรม ๘ ประกำร ก็จักทรงให้อนุญำตให้บวชได้ ครุธรรม ๘ ประกำร ได้แก่ ๑. พระภกิ ษณุ ีแมบ้ วชแล้วได้ร้อยพรรษำ ตอ้ งเคำรพนบไหวพ้ ระภกิ ษุ แม้บวชใหมใ่ นวนั นน้ั พระภกิ ษณุ ี จะจำพรรษำอยูโ่ ดดเดี่ยวโดยไม่มพี ระภิกษไุ ม่ได้ตอ้ งมสี ำนักอยูเ่ ป็นเอกเทศในเขตวัดทม่ี ีพระภกิ ษอุ ยดู่ ้วยหรอื ไม่ กอ็ ยใู่ กล้หมบู่ ำ้ นที่สุด ๒. พระภิกษุณจี ะจำพรรษำอย่โู ดดเดยี่ วโดยไม่มพี ระภิกษไุ มไ่ ด้ ตอ้ งมสี ำนักอยู่เป็นเอกเทศในเขตวดั ที่ มพี ระภกิ ษุอยูด่ ว้ ยหรอื ไมก่ ็อยู่ใกลห้ มู่บ้ำนทสี่ ดุ ๓. พระภกิ ษณุ ี ตอ้ งปฏิบัติกิจ ๒ อยำ่ งทุกครึ่งเดือน คือ สอบถำมอุโบสถและรบั โอวำทจำกพระภกิ ษุ สงฆ์ ๔. พระภิกษณุ จี ำพรรษำแลว้ เวลำจะทำพิธอี อกพรรษำด้วยกำรปวำรณำตอ้ งทำพิธีออกพรรษำ ๒ ครั้ง คอื ทำพธิ ีในท่ีประชมุ สงฆ์ทเ่ี ปน็ ฝำ่ ยพระภกิ ษุณี และจะตอ้ งทำในฝำ่ ยพระภกิ ษุสงฆซ์ ้ำอกี ครัง้ หนง่ึ ๕. พระภิกษุณีต้องอำบตั ิหนกั ต้องประพฤติมำนัตในสงฆ์สองฝำ่ ย เป็นเวลำ ๑๕ วนั ๖. ก่อนบวชเป็นพระภกิ ษณุ ี สตรีทจ่ี ะบวชรอ้ งรกั ษำศีล ๖ ขอ้ เปน็ เวลำ ๒ ปี ขำดไม่ได้ ถ้ำขำดข้อหน่ึง ขอ้ ใดต้องเร่ิมต้นนบั เวลำรักษำใหม่ ๗. พระภิกษุณจี ะต้องไมบ่ รภิ ำษหรอื ด่ำพระภกิ ษุ ไมว่ ่ำกรณใี ด ๆ ทงั้ ส้นิ ๘. พระภกิ ษณุ ีต้องไม่สอนพระภกิ ษุ แต่จะเป็นฝ่ำยรบั กำรสอนจำกพระภิกษเุ ทำ่ นั้นพระอำนนท์ไดน้ ำ รำยละเอียดของครธุ รรม ๘ ประกำรไปบอกแกพ่ ระนำงมหำปชำบดโี คตมีเพอื่ ทรงทรำบและพจิ ำรณำ พระนำง พรอ้ มเจ้ำหญิงศำสกยะทั้งหมดยอมรับครุธรรมแล้ว พระนำงพร้อมด้วยเจ้ำหญิงศำกยะทัง้ หมดจึงไดร้ ับ อปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษณุ ใี นพระพุทธศำสนำ เม่อื พระนำงได้อปุ สมบทแลว้ ได้บำเพญ็ เพยี รจนไดส้ ำเรจ็ พระ อรหันต์ พระพทุ ธเจำ้ ได้ทรงยกย่องพระนำงว่ำเปน็ เอตทคั คะ คอื เลศิ กวำ่ ผอู้ ืน่ ในทำงรัตตัญญู (คอื ผู้มี ประสบกำรณม์ ำก)

๔๑ คณุ ธรรมท่ีควรถือเปน็ แบบอย่าง ๑. เปน็ ผู้มคี วำมต้ังใจแนว่ แน่ มศี รัทธำอย่ำงแรงกลำ้ ในพระพทุ ธศำสนำ คอื เมอื่ พระนำงมหำปชำบดี โคตมี มคี วำมดำรทิ ี่จะทรงออกบวชแล้ว กม็ พี ระทัยแนว่ แน่ไม่ย่อทอ้ ตอ่ อุปสรรคใด ๆ ถึงแม้พระพุทธเจ้ำจะ กำหนดหลกั แหง่ กำรประพฤติปฏบิ ัตอิ ยำ่ งหนักทีเ่ รียกว่ำ ครธุ รรม ๘ ประกำรกต็ ำม พระนำงกไ็ มท่ รงยอ่ ท้อ จน ในท่ีสุดกไ็ ด้รบั กำรอนญุ ำตจำกพระพทุ ธเจ้ำให้ทรงบวชได้ ๒. เปน็ ผมู้ ีควำมออ่ นน้อมอยำ่ งยงิ่ ถงึ แม้พระนำงจะมฐี ำนะเป็นถึงพระมำรดำเลีย้ งของพระพทุ ธเจำ้ ก็ ตำม แตพ่ ระนำงกไ็ ม่ทรงเย่อหยงิ่ ถอื พระองค์แตป่ ระกำรใด ตรงกันขำ้ ม กลบั มีควำมเคำรพในพระพทุ ธเจ้ำและ หม่พู ระภิกษสุ งฆ์สำวกเป็นอยำ่ งยิ่ง เห็นได้จำกข้อปฏบิ ตั ใิ นครุธรรม ภิกษุณีแมจ้ ะบวชได้ต้งั รอ้ ยปกี ย็ ังคงกรำบ ไหว้พระภกิ ษุผู้แม้บวชแล้วในวันนั้น นบั ไดว้ ำ่ พระนำงเป็นผมู้ ีควำมออ่ นน้อมและปฏิบตั ติ ำมอยำ่ งว่ำง่ำย พระเขมาเถรี ก่อนอุปสมบทเปน็ ภิกษุณี พระเขมำเถรี เปน็ พระรำชธิดำของกษัตรยิ เ์ มืองสำคละ แห่ง สำคละนคร ในแคว้นมัททะ เมื่อวยั เยำว์ พระรำชธิดำทรงมีพระสริ โิ ฉมทีง่ ดงำมทรงมีผวิ ขำวหมดจดต่อมำเมอ่ื เจริญวัยแลว้ ไดท้ รงเป็นมเหสขี องพระเจ้ำพมิ พิสำรกษัตริย์แห่งแควน้ มคธ มกี รุงรำชคฤห์เป็นรำชธำนี เมื่อ พระพุทธเจำ้ ไดป้ ระกำศเผยแผ่พระพุทธศำสนำ พระองคไ์ ด้เสดจ็ มำยังแคว้นมคธ ทรงโปรดแสดงธรรมแด่พระ เจ้ำพิมพิสำรจนสำเรจ็ พระโสดำบนั ตอ่ มำพระเจ้ำพมิ พสิ ำรไดถ้ วำยพระรำชอุทยำนเวฬวุ ันใหเ้ ป็นวัดแห่งแรกใน พระพทุ ธศำสนำ และเม่ือพระเจ้ำพิมพสิ ำรได้ถวำยพระเวฬวุ นั แล้วฝงู ชนเป็นอันมำกทงั้ ที่ใกล้และทีไ่ กลทรำบ ข่ำวได้พำกันมำเฝ้ำพระพุทธเจ้ำ ได้ฟังพระธรรมเทศนำพำกันหันมำนบั ถอื พระพุทธศำสนำ และเมอื่ พระเจ้ำพมิ พิสำรทรงเห็นฝูงชนเข้ำไปเฝ้ำพระพุทธเจ้ำเป็นจำนวนมำกเชน่ น้กี ท็ รงโสมนสั ปตี ิยินดี พระนำงเขมำเดิมมิไดส้ น พระทยั ในพระพุทธศำสนำแต่ประกำรใด ไมส่ นใจข่ำวพระพทุ ธเจ้ำพรอ้ มดว้ ยพระภกิ ษุสงฆ์สำวกซึง่ เสด็จมำ ประทับ ณ พระเวฬุวัน สนพระทยั แตเ่ ร่ืองควำมสวยควำมงำมเพลิดเพลินอยู่ในพระสิรโิ ฉมของพระนำงเทำ่ น้ัน พระเจ้ำพมิ พสิ ำรจึงมีพระรำชประสงคจ์ ะใหพ้ ระนำงเขำ้ เฝ้ำพระพทุ ธเจ้ำและสดับพระธรรมเทศนำจงึ ทรงคิด อบุ ำยให้กวีแต่งเพลงพรรณนำควำมงำมและควำมร่นื รมย์รม่ รน่ื ของพระเวฬุวัน แล้วรับส่ังให้กวขี บั ใหพ้ ระนำง ฟังพระนำงเขมำได้ทรงฟงั เพลงขบั ของกวีนน้ั ทรงรสู้ กึ วำ่ พระเวฬวุ นั ช่ำงน่ำอภริ มย์ร่มรน่ื จรงิ ๆ ทรงมพี ระ ประสงคจ์ ะเสดจ็ ไปเทีย่ วพระเวฬวุ ัน จงทลู ขออนุญำตจำกพระเจ้ำพมิ พสิ ำรซง่ึ พระองคก์ ท็ รงอนญุ ำต พระนำง

๔๒ พร้อมด้วยบรวิ ำรจงึ เสดจ็ ไปยงั พระเวฬุวันและไดเ้ ขำ้ เฝ้ำพระพุทธเจำ้ พระพทุ ธเจ้ำเมือ่ จะทรงแสดงธรรมให้ เหมำะแก่พระจริยวตั รของพระนำง จงึ ไดท้ รงเนรมติ รำ่ งสตรีทส่ี วยงำมประดุจนำงฟำ้ ใหน้ ั่งถวำยพัดงำนอยู่ใกล้ ๆ พระองค์ พระนำงทอดพระเนตรเห็นหญงิ สำวทก่ี ำลังโบกพัดวถี วำยพระพทุ ธเจำ้ นัน้ สวยงำมยงิ่ นกั สวยกวำ่ ควำมงำมของพระนำงอยำ่ งเทยี บกันไม่ได้ และในขณะท่ีพระนำงทรงเพลนิ ชมควำมงำมของหญิงสำวน้ันอยู่ พระพทุ ธเจำ้ ก็ทรงแสดงใหห้ ญงิ สำวน้ันมรี ูปรำ่ งเปล่ียนแปลงไปจำกหญงิ สำวสวยเป็นหญงิ ทม่ี อี ำยุมำก ชรำ ถือ ไมเ้ ทำ้ ผวิ หนังเหย่ี วยน่ เนือ้ หนงั ผพุ ังเน่ำเปื่อยไปตำมลำดับจนถงึ ล้มกลิ้งเกลอื กไปมำเป็นท่ีนำ่ เวทนำย่ิงนกั สดุ ทำ้ ยเหลือแตเ่ พียงโครงกระดกู ในทีส่ ุดพระนำงเขมำไดท้ อดพระเนตรเห็นควำมเปล่ียนแปลงตำ่ ง ๆ ดงั กล่ำว มำ ทรงนึกย้อนถึงพระวรกำยของพระนำงทีต่ ้องเป็นไปในสภำพเชน่ นีเ้ หมอื นกนั พระพทุ ธเจำ้ ทรงเห็นวำ่ พระ นำงพรอ้ มทจ่ี ะรบั พระธรรมเทศนำแล้ว จึงไดท้ รงแสดงธรรมใหฟ้ งั เม่ือพระนำงไดส้ ดับพระธรรมเทศนำแล้วก็ ได้บรรลุอรหันต์ แลว้ ถวำยบังคมพระพุทธเจำ้ กลับยงั พระตำหนัก ต่อมำพระนำงไดท้ ลู ขอพระบรมรำชำนญุ ำต จำกพระเจำ้ พมิ พสิ ำรออกผนวชเปน็ ภิกษุณีในพระพุทธศำสนำ เมื่อผนวชแลว้ ไดบ้ ำเพญ็ กิจให้เปน็ ประโยชนแ์ ก่ พระพุทธศำสนำเป็นอนั มำกพระพทุ ธเจ้ำจึงทรงยกยอ่ งพระนำงว่ำเปน็ พระภิกษณุ ที ่ีเลศิ ในทำงปญั ญำและเปน็ อัครสำวกิ ำฝ่ำยขวำ คุณธรรมท่คี วรถือเป็นแบบอยา่ ง ๑. มีปัญญำมำก พระเขมำเถรีไดร้ ับกำรยกย่องวำ่ เป็นภิกษุณที ีเ่ ลิศในทำงปญั ญำ สำมำรถตรัสร้ตู ำม พระธรรมเทศนำของพระพทุ ธเจำ้ ได้อยำ่ งรวดเรว็ ๒. มีปฏิภำณ พระเขมำเถรเี ป็นกำลังสำคัญในกำรเผยแผ่พระพทุ ธศำสนำฝำ่ ยภิกษุณี มคี วำมสำมำรถ ในกำรแสดงธรรมไดว้ ิจิตรพิสดำร มปี ฏภิ ำณไหวพริบในกำรโต้ตอบฉบั ไวและแก้ปัญหำเฉพำะหนำ้ ได้ดี ๓. มีเหตุผล พระเขมำเถรีเป็นผทู้ ีม่ ีเหตผุ ล พจิ ำรณำเห็นส่ิงทัง้ หลำยตำมควำมเป็นจรงิ ด้วยปัญญำ พระเจ้าปเสนทโิ กศล พระเจ้ำปเสนทโิ กศล เป็นพระรำชโอรสของพระเจำ้ มหำโกศล เมอื งสำวัตถี แคว้นโกศลเมื่อยงั เปน็ พระ กุมำรได้เสด็จไปศกึ ษำศิลปวทิ ยำท่ีสำนักอำจำรย์ทิศำปำโมกข์ ณ ตักศลิ ำ ในทีน่ ่ีเอง พระองคไ์ ด้พบกบั เจำ้ ชำย มหำลิ จำกเมอื งไพศำลี แคว้นวชั ชีและเจำ้ ชำยพันธลุ ะจำกเมืองกุสินำรำแหง่ แคว้นมัลละ เมอื่ สำเร็จกำรศกึ ษำ แลว้ พระองคก์ ็ได้เสดจ็ กลับพระนครไดท้ รงแสดงศิลปวิทยำใหพ้ ระประยรู ญำติโดยท่ัวกนั ทอดพระเนตรกนั พระ เจ้ำมหำโกศลไดม้ อบพระรำชบลั ลงั กใ์ ห้พระรำชโอรสครอบครองแทนพระองคใ์ นเวลำตอ่ มำพระเจ้ำปเสนทิ โกศลเดิมนับถอื ศำสนำนคิ รนถ์ และเชอื่ ถอื ในกำรบูชำยญั ต่อมำได้สดับพระธรรมเทศนำของพระพทุ ธเจำ้ ได้

๔๓ ทรงเลิกกำรบชู ำยญั ทเี่ ป็นกำรกระทำเพื่อเบยี ดเบียนชวี ติ ทรงปฎิญำณตนเปน็ อุบำสกของถงึ พระพทุ ธเจำ้ พระ ธรรมและพระสงฆว์ ำ่ เปน็ ทพ่ี ึง่ ทีร่ ะลกึ ตลอดชีวิตพระเจำ้ ปเสนทิโกศลทรงเคำรพรกั และสนทิ พระพุทธเจ้ำมำก ทุกครั้งทเ่ี ข้ำเฝำ้ พระพทุ ธเจำ้ จะทรงกรำบพระบำทด้วยควำมนอบนอ้ ม เพรำะควำมรักและเคำรพใน พระพทุ ธเจำ้ พระองค์จึงทรงขอพระธิดำของพระเจ้ำมหำนำมมำเป็นมเหสีเพ่ือท่จี ะทรงเกย่ี วดองเป็นพระญำติ กับพระพทุ ธเจ้ำ นอกจำกนีพ้ ระเจำ้ ปเสนทิโกศลยังได้ตรสั ชวนประชำชนท่ีมำฟงั ธรรมในพระเชตวันมหำวหิ ำรใหร้ ่วม อนโุ มทนำในกำรทพ่ี ระองคไ์ ดถ้ วำยภตั ตำหำรแดพ่ ระภิกษสุ งฆ์จำนวน ๕๐๐ รปู มพี ระพทุ ธเจำ้ เปน็ ประธำน เม่อื พระพทุ ธเจำ้ กบั พระภิกษสุ งฆ์ทรงทำภตั กิจท่ีในพระรำชวงั และประชำชนก็ได้รว่ มอนุโมทนำดว้ ยมำกมำย ตอ่ มำเมือ่ ประชำชนได้ทูลอำรำธนำพระพทุ ธเจำ้ พรอ้ มพระภิกษสุ งฆ์ ๕๐๐ รปู เสวยภตั ตำหำรในวนั รุ่งขึ้น ก็ได้ ทลู เชญิ พระเจ้ำปเสนทโิ กศลใหร้ ว่ มอนุโมทนำด้วยเช่นกนั และเป็นเชน่ น้อี ยำ่ งต่อเนอ่ื ง จนในทส่ี ดุ พระองคก์ ็ได้ ถวำยอสทิสทำน คอื ทำนทหี่ ำผู้ทำเสมอมไิ ด้ นบั ว่ำพระองคท์ รงเป็นศำสนปู ถัมภกที่สำคัญในคร้ังพุทธกำลพระ เจำ้ ปเสนทิโกศลเสดจ็ สวรรคตท่หี นำ้ ประตูเมอื งรำชคฤห์ สำเหตทุ ี่พระองคเ์ สด็จสวรรคตทีน่ ัน้ เนอ่ื งจำกถูก เสนำบดี ชอื่ กำรำยนะ ยดึ พระนครขณะทีเ่ สด็จไปเฝำ้ พระพทุ ธเจ้ำทพี่ ระเชตวันซึง่ อยู่นอกพระนครสำวตั ถี พระองคจ์ งึ ทรงมอบรำชสมบตั ิใหพ้ ระเจำ้ วิฑฑู ภะรำชกุมำรทป่ี ระสูติแต่พระมเหสีศำกยวงศ์พระนำมว่ำ วำสภขัตตยิ ำ สว่ นพระองคร์ บี เสด็จไปกรุงรำชคฤห์เพ่อื ขอกำลังทหำรจำกพระเจำ้ อชำตศัตรมู ำปรำบกบถ เม่ือ เสด็จถงึ กรงุ รำชคฤห์ยงั มิทนั ไดเ้ สด็จเขำ้ เมอื ง ประตเู มอื งกป็ ิดลงเสียก่อน ดว้ ยควำมเสยี พระทัยและเหน็ด เหน่อื ยอ่อนเพลีย ทำใหพ้ ระองค์เสด็จสวรรคตในคืนนั้นที่หน้ำประตเู มอื งรำชคฤหน์ ัน่ เอง คณุ ธรรมที่ควรถือเปน็ แบบอย่าง ๑. ทรงมคี วำมเคำรพรักในพระพุทธเจ้ำ ประพฤตพิ ระองค์ด้วยควำมออ่ นนอ้ มถ่อมตน ๒. ทรงมีควำมเล่อื มใสในพระรัตนตรัย ยดึ ถอื เอำพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์เปน็ ทีพ่ ึ่งทีร่ ะลกึ ตลอดพระชนม์ชีพ https://sites.google.com/site/yha14nan25gee29/khax/bth-thi-3/3-1

๔๔ แบบทดสอบหลงั เรยี น หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๓ เดก็ ไทยใฝ่ดี หนว่ ยย่อยที่ ๑ มุ่งมน่ั และศรัทธา ประถมศึกษาปที ่ี ๖ จานวน ๑๐ ข้อ ………………………………………………………………… คาช้แี จง นักเรียนเลอื กตวั เลือกทถ่ี ูกต้องที่สดุ เพียงคำตอบเดียว 1. กำรพดู บิดเบือนจำกควำมจริง เปน็ กำรกระทำท่ผี ิดศีลข้อใด ก. ศลี ข้อ 1 ข. ศีลข้อ 2 ค. ศีลขอ้ 3 ง. ศลี ข้อ 4 2. วันถวำยพระเพลงิ ของพระพทุ ธเจ้ำ เรียกวำ่ วันอะไร ก. วนั มำฆบชู ำ ข. วันวิสำขบูชำ ค. วนั อัฏฐมีบูชำ ง. วนั อำสำฬหบูชำ 3. รมุ มินเด ปจั จุบันอยู่ในประเทศใด ก. อินเดยี ข. เนปำล ค. บังคลำเทศ ง. ศรลี ังกำ 4. ปจั จบุ นั สถำนที่ปรนิ ิพพำน ตงั้ อยใู่ นสถำนทใ่ี ด ก. รฐั พิหำร ประเทศอนิ เดีย ข. รัฐพิหำร ประเทศเนปำล ค. สวนลมุ พินี ประเทศเนปำล ง. รัฐอตุ รประเทศ ประเทศอนิ เดยี 5. พระพุทธเจ้ำทรงจำพรรษำสดุ ท้ำยท่ใี ด ก. บ้ำนเวฬวุ คำม ข. กรุงกุสินำรำ ค. วดั เวฬวุ นั ง. เมอื งสำวตั ถี 6. ขอ้ ใดเปน็ คมั ภีร์สำคญั ของศำสนำพรำหมณ์-ฮินดู ก. คัมภรี ์ไบเบิล ข. พระไตรปิฎก ค. คมั ภรี พ์ ระเวท ง. คมั ภีร์อลั กุรอำน 7. กำรประกอบพธิ ีฮจั ญ์ จัดขน้ึ ที่ใด ก. นครเมกกะ ข. เมอื งเยรซู ำเลม ค. หมูบ่ ้ำนเบธเลเฮม ง. สหรัฐอำหรบั เอมิเรตส์ 8. เดอื นรอมฎอน ตำมปฏทิ นิ ของศำสนำอิสลำมจะต้องปฏิบัตใิ ดขอ้ ใด ก. กำรถือศีลอด ข. กำรละหมำด ค. กำรปฏญิ ำณตน ง. กำรบริจำคซะกำต 9. ขอ้ ใดเป็นควำมหมำยของ ปญั ญำพละ

ก. กำลังควำมรัก ๔๕ ค. กำลงั ควำมเพียร 10. จดุ มุง่ หมำยสำคญั ของทุกศำสนำ คอื ข้อใด ข. กำลังปญั ญำ ก. ให้ศำสนกิ ชนหมน่ั ฝึกสมำธิ ง. กำลงั กำรสงเครำะห์ ค. สอนให้ศำสนิกชนมุง่ ทำควำมดี ข. เนน้ กำรใหศ้ ำสนกิ ชนบรจิ ำค ง. เนน้ ใหศ้ ำสนิกชนมคี วำมรักมอบให้แกก่ นั

๔๖ หน่วยยอ่ ยท่ี ๒ ปฏบิ ตั ิมาเป็นนจิ

๔๗ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยที่ ๓ เดก็ ไทยใฝ่ดี หน่วยย่อยท่ี ๒ ปฏิบตั มิ าเปน็ นิจ ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๖ .......................................................... คาสัง่ : ใหท้ าเครื่องหมายกากบาท (x) หนา้ คาตอบที่ถกู ท่สี ดุ เพยี งคาตอบเดยี ว ๑) ข้อใดต่อไปนเ้ี ป็นศำสนพธิ ีในศำสนำพุทธ ก. กำรละหมำด ข. กำรไปโบสถ์วนั อำทติ ย์ ค. กำรอปุ สมบท ง. พิธีบูชำยัญ ๒) ขอ้ ใดไม่ใชค่ ณุ สมบตั ิของผู้ที่จะบรรพชำเปน็ สำมเณร ก. ต้องรู้เดียงสำ ข. ต้องไม่เป็นโรคติดตอ่ ค. ตอ้ งเปน็ ผูห้ ญงิ ง. ตอ้ งได้รับอนญุ ำตจำกบดิ ำมำรดำ ๓) กำรอปุ สมบทเป็นพระสงฆ์มีวธิ ีกำรอปุ สมบทอยู่ก่วี ิธี ก. ๒ วธิ ี ข. ๑ วธิ ี ค. ๕ วิธี ง. ๓ วิธี ๔) กำรนิมนต์พระมำทำพิธที ำบุญเน่อื งในวันเกดิ ถอื เปน็ พิธกี รรมประเภทใด ก. งำนมงคล ข. งำนอวมงคล ค. งำนอปั ปมงคล ง. ไม่มขี อ้ ใดถูกตอ้ ง ๕) กำรถอื ศีลอดเป็นพธิ ีกรรมในศำสนำใด ก. ซกิ ซ์ ข. อิสลำม ค. พทุ ธ ง. ครสิ ต์ ๖) พิธกี รรมทช่ี ำวครสิ ตไ์ ปสำรภำพบำปกับบำทหลวงเรียกวำ่ พิธกี รรมใด ก. ศีลล้ำงบำป ข. ศลี แก้บำป ค. ศลี กำลงั ง. ศีลมหำสนทิ ๗) ขอ้ ใดกล่ำวถึงกำรถอื ศีลอดในศำสนำอิสลำมได้ถกู ตอ้ ง ก. ต้องงดอำหำรทง้ั วันทัง้ คนื ตลอด ๑ เดอื น ข. ตอ้ งงดน้ำและอำหำรเฉพำะกลำงวันเปน็ เวลำ ๗ วนั ค. ตอ้ งงดเวน้ จำกกำรดม่ื น้ำและอำหำร และกำรสงั วำสตงั้ แต่เวลำพระอำทติ ย์ขึน้ จนถงึ พระอำทิตยต์ กดินเป็นเวลำ ๑ เดือน ง. ถกู ต้องทุกขอ้

๔๘ ๘) พิธบี ชู ำเทวดำเปน็ พธิ กี รรมในศำสนำใด ก. ฮินดู – พรำหมณ์ ข. พทุ ธ ค. ซกิ ซ์ ง. อสิ ลำม ๙) ชำวมุสลิมจะไปประกอบพธิ ีฮัจญ์ทีเ่ มอื งใดตอ่ ไปนี้ ก. เมอื งเยรูซำเลม ประเทศอสิ รำเอล ข. เมืองพำรำณสี ประเทศอินเดีย ค. เมอื งเมกกะ ประเทศซำอดุ ิอำระเบีย ง. เมอื งกวั ลำลัมเปอร์ ประเทศมำเลเซีย ๑๐) นกั บวชในศำสนำครสิ ตเ์ รียกว่ำอะไร ก. บำทหลวง ข. พระสงฆ์ ค. พรำหมณ์ ง. โตะ๊ อิหม่ำม

๔๙ บ ๓.๒/ผ ๑-๐๑ ใบงานท่ี ๐๑ คาช้ีแจง นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ทำหนังสอื เล่มเล็ก เรอ่ื ง ศำสนพิธขี องศำสนำตำ่ ง ๆ ในประเดน็ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ชือ่ ศำสนพธิ ี ๒. ขน้ั ตอนพิธกี รรม ๓. ประโยชนข์ องกำรทำพิธีกรรม กล่มุ ท.ี่ ......................................ชอื่ กลมุ่ .................................................. สมำชกิ ในกลุ่ม ช่อื ....................................สกุล...................................................... เลขที่ ......................... ชั้น.......................... ช่ือ....................................สกุล...................................................... เลขที่ ......................... ชน้ั .......................... ช่อื ....................................สกุล...................................................... เลขท่ี ......................... ชนั้ ......................... ชอ่ื ....................................สกุล...................................................... เลขที่ ......................... ชั้น......................... ชือ่ ....................................สกุล...................................................... เลขท่ี ......................... ชน้ั .........................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook