๓๗ และ A (Action) คอื ดำเนนิ การปรับปรุงแก้ไขสว่ นทมี่ ีปญั หา โดยที่แบ่งเป็นกระบวนการทำ PDCA ได้ ดงั นี้ PDCA คือ วงจรการบริหารงานคุณภาพ ประกอบดว้ ย P = Planคอื การวางแผนงานจากวตั ถุประสงค์ และเป้าหมายท่ีไดก้ ำหนดข้ึน D = Doคือ การปฏิบัติตามขั้นตอนในแผนงานท่ีได้เขียนไว้อย่างเป็นระบบและมีความ ตอ่ เนอ่ื ง C = Checkคอื การตรวจสอบผลการดำเนินงานในแต่ละ่ ขั้นตอนของแผนงานว่ามีปญั หา อะไรเกิดขึน้ จำเปน็ ตอ้ งเปลยี่ นแปลงแกไ้ ขแผนงานในขัน้ ตอนใด A = Actionคือ การปรบั ปรุงแก้ไขส่วนท่ีมีปญั หา หรือถ้าไม่มีปัญหาใดๆ ก็ยอมรับแนว ทางการปฏบิ ัติตามแผนงานท่ไี ด้ผลสำเร็จ เพ่ือนำไปใชใ้ นการทำงานครัง้ ต่อไป เมื่อได้วางแผนงาน (P) นำไปปฏิบัติ (D) ระหว่างการปฏิบัตกิ ็ดำเนินการตรวจสอบ (C) พบปัญหาก็ทำการแก้ไขหรือปรับปรุง (A)การปรับปรุงก็เร่ิมจากการวางแผนก่อน วนไปได้เรื่อยๆ จงึ เรียกวงจร PDCA ประโยชนข์ อง PDCA มดี งั นี้ ๑. การวางแผนงานก่อนการปฏิบัติงาน จะทำใหเ้ กิดความพร้อมเมอ่ื ได้ปฏบิ ตั งิ านจรงิ การ วางแผนงานควรวางให้ครบ ๔ ขนั้ ดงั นี้ (๑) ขั้นการศึกษา คือ การวางแผนศึกษาข้อมูล วิธีการ ความต้องการของตลาด ข้อมูล ด้านวัตถุดิบ ด้านทรัพยากรท่ีมอี ย่หู รือเงินทนุ (๒) ขนั้ เตรียมงาน คือ การวางแผนการเตรยี มงานด้านสถานที่ การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ความพรอ้ มของพนกั งาน อุปกรณ์ เครื่องจักร วัตถดุ บิ (๓) ข้ันดำเนินงาน คือ การวางแนวทางการปฏิบัติงานของแต่ละส่วนแต่ละฝ่าย เช่น ฝ่ายผลิต ฝา่ ยขาย (๔) ข้ันการประเมินผล คือ การวางแผนหรือเตรยี มการประเมินผลงานอย่างเป็นระบบ เชน่ ประเมินจากยอดการจำหนา่ ย ประเมินจากการตชิ มของลูกค้า เพือ่ ให้ผลทไี่ ด้จากการประเมินเกดิ การเท่ยี งตรง ๒. การปฏบิ ัตติ ามแผนงาน ทำให้ทราบข้ันตอน วิธีการ และสามารถเตรียมงานล่วงหน้า หรือทราบอุปสรรคล่วงหน้าด้วย ดังนั้น การปฏิบัติงานก็จะเกิดความราบรื่น และเรียนร้อย นำไปสู่ เปา้ หมายท่ไี ด้กำหนดไว้ ๓. การตรวจสอบ ใหไ้ ด้ผลท่เี ที่ยงตรงเชื่อถอื ได้ ประกอบด้วย - ตรวจสอบจากเปา้ หมายทีไ่ ด้กำหนดไว้ - มีเครอื่ งมือทเ่ี ช่อื ถอื ได้
๓๘ - มเี กณฑ์การตรวจสอบท่ชี ัดเจน - มีกำหนดเวลาการตรวจที่แนน่ อน - บุคลากรทท่ี ำการตรวจสอบต้องได้รับการยอมรับจากทุกหน่วยงานที่เก่ยี วขอ้ ง เม่ือการ ตรวจสอบไดร้ ับการยอมรบั การปฏบิ ัติงานขัน้ ตอ่ ไปก็ดำเนินงานต่อไปได้ ๔. การปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องท่ีเกิดข้ึน ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนใดก็ตาม เมื่อมีการ ปรับปรุงแกไ้ ขคณุ ภาพก็จะเกิดขนึ้ ดงั นน้ั วงจร PDCA จงึ เรียกว่า วงจรการบริหารงานคุณภาพ PDCA เป็นแนวคิดหน่ึง ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแค่การวางแผน แต่แนวคิดนี้เน้นให้ การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระบบ โดยมีเป้าหมายให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แนวคิด PDCA ไดร้ บั การพัฒนาข้ึนเป็นคร้ังแรกโดย Walter Shewhart ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกการใช้สถิตสิ ำหรับวงการ อตุ สาหกรรม และต่อมาวงจร PDCA ได้เป็นท่ีรู้จกั อย่างแพร่หลาย มากขึ้น เม่ือปรมาจารย์ด้านการ บริหารคุณภาพ อยา่ ง W.Edwards Deming ได้นำมาเผยแพร่ ให้เป็นเคร่ืองมอื สำหรับการปรับปรุง กระบวนการ วงจรนีจ้ ึงมอี ีกชอ่ื หน่ึงวา่ “Deming Cycle” ดังน้ันวงจร PDCA หรือ Deming Cycle โดยเฉพาะในแวดวงของการบริหารจัดการการ ทำงานในรูปแบบต่าง ๆ มากข้ึน ซึ่งมักจะมีการนำ PDCA เข้ามาประยุกต์ใช้ท้ังการทำงานประจำ และการพัฒนาปรับปรงุ การบริหารจดั การงานด้านตา่ ง ๆ ให้มีประสทิ ธิภาพยิ่งข้ึน ซง่ึ โครงสรา้ งของ PDCA ประกอบด้วย ๑. Plan คอื การวางแผน ๒. DO คือ การปฏิบัตติ ามแผน ๓. Check คือ การตรวจสอบ ๔. Act คอื การปรับปรุงการดำเนินการอย่างเหมาะสม หรอื การจัดทำมาตรฐานใหม่ ซึ่ง ถือเปน็ พ้ืนฐานของการยกระดับคณุ ภาพ สรุปได้ว่า หลักการบริหารงานโดยท่ัวไปท้ังภาครัฐและเอกชน และองค์กรต่างๆ ประกอบด้วยการวางแผน การจดั องค์การ หรอื การจัดหน่วยงานต่างๆ ภายในองคก์ ร การปฏบิ ัติการ ตามแผนงาน ตามนโยบาย การสร้างแผนยทุ ธศาสตร์ การกำหนดยทุ ธศาสตร์ท่ีจะนำไปใชใ้ ห้มีผลตรง ตามระยะเวลากรอบท่ีได้ถูกจัดวางไว้ เพื่อให้มีประสิทธิภาพตามเป้าประสงค์ตามหลักการวิชาการ เปน็ อนั ดบั แรก อนั ดับที่ ๒ ตอ้ งมกี ารปฏบิ ตั ิตามแผนงาน นโยบายทไ่ี ด้รับมอบหมาย หรือทไี่ ด้ประชมุ วางแผนกนั ไวเ้ ป็นอย่างดี ตามข้อตกลงเพอื่ ไม่เป็นการผิดเป้าหมาย อนั ดับท่ี ๓ คือตอ้ งการตรวจสอบ ประเมินผลอยู่เสมอในทุก ๆ ขึ้นตอบเป็นรายงานผล ตรวจสอบข้อดี ข้อผิดพลาดที่จะได้พัฒนา ปรับปรุงบรหิ ารจัดการไดท้ ันทว่ งที และอันดับสุดทา้ ย คือการ บริหารงานพัฒนาองคก์ รคุณธรรมท่ี ต้องมีหลักทฤษฎีและการหบรหิ ารแบบร่วมกนั โดยมีภาพตา่ ง ๆ เชน่ การสรรหาบคุ คลเข้าทำงาน การ สง่ั การ การประสานงาน การรายงานผลการปฏิบัตงิ าน การงบประมาณ หลักการเหลา่ น้ีสามารถทำ
๓๙ ใหอ้ งค์กรทุกองค์กรล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ และมีประสิทธิภาพ จากแนวคดิ ของนักวิชาการ สามารถสรุปแสดงเปน็ ตารางไดด้ ังนี้ การบริหารจัดการได้นั้น ต้องมีผู้นำ หรือผู้สั่งการ ดุจกายเป็นที่ตั้งของใจท่ีจะบริหาร จัดการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรหรือวิธีการที่จะทำการบริหารจัดการองค์กร กลุ่ม ชุมชน บริษัท ธุรกิจการงานต่าง ๆ ให้มีผลสัมฤทธิ์สำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการน้ัน ย่อมต้องมี หลกั คิด หลักวิชาการ หลักทฤษฎีที่น่าเช่ือถอื เปน็ ที่ยอมรบั ของคนทั้งหลาย ผู้วิจัยจึงนำหลักทฤษฎที ี่ เหมาะสมกับงานวิจัยในครั้งนี้ ๒ ทฤษฎีด้วยกัน คือ SWOT, PDCA ซึ่งจะเป็นทฤษฎีท่ีจะนำไป วเิ คราะห์ สังเคราะหอ์ งค์ความรู้ของงานวิจัยในคร้ังนี้ตอ่ ไป สรุปได้ว่า หลักการบริหารงานโดยท่ัวไปทั้งภาครัฐและเอกชน และองค์กรต่างๆ ประกอบด้วยการวางแผน การจัดองค์การ หรือการจัดหน่วยงานต่างๆ ภายในองคก์ ร การปฏบิ ัตกิ าร ตามแผนงาน ตามนโยบาย การสรา้ งแผนยุทธศาสตร์ การกำหนดยทุ ธศาสตร์ทีจ่ ะนำไปใช้ให้มีผลตรง ตามระยะเวลากรอบท่ีได้ถูกจัดวางไว้ เพ่ือให้มีประสิทธิภาพตามเป้าประสงค์ตามหลักการวิชาการ เป็นอนั ดบั แรก อันดบั ท่ี ๒ ตอ้ งมีการปฏิบัติตามแผนงาน นโยบายท่ีไดร้ บั มอบหมาย หรือที่ได้ประชุม วางแผนกนั ไวเ้ ป็นอย่างดี ตามขอ้ ตกลงเพอ่ื ไม่เปน็ การผิดเป้าหมาย อนั ดบั ที่ ๓ คือตอ้ งการตรวจสอบ ประเมินผลอยู่เสมอในทุก ๆ ขึ้นตอบเป็นรายงานผล ตรวจสอบข้อดี ข้อผิดพลาดที่จะได้พัฒนา ปรับปรงุ บริหารจดั การได้ทันทว่ งที และอันดับสุดท้าย คอื การ บริหารงานพัฒนาองค์กรคุณธรรมท่ี ต้องมีหลักทฤษฎีและการหบริหารแบบร่วมกันโดยมีภาพต่าง ๆ เช่น การสรรหาบุคคลเข้าทำงาน การสัง่ การ การประสานงาน การรายงานผลการปฏบิ ัตงิ าน การงบประมาณ หลกั การเหลา่ นี้สามารถ ทำให้องคก์ รทุกองคก์ รล้วนแลว้ แต่ประสบความสำเรจ็ และมปี ระสิทธิภาพจากแนวคดิ ของนกั วิชาการ สามารถสรปุ แสดงเป็นตารางไดด้ งั นี้
๔๐ ตารางท่ี ๒. ๔ แสดงกระบวนการบริหาร กระบวนการบริหาร นักวชิ าการ/แหล่งที่มา ภารกิจการบริหารประกอบด้วย Planning, ติน ปรัชญพฤทธิ์ Organizing,Staffing, Directing, Coordinating Reporting, Budgeting Gulick L. and Urwick J. ห ลัก POSDCORB ป ระกอ บ ด้วย Planning, Organizing,Staffing, Directing, Coordinating Fayol, Henri Reporting, Budgeting ห ลั ก POCCC ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย Planning, พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมมฺ จติ ฺโต) Organizing,Commanding,Coordinating, Controlling หลกั POSDC ประกอบดว้ ย การวางแผน, การจดั องคก์ ร, งานบุคลากร, การอำนวยการ, การกำกับ ดแู ล ๒.๒.๓ ขอ้ มูลเก่ียวกบั จงั หวัดคุณธรรมตน้ แบบ๔๒ ๑. วัตถุประสงคก์ ารส่งเสรมิ จงั หวัดคณุ ธรรม เพ่ือพัฒนาให้เกิดจังหวัดต้นแบบท่ีมีการขับเคลื่อนคุณธรรม เป็นเป้าหมายและมีความ ร่วมมอื กันอย่างเปน็ ระบบของเครอื ขา่ ยประชารฐั ประกอบดว้ ย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชนและสถาบันศาสนา สามารถส่งเสริมคณุ ธรรมให้กับประชาชน พฒั นาองคก์ รคุณธรรม ชมุ ชนคุณธรรม ได้สอดคล้องกับภูมสิ ังคมของจังหวัด และปฏิบัติภารกิจอ่ืนๆ ตามแนวทางขับเคลอื่ น แผนแมบ่ ทสง่ เสริมคณุ ธรรมแหง่ ชาตไิ ดบ้ รรลเุ ปา้ หมายและนำไปสกู่ ารขยายผล ๒. ความหมายและระดบั ของจงั หวดั คณุ ธรรม ๑) ความหมาย จังหวัดคุณธรรม คือ จังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้แทนเครือข่ายประชารัฐ แสดงเจตนารมณ์และมุ่งม่ันดาเนินการส่งเสริมคุณธรรมในองค์กรของเครือข่ายประชารัฐ ชุมชน ๔๒ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม, ค่มู ือการประเมิน องค์กร ชุมชน อำเภอ และจังหวัด คุณธรรม ภายใต้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑, (พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๔) (กรุงเทพมหานคร: กรมการศาสนา), หนา้ ๓๒-๔๕.
๔๑ และประชาชนให้เป็นองค์กรคุณธรรม ชุมชนคุณธรรม สง่ ผลให้ประชาชนมคี ุณธรรมเป็นฐานในการ ดำเนินชวี ิตและการประพฤตปิ ฏิบตั ทิ ี่สะท้อนการมคี ณุ ธรรมมากขนึ้ อยรู่ ่วมกันเป็นสังคมสันตสิ ขุ ๒) ระดับของจังหวดั คณุ ธรรม จังหวัดคณุ ธรรม แบง่ ออกเปน็ ๓ ระดับ คอื ระดบั ที่ ๑ จังหวดั สง่ เสริมคุณธรรม คือ จังหวดั ทแี่ สดงเจตนารมณจ์ ะพัฒนาใหเ้ ปน็ จังหวดั คุณธรรม โดยมีการกำหนดเปา้ หมายรว่ ม ในการพัฒนาคณุ ธรรมระดับจังหวัด มีแผนการดาเนินการ ส่งเสริมคุณธรรมในภาพรวมของจังหวัด ตามแนวทางแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรม โดยเฉพาะการ พัฒนาองค์กรและชุมชนคุณธรรม มีการประสานความร่วมมือของเครือข่ายประชารัฐ ท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมภาคประชาชน รวมทั้งสถาบันทางศาสนา มีการจัดกลไกผู้รับผิดชอบ ภารกิจต่างๆ และจัดโครงการ กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมท้ังระดับเครือข่ายและระดับจังหวัด แตผ่ ลการดำเนินงานอาจยงั ไมป่ รากฏชดั เจน ระดบั ที่ ๒ จังหวดั คุณธรรม คือ จงั หวัดส่งเสริมคุณธรรม ที่มกี ระบวนการพัฒนาคุณธรรม ในชุมชนและองค์กรของเครือข่ายประชารัฐผ่านกิจกรรมท่ีหลากหลาย มีการจัดระบบและ สภาพแวดล้อมต่างๆ ให้เอ้ือต่อการพัฒนาคุณธรรม และมีการบริหารจัดการให้สามารถบรรลุตาม เปา้ หมายและแผนงานที่กำหนดไว้เกดิ การมสี ว่ นรว่ มอย่างกวา้ งขวางของเครอื ขา่ ยประชารฐั ส่งผลให้ เกิดรูปธรรมต้นแบบองค์กรคุณธรรม ชมุ ชนคณุ ธรรมทห่ี ลากหลายและได้มาตรฐาน ครอบคลุมไปทั่ว จังหวัด ประชาชนมคี ุณธรรมเปน็ ฐานสำคัญ ในการดำเนินชีวิต มีการประพฤตปิ ฏบิ ัตทิ ่ีสะท้อนการมี คุณธรรมมากขึ้น คนทำดีมากข้ึน ปัญหาเชิงคุณธรรมลดลงและมีแนวโน้มการพัฒนาท่ีต่อเนื่อง เกิดความยงั่ ยืนได้ ระดับที่ ๓ จังหวัดคุณธรรมตน้ แบบ คอื จังหวัดคุณธรรมท่ีดาเนนิ การประสบความสำเร็จ ท้ังในกระบวนการพัฒนา และผลของการพัฒนา ทำให้เกดิ อำเภอคุณธรรม องค์กรคณุ ธรรม ชมุ ชน คุณธรรม ทมี่ ีการดำเนินการได้มาตรฐานเชิงประจกั ษ์ ครอบคลุมท่วั ทุกภาคสว่ นทุกพ้ืนท่ี ปญั หาสำคญั ท่เี กิดจากพฤติกรรมการขาดคุณธรรมของคนในจังหวัดลดลงอย่างประจักษ์ และพฤตกิ รรมที่สะท้อน การมีคุณธรรมของประชาชนในจังหวัดเพ่ิมมากขึ้น มีองค์ความรู้ท่ีสามารถถ่ายทอด และเป็นแหล่ง เรยี นร้ใู หก้ ับจงั หวัดอืน่ ๆ ได้ ๓. หลกั การสง่ เสรมิ และพฒั นาจังหวดั คณุ ธรรม น้อมนำหลักการทรงงานในพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาเป็น หลกั การ ดังน้ี
๔๒ ๑. ระเบิดจากข้างใน ถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ต้องให้เกิดจากความตระหนักและ มุ่งมั่นต้ังใจ มเี ป้าหมายเดียวกันของผู้ว่าราชการจังหวัด และเครือขา่ ยประชารฐั ในจังหวัด หากทำโดย ถกู บังคับหรือทำตาม นโยบายโดยไมต่ ้งั ใจจริง จะไดผ้ ลนอ้ ยหรือไมย่ ั่งยืน ๒. ทำแบบองค์รวม ต้องทาพร้อมกันท้ังระบบ ทุกระบบของจังหวัด ลงสู่ระดับ อำเภอ โดยให้สอดแทรกเรื่องการส่งเสริมคุณธรรม การพัฒนาองค์กรคุณธรรม ชุมชนคุณธรรมไป ควบคู่กับการพัฒนา ตามยุทธศาสตร์จังหวัด การบริหารจัดการของจังหวัด และงานของเครือข่าย ตา่ งๆ โดยไม่แยกออกมาเปน็ โครงการหรือกิจกรรมเดย่ี วท่ีขาดความเชื่อมโยงกับระบบของจังหวัด ๓. ทำตามหลักความจริง ต้องทาจากสภาพตามจริงของแต่ละจังหวัด โดยมี การศึกษาข้อมูลทั้งปัญหาและต้นทุนความดีภายในจังหวัดให้ชัดเจน แล้วลงมือทาตามลำดับขั้น เร่ิมแกป้ ัญหาจากจุดเล็กก่อนทำใหง้ า่ ยไมต่ อ้ งยึดกับตำราหรอื วิชาการมากเกินไป การเรียนรู้จากท่อี ่ืน เปน็ เพียงแนวทางมาปรับใช้ใหเ้ หมาะสมกบั จงั หวัดของตนเอง ๔. การมสี ว่ นร่วม ต้องจัดระบบใหเ้ ครือข่าย องคก์ ร และผู้มีสว่ นได้เสยี เปน็ พลังรว่ ม ของการพัฒนา มีโอกาส บทบาท และความรับผิดชอบในการร่วมกันพัฒนาจังหวดั คุณธรรมในทุก ข้ันตอนต้ังแต่การวิเคราะห์ปัญหา กำหนดเป้าหมาย ดำเนินการ และรับผิดชอบต่อความสำเร็จ เป็นภาพรวมกนั เขา้ ไม่ผลักออก ๕. ความพอดี ตอ้ งทาให้เกิดความพอดีระหวา่ งการสง่ เสรมิ ให้เครือขา่ ยตา่ งๆ พัฒนา องค์กรคุณธรรม ชุมชนคุณธรรม ตามหลกั การระเบิดจากข้างใน และสอดคล้องกับบริบทของแต่ละ เครือข่ายกบั การท่ตี ้องขับเคล่ือนใหส้ อดคล้องกบั ทศิ ทางและเปา้ หมาย ยุทธศาสตร์การพัฒนาของชาติ หากให้ความสำคญั ดา้ นใดมากไปอาจไม่สำเรจ็ หรือไมย่ ่งั ยนื ๔. กระบวนการส่งเสริมพฒั นาจังหวัดคณุ ธรรม แบง่ เป็น ๙ ขนั้ ตอน ดังน้ี ๑. รวมกลุ่มผูน้ ำการเปล่ียนแปลง : โดยการประสานแกนนำจากเครือข่ายประชารัฐที่มี หน้าที่ความรับผิดชอบและเชื่อม่ันว่าคุณธรรมความดีจะเป็นฐานสำคัญ ของการพัฒ นา เปน็ บคุ คลท่ีมีประสบการณ์ในการทำงานจริง หรือมีความม่งุ มั่นอยากสรา้ งสังคมคุณธรรม ซ่งึ อาจเป็น ประชาชน ประชาสังคม ผู้นำศาสนา ภาคเอกชน และข้าราชการก็ได้ โดยไม่ติดยึดกับตำแหน่งเพียง อยา่ งเดียว เชญิ ชวนคนเหลา่ น้ีมารเิ ร่ิม ร่วมมอื และขยายวงออกไป ๒. ค้นหาความจรงิ ของพื้นที่ : ร่วมกันประเมินสถานการณ์ของจังหวัดเก่ียวกับปัญหา ด้านคุณธรรม ธรรมาภิบาลของคนและองค์กร ค้นหาคุณค่า หรือต้นทุนที่จะแก้ปัญหา และพัฒนา
๔๓ คุณธรรมความดีทั้งระดับบุคคล ระดับหน่วยงานองค์กร รวมถึงค้นหาตัวอย่าง ต้นแบบของ ความสำเรจ็ เพือ่ นำมายกระดบั ตอ่ ยอดขยายผล ๓. เชื่อมโยงประสานพลัง : สร้างความสัมพันธ์ ความร่วมมือขององค์กรและเครือข่าย คุณธรรมความดีทุกระดับ ทุกประเภทของเครือข่ายประชารัฐ จัดกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ขยายเครือขา่ ยให้ครอบคลุมมากท่ีสุด และสร้างสัญลักษณ์ท่ีแสดงตัวตนและพลังของขบวนเครือข่าย คณุ ธรรม เช่น ธงคุณธรรม เปน็ ต้น ๔. พัฒนากลไกการขับเคลื่อน ประชา+รัฐ : ต้ังคณะทางานท่ีเป็นกลไกที่มาจากบุคคล หน่วยงานองคก์ รทีห่ ลากหลาย ยืดหยนุ่ คล่องตวั เหมาะสมกบั สถานการณ์และบริบทของแต่ละจงั หวดั โดยยึดหลักการมีส่วนร่วม ประสิทธิภาพ และความสุขในการทางานร่วมกัน กลไกการทำงานอาจ แตง่ ต้งั อย่างเป็นทางการจากผวู้ า่ ราชการจงั หวดั หรือเป็นกลมุ่ ประสานงานทเี่ หมาะสมกไ็ ด้ และอาจมี การเปล่ียนแปลงกลไกการทางานเป็นช่วง ๆ ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ท่ีมีการประเมิน รว่ มกัน ๕. สร้างเป้าหมายการเปล่ยี นแปลงรว่ มกันในจงั หวัด : บูรณาการ ยกระดบั จากงานของ แต่ละองค์กรเครือขา่ ยท่ีทาอยู่แล้วสู่การสร้างเป้าหมายการเปล่ียนแปลงร่วมกัน คอื การสร้างสังคม คุณธรรมในระดับจังหวัด โดยจัดกระบวนการมีส่วนร่วม ร่วมคิด ร่วมกำหนดรูปแบบกลาง ให้ได้ เป้าหมาย ปัญหาท่ีอยากแก้ความดที อี่ ยากทำ แผนงาน กจิ กรรม และตวั ช้ีวัดความสำเร็จร่วมกัน ๖. ปฏิบัติการตามแผน : ลงมือปฏิบัติ ตามแผนงาน โครงการ กิจกรรม ที่ได้วางแผน ร่วมกัน โดยเน้นการมีองค์การคุณธรรม ชุมชนคุณธรรม การรณรงค์คุณธรรมแก่ประชาชน ซึ่งหัวใจสำคัญอยู่ที่ต้องมุ่งไปสู่ผลลัพธ์ท่ีคนมีความประพฤติปฏิบัติท่ีสะท้อนการมีคุณธรรมเพ่ิมขึ้น กจิ กรรมเปน็ เพียงเครอื่ งมือ บางคร้ังการดาเนินกิจกรรมอาจได้ผลน้อย แต่ผู้เก่ียวข้องเกิดการเรียนรู้ คุณธรรมกจ็ ะนาไปสู่การปรับปรุงการพฒั นาเพมิ่ ประสิทธภิ าพของงานในอนาคตตอ่ ไป การปฏิบัตงิ าน นน้ั หมายรวมถึงในเครอื ข่าย และงานร่วมของจงั หวัดคุณธรรม ๗. พัฒนาเพ่ือความมั่นคง ย่ังยืน : การทางานต้องยกระดับงานให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ ตรวจสอบว่า ผลท่ีเกิดขึ้นนำไปสู่การสร้างสังคมคุณธรรมในจังหวัดได้มากน้อยเพียงใด จะมีการ ปรับปรุงให้ดีข้ึน เร็วข้ึนอย่างไร เมื่อทาได้ดีแล้วต้องขยายผลการดาเนินงานโดยการจัดการความรู้ที่ เกดิ ขึ้น จัดทำสื่อรณรงค์เผยแพร่ ๘.สร้างข่าย ขยายผล : เป็นการยกระดับการทำงานเครือข่ายสู่ระดับจังหวัด เป็นการรวมพลังขบั เคลอ่ื นสังคมคุณธรรมระดับประเทศ โดยจัดใหม้ ีการแลกเปล่ยี นเรียนรู้ พัฒนาองค์
๔๔ ความรู้และนวัตกรรมร่วมและยกระดับสิ่งท่ีได้ค้นพบไปสู่นโยบายสาธารณะ เพื่อให้สังคมเกิดการ ตนื่ ตัว และการปฏิบัติอยา่ งแพร่หลาย ๙. การประเมินผลลัพธผ์ ลกระทบ ต้องมีระบบและกลไกการประเมินเพ่ือให้เหน็ ผลลัพธ์ การเปลย่ี นแปลงท่เี กิดขึ้น ทงั้ เชงิ ปริมาณและคณุ ภาพเป็นระยะทัง้ การประเมินตนเองและจากองค์กร ภายนอกรวมถงึ เปิดเผยผลการประเมนิ แก่ผู้เก่ียวข้อง ๕. คุณธรรมที่ควรส่งเสริมในองค์กรคุณธรรม การส่งเสริมคุณธรรมให้เกิดผลท่ีดีต้อง เลือกประเดน็ คุณธรรมทีส่ อดคล้องกับปัญหาและความต้องการของคนในจังหวัด อย่างไรก็ตามจาก ผลการวิจัยทำโพลและประเมินวิเคราะห์สถานการณ์คุณธรรมจากประชาชนและผู้เก่ียวข้องแล้ว คณะกรรมการสง่ เสริมคุณธรรมแห่งชาตไิ ด้เลือกคุณธรรมพอเพียง วินัย สจุ รติ จิตอาสา เปน็ คุณธรรม สำคัญที่จะรณรงคใ์ หเ้ กิดข้นึ ในสงั คมไทยในชว่ งต้นของแผนแมบ่ ทสง่ เสรมิ คุณธรรมแหง่ ชาติ พอเพียง หมายถึง ความพอเพียงในการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลาง มีเหตุมีผลใช้ ความรู้ในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ มีความพอประมาณพอดี ไม่เบียดเบียนตนเอง สังคม และสง่ิ แวดลอ้ มไม่ประมาทสร้างภมู ิคุ้มกนั ที่ดี รเู้ ท่าทันการเปลยี่ นแปลง วินยั หมายถงึ การยดึ มน่ั และรบั ผิดชอบในหน้าที่ของตน ท้ังวินัยต่อตนเองในการผลกั ดัน ชวี ติ ให้ก้าวหนา้ วนิ ัยตอ่ องคก์ ร สังคม ปฏบิ ัติตามจริยธรรมจรรยาบรรณและเคารพตอ่ กฎหมาย สุจริต หมายถึง ความซ่ือตรง ความซ่ือสัตย์สุจริตยึดมั่น ยืนหยัดในการรักษาความจริง ความถูกตอ้ งความเป็นธรรมทั้งปวง นอกจากตนเองจะเป็นคนซ่ือตรงแลว้ ต้องกล้าปฏเิ สธการกระทำ ท่ีไมซ่ ่ือตรง ไม่ซือ่ สัตยข์ องบคุ คลอ่ืนที่จะทำให้ส่วนรวมเกิดความเสียหาย จิตอาสา หมายถึง การเป็นผู้ที่ใส่ใจต่อสงั คมสาธารณะและอาสาลงมือทำอย่างใดอย่าง หน่ึงที่มิใช่หน้าที่ของตน ด้วยความรัก ความส ามัคคี เพ่ือประโยชน์ของผู้อื่น ของสังคม ของประเทศชาติโดยมิได้หวังผลตอบแทน ทำความดีเพ่ือความดี เอ้ืออาทรต่อคนร่วมสังคมทำอย่าง สม่ำเสมอจนเป็นนิสัย ท้ังน้ี คุณธรรมแต่ละด้านจะเช่ือมโยงไปสู่คุณธรรมด้านอ่ืนๆ การส่งเสริม คุณธรรมทั้งสี่ด้านนี้ จึงไม่เป็นการบังคับ จังหวัดควรเลือกส่งเสริมคุณธรรมใดท่ีเหมาะสมกับ สถานการณ์ของจงั หวดั ๖. เกณฑ์การคัดเลือกจังหวดั สง่ เสรมิ คุณธรรม (ขยายผล) จงั หวดั คุณธรรมเปน็ อย่างไร : จังหวัดคุณธรรมคือจังหวัดที่ประชาชน องค์กร หน่วยงาน เครือข่ายท่ีทำงานส่งเสริม คณุ ธรรม ความดตี า่ ง ๆ ท่มี ีอยู่ มีความตน่ื ตัว กระตือรือรน้ ทจี่ ะพัฒนาการทางานด้านคุณธรรมของ ตนให้ดีข้ึนมากขึ้นเปรียบเสมือนการ “สร้างบ้าน” แต่ละหลังให้เข้มแข็งพร้อมกับการเชื่อมโยง
๔๕ ประสานพลังกับองค์กรเครือข่ายอื่นๆ เพ่ิมขึ้น เช่น เครือข่ายโรงเรียนคุณธรรม เชื่อมโยงงานกับ ชุมชน องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน (อปท.) โรงพยาบาลคณุ ธรรม เป็นตน้ และมีกระบวนการยกระดบั การทางานระหว่างเครือข่ายมาสู่ความร่วมมือท่ีมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์เพ่ือการเปล่ียนแปลง ร่วมกัน คือ การขับเคลื่อน “จังหวัดคุณธรรม” ตามบริบทท่ีเหมาะสมกับจังหวัดของตนเอง เปรยี บเสมอื นการ “แปงเมือง” ใหม้ นั่ คงยง่ั ยืน แนวคิดการพัฒนาจงั หวดั คุณธรรม ในฐานะเป็นจังหวัดคณุ ธรรมนาร่อง เปน็ การพัฒนา ต้นแบบ (Prototype) ดว้ ยรูปแบบการเพ่ิมคนดี เครือขา่ ยดี องค์กรดี ชุมชนดี ให้กับบา้ นเมอื ง ทเี่ รยี บ ง่ายไม่ต้องอบรมช้ีแจงมาก เน้น ททท (ทำทันที) ด้วยความร่วมมือร่วมใจของคนในสังคม โดยผสมผสานกับกระบวนการทาแผนของส่วนราชการ (การบริหารแผนยุทธศาสตร์คุณธรรม ๔.๐) แนวคิดนี้ ไม่ได้มุ่งทำให้เป็นจังหวัดท่ีไม่มีปัญหาเรื่องคุณธรรม ซึ่งถ้าหากทำได้ดียิ่งๆข้ึนไป ปัญหา ทางด้านสังคม ท่ีเกิดจากฐานคุณธรรมความดี ก็จะลดลง และเพ่ิมในด้านคนดี องค์กรดี ชุมชนดีมาก ขน้ึ ได้ดว้ ย ๗. เกณฑ์ประเมนิ จงั หวัดคณุ ธรรม ๑. การประเมินการพัฒนาจังหวัดคุณธรรม มีวัตถุประสงคห์ ลักเพื่อเป็นการสร้างเกณฑ์ กลางท่ีใช้เป็นเครอ่ื งมือในแต่ละจังหวัด เพ่ือให้เกิดการสอบทานและพัฒนาประสิทธิภาพให้ดีย่ิงข้ึน และเป็นเครื่องมือกลางในการประมวลภาพรวมของกระบวนการและผลของการพัฒนาจังหวัด คุณธรรมท่ัวประเทศ นอกจากเกณฑ์ประเมินกลาง แต่ละจังหวัดอาจเพมิ่ เติมประเดน็ ท่ีจงั หวัดเห็นว่า เหมาะสมได้ ทงั้ นกี้ ารประเมินการพัฒนาจังหวัดคุณธรรมมีความละเอียดออ่ น ต้องใช้ไปทางบวกท่ีไม่ ทำให้จังหวัดรสู้ ึกว่ามเี คร่ืองมือช่วยมากกว่าถูกกดดันจากการประเมินและเปรยี บเทียบผลระหว่างกัน ซึ่งต้องเขา้ ใจบริบทท่ีแตกต่างกนั ของแตล่ ะจังหวดั ๒. ระดบั การประเมนิ จังหวัดคณุ ธรรม แบง่ ออกเป็น ๓ ระดับคือ ระดบั ที่ ๑ จังหวัดสง่ เสรมิ คณุ ธรรม ระดบั ที่ ๒ จงั หวดั คุณธรรม ระดบั ที่ ๓ จงั หวัดคณุ ธรรมต้นแบบ ๓) ประเดน็ การประเมินจงั หวัดคุณธรรม ประกอบด้วย - การประเมินกระบวนการพัฒนาจังหวัดคุณธรรม เป็นการประเมินกระบวนการ และการทำกิจกรรมที่สำคัญเพอื่ ให้เกิดพัฒนาเปน็ จังหวัดคุณธรรม - การประเมินผลลัพธ์หรือความสำเร็จจากการพัฒนาจังหวัดคุณธรรมทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ การเปลี่ยนแปลงเชงิ ประจักษ์ท่ีเกดิ ขน้ึ
๔๖ ๘. ตวั ชีว้ ดั และเกณฑก์ ารประเมนิ จงั หวัดคุณธรรม การวัดระดับจังหวัดคุณธรรมเป็นกระบวนการสำคัญ ท่ีเน้นการกระบวนการแปลง น โย บ าย แล ะ ยุ ท ธศ าส ตร์ ก าร ส่ ง เส ริ ม คุ ณ ธร ร ม ร ะ ดั บ จั งห วั ด สู่ ก าร ป ฏิ บั ติ ใ น ทุ ก ภ าค ส่ วน ด้ วย กระบวนการมีส่วนร่วมโดยเป็นการวัดเทียบกับตนเองก่อนและหลังดำเนินงานตามกระบวนการ สง่ เสรมิ จงั หวัดคณุ ธรรม ได้ในระยะหนึ่งแล้วควรมีการประเมินตามเกณฑ์คณุ ธรรมเป้าหมายทีจ่ งั หวัด กำหนดไว้ เพื่อแก้ไข ปรับปรงุ พฒั นายกระดับสู่การเปน็ จังหวดั ตน้ แบบการสง่ เสรมิ คณุ ธรรมได้ในทส่ี ดุ เพอื่ นาไปสู่การขยายผลการขบั เคล่ือนไปยังจังหวัดคณุ ธรรมอื่นๆ ต่อไป โดยมีการกำหนดตวั ชว้ี ัดและ เกณฑก์ ารประเมนิ จงั หวดั คุณธรรมในระดบั ตา่ งๆ ดงั นี้ ตารางท่ี ๒.๕ การประเมินจังหวัดคณุ ธรรม เกณฑก์ ารให้คะแนน การประเมินจงั หวัดคณุ ธรรม การประเมินระดบั ที่ ๑ ๒ ๑๐ รวม จังหวัดส่งเสรมิ คุณธรรม ๑ ) จัง ห วัด มีก า ร ป ร ะ ก จ ำ น ว น ส่ ว น จำนวนสว่ นราช มีการประกาศ า ศ ข้อ ต ก ล ง (เจตนารมณ์/ ราชการหน่วยงาน กาชหน่วยงาน ขอ้ ตกลงรว่ มกนั ธรรมนูญ/ปฏิญญา) โดยผู้ว่า ใน สั งกั ดจั งห วั ด ในสังกดั จังหวัด ข อ ง ทุ ก ภ า ค ราชก ารจั งห วัด แ ล ะ ผู้แ ท น จากทกุ ภาคสว่ น จ า ก ทุ ก ภ า ค ส่ วน โด ย ไม่ มี เครือข่ายประชารฐั ว่าจะพฒั นา ไม่น้อยกว่า ๕๐ % ส่วน๒๐-๔๙% ล า ย ลั ก ษ ณ์ เป็นจังหวัดสง่ เสริมคณุ ธรรม ที่ ร่ ว ม ป ร ะ ก า ศ ที่ร่วมประกาศ อักษร ข้ อ ต ก ล ง จ ะ ข้ อ ต ก ล ง จ ะ ขับเคล่ือน จังหวัด ขั บ เ ค ลื่ อ น ส่งเสริมคุณธรรม จังหวัดส่งเสริม อ ย่ า ง เป็ น ล า ย คุณธรรม อย่าง ลกั ษณ์อักษร เป็นลายลักษณ์ อักษร
๔๗ ตารางที่ ๒.๕ การประเมนิ จงั หวัดคุณธรรม (ตอ่ ) เกณฑ์การให้คะแนน การประเมินจังหวดั คุณธรรม การประเมินระดบั ที่ ๑ ๒ ๑๐ รวม จังหวัดส่งเสริมคณุ ธรรม ๒ ) จั ง ห วั ด มี ก า ร ก ำ ห น ด - มี ก า ร ก ำ ห น ด มีการกำหนด ไม่มีการปฏบิ ัติ คุณธรรมเป้าหมายของจังหวัด คุณธรรมเป้าหมาย คุ ณ ธ ร ร ม “ปัญหาที่อยากแก้”และ“ความ “ปั ญ ห าที่ อ ย าก เ ป้ า ห ม า ย ดีที่อยากทา” และมีการจัดทำ แก้”และ“ความดีท่ี “ปัญหาที่อยา แผนปฏิบัตกิ ารสง่ เสรมิ คุณธรรม อ ย า ก ท ำ ”เ พื่ อ แ ก้ ” แ ล ะ ของจงั หวดั แก้ไขปัญหาของ “ค ว า ม ดี ที่ จงั หวดั อยากทำ”เพ่ือ - มแี ผนการ แ ก้ ไข ปั ญ ห า ขบั เคลอ่ื น ของ คณุ ธรรมของ จังหวัด จังหวัด ๔ ) จั งห วัด มี ก ารถ่ าย ท อ ด จั ง ห วั ด มี ก า ร จังห วัด มี การ จังห วัด มี ก าร ภ า ร กิ จ ด้ า น ก า ร ส่ ง เส ริ ม ถา่ ยทอดภารกิจไป ถ่ า ย ท อ ด ถ่ า ย ท อ ด คุณธรรมไปในระดับอำเภอเพื่อ ยั ง อ ำ เภ อ แ ล ะ ภ ารกิ จ ไป ยั ง ภ า ร กิ จ ไป ยั ง ด ำ เนิ น ก า ร ต า ม คุ ณ ธร ร ม อ ำ เ ภ อ มี ก า ร อ ำ เภ อ แ ล ะ ระ ดั บ อ ำเภ อ เป้าหมายของจังหวดั ขั บ เ ค ล่ื อ น อ ำ เภ อ มี ก า ร แ ล ะ อ ำ เ ภ อ คุณธรรมมากกว่า ขั บ เ ค ลื่ อ น ไม่ได้ ๕๐%ของจำนวน คุณธรรม อ ำ เภ อ ใ น จั ง ห วั ด นนั้ ๆ
๔๘ ตารางที่ ๒.๕ การประเมนิ จงั หวัดคณุ ธรรม (ตอ่ ) เกณฑก์ ารให้คะแนน การประเมินจงั หวัดคณุ ธรรม การประเมินระดบั ที่ ๑ ๒ ๑๐ รวม จังหวดั ส่งเสริมคณุ ธรรม มาก กว่า๒ ๐ - ดำเนนิ การหรือ ๔๙% ของจาน ดำเนินการไม่ วนอำเภอใน ถงึ ๒๐% ของ จังหวัดนน้ั ๆ จำนวนอำเภอ ในจังหวดั น้ันๆ ๕ ) มี ก า ร ด า เนิ น ง า น ต า ม มีการดำเนินงาน/ มี ก า ร นอ้ ยกวา่ ๒๐ คุณธรรมเป้าหมาย“ปัญหาท่ี กิจกรรมส่งเสริม ด ำ เนิ น ง า น / %หรือไม่มีการ อยากแก้” และ“ความดีท่ีอยาก คุณธรรมในจังหวัด กจิ กรรม ปฏิบัติ ทำ”ของจังหวัดจนเกิดผลสำเร็จ ต า ม แ ผ น ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม ในการดำเนินงานตามแผนการ ขบั เคล่ือน คุ ณ ธ ร ร ม ใ น ขับเคล่ือนคุณธรรมที่กำหนดไว้ คุณธรรมที่กำหนด จงั หวดั เพ่มิ ขน้ึ ไว้ ไ ม่ น้ อ ย ก ว่ า ตาม แผน การ ๕๐% เช่น ขับเคล่ือน จ ำ น ว น ชุ ม ช น คุ ณ ธ ร ร ม ที่ คณุ ธรรม ก ำห น ด ไว้ไม่ องค์กรคุณธรรม น้อยกว่า ๒๐% อำเภอ คุ ณ ธ ร ร ม แ ล ะ เครือข่าย ประชารัฐทเ่ี ข้าร่วม ขับเคล่อื น จังหวัดคณุ ธรรม
๔๙ ตารางท่ี ๒.๕ การประเมนิ จงั หวัดคณุ ธรรม (ตอ่ ) เกณฑก์ ารให้คะแนน การประเมนิ จังหวัดคุณธรรม การประเมินระดบั ที่ ๑ ๒ ๑๐ รวม จงั หวดั สง่ เสรมิ คุณธรรม ไม่นอ้ ยกวา่ ๕๐% ปญั หาท่ีถกู กำหนดจะแก้ไขมี สถิตลิ ดลงหรอื หมดไปฯลฯ ๖) แผนการขับเคล่ือนจังหวัด -สาม ารถบู รณ า สามารถบูรณา ไม่มกี ารปฏิบตั ิ คุณธรรมและได้รับการบรรจุ ก า ร แ ผ น ก า ร การแผ น ก าร เป็นยุทธศาสตร์จังหวัดจนเกิด ขบั เคลื่อนจังหวัด ขั บ เ ค ล่ื อ น การบูรณาการ การทางานจาก คุ ณ ธรรม ได้ รั บ จั ง ห วั ด ทุกภาคสว่ น การบรรจเุ ป็น คณุ ธรรม ยุทธศาสตรจ์ งั หวัด คุณธรรมได้รับ - มี ก า ร จั ด ส ร ร การบรรจุเป็น ง บ ป ร ะ ม า ณ ยุ ท ธ ศ า ส ต ร์ จังหวัดหรือจาก จังหวดั ห น่ ว ย ง า น ท่ี เก่ียวข้องในการดา เนิ น งาน จั งห วั ด คณุ ธรรมตามแผน ๗) จังหวัดมีการยกย่องเชิดชู มีการจัดกิจกรรม มีการจัดกิกรรม ไม่มกี ารปฏบิ ัติ บุคคลชุมชน องค์กรอำเภอ ประกาศยกยอ่ ง ประกาศยก คณุ ธรรมมากข้ึน เ ชิ ด ชู บุ ค ค ล ย่องเชดิ ชบู ุคคล อ ง ค์ ก ร ชุ ม ช น องคก์ ร ชุมชน อำเภอคุณธรรม อำเภคุณธรรม ค ร บ ทุ ก มิ ติ ใ น ในส่วนใดสว่ น ระดบั จังหวดั หน่งึ
๕๐ ตารางที่ ๒.๕ การประเมนิ จงั หวัดคุณธรรม (ตอ่ ) เกณฑก์ ารให้คะแนน การประเมินจงั หวดั คณุ ธรรม การประเมินระดบั ที่ ๓ ๒ ๑๐ รวม จงั หวัดคณุ ธรรมต้นแบบ ๘) ผลสำเรจ็ การดาเนินงานของ มผี ลสำเรจ็ จากการ มีผลสำเร็จจาก น้อยกวา่ ๕๐ จงั หวัดคณุ ธรรมตาม “ปัญหาท่ี ด า เ นิ น ง า น / การดำเนนิ %หรอื ไมม่ ี อยากแก้ ความดีท่ีอยากทำ” กิจกรรมส่งเสริม งาน/กิจกรรม การปฏิบตั ิ เพิ่ ม ม าก ขึ้น แล ะมี ป ระเด็ น คณุ ธรรมในจงั หวัด ส่ ง เ ส ริ ม คุณ ธรรม ใน มิติการน าหลั ก ต า ม แ ผ น ก า ร คุ ณ ธ ร ร ม ใ น ศาส น า แ ล ะ ห ลั ก ป รัชญ า ขั บ เ ค ลื่ อ น จั ง ห วั ด ต า ม เศรษฐกิจพอเพียงมากำหนด คุณธรรมท่ีกำหนด แ ผ น ก า ร เป็นคุณธรรมเป้าหมายเพิ่มเติม ไว้ ไ ม่ น้ อ ย ก ว่ า ขั บ เ ค ล่ื อ น การขับเคลื่อน ๔ คุณธรรมอยา่ ง ๘๐% คุ ณ ธ ร ร ม ที่ ชดั เจน ก ำห น ด ไว้ไม่ น้อยกว่า ๕๐% ๙) จังหวัดมีการเพิ่มประเด็น น อ ก เห นื อ จ า ก นอกเหนือจาก ไมม่ ีการปฏิบตั ิ คณุ ธรรมเปา้ หมาย ในมติ ิการนา ผ ล ส ำ เร็ จ ก า ร ผลสำเร็จการ หลักศาสนา และหลักปรัชญา ด ำเนิ น งาน ต าม ดำเนินงานตาม เศรษฐกิจพอเพียงมากำหนด แผนงานท่ีจังหวัด แ ผ น ง า น ท่ี เป็นปญั หาท่ีอยากแก้ ความดที ี่ กำหนด สามารถ จังหวัดกำหนด อยากทำ เพิ่มเติมจากคุณธรรม ด ำ เ นิ น ก า ร มีการดำเนิน อ่ืนๆ ประเด็นคุณธรรม งานในประเด็น อยา่ งชดั เจน ครบท้ัง ๒ มิติ คือ คุณธรรมเพียง การนาหลกั มิติใด มิติหนึ่ง ศาสนา และหลัก คือการนาหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจ ศาสนา หรือ พอเพยี ง ห ลัก ป รัช ญ า เ ศ ร ษ ฐ กิ จ พอเพียง
๕๑ ตารางที่ ๒.๕ การประเมนิ จังหวัดคณุ ธรรม (ต่อ) เกณฑ์การให้คะแนน การประเมินจังหวดั คณุ ธรรม การประเมินระดบั ที่ ๓ ๒ ๑๐ รวม จังหวัดคุณธรรมตน้ แบบ ๑๐) จังหวัดมีองค์ความรู้ การ -มีองค์ความรู้จาก -มีองค์ความรู้ - มีการดำเนิน พัฒนาจังหวัดคณุ ธรรมในระดับ ก าร ด ำ เนิ น งา น จากการดำเนนิ งานแต่ไม่มีการ จังห วัด แล ะเครือข่ าย มีผู้ ที่ จังหวัดคุณธรรมท้ัง ง า น จั ง ห วั ด ถอดองคค์ วามรู้ สามารถเป็นวิทยากรถ่ายทอด ใน ภาพ รวม ขอ ง คณุ ธรรมเฉพาะ เพอื่ เผยแพร่ ความรู้ได้ และมีความพร้อมใน จังหวัดและองค์ บางกิจกรรม การเป็นแหล่งเรยี นรจู้ ากจงั หวัด ความ รู้จ าก ก าร -สามารถเป็ น อืน่ ๆ ได้ ขับเคลื่อนชุมชน แห ล่ งเรีย น รู้ คุณธรรมองค์กร และถ่ายทอด คณุ ธรรม อำเภอ ขยายผล ไป สู่ คุณธรรม องค์กร อ่นื ได้ -สามารถเป็นแหลง่ เ รี ย น รู้ แ ล ะ มี วิทยากรถ่ายทอด ข ย า ย ผ ล ไ ป สู่ องค์กรอืน่ ได้ เกณฑ์การประเมนิ ผลคะแนนและระดับ ดงั น้ี ระดับท่ี ๑ จังหวัดส่งเสริมคุณธรรม เกณฑ์การประเมิน ต้องมีการดำเนินงานทุกข้อ (ระดบั ท่ี ๑) คะแนนรวมไม่น้อยกวา่ ๔ คะแนน (ผา่ นระดบั ท่ี ๑) ระดับที่ ๒ จังหวดั คุณธรรม เกณฑ์การประเมิน ตอ้ งมีการดำเนินงานทกุ ขอ้ ในระดับที่ ๑ และระดับท่ี ๒ คะแนนรวมไม่น้อยกว่า ๗ คะแนน (ผ่านระดับท่ี ๒) ระดับท่ี ๓ จังหวัดคุณธรรมต้นแบบ เกณฑ์การประเมิน ต้องมีการดำเนินงานทุกข้อใน ระดบั ท่ี ๑ ระดบั ที่ ๒และระดับท่ี ๓ คะแนนรวมไม่นอ้ ยกว่า ๑๐ คะแนน (ผา่ นระดับที่ ๓)
๕๒ ๒.๓ ขอ้ มูลบริบทเรื่องที่วิจยั การขบั เคลอ่ื นจงั หวดั คุณธรรมนำร่องจังหวดั พิจิตร ๑.เริ่มตน้ อย่างไร จังหวัดพิจิตรมีกระบวนการเร่ิมต้นการดำเนินการจังหวัดคุณธรรมจากต้นทุนความดี ในพื้นที่ คือ โรงเรียนคุณธรรม (โรงเรียนบางมูลนากภูมิพิทยาคม) และขยายสู่โรงพยาบาล (โรงพยาบาลบางมูลนาก) อำเภอคุณธรรม (อำเภอบางมูลนาก) ท้องถ่ินคณุ ธรรม (ตำบลลาประดา) อีกทั้งมีต้นทุนความดีตัวบุคคล ได้แก่ ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ที่ค่อยช่วยให้แนวคิดและผลักดันการขับเคล่ือนงานคุณธรรมอย่าง ต่อเนอ่ื ง ๒.ทำอย่างไร จังหวัดพิจิตรเร่ิมด้วยการใช้ต้นทุนความดีเพื่อขับเคลื่อนจังหวัดเข้าสู่จังหวัดคุณธรรม ใช้กระบวนการค้นหาปัญหาคุณธรรม ด้วยการให้เครือข่ายมีส่วนร่วมค้นหา “ปัญหาท่ีอยากแก้ และความดีที่อยากทำ” จากนน้ั ประกาศให้จังหวัดคุณธรรมเป็นวาระของจังหวัดพิจิตร และกำหนด เป้าหมายการขับเคลื่อนจังหวัดคุณธรรม คือ “พิจิตรเมืองแห่งความสุข บนพื้นฐานแห่งคนดี” มีการจดั ตั้งคณะทางานเพื่อขับเคล่ือนสังคมคณุ ธรรมจงั หวดั พจิ ิตร ๑๑ คณะแบง่ ตามเครือขา่ ยความดี ในพ้ืนที่ ได้แก่ เครือข่ายโรงเรยี นคณุ ธรรม เครือข่ายสาธารณสขุ คุณธรรม เครือข่ายเกษตรคุณธรรม เครือข่ายองคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นคุณธรรม เครือข่ายนักส่ือสารคณุ ธรรม เครอื ข่ายเดก็ และเยาวชน คุณธรรม เครือข่ายผู้สูงอายุคุณธรรม เครือข่ายองค์กรชุมชนคุณธรรม เครือข่ายคนพิการคุณธรรม เครือข่ายอำเภอคุณธรรม และเครือข่ายด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรมคุณธรรม โดยแต่ละเครือข่าย ดำเนินงานตามบริบทของตนเอง และเกิดอัตลักษณ์คุณธรรมของจังหวัด คือ “มีน้ำใจ รับผิดชอบ จติ อาสา” และในวันท่ี ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ไดจ้ ดั สมัชชาคุณธรรมจังหวดั พิจิตร เพ่อื ให้เครือขา่ ยได้ แลกเปล่ียนเรียนรู้ และจะมีการจัดทำ MOU ในการขบั เคลือ่ นจังหวัดคณุ ธรรมในระยะต่อไป ๓.เกดิ ผลอย่างไร ๓.๑ เครือข่ายเด็กและเยาวชน ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยเน้นคุณธรรมความซื่อสัตย์ สุจริต ความรับผิดชอบ มารยาทไทย การป้องกันปัญหายาเสพติด และการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น เกิดแกนนำเดก็ และเยาวชนต่อยอดองคค์ วามรู้ ๓.๒ เครือข่ายอำเภอ มีแผนการปฏบิ ัตงิ านแบบบูรณาการ โดยใช้พื้นทีอ่ ำเภอบางมูลนาก เปน็ พืน้ ทีต่ น้ แบบการเรียนรู้ และสรา้ งแกนนา ๑๒ อำเภอ เพ่ือเรยี นรู้ และทำความดีร่วมกนั
๕๓ ๓.๓ เครือข่ายโรงเรียนคุณธรรม ได้ขยายเครือขา่ ยไปยังโรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียน เอกชน อาชีวะศึกษา การศึกษานอกโรงเรียน รวมจำนวน ๖๙ แห่ง โดยใช้บางมูลนากโมเดลเป็น ต้นแบบ ๓.๔ เครือขา่ ยสาธารณสุขคุณธรรม ไดส้ รา้ งธรรมาภิบาลในหน่วยงาน กำหนดเป้าหมาย คือ คนพิจิตรมีสุขภาพดี ทางานมีความสุข และมีปรัชญาการทางาน คือ การปฏิบัติธรรม และยกระดับองค์กรสาธารณสขุ คุณธรรม ทั้งโรงพยาบาล สาธารณสขุ อาเภอ และโรงพยาบาลส่งเสรมิ สขุ ภาพตาบล ๓.๕ เครือข่ายเกษตรคุณธรรม มีการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย ประกอบอาชีพอย่าง ซื่อสัตย์ โดยการจัดเวทีหมุนเวียนไปยังตำบล/ อำเภอต่างๆ เดือนละ ๑ คร้ัง และค้นหาเกษตรกรท่ี สามารถพง่ึ พาตนเองไดอ้ ย่างเป็นรูปธรรม และเกดิ บุคคลตน้ แบบ ๓.๖ เครอื ข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถนิ่ ได้ดำเนินการร่วมกบั เครือข่ายต่างๆ เกิดการ จัดทำตำบลจัดการตนเอง เพ่ือแก้ไขปัญหาทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อม และสุขภาพ ๓.๗ เครือข่ายนักสื่อสารคุณธรรม จัดกิจกรรมสื่อสารความดี พัฒนาศักยภาพแกนนา การสง่ เสริมเยาวชนนกั สื่อสารจิตอาสา เกิดแกนนาสือ่ คณุ ธรรมในกลมุ่ เดก็ และเยาวชน เชื่อมโยงและ ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานเครอื ขา่ ยความดีในจงั หวัด ๓.๘ เครอื ขา่ ยผู้สงู อายุ สร้างสุขภาพดีไม่ทอดทงิ้ กัน กจิ กรรมการออกเยยี่ มผสู้ งู อายุ และมี แนวทางการจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุจานวน ๕ แห่ง / วิทยาลัยผู้สูงอายุ ๑๕ แห่ง / ศูนย์พัฒนา คุณภาพชีวิต และสง่ เสริมอาชีพผู้สงู อายุ (ศพอส.) จำนวน ๑๕ แหง่ ๓.๙ เครือข่ายองค์กรชุมชนคณุ ธรรม มกี ารพัฒนาชมุ ชนพ่ึงพาตนเอง ตามหลักเศรษฐกิจ พอเพียง โดยมตี ้นแบบจากชุมชนลำประดำ และมีกองทนุ โปรง่ ใส ตรวจสอบได้ ๓.๑๐ เครือข่ายคนพิการ มีกิจกรรมการลดอุบัติเหตุทางถนน การเยี่ยมบ้านคนพิการ การสรา้ งอาชีพให้ผู้พกิ ารสามารถพึง่ พาตนเองได้ ๓.๑๑ เครือข่ายด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ยึดหลัก บวร ดำเนินงานส่งเสริม คณุ ธรรมผ่านโครงการตา่ งๆ โดยมีกลุม่ เป้าหมายทเี่ ด็กและเยาวชน และประชาชนทั่วไป ๓.๑๒ เกดิ อัตลักษณค์ ุณธรรมของจงั หวดั พจิ ติ ร คือ มีน้าใจ รบั ผดิ ชอบ จิตอาสา ๓.๑๓ การทำ MOU การขบั เคล่ือนจังหวัดคณุ ธรรมพิจติ ร และจัดทำแผนพฒั นาคณุ ธรรม จังหวัดพจิ ิตร เพื่อการขยายผลขบั เคล่อื นคณุ ธรรมในระยะตอ่ ไป
๕๔ ๒.๔ งานวิจยั ที่เกยี่ วข้อง ๒.๔.๑ งานวิจัยที่เกยี่ วกับรปู แบบ คณู โทขันธ์ และเทพพร มงั ธานี ได้ทำการศึกษาวิจัยเรือ่ ง “รูปแบบการจัดการศึกษา และเผยแผ่ศาสนธรรมของวัดในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษาวดั มหาพุทธารามอำเภอเมืองจังหวัด ศรีสะเกษ” ผลการวิจัยพบว่า ๑. ด้านการปกครอง มีการวางแผนการบริหารอย่างชัดเจน ๒. ดา้ นการศึกษา สามารถรักษารูปแบบการศึกษาแบบด้ังเดิม ๓. ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ทางวดั มี โรงเรียนการกุศล ๔. ด้านสาธารณูปการ จัดศาสนวตั ถแุ ละเสนาสนะตามสภาพ ๕. ด้านการสาธารณะ สงเคราะห์ มีการเปิดโอกาสให้ชุมชนเขา้ มาใช้ประโยชน์ในสถานท่ีของวัด ๖. ด้านการเผยแผ่ศาสน ธรรม จัดอบรมปฏิบัติธรรมและกิจนิมนต์ ด้านการสาธารณะสงเคราะห์พบวา่ มี การเปิดโอกาสให้ ชุมชนที่ตั้งของวดั ดำเนนิ กิจกรรมทางสังคมตา่ ง ๆ ท่ีไม่ขัดต่อ พระธรรมวนิ ัยภายในวัด๔๓ ฉนั ทนา กล่อมจิต ได้ศกึ ษาวิจัยเรื่อง “รูปแบบการจัดการศึกษาและเผยแผ่ศาสนธรรม ของวัดในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษาวัดป่าบ้านค้อ อำเภอเมืองผิง จังหวดั อุดรธานี” ผลการวิจัย พบว่า ด้านการปกครองเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก มีการมอบหมายงานให้เหมาะสมกับ ความสามารถของแต่ละบุคคล ด้านการศาสนศึกษา มีการสนับสนุนให้การศึกษาพระปริยัติธรรม สอบนักธรรมและการอบรมปฏิบัติธรรม เป็นการศึกษาตามอัธยาศัย ด้านสาธารณูปการ มีความ สะดวกสบายและมีสัปปายะในการปฏิธรรมและมีการสร้าง พระมหาธาตเุ จดีย์ ดา้ นการเผยแผ่ศาสน ธรรม ได้จัดอบรมปฏิบัติธรรมและกิจนิมนต์ภายในและภายนอกประเทศ จัดการอบรมปฏิบัตธิ รรม สญั จร มีการเผยแผ่ธรรมะด้วยสอื่ ต่างๆ ด้านสาธารณสงเคราะห์ ได้ทำการบำเพ็ญสาธารณสงเคราะห์ แก่ชุมชนบุคคลและศาสนสถาน รวมท้ังได้ตง้ั กองทุนช่วยเหลือแมบ่ ้านผู้ปฏิบัตธิ รรม และการเผยแผ่ ธรรมให้เด็กและเยาวชน ส่วนด้านการศึกษาสงเคราะห์ พบว่า ทางวัดไม่ได้จัดการศึกษาสงเคราะห์ สำหรับเด็กและเยาวชน๔๔ ๔๓ คูณ โทขันธ์ และเทพพร มังธานี, “รูปแบบการจัดการศึกษาและเผยแผ่ศาสนธรรมของวัดใน พระพุทธศาสนา : กรณี ศึกษา วัดมหาพุทธาราม อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ”, รายงานการวิจัย, (กรุงเทพมหานคร :สำนักงานเลขาธิการการศึกษา , ๒๕๔๖), หน้า ๑๐ - ๑๑, ๔๔ ฉันทนา กล่อมจิต, “รูปแบบการจัดการศึกษาและเผยแผ่ศาสนธรรมของวัดในพระพุทธศาสนา : กรณีศึกษา วัดป่าบ้านค้อ อำเภอเมืองผิง จังหวัดอุดรธานี”, รายงานการวิจัย, (กรุงเทพมหานคร : สำนักงาน เลขาธกิ ารการศกึ ษา , ๒๕๔๖), หนา้ ๑๑ - ๑๒
๕๕ สมพงษ์ เกษมสิน ได้ศึกษาวิจัย เรื่อง “รูปแบบการจัดการโครงสร้างการบริหาร”๔๕ ไดก้ ล่าวว่า การออกแบบจัดโครงสร้างองคก์ ารจะตอ้ งคำนงึ ถงึ ปจั จยั ทส่ี ำคญั คือ ปัจจยั ทเ่ี ป็น ขอ้ จำกดั ในการบริหารงานขององคก์ าร โครงสรา้ งขององค์การ หน้าท่กี ารงาน และผลท่ีจะไดร้ ับออกมาในรูป ของผลผลิตที่มีประสิทธิภาพ โดยองค์การแบบต่างๆ จะมีโครงสร้างเพื่อเออื้ ตอ่ การประสานงานและ ควบคุมต่อการกระทำของทุกคนในองคก์ าร และโครงสร้างองค์การมีประเดน็ ท่ีจะต้องนำมาพจิ ารณา อยู่ ๓ ประเภท คอื ๑) ประมวลกิจกรรม พจิ ารณาระดบั การแบง่ งานกนั ทำให้เกดิ ความชัดเจนในฝา่ ยตา่ งๆ ๒) กฎเกณฑ์ พิจารณาระดับของระเบียบวิธีปฏิบัติงาน เพ่ือก่อให้เกิดบทบาท อำนาจ หนา้ ทขี่ องแต่ละฝา่ ยแตล่ ะคน และ ๓) ศูนย์รวมอำนาจ พิจารณารากฐานของอำนาจตัดสินใจในแต่ละระดับ ดังนั้นในการ ปฏิบัติงานเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพ จะต้องมีโครงสร้างขององค์การจะมีประโยชน์สำคัญอยู่ ๒ ประการ คือ ๑) โครงสร้างขององค์การแสดงให้เห็นกิจกรรมตา่ งๆ ขององค์การโดยการจัดหน่วยงาน อาจนำไปใชไ้ ดห้ ลายโอกาส เช่น การอบรม การปรับปรุงองค์การ ฯลฯ เปน็ ตน้ ๒) โครงสร้างช่วยให้มองเหน็ ความสมั พนั ธ์ขององค์การ จึงมีประโยชน์ในการจัดระบบงาน หรือสายทางเดินของงาน การศึกษาองค์การ การวางแผน ตลอดจนการพิจารณาแก้ปัญหาหรือ อุปสรรคขอ้ บกพร่องในการดำเนนิ งาน ๓) ประโยชน์ของการจัดโครงสรา้ งขององค์การ บญุ ศรี พานะจิตต์ และศรนี วล ลัภกติ โร ได้การศึกษาและวิจัยเรอื่ ง “ความสำเร็จในการ ปฏิบัติภารกิจของวัด : ศึกษาเฉพาะกรณีวัดชลประทานรังสฤษฎ์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี” กล่าววา่ กระบวนการ จดั โครงสรา้ งขององคก์ าร จะต้องประกอบไปดว้ ย๔๖ ๑) แบง่ งานออกเป็นหน่วยงานย่อยๆ ตามลักษณะขององค์การ ๒) ใหม้ ีการแบ่งงานกนั ทำให้เหมาะสมในแตล่ ะหน่วยงาน ๓) มอบอำนาจหน้าท่ี เน้นถึงการใช้อำนาจหน้าท่ีในแต่ละหน่วย และ ความสามารถใน การตรวจสอบผลงาน เพือ่ ทำใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื ประสานงานในองค์การ ๔๕ สมพงษ์ เกษมสิน, รูปแบบการจัดการโครงสร้างการบริหาร, [ออนไลน์], แหล่งที่มา : http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files//52930477/bibliography.pdf ๔๖ บุญศรี พานะจิตต์ และศรนี วล ลภั กิตโร, “ความสำเรจ็ ในการปฏิบัตภิ ารกิจของวัด : ศึกษาเฉพาะ กรณีวัดชลประทานรังสฤษฎ์, อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี”. (กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา แหง่ ชาติ สำนกั นายกรัฐมนตร,ี ๒๕๔๕.)
๕๖ ๔) จัดให้มีหน่วยงานท่ีปรึกษา ซึ่งจะเป็นหน่วยสำคัญในการปรับปรุงงานโดยเฉพาะ องค์การทีม่ ีแนวโนม้ จะขยายใหญ่และซับซ้อนย่ิงขึ้น ๕) ต้องพิจารณาโครงสร้างทั้งหมดขององค์การ เพื่อให้เกิดการสมดลุ ในหน่วยงานต่างๆ และมีพลังท่ีจะเสริมสร้างให้องค์การเติบโตได้ ซ่ึงหน้าท่ีของโครงสร้างขององคก์ ารนั้น สามารถแสดง ให้ทราบหน้าท่ีสำคญั ได้ ๔ ประการ คือ ๑) เกีย่ วกับเร่อื งประสทิ ธภิ าพการทำงาน ๒) โครงสร้างสังคมและการติดต่อสือ่ สาร ได้แก่ การมอบอำนาจหนา้ ท่ี ระเบียบการและ อื่นๆ การรายงานซงึ่ เป็นขา่ วสารรายงานสู่ระดับบน เพอื่ การควบคมุ และ รบั ทราบปัญหาอกี ด้วย ๓) ทราบความพึงพอใจในงานของบคุ คลในองค์การ โดยเหตทุ ่ีองค์การได้จัดความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งงานและความรับผดิ ชอบเอาไว้ และนอกจากน้โี ครงสร้างขององคก์ ารยังไดก้ ำหนดใหบ้ ุคคลแต่ ละคนมี สถานภาพต่างกัน ๔) ให้ทราบถึงเอกลักษณะขององค์การ งานขององค์การสามารถสังเกตและอธิบายได้ คลา้ ยกับวา่ เปน็ กลุ่มของบุคคลทผ่ี ูกพันกบั ความสำเร็จวัตถปุ ระสงค์ท่กี ำหนดไว้ สรุปได้ว่า จากแนวคิดและหลักการบริหารองค์การ จะเน้นไปท่ีการจัดองค์การและ กำหนดหน่วยงานหลักเพื่อทำหน้าที่ในการบริหาร ติดต่อประสานงาน อำนาจหน้าท่ีมีกำหนด เปา้ หมาย มีสายการบงั คบั บัญชาสัง่ การ สามารถวิเคราะห์งานไดอ้ ย่างเปน็ ระบบและเปน็ รปู แบบ นกั วิชาการให้ความเห็นวา่ โครงสร้างขององคก์ ารจะชว่ ยให้เกิดประโยชน์อยู่ ๔ ประการ คอื ๑) เปน็ กรอบงานสำหรับการปฏบิ ตั ิงานในความรบั ผิดชอบในด้านการบริหารงาน ๒) เปน็ เคร่อื งมอื ในการมอบอำนาจหน้าท่ีและความรับผิดชอบ ๓) ชว่ ยในการประสานงานของกิจกรรมตา่ ง ๆ เพื่อรว่ มมือกนั ทำงาน ๔) ช่วยในการกระตุ้นเตอื นให้สมาชิกขององค์การทำงานให้มปี ระสิทธภิ าพ๔๗ บญุ ศรี พานะจติ ต์ และศรีนวล ลัภกติ โร ได้ศกึ ษาวิจัยเร่อื ง “รปู แบบการตีความคมั ภีร์ใน พระพุทธศาสนาเถรวาท”ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดและทฤษฎีการตีความทางพระพุทธศาสนาและ ทางตะวนั ตกมีเปา้ หมายเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจถึงความจรงิ ความถูกตอ้ งดีงามผา่ นการใช้ภาษาเปน็ เคร่ืองมือใน ๔๗ บุญศรี พานะจติ ต์ และศรีนวล ลัภกิตโร, การศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงานของ พ ระสังฆาธิการในวั ดพั ฒ นาตั วอ ย่าง , [ออนไลน์ ], แห ล่งที่ มา : http://research-all.blogspot.com /2009/06/blog-post_5407.html
๕๗ การสื่อสารจงึ มีพัฒนาการท้ังทฤษฎแี ละวิธีการตคี วามมาโดยลำดับเช่นกัน แต่มีความแตกต่างกันใน รายละเอียดด้านทฤษฎีและวิธีการตคี วาม ทฤษฎีการตคี วามทางตะวันตกมี ๓ ทฤษฎีหลักทมี่ ีจุดเน้นที่ แตกต่างกันในการค้นหาความหมายที่สมบูรณ์ คือ ทฤษฎีที่ถือผูส้ ื่อความเป็นศูนย์กลาง ทฤษฎีที่ถือ คัมภีร์เป็นศูนย์กลาง และทฤษฎีที่ถือผู้อ่านเป็นศูนย์กลาง ในขณะท่ีทฤษฎีการตีความทาง พระพุทธศาสนามนี ยั บง่ ชี้วา่ การจะคน้ หาความหมายสมบรู ณ์ได้นั้น จะต้องอาศัยองค์ประกอบหลาย ประการ คอื ให้ความสำคัญท้ังแกผ่ ู้สื่อความ คัมภีร์ ผ้อู า่ น และบริบททางสังคมของผูส้ อื่ ความ คัมภีร์ และผู้อา่ น ท่ีตอ้ งมีความเชอื่ มโยงองิ อาศยั กนั และกัน จงึ อาศัยนัยดงั กลา่ วนี้สร้างและเสนอเป็นรูปแบบการตคี วามคัมภีร์ในพระพทุ ธศาสนาเถร วาท เมื่อนำมาวิเคราะห์การตคี วามเร่ืองมังสวิรตั ขิ องสำนกั สนั ติอโศก และการตีความเรือ่ งนิพพานของ สำนกั วัดพระธรรมกาย พบว่า สำนกั สนั ติอโศกใชก้ ารตคี วามแบบยึดผอู้ า่ นเปน็ หลักและบางแห่งไดใ้ ช้ การตีความแบบยึดผูส้ ื่อความเป็นหลัก สำนักวดั พระธรรมกายใช้การตีความแบบยึดผู้อ่านเป็นหลัก และอ้างคัมภีร์ต่าง ๆ มาสนับสนุนการตีความของตน ในขณะท่ีพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ใช้การตีความแบบยึดคัมภีร์เป็นหลัก และบางแห่งยังคงใช้การตีความแบบยึดผู้สื่อความเป็นหลัก ประกอบดว้ ย๔๘ ปรุตม์ บุญศรีตัน ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “รูปแบบและหลักการของการปกครองใน พระไตรปิฎก” ผลการวจิ ัยพบว่า ๑) รูปแบบของการปกครองทางการเมืองมี ๒ รปู แบบ ได้แก่ การ ปกครองแบบราชาธปิ ไตย ซึ่งผู้มอี ำนาจสิทธข์ิ าดแต่เพียงผู้เดยี วในการปกครองรปู แบบน้ีคือพระราชา และการปกครองแบบสามัคคีธรรม ซึ่งอำนาจอยใู่ นมือของชนช้ันสูงและมลี ักษณะใกล้เคยี งกับรปู แบบ การปกครองแบบอภิชนาธิปไตยในปรัชญากรีก ส่วนรูปแบบการปกครองในพระพุทธศาสนานั้นมี พฒั นาการโดยเรมิ่ ตน้ จากพระพุทธเจ้าทรงปกครองคณะสงฆ์ในฐานะธรรมราชา จนกระทัง่ พระพทุ ธ องค์ได้ทรงมอบใหส้ งฆเ์ ปน็ ใหญใ่ นการปกครอง จงึ เปน็ รปู แบบการปกครองเฉพาะตน ๒) หลักการของ การปกครองแบบราชาธิปไตย ได้แก่ หลักธรรมตา่ ง ๆ ซ่งึ พระพุทธเจ้าตรสั แสดงไว้จำนวนมากเพื่อเป็น เครอื่ งเหน่ยี วร้ังในการใชอ้ ำนาจของผู้ปกครอง เนอื่ งจากผู้ปกครองแบบราชาธิปไตยมีอำนาจสทิ ธิข์ าด แต่เพียงผู้เดียว และหลักการของการปกครองแบบสามัคคีธรรมมีหลักการปกครองที่สำคัญคืออปริ หานิยธรรม ซึ่งเป็นหลักธรรมเพ่ือสร้างความสามัคคี และหลักธรรมอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับผู้ปกครอง ๔๘ ปรุตม์ บุญศรีตัน, “รปู แบบการตคี วามคัมภีร์ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท”, วิทยานพิ นธ์พุทธศาสตร ดษุ ฎบี ณั ฑิต, (บัณฑติ วทิ ยาลัย : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐).
๕๘ สว่ นหลักการของการปกครองของคณะสงฆ์นน้ั มีพระธรรมวินัยเป็นหลักการปกครองสำคัญ ซ่ึงคณะ สงฆจ์ ะต้องดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้สำเร็จเรียบรอ้ ยดว้ ยดภี ายใตก้ รอบแหง่ พระธรรมวินยั ๔๙ นครนิ ทร์ แกว้ โชตริ ุ่ง ได้ศึกษาวิจยั เรื่อง “รปู แบบโครงการปฏิบัตธิ รรมท่เี หมาะสมสำหรบั ชาวต่างประเทศในประเทศไทย” ผลการวิจัยพบว่าการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาท ทั้ง สมถและวิปัสสนา ตลอดจนปัจจัยท่ีเก้ือกูลการปฏิบัติธรรม เช่นการตัดปลิโพธ การแสวงหา กลั ยาณมิตร การเลือกกรรมฐานท่เี หมาะสมกับผ้ปู ฏิบัติธรรม และสปั ปายะในการปฏิบตั ิธรรม ล้วนมี ผลต่อผ้เู ข้าปฏิบตั ธิ รรม นอกจากนี้รปู แบบการปฏิบัตธิ รรมทีเ่ หมาะสมสำหรบั การปฏบิ ัติธรรมของชาว ต่างประเทศในประเทศไทย ควรมีจัดโครงการปฏิบัติธรรมแยกตามกลุ่มของผู้เข้าปฏิบัติธรรม เช่น การจัดคำแนะนำเบ้ืองต้นสำหรับนักท่องเท่ียวที่สนใจการปฏิบัติแต่ยังไม่พร้อมที่จะเข้าฝึกอบรม โครงการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น โครงการปฏิบัติธรรมสำหรับผู้ที่เคยฝึกปฏิบัติมาก่อน และโครงการ ฝึกอบรมปฏิบัติธรรมขั้นสูง ตลอดจนการจัดบวชให้แก่ชาวต่างชาติท่ีสนใจ นอกจากนี้ควรประยุกต์ หลักสัปปายะ ๗ เพ่อื ใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนการปฏบิ ตั ธิ รรม๕๐ ดวงกมล ทองคณารักษ์ ได้ศึกษาวิจยั เร่ือง “การนำเสนอรูปแบบการบริหารโรงเรยี นใน กำกับของรัฐสำหรับประเทศไทย” ผลการวิจยั พบวา่ สว่ นที่ ๑ ความนำ เนน้ บริบทและความเป็นมาของแนวคิด สว่ นที่ ๒ รูปแบบการบรหิ าร โรงเรียนในกำกับของรัฐสำหรับประเทศไทย มีองค์ประกอบ ๕ ส่วน ประกอบด้วย ๑) หลักการ แนวคิดในการกำหนดรูปแบบ ได้แก่ หลักการกระจายอำนาจโดยเน้นการมีส่วนร่วม หลักสิทธิและ สิทธิประโยชน์ของบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กรในการรับและจัดการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน หลักความเป็น อิสระจากกฎระเบียบท่ีใช้บังคับกับโรงเรียนท่ัวไป หลักการมีกฎหมายรองรับสถานะของโรงเรียน หลักความพร้อมที่ให้ตรวจสอบได้ และหลักการจัดการศึกษาท่ีมุ่งเน้นคุณ ภาพเป็นหลัก ๒) วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อเปน็ ทางเลือกในการจัดการศึกษารูปแบบหนึ่งท่ีเปดิ โอกาสให้บุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร ร่วมกันจดั ตัง้ หรอื มสี ่วนรว่ ม ๔๙ นครินทร์ แก้วโชตริ ุ่ง, “รปู แบบและหลักการของการปกครองในพระไตรปฎิ ก”. วิทยานิพนธ์พทุ ธ ศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๖). ๕๐ ดวงกมล ทองคณารักษ์, “รูปแบบโครงการปฏิบัติธรรมท่ีเหมาะสมสำหรับชาวต่างประเทศใน ประเทศไทย”, วิทยานิพนธพ์ ุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑติ วิทยาลัย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย , ๒๕๕๒).
๕๙ จินตนา ศักดิ์ภู่อร่าม ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การนำเสนอรูปแบบการบริหารโรงเรียนใน กำกับของรัฐสำหรับประเทศไทย” ผลวิจัยผลว่า ๑) ลักษณะเฉพาะของโรงเรียนในกำกับของรัฐ ประกอบด้วย ความหมาย กฎบัตร ผู้จัดตั้ง ผู้สนับสนุน ผู้อนุมัติการจัดต้ัง ประเภทของโรงเรียน จำนวนโรงเรียน การรับนักเรียน การมีอิสระในการบริหาร การได้รับเงินอุดหนุนรายหัวจากรัฐ และความรบั ผิดชอบทต่ี รวจสอบได้ ๒) กฎบัตรของโรงเรียนในกำกบั ของรฐั ๓) การบรหิ ารโรงเรยี นใน กำกับของรัฐ ประกอบด้วย การบริหารโดยคณะกรรมการบริหารโรงเรียน และการบริหารงาน โรงเรียนในกำกับของรัฐ ๔ ด้าน ได้แก่ งานวิชาการ งานบุคคล งานการเงิน และงานบริหารท่ัวไป สว่ นท่ี ๓ แนวทางการนำรปู แบบไปใช้ มุ่งเน้นการเร่งดำเนินการให้มีกฎหมายรองรับการดำเนินงานn ของโรงเรยี นในกำกบั ของรัฐและมโี ครงการนำรอ่ ง ส่วนท่ี ๔ เงื่อนไขหรอื ข้อจำกัดของรูปแบบ ท่สี ำคัญ คือ ต้องมกี ฎหมายรองรับ และการคัดเลือกผู้บริหารโรงเรียน และคณะกรรมการบรหิ ารโรงเรียนทมี่ ี ความสามารถตรงความต้องการ๕๑ ทพิ ยรตั น์ สีเพชรเหลือง ได้ศึกษาวจิ ัยเรื่อง “รปู แบบและกลยุทธ์การจดั ต้ังมหาวิทยาลัย บรรษัทในประเทศไทย” ผลการวิจัยพบว่ามหาวิทยาลัยบรรษัทตา่ งประเทศมวี ิวฒั นาการจากสาเหตุ หลายประการ ซ่ึงเป็นลักษณะสำคัญของมหาวิทยาลัยบรรษัทได้แก่ ๑) การเป็นหน่วยศึกษาอบรม แบบรวมศูนย์เชงิ นโยบาย และมีโปรแกรมการศึกษาเฉพาะทาง ๒) การรองรับการขยายตวั และเตบิ โต ขององค์กร ๓) การสนบั สนนุ การปรับเปล่ียนโครงสร้างและวิธีดำเนินงานขององค์กร ๔) การส่งเสริม องค์กรให้เป็นผู้นำทางธุรกิจและได้เปรียบด้านการแข่งขัน ๕) การเป็นแหล่งผลักดันให้เกิดการ เปลีย่ นแปลง ๖) การสง่ เสริมองค์กรแหง่ การเรียนรแู้ ละการเรยี นรู้ตลอดชวี ิต ๗) การจัดการศกึ ษาเพ่ือ พฒั นาบุคลากรตรงตามความต้องการและกลยุทธข์ องบรรษัท ๘) การนำปรัชญา หลักการ แนวคิด คา่ นิยม และวัฒนธรรมของบรรษทั มาเปน็ หลกั ในการจดั การศึกษา รูปแบบของมหาวิทยาลัยบรรษัท ในประเทศไทย ประกอบด้วยโครงสร้างการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยบรรษัท ๑๒ ด้านได้แก่ การบริหารจัดการ วิสัยทัศน์ การเงนิ องค์กร การมีส่วนรว่ ม ผู้เรยี น หลักสูตรและการเรยี นการสอน เทคโนโลยีการศึกษา การวัดและประเมินผล การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ การจัดต้ังและเปิด ดำเนนิ การ และการรับรองมาตรฐานการศึกษา โดยที่แต่ละด้านส่วนใหญม่ ีความเหมาะสม และเปน็ ไป ได้ในระดับมากและมากท่ีสุด ยกเว้นการดำเนินงานในรูปสภามห าวิทยาลัย คล้ายกับ สถาบันอุดมศึกษาทั่วไปและการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ อยู่ในระดับปานกลางและการแบ่ง ศาสตรก์ ารศกึ ษา เปน็ คณะวิชาคล้ายมหาวทิ ยาลยั ท่ัวไปอยูใ่ นระดับน้อย กลยทุ ธ์การจัดตั้งมหาวิทยลยั ๕๑ จินตนา ศักดิ์ภู่อร่าม, “การนำเสนอรูปแบบการบริหารโรงเรียนในกำกับ ของรัฐสำหรับประเทศ ไทย”, วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดษุ ฎีบัณฑติ , (คณะครศุ าสตร์ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕).
๖๐ บรรษัทประกอบด้วยกลยุทธห์ ลัก ๓ ดา้ นคอื ดา้ นบริหารจัดการท่วั ไป ด้านบริหารจดั การวิชาการ และ ด้านกลไกการอุดมศึกษาของรัฐ มีกลวิธีท่ีสำคัญคือ ๑) จัดต้ังโดยไม่ต้องรอการปรับกฎหมายประเภทสถาบันคู่สัญญา สถาบันสมทบ สถาบันอุดมศึกษาทั่วไป ศนู ยเ์ ฉพาะทางในมหาวทิ ยาลยั และสถาบันการศกึ ษาเฉพาะ ทาง ๒) จัดต้งั เปน็ สถาบนั อสิ ระซงึ่ มคี วามเหมาะสมมากทส่ี ดุ แตต่ ้องรอการปรับกฎหมาย ๓) นำระบบ คณุ วฒุ ิทางวิชาชีพ (Thai Vocational Qualification: TVQ) มาใชใ้ นการรับรองมาตรฐานการศกึ ษา การกำหนดหลักสูตร การเรียนการสอน และการวัดประเมินผล ๔) รัฐให้การสนับสนุนและจูงใจให้ ดำเนนิ การ ๕)สรา้ งเครือขา่ ยความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการและหนว่ ยงานต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง ขอ้ เสนอแนะจากงานวจิ ยั คือ องค์กรและสถานประกอบการน่าจะไดน้ ำรปู แบบและกลยุทธก์ ารจัดต้ัง มหาวิทยาลัยบรรษัทไปใช้เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการพัฒนาองค์กร และสร้างความเชื่อมโยงการ ดำเนินการระหว่างหน่วยงานรัฐด้านการศึกษา สถานประกอบการ และสถาบันอุดมศึกษาทั่วไป โดยเฉพาะดา้ นการจดั ตงั้ และการรับรองมาตรฐานการศึกษาใหบ้ งั เกิดผลเชิงรปู ธรรม๕๒ จากการศกึ ษา วิเคราะหใ์ นเร่อื งนี้พอสรุปไดว้ ่าการสร้างรูปแบบ (model) น้ันไม่มีขอ้ กำหนดที่ตายตัวแนน่ อนวา่ ตอ้ ง ทำอะไรบ้าง แต่โดยท่วั ไปจะเรมิ่ ต้นจากการศึกษา องคค์ วามรู้ (intensive knowledge) เกยี่ วกับเรอื่ ง ท่ีเราจะสร้างรปู แบบให้ชัดเจน จากนั้นจึงค้นหาสมมตุ ิฐานและหลักการของรูปแบบที่จะพัฒนา แล้ว สรา้ งรูปแบบตามหลกั การท่ีกำหนดขึ้น และนำรูปแบบที่สร้างขนึ้ ไปตรวจสอบความเหมาะสมและหา คุณภาพของรปู แบบต่อไป ส่วนการพัฒนารูปแบบมีการดำเนินการเป็นสองตอนใหญ่ คือ การสร้าง รูปแบบและการประเมินความเหมาะสมและการหาคุณภาพของรูปแบบ ๕๒ ทิพยรัตน์ สีเพชรเหลือง, “รูปแบบและกลยุทธ์การจัดต้ังมหาวิทยาลัยบรรษัทในประเทศไทย”, วิทยานพิ นธ์ครศุ าสตรดษุ ฎบี ัณฑิต, (คณะครศุ าสตร์ : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๔๕).
๖๑ ตารางท่ี ๒.๖ สาระสำคัญของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกบั รูปแบบ ชอ่ื ผวู้ จิ ัย ผลวจิ ัย ประเสรฐิ จรรยาสภุ าพ, ผลการวิจัยพบว่า ๑. อายุครู เงินเดือนครู (๒๕๔๓). ขนาดห้องเรียน และระยะเวลาเปิดดำเนินการ ของโรงเรียนมีความสัมพันธ์ในทางบวกกับขนาด ปรุตม์ บุญศรตี นั , ของโรงเรยี น ขณะที่อตั ราส่วนนักเรียนต่อครูคาบ (๒๕๕๐). การสอนครูต่อสัปดาห์ มีความสัมพันธ์ในทางลบ กับ ขนาดโรงเรียนโดยโรงเรียนที่มีอายุครู นครนิ ทร์ แก้วโชติรุ่ง, (๒๕๕๖). เงินเดือนครู ขนาดห้องเรียนระยะเวลาเปิด ดำเนนิ การของโรงเรียนมากท่สี ดุ ผลการวิจัยพบว่า แนวคิดและทฤษฎีการ ตีความทางพระพุทธศาสนาและทางตะวันตกมี เป้าหมายเพื่อใหเ้ ขา้ ใจถึงความจริง ความถูกต้อง ดงี ามผ่านการใชภ้ าษาเป็นเครอื่ งมอื ในการสื่อสาร จึงมพี ัฒนาการทง้ั ทฤษฎีและวธิ กี ารตคี วามมาโดย ล ำ ดั บ เช่ น กั น แ ต่ มี ค วาม แ ต ก ต่ างกั น ใน รายละเอียดดา้ นทฤษฎีและวิธีการตีความ ผลการวิจัยพบว่า ๑) รูปแบบของการปกครอง ทางการเมืองมี ๒ รูปแบบ ได้แก่การปกครอง แบบราชาธปิ ไตย ซงึ่ ผู้มอี ำนาจสทิ ธขิ์ าดแตเ่ พียงผู้ เดียวในการปกครองรูปแบบนี้คือพระราชา และ การปกครองแบบสามคั คีธรรม ซ่งึ อำนาจอยใู่ นมอื ของชนช้ันสูงและมีลักษณะใกล้เคียงกับรูปแบบ การปกครองแบบอภิชนาธิปไตยในปรัชญากรกี
๖๒ ๒.๔.๒ งานวิจัยเกีย่ วกบั การบรหิ ารจัดการ พระมหาสุทิน สุทิโน ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง “การบริหารจัดการเครือข่ายเชิงพุทธของกลุ่ม โรงเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรม” ผลการวิจัยพบวา่ ๑) สภาพทัว่ ไปของการบริหารจัดการเครืองขา่ ยเชงิ พุทธ ของกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา กลมุ่ ๑ มีการบรหิ ารงานตามหนา้ ท่กี ารบริหาร ตารางท่ี ๒.๗ งานวิจยั เก่ียวกับการบรหิ ารจัดการ ช่ือผู้วจิ ัย ผลวจิ ัย ดวงกมล ทองคณารักษ์ ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง “รูปแบบโครงการปฏิบัติ ธร ร ม ที่ เห ม า ะ ส ม ส ำ ห รั บ ชา ว ต่ า ง ป ร ะ เท ศ ใ น ทิพยรตั น์ สีเพชรเหลอื ง ประเทศไทย” ผลการวิจัยพบว่าการปฏบิ ัติธรรม ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ทง้ั สมถและวิปัสสนา ตลอดจนปจั จัยท่ีเก้ือกูลการปฏิบัตธิ รรม เชน่ การ ตัดปลิโพธ การแสวงหากัลยาณมิตร การเลือก กรรมฐานท่เี หมาะสมกบั ผปู้ ฏิบัติธรรม และสัปปา ยะในการปฏิบตั ิธรรม ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง “รูปแบบและกลยุทธ์การ จัด ต้ั งม ห าวิท ย าลั ย บ ร ร ษั ท ใน ป ร ะ เท ศ ไท ย ” ผลการวิจัยพบว่า การนำปรัชญา หลักการ แนวคิด ค่านิยม และวัฒนธรรมของบรรษัทมา เป็นหลักในการจัดการศึกษา รูปแบบของ มหาวิทยาลัยและบริษัทในประเทศไทยโดยที่แต่ ละด้านส่วนใหญ่มีความเหมาะสม และเป็นไปได้ ในระดบั มากและมากทส่ี ุด พระมหาสทุ ิน สทุ ิโน ไดก้ ล่าววา่ POLC มีการวางแผนยทุ ธศาสตร์ การจัดองค์การ มกี าร นำและมกี ารตรวจสอบโดยมีการประยุกต์ใช้ทฤษฎีหลักอปรหิ านิยธรรมและนวัตกรรมในการบริหาร ซ่ึงเป็นไปตามสภาพและบริบทของสถานศึกษามีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ มีข้อตกลงร่วมกันและการ รวมตัวกันภายใต้การบริหารจัดการแบบกลุ่มโรงเรียน เพ่ือประสานความร่วมมือด้านการบริหาร ความรู้วิชาการ สามารถที่จะพัฒนาความรว่ มมือและความสัมพันธ์ไปสู่ระดับเครอื ข่ายที่มีการสร้าง ความเข้มแข็งในการบริหารงานวิชาการ ๕ ด้านอย่างเป็นระบบได้ ๒) หลักพทุ ธธรรมท่ีเหมาะสมใน การบริหารจัดการเครอื ขา่ ยเชงิ พุทธของกลุ่มโรงเรียนพระปริยตั ธิ รรมแผนกสามญั ศึกษากลุ่ม ๑ ได้แก่
๖๓ อปริหานิยธรรม ๗ มีการบูรณาการหลักอปริหานิยธรรมเข้าไปในทุกขั้นตอนกระบวนการของการ บรหิ ารจดั การ เพอื่ พฒั นาการบรหิ ารจัดการเครอื ข่ายเชงิ พุทธของกลุ่มโรงเรียนพระปริยัตธิ รรมแผนก สามัญศึกษา ก่อให้เกิดการบริหารจัดการเครือขา่ ยเชิงพุทธ เป็นเครอื ข่ายมีชวี ิต มีการรวมตวั กัน เพื่อ แลกเปล่ียนเรียนรู้ สกัดเอาส่วนดีหรือจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาเรียนรู้และสนับสนุนกันและกัน ๓) รูปแบบการบริหารจัดการเครือข่ายเชงิ พุทธของกลุ่มโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรมแผนกสามญั ศึกษากลุ่ม ๑ เปน็ รปู แบบการบรหิ ารจัดการเครอื ขา่ ยที่มีการ บูรณาการหลักอปริหานิยธรรม อันเป็นหลักธรรมที่ สร้างความสามัคคขี องบคุ คล องคก์ ร และพัฒนาตอ่ ไปอย่างย่ังยนื ๕๓ แม่ชีเณรัชฌา ศักดิ์ศิริสมั พันธ์ ได้ศกึ ษาวิจัยเรื่อง “พุทธวธิ ีบริหารเพ่ือการพัฒนาสำนัก ปฏิบัติ” ผลการวิจัยพบว่า ๑) หลักพุทธวิธีบริหารเป็นแนวคิดหลักการบริหารของพระพุทธเจ้า ประกอบด้วยพุทธวิธีการวางแผน พุทธวิธีการจัดองค์กร พุทธวิธีในการบริหารงานบุคลากร พุทธ วธิ ีการอำนวยการและพุทธวิธกี ารกำกับดูแล แนวคิดในการพัฒนาเป็นการพัฒนาองค์กรเพ่ือพัฒนา คณุ ภาพชีวิตตลอดจนหลักสตู รการปฏบิ ตั ิตามหลกั สตปิ ัฏฐาน ๔ ในสำนกั ปฏบิ ตั ิธรรมฝ่ายสงฆแ์ ละการ ปฏิบัติในรูปแบบอื่นๆ ของฝ่ายคฤหัสถ์ ๒) สภาพทั่วไปของสำนักปฏิบัตธิ รรมท่ีบริหารโดยคณะสงฆ์ และโดยคฤหัสถ์ มีดงั นี้ ฝ่ายคณะสงฆม์ ีการวางแผนงานระยะสั้นและระยะยาว เจ้าอาวาส/เจ้าสำนัก เป็นผู้บริหารแต่ผู้เดียวในการจัดองค์กร การบริหารงานบุคคลด้วยหลักใช้คนให้เหมาะกับงาน การ อำนวยการผู้นำเป็นหลักเพ่ือกำหนดการทำงานตามสายงาน พุทธวิธีการกำกับดูแลใช้หลักธรรมคือ หลักไตรสิกขาและหลักเมตตา ส่วนฝ่ายคฤหัสถ์พบว่าการวางแผนมีคณะกรรมการมูลนิธิบริหารใน องค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลาง การจัดองค์กรมีสำนักงานเลขานุการเป็นฝ่ายอำนวยการและ ปฏิบัติการตา่ งๆ การบริหารงานบุคคลใช้การแบ่งงานตามหน้าที่ ๓) การวิเคราะห์เปรียบเทียบความ เหมอื นความต่างได้แก่ฝ่ายคณะสงฆ์เป็นนติ ิบุคคลขณะท่ีฝ่ายคฤหัสถม์ ีคณะกรรมการมูลนิธิบริหารใน องค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยมีการบรหิ ารจัดการเชิงรุกขณะที่ฝา่ ยคณะสงฆ์เป็นเชิงรับแต่มี เป้าหมายเดียวกัน ๔) รูปแบบพุทธวิธีบรหิ ารเพ่ือการพัฒนาสำนกั ปฏิบตั ิธรรมฝ่ายคณะสงฆใ์ ชห้ ลกั ใน การบริหารสอดคลอ้ งกับพุทธวิธีบริหารของพระพทุ ธเจา้ ส่วนของคฤหัสถ์ใชก้ ารประยกุ ตห์ ลักบรหิ าร ตะวนั ตกกับผสานกับหลักธรรม๕๔ ๕๓ พระมหาสุทิน สุทิโน, “การบริหารจัดการเครือข่ายเชิงพุทธของกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนก สามัญศึกษากลุ่ม ๑”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ), ๒๕๕๖. ๕๔ แม่ชีเณรัชฌา ศักด์ิศิรสิ ัมพันธ์, “พุทธวิธีบริหารเพื่อการพัฒนาสำนักปฏิบัติธรรม”, ปริญญาพุทธ ศาสตรดุษฎบี ัณฑิต สาขาวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์, (บณั ฑติ วิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ), ๒๕๕๖.
๖๔ กนกวรรณ โกมลิทธิพงศ์ ได้ศกึ ษาวิจัยเรือ่ ง “การบริหารกิจการของคณะสงฆ์จีนนกิ ายใน ประเทศไทย” ผลการวิจัยพบว่า การจัดการมีการกำหนดนโยบายจากเจ้าอาวาส ผู้ดำรงตำแหน่ง ผจู้ ัดการโรงเรยี น การจดั การศึกษาของโรงเรียนเป็นองค์กรหน่ึงที่มีการบริหารจัดการที่แบ่งเปน็ ฝ่าย ด้านการเรียนมีครใู หญเ่ ปน็ ผรู้ ับผิดชอบ และตำแหน่งการบรหิ ารจดั การออกเป็นฝา่ ยต่างๆ ใหร้ ่วมกัน รับผิดชอบงานทั้งหมดในโรงเรียน เน่ืองจากการเรียนการสอนเป็นไปตามหลักสูตรของ กระทรวงศึกษาธิการ จึงทำให้ลกั ษณะการบรหิ ารงานในโรงเรยี นคอ่ นข้างเปน็ ทางการไปดว้ ย หมายถงึ การบริหารกิจการด้านการศึกษา เป็นงานการบริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผ นกสามัญศึกษา รูปแบบโครงสร้างมีผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการคณะกรรมการสถานศึกษา ครูใหญ่ และผู้ช่วยครูใหญ่ แบ่งเป็นการบริหารกิจการของโรงเรียนเป็น ๖ ฝ่ายคือ ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายธุรการ ฝ่าย แผนงานและบริหารงานทว่ั ไป ฝ่ายบริหาร และฝ่ายทะเบียนและวดั ผล๕๕ บุญส่ง หาญพานิช ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “การพัฒนารปู แบบการบริหารจัดการความรู้ใน สถาบันอุดมศึกษาไทย” ผลการวิจัยพบว่า ผบู้ ริหารสถาบันอุดมศึกษา มีความต้องการในระดบั มาก ขณะท่ีสภาพเป็นจริงในปัจจุบันเกิดข้ึนในระดับค่อนข้างน้อยในทุกด้านที่เก่ียวกับการบริหารจัดการ ความรู้ ได้แก่ การสร้างความรู้ การจดั เก็บความรู้ การนำความรู้ไปใช้ การแบง่ ปันแลกเปลี่ยนความรู้ การบริการความรู้ การส่ือสารความรู้ การใช้เทคโนโลยี วัฒนธรรมการไว้วางใจ วัฒนธรรมพลังร่วม นอลลิดจ์เวอร์เคอร์ ส่ิงท้าทาย และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการความรู้ ลักษณะงานที่ผู้บริหารมี ความต้องการในระดับมาก ให้มีการนำองค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการความรู้ไปใช้ ไดแ้ ก่ การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา รองลงมา คอื การพัฒนาการเรียนการสอน หลักสูตร เทคโนโลยี ห้องสมุด การวิจยั การประเมินความดีความชอบ การธำรงรกั ษาบุคลากร การสร้างนักวิชาการ การ กำหนดภาระงานของบุคลากร และการบริการความรู้ ผู้บริหารมีความประสงค์ให้ในระดับมาก ให้มี การแบ่งปันแลกความร้ขู ้ามหน่วยงานท้งั แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการมากข้ึน ให้มีการบรกิ าร ความรู้ในลักษณะของการร่วมมือท่ตี ่างฝ่ายตา่ งเป็นทง้ั ผูใ้ หแ้ ละผรู้ บั บรกิ ารใน ๕ ดา้ น คือ การเผยแพร่ ความรู้สู่สาธารณะ การถ่ายทอดความรู้ การจัดอบรมสัมมนา การอำนวยความสะดวกในการเข้าถึง ความรู้ และการให้คำปรึกษา รูปแบบการบริหารจดั การความรู้ในสถาบันอุดมศึกษาไทยที่นำเสนอ เน้นด้านการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้และการบริการความรู้ ซึ่งประกอบด้วย ๑๐ ด้าน ด้าน วิสยั ทัศน์ คือ การเป็นสถาบันแหง่ การเรียนรแู้ ละชุมชนนกั วิชาการด้านภารกิจ คือ การผลิต ถ่ายทอด ๕๕ กนกวรรณ โกมลิทธิพงศ์, “การบริหารกิจการของคณะสงฆ์จีนนิกายในประเทศไทย”, ปริญญา พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั ), ๒๕๕๐.
๖๕ และบริการความรู้ ด้านนโยบาย คือ ให้มกี ารแบ่งปนั ความรูอ้ ย่างทว่ั ถึงทง้ั ภายในและภายนอกสถาบัน ด้านเป้าหมาย คือ การพัฒนาวัฒนธรรมการแบ่งปันและเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมการบริการ ความรูพ้ ัฒนานอลลดิ จเ์ วอร์เคอร์ พัฒนาฐานความรอู้ เิ ล็กทรอนิกส์ของสถาบันและพัฒนาปฏิสัมพันธ์ ความรู้ ด้านการประเมิน คือ ประเมินความสามารถและวัฒนธรรมของสถาบัน ด้านยุทธศาสตร์ ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการความรู้ไว้ ๖ ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ ผู้บริหาร ยุทธศาสตร์นอลลิดจ์เวอร์เคอร์ ยุทธศาสตร์ปฏิสัมพันธ์ความรู้ ยุทธศาสตร์การส่ือสารความรู้และ เทคโนโลยี ยุทธศาสตร์การไว้วางใจ และยุทธศาสตร์พลังร่วม ด้านสำนักบริหารจัดการความรู้ คือ การวางแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการความรู้ ด้านกระบวนการแบ่งปันแลกเปลี่ยนและบริการ ความรู้ คือ การเตรียมความพร้อม การกำหนดวิธีการแบ่งปัน และเปล่ียนและบริการ การประเมิน และปรับปรุงแกไ้ ข ด้านผลการดำเนนิ การ คือ ทำใหไ้ ดว้ ัฒนธรรมการแบง่ ปันและเปลย่ี นความรู้ และ การบริการความรู้ ชมุ ชนนอลลดิ จ์เวอร์เคอร์ ฐานความรอู้ เิ ลก็ ทรอนกิ สป์ ฏิสัมพันธค์ วามรู้ นวัตกรรม การเรียนรู้ ผลิตภัณฑ์ และการบรกิ าร๕๖ พชิ ิต เพ็งสุวรรณได้ศกึ ษาวิจัยเรื่อง “การพัฒนารปู แบบการบรหิ ารจดั การอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในสถาบันอาชวี ศึกษา” ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบของรูปแบบการบริหาร จัดการอาชีวอนามยั และความปลอดภยั มี ๕ ดา้ นคือ ๑) ด้านนโยบาย ๒) ด้านการจดั องค์การ ๓) ดา้ น การวางแผนและนำไปปฏบิ ัติ ๔) ดา้ นการประเมินผล ๕) ด้านการดำเนนิ การปรับปรงุ ประสิทธิภาพ หลกั สตู รฝกึ อบรมด้านผลสัมฤทธิ์ ทางทฤษฎีเท่ากับ ๘๒.๓๓/๘๑.๗๕ และคะแนนปฏิบัติเฉลี่ยเทา่ กับ ๘๓.๕ ซึง่ สูงกว่าเกณฑ์ท่ตี ้ังไว้ท้ังดา้ นทฤษฎีและปฏิบัติ ผลการเปรียบเทียบความคดิ เห็นเกี่ยวกบั การ จัดรปู แบบการบรหิ ารจดั การ อาชีวอนามยั และความปลอดภยั ในสถาบนั อาชีวศึกษา จากผบู้ รหิ ารของ โรงเรียน อาจารย์ และนกั ศึกษา จำนวนทงั้ ส้ิน ๓๓๒ คน ระดบั ความคิดเหน็ ต่อรปู แบบ องค์ประกอบ ตา่ งๆ อยใู่ นระดับดี กล่าวคอื มคี า่ ระดับคะแนนเฉล่ีย ๔.๒๐ สูงกว่าก่อนการจัดระบบทมี่ รี ะดบั คะแนน เฉล่ีย ๑.๓๘ อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติท่ี ๐.๐๑ นั่นคอื รปู แบบท่ีไดม้ ีประสิทธภิ าพสามารถนำไปใช้ได้ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ๕๗ ๕๖ บุญส่ง หาญพานิช, “การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการความรู้ในสถาบันอุดมศึกษาไทย”, วิทยานพิ นธ์ครศุ าสตรดุษฎบี ัณฑติ สาขาวิชาอดุ มศึกษา, (คณะครศุ าสตร์ : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย), ๒๕๔๖. ๕๗ พชิ ิต เพง็ สวุ รรณ,“การพฒั นารูปแบบการบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในสถาบัน อาชีวศึกษา”, วิทยานิพนธ์ครุศาสตรอุตสาหกรรมดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและพัฒนาหลกั สูตร (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ), ๒๕๕๒.
๖๖ พิชญาภา ยืนยาว ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง “รูปแบบการบริหารทรัพยากรบุคคลในสถาบัน อุดมศึกษา” ผลการวิจัยพบว่า ๑. ปัจจัยท่ีจำเป็นต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษาน้ัน ประกอบดว้ ย ๗ องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ ๑) การจัดการองค์การ ๒) การตดิ ตอ่ สื่อสาร ๓) ความเช่ียวชาญ ในวิชาชพี ๔) การมุ่งผลสมั ฤทธิ์ ๕) การบริหารความเปลี่ยนแปลง ๖) จรรยาบรรณในวชิ าชีพ และ ๗) การบริหารที่ดี ๒. รูปแบบการบรหิ ารทรัพยากรบุคคลในสถาบันอุดมศึกษาประกอบด้วยกลุ่มตัวแปร อิสระ ได้แก่ การติดต่อสอ่ื สาร ความเช่ียวชาญในวิชาชีพ การบริหารความเปลี่ยนแปลง จรรยาบรรณ ในวชิ าชีพและการบริการท่ีดี กบั กลุม่ ตัวแปรตามได้แก่ การจัดการองค์การและ การมงุ่ ผลสัมฤทธิ์ ซึ่ง มคี วามสมั พนั ธ์ซึ่งกันและกัน๕๘ รุ่งนภา จิตรโรจนรักษ์ ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง “การพัฒนารูปแบบการบริหารของ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับประเทศไทย” ผลการวิจัยได้ รูปแบบการบริหารของ คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐานสำหรับประเทศไทย เป็นรูปแบบก่ึงกรรมการบริหารและกึ่ง กรรม การที่ปรึกษา คือ มีบทบาท อำนาจหนา้ ที่ท้งั นโยบาย และการให้คำปรึกษา ส่วนประกอบของ รปู แบบ ประกอบดว้ ย ๓ สว่ น ดังนี้ ส่วนท่ี ๑ องคป์ ระกอบของรูปแบบการบริหารของคณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานสำหรับประเทศไทย ได้แก่ (๑) หลักการและจุดมุ่งหมายในการบริหารของ คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน (๒) บทบาท อำนาจหน้าท่ีของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พ้ืนฐาน ๔ ด้าน คือ วิชาการ งบประมาณ บุคลากร และบริหารท่ัวไป (๓) องค์ประกอบของ คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน ๓ กลุ่ม จากครอบครัว โรงเรียน และชุมชน (๔) การได้มาซึ่ง คณะกรรมการสถานศกึ ษา (๕) กระบวนการบริหารของคณะกรรมการสถานศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน ๕ ดา้ น ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การจัดบุคลากร การอำนวยการ และการควบคุม และ (๖) ประสิทธิภาพการบริหารของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่วนที่ ๒ แนวทางการนำรปู แบบ ไปใช้ของหน่วยงาน ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับนโยบายสถานศึกษาและกรรมการสถานศึกษา ส่วนที่ ๓ เงอื่ นไขหรอื ข้อจำกัดของรูปแบบ๕๙ ๕๘ พิชญาภา ยืนยาว, “รูปแบบการบริหารทรพั ยากรบุคคลในสภาบันอุดมศกึ ษา”, ปริญญาปรัชญา ดษุ ฎีบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา, (บัณฑติ วิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศลิ ปากร), ๒๕๕๒. ๕๙ รุ่งนภา จิตรโรจนรักษ์, “การพัฒนารูปแบบการบรหิ ารของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สำหรับประเทศไทย”, วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา, (คณะครุศาสตร์ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ), ๒๕๔๘.
๖๗ สรุปไดว้ ่า การบรหิ ารจดั การ คอื การดำเนินกระบวนการอย่างใดๆ เพ่ือผลสมั ฤทธ์ติ ามท่ี วัตถุประสงค์ขององค์กร โดยมีทั้งการบริหารคน บริหารงาน และบริหารทรัพยากรในองค์กรใหเ้ กิด ประโยชน์สูงสุด และสูญเสียทรัพยากรในด้านตา่ งๆ นอ้ ยท่ีสุด จากการทบทวนผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ คือ การบริหารงานของ องค์กรอย่างมีระบบ ระเบียบเพื่อให้องคก์ รประสบความสำเร็จไดม้ ากทสี่ ดุ ซ่ึงผู้วิจัยประมวลผลไดว้ ่า การบริหารจัดการอย่างมีรูปแบบและบูรณาการเชิงรุกนั้น ทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากข้ึน ซึ่ง สามารถสรปุ ไดต้ ามตารางท่ี ๒.๘ ตารางที่ ๒.๘ สรุปงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การบรหิ ารจัดการ นักวิจยั ขอ้ ค้นพบ พระมหาสทุ นิ สุทโิ น วจิ ยั เรื่อง “การบริหารจัดการเครือข่ายเชิงพทุ ธของกลุ่มโรงเรยี น พระปริยัติธรรม” ผลการวิจัยพบว่า สภาพทั่วไปของการบริหาร จัดการเครือข่ายเชิงพุทธของกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนก สามัญศึกษา กลุม่ ๑ มกี ารบรหิ ารงานตามหน้าที่การบรหิ าร POLC มีการวางแผนยุทธศาสตร์ การจัดองค์การ มีการนำและมีการ ตรวจสอบโดยมีการประยุกต์ใช้ทฤษฎีหลักอปริหานิยธรรมและ น วั ต ก ร ร ม ใ น ก า ร บ ริ ห า ร ซึ่ ง เป็ น ไป ต า ม ส ภ า พ แ ล ะ บ ริ บ ท ข อ ง สถานศึกษามีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ แม่ชีเณรชั ฌา ศักดศิ์ ิริสมั พนั ธ์, วิจัยเรื่อง “พุทธวิธีบริหารเพ่ือการพัฒนาสำนักปฏิบัติ” (๒๕๕๖). ผลการวิจัยพบว่า หลักพุทธวิธีบริหารเป็นแนวคิดหลักการ บริหารของพระพุทธเจ้าประกอบด้วยพุทธวิธีการวางแผน พุทธวิธีการจดั องคก์ ร พุทธวิธใี นการบริหารงานบุคลากร พทุ ธ วิธีการอำนวยการและพุทธวิธีการกำกับดูแล แนวคิดในการ พฒั นาเป็นการพฒั นาองค์กรเพื่อพฒั นาคุณภาพชวี ิตตลอดจน หลักสูตรการปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ในสำนักปฏิบัติ ธรรมฝ่ายสงฆแ์ ละการปฏิบตั ใิ นรูปแบบอ่ืนๆ ของฝ่ายคฤหัสถ์
๖๘ ตารางที่ ๒.๘ สรุปงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกบั การบรหิ ารจัดการ (ต่อ) นักวจิ ัย ขอ้ คน้ พบ กนกวรรณ โกมลิทธพิ งศ์, วจิ ยั เร่ือง “การบริหารกิจการของคณะสงฆ์จนี นกิ ายในประเทศไทย” (๒๕๕๐) ผลการวจิ ัยพบวา่ การจดั การมีการกำหนดนโยบายจากเจ้าอาวาส ผู้ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการโรงเรียน การจัดการศึกษาของโรงเรียนเป็น องค์กรหนึ่งที่มีการบริหารจัดการที่แบ่งเป็นฝ่าย ด้านการเรียนมี ครูใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบ และตำแหน่งการบริหารจัดการออกเป็น ฝ่ายต่างๆ ให้ร่วมกนั รับผิดชอบงานทง้ั หมดในโรงเรียน เน่อื งจากการ เรียนการสอนเปน็ ไปตามหลกั สูตรของกระทรวงศกึ ษาธิการ จงึ ทำให้ ลักษณะการบรหิ ารงานในโรงเรยี นคอ่ นข้างเปน็ ทางการไปดว้ ย พชิ ิต เพ็งสุวรรณ, วจิ ัยเรื่อง “การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการอาชีวอนามยั และ (๒๕๕๒). ความป ลอดภัยในสถาบันอ าชีวศึกษา” ผลการวิจัยพบ ว่า องคป์ ระกอบของรปู แบบการบริหารจัดการอาชวี อนามัยและความ ปลอดภัยมี ๕ ด้านคือ ๑) ด้านนโยบาย ๒) ดา้ นการจัดองค์การ ๓) ดา้ นการวางแผนและนำไปปฏิบัติ ๔) ด้านการประเมินผล ๕) ด้าน การดำเนินการปรับปรุง ประสิทธิภาพหลักสูตรฝึกอบรมด้าน ผลสัมฤทธ์ิ ทางทฤษฎีเท่ากับ ๘๒.๓๓/๘๑.๗๕ และคะแนนปฏิบัติ เฉล่ียเท่ากบั ๘๓.๕ ซึ่งสูงกว่าเกณฑท์ ต่ี ้ังไว้ทงั้ ด้าน ทฤษฎแี ละปฏิบตั ิ ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นเกีย่ วกับการจัดรปู แบบการบริหาร จดั การ อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในสถาบันอาชีวศึกษา จาก ผู้บริหารของโรงเรียน อาจารย์และ นักศึกษา จำนวนทั้งสิ้น ๓๓๒ คน ระดบั ความคิดเหน็ ตอ่ รปู แบบ องค์ประกอบต่างๆ อยู่ใน ระดบั ดี กลา่ วคอื มคี า่ ระดับคะแนนเฉล่ยี ๔.๒๐ สูงกวา่ ก่อนการจัดระบบทม่ี ี ระดับคะแนนเฉล่ีย ๑.๓๘ อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิตทิ ี่ ๐.๐๑ นั่นคือ รูปแบบทไี่ ด้มีประสิทธภิ าพสามารถนำไปใช้ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
๖๙ ตารางท่ี ๒.๘ สรุปงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้องกับการบริหารจดั การ (ต่อ) นกั วจิ ัย ข้อค้นพบ พชิ ญาภา ยนื ยาว, วิจัยเร่ือง “รูปแบบการบริหารทรัพยากรบุคคลในสถาบั น (๒๕๕๒) อุดมศึกษา” ผลการวิจัยพบว่า ๑. ปัจจัยที่จำเป็นต่อการบริหาร ทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษานั้นประกอบด้วย ๗ องค์ประกอบ ๒. รุง่ นภา จิตรโรจนรักษ,์ รูปแบบการบรหิ ารทรัพยากรบุคคลในสถาบนั อดุ มศึกษา (๒๕๔๘). วิจัยเร่ือง “การพัฒนารูปแบบการบริหารของคณะกรรมการ สถานศึกษาข้ันพื้นฐานสำหรับประเทศไทย” ผลการวิจัยได้ รูปแบบ การบริหารของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานสำหรับประเทศ ไทยเป็นรูปแบบกง่ึ กรรมการบริหารและก่ึงกรรมการท่ีปรึกษา
๗๐ ๒.๕ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเก่ียวกับ “รูปแบบการบริหารจัดการ จงั หวัดคุณธรรมต้นแบบของจังหวัดพิจิตร” โดยผู้วิจยั ได้นำแนวคิดอันเป็นแนวคิดทางการวิเคราะห์ สภาพท่ัวไป SWOT ๔ ด้านได้แก่ (๑) จุดแข็ง (๒) จุดอ่อน (๓) โอกาส (๔) อุปสรรค๖๐ และแนวคิด ทฤษฎีการบริหารวงจรคุณภาพ PDCA ใน ๔ ดา้ น ได้แก่ ๑) ดา้ นการวางแผนงาน ๒) ด้านการลงมือ ปฏิบัตงิ าน ๓) ดา้ นการตรวจสอบผลการปฏิบัติงาน ๔) ดา้ นการปรับปรุงแก้ไข๖๑ ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม (Independent Varibles) (Dedependent Varibles) แผนภาพท่ี ๒.๑ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย ๖๐ โกศลดศี ีลธรรม, เครื่องมือสำหรับบริหารยคุ ใหม่, (กรงุ เทพมหานคร : อินฟอรม์ เี ดียบุ๊คส์, ๒๕๔๗), หนา้ ๙. ๖๑ Deming, Edward W, Out of The Crisis. USA: The Massachusetts Institute of Technology Center for Advanced Engineering Study, 1995. pp. 6-10.
บทที่ ๓ วิธดี ำเนินการวิจัย การวจิ ยั เรอ่ื ง “รปู แบบการบริหารจดั การจงั หวัดคุณธรรมตน้ แบบของคณะสงฆ์จงั หวดั พิจิตร” ผู้วิจัยกำหนดผู้ให้ข้อมูลสำคัญหมายเอาเฉพาะผู้บริหารซึ่งเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก (In- Depth Interview)ผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informants) ได้แก่กลุ่มพระสังฆาธิการ ข้าราชการ นกั วชิ าการ/ผู้เชยี่ วชาญทางพระพทุ ธศาสนา ซ่ึงผู้ศึกษาได้ดำเนินการศกึ ษา ดงั ตอ่ ไปนี้ ๓.๑ รูปแบบการวิจยั ๓.๑.๑ ผู้ใหข้ ้อมูลสำคัญ ๓.๑.๒ เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ๓.๑.๓ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๓.๑.๔ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ๓.๑ รูปแบบการวจิ ยั การวิจัยเร่ือง “รูปแบบการบริหารจัดการจังหวัดคณุ ธรรมต้นแบบของคณะสงฆ์จังหวัด พิจิตร” ผู้วิจัยให้การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ซึ่งเป็นการ สัมภาษณเ์ ชงิ ลึก (In-Depth Interview) และสนทนาเฉพาะกลุม่ (Focu Group Discussion) ดังนี้ ๓.๑.๑ ผูใ้ หข้ ้อมูลสำคญั ผ้วู ิจยั กำหนดผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นกลุ่มพระสังฆาธิการ ขา้ ราชการ จำนวน ๓๐ รูปหรือ คน เพื่อการสัมภาษณ์ประเดน็ เนื้อหาเชิงลกึ เพอื่ ทำการศกึ ษาวิจยั (๑) กลมุ่ ผใู้ หข้ ้อมูลเชงิ ลึก กลุม่ ผู้ให้ข้อมลู สาคญั เชิงลกึ เกี่ยวกับปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ “รูปแบบการบริหารจดั การจังหวัด คณุ ธรรมต้นแบบของจงั หวัดพจิ ติ ร” ผู้วิจัยไดก้ ำหนดผู้ใหข้ ้อมูลสำคญั แบ่งไว้ดงั นี้
๗๒ (๑) กลมุ่ ผูป้ ฏบิ ตั ิ เชน่ พระสังฆาธกิ ารระดบั ผู้บรหิ าร โดยผู้วิจยั ทำการคัดเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน ๑๕ รปู ลำดับที่ ช่ือ-ฉายา/นามสกุล ตำแหนง่ ๑ พระราชสิทธเิ วที, รศ.ดร. เจ้าคณะจังหวดั พิจติ ร ๒ พระพศิ าลสาธกุ จิ รองเจา้ คณะจังหวดั พิจิตร ๓ พระศรีวิกรมมุนี รองเจา้ คณะจังหวดั พจิ ิตร ๔ พระเมธธี รรมประนาท, ดร. เจ้าคณะอำเภอเมืองพิจิตร ๕ พระครูพิเชฏฐ์อรรถกจิ เจา้ คณะอำเภอสากเหล็ก ๖ พระครพู ิบูลประชานาถ เจ้าคณะอำเภอวังทรายพนู ๗ พระครูวิกรมสมาธิวตั ร เจา้ คณะอำเภอโพธ์ปิ ระทบั ชา้ ง ๘ พระครูพิพฒั นส์ ิริมงคล เจ้าคณะอำเภอตะพานหิน ๙ พระครูวริ ุฬหธ์ รรมาภริ ัต เจา้ คณะอำเภอโพทะเล ๑๐ พระครูพิพฒั น์วีรธรรม เจา้ คณะอำเภอบงึ นาราง ๑๑ พระครูพิพัฒน์สุตคุณ, ดร. รองเจา้ คณะอำเภอบางมูลนาก ๑๒ พระครสู ิรสิ ตุ โสภณ, ดร. เจา้ คณะอำเภอดงเจรญิ ๑๓ พระครูวริ ุฬห์ปุญญาภร เจ้าคณะอำเภอสามงา่ ม ๑๔ พระปิฎกคณุ าภรณ์ เจ้าคณะอำเภอทับคล้อ ๑๕ พระครูพศิ าลธรรมวฒุ ิ เจา้ คณะอำเภอวชริ บารมี
๗๓ ๒) กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องท่ัวไป (General Informant หรือ GI) กลุ่มเจ้าหน้าท่ีภาครัฐ ได้แก่ ผู้วา่ ราชการจังหวดั ผู้อำนวยการ นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่ ผู้นำท้องถิ่น โดยผ้วู ิจัยจะทำการ คัดเลือกแบบเจาะจงจานวน ๑๕ คน ลำดบั ที่ ช่ือ-ฉายา/นามสกุล ตำแหน่ง ๑๖ นายรับสรรค์ ตนั เจรญิ ผู้ว่าราชการจงั หวัดพิจิตร ๑๗ นายกมล กัญญาประสทิ ธิ์ สาธารณสขุ จังหวัดพิจิตร ๑๘ นางสาวกัณธฺญาจ์ มังคศริ ิ วัฒนธรรมจงั หวดั พิจติ ร ๑๙. นายสมพร จันอุด ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพจิ ิตร ๒๐ นายโชคชัย รักเกอ้ื นายอำเภอบางมลู นาก ๒๑ นายนรินทร์ วรรณมหินทร์ นายอำเภอโพทะเล ๒๒ นายสทิ ธพิ นั ธ์ บุตรศรี นายอำเภอดงเจรญิ ๒๓ นพ.วิศษิ ฎ์ อภิสทิ ธิว์ ทิ ยา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางมลู นาก ๒๔ นายสมชาย ยอดเพชร ผู้อำนวยโรงเรียนบางมลู นากภูมิวิทยาคม ๒๕ นายวิจัย ยพุ จันทร์ ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นโพธธิ รรมสวุ ัฒน์ ๒๖ นายนิเวศน์ นอ้ ยอ่ำ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบางมูลนาก ๒๗ นายวเิ ชยี ร จุลพันธ์ นายกองคก์ ารบริหารสว่ นตำบลทา่ บัว ๒๘ นายสิทธศิ ักดิ์ ศรสี ง่า นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลโพทะเล ๒๙ นายเสนอ กลิน่ หอม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโพทะเล ๓๐ นางสุมิตรา กก๊ มาศ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าบวั
๗๔ (๒) กลุม่ ผ้ทู รงคุณวุฒิสำหรับการสนทนากลุ่มเฉพาะ กลุ่มผู้รู้ (Key Informants หรือ KI) จำนวน ๑๐ รูปหรือคน เปน็ กลุ่มบุคคลท่คี าดว่า จะเป็นผู้ให้ข้อมูลในเชิงลึกเก่ียวกับปัจจัยท่ีส่งผลต่อ “รูปแบบการบริหารจัดการจังหวัดคุณธรรม ต้นแบบของจังหวัดพจิ ติ ร” ลำดับท่ี ชอ่ื -ฉายา/นามสกุล ตำแหน่ง ๑. พระมหากฤษฎา กติ ตฺ โิ สภโณ, ผศ.ดร. อาจารยป์ ระจำหลกั สตู รบณั ฑิตศึกษาฯ ๒. พระปลดั ระพินพุทฺธฺสาโร, ผศ. ดร. อาจารย์ประจำหลักสูตรบัณฑิตศึกษาฯ ๔. ดร.สภุ ัทรชยั สีสะใบ อาจารยป์ ระจำหลกั สูตรบัณฑิตศึกษาฯ ๔. พระครวู โิ ชติสกิ ขกิจ ดร. ผอ.วิทยาลัยพจิ ติ ร ๕. พระครูพิจติ รวรเวท ดร. อาจารย์ประจำ วิทยาลยั สงฆพ์ จิ ติ ร ๖. พระครูอุทยั กิจจารักษ์ ดร. อาจารยป์ ระจำ วิทยาลัยสงฆพ์ จิ ิตร ๗. พระครพู ทิ ูรนคราภริ ักษ์ อาจารย์ประจำวทิ ยาลัยสงฆพ์ ิจิตร ๘. พระมหาสุเมธ สมาหโิ ต ดร. รักษาการ ผอู้ ำนวยการสำนักงานวชิ าการ ๙. นางจันทนา กองกันภัย อาจารย์พเิ ศษวทิ ยาลัยสงฆ์พจิ ติ ร ๑๐. วา่ ท่ีร้อยตรี ดร.นพวรรณ์ ไชยชนะ อาจารยพ์ ิเศษวิทยาลัยสงฆ์พิจิตร ๓.๑.๒ เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการวิจยั การสร้างเครื่องมือทใี่ ช้ในการวิจยั ผู้วิจยั ได้ดำเนินการสร้างเครอื่ งมือในการวิจยั โดยศึกษาเอกสารวิชาการและจากงานวิจัย ตา่ งๆท่ีเก่ยี วข้องกับการจดั การจังหวดั คุณธรรมต้นแบบของคณะสงฆ์จังหวัดพิจิตรโดยมีเครื่องมือใน การวิจัย ๒ ชนิด ประกอบด้วย ๑) แบบสัมภาษณ์ ๒) แบบสนทนากลุ่มเฉพาะ โดยมีขน้ั ตอนดงั น้ี แบบสัมภาษณ์เชงิ ลึก (In-dept Interview) ผวู้ ิจยั ได้วิเคราะห์ประเด็นสำคัญของเนือ้ หาการวิจยั และวิเคราะห์สาระสำคัญจากนยิ าม ศัพท์เชิงปฏิบัติการแล้วได้ร่างแบบสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อนำไปให้อาจารย์ท่ีปรึกษาได้ตรวจสอบ คณุ ภาพในด้านต่างๆ ดงั น้ี ๑. การใช้ถอ้ ยคำสำนวนภาษาของขอ้ คำถาม ๒. โครงสร้างของประเด็นเน้ือหาคำถามทีค่ รอบคลุมสาระสำคัญของการจัดการจังหวัด คณุ ธรรมตน้ แบบของคณะสงฆจ์ งั หวดั พิจิตร ๓. กรอบประเด็นและข้อคำถามครอบคลุมเนื้อหาสำคญั ที่ต้องการตามวัตถุประสงคก์ าร วิจัยที่กำหนดไว้
๗๕ ๔. นำเคร่ืองมือที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วให้ผู้เช่ียวชาญจำนวน๕ท่านเพื่อตรวจสอบความ เท่ียงตรง (Validity) ท้ังความตรงของเนื้อหา (Content Validity) และความตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) โดยการหาคา่ CVI ๕. นำเครอื่ งมอื ที่แก้ไขปรบั ปรงุ สมบูรณแ์ ลว้ ไปเก็บข้อมูลกับผ้เู ช่ียวชาญ ๒. สนทนากล่มุ เฉพาะ(Focus Group Discussion) การสร้างแนวคำถามในการสนทนากลมุ่ เฉพาะ ผวู้ จิ ัยดำเนินการดงั นี้ ๑. ศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การจัดการจงั หวัดคุณธรรมต้นแบบของคณะ สงฆ์จังหวัดพิจิตรจากเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต บทความ ตำรา คัดสำเนาจากรายงานวจิ ัยหรือบทควา ๒. นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยมาสร้างประเด็นคำถาม ทส่ี อดคลอ้ งกบั วัตถุประสงค์ ๓. เสนอร่างเคร่ืองมือ ประเด็นการสนทนากลุ่มเฉพาะต่ออาจารย์ท่ีปรึกษาและปรับปรุง แก้ไขตามท่ีอาจารยท์ ี่ปรึกษาแนะนำ ๓.๑.๓ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ซลิ เวอรม์ ัน (Silverman, ๒๐๐๐) ไดน้ ำเสนอถงึ วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู มี ๔ วิธี คอื (๑) การสังเกต (Observation) (๒) ตำราและเอกสาร (Texts& Documents) (๓) การสัมภาษณ์ (Interviews) (๔) การบันทึกวีดีทัศน์และโสตทัศนูปกรณ์ (Audio & video recording)๑ การ สัมภาษณ์เป็นวิธีการที่จะได้ข้อมูลเก่ียวกับความรู้สึกนึกคิด ความคิดเห็นและมุมมอง ค่านิยมท่ีจะ นำไปสู่การปฏิบัติ ระบุไปถึงการบอกเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่สะท้อนให้เห็นว่าบุคคลนั้นๆ ได้มี ปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์หรือสภาวะแวดล้อมอย่างไร และท่ีสำคัญการสัมภาษณ์จะเป็นวิธีการเก็บ รวบรวมขอ้ มูลท่เี กดิ ขน้ึ ในอดีตมาพรรณนาได้๒ ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเลือกใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) เพื่อเก็บรวบรวม ขอ้ มลู ในคร้งั น้ี โดยการสัมภาษณจ์ ะใชล้ กั ษณะของการสัมภาษณ์แบบกง่ึ โครงสร้าง โดยเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงเป็นแบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง (Structural Interviewing Guideline) ซ่ึงเป็นการต้ังคำถามแบบปลายเปิด (Open ended Questions) เป็น ๑ Silverman, D., Doing Qualitative Research : A Practical Handbook,( London, Sange, 2200), p. 90. ๒Creswell, J. W, Qualitative inquiry and research design : Choosing among five Traditions, Op. cit, p. 121.
๗๖ เกณฑ์และจะใช้แนวคิดทฤษฏีการต่อจิกซอว์ (JigsawPuzzle) คือ การสอบถามเพิ่มเติมใน รายละเอียดจนสามารถนำมาประมวลต่อเร่ืองให้เห็นภาพรวม (Bid picture) และรายละเอียด ปลกี ย่อย (Decorated Context)ท้งั น้ีในการดำเนินการจัดสรา้ งเครอ่ื งมือดำเนินการดังน้ี ๑. ศึกษาแนวคิดและทฤษฏีต่างๆ รวมท้ังเอกสารงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ผู้วิจัยได้ ทำการศึกษาค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ได้แก่ ข้อมูลปฐมภูมิ คือ จากพระไตรปิฎก และ ข้อมูลทุติยภูมิ โดยศึกษาจากเอกสาร ตำรา และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องที่เหมาะสม และสอดคล้องกับ งานวิจัยฉบับนี้ เพอ่ื เปน็ ขอ้ มลู ในการสรา้ งแบบสมั ภาษณ์ ๒. กำหนดโจทยก์ ารวิจยั (ResearchQuestion) เปน็ เกณฑห์ ลัก ๓. กำหนดวัตถุประสงคห์ รือผลลพั ธ์ทีต่ อ้ งการทราบ เพือ่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั โจทยก์ ารวิจัย ๔. กำหนดข้อคำถามเชิงโครงสร้าง (Structural Interview Guideline) ซ่ึงเป็นการต้ัง คำถามแบบปลายเปิด (Open ended Questions) เป็นเกณฑ์ ๕. นำเสนอให้อาจารย์ท่ีเพ่อื ตรวจสอบ และปรบั ปรุงแก้ไข ๖. นำแบบสมั ภาษณ์ท่ีอาจารย์ที่ปรึกษาได้ตรวจสอบมาปรบั แก้ไข ตามขอ้ เสนอแนะของ อาจารย์ที่ปรกึ ษา ๗. นำแบบสัมภาษณท์ ี่ไดร้ บั การปรับปรงุ แก้ไขแล้วสง่ ให้ผู้ทรงคณุ วุฒติ รวจสอบ ความตรง เชิงเนอ้ื หา (Content Validity) ๘. จัดพิมพ์แบบสัมภาษณ์ฉบับสมบูรณ์ แล้วนำไปใช้จริงเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่ม ตัวอย่าง ๓.๑.๔ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพแบ่งออกเป็น ๒ ข้ันตอน คือวิเคราะห์ ข้อมลู แบบสมั ภาษณ์ การจัดการจังหวดั คณุ ธรรมต้นแบบของคณะสงฆ์จังหวัดพจิ ิตร โดยใช้เทคนิค๖’ Cs๓ในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลดว้ ยกระบวนการดงั ต่อไปนี้ ๑) กำหนดมโนทัศน์ (Concept) แนวคิดในการวิเคราะห์ ๒) รวบรวมเนอ้ื หา (Contents) ๓) วิเคราะหจ์ ำแนกกลุ่ม (Classification) ๔) จดั หมวดหมขู่ อ้ มลู (Category) ๕) สรปุ และจัดระบบความคิด (Conceptualization) ๓ นภัทร์ แก้วนาค, เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ(Qualitative Data Analysis Technic), (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๔), หน้า ๖.
๗๗ ๖) อธิบายความหมาย (Communication) ความน่าเชื่อถือ (Trustworthiness) การนำเสนอส่วนท่ีว่าด้วยความน่าเช่ือถือของงานวิจัยเชิงคุณภาพเป็นสิ่งท่ีจำเป็น ซ่ึง แพทตัน (Patton) ได้เสนอไว้ว่า“ผู้วิจัยเชิงคุณภาพต้องมีกฎเกณฑ์ด้วยวิธีในการรายงานท่ีมี ประสทิ ธิภาพในการรวบรวมขอ้ มูล และกระบวนการของการวิเคราะห์ทจี่ ะอนุญาตให้ผู้อ่ืนตรวจสอบ ผลผลติ ของการรายงาน”๔ นักวิชาการได้นำเสนอในประเด็นว่าในการวิจัยเชงิ คุณภาพจำเป็นอยา่ งย่ิงท่ีจะต้องได้รับ การประเมินอย่างแมน่ ยำเพื่อตอกย้ำถึงความชัดแจ้งท่ีมีประสิทธิภาพเพื่อว่าผอู้ ่านผลงานการวิจัยที่ ตีพิมพ์สามารถประเมนิ คุณค่าของงานวจิ ัยได๕้ เกณฑ์ความน่าเชื่อถือจะปรากฏในรูปของ การสามารถให้ความไว้วางใจ (Credibility) ความสามารถในการถ่ายโอน (Transferability) ความมีอิสระ (Dependability) และการสามารถ ยนื ยัน (Confirmability) Lincoln &Gubaและ Shenton)๖ ได้สรปุ เกณฑ์เชิงคุณภาพไวด้ งั นี้ ๔ Patton,M, Qualitative Evaluation and Research Methods, ( Newbury Park, California, Sage, 1990), p. 462. ๕ Strauss, A. and J. Corbin, Basics of Qualitative Research : Grounded Theory Procedures and Techniques, (Newbury Park, California, Sage, 1990), p. 249. ๖ Shenton, A. K. Strategies for ensuring trustworthiness in qualitative research Projects, Education for Information ๒๒, (IOS press, 2004๒), p. 73.
๗๘ ตารางที่ ๓.๑ เกณฑ์ความน่าเชอ่ื ถือ เกณฑ์ การดำเนินการโดยผวู้ จิ ยั ๑ ) ค ว า ม แ ก ร่ ง ท า ง - กำหนดคำถามการวจิ ัย และการออกแบบการวิจยั ให้เหมาะสม วชิ าการ - การสุม่ ตัวอยา่ ง และการเลือกประชากร - การตรวจสอบขอ้ มูลแบบสามเสา้ (Triangulation) การตรวจสอบ แหล่งท่ีมาต่าง ๆ ของข้อมูลของผสู้ ืบสวนข้อมลู หลาย ๆ คนท่ตี ่างกนั - กลยทุ ธ์การชว่ ยใหเ้ กดิ ความซอ่ื สัตย์ในผูใ้ ห้ขอ้ มูล - การใชเ้ ทคนิคถามซำ้ (Iterative questioning)ในการรวบรวมข้อมูล - การวเิ คราะห์กรณีศึกษาทเี่ ปน็ ทางลบ - การจัดช่วงเวลาพูดคุยรายละเอียดระหว่างนักวิจัยกับผู้รับผิดชอบ โครงการอยา่ งสมำ่ เสมอ (Peer scrutiny of project) - การสะท้อนขอ้ สังเกต - การเขียนภมู ิหลัง คุณสมบัติ และประสบการณ์ของนกั วิจยั - การตรวจสอบขอ้ มูลทเ่ี ก็บรวบรวม และตีความ ทฤษฏีที่คน้ พบ - การอธิบายถึงปรากฏการณอ์ ยา่ งเขม้ ขน้ ลึกซึง้ และละเอียดถี่ถว้ น - การตรวจสอบข้อคน้ พบหรือผลการวิจยั ทม่ี คี นทำมาแล้ว ๒)การถา่ ยโอนผลการวิจยั - ศึกษาขอ้ มูลพื้นหลังจากบริบทของการศกึ ษา และตีความรายละเอียด ถึงปรากฏการณ์ในคำถามเพอ่ื ใหส้ ะท้อนถึงการเปรียบเทียบ ๓) การพงึ่ พาเกณฑ์ - การใชว้ ิธกี ารหลาย ๆ วิธีทส่ี อดคลอ้ งกัน (Overlapping Methods) - การอธิบายรายละเอียดของวิธีวิทยาอย่างละเอียดลึกซึ้ง เพ่ือให้ สามารถทำวิจยั ซ้ำได้ ๔) การยนื ยนั ผลการวจิ ัย - การตรวจสอบสามเสา้ (Triangulation) เพ่อื เป็นการลดอทิ ธพิ ลทเ่ี กิด จากอคตขิ องนักวจิ ยั ทั้งการยอมรับข้อตกลงของนักวิจยั - การพิจารณาถงึ จุดออ่ นของวธิ ีการทีใ่ ช้ และผลที่เกิดขึ้น - การอธบิ ายถงึ วิธีวทิ ยาท่ีใช้ในการวิจัยอยา่ งลึกซงึ้ เพ่ือความสมบรู ณ์ของ ผลการวจิ ยั - การใชผ้ งั เพ่อื แสดงรอ่ งรอยของการติดตาม (Audit trail)
๗๙ เกณฑ์การพิจารณาความแกร่งทางวิชาการหรือความน่าเชื่อถือที่กล่าวมาข้างต้น โดย อธิบายการใชว้ ิธีการเพื่อให้ได้มาซ่ึงความน่าเช่ือถือนั้นสามารถสรปุ ให้เข้าใจมี ๔ วิธกี ารคือ (๑) การ จัดระบบการเก็บหลักฐานเพอื่ ตรวจสอบงานวิจยั (AuditTrail) (๒) การศึกษาเพ่ือสร้างความคุ้นเคย (FamiliarizationStudy) (๓) การตรวจสอบข้อมูลแบบหลายทิศทาง (Triangulation) และ (๔) การ ตรวจสอบข้อมลู ให้ถกู ตอ้ งตรงตามความเป็นจริง๗ ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงอาศัยเกณฑ์การพิจารณาคุณภาพงานวิจัยท้ัง ๔ ด้านนี้ ถือได้ว่าเป็นส่วน สำคัญทจ่ี ะชว่ ยเพิ่มความเชอื่ ถอื และไว้วางใจในคุณภาพของงานวจิ ัยเชงิ คุณภาพ นกั วิจัยจะต้องอาศัย วา่ วธิ กี ารมีความเหมาะสมกับงานวจิ ัยของตนและเลอื กใชว้ ิธีการทเี่ หมาะสมโดยอาจจะตอ้ งใช้หลาย ๆ วธิ ีรวมกันไปอย่างไรก็ตามในการสร้างความแกร่งทางวิชาการหรือความน่าเชื่อถือได้ในทางปฏิบัตินั้น ในด้านความน่าเชื่อถือได้ (Credibility) วิธีการท่ีนิยมทำกันมากคือ การตรวจสอบข้อมูลแบบหลาย ทิศทางหรือแบบสามเส้า (Triangulation)๘ ๗ Joungtrakul, J, Industrial Democracy and Best Practice in Thailand : A Stakeholder Study. Perth, Australia, Thesis Presented for the Degree of Doctor of Business Administration, Op. cot. P. 198 - 173 ๘ จำเนียร จวงตระกูล, การวิจัยเชิงคุณภาพ : เคร่ืองมือสร้างองค์ความรู้เพ่ือการพัฒนา ประเทศ, อ้างแลว้ , หน้า ๕๑๙.
บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาเร่ือง \"รูปแบบการบริหารจังหวัดคุณธรรมต้นแบบของพิจิตร\"น้ี ผู้วิจัยได้ ตรวจสอบข้อมูลเชิงประจักษ์ตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ(Cualitatve Research) ท่ีได้จากการ สมั ภาษณ์เชิงลึก(in-depth interview) ผู้ที่ใหข้ ้อมูลสำคัญ(key informants) ไดแ้ ก่ พระสังฆาธิการ ระดับเจ้าคระผู้ปกครองผู้บริหารคุณสงฆ์ด้านส่งเสริมคุณธรรมและประสานงานรูปแบบการบริหาร จงั หวดั คุณธรรมต้นแบบของพิจติ รพิจิตร ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวัฒนธรรม ข้าราชการท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั การ สอนงานคณะสงฆ์ดา้ นวัฒนธรรม รวมจำนวนทงั้ สิ้น ๓๐ รูป/คน ไดใ้ ช้การสนทนากลุ่มเฉพาะ (Focus Group Discussion) ร่วมกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key informants) อันได้แก่ พระสังฆาธิการผู้ บริหารงานด้านส่งเสริมคุณธรรมและประสานคุณธรรมต้นแบบจังหวัดพิจิตร ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน วัฒนธรรม เพ่อื พิจารณาการพัฒนาส่งเสริมคุณธรรมต้นแบบของคณะสงฆใ์ นจังหวัดพิจติ ร ให้มีความ เหมาะสมและมีความสอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี ๔.๑ สภาพท่ัวไปในการบริหารจัดการจงั หวดั คุณธรรมจังหวดั พิจิตร ๔.๒ ปัจจัยทีส่ ่งผลต่อการบริหารจดั การจังหวัดคณุ ธรรมตน้ แบบจังหวัดพจิ ติ ร ๔.๓ รปู แบบการบรหิ ารจดั การจังหวัดคณุ ธรรมต้นแบบของจงั หวัดพิจติ ร ๔.๔ ผลการสนทนากลมุ่ เฉพาะ ๔.๕ องคค์ วามรู้ ๔.๑ สภาพท่ัวไปในการบริหารจัดการจงั หวัดคณุ ธรรมจงั หวัดพจิ ติ ร การศึกษาวิจัยการบริหารจัดการจังหวัดคุณธรรมในเขตพื้นท่ีท่ีผวู้ ิจัยได้ใช้ทฤษฎี SWOT มาทำการศึกษาวิเคราะห์ ประมวลองค์ความรู้ในพ้ืนท่ีจะต้องการการศึกษา เพอ่ื แสดงให้เห็นถึงองค์ ความรู้พื้นฐานในการที่จะเป็นพื้นที่บริหารจัดการด้วยคุณธรรมนั้น มีบริบทต่าง ๆ เข้ามาเช่ือมโยง เกยี่ วขอ้ ง เปน็ เหตุใหก้ ารบริหารจดั การด้วยองค์ธรรมแลว้ จะมีคุณคา่ ส่งผลตอ่ ทำการศกึ ษา๔ ด้านดว้ ย SWOT Analysis คือ ดา้ นจุดแข็ง ด้านจุดอ่อน ด้านโอกาส และด้านอุปสรรคปัญหา โดยจะไดแ้ สดง ขอ้ มูลในแต่ละพ้นื ท่ี คือ ๑. วดั ท่าหลวง พระอารามหลวง ๒. โรงเรียนบางมลู นากภมู ิวิทยาคม
๘๑ ๓. โรงพยาบาลบางมูลนาก แลว้ แสดงองค์ความร้ทู ่ีได้ วิเคราะห์ เช่ือมโยง ไปสู่แผนงานตา่ ง ๆ ของการบรหิ ารจดั การ จังหวดั คุณธรรมของจังหวดั พิจติ ร ๔.๑.๑ พ้ืนท่วี ดั ทา่ หลวง พระอารามหลวง วดั ท่าหลวง พระอารามหลวงนั้น เปน็ ศูนยร์ าชการงานคณะสงฆ์ของจังหวัดพจิ ิตร ซึ่งอยู่ ในกลางเมืองพจิ ิตร ติดรมิ แมน่ ำ้ ผู้วิจยั ไดน้ ำเอาทฤษฎี SWOT มาเป็นเครื่องมือในการศกึ ษาวิเคราะห์ พื้นท่ศี กึ ษาวจิ ัยคือวัดทา่ หลวง เพือ่ จะแสดงให้เหน็ ข้อมูลของพนื้ ที่วา่ ไดม้ บี ริบททั่วไป เป็นอยา่ งไร ซึ่ง คุณลกั ษณะเดน่ ถือวา่ เป็นองค์กรคุณธรรมต้นแบบอยู่แล้วโดยธรรมชาตเิ ชงิ วัฒนธรรม สถานท่ีนั้นยงิ่ มี ความสำคัญย่ิง แต่ต้องเองมาศึกษาค้นคว้าและทำการวิเคราะห์แสดงใหป้ ระเด็นต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนจริง ตามข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเปน็ ผู้ในพนื้ ที่ และเกย่ี วขอ้ งในบริบทต่าง ๆ ของวัด ทา่ หลวง มากระทำการศกึ ษาวจิ ัยตามทฤษฎี ๔ หลักของ SWOT ดงั ตอ่ ไปน้ี ด้านจุดแข็ง (S) มีดงั นีค้ อื ๑. วัดทา่ หลวง เปน็ พระอารามหลวง ซ่ึงวัดท่าหลวงนั้น เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิด สามัญ มีแม่น้ำน่านไหลผ่านด้านหน้าวัด ตั้งอยู่บนถนนบุษบา ตำบลในเมือง เดิมช่อื ตำบลท่าหลวง อำเภอเมืองพจิ ติ ร จังหวดั พิจติ ร อาณาเขต ทศิ เหนอื ตดิ กับที่ต้ังของสำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาพจิ ติ ร เขต ๑ ทิศใต้ ติดกับทีท่ ำการไปรษณียพ์ ิจิตร ทศิ ตะวันออก ตดิ กบั แมน่ ำ้ น่าน ทิศตะวันตก ติดกับถนนศรีมาลาตรงกันข้ามเป็นท่ีตั้งของท่ีว่าการอำเภอเมืองพิจิตร เรอื นจำพิจิตรและกองบงั คบั การตำรวจภูธรจังหวดั พิจติ ร๑ ๒. วดั ท่าหลวง เปน็ ศูนย์รวมใจของ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนในจังหวัดพิจิตรซ่ึงวดั ท่า หลวงน้ันมพี ระพทุ ธรปู สำคัญรวมใจ มีพระมหาเถระที่เคารพศรัทธา สบื ต่อการเปน็ เจา้ คณะจงั หวดั มา ทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะท่ีพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิ ประชาชนท่ัวไปให้ ความสำคัญต้องมากราบไหว้สักการะ อธิษฐานจิตขอพร อยู่ประจำ มีการมาสวดมนต์อยู่เนืองนิตย์ สถานที่แหง่ นีค้ ือความขลังศกั ดิ์สิทธิ์ยึดเหนี่ยวจติ ใจของผู้คนทกุ สารทิศ๒ ๓. วัดท่าหลวง เป็นศนู ยก์ ารบริหารงานคณะสงฆ์ของจังหวัดพิจิตร ทางคณะสงฆ์จงั หวัด พิจติ ร ไดม้ ศี าลาประชมุ สงฆ์ขนาดใหญ่ ๕๐๐ รปู เป็นสถานท่ีประชุมของพระสังฆาธิการทุกระดบั ขึ้น ๑ สมั ภาษณ์ ผ้ใู หข้ ้อมลู สำคญั อันดบั ท่ี ๑๖ เมือ่ วนั ที่ ๒๒ ธนั วาคม ๒๕๖๓. ๒ สมั ภาษณ์ ผ้ใู ห้ขอ้ มลู สำคญั อนั ดับท่ี ๑ เมอ่ื วนั ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๓.
๘๒ ของคณะสสงฆ์จังหวัดพิจิตร และเป็นสถานที่จัดโครงการต่าง ๆ ของคณะสงฆ์ การบริหารกิจการ คณะสงฆ์ ประชมุ สมั มนา การอบรมพระสังฆาธกิ ารของคณะสงฆ์จะใชส้ ถานที่แห่งนเ้ี ปน็ หลัก๓ ๔. วดั ท่าหลวง เป็นวัดสำคญั ทางประวัติศาสตร์ของจงั หวดั พิจติ ร พุทธศักราช ๒๓๘๘ รัช สมัยของพระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว สร้างวดั ทา่ หลวง ช่อื ของวัดตัง้ ข้ึนตามชื่อตำบลอนั เป็น ที่ตัง้ (ในสมัยนั้น) นอกจากน้วี ัดท่าหลวงยังมีชอ่ื อีกชื่อหน่ึงว่า วัดราชดิตถาราม แต่ไม่ได้รับความนยิ ม นำมาใช้เรียกขาน วัดท่าหลวง มพี ระพทุ ธรูปหลวงพ่อเพชร เปน็ พระประธานประจำวัด พ้ืนที่ของวัดมี ลกั ษณะพิเศษคือ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยมีถนนบุษบาคน่ั ระหว่างกลางในแนวเหนือ-ใต้ พื้นที่ ฝากตะวันออก เป็นเขตพุทธาวาส ประกอบดว้ ยพระอโุ บสถ และศาลาการเปรยี ญเป็นหลกั ส่วนฝาก ตะวันตกนั้น ประกอบด้วยเขตสังฆาวาส โรงเรยี นปริยัตธิ รรม เขตประกอบฌาปนกจิ และเขตปฏิบตั ิ ธรรมของฆราวาส เป็นหลกั โดยมกี ารอัญเชิญหลวงพ่อภัทร พระประธานองคเ์ ดมิ มาประดิษฐานเป็น พระประธานในพื้นท่ี ซึ่งเรยี กตามชอ่ื ของหมู่บ้านที่ตั้งวัดอยู่ คำวา่ \"ท่าหลวง\" นน้ั เป็นช่อื ของหมบู่ ้าน ท่าหลวง คลองท่าหลวง ตำบลท่าหลวง และเคยเป็นชื่อของอำเภอท่าหลวงมาก่อน ต่อมาเม่ือ พุทธศักราช ๒๔๘๑ เปลี่ยนเป็นอำเภอเมืองพิจิตรจนถึงปัจจุบันทางราชการได้เคยใช้สถานท่ีวัดท่า หลวงในการประกอบพิธถี อื น้ำพิพฒั น์สัตยาเป็นประจำ ฝากตะวันตกวดั ท่าหลวง มีพระพุทธรปู สำคัญ ๒ องค์ คือ หลวงพ่อเพชรและหลวงพ่อภทั ร๔ ๕. วัดท่าหลวง เป็นสถานที่สถิตอยู่ของผู้นำระดับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้า คณะตำบล พระวินัยธร พระธรรมวิทยากร พระวินยาธิการ พระธรรมทูต พระครูศีลธรรมใน โรงเรียน พระครูสอนบาลี พระครูสอนนักธรรมพระครสู อนธรรมศกึ ษา๕ ๖. วัดท่าหลวง เป็นแหล่งวัฒนธรรมประเพณีของจังหวัดพิจิตร คือการแข่งเรือยาว ประเพณี ซ่ึงได้รับพระราชถ้วยรางวลั ชนะเลศิ ในรชั กาลท่ี ๙ จนถงึ รัชกาลปจั จบุ ัน ในระดับประเทศ อนั เป็นแหลง่ วฒั นธรรมสำคญั ของประเทศไทย๖ ๗. วดั ทา่ หลวง มีทรัพยากรบุคลากรมาก ในระดับวัดของจงั หวัดพจิ ติ ร พระภกิ ษุสามเณร ในวัดท่าหลวง มีบุคลากรระดับเปรียญธรรม ๙ ประโยค และเปรียญธรรมอื่น ๆอีกหลายรูป ที่จบ ปริญญาตรี โท เอก มีหลายสิบรูป ซ่ึงในแต่ละรูปองค์มีศักยภาพความสามารถในรูปแบบต่าง ๆ กัน ถือว่าเปน็ สถานท่ีรวมบคุ ลากรที่มคี ุณภาพท้งั วยั วุฒิ และคณุ วุฒิ ของคณะสงฆ์จังหวัดพิจิตร๗ ๓ สัมภาษณ์ ผู้ให้ขอ้ มูลสำคัญอนั ดับท่ี ๑๙ เมอื่ วันท่ี ๒๕ ธนั วาคม ๒๕๖๓. ๔ สัมภาษณ์ ผู้ให้ขอ้ มูลสำคัญอันดับที่ ๑๘ เมื่อวันท่ี ๒๓ ธนั วาคม ๒๕๖๓. ๕ สมั ภาษณ์ ผูใ้ ห้ข้อมูลสำคญั อันดับท่ี ๔ เม่ือวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๖ สมั ภาษณ์ ผู้ให้ขอ้ มลู สำคัญอันดับท่ี ๑๘ เมือ่ วันท่ี ๒๓ ธนั วาคม ๒๕๖๓. ๗ สมั ภาษณ์ ผ้ใู หข้ ้อมูลสำคญั อันดบั ท่ี ๓ เม่ือวนั ท่ี ๒ ธันวาคม ๒๕๖๓.
๘๓ ๘. วัดท่าหลวง มีต้นทุนด้านคุณธรรม เป็นสถานที่อยขู่ องพระภิกษุสงฆ์ อันเป็นท่ีเคารพ รกั ศรัทธาของประชาชนในจงั หวัดพิจิตร คือได้มีพระมหาเถระ ผู้ทรงสมณศกั ดิ์เกิดข้ึนทนี่ ี่ และได้เป็น เจา้ คณะผู้ปกครองระดับเจา้ คณะจงั หวัด มาหลายยุค หลายสมัย จนถึงสมัยปัจจุบัน๘ ๙. วัดท่าหลวง เป็นสถานที่มีสิ่งศักด์ิสทิ ธ์ิ คือหลวงพ่อเพชร พระมิ่งเมืองประจำอยู่ท่ีพระ อุโบสถ ซึง่ มาในยคุ ตน้ ๆ การการสรา้ งวดั หลวงพอ่ เพชรไดถ้ ูกอัญเชญิ มาประดิษฐานไว้ทีพ่ ระอุโบสถใน รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนเป็นที่ถือนับ กราบไหว้สักการะบูชา ที่ พระพทุ ธรูปสำคญั ประจำจงั หวัดพิจิตร๙ ๑๐. วัดท่าหลวง เป็นสถานท่ีมีพระผู้นำที่เข้มแข็ง นำสร้างโรงพยาบาลพิจิตร โดยพระ ธรรมทัสสมี นุ ีวงศ์ อดตี เจ้าคณะจังหวดั พจิ ิตร นำสร้างโรงเรยี นหลวงพ่อเพชรพิทยา พระปรยิ ัติสามัญ โดยพระราชวิจิตรโมลี อดีตเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร นำสร้างมหาวิทยาลัยสงฆ์จังหวัดพิจิตร โดยพระ ราชสทิ ธิเวที รศ.ดร.เจ้าคณะจงั หวัดพิตริ รูปปจั จบุ ัน๑๐ ด้านจดุ ออ่ น (W) มีดงั นี้คอื ๑. ผนู้ ำ ผ้ปู กครอง ยังแนวคดิ ไมค่ อ่ ยไปในทิศทางเดยี วกันด้วยองคก์ รขนาดใหญ่ ผู้ทมี่ เี ป็น แกนนำ หวั หน้าคณะ มีการศึกษา พ้นื ฐานความคิด ในวิถชี ีวิตท่ตี ้องมาอย่รู วมกนั ในสถานภาพแห่งวิถี ธรรม ดา้ นแนวคิดย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องมคี วามแตกต่าง ต้องถือวา่ เป็นจุดตา่ ง ข้อด้อยขององค์กร สงฆท์ ่ีต้องมีการพฒั นา ในสภาวะสงั คม หรอื หน้าท่ีรับผิดชอบเกิดมขี ึ้นตอ้ งอาศัยผู้ใหญ่ที่เป็นทเ่ี คารพ นบั ถือประสาน และพลงั สังคมรวมต้องมีแนวคดิ แก้ไขจุดอ่อนตรงนี้๑๑ ๒. บุคลากร ในงานขององค์กรคณะสงฆ์บางส่วนยังไม่เพียงพอ ทางคณะสงฆ์ผทู้ ีท่ ำหนา้ ที่ โดยส่วนมากจะบริการคนเดียว หรือบริหารเชิงเด่ียว การมีบคุ ลากรทเ่ี กิดขึน้ มาสนบั สนุน เกื้อกูลกัน นน้ั มีความพอดี โดยส่วนมากเกิดขึ้นได้ยาก เปน็ จุดออ่ นที่คณะสงฆเ์ องยอมรับกนั วา่ เปน็ ส่ิงที่เกิดขึ้น ยาก แต่จะสรรหา หรือคน้ หากไ็ ด้ แตจ่ ะอยู่ร่วมกนั แบบมั่นคง ย่ังยนื มนี อ้ ย๑๒ ๓. ศักยภาพบุคลากร ยังไม่สมบูรณ์ตามแบบคณะสงฆ์ต้องการภารกิจของคณะสงฆ์ มี ภารกจิ ประจำ และกิจกรรมที่เกิดแบบไม่ไดต้ ระเตรียมไว้ก่อน บุคลากรที่ทำงาน ที่มีความสามารถ เกดิ การหมุนเวยี นเปลี่ยนไป ตามกาลเวลา ไม่มีเงินเดือน ไม่มีการเตรียมการด้านบุคลากร ให้เกิดข้ึน ๘ สมั ภาษณ์ ผู้ให้ขอ้ มลู สำคัญอนั ดับท่ี ๒ เม่ือวนั ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๙ สัมภาษณ์ ผู้ใหข้ ้อมูลสำคัญอนั ดบั ที่ ๑ เม่อื วนั ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๓. ๑๐ สัมภาษณ์ ผ้ใู ห้ข้อมูลสำคัญอนั ดับที่ ๑๙ เมื่อวนั ท่ี ๒๕ ธนั วาคม ๒๕๖๓. ๑๑ สัมภาษณ์ ผใู้ หข้ ้อมูลสำคญั อันดบั ท่ี ๔ เมื่อวันที่ ๓ ธนั วาคม ๒๕๖๓. ๑๒ สมั ภาษณ์ ผ้ใู หข้ อ้ มลู สำคญั อนั ดบั ท่ี ๒ เมื่อวันท่ี ๑ ธันวาคม ๒๕๖๓.
๘๔ เองตามศรทั ธา เป็นเหตใุ ห้ศักยภาพดา้ นบคุ ลากร จำต้องรอเหตปุ จั จยั หลายอย่าง รอเวลา อาศัยเวลา ในการพัฒนาปรบั เปลี่ยน๑๓ ๔. พระภิกษุสามเณรรุ่นใหม่ ยังพฒั นาศกั ยภาพด้านตา่ ง ๆ เพ่อื ให้อยู่ไดม้ ัน่ คงในพระธรรม วนิ ยั การเข้ามาบวชของพระภิกษสุ ามเณรบางช่วงกาลมนี ้อย บางเวลามีมาก และเมอ่ื อยใู่ นเพศสมณะ ตอ้ งมีการฝกึ ฝนอบรม ด้วยเหตทุ ีบ่ ุคลากรท่ฝี กึ ฝนน้อย และใหอ้ ยู่กนั ตามศรทั ธา เจตนาทจ่ี ะบวชเพื่อ ศึกษาเล่าจริง ๆ ก็หายาก พร้อมกันนั้นบางส่วนท่ีบวชเพ่ือเล้ียงชีพ และไม่เรียนหวังลาภสักการะ บางส่วนก็แสดงภาพท่ีไม่เหมาะสมสสู่ าธารณะ จึงตอ้ งเป็นจดุ อ่อนประการหนึ่ง๑๔ ด้านโอกาส (O) มีดงั นคี้ อื ๑.อยู่กลางชุมชนเมือง สามารถเข้าถึงทุกมิติของสงั คมเมอื ง วัดทา่ หลวง เป็นสถานท่ีสถิต อยู่ของพระพทุ ธรปู สำคัญ พระมหาเถระสำคัญ ๆ น้ันเป็นทตี่ ้ังศรัทธาประชาชน มที ั้งฝ่ายข้าราชการ หลายอยู่งาน นักธุรกิจ หลากกลุ่มอาชีพ ประชาชนทั่วไป ที่มาเป็นลูกศิษย์ ได้ให้พระผู้ที่เป็นผู้นำ ระดบั หัววดั สมภารเจ้าอาวาสรุ่นตอ่ ๆ มาได้สืบต่อรักษาศรัทธา พรอ้ มกับวัดนั้นได้รับยอมเป็นศูนย์ การคณะสงฆ์ดว้ ย๑๕ ๒. มสี ถานที่ และอปุ กรณ์เทคโนโลยีพรอ้ มตามธรรมดาของศนู ยร์ วมราชการดา้ นคณะสงฆ์ และพระสงฆ์ผู้มคี วามสามารถ มีการศึกษาด้านเทคโนโลยี เป็นศูนยเ์ รยี นรู้ มีปัจจัยเกอื้ กลู เพราะอยู่ใน กลางสังคมเมือง ส่ือสาร ไลน์ เฟสบคุ และส่ือมิเดียด้านอ่ืน ๆ จึงเป็นแหลง่ อุปกรณ์ท่ีทันสมยั ด้าน คณะสงฆ์อยู่เสมอ๑๖ ๓. เป็นศูนย์อำนาจของคณะสงฆ์ระดับผู้บริหารจังหวัดพิจิตร วัดท่าหลวงนั้น เป็นวัดที่ พิเศษตลอดระยะเวลาที่ยาวนานมาก มีเจา้ คณะผู้ปกครอง ระดับเจ้าคณะจังหวัดมาหลายยุคหลาย สมยั แมก้ ระทง่ั สมยั ปจั จบุ นั นี้ ปี พ.ศ.๒๕๖๔ กย็ ังมีพระมหาเถระผใู้ หญเ่ ปน็ เจา้ คณะจังหวดั พิจิตรอยู่ ระดับตำแหนง่ เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล กม็ ีอยทู่ ่วี ัดท่าหลวงอยู่ประจำ๑๗๔. เป็นศนู ย์ประชมุ ของ คณะสงฆจ์ งั หวดั พิจิตรวัดท่าหลวง มสี ถานท่ีประชุมคณะสงฆ์ขนาดใหญ่ และมีสถานทศี่ ึกษาเล่าเรยี น ทางคณะสงฆ์และปริยัติสามัญฝ่ายโลก การประชุมระดับเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะ ๑๓ สัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมลู สำคญั อันดับที่ ๓ เม่ือวนั ที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๑๔ สัมภาษณ์ ผใู้ หข้ ้อมลู สำคัญอนั ดับที่ ๑๑ เมอื่ วันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๑๕ สมั ภาษณ์ ผู้ให้ข้อมลู สำคัญอันดับที่ ๙ เม่ือวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๑๖ สัมภาษณ์ ผูใ้ ห้ขอ้ มูลสำคญั อันดับท่ี ๑๒ เมอ่ื วนั ที่ ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๖๓. ๑๗ สมั ภาษณ์ ผใู้ หข้ อ้ มลู สำคญั อนั ดับท่ี ๕ เม่อื วนั ที่ ๔ ธนั วาคม ๒๕๖๓.
๘๕ อำเภอ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส ตอ้ งเกดิ ขึน้ ทวี่ ัดทา่ หลวง วดั ทา่ หลวง ยงั เปน็ สถานทฝ่ี กึ อบรมทาง คณะสงฆ์ ในทุก ๆ กิจกรรมทางการคณะสงฆ์ เปน็ สถานท่ีสัมมนา อบรม ฝกึ ซ้อม และอีกมายมาก๑๘ ๔. เป็นสถานที่มีแหล่งทุน สนบั สนุน จากขา้ ราชการ พ่อค้า ประชาชนทั่วไปวดั ท่าหลวง เปน็ สถานที่เชงิ ท่องเที่ยวทางพุทธศาสนสถาน กราบไหว้สักการะบชู า จัดกจิ กรรมประเพณีตา่ ง ๆ ของ วัดท่าหลวง ก็มีรายได้มากกว่าวัดอ่ืน ๆ จากบุคคลหลายชุมชนของสังคมเมือง รวมถึงประชากร ต่างจงั หวดั ก็มคี วามสนใจ เข้ามาสวู่ ดั ท่าหลวง ในงานวฒั นธรรมประเพณี ทีว่ ัดกบั หนว่ ยราชการระดับ จังหวัดจัดร่วมกัน๑๙ ๕. เป็นสถานสงเคราะห์ ช่วยเหลือคราประสบภัยพบิ ตั ิด้าน ๆ ต่าง ๆ ของจังหวัดงานฝ่าย สาธารณะสงเคราะห์อนั เป็นงานหลักของทางคณะสงฆ์จังพจิ ติ ร ต้องวัดชว่ ยวัดและช่วยกันสงเคราะห์ ญาตโิ ยมชาวพุทธ แม้ประชาชนทั่วไปในคราเกิดภัยพบิ ัติด้านตา่ ง ๆ ซึ่งวัดท่าหลวง เป็นจุดรวมสรรพ เสบียง และหน่วยยุทโธปกรณ์ท่ีต้องนำไปช่วยเหลือกัน เป็นสถานท่ีเชื่อมโยงผู้ประสบภัย เช่นท่ีพัก อาหาร คราวเกดิ ภัยพิบตั ริ ะดับจงั หวัดพิจิตร๒๐ ๖. สามารถจัดกิจกรรม โครงการต่าง ๆ ได้ดี เพราะเป็นสถานท่ีรวมของภาคประชาชน ภาคบรรยากาศดา้ นพ้นื ด้านที่ประชุม สามารถต้อนรับคนมาก ๆ ได้ เช่นงานประเพณีแข่งเรอื งาน บุญประเพณีต่าง ๆ ต้องเกิดขึ้นทีว่ ดั ท่าหลวง เพราะเป็นวัดประจำจงั หวัด อำนวยการ งานโครงการ ๆ ตา่ งได้ มิใช่เฉพาะของคณะสงฆ์เทา่ น้ัน ยังรวมไปถึง พ่อค้า ประชาชน หน่วยงานราชการ วดั ก็ยินดีให้ การอำนวยการตามกำลงั ๒๑ ดา้ นปัญหาและอุปสรรค (T) มดี งั นคี้ อื ๑.การจราจร หนาแน่น ถนนคบั แคบโดยพื้นทใ่ี หญ่ แตด่ ้วยการกำหนดแผนผงั ถนน เส้น ทางเข้าออกวดั ไว้กอ่ นแลว้ แผนขยายเผ่ือกจิ กรรมในอนาคต ไมไ่ ดค้ ดิ ไว้ ทำใหป้ ัญหาจราจร เม่ือคราว มงี านประเพณี หรือกจิ กรรมใหญ่ ในบญุ พิธีตา่ ง ๆ ก็จะคลาคบั ค่ังไปดว้ ยรถจำนวนมาก ทำใหค้ นท่จี ะ เข้าวัดไปทำบุญกย็ าก หรอื จะผ่านไปทางวัดก็เข้ามายาก จำนวนคน และรถมากข้นึ ปญั หาน้ีก็ต้อง เปน็ อุปสคั กนั อยู่๒๒ ๑๘ สมั ภาษณ์ ผใู้ ห้ข้อมูลสำคัญอันดบั ที่ ๖ เมื่อวนั ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๑๙ สมั ภาษณ์ ผู้ใหข้ ้อมลู สำคัญอนั ดับท่ี ๗ เมือ่ วันท่ี ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๒๐ สัมภาษณ์ ผู้ใหข้ อ้ มูลสำคัญอนั ดบั ท่ี ๘ เมื่อวนั ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๒๑ สัมภาษณ์ ผู้ให้ขอ้ มูลสำคญั อันดับท่ี ๑๓ เมอ่ื วันที่ ๗ ธนั วาคม ๒๕๖๓. ๒๒ สมั ภาษณ์ ผใู้ ห้ขอ้ มลู สำคัญอนั ดับท่ี ๓ เมอื่ วนั ท่ี ๒ ธนั วาคม ๒๕๖๓.
๘๖ ๒. ความหลากหลายบคุ คลทม่ี ีแนวคดิ แตกตา่ งกัน ในสังคมเมอื งเป็นท่ีอยขู่ องกลุ่มคน ตา่ ง ท่ีต่างถ่ินมาอยู่ มีความหลากหลายทางศาสนา มีพุทธ คริสต์ อิสลาม อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน มี จารีตของคนพื้นเมอื ง จารีตของคนต่างถิ่นมาอยู่ด้วย จงึ เป็นเหตุผลวา่ คนมีความรู้ พฤตกิ รรม ลทั ธิ ความเชื่อท่ีต่างกัน เรียกได้ว่า เหตปุ ัจจัยใหม้ ีแนวคิดตา่ งกันมีมาก ๓. มีพื้นที่ใช้สอยไม่เพียงพอกับกิจกรรมภายในวัดและนอกวัดให้กับชุมชนเมือง วัดท่า หลวง เป็นทม่ี ีกิจกรรมประเพณีมาก วัดหนึ่งในจังหวัดหนึ่ง เชน่ กันแขง่ เรือยาวประเพณี สถานที่กาง เต้นจัดเล้ียง สถานที่จัดมหรสพ และร้านค้า มีผู้คนเป็นหม่ืน ๆ คน ต่างเดินทางเข้ามาในวัดมี กจิ กรรมประเพณีสำคญั ๆ ระดับจังหวัด พ้ืนที่ปจั จบุ ันไม่เพียงพอ๒๓ ๔. มกี ารแยง่ ชิงพืน้ ทคี่ วามคิด แนวร่วมเชงิ สังคมการเมอื งจากการที่คนในสงั คมเมอื งนัน้ มี ลทั ธคิ วามเชื่อต่างกัน มกี ารศึกษาต่างกนั พร้อมกบั แนวคดิ เร่ืองการเมืองเปน็ ประเด็นมผี ลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นของคน ทำให้ประชาชนในสงั คมเมืองพิจิตรที่วัดทา่ หลวงเป็นศนู ย์รวมคน เกิดมีการแย่ง ชิงพื้นท่ีด้านการเมืองด้วย เป็นเหตใุ ห้แบ่งคนเข้าในบางช่วงกัน เป็นเหตุปัจจัยอีกตัวท่ีเป็นประเด็น ปญั หาของวัดท่าหลวงอีกมติ ๒ิ ๔ ผลจากการศึกษาวิเคราะห์ด้วย SWOT Analysis แล้วในพ้ืนที่เป้าหมาย คือวัดท่าหลวง จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ตามหลกั ทฤษฎี SWOT นน้ั ใน ๔ ด้าน พบว่า ด้าน จุดแข็ง Strengths ของวัดท่าหลวงน้ัน ซ่ึงเป็นเหตุปัจจัยภายในขององค์กรท่ีมี ศกั ยภาพ มีความสามารถ เป็นจุดเด่น จุดแขง็ ด้านต่าง ๆ น้ัน มี ๑๐ ประเด็นสาระด้วยกัน คือ ๑. เป็น พระอารามหลวง ๒.เป็นศูนย์รวมใจของคนจังหวัดพิจิตร ๓.เป็นศูนย์ราชการงานคณะสงฆ์จังหวัด พจิ ิตร ๔.เป็นวัดสำคญั ทางประวตั ิศาสตร์ ๕.เปน็ วัดทสี่ ถิตอยู่ของผู้นำคณะสงฆ์จงั หวดั หลายระดับชั้น ๖.เป็นแหล่วรวมวัฒนธรรมประเพณีของเมืองพิจิตร ๗.เปน็ วดั ที่มที รัพยากรทางคณะสงฆ์มาก ๘.เป็น วัดที่มีทุนดา้ นคุณธรรมสูงคอื มพี ระมหาเถระผูใ้ หญ่มีชื่อเสียง สมณศักด์ชิ ัน้ สูง๙.เป็นวัดที่มีพระพุทธรูป ศักด์ิ คือหลวงพ่อเพชร ๑๐.เป็นวัดท่ีมีพระผู้นำท่ีเข้มแข็งนำสรา้ งโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน สร้าง มหาวทิ ยาลัยสงฆ์ เหล่านี้คือ จุดแข็ง จุดเด่นของวัดท่าหลวงเปน็ ปัจจัยภายในที่เป็นพลังสำคัญอยา่ ง ย่ิงดา้ นคณุ ธรรม ชยั ภมู ิพ้ืนท่ีแลว้ ก็มชี ่ือเสียงเป็นท่ีรู้จักทัว่ ประเทศ ถอื ว่าได้คะแนนเกินร้อย ยอ่ มเป็น ทย่ี อมรับของสังคมทัว่ ไป ๒๓ สมั ภาษณ์ ผใู้ ห้ขอ้ มลู สำคญั อันดบั ที่ ๑๒ เม่ือวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๓. ๒๔ สมั ภาษณ์ ผูใ้ หข้ ้อมลู สำคัญอันดับท่ี ๔ เมอ่ื วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๓.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228