Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)

ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)

Description: ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)
ผู้เขียน : ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์

Keywords: ญาณวิทยา

Search

Read the Text Version

91 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4. มีวิธกี ารสอดคล้องกับวิธวี ิทยาศาสตรโ์ ดยเคร่งครดั 5. เปน็ ความรทู้ ่ีประจักษด์ ว้ ยตัวเอง 6. เป็นมูลฐานของความรทู้ างวชิ าการทุกสาขา ขอ้ บกพรอ่ งของวุฒปิ ญั ญา (Intellectual Defects) เมอื่ เปรียบเทียบกับความร้แู บบสัญชาตญาณ (สหัชญาณ) แล้ว ความรู้แบบวุฒิปัญญา ยังมขี อ้ บกพรอ่ งหลายประการ คือ 1. วุฒิปญั ญาเกิดจากความคิดรวบยอด ซงึ่ ถือว่าเปน็ นามธรรม และเป็นความ จริงเพยี งบางสว่ น เป็นเพียงตัวแทนลักษณะพิเศษของเฉพาะสิ่ง ไม่ใช่ตัวแทนโดยตรงของคุณสมบัติ และลักษณะเฉพาะสิ่ง ทั้งไม่ให้ความรู้เกี่ยวกับแต่ละสิ่งอย่างสมบูรณ์ แต่สัญชาตญาณ(สหัชญาณ) ให้ความรเู้ ก่ยี วกบั แต่ละสิ่งอย่างสมบรู ณ์ 2. ความรูท้ างวฒุ ิปญั ญาคงที่ (Static) โดยลักษณะ ความคิดรวบยอดเป็นสิ่งที่คงที่ ไม่ เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งทั้งหลายมีลักษณะเปลี่ยนแปลง และวิวัฒนาการอยู่เสมอ ดังนั้น ความคิดรวบ ยอดจงึ ทาใหค้ วามจรงิ แทบ้ ิดเบือนผิดไปจากลักษณะดั้งเดิม 3. ความร้ทู างวฒุ ิปญั ญาเป็นแบบวิเคราะห์ แยกส่งิ ตา่ งๆ ออกเปน็ ส่วนๆ ไม่สามารถจะ รวมส่วนทั้งหมดเขา้ เป็นองคาพยพสมบรู ณ์ได้ 4. ความรูท้ างวุฒปิ ัญญาอาศยั ความสมั พนั ธ์ และใหค้ วามรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในฐานะท่ี สิง่ ตา่ งๆ มีความสัมพันธต์ ่อกนั และกัน ไม่สามารถจะรู้สง่ิ ต่าง ๆ ซึ่งมีอยเู่ อง 5. ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งภายนอก แต่ไม่สามารถแสดงธรรมชาติภายในของสิ่งที่มีอยู่ ออกมาใหเ้ ขา้ ใจได้ วิจารณส์ ัญชาตญาณนิยม (สหัชญาณ) ของแบรก์ ซอง มีนกั ปราชญ์หลายท่านไมเ่ ห็นด้วยกับแบรก์ ซอง ในหลายประการ ประมวลไดด้ ังน้ี 1. แบร์กซอง มคี วามเข้าใจผิดวุฒิปัญญาไปจากความเป็นจริง เขาไม่เชื่อถือวุฒิปัญญา แต่กลับยกยอ่ งสัญชาตญาณ (สหชั ญาณ) มากกว่าความเป็นจรงิ และข้อบกพรอ่ งที่สาคัญก็คือ แบร์ก ซองเอาเหตผุ ลมาพสิ จู น์สัญชาตญาณ (สหัชญาณ) อันที่จริงเหตุผลก็คือตัววุฒิปัญญานั้นเอง ซึ่งเป็น เคร่ืองมอื ในการพิสจู น์ความจรงิ ของปรชั ญา 2. ทั้งวุฒิปัญญาและสัญชาตญาณ (สหัชญาณ) ต่างก็มีความจาเป็นทั้งคู่ นั่นคือ สัญชาตญาณ (สหัชญาณ) จะให้ความรู้แวบหนึ่ง (ดุจการจุดไม้ขีดไฟ) แต่ต่อมาต้องใช้วุฒิปัญญา อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

92 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ไตร่ตรอง (ดุจการเพิ่มเชื้อไฟก่อแสงสว่าง หรือทาประโยชน์อย่างอื่น) สัญชาตญาณ (สหัชญาณ) สามารถดาเนินไปได้เกินขอบเขตของวุฒิปัญญา แต่ไม่สามารถจะแทนวุฒิปัญญาได้ สิ่งที่มีอยู่จริง จะตอ้ งรไู้ ด้ และจะตอ้ งสามารถเข้าใจได้ด้วยวฒุ ิปญั ญา เพราะเราต้องยอมรับทั้งการวิธีการวิเคราะห์ และการสงั เคราะห์ 3. สญั ชาตญาณ (สหัชญาณ) เป็นเสมือนความคิดชั่วแล่น หรือความฝัน ต้องอาศัยวุฒิ ปัญญาและเงื่อนไขของวุฒิปัญญามาช่วยเหลือ ความรู้ทางปรัชญาขั้นสุดท้าย จะต้องเป็นสิ่งท่ี สามารถยอมรับกันไดโ้ ดยคนทวั่ ไป ไม่ใช่เป็นเรื่องของเฉพาะบุคคล เหตุผลเท่านั้น เป็นตัวที่จะทาให้ ปรัชญาเปน็ ที่ยอมรับแบบสากล เพราะความจรงิ ท่เี ปน็ สากลจะตอ้ งมีเหตุผลมารองรับ และความจริง ทางสัญชาตญาณ (สหัชญาณ) จะทาให้คนอื่นรับรู้และยอมรับได้ ก็จาเป็นต้องใช้เหตุผลนั่นเองมา ชว่ ยพิสูจน์ 4. สัญชาตญาณ (สหัชญาณ) ก็เป็นเพียงสัญชาตเวคแห่งการรับรู้รูปธรรมทางผัสสะ ของแต่ละสิง่ โดยตรง ไมไ่ ด้อาศยั วฒุ ปิ ัญญาหรือเหตุผล เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ถ้าเกิดมีสัญชาตญาณ (สหชั ญาณ) 2 อยา่ งขัดแย้งกนั จะไมม่ ีทางตดั สินไดว้ ่า อย่างใดเปน็ สง่ิ ท่ถี ูกต้องกว่า เพราะแต่ละคนก็ อา้ งว่ามีระดับสัญชาตญาณ (สหัชญาณ) ทตี่ ่างกัน ตัวอย่าง การใหค้ าทานายวา่ “วันพรงุ่ น้ี จะมีฝนตก” ผมทานายวา่ “ฝนจะต้องตกแน่” แตท่ ่านอาจแย้งว่า “ฝนจะไม่ตกหรอก” การที่จะพิสูจน์ว่าข้อความที่กล่าวนี้จะเป็นจริงหรือเท็จ เราจะต้องรอดูจนถึงวัน พรุ่งน้ี แบรดเลย์ กล่าวว่า สัญชาตญาณ(สหัชญาณ) ก็คือ ประสบการณ์ตรงชั้นสูงกว่า เหตุผล แต่เจมส์ ไม่ยอมรับ โดยกล่าวว่า สัญชาตญาณ (สหัชญาณ) เป็นแต่เพียงขั้นประจักษ์ ดังท่ี ปรัชญาอนิ เดยี สานักนยายะ กลา่ วว่า สัญชาตญาณ (สหัชญาณ) เป็นความรู้ในระดับประจักษ์แบบนิ รวิกลั ปะ (Nirvikalpa Pratyaksha) ท่ีไม่ผสมความทรงจาและจนิ ตนาการเข้าชว่ ยเหลือ เปน็ การรับรู้ ทย่ี งั ไม่มีความจาเข้ามาเก่ียวขอ้ ง 5. เรารู้โดยสัญชาตญาณ (สหัชญาณ) ได้อย่างไร สัญชาตญาณ(สหัชญาณ)เป็นเรื่อง เฉพาะบุคคล เพราะแต่ละคนต่างก็มีสัญชาตญาณ(สหัชญาณ)เป็นของตัวเอง ถ้าอ้างถึงวิธีการรู้และ การหาคาตอบได้โดยพูดว่า ผมรู้โดยสัญชาตญาณ คงไม่มีใครปลงใจเชื่อและอาจจะคัดค้านได้ว่า “ผมก็รู้โดยสัญชาตญาณ(สหัชญาณ)เช่นกัน” แล้วเราจะตกลงกันได้อย่างไร นอกจากคาว่า “เอา หละ เราหยุดการโต้เถยี งกนั ไดแ้ ลว้ และมาตอ่ สู้กันดีกวา่ ” และถา้ เราจะเอาสัญชาตญาณ(สหัชญาณ) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

93 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ระดบั สงู มาพิสจู น์สัญชาตญาณ(สหัชญาณ)ที่ตา่ กว่า เราก็คงต้องการ สัญชาตญาณ(สหัชญาณ) ที่สูง กวา่ ขึน้ ไปเรอ่ื ยๆ ไม่มีที่สุด ขยายไปจนถึงทศนิยมไมร่ จู้ บเปน็ แน่ 3.3 คาถามทา้ ยบท 3.3.1 จงอธิบายแหล่งเกิดความรตู้ ามแนวคดิ ของสานกั เหตผุ ลนยิ ม (Rationalism) 3.3.2 จงอธบิ ายแหลง่ เกิดความรตู้ ามแนวคิดของประจักษนยิ ม (Empiricism) 3.3.3 จงอธิบายแหล่งเกดิ ความรู้ตามแนวคิดของเพทนาการนยิ ม (Sensationalism) 3.3.4 จงอธบิ ายแหลง่ เกดิ ความรู้ตามแนวคดิ ของอนุมานนยิ ม/เหตผุ ลประสบการณ์ นิยม (Apriorism) 3.3.5 จงอธบิ ายแหล่งเกิดความรูต้ ามแนวคดิ ของสญั ชาตญาณนิยม (Intuitionism) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

94 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา https://www.google.co.th/search=how+does+the+human+thought+process+work อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

บทท่ี 4 ส่งิ ทถ่ี กู รู้ : เรารอู้ ะไร (The Known Objects) -------------- 4.1 ความนา บทที่ผ่านมา ได้ศึกษาเกี่ยวกับความรู้ในทรรศนะของสานักปรัชญาต่าง ๆ อย่าง ละเอียด เช่น ลักษณะ ธรรมชาติ ระดับความรู้ รวมทั้งแหล่งเกิดของความรู้ว่า เกิดมาจากสาเหตุ อะไรบ้าง สรุปเฉพาะกลุ่มหลักมี 6 ทฤษฎี แต่ละทฤษฎีต่างก็แสดงความเห็นและพิสูจน์ตามความ เช่อื ของตน ในการศึกษาทฤษฎคี วามรู้ ไม่ควรลืมถึงองค์ประกอบของการเรียนรู้ 3 ประการ คือ ผู้รู้ ความรู้ และสง่ิ ที่ถกู รู้ เราได้พิจารณาถึงองคป์ ระกอบ 2 ประการขา้ งตน้ มาแล้ว ส่วนประกอบสุดท้าย ทย่ี ังเหลือ คอื สิ่งทถี่ ูกรบั รู้ (the perceived objects) หรือ สงิ่ ทเ่ี ป็นอารมณ์ของความรู้ นั่นคือ เมื่อ อ้างวา่ เรารู้จักอะไร หรือ มคี วามรเู้ กย่ี วกับส่ิงใด สิง่ นัน้ จะมีคณุ ลกั ษณะเป็นอยา่ งไร เราจะรู้จักสิ่งนั้น ได้ลึกซึ้งแค่ไหน เราสามารถรู้สิ่งดังกล่าวโดยตรงตามสภาพที่แท้จริง หรือ รู้แต่เพียงโดยอ้อม ไม่ เข้าถงึ ตัวความจรงิ แทข้ องสิง่ นัน้ ? 4.2 สง่ิ ที่ถูกรู้ (the Known Object) นักปรัชญาต่างเห็นพ้องกันวา่ เม่ือกล่าวถงึ ความร้จู ะขาดอารมณ์อันเป็นที่ถูกรู้ไม่ได้ ทั้ง ความรู้และอารมณ์ต้องไปด้วยกัน ประเด็นเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกรู้ที่จะเราศึกษาต่อไป คือ อะไรเป็น อารมณ์ของความรู้ ? เรารู้อะไรบ้าง ? สิ่งที่เรารู้มีธรรมชาติ หรือ แก่นแท้เป็นอย่างไร ? พิสัยหรือ ขอบเขตแห่งการรับรู้ของเราเป็นเช่นใด ใกล้หรือไกลแค่ไหน ? เรารู้สิ่งภายนอกที่มีอยู่อย่างอิสระ นอกตวั เรา หรอื เรารแู้ ต่เพียงส่งิ ท่ีมอี ยู่ในจิตเราเท่านั้น ? เราจะรู้วัตถุภายนอกได้โดยตรงถึงสภาพที่ แท้จรงิ ของวัตถหุ รือไม่อย่างไร ? ข้นั ตอนตรวจสอบความรกู้ บั สิ่งทถี่ ูกรู้ในทรรศนะของกลมุ่ วมิ ตั นิ ยิ ม เกย่ี วกับความรู้และพิสัยแหง่ ความรู้ที่เรามีต่อวัตถุภายนอก รวมทั้งความเชื่อมโยงของ ความรู้ที่เกิดจากการอนุมาน โดยอาศัยหลักฐานที่ปรากฏทอดโยงไปถึงสิ่งมี่มีอยู่จริงภายนอก นัก ปรัชญากลุ่มวิมตั ินิยมได้ตั้งปัญหาต่าง ๆ มากมาย โดยกล่าวว่า “ความสงสัยของเรา ถือว่าเป็นหลัก สาคญั เกี่ยวกับความสมเหตุสมผลของความเชื่อในความมีอยู่ของโลกภายนอก ความเป็นสิ่งจริงทาง วิทยาศาสตร์ จติ ใจของบุคคลอ่ืน ๆ ส่งิ ทเ่ี ปน็ อดตี เปน็ ต้น ความเชื่อของเราในสิ่งที่กล่าวมาแล้ว เป็น การสรปุ ทอี่ าศัยการอนุมานท่ีไม่ถกู ต้อง” อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

96 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ความเชอื่ มโยงระหวา่ งความรู้กบั สง่ิ ท่ีถูกรู้ วิมัตินิยมกล่าวว่า สิ่งที่เป็นปัญหาก็คือความถูกต้องของเราที่จะทาการถ่ายโอน (เชื่อมโยง) จากประสบการณ์ทางผัสสะ สู่วัตถุภายนอก ที่จะทาการถ่ายโอนจากโลกแห่งความรู้สึก ของคนธรรมดา ไปสู่ความเป็นจริงแบบวิทยาศาสตร์ จากพฤติกรรมภายนอกของคนอื่น ถ่ายโอนไป ถงึ ความคดิ และความรูส้ ึกของเขาในภายใน หรือการเชือ่ มโยงปัจจบุ นั เข้าไปหาอดีต เป็นต้น จากทุกประเดน็ ที่กล่าวมา วิมตั นิ ิยมจึงได้วางขน้ั ตอนการโตแ้ ยง้ เอาไว้ 3 ขัน้ ตอน 1 คือ ข้ันตอนท่ี 1 โดยอาศยั ข้อเสนอหลัก (Premise) หรอื บทต้งั เพอื่ ความรูเ้ กีย่ วกับข้อสรุป (Conclusion) เราไม่มีทางเข้าถงึ โลกของวตั ถุไดโ้ ดยตรง นน่ั คือ เราไมม่ ีหนทางที่จะเจาะเข้าไปสู่วัตถุ ภายนอกได้ นอกเสียจากจะรู้ผ่านกลุ่มของประสบการณ์ทางผัสสะ ซึ่งตัวกลุ่มประสบการณ์เองก็ยัง ไม่ใช่ตัวจริงของวัตถุ เราอนุมานเอาว่า เรารู้ความมีอยู่ของความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ เช่น อะตอม และไฟฟ้า ด้วยการสังเกตผลแห่งปฏิกิริยาที่เกิดจากมัน จิตใจของผู้อื่นเปิดเผยแก่เรา โดย อาการเพียงแต่การสังเกตท่าทางอากัปกิริยาทางกาย หรือจากสิ่งที่เขาพูดหรือแสดงให้ปรากฏ ออกมา สิ่งที่เป็นอดีตเราจะรู้ได้ ก็โดยการอ่านจากข้อบันทึกจากความทรงจา หรือจากชิ้นส่วน หลกั ฐานทยี่ งั พอหลงเหลือในปจั จบุ นั ดงั น้ัน สาหรบั ความรู้และหลกั ฐานท่เี ชื่อมสัมพันธ์กัน ความรู้ท่ี เกดิ จากบทสรุปในกรณที ่ีกลา่ วมา จงึ เปน็ เพยี งส่ิงท่ีเรารู้โดยออ้ ม และไมม่ ที างรู้มันโดยตรง ตวั อยา่ งการอา่ นคา่ คลนื่ สะทอ้ นจากเครอื่ งมอื ตรวจสอบหาแหลง่ นา้ มนั www.dmf.go.th 1 A.J.Ayer, The Problems of Knowledge, (London: Penguin Books, 1956), pp.76-79. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

97 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ข้ันตอนที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างข้อเสนอหลักกับบทสรุปไม่เป็นการอนุมานแบบนิร นัย(Deductive) [และไม่เป็นทั้งการอนุมานแบบอุปนัย (Inductive)] นั่นคือ ไม่มีความเป็นไปได้ว่า จากข้อความที่อธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ทางผัสสะของเรา โลกทางวัตถุจะมีอยู่จริงได้อย่างไร ข้อความที่กล่าวถึงความเป็นสิ่งจริงทางวิทยาศาสตร์ ไม่อาจอนุมานได้จากข้อความที่อธิบายถึง ปฏิกิริยาของมนั ในทานองเดยี วกัน การคิดหรือความรสู้ กึ ของบุคคลอน่ื ก็ไม่อาจจะรู้ได้จากข้อความ ทีก่ ลา่ วถึงกิริยาอาการภายนอกของเขา อีกประการหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับสิ่งที่ถูกรู้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้โดยการ ใช้อนุมานแบบอุปนัยเช่นกัน ดังคาพูดของฮิวม์ว่า “อนุมานจากหลักฐานที่เรามีประสบการณ์ เพื่อ ไปสู่ส่งิ ทีเ่ ราไมเ่ คยมปี ระสบการณ์” จากพืน้ ฐานท่ีอาศัยส่งิ ที่เรามีประสบการณ์ บางครั้ง เราก็อาจถูก ชกั นาให้ทาการอนมุ านไปถงึ ความมีอยู่ของสิ่งที่ไม่สามารถรับรู้ทางประสบการณ์ได้ ปัญหาที่ตามมา ก็คอื โดยอาศยั การอนมุ านแบบอุปนัยนี้ เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า สิ่งที่ไม่อาจจะรับรู้ทางผัสสะจะมี ความเป็นจริงได้อย่างไร หรือลาพังแค่เพียงอาศัยการสังเกตท่าทางภายนอกของเขา แล้วทานายว่า เขาจะทาอะไรในอนาคต อะไรเป็นสิ่งที่ทาให้เขากล้าทานายเช่นนั้น ? เพราะประสาทสัมผัสไม่ได้ บอกเอาไว้ ตัวอย่าง ววิ ฒั นาการของการยิงปนื ใหญ่เรือ – กวา่ จะมาเป็นระบบควบคุมการยิงอัตโนมัตสิ มยั ใหม่ https://kapitaennem0.wordpress.com/2015/09/17/navalgunnery/ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

98 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ขั้นตอนที่ 3 เมื่อไม่สามารถตรวจสอบความเชื่อมโยงของความรู้ได้ไม่ว่าจะโดยวิธีนิร นัยหรอื วิธีอุปนัย ความเป็นจริงภายนอกจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ นั่นคือ เราไม่มีทางถ่ายโอนการ อนุมานจากประสบการณ์ในปัจจุบันไปรับรองความมีอยู่ของสิ่งในอดีตได้ เราไม่สามารถยอมรับว่า พิสัยความรทู้ างประสบการณท์ ง้ั หมดของเราสามารถเข้าไปถึงความมีอยู่จริงของโลกภายนอกได้ ทั้ง ไม่สามารถสรุปว่า เรามีหลักประกันอย่างเพียงพอสาหรับความเชื่อในการมีอยู่ของโลกภายนอกท่ี เปน็ ตัวสร้างโลกแห่งผัสสะธรรมดา เรายังไม่สามารถจะถ่ายโอนสิ่งที่เราเห็น ไปสู่ความเป็นจริงแบบ วิทยาศาสตร์ หรือถ่ายโอนจากท่าทางภายนอกไปสู่ความคิดของจิตใจภายในคนอื่น ดังนั้น อาจจะ สรุปได้ว่า “เราไม่มีสิทธิใดๆที่จะแน่ใจในสรรพสิ่งได้เลยว่า มันจะต้องเป็นความจริงตามที่เห็น ” ประเด็นปญั หาทานองน้ี นักปรัชญาต่างสานกั กใ็ ห้คาตอบที่มีเหตุผล ซึ่งจะขอประมวล ทรรศนะหลกั ๆได้ 3 ทรรศนะ ดงั น้ี 4.2.1 กลมุ่ จติ นิยม (Idealism) ยนื ยนั ว่า ส่งิ ทีเ่ รารู้มอี ยู่ภายในตัวเราเอง 4.2.2 กลมุ่ สจั นยิ ม (Realism) ยนื ยันว่า ส่งิ ทีเ่ รารมู้ ีอย่ภู ายนอกเป็นอสิ ระจากผู้รู้ 4.2.3 กลุ่มสัมพัทธนิยม (Relativism) ยืนยันว่า สิ่งภายนอกมีความสัมพันธ์กับผู้ รบั รอู้ ย่างปจั จยั สมั พนั ธ์ 4.2.1 กลุ่มจติ นิยม (Idealism) “ส่ิงท่ีเรารู้มอี ยูภ่ ายในตวั เราเอง” 4.2.1.1 ทรรศนะหลกั ของจติ นิยม หรือ อตั วิสยั นยิ ม (Subjectivism) เมื่อกล่าวถึงทรรศนะแบบจิตนิยม ผู้ที่ทาให้เรารู้จักชัดขึ้น ก็คือจอร์จ เบอร์กเลย์ (George Berkeley 1685 - 1753) 2 ชาวไอร์แลนด์ ถอื ไดว้ า่ เขาเปน็ บิดาแห่งจิตนิยมสมัยใหม่ เขามี วัตถุประสงค์เพื่อโต้แย้งทฤษฎีวัตถุนิยมและอเทวนิยมที่สร้างขึ้นมาโดยทฤษฎีป ระจักษนิยมของ จอหน์ ลอ็ ค ทกี่ ล่าวว่า ความคิด คือการลอกเลียนวัตถุ(การถ่ายแบบ)เข้ามาสู่จิต ไม่มีอะไรที่เหมือน ความคิดได้ นอกจากตัวความคิดเอง เบอร์กเลย์มีความเห็นต่าง ในเรื่องเกี่ยวกับคุณสมบัติและการ รบั รคู้ ณุ สมบตั ิ 2 ประการของสสาร ซ่ึงเราสามารถรบั รูค้ ุณสมบัติทั้งสองประการพร้อมกันทั้งหมดไม่ มีการแยกส่วนรับรแู้ ตป่ ระการใด เพราะวัตถุทุกอย่างมีพร้อมอยู่ภายในจิตแล้ว โดยเบอร์กเลย์ย้าว่า “สิ่งต่างๆไม่สามารถมีอยู่เองโดยปราศจากใจผู้รับรู้มัน แม้ในที่ที่ไม่มีจิตมนุษย์รับรู้ สิ่งนั้นก็คงมีอยู่ 2 Ramnath Sharma, Modern Western Philosophy, p. 124. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

99 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา โดยการรบั ร้ใู นจิตของพระเจ้า ดังนั้น แก่นแท้ของวัตถุคือการได้ถูกรับรู้ (Esse Est Percipi : To be is to be perceived.)” 3 ทรรศนะหลักของกลมุ่ จติ นิยม 4 1. จักรวาล คอื ตวั ตนของใจ 2. ความเป็นจริง (Reality) เป็นสงิ่ ท่ีขน้ึ อยกู่ ับจิตและกจิ กรรมของจติ เพ่ือการมีอยู่ 3. ความจริงทุกอย่างเป็นเรื่องของจิต วัตถุและโลกภายนอกไม่มีอยู่จริง วัตถุ ภายนอก (สสาร) ไมม่ อี ยู่อย่างอสิ ระปราศจากจติ ผรู้ ับรู้ 4. ความรู้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นอกจากสภาวะและกระบวนการของจิต ซึ่งจิต เท่านั้นมีอยู่ ความเป็นจริง อธิบายในชื่อของปรากฏการณ์ทางจิต เช่น ใจ (Mind) วิญญาณ (Self) จิตใจ (Spirit) และมโนภาพ (Ideas) และความคิดสูงสุด (Absolute Thought) มากกว่าจะอธิบาย ในช่อื ของวัตถุ 5. มีเพียงแต่กจิ กรรมของจติ และสารัตถะแบบมโนภาพเท่านั้นมีจริง โลกภายนอก ไม่ใช่โลกทางกายภาค (Physical) วัตถุภายนอกคือสิ่งที่จิตคิดสร้างขึ้นมาเอง เป็นความคิดแบบ นามธรรม 6. วัตถุภายนอก ไม่มีคุณสมบัติใดๆ ไม่ว่าเป็นคุณสมบัติเดิม เช่น การแผ่ขยาย รูปแบบ ความแขง็ การครองที่ การเคลื่อนที่ การหยุดนิ่ง จานวน หรือคุณสมบัติอาศัย เช่น สี เสียง กล่นิ รส ความรอ้ น ความเย็น) 5คุณสมบตั ทิ ้งั 2 ประการเปน็ ส่ิงท่จี ติ ปรุงแต่งขน้ึ มาเอง จึงขึ้นอยู่ที่ตัว ผ้รู บั รู้เป็นประมาณ 7. วตั ถุภายนอก คือการเก็บรวบรวมความรูส้ ึกทางประสาทสัมผัสท่ีมีชอ่ื เรยี ก อยา่ งเดยี วกนั คาวา่ “จติ (Mind)” น้ี ในทรรศนะของนักจติ นิยม หมายถึง จติ ใจประเภทตา่ งๆ ดังน้ี 1. ใจเราเอง (One’s own mind) 2. ใจท่วั ๆไป (Minds in general) 3. ใจของพระเจ้า (Mind of God) 3 Y. Masih, A Critical History of Modern Philosophy, p. 162. 4 Peter A. Angeles, Dictionary of Philosophy. p. 120. 5 Ibid., p.151. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

100 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4.2.1.2 ประเภทของจติ นิยม ลัทธิจิตนิยมทรรศนะว่า ความคิดหรือจิตได้ถูกยอมรับในฐานะที่เป็นสิ่งสาคัญ เป็น รากฐานในโลกและจักรวาล ในฐานะที่เป็นสิ่งรองรับของความรู้และความเป็นจริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า จิตหรือความคิดจะมีสถานภาพเป็นอย่างไร นักปรัชญาสายจิตนิยมบางคน มองจิตในฐานะที่เป็น ความจริงอมตะ ที่สร้างสรรค์โลกแห่งความจริงแบบเหนือโลก บางคราวเป็นสิ่งที่กาหนดโลกแห่ง ปรากฏการณ์ บางคนมองจิตในฐานะที่เป็นเงื่อนไขที่มีอยู่ก่อนการมีอยู่และความรู้เกี่ยวกับสิ่ง ภายนอก ในขณะท่ีบางคนมองว่าจิตเปน็ ความเป็นจรงิ แบบสรรค์สร้างอันสูงสดุ ทีร่ ังสรรคโ์ ลกแห่งผู้รู้ และส่ิงทถ่ี ูกรโู้ ดยความแตกต่างภายในของตนเอง ชนิดแรกของจิตนิยมคือแบบของเพลโต ต่อมาเป็น แบบของเบอร์กเลย์ ค้านท์และแบบของเฮเกลตามลาดับ แต่หากกล่าวในภาพรวมทั่วไป โดยไม่ คานึงถึงรายละเอยี ดและวิธีการ แล้วเราพบว่า ความคิด หรือ จิตใจ เป็นหลักใหญ่ที่เป็นเงื่อนไขตัว แปรสาคัญของจักรวาล ที่เป็นตัวกาหนดความเจริญและชะตากรรมให้สอดคล้องกับคุณค่าสูงสุด ความคิดหรือจิตใจนี้แหละ คือ คุณค่าอันสูงสุด นักปรัชญาที่มีทรรศนะแบบจิตนิยม สามารถแบ่ง ออกเปน็ หลายประเภท ดงั ต่อไปนี้ 1) จติ นยิ มแบบเพลโต (Plato's Idealism) 2) จิตนิยมแบบค้านท์ (Kantian Idealism) 3) จิตนิยมแบบอภิปรัชญาหรือแบบอัตวิสัย (Metaphysical or Subjective Idealism ของเบอรก์ เลย์) 4) จิตนยิ มสมบรู ณห์ รืออติจนิ ยิ ม (Absolute Idealism ของเฮเกล) 5) จิตนิยมแบบเทวนิยม (Theistic Idealism) 6) จิตนิยมเชงิ จริยศาสตร์ (Ethical Idealism) 7) จติ นยิ มเชิงปฏิบัติการ (Actual Idealism) 8) จิตนิยมแบบบุคคล (Personal Idealism) 9) จติ นิยมแบบยึดเอาเจตนาเป็นหลัก (Voluntaristic Idealism) 1) จิตนิยมแบบเพลโต (Plato's Idealism) อแนกซกอรัส (Anaxgorus) นักปรัชญากรีกโบราณเป็นคนแรกในปรัชญาตะวันตกที่ ย้าว่า “จิตใจ (Nous or Mind) เป็นสิ่งสาคัญที่อยู่เหนือวัตถุ” ต่อมาโสคราตีสนามาใช้อธิบายใน ทฤษฎีจิตใจที่มีเหตุผล(theory of the rational self) จากทฤษฎีนี้เขาจึงได้วางสูตรความคิดทาง ตรรกะและจริยศาสตร์ของเขา จิตที่มีเหตุผลของมนุษย์นี้ ไม่เป็นเพียงแต่หลักสาคัญอันรองรับ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

101 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ความรู้แบบเหตุผลเท่านั้น มันยังเป็นอิสระจากระบบประสาทสัมผัสและจากร่างกายของเราด้วย และเพลโตได้ยกฐานะของจิตใจ และความรู้แบบเหตุผลของโสคราตีส ขึ้นสู่ระดับความเป็นจริงใน อาณาจักรของมโนคติ ท่ีจิตใจแต่ละดวงมีความสุขยง่ั ยืนและเปน็ อมตะ เพลโตไดแ้ บง่ โลกออกเป็น 2 อาณาจกั ร คอื อาณาจักรแห่งโลกทางประสาทสัมผัส คือ โลกที่เรารับรู้ทางประสาทสัมผัสทั่วไป ไร้แก่นสาร ไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลง และอาณาจักรแห่งโลก ของมโนคติ เป็นโลกท่ีสมบูรณ์ ไม่เปลี่ยนแปลง เปน็ อมตะ สูงสุด ซง่ึ เพลโตกลา่ วว่า “เป็นความจริงท่ี เป็นอยู่อย่างอิสระ ทั้งไม่ต้องอาศัยจิตใจด้วย เป็นโลกแห่งความจริงที่อยู่เบื้องหลังโลกทาง ประสบการณ์ของเราที่อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ถาวร เป็นโลกแห่งความเป็นสากลที่เป็น ต้นแบบจรงิ ของสรรพส่ิงทป่ี รากฏในโลกทางผัสสะ” สง่ิ ทถ่ี กู รู้ ในทรรศนะของเพลโต มีลักษณะทเ่ี ป็นความเปน็ จริงแท้อันสูงสุด เป็นสิ่งที่อยู่ ในอาณาจักรโลกแห่งมโนคติที่มีความสมบูรณ์ที่สุด เป็นอยู่อย่างอิสระ ไม่เปลี่ยนแปลง เหนือ กาลเวลา ที่เพลโตเรียกว่า “แบบ (Forms) หรือ มโนคติ (Ideas)” ซึ่งเป็นอารมณ์ที่แท้จริงของ ความรขู้ ้นั สงู สุด 6 เพื่อให้เห็นระดับต่างๆความรู้กับสิ่งที่ถูกรู้จนถึงความรู้แท้จริง เพลโตจึงได้สมมติเส้น แบง่ เขตอาณาจักรของโลกและความรู้เอาไว้ 7 ดังน้ี ระดบั ความรู้ ความคิด (Thought) อารมณ์ (Objects) แบบของโลก ความร้จู รงิ เหตุผล แบบอนั สงู สุด โลกทางปญั ญา ความเข้าใจ แบบของวิทยาศาสตร์, ความคดิ เหน็ ความเชื่อ, การรบั รู้ ความฝนั , จินตนาการ คณิตศาสตร์ ส่งิ ต่างๆ, วัตถ,ุ อารมณ์ โลกทางผัสสะ เงา, ภาพสะท้อน, ภาพลวง ตา ทรรศนะจิตนิยมแบบเพลโต เป็นแบบปรวิสัยหรือแบบสัจนิยม ในความหมายว่า มโนคติแบบเพลโตเป็นสิ่งหนึ่งที่เสวยความสุขอยู่ในอาณาจักรของโลกแห่งมโนคติ เป็นอิสระจาก 6 Plato, The Republic, Book VII., tr. by Desmond Lee, (Great Britain : Penguin Books, 1974), p. 226. 7 Ibid., p. 310. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

102 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา จติ ใจของเรา แตเ่ พลโตกไ็ ม่สามารถอธิบายได้ว่า โลกแห่งมโนคติมีความสัมพันธ์กับโลกทางผัสสะใน ฐานะที่เป็นต้นแบบได้อย่างไร จึงเป็นจิตนิยมแบบนามธรรมล้วนๆ ผู้เขียนอยากจะเรียกว่า จิตนิยม แบบจิตวิสยั มากกวา่ เม่ือเทียบกับทรรศนะเรื่องแบบของอริสโตเติล ปัจจุบัน ทฤษฎีมโนคติของเพล โตไม่เรยี กว่า จิตนิยม เพราะความเป็นจรงิ ของมโนคติ (Ideas) ไม่ใช่เป็นสิง่ ทีข่ น้ึ อยกู่ บั จิตมนษุ ย์. 2) จิตนิยมแบบคา้ นท์ (Kantian Idealism) ค้านท(์ Kant)นกั ปรัชญาชาวเยอรมนั มที รรศนะทถี่ ือได้วา่ เป็นแบบจิตนิยมนั้นเป็นผลที่ เกิดมาจากการเสนอทฤษฎีความรู้ในหนังสือ “Critique of Pure Reason” ของเขา มีทรรศนะบาง ประเดน็ ทเ่ี ข้ากนั ได้กับจิตนิยมแบบเบอร์กเลย์ แต่ก็มีหลายประเด็นที่ต่างกัน ค้านท์กล่าวว่า ความรู้ เป็นการผสมของประสบการณ์กับแบบแห่งความเข้าใจ ความรู้สึกที่เราได้เกิดมาจากสิ่งภายนอกใน รูปวตั ถดุ ิบที่เราไมม่ ีทางรับรู้อันมีอยู่ในโลกของมันเอง(in the World of thing-in-itself) ความเป็น จริงของสง่ิ ที่ถูกรู้จะต้องถูกนามาจัดระบบใหม่ ผสมแบบของประสบการณ์และแบบความเข้าใจซึ่งมี อยู่ก่อนแล้วในจิต ให้สอดคล้องกับจิต เหลือแต่สิ่งที่ปรากฏ(Phenomenon) จึงมีสภาพที่คล้ายกับ ถกู จติ สร้างมันข้ึนมา ดงั ที่คา้ นทก์ ล่าวว่า “ความเข้าใจสรา้ งธรรมชาติ” 8 จิตนิยมของค้านท์มีลักษณะดังต่อไปนี้คือ โลกแห่งความรู้ของเราเป็นสิ่งที่สร้างจาก ความคิดที่อาศัยผัสสะหลายชนิดที่รูปแบบและการจัดชนิดของความเข้าใจถูกกาหนดเอาไว้จึง เรียกว่า จติ นยิ มแบบยดึ เอาปรากฏการณ์เปน็ หลัก เพราะความรูไ้ มส่ ามารถเขา้ ถึงตวั จรงิ ของสิ่งเหนือ โลกทอ่ี ยูใ่ นสภาพของตน แต่เพราะคา้ นท์ได้แยกสิ่งเหนือโลกเอาไว้ให้มีอยู่อย่างอิสระต่างหาก จึงไม่ เหมอื นลทั ธจิ ติ นิยมแบบเบอรก์ เลย์ และค้านทก์ ไ็ ม่ชอบใหต้ นเองถูกจัดเขา้ ในกลมุ่ จิตนิยมเลย ค้านท์กล่าวว่า ความเป็นจริงมีอยู่อย่างอิสระ แต่การที่มันปรากฏแก่เราเพราะถูก กาหนดโดยโครงสร้างทางมนัสของจิตมนุษย์ หากจะพูดในภาพรวม ลักษณะของปรัชญาค้านท์มี 2 ลักษณะ คือ เป็นสัจนิยมเชิงประสบการณ์หรือแบบวิทยาศาสตร์ และเป็นจิตนิยมเชิงอุตตระวิสัย จากทรรศนะเชน่ นี้ จิตนิยมแบบคา้ นท์ แบง่ ออกเปน็ 3 แบบ คอื (1) จิตนิยมแบบวิจารณ์ (Critical Idealism) จิตนิยมแบบวิจารณ์ เป็นทรรศนะปรัชญาสายญาณวิทยาของค้านท์ เนื้อหาหลัก ของจิตนิยมแบบวิจารณ์ก็คือ ค้านท์แสดงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างความจริง 2 อย่าง คือ ส่ิงภายนอกที่ถูกป้อนเข้ามาให้เรารับรู้ทางประสบการณ์ ที่เรียกว่า ภาพประทับทางความรู้สึก และ โครงสร้างมนสั ท่ีเรยี กวา่ รูปแบบของความเข้าใจ และกระบวนการแห่งความเข้าใจ ซึ่งจิตใจนามาใช้ 8 H.M. Bhattacaryya, The Principles of Philosophy, p.104. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

103 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา จดั ระบบใหม่ แปลความหมายใหม่ (Interpret) รวมทัง้ ประเมนิ คณุ คา่ (Evaluate) ของส่งิ ที่ถูกเสนอ มาใหด้ ้วย ดังน้ัน สงิ่ เรารู้จึงถูกแปรสภาพถกู ปรงุ แต่งโดยจิตแล้ว (2) จิตนิยมแบบอุตตระวสิ ัยหรืออติจติ นยิ ม (Transcendental Idealism) ในประเด็นที่เกี่ยวกับรูปแบบที่สร้างความรู้ ค้านท์กล่าวว่า “ความรู้เกี่ยวกับโลก ภายนอก ถูกสรา้ งขึ้นโดยเอกภาพที่เป็นอุตตระของเราซึ่งเป็นเงื่อนไขที่มีก่อน (Prior) ประสบการณ์ เกี่ยวกับการรับรู้ความคิดที่ใช้แต่เหตุผลเพียวๆ ไม่อาจจะให้ความรู้เชิงสังเคราะห์แก่เราในเรื่องโลก ภายนอกได้ และความรู้สึกทางผัสสะอย่างเดียว ก็ไม่อาจให้ความรู้อะไรแก่เราได้เช่นกัน ดังนั้น การ รับรู้ของมนุษย์ต้องเกิดมาจากการรับรู้อย่างฉับพลันก่อนกว่าประสบการณ์ (A Priori Intuition) ของกาละ และเทศะ และดว้ ยรูปแบบของความเข้าใจเปน็ เง่ือนไขที่ทาให้ประสบการณ์เป็นไปได้และ มชี วี ิตชีวา ตัวเอกภาพ (Unity) ที่อยู่เหนือโลกนี้แหละ เป็นแหล่งของความเข้าใจฉับพลัน และ เป็นแหล่งรูปแบบของโครงสร้างมนัส สภาพที่อยู่เหนือโลกนี้ โดยธรรมชาติของมันเราไม่อาจรู้ได้ เพราะมนั เปน็ เงือ่ นไขของความรู้ แตไ่ ม่เป็นอารมณ์ของความรู้ ค้านท์กล่าวว่า เรารู้ว่า “มันเป็นสิ่งนี้ (that is)” แตไ่ มอ่ าจกลา่ วได้วา่ “มันเป็นอะไร (What is)” (3) จติ นยิ มแบบยึดเอาปรากฏการณเ์ ป็นหลกั (Phenomenalistic Idealism) เปน็ อกี ทรรศนะหนึ่งทางญาณวิทยาที่ค้านท์ ที่กล่าวถึงพิสัยความรู้ของเรากับสิ่งที่ เป็นอารมณ์ของความรู้ว่า “ความรขู้ องมนุษย์จะต้องอาศัยสภาพการณ์ที่มีมาก่อนประสบการณ์ทาง ประสาทสัมผัส ความรู้เป็นผลเนื่องมาจากการนาความเข้าใจของมนุษย์มาใช้กับประสบการณ์ทาง ประสาทสมั ผสั และความเขา้ ใจ ควบคมุ เน้อื หาของประสบการณใ์ หส้ อดคล้องกับกฎเกณฑ์ของความ เขา้ ใจ 12 อย่าง” ส่ิงทเ่ี ราจะสามารถรับรู้ได้นั้น เป็นผลมาจากการแปรสภาพวัตถุดิบที่ถูกส่งผ่านโดย แบบของประสบการณ์ เข้าสู่กระบวนการแห่งแบบของการรับรู้ และเงื่อนไขสาหรับความเข้าใจ ซึ่ง เปน็ การทางานภายในของจติ เอง เป็นผลสมั ฤทธิ์ที่เกิดจากกลั่นกรองของจิตออกมาเหลือเฉพาะสิ่งท่ี เป็นปรากฏการณเ์ ท่าน้นั ดังทีค่ า้ นท์เรียกว่า “ความจรงิ ทางประจักษ์(Empirically Real)” ส่วนสิ่ง ท่มี ีอยเู่ บอื้ งหลัง ปรากฏการณท์ ี่อยู่ในรูปของวัตถดุ ิบก่อนการผสมแบบต่างๆทางโครงสร้างมนัส ตาม ธรรมชาติของมนั เป็นความจรงิ หรือสิ่งที่มีจริง หรือสิ่งที่คงอย่ดู ้วยตัวเองรยี กว่า “ความจริงที่อยู่เหนือ ปรากฏการณ์(Transcendentally Real)” 9 รู้ไมไ่ ด้ ส่ิงที่เรารู้มีสภาพเป็นเพียง “ปรากฏการณ์” จึง ถกู เรยี กว่า “จติ นิยมแบบยดึ เอาปรากฏการณ์เป็นหลกั ” 9 Y. Masih, Ibid., p. 215. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

104 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ลักษณะของสงิ่ ทมี่ ีอยดู่ ้วยตวั มนั เอง 1) เป็นสิ่งท่ีร้ไู ม่ได้ ทั้งไม่อาจจะรบั รไู้ ด้ 2) เป็นสง่ิ ที่มีอยเู่ องภายนอกเปน็ อิสระ ไมข่ นึ้ อยกู่ ับจิต 3) เรารแู้ ตเ่ พียงวา่ “มันมอี ย่จู ริงโดยการอนุมาน แต่ไม่สามารถจะรับรู้ถึงธรรมชาติ ท่แี ทจ้ รงิ ของมนั ตามทมี่ นั เป็นอยู่ก่อนทจ่ี ะถูกรับร้วู ่ามสี ภาพเป็นอย่างไร” 4) เรารู้ไดแ้ ตเ่ พียงปรากฏการณ์ของมนั โดยอาศยั เหตผุ ลทางตรรกะ ตวั อยา่ ง การเรยี งตวั ของผงเหล็กตามเสน้ แรงของสนามแมเ่ หล็ก บนกระดาษทว่ี างบนขว้ั แมแ่ หลก็ https://physicskruadd.wordpress.com/2012/03/13-megnetic-field/ ข้อโตแ้ ย้งและวิจารณ์ 1. การที่ค้านท์ (Kant) กล่าวยืนยันเช่นนี้ เป็นการสร้างทวินิยม หรือไทวตวาท (Dualism) ระหว่างระดับชั้นแห่งสถานะภาพของวัตถุ (Material Object) คือ สิ่งที่มีอยู่เองเหนือ ปรากฏการณ์ กับสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่เป็นแบบทวินิยมของเดส์คาร์ตส์ที่แยกกาย (Body) กับจิตใจ (Mind) ออกจากกนั 2. เป็นการจากดั ขอบเขตของความรู้และการรับรู้ของมนุษย์ในวงจากัด คือ 1) รเู้ ฉพาะแต่สิง่ ท่ีปรากฏที่ผ่านกระบวนการทางานของจติ แต่ไม่รู้ถึงสิ่งที่ อย่เู บอ้ื งหลังปรากฏการณ์ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

105 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2) เรารู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์มีอยู่จริง แต่ไม่รู้ถึงธรรมชาติท่ี แท้ของมันเพราะมันอยู่เหนือกาละเทศะ มันไม่ได้เป็นแบบสารัตถะ (Substance) ทั้งไม่ได้เป็น สาเหตุ (Cause) ของวตั ถหุ รือสง่ิ ทงั้ ปวง 3) ค้านท์กล่าวว่า “ความรู้เกิดจากการทาปฏิกิริยาระหว่างจิตกับ ส่ิงแวดลอ้ มทอ่ี ยูใ่ นรูปของปรากฏการณ์ และสิ่งที่มีอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์” อันที่จริง เราไม่ควร จะจากัดพิสัยหรือขอบเขตความรู้ไว้เฉพาะปรากฏการณ์โดยไม่รู้จักธรรมชาติที่แท้ทั้งหมดของมัน เมอ่ื ความรขู้ องมนุษย์มีขอบเขตจากัดเช่นนี้ เราจะสามารถปรับตัวเองให้ดารงชีวิต เหมาะสมเข้ากับ ส่งิ แวดลอ้ มไดอ้ ย่างไร อนึ่ง การที่ค้านท์กล่าวว่า ความรู้ของมนุษย์มีขอบเขตหรือมีพิสัยจากัด เพราะเรา ไม่ร้ถู ึงสง่ิ ทอี่ ยู่หลงั ปรากฏการณไ์ ดเ้ ลยนน้ั กม็ ีความบกพรอ่ งในประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้ง สองสิง่ คอื ปรากฏการณ์ยอ่ มมคี วามสมั พนั ธก์ บั สง่ิ มอี ยู่จริง อันอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์อย่างแนบ แนน่ นั้นคือ เมอ่ื ใดเรารับรูป้ รากฏการณ์ เมื่อนั้น เราก็สามารถจะรู้ถึงสิ่งที่มีจริงเหนือปรากฏการณ์ ได้ โดยผ่านทางปรากฏการณ์ของมัน ค้านท์ไม่ควรแยกปรากฏการณ์ออกจากสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ปรากฏการณ์ ถ้าหากแยกสองส่งิ จากกันแล้ว ส่ิงทมี่ อี ยู่ดว้ ยตัวเองเหนือปรากฏการณ์ก็คงมีฐานะเป็น ต้นแบบ(The Original Form) ของสิ่งที่ปรากฏ และปรากฏการณ์ก็จะลดระดับลงมาเป็นแค่ภาพ สาเนาของตน้ แบบที่ปราศจากสารตั ถะ และเปน็ เพยี งนามธรรมท่ีไมม่ คี วามหมายอะไร 3. พริงเกิล-แพตติสัน แอนดรูว์ เสธ (Pringle-Pattison Andrew Seth 1856- 1937) นักปรัชญาชาวสก็อตแลนด์ แย้งว่า “ปรากฏการณ์จัดเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ ตราบเท่าที่มันยังไม่ปรากฏตัวมันเอง” และการที่ค้านท์ยึดเอาสิ่งที่ถูกรู้ได้เพียงเฉพาะปรากฏการณ์ จงึ ไม่มเี หตุผลเพียงพอทจี่ ะยนื ยนั พิสยั ของความรู้เฉพาะปรากฏการณ์เท่าน้ัน 3) จติ นยิ มแบบอภิปรชั ญา (Metaphysical Idealism ของเบอรก์ เลย์) เบอร์กเลย์ เป็นบิดาแห่งลัทธิจิตนิยมสมัยใหม่ เพราะทรรศนะทางอภิปรัชญาของเขา เกี่ยวกับความเป็นจริงของสิ่งต่างๆทั้งหมดว่าเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับจิตเท่านั้น ดังที่เขากล่าวว่า “ความ เปน็ ระเบียบในธรรมชาตไิ ดถ้ กู สรา้ งขึ้นและธารงไว้โดยพระเจ้าซึ่งเป็นผู้รักษาสิ่งต่างๆไว้ด้วยการรับรู้ ของพระองค์ พระเจ้าเจ้าคือต้นกาเนิด ความเป็นจริงมีลักษณะและธรรมชาติเป็นจิตหรือวิญญาณ เพยี งใจหรอื สาระของใจเท่านนั้ มจี ริง ไม่มีวัตถุใดสามารถมีอยู่ถ้าปราศจากจิตเข้าไปรับรู้ นั่นคือ การ มอี ย่ขู องส่งิ ต่างๆ จาเป็นตอ้ งถกู รบั รู้ ถา้ ปราศจากการรับรู้ สงิ่ นัน้ กไ็ ม่มอี ยจู่ รงิ ” 10 10 A.J.Ayer, The Problems of Knowledge, (London: Penguin Books, 1956), p.119. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

106 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา จิตนยิ มแบบเบอรก์ เลย์ บางทีเรยี กว่า อวัตถนุ ิยม สรปุ เปน็ ประเดน็ หลัก 11 ดงั น้ี 1. อารมณ์แหง่ การรบั รขู้ องเราคือมโนภาพ (Ideas) 2. มโนภาพเป็นจติ เป็นเรือ่ งของจติ ใจ 3. สารัตถะของมโนภาพคือ การถูกรับรู้ (to be perceived) และถูกทาให้เกิดขึ้นมา จากจิตใจ 4. สิ่งภายนอกเปน็ การรวบรวมอย่างเป็นระเบยี บของมโนภาพท่ีขนึ้ อยู่กบั จิต 5. ส่ิงท่เี หมอื นกนั เป็นสาเหตุให้เกิดสิ่งที่เหมือนกันได้ (like causes the like) จิตมีอยู่ เพื่อใหเ้ กดิ มโนภาพ วตั ถุไม่เหมือนจิตใจ ไม่อาจจะก่อให้เกิดมโนภาพได้ คาว่า วัตถุ เป็นแต่เพียงชื่อ เรียกเหมอื นคาว่า “ดา” หรอื “แดง” ไม่มีความหมายใดถ้าจิตไม่รับรมู้ ัน 6. เราไมอ่ าจมคี วามคดิ (มโนภาพ) ของส่ิงตา่ งๆ ทีเ่ ป็นนามธรรม จากคุณสมบัติเฉพาะ ของมันได้ ตัวอย่าง เราไม่อาจคิดถึง “ความเป็นสีแดง” โดยปราศจากฐานสีแดงรองรับ แต่จะได้ ความคดิ จากวตั ถุทีม่ สี แี ดง เชน่ “ผ้าเช็ดหน้าสแี ดง” 7. ไมม่ วี ตั ถุภายนอกรวมท้ังคุณสมบัติของมันที่อยู่เบื้องหลังการคิดรับรู้ของเรา เพราะ มันต้องขึ้นอยู่กับจติ 8. ความรทู้ ั้งหมด นอกจากความรู้ของพระเจ้า และการมีอยู่ของเราเองได้มาจากการมี ประสบการณเ์ กย่ี วกับสิ่งเฉพาะ 9. แม้ว่าตัวเราในฐานะที่เป็นจิตซึ่งเป็นสาเหตุของมโนภาพ ก็เกิดมาจากจินตนาการ พระเจา้ คอื สาเหตสุ ูงสดุ ของมโนภาพและความรู้สกึ รับรู้ 10. วัตถุภายนอกก็เปน็ มโนภาพจรงิ ในจติ ใจของพระเจ้า 11. ส่งิ ทีเ่ รารบั รู้ (มโนภาพ = Ideas) เปน็ เครือ่ งหมายหรือเป็นสัญลักษณ์ในภาษาของ พระเจ้าทพ่ี ระเจา้ พยายามติดต่อกับพวกเรา 12. ความเป็นจริง และเอกภาพที่รู้สึกได้ทันใดของมัน ไม่อาจลดทอนลงเป็นเพียง กระแสของกลุ่มวตั ถทุ ่ีไร้จติ ใจ ไมม่ กี ารตอ่ เนื่อง ไมส่ ัมพนั ธก์ ันและเป็นส่งิ ท่ีไมใ่ ชจ่ ติ ใจ บางครั้ง จิตนิยมของเบอร์กเลย์เรียกว่า “จิตนิยมเชิงอัตวิสัย (Subjective Idealism)” เพราะมีทรรศนะสุดโต่งว่า “ความเป็นจริง เป็นมโนภาพ (Idea) ที่มีอยู่ในจิต และ โดยเฉพาะต้องเป็นจิตของมนุษย์ เฉพาะสิ่งที่ปรากฏในจิตใจเป็นความจริงแท้เพียงอย่างเดียว” ลทั ธจิ ิตนิยมของเบอรก์ เลย์ มีวัตถปุ ระสงค์ คือ 11 Peter A. Angeles, Dictionary of Philosophy, p.128. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

107 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1. ต้องการขจัดลัทธิวัตถุนิยม โดยพิสูจน์ให้เห็นถึงพระเจ้าผู้เป็นแหล่งต้นกาเนิด และความไม่มสี ารัตถะทีแ่ ทจ้ ริงของสสาร 2. ต้องการขจดั ลัทธวิ ิมัตินิยม และอเทวนยิ มท่ีไมเ่ ชื่อเรื่องสง่ิ สมั บูรณค์ ือพระเจา้ 3. ตอ้ งการแสดงความเป็นอมตะของวญิ ญาณทเี่ ป็นฐานแหง่ การรับร้วู ัตถุ เบอร์กเลย์ให้ข้อสังเกตว่า “ความสับสนทางปรัชญาสืบเนื่องมาจากการใช้ ความสามารถของจิต และไม่ใช่ข้อผิดปกติที่แอบแฝงอยู่ในจิตของมนุษย์แต่อย่างใด เปรียบเหมือน การท่เี ราไดเ้ ปา่ กระพอื ให้ฝุ่นฟุ้งข้นึ มาแลว้ บน่ กนั ว่าเรามองไมเ่ ห็นอะไร” (1) ข้อเสนอแยง้ สถานภาพคุณสมบตั ขิ องสสารแบบ ลอ็ ค เบอร์กเลย์ไม่เห็นด้วยกับจอห์น ล็อค ในการแบ่งคุณสมบัติของสสาร และการรับรู้ คุณสมบัติ 2 ประการของสสาร จึงได้ปรับปรุงแนวความคิดเรื่องคุณสมบัติของสสารใหม่ โดยลด ระดบั ลงไปเป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่และขึ้นอยู่กับจิตเท่านั้น ดังที่เขากล่าวว่า “สิ่งที่เรารับรู้ได้มีอยู่เฉพาะ ภายในจิตทีร่ ับรู้ และการรบั รตู้ ้องเปน็ การรบั ร้ขู องจติ เท่านน้ั ” ดงั ท่ีเขาได้เสนอความเห็นแย้งต่อไปน้ี 1. คุณภาพหรอื สมบัตเิ ดมิ (Primary Quality) เช่น การแผข่ ยาย รูปทรง ความแข็ง การครองท่ี การเคลื่อนที่ การหยุดนิ่ง จานวน ที่ล็อคบอกเราว่า เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการรับรู้ นั่นคือ ถ้าเราไม่มีระบบประสาทไปรับรู้ ความแข็งจะไม่มีเลย สิ่งที่จิตรับรู้ได้จึงเป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นมา ภายหลัง และการที่ล็อค(Locke)กล่าวว่า สสารมีคุณสมบัติแรกมาแต่ดั้งเดิมเป็นการเข้าใจผิด 12 เพราะถ้าเราไมม่ รี ะบบประสาทสมั ผสั ไปรับรู้ ความรู้สึกว่า “แข็ง หรือ การเคลื่อนที่” ของวัตถุจะไม่ มี นนั่ ก็แสดงวา่ ความแข็งเป็นต้น เกิดจากจิตสรา้ งข้ึนมาภายหลังทั้งนั้น 2. คณุ สมบตั ิอาศัย (Secondary Quality) เชน่ สี เสยี ง กลิ่น รส ความร้อน ความ เย็น ดังที่ล็อค กล่าวว่า เป็นสิ่งที่อาศัยการรับรู้ของจิต แต่เบอร์กเลย์แย้งว่า เราไม่อาจจะแยก คุณสมบัติเดิมออกจากคุณสมบัติอาศัยของวัตถุได้ เช่น เราไม่สามารถแยกสีออกจากการครองที่ได้ และทง้ั ไม่สามารถแยกการครองที่ออกจากสที ี่รบั รู้ด้วยตาเช่นกัน ตัวอย่าง เราเห็นดอกกุหลาบสีแดง เราเหน็ ท้งั สีแดงและการครองทข่ี องสแี ดงในดอกกุหลาบ ถ้าไม่มีดอกกหุ ลาบเป็นที่ให้สีแดงปรากฏ สี แดงท่ีเราเหน็ ก็ไมม่ ี ดังน้นั จึงแยกออกจากกนั ไม่ได้ 3. คุณสมบัตหิ รือคณุ ภาพของวัตถทุ ง้ั หลายย่อมปรากฏแก่บุคคลไม่เหมือนกัน ต่าง คนต่างเวลา คุณสมบัติของวัตถุที่ปรากฏเขารับรู้ก็แตกต่างกันแล้ว นั้นเท่ากับย้าว่า คุณสมบัติของ วตั ถุเป็นส่ิงท่ีเกดิ มาเพราะจติ สร้างขน้ึ แนน่ อน 12 W.L.Reese, Dictionary of Philosophy & Religion, p.56. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

108 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4. การที่กลุ่มประจักษนิยมกล่าวว่า ความคิดคือการลอกเลียนหรือการถ่ายแบบ ของวัตถุเข้าสู่จิต แต่เบอร์กเลย์แย้งว่า วัตถุที่ถูกถ่ายแบบหรือการถ่ายแบบก็ยังไม่มีสภาวะเหมือน ความคดิ นอกเสียจากตัวความคิดเอง จงึ ไม่มีการถ่ายแบบจากวตั ถุ เพราะวัตถุมีอยูใ่ นจิตรบั รู้เท่าน้นั เนื่องจากเบอร์กเลย์ได้ลดสถานภาพของวัตถุเป็นเพียงสิ่งที่ขึ้นอยู่กับจิต เราจึงเรียก ทฤษฎีนี้ว่า จิตนิยมเชิงอัตวิสัยหรือจิตวิสัยบ้าง อวัตถุนิยมบ้างที่กล่าวแล้ว หรือ เอกัตตะนิยม (Solipsism) บ้าง (2) ลัทธิเอกตั ตนิยม (Solipsism) แม้ว่าทรรศนะของเบอร์กเลย์ บางครั้งจะเรียกว่า “เอกัตตะนิยม” แต่ก็มีความแตกต่าง ในรายละเอียด โดยท่ี เอกัตตะนยิ มแท้ ๆ มีทรรศนะว่า “ไม่มีสิ่งภายนอกใด ๆ ที่จะมีอยู่นอกจากจิต ของมนษุ ย์ หรือ ไม่มวี ัตถุภายนอกส่ิงใดทีเ่ ราสามารถรบั รู้ไดว้ ่ามันมีอยู่อย่างอิสระ” 13 สรุปความว่า 1) มนษุ ยแ์ ละความคิดของมนษุ ย์เท่านน้ั มีจริง 2) มนษุ ยม์ คี วามเชอื่ มัน่ ในการทีต่ นมอี ยู่พร้อมกับความคิดของตน 3) มนษุ ย์ไม่สามารถรูส้ ิง่ ใดอน่ื นอกจากตนเองกับความคิดของตน 4) มนุษยแ์ ต่ละบคุ คลถกู จากัดอยู่ในขอบเขตของตนเท่าน้ัน บางทีนักปรัชญาเรียก เอกัตตะนิยมว่า“จิตนิยมแบบญาณวิทยา (Epistemological Idealism)” ทยี่ ึดถือความเหน็ ว่า 1. เราไม่รู้อะไรเลยภายนอกจติ และกิจกรรมของจติ พรอ้ มดว้ ยสารตั ถะของจติ 2. ความร้ขู องจิต เปน็ พ้ืนฐานและแหลง่ สาคญั เพยี งอยา่ งเดียวของการสร้างความรู้ อย่างอื่น ๆ ไมม่ ีส่ิงใดสามารถถูกรับรูไ้ ดน้ อกจากการทางานของจติ 3. ความรู้เปน็ สงิ่ ทีม่ ีอยูใ่ นภายใน และเกิดมาจากจติ เทา่ นน้ั เบอร์กเลย์ ไมย่ อมรับความคดิ เอกัตตะนิยมแบบน้ี โดยแย้งว่า “ทรรศนะแบบเอกัตตะนิยม เป็นผลท่สี ืบเนอื่ งจากประสบการณส์ ่วนตวั ของบุคคล (ไมเ่ ปน็ สากล) ไม่ถกู กระทาใหเ้ ป็นสิ่งเหนือโลก โดยพระเจ้าหรือสิ่งสัมบูรณ์สูงสุด”14 เพราะกลุ่มนี้ไม่ยอมรับประสบการณ์ซึ่งเป็นผลมาจากการ ทางานภายนอก ที่ไม่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ อันที่จริงประสบการณ์ทุกชนิด ไม่ควรเป็นเฉพาะผล สบื เนื่องท่เี ก่ยี วกับมนุษย์ปัจเจกบุคคลเท่านั้น ยังต้องเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากการทางานโดยอาศัย พระเจา้ ด้วย 13 A.R.Lacey. A Dictionary of Philosophy, (London : Routledge & Kegan Paul, 1976), p.190. 14 W.L.Reese, Ibid., p.539. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

109 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา (3) เหตผุ ลของการปฏิเสธความมอี ยอู่ ยา่ งอสิ ระของสสารหรอื วัตถุภายนอก 1) ล็อค (Locke) กลา่ ววา่ สสารรับรไู้ ดไ้ ม่หมด แต่เบอรก์ เลยแ์ ย้งวา่ “สิง่ ใดรู้ไมไ่ ด้ ส่ิงนนั้ ย่อมไม่มีความเปน็ จรงิ ของตนเอง ถ้าสสารมีอยู่จรงิ ต้องรบั รู้ได้หมด” 2) สสารคอื ฐานของคุณภาพเดิม จึงไม่ควรแยกคุณสมบัติออกจากสสาร เพราะไม่ มคี ุณภาพเดมิ ใดๆ นอกจากจติ 3) ความรู้คือสิ่งแทนความคิด (มโนภาพ) และความคิด คือ สิ่งแทนวัตถุภายนอก ดังน้นั สิง่ ท่ีมีอยู่ภายนอก ก็คอื ความคิดนั่นเอง 4) ไม่อาจจะแยกการรับรู้สิ่งต่างๆ ออกจากความรู้สึกทางประสาทสัมผัสที่เรา ได้รับมาจากสิ่งนั้นการรับรู้ และความรู้สึกทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งเดียวกัน คือเป็นสิ่งที่จิตสร้าง ขน้ึ มา 5) ไม่มีทรัพย์ (Substance) ที่เป็นสสาร เพราะสสารเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ ปรากฏแก่ประสาทสัมผสั หรอื เป็นความคิดท่จี ติ สรา้ งขนึ้ และมนษุ ย์รับร้มู นั ไดด้ ้วยจติ 6) บคุ คลอ่นื ๆนอกจากตวั เรากม็ ีอยูจ่ รงิ แตเ่ ปน็ ไปตามกฎของพระเจ้า (4) วจิ ารณจ์ ติ นิยมของเบอรก์ เลย์ 1) เบอร์กเลย์กล่าวว่า “สิง่ ตา่ ง ๆ ท่มี อี ยู่ เพราะมนั เปน็ ส่ิงที่ถูกรับรู้ เราไม่เคยคิดถึง ส่งิ ทีม่ ีจรงิ ซ่ึงจติ คดิ ไมไ่ ด้ หรอื สง่ิ ที่ถูกจิตรบั รู้ไม่ได้” มนี กั ปรัชญาเหน็ แย้งหลายทา่ น คอื เปอร์รี่ ราล์ฟ บาตัน(Perry Ralph Barton 1867-1957) นักสัจนิยมใหม่ชาว อเมริกัน 15 แย้งว่า “สิ่งภายนอกมีอยู่จริง มันไม่ขึ้นอยู่กับจิตไม่ว่าจิตจะรับรู้มันหรือไม่ก็ตาม การมี อยู่ของส่ิงภายนอกไม่มีผลเสียอะไร ไม่ว่าจิตจะรบั รมู้ ันหรือไม่กต็ าม และมันก็ไม่ใช่เป็นเพียงความคิด ท่ีเราคิดสรา้ งข้ึนมา” จี.อี. มัวร์(George Edward. Moore 1873-1956) นักสัจนิยมใหม่ชาวอังกฤษ แย้งว่า “ความเป็นจริงมีจริงตามที่เรารู้ แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นจริงตามที่เราเชื่อ สิ่งต่าง ๆ มีอยู่ มิใช่ เพราะการทีม่ นั ต้องถกู รับร้โู ดยจิต แต่เป็นเพราะวา่ มันต้องมีอยู่จริงๆและตามความเป็นจริง ทั้งต้อง มีอยู่ตามสภาวะแท้ๆของมัน ไม่ขึ้นอยู่กับจิตที่รับรู้ การรับรู้โลกภายนอกเกิดได้หลายทาง ประสาท สมั ผสั ของเราก็มสี ่วนในการใหเ้ ขา้ ถงึ ความเปน็ จริงไดเ้ ช่นกนั ” 2) เบอร์กเลย์กล่าวว่า “เราไม่อาจจะแยกการรับรู้สีเขียวออกจากความรู้สึกทาง ประสาทสมั ผัสกบั สเี ขยี ว ส่งิ ท่ีมสี ีเขียวกับความรู้สึกว่าเขียวเป็นสิ่งเดียวกัน การที่เราไม่อาจแยกสิ่งที่ มสี ีเขียวออกจากความรูส้ ึกว่าเขียวพสิ จู นว์ ่า มนั เปน็ สง่ิ เดียวกันหรือเหมือนกัน” นักปรัชญาอนื่ แย้งว่า 15 Ibid., p. 538. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

110 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา “สิ่งตา่ งๆ หรอื ความร้สู ึกทางประสาทสัมผัสชนดิ ต่างๆ ไม่อาจจะมีได้หากสิ่งต่างๆเหล่านั้นไม่ได้มีอยู่ จริงๆนอกจากจติ ” 3) การที่เบอร์กเลย์บอกว่า “สิ่งที่สามารถสัมผัสได้ทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่เรา รับรู้ได้” นน้ั ก็จริง แต่ก็ไมค่ วรจะอนุมานวา่ “สิ่งที่ถูกรับรู้ได้คือความคิด หรือความรู้สึกทางประสาท สมั ผัสทีจ่ ิตสร้างข้ึน” เพราะการกล่าวว่า สิ่งที่เรารับรู้ ได้แก่ความคิดของเราเองนั้น เบอร์กเลย์ไม่ได้ พสิ ูจนใ์ หเ้ ราเห็นว่า สง่ิ ทถ่ี กู เรารับรจู้ ะกลายเปน็ ความคิดได้อย่างไร? 4) การที่เบอร์กเลย์อ้างถึงล็อคว่า “ความคิดก็คือภาพแทนของสิ่งที่ถูกรับรู้ ดังนั้น ความคิด และสิ่งภายนอกต้องมีสภาพเหมือนกัน นั่นคือ สิ่งภายนอกต้องเป็นความคิด” นักปรัชญา อน่ื กลา่ ววา่ เบอรก์ เลย์คิดผิดมาก ด้วยเหตผุ ลดงั ตอ่ ไปนี้ 1. สง่ิ ท่ีเหมอื นกันไมจ่ าเปน็ ต้องมธี รรมชาตทิ ี่เป็นอันเดียวกัน เพราะมันอาจมีความ เหมือนกันระหว่างของสองส่งิ ซงึ่ มาจากต่างชาติพันธก์ ันกนั ได้ 2. การที่เบอร์กเลย์กล่าวว่า “สิ่งที่รับรู้ได้คือความคิด” จอห์นสัน(W.E.Johnson 1858-1931)นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ เสนอว่า “เป็นการด่วนสรุปเพราะเป็นการเชื่อมันที่ง่ายๆ เกนิ ไปด้วยเพราะเบอรก์ เลยไ์ ม่วิเคราะหใ์ ห้เหน็ แจง้ ถงึ ขบวนการรับรู้อย่างละเอียด ขาดการวิเคราะห์ ระหว่าง ความรู้สึกทางประสาทสัมผัสกับสิ่งที่รับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส” จอห์นสันเองก็ไม่ได้แยก ขอ้ ควรพิจารณาทางอภิปรชั ญาจากขอบข่ายของมัน 16 ในกระบวนการรบั รู้มี 2 สงิ่ ทาหน้าทต่ี า่ งกัน คือ ความคิด ซ่งึ เป็นจิตผรู้ ับรู้ หรอื กาหนดรู้ และอารมณห์ รอื สิ่งทีป่ รากฏ อนั เปน็ ตวั กระตุ้นให้เกิดการรบั รู้ ดังนั้น หากจะ วิเคราะห์ถึงกระบวนการทางานดา้ นการรบั รู้ มตี วั แปรทสี่ ัมพนั ธก์ ัน 3 อย่าง คอื 1. จติ หรือ ความคิด 2. สง่ิ ท่ีปรากฏ หรือสภาพท่ีเป็นจริงของวตั ถุ 3. ตวั แทนของสงิ่ ทป่ี รากฏ ซง่ึ เปน็ สภาพที่ แสดงออกมาเพ่ือใหร้ ับรู้ เมื่อวิเคราะหภ์ ายใน “ความคดิ ” ตามทรรศนะของเบอร์กเลย์ออกมา ไม่ พบตัวแปรอนื่ ๆ อกี สองอย่าง เพราะ “ความคดิ ” กเ็ ปน็ แตเ่ พียงความคิดเทา่ น้ัน. 4) จติ นยิ มสมบรู ณ์ (Absolute Idealism เฮเกล) ลัทธิจิตสมบูรณ์จิตนิยมได้รับการพัฒนาหลังจากสมัยของค้านท์(Kant) และมาโด่งดัง เป็นท่รี จู้ กั กนั ดใี นสมยั ของเฮเกล (Hegel, 1770-1831) ชาวเยอรมัน และเจริญมากในอังกฤษในช่วง ปี ค.ศ. 1865-1925 แม้จิตนยิ มจะมีหลายรูปแบบ แต่จุดยืนของทรรศนะจิตนิยมสัมบูรณ์นี้ก็คือการ ยืนยนั ว่า 16 Ibid., p.270. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

111 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1. มีสิ่งสูงสุดเพียงอย่างเดียว ซึ่งมีธรรมชาติเป็นจิต “Spiritual in nature” ซึ่งเป็น ความจรงิ พ้ืนฐานรองรบั ความมีอยขู่ องจกั รวาล 2. เปน็ สง่ิ ทีส่ ่งิ อน่ื ๆ ตอ้ งอาศยั มนั เพ่ือการคงอยู่ แต่ตวั มนั เองไม่ตอ้ งอาศยั ใคร 3. สิ่งอน่ื ๆ เป็นภาคแสดงออกบางส่วนของสิ่งสัมบรู ณ์สงู สุด หรือเป็นเพียงภาพปรากฏ เชิงมายาของสงิ่ สมั บูรณ์ “Absolute” น้ี 4. จากสิง่ สัมบูรณน์ ้เี ราสามารถอนุมานส่งิ ตา่ งๆ อย่างมีเหตผุ ล 5. จากสง่ิ นเี้ อง สิง่ ท่มี ีขอบเขตจากดั ตายตัว พฒั นาความคิดของมันเองขน้ึ มา 6. ในสง่ิ สมั บรู ณ์นีแ้ หละ ท่ีทกุ สิ่งมีอยู่ในฐานะเปน็ ความคิด เฮเกล บิดาสัมบูรณ์จิตนิยม (The Father of Absolute Idealism) คาถามหลกั ก่อนหน้าเฮเกล คือ อะไรที่ควรจะเป็นธรรมชาติและลักษณะของหลักการ สูงสุดแห่งจักรวาล เพื่อที่เราจะสามารถนามาอธิบายจุดกาเนิด ความเติบโตและการพัฒนาของจิต และธรรมชาติ ความสัมพันธ์ทางจิตของมัน เหมือนกับคาคามทางวิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศีลธรรม และศาสนา? สิ่งที่เป็นหลักการสูงสุดนี่ก็คือ เหตุผล ความคิด หรือมโนภาพอันสูงสุด อันที่จริงโลก ประกอบดว้ ยสิ่งที่เป็นทั้งจิตและธรรมชาติ สิ่งที่ทาหน้าที่รู้ กับสิ่งที่ถูกรับรู้ สิ่งที่เป็นตัวตนและไม่ใช่ ตวั ตน เฮเกลไมเ่ หน็ ด้วยกับการแบ่งสถานะของสิ่งออกเป็น 2 แบบ ตามทรรศนะของค้านท์ คือ สิ่ง ไดม้ าจากประสบการณ์และโครงสร้างการทางานของจิตที่นามาใช้เพื่อสร้างความรู้และเข้าใจมัน เขา กลา่ ววา่ สิ่งต่างๆ มีอยู่ในดวงจิตของเรา(Our Consciousness) แต่ในสภาวะที่ต่างก็มี ความสัมพันธ์ระหว่างกันกับสิ่งอื่นๆซึ่งก็มีอยู่เหมือนกัน เพื่อเชื่อมทวินิยมในแบบของค้านท์ เขา ยืนยนั ว่า “ความสมั พนั ธ์กนั และความเกี่ยวข้องกันของสิ่งต่างๆ มีจริง เป็นความจริงแท้ๆ พร้อมทั้ง คุณภาพและคุณสมบัติ เราสามารถเข้าใจมันได้ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบหน่วยเดี่ยว (Monistic System) ของสารตั ถะทปี่ รากฏออกมา ในระบบหนว่ ยเด่ียวน้ี มีอตจิ ิตเป็นศูนย์กลางแห่ง การมีอยูด่ ว้ ยตนเอง” อติจติ นเี้ รยี กในช่อื ตา่ งๆกนั เช่น สัมบูรณจติ บ้าง มโนภาพสมบูรณ์บ้าง ปรมัตถ จิตบา้ ง เฮเกลมีผลงานคือ “ปรากฏการณ์วิทยาว่าด้วยจิต” (The Phenomenology of the Spirit) ในหนังสือนี้ เขาแสดงพื้นฐานทางความคิดเรื่องเอกภาพ (Unity) และเอกภาพนี้เป็นหน่วย เดี่ยว (Monism) และเป็นการสาแดงตัวขององค์สัมบูรณ์หรือองค์สัมพัทธ์สูงสุด (Absolute) แต่ละ ส่วนที่ปรากฏคือภาพที่แสดงออกขององค์สูงสุด ไม่ใช่มายา ทุกส่วนจึงเกี่ยวข้องกันหมด เพราะทุก ส่วนมีความสมั พนั ธต์ อ่ การสงั เคราะห์ท่ีสมบูรณ์ (Absolute Synthesis) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

112 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เฮเกลใหข้ ้อสังเกตว่า การศึกษาปรชั ญาใชว้ ิธแี บบวเิ คราะหน์ ่าจะแคบกว่าวิธีสังเคราะห์ เพราะการสังเคราะห์ได้รวมความแตกต่างกันอย่างมากหลายและสลับซับซ้อน มองเห็น ความสัมพันธ์ภายในทั้งหมดของความจริงทุกสิ่งและทุกด้าน การสังเคราะห์เกิดจากใช้เหตุผล เฮเก ลจึงย้าว่า “ความจรงิ เป็นสงิ่ ทม่ี เี หตุผล และส่ิงที่มเี หตุผลคอื ความจริง” เปรียบเทียบเอกภาพสมั บรู ณก์ ับสง่ิ ทมี่ อี ยู่เองของค้านท์ 1. เอกภาพไม่ใช่เป็นแบบสิ่งที่เป็นจริงอยู่ในตัวเอง (Thing-in-itself)ตามแบบของ คา้ นท์ ทจ่ี ติ มนษุ ยไ์ มส่ ามารถเขา้ ถึง 2. เอกภาพสามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผล ซึ่งลึกซึ้งกว่าเหตุผลตามที่เข้าใจทาง ญาณวทิ ยา 3. เป็นจุดหมายทที่ ุกอยา่ งซึ่งอยูใ่ นกระบวนการพฒั นาเพ่ือไปสู่ความสมบูรณส์ ูงสุด 4. ไมใ่ ช่ อานาจเหนอื ธรรมชาติ 5. ไม่ใช่อัตตาที่ถือตนเป็นใหญ่ (Subjective Ego) แต่เป็นโลกของมันเองที่ แสดงออกดว้ ยกมั มนั ตภาพ 6. ไม่ใช่เป็นสภาวะคงท่ี เพราะต้องวิวฒั นาการ และการที่เฮเกลยึดเอาโครงสร้างการพัฒนาเป็นเรื่องของจิต จึงเรียกว่า “จิตนิยมปฏิ พัฒนา (Dialectic Idealism)” ความคิดที่สมบูรณ์พัฒนามาจากความคิดที่ง่ายๆ และดาเนินไปสู่ ความคิดท่สี ลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นขึ้นตามลาดับ จากสภาวะขั้นพื้นฐาน (Thesis) ไปสู่สภาวะขัดแย้ง (Antithesis) ปฏิพัฒนาไปสู่สภาวะสงั เคราะห์ ที่รวมประสาน)(Synthesis) ทรรศนะของเฮเกลบางทเี รยี กวา่ “จิตนยิ มเชิงวตั ถวุ ิสัย (Objective Idealism)” 17 ซึ่ง กเ็ ปน็ เหมอื นอติจติ นิยม มที รรศนะว่า “ความจริงสูงสุด (แม้ว่าจะเป็นแบบนามธรรม) แต่ก็มีอยู่นอก จิตของมนษุ ย์” ประเดน็ ท่ีนักปรชั ญาโตแ้ ยง้ กนั มากกค็ ือเร่ืองของสิ่งที่ปรากฏ (Appearance) ว่าเป็น สง่ิ ที่ขดั แยง้ (Contradictory) เฮเกลเสนอวา่ อนั ทจ่ี ริง ส่งิ ทเ่ี รารูเ้ ปน็ เพียงคล้ายปรากฏการณ์ (Mere Appearance) ของความจริงแท้ ซึ่งมอี ยูเ่ บ้อื งหลงั ของปรากฏการณ์นั้น ข้อเปรียบเทียบระหว่าง จิต นิยมแบบอตั วิสัย กบั จติ นิยมแบบวัตถวุ สิ ยั คือ จิตนยิ มแบบวัตถุวิสัย(Objective Idealism) จิตรับรู้ปรากฏการณ์ (สิ่งคล้าย) ซึ่งมีอยู่ นอกจิต จิตนิยมแบบอัตวิสัย (Subjective Idealism) ปรากฏการณ์และจิต เป็นความจริงแท้ เพียงอย่างเดียวท่ีอยู่ภายในจติ 17 H.M. Bhattacaryya, The Principles of Philosophy, p.108. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

113 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 5) จติ นิยมแบบเทวนิยม (Theistic Idealism) จิตนิยมแบบเทวนิยมเป็นทรรศนะของวอร์ด เจมส์(Ward James 1843-1925) ชาว อังกฤษ ที่เขียนหนังสือชื่อ “The Relation of Philosophy of Psychology Naturalism and Agnosticism” เสนอแนวทางแห่งการรับรู้ของมนุษย์จากระดับการรับรู้ (Perception) จนก้าวไปสู่ ระดับมโนภาพวา่ มี 3 ขัน้ ตอน คือ 1. ขัน้ ตอนของการรสู้ กึ (Sensory Stage) ซง่ึ จะประกอบไปด้วย 1) การแยกความแตกตา่ ง (differentiation) การเกบ็ (retention) และ 2) การรบั ไว้ (assimilation) ของการนาเสนอ (presentation) 2. ขั้นรวบรวมเป็นหน่วย (Integrative Stage) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่การรู้สึกเป็นขั้นของ การรบั รู้ (percept) 3. ขั้นของการเกิดขึ้นของความต่อเนื่องที่ได้รับมาจากจินตนาการ ซึ่งจบลงด้วยสาย ของความจา และความตอ่ เนื่องของระบบทกี่ ่อให้เกิดมโนภาพ (ideational tissue) James Ward (27 January 1843 – 4 March 1925) https://en.wikipedia.org/wiki/James_Ward_(psychologist) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

114 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา วอรด์ แบง่ ประสบการณ์ทางจติ ใจออกเปน็ 3 ชนดิ 1. ขน้ั รบั รู้ ความรู้ 2. ขน้ั พอใจ 3. ข้ันสั่งสมเปน็ สาระเนอื้ หา เขากล่าวว่า เรามีความรู้ที่ได้จากการอนุมานจากตัวเราในฐานะเป็นรู้ผู้ (Subject) ความรู้สึก (feelings) และการกระทาพฤติกรรม (Act) ของการให้ความสนใจ การนาเสนอปรัชญา ของเขาเป็นแบบจิตนิยมเชิงเทวนิยม ซึ่งวางอยู่บนทรรศนะที่ว่าจิตมีอยู่ทุกแห่ง (Panpsychic) และ จิตมีมากมาย (Pluralistic) เกยี่ วกบั โลก ถือว่าโลกสร้างด้วยมโนภาพที่เป็นอัตตา ที่ทาหน้าที่ได้เอง อัตตาที่เป็นอันตะมี อสิ ระเสรี พระผเู้ ป็นเจ้าท่เี ปน็ อันตะสูงสดุ ในบรรดาสง่ิ ทีเ่ สมอกนั พระองคเ์ ป็นอภจิ ติ เชน่ เดียวกับจอม โมนาด (Supreme Monad)18 ของไลบ์นิช (Leibnizt) การปกครองโมนาดหรืออัตตามีพระเจ้าเป็น ผ้ปู กครองสูงสุด 6) จติ นิยมเชงิ จรยิ ศาสตร์ (Ethical Idealism) จติ นิยมแบบจรยิ ศาสตร์เกิดจากแนวคดิ ของนักปรัชญา 2 ท่าน คือ 1. ซอรเ์ ลย์ วลิ เลยี ม อาร์ (Sorley William R. 1855-1935 ชาวสก๊อตแลนด์ เป็น นักปรัชญาจิตนิยมที่ขัดแย้งต่อลัทธิธรรมชาตินิยม แนวคิดทางอภิปรัชญาเกิดจากด้านจริยศาสตร์ โดยการแสวงหาคุณคา่ (Value) เพ่อื เปน็ กุญแจไขไปสคู่ วามเป็นจริง (Reality) คุณค่าที่เขาคิดค้นนี้ มี ลักษณะแตกต่างกัน แบง่ ออกเป็น 2 อยา่ ง คอื 1) คณุ ค่าโดยธรรมชาตภิ ายในเอง (Intrinsic Values) หมายเอา บคุ คล และ 2) คณุ คา่ ทเ่ี กิดโดยอปุ กรณ์ (Instrumental Values) หมายเอาสิ่งของ ซอร์ เลย์เขายา้ ว่า พระเจา้ เป็นแหล่งจริยธรรมอนั สูงสดุ (God is the source of values.) 2. เมสเซอร์ ออกัสต์ (Meser August 1867-1937) ชาวเยอรมัน ผู้เขียนหนังสือจ รยิ ศาสตร์ของค้านท์ (Kant’s Ethics) เมสเซอร์กล่าวว่า ค้านท์ก็เป็นนักสัจนิยมแบบวิจารณ์ เพราะ 18 โมนาดของไลบ์นิช มีลกั ษณะ คอื เปน็ ความจรงิ ที่เปน็ จิต มกี ัมมนั ตภาพ แยกตัวเปน็ เอกเทศได้จากส่งิ อ่ืน มีความเช่ือมตอ่ เปน็ เอกภาพ สัมพันธ์กับโมนาดอนื่ พระเจา้ เปน็ จอมโมนาด(Mind, activity, isolation, unity, relation, governor) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

115 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ลัทธิสัจนิยมเชิงวิจารณ์เป็นสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาทางญาณวิทยาได้ เขาเองยอมรับว่าวิธีการทาง ปรากฏการณว์ ทิ ยา จะเปิดไปสขู่ อ้ มลู ทางจิตวทิ ยา ดว้ ยการแสวงหาแบบสจั นยิ มของเขา เมสเซอร์เป็นนักจิตนิยมเชิงเทวนิยมตรงทีม่ ีความเหน็ ในเรื่องปัญหาของจริยศาสตร์ และปัญหาของญาณวิทยาด้วย ดังนั้น สิ่งที่มีอยู่จริง สามารถแสวงหาได้ โดยผ่านคุณค่าทาง จรยิ ธรรม ซงึ่ เกดิ จากจติ มนุษย์ 7) จิตนยิ มเชิงปฏิบตั กิ าร (Actual Idealism) เป็นทรรศนะจิตนิยมของเย็นไตล์ กิโอวันนี(Gentile Giovanni 1875-1944) ชาวอิตา เลียน เขาเป็นนักจิตวิทยาแบบฟาสซิสม์ (Fascism) และถูกสังหารตาย เขียนผลงานทางปรัชญา มาร์กซ์ โดยเขาได้พัฒนาความคิดมาจากเฮเกล และเรียกระบบปรัชญาของเขาเองว่า “ศูนย์กลางที่ เน้นการปฏิบัติเป็นอันดับแรก (Centering on the primacy of the Act)” ทรรศนะของเย็นไตล์ แสดงได้ดงั น้ี 1. เป็นปรัชญาที่เน้นการกระทาที่บริสุทธิ์ (pure act) เรียกว่า กิจกรรมนิยม (Actualism) หรอื หรอื จติ นิยมเชงิ ปฏิบัติการ (Actual Idealism) การกระทาที่บริสทุ ธิ์ เปน็ สงิ่ สูงสุด หรือเป็นการรู้แจ้งตัวเองด้วยตัวเองในโลก เขาเชื่อว่า จิตนิยมเกิดขึ้นมาอย่างไม่มีข้อยกเว้น เหมือน การทเี่ ราพยายามช้ีชดั โครงสร้างของตรรกศาสตร์ ในเรอ่ื งประสบการณแ์ หง่ การกระทาของเรา 2. การปฏิบัติการ (Act) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในจุดแรกของภววิทยา (Ontology) ไม่ ต้องการกระบวนการใดๆ มาเป็นฐาน กระบวนการของการปฏิบัติการเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่าง ธรรมชาติกบั ความเป็นอสิ ระภาพของมนษุ ย์ ดจุ การเปน็ สาเหตุของตนเอง (Self-cause) การรู้ตัวเอง (Self-awareness) และเป็นการสร้างสรรค์ตัวเอง Self- creation) ก็เป็นอยา่ งเดยี วกัน 3. ปรัชญาเป็นการสังเคราะห์ระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ (Subjective + objective) และศิลปะกับศาสนา (Art & Religion) แต่สิ่งที่เขามีความเห็นแตกต่างจากเฮเกล ก็คือ ระดับของ ศิลปะ ศาสนาและปรชั ญา ท่ีถกู นามาใช้ในปรัชญาการศึกษา (Philosophy of Education) ดังที่เขา กล่าววา่ “ศิลปะและศาสนาเปน็ ศูนย์กลางท่สี าคัญ เปน็ พ้ืนฐานของการศึกษา การสังเคราะห์ทาง ปรัชญาเป็นหนา้ ที่ของการศึกษาระดบั สงู ” 8) จติ นิยมแบบบุคคล (Personal Idealism) จิตนิยมบุคลิกภาพเกิดจากทรรศนะของนักปรัชญา 2 ท่าน คือ โฮวิสันและ รัชดัลล์ (Howison and Rashdall) ที่ถือความเห็นว่า “ความจริงแท้ ควรเน้นที่บุคลิกภาพ เสรีภาพ และ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

116 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา การสร้างสรรค์ค่านิยมใหม่ๆของมนุษย์, พระเจ้าเองก็มีเสรีภาพจากัดโดยเสรีภาพของมนุษย์, พระ เจ้าไม้ได้เป็นสิ่งเดียวกันกับสิ่งสูงสุด(The Absolute), การสร้างอภิปรัชญาต้องวางรากฐานจาก จรยิ ธรรม” ซ่ึงเราจะศกึ ษาแนวคิดของเขา ดังต่อไปน้ี 1. จ.ี เอช. โฮวิสัน (G.H.Howison 1834-1916) นกั ปรัชญาชาวอเมรกิ ัน จากเมือง ซินซิเนติ (Cincinati) เรียกระบบความคิดของตนว่า จิตนิยมแบบบุคลิกภาพ (Personal Idealism) ซึ่งมีความเห็นว่า โลกเป็นพหุนิยมแบบจิต(เป็นนามธรรม) พัฒนาไปอย่างมีจุดหมาย (Teleologically) ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับพระเจ้า(God) ผู้ที่เป็นสาเหตุและจุดหมายสุดท้ายของ กระบวนการพฒั นาน้ี 19 เขากล่าวว่า พระเจ้าเป็นอันตะ (จุดหมายสุดท้ายสูงสุด) ในบรรดาสิ่งที่มีอยู่เสมอ กนั ทงั้ หลายพระเจ้าไม่ใช่ ท้ังผู้สร้างโลก ทั้งไม่ใช่ตัวเหตุที่มีความสามารถ แต่เป็นอุดมการณ์ที่มนุษย์ มุ่งเขา้ หา มนษุ ย์มเี สรีภาพและสร้างคา่ นิยมใหม่ ๆ ได้ พระเจา้ ไมไ่ ดก้ าหนดเสรีภาพของมนุษยเ์ รา สิ่งที่เขาเน้น คือการถือเอาบุคลิกภาพของมนุษย์เป็นสาคัญ ต่อต้านพวกเอก สมบูรณ์นิยม เนน้ เสรีภาพของมนุษย์ ตลอดถึงความรับผิดชอบทางจริยธรรม เชื่อว่าสิ่งชั่วร้ายมีอยู่ จรงิ ในโลก และสอนใหม้ นษุ ย์เอาชนะความชวั่ รา้ ยน้ัน บางทแี นวคดิ แบบนเี้ รียกวา่ ลัทธบิ คุ คลนยิ ม (Personalism) ซง่ึ มหี ลักวา่ 1) ลักษณะท่าทางซึ่งบุคคลเรามีเป็นเอกลักษณ์ และบุคลิกภาพก็คือดอกกุญแจที่เป็น เคร่ืองมืออันสาคญั ให้เราเขา้ ใจโลก จักรวาลและสรรพส่ิง 2) สรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ เป็นการแสดงออกของจิตสานึกส่วนบุคคลสากล และสามารถ วิเคราะหอ์ อกไปในรูปของ “บุคลกิ ภาพของมนษุ ย์ (Human Personality)” 3) ความเปน็ จริง (Reality) เป็นระบบของบุคคล (ตัวคน, บุคลกิ ภาพ และจติ ใจ) 4) “บุคคล” เป็นส่วนประกอบของความมีอยู่ที่ไม่อาจจะย่อส่วนหรือลดทอนลงได้ทั้ง ไม่อาจจะอธบิ ายโดยวิธอี นื่ ๆ ได้ 5) “บุคคล” และ “บุคลิกภาพ” เป็นสิ่งที่อยู่ในระดับสูงสุดที่สามารถจะเข้าถึงได้ใน จักรวาลน้ี ทั้งเป็นสิง่ ทต่ี ้องยอมรับว่า “เป็นคุณค่าสูงสุด” (Highest Value) ทจ่ี ะไดร้ บั ในจักรวาล 2. รัชดัลล์ ฮัสติงส์ (Rashdall Hastings 1858- 1924) นักปรัชญาชาวอังกฤษ เกิดทเ่ี มืองลอนดอน(London) ผ้เู ขียนหนังสือ “Philosophy and Religion”20 ส่วนมากรัชดัลล์จะ 19 W.L.Reese, Ibid., p.231. 20 Ibid., p.478. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

117 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เรียกระบบความคิดของตนว่า “ประโยชน์นิยมเชิงอุดมคติ(Ideal Utilitarianism)” ซึ่งแตกต่างจาก สขุ นิยมของเบ็นธมั (Bentham) รชั ดลั ล์ถือวา่ จุดสุดท้าย(End) ที่จะได้รับนั้นต้องเป็นแบบอุดมคติซึ่งประกอบด้วย ความเพลิดเพลิน ความสุข ระหว่างส่วนประกอบอืน่ ๆ เขายกยอ่ งการพัฒนาบุคลกิ ภาพว่า เปน็ สิ่งที่มี คณุ คา่ ในตัวเอง (Intrinsic Value) และสรา้ งส่วนดแี ห่งอุดมคติทจ่ี ะตอ้ งไดร้ ับ รัชดัลล์เป็นนักจิตนิยมแบบบุคลิกภาพ เพราะมีความเห็นว่า จิตทั้งหลาย(Minds) มีอยู่อย่างอิสระจากกันและกัน แต่วัตถุ (Matters) จะมีอยู่เพื่อให้จิตใจรับรู้เท่านั้น (Matter exits only for mind.) เขาเชื่อว่า ความชั่วร้ายมีอยู่ เพราะพระเจ้ามีพลังจากัด แม้ว่าพระเจ้าจะต้องการ ให้มจี ติ สานกึ ทางศลี ธรรมสมบรู ณ์กต็ าม ขอ้ วิจารณ์ทรรศนะของรัชดัลล์ 1. เมื่อแยกเสรีภาพและเจตจานงของมนุษย์ (ซึ่งมีอยู่อย่างจากัด) จากพระเจ้า ซึ่ง เป็นผู้สมบูรณ์ทุกอย่าง จึงเป็นการยากที่จะพูดถึงการประนีประนอม (เข้ากันได้) ระหว่างเสรีภาพ ของจิตของสิ่งสมบูรณ์ และเสรีภาพของจิตของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีขอบเขตจากัด มนุษย์เป็นสิ่งท่ี ถกู สร้างขึ้นมา 2. การที่รัชดัลล์กล่าวว่า พระเจ้าคือสิ่งสมบูรณ์อันตะ ไม่มีความรู้สึกสานึกด้วย ตัวเอง ความเปน็ จรงิ ส่งิ สมบูรณ์ไม่น่าจะเป็นเอกภาพที่ไม่มีความรู้สึกสานึก (ซึ่งเกิดจากการรวมตัว ของพระเจ้ากับสรรพสัตว์) ส่งิ สมบรู ณต์ อ้ งมคี วามรูส้ ึกนกึ (ถา้ พูดว่าไม่มีความรู้สึกต้องขัดแย้งกัน) ทั้งมีความรู้ แจง้ ดว้ ยตัวเอง พระเจ้าจะตอ้ งไมถ่ กู จากดั จานวน เพราะพระองค์คือส่ิงสมบูรณ์ ถ้าพระเจ้าขาดความ สมบรู ณ์กจ็ ะต่างอะไรจากมนษุ ยธ์ รรมดาๆ และไมค่ วรจะกราบไหว้เคารพบชู าดว้ ย 9) จิตนยิ มแบบยึดเอาเจตนาเปน็ หลกั (Voluntaristic Idealism) จิตนิยมที่ยึดเอาเจตนาเป็นหลัก เกิดจากแนวคิดของ ฟอยลี อัลเฟรด (Fouilee Alfred 1838-1912) ชาวฝรั่งเศส และ ฟิชต์ โยฮันน์ (Fichte, Johann G. 1762-1814) ชาว เยอรมนั 1. ฟอยลี อัลเฟรด (Fouilee Alfred มีความเชื่อว่า “ในตัวมนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่ เรียกว่าพลังแห่งความคิด (Thought force) หรือจะเรียกว่า ความเป็นจริงแห่งเสรีภาพของมนุษย์ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

118 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เกิดมาจากเจตจานง ซึ่งจิตของมนุษย์มีพลังแห่งการเป็นสาเหตุผู้กาหนด (การกเหตุ) ผ่านความโน้ม เอยี งทางมโนภาพ(Ideas) เพือ่ จะรู้แจ้งตนเอง” 2. ฟิชต์ โยฮัน(Fichte, Johann G.) นักปรัชญาชาวเยอรมัน และเขียนหนังสือ “Critique of Revelation” ตามแบบของค้านท์ ไดร้ ับการยอมรับว่า “เป็นผู้กาเนิดปรัชญาจิตนิยม ของเยอรมัน” โดยพฒั นาระบบจรยิ ธรรมจากค้านทใ์ นเร่อื ง เจตจานงทางศีลธรรม(Moral Will) และ เขียนหนังสือ “The Vocation of Man” (เสียงเพรียกของมนุษย์) ออกมาเพื่อสรุปแนวคิดของตน เขาเปลี่ยนสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวเอง(Thing as it is in itself)ของปรัชญาค้านท์ เป็นอัตตาสมบูรณ์ (Absolute Ego) ไดเ้ สนอข้อคดิ สรุปได้ดงั น้ี 1) มนุษย์ต้องมีเจตจานงอิสระ และเป็นของตนเอง ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเกิด ขึ้นมาเพราะความจาเป็นทางสาเหตุแล้ว (Causal Necessity) ดังนั้น เราไม่ต้องรับผิดชอบไม่ว่า ความดีหรือความชั่วที่เราได้ทาลงไป เพราะแหล่งการกระทาของเราจะต้องเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไมใ่ ชม่ าจากตัวเราเอง 2) แทนที่จะพูดว่า “บุคคลรู้ว่าเขากาลังรับรู้อารมณ์ (He is perceiving an object) ก็ควรจะพูดว่า “คนเรารู้ว่า เขาคิดว่าเขาเห็นอารมณ์ (He thinks he sees an object.) และดังนั้น ขณะใดก็ตามที่เราสามารถรู้อะไรๆ นั้น มันจะต้องเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการ รบั รขู้ องมนษุ ย์ ถ้ามนุษย์ไม่ได้รับการสะท้อนปัญหา และถูกถามว่า ทาไมเขาจึงเชื่อเรื่องโลก ภายนอก เขาก็จะต้องเรียกร้องหาหลักการทางสาเหตุ (Causal Principles) นั้นก็คือ สิ่งที่เขารับรู้ ต้องการหาสาเหตุ เมอ่ื เปน็ ดงั นี้ เขาก็ไม่ควรจะพดู ไดว้ า่ เขาสังเกตเห็นความเป็นเหตุและผลที่ทางาน อยใู่ นโลกภายนอก มันเป็นเพราะผ่านทางความเป็นสาเหตุและผล เขาจึงได้ถูกนาไปยืนยันความมีอยู่ ของโลก โปรดจงพิจารณาขอ้ ความไรเ้ หตผุ ลต่อไปนี้ “ขอใหโ้ ลกตงั้ อยบู่ นหลังช้างใหญ่ และขอให้ช้าง ใหญ่ตั้งอยู่บนโลกอีกทีหนึ่ง” มีเพียงคาตอบที่สามารถยอมรับได้คือ เรายืนยันกฎของความเป็น สาเหตุ - ผลเหมือนกบั ท่เี รายืนยันความมอี ยูข่ องโลก 3) ตราบที่การรู้สึกตัวของเราได้มาจากการรับรู้ของเรา เราก็ไม่มี ความรู้สกึ อยา่ งตรงๆ เกยี่ วกบั ตวั เราเอง “ I ” มากไปกว่าโลกเลย นั้นคือมีทั้งตัวตน (Ego) และสิ่งที่ ไม่ใชต่ น (Non-Ego) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

119 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4) จิตสานกึ ทางศลี ธรรม (Moral Consciousness) ที่บอกเราว่า พวกเรา เป็นอิสระ (We are free.) และพวกเราเองต้องรับผลสิ่งที่ทาเอง ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับที่เรายืนยัน ทฤษฎีแหง่ สาเหตุ-ผล แต่มนั มคี วามสาคญั กว่ากฎแหง่ สาเหตุ-ผล 5) จดุ แรกของจิตสานกึ ทางศีลธรรม ไมต่ อ้ งการโลกของรูปภาพ (Picture) แต่เป็นโลกจริงๆ ที่เราทาพฤติกรรมและทาหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เพื่อบุคคลอื่น นั่นคือโลกทาง จิตใจ (Spiritual World) ซึ่งตรงกันข้ามกับโลกทางผัสสะ (Sensual World) ซึ่งถูกกาหนดด้วยกา ละและสถานที่ 6) ทาไมเราต้องยืนยันโลกทางผัสสะด้วย เพราะว่าต้องการจะพัฒนา คุณธรรมของโลกเพื่อเผชญิ หน้ากับอุปสรรคท่โี ลกมีอยู่ในวธิ กี ารของเราเอง 7) การทากิจกรรมของเราต่อบุคคลอื่นได้นาเราไปสู่การเรียกร้องแบบ มนุษย์ของพวกเรา ซึ่งจะเป็นวัฒนธรรมของโลกทางจริยธรรมอันอุทิศต่อการปกป้องอิสรภาพ (Freedom) และสทิ ธิ (Right) ของมนษุ ยท์ ุกคน สถานภาพทีพ่ วกเรามีชวี ติ อยูน่ น้ั จะมีวัตถุประสงค์ท่ี แท้จริง เพอื่ เอ้ือต่อสทิ ธิและเสรภี าพของพวกเรา 8) นอกเหนือจากการเรียกร้อง (อุทธรณ์) และจิตสานึกทางศีลธรรมของ เรานน้ั คอื บทบัญญตั ิทางจิตวิญญาณและศลี ธรรม อาจจะเรยี กได้ว่า พระเจ้านั่นเอง พระเจ้าไม่ใช่สิ่ง ทแี่ ยกออกไปตา่ งหากจากโลก ไม่ใช่ผู้สร้างหรือสาเหตุของโลก แต่ก็คือโลกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของทุก อย่างจริงๆ เมื่อพระเจ้าที่ฟิชต์เรียกว่า “สิ่งสูงสุด (Being an Absolute)” ทรงเอาไว้ทุกอย่าง ในพระองค์ ดงั นัน้ การสร้างโลกจึงไมใ่ ชส่ ่ิงที่เทียบกนั ไดก้ บั ธรรมชาติของพระองค์ เพราะพระเจ้าเป็น อมตะ ทกุ สิ่งก็ต้องสมบูรณ์พร้อมกับพระองค์ด้วย และเพราะตัวเราเองและมนุษย์คนอื่นๆ เป็นส่วน หน่งึ ของบทบญั ญัติ ทางศีลธรรม ซ่งึ เปน็ อนั เดียวกบั พระเจา้ พวกเราก็ต้องเป็นอย่างเดียวกันกับพระ เจ้า ความประสงค์หรอื เจตจานงของเรา ก็เป็นเจตจานงของพระเจ้า ไม่ใช่เพียงแต่พระเจ้าอย่างเดียว เท่าน้ันท่ีสมบูรณ์ เราทุกคนกต็ ้องเป็นผูท้ สี่ มบูรณ์ด้วย แต่สุดท้ายพิชตก์ ท็ าให้เกิดความขัดแยง้ เรื่องจิตนิยมทางปรัชญา นั่นคือการมอง 2 จุดเชิงซ้อน (Double focus) ในสิ่งที่ชีวิตของมนุษย์ และโลกซึ่งตามธรรมดาก็ต่อสู้ไปเพื่ออุดมคติ และในสง่ิ ที่ตามความเป็นจรงิ ตนก็จะก็ไดร้ บั อย่แู ลว้ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

120 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4.2.2 กลุ่มสจั นิยม (Realism) : สงิ่ ที่ถกู รู้ มีสภาพเปน็ จริงตามท่ปี รากฏ 4.2.2.1 ความเป็นมาของสัจนิยม สัจนยิ ม(Realism) เป็นคาท่ีมีรากฐานมาจากศัพท์ภาษาลาตินว่า “Res” ที่แปลว่า “สิ่ง(Thing)” แนวคิดทั่วไปของสัจนิยมก็คือ “สิ่งใดๆก็ตามเป็นความจริงในลักษณะที่มันมีสภาพ เป็นอยแู่ ละทาหนา้ ทีใ่ นฐานะที่เป็นสิ่งหนึ่งแยกต่างหากอยู่ที่หนึ่ง เป็นอิสระจากจิต แม้ว่าจิตจะรับรู้ หรือไม่รับรู้ มันก็มีอยู่” ในประวัติศาสตร์ทางปรัชญาเราพบว่า แนวคิดแบบสัจนิยมก่อตัวมาตั้งแต่ ปรชั ญากรีกโบราณ ท่ีพูดถึงปฐมธาตุของสิ่งต่างๆ เช่น น้า ไฟ อากาศ เป็นต้น ที่เป็นโครงสร้างหลัก ของสรรพสิ่งมีอยู่อย่างอิสระ ทั้งนี้สุดแต่ว่าใครจะกล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานของสิ่งต่างๆจะมี จานวนเทา่ ใด มีมากหรอื น้อย 21 ในทางปรชั ญา สจั นยิ มใช้ในความหมาย 2 ประการ 22 คอื (1) ในปญั หาเก่ียวกับความเปน็ สิ่งสากล (Universals) สัจนิยม มีความเห็นขัดแย้ง กับ ลัทธินามนิยม (Nominalism) โดยกล่าวว่า ความเป็นสากลของสิ่งต่างๆ มีความเป็นอยู่ของ ตนเองอย่างแท้จริง เป็นปรวิสัย (Objective Real) นอกเหนือจากการรับรู้ของจิต (beyond the perceiving mind) ส่วนลัทธนิ ามนิยมกล่าววา่ ความเปน็ สากลของสรรพสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งสมมติมีแต่ เพียงในนามบัญญัติเรียก ปราศจากความจริงแท้ มีอยู่ในจิต (Dependent under Mind) เป็นอัต วิสัย (Subjective Real) (2) ในปัญหาเกี่ยวกับความเป็นอิสระของโลกภายนอก (Independence of the External World) สัจนิยมยืนอยู่คนละด้านกับลัทธิจิตนิยมที่กล่าวมาแล้ว โดยสัจนิยมแย้งว่า โลก ภายนอกทีเ่ ป็นอารมณข์ องความรู้ หรือแม้แต่อารมณ์แห่งความคิดของเรามีความเป็นอยู่อย่างอิสระ จากจติ ทร่ี บั รอู้ ย่างแท้จรงิ ทรรศนะของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ย้าถึงความมีอยู่อย่างอิสระของโลกภายนอก อา้ งถงึ ความเปน็ สาเหตใุ หเ้ กิดการรับรู้ทางผัสสะและความเป็นมาตรวัดเชิงปริมาณของสิ่งต่างๆ เช่น ขนาดและรูปทรงของวัตถุ เป็นต้น เท่ากับได้ปูทางเพื่อความคิดลัทธิสัจนิยมแบบตัวแทนซึ่งล็อคได้ พัฒนามาจนถึงระดับแบ่งแยกที่ชัดเจน(ดูรายละเอียดในสัจนิยมแบบวิทยาศาสตร์) ประเด็นที่เน้น เกี่ยวกับการรับรู้ กลุ่มนี้เสนอว่า การรับรู้ประกอบด้วยข้อมูลทางผัสสะ (Sense-Data) ชนิดต่างๆ หลากรูปแบบที่จะเป็นสิ่งแทนของโลกภายนอกมากหรือน้อย คุณสมบัติชั้นแรกของสสาร เช่น 21 H.M.Battacaryya, The Principles of Philosophy, pp. 88-89. 22 W.L.Reese, Ibid., p. 480. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

121 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา รปู ร่างหรือขนาด กเ็ ปน็ ตวั แทนของโลก ในขณะที่คุณสมบัติรอง เช่น สีต่างๆ แม้จะมีพื้นฐานมาจาก โลก แตก่ ม็ ไิ ดเ้ ปน็ ตวั แทนของโลกเหมอื นคณุ สมบตั ชิ นดิ แรก เกี่ยวกับสถานภาพของสิ่งที่ถูกรับรู้นั้นสัจนิยมยอมรับว่ามีอยู่จริงๆเป็นอิสระ ไม่ว่าเรา จะรับรหู้ รือไม่กต็ าม มันต้องมีอยดู่ ้วยตัวของมันเองพร้อมทั้งสารัตถะและคุณสมบัติครบ เราสามารถ รู้ได้ในฐานะท่ีเปน็ อารมณข์ องความรู้ ซึง่ แตกต่างจากจติ ท่ีรับรู้ 4.2.2.2 ประเภทของสัจนิยม แม้วา่ ลัทธสิ จั นยิ มจะมคี วามเห็นสอดคล้องกันในเรื่องความมีอยู่ด้วยตัวเองของสิ่งที่ถูก รู้ แตน่ กั ปรชั ญากย็ งั มคี วามเห็นที่ขัดแยง้ ในประเดน็ พสิ ยั แห่งความรู้ของเราเกีย่ วกับสิ่งท่ถี ูกรับรู้ เช่น บางกลุ่มกล่าวว่า เรารู้วัตถุภายนอกได้โดยตรงบ้าง บางกลุ่มกล่าวว่าว่า เรารู้ได้โดยอ้อมต้องผ่าน สอ่ื กลางบ้าง บางกลุ่มกล่าววา่ เรารวู้ ตั ถุภายนอกได้แต่เพียงบางส่วน ไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมดบ้าง สิ่ง ที่ถูกรับรู้มีลักษณะเป็นสิ่งเดียวบ้าง สองสิ่งบ้าง หรือมากบ้างเป็นต้น จากทรรศนะที่แตกต่างใน ประเดน็ ทีก่ ลา่ วมาแล้ว ลทั ธสิ จั นยิ มจึงแบ่งกลุ่มออกเปน็ 4 ประเภท คอื 1) สจั นิยมแบบธรรมดา (Naive or Popular Realism) 2) สจั นิยมแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Realism) 3) สจั นิยมใหม่และสัจนยิ มแบบใหม่ (Neo Realism & New Realism) 4) สจั นยิ มเชิงวจิ ารณ์ (Critical Realism) หากจะจัดประเภทสัจนิยมที่กล่าวถึงจานวนสารัตถะของสิ่งที่ถูกรู้ ก็ยังแบ่งออกเป็น ประเภทตา่ ง ๆ อีก เช่น สจั นยิ มแบบเอกนยิ ม (Monistic Realism) ทก่ี ลา่ วว่า โครงสร้างเดิมของสิ่ง ต่างๆ มีเพยี งอย่างเดียวแบ่งแยกไม่ได้บ้าง สัจนิยมแบบทวินิยม (Dualistic Realism) ที่กล่าวว่า สิ่ง ที่มีอยู่จริง แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ กายและจิต เป็นอิสระจากกันและกันบ้าง หรือ สัจนิยมแบบ พหุนิยม (Pluralistic Realism) ที่กล่าวว่า โลกและจักรวาลที่ปรากฏ มีสารัตถะหลายประการที่มี อย่อู ย่างอสิ ระจากกัน เช่น โลกเมื่อแยกส่วนประกอบที่สามารถแยกถึงที่สุดแล้ว เราพบว่า อะตอม เปน็ ส่วนประกอบหลักท่ีเล็กท่ีสดุ และอะตอมเหลา่ น้ีกม็ จี านวนมากมายนับจานวนไม่ถ้วนแยกกันอยู่ และเป็นอสิ ระแก่ตัวเอง แตอ่ ะตอมกม็ ีความสมั พนั ธก์ ันโดยการประกอบกันเป็นโครงสร้างที่สลับซ้อน ของโลกและจักรวาลบ้าง 23 23 H.M. Bhattacaryya, Ibid., pp.89-90. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

122 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1) สจั นิยมแบบธรรมดาหรือแบบสามัญ (Naive or Popular Realism) สัจนยิ มแบบธรรมดาหรือแบบชาวบ้านสามัญทั่วไป เป็นสัจนิยมแบบคนธรรมดาที่ มคี วามคิดเหน็ โดยไม่ตอ้ งหาเหตุผล มองอย่างคนธรรมดามองดูโลกว่า สิ่งที่เรารู้ เป็นสิ่งที่มีจริง เห็น อย่างไร สิ่งน้นั ปรากฏอย่างไร เรารู้ไดต้ รงตามสภาพท่เี หน็ หรือปรากฏได้ทั้งหมด 24 คุณสมบัติของสิ่ง ต่างๆทีเ่ ราสมั ผัสได้ เช่น สี เสียง กลิ่นและรส รวมทั้งความรู้สึกทั่วไปเกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและการ เคล่ือนไหวของวตั ถุ เป็นลกั ษณะทเ่ี ปน็ จริงของวัตถุเหล่านนั้ ไม่มกี ารแยกจากกัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ว่าบุคคลธรรมดา หรือนักปรัชญาไม่มีใครยอมรับว่า ตนเอง เป็นนักสัจนิยมแบบธรรมดา เพราะสัจนิยมแบบธรรมดานี้มีข้อบกพร่องในกรณีที่ไม่สามารถแยก คุณสมบัติออกจากวัตถุหรือโลกภายนอก และจิตที่ทาหน้าที่รับรู้คุณสมบัติของโลกภายนอก บาง คราวจึงถูกขนานนามว่า “สัจนิยมแบบง่ายๆ หรือแบบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นแบบสัจนิยม ธรรมชาติพื้นๆทอื่ ๆ” นักปรัชญาต้องการหลีกเลี่ยงทรรศนะสัจนิยมแบบธรรมดานี้ แม้แต่กาลิเลโอ (Galileo Galilei 1564-1642 พ.ศ. 2107- 2185) ชาวอติ าเลียนก็ลังเลที่จะกล่าวว่า “ในขนนกก็คง มีความรู้สึกจักจี้” กาลิเลโอนี่แหละ ที่เป็นคนแบ่งคุณสมบัติของสสารออกเป็น 2 อย่าง คือ ความ เปน็ วตั ถวุ สิ ัยของส่ิงที่สามารถวัดขนาดรูปทรงได้ และความเป็นอัตวิสัยของสิ่งที่ไม่สามารถวัดขนาด รูปทรงได้ ความคิดของกาลิเลโอยังคงเป็นเกณฑ์มาตรวัดความมีอยู่ของสสาร และเป็นความคิดที่ไม่ สามารถถูกลบล้างได้ตลอดไป ภายหลังจอห์น ล็อค ก็นาแนวคิดของกาลิเลโอเรื่องคุณสมบัติ 2 ชั้น ของสสารมาพัฒนาจนเปน็ ทปี่ ระจักษ์เด่นชัด 25 ทรรศนะหลักของสัจนยิ มแบบธรรมดา 1. สิ่งภายนอก (วัตถหุ รอื สสาร) มีลักษณะและคุณภาพอย่างไรก็ปรากฏแก่ผู้รับรู้อย่าง นั้นไม่มีการบิดเบอื นปรุงแต่งสภาพเดมิ ของตน เป็นไปตามสภาพธรรมชาติของตน 2. สิ่งภายนอกมีอยู่แท้จริงแบบวัตถุวิสัย (Objective Reality) ไม่ขึ้นอยู่กับการ รบั รขู้ องจิต ความรู้ไมไ่ ด้มีอิทธพิ ลตอ่ วัตถุภายนอกโดยการลดทอนสถานภาพเป็นเพียงแค่ความคิดใน จติ 3. วัตถแุ ละคุณภาพของวัตถุทุกชนิด ทั้งคุณสมบัติเดิมและคุณสมบัติอาศัย (โปรด ดูทรรศนะของล็อคที่ผ่านมา) สามารถแยกออกจากกันได้ และคุณสมบัติของวัตถุมีอยู่อย่างเป็น อสิ ระจากสสารได้ เป็นส่ิงท่มี อี ยู่เองโดยปราศจากการรับรู้และกระบวนการของการรบั รู้ 24 A.J.Ayer, Problems of Knowledge, p.79. 25 W.L.Reese, Ibid., p. 186. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

123 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4. เป็นสิ่งที่เรารับรู้ได้ทางประสาทสัมผัสโดยตรง และเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างแท้จริง ตามสภาพของมนั อย่างไร เราก็รู้อยา่ งนนั้ 5. ความคิด คือสิ่งแทนวัตถุภายนอกที่มีอยู่พร้อมกับคุณภาพของมันเอง ซึ่ง แตกต่างจากทรรศนะของล็อค เบอร์กเลย์ และคานท์ ที่กล่าวว่า “ความรู้เกิดจากการถ่ายแบบ สาเนาเขา้ สจู้ ติ เราจงึ รูไ้ ด้เฉพาะแบบสาเนาของวตั ถุ ตัวจริงและสภาพจรงิ ของวตั ถเุ ราไมอ่ าจรู้ได้” 6. ความฝนั และอารมณท์ ี่ฝันก็เป็นความจริงอย่างหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่จิตคิดสร้างขึ้นมา โดยไมม่ ีมลู ความจริงใดมารองรับ 2) สัจนยิ มแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Realism) สัจนิยมแบบวิทยาศาสตร์ เป็นลัทธิที่มองลึกและเป็นระบบกว่าสัจนิยมแบบ ชาวบ้านที่กล่าวมาแล้ว โดยที่ล็อค(Locke)เป็นผู้ที่แบ่งคุณสมบัติของสสารออกเป็น 2 ระดับอย่าง ชัดเจน โดยพัฒนาความคิดจากกาลิเลโอ พื้นฐานความแตกต่างแห่งคุณสมบัติของสสารอยู่ที่ว่า ใน กรณีหนึ่งคุณสมบัติของสสารบางอย่าง(คุณสมบัติเดิม)จิตของเราสามารถ่ายแบบคุณสมบัติได้ โดยตรงอย่างที่มันเป็น แต่ในอีกกรณีหนึ่ง คุณสมบัติของสสารบางอย่าง(คุณสมบัติรอง)จิตของเรา สร้างข้นึ มาแทนที่จะถา่ ยแบบเอามา ลอ็ คกล่าวว่า คุณสมบตั ิเดิม คือ สภาวะที่แท้จริงของสสาร เป็น ความจริงแบบวตั ถวุ ิสยั มอี ยูใ่ นวัตถุน้นั สว่ นคณุ สมบตั ริ องหรืออาศัยเป็นสิ่งที่จิตคิดปรุงแต่งขึ้น เป็น แบบจติ วิสยั เปน็ ความคิดของจติ จงึ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตปุ จั จัย ตัวอย่าง วัตถุชนิดเดียวกัน มีขนาดและรูปทรงเท่ากัน แต่ปรากฏแก่บุคคลไม่ เหมือนกัน หากระยะการดูต่างกนั เชน่ วตั ถุทอ่ี ยู่ใกล้ มองเห็นว่ามขี นาดใหญ่กว่า แต่เมื่ออยู่ไกลกลับ จะเห็นวา่ มขี นาดเลก็ กวา่ หรือสีไม่มีสาหรับคนตาบอด และเสียงไมม่ ีสาหรบั คนหหู นวก เปน็ ตน้ การที่ล็อคแบ่งแยกคุณสมบัติของสสารอย่างที่กล่าวแล้ว โดยอาศัยฐานแบบ วทิ ยาศาสตร์ รวมท้ังวจิ ารณใ์ นธรรมชาติแห่งคุณสมบัติของสสาร เราจึงเรียกทรรศนะแนวนี้ว่า “สัจ นยิ มแบบวิทยาศาสตร์ หรือสัจนิยมเชิงวิจารณ์” แต่ก็มีข้อกล่าวหาว่า การที่ล็อคแบ่งคุณสมบัติของ สสารแบบนี้ เปน็ การแบ่งท่อี าศยั ฐานทางแห่งจิตวทิ ยา มากกว่าทีจ่ ะอาศัยฐานแบบวิทยาศาสตร์ พ้นื ฐานทางวทิ ยาศาสตรเ์ กี่ยวกบั ความแตกต่างระหว่างคุณสมบัติสองประการของ สสาร ท่ีทาให้ สสารเป็นทั้งความจริง และเป็นวัตถุวิสัย เพียงแต่ยอมรับความเป็นนิรันดร์และความ เปน็ สารตั ถะท่สี มั พันธก์ ันของคุณสมบัติทั้ง 2 ประการ สิ่งนี่แหละ ที่ทาให้ทรรศนะสัจนิยมแบบฐาน ของวทิ ยาศาสตรแ์ ท้ๆ แตกต่างจากสจั นยิ มแบบของล็อค (อาศัยฐานทางจิตวทิ ยา) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

124 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ทรรศนะหลกั ของสจั นยิ มแบบวิทยาศาสตร์ 1. เราไมส่ ามารถรู้วตั ถไุ ดโ้ ดยตรง(คณุ สมบัตเิ ดมิ )ตามทมี่ นั เปน็ จริง แต่เรารู้แค่เพียง คุณสมบัติอาศัย นั่นคือ วัตถุที่อยู่ในสภาพที่ยังไม่ได้รับการตกแต่ง(คุณสมบัติเดิม)เราเข้าไม่ถึง เช่น อะตอม หรือไฟฟ้า(Electron)เราไม่รู้จักสภาพที่แท้จริงของมัน นอกจากจะสังเกตผลที่เกิดจาก ปฏิกิรยิ าของมนั หรอื เราไมร่ ้จู ติ ใจของบคุ คลอ่นื ว่า เขากาลงั มคี ิดหรือรู้สึกอย่างไร นอกจากจะสังเกต และคาดเดาเอาโดยการอนุมานจากกิริยาท่าทางของร่างกายของเขา หรือ สิ่งที่เป็นอดีตผ่านไปแล้ว เราคงไม่รู้เพราะเราไม่เห็น แต่อาศัยความทรงจารื้อฟื้นกลับมา หรืออาศัยหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ทหี่ ลงเหลอื อยู่ 26 2. เราไม่สามารถรู้ธรรมชาติทั้งหมดของวัตถุ คือเรารู้แต่เพียงบางส่วน เช่น นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า สิ่งที่ปรากฏแก่ประสาทสัมผัส เรามองเห็นแต่รูปร่างหรือขนาดที่หยาบๆ ส่วนรายละเอียดหรือขนาดภายในที่เล็กมากๆ เช่น อะตอมหรือโมเลกุล เราไม่สามารถมองเห็นได้ หรือ สี(เป็นพลงั คลืน่ แสง)ที่มนษุ ยส์ ามารถมองเห็นได้ ต้องอย่ใู นชว่ งแถบคลืน่ สแี ดงถงึ แถบคลื่นสีม่วง เท่านั้น คลื่นแสงที่ต่ากว่าแถบคลื่นสีแดง หรือสูงกว่าแถบคลื่นสีม่วง สายตาของเราจะมองไม่เห็น หรอื เสียงท่มี ขี นาดคล่นื ความถี่ต่ามากหรือสูงมาก เราก็รับฟังไม่ได้ แต่สัตว์บางชนิดสามารถรับฟังได้ เช่น ปลาโลมา หรือ ค้างคาวส่งเสียงที่มีความถี่สูงเพื่อใช้ในการนาทาง ในสถานที่ที่สายตาใช้ไม่ได้ เป็นตน้ นน่ั แสดงว่า โลกภายนอกท่ปี รากฏแกป่ ระสาทสมั ผัสของเรา เราไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมด ยังมี ส่วนทห่ี ลงเหลอื จากการรบั รู้ท้ังไม่สามารถรับร้อู กี มากมาย 3. ประเดน็ เกย่ี วกบั ความรู้ สจั นิยมแบบวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ความรู้ คือ การถ่าย แบบของคุณสมบัตขิ องวตั ถเุ ขา้ ส่จู ติ ท่ผี า่ นกระบวนการรบั รู้ คอื (1 )ภาพประทับ (Impression) เป็นการรับรู้วัตถุผ่านระบบประสาท สมั ผสั (ขอ้ มูลผัสสะ) (2) ความคิดหรือมโนภาพ (Ideas) เป็นภาพสาเนาที่ถ่ายแบบจากภาพ ประทบั (3) ความเข้าใจ (Notion) เป็นความสามารถแยกแยะความต่างและความ เหมือนของวัตถุ เปน็ ความคดิ หรือมโนภาพที่ซบั ซ้อนกวา่ (4) ความรู้ (Knowledge) คือการวิเคราะห์และสังเคราะห์ ขั้นตอนที่ 1 ถงึ ขนั้ ตอนที่ 3 รวมกนั เป็นความคดิ รวบยอดทัง้ หมด จงึ กลายเปน็ ความรู้ 26 A.J. Ayer, Ibid., p.76. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

125 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4. แม้ว่าเราไม่สามารถจะรับรู้สิ่งที่ปรากฏได้ทั้งหมด แต่เราก็สามารถหาทางรู้ได้ ในฐานะทส่ี ่งิ นน้ั เปน็ สาเหตุเร้าให้เราเกดิ ความรสู้ ึกได้ เช่น เราไม่ทราบว่าไฟฟ้าเป็นอย่างไร แต่ดูที่ผล ปฏิกริ ยิ าของประกายไฟฟา้ กอ็ นมุ านได้ว่า ไฟฟ้ามอี ยู่ 27 5. เรารู้ได้แต่เพียงสิ่งแทนวัตถุจริงๆภายนอก นั่นคือ ความรู้ของเราอยู่ในระดับ เพยี งเข้าใกล้เคยี งกับความเป็นจริง ดังที่ธาเลสกล่าวว่า “เราไม่อาจเข้าถึงความรู้จริงได้ทางประสาท สัมผสั ” 3) สัจนิยมใหมแ่ ละสัจนิยมแบบใหม่ (Neo Realism & New Realism) ขบวนการสัจนิยมใหม่ เริ่มก่อตัวขึ้นมาเมื่อประมาณต้นคริสตศตวรรษที่ 20(ค.ศ. 1909) เพื่อผ่าตัดและปฏิรูปลัทธิสัจนิยมแบบเดิม มาเป็นสัจนิยมที่ทันสมัย เพื่อตอบปัญหา สัมพนั ธภาพระหว่างความรู้กบั สงิ่ ท่ีถกู รขู้ องนักจิตนยิ มสุดโตง่ ชาวองั กฤษและอเมริกา มีนักปรัชญาท่ี เข้าร่วมขบวนการทั้งโดยตรงและโดยอ้อมหลายท่าน นักปรัชญาชาวอังกฤษ เช่น จี .อี.มัวร์ (G.E.Moore)ที่แต่งหนังสือข้อโต้แย้งจิตนิยมที่กล่าว่า “ผัสสะก็มีส่วนในการเข้าถึงความเป็นจริง เหมอื นกนั มาตรการตัดสินความจริง ควรเกดิ จากการประนีประนอมความรู้จากทุกทางของมนุษย์” เบอร์ทรันด์ รัสเซล(Bertrand Russell) ไวท์เฮด(White Head) อาเล็กซันเดอร์ (Alexander) และ ฮาร์ตมันน์ (Hartmann) และนักปรัชญาชาวอเมริกัน คือ วิลเลียม เจมส์(William James)กลุ่มน้ี เรยี กวา่ “สัจนิยมใหม(่ Neo Realism)แบบอังกฤษ” นอกจากนี้ มีนักปรัชญา 6 ท่าน ที่รวมตัวกันเผยแพร่ความคิด ประกอบด้วย อาร์.บี. เปอร์รี่ (R.B.Perry) ศิษย์คนสนิทของวิลเลียม เจมส์ อี.จี.โฮล์ท (E.B.Holt) ดับเบิลยู.พี.มอนทากู (W.P.Montague) ดับเบิลยู.บี.พทิ กิน (W.B.Pitkin) อี.จี.สเปาลดิง(E.G. Spaulding) และ ที.ดับเบิล ยู. มาร์วิน (T.W.Marvin) กลุ่มนี้เรียกว่า “สัจนิยมแบบใหม่ (New Realism) หรือสัจนิยมแบบ อเมริกัน” ลัทธิสัจนิยมแบบใหม่ ได้เผยแพร่ผลงานทางความคิดออกวารสารทางปรัชญา (Journal of Philosophy) ในเล่มที่มีชื่อว่า “สัจนิยมใหม่ (The New Realism)” มีทรรศนะว่า ลทั ธิสัจนิยมใหม่ของอังกฤษยงั ไม่อาจลบล้างลัทธิเฮเกลใหม่ได้หมด จึงพัฒนาความคิดต่อไปอีก โดย ยืนยันว่า “การประนีประนอมระหว่างผัสสะกับเหตุผลเท่านั้น ที่จะเป็นมาตรการความจริง ความ เป็นจริงจึงมีแต่สสารและพลังของสสาร จิตก็คือพฤติกรรมของสิ่งที่มีชีวิต ชีวิตคือพลังระดับสูงของ สสาร” 28 27 Ibid., p.80. 28 กีรติ บุญเจอื , สารานกุ รมปรชั ญา, หน้า 254. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

126 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา สัจนยิ มทั้ง 2 แบบมีทรรศนะท่ีต่างก็เอื้อต่อกัน จึงขอเรียกรวมๆว่า “สัจนิยมใหม่” นักสัจนิยมใหม่ถกเถียงกันในเรื่องความเป็นอิสระและความสัมพันธ์ภายนอกกับวัตถุ (อารมณ์)แห่ง ความรู้ ขัดแย้งกบั นกั จติ นยิ มที่ได้ลดทอนสถานภาพของวัตถุ(สิ่งที่ถูกรู้)ลงไปเป็นเพียงแค่ความคิดว่า “การรบั รู้ท้ังหมดเปน็ กระบวนการของจติ ” นอกจากน้ี สัจนยิ มใหมป่ ระสงค์ทจ่ี ะโตแ้ ย้งในเรือ่ งความสมั พันธ์ระหว่างวัตถุที่ถูกรู้ กับกิจกรรมที่ทาหน้าที่รู้สึก ด้วยประสงค์จะหลีกเลี่ยงลัทธิวัตถุนิยมแบบสุดโต่ง(Extreme Materialism) และลัทธิจิตนิยมแบบสุดโต่ง(Absolute Idealism)ด้วย จึงย้าว่า “สสารและ ความคดิ เปน็ สงิ่ ทีม่ ีความจริงแท้เท่ากัน” จึงแสวงหาและพัฒนาทางเลือกที่เป็นแบบกลางๆ อย่างที่ เขาเรียกวา่ “ทฤษฎสี ื่อกลาง(Neutral Monism)” โดยให้สื่อกลางนี้ทาหน้าที่เชื่อมกลางระหว่างสิ่ง ที่เป็นวัตถุ(สสาร)กับสิ่งที่เป็นจิตใจ 29 เพื่อแก้ปัญหาความเป็นทวินิยมระหว่างสสารกับจิต รวมทั้ง ต้องการแก้ปัญหาความรู้ที่เกิดจากการถ่ายแบบวัตถุเข้าสู่จิตตามที่ล็อคกล่าวเอาไว้ สัจนิยมใหม่ กลา่ ววา่ “เราสามารถเขา้ ถงึ วัตถุได้โดยตรง เพราะวัตถุแสดงตนแก่จิตได้ตรงผ่านสื่อกลาง(Neutral Monism)” เปน็ การแก้ปัญหาทวนิ ยิ มระหวา่ งความรู้ กบั ส่ิงทถี่ ูกรู้อีกดว้ ย ทฤษฎคี วามร้ขู องสัจนยิ มใหม่ ทฤษฎีความรูข้ องสจั นยิ มใหม่ แบง่ ออกตามหลักทฤษฎสี าคญั 2 ทฤษฎี 30 คอื 1. ทฤษฎีความมีอยู่ทุกแห่ง (Theory of Immanence) กล่าวว่า เราไม่ควรแยกกาย กับจิตให้เป็นสิ่งที่แยกกันต่างหากและไม่อาศัยกันและกัน เพราะทั้งสองอย่างมีความสัมพันธ์กันท่ี ความร้ใู นฐานะเป็นขอ้ เทจ็ จรงิ จะเข้าไปถึงได้ ความรู้เป็นข้อเทจ็ จริงอนั สาคญั แห่งความสัมพันธ์ที่การ วิเคราะห์จะรวมจิตและอารมณ์ของจิตไว้ในฐานะที่เป็นองค์ประกอบสาคัญ 2 อย่างอันมีอยู่ทุกแห่ง แนวคิดแบบนี้ทจี่ ะชว่ ยใหส้ จั นิยมใหมห่ ลดุ พ้นจากทวนิ ยิ ม 2 อย่างตามแบบเดิม คือ ทวินิยมระหว่าง กายกบั ใจ และทวนิ ิยมระหวา่ งความรู้กบั สิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งไม่ใช่เป็นทวินิยมระหว่างกายกับจิตเท่านั้น ยัง เป็นทวินิยมระหว่างสิง่ ท่ีถกู ร้กู บั ความเปน็ ภาวะเหนอื ตนของความรู้ทส่ี ามารถรสู้ ิ่งอื่นที่ตนไม่สามารถ รับรู้ทางประสาทสมั ผัสขณะน้นั ได้ 2. ทฤษฎีความเป็นอิสระ (Thoery of Independence) กล่าวว่า สิ่งภายนอก สามารถ ถูกรับรู้ได้โดยตรง และกิจกรรมที่เราประสบกับวัตถุภายนอกโดยตรง ก็ไม่มีผลกระทบใดๆต่อวัตถุ เนอื่ งจากการมปี ระสบการณก์ ับวัตถุน้นั จติ นิยมเชิงวัตถุวิสัย(Objective Idealism) ทาให้ความเป็น 29 W.L.Reese, Ibid., p.388. 30 H.M.Battacaryya. Ibid., p.99. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

127 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา จริงของวตั ถเุ ป็นอิสระจากความรู้อันจากัด เพราะสง่ิ ที่ถูกรู้ลดทอนเป็นเพียงมโนภาพ(นามธรรม) แต่ ความเปน็ จรงิ ของวัตถไุ ม่เคยเขา้ ไปถึงความสมั พนั ธโ์ ดยตรงกบั มโนภาพเลย ดังนั้น ประสบการณ์ควร จะเป็นอิสระจากกระบวนการทางความรู้ที่ผ่านสื่อกลาง เป็นความสัมพันธ์ชนิดพิเศษ ที่ต้องมี สถานะภาพอยูภ่ ายนอกตา่ งหากจริงๆเหมือนวตั ถมุ ีอยู่อสิ ระจากจิต ไมใ่ ชเ่ ปน็ สิ่งท่ีเป็นอัตวิสัยหรืออยู่ ภายในจิต ซึง่ กาหนดโดยความรฉู้ บั พลันหรอื ประสบการณน์ นั่ เอง ดังนั้น ประสบการณ์จึงเป็นหน้าท่ี อิสระของจิต ซงึ่ โดยตวั มันเองสามารถตัดสินใจ และไม่ขึ้นกับจิตด้วย แนวคิดนี้ที่ช่วยให้สัจนิยมใหม่ สร้างความเป็นอิสระแห่งประสบการณ์ โดยการขุดโพรงถ้าลัทธิกึ่งสัจนิยม (Half Realism) 2 แบบ คือ แบบที่ 1 อา้ งถงึ ความเป็นอสิ ระเชิงสัมพทั ธข์ องความรู้ท่จี ากดั อยา่ งที่เราพบ ในจิต นยิ มแบบวตั ถุวิสัย และแบบสัมบูรณ์ แบบที่ 2 อ้างถึงความเป็นอิสระของความรู้ที่ผ่านสื่อกลาง อย่างที่เราพบใน บางส่วนของกลุ่มปฏิบัตนิ ิยม (Pragmatists) ทรรศนะหลักของสัจนิยมใหม่ 1. สสารมอี ยตู่ า่ งหากอสิ ระจากจติ (ความคิด) การมอี ยู่ของสสารไม่มีความสัมพันธ์ แบบขึ้นตรงต่อจิต ตัวอย่าง วัตถุและคุณสมบัติย่อมมีความจริงอยู่ในตัวของมันเอง เช่น คุณสมบัติ ของเกลือคือความเค็มซึ่งมีอยู่ในเกลือ คุณสมบัติของน้าตาลคือความหวาน ของพริกคือความเผ็ด ร้อน การท่ีจิตนิยมกลา่ วว่า เรารูส้ ึกวา่ เกลอื เคม็ นา้ ตาลหวาน หรือ พริกเผ็ด เพราะเราคิดถึงมันเอง เป็นความคิดที่ผิด สัจนิยมแย้งว่า คนเราจะคิดหรือไม่คิด จะสัมผัสหรือไม่สัมผัสก็ตาม เกลือก็คงมี ความเคม็ นา้ ตาลกค็ งมีความหวาน และพริกกค็ งมคี วามเผ็ดร้อนอยใู่ นตวั เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว 2. เรารู้สสารได้โดยตรง ไมต่ ้องมขี ้อมูลผสั สะ (Sense-Data) เปน็ ตวั แทรกกลาง 3. ไมม่ ีทวินิยมระหวา่ ง สสาร และความคดิ (จิต) ไม่มีทวินิยมระหว่างความรู้กับสิ่ง ที่ถูกรู้ เพราะมีสิ่งที่เป็นกลาง (Neutral Monism) ทาหน้าที่แปรตัวเอง เป็นอิสระจากจิต มีจริงอยู่ ภายนอกจากจติ ทที่ าหน้าที่รับรู้ นัน่ คือ 3.1 ส่งิ ทเ่ี ป็นกลาง เมอ่ื สัมพันธก์ บั กาล อวกาศ จะมสี ภาพเปน็ “สสาร” 3.2 สงิ่ ท่ีเป็นกลาง เมือ่ สมั พนั ธก์ บั ระบบประสาท จะมีสภาพเป็น “จิต” 4. ความฝันกเ็ ป็นความจรงิ เชิงวัตถุวิสยั พอๆกับสง่ิ ภายนอกท่ีปรากฏ 5. ส่งิ ทีเ่ รารคู้ อื ความเปน็ สากล (ทุกส่วน) ของวตั ถุ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

128 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4) สจั นยิ มเชิงวิจารณ์ (Critical Realism) สัจนิยมเชิงวิจารณ์เกิดมาเพราะความไม่พอใจและไม่ยอมรับข้อสรุปของสัจนิยม แบบใหม่ที่กล่าวว่า “สิ่งต่างๆยังคงมีอยู่โดยไม่ถูกกระทบให้เสียหาย(ถูกลดทอนสถานภาพ)โดย ความรูซ้ งึ่ โดยปรกติเกิดฉับพลันทันที ตรงถึงสิ่งต่างๆและความรู้ทั้งหมดก็เป็นจริง” จึงเสนอแนวคิด มาคา้ นว่า “ความรขู้ องเรายงั ไม่ใช่ความรู้โดยตรงจริงๆ เพราะเราไม่สามารถรู้เลยเหนือไปกว่าข้อมูล ผสั สะไปถงึ สิง่ ตา่ งๆได้ นอกเสยี จากการอนุมานเอาจากผลที่ปรากฏ” และสัจนิยมเชิงวิจารณ์ชี้แจงว่า “ถ้าความร้ทู ัง้ หมดเข้าถงึ ส่ิงต่างๆไดโ้ ดยตรงแล้ว ก็คงจะไม่มีข้อกาหนดความแตกต่างระหว่างความรู้ ไม่จรงิ กับความร้จู รงิ คงไม่มีใครอาจจะปฏิเสธ ภาพลวงตา ความคิดบิดเบือนผิดจากความจริง และ ความแตกตา่ งในระดบั ทล่ี ะเอยี ดขึ้นไปของความรู้ได้” อีกประการหนึ่ง นักปรัชญาชาวอเมริกันกลุ่มนี้ มองเห็นข้อพกพร่องของสัจนิยม แบบใหม่ ท่โี ตแ้ ยง้ ลทั ธเิ ฮเกลใหมอ่ ย่างไมล่ มื หลู ืมตา จนลมื วิจารณ์ทรรศนะของตนเอง ดังนั้น นักปรัชญากลุ่มใหม่นี้จึงปรับปรุงทรรศนะเชิงสัจนิยมเสียใหม่ เพิ่มการ วิจารณ์ตนเองเข้ามา โดยถือว่า “ประสาทสัมผัสไม่ได้เข้าถึงความเป็นจริงโดยตรง แต่เข้าถึงโดยผ่าน สอ่ื กลางและสือ่ กลางจะเป็นแบบใดนั้น นักปรัชญาแต่ละคนก็มีความคิดเห็นแตกต่างกันไป” เพราะ สัจนยิ มกลมุ่ นี้ ต้องการตอกย้าข้อเทจ็ จรงิ ของความรสู้ ึกทางจิตแบบนี้ จึงเรียกตัวเองว่า “สัจนิยมเชิง วิจารณ์(Critical Realism)” ประกอบดว้ ยนักปรชั ญาชาวอเมรกิ ัน 7 ท่าน คือ ดี.เดรก(D.Drake) เอ. โอ.เลิฟจอย (A.O.Lovejoy) เจ.บี.แปร็ตต์ (J.B.Pratt) เอ.เค.โรเยอร์ส (A.K.Royers) จี.ซันตายานา (G.Santayana) และ อาร์.ดบั เบลิ ยู.เซ็ลลาร์ส (R.W.Sellars) และ ซ.ี เอ.สตรอ็ ง (C.A.Strong) 31 ทรรศนะหลักของสจั นยิ มเชงิ วิจารณ์ 1. วัตถุภายนอกมีอยู่จริง แต่ในการรับรู้ของเรา วัตถุไม่ได้พุ่งเข้าตรงถึงจิตของเรา น่นั คอื สิง่ ภายนอกมอี ยเู่ พราะความเชือ่ (Belief) ผ่านการอนมุ าน (Inference) มากกว่าความรู้ 2. เรารู้วัตถผุ า่ นตัวกลางขององค์ประกอบบางอยา่ ง ทีเ่ ปน็ อัตวิสยั บางสว่ นและเป็น วตั ถวุ ิสัยบางส่วน เชน่ สีและเสียง(คุณสมบัติอาศัยของวัตถุ) มลี กั ษณะเป็นจิตส่วนหนึ่งและเป็นวัตถุ ส่วนหนึ่ง ที่ทาให้ข้อมูลผัสสะเข้าไปอยู่ในวัตถุจริงๆของการรับรู้ เราจึงไม่สามารถเข้าใจวัตถุได้ โดยตรงอย่างที่มันเป็นอยู่ (คล้ายกับการนาเอาทฤษฎีตัวแทนของล็อค (Representative Theory) มาอธิบายในรูปแบบใหม)่ ตวั สือ่ กลางจะเปน็ ตวั ทีท่ าให้เกิดประสบการณ์ในการรับรู้ น่ันคือ 2.1 จิต ทาหน้าทเ่ี ป็นอนิ ทรยี ์ (หน้าท่ีหลกั )ในการรับรู้ 31 กีรติ บญุ เจือ, เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า 254. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

129 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2.2 วัตถภุ ายนอก มคี ุณภาพขนั้ ปฐมภูมทิ ่ีจะถา่ ยทอดเข้าส่จู ิต 2.3 ตวั ส่ือกลาง ทาหน้าท่ีสมั พนั ธ์ระหว่างจิตกับวัตถุ 3. ส่ือกลางนี้ มธี รรมชาติท่ีบางส่วนเป็นผรู้ แู้ ละบางสว่ นเปน็ สิ่งทถ่ี กู รู้ เข้าแทรก ระหว่างกลางความรู้และอารมณ์ที่ถูกรู้ ซึ่งสัจนิยมเชิงวิจารณ์เรียกว่า “สิ่งที่มีความสับซ้อนใน คุณลักษณะหรือเป็นแก่นแท้” เพราะสื่อกลางนี้แหละที่จะช่วยให้เราสามารถแยกความเท็จและ ความจริงของความรู้ แยกระหว่างความจริงและความผิดพลาด รวมทั้งสามารถแยกระดับชั้น รายละเอยี ดแห่งความร้ไู ด้ (เท่ากับว่า สิ่งที่รู้ผ่านการปรุงจากจิตมาบางส่วน ซึ่งแตกต่างจากสัจนิยม ใหม่ที่วา่ ไม่ตอ้ งปรงุ แตง่ ใดๆ) 32 4. ความฝันไม่มีจรงิ เปน็ เรือ่ งท่เี ราจนิ ตนาการแค่ความคิด 5. เรารู้วัตถุได้เฉพาะสิ่ง เป็นเพราะขีดจากัดของความรู้ วัตถุชนิดเดียวกัน มี คุณสมบัติอย่างเดียวกัน แต่คนกลับรู้ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับถูมิหลังและประสบการณ์ของแต่ละ คนเปน็ สาคญั 4.2.3 กลุม่ สมั พัทธนยิ ม (Relativism) : สิ่งภายนอกมคี วามสัมพันธ์กับผรู้ ู้อย่างปจั จัย สัมพนั ธ์ 4.2.3.1 ความคิดหลัก ลัทธิสัมพัทธนิยมมีหลักความคิดว่า “ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ถือได้ว่าเป็นแบบสูงสุด เป็นส่ิงตายตวั แนน่ อน” 33 เพราะทกุ สิ่งท่เี รารับรู้หรอื กาหนดขึน้ อยกู่ บั ปัจจัยสมั พันธ์หรือเงื่อนไขและ ตัวแปรอืน่ ๆ เข้ามาประกอบ กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ในสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เกิดขึ้นมาจากการ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่าจิต (Subject) กับวัตถุ (Object) มาปะทะกัน เมื่อจิตและวัตถุมากระทบ (สัมพันธ์) กนั ความรใู้ นส่งิ นั้น ๆ ย่อมเกิดมขี ้ึนมาได้ 4.2.3.2 ขอ้ เสนอ 2 ประเดน็ ขอ้ ท่คี วรพจิ ารณาความคดิ ของลัทธิสมั พัทธนยิ มเพ่ิมเตมิ 2 ประเด็น คอื 1) ในขอ้ เสนอทางญาณวทิ ยา นักปรัชญาในกลุ่มนี้มีความคิดเห็นว่า “ความจริงทุกชนิดเป็นเรื่องสัมพัทธ์ (relative)” ไม่มีการบัญญัติเอาไว้ตายตัวแน่นอน ดังที่พบได้ในปรัชญาของโปรทากอรัส 32 H.M.Bhattacaryya, Ibid., p.99. 33 W.L.Reese, Ibid., p. 487. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

130 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา (Protagoras) นักปรัชญากรีกโบราณ มีชีวิตในช่วงปี 490-410 ก่อนคริสตศักราช, ปรัชญาของไพร โรห์ (Pyrrho) นักปรัชญากรีกโบราณมีชีวิตในช่วงปี 360-270 ก่อนคริสตศักราช และสานุศิษย์ของ เขา บางคร้งั เรากพ็ บในปรัชญาของกลุ่มวิมัตนิ ยิ มด้วย (1) โปรทากอรสั (Protagoras) นกั ปรัชญากรีกโบราณ มีชีวติ ในช่วง 490- 410 ก่อนคริสตศักราช เกิดที่แอบเดรา (Abdera) ตามแหล่งข้อมูลบางที่กล่าวว่า เขาเป็นศิษย์ของ เดโมคริตุส นักโซฟิสต์คนสาคัญ เป็นเพื่อนของพีริเคล็ส (Pericles) และยูริพิเด็ส (Euripides) ยก ยอ่ งนับถอื โสคราตีสและเพลโตมาก แตใ่ นบนั้ ปลายชวี ติ ถูกชาวเอเธนส์เนรเทศ เพราะเป็นพวกไม่นับ ถือเทพเจ้า โปรทากอรสั (Protagoras) นกั ปรชั ญากรกี โบราณ http://www.thefamouspeople.com/profiles/protagoras-5075.php โปรทากอรสั เป็นผู้กล่าวคาว่า “มนุษย์เป็นเครื่องวัดสรรพสิ่ง”(Man is the measure of all things; of things that are that they are; of things that are not they are not.) เพลโตและอริสโตเติล คน้ พบสมั พัทธภาพอย่างสมบรู ณ์ในความรขู้ องโปรทากอรสั ที่ว่า อะไรก็ตามที่ เรารบั รู้กเ็ ป็นเชน่ น้ัน แม้แต่ในการรับรู้ของปัจเจกบุคคลก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนเสมอไป เขากล่าวว่า วัตถุอยู่ในสภาพท่เี ปลี่ยนแปลง พูดถึงเรื่องจริยธรรมที่เป็นความดี เป็นเรื่องเฉพาะเวลาที่ค่านิยมเรา ยึดถอื ในชว่ งหนงึ่ ๆ ของสงั คมหนึ่ง ๆ ถ้าเวลาเปลี่ยนไป ความคิดเห็นที่เคยถือว่าดีก็อาจเปลี่ยนเป็น อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

131 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ไมด่ ตี ามไปด้วย เก่ียวกบั พระเจา้ เขากล่าวว่า “เราไม่มีทางรูว้ ่าพระเจา้ มอี ยูจ่ ริงหรอื ไมไ่ ด้มีอยู่จริง ทั้ง ไมอ่ าจรูว้ ่า ถ้าสมมตวิ ่าพระเจ้ามจี ริง พระเจ้าจะมรี ปู รา่ งเปน็ เชน่ ไร” 34 (2) ไพรโรห์ (Pyrrho) นักปรัชญากรีกโบราณมีชีวิตในช่วง 360-270 ก่อ นครสิ ตศักราช ถอื วา่ เป็นนักปรัชญาต้นแบบวิมัตินิยม เขากล่าวว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ธรรมชาติ ของสงิ่ ใดๆ ข้อความทุกอย่างอาจจะถกู ลบล้างคดั ค้านด้วยขอ้ ความที่ขัดแย้ง อาจจะไม่มีน้าหนักมาก เท่าอย่างอื่นก็ได้ เพราะไม่มีเกณฑ์ตัดสินที่แน่นอนเหมือนเส้นบรรทัด เมื่อประสบสิ่งที่จะเราต้อง วินิจฉัย เราควรจะยกการตัดสินเอาไว้ก่อน ตราบใดที่เรายังมีความสงสัย หรือยังไม่รู้ เราก็ควรที่จะ นง่ิ เงยี บเอาไวโ้ ดยไม่ตอ้ งออกความเหน็ ใดๆในเรื่องสง่ิ ตา่ งๆ” 35 ไพรโรห์ (Pyrrho) นักปรชั ญากรกี โบราณ http://simplyknowledge.com/?page_id=359 2) ในขอ้ เสนอทางจริยศาสตร์ ลัทธิสัมพัทธนิยมถือว่า “ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการตัดสินทางจริยธรรม ขึ้นอยู่ กับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัจเจกบุคคล สังคมและกาละและเทศะที่แตกต่างกันตาม สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขตัวแปร” ถ้าพฤติกรรมที่กระทาลงไปเกี่ยวเนื่องด้วยค่านิยม ความ เหมาะสมและคนในสมยั น้นั ๆ รบั ได้ กถ็ อื ว่าเป็นสงิ่ ทด่ี ีแล้ว ในทานองเดียวกัน พฤติกรรมเช่นเดิม แต่ ต่างกาลและสถานที่ อาจะถูกสังคมตาหนิว่าเป็นสิ่งที่เลวได้ แสดงว่า การตัดสินให้ถือเอาความ สอดคลอ้ งทางคา่ นิยมเฉพาะกาล ไม่มกี ฎเกณฑต์ ายตวั 34 Ibid., p. 464. 35 Ibid., p. 469. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

132 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4.2.3.3 สรุปและวจิ ารณ์ สรปุ ความว่า สิ่งทถ่ี ูกร้ตู ามทรรศนะของกล่มุ สัมพทั ธนยิ ม จะไม่มีความแน่นอนคงที่ หยดุ นิ่ง ตายตัว แต่จะแปรไปตามเงื่อนไขปัจจัยและสภาพแวดล้อม ขึ้นอยู่กับผู้รับรู้และสิ่งที่ถูกรับรู้ บางครั้งบางสมัย สิ่งที่ถูกรับรู้จะถือว่าเป็นความจริงและแท้ในขณะนั้น ช่วงเวลานั้นเท่านั้น แต่ อาจจะแปรเป็นอ่นื ในอกี ชว่ งเวลาหนึง่ สมัยหนงึ่ ที่ตามมา กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่ถูกรับรู้ มีความจริงที่สามารถปรากฏหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ ละแบบก็เป็นสงิ่ บอกความจริงในสว่ นย่อยของทง้ั หมด ของสง่ิ เดยี วกนั ยอ่ มปรากฏว่าแตกต่างแก่ผู้รับ รู้ทร่ี ะบบประสาทรบั รูม้ ปี ระสิทธภิ าพย่งิ หรือหย่อนกวา่ กันมากนอ้ ยเพยี งใด หรือระยะของการดู แสง สว่างรวมทง้ั ปัจจยั อนื่ ๆ เปน็ ตวั แปรสาคัญ ดงั น้นั ส่ิงทเี่ รารู้ได้ จึงไมม่ คี วามชดั เจนในสถานการณต์ า่ ง ๆ กัน 4.3 คาถามทา้ ยบท 4.3.1 จงอธิบายถึงแนวคิดเกี่ยวกับการรับรู้ความจริงตามทัศนของกลุ่มจิตนิยม (Idealism) 4.3.2 จงอธบิ ายถงึ แนวคิดเกยี่ วกบั การรบั รูค้ วามจรงิ ของกลุม่ สัจนิยม (Realism) 4.3.3 จงอธบิ ายถงึ แนวคดิ เก่ยี วกับการรบั ร้คู วามจริงกลุ่มสมั พัทธนยิ ม (Relativism) 4.3.4 จงอภปิ รายถงึ ขอ้ วิจารณ์การรับรู้ความจริงต่อกลมุ่ จติ นยิ ม (Idealism) 4.3.5 จงอภิปรายถงึ ข้อวจิ ารณก์ ารรับร้คู วามจริงต่อกลุม่ สัจนิยม (Realism) 4.3.6 จงอภปิ รายถงึ ขอ้ วจิ ารณ์การรับรู้ความจรงิ ต่อกล่มุ สมั พทั ธนิยม (Relativism) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

บทท่ี 5 วิธสี รา้ งความรู้ (The Methods in Cultivating Knowledge) ---------------- 5.1 ความนา นกั ปรชั ญาแตล่ ะสานกั ต่างก็ได้ชี้แจงลักษณะและแหล่งกาเนิดของความรู้เอาไว้หลาย ทฤษฎี ซึ่งแต่ละทฤษฎีก็ได้ยืนยันความคิดเห็นของตนว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ทฤษฎีของคนอื่น บกพรอ่ ง เม่ือเราไดท้ ราบแหลง่ กาเนิดของความรู้ซง่ึ เป็นดุจโรงงาน หรือเป็นเครื่องจักรที่ผลิตความรู้ แล้ว สิ่งท่ีต้องทาความเขา้ ใจก็คอื เครอ่ื งจกั รนจ้ี ะสร้างความรู้ที่เป็นผลผลิตออกมาโดยอาการอย่างไร ?และด้วยวธิ อี ยา่ งไร ? จาเป็นต้องพิจารณาความคดิ ของนกั ปรัชญาตา่ ง ๆ ในประเด็นต่อไปน้ี 5.2 กรรมวิธใี นการสร้างความรู้ ความรู้เป็นผลิตผลของความคิดรวบยอด (Concept) และความเข้าใจที่ถูกต้อง (Correct Understanding) เกยี่ วกบั สิง่ ต่าง ๆ ไม่ว่าจะโดยผ่านประสบการณ์หรือใช้เหตุผลก็ตาม องค์ความรู้ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างขึ้นมา และสามารถถ่ายทอดแก่บุคคลอื่นให้รู้ตามได้ด้วย ถ้าใช้วิธีการสร้างท่ี ถกู ต้อง ความรู้ทไ่ี ด้มาใหม่ ยอ่ มสอดคล้องและตรงกนั กบั ความรู้เดมิ ทผี่ า่ นการพสิ ูจนข์ องผู้ที่ถ่ายทอด ความรูม้ าแลว้ นักปรชั ญาและนักวทิ ยาศาสตร์ ต่างมีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า วิธีการสร้างองค์ ความรู้ใหม่ มี 4 วิธี คอื 5.2.1 วธิ ยี ดึ หลกั ลัทธิทมี่ ีอยเู่ ดมิ (Dogmatic Method) 5.2.2 วิธีต้งั ขอ้ สงสยั เอาไว้ก่อนแล้วคอ่ ยแสวงหาความรู้ (Skeptical Method) 5.2.3 วธิ วี ิจารณ์ (Critical Method) 5.2.4 วธิ ีวิภาษ หรือ ปฏพิ ฒั นาการ (Dialectic Method) บางคนอาจเหน็ แย้งวา่ ยงั มีวิธแี บบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) อีกอย่างหนึ่งที่ เป็นกระบวนการสร้างความรู้ต่างหากจากวิธีแบบปรัชญา (Philosophical Method) แต่ถ้า พิจารณากระบวนการทั้งหมด จะเห็นว่า วิธีแบบวิทยาศาสตร์ ก็รวมอยู่ในวิธีที่ 2 ที่เริ่มจากความ สงสยั สังเกต ทดลอง พิสูจน์จนเกิดความรู้ใหม่ จึงไม่ต้องการที่จะแยกกล่าวเป็นอีกวิธีหนึ่งต่างหาก ต่อไปน้ี เป็นรายละเอียดของวธิ สี ร้างองคค์ วามรู้ ซ่ึงจะได้นาเสนอตามลาดับ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

134 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 5.2.1 วธิ ียดึ หลักลัทธิทม่ี อี ยู่เดิม (Dogmatic Method) การสร้างความรูใ้ หมโ่ ดยวิธนี ้ีเปน็ วธิ ีเก่าแกท่ ส่ี ุด เป็นการยึดถือกันตามประเพณี เคยถูก สอนมาอย่างไร หลักฐานหรอื ทฤษฎเี ดมิ วางเอาไวอ้ ย่างไร ก็ถ่ายทอด และอธิบายตาม ๆ กันไปอย่าง นั้น 1 เพราะการยึดถือแบบอย่างมั่นคงนี่เองจนถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มแบกคัมภีร์ยึดตารา (Dogmatic) กลุ่มนี้ไม่สร้างค่านิยมในการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ต้องการพิจารณาใคร่ครวญ หรือ การ ตัดสินใจเพื่อเลือกทางใหม่ ทั้งไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ด้วยเกรงว่า การเปลี่ยนแปลงจะ ชกั นาความหายนะมาสูข่ องเดิมที่ถอื วา่ ดีอยู่แล้ว เป็นวิธีแบบหัวอนุรักษ์นิยม (Conservative Mind) จึงถอื วา่ ไมไ่ ดส้ ร้างความรู้อะไรใหม่ ๆ แกว่ งการปรัชญา วิธียึดหลักลัทธิทีม่ ีอย่เู ดิมนี้ เปน็ เพียงการอธิบายทฤษฎีเดิมที่มีคนตั้งเอาไว้แล้ว ไม่ต้อง มาตคี วามอะไรมากไปกว่าสิ่งทบี่ อกกล่าวอยู่ในตาราหลัก วิธีการเชน่ น้ีปรากฏชัดท่ีสุดในการถ่ายทอด ความรทู้ างศาสนา หากจะมีผู้ใดมากล่าวให้ผิดไปจากคัมภีร์ จะถูกจัดการอย่างรุนแรง ดังในยุคหนึ่ง เมื่อ ค.ศ. 529 2 คาสั่งจากองค์กรศาสนาคริสต์ โดยแอบแฝงอานาจจักรพรรดิจัสตินุส ให้ปิดสานัก ปรัชญาที่ไม่เห็นด้วยและท้าทายคาสอนทางศาสนาคริสต์ เพราะคาสั่งไม่ให้คิดนอกกรอบคัมภีร์นี้ เป็นเหตุให้ความคิดความอ่านทางปรัชญาถูกปิดตายลงเป็นเวลาร่วม 1,200 ปี จากหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ พบว่านักคิดท่ีเสนอความเห็นต่างจากศาสนา มักจะถูกศาลพระสั่งประหารชีวิต หรือ ห้ามเผยแพร่ความคิด เช่น การให้โสคราตีสดื่มยาพิษ3 หรือ กรณีของกาลิเลโอที่บอกว่าโลกกลม ต้องถูกสั่งให้ถอนคาพูดนั่นเสีย ทั้งห้ามสั่งสอนทฤษฎีดังกล่าวตลอดชีวิตด้วย แต่บางศาสนา (พระพุทธศาสนา) ไดพ้ ฒั นากระบวนการสร้างความรู้แบบวิธีวิจารณ์ด้วยเหตุด้วยผล ระยะหลังจึงได้ เกิดสานกั พุทธปรัชญาขนึ้ มาหลายสานัก (ดูธรรมเนียมการวิจารณใ์ นพระพุทธศาสนา บทท่ี 3) ในทางปรัชญา เราก็พบวิธีการถ่ายทอดความรู้แบบยึดลัทธิเก่าด้วย เช่น สานักไพธา กอรัส สานักปรัชญาสมัยกลาง และแม้แต่สานักปรัชญาสมัยใหม่ ผู้ใดเป็นต้นความคิด ตั้งทฤษฎี ขึ้นมา (เช่น เหตุผลนิยม หรือ ประจักษนิยม เป็นต้น) ก็มีผู้ที่เห็นด้วยและยึดเอาเป็นแบบ ช่วย อธบิ ายเสริมแตง่ ทฤษฎเี ดมิ ใหก้ ระจ่างยง่ิ ขึน้ 1 แสง จันทรง์ าม, ศาสนศาสตร,์ หนา้ 142. 2 Frank Thilly, A History of Philosophy, p. 155. 3 พระเมธธี รรมมาภรณ์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต), ปรัชญากรกี โบราณ, (กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทร์พร้ินติง้ กรฟุ๊ , 2532), หน้า 93. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

135 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ดังนั้น วิธีการแบบยึดคัมภีร์เดิมในการสร้างความรู้ใหม่ จึงไม่มีอะไรเป็นสิ่งใหม่ นอกเหนือไปจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว วิธีนี้อาจเป็นประโยชน์บ้าง ในกรณีที่ได้ยืดอายุของแนวคิดหลักยาว ออกไป. 5.2.2 วธิ ีตงั้ ข้อสงสยั เอาไวก้ ่อนแลว้ คอ่ ยแสวงหาความรู้ (Skeptical Method) การตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก่อนแล้วค่อยแสวงหาความรู้เป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสวงหาความรู้ซึ่ง สามารถพิสูจน์ได้ ความสงสัยเป็นบ่อเกิดของความรู้ จุดประกายความอยากรู้ให้แสวงหาคาตอบ มี ประเดน็ ทค่ี วรพจิ ารณาในวธิ ีที่ 2 โดยแบง่ ประเภทความสงสัยออกเปน็ ดงั นี้ 5.2.2.1 ความสงสัยแบบเดสค์ ารต์ ส์ เดส์คารต์ ส์ สร้างความร้ทู ี่เป็นแบบฉบับของเขาโดยวธิ ตี ัง้ ขอ้ สงสัย(Doubt) แต่ความสงสยั ของเดส์คารต์ ส์ ไมใ่ ช่บทสรุปสดุ ท้าย เพ่งิ เป็นเพยี งจดุ เริ่มตน้ ที่เปิดประเด็นทางปรัชญา ความสงสัยแบบเดส์คาร์ตส์ ได้แสดงบทบาทโดดเด่นในวงการปรัชญามาก ก่อนอื่น เราคงต้องหวน ย้อนพิจารณาประวัติศาสตร์แล้วพบว่า การแสวงหาปรัชญาของนักปรัชญาเมธีในยุคก่อนหน้าน้ี ทฤษฎีของแตล่ ะท่านก็ยังไม่ลงตัว เพราะความไม่แน่นอนและความไม่สมเหตุสมผลของความรู้ เมื่อ แสดงทรรศนะออกมา ยังเป็นที่ถกเถียงโต้แย้ง ไม่ได้รับการยอมรับ ทั้งจากนักปรัชญารุ่นเดียวกัน และจากนกั ปรัชญารุ่นหลงั ๆ ตอ่ มาอีก เดส์คาร์ตส์กล่าวว่า “เราไม่อาจเรียนรู้อะไรจากสิ่งที่ได้รับโดยตรงจากบุคคลอื่น และ เราก็ไม่อาจจะยอมรับทุกสิ่งที่ถูกยืนยันว่าเป็นจริงจากบุคคลอื่น ส่วนสาคัญที่สุด เราต้องลงมือ แสวงหาความจริงด้วยตัวเอง เราไม่อาจเป็นนักปรัชญาเพียงเพราะได้อ่านการให้เหตุผลทั้งหมด ของโสคราตีสและอรสิ โตเติลได้เลยถ้าเราไม่อาจสร้างการพินิศจัยอย่างมีเหตุผลในข้อความทุกอย่าง ได้” 4 การรู้ความคิดเห็นของบุคคลอื่น ไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่า ความรู้ทางประวัติศาสตร์ (Historical Knowledge) และไม่อาจทาให้คนเรากลายเป็นนักปรัชญา หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ ดงั นนั้ การเป็นนักปรัชญา ในทรรศนะของเดส์คาร์ตส์ ต้องดึงจิตออกจากระบบเก่า หันเข้ามาสู่การ ทาวปิ สั สนา (Meditation) 1) ลักษณะปรัชญาของเดส์คาร์ตส์ เดส์คารต์ ส์ ตอ้ งการมากที่สุด คอื ความรู้ที่แน่นอน ชัดเจน ไม่อาจจะสงสัยหรือโต้แย้ง ได้ ต้องพิสูจน์ให้เห็นได้ ดุจความลงตัวของสูตรเลขคณิต และเรขาคณิต เพื่อให้ได้ความรู้ที่ชัดเจน แนน่ อนดังกล่าว เดสค์ าร์ตส์ จึงได้สรา้ งระบบความคิดและวิธีการแบบใหม่แก่วิชาปรัชญา ถือว่าเป็น 4 Harold H. Joachim, Descartes's Rules for the Direction of the Mind, Rile III. (London: Goerge Allen & Unwin 1957), p. 25. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

136 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา อาทิตย์อุทัยของการศึกษาปรัชญาอีกครั้ง หลังจากที่ถูกปิดกั้นมานาน นับ 12 ศตวรรษ เพราะเดส์ คารต์ ส์เสนอแนวทางใหมน่ ้เี อง จงึ ไดร้ ับยกย่องว่า เปน็ บิดาปรชั ญาตะวันตกสมัยใหม่ปรัชญาของเดส์ คาร์ตส์ มลี กั ษณะ 5 ดังน้ี (1) เปน็ แบบเหตุผลนิยม (Rationalism) แนวโน้มแบบปรัชญาเหตุผลนิยมปรากฏ เป็นครั้งแรกอย่างเด่นชัดในปรัชญาของเดส์คาร์ตส์ ได้ถูกพัฒนาต่อโดยสปิโนซา และถึงจุดสูงสุดใน ปรชั ญาของไลบ์นซิ (2) เป็นวิธีการแบบคณิตศาสตร์ (Mathematical Method) เดส์คาร์ตส์เป็นคน แรกที่ยอมรับเอาวิธีแบบคณิตศาสตร์มาใช้ในปรัชญาของเขา ต่อมาวิวัฒนาการไปสู่แบบเรขาคณิต โดยสปโิ นซา และไลบน์ ิซได้พฒั นาตอ่ มาอกี ในรปู แบบของวิทยาศาสตร์ (3) เป็นวิธีศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) เดส์คาร์ตส์พิจารณา ปรัชญาจากจุดยนื ของนกั วิทยาศาสตร์ เขาตีเส้นกั้นแบ่งพรมแดนระหว่างโลกทางวัตถุ ออกจากโลก แห่งจิตใจ ปลดปล่อยวิทยาศาสตร์ออกจาก (การคลอบงา) ศาสนา ความพยายามนี้ ปรากฏชัดใน ปรชั ญาของสปิโนซาและไลบ์นิซที่ผลักดันให้ปรัชญาแบบวิทยาศาสตร์ของเดส์คาร์ตส์ไปสู่รูปแบบท่ี ปฏิบัตกิ ารไดจ้ ริง (4) เป็นสิง่ ที่สามารถปฏบิ ัติได้ (Practicability) เดส์คารต์ ส์ไม่ได้มองปรัชญาว่าเป็น เพียงการฝึกบริหารทางจิต (Mental Gymnastic) เท่านั้น แต่เป็นบางสิ่งที่สามารถแนะนาคนให้ ปฏบิ ตั ไิ ดใ้ นชีวติ จรงิ (5) เป็นปัญหาปรัชญา (Philosophical Problems) สิ่งที่เดส์คาร์ตส์คิด เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตใจ รูปแบบและสารัตถะของธรรมชาติ เป็นต้น ได้กลายเป็น ปัญหาอนั สาคญั ทถ่ี กู ถกเถยี งโตแ้ ยง้ ทางปรัชญามาจนถึงปัจจุบัน 2) กฎของเดส์คาร์ตส์ 4 อย่าง 6 ด้วยสาเหตุหลายประการที่กล่าวมา และเพื่อแสวงหาความรู้ที่ชัดเจนลงตัวและไม่ หลงเหลือความสงสัยแคลงใจใดๆเอาไว้เป็นเสี้ยนหนามทางความคิด เดส์คาร์ตส์จึงได้วางเป็นกฎ เหล็กเอาไว้วา่ (1) จะไม่ยอมรับสิ่งใด ๆ ว่า เป็นจริง จนกว่าจะได้พิสูจน์รู้ได้อย่างแจ่มชัดว่า มันมี ความเป็นจรงิ เชน่ นัน้ แนน่ อน 5 Ram Nath Sharma, Modern Western Philosophy, (Meerut: Kedar Nath Ram Nath Publishers, NY.), p. 10. 6 Y. Masih, A Critical History of Philosophy, p. 34. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

137 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา (2) หากมีความยุ่งยากคลุมเครือและสลับซับซ้อนในกระบวนการแสวงหาความรู้ ต้องแยกและตัดทอนลงมาเป็นส่วน (องค์ประกอบ) ย่อย ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การแยก วิเคราะห์องคป์ ระกอบตอ้ งตรวจสอบอยา่ งละเอยี ดยิบตามข้ันตอนทกุ ลาดับขั้น (3) ตงั้ ต้นวเิ คราะหจ์ ากเรอื่ งที่ง่ายที่สุด และขยับให้ยากขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นตอน ทีย่ งุ่ ยากละเอยี ดท่สี ุด (4) ในทุกกรณีและทุกขั้นตอน ต้องระบุรายละเอียดให้สมบูรณ์จนกระทั่งมั่นใจว่า จะไมห่ ลงเหลอื อะไรทยี่ งั ไม่ได้ตรวจสอบคา้ งเอาไว้ 3) เราจะค้นพบสง่ิ ที่แน่นอนและเราแน่ใจไดอ้ ย่างไร? เดส์คาร์ตส์ กล่าววา่ การทีเ่ ข้าถึงตวั ความร้ตู ้องมีวิธกี ารและแบบอย่างเฉพาะ คอื (1) ความร้สู ามารถเข้าถงึ ไดโ้ ดยใชว้ ธิ ีการสืบค้นท่เี หมาะสม (2) ใช้วิธคี านวณแบบสตู รของคณิตศาสตร์ และเรขาคณติ มาอธิบาย (3) ใชว้ ธิ ีนิรนัย คือ อนุมานจากหลักสากลไปสู่สว่ นเฉพาะได้แนน่ อน (4) การอนมุ านจากประสบการณ์ยงั ให้ผลลทั ธ์ท่ผี ดิ พลาด (Errortic Result) ตอ่ ประเด็นน้ี เดส์คารต์ ส์มีความเหน็ ว่า ความจริงอย่างหนึ่งที่แน่นอนจะต้องได้รับการ ค้นหาอย่างเป็นระบบ ด้วยความจงใจที่จะสงสัย เมื่อเราสงสัยจนถึงขีดจากัดที่สุดแล้วสิ่งนั้นจะ เปดิ เผยตัวมนั เองออกมา ซ่ึงไม่อาจจะเหลอื ขอ้ กงั ขาเอาไว้ ซ่ึงเปน็ ส่งิ ทจ่ี ะตอ้ งรบั รู้ไดอ้ ยา่ งแจ่มแจ้ง เดส์คาร์ตส์สรุปว่า “สิ่งที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนสามารถเข้าใจได้ เมื่อเรารู้จักวิธีการ แยกแยะองค์ประกอบของสง่ิ นน้ั อย่างละเอียด แยกเปน็ ส่วน ๆ ชัดเจนและแจ่มแจ้ง และเราต้องรู้จัก ระบบและระเบียบของสิ่งที่เราพบว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างไร? เมื่อค้นหาความจริง ต้องระบุ รายละเอียดและวิจารณ์ทุกความคิด สุดท้ายเราจะก็เข้าถึงตัวความรู้ และแน่ใจว่าสิ่งนี้เป็นความรู้ท่ี ถกู ตอ้ ง” 4) ส่งิ ท่ตี อ้ งตง้ั ขอ้ สงสัยและตรวจสอบ เพ่ือท่ีจะค้นพบความร้ทู ี่ไมอ่ าจจะตั้งแง่สงสัยได้ เดส์คาร์ตส์วางหลักไว้ว่า “ข้าพเจ้าขอ สมมตวิ า่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็น เป็นสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าเชื่อว่า ไม่มีอะไรเลยในบรรดา สิ่งทั้งหลายที่ความทรงจาอันหลอกลวงเสนอแก่ข้าพเจ้าจะเป็นความจริง”7 เราจะต้องตั้งข้อสงสัย เอาไวก้ ่อน และอะไรบา้ งเป็นส่งิ ท่นี ่าสงสัยและตรวจสอบ เดส์คาร์ตส์ บอกว่าต้องสงสัยทุกเรื่อง เช่น เรื่องตา่ ง ๆ ดงั ต่อไปน้ี 7 Ram Nath Sharma, Ibid., p. 11 อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

138 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา (1) Sense -Testimony Can be Doubted. หลักฐานทางประสาทสัมผัสก็ต้อง สงสัยว่า ประสาทสัมผัสให้ความรู้จริงแก่เราเพียงใด? หลอกลวงหรือไม่? ถ้ามีความจริงตามที่ระบบ ประสาทสัมผัสรายงาน เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า “สิ่งนั้นเป็นจริง”? เพราะประสาทสัมผัส ไม่อาจ แยกภาพจรงิ ออกจากมายา หรอื ภาพลวงตา เชน่ - เมอ่ื มองถนนคอนกรีตท่ีถกู แดดเผาร้อนจดั เห็นเหมอื นมนี ้าไหลท่วมถนน - วตั ถุทีแ่ ช่ในน้ามองเหน็ วา่ มันหกั งอ เพราะการหักเหของแสงในนา้ - ส่งิ ที่เราเห็นด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู ต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆเท่านั้นเพราะถ้าไม่มี จริงเราคงไม่แลเห็น แต่ความเป็นจริง ของบางสิ่งที่เราเห็นอาจไม่มีเหลืออยู่แล้ว เช่น ดวงดาวที่อยู่ ห่างจากโลกเป็นระยะทาง 4,000 ปีแสง กว่าแสงจะเดินทางมาถึงโลกเรา ในขณะที่เรามองเห็นอยู่ ดาวดวงนนั้ อาจจะมอดดับสูญไปแล้วก็ได้ (2) The Truth of Scientific can be Doubted. ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็ ควรจะสงสัย เราไม่อาจจะปฏิเสธความจริงบางอย่าง เช่น 2 + 2 =4 ที่เป็นความจริงทาง คณิตศาสตร์ ห้ามสงสัยว่าไม่จริงแม้แต่ในความฝัน แต่ยังมีความรู้อีกบางอย่างที่ต้องตั้งข้อสงสัยอีก เชน่ ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ เพราะมนษุ ย์มีขีดจากัดแห่งความรู้ และความรู้ของมนุษย์ยังไม่มีความ สมบูรณ์ อีกทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ก็ใช้วิธีการสืบค้นที่อยู่ในวงจากัด ต้องผ่านระบบประสาท สัมผสั มีการทดลองและสงั เกต รวมทั้งการตั้งข้อสมมติฐานเอาไว้เป็นการคาดและทานายเหตุการณ์ ตามหลักฐาน สิ่งที่มักจะปรากฏอยู่เสมอ คือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ต้องเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการ คน้ พบหลกั ฐานท่ใี หม่กว่า และท่ีถกู ต้องกวา่ (3) That I doubt cannot be Doubted. เมอ่ื ขา้ พเจา้ สงสัยเปน็ สิง่ ทีไ่ มอ่ าจจะสงสยั ได้ เดส์คาร์ตส์ให้ทรรศนะว่า ถ้าเราสงสัย และสืบค้นตามลาดบั จนถงึ ท่สี ุดแลว้ กจ็ ะค้นพบความจริงทุกอย่างซึ่งเป็นความเที่ยงแท้ ไม่มีความ ขดั แย้ง มาลงตัวทเ่ี ขาสงสยั เกย่ี วกับความคิดของตนและสรปุ ว่า “ขา้ พเจ้าสงสยั ได้ทกุ เรื่อง แต่ไมอ่ าจจะสงสยั ได้วา่ ขา้ พเจ้าสงสยั ไม่ว่า ข้าพเจา้ จะสงสยั ในความฝนั หรอื ในจิตสานึก หรอื อยูใ่ นสภาพที่เป็นจรงิ ก็ตาม ขา้ พเจ้ากม็ ีอยใู่ นฐานะบุคคลผมู้ ีความสงสัย และเปน็ คนชา่ งคิด แม้จะมีซาตานหรือ ปีศาจตนใดมาหลอกให้สงสัย ข้าพเจ้าก็ยังเป็นตัวเองผู้กาลังสงสัย และผู้ที่มีความ สงสัย คอื ผทู้ ่ีกาลังคดิ (Thinking Being) ซ่งึ รอคอยการจะถกู หลอกหลอน (Deceived) จากซาตานหรือปศี าจตนนนั้ ” อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

139 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เมื่อค้นพบตัวเขาเองว่าเป็น “อัตตาที่คิดได้เอง (Thinking Substance)” เดส์คาร์ตส์ จึงสรุปวา่ “ข้าพเจา้ คดิ แสดงวา่ ขา้ พเจา้ มอี ยู่(Cogito Ergo Sum = I think, therefore, I am.)” จากจุดนี้ สรปุ ได้วา่ เดส์คาร์ตส์ เร่ิมสร้างความรู้โดยใช้ความสงสัยเป็นฐานพร้อมกับใช้ เหตุผล หาขอ้ เทจ็ จริงเก่ยี วกบั \"ตวั ตน\"ของตนเอง จนค้นพบวา่ ตัวตนมีอยู่แท้ๆ เพราะตัวเองมีความ สงสัย จากนั้นก็อนุมานถึงสิ่งที่พลังอานาจยิ่งใหญ่กว่าบิดามารดาสร้างเรามา เพราะเราไม่ได้เกิดมา เองลอยๆ ตอ้ งมีผสู้ ร้าง เดส์คารต์ ส์นึกถงึ พระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นผู้ประทานเหตุผลหรือความคิด ที่มีเหตุผลมาให้เราแต่แรกเกิด และขยายความคิดพิจารณาไกลตัวออกไปอีก ในเรื่องของโลก ภายนอกหรอื โลกของวัตถุวา่ มนั ต้องมอี ยู่จรงิ เพราะเปน็ สง่ิ ที่พระเจ้าทรงสร้างเชน่ กัน ที่ผ่านมา เราได้ทราบความสงสัยที่เป็นแบบของเดส์คาร์ตส์ แต่ความสงสัยแบบนี้ แตกต่างจากความสงสยั แบบจิตวิทยา (Psychological Doubt) เชน่ ในที่มืดเรามองเห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ วิ่งผ่านหน้าเราไป เราสงสัยว่า มันจะเป็นหนูหรือเป็นตัวตุ่นกันแน่? (Mouse or Mole?) ความ สงสัยแบบน้ี จดั เปน็ ความสงสยั แบบจิตวิทยา เกิดจากความไม่แน่ใจเพราะระบบประสาทรายงานไม่ ชดั เปรยี บเทยี บความสงสยั ทงั้ 2 อยา่ ง ความสงสยั แบบเดสค์ ารต์ ส์ ความสงสยั แบบจติ วทิ ยา 1. ไมใ่ ชอ่ ารมณ์ของความรูส้ กึ ตรงๆหรือประสบ 1. เป็นสิ่งที่เรารู้สึกทางอารมณ์หรือประสบการณ์ การณ์ตรงๆ แต่เป็นทรรศนะคติอย่างจงใจ ต่อ โดยตรงบอกเราเช่นนัน้ เช่น สงสัยว่า หนู/ตนุ่ ประสบการณ์ 2. ถูกกระตุ้นโดยธรรมชาติของความรสู้ ึก 2. ไม่ได้ถูกกาหนดหรือตัดสินโดยตรง ใน ต่อสง่ิ ทเ่ี ราอยากรู้ ลกั ษณะของส่ิงที่รับรู้ (Object) 3. อยู่เหนือเจตจานงของเรา แม้ว่าประสงค์อยากรู้ 3. ความสงสยั เชงิ ตรรกะของเดสค์ าร์ตส์ มาก แตค่ วามสงสยั ก็คงมอี ยู่อยา่ งตอ่ เนือ่ ง เปน็ ความจงใจ ตง้ั อยู่บนเจตจานง 4. เปน็ ความสงสัยเกีย่ วกบั ส่งิ เลก็ ๆน้อย ๆในชวี ติ 4. ความสงสัยเก่ยี วกันทศั นคตติ ่อสิง่ ทัง้ มวล ประจาวัน หรือสิง่ สงู สดุ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

140 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 5.2.2.2 ความสงสยั แบบประสบการณน์ ยิ ม (Empirical Doubt) กลุ่มประสบการณ์นิยมกล่าวว่า การจะสร้างความรู้ใหม่ต้องสร้างผ่าน ประสบการณ์ เบคอน (Bacon 1561-1626) พดู วา่ “ในการที่จะไดข้ อ้ สรปุ ทถ่ี กู ต้อง ต้องได้รับข้อมูล จากประสบการณ์จนสามารถปักใจได้ก่อน” และวิธีนี้เป็นวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ใช้พิสูจน์กฎเกณฑ์ ตา่ งๆ ซง่ึ ถอื วา่ เป็นหวั ใจของประสบการณน์ ิยม เบคอนนาวิธีตรรกะแบบอุปนัยมาใช้ในการสร้างความรู้ใหม่ โดยการเลือกหรือ วิเคราะห์จากรายการต่างๆ แล้วคัดออก ลดทอนลงมาเฉพาะรายการที่จาเป็น (Induction by Elimination) เบคอนจดั ระดับไว้ 3 รายการ คือ 1) รายการมี (Table of Essence) รายการมีต้องระบุสมมุติฐานให้มากที่สุด (ความเปน็ ไปได้) 2) รายการไมม่ ี (Table of Absence) ต้องทอนรายการที่ไม่อาจเป็นไปได้ออกเสีย เหลอื สมมุตฐิ านจานวนนอ้ ยท่สี ดุ 3) รายการยกระดับ (Table of Degrees) คัดรายการที่ไม่ใช่ปัจจัยหลักออกจน เหลือปัจจัยหรือรายการที่จาเป็น อันเป็นข้อสมมุติฐานสุดท้าย และสิ่งนี้แหละคือหลักทฤษฎีของ ความรู้ ตัวอย่างการหาสาเหตุของความรเู้ รอ่ื งความรอ้ น ความร้อน (Heat) เกิดจากสาเหตแุ ละปัจจัยตา่ ง ๆ เช่น พบที่ น้าเดือด แสงแดด ไอน้า และเหล็กทเ่ี สยี ดสีกัน การหาสมมุติสาเหตุของความรอ้ นให้สงั เกต จากสิ่งต่าง เช่น ปริมาณ ความแข็ง สี การเสยี ดสี แตป่ จั จัยบางอยา่ งไมใ่ ช่เงอ่ื นไขหลัก เชน่ - รายการมี (1) ปริมาณ มากหรือน้อยไมใ่ ช่สาเหตหุ ลกั เชน่ น้าแข็งมาก แตไ่ มร่ อ้ น (2) ความแขง็ เชน่ กอ้ นหิน หินแขง็ แกรง่ แต่ไม่รอ้ น (3) สที ีค่ ลา้ ยกนั กบั ไฟ เช่น สแี ดง แตไ่ มร่ อ้ น (4) การเสียดสขี องวตั ถุ ก่อให้เกิดความรอ้ น - รายการไม่มี (1) ความเยน็ (Cool) น้าแข็ง นา้ ในแมน่ า้ และกอ้ นหนิ - รายการลดทอนเหลอื เฉพาะปจั จยั หลัก (1) เมื่อลดทอนปัจจัยตรงกันข้ามลงแล้ว เราจะได้สาเหตุแห่งความร้อนหลักๆว่า มาจากส่ิง เหล่าน้ี เชน่ แสงแดด ไอนา้ น้าเดอื ด เหล็กทีเ่ สียดสี เปน็ ต้น อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559