Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)

ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)

Description: ทฤษฎีและปัญหาทางญาณวิทยา (รวมเล่ม)
ผู้เขียน : ดร.พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์

Keywords: ญาณวิทยา

Search

Read the Text Version

141 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา Francis Bacon (1561—1626) http://a3.files.biography.com/image/upload/c_fill,cs_srgb,dpr_1.0,g_face,h_300,q_80, w_300/MTIwNjA4NjMzNzMxNzc4MDYw.jpg เบคอน (Bacon) กล่าวว่า “ความรู้ทุกชนิดของเรานอกจากความรู้แบบวิวรณ์ (Revelation) มีพืน้ ฐานมาจากผสั สะ และผัสสะคือเนื้อหาความรู้ ความรู้ที่ปราศจากผัสสะเป็นสิ่งท่ี เป็นไปไมไ่ ด้” ฮอบส์ (Hobbes) กล่าวว่า “รากฐานของความรู้มาจากประสาทสัมผัสด้วยการติดต่อ กับโลกภายนอก และความรู้คอื การเคล่ือนไหวของสมอง ร่างกายมนุษย์เปรยี บเหมือนเครื่องจักรกล ทาหนา้ ทแ่ี ต่ละอย่างสอดคล้องกนั ” ล็อคกล่าวว่า “สมองของมนุษย์เดิมว่างเปล่า (Tabula rasa) เด็กแรกเกิดไม่มี ความคดิ อะไร ต่อมาค่อยมีประสบการณ์กับสิ่งภายนอกเพิ่มเรื่อย ๆ สุดท้ายเขาจึงรวบรวมความคิด เปน็ ความรทู้ ีไ่ ดม้ าจากประสบการณ์นั้น จิตตามธรรมดาว่างเปล่า แต่ในจิตมีจินตนาการอันเกิดจาก ประสบการณ์ และแหลง่ เกดิ ของจินตนาการคอื ผัสสะ (Sensation)” อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

142 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 5.2.2.3 ความสงสยั แบบวิมตั นิ ิยม (Skeptical Doubt) กลุ่มวิมัตินิยม (Skepticism) เริ่มต้นแสวงหาความรู้ด้วยการตั้งความสงสัยเหมือน เดสค์ ารต์ ส์ แตท่ ่แี ตกตา่ งกันอยู่ตรงทเี่ ดส์คารต์ ส์ไมไ่ ดพ้ ดู ว่า “สิ่งที่ควรสงสัยทั้งหมดจะต้องเป็นความ เท็จ (False) แต่ขอตงั้ แงส่ มมติฐานเอาไวก้ อ่ นว่า มนั น่าจะเป็นความเท็จ (Supposed to be false.) ตอ่ เม่ือไดค้ น้ พบความจริง กจ็ ะหมดความสงสยั และไมอ่ าจจะสงสัยตอ่ ไปอีก” แต่ความสงสัยที่เป็นแบบวิมัตินิยมจะไม่หมดไป เนื่องจากมีเหตุให้ต้องสงสัยเรื่อย ๆ เชน่ ความสงสัยในความสัมพันธ์ที่เป็นสากลและเป็นสิ่งจาเป็นของสิ่งต่าง ๆ บทสรุปสุดท้าย ของแต่ละเรื่อง ก็สามารถใช้ได้เฉพาะกรณี ๆ ไม่สามารถนามาใช้เป็นสูตรสาเร็จเกี่ยวกับความรู้ที่ แน่นอนทกุ ประการได้ เพราะถ้าเหตุการณ์ใดที่จะเกิดขึ้นมาด้วยสาเหตุที่คล้ายกับของเดิม เรากล่าว ไม่ได้ว่า เป็นความจาเป็นที่ต้องเกิดเช่นนั้น เราพูดได้แต่เพียงว่า “เป็นความคล้ายคลึง” ไม่ใช่เป็น ความจาเป็น วิมัตินิยมยังมีความสงสัยต่ออีกว่า ถ้าเมื่อมีสาเหตุอย่างเก่าเช่นนี้แล้ว ในอนาคตจะ บงั เกิดผลคล้ายดงั เก่าหรอื ไม่ จึงต้องสงสัยเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุดหรือจุดจบ จนกว่าจะพิสูจน์และหมด ความสงสยั เฉพาะกรณีเป็นราย ๆ ไป 5.2.3 วธิ วี ิจารณ์ (Critical Method) วิธวี จิ ารณ์เป็นวธิ ีสร้างความรู้ที่ใช้เหตผุ ลวิเคราะห์และสังเคราะห์เรอ่ื งราวใหม้ ีความ สมเหตุสมผล การวิพากษ์วิจารณ์ช่วยให้สติปัญญาของมนุษย์งอกงามและพัฒนา ทาให้มนุษย์รู้ข้อ เท็จรงิ เกือบทุกด้านไม่มกี ารบดิ เบอื นและปิดบัง ถือว่าเป็นกระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับ สถานะการณ์ที่สับสนในเรื่องข้องมูลในโลกยุคโลกาภิวัตน์ปัจจุบัน ถ้าการเรียนการสอน วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ ปุวยการที่จะศึกษาและคิดค้น ดังที่ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กล่าวว่า “ถ้าปราศจาก การวิพากษ์วิจารณ์แสียแล้ว การเรียนการสอนก็มีไม่ได้ ยิ่งวิจารณ์อดีตไม่ได้ ต้องเลิกสอน ประวัติศาสตร์และวรรณคดี มิใยต้องกล่าวถึงวิชาปรัชญา”8 และวิธีวิจารณ์เป็นลักษณะเด่นแห่ง ปรัชญาของค้านท์ มขี น้ั ตอนดังน้ี 5.2.3.1 ไม่ยอมรับทฤษฎแี หง่ ความรู้แบบเดมิ ๆ ซ่งึ ตดิ รูปแบบต่างๆที่ปราศจากการ ใครค่ รวญ ใหร้ อบคอบเกย่ี วกบั องคป์ ระกอบของความรู้ 5.2.3.2 วิเคราะห์องค์ประกอบของความรู้ สืบค้นให้ถึงเงื่อนไขที่จะทาให้เกิด ความรู้ที่มีมาแต่กาเนิด ซึ่งจาเป็นสาหรับสร้างความรู้ เงื่อนไขทาหน้าที่ 2 ประการคือ (1) แยก วัตถดุ ิบทีจ่ ะแปรสภาพเป็นความรู้ วตั ถุดบิ ไดม้ าจากประสบการณ์ และ (2) แบบความรู้ที่มีมาแต่เดิม 8 ส.ศวิ รักษ์, ลอกคราบปญั ญาชนฝรงั่ , (กรุงเทพฯ: สานักพมิ พ์เคล็ดไทย, 2536), หน้า (10). อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

143 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ซ่งึ จดั หาโดยเหตผุ ล ไดม้ าจากเหตุผลภายใน โดยที่เหตุผลจัดระเบียบของวัตถุดิบให้เข้ากับแบบของ จิต และจัดระบบของความรู้ ค้านท์ไม่ได้ปฏิเสธว่า ความรู้ทุกอย่างเริ่มจากประสบการณ์ แต่ไม่ จาเป็นต้องมาจากประสบการณ์ ดังที่ค้านท์มักย้าสาเหตุแห่งความรู้ 2 ประการ คือ 1) ความรู้สึก (Perception) 2) ความเขา้ ใจ (Conception) รูปแบบขั้นปฐมของจิต (รูปแบบทางประสบการณ์) ที่มีความรู้สึกและความเข้าใจ เกี่ยวกับ สถานที่ และกาลเวลา เราไม่อาจจะรับรู้สิ่งใดจนกว่าจะทาให้วัตถุดิบนั้นอยู่ในรูปแบบของ สถานที่และกาลเวลา เมอ่ื วัตถุผสมรปู แบบของประสบการณแ์ ลว้ คอ่ ยเขา้ สรู่ ูปแบบของความเข้าใจ อีก ตอ่ หนงึ่ ประกอบด้วยประเภท 4 ประเภทและ 12 ขนั้ ตอน (รายละเอยี ดดูในวจิ ารณน์ ิยมของคา้ นท์) จากจุดนี้ ค้านทอ์ ธิบายวา่ ความร้ขู องมนุษยใ์ นสิ่งต่างๆ นั้น เป็นกระบวนการทางาน ของจิต ผ่านโครงสร้างมนัสที่วิเคราะห์องค์ประกอบของสิ่งที่ถูกปูอนมาจากประสบการณ์ มาคัด เลือกสรรตามแบบของความเข้าใจ (Form of Understanding) เมื่อจบกระบวนการแล้วสิ่งที่เหลือ คอื ความรู้เกี่ยวกับวัตถุที่ผ่านขั้นตอนแล้ว ความรู้ของค้านท์ ซึ่งมีขอบเขตแต่สิ่งที่เหมาะหรือเข้าได้ กับแบบปฐมสังเคราะห์ (Synthetic a priori) คือ กาลและเวลา และสิ่งนั้นผ่านโครงสร้างมนัส กล่าวไปแลว้ เรารู้จกั วัตถุภายนอกเพียงแตส่ ิ่งทีผ่ า่ นการปรุงแตง่ ของจติ เท่านน้ั เอง 5.2.4 วิธวี ิภาษหรอื ปฏพิ ัฒนาการ (Dialectic Method) วิธีวิภาษ เป็นวิธีที่ตั้งข้อเสนอ และหาข้อแย้งเพื่อได้ข้อสรุปใหม่ และนาข้อสรุปที่ได้ ใหม่มาทาเป็นข้อเสนอใหม่และทาการสังเคราะห์ไปเรื่อยจนกว่าจะได้ความรู้อันสุดท้ายและสมบูรณ์ ที่สดุ วิธวี ิภาษมขี อ้ ทน่ี ่าพจิ ารณาหลายประเดน็ แบ่งตามแบบของนกั ปรัชญา ดงั นี้ 5.2.4.1 วิธีวิภาษแบบเพลโต เพลโต วภิ าษวิธี คือ วิธสี นทนาแลกเปล่ียนโดยการถามและตอบท่ีสร้างให้ เกิดความร้อู นั สูงสุด เพลโตยา้ เสมอวา่ วธิ ีสนทนาหรอื การโตแ้ ยง้ เปน็ การสรา้ งสรรคท์ างปรชั ญา อริสโตเติล ศิษย์เอกของเพลโต กล่าวว่า วิภาษวิธี คือ ขั้นตอนวิจารณ์ท่ี จะช่วยให้เข้าใจหลักเกณฑ์อันเป็นส่วนหนึ่งของตรรกศาสตร์ พูดอย่างง่าย ๆ คือ ตรรกศาสตร์ต้อง เริ่มจากการตั้งญัตติ (Premise) ที่ยอมรับกันว่าเป็น สากลด้วยการใช้สานวน มากกว่าการแสดงให้ เห็นวา่ เป็นความจรงิ กลุ่มเพลโตใหม่ (นาโดยโพลตินุส) วิภาษวิธี เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการที่จะ ทาให้เข้าใจสัจจะสงู สุด (The One) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

144 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เราพบว่า เพลโต ใช้วิธีการสนทนาโต้ตอบ ในเชิงปฏิเสธ(Negative Dialectic) ตามแบบของโสคราตีส นั่นคือ การตั้งปัญหาถามพวกที่มีความคิดเห็นตรงกันข้าม พยายามชี้ข้อพกพร่องของลัทธหิ รอื ปรชั ญาของกลุม่ นนั้ ใหเ้ ห็นชัดว่าเขามีจุดบกพร่องตรงใดบ้าง และ แสดงทรรศนะทีข่ ัดแยง้ หรอื โตแ้ ยง้ ด้วยคาถามท่เี ฉียบคม จนสามารถแสดงให้กลุ่มตรงกันข้ามเห็นว่า สิ่งที่เขาเข้าใจนั้นยังไม่ถูกต้องเป็นสากล หรือยังไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ วิธีการแบบเพลโตมี ดงั นี้ - ตั้งญตั ติก่อน - ตง้ั บทโต้แย้ง - นาบทโตแ้ ยง้ มากลา่ วย้าอีก - แสดงลทั ธหิ รือความเห็นของตนเพมิ่ เติม เพื่อให้ฝุายปรปักษ์ยอมวิจารณ์ ตวั เองไปเร่อื ย ๆ จนกระทงั่ ถงึ ทรรศนะทีไ่ ม่มขี ้อโตแ้ ย้งในตวั เอง - แสดงคานิยามท่ีครอบคลุมเหตผุ ลทกุ อยา่ ง 5.2.4.2 วิธีวิภาษแบบเฮเกล (Hegelian Dialectic) เฮเกลได้ดาเนินรอยตาม ฟิชท์ นักปรัชญาสมัยปัจจุบัน ซึ่งเป็นคนแรกท่ี ปรับเปลี่ยนอธิบาย วิภาษวิธี (Dialectic) แบบเดิม ๆ มาเป็นวิภาษวิธี (ศิลปะการโต้แย้ง) แบบปฏิ พฒั นาการ ในรปู แบบ ไตรองค์ หรอื ไตรแอด (Triad) มี 3 ขน้ั ตอน คอื (1) Posit or Thesis (บทเสนอ หรือ บทต้ัง) (2) Counterposit or Antithesis (บทขดั แยง้ หรือ ขอ้ โตแ้ ยง้ ) (3) Synthesis (บทสรุป หรือ สงั เคราะห์) เฮเกล ยอมรับวิธีการ ไตรองค์ หรือไตรแอดของฟิชท์ และสรุปว่า “ความจริงทุก อย่าง ตือตัวอย่างของกระบวนการปฏิพัฒนาอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด” และเสนอวิธีที่รู้กันดีว่า ตรรกวทิ ยาวิภาษวธิ ี (Dialectical Logic) เฮเกลมีความเห็นตรงกันขา้ มกบั เพลโตและอริสโตเติล โดยใช้วิธีวิภาษาแบบยืนยัน (Positive Dialectic) ที่ถือว่า ทั้งความคิดและสิ่งที่มีอยู่จริงมีความเปลี่ยนแปลง และเพื่อความ สมบรู ณ์ตอ้ งพฒั นาตามวธิ วี ภิ าษ คอื 1) บทเสนอ (Thesis) 2) บทแย้ง (Antithesis) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

145 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3) บทสังเคราะห์ (Synthesis) และนาบทสังเคราะห์ไปเป็นบทตั้งอีกที หนงึ่ พัฒนาต่อไปเร่ือยๆ จนถึงความสมบรู ณ์อนั สุดท้าย 5.2.4.3 สสารนยิ มเชงิ วภิ าษ (Dialectical Materialism) ของ มาร์กซ์(Karl Marx) มาร์กซ์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน เกิดที่เมืองทริ-แอร์ (Trier) หรือ Treves ; Rhenish Prussia) แต่มาสิ้นชีวิตที่ลอนดอน ในวันที่ 14 มีนาคม 1883 (พ.ศ. 2426) เขาได้รับ อทิ ธิพลอย่างย่ิงจากวิธีคดิ แนวปฏิวตั ทิ างการเมอื งแบบเฮเกลเจ้าของทฤษฎีที่ว่า “กระสุนดินปืนมีค่า กว่านกพิราบสีขาว (การปฏิวัติดีกว่าอยู่เงียบ ๆ)”9 มาร์กซ์ เป็นเจ้าของวาทะ “ศาสนาคือยาเสพติด ของมนษุ ย์” มารก์ ซเ์ รยี กปรชั ญาแบบน้ี สสารนิยมเชงิ วภิ าษ นาความคิด 2 แบบ มารวมกัน คือ 1. สสารนิยม (Materialism) หมายถึง ทรรศนะที่ถือว่า สสารมีความสาคัญที่สุด ในการแกป้ ัญหาทางปรัชญา โลกเป็นสสารและเป็นสง่ิ ทีร่ ู้ได้ ศึกษาโลกตามทเ่ี ปน็ อยอู่ ยา่ งแทจ้ ริง 2. วิภาษวิธี (Dialectic) หมายถึง ทรรศนะที่ถือว่าโลกเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหว และ เกดิ ขนึ้ มาใหม่เสมอ ดงั นัน้ สสารนยิ มเชงิ วิภาษ 10 จึงหมายถงึ ลกั ษณะปฏิบตั ิการตอ่ ไปนี้ (1) ศึกษากฎทั่วๆไปที่ควบคุมพัฒนาการของโลกทางวัตถุ แต่แตกต่างจาก วิทยาศาสตร์ตรงที่ศึกษากฎทั่วไปที่ครอบคลุมทุกด้านของความแท้จริง ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มี ชีวติ ชีวิตทางสงั คมและจติ ยอ่ งเป็นไปตามกฎทวั่ ไป คือกฎความขัดแยง้ ของสิ่งที่ตรงกันข้าม (2) ศึกษากฎที่ควบคมุ ความรู้ทเี่ ปน็ กระบวนการ วธิ ีรูโ้ ลกท่ีเปน็ แปลงไปตามแบบ วภิ าษวธิ ี (3) เรยี นร้สู งั คมและการปฏวิ ตั สิ งั คม มารก์ ซ์ไดส้ ร้างลทั ธสิ สารนิยมเชงิ วภิ าษข้ึน โดยการรวมวธิ ีวิภาษของเฮเกล(Hegel) กับ สสารนิยมของฟอยเออร์บัค มาพัฒนาปรัชญาเชิงวัตถุ จนกลายเป็นวิภาษวิธีเชิงวัตถุนิยมหรือสสาร นยิ มเชิงวภิ าษ ข้อสงั เกต สสารนยิ มและวภิ าษวิธีไดเ้ กิดกอ่ นมารก์ ซ์เปน็ เวลานานมาแลว้ ทั้งสสารนิยม และวิภาษวิธีต่างแยกกันอยู่อยา่ งอสิ ระ ฟอยเออรบ์ ัคเป็นนกั สสารนยิ มแตไ่ มใ่ ช่นักวิภาษวิธี ในขณะท่ี 9 ไชยวัฒน์ อัตพัฒน์, ปรชั ญาตะวันตกสมยั ใหม,่ หน้า 217. 10 ไชยวฒั น์ อัตพัฒน์, เรอื่ งเดยี วกนั , หน้า 227. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

146 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เฮเกลเป็นนกั วิภาษวธิ แี ตไ่ ม่ได้เปน็ นักสสารนิยม เพ่ือการสร้างระบบปรัชญาใหม่จากระบบเดิม คาร์ล มารก์ ซ์และเองเกลส์จงึ ได้รวมสสารนิยมกบั วภิ าษวิธี มารก์ ซ์ Karl Marx (1818–1883) http://plato.stanford.edu/entries/marx/ สสารนิยมแบบวิภาษวิธี มีความคิดว่า การบวนการของโลกเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องไม่ ขาดสาย เป็นวงกลม เป็นกระบวนการเปิด กระบวนการเคลื่อนไหวที่เป็นวงกลมไม่ได้เป็นแบบซ้า รอยเดิม แต่เป็นแบบวงสว่าน กระบวนการเคลื่อนไหวผ่านบทตั้ง (Thesis) บทแย้ง (Antithesis) และบทสรุป (Synthesis) บทสรุปที่ได้มาก็จะหมุนกลายเป็นบทตั้งใหม่อีก ปะทะสังสรรกับบทแย้ง กลายเป็นบทสรุปใหม่เรื่อยไป ความรู้ของมนุษย์รวมทั้งสังคมของมนุษย์จึงต้องวิวัฒนาการไปไม่ หยุดย้ัง ต้องมีการเปล่ียนแปลงเพือ่ สงิ่ ใหม่เสมอ เมอื่ มาร์กซ์ ได้เสนอทฤษฎีสสารนิยมแบบวิภาษและทาการเผยแพร่ ปรากฏว่า เล นิน และ สตาลินได้นามาอธิบายขยายความอย่างละเอียด แปลงจากแค่หลักทฤษฎีไปสู่การ ปฏิบตั กิ ารจรงิ ในทางการเมอื ง โดยยดึ เปน็ อาวธุ ทางปัญญาของชนชั้นกรรมาชีพในการปฏิวัติโค่นล้ม อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

147 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา สังคมนายทุนเดิมมาเป็นสังคมนิยม เพื่อวิวัฒนาการไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ อันเป็นสังคมแบบใหม่ท่ี สมบูรณ์. 5.3 คาถามท้ายบท 5.3.1 จงอธิบายวิธีการสร้างความรู้ตามวิธียึดหลักลัทธิที่มีอยู่เดิม (Dogmatic Method) 5.3.2 จงอธิบายวิธีการสร้างความรู้ตามวิธีตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก่อนแล้วค่อยแสวงหา ความรู้ (Skeptical Method) 5.3.3 จงอธิบายวิธกี ารสร้างความรูต้ ามวธิ ีวิจารณ์ (Critical Method) 5.3.4 จงอธิบายวิธีการสร้างความรู้ตามวิธีวิภาษหรือปฏิพัฒนาการ (Dialectic Method) 5.3.5 นักศึกษาเห็นด้วยกับวิธีการสร้างความรู้แบบใดมากที่สุด และในทัศนะของ นกั ศึกษา วิธสี ร้างความรคู้ วรเปน็ เช่นใด จงชีแ้ จง อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

148 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา http://www.system-safety.org/about/strategic.php อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

บทท่ี 6 ทฤษฎคี วามรขู้ องนกั ปรชั ญาตะวนั ตกรว่ มสมยั (Some Contemporary Philosophers' Epistemology) การแสวงหาความรู้ของนักปรัชญา นับแต่อดีตมาจนปัจจุบัน มีวิธีการและรูปแบบที่ แตกต่างกันบางคนเน้นเหตุผล บางคนเน้นประสบการณ์ แต่สิ่งที่นักปรัชญาต่างมีความเห็น สอดคลอ้ งกนั กค็ อื ความรู้ทางปรชั ญาเปน็ สิ่งที่นามนษุ ยใ์ ห้เข้าใกล้ต่อความจริงมากที่สุดไม่ว่าจะเป็น ความจรงิ ภายใน หรือความจรงิ ภายนอกกต็ าม ระยะหลงั นกั ปรชั ญาได้พัฒนาทฤษฎีทางปรัชญาที่ ใกล้ต่อชีวิตจริงมากขึ้น เพื่อยกระดับความรู้ทางปรัชญาที่มักถูกกล่าวหาว่าเป็นเพียงแค่การ คาดคะเน หรอื คาดเดาความจริง เขา้ ไปสคู่ วามรู้ทเ่ี ป็นจริงและเปน็ ตัวของความจริง โดยอาศัยวิธีการ ทางวทิ ยาศาสตร์มาเปน็ ฐาน เมื่อนักคิดตั้งจุดมุ่งหมายที่จะให้ความรู้ทางปรัชญาเป็นสิ่งสากลเข้าถึงตัวความจริงได้ ต่าง คนก็จึงคัดเลือกวิธีการที่ตนคิดว่ามีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอมาใช้ โดยบางคนใช้วิธีการทาง คณิตศาสตร์ บางคนใช้วิธีทางตรรกศาสตร์ บางคนใช้วิธีแบบภาษาวิเคราะห์ และบางคนใช้วิธี ปฏิบัติการ และส่วนใหญ่จะไม่จากัดเพียงวิธีการอย่างเดียว แต่มักจะผสมผสานรูปแบบต่าง ๆ เพื่อ เขา้ ใจปรัชญาทัง้ ระบบในองค์รวม อนั ประกอบดว้ ยอภปิ รัชญา ญาณวิทยา และคณุ วิทยา สมัยปัจจุบัน แม้จะมีนักปรัชญาหลายคนและหลากลัทธิก็ตาม ในส่วนที่เกี่ยวกับทฤษฎี ความรู้ ผู้เขียนจะนาเสนอเฉพาะนักปรัชญาบางท่านที่แนวคิดและทฤษฎีมีอิทธิพลต่อกระบวน ทรรศน์ทางปรัชญาแบบใหม่ ซึ่งบางคนเป็นเจ้าลัทธิทางปรัชญาสมัยปัจจุบัน เช่น ปฏิฐานนิยม (Postivism) ปรัชญาภาษาวิเคราะห์ (Language Analysis) ปรมาณูนิยมเชิงตรรกะ (Logical Atomism) เป็นต้น ในที่นี้จะเสนอปรัชญาของเบอร์ทรันด์ รัสเซล และ เอ.เจ. แอร์ เพียง สองท่าน พอเปน็ ตัวอย่าง 6.1 นกั ปรชั ญาร่วมสมยั 6.1.1 เบอรท์ รันด์ รสั เซล [(Bertrand Arthur Williams Russell (1872-1970)] 1) ประวัติ รัสเซล เป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี 1872-1970 เป็นคนที่มี อายุยืนเกือบศตวรรษ เกิดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1872 (พ.ศ. 2415) ที่ Ravens croft เมือง Monmouth shire ด้านตะวันตกของอังกฤษ ในตระกูลผู้ดีทั้งฝ่ายมารดาและบิดา อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

150 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เป็นหลานของ Lord John Russell อดีตรัฐบุรุษและนายกรัฐมนตรี 3 สมัยของอังกฤษ ผู้ร่าง กฎหมายปฏิรูปฉบับแรกของรัฐสภาอังกฤษ ผู้ที่ได้รับตาแหน่งท่านเอิร์ล รัสเซล คนแรก(1831) ต่อมารัสเซล ก็ได้รับตาแหน่งเอิร์ล คนที่ 3 เมื่อ ปี ค.ศ.1931 ในขณะที่มีอายุได้ 59 ปี รัสเซล จบ การศึกษาที่ Trinity College จากมหาวิทยาลัย Cambridge ในปี 1894 และเป็นอาจารย์สอนใน มหาวิทยาลัยที่ตนจบมา แต่งหนังสือมากกว่า 40 เรื่อง ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ในปี 1950 และรางวลั Order of Merit ในปีเดยี วกนั ชวี ติ เขาได้แต่งงานถึง 4 ครัง้ 1 คือ ในปี ค.ศ. 1894 แต่งงานกับ Alys Pearsall Smith หย่าร้างในปี ค.ศ. 1921, ครั้งที่ 2 ในปี ค.ศ. 1921 แต่งงาน กับ Dora Black หย่าร้างในปี ค.ศ. 1935, ครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ. 1936 แต่งงานกับ Patricia Helen Spence หย่าร้างในปี 1952, และแต่งงานครั้งที่ 4 กับ Edith Finch ในปี ค.ศ. 1952 อยู่ร่วมกัน จนบั้นปลายของชีวิต เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1970 ก่อนครบรอบวันเกิดปีที่ 98 เพยี ง 2 เดอื น 2 เบอร์ทรนั ด์ รสั เซล (Bertrand Arthur Williams Russell) https://en.wikipedia.org/wiki/Bertrand_Russell%27s_views_on_philosophy#/media/F ile:Bertrand_Russell_transparent_bg.png 1 David Pears, Ed., Russell's Logical Atomoism, (Great Britain : Collins & Sons, 1972), pp.171- 172. 2 A.J. Ayer, Philosophy in Twentieth Century, (London: Unwin Paperbacks, 1982), p. 20. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

151 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2) ผลงานและหนังสอื ท่ีตีพิมพ์ รัสเซล เป็นคนที่ทางานหนัก ทั้งบรรยาย ปาฐกถา และเขียนหนังสือมากมาย สนใจทุกเรื่อง เมื่อสนใจเรื่องใดก็จะเสาะแสวงหาความรู้ด้านนั้นๆให้ถึงแก่นแท้ของเนื้อหาและ ประเด็นต่างๆ เป็นคนที่ทาอะไรต้องทาจริงๆ ศึกษาเรื่องอะไรต้องทุ่มเทอย่างจริงจัง จนเก่งกล้า และเชี่ยวชาญให้ได้ เป็นผู้รู้จริง และรู้เป็นอย่างดี เช่น ด้านสังคม ก็แต่งหนังสือ Freedom and Organization เป็นต้น ด้านการศึกษา แต่งหนังสือ เรื่อง On Education บ้าง Education and the Social Order เป็นต้น ด้านการเมือง แต่งหนังสือ เรื่อง Political Ideas บ้าง Power บ้าง Justice and Wartime บ้าง หรือ The Problem of China บ้าง ด้านศาสนา เรื่อง Conquest of Happiness และ Why I an not a Christian เป็นต้น ด้านวิทยาศาสตร์ เรื่อง Scientific Outlooks และ Religion and Science เป็นต้น ด้านปรัชญา ได้เขียนหนังสือแสดง ทรรศนะทางปรชั ญาทท่ี รงคณุ คา่ อีกหลายสิบเล่ม ดงั รายชอื่ หนงั สอื ตอ่ ไปนี้ 1900 A Critical Exposition of the Philosophy of Leibniz 1903 The Principle of Mathematics 1910 The Philosophical Essays 1912 Principia Mathematica Vol.II 1912 The Problems of Philosophy 1913 Principia Mathematica Vol.III 1914 Our Knowledge of the External World 1918 Mysticism and Logic 1919 An Introduction to Mathematical Philosophy 1921 The Analysis of Mind 1927 The Analysis of Mater 1927 An Outline of Philosophy 1928 The Sceptical Essays 1935 Religion & Science 1940 An Inquiry into Meaning and Truth 1945 A History of Western Philosophy 1948 Human Knowledge Its Scope and Limits 1910-1950 Logic and Knowledge (Essays) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

152 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1901 The Logic of Relation 1905 On Denoting 1908 Mathematical Logic as based on the Theory of Types 1911 On the Relation of Universal and Particulars 1914 On the Nature of Acquaintance 1918 The Philosophy of Logical Atomism 1919 On Propositions: What they are and How they mean. 1924 Logical Atomism 1830 On Order in Time 1950 Logical Postivism 1951 The Impact of Science on Sociology 1956 Logic and Knowledge 1956 Protaits from Memory 1957 Why I am not a Christian 1959 Wisdom of the West 1959 My Philosophical Development 1960 Bertrand Russell Speaks his Mind 1961 Fact and Fiction หลงั จากเสยี ชวี ติ มหี นังสอื ท่ตี พี มิ พ์ออกมาอีกจานวนหนง่ึ เช่น 1972 The Collected Story of Bertrand Russell 973 Essays in Analysis 1973 Russell's America 1975 Mortals and Others 3) แนวคดิ ทางปรชั ญา รัสเซล เปน็ นกั คดิ ท่มี คี วามกระตอื รือร้น ใฝ่คดิ ใฝร่ ้แู ละตรวจสอบความรู้ตลอดเวลา ไม่เห็นด้วยกับนักคิดบางคนที่ยังใช้วิธีการทางปรัชญาแบบเดิมๆที่ล้าสมัย นามาแก้ปัญหาจริง ไม่ได้ เฝ้าเกบ็ เกยี่ วประสบการณจ์ ากนกั คิดรนุ่ กอ่ น พยายามวิเคราะห์ วิจารณ์ ขจัดจุดบกพร่องของ ทฤษฎีก่อนๆ และเสริมจุดเด่นเข้าไปเพื่อสร้างระบบความคิดใหม่ของตน เขาเริ่มต้นเสนอปรัชญา อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

153 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ด้วยบรรยากาศที่อาศัยฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการนาเสนอในแบบองค์รวมของศาสตร์ ต่างๆ โดยพยายามนาตรรกวิทยามาผสมกับคณิตศาสตร์สมัยใหม่ ในขณะเดียวกันก็แยก ตรรกวิทยาออกจากปรัชญา เขามองเห็นว่า ปรัชญาคือสิ่งที่สืบทอดอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการ สืบค้นทางสังคม ทางจิตวิทยา ทางฟิสิกส์ และคณิตศาสตร์ ดังที่เขานาวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์มา เป็นกรอบความคิด นาเอาตรรกวิทยามาผสมกับคณิตศาสตร์สมัยใหม่มาเป็นวิธีคิดและวิธี ตรวจสอบความรู้ รสั เซลชใ้ี ห้เห็นความสาคัญของปรัชญาว่า เป็นสิ่งที่อยู่คั่นกลางระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทว วิทยาในศาสนา ดังน้ี “ปรัชญาจะอยู่กึ่งกลางระหว่างเทววิทยา (Theology) และวิทยาศาสตร์ (Science) เหมือนเทววิทยาตรงที่ว่าด้วยเรื่องที่ไม่สามารถหาความรู้ได้อย่างแน่นอน แต่ก็เหมือนวิทยาศาสตร์ ตรงที่จะใช้หลักเหตุผลยิ่งกว่าจะอาศัยอานาจอื่นใดเป็นเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์ที่เคยเชื่อถือ กันมาก่อนหรือหลักแห่งความเชื่อถือนั้นได้มาโดยเทพโองการจากพระเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าถือว่า ความรทู้ แี่ น่นอนเปน็ เรอื่ งของวิทยาศาสตร์ หลักคาสอนที่อยู่เหนือความรู้ที่แน่นอนเป็นเรื่องของเทว วทิ ยา ช่องว่าระหวา่ งสองวชิ านี้ เปน็ เรื่องของปรชั ญา” 3 รัสเซลตง้ั เปา้ หมายทางปรัชญาไว้ เพื่อใหบ้ รรลุถึงความจริงแท้เกี่ยวกับสิ่งที่มันเป็นอยู่หรือมี อยู่ตามสภาพ มากกว่าความเป็นจริงเกี่ยวกับภาษา ซึ่งในประเด็นนี้ นักปรัชญาภาษาวิเคราะห์ ได้ พยายามหาเกณฑท์ างภาษามารับรองคุณคา่ หรือความหมายของสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า สิ่งนั้นจะต้องขึ้นอยู่ กบั ภาษาที่ใช้สื่อและต้องมตี ัวตนทแี่ ทจ้ ริงมารองรับ เช่น การกล่าวถึงพระเจ้านะโปเรียน ต้องระบุได้ ว่า พระเจา้ นะโปเรียน กษัตรยิ ์ชาวฝรั่งเศสในประวัติศาสตร์มีตวั ตนจริง ถา้ หากไม่มีนะโปเลียนตัวตน จริงมารองรับภาษาที่กล่าวอ้างกันจะถือว่า “ไร้ความหมาย” เช่น คากล่าวว่า “พระอภัยมณี แต่งงานกับนางเงือก” เป็นคาพูดที่ไร้ความหมาย เพราะทั้งตัวพระอภัยมณีไม่ใช่บุคคลจริงใน ประวัติศาสตร์ และนางเงือกก็ไม่มีตัวจริง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้รัสเซลจะพอใจใช้วิธีแบบภาษา วิเคราะห์ แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นนักปรัชญาภาษาวิเคราะห์ เพราะความประสงค์ของเขาเพียง ตอ้ งการจะประเมนิ ความเช่อื ของมนุษยเ์ กี่ยวกับความเป็นจริง เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของความ เชือ่ น้นั เทา่ นั้น4 วิธีการทางปรัชญาของเขาคือการแสวงหาวิธีวเิ คราะหเ์ พื่อตรวจสอบว่า “ขอ้ ความทไ่ี ด้ วิเคราะหห์ รือเป็นทเ่ี ขา้ ใจแลว้ สามารถจะเปน็ ทีย่ อมรับวา่ เป็นจรงิ ไม่มีทางกลายเปน็ อย่างอืน่ ” 3 Bertrand Russell, A History of Western Philosophy, (London: Unwin Paperbacks, 1984. p. 13. 4 Ted Honderch, ed., Philosophy through Its Past. (London: Pelican Books, 1984), p. 467. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

154 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา อาศัยที่มคี วามรู้ทางคณติ ศาสตร์ เข้าใจวธิ แี บบตรรกศาสตร์ ดังนั้น สิ่งใดที่รสั เซลต้องการตรวจสอบ เขาจะแสดงวิธกี ารศกึ ษาอย่างละเอยี ดละออ เปน็ ขั้นเป็นตอนอยา่ งมีเหตุผล ชดั แจ้งโปรง่ ใส จนไดร้ ับ สมญั ญานามวา่ “Philosophical Everyman” (นกั ปราชญผ์ รู้ จู้ ริงของยุคปจั จบุ นั ) ข้อที่น่าสังเกต คอื ในการนาเสนอความคดิ ทางปรชั ญาของรสั เซลจะพบปญั หาทางปรัชญาท่ีสาคญั ทุกปญั หา มอง ปญั หาได้ตรงจดุ ถูกประเดน็ ให้คาตอบในแตล่ ะปญั หาไดห้ ลายแง่มุม สมกับที่เป็นผรู้ อบรหู้ ลาย สาขาวชิ า คาตอบจึงครอบคลมุ อยู่ในหลายสาขาวชิ าและหลายลทั ธิแนวคดิ รัสเซลประยุกต์ทั้งวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ หรือ วิธีประสบการณ์ ผสมกับการใช้เหตุผล แบบตรรกวิทยาเข้าด้วยกัน โดยยืนยันว่า ลาพังแต่ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส หรือ การคิด เหตุผลที่แยก กันแต่ละส่วน ยังไม่ทาให้เข้าถึงความจริงที่ลึกซึ้งได้เพียงพอ ต้องมีเครื่องมือคือ ตรรกวิทยา และภาษาวิเคราะห์มาช่วยอีกแรงหนึ่ง ดังที่เขากล่าวว่า “ปรัชญาจะเริ่มต้นที่ปัญหา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ภาระสาคัญยิ่งของปรัชญาคือการวิเคราะห์ วิจารณ์ อธิบายกฎเกณฑ์ตลอด ทั้งมโนทัศน์ของวิทยาศาสตร์นั้นด้วย สาระสาคัญของปรัชญาคือ การคิดหาเหตุผลตามหลัก ตรรกวิทยา และการวิเคราะห์เหตุผลตามหลักตรรกวิทยาจาต้องอาศัยหลักภาษา” 5 หากจะ พิจารณาพัฒนาการความคดิ ทางปรัชญาของรัสเซล เราพบว่า จุดยืนทางปรัชญาของเขาเปลี่ยนไป ตามระดับแห่งวุฒิภาวะทางสติปัญญาและประสบการณ์ที่เพิ่มพูนมากพอ ตลอดช่วงอายุ 98 ปี สามารถจะแบ่งจดุ ยืนแนวคดิ ทางปรชั ญาได้ 4 แบบ 6 คอื 1. ระยะอุดมการณ์นยิ มหรือ จิตนยิ ม (Idealistic Phase) ค.ศ. 1895-1900 2. ระยะสัจนิยมแบบปรมาณูนิยมทางตรรกะ (Realistic and Logical Postivist Phase) ค.ศ. 1901-1912 3. ระยะสัจนิยมและสร้างสรรค์นิยมทางตรรกะ (Realistic and Logical Constructionist Phase) ค.ศ. 1913-1920 4. ระยะสัจนิยมและสร้างสรรค์นิยมของมนัส (Realism and Constructionism of Mind) ค.ศ. 1921-1970 หรอื อาจจะแบ่งตามชว่ งแหง่ วยั ไดเ้ ป็น 3 ลกั ษณะ คอื 1. ระยะปฐมวยั แนวคิดเปน็ แบบ อุดมคตินยิ ม หรอื จติ นิยม (Idealist Stage) 2. ระยะมัชฌิมวัย แนวคิดเป็นแบบ ปรัชญาวิเคราะห์ (Analytic Stage) ที่นา ตรรกวิทยามาผสมกับคณติ ศาสตรส์ มัยใหม่ 5 บุญมี แท่นแกว้ , ญาณวทิ ยา, หน้า 121. 6 กรี ติ บุญเจือ, แก่นปรชั ญาปจั จบุ นั , หนา้ 151-154. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

155 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3. ระยะปัจฉิมวัย แนวคิดเป็นแบบ สัจนิยมใหม่ (Neo Realistic Stage) ที่อาศัย ตรรกศาสตร์ บางครั้งเรียกว่า ปฏิฐานนยิ มทางตรรกะ (Logical Positivism) ทยี่ นื ยันว่า ความเป็น จริงมีอยเู่ ท่าท่สี ามารถจะตรวจสอบดว้ ยวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ ในภาพรวมทั้ง 4 แบบหรือ 3 ระยะแห่งวัย พบว่า ปรัชญาของรัสเซล มีลักษณะเป็นแบบ ประนีประนอม หากมองจากฐานทางอภปิ รชั ญา แนวคิดของรัสเซลอาจเรียกว่าเป็นแบบสัจนิยม ใหม่ หากมองจากฐานทางญาณวิทยา แนวคิดของเขาเป็นแบบ ปรมาณูนิยมทางตรรกะ (Logical Atomism) หรือ ปฏิฐานนิยมแบบตรรกะ (Logical Positivism) หรือ ปฏิฐานนิยมใหม่ (Neo Positivism) หมายความวา่ หลักการทเ่ี ราควรยึดไปพลางก่อน คือ วิธีทดสอบของวิชาฟิสิกส์ เพราะ สามารถอธิบายใหป้ ระจกั ษแ์ ก่สายตาคนทง้ั หลายได้ เอากฎของฟิสิกซ์มาเป็นเกณฑ์วัดความจริงของ ส่ิงต่าง ๆ แต่ถ้ามองจากวิธีแสวงหาความรู้ ก็จะเป็นแบบปรัชญาภาษาวิเคราะห์ (Language Analysis) อาศัยวิธีภาษาวิเคราะห์ที่กล่าวมาแล้ว ดังที่ วิตต์เกนสไตน์ (Ludwig Wittgenstein) ได้ นาวธิ ขี องรสั เซลมาปรบั เปลีย่ นให้เป็นแบบภาษาวิเคราะห์ของเขาเอง อยา่ งไรก็ตาม แนวคิดแบบสัจนิยมก็ยังคงเป็นแนวคิดหลักของรัสเซลตลอดมา โดยที่เขายัง เน้นการแสวงหาความจริงอย่างท่มี นั เป็นอยู่ มากกวา่ จะหาความจรงิ เก่ียวกับภาษาอยา่ งท่ีนักปรัชญา ภาษาวิเคราะหค์ นอนื่ ๆ ยดึ ถือกนั ระยะหลัง ดูเหมือนเขาจะกลับไปเป็นนักคิดแนวจิตนิยมแบบเพล โต ในกรณีที่กล่าวถึงความจริงที่อยู่เหนือการเข้าถึงด้วยประสาทสัมผัส ดังที่เขาแบ่งโลกออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏ (the Appearents) และ ระดับความเป็นจริงแท้ (the Reality) ที่อยูเ่ บือ้ งหลังปรากฏการณ์ รัสเซลกล่าวว่า “ความจริงทางอภิปรัชญา เหนือการตัดสินใจ ของมนุษย์” แม้ว่าแนวคิดของรัสเซลจะไม่ได้รับความนิยมหรือมีอิทธิพลต่อนักคิดอื่นๆสมัยต่อมา มากนักก็ตาม แตแ่ นวคิดทางปรัชญาของเขากม็ ีคา่ ควรแกก่ ารศึกษาอยู่ไมน่ ้อย 4) ลักษณะ ระดบั และแหล่งเกดิ ความรู้ ความรู้ ในทรรศนะของรสั เซล แบง่ ออกเป็น 2 ลกั ษณะ 7 คือ 1. ความรโู้ ดยประจกั ษ์ หรอื ประสบการณ์ (Knowledge by Acquaintance) หมายถึงความรู้ที่เกิดจากสิ่งที่ถูกรู้ ที่ปรากฏโดยตรงผ่านทางประสาทสัมผัสทางใดทางหนึ่ง เป็น ความรู้โดยตรงเปน็ การรวู้ ัตถุ โดยไม่ตอ้ งร้คู วามสมั พนั ธ์ของวตั ถุกับส่ิงอ่ืน ๆ 7 Bertrand Russell, The Problems of Philosophy, (Oxford: Oxford University Press, 1982),pp.28- 32. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

156 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 2. ความรู้โดยการบรรยายหรือการบอกเล่า (Knowledge by Description) ความรู้ที่เกิดโดยอาศัยผู้อื่นบรรยาย บอกเล่าอีกต่อหนึ่ง หรือจากหลักฐานอื่น ๆ ที่อ้างอิงได้ เป็น ความร้โู ดยออ้ มตอ้ งผา่ นส่ือกลางท่ชี ่วยให้ขา้ มพ้นวสิ ัย (ขอบเขต) ของประสบการณ์หากจะแบ่งระดับ ความรู้ ตามทรรศนะของรัสเซล มี 2 ระดบั คอื 1) ความรู้ระดับรับรู้สึกทางผัสสะ เป็นความรู้โดยตรงจากประสบการณ์ ซึง่ ยังมีขดี จากัดเพียงแคป่ ระสาทรบั รู้และสงิ่ ที่จะเอื้อต่อการรับรูส้ ึก 2) ความรูร้ ะดับใชเ้ หตผุ ล เป็นความรู้ที่เกิดจากการประเมินผลผ่านข้อมูล ตา่ ง ๆ ซึง่ บางเร่อื งอยูเ่ หนือวิสยั ของประสบการณ์ ดา้ นแหลง่ เกิดความรู้ รสั เซลยอมรบั แหลง่ เกดิ 2 ฐาน คอื 1. เกิดผ่านทางประสาทสัมผสั (Sense-Experience) โดยประสบการณ์ทางประสาททั้ง ห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายความรู้ที่เกิด ทางประสาทสัมผัส เป็นสิ่งที่ชัดเจน มีหลักฐานเป็นรูปธรรมให้เราพิสูจน์ประจักษ์ได้หากมีคาถาม ทานองนว้ี า่ เราจะสามารถพิสูจนไ์ ดอ้ ย่างไรถึงการมีอยู่ของวัตถุภายนอก ? หรือคาถามว่า ท่านรู้ได้ อย่างไรว่ามีหนังสือวางอยตู่ รงหน้า? คาตอบคือ เพราะข้าพเจ้ามองเห็นทั้งกาลังถือหนังสือและอ่านอยู่ด้วยประสาท สัมผสั ทงั้ หา้ ท่ีเรารบั รู้ ยังจะต้องการข้อพิสุจน์อื่นอีกไหมเพื่อยืนยันการมีอยู่ของหนังสือตรงหน้าเรา รัสเซลกลา่ ววา่ คงไม่ต้องการอะไรเพิ่มเตมิ อีก เพราะประสาทสัมผัสเป็นเครื่องยืนยันที่กาลังแสดงว่า เรารู้โลกภายนอกได้โดยตรงว่า สิ่งนั้นๆมีอยู่ ทั้งคุณลักษณะและคุณสมบัติของมันเราก็สามารถรับ รสู้ ึกได้ทางประสาทสมั ผัส น่ันคอื เรากาลังรอู้ ะไรอยู่วา่ มนั คอื อะไร การรบั รู้ทีผ่ ดิ พลาด เป็นความจริงอย่างหนึ่งเช่นกันว่า ประสาทสัมผัสของเราก็อาจหลอนเราได้ เช่น การเหน็ ภาพมายาในทะเลทราย คนท่เี ป็นโรคตาบอดสีจะไม่สามารถจาแนกความต่างของสีได้ การ มองดูในที่มืดจะเห็นอะไรผิดรูปร่างไปจากของเดิม ดังการเห็นม้าเป็นลา เห็นกิ่งไม้ไหวเป็นผีหลอก เปน็ ต้น เรอ่ื งทานองน้ี แสดงใหท้ ราบวา่ การรบั รูผ้ ่านทางประสาทสัมผัสยังไม่น่าเชอ่ื ถอื เพื่อใหเ้ ห็นภาพชดั เจนการรับรทู้ ่ผี ดิ พลาด เกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คอื 1) ระบบประสาทรับรู้ไมส่ มบูรณ์ เช่น ตาบอดสี หรอื แสงสวา่ งไมเ่ พียงพอเปน็ ต้น 2) การวนิ จิ ฉัยผิดพลาด เชน่ ตาเห็นมา้ แต่วนิ จิ ฉัยวา่ เป็นลา เปน็ การด่วนตดั สินใจ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

157 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา หากเราไม่แน่ใจต่อการเหน็ ควรจะใช้อายตนะส่วนอื่นมาช่วย เชน่ ใชห้ ฟู ังเสียง เราก็รู้อยู่ว่าเสียงม้า กับเสียงลาร้องต่างกัน หรือใช้จมูกดมกลิ่น ในกรณีที่เราเห็นลูกแอปเปิลปลอม เหมือนทั้งสีและ ขนาด ต้องดมดู หากไม่แน่ใจอีกต้องกัดชิมดู สัมผัสดู เป็นต้น แล้วค่อยวินิจฉัยว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้น ในการรับรู้สึกทางประสาทสัมผัส อย่าวางใจเชื่อเพียงการรายงานจากอายตนะเดียว หากไม่ แน่ใจต้องพึ่งอายตนะอื่นๆมาเป็นเครื่องมีพิสูจน์ เช่นเราได้ยินเสียงกุกกักในห้องถัดไป อยากรู้ว่า เป็นเสียงอะไร อย่าเดา ต้องเดินไปดูด้วยตา เห็นแล้วหลักฐานครบจึงตัดสินว่า เป็นอะไรภายหลัง ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส โดยตัวมันเอง ไม่เป็นทั้งถูกหรือผิด เพราะมันเป็นสิ่งที่มีอยู่และ ปรากฏออกมาเพื่อให้เราได้รับรู้และวินิจฉัย ลาพังเพียงการรับรู้สึกจากสัมผัสภายนอก ยังไม่ สามารถทาใหเ้ กิดความรู้และการตัดสินใจได้ ต้องมีการรับรู้สึกภายในซึ่งประกอบด้วย ความรู้สึก ทรรศนคติ อารมณ์ ความสุขและความทกุ ข์ ผสมกับการทางานของจิตคือ ความคิด ความเชื่อ และ ความประหลาดใจ เปน็ ตน้ ดังนั้น เมื่อบอกว่า เรารู้บางอย่าง หมายถึง เรากาลังอยู่ในสภาวะทางจิตที่กาลังเกิดขึ้น บางอยา่ ง แต่เราไม่ควรจะไปไกลเกนิ กว่าประสบการณ์เพื่อมารองรับความจริง 2. เกิดจากการคิดอนุมานด้วยเหตผุ ล (Inference or Reason) แหล่งความรู้อีกประเภทหนึ่งคือ การคิดด้วยเหตุผล เพราะประสบการณ์ไม่ใช่ แหล่งเกิดความรู้เพียงอย่างเดียวในโลก รัสเซลแสดงให้ทราบว่า ยังมีความรู้บางอย่างที่อยู่เลย ขอบเขตของประสบการณ์ เช่นถามว่า ท่านทราบได้อย่างไร ว่า 74 + 89 เท่ากับ 163 ท่านจะตอบ ว่า ขา้ พเจ้าคานวณด้วยการบวกออกมา คาตอบนี้แสดงว่า ท่านไม่ได้บอกว่า ท่านเห็นเลข 163 ลอย มา หรือได้ยินเสียงเลข ได้สัมผัสเลขนั้น แต่ท่านบอกว่า ท่านคิด แสดงว่า เราสามารถทราบคาตอบ 74 + 89 โดยวิธีอน่ื ไมใ่ ช่วิธีประสบการณ์ น่นั คอื วธิ คี ิดดว้ ยเหตผุ ล ในกรณีที่การรบั รู้บางเร่อื งทีข่ า้ มวสิ ัยการรบั รูท้ างประสาทสมั ผสั หรือไม่ปรากฏใน ปัจจุบัน เช่น ความรู้ทางอภิปรัชญา โครงสร้างที่ละเอียดที่สุดของสสาร หรือ อีกด้านหนึ่งของ พื้นผิวดวงจันทร์ หรือบางที่เกิดจากการอ้างอิงหลักฐานที่ผ่านการพิสูจน์ยืนยันเป็นกฎลงตัวแล้ว ดงั นนั้ เหตผุ ลจึงเป็นเกดิ ความรูอ้ ีกฐานหนึง่ ของมนุษย์ การให้เหตผุ ลเกิดได้อยา่ งไร กระบวนการให้เหตุผลเกิดจากการรวบรวมข้อความ (ข้อมูล) หลายอย่าง หรือบทเสนอ ท้ังหลายมาสังเคราะห์เพื่อหาบทสรุปสุดทา้ ยด้วยการอนมุ านหาคาตอบอื่นนอกจากบทเสนอ เช่น อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

158 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา - ในกระเป๋าสตางคข์ องผมมเี หรยี ญ 1 สตางค์ และ เหรียญ 20 สตางค์ (บทเสนอ) - แสดงว่า ผมมีเงินน้อยกว่า หนึ่งสลึง (บทสรปุ ) - เพราะจานวน 25 สตางค์ จงึ เปน็ หน่งึ สลงึ (การใหเ้ หตผุ ลอนุมาน) การใช้เหตุผลมี 2 วธิ ีคอื 1. วิธีนิรนยั (Deductive Reasoning) เป็นวิธที ่กี ารอนุมานหาบทสรุปต้องสอดคล้อง ลงตัวในเชิงตรรกะ (ความสมเหตุสมผล) กับบทเสนอ (บทตั้ง) เสมอ ถ้าบทตั้งถูก บทสรุปก็ต้องถูก ดว้ ย ถ้าบทเสนอผิด บทสรปุ กย็ ่อมผิดตามมา นั่นคอื ถา้ เรายอมรบั วา่ บทเสนอเป็นความจริง คาตอบ ที่อนุมานตอ้ งเปน็ ความจริงวันยงั ค่า ข้อพึงระวัง ไม่ควรจะยดึ เหตุผลทางตรรกะไปใส่แทนเหตุผลทาง ความจรงิ แท้ (Truth) ตัวอยา่ ง 1 ประโยคเงื่อนไข ถา้ ฝนตก ถนนตอ้ งเปียก ขณะนี้ ฝนกาลังตก ดงั นัน้ ถนน จึงต้องเปยี ก (ถูกเพราะเปน็ ความจรงิ ) ตวั อย่าง 2 เจ้าหญงิ ไดอาน่า สน้ิ พระชนมเ์ พราะอุบตั เิ หตทุ างรถยนต์ท่ีฝร่ังเศส นา้ ที่เดอื ดในความกดบรรยากาศระดับน้าทะเลวัดได้ 100 องศาเซนตเิ กรด 12 X 12 เทา่ กับ 144 สรปุ วา่ ผมกาลังอ่านหนังสือ บทสรุปถูกต้องเป็นความจริง แต่ไม่สมเหตุสมผลทางตรรกะ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า บทสรุป จะต้องถูกต้อง 1. ต้องรูว้ ่า บทเสนอตอ้ งเปน็ สิ่งที่ถกู ตอ้ ง 2. ความสมั พันธ์ของบทเสนอและข้อสรุปตอ้ งสมเหตุผลทางตรรกะ มีคาถามว่า กเ็ มื่อร้บู ทเสนอแล้วจะตอ้ งการพิสูจน์อะไรอีก คาตอบคือ ต้องการคาตอบท่ี ยังไมป่ รากฏแต่อาศัยสงิ่ ที่เรารู้มาเป็นฐาน 2. วิธีอุปนัย (Induction) เป็นวิธีอนุมานโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือข้อเท็จจิงให้ มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเป็นฐานการสรุปความจริงที่ใกล้เคียงที่สุด เป็นไปได้มากที่สุด ดัง กรณีการสารวจความคดิ ของสานักวิจยั ต่าง ๆ เชน่ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

159 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1. ชาวพุทธศาสนกิ ชนเบอ่ื มหาเถรสมาคมท่แี สดงท่าทีโอบอมุ้ วดั พระธรรมกาย 2. ชาวพทุ ธที่เชยี งใหมว่ จิ ารณม์ หาเถรสมาคมอยา่ งหนกั ในกรณีน้ี 3. ชาวพุทธที่ขอนแก่นก็เปิดเวทีตามหาแก่นธรรมวิพากษ์มหาเถรสมาคมอย่าง แหลกเหลว 4. ดงั น้ัน ชาวพทุ ธศาสนิกชนทัว่ ทกุ ภาคของประเทศไทย เบื่อมหาเถรสมาคมกรณี วดั พระธรรมกาย ตัวอย่าง กรณคี ล่ีคลายคดีฆา่ ตัวตายหรอื ถกู ฆาตกรรมของนายหา้ งทอง ธรรมวัฒนะ 1. นายหา้ งทองตายด้วยอาวุธปืน 2. มอี าวุธปืนและเขมา่ ปืนทมี่ อื นายหา้ งทอง 3. นายห้างทองมีความเครยี ดเพราะคดีแย่งมรดกตระกลู 4. นายห้างทองถกู ญาตกิ ล่าวหาปลอมเอกสารเรอ่ื งมอบอานาจจัดการมรดก 5. ดังน้นั มีเหตจุ ูงใจให้เชือ่ ว่า นายห้างทองฆ่าตัวตายเพราะหนีปญั หา แตอ่ กี หลักฐานหน่ึงพบว่า 1. บคุ คลใดฆ่าตัวตายดว้ ยอาวธุ ปนื ยงิ ทะลสุ มอง มอื ย่อมเกรง็ และกาแนน่ แตม่ อื นายหา้ งทองผอ่ นคลายและปนื วางท่ตี ักไม่ใช่อยใู่ นมือ 2. พบเขมา่ ปนื ทมี่ อื จรงิ แต่เหตใุ ดจึงพบทมี่ อื ทงั้ สองขา้ ง คนย่อมถนดั มอื ขา้ งเดยี ว 3. พบวา่ มีสารบางอย่างในกระเพาะของนายหา้ งทอง 4. หน้สี ินตามที่เปน็ ขา่ ว นายห้างทองเคลียร์หมดแลว้ ไมน่ า่ มีความเครยี ด แสดงว่า นา่ จะเปน็ การฆาตกรรม ท้งั สองประเด็นที่นามาเสนอนี้ พอจะให้เราพบวา่ คาตอบด้านใดก็น่าเป็นไปได้ทั้งสิ้น หาก ยืนนัยด้านเดียว โอกาสผิดพลาดย่อมบังเกิดมี และการตัดสินคดีเพราะข้อมูลพาไปจับคนผิดเข้า ตารางมามากแลว้ ข้ันตอนของการเกดิ การรบั รู้ รัสเซลได้วิเคราะห์องค์ประกอบได้ 3 อยา่ งคือ 8 1. พชิ าน (Consciousness) กิริยาทีเ่ กิดความรูท้ างจิ(Mental Awareness) ซง่ึ ทาหนา้ ที่เพยี งจาแนกบุคคลและวตั ถุใหต้ ่างกัน เป็นผแู้ ทนของ ตวั จรงิ (Entity) อกี ดว้ ย 2. ข้อมูลทางประสาทสัมผัส (Sense Data) หรือวัตถุที่เราสัมผัสได้ทางประสาท (Sensible Objects) ซ่งึ เรารบั รูส้ กึ ถึงสง่ิ นนั้ ๆ ได้ 8 Frank Thilly, A History of Western Philosophy, p.604. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

160 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3. ตัววัตถุที่ถูกรับรู้สึกทางสัมผัส (Perceptual Object) ผ่านทางสื่อกลางของ ข้อมูลผัสสะจิตไมเ่ ขา้ ถงึ วัตถโุ ดยตรง 5) วิธสี รา้ งความรู้ วิธีการหาความรู้ในทรรศนะของรัสเซลปรากฏเด่นชัดในหนังสือ Logical Atomism ในหนังสือเล่มนี้ รัสเซล ได้แสดงจุดแยกของตนในทางปรัชญา เพราะเขามั่นใจในความ ชัดเจนของผลลพั ธท์ างคณติ ศาสตร์ ดังที่รัสเซลประกาศว่า “ปรัชญาที่ข้าพเจ้าต้องการจะประกาศก็ คือปรัชญาที่ชื่อว่า Logical Atomism เป็นแนวคิดที่ผลักตัวมันเองภายในข้าพเจ้า” เกี่ยวกับการ คิดในปรัชญาคณิตศาสตร์ รัสเซลต้องการจะตั้งหลักการทางปรัชญาที่มีบางอย่างจากหลักการทาง ตรรกะ และวางทฤษฎบี นฐานของบางอย่างจากคณิตศาสตร์ เขาคิดว่า “เนื่องจากมันเป็นไปได้ที่จะ สร้างตรรกะโดยวิธีเดียวกันกับคณิตศาสตร์ทั้งหมด สามารถได้รับมาจากตัวเลขเพียงนิดหน่อยของ สัจพจน์ทางตรรกะ ดังที่เขาได้คิดร่วมกับ A.N. Whitehead ในหนังสือ Principia Mathemathica ดังนั้น ด้วยเหตุใด แบบทางตรรกะฐานทางภาษาที่สามารถแสดงทุกสิ่งได้อย่างเด่นชัด จะไม่ สามารถนามากลา่ วถงึ ได้เล่า” ด้วยการบวกปรมาณนู ยิ มทางตรรกะ และบางสิ่งจากทางคณิตศาสตร์ เข้าด้วยกัน โลกจะต้องยอมรับภาษาตรรกะ คาศัพท์ของตรรกะใหม่จะต้องระบุถึงวัตถุเฉพาะใน โลก ทเี่ ขาสรา้ งมาเปน็ พเิ ศษ เพ่ือให้งานทีเ่ ขาสรา้ งภาษาใหม่ถึงเป้าหมาย เขาจึงได้วางเป้าหมายที่จะ วิเคราะห์ ข้อเท็จจรงิ (Facts) ทรี่ สั เซลแสดงใหเ้ ห็นว่า ต่างจากสิ่งทงั้ หลาย(Things) 9 กลับมาพิจารณาปรัชญาปรมาณูนิยมทางตรรกะของรัสเซล คาว่า “Atomism” มิได้ หมายถึงโครงสร้างสุดท้ายของสสารในวิชาฟิสิกส์ที่แยกย่อยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แต่หมายถึง จุด สุดท้ายในการวิเคราะห์ที่ไม่สามารถแยกย่อยออกไปได้อีก ดังนั้น “Logical Atomism” หมายถึง สิ่งสุดท้ายที่ไม่สามารถแยกย่อยออกไปได้อีกโดยการแยกเชิงตรรกะ เป็นปรมาณูทางตรรกะ (Logical Atom) ไม่ใช่ปรมาณูทางฟิสิกซ์ (Physical Atom) หรือปรมาณูทางเคมี (Chemical Atom) หลักการของปรมาณูนิยมเชิงตรรกะ คือ โลกประกอบไปด้วยข้อเท็จจริงทางอะตอม (Atomic Facts) ที่สามารถนามาแสดงให้ปรากฏได้ด้วยข้อความแบบพื้นฐาน ที่ประกอบด้วยชื่อ เฉพาะทางตรรกะที่มีอยู่จริง เป็นลักษณะข้อมูลผัสสะ รัสเซลพยายามได้ผลมากในสร้างความ สอดคล้องทางภาษากบั โลก แต่ในด้านการตงั้ ทฤษฎีไม่ประสบผลสาเร็จนัก มีประเด็นที่ควรพิจารณา 9 Samuel Enoch Stumpf, Philosophy History&Problems, (New York: McGrawhill Book Company,1983), p.420. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

161 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ตอ่ ไปน้ี การวเิ คราะหเ์ ชิงตรรกะ (Logical Analysis)เปน็ หนทางเข้าสู่การคน้ พบความเป็นจริง ใน ทรรศนะของรัสเซล เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของจักรวาลโดยการใช้วิธีการ วิเคราะห์ทางตรรกะ เพราะหน้าท่ีแรกก่อนตัง้ ปรชั ญาก็คือการค้นพบโครงสร้างพื้นฐานของจักรวาล ซง่ึ จะเป็นไปได้เพราะการผ่านการวิเคราะห์วัตถทุ ีร่ วมตัวเป็นกลุ่มก้อนออกมาเป็นส่วนย่อยที่สุด แต่ นักปรชั ญาท่านอื่นๆ เช่น เฮเกลและ แบรดเลย์ ไม่เห็นด้วยแนวคิดเช่นนี้ เพราะการวิเคราะห์ศึกษา วตั ถจุ ะกลายเปน็ สง่ิ อืน่ แทนเสยี กไ็ ด้ เช่น เมื่อเราวิเคราะห์มนุษย์แยกออกมาเป็นส่วนประกอบต่างๆ มันกจ็ ะเปน็ การเบย่ี งเบนประเด็นไม่ถูกต้องตามความจริง มนุษย์ควรจะดารงอยู่เต็มรูปในฐานะรวม องค์ประกอบทั้งหมด ไม่ใช่การแยกส่วนกล่าวถึง เพราะอวัยวะแต่ละอย่างคงไม่สามารถเป็นอยู่ได้ โดยปราศจากร่างกายทั้งหมด ดังนั้น ส่วนรวมทั้งหมดคือเอกภาพที่เราสามารถเข้าใจได้ แต่อวัยวะ เปน็ เพียงสว่ นที่ปรากฏออกมาเทา่ นั้น รสั เซลไดค้ ัดคา้ นแนวคิดดังกล่าวและยืนยันความคิดของตนว่า ยังเป็นหนทางที่เหมาะสม ที่สุดและใกล้ความจริงที่สุดกว่าวิธีอื่นๆ เมื่อเปรียบวิธีวิเคราะห์ของนักปรัชญารุ่นก่อน เช่น วิธี วิเคราะห์ของเดวิดฮิวม์ เป็นการวิเคราะห์ทางจิตวิทยา หมายถึง แยกการรับรู้ทางจิตออกมาให้เห็น ความทรงจา ความคดิ อารมณ์ และกระบวนการทางจิตวิทยา แตก่ ารวิเคราะห์ของรัสเซลเป็นการ วิเคราะห์ทางตรรกวิทยา หมายถึง วัตถุที่จะวิเคราะห์ เป็นความคิดรวบยอดและข้อความที่เป็นบท ตั้ง (ประพจน์) มุ่งไปที่การศึกษาความเป็นจริงของจักรวาลและข้อเท็จจริงที่แฝงอยู่ในโลกและ จักรวาล 6) ส่งิ ท่ีถกู รู้ รสั เซลเสนอวา่ การรับรเู้ กย่ี วกบั ส่ิงตา่ ง ๆ แบ่งเปน็ 2 ระดับ คือ 1. สิ่งที่ปรากฏ (Appearance) หมายถึง เปลือกนอกที่หุ้มห่อของจริง หมายถึง สิ่งที่ปรากฏแก่ประสาทสัมผัส เช่น เรามองโต๊ะ สิ่งที่ปรากฏคือ สีของโต๊ะ รูปแบบ สัณฐาน หาก เจาะลึกลงไป สีที่แท้จริงของโต๊ะที่ปรากฏแก่สายตาก็ไม่ใช่สีอย่างที่เราเห็น ไม้ที่เราสัมผัสก็ไม่ได้มี ความแข็งหรืออ่อนอย่างที่เราสัมผัส แบ่งย่อยออกไปแล้ว ไม้จะประกอบไปด้วยเซลต่างๆ ย่อย ละเอียดลงไปเปน็ โมเลกุล แตไ่ มป่ รากฏแกส่ ายตาของเรา 2. ธรรมชาตทิ ่ีแท้จริง (Reality) ที่ซ่อนอยู่ภายในของสิ่งที่ปรากฏ หมายถึง ความ จริงแท้ สภาพที่จริงแท้ เช่นกล่าวถึง วัตถุ หากแยกย่อยลงไปก็ได้ อะตอม เป็นโครงสร้างสุดท้าย หรือกล่าวถงึ บคุ คล เราก็ตอ้ งกลา่ วถงึ ส่วนประกอบทร่ี วมตวั เป็นบคุ คล อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

162 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ลักษณะของวัตถทุ ่ีถกู รับรู้ รัสเซลกล่าววา่ เราไมส่ ามารถรูถ้ งึ ตวั ความจริงของสิ่งต่าง ๆ ได้โดยตรง เราได้รับรู้ผ่านทาง ส่ือกลาง น่ันคือเรารูม้ นั โดยผา่ นข้อมลู ผสั สะ นอกเสียจากเราจะรู้ความสัมพันธ์ของสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่ง หนึ่งในจักรวาลแล้ว เราจงึ จะขยายความร้รู ะหวา่ งส่ิงนน้ั กบั สิง่ อนื่ ๆ รสั เซลไดแ้ ยกกระบวนการรบั รู้วัตถภุ ายนอกออกเปน็ 4 ระดบั คอื 1. ข้อมูลผัสสะ (Sense-Datum) หมายถึง วัตถุภายนอกในฐานะที่เป็นข้อมูล ผัสสะมีอย่จู ริง ท้งั เราสามรถรับรไู้ ดโ้ ดยตรง แต่รับรู้รายละเอยี ดได้ไมห่ มด 2. การรูส้ ึก (Sensation) คอื การรับรูห้ รอื รสู้ กึ ในฐานะเป็นประสบการณท์ ่รี บั รู้ 3. การรับรู้สึก (Perception) คือ การรับรู้สึกว่าเป็นอะไร โดยผ่านทางประสาท สัมผัส 4. จิต(Mind) คอื สิง่ ทที่ าหน้าทีค่ ดิ สังเคราะหป์ รุงแตง่ หากจะสาวถงึ ตัวแทข้ องวัตถทุ ีถ่ ูกรับรู้ว่ามีลักษณะอย่างไรนั้น รัสเซลกล่าวว่า วัตถุที่เรารับรู้ ปรากฏออกมาได้หลายลักษณะ เพราะมันเป็นการสร้างสรรค์ทางตรรกะ(Logical Construction) คือ ปรากฏออกมาในสภาพที่ต่างกัน แต่ผู้สังเกตคนเดียวต่างเวลา หรือเวลาเดียวกันแต่ต่างผู้สังเกต ดงั ท่ีรสั เซลกลา่ วว่า “ทกุ ด้านของวตั ถุส่ิงหน่ึงตา่ งก็เปน็ ความจริงแท้ ในขณะที่วัตถุสิ่งหนึ่งก็เป็นเพียง การสรา้ งสรรคท์ างตรรกะ” วัตถปุ รากฏแก่เราผ่านข้อมูลผัสสะ เพราะข้อมูลผัสสะเป็นจุดร่วมหรือจุดนัดพบของจิตและ วัตถุในการรับรู้ การรบั รวู้ ตั ถุ ผา่ นดวงตา (Bionic vision: the fight for sight) http://theconversation.com/bionic-vision-the-fight-for-sight-236 อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

163 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา รสั เซลกล่าวว่า ไม่อาจพสิ จู น์ไดท้ างประสาทสัมผสั โดยตรงถึงวัตถุภายนอกที่มีอยู่เบื้องหลัง ขอ้ มูลผัสสะ และรัสเซลเองกย็ อมรบั ความมีอยู่ของวัตถุในฐานที่เป็นนักสัจนิยมว่า ข้อมูลผัสสะต้อง มีอย่ใู นฐานะท่ีเป็นตวั ยนื พืน้ รองรับขอ้ มลู ผัสสะ หากวัตถุไมม่ จี ริง ข้อมูลผัสสะจะเกดิ เองโดยอัตโนมัติ ไม่ได้ จากข้อสันนิษฐานแบบง่าย ๆ ทาให้เราแน่ใจความแตกต่างของสิ่งต่อไปนี้ที่มีลักษณะที่เป็น อสิ ระจากกันและกนั คือ มีวตั ถอุ ยู่อย่างอิสระตา่ งหากจากเราผู้รู้ และอิสระต่างหากจากข้อมูลผัสสะ เพราะวัตถุภายนอกต้องมีอยู่จริง และไม่ขึ้นอยู่กับการรับรู้มันของเราเลย การยืนยันเช่นนี้ เป็น คาตอบในแบบอนุมานที่เรียกว่า สัจนิยมเชิงตรรกะ (Logical Realism) เหมือนการคิดทฤษฎีแบบ (Theory of Form) ของเพลโต ท่ีกลา่ วถึงความเปน็ สากลของสงิ่ ตา่ งๆ ซงึ่ ความเป็นสากลไม่ได้อยู่ใน จติ ของผู้คิด หรอื อยใู่ นโลกภายนอกแต่กม็ ีอยู่ในสถานะอยา่ งหน่ึงทเ่ี รยี กว่า สถานะทางตรรกะ การตระหนักรวู้ า่ วตั ถภุ ายนอกต้องมีอยู่จรงิ หรอื การตระหนกั รูถ้ งึ ความเป็นสากลของส่ิง ต่างๆ เกิดจากฐานความรแู้ บบญาณตระหนักรู้ทันที (Intuitive Basis) ดงั นั้น ความมีอย่ขู องวัตถุ ภายนอกท่ีอยู่เหนอื การรับรู้ทางผสั สะ หรอื การมอี ยู่ของสิ่งสากลจึงเป็นสจั นยิ มเชิงตรรกะ ไม่ใชส่ ัจ นิยมเชิงฟิสิกซ์ ประเด็นต่อมาคือ จะอธิบายให้เห็นได้อย่างไรถึงความสัมพันธ์เชิงทวิภาคีระหว่าง ประสบการณ์ทางผสั สะ กับวัตถุภายนอก เช่น การมองเห็นดวงอาทิตย์ว่า มีรูปร่าง “กลม” กับดวง อาทิตยท์ ีแ่ ทจ้ รงิ กต็ ้องมรี ูปกลมดว้ ย เราจะอธบิ ายความสัมพนั ธ์นไี้ ดอ้ ย่างไร รัสเซลอธิบายความสัมพันธ์ของการเห็นกับของจริงที่ปรากฏ เพราะมีฐานรองรับ 2 ประเดน็ คือ 1. มีความสัมพันธ์แบบสาเหตแุ ละผลระหวา่ งดวงอาทิตย์ กับการเห็นดวงอาทิตย์ นั่นคือ ดวงอาทติ ย์เปน็ เหตใุ หเ้ ราเห็น หากไม่มีดวงอาทิตย์จรงิ การเห็นก็ไมเ่ กิดขนึ้ 2. มีระดบั แหง่ ความเหมอื นระหวา่ งของ 2 อย่างคือ ดวงอาทติ ยป์ รากฏเป็นดวงกลมแก่เราผู้ยืนมองดูอยู่ ในด้านรูปทรงจรงิ ดวงอาทติ ย์กเ็ ป็นดวงกลม เพราะฉะนั้น การมีอยู่ของวัตถุภายนอก ซึ่งเป็นสาเหตุหรือบางคราวเป็นสิ่งที่คล้าย ประสบการณ์ทางการรับรู้ จึงสามารถอธิบายได้ด้วยการอนุมานแบบอุปนัย เรามีหลักฐานหรือ เหตุผลท่ีจะยืนยนั ได้ว่า สิ่งท่ีเราเห็นว่าเป็นดวงอาทิตย์ บางครั้งอาจจะ “สมควร” เป็นดวงอาทิตย์ แต่กไ็ ม่อาจจะเกิน สิง่ ทน่ี ่าจะเป็นไปได้เรามกี ารอนุมานเชงิ สาเหตุที่เป็นไปได้ ซึ่งสัมพันธ์กับกฎของฟิ สกิ ซว์ ่า เป็นไปได้ทีก่ ารรับร้จู ะตามหลังวตั ถุภายนอก แต่เราก็ไม่มีการรับรู้ที่ชัดเจนใดๆที่จะอ้างได้ว่า อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

164 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เรารับรวู้ ัตถภุ ายนอกไดค้ รบถว้ น ในขั้นสุดท้าย รัสเซลยอมรับว่า วัตถุภายนอกก็คงมีอยู่ แม้ว่าจะไม่ ถกู ใครรบั รูก้ ต็ าม 6.1.2 อลั เฟรด จูลส์ แอร์ [Alfred Jules Ayer (1910 - 1989)] 1) ประวตั ิ เอ. เจ. แอร์ เป็นนักปรัชญาชาวอังกฤษ เกิดที่ลอนดอน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1910 (พ.ศ. 2453) เข้าศึกษาที่ Christ Church, Oxford จบในปี 1932 และจบระดับปริญญาโทที่ มหาวทิ ยาลัยเดียวกนั ในปี 1936 ในระยะที่เขาจบปริญญาตรีได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตหลายเดือนที่กรุง เวียนนา ณ ที่นั้น เขาได้เข้าร่วมประชุมกับกลุ่มเวียนนา ด้วยประสบการณ์นี้ ทาให้แอร์ได้แรง บันดาลใจผลิตผลงานออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า Language, Truth, and Logic (ภาษา ความจริงและ ตรรกะ) เมื่อปี 1936 ซึ่งต่อมาไก้กลายเป็นหลักการของขบวนการกลุ่มปฏิฐานนิยมเชิงตรรกะ (Logical Positivist) หรือ ประจักษนยิ มเชงิ ตรรกะ (Logical Empiricist) แอรต์ ้องการให้ใช้ชื่อหลัง มากกว่า แอร์ได้แนะนาระบบปรัชญาปฏิฐานนิยมใหม่ (Neo Positivism) ของกลุ่มเวียนนาเข้าสู่ กระบวนการเชิงวิเคราะห์มาใช้ในปรัชญาอังกฤษ ทั้งที่ตอนนั้นเขามีอายุเพียง 26 ปีหลังจบปริญญา โท หนังสือ Language, Truth, and Logic ที่เขาแต่ง เป็นคาเสนอที่ไม่มีทางประนีประนอมกันได้ กับ หลักการของปฏิฐานนิยมใหม่อ้างว่า “ข้อความที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยประสบการณ์ จะต้องถือว่าเป็นข้อความที่ไม่มีความหมาย (non-sense)” หนังสือเล่มนี้แหละที่เป็นองค์ประกอบ สาคญั ท่ีปรบั ทศิ ทางให้ปรัชญาองั กฤษและปรัชญาอเมรกิ ันจากการสร้างระบบทางปรัชญาที่เคยถูกตี กรอบแนวคดิ ทงั้ หมดมาส่แู บบปรชั ญาที่ใช้การวิเคราะหท์ างภาษาเป็นหลกั แทน 10 ในปี 1940 แอร์ได้แต่งหนังสือ “The Foundations of Empirical Knowledge” ซึ่ง ประเดน็ หลกั อยูท่ ่ปี ญั หาเกี่ยวกบั การรับรสู้ ึกทางประสาทสมั ผัส ระหวา่ งสงครามโลกครั้งที่สอง แอร์ เป็นทหารในปี 1946 เขาไปรับแต่งตั้งเป็น Grote Professor ในมหาวิทยาลัยลอนดอนสอนวิชา ปรัชญาจิตและตรรกศาสตร์ ในปี 1959 ได้รับเชิญให้เป็น Wykeham Professor ที่มหาวิทยาลัย Oxford สอนวิชาตรรกศาสตร์ และได้รับพระราชทานยศชั้นอัศวิน ในปี 1970 แอร์สิ้นชีวิตที่ ลอนดอนใน 1989(พ.ศ.2532) 10 The Encyclopedia Americana, Vol. 2 International Edition, (Grolier incorporated, 1955), p.884. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

165 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา อลั เฟรด จลู ส์ แอร์(Alfred Jules Ayer) https://www.google.co.th/search?tbm=isch&tbs=rimg%3ACeYkl0UkTTP9IjiX0tUtw90r 8ppruGCAzJHNcjGJOMLFwjCbrE35Q2XAnn-Yili4zy9trfX ผลงานสาคญั นอกจากหนังสือ 2 เลม่ แล้ว แอรแ์ ตง่ หนังสือทางปรัชญาหลายเลม่ ดังรายชอ่ื ต่อไปน้ี คือ 1956 The Problems of Knowledge 1963 The Concept of Person 1971 Russell and Moore 1973 The Central Question of Philosophy 1977 Part of My Life, 1982 Philosophy in Twentieth Century 1984 More of My Life 1985 Wittgenstein แอร์เข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มนักปรัชญารุ่นใหม่ที่เรียกกลุ่มตัวเองว่า กลุ่มเวียนนา(Vienna Circle) ซึ่งนักปรัชญากลุ่มนี้สนใจที่จะแสวงหาความรู้จริง ด้วยวิธีการใหม่ คัดค้านวิธีการแสวงหา ความรู้ในแนวของนกั ปรชั ญารุ่นก่อนๆทช่ี อบคาดคะเนหาความเป็นจรงิ แบบที่เรียกว่า การเก็งความ จริงหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ไดจ้ ารกึ ไวว้ า่ เคยมีนักคิดหลายท่านท่ีต่อต้านวิธีคิดแบบเก็งความจริง มานานแสนนาน แต่มาปรากฏโดดเด่นก็ในกลุ่มเวียนนา เมื่อราวต้นคริสตศตวรรษที่ 20 (1930- อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

166 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1939) เพื่อให้เห็นจุดหักเหทางประวัติศาสตร์ปรัชญา อดไม่ได้ที่จะไม่กล่าวถึงกลุ่มเวียนนาที่ถือว่า เปน็ ยคุ ทองของความคิดใหม่ กลุ่มเวียนนา เกิดมาจากการรวมตัวของนักปราชญ์หลายสาขาวิชา มีสาขาปรัชญา สาขา คณิตศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา สังคมวิทยา สาขาภาษาศาสตร์ เพื่อ สนทนา ถกเถยี ง เสวนา อภปิ รายปัญหาทางปรชั ญาในด้านต่างๆ ผ้นู ากลมุ่ คอื มอริตซ์ ชลิค(Moritz Schlick) 11 ที่เป็นหัวหน้าภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยเวียนนา สมาชิกท่านอื่น ประกอบดว้ ย รดู อล์ฟ คาร์แนป (Rudolf Carnap) เอฟ เวสมันน์ (F. Waismann) อ๊อตโต นิยูรัธ (Otto Neurath) ฟีก (Feigh) เอฟ คัฟมันน์ (F. Kaufmann) เฮช ฮาห์น (H.Hahn) เค เม็งเกอร์ (K.Menger) เคอร์ต โกเด็ล (Keurt Godel)วิตเกนสไตน์ (Wittgenstein) ปอปเปอร์ (Poper) ท่ี เบอร์ลิน มี เฮมเปล (C.Hempel) และ ไรเชนบาร์ค (Reichenbach) และแอร์ (A.J.Ayer) ที่เป็น ชาวองั กฤษ วติ เกนสไตน์ (Wittgenstein) https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Ludwig_Wittgenstein_1910.jpg 11 Fuller and Mc Murrin, A History of Philosophy, (New Delhi : Oxford and IBH Publishing, 1967), p. 592. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

167 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา แนวคิดและวิธีคิดของนักปรัชญากลุ่มเวียนนา ที่แต่งหนังสือ The Vienna Circle, Its Outlook โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์หลกั ๆ 2 ดา้ น คือ 1. ดา้ นบวก เพ่ือวางรากฐานท่ีม่นั คงสาหรับวทิ ยาศาสตร์และเพื่อขจัดความคิดแปลกปลอม ของอภิปรัชญา และเพื่อวางฐานของความคิดอยู่บนหลักการทางประจักษอ์ ย่างเครง่ ครัด 2. ด้านลบเพื่อต้องการพิสูจน์ความไร้ผล และขวากหนามของปรัชญาที่ยึดแนวเดิมตาม ประเพณี และแสดงภาวะไรค้ วามหมาย (Meaningless) ไมม่ เี หตุผลของอภิปรัชญา ท้งั ทาให้เกิดการ เข้าใจผิด เนื่องด้วยหลักการ 2 ด้านนี้เองเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า ปฏิฐานนิยมเชิงประจักษ์ (Logical Positivism) ความโด่งดังขยายมาถึงมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ขยายอิทธิพลต่อไปไกลถึงนักปรัชญา ในอเมริกา ฮอลแลนด์ และ กล่มุ ประเทศสแกนดิเนเวียน ความคาดหวังของกลุ่มเวียนนาก็เพื่อแสดง ว่า ปรัชญาและวิธีการทางปรัชญาอันเป็นที่ยอมรับกันได้ ต้องเป็นปรัชญาที่วางบนฐานทาง ประสบการณ์และวิธีการแบบวิทยาศาสตรท์ ่มี วี ิธีการและเหตุผลอนั น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ กลุ่มเวียนนาประสงค์ที่จะชี้ให้เห็นว่า วิธีการแสวงหาความรู้และอธิบาย ปรชั ญาแบบเดิม ๆ เป็นเพียงการเล่นสาบัดสานวน ขาดเหตุผลที่น่าเชื่อถืออันเป็นหลักฐานเพื่อการ ตรวจสอบ สรปุ ความว่า ปรัชญาแบบเดมิ ในทรรศนะของกล่มุ เวยี นนา มีลักษณะดังนี้ 1. ไม่เป็นแบบวิทยาศาสตร์ (Non - Scientific) 2. เป็นเพยี งการคาดคะเน (Speculative) 3. ไม่เป็นแบบประจกั ษ์ (Non-Empirical) ปรัชญาแบบใหม่ต้องมลี ักษณะดงั น้ี 1. ตัง้ อยู่บนฐานทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Base) 2. หยดุ ใชว้ ธิ ีการคาดคะเนทกุ ชนิด (Quit all Speculation) 3. วางบนฐานประสบการณท์ างประจกั ษ์ (Based on Empirical Experience) 2) แนวคดิ ทางปรชั ญา แอร์ แสดงทัศนะว่า ปรัชญาไม่ใช่คาพูดหรูๆว่า ศาสตร์ของศาสตร์ทั้งหลาย(Science of Sciences) แต่ต้องเป็นการประนีประนอม หรือสังเคราะห์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาช่วยในการ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

168 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ตรวจสอบขั้นตอนความรู้ เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับลักษณะเฉพาะของความเป็นจริงและ ปรัชญาเป็นกรอบความคิด ท้งั สองอยา่ งรวมกนั จึงจะเกดิ ความรอู้ ยา่ งสมบรู ณ์ ปรัชญาต่างจากศิลปศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ตรงที่วิธีการไม่ใช่ที่เนื้อหาวิชา ทฤษฎีทาง ปรัชญาไมส่ ามารถตรวจสอบไดด้ ้วยการสงั เกต แต่เป็นสง่ิ กลางที่ระบุถงึ ขอ้ เท็จจรงิ เฉพาะ12 จุดนี้ทาให้แน่ใจว่า แอร์ ยอมรับความรู้ที่สามารถตรวจสอบได้เชิงประจักษ์ อาศัยวิธีการ แบบวิทยาศาสตร์เป็นฐาน และใช้กรอบภาษามาสื่อในแดนของประสบการณ์ เหนือไปไกลกว่า นน้ั ไม่ยอมรบั เพราะเสยี เวลา และไม่สามารถตรวจสอบได้ เชน่ เรือ่ งต่างๆในสาขาอภปิ รชั ญา อภิปรชั ญา ความคิดทางอภปิ รชั ญาไมใ่ ช่เรอื่ งโง่เขลาเสียทีเดียว แต่ไม่มีวิธีการทางประจักษ์ ใดสามารถตรวจสอบได้ การถกเถียง คาดเดาทางอภิปรัชญาที่อยู่เหนือการรับรู้ทางผัสสะ ก้าวล้า แดนของประสบการณ์ เป็นสิ่งที่เสียพลังงาน และเสียเวลา เพราะสิ่งที่กล่าวถึงในทฤษฎีทาง อภปิ รัชญาไมม่ คี วามหมาย คอื ไม่มีคา่ ควรแกก่ ารเสยี เวลาโตเ้ ถียง ส่ิงที่มีความหมายและมคี ุณคา่ แอร์ กลา่ วว่า มีเพียง ข้อความ ทฤษฎี หรือหลักการที่กล่าว แสดงถึงข้อเท็จจริงอันอยู่ในพิสัยของประสบการณ์ของมนุษย์ ที่สามารถนามาเปิดเผย ตรวจสอบ ความสมเหตุสมผลได้ โดยอ้างถึงขอ้ เทจ็ จรงิ ของประสบการณ์จริง ๆ ขอ้ เท็จจริงทางผัสสะเท่านนั้ ท่จี ะเป็นวัตถดุ บิ เพ่ือการศึกษาซึ่งมีความสมเหตุสมผล และมี ความหมาย กล่าวคือ มีตัวจริงมารองรับสมอ้างนั่นเอง แอร์ แสดงให้เห็นความต่างระหว่าง อภิปรัชญากับปรัชญาดงั นี้ อภิปรัชญา ไม่มคี วามสัมพนั ธ์กับข้อเท็จจรงิ เพราะกล่าวถึงสง่ิ ที่อยู่นอกขอบเขตที่สามารถ ตรวจสอบสัมผัสได้กับความจริง โดยการสังเกตเห็น ไม่มีข้อความใดทางอภิปรัชญาที่สามารถ ตรวจสอบความถูกต้องเชิงวิทยาศาสตร์ได้ เพราะขาดวิธีการอันเป็นที่ยอมรับ ไม่มีกระบวนการ ตรวจสอบความตา่ งระหว่างความรทู้ ่เี กิดจากสหัชญาณ กบั ความเข้าใจผิดวิปลาส และหลงผิด ในทรรศนะของแอร์ นักอภิปรัชญาได้ประณามความเป็นจริงของโลกทางผัสสะ หรืออย่าง น้อยๆก็ได้ลดดีกรีของความเป็นจริงลงมา ใครก็ตามที่ประณามโลกทางผัสสะว่าเป็นเพียงโลกทาง ปรากฏการณ์ และตรงกนั ข้ามกับความจริงแท้ นกั อภิปรัชญาท่านนั้นกากล่าวถึงบางสิ่งที่นักปฏิฐาน นยิ มเรยี กวา่ เป็นสง่ิ ท่ีเพอ้ เจอ้ ทางวรรณกรรมเท่านั้น ปรัชญา มีความใกลช้ ดิ กับวิทยาศาสตร์มาก เพราะปรชั ญาอาศัยวทิ ยาศาสตร์ใน 2 เรื่อง คือ หลักการ (Principle) และ สมมติฐาน (Hypothesis) ปรัชญาตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อความที่ กลา่ วในศาสตร์ 12 A.J. Ayer, The Problem of Knowledge, (England: Penguin Books, 1976), p.7. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

169 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3) ลักษณะระดับและแหลง่ เกดิ ความรู้ ความร้ใู นทรรศนะของแอร์ หมายถึงการรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คือการรู้ข้อเท็จจริงวา มนั เป็นเช่นนั้น ที่เราพบได้โดยความสัมพันธ์ทั่วไปกับความจริง 13 เป็นสภาวะของจิตที่รู้จักคิด แอร์ กล่าวว่า ความรู้มีลักษณะเป็นความรู้แบบประจักษ์ที่เกิดมาจากการรับรู้สึกทางผัสสะหรือ ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสเป็นเครื่องมือ นั่นคือ ความรู้ของมนุษย์ต้องตรวจสอบได้ด้วย ประสาทสัมผัสที่เป็นสิ่งสากลที่มนุษย์ทุกคนมีเท่ากัน เหนือการรับรู้ทางประสาทสัมผัส แอร์ไม่ กล่าวถงึ 4) วิธสี ร้างความรู้ แอร์ไม่ได้แสดงวิธีสร้างความรู้เป็นแบบเฉพาะของตนเอง อาศัยโครงสร้างภาษา วเิ คราะหเ์ ปน็ กรอบ เช่นเราจะสรา้ งความรเู้ กี่ยวกับส่ิงใด สิ่งนั้น ต้องมีตัวจริงรองรับ สามารถพิสูจน์ ได้ทางประสาทสัมผัสว่ามีอยู่จริงๆ และใช้กระบวนการทางตรรกะเป็นฐาน ไม่หนีไกลวิธีแบบประ จกั ษนยิ มนกั 5) ส่งิ ทีถ่ กู รู้ แอร์กล่าวว่าสิ่งที่ถูกรู้จะต้องเป็นสิ่งที่มีตัวจริง และสิ่งที่เราเชื่อบางสิ่งอาจจะเท็จ แต่ในความเปน็ จริง อาจจะเชอื่ ว่า ส่งิ นนั้ แม่ได้ถกู รับรกู้ จ็ ะต้องมอี ยู่ แอรจ์ าแนกสิ่งที่ถูกรู้ออกเป็น 2 ระดับ คอื 1. สิง่ ทม่ี ีอยู่เชิงประจักษ์ (Empirical Existence) หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในระดับ ท่ีสามารถมปี ระสบการณ์ทางประสาทสมั ผสั ได้โดยตรง และรวมถึงข้อความเกี่ยวกับความจริงที่อาจ ตรวจสอบทางผัสสะได้ 2. สิ่งที่มีอยู่เหนือระดับที่ระบบประสาทสัมผัสจะรับรู้ได้ (Transcendental Existence) สิ่งนี้ บางทีแม้ไม่อาจตรวจสอบได้ปัจจุบัน แต่ก็มีหนทางจะตรวจสอบได้ในอนาคต สดุ แต่เคร่อื งมือและวธิ กี ารทีน่ ามาตรวจได้พฒั นาละเอยี ดไปเท่าใด แตก่ ม็ ีบางสง่ิ ทีอ่ ยู่เหนือการพิสูจน์ ทางประสาทสัมผัส เพราะเราไม่สามารถมีประสบการณ์ได้โดยตรง เช่น เรื่องพระเจ้า (God) เรื่อง วิญญาณ (Soul) สิ่งที่ถูกรู้เมื่อผ่านการตรวจสอบหาความถูกต้องแล้ว สามารถแบ่งออกเป็น 3 สถานะ คือ 1. เปน็ ส่ิงจรงิ (Truth) 2. เปน็ ส่ิงเท็จ (False) 13 Ibid., pp.12-13. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

170 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3. เปน็ ส่ิงไม่มีความหมาย (Meaningless) คอื ไม่อาจบอกว่าจรงิ หรอื เท็จ ในเรื่องของความจริงหรือความเท็จของสิ่งที่ถูกรับรู้ เช่น ข้อความที่กล่าวมานั้น แอร์มี ความเห็นว่า ความจริง(Truth) ไม่ใช่สิ่งจริงอย่างหนึ่งซึ่งมีอยู่ในตัวคาพูดจริง แต่ความจริง เป็น หนทางหรือวิธีการสร้างข้อความเพื่อตรวจสอบว่าข้อความที่กล่าวมามีความสมเหตุสมผล หรือมี ความหมายอยา่ งไร 6) การตรวจสอบความถกู ต้องของความรู้ แอรไ์ ด้จาแนกขอ้ ความที่มนษุ ยก์ ล่าวได้ 3 ลักษณะ คือ 1. ข้อความซ่งึ ตามข้อเท็จจรงิ สามารถตรวจสอบได้ เช่น น้า ประกอบด้วย H2+O 2. ข้อความซึ่งตามข้อเท็จจริงไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่ก็สามารถตรวจสอบได้ ด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม เช่น ไฟฟ้าประกอบด้วย ประจุบวก (Proton) และประจุลบ (Electron) วงิ่ รอบนวิ ตรอน 3. ข้อความที่เป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบ เช่น ข้อความที่กล่าว ถึงสิ่งสากล หรือ ทั้งหมด ดงั ข้อความวา่ ความเป็นจริงทกุ อย่างเป็นสสาร (All reality is material.) จากการจาแนกข้อความออกเป็น 3 ประเภทที่กล่าวมาเป็นฐาน แอร์จึงได้แสดง ระดบั ขนั้ ของการตรวจสอบความถูกต้องของความรู้เอาไว้เป็น 2 ระดับ ดงั นี้ 1. การตรวจสอบความถูกต้องระดับที่เชื่อถือได้แน่นอน (Strong Verification) ใช้ ในกรณที ี่ประสบการณเ์ กดิ ขนึ้ จริงและประจักษแ์ จ้ง นามาใช้เพ่อื ยืนยันหรือไม่ยืนยันข้อความที่กล่าว และข้อความนั้นจึงเป็นข้อความที่รับได้ว่า มีการตรวจสอบผ่านทางระบบประสาทรับรู้ได้มากกว่า หนึง่ ระบบที่เชอ่ื ถือไดแ้ นน่ อนและสมบรู ณ์ เช่น การตรวจสอบความมีอยู่ของดอกกุหลาบ ถ้าสิ่งหนึ่งเป็นดอกกุหลาบ สิ่งนั้นจะต้องสามารถตรวจสอบด้วยการรับรู้สึกทางประสาท หลายประเภท คอื ทางตา เรามองเหน็ สิง่ น้ันวา่ เปน็ สอี ะไร เช่น สชี มพู ขาว เหลอื ง แดง เปน็ ต้น ทางจมูก เรารับรู้สกึ กล่ินทีส่ ิ่งนน้ั แผ่กระจายความหอมออกมา ทางกายสมั ผสั เราเอามือจับตอ้ งสมั ผัสสง่ิ น้นั จะให้ความรสู้ กึ ออ่ นนุม่ 2. การตรวจสอบความถูกต้องระดับที่อ่อนเบา (Weak Verification) ใช้ในกรณี ตรวจสอบความถูกต้องของคาพูดที่ในขณะปัจจุบันไม่สามารถตรวจสอบได้ก่อน ต้องอาศัยความ พร้อมทางเทคนิคเครื่องมือ รวมทั้งระยะเวลาในอนาคต แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ที่จะ ตรวจสอบความถูกตอ้ งของข้อความได้ เชน่ ขอ้ ความว่า \"บนดาวอังคารมสี งิ่ ทมี่ ชี ีวิตอาศยั อยู่\" ข้อความนีย้ ังไม่อาจนามาพสิ จู น์ได้อยา่ งปจั จบุ นั ทันด่วนและโดยตรง แต่ให้เวลาในอนาคต อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

171 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา มีโอกาสเป็นไปได้ท่จี ะตรวจสอบไดว้ า่ จริงหรอื เท็จ น่นั คอื ในอนาคตอาจจะมีการสร้างยานอวกาศส่ง มนุษยไ์ ปลงสารวจบนดาวองั คารได้ แลว้ เรากจ็ ะรไู้ ดว้ า่ คาพูดทกี่ ลา่ วมาจรงิ หรอื เท็จ ดังนั้นข้อความที่ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ในปัจจุบันหรือโดยทันที แต่อาจ ตรวจสอบไดใ้ นอนาคต จึงเรียกว่า การตรวจสอบระดบั อ่อนเบา ในทรรศนะของแอร์ ข้อความจะมีความหมายสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อ มันเป็นไปได้ตาม หลักการ หรือในการปฏิบัติ ที่ใช้การรับรู้สึกทางผัสสะ ที่สามารถแสดงได้โดยตรงหรือโดยอ้อม ว่า มันจริงหรือเท็จ หรืออย่างน้อย มันก็เป็นไปได้ ข้อความนี้ สามารถบอกความจริงหรือความ เทจ็ ไดแ้ นน่ อน ส่วนข้อความใด ที่ไม่สามารถตัดสินได้ว่าถูกหรือผิด นับว่าเป็นข้อความที่ไร้ความหมาย เชน่ ข้อความทก่ี ลา่ วเก่ยี วกบั พระเจ้า แอร์ไม่ยอมรับและไม่เชื่อข้อความเชิงอภิปรัชญา ดังคาที่แอร์ กล่าวว่า “คากล่าวถึงพระเป็นเจ้าทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งไร้สาระ” แอร์อ้างว่า เขาให้ค่าของข้อความ จากัดอยู่ในเรื่องของประสบการณ์เท่านั้น แต่พระเจ้าและข้อความที่กล่าวถึงพระเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ เนือ้ หาของประสบการณ์ เพราะไมม่ คี วามรู้ทางประจักษ์ใดๆเกย่ี วกับพระเจา้ ทน่ี ่าเชือ่ ถือได้ ดังนนั้ แอรจ์ งึ สรปุ ว่า ข้อความเกีย่ วกบั พระเจ้าท้ังหมดเปน็ ข้อความทางอภปิ รชั ญา ขอ้ ความทางอภปิ รชั ญาทัง้ หมดเป็นคาพดู ท่ไี ร้ความหมาย ดงั น้นั ข้อความเกยี่ วกับพระเจา้ จงึ เปน็ ขอ้ ความทไี่ ร้ความหมายดว้ ย ข้อความเกย่ี วกบั พระเจา้ https://www.pinterest.com/pin/453596993693931483/ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

172 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา วจิ ารณป์ รชั ญาของแอร์ ในทรรศนะเร่ืองการตรวจสอบความรู้ แม้วา่ แอรจ์ ะลดขนาด หรอื ขยายขอบเขตหลักการ ของการตรวจสอบความถูกต้องออกไปแลว้ ก็ตาม แตเ่ ขาก็ไมส่ ามารถจะขจัดอภปิ รชั ญาออกไปได้ เพราะการยนื ยนั ดว้ ยการตรวจสอบความถูกต้องทางประสาทสมั ผัสโดยตรงหรอื โดยอ้อม ปฏิบตั ิ ได้ หรือพอมีทางจะเป็นไปได้เช่นน้ีก็เทา่ กับการยอมรับว่ายังมีวธิ ีการตรวจสอบความรู้อ่ืนๆ นอกจากประสบ การณ์ ทางประสาทสัมผัส คาร์แนป กลา่ วว่า ภาษา มี 2 แบบ คอื 1. ภาษาท่มี รี ูปธรรมรองรบั (Object Language) หมายถงึ ภาษาที่เราใชส้ ่อื สาร กนั ถึงเร่ืองราวและสง่ิ ต่างๆ เป็นภาษาท่ีใชเ้ กย่ี วกับประสบการณ์ 2. ภาษาทอ่ี ยเู่ หนือส่ิงรูปธรรม (Meta Language) หมายถงึ ภาษาท่ีใชอ้ ธิบาย ทฤษฎีเก่ียวกับประสบการณ์ เปน็ ส่งิ ทเ่ี ป็นนามธรรมเหนือประสบการณห์ ย่ังถึง และเป็นส่ิงทีภ่ าษา ทางประสบการณ์ไม่สามารถอธิบายได้ รดู อล์ฟ คารแ์ นป Rudolf Carnap (1891-1970) http://kids.britannica.com/comptons/art-138680/Rudolf-Carnap-in-1960 ดังนั้น ทฤษฎีเกี่ยวกับความหมายและประสบการณ์ ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะพิสูจน์ตรวจสอบ ได้ดว้ ยประสบการณ์ เพราะฉะนั้น หลักการตรวจสอบความถูกต้องด้วยภาษาของแอร์ ก็ไม่สามารถ ตรวจสอบได้เชน่ กัน อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

173 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา การทแี่ อรไ์ มย่ อมรบั วา่ มวี ิญญาณอยจู่ รงิ เพราะวา่ ไม่มีประสบการณ์เกย่ี วกบั วญิ ญาณใด ๆ อันท่ีจริงเราก็มีความเชื่อในบางสิ่งทแี่ ม้เราจะไม่มคี วามรู้เชงิ ประจักษ์ของสงิ่ น้นั กต็ าม ความเชือ่ และ ความมน่ั ใจบางทีอยูเ่ ลยประสบการณท์ างผัสสะที่กาลงั รับรู้สกึ อยู่ เชน่ 1. เราเช่อื วา่ ไม้ที่ปกั แช่ในนา้ ตรงแม้สายตาของเราจะรายงานว่าไมน้ ้นั หกั คดกต็ าม 2. เราเช่ือวา่ ในส่วนที่เล็กที่สดุ ของวัตถุมีอะตอม แม้วา่ เราจะไมส่ ามารถเหน็ อะตอม แต่เราก็เชอื่ ผ่านทางประสบการณโ์ ดยออ้ มได้ แอร์เคยปฏเิ สธทฤษฎีว่าดว้ ยคุณค่าทางศลี ธรรมวา่ เปน็ การกล่าวเพียงอธิบายความรูส้ กึ ไม่มี ความหมายจรงิ แต่ในความเป็นจรงิ เราไม่สามารถจะรู้ส่ิงต่างๆได้ ถ้าเราไม่ถือวา่ มันมีคา่ ดังน้นั คณุ ค่าจริงท่ีเปน็ พนื้ ฐานรองรับคาพูดทางศลี ธรรมนนั่ แหละ เป็นสงิ่ ที่ทาใหข้ ้อเท็จจริงเป็นทยี่ อมรับ กันได้ แอร์ใหท้ รรศนะว่า ปรัชญามคี วามสาคญั นอ้ ยกวา่ วิทยาศาสตร์ โดยลดปรัชญาเปน็ เพยี งสาว ใชข้ องวิทยาศาสตร์ เพราะปรัชญาไดก้ ระบวนการหาความหมายและตรวจสอบความจรงิ 3 แบบ จากวทิ ยาศาสตร์ คือ 1. ได้วธิ ีการ (Method) เช่น การสงั เกต ทดลอง รปู ธรรม 2. ได้เทคนิค (Technique) เชน่ การพสิ ูจน์ ลาดับวธิ เี ฉพาะ 3. ได้เกณฑ์ (Criterion) เช่น สิง่ ทสี่ ามารถตรวจสอบได้ด้วยประสาทสมั ผัส ประเด็นนี้คงเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะปรัชญาเป็นศาสตร์ของศาสตร์ มีมาก่อนการเป็น ศาสตร์ และมพี ื้นฐานมากกวา่ วิทยาศาสตร์ 6.2 คาถามทา้ ยบท 6.2.1 จงอธิบายแนวคดิ แบบปฏิฐานนยิ ม (Positivism) 6.2.2 จงอธบิ ายแนวคดิ แบบปรชั ญาภาษาวิเคราะห์ (Language Analysis) 6.2.3 จงอธิบายแนวคิดแบบปรมาณูนิยมเชงิ ตรรกะ (Logical Atomism) 6.2.4 แนวคิดทางญาณวทิ ยา ของเบอร์ทรันด์ รสั เซล เป็นแบบใด 6.2.5 แนวคิดทางญาณวทิ ยา ของเอ.เจ.แอร์ ตา่ งจากรสั เซลอย่างไร อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

174 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา https://en.wikipedia.org/wiki/Logical_positivism อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

บทท่ี 7 ทฤษฎคี วามรขู้ องสานกั พทุ ธปรชั ญา (Buddhist Theory of Knowledge) ทฤษฎคี วามรูต้ ามทัศนะทางสานักปรัชญาตะวันตกที่ผ่านมา ได้ทราบเงื่อนไขของการสรา้ ง ความรู้ แหลง่ เกิดความรู้ อารมณท์ ี่รับร้วู า่ เปน็ อยา่ งไร และใครเปน็ ผรู้ ู้ ซ่ึงแต่ละสานักก็ได้วิเคราะห์ วิจารณ์ ท้ังสนบั สนุนและโตแ้ ยง้ กนั และกนั โดยตอบปัญหาอย่างเป็นกระบวนการอยา่ งมีระบบ แม้ว่าผู้เขียนจะยังไม่อธบิ ายครบทุกสานักทางปรชั ญา แต่กเ็ ปน็ แนวทางให้ไดท้ ราบวา่ ปรชั ญา ตะวนั ตก ถกเถียงกันในเชงิ ทฤษฎคี วามรู้อย่างไรมาแล้ว อีกประการหนง่ึ ทัศนะทางทฤษฎีความรู้ ของปรัชญาอนิ เดยี สายตา่ ง ๆ กไ็ ด้ศกึ ษามาพอเป็นฐานจนรู้วา่ ปรัชญาตะวนั ออก (อินเดยี คดิ อย่างไร) เพ่อื เปน็ การเรียนรูท้ ัศนะของปรชั ญาตะวันออกอีกสานักหน่ึงทมี่ คี วามโดดเดน่ มเี หตุมผี ล เปน็ ทย่ี อมรบั ทงั้ ในด้านศาสนาและในดา้ นปรชั ญา จงึ ควรศึกษาสานักพุทธปรชั ญา ในประเด็นปญั หา ทางทฤษฎคี วามรสู้ ืบต่อไป เป็นที่น่าสงั เกตว่า ระบบปรชั ญาและศาสนาทางภูมิภาคตะวันออก ไม่มี การแบง่ พรมแดนกนั อย่างชัดเจนเหมอื นทางตะวนั ตก โดยเฉพาะอินเดยี ถือวา่ ปรชั ญาและศาสนา เกดิ มาจากฐานเดยี วกนั นัน่ คือ ในดา้ นหนงึ่ เกดิ มาจากการกาหนดเปา้ หมายและปฏิบตั ิตามวธิ กี าร เพื่อบรรลุผลบา้ ง ในอีกด้านหน่งึ เป็นผลที่เกิดมาจากการลงมอื ปฏิบัติจนเห็นผลจริงมาแลว้ คอ่ ยมา อธบิ ายระบขุ นั้ ตอนทไี่ ด้ลงมือปฏบิ ตั มิ าอยา่ งละเอยี ด และสามารถประกนั ผลสาเรจ็ บ้าง จากประเด็นทเ่ี กยี่ วกบั การเกิดทฤษฎีทางปรัชญาของสานักตา่ ง ๆ พระพุทธเจา้ ตรัสว่า ทฤษฎีทางปรัชญาน้นั เกดิ มาจากวิธคี ดิ ของบคุ คล 3 กลมุ่ คือ 1. “อนสุ สาวกิ า” รับฟังตาม ๆ กนั มา ศึกษาตามคัมภีรแ์ ละประเพณี 2. “ตักกี วิมังสี” คิดคาดคะเน เก็งความจริง ใชเ้ หตผุ ล ตง้ั ขอ้ สมมติฐาน 3. “สยงั เอว ธมั มัง อภิญญายะ” ปฏบิ ตั ทิ างจิตโดยตรง เกิดความรแู้ จง้ เอง หากมองภาพรวมในทางทฤษฎีความรู้ พุทธปรัชญาเป็น สัจนิยม (Realism) มีทัศนะมอง โลกตามสภาพที่เป็นจริงและตามความเป็นจริงที่มีและที่ปรากฏ พุทธปรัชญาต้องการค้นหาความ จริงและความเป็นจริง (Truth & Reality) ของสิ่งทั้งหลาย และยืนยันความมีอยู่จริงของวัตถุที่ไม่ ต้องอาศัยจิตรับรู้ และทั้งยืนยันความมีอยู่ของจิตที่มีศักยภาพสามารถปฏิบัติการด้วยตัวเองได้ ไม่ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

176 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เหมือนปรัชญาฝ่ายจิตนิยมที่กล่าวว่า “มีแต่จิตเพียงอย่างเดียวเป็นความจริงแท้ สิ่งอื่นนอกจากจิต เปน็ สง่ิ ไรส้ าระ” พระพทุ ธปฏมิ าของชา่ งคนั ธาระ http://www.okenation.net/blog/Laithaeng 7.1 ทฤษฎคี วามร้ขู องพุทธปรชั ญาตอนตน้ การศึกษาพทุ ธปรัชญา แม้ว่าโดยหลักการ ทุกสานักทางพุทธปรัชญาจะอาศัยฐานความคิด จากพระพุทธเจ้า ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ 4 กฎแห่งกรรม มรรคมีองค์ 8 แต่ในการปฏิบัติ จริง จุดท่ีเนน้ ยา้ และการตีความหมายของหลกั ธรรมเหลา่ นี้ ยังมีความแตกตา่ งกันหลายประเด็น คง จะตอ้ งแบง่ ส่วนตามลาดบั ความคดิ และประเด็นท่ีกลา่ วยนื ยันหรือคดั ค้านกนั พุทธปรัชญาตอนต้น หมายเอากลุ่มที่ยึดถือตามแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยึดตามพระบาลี และใช้ภาษาบาลีเป็นภาษาหลัก ไม่ค่อยมีการตีความหมายแตกแขนงออกไปมากนัก เรียกว่า นิกาย เถรวาท และเจริญรุ่งเรอื งในอนิ เดียตอนใต้ จึงเรยี กอีกชื่อหนึ่งว่านิกายฝา่ ยใต้(ทกั ษณิ นิกาย) สว่ นพทุ ธปรัชญาตอนปลาย หมายเอากลมุ่ ที่ พยายามตีความคาสอนเดิมออกไป ตามความ เข้าใจและบริบทที่เกี่ยวข้อง เปลี่ยนภาษาบาลีมาใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาหลัก เจริญรุ่งเรืองใน อนิ เดยี ตอนเหนอื เรียกวา่ นกิ ายฝา่ ยเหนือ (อุตตรนิกาย) จนเกิดเป็นสานักทางพุทธปรัชญาใหม่ๆ ท่ี อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

177 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา สาคัญมี 4 สานัก (เป็นของนิกายเถรวาท 2 สานัก และนิกายมหายาน 2 สานัก) ต่อมานิกายฝ่าย เหนือก็ได้พฒั นาเปน็ นกิ ายมหายาน ซึ่งจะได้พิจารณากันตามลาดบั 7.1.1 ความหมายของความรู้ สิ่งที่เรียกโดยทั่วไปว่า “ความรู้”แต่ศัพท์ทางพุทธปรัชญาเรียกว่า “ปัญญา”บ้าง “ญาณ” บา้ ง “วิชชา” บา้ ง หรือ “ทิฏฐิ”บา้ ง สุดแต่บริบทที่จะนามาใช้อธบิ าย เพื่อความสะดวกในการศึกษา พุทธปรชั ญา จงึ ขอใชค้ าวา่ “ความรู้” ท่หี มายถึง “ปญั ญา” ดงั มีคานิยามพร้อมคาอธิบายตอ่ ไปน้ี “ปัญญา (ความรู้) ได้แก่ กิริยารู้ชัด การแยกแยะ การเลือกสรร การแยกแยะตามสภาวะ การเข้าไปกาหนด การเข้าไปกาหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้แจ้ง การคน้ คดิ ความใครค่ รวญ ความรู้ที่มีฐานแน่นหนา ความรู้ที่สามารถทาลายกิเลส ปัญญาเครื่องนา ทาง ความเห็นแจง้ ความรู้ชดั ความรู้ทเ่ี หมือนปฏกั ความรอบรู้ ความเป็นใหญ่ด้วยกาลังแห่งความรู้ ความมีกาลังด้วยกาลังแห่งความรู้ ความรู้ที่เปรียบเหมือนอาวุธ ความรู้ที่เปรียบเหมือนปราสาท ความสว่างด้วยความรู้ แสงที่ส่องสว่างด้วยปัญญา ความไม่หลง การแยกแยะสภาวธรรม ความ เหน็ ชอบ” 1 สง่ิ จรงิ มองไดห้ ลายดา้ น www.omsschools.com5 1 อภิ.สังคณี. 34/180/24. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

178 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา พระอปุ ติสสเถระ ผแู้ ตง่ คมั ภีร์วมิ ุตตมิ รรค (คัมภรี อ์ รรถกถาภาษาบาลขี องศาสนาพุทธท่แี ตง่ กอ่ นคัมภรี ว์ สิ ุทธิมรรคของพระพุทธโฆสาจารย์ แต่ต้นฉบบั ภาษาบาลสี ญู หาย เหลอื ฉบบั ที่ถา่ ยทอดสู่ ภาษาจนี และลงสภู่ าษาองั กฤษอกี ทอดหนึ่ง) ไดแ้ สดงความหมายของปญั ญา ดงั ต่อไปนี้ 2 (1) การท่ีจิตรู้อารมณต์ ามความเปน็ จรงิ (ยถาภูตญาณทสั สนะ) (2) การพจิ ารณาเหน็ ประโยชน์และมใิ ชป่ ระโยชน์ (3) ความรอบรู้ ญาณ การวิจัยธรรม การจาแนก การกาหนดหมาย การวจิ ยั ทเ่ี ปน็ การศกึ ษาอันชานาญและชาญฉลาดในการพิจารณาเห็นอย่างชัดเจนแลพไดค้ วามรู้ (4) ความฉลาด ปัญญาเปรียบเหมอื นประทปี หรือแก้ว หรอื อาวธุ ที่คม (5) ความไม่หลง สัมมาทฏิ ฐิ พระเทพเวท(ี ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต) นกั ปราชญท์ างพระพุทธศาสนาสมัยปัจจุบัน ให้ความหมาย ว่า “ปัญญา แปลกันมาว่า ความรอบรู้ เติมเข้าไปอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ทั่วถึงความจริง หรอื รู้ตรงตามความเป็นจริง ท่านอธิบายขยายความกันออกไปต่าง เช่นว่า รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ ผิด ร้คู วรไม่ควร รู้คณุ รูโ้ ทษ ร้ปู ระโยชนม์ ใิ ช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่าสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจ สภาวะ ร้คู ิด รูพ้ ินิจพิจารณา รูว้ ินจิ ฉัย รทู้ ี่จะจัดแจงจัดการหรือดาเนินการอย่างไรๆ” 3 พระเทพเวท(ี ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต) www.dhammajak.net 2 พระอปุ ติสสเถระ, วิมตุ ตมิ รรค, แปลโดย คณาจารย์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย จากฉบับภาษาอังกฤษของ พระเอฮารา, พระโสมและเขมินทะเถระ (กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , 2538), หน้า 210. 3 พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตโฺ ต), พทุ ธธรรม, หน้า 22-23.) อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

179 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา สรปุ ความหมายปัญญา 2 ประการ คือ 1. การรู้ส่ิงตา่ ง ๆ ตามสภาพที่มันเปน็ จรงิ (สมั มาทฏิ ฐิ) 2. การรูจ้ กั คิด (สมั มาสงั กัปปะ) คิดรเิ รมิ่ คดิ เปน็ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ สร้างสรรค์ ดังนน้ั ปญั ญา คือ ความเขา้ ใจ หมายถึงเข้าใจถูก เขา้ ใจชดั เข้าใจอย่างถ่องแท้ เปน็ การมอง ทะลุสภาวะหรอื มองทะลุปัญหา 7.1.2 ลกั ษณะของความรู้ จากคานิยามความหมายทีก่ ล่าวมาขา้ งตน้ สามารถสรปุ ลกั ษณะของความรู้ได้ ดังนี้ 4 1. รทู้ ่ัว หมายถึง ความรอบรู้ในความเปน็ จริงของเรือ่ งต่าง ๆ ไม่ตดิ ขัดในเรือ่ งใด ๆ 2. รู้อยา่ งชัดเจนและแนน่ อน เมอ่ื ร้เู รือ่ งอะไรก็รู้อย่างแจม่ แจง้ ทกุ เรื่อง ทกุ แง่ทุกมุม 3. รคู้ วามเป็นไปได้ หมายถงึ สามารถท่จี ะรูไ้ ดว้ า่ จะมีความเป็นไปได้อยา่ งไรบ้าง หรอื สามารถทีจ่ ะอาศยั ความรูเ้ ดิมแสวงหาความเป็นไปได้ และความน่าจะเปน็ 4. รทู้ ีจ่ ะแกป้ ัญหา หมายถึง เมือ่ มปี ัญหาเกิดข้ึนกส็ ามารถใช้ความรู้นัน้ มาขจดั แก้ปัญหา หรอื ออกไปจากปัญหาน้ันได้อยา่ งมีเหตผุ ลและถูกต้อง 7.1.3 ระดบั ของความรู้ (ปัญญา) คาว่า ปญั ญา หรือ ความรู้ ท่ีกล่าวมาเป็นภาพรวม หากจะกลา่ วถึงระดบั และประเภทแลว้ แบ่งออกไปหลายอย่างสุดแต่หน้าทเี่ ฉพาะที่เกี่ยวกบั กระบวนการเรยี นรู้แตล่ ะข้ันตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี ความรู้ 2 ระดบั หากจดั ระดบั ความรู้แท้ และความรทู้ ว่ั ไปแลว้ ความรมู้ ี 2 ระดบั คือ 1. โลกยิ ปญั ญา ปัญญาระดับสามญั เป็นความรทู้ างศลิ ปะวทิ ยา ในการประกอบอาชีพที่ จาเปน็ เพยี งพอเพื่อการดารงชีวติ ความรรู้ ะดับนี้ เรียกวา่ ทิฏฐิ หรือ ทัศนะ ทแี่ ปลว่า ความคดิ เหน็ 2. โลกตุ ตรปญั ญา ปญั ญาระดบั สงู สดุ ความรู้ทสี่ ามารถทาลายกเิ ลสภายในใจของตนเอง ทาให้เกิดความสงบอย่างแท้จรงิ ความรู้ระดบั น้ีเรยี กว่า ญาณ เป็นความรู้ที่แทแ้ ละบริสุทธิ์ เมอื่ บคุ คลเกดิ ความร้รู ะดบั ญาณนี้ ย่อมสามารถละเลกิ ความเห็นทไี่ ม่ถกู ต้องได้หมด ความต่างระหว่าง ทฏิ ฐิ กบั ญาณ พุทธปรชั ญากลา่ วว่า “ทฏิ ฐิ คือ ความเหน็ ความเข้าใจ โดยนัยเหตผุ ล ไดแ้ ก่ ความรู้ทีล่ งข้อสรุปอย่างใดอยา่ งหนึ่ง และประกอบดว้ ยความยึดถือโดยอาการ 4 พระมหาอุทัย ญาณธโร, พุทธวถิ แี หง่ สงั คม, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ธรรมสาร, 2538, หนา้ 185. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

180 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ผกู พันกับตวั ตน อาจเปน็ ความรู้ท่ที ่ีมาจากแหล่งภายนอก แต่ได้คิดกล่ันกรองยอมรบั เอาหรือสรุปเข้า เปน็ ของตนแล้ว ไมว่ ่าจะเปน็ ความรูท้ ี่มเี หตุผลมากหรือน้อย หรอื แม้ไม่มีเหตุผลเลยก็ตาม ส่วน ญาณ คือ ความรู้ ความหยั่งรู้ เป็นไวพจนห์ น่ึงของปัญญา แต่มักใชใ้ นความหมาย จาเพาะกวา่ เปน็ ปญั ญาทที่ างานออกผลมาเป็นเรื่องๆ รู้อารมณต์ ามสภาวะเปน็ ความรู้บรสิ ุทธิ์ทเ่ี กิด โพลงสวา่ งแจง้ ขึ้น มองเห็นตามสภาวะของส่ิงนนั้ ๆ หรอื เรือ่ งนัน้ ๆ บางครง้ั ญาณเกดิ จากเหตผุ ล แต่ก็ เป็นอสิ ระจากเหตผุ ล แต่ออกไปสัมพันธ์กับสภาวะที่เป็นอยูจ่ รงิ ความรู้แบบทิฏฐิเขา้ มาอิงความ ยดึ ถอื และความคดิ เหตุผลขา้ งใน สว่ นญาณออกไปสัมผัสกบั ตวั สภาวะท่เี ป็นอยขู่ า้ งนอกโดยตรง” 5 ความรู้ 3 ระดับ หากจะจาแนกประเภทตามความลุ่มลึกของความรู้ จากระดับ ที่เพยี งรับรสู้ ึก ถึงจาได้ และ สูงสุดท่ี ปัญญาอนั เปน็ กระบวนการสุดทา้ ย มี 3 ประเภทคือ 1. วญิ ญาณ ได้แก่ความรู้แจ้งอารมณท์ างประสาทสัมผสั ทั้ง 5 และทางใจ หมายถึง ความรู้ประเภทยืนพ้นื หรือความร้ทู ่เี ป็นตวั ยืน เป็นทงั้ ความรู้ต้น เช่นเร่ิมแรกแห่งการรับรูท้ าง อายตนะ และความรู้ตามเป็นการรู้สึกพร้อมกบั กจิ กรรมต่างๆ ของจติ เชน่ รู้สกึ เปน็ สุข ก็เกิด ความรู้สกึ ว่าเป็นสุขควบคู่พร้อมดว้ ย เปน็ ต้น ความรรู้ ะดบั วิญญาณ เป็นเพียงความรู้ความต่างจาเพาะ รู้ความหมายจาเพาะ เชน่ มองเห็นผืนผ้าลาย ท่ีวา่ เหน็ นั้น แม้ยังไม่ได้กาหนดว่าอะไรเปน็ อะไร แต่ก็เห็นอาการ เช่น ลกั ษณะ สสี ันซงึ่ แตกต่างกนั อยู่พร้อมเสร็จ 2. สญั ญา เป็นความรู้ระดับที่จาได้ และหมายรู้ ทงั้ รู้อาการทแ่ี ตกตา่ งว่า เป็นนนั่ เป็นน่ี เป็นการกาหนดหมายเมื่อรับรู้อารมณ์ทมี่ าปรากฏอีกก็นาเอาส่งิ ทเ่ี คยรับรเู้ ดิมมาเทียบเคยี งว่าตรงกบั ทเ่ี คยรูม้ าหรือไม่ ถา้ หมายรูว้ ่าตรงกัน กเ็ ปน็ ความจาได้ ถ้าไมต่ รงกนั ก็กาหนดความต่างและความ เหมอื นเอาไว้ เรียกว่า หมายรู้ และสัญญา น้ี ทาหน้าที่กบั อารมณ์ทีป่ รากฏเทา่ นนั้ เก่ียวกับความทรงจา มักจะใช้คู่กบั สติ ท่แี ปลวา่ ความระลกึ ได้ สามารถหวนระลึกได้ ความจากบั การระลึกไดเ้ ป็นคนละเรื่อง คนละตอน ตัวอย่าง มีเพ่ือนรักกันคนหน่ึงทหี่ ่างเหนิ กันไป นาน แตเ่ ม่อื เขามาพบอีก กจ็ าไดว้ า่ เพอ่ื นชื่อนนั้ ชอ่ื นี้ เปน็ ระดับสัญญา แต่การท่สี ามารถหวนระลกึ ได้ว่า ในช่วงระยะทเี่ ป็นเพื่อนกนั เคยไปเทีย่ วทไ่ี หน เมอ่ื ไร และทาอะไรบ้าง จดั เปน็ สติ เพราะเปน็ การดงึ อารมณ์ทไ่ี ม่ปรากฏอยู่ในปัจจบุ นั แล้วมาสูจ่ ิตอกี ครั้งหนง่ึ สตจิ ึงครอบคลุมถึงการนึกถงึ นึกไว้ นกึ ได้ ระลึกได้ ไมเ่ ผลอ เป็นความจา เฉพาะในส่วนทเ่ี ป็นการระลึก และความสามารถในการระลกึ 5 พระเทพเวที(ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต), พุทธธรรม, หนา้ 49-50. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

181 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3. ปัญญา เป็นความรแู้ ละความเขา้ ใจ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณและสญั ญาให้ กว้างออกไปและลึกซึง้ ยงิ่ ข้ึนอีก เปน็ ฝา่ ยทเี่ ชื่อมอารมณ์ต่างๆและพิเคราะห์ออกไป มองเห็นเหตุ มองเห็นปัจจัย เหน็ ความสัมพันธ์ต่างๆ เปน็ ต้น ปญั ญาตรงกนั ข้ามกับโมหะ หรือ อวิชชา ทแี่ ปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด ความต่างระหวา่ ง วญิ ญาณ สญั ญา และปญั ญา สญั ญา เปน็ เพยี งจาได้วา่ เขียว เหลอื ง แดง รปู ทรง สัณฐาน ตลอดจนชือ่ เรียก สมมติ บญั ญัติตา่ งๆ เปน็ ต้น แต่ไมใ่ ห้เกดิ ความเขา้ ใจลกั ษณะที่เป็นไปตามสภาวะสามัญ(อนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา) ท่านเปรยี บเหมือนเดก็ น้อย มองดูเหรียญเงิน กจ็ าได้แต่ขนาด รปู ทรง ของเหรียญ แตไ่ ม่รู้ ว่า มคี ่าเทา่ ใด วิญญาณ ร้อู ารมณ์วา่ เขียว เหลอื งแดงเป็นต้นได้ และใหเ้ ข้าใจ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตาได้ แต่ ไมอ่ าจส่งถงึ การตรัสรไู้ ด้ เปรียบเหมือน ผ้ใู หญ่ เหน็ เหรียญเงินแล้ว กร็ ู้ว่าสามารถใช้จา่ ย มีคา่ ราคา เท่าใด แต่แยกไมอ่ อกว่า เงินแท้ เงนิ ปลอม ปญั ญา ร้ทู ง้ั อารมณ์ และให้เกิดการตรัสรูไ้ ด้ เปรียบเหมือน เหรญั ญิก ทั้งรแู้ ละชานาญแยก เหรียญปลอมเหรียญแทไ้ ด้ทุกขัน้ ตอน 6 ความรู้ 6 ระดับ ในอกี หลักฐานอืน่ ท่านจดั แบ่งความรอู้ อกเป็น 6 ระดับ 7 คือ 1. ความรู้ระดับวิญญาณ หรอื ระดบั การรับรู้ (Consciousness) เปน็ ความร้ทู ่ีเกดิ เมื่อ มีอารมณ์มากระทบ คร้ังแรก เกิดข้นึ ทุกคร้ังท่ีอายตนะกระทบกับสิ่งเร้าจากภายนอกยังแยกไมอ่ อก วา่ อะไรเปน็ อะไร 2. ความรรู้ ะดับสญั ญา (Perception) เกดิ สบื เนอื่ งมาจากระดับวิญญาณ เป็นการจา ไดห้ มายรู้ กาหนดคณุ สมบตั ติ ่างๆ ของสงิ่ เร้าได้ 3. ความรรู้ ะดบั ทฏิ ฐิ หรอื ความคิดเห็น (Conception) เกดิ จากการพจิ ารณา เปรยี บเทยี บ แล้ว สรปุ เป็นความคิดเหน็ อีกทหี น่ึง เป็นความรู้ท่ีลึกซง้ึ สลับซับซ้อนกวา่ 2 ระดบั ที่ กล่าวมา 6 วิสุทธมิ ัคค์ เลม่ 3 หนา้ 1; พระเทพเวที, พทุ ธธรรม, หน้า 23-24. 7 พระธรรมโกศาจารย์(พุทธทาส ภิกฺขุ), บรมธรรมภาคตน้ , (กรุงเทพฯ: การพมิ พ์พระนคร, 2532), หน้า 62-63. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

182 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 4. ความรู้ระดับอภิญญา (Extra Sensory Perception) เกิดมาจากความสามารถ พิเศษทางจิตที่ สามารถรับรู้อารมณ์ได้โดยตรง ไม่อาศัยประสาทสัมผัสใด ๆ ทั้งสามารถรับรู้ได้ไม่ ขึน้ กบั กาลและสถานท่ี ที่เรยี กว่าความรอู้ ันเป็นทิพย์ 5. ความรู้ระดับญาณ (Intuitive Insight) เป็นความรทู้ ่ีพฒั นามาจากระดับทิฏฐิ แจ่ม แจ้ง ชดั เจนกวา่ รหู้ มดทุกส่วน รู้โลกโดยอาศยั ประสบการณท์ างจติ โดยตรงแบบญาณพเิ ศษ 6. ความรรู้ ะดบั สัมมาสมั โพธิญาณ (Enlightenment) เป็นความรู้ระดับญาณชั้นสูงสุด ตามทัศนะพุทธปรัชญา ท่ีเกิดโดยเงือ่ นไข 8 คอื 1) ผ่านการปฏบิ ตั ติ ามมรรค 8 ครบ 2) มญี าณทศั นะโดยสมบูรณ์ 3) เกดิ ความเปลี่ยนแปลงครบ 5 ประการ คือ ทางปญั ญา ทางคุณภาพจิต ทาง อารมณ์ ทางทัศนคติ และทางพฤติกรรม 7.1.4 ทอี่ ยขู่ องความรหู้ รือปญั ญา ปรัชญาตะวันตกบางสานักกลา่ ววา่ ความรูเ้ ปน็ คุณสมบัตขิ องจติ อาศยั อย่ใู นจติ รวมทั้งสิ่งท่ี ถูกรู้ก็อยู่ในจิตบ้าง แต่บางสานักกล่าวว่า จิตผู้รับรู้ที่เป็นนามธรรมไม่มีตัวตนอยู่ต่างหาก ที่สาคัญ หมายเอาว่าเปน็ จิต คอื ชวี ิตทเี่ ป็นๆนั่นเอง เพราะคนที่ยังเป็น ๆ ย่อมรับรู้อารมณ์และคิดได้เรียกว่า มีความรู้ แตเ่ มื่อไม่มีชวี ิต(คนตายลง) คนกไ็ มร่ สู้ ึกรับรู้ แสดงว่า “จิตไม่มี” ดังนั้น ชีวิตที่ยังเป็นอยู่นี่ แหละเปน็ บ่อเกดิ ของความรูส้ ึกรับรทู้ ั้งปวง ความร้จู งึ อาศยั อยู่ในรา่ งกายที่ยังเปน็ ๆ www.neuroorg.co.uk 8 บุญมี แท่นแก้ว, ญาณวทิ ยา, หนา้ 55. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

183 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ในทัศนะของพุทธปรชั ญา ส่งิ ท่เี รียกว่า ปญั ญา หรือความรู้ อาศยั อย่ใู น “จติ ” และจิตก็ อาศัยอยู่ในสิ่งทีเ่ รยี กว่า “หทยวตั ถุ” อีกทีหนง่ึ ลักษณะและหนา้ ทขี องจติ “จิต” คือ สิ่งที่เป็นนามธรรม เป็นศูนย์กลางแห่งความรู้สึกทั้งหมด มีธรรมชาติที่รับรู้ อารมณ์ สภาพที่คิดนึกได้ สภาพที่สั่งสม จิตนี้มีพลังให้สามารถรู้ได้ว่าจิตเป็นสิ่งที่มีอยู่ ด้วยสังเกต อาการที่แสดงออกของจิตพร้อมด้วยลักษณะเด่น ๆ ที่ประกอบในจิต ซึ่งแบ่งลักษณะออกเป็น 4 แบบ ดังน้ี 1) ใหค้ วามรูส้ ึกต่อสิ่งท่ีตนรบั รู้สกึ (เวทนา) 2) กาหนดหมายและจดจาได้ (สัญญา) 3) แยกแยะและขยายสิ่งที่ตนจาได้ให้กว้างขวางออกไป ปรุงแต่งและสังเคราะห์ (สงั ขาร) 4) และทาหนา้ ที่รบั รู้ (วญิ ญาณ) จติ มนษุ ยซ์ งึ่ มฐี านะเปน็ ผู้รับรู้ ทาหนา้ ทตี่ า่ งๆ เชน่ 1) หน้าทร่ี สู้ กึ ทเี่ รียกวา่ การรับรูท้ างอายตนะ 2) หนา้ ทเ่ี ขา้ ใจ หรือนึกคดิ เมื่อนกึ คิดแล้วจะเกิดความเข้าใจด้วยเหตุผล 3) หน้าที่รู้ ซึ่งเกิดมาโดยสามัญสานึกแต่แรกเกิด คือ ปัญญาติดตัวตาม สญั ชาตญาณ 4) หนา้ ท่ีเผยความจริงท่ีอยูเ่ หนอื ระดับธรรมชาตใิ ห้เข้าใจได้ในระดับธรรมชาติ 5) หนา้ ท่ีตรสั รู้ หย่ังรู้ตามสภาวะท่เี ปน็ จริงแท้จนหมดกเิ ลสเครอื่ งเศรา้ หมอง 7.1.5 จดุ กาเนดิ ปญั ญา ปัญญาเกิดมาจากการท่ีมนษุ ย์ไดเ้ รยี นรูส้ ่ิงต่างๆ อันเป็นประสบการณ์ทีไ่ ดร้ ับการส่ังสมกัน มา ผสมกบั การคดิ พนิ ิจพเิ คราะห์ดว้ ยเหตุผล และสามารถนาไปใช้ใหเ้ กิดประโยชนส์ อดคล้องกับ สภาพที่แท้จริง หากจะกลา่ วถึงจดุ กาเนิดอนั แรกจริงๆแล้ว พุทธปรัชญา มองเหน็ ว่าเกดิ จากการ ปะทะ หรือกระทบ (สัมผสั ) ขององค์ประกอบ 3 ประการ หากไม่มกี ารปะทะขององค์ประกอบทัง้ 3 แล้ว จะไม่เกดิ การรับรู้ จนก่อให้เกดิ ความรู้ แต่ เม่อื เกิดผัสสะ ย่อมเกิดกระบวนการรับรู้อย่างต่อเนื่อง คือ จะเกดิ การรับรสู้ กึ คร้งั แรก (เวทนา) ก็ สง่ ไปเกบ็ ไว้ท่คี วามทรงจา (สัญญา) แล้วนาอารมณ์ทท่ี รงจามาจาแนกแยกแยะ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

184 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เปรียบเทยี บหรอื ปรงุ แตง่ (สังขาร) สุดท้ายจะเกดิ ความร้ใู นระดบั ทเี่ รียกว่า “ทฏิ ฐิ” ถ้าพัฒนาให้ถูก วิธี ความรกู้ ็จะเป็น “ญาณ” พุทธปรชั ญาย้าว่า “ถา้ จามาผิด บุคคลก็รู้ผดิ กลา่ วอกี อยา่ งหนงึ่ ไดว้ า่ สัญญา(ความจา)เป็น เหตุให้เกิดความรตู้ อ่ มาก็ได้” การเกิดผสั สะแต่ละครั้ง มอี งค์ประกอบ 3 ประการ คือ 1. มีอารมณ์ภายนอก(อายตนะภายนอก 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ 2. มีระบบรับรู้สึก(อายตนะภายใน 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) อันเป็นที่รับรู้ อารมณ์ 3. มีการรับรู้ ทีเ่ รียกว่า วญิ ญาณ 6 คือ วญิ ญาณทางตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ 7.1.6 แหลง่ เกดิ ปญั ญา พุทธปรชั ญากล่าววา่ ความร้เู กดิ มาจากหลายสาเหตุ ดงั ต่อไปนี้ 7.1.6.1 แบ่งตามสาเหตุทมี่ า 2 ประการ คอื 9 1) สาเหตุจากภายนอก(ปรโต โฆสะ) การรบั รูจ้ ากประสบการณ์ การสงั่ สอน การแนะนา การถา่ ยทอด ข่าวสาร คาช้ีแจง การเรยี นรู้จากผู้อ่นื 2) สาเหตภุ ายใน(โยนิโส มนสิการ) การใชค้ วามคดิ ถกู วิธี ความรู้จักคิด คดิ เปน็ คิดอย่างมีระเบยี บ ทเี่ รียกวา่ การใชเ้ หตผุ ล โยนิโส มนสิการ มี 4 ประเภท 10 คือ (1) “อบุ ายมนสิการ” คดิ พิจารณาโดยอบุ าย คดิ อยา่ งมีวธิ ี ถกู วิธีที่จะ ให้เขา้ ถงึ ความจริง (2) “ปถมนสิการ” คิดถูกทางต่อเน่ืองเปน็ ลาดับมขี นั้ ตอน เป็น ระเบยี บตามแนวเหตุผล (3) “การณมนสกิ าร” คิดค้นเหตุคน้ ผล สืบหาความสมั พนั ธต์ ามเหตุ ปัจจัย (4) “อปุ ปาทกมนสิการ” คิดให้เกิดผลท่ีพงึ ประสงค์ คิดอยา่ งมี เป้าหมายโดยมสี ติ 9 พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม, หน้า 621-732. 10 พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ 670. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

185 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 7.1.6.2 แบง่ ตามแหลง่ หรอื ฐานทเี่ กิด 3 ประการ คือ 1) ประจักษประมาณ ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส โดยตรง หรอื ประสบการณต์ รง (รวมถึงประสบการณ์ทีเ่ กดิ จากการปฏบิ ตั ิทางจติ โดยตรงด้วย) 2) อนมุ านประมาณ ความรู้ที่เกิดมาโดยการคิดหาเหตุผล ใช้ความรู้เดิมที่มี นามาเปน็ กฎเกณฑ์แสวงหาความรใู้ หม่ 3) ศัพทประมาณ เกิดจากอาศัยตารา หรืออ้างอิงบุคคลที่น่าเชื่อมาเป็น หลกั ฐาน ตาราถกู ตอ้ งคนสอนก็รูถ้ ูกตอ้ ง 7.1.6.3 แบง่ ตามประเภทปญั ญา 1) การฟัง (สุตมยปัญญา) ความรู้เกิดจากการฟัง การรับข้อมูล เปิดรับการ สอื่ สารจากโลกภายนอกทัง้ หลาย เปิดหูเปดิ ตาใหก้ ว้าง รบั ข้อมลู ขา่ วสารให้มากพอตอ่ การรบั รู้ 2) การคดิ (จินตามยปญั ญา) ความรเู้ กดิ จากการคิดคน้ เม่อื รบั ข้อมูลแลว้ ต้องย่อยข้อมลู ให้ออกมาเป็นความคิดให้ได้ จดั ระเบยี บความคิดตามข้อมูลออกมาให้เป็นระบบ คดิ เป็นโครงการให้ได้ วางแผนให้เป็น 3) การปฏิบัติอบรม (ภาวนามยปัญญา) ความรู้เกิดจากการอบรมทางจิต ได้รับประสบการณ์ตรงภายใน เป็นขน้ั ท่ยี กระดับความคดิ ออกมาสู่การปฏิบัติ เป็นประสบการณ์จริง แม้ว่าจะลองผิดลองถูก แต่นั่นก็เป็นความก้าวหน้าขึ้นมา มีคนกล่าวว่า “ก้าวแล้วล้มไปข้างหน้า ดีกวา่ ยนื เต๊ท่าอย่กู ับท่ี” เมื่อได้ปฏิบัติการจนได้ผลตามแนวความคิดแล้ว จะเกิดความชานาญ รู้จริง เช่ียวชาญ ไมแ่ ปรเปลี่ยนเป็นอยา่ งอนื่ ดงั คาพังเพยของไทยว่า “สิบรไู้ ม่เทา่ เคย” 7.1.7 วธิ สี รา้ งความรู้ การสรา้ งความรู้ท่ถี กู วิธยี อ่ มเปน็ การง่ายทจี่ ะได้ความรู้จริงและความรู้แท้ ในเมื่อความรู้เกิด มาจากแหล่งสาคญั ทง้ั 3 ประการ (แต่พุทธปรัชญาเน้นหนักที่การลงมือฝึกหัดและปฏิบัติต้วยตัวเอง มากกวา่ วธิ ีอนื่ ๆ) การสร้างความรใู้ หมไ่ มว่ า่ จะเปน็ ความรู้ระดับธรรมดาสามัญ หรือความรู้ระดับสูงท่ี เรียกว่า โลกุตตระปัญญาให้เกิดขึ้นมา ก็ต้องทาตามหลักการเรียนรู้และปฏิบัติให้สอดคล้องและ เหมาะสมกับแหลง่ ท่ีเกดิ นัน้ ๆ พทุ ธปรัชญา กล่าวไวก้ ว้าง ๆ 2 วิธี คือ 7.1.7.1 การเรียนรู้จากคัมภีร์ ตารา ที่เรียกว่า “คันถธุระ” เน้นการศึกษาเชิง ประสบการณภ์ ายนอก จากครู อาจารย์ นักปราชญ์ ที่ถือว่าเป็นหลักฐานอ้างอิง เชื่อถือได้ ก็จะเกิด ความรู้จริงในระดับหนึ่ง บุคคลที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ได้อย่างดีและถูกต้อง ท่านเรียกว่า อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

186 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา “กัลยาณมิตร” เพื่อนที่ดี ที่น่านับถือ น่าเคารพ ยกย่อง แนะนาถูกต้อง เป็นต้น (โปรดดูหลัก กัลยาณมิตร 7 ในบทท่ี 6 ท่ผี า่ นมา) นักปราชญ์ได้จาแนกความแตกต่างของบุคคลผถู้ า่ ยทอดเอาไว้เปน็ 4 แบบ คือ บางคนรมู้ าถกู และถ่ายทอดถูกตอ้ ง บางคนร้มู าถกู แต่ถ่ายทอดผิด บางคนร้มู าผิด แต่ถ่ายทอดถูกต้อง บางคนรมู้ าผดิ และถ่ายทอดผิด นอกจากจะได้กัลยาณมิตร (ครูท่ีด)ี แลว้ สว่ นตัวผู้จะรบั การถา่ ยทอด ต้องมีศรทั ธา คือความ เช่ือม่ันในครูและความรทู้ ่คี รนู ามาถ่ายทอด ศรทั ธาหรอื ความเช่อื ทกี่ ล่าวนี้ ไม่ใช่ความเชื่อแบบงมงาย หรือ ความเช่ือแบบเล่ือนลอย แต่เป็นความเชอื่ ที่อาศยั เหตผุ ลเปน็ ฐาน ความเช่อื มัน่ ในสติปัญญาและ เหตุผลของบุคคลอื่นว่าถูกต้อง เป็นสิ่งที่ประกอบด้วยเหตุผล เมื่อเชื่อมั่นแล้วก็ยินดีที่จะปฏิบัติตาม ดว้ ยความม่ันใจ พุทธปรัชญาแบ่งหลกั ท่คี วรศรัทธา 4 อย่าง คือ 1) เชอื่ กรรม (กัมมสัทธา) เช่อื ว่า พฤติกรรมที่กระทาไปแล้วไม่ไรผ้ ล ทาเองต้องได้ ไม่ใช่ไมท่ าเอง ได้แต่แต่สวดมนต์อ้อนวอนต่อส่ิงเหนอื ธรรมชาติภายนอก แลว้ รอผลบันดาลท่จี ะได้ จากสิ่งน้นั 2) เชื่อผลกรรม (วิปากสัทธา) เช่ือวา่ ผลที่ไดร้ บั มาจากพฤติกรรมทีท่ าไปแลว้ เหมาะสมแก่เหตุ เชน่ ผลดเี กิดจากกรรมดี ผลชว่ั เกดิ จากกรรมชั่ว 3) เช่อื ว่ากรรมเปน็ ของส่วนตวั ทกุ คน (กมั มัสสกตาสทั ธา) เชอ่ื วา่ แต่ละคนเปน็ เจ้าของและจะต้องรบั ผิดชอบและเสวยผลเปน็ ไปตามกรรมทก่ี ระทาไปแลว้ ของตน 4) เชื่อปัญญาของผู้รู้ (ตถาคตโพธิสัทธา) เชื่อมั่นว่าบุคคลที่ตรัสรู้เป็นพุทธะ มี ปัญญาสมบรู ณ์ ร้จู ริง รู้แท้ เปน็ ประโยชน์แกบ่ คุ คลอน่ื ได้จรงิ พระพุทธเจา้ เปน็ กัลยาณมิตรที่สงู สุด 11 หลกั การสรา้ งปัญญาแบบน้ี ในทางพุทธปรัชญาเรยี กว่าเกิดจากประสบการณ์ตรง สร้างนิสยั ใฝร่ ู้ ใฝค่ ดิ ปฏบิ ตั ิตามหลักการเรยี นรู้ คอื ฟงั ทรงจา ทาใหค้ ล่องปาก เพง่ พิจารณา เกิดความคดิ ความเข้าใจ หรอื ถือหลกั การสรา้ งความเปน็ บณั ฑติ คอื สุตะ (ฟัง) จนิ ตะ (คดิ ) ปจุ ฉา (สอบถาม) และลิขิตะ (เขยี น หรือ บันทกึ ) (สุ.จ.ิ ป.ุ ลิ.) การฟังเพอ่ื ให้เกดิ ปัญญา คือ ฟงั ใหด้ อี ย่างใจจดจ่อ ฟงั อยา่ งจดจา ฟังโดยสามารถลาดับขอ้ ความสาคัญใหไ้ ด้ และฟังแลว้ สามารถสรปุ เปน็ ความคิดเห็นของ ตนเองได้ 11 พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยตุ โต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศัพท์, 2528, หนา้ 164-164. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

187 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 8.7.1.2 การสรา้ งความรูด้ ว้ ยการคดิ ถูกวธิ ี คิดอยา่ งมรี ะเบยี บ คดิ อย่างมีเหตมุ ผี ล เรียกวา่ “โยนิโส มนสิการ” และการลงมือปฏิบัตจิ รงิ เรียกตามบาลีว่า “วิปัสสนาธุระ” การคิดแบบ โยนโิ ส มนสกิ าร มี 10 วธิ ี 12 คอื 1. วิธีคิดแบบสาวหาเหตุปัจจยั มองจากผลท่เี กดิ แล้วย้อนไปดูสาเหตุ เป็นการคิดที่ เรียกวา่ “อิทัปปัจจยตา” คือคดิ ตามแบบปจั จยั สมั พนั ธ์ และคิดแบบสอบสวนสาเหตสุ ัมพนั ธ์ 2. วธิ ีคดิ แบบแยกแยะส่วนประกอบ กระจายเน้ือหา เป็นการคิดที่มงุ่ ใหม้ องเหน็ และใหร้ ู้จักสง่ิ ทัง้ หลายตามสภาวะของมนั เอง 3. วธิ คี ิดแบบสามัญลักษณ์ รู้เท่าทันธรรมดา มองเห็นสิ่งต่างๆตามสภาวะธรรมดา ของมัน 4. วิธคี ิดแบบอริยสจั หรอื คดิ แบบแกป้ ญั หาโดยการแกท้ สี่ าเหตุ คดิ ตามเหตแุ ละผล คิดท่ีตรงจุดตรงเร่ือง คิดแก้ปัญหาไดถ้ ูกจดุ 5. วธิ คี ิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ ตามหลกั การและความมุ่งหมายใหส้ อดคล้องกัน 6. วิธีคิดแบบคณุ โทษและทางออก มองเหน็ หลายด้านทั้งดา้ นดีด้านเสยี เปน็ การ เข้าใจปัญหาทุกแงม่ มุ คดิ อย่างรอบคอบ 7. วธิ ีคิดแบบคณุ คา่ แท้ คุณคา่ เทยี ม มองเหน็ สงิ่ ทสี่ ่งิ จาเป็นจรงิ ๆ กลับส่งิ ท่ไี ม่ จาเป็น 8. วธิ คี ดิ แบบอุบายปลกุ เร้าคุณธรรม เมือ่ คิดส่งิ ใดก็คิดแตส่ ิ่งทีจ่ ะก่อประโยชนใ์ นทาง ทีด่ ีงาม 9. วธิ ีคดิ แบบสภาวะทเี่ ป็นอยู่ในขณะปัจจบุ นั (วิปัสสนา) พจิ ารณาเฉพาะสิง่ ท่ี ปรากฏ 10. วธิ ีคิดแบบวภิ ัชชวาท การคดิ แบบแจกแจง คาสอนแบบวิเคราะห์ จาแนกแบง่ ประเภทออกเปน็ จาแนกโดยแง่ด้านความจริง จาแนกโดยสว่ นประกอบ จาแนกโดยลาดบั ขณะ จาแนกโดยความสมั พนั ธแ์ ห่งเหตุปจั จัย จาแนกโดยเงอื่ นไข 8.7.1.2 การสรา้ งความรู้ดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ (ภาวนา) ลาพังเพียงการคดิ ยังไม่ใหเ้ กิดการหยั่งรแู้ จง้ (บรรลุ) ได้ พุทธปรชั ญาเสริมดว้ ยการปฏิบตั อิ บรมทางจติ เข้ามาดว้ ย ดังที่ กล่าววา่ “วิปัสสนาธรุ ะ” คอื การลงมือพิจารณาความเป็นไปของสิ่งท่ีปรากฏเพง่ อารมณ์ปัจจบุ นั 12 พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม, หน้า 676-713. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

188 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ด้วยใจทมี่ สี มาธิและมสี ติ วตั ถหุ รือฐานท่ีนามาเพง่ หรือพิจารณาดว้ ยการมสี ติที่เกิดอย่างต่อเน่ืองไม่ ขาดตอน (สมาธ)ิ ทา่ นเรียกว่า “สติปัฏฐาน” มี 4 แบบ 13 คือ 1. กายานปุ ัสสนา เพง่ กายส่วนวัตถุ พรอ้ มทงั้ ลมหายใจเข้าออก ให้รู้วา่ เปน็ เพยี ง กาย 2. เวทนานุปสั สนา เพ่งความรู้สึกทางกาย และทางใจ เชน่ เปน็ ทกุ ข์ เปน็ สุข หรอื กลาง ๆ ไมส่ ุขไม่ทกุ ข์ (อุเบกขา) 3. จติ ตานุปัสสนา เพง่ ดูจิตวา่ กาลงั คดิ อะไร คิดดี คิดไม่ดี เป็นต้น 4. ธรรมานปุ ัสสนา เพง่ ธรรม ที่เกดิ ดับ ไม่ใช่สัตวบ์ คุ คล จากนนั้ ค่อยอบรมปัญญาให้พัฒนาตามลาดับชั้นลึกๆลงไป พิจารณาความจริงตามหลัก อริยสัจ 4 มองเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ของโลกและชีวิต ความรู้ที่เกิดโดย กระบวนการนี้ ถอื ว่าเปน็ ความรทู้ ่เี กิดจากประสบการณ์โดยตรงทางจิต แต่ความรู้ในระดับสุดท้ายท่ี เรียกว่าเป็น“การตรัสรู้” นั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า อริยสัจ 4 ต้องรู้ให้ครบ และวิธีการที่เหมาะกับ อรยิ สจั แตล่ ะขอ้ เรียกวา่ “กจิ ในอริยสจั ” 14 มี 4 อยา่ ง คือ 1. ทุกขอริยสัจ ควรกาหนดรู้ (ปริญญา) 2. สมุทยอรยิ สจั ควรละ (ปหานะ) 3. นิโรธอริยสจั ควรทาใหแ้ จ้ง (สจั ฉกิ าตพั พะ) 4. ทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏิปทาอริยสัจ (มรรค) ควรเจริญ หรอื ปฏิบตั ิ (ภาวนา) หากแบง่ ลาดับข้ันของการกาหนดรู้ ที่เรยี กวา่ ญาณทัศนะ ตอ้ งเวยี นให้ครบในแต่ละ อริยสัจ ถงึ 3 รอบ คอื 1. สจั จญาณ หยัง่ รู้สัจจะแตล่ ะอยา่ งวา่ อะไรเป็นอะไร เช่น น้ที กุ ข์ น้สี มุทยั เป็นต้น 2. กิจจญาณ หย่ังร้กู จิ หรือหน้าทท่ี ต่ี ้องทาในอริยสัจแต่ละอยา่ งวา่ จะต้องทา อยา่ งไร เช่น ทกุ ข์ควรกาหนดรู้ สมุทยั ควรละ นโิ รธ ควรทาใหแ้ จง้ มรรค ควรทาให้เกิดข้ึน 3. กตญาณ หยง่ั ร้กู ารอันทาแล้ว เชน่ ในทุกข์คอื การกาหนดรู้ ได้กาหนดแลว้ ฯลฯ 13 ที.ม. 10/273-300/325-351. 14 วินยั . 4/1-7/1-8 ; อ้างใน พระเทพเวที(ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หน้า 897-905. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559

189 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เมอื่ เวียนญาณทัศนะ 3 ข้ัน ในอริยสัจ 4 ครบทกุ ข้อ จงึ เป็นอาการ 12 รายการ ซ่ึงสรุปดงั นี้ ตารางแสดงญาณทศั นะ ในอรยิ สจั 4 อรยิ สจั 4 สจั จญาณ กิจจญาณ กตญาณ 1. ทกุ ข์ ทกุ ข์ คือ ดงั น้ี ทุกข์นี้ ควรกาหนดรู้ ทกุ ข์นี้ ไดก้ าหนดรู้แล้ว 2. สมุทยั สมทุ ยั คือ ดังน้ี สมทุ ยั น้ี ควรละเสยี สมุทัยนี้ ได้ละแล้ว 3. นโิ รธ นิโรธ คือ ดงั น้ี นิโรธน้ี ควรทาใหแ้ จง้ นโิ รธนี้ ได้ทาใหแ้ จง้ แลว้ 4. มรรค มรรค คือ ดังนี้ มรรคนีค้ วรปฏิบัติ(เจรญิ ) มรรคนไี้ ด้ปฏบิ ัติ(เจริญ)แล้ว เมื่อญาณทัศนะครบ 12 รอบ พระพุทธเจ้าจึงประกาศพระองค์ได้ว่า ตรัสรู้อนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณแล้ว และความรู้ครบ 12 รายการนี้ ใช้เป็นเกณฑ์การตรวจสอบความสาเร็จในการ ปฏบิ ัติการแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง พุทธปรัชญา เน้นการสร้างความรู้ที่ต้องผ่านญาณทัศนะตามลาดับ ครบถ้วนดังกล่าวแล้ว ก็จะได้ความรู้ที่แท้จริง เป็นความรู้ที่สามารถทาลายกิเลสภายในได้ เป็น ความรู้ทป่ี ฏิบัตกิ ารได้อยา่ งสมั ฤทธ์ิผลสมบูรณ์ 7.1.8 สงิ่ ท่ถี กู รู้ เมื่อจัดลาดับประเด็นที่ศึกษาถึงตรงนี้ จะนาความรู้หรือปัญญานั้นไปพิจารณาอะไร สิ่งท่ี ควรรู้คืออะไร จึงเข้าสู่ประเด็นที่ว่าด้วยสิ่งที่ถูกรู้ หรือสิ่งที่เป็นอารมณ์ของความรู้ ได้กล่าวแล้วว่า พุทธปรัชญาไม่ใช่เป็นแบบจิตนิยม แม้จะเน้นการอบรมปัญญาด้วยการปฏิบัติทางจิตก็ตาม เพราะ พุทธปรชั ญามองส่ิงตา่ งๆท้ังส่งิ ที่เป็นวัตถุและสิ่งที่เป็นจิตตามที่มันมีปรากฏ วัตถุและจิตทั้ง 2 อย่าง ตา่ งก็เป็นอสิ ระแก่กัน ดังนนั้ สิ่งท่ีรู้ คอื ความจริงท่เี ป็น โลกและชวี ิต การรคู้ วามจริงที่เรียกว่า สัจจะ (Truth) ของโลกและชีวิต ส่วนการยืนยันความจริงว่า มีจริงและเป็นที่ยอมรับกันได้นั้น ขึ้นอยู่กับ ระดับความรู้ความคดิ เห็นและความเข้าใจของมนษุ ย์ ทีม่ พี น้ื ฐานความเข้าใจแตกตา่ งกนั สจั จะ 4 ประเภท ความหมายของสัจจะตามระดับความลุ่มลกึ ในบรบิ ททใ่ี ช้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ 7.1.8.1 สมมติสัจจะ( Conventional Truth) เป็นความจริงเพียงขั้นสมมติ จริงตาม ภายนอก เพื่อสะดวกในการเรียกขาน ติดต่อสื่อสาร ถ้าสืบค้นถึงความจริงแท้ที่อยู่เบื้องหลังก็คงจะ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559

190 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ไม่มีความจริงอะไรมารองรับ แต่ก็ยอมรับว่า มันเป็นความจริงในระดับหนึ่ง แม้จะเปรียบเหมือน เปลือก หรือกระพี้ของต้นไม้ก็ตาม เช่น บัญญัติว่า นายแดง รถยนต์ รูป นาม ก็เป็นความจริงและ สะดวกในการเรียกขาน ไมม่ ใี ครปฏเิ สธวา่ ไมจ่ รงิ 7.1.8.2 สภาวสจั จะ (Empirical Truth) ความจรงิ ตามสภาวะ เปน็ ความจริงที่เกิดจากการ คิดค้น วิจัย วิจารณ์วัตถุหรือจิตใจในระดับที่ลึกลงไป หรือวิจารณ์เรื่องที่เกิดขั้นว่ามีอะไรเป็นความ จริงอยูเ่ บ้อื งหลงั เช่น ความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า ชีวิตมีส่วนประกอบคือเซลหลายล้านตัว จิตมี พลังงานทส่ี ามารถวัดคล่นื พลงั ได้ นา้ คอื สารประกอบด้วยไฮโดรเย็น 2 ตัว และอ็อกซิเจน 1 ตัว เป็น ต้น 7.1.8.3 ปรมตั ถสจั จะ (Metaphysical Truth) ความจริงท่อี ยเู่ หนือวสิ ยั การรบั รู้ทาง ประสาทสัมผสั เช่น เรื่อง วญิ ญาณ นรก สวรรค์ พระเจา้ หรอื อภนิ หิ าร เปน็ ตน้ พทุ ธปรชั ญาเรยี กความจริงระดับที่ 3 นว้ี า่ เป็นเพียงความจริงโดยสมมติ ปรมัตถสัจจะตาม ทัศนะพทุ ธปรัชญา คือความจรงิ สงู สดุ ไมม่ ีการสมมติบัญญตั ิ มีอยูต่ ามสภาพธรรมชาติเดิมของมนั คอื จติ เจตสิก รปู และนพิ พาน 7.1.8.4 อรยิ สัจจะ (The Four Noble Truths) ความจริงที่แท้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จริง อย่างไรก็ยงั คงเปน็ จรงิ อย่างนั้นเสมอไป เพราะเป็นไปตามกฎแห่งเหตุปัจจัย ความจริงแบบอริยสัจน้ี เม่อื ใครรู้กท็ าใหเ้ ขาพน้ จากการยดึ ตดิ ความเห็นผิดของตน ร้แู ล้วพ้นทุกขไ์ ดจ้ รงิ อรยิ สจั 4 คือ 15 1. ทุกข์ (Suffering) 2. สมุทัย (เหตุเกดิ ทุกข์; The Cause of Suffering) 3. นโิ รธ ความดับทุกข์ (The Cessation of Suffering) และ 4. มรรค ทางปฏิบัตเิ พื่อความดบั ทกุ ข์ (The Path leading to the cessation of Sufferings) (โปรดดูรายละเอียดทผี่ า่ นมา) การรู้อริยสจั ทาใหร้ ้ตู ามสภาวะท่ีเป็นจริงของโลกและชีวิต และเมื่อรแู้ ล้วก็แก้ปัญหาไดห้ มด โลกและชวี ติ ส่งิ ทค่ี วรรู้ คือ โลกและชวี ิต หากจะจัดกลมุ่ จาแนกออกไป คงมี 3 ประเภท คือ 1. ส่งิ ทีเ่ ปน็ อยภู่ ายในตัว ได้แก่ จติ ใจ ร่างกายของมีส่ิงหนึ่งทเ่ี รยี กวา่ จิต ก็ควรรู้จักธรรมชาติ และลกั ษณะของจติ แต่จิตไมใ่ ช่วญิ ญาณตามทีล่ ัทธิวญิ ญาณนยิ มกลา่ วม่งุ หมายถงึ 2. สิ่งที่มีอยู่ภายนอกตัว ได้แก่ สสาร หรือวัตถุที่เป็นโครงสร้างทางวัตถุของโลกและชีวิต ภายนอก แตไ่ ม่ใชม่ ีอย่ใู นฐานะทเ่ี ปน็ ทรัพย์ (Substance) ท่ีไม่มีการเปลีย่ นแปลง 15 วนิ ยั . 4/14/18.; พระธรรมปฎิ ก (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, หนา้ 181. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559