191 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3. ปจั จัยสมั พนั ธ์ ระหวา่ งจติ วตั ถภุ ายนอก มีอะไรเปน็ ความสัมพนั ธ์ให้เกิดการรับรู้ ปัจจัย สมั พันธเ์ หลา่ นี้ ทางานอยา่ งไร เป็นกฎ หรอื สิง่ ทีเ่ ปน็ สาเหตุสมั พันธข์ องสิ่งตา่ งๆ โลกและชวี ติ ท่ตี ้องรู้จักธรรมชาติของมัน พุทธปรัชญากล่าวว่า เป็นเพียงองค์ประกอบของ ส่วนต่างๆ เรียกว่า ขันธ์ มี 5 อย่าง คือ รูป (ส่วนที่เป็นวัตถุ) เวทนา สัญญา สังขาร (การปรุงแต่ง หรือคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์) วิญญาณ (จิตที่รู้แจ้งอารมณ์) ขันธ์ 4 อย่างหลังเป็นนามธรรม เป็น อย่างเดยี วกบั ท่ีกล่าวในหมวดระดับความรู้ จึงไมข่ อกลา่ วรายละเอยี ดอีก ดงั นนั้ สงิ่ ท่ีถูกรู้ พทุ ธปรัชญา กลา่ ววา่ ได้แก่ โลกและชีวิต ท่ีสรุปลงมาเพียง 2 คือ วัตถุและ จติ ทศั นะพุทธปรัชญากล่าวว่า วัตถุและจิต แม้จะมีองค์ประกอบที่เรียกว่า “ธาตุ” แต่ ธาตุ ก็ไม่ใช่ สิ่งที่ปรัชญาตะวันตกเรียกว่าทรัพย์ (Substance) ซึ่งเป็นตัวยืนพื้นคงอยู่เป็นอมตะตลอดไป หรือ อยา่ งท่ปี รัชญาอินเดียเรียกว่า “ตัวตน หรือวิญญาณ” แต่ธาตุเป็นกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอย่าง ต่อเนอื่ ง การเปลีย่ นแปลงของมันเป็นไปโดยกฎอัตโนมัติ ปราศจากศูนย์บังคับบัญชาการ ธรรมชาติ แท้ของสิ่งที่ถูกรู้ คือ ความเปลี่ยนแปลง ความไม่มีตัวตนที่แท้ จึงเรียกพุทธปรัชญาตอนต้นว่า “ทฤษฎีอนัตตา (No-Soul Theory)” 16 ประเด็นพิสัยของความรู้ พุทธปรัชญากล่าวว่า รู้ได้หลาย ทาง บางอย่างรู้ได้โดยตรง แต่บางอย่างรู้ได้โดยอ้อม บางอย่างรู้ได้หมด แต่บางอย่างก็ได้บางส่วน สดุ แต่ระดับของปญั ญาของผู้กาหนดรู้ ดังท่กี ล่าวมาแลว้ 7.2 ทฤษฎคี วามรสู้ านักพทุ ธปรชั ญาตอนปลาย (The Latter Schools of Buddhism) 7.2.1 ความเบอื้ งต้น นกิ ายทางพระพทุ ธศาสนา พุทธปรัชญา เป็นทัศนะที่อาศัยคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นฐาน ดังปรัชญาอินเดียสาย พระเวท ท่ียึดคาสอนพระเวทเปน็ ฐานการตคี วามทางปรชั ญา แม้ว่าคาสั่งสอนของพระพุทธศาสนา จะออกมาจากพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวกันก็ตาม แต่พุทธสาวกบางกลุ่มในสมัยต่อมาได้ตีความคา สอนเอาตามอาเภอใจ จนมีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องวินัยที่เรียกว่า “ศีลวิสามัญตา” หรือมี ความเห็นไม่ลงลอยกันในเรื่องการตีความเกี่ยวกับความเป็นจริงอันสูงสุดทางอภิปรัชญา เป็นความ ตา่ งทางทัศนะ ที่เรยี กวา่ “ทิฏฐิวิสามญั ตา” ในประวัติศาสตร์ปรัชญาอินเดีย พุทธสาวกได้แสดงทฤษฎีปรัชญาที่แตกต่างกันอย่าง มากมายตา่ งยคุ ตา่ งสมยั ซง่ึ ทัศนะทางปรัชญาเช่นนี้ บางครั้งก็เป็นความเห็นขัดแย้งหรืออาจคู่ขนาน ไปกับความคดิ ทางปรัชญาตะวนั ตกและปรชั ญาตะวนั ออกสายอน่ื ๆ 16 Th.Stcherbatsky, Buddhist Logic Vol. I, (New Delhi: Munshriram Manoharlal Publishers, 1984.), p.4. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
192 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา หลังพุทธปรินิพพานเป็นต้นมา เหล่าพุทธสาวกต่างตีความหลักคาสอนไปตามมติ หรือ ความเข้าใจของตน เหตุการณ์ทานองนี้นับว่าเป็นสาเหตุแห่งการแตกนิกายออกมา บรรดานิกาย ทั้งหลายสามารถจดั รวมได้เป็น 2 ฝ่ายใหญๆ่ คอื 7.2.1.1 เถรวาท (สถริ วาทนิ ) หรอื “เถรวาท” นกิ ายเถรวาท เป็นกลมุ่ ที่ยึดตดิ คมั ภีร์ ถือตามจารีตประเพณีอย่างเคร่งคัด ไมม่ ีการตีความคาสอนใหม่ ปฏิเสธความเปล่ียนแปลงใน หลกั คาสอนทุกชนิด จึงถูกเรยี กว่า “กลุ่มอนรุ ักษ์นยิ ม” 7.2.1.2 อาจรยิ วาท (มหาสังฆกิ ะ) หรือ “มหายาน” หมายถึง ยานใหญ่ มหาสังฆิ กะ หมายถึง กลุ่มมาก นิกายอาจริยวาทนิยมตีความคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วยเหตุผลหรือมติ ของตนเอง เปน็ กลุ่มที่ชอบอิสระภาพ จงึ ถูกเรียกว่า “กลมุ่ เสรนี ยิ ม” พระสงฆใ์ นพระพุทธศาสนาได้เริ่มมีความเห็นไม่ลงรอยกันมาจนถึงแตกแยกออกเป็นนิกาย ปรากฏหลักฐานอยา่ งชัดเจน ครัง้ แรก ในราว พ.ศ. 100 (400 B.C.) 17 7.2.2 ความแตกตา่ งระหวา่ งนิกาย ถึงแม้ว่า พทุ ธนกิ ายทง้ั หลายจะถือกาเนิดมาจากแหล่งต้นตอเดียวกันก็ตาม แต่เพราะความ ขัดแย้งในเรื่องศีลและทิฏฐิ(ความคิดเห็น) เป็นประการสาคัญ พุทธสาวกจึงต้องแตกเป็น 2 นิกาย ใหญ่ ๆ ซ่ึงมปี ระเดน็ ที่สาคัญหลายประการซง่ึ มคี วามเหน็ ไม่สอดคล้องกัน ดังประมวลไดต้ ่อไปน้ี 7.2.2.1 จุดหมายสงู สุด เถรวาท ถือว่า จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติ คือการบรรลุพระอรหันต์ เมื่อบุคคล บรรลุจุดหมายสูงสุดแล้วจะเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ มีความรู้แจ้งอย่างสุดยอด มหายาน กลับถือว่า จุดหมายสูงสุดคือการเป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อบุคคลบรรลุจุดหมายนี้แล้ว เขาจะมีความสามารถทา ความดีเพ่อื บคุ คลอ่นื ได้มากกวา่ และดกี วา่ การพอใจเพยี งแค่การบรรลุพระอรหนั ตแ์ บบเถรวาท 7.2.2.2 การหลุดพ้น เถรวาท ถืออุดมคติว่า ต้องช่วยตนเองให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏก่อน การคิด เช่นนี้ ถูกมองว่า เป็นอุดมคติที่แคบและเห็นแก่ตัว เพราะพยายามช่วยตนเองให้บรรลุก่อน เถร วาท จึงเป็นเรื่องส่วนบุคคล ส่วนอุดมคติของมหายานคือความพยายามเพื่อความหลุดพ้นของผู้อื่น มากกวา่ ของตน มหายาน ไม่เพียงแต่จะพยายามเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นเท่านั้น แต่ยังทาความดีเพื่อ บคุ คลอื่นดว้ ย ถอื ว่ามหายานมีอุดมการณ์เพื่อการหลดุ พ้นของทุกคน 17 S. Dasgupta, A History of Indian Philosophy, Vol.1, p.125. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
193 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 7.2.2.3 การพง่ึ ตนเองกับความกรุณา เถรวาท เน้นที่การพึ่งตนเอง การบรรลุความหลุดพ้น มนุษย์ต้องเพียรพยายามด้วย ตวั เองเองดงั พระพุทธเจา้ ตรสั ว่า “จงมีตนเปน็ ที่พึ่ง” 18 และ “พวกเธอจงทาหน้าที่ของตน ตถาคต เป็นเพียงผู้ชี้ทาง” 19 ผู้ปฏิบัติต้องพยายามพัฒนาและยกระดับคุณภาพของตนเอง ในตอนใกล้จะ ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงเตือนสาวกว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงทาความเพียรดว้ ยความไม่ประมาทเถิด” 20 มหายาน กลบั มองวา่ มีบุคคลอีกจานวนมากมายที่ไม่อาจจะช่วยตนเองให้หลุดพ้นจาก ความทุกข์ ต้องอาศัยการช่วยเหลือจากบุคคลอื่น โดยอาศัยอานาจแห่งพระมหากรุณาธิคุณของ พระพุทธเจ้า สรรพสตั วส์ ามารถเขา้ ถึงการหลดุ พ้นได้ 7.2.2.4 การเคารพบูชาพระพุทธเจา้ เถรวาทมีทัศนะแบบอเทวนิยม โดยวาง “ธรรมะ”ไวใ้ นตาแหน่งเทพเจ้า ถือว่า “ธรรม” เปน็ สิ่งครองโลกท้ังมวล ด้วยธรรมะนี้แหละ ทกุ ส่งิ จงึ เป็นไปตามธรรมดา แม้ว่าฝ่ายเถรวาทจะนับถือ พระรัตนตรัยเปน็ ที่พ่ึง แตไ่ ม่ได้ถอื เป็นสิง่ ศักด์ิสทิ ธิ์แบบนับถือเป็นเทพเจา้ มหายานค่อยๆ ยกระดับการนับถือพระพุทธเจ้าจากมนุษย์ธรรมดา ไปเป็นการนับถือ และบูชาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบเทพเจ้า จนฐานะของพุทธะเป็นสิ่งสูงสุดมี“อาทิพุทธะ” เป็นต้นแบบ พระสิทธัตถะพุทธะ เป็นเพียงการอวตารของอาทิพุทธะนั่นเอง และในแบบธรรมกาย พระพุทธเจ้า คือ “เทพเจ้า” ผู้ควบคุมโลกทั้งมวล แต่ลงมาโปรดโลกที่มีความทุกข์ ดังนั้น ผู้มีความทุกข์ยากจึง ต้องการกราบไหว้บูชาเพื่อขอความช่วยเหลือ ความกรุณา และสงสาร โดยการยอมรับพุทธะเป็น แบบพระเจา้ พทุ ธะผูม้ คี ณุ สมบตั แิ บบนี้ เรยี กวา่ อมิตาภะ พทุ ธะ 7.2.2.5 อนุรกั ษน์ ิยมกบั อสิ ระนยิ ม เถรวาทเชื่อและยึดตามประเพณีของพุทธปรัชญาแบบเก่า เป็นนักอนุรักษ์นิยมและ ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทุกชนิด มหายานเป็นกลุ่มหัวก้าวหน้า ฉะนั้นในฝ่ายมหายาน จึงมีนัก ปรชั ญาท่ีลือนามหลายทา่ น เชน่ อศั วโฆษะ นาคารชุน วสพุ ันธุ และอารยเทพ ซงึ่ ท่านเหล่านี้ได้เสนอ แนวคิดทางปรัชญาหลายประการ 18 ขุ. ธ. 25/22/36; 25/35/66 19 ข.ุ ธ. 25/30/51 20 ที.มหา.10/143/180 อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
194 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 7.2.2.6 วญิ ญาณอมตะ เถรวาทไม่ยอมรับว่ามี “อาตมัน” หรือ วิญญาณอมตะ ส่วนมหายาน กลับถือว่า มี อาตมัน หรือ วิญญาณ 2 ระดับ คือ วิญญาณในระดับต่า (Hina Atman) เป็นสิ่งไม่จริง เป็นมายา ส่วนวิญญาณระดับพ้นโลก (Transcendental Self) หรือ มหาตมา (Mahatman) เป็นสิ่งจริงแท้ ไมใ่ ช่สิง่ เท็จ ไดแ้ ก่ พระอาทิพุทธะ 7.2.2.7 ความบริสทุ ธิก์ ับประโยชน์ เถรวาทเน้นเรอ่ื งความบริสทุ ธ์ิ และความโปร่งใสของอุดมคติ แต่มหายานเน้นที่ประโยชน์ ของศาสนา นั่นคือเถรวาทยังคงรักษาบทบัญญัติหลักๆของพุทธศาสนาเดิมไว้ แต่ในฝ่าย มหายาน ได้เสริมเตมิ แตง่ ความคิดและเปลีย่ นแปลงบทบญั ญตั ิใหมๆ่ อีกมากมาย 7.2.2.8 ความแตกตา่ งทางทัศนคติ เหตุที่เป็นนักอนุรักษ์ เถรวาทปฏิบัติอย่างเคร่งคัด ความคับแคบ (ยึดตัวเองเป็น สาคัญ) ถือเคร่งศีลและพรต จึงจากัดตัวเองในกรอบ กระดิกไม่ได้ ไม่มีอิสระ และเพราะความเป็น นักหัวก้าวหน้า มหายานมีทัศนคติเพื่อความสุข และความสงสารผู้อื่น มีอุดมคติแบบอิสระและ ก้าวหน้า 7.2.2.9 ภาษาท่ีจารกึ คัมภรี ์ เถรวาท ถือว่า ภาษาบาลี เป็นภาษาของพระพุทธเจ้า และเป็นภาษาที่ประชาชนทั่วไป ใช้สื่อสารกัน แต่มหายานถือว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาตลาดไม่ควรใช้ เนื่องจากคาสอนของ พระพทุ ธเจ้าเป็นส่งิ ศกั ด์สิ ิทธสิ์ ูงส่ง ตอ้ งรองรบั ดว้ ยภาษาที่สูงส่ง คือ ภาษาสันสกฤตอันเป็นที่ยอมรับ ของเหล่าบัณฑิตชาวอินเดียยุคนั้น และถือว่า สันสกฤต เป็นภาษาของพระพรหม มีความบริสุทธ์ิ และมีความไพเราะยิ่งกว่าภาษาใดๆ ในชมพูทวีป จึงเลือกใช้ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจารึกพระ คมั ภรี ์ 7.2.2.10 ในการยดึ สายคัมภรี ์หลกั เถรวาทยึดพระไตรปิฎกที่ถูกจารกึ เป็นภาษาบาลีสืบทอดมาแต่เดิม เป็นคัมภีร์ชั้นต้น และมี คมั ภรี ์ อรรถกถา เช่น มิลนิ ทปญั หา(พระติปิฏกจฬุ าภยั พ.ศ. 500) วิสุทธิมรรค (พระพุทธโฆสาจารย์ พ.ศ. 900) เปน็ ชั้นรอง มีฎีกาและอนุฎีกา เป็นคัมภรี ์รอง ๆ ลงมาอกี ตามสาย มหายานไม่มีสายคัมภีร์หลัก เพราะไม่มีนิกายใดถูกยกขึ้นและยอมรับว่าเป็นโครงสร้าง หลัก แต่ทุกนิกายก็ยึดคัมภีร์ที่จารึกด้วยภาษาสันสกฤตเป็นหลัก โดยเฉพาะพระสูตรสาคัญๆ และ พระสูตรที่เก่าแก่ที่สุดของมหายาน คือ ปรัชญาปารมิตาสูตร รจนาโดยพระกุมารชีวะ (ประมาณ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
195 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา พ.ศ. 700) มีนักคิดอาศยั พระสตู รนี้เป็นฐานอธิบายความคิดเชิงปรัชญา เช่น มหายานสูตร และมาธ ยมิกสตู ร โดยนาคารชุน และมีอรรถกถาอธบิ ายอกี มาก 7.2.3 สานกั พทุ ธปรชั ญา แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเป็นนักเหตุผล พยายามพิสูจน์สรรพสิ่ง โดยใช้กระบวนการทาง เหตุผลกต็ าม แต่กบั ปญั หาทางอภิปรัชญา พระองคจ์ ะนิ่งเฉย และบางคราวปฏิเสธที่จะถกเถียง ด้วย ท่าทีของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ นักพุทธปรัชญาสมัยต่อมาจึงมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ดังที่ได้พบ เชื้อแห่งปฏิฐานนิยม ปรากฎการณน์ ิยม และประจกั ษน์ ยิ ม เปน็ ต้นในพุทธปรชั ญา พุทธปรัชญาอาจเรียกว่า ปฏิฐานนิยม เพราะมีทัศนะว่าคนควรจะพัฒนาชีวิตให้ดีในโลก ปจั จบุ ันน้ี พุทธปรชั ญาอาจเรยี กว่า ปรากฎการณ์นิยม เพราะมีทศั นะวา่ มีความรู้ที่แน่นอนเฉพาะใน วัตถทุ ีป่ รากฏตอ่ ประสบการณ์เชีงประจักษ์เทา่ นน้ั พุทธปรัชญาอาจเรียกว่า ประจักษ์นิยม เพราะมีทัศนะว่า ประสบการณ์เป็นสิ่งเดียวท่ี พสิ จู น์ความรู้ เมอื่ กล่าวถึงความจริงสูงสุด นกั ปรชั ญาบางคนไดต้ คี วามหมายท่าทีของพระพุทธเจ้า วา่ เป็นแบบ ต่างๆ ดว้ ยเหตผุ ลดังนี้ พุทธปรัชญาเป็นแบบ “อไญยนิยม (Agnosticism)” ด้วยเหตุผลว่า ด้วยหลักของ ประสบการณ์นิยมที่ว่า ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ไม่อาจจะรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัสเป็นสิ่งที่เป็นไป ไมไ่ ด้ ซึ่งบางคราวพระพุทธเจ้าระบุถึงความรู้เช่นนี้ ว่า “ธรรมะ เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง เห็นยาก รู้ได้ยาก ละเอียด ประณตี เปน็ สิ่งทไ่ี มอ่ าจจะรู้ได้โดยวิธีการถกเถียงด้วยเหตุผล ต้องคนที่เป็นบัณฑิตเท่านั้น จะพึงรู้” 21 พุทธปรัชญาเป็นแบบ “โลกุตตระนิยม (Transcendentalism)” เพราะ พุทธปรัชญา ยอมรับวา่ ปญั ญา วา่ เปน็ ความรสู้ งู สุด เพราะปญั ญาเป็นความรูท้ ่ีล่วงเลยผสั สะออกไป พุทธปรัชญาเป็นแบบ “รหัสนิยม (Mysticism)” เพราะใช้เหตุผลแบบตรรกะไม่ได้ ไม่ได้ เปน็ สิ่งท่จี ะใชค้ วามคดิ แบบชาวโลก ท้ังไมส่ ามารถจะอธิบายด้วยคาพดู ด้วยการตีความและการโต้เถียงปัญหาทางปรัชญาหลากหลายเช่นนี้ นักปรัชญาชาวพุทธ สมัยต่อมาจึงก่อตั้งสานักปรัชญามากกว่า 20 สานัก แต่ที่สาคัญมี 2 ฝ่ายหลักๆ คือ ฝ่ายเถรวาท และฝ่ายมหายานที่กล่าวแล้ว ซึ่งแต่ละนิกายก็แยกย่อยออกเป็นสานักอีกฝ่ายละ 2 สานัก 22 ประกอบด้วย 21 ที. สี.9/26/16. 22 S.Chatterjee, An Introduction to Indian Philosophy, p.142. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
196 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 7.2.3.1 นกิ ายเถรวาท หรอื สพั พัตถกิ ะวาทิน แบง่ ออกเป็น 2 สานกั คอื 1. ไวภาษกิ ะ (Vaibhasika) 2. เสาตรนั ติกะ (Sautrantika) พุทธปรชั ญา 2 สานักแรก ยอมรับความเป็นจรงิ ของวัตถแุ ละจิตใจว่ามีอยู่ตลอดกาลจึงเรียก อีกชื่อหนง่ึ วา่ “สพั พตั ถิกะวาทิน” หรอื “สรวาสติวาทิน” 7.2.3.2 นกิ ายมหายาน แบ่งออกเป็น 2 สานกั คอื 1. โยคาจาร (Yogacara) หรือ วิญญาณวาทะ 2. มาธยมิกะ (Madhyamika) หรอื ศนู ยวาทะ พุทธปรัชญา 2 นิกายหลัง มีความเห็นแตกต่างกันในปัญหาเรื่องความมีอยู่ของวัตถุ ภายนอก โดย สานักโยคาจาร ลดฐานะของวัตถุลงไปเป็นเพียงสิ่งที่จิตสร้างขึ้น ไม่มีตัวจริง ส่วน สานกั มาธยมกิ ะ กลับเหน็ วา่ สรรพสิ่งวา่ งเปล่า จงึ มชี อื่ วา่ ศนู ยวาทะ 7.2.3.1 นกิ ายเถรวาท หรอื สัพพัตถกิ ะวาทิน สัพพัตถิกะวาทิน มีความเชื่อว่า วัตถุและจิตมีอยู่จริง ประกอบด้วยธาตุต่างๆ ที่เรียกว่า \"ธรรมะ\" 75 อย่าง (ธรรมธาตุ 64 มนะ 1 และ ธาตุ 10) ต้นเดิมของธรรมะเหล่านี้เรียกว่า \"สังขตะ\" สังขตะของจิตมี 46 ชนิด มีธรรม 3 ชนิดที่ไม่เป็นสังขตะ คือ อากาศ ปฎิสังขยานิโรธ และอปฏิ สงั ขยานโิ รธ ปรมาณู(Atom)เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของวัตถุ มี 4 ชนิด คือ ดิน น้า ไฟ และ ลม ใน ร่างกายของมนุษย์นั้น ระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 ถูกสร้างด้วยปรมาณูพิเศษ 5 ชนิด ตัวปรมาณูไม่ อาจจะสัมผัสได้ แต่เพราะการรวมตัวของปรมาณูหลายชนิดสร้างสิ่งที่หยาบกว่าให้ปรากฏ ขึ้นมา อาจจะรับรู้ได้สรรพสิ่งอยู่ในสภาพที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเมื่อผู้ใดบรรลุ นพิ พาน ปรมาณกู จ็ ะหมดสภาพไปเอง 23 สัพพัตถิกะวาทิน แตกตัวออกมาจากฝ่ายเถรวาทเดิมที่ใช้ภาษาบาลี แต่เมื่อมาเป็นนิกาย สัพพตั ถิกะวาทนิ กลับใชภ้ าษาสันสกฤต ถือคัมภีร์ ชญาณปรัศฐานะ (ญาณปัฏฐานะ) รจนาโดยพระ กาตยานีบุตรมี 6 บท เป็นหลัก ศูนย์กลางสัพพัตถิกวาทินตั้งอยู่ที่แคว้นมถุรา และแคว้นแคช 23 Ruth Reyna, Introduction to Indian Philosophy, (Bombay : Tata McGrow - Hill Publishings, 1971), p.112. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
197 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เมยี ร์ พระอุปคตุ เป็นผู้เรมิ่ เผยแพร่ มพี ระมชั ฌนั ตกิ ะ สมณฑตู สมยั พระเจ้าอโศกมหาราช กับพระที ตกิ ะชว่ ยกันเผยแพร่ จนนิกายสพั พตั ถิกะวาทนิ แพรห่ ลายทางอินเดียตอนเหนือ ทัศนะของนกิ ายสพั พัตถกิ ะวาทนิ เปน็ สัจนยิ มเชิงธรรมชาติ ร่งุ เรอื งมากในสมัยของพระเจ้า กนษิ กะมหาราช (พุทธศตวรรท่ี 6) จากแนวคิดนจี้ ึงเปน็ ฐานให้เกิดสานักไวภาษิกะ และเสาตรันติกะ ต่อมา พระเจา้ กนษิ กะมหาราช ผู้อปุ ถัมภพ์ ระพทุ ธศาสนาสาคัญอกี องค์ www. historyatoz.blogspot.com เมอื่ พระพทุ ธศาสนาแผ่ไปทางเหนือ จึงนิยมใช้ภาษาสันสกฤตจารึกคัมภีร์หลัก โดยเฉพาะ พระไตรปิฏกทั้งสองนิกายต่างยอมรับพระอภิธรรมปิฏกว่าเป็นสิ่งสูงสุด เป็นยอดแห่งธรรมทาง พระพุทธศาสนา เพราะอภิธรรมเป็นปรัชญาธรรมอันลึกซึ้ง เมื่อทาสังคายนาและจารึกคัมภีร์ใหม่ โดยการอปุ ถัมภข์ องพระเจา้ กนษิ กะเมือ่ พ.ศ.643 จึงเลือกใช้ภาษาสันสกฤตที่สูงส่งเหมาะสมแก่การ รองรับปรชั ญาธรรมอันล้าลกึ อรรถกถาอภิธรรมก็เกิดขึ้นมามากมาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการตีความพระพุทธพจน์ใน เชิงปรัชญานบั แตน่ ั้นมา และเมื่อเกิดความคิดเห็นแตกต่างกัน ก็โต้แย้งกันเพื่อชี้แจงความจริง และ ตอนใดที่ตนเองเข้าใจดีจะเขียนเป็นสูตรอธิบายออกมา เมื่อมีผู้เชื่อตามมากขึ้น ก็เกิดสานักปรัชญา ต่างๆ ซึ่งจะชแ้ี จงโดยสังเขปตามลาดบั อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
198 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1. สานักไวภาษกิ (Vaibhasika School) คาว่า\"ไวภาษิกะ\" เป็นชื่อคัมภีร์อรรถกถาอภิธรรมปิฎก ชื่อ \"มหาวิภาษา\" หรือ ภาษาวิเศษสานักไวภาษิกะกล่าวว่า ภาษาของสานักอื่น ๆ ผิดพลาด เรียกว่า \"วิรุทธภาษา\" และ ปฏิเสธความน่าเชื่อถือของพระสุตตันตปิฎก แต่ยอมรับ \"พระอภิธรรมปิฎก\" ว่าเป็นของลึกซึ้ง น่าเชอื่ ถอื กว่า เมื่อยึดคัมภีร์มหาวิภาษาเป็นหลักจึงได้ชื่อว่า \"ไวภาษิกะ\" 24 สานักไวภาษิกะ เป็น สาขาหน่ึงของสัพพัตถกิ วาทิน สืบเนอ่ื งมาจากการทาสังคายนาที่แคชเมียร์ อรรถกถาพระไตรปิฎก ได้รบั การแต่งและจารกึ เปน็ ภาษาสนั สกฤต โดยการอานวยการของท่านวสมุ ิตร คัมภีร์ชื่อ \"อภิธรรม มหาวิภาษาศาสตร์\" ที่อธิบายคัมภีร์อภิธรรมชญาณปรัศฐานะ (Objectivist Trend) แต่ต้นฉบับ ภาษาสันสกฤตสูญหายไป คงเหลือแต่ฉบับที่แปลสู่ภาษาจีน ของสมณะ ฮวน จัง (Hsuan Tsang) และอีกคัมภีร์หนึ่งชื่อ \"อภิธัมมะโกศะ\" รจนาโดยท่านวสุพันธุ อาศัยฐานจากอรรถกถามหาวิ ภาษาศาสตร์ อันเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นวรรณกรรมทางศาสนาที่ยอดเยี่ยมที่สุดใช้อธิบายสรุป เนอ้ื หาพระอภธิ รรมปฎิ ก ทศั นะทางปรชั ญา ไวภาษิกะ ถือว่า สิ่งที่มีอยู่จริง มีทั้งร่างกาย (วัตถุ) และจิตใจ (นามธรรม) แต่ละ อย่างท่ีอยูเ่ ป็นอสิ ระแยกจากกันไมข่ ้ึนแก่กัน และสภาวะทั้ง 2 อย่างคือ วัตถุ และนามธรรม ต่างก็มี ส่วนประกอบหลายอย่าง ไม่มีสิ่งใดเลยที่จะมีสภาพเป็นอมตะ สรรพสิ่งมีการผันแปรเปลี่ยนแปลง เสมอ นอกจาก สภาวะ 3 อย่างคืออวกาศ และนิพพาน 2 อย่าง ซึ่งคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของวัตถุคือปรมาณู เมื่อปรมาณูรวมตัวกัน วัตถุก็ก่อเป็นรูปร่างขึ้นมา แต่ ภาวะของปรมาณูไม่อาจสัมผัสได้ นอกจากจะสัมผัสกลุ่มที่ได้รวมตัวกันแล้วของปรมาณูที่ปรากฏ เปน็ รปู รา่ งออกมาเทา่ นั้น 25 สภาวะของปรมาณไู ม่มีรปู รา่ ง ไม่มีเสียง ไม่มีรส และไร้สี ไม่อาจจะแบ่งย่อยลงไปได้ อีกแล้ว และก็ไม่สามารถจะละลายตัวเข้าไปอยู่ในปรมาณูอื่นได้ ปรมาณูมี 9 อย่างคือ ธาตุ 4 สี กลิน่ รส สัมผสั และกรรมธาตุ ทัศนะทางอภปิ รชั ญา สานักไวภาษิกะ ใช้คาว่า ธรรมะ (Dharmas) มาแทนคาว่า ความเป็นจริง (Reality) เพราะ คาว่า ธรรมะ (Dharmas )นี้มีความหมายกว้างมากในพุทธปรัชญา ธรรมะใช้หมายความถึงธาตุที่ 24 E.J. Thomas, History of the Buddhist Thought, pp.175-176.) 25 บุณย์ นิลเกษ, คู่มอื ปรชั ญาพทุ ธศาสนา, (เชียงใหม่ : ส.ทรพั ยก์ ารพิมพ์, 2533), หน้า 87. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
199 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ละเอียดท่ีสุดที่เป็นวัตถุธาตุ และจติ ธาตุ ซง่ึ กริ ยิ าและปฏิกิริยาของธาตเุ หลา่ น้ี เป็นสาเหตุของการ รังสรรค์จักรวาลทั้งหมดกล่าวได้ว่า โลกคือการรวมตัวของธรรมะทั้งหลาย ธรรมะทุกอย่างมีการ เกิดเนื่องมาจากสาเหตุ แต่ละอย่างมีอยู่อย่างอิสระ ธรรมะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงทุกขณะจาก ขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง เพราะโลกประกอบด้วยธรรมะที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงเป็นโครงสร้าง โลกจึงจาเป็นต้องมีสภาพเปลี่ยนแปลงไปด้วย สานักไวภาษิกะ เพื่ออธิบายให้เห็นภาพความจริง ของโลกทส่ี ร้างมาจากธรรมะ จงึ มองความเป็นจริงของโลกจากจดุ ยนื 2 ดา้ น คือ ก. โลกดา้ นวตั ถวุ ิสยั ในด้านวัตถุวิสัยนั้น นักปรัชญาไวภาษิกะ แบ่งธรรมะกออกเป็น 2 ชนิด คือ อสังขตธรรม และสงั ขตธรรม 1) อสังขตธรรม คือสภาวะที่มั่นคง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง บริสุทธิ์ ไม่ได้เกิดจาก การปรงุ แต่ง จงึ ไมเ่ ปลีย่ นแปลง อสังขตะธรรม มี 3 ชนดิ คอื (1) อากาศ คือสภาวะที่ปราศจากการครอบงา เพราะมันไม่ยึดติดสิ่งใด ทัง้ ไมถ่ กู สงิ่ ใดมายดึ ตดิ จงึ เป็นอมตะ ไม่เปล่ียนแปลง มอี ยตู่ ามธรรมชาติ (2) ปฏิสังขยานิโรธ หมายถึง ปัญญาหรือความรู้ นั่นคือธรรมะต่าง ๆ ท่ี ถูกปญั ญาหรือ ความรตู้ ดั รากขาดไป (อาสวะ เช่น อุปาทาน โทสะ เป็นต้น) เป็นเพียงความรู้สึก คือ การดบั ทาลายไปของอาสวะ (3) อปฎิสังขยานิโรธ หมายถึง สภาวะในขณะที่มีการตัดกิเลสขาดโดย ว่างจากความรสู้ ึก หมายถึงชว่ งทเ่ี กิดทันทีหลังจากทาลายอาสวธรรมทั้งหลาย อาสวธรรม ทั้งหลาย เกดิ จากสาเหตุบางอยา่ ง เม่ือการทาลายสาเหตุเหล่านีล้ งไป ได้กน็ าไปสูก่ ารทาลายธรรมะเหล่านี้ แม้ ในขณะที่วา่ งจากปัญญา ธรรมะทถ่ี กู ทาลายแล้วจะไมห่ วนกลับมาเกิดอีก เป็นขณะที่เกิดจากการดับ ทาลายกิเลสจรงิ ๆ ไม่หมายเอาตวั ความรู้ ปฏิสังขยานโิ รธและอปฎสิ ังขยานิโรธ เปน็ ลกั ษณะท้งั 2 ขณะของการทาลายกิเลส ซึ่งปรชั ญาพุทธเรียกว่า นิพพาน นั่นเอง นิพพาน หมายถึง สภาวะที่พระอรหันต์บรรลุถึงเมื่อปฏิบัติ ตามทางแห่งความจริง มีอยู่เป็นอิสระ และยั่งยืน เป็นอารมณ์ของความรู้ ในนิพพานไม่มีความ แตกต่าง และการแบง่ แยก เป็นอสังขตะ(ไมถ่ กู ปรงุ แต่ง) ในอภธิ ัมมะโกศะเรียกว่า นิพพานธาตุ ไม่มี ความสัมผสั กบั จิตหรอื เจตสิก ไมม่ ีขอบจากัด ไพศาล เหมือนอากาศ เม่ือบรรลนุ ิพพาน อาสวะธรรม ทง้ั ปวงต่างถูกทาลายหมดส้ิน 2) สังขตธรรม เกิดจากการปรุงแต่งหรือการวมตัวของสิ่งต่าง ๆ เพราะการ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
200 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา รวมตัวจึงเปน็ ส่ิงท่ีไมจ่ รี ังย่ังยืน และไมบ่ รบิ รู ณ์ สังขตธรรมแบ่งออกเปน็ 4 ชนิดคือ (1) รูป (วัตถุ) หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่สร้างเป็นรูปร่างขึ้นมาได้แก่ธาตุทาง วัตถุ และสิ่งต่าง ๆ บนโลกที่เป็นวัตถุ มี 11 อย่าง คือ อายตนะภายนอก - ภายใน อย่างละ 5 (ยกเวน้ อายตนะคือใจและอารมณ์ของใจ) และอวิชญปั ติ (2) จิต (วิญญาณ) หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดมาเพราะการ สัมผัส ระหวา่ งประสาท และอารมณ์ คาวา่ จติ มโนและวิญญาณใช้ในความหมายเดียวกัน เมื่อการ สมั ผสั ทางประสาทและอารมณด์ ับลง จิตก็ดับลงด้วย ตามทศั นะของ ไวภาษิกะ จิตเป็นธาตุที่สาคัญ สังขารทั้งหลายดารงอยู่ด้วยจิต เพราะจิตนี้แหละที่ย้ายจากโลกนี้ไปสู่โลกอื่นเมื่อตายลง แต่จิตก็ ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่อย่างอิสระ เกิดมาจาก\"เหตุปัจจัย\" ธรรมชาติของจิตเปลี่ยนแปลงทุกขณะ โดย ธรรมชาตแิ ท้มีเพียงสง่ิ เดยี ว แตเ่ พราะการเปล่ยี นแปลงของจิต จึงปรากฎออกมาและแบ่งประเภทได้ หลายอยา่ ง (3) เจตสกิ คอื องค์ประกอบ หรอื ขบวนการในจติ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด จติ อย่างแนบ แน่น ในอภธิ มั มะโกศะมีเจตสกิ 46 (แตใ่ นอภิธรรมปฏิ กมี 52 อย่าง) (4) จติ วปิ ยุต คอื ธรรมที่เหลืออันไม่สามารถจัดเป็นรูปธรรมหรือจิตธรรม เรียกวา่ พน้ จากจติ มี 14 อยา่ ง ข. โลกด้านจติ วิสัย ในด้านจติ วสิ ัย นกั ปรชั ญาไวภาษิกะ แบง่ โลกออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) ขันธ์ หมายถึง ส่วนประกอบของชีวิต มี 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วญิ ญาณ 2) อายตนะ หมายถึง ฐานแห่งความรู้ ได้แก่ อายตนะภายใน และอายตนะ ภายนอก 12 อย่าง เพราะอาศัยอายตนะ จึงเกิดความรู้ (การรับรู้) มนายตนะ เรียกว่า ธรรมายตนะ รวมธรรม 64 ประการด้วย แตป่ รชั ญาพทุ ธไม่ยอมรบั ว่ามี \"อาตมนั \" เพราะอาตมันไม่ อาจร้ผู า่ นอายตนะใด ๆ หรอื เปน็ อารมณข์ องอายตนะใด ๆ 3) ธาตุ หมายถึง โครงสร้างที่ละเอียดอ่อนที่สุด และการรวมตัวของธาตุเหล่านั้น นาไปสู่การรับรู้ \"ธาตุ\" ในพุทธปรัชญา หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะเฉพาะของตน (สภาวะลักษณะ) เป็นอยู่อย่างอิสระมี 18 อย่าง คือ อายตนภายใน 6 อายตนภายนอก 6 และ วิญญาณที่เกิดทาง อายตนะ 6 อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
201 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ทัศนะทางทฤษฎีความรู้ สานักไวภาษกิ ะ มีความคดิ วา่ การรับรูโ้ ลกภายนอก สามารถรู้ได้โดยตรง ผ่านทางประสาท สัมผัส โดยไม่เห็นด้วยกับเสาตรันติกะที่ถือว่า ไม่อาจจะรับรู้วัตถุได้ตรงๆ แต่รู้ได้ผ่านการ อนมุ าน โดยอธิบายว่า \"ถ้าวตั ถุภายนอกทัง้ หลายเป็นสงิ่ ท่สี ามารถอนุมานเอาจากความรู้ของได้ ก็คงจะไม่มีสิ่งใด ๆ ที่จะรับรู้ได้ทางประจักษ์ (ประสาทสัมผัส) ในกรณีที่ไม่มีการประจักษ์มาก่อน ก็จะไม่ทราบ ความสัมพนั ธอ์ ันแนน่ อนระหวา่ ง ข้อเสนอของเทอมหลักกบั เทอมรอง ถ้าปราศประจักษ์เป็นฐานแล้ว การอนมุ านกไ็ มอ่ าจะเป็นไปได้\" ไวภาษกิ ะ แบ่งประสบการณท์ างผัสสะ ออกเปน็ 2 ระดับคอื 1. ระดับเรม่ิ รู้สกึ (Reception) ในระดับน้เี ป็นความร้สู กึ ทางประจักษท์ ่ีบริสทุ ธิ์ 2. ระดบั ความรู้ (Perception) ในระดบั น้ีความรสู้ กึ ผสมความทรงจาเข้าไปดว้ ย ไวภาษิกะยืนยันว่า วัตถุภายนอกมีอยู่ รับรู้วัตถุนั้นในฐานะที่เป็นอารมณ์ของประจักษ์ ไม่ ตอ้ งมสี ิง่ ใดมาเปน็ ตวั กลางระหวา่ งประสาทสัมผัสและอารมณภ์ ายนอก ความรู้ก็เกิดขึ้นแล้ว ความรู้ ทางอายตนะ ตา หู และ ใจ ไม่ต้องสัมผัสถึงตัววัตถุก็รับรู้ได้ แต่ความรู้ทางอายตนะอื่นๆ คือ จมูก ลิ้น และกาย ต้องสัมผัสถูกต้องวัตถุ (อารมณ์) นั้นโดยตรง จึงรับรู้ได้ เช่น จมูกสัมผัสกลิ่น จึงรับรู้ กลิ่น ล้นิ สัมผสั รส จึงรู้รสเดิม เปรีย้ วเป็นตน้ เมื่ออายตนะภายนอกกับอายตนะภายใน 2 อย่างสัมผัส กัน การปรงุ แตง่ ทางใจเกิดขึ้นมา เพราะอาศยั การปรุงแตง่ ทางใจ จติ จึงเกดิ การร้แู จ้งข้นึ มา แหลง่ เกดิ ความรู้ ในทัศนะของไวภาษกิ ะ ความรูข้ องตอ้ งไมข่ ัดแย้งกับประสบการณ์ สิ่งที่บุคคลพูด ถ้าพูด ถูกสอดคล้องกับประสบการณ์จริง มีจริงก็น่าเชื่อถือ ในส่วนความรู้ทางศาสตร์ ถ้าตรง ประสบการณ์กเ็ ชื่อถอื ไดเ้ ชน่ กัน การคิดเหตุผล ตอ้ งเป็นความจริงและไม่ขดั แย้งความจริงด้วย ดังนั้น ไวภาษิกะกล่าวว่าความรู้ มีแหล่งเกดิ (ประมาณ) 2 แหลง่ คอื 1) ประจกั ษป์ ระมาณ (Perception) ความรู้เกิดจากประจักษ์ประมาณ หมายถึงความรู้ที่เกิดผ่านประสบการณ์ทาง อายตนะประสาทสมั ผัสทั้ง 5 คือในขณะรับรู้อารมณ์ทางผัสสะ การรับรู้สึกทางผัสสะจะก่อให้เกิด ความรู้ที่ว่างจากจิตนาการและความผิดพลาดทุกอย่าง บริสุทธิ์ ไม่มีปรุงแต่ง ความรู้ที่เกิดจาก ประจกั ษ์ มี 4 ชนิด คือ (1) อินทรียชญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นผ่านความรู้สึกสัมผัสทาง อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
202 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ระบบประสาท (2) มโนวิญญาณ หมายถึง ความรู้ที่เกิดสิบต่อทางผัสสะในแบบ สมนันตรปัจจัย(ความ รู้ที่เกิดอย่างต่อเนื่องจากผัสสะ) เป็นการขยายตัวของจิตที่ทาให้เกิดการรู้ และเกิดภายหลังการรับรู้สึกทางผัสสะที่ต่อเนื่อง มโนวิญญาณเกิดจาก 2 สิ่ง คือ อารมณ์และ ความรู้สกึ ถ้าไม่มมี โนวิญญาณ ความรจู้ ะไม่เกิด (3) อาตมสังเวทนา หมายถึง อาการต่าง ๆ ทางจิตและธรรมะที่แสดง ออกมาเป็นความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉย ๆ (เวทนา) ในรูปเดิมแท้ ๆ ของเวทนา การรับรู้ระดับนี้ยัง ไม่มี การเพิม่ คุณสมบตั ใิ สเ่ ขา้ ไป ไมม่ คี วามผดิ พลาด เปน็ ธรรมชาตแิ ท้ ๆ ของ การรู้แจง้ ตนเอง (4) โยคีชญาณ หมายถึง ความรู้วัตถุขั้นสุดท้ายที่รับรู้ผ่านญาณต่าง ๆ วัตถุที่รับรู้มีอยู่ใน สภาพเดิมของมัน เป็นความจริงปรมัตถ์ เป็นความรู้สูงสุดเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้ได้ ผา่ นญาณทั้งหลาย อารมณ์ของการรบั รู้อยใู่ นลกั ษณะด้งั เดมิ ของตน เปน็ ปรมัตถสภาวะ เป็นอยู่แบบ เหนอื เหตผุ ลทางตรรกะ 2) อนุมานประมาณ (Inference) สานกั ไวภาษิกะ กล่ววา่ แหลง่ เกดิ ความร้อู ีกอยา่ งหนง่ึ ได้แก่ อนุมาน คือ ความรู้ท่ี เกิดมาจากการคิดดว้ ยเหตผุ ลจากส่งิ ทีร่ ้แู ลว้ ไปหาส่สู ิง่ ท่ียงั ไมร่ ู้ การอนุมานมี 2 แบบ คือ (1) สวารถานุมาน การอนุมานเพอื่ ตนเอง หรอื การรู้ด้วยตนเอง เป็นการอนมุ านที่เกิดจากตน เคยมีประสบการณ์โดยพบความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลอย่างเสมอ ไม่ต้องการคาอธิบายเพิ่ม เป็นความสะดวกใจของผู้อนุมานที่ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการอนุมาน 5 ระดับ แต่เป็นสิ่งที่รู้แก่ใจอยู่ แล้ว ตวั อย่าง การพบเหน็ ความสัมพันธ์อย่างสม่าเสมอระหว่างไฟกับควัน เช่น เห็นไฟและควัน ท่เี ตา หรือในครัวของบ้าน ทราบแล้วว่า ควันเกิดจากการเผาไหม้ของไฟ เมื่อมองเห็นกลุ่มควันในที่ ใดก็ร้โู ดยทนั ทีว่า ท่ีนน่ั ตอ้ งมไี ฟ แมว้ า่ จะไม่เห็นไฟกาลังลุกไหม้อยู่ก็ตาม (นักดับเพลิง จะสังเกตจาก ควนั ไฟเปน็ เคร่ืองปรากฎ แล้วรีบไปดับไฟ ดังนั้น ความรู้ว่ามีไฟเกิดจากความรู้ความสัมพันธ์ของไป กับควนั ดงั กลา่ วแล้ว (2) ปรารถานุมาน การอนุมานที่อธิบายเพื่อให้คนอื่นรู้ และเข้าใจในสิ่งที่เขายังไม่รู้ ซึ่งต้อง ผ่าน 5 ข้นั ตอน พสิ ูจนด์ ว้ ยขอ้ ความ 5 ประโยค ที่เรียกวา่ ประพจน์ คอื อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
203 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา เรือนไฟ 1. ปติชญา ไดแ้ ก่ ขอ้ ความ ทภี่ ูเขามีไฟไหม้ (ข้อสนั นิษฐาน) อยทู่ ภี่ เู ขา 2. เหตุ ไดแ้ ก่ ขอ้ ความ เพราะมองเหน็ กลุ่มควนั ไฟ 3. ทฤษฎานตะ ได้แก่ ข้อความ “ที่ใดมีควันไฟ ทีนั่นมีไฟ” อย่างที่เห็นใน 4. อปุ นยั ไดแ้ ก่ ข้อความ ควันไฟ ซึ่งควันไฟจะไม่เกิดถ้าไม่มีไฟกาลังไหม้ 5. นคิ มะ ไดแ่ ก่ ขอ้ ความ ดังน้ันภูเขามีไฟไหม้ (สรปุ ) ในการอนุมานมีส่งิ ทสี่ าคัญประกอบอยู่ 3 ประการคือ 1. ส่ิงท่เี ห็น เรยี กว่า ลงิ คะ คอื ควัน 2. สิ่งท่อี นมุ าน เรียกว่า เหตุ คอื ไฟ 3. ความสัมพันธ์ เรยี กวา่ วยาปติ ควนั เกิดจากไฟ พระธรรมกรี ติแสดงรายละเอยี ดของการอนมุ าน 2 อย่าง ดังนี้ 1. สวารถานุมาน ได้แก่ การอนุมานไฟจากสิ่งที่เห็น (ลิงคะ) คือ ภูเขา ซึ่งมีกลุ่ม ควัน 2. ปรารถานมุ าน ได้แก่ การอนมุ านเพื่ออธิบายลิงคะ 3 ชนดิ คือ 2.1 อนุปลัพธิ คือ การอนุมานจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ในการรับรู้ทางผัสสะ ขณะนั้น แต่สามารถรู้ ได้เพราะอาศัยเหตุ \"คือเคยเห็นว่ามีอยู่\" สิ่งที่รู้ไม่ได้อยู่ในขณะการรับรู้ทาง ผสั สะ 2.2 สวภาวะ คือ การอนุมานจากความรู้ว่า \"วัตถุใดๆเกิดเพราะสาเหตุ เดียวเฉพาะ\" คือ สิ่งที่เกิดมาจากเหตุของตนโดยเฉพาะไม่ได้เกิดมาจากเหตุอื่น เช่น ควันไฟ เกิดมา จากไฟเท่านั้น ไมไ่ ดเ้ กิดมาจากน้า 2.3 การยะ คือ อนุมานความมีอยู่ของสิ่งใดๆจากผลไปหาเหตุ เช่น เห็น “ควัน\" ไฟ เป็นการอนุมานสิ่งที่ไม่รู้มาจากผลของมัน ในประโยคนี้ไฟไม่มีอยู่ (ไม่เห็น) แต่พอเห็น ควนั พ่งุ ขนึ้ มา กอ็ นมุ านว่ามีไฟไหม้ นักปรัชญาสานกั ไวภาษกิ ะ 1) ท่านภัททันตะ ธัมมตราตะ กล่าวว่า ตัวเนื้อแท้ของปรมัตถธรรมไม่มีการ เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ประกอบจากปรมัตถ ธรรมเปลี่ยนแปลง เช่น ทอง เนื้อแท้คือทอง แต่ที่กลาย อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
204 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา มาเปน็ เครื่องประดับต่าง ๆ เปน็ ความเปลี่ยนแปลงเพราะการประกอบ 2) ท่านโฆษกะกล่าวว่า วตั ถุที่ปรากฏให้เห็นว่าแตกต่างกันเพราะลักษณะของวัตถุ เอง และความต่างแห่งกาลไม่ควรจะนามาเป็นข้ออ้าง วัตถุที่มีลักษณะในปัจจุบันก็ไม่ว่างจาก ลักษณะของอดตี และอนาคต 3) ท่านวสุมิตรกล่าวว่า วัตถุในเนื้อแท้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ที่เห็นว่าเปลี่ยนแปลง เพราะลักษณะที่เกดิ ตามกาลเวลา และตามสถานท่ี 4) ท่านพุทธเทวะกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของปัจจัย สัมพันธ์ วัตถทุ ี่มองเห็นวา่ เป็นอยา่ งหนึง่ เมอ่ื เทยี บกบั ของท่ีมีก่อน และจะมีในอนาคต ตามแต่สถานะ เชน่ ผู้หญิง บางทเี รยี กว่า แม่ ลกู สาว สานักสพั พัตถิกวาทิน ที่กล่าวอ้างว่า สรรพสิ่งมีอยู่ตลอดทั้ง 3 กาล คอื อดตี ปัจจบุ นั และอนาคต มหี ลกั ฐานรองรับ 4 ประการ คอื 1. อา้ งหลกั ฐานจากพุทธพจนเ์ องท่ตี รสั วา่ กาลท้งั 3 มีอยู่ คอื อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต 2. พระพุทธเจ้าตรัสว่า \"เมื่อวิญญาณเกิดขึ้นมาจากอายตนะ คือ ตา มีสิ่ง เกี่ยวข้อง 2 อย่าง คือ 1 อายตนะ และ 2 อารมณ์แห่งการรับรู้ แต่ถ้าไม่มีสิ่งต่าง ๆ ในอดีต และ อนาคต วิญญาณ (การรบั รู้) ทางใจของวัตถเุ หล่านั้นกไ็ ม่อาจะเป็นไปได้ ถ้าอดีตหรืออนาคตไม่มีอยู่ท่ี นั้น ความรวู้ ่า \"มไี ดโนเสาอยเู่ มือ่ 130 ล้านปี\" หรือโลกจะถูกครองโดยกษตั รยิ ท์ ีม่ พี ลังอานาจที่สุด\" ก็ จะเป็นความเท็จ 3. ถา้ อารมณม์ ากระตุน้ ความรสู้ กึ อาจจะเป็นความร้สู กึ เกี่ยวกับอารมณ์ ถ้าสิ่งใน อดตี และอนาคตไมม่ ีอยู่ที่นั้น การรับรูจ้ ะเกดิ ขนึ้ มาไดอ้ ยา่ งไร ถ้าไมม่ ีอารมณ์ 4. ถา้ อดีตไมม่ จี รงิ แล้ว กรรมดี กรรมชวั่ ท่ีทาแล้วในอดีต จะส่งผลได้อย่างไร เมื่อ มันวา่ งจากความมีอยู่ ในความเป็นจริง เมอื่ ผลผลติ ออกมาแล้ว สาเหตุของมนั ก็จะหมดสภาพไป อาศัยหลักการ 4 อย่างนี้ สานักไวภาษิกะ จึงยืนยันว่า สรรพสิ่งมีอยู่ทั้งในอดีต ในปัจจุบัน และอนาคต วัตถสุ ามารถมีอย่อู ยา่ งต่อเนื่องตลอด 3 กาล แตม่ ลี ักษณะเปล่ยี นแปลงตลอดเวลา 26 2. สานกั เสาตรันตกิ ะ (Santrantika School) ผู้ก่อตั้งปรัชญาสานักนี้คือ กุมารลาตะ (Kunarlata) แห่งนาครตักสิลา งานเขียน ทางปรัชญาเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ อธิบายเหมือนปรัชญาตะวันตกประเภทตัวแทนนิยม ของนัก 26 Minister of Education, Government of Indian, Ed. History of Philosophy Eastern and Western, Vol. One. (New Delly Gaegal Allen & Unwin, 1952), p.175. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
205 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ปรัชญาสมัยใหม่ชาวองั กฤษ คือท่าน จอหน์ ลอ็ ค วัตถภุ ายนอกมีอย่จู ริง แต่ไม่อาจจะรับรู้วัตถุนั้น ได้โดยตรงทางประสาทสัมผัส สามารถรับรู้สิ่งที่มีอยู่ภายนอก จากการได้รับรู้คุณสมบัติภายนอก ของมนั เอง ท่ีแสดง ปรากฏออกมา เช่น สี เสียง กลิ่น รส ความร้อน ความเย็นเป็นต้น การอธิบาย ระบบการรับรู้แนวนี้ว่า เป็นแบบสัจนิยมโดยอ้อม(Indirect Realism) โดย กล่าวว่า ความจริงมี 2 อย่าง คอื ส่ิงทเ่ี ป็นวัตถุ (Matter) และ จิต (Mind) ทั้งสองอย่าง แยกกันอยู่ และมีคุณสมบัติเป็น อสิ ระไมข่ ้ึนแกก่ นั และกัน หากแยกจากกนั ไม่ได้ วตั ถุและจิตใจจะเป็นอยา่ งเดยี วกัน คาว่า “เสาตรันติกะ” ตรงกับภาษาบาลีว่า “สุตตันติกะ” แปลว่า ผู้ศึกษาหรือ ปฏิบัติตามพระสูตร หมายความว่า ปรัชญานี้นับถือพระสุตตันตปิฎกเป็นสาคัญ ไม่ยอมรับพระ วินัยปิฏกและพระอภิธรรมปิฏก แนวความคิดของปรัชญาเสาตรันติกะเป็นระบบ “สัจนิยม” (Realism) แนวความคิดที่สาคัญและน่าสนใจมากที่สุดของปรัชญาเสาตรันติกะได้แก่ ทฤษฎี สบื เน่ือง (สันตติ) ของบคุ คล หรือสิ่งต่าง ๆ ทฤษฎีเรื่องการสืบเนื่องหรือต่อเนื่องของบุคคลหรือสิ่งต่าง ๆ ในทางพุทธศาสนา มิใช่เรอื่ งใหม่แตเ่ ป็นเรือ่ งทป่ี รากฏมานานแล้ว ซงึ่ ปรัชญาสางขยะได้กล่าวถึงในชื่อ “ทฤษฎีแห่งการ เปลี่ยนรูป” (Theory of Transformation) แต่มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยนั่นคือ ทฤษฎี สบื เน่ืองหรือสันตติในปรัชญาพุทธเป็นหลักสากล แต่ในปรับญาสางขยะเป็นเรื่องของการต่อเนื่อง ทางวัตถอุ ยา่ งเดยี วไมเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ทางจติ หลกั สนั ตตใิ นพุทธปรัชญาเชอื่ มโยงกบั หลักสากล หากยอมรับว่าสิ่งหนึ่งมีรูปคงที่ ก็ไมม่ ที างใดทีว่ ตั ถุน้ันจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่าเนื่องกันเรื่อยไปได้ ดังนั้น จะต้องมีภาวะคงท่ี หรือไม่ก็จะต้องมีสภาวะที่เปลี่ยนรูปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่มีทั้งสองภาวะ คือมีทั้งรูปแบบคงที่และ เปลย่ี นแปลงรปู แบบอย่างตอ่ เนื่องทง้ั สองสถานะ จากหลักการนี้ จึงยอมรับว่า “ส่งิ ใดก็ตาม ที่มี อยู่ ส่ิงนัน้ ย่อมมีอยูช่ วั่ ขณะเท่านน้ั ” ปรัชญาสานักเสาตรันติกะหรือวิพากษ์สัจนิยม ปฏิเสธคัมภีร์อภิธรรมทั้งหมด และยึดมั่นอยู่ในพระสูตรของพระพุทธองค์โดยตรง ทัศนะเกี่ยวกับการมีอยู่ของธาตุประกอบว่ามี อยตู่ ลอดกาล ปรชั ญาพุทธบางสาขาถอื วา่ ธาตุประกอบ (ธรรม) ทั้งปวงมีอยู่ตลอดกาล คือในอดีต ปัจจบุ ัน และอนาคต แต่ปรัชญาสานักเสาตรันติกะโต้แย้งโดยการตั้งคาถามเชิงวิจารณ์ว่า ถ้าหากว่า ธาตุประกอบในอดีตและในอนาคตมีอยู่เหมือนกับที่มันมีอยู่ในปัจจุบัน เหตุใดมันจึงเป็นอนาคต และอดีต? ความแตกตา่ งกนั ชั่วคราวของสิ่งทั้งปวงจึงถูกปิดบังไว้ และไม่สามารถกล่าวได้เช่นกัน ว่า สารัตถะหรือแก่นแท้ของธาตุประกอบหนึ่งมีอยู่ในอดีตและอนาคตโดยไม่ใช่เป็นเพราะการ กระทาตามหน้าท่ขี องมัน เพราะสิ่งใดสิง่ หนงึ่ ไม่เปน็ อะไรเลย เป็นแต่เพียงการกระทาตามหน้าที่ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
206 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ของมัน การยอมรับการมีอยู่อย่างต่อเนื่องของธาตุประกอบ เป็นการยอมรับปรัชญาอกาลิกนิยม อย่างหนึ่ง และไม่จาเป็นที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปรากฏอยู่เป็นสิ่งที่เกิดจากความนึกคิด แนวความคิด เช่นนี้ อาจทาให้เกิดปัญหาต่อเนื่องขึ้นมา คืออนาคตอันห่างไกล สภาพความไม่มีอยู่ หรือ นิพพานท่ไี มส่ ามารถเขา้ ถึง อาจมีอยู่เม่ือคดิ ว่ามนั มีอยู่ แหล่งเกิดความรู้ 1. ประจักษประมาณ ได้แก่ การใช้ประสาทสัมผัสทงั้ 5 ซึง่ จัดเป็นความรู้ในข้ันตน้ 2. อนุมานประมาณ คือ การหาสาเหตุจากสิ่งที่ประจักษ์ โดยอาศัยความสัมพันธ์ ของทง้ั 2 อยา่ ง ถือเปน็ ความรูใ้ นข้ันสงู อารมณ์ของความรู้ จากหลักฐานบางแหง่ แสดงว่า เสาตรันติกะเชอื่ วา่ มีอารมณข์ องความรอู้ ยู่ 4 ชนิด คอื 1. รูป แบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ อุปาทานรูป และ อุปาเทยรูป อุปาทานรูป มี 4 อย่างคือ ดิน น้า ลม ไฟ อุปาเทยรูปก็มี 4 อย่างคือ ความแข็ง ความเอิบอาบ ความหวั่นไหว และ ความอบอุ่น 2. อรูป แบง่ ออกเปน็ 2 อย่าง คอื จิต กบั กรรม จติ คอื ตัวรับรู้อารมณ์ทางอินทรีย์ ต่างๆ และเปน็ อารมณ์ของตัวอารมณข์ องตัวเองดว้ ย หมายความว่า รู้ตัวเองได้ กรรม มี 2 อย่าง คือ กรรมดแี ละกรรมช่วั 3. นิพพาน มี 2 อย่าง คือ โสปาเศษนิพพานและนิรุปาธิเศษนิพพาน (เทียบได้กับ สอปุ าทเิ สสนพิ พานและอนปุ าทิเสสนพิ พาน) 4. วยวหาร (ตรงกับภาษาบาลีว่า โวหาร) แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ สัทวยหาร (โวหารจริง) และ อสัทวยวหาร (โวหารเท็จ) แต่ละอย่างแบ่งย่อยออกเป็น 3 อย่าง คือ สังฆาฎะ (การรวมเข้าเป็นถอ้ ยคา) สนั ตานะ (การเปลง่ เสยี งออกมา) และอุตปนั นนาศะ (การเกดิ -ดบั ) เสาตรนั ตกิ ะได้สรุปธาตปุ ระกอบของธรรมไว้ 43 ประการตามหวั ข้อใหญ่ 5 หัวขอ้ คือ 1. รูป (สสาร) มีปฐมรปู (อุปาทาน) 4 และ อนุพันธ์ (อุปาทานรูป 4) 2. เวทนา (ความรู้สกึ ) ความยนิ ดี ความเจบ็ ปวด และความเป็นกลาง ๆ 3. สญั ญา (เครอื่ งหมาย อวยั วะรับรู้) 6 ได้แก่ อวยั วะรบั รู้ 5 และจติ 1 4. วญิ ญาณ (การรับรู้) 6 5. สังขาร (พลัง) 20 ฝา่ ยดี 10 ฝ่ายช่ัว 10 อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
207 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา วิสยั การรับรู้ เสาตรันติกะ ถือ ต่างจากไวภาษิกะ เพราะเหตุผลว่า วัตถุไม่อาจรู้โดยตรงทาง ประจักษ์แต่รู้โดยการอนุมาน รู้โดยการถ่ายแบบที่เรียกว่า (Representationism) เรียกชื่อว่า “พาหยานุเมยวาท” เหมือนปรัชญาตะวันตกของ จอห์น ล็อค ที่กล่าวว่า โลกภายนอกปรากฎอยู่ อย่างอิสระ แต่สามรถรู้ได้โดยการอนุมานเท่านั้น ไม่สามารถรู้โดยตรงทางประจักษ์ หรือ ทาง ประสาทสมั ผสั ปรัชญาสานักนี้ ยึดเอาพระสูตรปิฎก เป็นหลักเพราะไม่เชื่อหรือ ยอมรับอภิธรรม ปิฎกวา่ เป็นสิ่งทีพ่ ระพุทธเจ้าแสดงไว้เป็นหลักฐานเพียงพอ คิดว่าพระอภิธรรมตามที่นักปรัชญา พุทธกลมุ่ อนื่ กลา่ วอา้ งวา่ เป็นของสูงสง่ และศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ไมม่ ีหลักฐานรองรบั ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดง จริง และเปิดเผยแก่ มนุษย์ เหมือนสูตรต่าง ๆ แต่น่าจะเป็นคาอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ ต่าง ๆ มากกว่าท่านยโสมิตระ กล่าวว่า ปรัชญาเสาตันติกะ ยึดถือเอาสูตรแทนศาสตร์เพราะ “ศาสตร์” คอื อรรถกถา เช่น อภิธรรมศาสตร์ เปน็ สิง่ ทีน่ อกเหนือจากส่งิ ทีพ่ ระพุทธองค์ตรสั ไวจ้ รงิ 1. เสาตรันติกะ ไม่เห็นด้วยกับสานักวิญญาณวาทะ (โยคาจาร) ที่กล่าวว่า วัตถุ ภายนอกไม่มีอยู่จริง ๆ แต่ขึ้นอยู่กับจิตผู้รับรู้เท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าคาพูดว่า \"ถ้าไม่เคยรับรู้วัตถุ ภายนอกในที่ใด ๆ เลย (พวกวิญญาณวาทะ) ก็ไม่อาจจะพูดได้ว่า จิตรับรู้ปรากฎเหมือนกับวัตถุ ภายนอกแม้ว่าจะเป็นมายา\" เช่นนี้ก็จะเป็นสิ่งไร้ความหมาย เหมือนกับอ้างว่า \"บุตรของหญิงหมัน\" เพราะหญิงหมันจะมีบุตรไม่ได้ ถ้าวัตถุภายนอกไม่มีจริง จิตรับรู้วัตถุภายนอกจะเป็นเหมือนวัตถุ ภายนอกไดอ้ ยา่ งไร 2. วตั ถุที่ถูกรับรู้เป็นความจริงสิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่ภายนอกจิตรับรู้ไม่ควรนาวัตถุที่ถูกรู้ และจิตที่รับรู้มาจัดเป็นสิ่งเดียวกัน เช่นรับรู้ว่ามีหม้อดินอยู่ นั่นแสดงว่า หม้อดินรับรู้มันมีอยู่ ภายนอกต่างหาก และจติ รบั ร้เู ร่อื งหม้อดินกเ็ ปน็ สิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นภายใน ดังนั้นวัตถุใด ๆ ที่รับรู้ ตั้งแต่ ตน้ ก็รู้วา่ มนั แตกตา่ งและไมใ่ ชส่ ง่ิ เดียวกบั จติ แนน่ อน 3. ความรู้สึกถึงวัตถุ ภายนอกต่างชนิดสามารถแยกออกจากกันได้ เพราะไม่ใช่ อยา่ งเดยี วกนั กบั จติ ถา้ วัตถุภายนอกเป็นสิ่งเดียวกับจิตผู้รู้ก็ควรจะพูดว่า ฉันคือหม้อดิน ไม่ใช่พูดว่า “นั่นคือหม้อดิน\" และจากจุดนี้จะไม่มีข้อแตกต่างระหว่าง \"ความรู้สึกเรื่องหม้อดิน และความรู้แล้ว แต่เพราะวตั ถภุ ายนอก คอื หม้อดิน และเสื้อผ้าเป็นสิ่งของคนละอย่างกันแท้ ๆ เท่านั้น จึงจะพูดได้ วา่ รู้สกึ ว่า มหี มอ้ ดินแตกตา่ งจากรสู้ ึกวา่ มีเส้อื ผ้า อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
208 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา มโนภาพของวัตถภุ ายนอก ไม่ใชส่ ง่ิ เดียวกันกับวัตถภุ ายนอก แต่เปน็ เพยี งสาเนา ของวัตถุภายนอกจึงควรยอมรับวา่ มีวตั ถภุ ายนอกอย่ตู า่ งหากจากจิต เพราะวัตถุภายนอกเหล่านี้ แสดงรูปรา่ งเฉพาะของคนต่อสภาวะของจติ รบั รู้ที่แตกต่างขณะได้ จากลักษณะ หรือภาพ จาลอง ของวัตถภุ ายนอกทป่ี รากฎแก่ใจของ จงึ สามารถอนมุ านเองวา่ วตั ถุมอี ยูภ่ ายนอกจติ จาก มโนภาพของงวตั ถุท่ีถา่ ยทอดมาสูก่ ารรับร้ขู องจิต จากจดุ น้ี คือความคล้ายทัศนะเรือ่ งตัวแทนนิยมในเรือ่ งของการรบั รู้ ทวี่ า่ รู้เฉพาะ มโนภาพของวตั ถใุ นจติ ผ่านการอนุมาน ไม่รบั รู้วัตถโุ ดยตรง ทา่ นมาธวะแย้งวา่ ถา้ รู้วตั ถไุ ด้โดย ออ้ มแลว้ ความรขู้ องกจ็ ะเป็นเพยี งรปู แบบของการรับรู้เทา่ น้ันเอง ทฤษฎีความรู้ของเสาตรันตกิ ะ ในทัศนะของปรชั ญาเสาตรนั ติกะ เง่ือนไขของความรูท้ างผัสสะ (Perception) มี 4 อยา่ ง คือ 1. อารมณ์ หรือวตั ถุที่ถูกรู้ อารมณ์ คอื วัตถภุ ายนอกทป่ี รากฏเป็นส่ิงเร้าทางผสั สะ เช่น เหยอื ก หรือ หม้อดิน มีความรเู้ ร่ืองรูปแบบ (มโนภาพ) ของเหยือกกม็ าจากเหยอื กภายนอก อัน เป็นอารมณ์ วัตถุถา่ ยแบบสู่จติ รบั ร้ดู วง 2. จติ รับรู้ บางที่เรียกวา่ \"สมนันตระ\" (Samanantra) เป็นจติ เกิดต่อจากได้รบั การ ถา่ ยแบบจากวัตถุ ทาหนา้ ทเี่ ปิดรบั อารมณ์ 3. การรสู้ ึกทางผัสสะ หรอื การร้สู กึ ทางอินทรียส์ ัมผสั บางทเี รยี กว่า อธิปตปิ ัจจัย หรือสาเหตสุ าคญั ของความรู้ เปน็ สง่ิ กาหนดความรู้ทางระบบประ สาทว่าจะเปน็ การเห็น การไดย้ ิน การได้กลน่ิ การร้รู ส เป็นต้น 4. เงือ่ นไขภายนอกมาช่วยเหลอื ซ่ึงเรียกวา่ \"สหการปี จั จัย (Sahakari Paccya)\" เป็นปจั จัยเก้อื ให้เกดิ ความรับรู้ชันเจนขึ้น ปจั จยั ชว่ ยหนุนเหลา่ น้ี คอื แสงสวา่ ง ระยะหา่ ง ท่ี เหมาะสม ลกั ษณะรูปร่างที่มีขนาดจะรบั รู้ได้ เพราะอาศัยการรวมตัวของเง่ือนไข 4 ประการดงั กลา่ วมาแลว้ การรับรู้วตั ถจุ งึ เปน็ ไปได้ แต่การรบั รู้ทางผัสสะกเ็ ปน็ เพยี งทางผ่าน หรือ การเปดิ ประตใู ห้มโนภาพของวตั ถภุ ายนอก ถา้ สู่การรบั รูข้ องจติ ร้วู ัตถภุ ายนอกไดผ้ า่ นการอนุมานเพียงอย่างเดยี ว เสาตรันติกะ ไม่ยอมรับประจักษ์ประมาณว่า สามารถชี้ให้รับรู้วัตถุภายนอกได้ โดยตรง ดังกล่าวมาแล้ว แต่ยอมรับว่าเพราะอาศัยเงื่อนไขทั้ง 4 อย่างที่ประกอบกัน เป็นผลส่งให้ เกิดมโนภาพของวัตถุในจิต เมื่อรับรู้ว่า มโนภาพของวัตถุมีอยู่ในจิตก็สามารถอนุมานจากมโนภาพ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
209 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา (สาเนา) ของวตั ถุวา่ วตั ถภุ ายนอกมจี ริง แต่เปน็ การรู้โดยออ้ ม การมอี ยู่ของวตั ถุ ภายนอกไมอ่ าจจะรบั รู้ได้ เพราะสิ่งที่จิตรู้ในทันที คือการถ่ายแบบสาเนา ของวัตถุสู่จิต และรู้ในจิต แต่จากการถ่ายแบบของวัตถุสู่จิต ก็อนุมานว่า \"ของจริง\" มีอยู่ ดุจมอง ภายนอกของสัตว์ แล้วรู้วา่ \"สัตวจ์ รงิ \" ตอ้ งมีอยูท่ ัง้ ๆ ทไี่ มไ่ ด้รบั รู้ (เห็น) สัตว์ตวั จริงเลย วัตถภุ ายนอกมีอยอู่ ยา่ งไร เสาตรันติกะไม่ยอมรบั ว่า วัตถุภายนอกไม่มีอยู่จริง และไม่พูดว่า ความรู้เรื่องวัตถุภายนอก เป็นสิ่งที่อยใู่ นจิต เพราะได้กลา่ วแล้วว่า วตั ถกุ ็เปน็ สิง่ หนง่ึ จิตรบั รู้ก็เปน็ อกี ส่ิงหน่ึง คนละสิ่งกัน แต่รู้ ไดเ้ ฉพาะสิง่ ท่ปี รากฏเป็นสาเนา (Coppied) แก่ใจเทา่ นน้ั การรับรู้ 2 อย่าง 1. อาลยวญิ ญาณ หมายถงึ การรูต้ วั เอง (Ahamaspada) 2. ปรวฤตวญิ ญาณ หมายถงึ การรวู้ ัตถภุ ายนอกว่า สิ่งนั้น (Idamaspada) อภิปรัชญาของเสาตรันติกะ การยอมรับความมอี ยู่ของกาลทั้ง 3 ของสัพพัตติกวาทะเดมิ คอื อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้รับการปฏิเสธโดยเสาตรันติกะ เพราะอดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังไม่มา ยอมรับเฉพาะแต่กาล ปัจจบุ นั ท่ีกาลงั ปรากฎอยู่ ยนื ยันความสืบเนื่อง แต่เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สิ่งเดิม ตลอด กาลทัง้ 3 ไมอ่ ยา่ งน้ันจะเปน็ การยอมรับความเปน็ อมตุ ซึ่งหลักพุทธเดมิ คัดคา้ นอยู่เสมอมา อยา่ งไรกต็ าม พน้ื ฐานของความคดิ เรื่องอภปิ รชั ญาของไวภาษิกะ และเสาตรนั ตกิ ะ ก็ อาศยั ทฤษฎีขณิกวาทะ ทฤษฎีอนตั ตา และสวลักษณะแบบเดยี วกนั หากจะสรุปก็มี 2 คือ กาย และจิต แต่สิ่งที่เพิ่มมาอีก คาที่พบในสานักเสาตรันติกะ มี 8 อย่างคือ 1. ความเปน็ สาเหตไุ มม่ สี าเหตใุ นวัตถุ 2 อยา่ ง เพือ่ การมอี ยูใ่ นขณะเดียวกัน 2. กาละ นอกจากกาลปัจจบุ ันแล้วไม่มีกาลอดตี และอนาคต 3. ตัวตน หลกั ฐานของความรู้ เสาตรนั ตกิ ะเชื่อว่า ความรู้ สาเรจ็ ดว้ ยตัวเองแลว้ ไม่ ตอ้ งการส่ิงอืน่ ๆ มาพิสูจนร์ องรบั อกี เป็นการรตู้ วั เองดจุ ประทปี ส่องสวา่ งวตั ถุท่ีมืด 4. คาพูด เป็นสิง่ ที่เปลยี่ นแปลง เพราะไมม่ อี ย่จู ริงก่อน การเกิดและการสญู สลาย 5. การแตกสลายของวัตถุ ไม่มสี าเหตุจากภายนอก วตั ถแุ ตกสลายเอง อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
210 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 6. การรวมตัวของปรมาณู ปรมาณูไม่มีส่วนประกอบ ไม่มีส่วนผสมไม่มีการเพิ่ม จานวน 7. ปฏิสังขยาและอปฏิสังขยานิโรธ ไม่แตกต่างกัน ดังที่เหมือนไวภาษิกะอ้าง คือ ปฏสิ ังขยานิโรธ ไดแ้ ก่ การดับความทกุ ข์ โดยการปลูกสร้างความรู้ และเขาจะไม่ทุกข์ในอนาคต ส่วน อปฏิสังขยานิโรธ ได้แก่ ความทุกข์ถูกจัดการเด็ดขาดเพราะตัดกิเลส และผู้บรรลุจะพ้นจากสัง สารวฎั ฎะของโลก 8. ลักษณะของนพิ พาน นพิ พาน ไมใ่ ช่อสงั ขตธรรม เพราะไม่มีกิเลสใดๆ หลงเหลือ อยู่ นิพพาน คอื ความดบั สนทิ ดจุ ไฟดบั หมดเชอื้ ดบั ทุกอย่างแม้ธรรมะทง้ั หลาย ปรัชญาสานักเสาตรันติกะ ยึดคาสอนเรื่องไตรลักษณะมาอธิบายเชิง อภิปรัชญา โดยรวมกับทฤษฎีปฏิจจสมุปบาท ในเรื่องของกาเนิดโลก เพื่อปฏิเสธว่ามีผู้สร้างท่ี ถาวร แตเ่ ป็นโลกของเหตปุ ัจจยั ท่ีเกีย่ วเนอ่ื งสมั พทั ธ์ จิตก็เป็นธรรมชาติที่เป็นธรรมดา ไม่มีความเป็นอมตะ มีอยู่ชั่วขณะที่เห็นว่า มี เพราะการสืบต่อของปัจจยั ถา่ ยทอดกนั มาตามขณะ 7.2.3.2 นกิ ายมหายาน แบ่งออกเป็น 2 สานกั คือ 1. สานกั โยคาจาร (Yogacara) หรอื วิญญาณวาทะ ปรัชญาสานักโคาจารก่อตงั้ โดย ไมตรียนาถ นักปรัชญาสาคัญ มีท่าน อัศวโฆษะ มีชีวิตในช่วง ปี ค.ศ. 100 และ อารยเทวะ เป็นปรัชญาแบบจิตนิยมเชิงจิตวิสัย (Subjective Idialism) ท่านอสังคะ แต่งโยคาจารภูมิ และมหายานสัมปริคหะ จึงเรียกชื่อนิกายว่า \"โยคาจาร\" ต่อมาท่านวสุพันธุ แต่งคัมภีร์อภิธัมมะโกศะ อรรถกถาอภิธรรม ที่โดดเด่นมาก เปลี่ยนชื่อ โยคาจาร เป็น \"วิญญาณวาทะ\" และที่เรียกว่า วิญญาณวาทะ ก็เหมือนทฤษฎีของ เบอร์กเลย์(Berkeley) ที่กล่าวว่า รูปหรืออารมณ์ภายนอกที่ปรากฎเป็นสิ่งที่อยู่เฉพาะในจิตรับรู้ เทา่ น้นั ไม่มอี ยู่จริง สง่ิ ภายนอกเปน็ เพยี งมายา ส่งิ จรงิ คือวิญญาณ หมายถึง อาลยวิญญาณ ที่เรียกว่า โยคาจาระ มาจากความเชื่อว่า ผู้ปฏิบัติต้องผ่านกระบวนการปฏิบัติโยคะ 10 ขั้นตอน เพื่อบรรลุความเป็นพุทธะ และการจะบรรลุถึงอาลยะวิญญาณ ก็โดยผ่านการปฏิบัติโยคะ เท่านั้น 27 ผู้ที่ปฏิบัติ ในขณะที่จิตอยู่สมาธิ จะรู้จักโลกภายนอกเหมือนปรากฎในจิต จึงสรุปว่าจิต คอื สรรพสงิ่ จติ คอื อาลยวิญญาณ การรูจ้ ิตในระดับสงู ตอ้ งผ่านการปฏิบัติที่เรียกว่า มีประสบการณ์ ทางสมาธิ ในการหาความรู้เชิงปรัชญา มุ่งเอาผลมาจากสืบค้น คาดคะเน หรือกฎแห่งการวิเคราะห์ 27 N.V. Banerjee, Ibid., p.199 อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
211 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา จนเกดิ สภาพที่เหลอื แตจ่ ิต ปรัชญาสานักนี้ ยืนยันว่า สรรพสิ่งที่เกิดมาจากแดนเกิดแรก คือ วิญญาณ และเป็น เครอื่ งแสดงออกของวญิ ญาณเดิม ทเี่ รียกวา่ อาลยวิญญาณ 28 ซ่งึ อยู่เหนอื ผู้รู้และอารมณ์ ตอ่ มาปรชั ญาโยคจารมชี ื่อเสยี งและแพร่หลายในสมัยของท่านอสังคะและท่านวสุพันธุ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในพุทธศตรรษที่ 9 ท่านทั้งสองเป็นพี่น้องกัน เป็นบุตรพราหมณ์เกาศิกโคตร ได้ศึกษา คัมภีร์พราหมณ์จนแตกฉานและได้เข้าบวชในสานักสรวาสติวาทศึกษาจนแตกฉานในคัมภีร์วิ ภาษาศาสตร์ของสรวาสติวาท ต่อมาท่านอสังคะเปลี่ยนไปนับถือมหายาน และเดิมพี่เลี้ยงท่านวสุ พันธุเป็นพระในกิ่งสานักสรวาสติวาทชื่อ นิกายไวภาษิกะ และได้แต่งคัมภีร์ในนิกายนี้หลายเล่มท่ี สาคัญทสี่ ดุ คอื อภธิ ัมมะโกศะ ซึ่งเปน็ คมั ภรี ์ท่มี ีชื่อเสียงมาก คนนิยมศึกษาทั่วไป ได้รับการยกย่องว่า แมแ้ ต่นกแก้วยังสามารถสาธยายอภิธรรมโกศได้ ต่อมาท่านได้ไปเยี่ยมพี่ชาย และได้ฟังการบรรยาย พระสูตรมหายาน เกิดความเลื่อมใสและเสียใจที่เคยกล่าวตาหนิมหายานไว้มาก จึงขอเข้าสังกัด มหายาน โดยตงั้ ปณิธานที่จะเผยแพร่ลัทธินี้ให้ไพศาลออกไป และท่านได้รจนาคัมภีร์ที่สาคัญคัมภีร์ หนง่ึ คือ วิชัญปตมิ าตรตาสิทธิ ว่าดว้ ยวญิ ญาณวาท ท่ปี รชั ญาสานกั นี้ชื่อว่า โยคาจาร เพราะการศึกษาให้รู้แจ้งสัจธรรมขั้นสูงสุดโดยการปฏิบัติ โยคะ ฉะนั้นคาว่า “ โยคาจาร “ จึงแปลว่า ผู้ปฏิบัติโยคะ ความหมายเดิม หมายถึง การบาเพ็ญ พรต ต่อมาความหมายได้เปลี่ยนมาใช้หมายถึง หนทางนาไปสู่จุดหมายโดยการปฏิบัติสมถะ (การ เข้าฌาน) และวิปัสสนา (ความรทู้ ่ไี ด้นอกเหนอื จากธรรมชาติ) และวิธีปฏิบัติโยคะนี้ก็ดาเนินตามรอย พระบาทพระพุทธองค์ซึ่งเน้นการปฏิบัติทางกายและทางใจเป็นสาคัญเพื่อนาไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรม ข้อปฏิบัติทางจิตก็คือการฝึกจิต ก็คือ การฝึกจิตให้รู้แจ้งสัจธรรมสูงสุด แล้วจะพบว่า(1) สาคล จักรวาลหาใช่อะไรอนั ท่แี ยกออกไปจากจิตไม่ (2) ในสจั ธรรมไมม่ ีการเปลีย่ นแปลง เช่น การเกิด และ การตาย และ(3) ไม่มีสิ่งหรือวัตถุภายนอกนอกจิตที่มีอยู่จริงๆปรัชญาโยคาจารบางที เรียกว่า “วิญญาณวาท“ (มาลี) หรือ “วิชญานวาท“ (สันสกฤต) เพราะถือว่ามีความจริงอยู่สิ่งเดียว ซึ่งมี ความร้เู ป็นคณุ สมบัติและสิ่งที่ปรากฏแก่ความรู้จะเป็นทางวัตถุหรือภายนอกตัวก็ตาม คือ ความคิด หรอื ทีต่ ง้ั ของความร้สู านักวิญญาณวาทนี้ นักปรัชญาบางท่านได้วิจารณ์ว่าเป็นปรัชญาที่มีพื้นฐานมา จากแนวคิดในคัมภีร์อุปนิษัทซึ่งมีคาว่า “ญาณ“ และ “วิญญาณ” หมายถึง อาตมัน(อัตตา) หรือ “พรหม” (สภาวะสัมบรู ณ์) ปรัชญาโยคาจารกาเนิดขึ้นมาเพราะมีแนวคิดของปรัชญามาธยมิกที่ถือว่าความจริงทางจิต ไม่มี ปรัชญาโยคาจารแย้งว่าถ้าความจริงทางจิตไม่มีเสียแล้ว เหตุผลและทัศนะทุกอย่างก็ไม่จริง 28 Ruth Reyna, Ibid. p.114. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
212 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ทั้งหมด และนักปรัชญามาชยมิกะ ไม่อาจยืนยันได้ว่าเหตุผลของตนถูกต้อง การกล่าวว่า ทุกสิ่งทั้ง กาย และทางจติ ไม่จริงนัน้ เป็นการขัดแย้งในตวั เอง จุดยนื ของปรัชญาโยคาจาร ปรัชญาสานักนี้ปฏิเสธลักษณะภาพทางวัตถุวิสัยของโลกภายนอก ยอมรับว่ามีวิญญาณ จานวนนับไม่ถ้วนแต่ละดวงเป็นขณิกะ (ชั่วคราว) เช่น ขณิกสมาธิ (สมาธิชั่วคราว) มีปัจจัยปรุง แต่ง (เจตสิก) ของตนเองและแสวงหาความรู้เพื่ออธิบาย ปรากฏการณ์ที่ประสบ โยคาจาร ถือว่า อวิชชาเป็นเหตุ จึงจาแนกวิญญาณหนึ่ง ๆ ออกเป็นตัวผู้นา กรรม และความรู้สึกรู้ ซึ่งความจริง แล้ว วิญญาณเดิมนน้ั มีลักษณะบรสิ ทุ ธิ์ และจาแนกไมไ่ ด้ ทฤษฎคี วามรู้ : สิ่งที่ถกู รู้ ตามทัศนะของปรัชญาโยคาจารหรือวิญญาณวาท จิตประกอบด้วยกระแสความคิด มากมาย ซ่ึงล้วนแตเ่ ปน็ ความจริงอยา่ งเที่ยงแท้ สง่ิ ทปี่ รากฏอย่ภู ายนอกจิต กค็ อื ความคิดของจิต เชน่ เดียวกับความฝัน ซึ่งก็คือ สิ่งที่ปรากฏแทนทางจิต การที่สิ่งภายนอกมีอยู่นั้นไม่อาจยืนยันได้ เพราะไม่อาจรูไ้ ดว้ ่าสิง่ น้ันต่างจากการรู้จักสง่ิ น้นั อยา่ งไรบ้าง เชน่ สีนา้ เงนิ กบั ความรู้สึกสีน้าเงินเป็น อยา่ งเดยี วกนั เพราะรู้ไมไ่ ดว้ า่ สิ่งท้งั สองน้ันแยกกนั อยู่ ความจริงมีหนึ่งเท่านั้นแต่ปรากฏเป็นมาก หลาย เช่นเดียวกบั พระอาทิตยม์ ีเพียงหนงึ่ ดวงแตป่ รากฏเปน็ หลายดวงตาแกค่ นพิการ เช่นเดียวกับ จิต คือกระแสหนึ่งของฐานที่รู้ และกระแสจิตดังกล่าว ก็คือ รอยประทับหรือความตรึงตราของ ประสบการณ์ในอดีต เมือ่ รอยประทับนั้นขึ้นมาส่รู ะดับความรจู้ ึงทาใหส้ ิ่งแวดล้อมในขณะนั้นปรากฏ ชดั ขึน้ เพราะฉะน้ัน สง่ิ ภายนอกก็คือจิตหรือวญิ ญาณ ทกี่ ลุม่ วญิ ญาณวาทเรียกว่า “อาลยวิญญาณ” ซ่งึ เป็นเหมือนเรือนของรอยประทับทุกอย่าง มีอนุภาพมาก เป็นจิตที่ไม่ใช่เนื้อสาร อาลยวิญญาณนี้ สามารถจะระงับไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาทางจิตได้ และนาจิตก้าวหน้าไปสู่นิพพาน ถ้ามิฉะนั้น แล้วก็จะเกิดตัณหาอุปทานเสียฝ่ายเดียว ปรัชญาโยคาจาร จึงถือว่าจิตเป็นสัจจะที่แท้จริง สามารถ สร้างสวรรคห์ รอื นรกได้ พวกวญิ ญาณวาทจึงนยิ มปฏิบัตโิ ยคะเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งความจริงของจิต อยา่ งแท้จรงิ ความรแู้ ท้ ความรแู้ ทห้ รอื ความร้ชู อบ (สม.ยค.ช.ญาน) คอื ความรขู้ ึ้นสัพพัญญู ถือว่าอยู่เหนือความรู้ ขั้นเหตุผลของตรรกศาสตร์ทั้งปวง เพราะความรู้ขั้นสัพพัญญูเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงความแท้จริง หรือสัจธรรมขั้นสูงสุดของมหายานได้ ความรู้ขั้นเหตุผลไม่สามารถเข้าถึง ดังคากล่าวของอสังคะ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
213 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ที่ว่า “ความรู้ (ปัญญา) ขั้นเหตุผลหรือหลักตรรกศาสตร์นั้น มีสมมติฐานมาจากตาราทางศาสนา เป็นเพียงสมมติบัญญัตินั่นเอง ไม่ใช่ความรู้ขั้นสูงหรือขั้นสุดท้ายไม่สามารถเข้าถึงมหายานได้เลย เพราะตามหลักเหตผุ ลส่ิงที่ถือว่าเป็นความจริงในวันนี้อาจไม่จริงในวันพรุ่งนี้ก็ได้ สิ่งที่บางคนถือว่า จริง บางคนอาจเห็นว่าไม่จริงก็ได้ จึงเชื่อว่าเป็นความรู้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ใช่สากลที่เรียกว่า สัพพัญญู เพราะไม่สามารถรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ สิ่งที่ความรู้ขั้นเหตุผลเข้าถึงได้ เป็นเพียง ปรากฏการณเ์ ท่านั้น ความรขู้ ัน้ เหตผุ ลไมอ่ าจสร้างความพงึ พอใจให้ทุกคนได้ จึงปรากฏเนือง ๆ ว่า ได้มีการโตค้ ารมกนั อยา่ งเผด็ ร้อนและเอาชัยชนะกนั ด้วยนา้ หนักแห่งเหตุผลของกันและกัน ซึ่งนับว่า ความรู้ขั้นนี้นาไปสู่การขัดแย้งกัน ทะเลาะวิวาทกัน และก่อให้เกิดทุกข์และเพิ่มทุกข์ บุคคลผู้ไม่ ฉลาดเทา่ น้นั จะเชอ่ื ถอื ความรูข้ ั้นนี้ ผู้ฉลาดจะไมเ่ ชื่อถอื เลย เพราะถือวา่ ไมไ่ ดใ้ ห้ความจริงแก่” ประเภทของความรู้ 3 ประเภท หรอื ไตรสภาวะ ไตรสภาวะน้ีอสงั คะใชแ้ บ่งความร้อู อกเปน็ 3 ประเภทดังน้ี 1. ปริกัลปติ ชญาณ ได้แก่ ความรู้ชนดิ มายา คอื ไมใ่ ห้ความจริงใด ๆ เลย เป็น ความเท็จลว้ น ๆ เชน่ ความรู้เรือ่ งหนวดเตา่ เขากระต่าย 2. ปรตนั ตรชญาณ ไดแ้ ก่ ความรชู้ นดิ สัมพัทธ์ คือ ความรู้ขั้นสามัญที่สมมติกัน และยอมรบั กันวา่ ให้ความจรงิ ได้บ้างแตเ่ ป็นความจรงิ เกี่ยวกับสิ่งท่สี มมติบญั ญัติขึ้น เพื่อใช้เรียกขาน ในชีวิตประจาวนั เท่านน้ั ไม่ใช่ความจรงิ ขน้ั ปรมัตถ์ ความรู้นี้จึงใช้บรรยายให้ความจริงของสรรพสิ่ง ที่เป็นสมมตหิ รือโลกียไ์ ด้ ไมใ่ ช่เป็นมายาโดยสนิ้ เชงิ 3. ปริณิษปันนชญาณ ได้แก่ ความรู้ที่แท้ที่ให้ความจริงแท้หรือสัจธรรมขั้น ปรมัตถ์ ความรู้นี้แหละที่ท่านอสังคะถือว่า สามารถเข้าถึงสัจธรรมขั้นสูงสุดของมหายานได้ โดย แบ่งย่อย ๆ เปน็ 4 อยา่ ง คือ 1) กฤตยานุษฐานชญาณ คือ ความรู้ของบุคคลผู้สามารถเปลี่ยนปัญจวิญญาณ (ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย) ที่ประกอบด้วย สาสวธรรม (กิเลส) ทั้งหลาย ให้กลายเปน็ อนาสวธรรม (ไม่มกี ิเลส) 2) ปรัตยเวกษณชญาณ คือ ความรู้ของบุคคลผู้สามารถเปลี่ยนมโนวิญญาณ (เป็นเหตุแห่งการประกอบกรรมดี กรรมชั่ว กุศล อกุศล และอัพยากฤต (เป็นกลาง ๆ) ท่ี ประกอบดว้ ยสาสวธรรม(กเิ ลส) ใหก้ ลายเป็นอนาสวธรรม 3) สมตาชญาณ คือ ความรู้ของบุคคลผู้สามารถเปลี่ยนกลิษฎมโนวิญญาณ (เป็นตวั ทาการยดึ ถอื อาลยวญิ ญาณ มีอทิ ธพิ ลมาก สามารถทาให้มโนวิญญาณมีความรู้สึกไปในทาง อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
214 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา กุศล อกุศลได้ กล่าวง่าย ๆ คือ ควบคุมมโนวิญญาณนั่นเอง) ที่ประกอบด้วยสาสวธรรมให้ กลายเปน็ อนาสวธรรม 4) อาทรรศนชญาณ คือ ความรู้ของบุคคลผู้สามาถเปลี่ยนอาลยวิญญาณ (เป็น มูลฐานแห่งสิ่งทง้ั ปวงหากไร้อาลยวิญญาณสิ่งทั้งปวงก็ไม่มี) ที่ประกอบด้วยสาสวธรรมให้กลายเป็น อนาสวธรรม กล่าวโดยสรุป ปริณิษปันนชญาณ ได้แก่ สภาพธรรมที่เป็นไปตามหลักไตร ลักษณ์ คือไม่เที่ยง เปน็ ทกุ ข์ และเปน็ อนัตตา อยา่ งเทยี่ งแท้แนน่ อน ทรรศนะเร่ืองวญิ ญาณ พุทธปรัชญาสานักโยคาจารได้จาแนกวิญญาณออกเป็น 8 ชนิดคือ 1. จักขุวิญญาณ 2. โสตวิญญาณ 3. ฆานวิญญาณ 4. ชิวหาวิญญาณ 5. กายวิญญาณ 6. มโนวิญญาณ 7. กลิษฏ มโนวิญญาณ (มนสั ) 8. อาลยวญิ ญาณ วญิ ญาณ 5 อยา่ งข้างต้นเรยี กว่า ปัญจวิญญาณ ไม่แตกต่างกับของเถรวาท คือ เมื่อจักขุ เห็นรูปก็เกิดจักขุวิญญาณ หูได้ยินเสียงก็เกิดโสตวิญญาณ ฯลฯ ตามทรรศนะของโยคาจารถือว่า ปัญจวิญญาณ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลาพังเฉพาะอินทรีย์กับวิสัย (อารมณ์) มากระทบกันเท่านั้น ต้อง อาศยั ปจั จัยอืน่ ประกอบด้วย เชน่ โสตวญิ ญาณต้องอาศัยปัจจยั 8 อยา่ ง คือ โสตประสาท ศัพทวิสัย มนสิการ จิต มโน ธาตุ มโนวิญญาณ พีชะ และทว่ี ่าง ฆานวิญญาณต้องอาศัยปัจจัย 7 อย่างคือ ฆานประสาท ฆานวิสัย มนสิการ จิต มโน ธาตุ มโนวญิ ญาณ เป็นตน้ ปัญจวิญญาณ หรือวิญญาณทั้ง 5 อย่าง รับรู้อารมณ์ใกล้ไกลไม่เหมือนกันคือ จักขุ วิญญาณและโสตวิญญาณรับอารมณ์ที่ห่างไกลออกไปได้ เช่น เห็นภูเขาไกล ตาเห็นพระธาตุดอย สุเทพไกล ๆ หูได้ยินเสียงเพลงจากตึก RB5 ขณะยังนั่งอยู่ RB3 เป็นต้น ส่วนฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ และกายวญิ ญาณ ต้องรับรู้อารมณ์ที่มาถึงตน เช่น กลิ่นต้องสัมผัสจมูกก่อนถึงจะ รับกล่ินได้ ลิน้ ต้องไดช้ มิ ก่อนถึงจะร้รู สชาติอาหาร กายต้องสัมผสั ก่อนถึงจะรูว้ า่ หนักเบา เป็นต้น มโนวิญญาณ คอื ความรู้ทางใจ 2 ประการ คือ มโนวิญญาณที่เป็นไปในประสาทสัมผัส ขณะรบั ร้อู ารมณ์ 5 และมโนวิญญาณที่รับรู้อารมณ์ในขณะที่ประสาทสัมผัสมิได้รับรู้อารมณ์ มโน วิญญาณนี้สามารถพิจารณารู้อารมณ์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต่างกับปัญจวิญญาณ ซึ่ง รับรู้ได้แต่อารมณ์ปัจจุบัน มโนวิญญาณจะขาดตอนเช่น คนที่หลับสนิทไม่ฝัน คนที่สลบ หรือคน อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
215 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ตาย เป็นต้น ปัญจวิญญาณต้องอาศัยอินทรีย์ 5 เป็นบ่อเกิด มโนวิญญาณจะบังเกิดได้ก็ต้องมีท่ี อาศยั เชน่ เดยี วกนั คอื อาศัยมนินทรีย์ ส่ิงอาศัยของปัญจวิญญาณต่างกับมโนวิญญาณ คือ ปัญจ วิญญาอาศัยอินทรีย์ที่เป็นรูปธรรมสัมผัส ประจักษ์ หรือจับต้องได้ ส่วนมโนวิญญาณเป็นเรื่อง นามธรรม ปรัชญาโยคาจารอธิบายว่า มนินทรีย์นี้ต่างกับมโนวิญญาณ กล่าวคือ มนินทรีย์ก็คือ มโนธาตุ จัดเป็นวญิ ญาณที่ 7 มีสภาพเปน็ อพั ยากฤต (กลาง ๆ) ทาหนา้ ท่ียดึ อาลยวิญญาณว่าเป็น ตัวตน เป็นตัวอุปาทานท่ีเขา้ ไปทาการยึดครองอาลยวิญญาณ อาลยวิญญาณเป็นสภาพที่มนินทรีย์ หรือมโนเข้ายึดไว้ มนินทรีย์ไม่มีหน้าที่พิจารณารับรู้อารมณ์ภายนอกแต่อย่างใด แต่เนื่องด้วยมนิ นทรยี เ์ ปน็ ตวั ทาการยึดถืออาลยวิญญาณ จึงมีอิทธิพลมากสามารถทาให้มโนวิญญาณมีความรู้สึกไป ในทางกศุ ล และอกุศลได้ ฉะน้ันแม้มนินทรียม์ ลี ักษณะเป็นอพั ยกฤต (เป็นกลาง) ก็นับเป็นกิเลสจึง มีชอ่ื เรียกอกี อยา่ งหนงึ่ ว่า กลษิ ฏมโนวิญญาณ กลิษฏมโนวญิ ญาณน้ี ทาหน้าที่คิดพิจารณาอาลยวิญญาณว่าเป็นตัวตนเสมอ สืบเนื่องต่อ กันไม่ขาดสายจนกว่าจะสิ้นภพชาติสิ้นกิเลส มโนวิญญาณขาดตอนได้ด้วยเหตุ 5 คือ เข้าสู่อสัญญี ภพ เขา้ สอู่ สัญญสี มาบตั ิ เขา้ สญั ญาเวทยิตนโิ รธสมาบตั ิ คนทหี่ ลับสนทิ ไมม่ ฝี นั และคนที่สลบ ก็ก ลษิ ฏมโนวญิ ญาณจะขาดตอนกต็ อ่ เมอ่ื บรรลอุ รหนั ต์ หรอื เขา้ สู่สัญญาเวทยิตนโิ รธสมาบัติ อาลยวิญญาณ ถือเป็นวิญญาณที่ 8 วิญญาณนี้มีความสาคัญมาก เพราะถือว่าทุกสิ่งทุก อยา่ งล้วนแตเ่ ป็นอาลยวญิ ญาณ ท้งั สิ้น ปรัชญาโยคาจารถอื วา่ อาลยวญิ ญาณเปน็ มูลฐานแห่งสิ่งทั้ง ปวง ถ้าไรอ้ าลยวิญญาณน้ีแลว้ ส่ิงทั้งปวงก็ไมม่ ี เพราะสิ่งทั้งหลายเป็นเงาสะท้อนออกมาจากอาลย วิญญาณ คือส่งิ ทั้งปวงอยใู่ นจิต และสิ่งท้งั ปวงเป็นเพยี งความคดิ ของ หน้าที่ของอาลยวิญญาณ ปรัชญาโยคาจารนิยามความไว้สั้น ๆ ว่า “เก็บก่อ” เก็บ คือ เก็บเอาพืช (พลัง) ของสิ่งทั้งปวงไว้ เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ผลไม้ย่อมเก็บเอาลาต้นกิ่งก้านสาขา ตลอดจนผลไม้ไว้หมด รอการนาลงปลูกรดน้าพรวนดนิ ตลอดจนรอรับแสงอาทิตย์เป็นปจั จัยเร่งเร้า ก็จักโตวันโตคืน แตกดอกออกผลโดยลาดับ ก่อ คือก่อสร้างพฤติภาพต่าง ๆ ให้เกิดมีขึ้นเป็นขึ้น เช่น โตเปน็ ลาตน้ มีใบ มีดอก เปน็ ต้น ระดับความรู้ 3 ระดบั ตามทรรศนะของปรัชญาโยคาจารหรือวิญญาณวาท วิญญาณเท่านั้น คือสภาพ แท้จริง วัตถุในรูปแบบของมัน เช่น มีเนื้อสาร จะเป็นเก้าอี้ โต๊ะ มนุษย์ สัตว์ บ้าน เป็นต้น เป็นเรื่องของการลวงตา (อุปจาร) เพราะสภาพการรับรู้เท่านั้น คือ สภาพแท้จริงของสถานะหรือ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
216 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ระดบั วิญญาณ ดังทไ่ี ด้ทราบประเภทของวิญญาณมาแล้วข้างต้นนั้น การรับรู้ก็มีความสอดคล้องกับ ระดับการรบั รู้ของวิญญาณ โดยแบง่ ได้ 3 ระดบั ดังน้ี 1. อาลยวญิ ญาณ เปน็ ที่รวม เปน็ ตัวพาวาสนาทงั้ ปวง คอื ศกั ดานุภาพของสิ่งต่าง ๆ วิญญาณอื่น ๆ จะมีความเกี่ยวพันกับวาสนา ระดับของวิญญาณไม่เพียงแต่ผูกพันอยู่กับอาลย วิญญาณเท่านั้น หากแต่จะเข้ามาแทนที่ อาลยวิญญาณจะไม่หยุดนิ่ง จึงเปรียบได้กับสายธารที่ ไหลเชี่ยว ก็เหมือนกับสภาพของจิตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ หากปราศจากอาลย วญิ ญาณ ความพยายามท่ีจะเป็นอิสระจากกิเลสหรือสงั สารวฏั ก็หมดความหมาย 2. มโนวิญญาณ เป็นวิญญาณระดับที่ 2 ถ้าหากอาลยวิญญาณหมายถึงอาณาจักร ของสภาพความเป็นไปไดม้ โนวญิ ญาณก็คือ สภาพทถ่ี ูกทาใหม้ ีความแทจ้ รงิ 3. วสิ ัยวิญญาณ วิญญาณชนิดนี้ทาให้เกิดมีวัตถุวิสัย 6 ชนิด ถือวัตถุวิสัยภายนอก 5 (ปญั จวญิ ญาณ) และความรับรู้ภายใน 1 การรับรู้ของจิต หรือวิญญาณในวิสัยวิญญาณนี้ ทาให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นสิ่ง ต่าง ๆ เช่น เป็นบ้าน เป็นต้นไม้ เป็นมนุษย์ เป็นทะเล เป็นภูเขา ฯลฯ เป็นสภาพความมีอยู่ที่ ต้องขึ้นกับการรับรู้ 1 แต่ในความเป็นจริงมันไม่มีอยู่จึงไม่ใช่ธรรมชาติแท้จริง ต้นไม้อาจจะไม่มีอยู่ ภายนอก แตใ่ นความคิดกค็ ิดว่าเป็นตน้ ไมน้ ักปรัชญาโยคาจารกล่าววา่ “ทกุ สิ่งทกุ อยา่ งในวัตถุวิสัยใน โลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากปรากฏการณ์ เพราะความจริงนั้นมิได้มีอยู่ สิ่งต่าง ๆ มิได้มีอยู่ นอกเหนอื ไปจากจิตเข้าใจมันเอง” กลา่ วโดยสรปุ คอื โลกภายนอกนน้ั ไมม่ อี ยจู่ ริง ส่ิงทปี่ รากฏแก่ดุจวัตถุภายนอกนั้น ที่แทจ้ ริงเป็นเพยี งมโนภาพหรือวิญญาณภายในจติ เอง วิญญาณเป็นตวั สรา้ งวัตถภุ ายนอก วิญญาณ จึงมอี ยู่จริง ความคิดทกุ ๆ ดวงน้นั เปน็ พฤติการณ์ของวิญญาณ ประมาณหรือแหลง่ เกดิ ความรู้ ปรัชญาโยคาจารยอมรบั ประมาณ 2 อย่างว่า สามารถให้ความจริงได้ คือ ประ จกั ษประมาณและอนุมานประมาณ อย่างเดียวกบั สานักปรัชญาไวภาษกิ ะ จากทรรศนะของปรัชญาโยคาจารดังกล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้นหากต้องการ ตรวจสอบความรู้และความจริงสูงสุดของปรัชญาโยคาจาร ต้องตรวจสอบโดยการปฏิบัติโยคะ เพอ่ื ให้รแู้ จ้งเหน็ จริงด้วยตวั เอง ปรัชญาโยคาจาร จงึ ถูกเรยี กวา่ เปน็ ปรัชญาจติ นยิ ม เชิงจิตวิสัย ปรัชญามหายาน เน้นเรื่องการบาเพ็ญบารมีเพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่นด้วยความ กรุณาให้หลุดพ้นจากความทุกข์ก่อนตน บุคคลผู้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือบุคคลอื่น เป็นผู้ที่เปี่ยมด้วย อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
217 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา กรณุ าอย่างย่ิง อทุ ศิ ทุกอย่างเพื่อบุคคลอื่น เรียกว่า \"โพธิสัตว์\" หมายถึง ผู้ปรารถนาพุทธภาวะ และ ตง้ั ใจทางานเพอ่ื ผู้อื่น โดยตง้ั ปฎญิ ญา 4 ข้อ คอื 29 1. ช่วยเหลอื สรรพสัตว์ทั้งหลายใหพ้ ้นทุกข์ 2. ทาลายกเิ ลสตณั หาท้ังหลายใหห้ มดสิ้นไป 3. เข้าถงึ สัจจะ และสงั่ สอนธรรมะน้ันแกค่ นท้งั หลาย 4. นาสตั ว์ท้งั หลายให้เข้าส่พู ุทธภาวะ เมื่อตั้งปฏิญญาณแล้ว พระโพธิสัตว์จะต้องบาเพ็ญบุญมารมีโดยลาดับ แบ่ง ออกเปน็ ชน้ั เป็นภมู ิบารมี 10 ของพระโพธิสตั ว์ คอื 1. ทาน ความเปน็ ผู้มีนา้ ใจกวา้ งขวางใหอ้ ภัยเปน็ นิจ 2. ศีล ความประพฤตดิ มี งุ่ ทาลายความช่วั ร้ายให้มากทส่ี ุด 3. ขนั ติ มีความอดกล้ัน ไมม่ โี ทสะ ไม่หวัน่ ไหว แสดง 4. วริ ิยะ เพยี รพยายามและความเกยี จคร้าน ทาใหเ้ ข้มแขง็ เอาชนะอุปสรรค 5. วิปสั สนา การบาเพญ็ ฌานเพอื่ ให้เกดิ ปญั ญาอนั บริสทุ ธ์ิ จะได้ละความเห็นแก่ตัว คนมองทกุ คนมลี กั ษณะเทา่ กัน 6. ปญั ญา ความรอบร้อู ันเกดิ จากการบาเพ็ญวปิ สั สนา 7. อบุ าย ความฉลาด และวิธีทีส่ ามารถชักนาให้ผู้อื่นเห็นคล้อยตาม สามรถให้ สรรพสตั วเ์ หน็ ตามธรรม และดาเนนิ ไปตามบรรดานพิ พานได้ 8. ปณธิ าน ความตง้ั ใจเพือ่ จะช่วยเหลอื สรรพสัตว์จากทกุ ข์ 9. พละ ความพยายามอันเกิดจากเมตตา เพอ่ื ช่วยสรรพสัตว์ 10. ญาณ ความรู้ แต่ตา่ กวา่ ปัญญา เทยี บบารมี 10 ทัศ ของฝ่ายเถรวาท ในฝ่ายเถรวาทก็กลา่ วถึงบุคคลผูท้ ่ีจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ หรือ พระพุทธเจ้าได้ ต้องผ่าน การบาเพญ็ บารมี 10 ทศั มาบริบูรณแ์ ล้วเทา่ นั้น บารมี 10 ทัศ มบี างขอ้ แตกต่างกนั ดงั แสดงต่อไปน้ี 1. ทาน เหมอื นกันคือการแบง่ ปนั 2. ศีล การเวน้ ชัว่ 3. เนกขัมมะ การออกบวช 4. วิริยะ ความเพยี ร 5. ปญั ญา รอบรู้ 29 เสฐยี ร พนั ธรงั ษี, พุทธศาสนามหายาน, (กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2534) หน้า 27. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
218 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 6. ขันติ อดทน 7. สัจจะ การรักษาสัจจะ 8. อธิษฐาน การตัง้ ใจมัน่ 9. เมตตา ความรักใคร่ 10. อเุ บกขา ความยตุ ิธรรม 2. สานกั มาธยมิกะ (Madhyamika) สานักมาธยมิกะ ก่อตั้งโดย นาคารชุน (100-150 A.D) ที่เรียกว่ามาธยมิกะ เพราะถือปฏิบัติทางสายลาง(มัชมิมะมัต) ได้แก่ปรัชญาที่ถือความเป็นกลางระหว่างความยึดถือ 2 สาย คอื ระหว่างผทู้ ถ่ี อื วา่ ทุกสิ่งทกุ อยา่ งมีอยู่ ถึงความเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดมีอยู่เลย แต่ปรัชญาสานักน้ี มองสิ่งต่าง ๆ ที่ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น (ตถตา) ตถตาเป็นคาสอนของอัศวโฆษะ หรือ เป็นไปอย่าง น้ันเอง ปราศจากแกน่ สารอมตะ มีแตค่ วามวา่ งเปล่า จึงเรยี กวา่ \"ศนู ยวาท\" การมองความเป็นของว่างในรูปก่อให้เกิด \"ปัญญา\" แต่เมื่อมองเห็นความว่างเป็นรูป เกดิ \"ความกรุณา\" ท้ังปัญญา และกรณุ าเป็นคณุ ธรรม ท่ีมหายานต้องการบาเพ็ญให้เต็มเป่ียม มาธยมิกะ เน้นวิภาษวิธีในการตีความหมายของเนื้อหาพุทธธรรม ทัศนะของกลุ่ม มหายานสว่ นใหญต่ ่างจากทศั นะของเถรวาท ตรงทเี่ ถรวาทเน้นเรื่อง ความไม่เที่ยงของสิ่งต่าง ๆ แต่ ไม่มีการพัฒนาออกไปมากกว่านี้ ส่วนมหายาน เน้นเรื่องอนัตตา และมองว่าทุกสิ่งว่างจากแก่นสาร มีความว่างเปน็ จดุ สดุ ทา้ ย จงึ เรียกวา่ ศนู ยว์ าทะ 30 ความรู้ขั้นสูงสุดของสรรพสิ่งในฐานะเป็นศูนยตาบริสุทธิ์ ไม่ได้แตกต่างจาก ขันธ์ ธาตุ อายตนะ และการดับขั้นสุดท้ายของธรรมเหล่านี้ ถือว่าเป็นความรู้ขั้นสูงสุด สรรพสิ่งท่ี เป็นของว่างในความเป็นจริงไม่มีกระบวนการไม่มีการดับ ความจริง (Truth) ไม่เป็นทั้งสิ่งที่ยั่งยืน และไม่ยัง่ ยืน แตเ่ ปน็ ความวา่ งท่ีบรสิ ทุ ธิ์ เป็นตถตา สิ่งท่ีปรากฎเป็นเพียงมายา ไม่มคี วามจรงิ ทแี่ ท้ นาคารชุน ผู้ก่อตั้งสานักศูนย์วาทะ เกิดในวรรณะพราหมณ์ทางอินเดียใต้ มีชีวิต ในช่วง พุทธศตวรรษที่ 6 – 7 อาจารย์อัศวโฆสะ เดิมเป็นพราหมณ์เปลี่ยนมานับถือพุทธ เพราะ ท่าน ปราศวะ ผู้โดดเด่นในการทาสังคายนา ผู้แต่งคัมภีร์พุทธจริตะ กล่าวว่ามีอายุก่อนกว่าท่าน นาคารชนุ ในศตวรรษที่ 6 ท่านจันทกีรติ และท่านศานติเวทะ (7 th A.D) ได้ทาให้รูปแบบของ มาธยมิกะรุ่งเรอื งมากยงิ่ ขนึ้ โดยเฉพาะทา่ นจันทกีรติ อธิบาย ปรัชญาศูนยตา ด้วยความชานาญทาง 30 S. Dasgupta, Ibid, p. 126. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
219 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา วิภาษวิธีอย่างยิ่ง ดังที่ Stcherbatatcy ยกย่องท่านจันทกีรติว่า “เป็นยอดผู้ยิ่งใหญ่ แห่งวิธีการตั้ง เอกนยิ มแบบปฏิเสธอย่างบรสิ ุทธ์ิ” 31 ศูนยว์ าทะ ตามทัศนะของจนั ทกีรติ หมายถงึ ในสง่ิ ทัง้ หลายท่ีปรากฏอย่ไู มม่ ีสารตั ถะ หรือ ธรรมชาติที่ แท้จริง อธิบายตามนัยปฏิจสมุปบาทว่า ไม่มีความจริงไม่มีสารัตถะ ในปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิด ขึ้นมา เมื่อปรากฎการณ์ไม่มีสารัตถะ จึงไม่มีทั้งสร้าง และการทาลาย ไม่มีทั้งเกิดมา และดับ ไป เป็นเพียงมายา ศูนย์ตา(ความว่าง) ไม่ได้หมายเอาความว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลย ซึ่งมี ความสัมพันธ์กับบางสิ่งซึ่งมีอยู่ แต่หมายถึงว่า ไม่มีปรากฎการณ์สิ่งใด ๆ เลยที่มีธรรมชาติ ใน ภายในเป็นของตนเอง 32 มาธยมิกะ ไม่ได้ถือว่า สิ่งใด ๆ มีสารัตกะ หรือ ธรรมชาติที่เป็นเฉพาะของตนเอง (สวลักษณะ) แมแ้ ต่ความรอ้ นกพ็ ูดไม่ไดว้ ่าเป็นสารวตั รของธาตไุ ฟ เพราะความรอ้ นและไฟ ต่างก็เป็น สิ่งที่เกิดมาจากการรวมตัวของปัจจัยอื่น ๆ มากมาย และสิ่งใดที่เกิดมาเพราะอาศัยปัจจัยอื่น ๆ มากมายไมอ่ าจจะกล่าวได้วา่ \"มันมธี รรมชาตแิ ท้ หรือสารัตกะเป็นของตนเอง\" สิ่งใดที่มีธรรมชาติหรือลักษณะแท้ ซึ่งไม่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นเกิดในความเป็นจริง ไมม่ เี ลย จงึ พูดไม่ได้ว่า \"มันมอี ยู่\" ถา้ สิง่ หน่ึงไมม่ สี ารตั ถะ หรอื ไมม่ ีการเป็นอยูด่ ว้ ยตวั เอง ก็ไม่อาจจะยืนยันสารวัตกะ ของสิ่งใด ๆ ท่วี ่า \"มี\" และก็ไมค่ งจะยนื ยันในเชิงปฏเิ สธอีกดว้ ย ถ้าบุคคลใด ครั้งแรกเชื่อว่าในสิ่งทั้งหลายมีสารัตกะอยู่ ต่อมาหมดค้นพบว่า มัน ไม่ได้อย่างนั้นอีกแล้ว เขาก็ต้องยืนยันในความไม่มีอยู่ของสิ่งนั้น แต่ในความเป็นจริง เพราะไม่ อาจจะยนื ยันท้ังในแงบ่ วกแลว้ ก็จะไมอ่ าจจะพูดถงึ สิง่ ใด ๆ ในแง่ลบอีกดว้ ย ความจริงสูงสดุ เงอ่ื นไขของความมอี ยู่ นาคารชุน บอกวา่ มี 4 ลักษณะ คือ 1. ความมีอยู่ (Existence): 2. ความไมม่ ีอยู่ (Non-existence) 31 Munistry Education Government of India, History of Philosophy. Easten & Westen, p.205. 32 S. Dasgupta, Ibid, p.141. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
220 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3. ไม่ใช่ทั้งความมีอยู่ และไม่ใช่ทั้งความไม่มีอยู่ (Neither existence nor non- existence) 4. ไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง และ แตกต่างจากทั้ง 2 อย่าง (Neither both existence and non- existence Non different from both) ความจริงสูงสุด คือ \"สุญญตา\" มีสภาพเหมือนเงื่อนไขทั้ง 4 ข้อคิดกล่าวมานี้ มันไร้ คุณลักษณะ (อธบิ ายไม่ได้) จึงขอเรียกว่า \"สุญญตา\" หรือหมายถึงปฏิจสมุปปาทะอีกด้วย พูดง่าย ๆ กค็ อื คณุ สมบตั แิ บบโลกของไมม่ ีอย่ใู นความจรงิ สงู สุดนนั้ 33 การอธิบายก็คงพูดไดแ้ ตว่ า่ เนติ, เนติ, ไม่ใช่นั่นไมใ่ ช่น่ัน ความจริง 2 ขน้ั (แบบ) นาคารชุน ยอมรับความจริงมี 2 ช้นั 34 คอื 1. ความจริงข้ันสมมติ (Empirical Truth) จรงิ สาหรบั คนธรรมดา 2. ความจริงขั้นปรมัตถ์ (Transcendental Truth) จริงสาหรับพระอริยะบุคคลผู้ ทีไ่ มส่ ามารถแยกความแตกต่างระหวา่ งความจริงทั้ง 2 อย่างนี้ เขาไม่อาจจะเข้าใจความสุขุมลึกซึ้ง ของคาสอนพระพุทธเจ้าได้ ความจริงขั้นสมมุติเป็นเพียงหนทางสาหรับการเข้าใจถึงความจริงขั้น ปรมัตถ์ ในทัศนะของนาคารชุน ความจริงขั้นปรมัตถ์ ไม่อาจจะเข้าใจได้ถ้าไม่ได้รับการ ช่วยเหลือจากสมมติสัจจะ และถ้าไม่มีการรู้จักปรมัตถสัจจะแล้ว การบรรลุนิพพานก้ไม่อาจจะ เกิดขึ้นได้ นั่นคือ สัจจะ ต้องรู้จักโดยสิ่งที่เป็นสัจจะ หรือ ความจริงสูงสุดต้องรู้จากสิ่งที่เป็นมายา ความรู้ ความจริง แบบสมมติ กเ็ ป็นความจาเปน็ สาหรบั การบรรลุปรมตั ถสจั จะ นักปรัชญาสานักมาธมิกะ เชื่อในความจริงขั้นปรมัตถ์ และกล่าวว่าสรรพสิ่งใน โลก เป็นสิ่งที่สัมพัทธ์กัน นั่นคือ ธรรมทุกอย่างต่างอาศัยกันและกัน สิ่งหนึ่งที่อยู่ได้เพราะอาศัยสิ่ง อื่นเปน็ อยู่ ไม่มสี ิง่ ใดทอี่ ยู่ไดโ้ ดยไม่อาศัยสิ่งใด ๆ เลย นี่คอื สมมตสิ ัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะ ตรงกันกับจากสมมติสัจจะ ประสบการณ์ของนัยเป็นสิ่งสูงสุด ปรมตั ถสจั จะบรรลถุ งึ ได้ในนิพพาน มันอยเู่ หนอื วตั ถแุ บบโลก ๆ เป็นอมตะสูงสุด และว่างจากธรรมะ แบบโลก ๆ เรียกวา่ \"สุญญตา\" \"ตถตา\" หรือ \"ธรรมธาตุ\" ซ่ึงในความเป็นจรงิ แลว้ ไม่มีคุณสมมติใด ๆ 33 S.Chatterjec, Ibid, p.142. 34 R.N. Shrma, Ibid, p.124. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
221 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ไม่มีชื่อ, ไม่มีรูปแบบ (ไม่มีทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้) ไม่อาจจะรู้ได้โดยคาพูด หรือการคิด แต่รู้ได้โดย ประสบการณท์ นั ทที ันใด ทา่ นนาคารชนุ www.thaigoodview.com นาคารชุน เป็นผู้แต่งคัมภีร์มาธยมิกการิกา ได้อธิบายเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ตาม แนวคาสอนของพระพุทธเจ้า และแสดงความคิดเห็นว่า หากมองจากจุดยืน (มุมมอง) แบบปรมัตถ สจั จะแลว้ ทฤษฎีปฏจิ สมุปบาท กค็ อื \"นพิ พาน\" และทกุ สงิ่ รวมอยใู่ นนิพพาน ในมุมมองแบบปรมัตถ สัจจะแลว้ ไมม่ ีทั้งการดับ ไมม่ กี ารเกดิ ไมม่ ีการขาดสูญ ไม่มคี วามเปน็ อมตะ ไม่มีแมแ้ ต่ศูนยะ หากมองอย่างที่นาคารชุนยืนยัน คงกล่าวได้ว่า สังสาระ หรือนิพพาน คงเป็นสิ่ง เดยี วกนั แต่มองคนละดา้ นเน้นคนละมุมมอง ดจุ ความจริงมี 2 ดา้ น หรือเหรียญมี 2 ดา้ นน่ันเอง นาคารชนุ ตาหนกิ ารสร้างไม่มีการจบ โดยการใช้เหตุผลของกระบวนการ 4 แบบ ท่านพสิ ูจน์ความสญู ของวัตถทุ กุ อย่าง ดว้ ยเหตผุ ลคอื 1. ไม่มสี งิ่ ใดเกิดมาเองด้วยตวั เอง 2. ไมม่ สี งิ่ ใดเกิดผา่ นสิ่งอืน่ 3. ไมม่ สี ิง่ ใดท่ีเกิดด้วยตวั เองและสงิ่ อ่ืน 4. ไม่มสี ิ่งใดท่ีขาดทง้ั 2 อยา่ ง อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
222 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ดงั นนั้ การเกดิ จงึ เป็นไปไม่ไดเ้ ลย และนาคารชุนโจมตีเงื่อนไขแห่งความรู้ของสานัก เสาตรนั ติกะ 4 แบบ (ท่ีกล่าวแลว้ ในเสาตรันตกิ ะ) คือ 1. อารมณ์ 2. สมนันตระ (จิตรบั รู้) 3. อธิปติ (การรสู้ กึ ทางผัสสะ) 4. สหการี (เงอื่ นไขภายนอก) และกล่าวยืนยนั วา่ สาเหตุและผลเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันเป็นเพียงความสมมติสัจจะ และในทานองเดียวกนั นาคารชนุ พิสจู น์วา่ การเคลอ่ื นไหวการรบั รู้เป็นสงิ่ ทเ่ี ป็นไปไม่ได้เกี่ยวกับเรื่อง สงิ่ ต่อไป นาคารชนุ ถอื วา่ ขนั ธ์ 5 ก็เปน็ ของสญู ระดบั และแหลง่ เกดิ ความรู้ ปรชั ญามาธยมกิ ะบอกว่า แหลง่ เกิดความร้มู ี 3 คือ 1. ประจักษป์ ระมาณ ได้แก่ ประสาทสมั ผสั ทั้ง 5 2. อนุมานประมาณ ได้แก่ การเทียบเคียงกับสิ่งที่เคยประจักษ์มาก่อนแล้วจึงไป แสวงหาสาเหตขุ องมัน 3. ศัพทประมาณ ไดแ้ ก่ การฟงั ผรู้ ู้และการอา่ นตารา การตรวจสอบทฤษฎี ปรัชญาของศูนยวาท เน้นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นศูนยตา คือ ความไม่มีตัวตนท่ี แท้จริงของมันเลย ซึ่งจะเห็นได้อย่างเด่นชัดที่สุดเพราะว่าไม่มีอะไรในโลกตั้งอยู่อย่างคงทน ถ้ายึด ถือเอาสิ่งเหล่านั้นเป็นความรู้แล้วย่อมที่จะได้ความรู้ที่ไม่ตรงกับความจริงของสภาวะภายนอก เหล่าน้ัน จะรู้เพยี งเปลอื กหรือสภาวะทว่ั ไปเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีความเป็นจริงในตัวของมัน เอง ดังนั้นวิธีการที่จะรู้ความจริงแท้จะต้องไม่ไปยึดติดกับสิ่งภายนอกพยายามที่จะเข้ามาศึกษาหา ความร้จู ากภายในตวั ซง่ึ มคี วามจรงิ ขนั้ ปรมตั ถสัจจะอยู่จึงจะมีความรูจ้ รงิ ได้ 7.3 สรุป ความคิดทฤษฎีความรู้ของพุทธปรัชญา 4 สานัก ที่กล่าวมา หลักการใหญ่ๆ ที่มีความ คล้ายคลงึ กนั คือ สิ่งที่ถกู รู้นนั้ คอื ธรรมชาติ (ภายนอก) ซ่ึงจะรู้ความจรงิ เหลา่ นั้นได้จากการที่มีจิตใจ ท่มี งุ่ หวังและมคี วามพยายามใฝใ่ นความร้ดู ว้ ยตวั ของ และพุทธปรัชญา 4 สานักนั้นโต้เถียงกันในเรื่อง อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
223 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ความรู้ขั้นสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา โดยเหตุแห่งความแตกต่างทางความคิดก็มาจากการที่ยึด หลักธรรมคนละอย่างในการอธิบายสภาวะแห่งความรู้และนิพพาน ซึ่งเหตุแห่งการที่แต่ละสานักมี หลักยึดที่ต่างกันก็ถือเป็นผลอย่างหนึ่งของการทาสังคายนาครั้งที่ 3 ที่ยึดเอาแต่กลุ่มวิภัชวาทเป็น หลัก ทาให้สานักอื่น ๆ ไม่พอใจและเริ่มออกมาแสดงทัศนะทางความคิดออกมาอย่างอิสระ โดยถือ ว่า ความคิดของกลุ่มของตนมีความดีกว่าอีกกลุ่มและสามารถจะอธิบายหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ไดด้ ีกว่า 7.4 คาถามท้ายบท 7.4.1 แนวคดิ ทางญาณวิทยาของพุทธปรชั ญาเถรวาทเปน็ อย่างไร 7.4.2 แนวคิดทางญาณวิทยาของพทุ ธปรชั ญาสานักสัพพัตถิกวาทเปน็ อยา่ งไร 7.4.3 แนวคิดทางญาณวทิ ยาของพุทธปรชั ญาสานกั เสาตรานตกิ ะเป็นอยา่ งไร 7.4.4 แนวคดิ ทางญาณวทิ ยาของพทุ ธปรชั ญาสานกั โยคาจารเป็นอยา่ งไร 7.4.5 แนวคดิ ทางญาณวทิ ยาของพุทธปรชั ญาสานักมาธยมิกะเปน็ อยา่ งไร อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
224 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา พระอมติ าภะ http://www.mahasiddha.org/cgi-bin/store-detail.pl?stockno=pos-amitabha อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
บทที่ 8 ทฤษฎคี วามรขู้ องศาสตร์สมยั ใหม่ (Modern Science's Epistemology) การแสวงหาความรู้เป็นแรงกระตุ้นภายในของมนุษย์ผู้มีความกระหายอยากรู้อยากเห็น และต้องการตอบข้อสงสัยของตน นับแต่อดีตมาจนปัจจุบัน มนุษย์จะถามปัญหาและพัฒนา ความคิดของตนอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นการค้นพบความรู้ความจริงและเทคโนโลยีอันทันสมัย เพราะมนุษย์มคี วามสามารถในการแก้ปญั หาทั้งบอกวธิ แี กป้ ญั หาเอาไวด้ ว้ ย ปญั หาพนื้ ฐานทางปรชั ญาคือการแสวงหาคาตอบเกี่ยวกบั ความจริงในส่งิ ต่อไปน้ี 1. ปัญหาเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ การที่จะเข้าใจมนุษย์เราจะต้องทราบว่ามนุษย์คือ อะไร โดยแบง่ การค้นคว้าออกเป็น 2 ประเด็นคือ อะไรเป็นตัวเนื้อแท้หรือธาตุแท้ของมนุษย์ ตัวเนื้อ แท้นั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ประเด็นต่อมาก็คือ มนุษย์ดาเนินชีวิตไปอย่างไร พฤติกรรมของ มนุษย์จะมลี กั ษณะอย่างไรเปน็ อสิ ระถือถูกกาหนดเอาไวต้ ายตวั 2. ปัญหาเรือ่ งธรรมชาติของโลก ในประเด็นนี้ก็มุ่งศึกษาว่า อะไรเป็นแก่นแท้ของโลก และจกั รวาล มอี งค์ประกอบอะไรบา้ ง โลกและจักรวาลดาเนินไปอยา่ งไร เปลี่ยนแปลงไปอยา่ งไร 3. ปัญหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างโลกกบั มนุษย์ ประเด็นนี้เป็นปัญหาทางทฤษฎีความรู้ ที่จะศึกษาว่า มนุษย์กับโลกมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบใด ทั้งนี้ดูจากความคิดหลักของแต่ละกลุ่ม ว่าจะมีมุมมองธรรมชาติของโลกและมนุษย์อย่างไร เขาก็จะแจงแบบแห่งความสัมพันธ์ออกมาตาม ทศั นคติของตน 4. ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ นั่นคือ มนุษย์มิใช่ชีวิตเดียวที่อาศัย อย่บู นโลก แต่มนุษยย์ งั มเี พอื่ นมนษุ ย์คนอ่ืน ๆ ร่วมอาศยั อยู่ และการจะจัดรูปแบบความสัมพันธ์ของ ตนกับเพื่อนมนุษย์ออกมาเป็นแบบใดนั้นก็จะขึ้นอยู่กับความคิดเห็นในเรื่องชีวิต โลก และจักรวา ล ของผนู้ ั้นเป็นเกณฑ์เช่นเดยี วกนั หากจาเปน็ จะตอ้ งสรปุ ความคดิ การมองโลกและชีวิตของมนุษย์คงรวมได้ 2 กลุ่มหลัก คือ กลุม่ ปรัชญาจิตนยิ ม (รวมเอาเหตผุ ลนยิ มเขา้ ดว้ ย) และกลุ่มปรัชญาวตั ถุนิยม และประวัติศาสตร์ของ ปรัชญาทีย่ าวนานมาร่วม 2500 ปีก็เกดิ จากความขัดแย้งทางความคดิ ของสองกลุม่ หลกั นี้ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
226 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ประเด็นที่ควรศึกษาในบทนี้ เกี่ยวกับทฤษฎีความรู้ของศาสตร์สมัยใหม่ ผู้เขียนขอเลือก เพียงสองศาสตร์ที่ทาหน้าที่ค้นหาองค์ความรู้อย่างจริงจัง ทั้งถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้ แสดง บทบาทที่สาคญั ตอ่ วิชาการและเทคโนโลยีปจั จบุ ัน ได้แก่ 1. วิทยาศาสตร์ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนของสานักปรัชญากลุ่มวัตถุนิยม ด้วย เหตุผลทว่ี า่ ปรชั ญาสายวัตถุนิยมเปน็ ฐานให้เกิดการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อีกประการหนึ่ง ยิ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญมากเท่าใด ความจริงทางวิทยาศาสตร์ก็จะถูกค้นพบมากเท่านั้ น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า แนวคิดทางปรัชญาสายวัตถุนิยมมีความ ถูกต้องและมีความน่าเชอ่ื ถือกว่า แนวคิดทางปรชั ญาสายจติ นยิ ม 2. ศึกษาศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยกระบวนการเรียนรู้และเทคนิคการถ่ายทอด ความรู้ของมนุษย์อย่างเป็นระบบ นับแต่อดีตมาจนปัจจุบัน นักการศึกษาไม่ได้จากัดอยู่เฉพาะ ปรัชญาสายใดสายหนึ่ง หากเป็นตัวแทนทั้งสายจิตนิยม เหตุผลนิยม และสายวัตถุนิยมด้วย ซึ่งจะ เหน็ ไดอ้ ยา่ งชัดเจนในสว่ นที่วา่ ดว้ ยทฤษฎกี ารศกึ ษา 8.1 ทฤษฎคี วามรู้ของวทิ ยาศาสตร์ 8.1.1 ความหมายของวิทยาศาสตร์ นกั คดิ ทางตะวนั ตกใหค้ วามหมายของวิทยาศาสตร์ไว้หลายทรรศนะ ดังตัวอย่างต่อไปน้ี 1) วิทยาศาสตรเ์ ปน็ ตัวความรู้ เป็นการสืบค้นหรือวิธีการหาความรู้ และเป็นแนวทาง ในการคิดแสวงหาความเขา้ ใจในธรรมชาติ 1 2) วิทยาศาสตร์ต้องเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ตรง มีการสืบค้นหรือการสังเกต ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และมีการเก็บรวบรวมข้อมูล วิทยาศาสตร์ต้องมีการจัดกระทาและการ ตีความหมายข้อมลู ท่รี วบรวมไวโ้ ดยใช้วิธกี ารท่ีมีเหตุผล นอกจากนี้ วิทยาศาสตร์ต้องมีกาสร้างสรรค 1 A.T.Collect and Eugene Chiappetta, Science introduction in the Middle and Secondary Schools, (Columbia, Ohio : Charles E. Merrill Publishing Company, 1986), p.5. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
227 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา มีความพยายามที่จะอธิบายและเข้าใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยใช้ประสบการณ์ท่ี มากกว่าการใชป้ ระสาทสัมผัสโดยตรง 2 3) วิทยาศาสตร์เป็นการเรียนการสะสมความรู้อย่างเป็นระบบที่ใช้เกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้อยู่ที่การสะสมข้อเท็จจริงเท่านั้ น แต่ รวมถงึ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ และเจตคตทิ างวิทยาศาสตรด์ ้วย3 สรุปความว่า วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่สืบค้นหาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยใช้ กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เพือ่ ให้ได้มาซ่งึ ความรู้วทิ ยาศาสตร์ทเี่ ปน็ ท่ียอมรับโดยทว่ั ไป4 8.1.2 ปรัชญาและวทิ ยาศาสตร์ ได้ทราบความหมายโดยย่อพอเป็นที่เข้าใจถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ว่ามีแบบฉบับ เปน็ เอกลักษณอ์ ย่างไรแลว้ ต่อไปนี้ มาพิจารณาถงึ ความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญากับวิทยาศาสตร์ทั้ง จดุ ร่วมและจดุ ต่างเพอื่ ทราบถงึ การสร้างองค์ความร้จู ากสาขาวิชาทงั้ สอง เมื่อกล่าวถึงปรัชญา โดยทั่วไปก็คิดถึงวิชาที่ว่าด้วยเรื่อง จิต มนุษย์ และสรรพสิ่งในโลก เทา่ ทส่ี ติปัญญาของมนุษย์สามารถจะรับรู้ได้พ้นขอบเขตของประสาทสัมผัส 5 หากจะจากัดขอบเขต ก็จะเห็นว่า ปรัชญาเป็นระบบความคิดในการแสวงหาความรู้ภาคทฤษฎี ในขณะที่วิทยาศาสตร์ เปน็ การศกึ ษาทีเ่ ป็นระบบเปน็ กระบวนการและสามารถพิสูจน์ออกมาได้เป็นรูปธรรม ในภาคปฏิบัติ การ 2 John W. Renner, and Don G. Stafford, Teaching Science in the Secondary School,(New York : Harper & Raw Publishers,1972), pp. 1 - 4. 3 Arthur A. Carin and Robert B.Sund, Teaching Modern Science. 2nd. ed.,(Columbus, Ohio : Charles E. Merrill Publishing Company, 1975), pp.4 - 6. 4 ภพ เลาหไพบูลย์, การสอนวิทยาศาสตรใ์ นโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา, (เชยี งใหม่ : โรงพิมพ์เชยี งใหม่คอมเมอร์ เชยี ล, 2534), หน้า 2. 5 สุพจน์ ศภุ กุล, ปรชั ญาและประวตั ิวทิ ยาศาสตร์ (เอกสารชดุ ท่ี 3), (เชียงใหม่ : ภาควิชามธั ยมศึกษา, คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, 2538), หนา้ 3. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
228 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ปรัชญาและวิทยาศาสตร์ มีจุดเริ่มต้นที่การแสวงหาความรู้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ ธรรมชาตทิ ่เี กดิ ข้ึนรอบตัวเราท่ีเราได้คุ้นเคยและไดป้ ระสบอยเู่ สมอ ปรชั ญาจะอธิบายปรากฏการณ์ นั้นด้วยเหตผุ ลทางตรรกวิทยา แต่วิทยาศาสตร์ จะอธิบายปรากฏการณ์นั้นด้วยสิ่งที่สามารถรับรู้ได้ ทางประสาทสัมผัส ปรัชญาและวิทยาศาสตร์แต่ก่อนยังไม่ได้แยกจากกัน เพราะแต่เดิม วิทยาศาสตร์ก็เป็น สาขาหนึง่ ของปรัชญา ที่เรียกว่า ปรัชญาธรรมชาติ(Natural Philosophy) แต่การแสวงหาคาตอบ ทางวิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มต้นมักจะลึกซึ้งและพ้นขอบเขตของข้อที่จะยอมรับกันได้ทางประสาท สัมผัส ต่อมากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ แม้จะเริ่มต้นจากปรัชญาแต่หันมาแสวงหา ความรู้ความจริง ด้วยการค้นคว้าเอาจากความเป็นจริงหรือปรากฏการณ์รอบตัว โดยไม่ได้อาศัย เพียงการนึกคิด คาดเดาเอาเองด้วยเหตุผล แต่มีวิธีเฉพาะของตนที่เรียกว่า วิธีวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) 6 ความสัมพันธ์ระหว่างปรัชญากับวิทยาศาสตร์มีมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่จุด แยกอยู่ที่วิธีการที่เป็นรูปธรรมของวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เห็นภาพความสัมพันธ์ชัดเจน เบอร์ทรันด์ รสั เซล นกั ปรชั ญาชาวอังกฤษรว่ มสมัยให้ความเห็นวา่ “ปรัชญาดูจะอยู่กึ่งกลางระหว่างเทววิทยากับวิทยาศาสตร์ เหมือนเทววิทยาตรงที่ว่า ด้วยเรื่องที่ไม่สามารถหาความรู้ได้อย่างแน่นอน แต่เหมือนวิทยาศาสตร์ตรงที่ใช้หลักเหตุผล ยง่ิ กว่าจะอาศยั อานาจอ่นื ใดมาเปน็ เกณฑ์ ไม่ว่าจะเปน็ หลกั เกณฑ์ที่เคยเชื่อถือกันมาก่อน หรือ ว่าหลักแห่งความเชื่อนั้นได้มาโดยรหัสนัยจากพระผู้เป็นเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าถือว่า ความรู้ที่ แน่นอนเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ หลักคาสอนที่อยู่เหนือความรู้ที่แน่นอนเป็นเรื่องของเทว วิทยา ชอ่ งว่างระหวา่ งวทิ ยาศาสตร์กับเทววทิ ยาเป็นเรือ่ งของปรัชญา” 7 6 สวุ ัฒก์ นิยมค้า, ทฤษฎแี ละทางปฏบิ ัตใิ นการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ บบสบื เสาะหาความรู้ เลม่ 1, (กรุงเทพฯ : เจเนอรัลบุ๊คเซน็ เตอร์,2531), หนา้ 81 7 Bertrand Russell, A History of Western Philosophy, p.13; สุพจน์ ศุภกุล, ปรชั ญาและประวตั ิ วทิ ยาศาสตร์ (เอกสารชดุ ที่ 3) หนา้ 8 - 9. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
229 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ปรัชญาโดยทั่วไปคือการแสวงหาความรู้โดยวิธีการคาดคะเนและใช้เหตุผลทางตรรกวิทยา จึงยากที่จะได้คาตอบที่ตรงกับความจริง และยากที่จะได้คาตอบที่แน่นอนตายตัว เพราะขาดการ ทดลองพสิ จู น์ แมว้ า่ จดุ เร่ิมของวทิ ยาศาสตรแ์ ละปรชั ญาจะมาจากท่ีเดยี วกัน ถือว่าอยู่ในกลุ่มความรู้แนว เดียวกัน แต่จุดต่างมีมากอาจแยกออกมาได้ 4 ประการ คือ 8 1. ตัวความรู้ที่แสวงหา ปรัชญาแสวงหาตัวความรู้ที่เป็นส่วนรวมหรือเป็นหนึ่งเดียว โดยพยายามหาหลักการใหญ่ๆมาอธิบายโลกและจักรวาล วิทยาศาสตร์เน้นตัวความรู้ทั้งความจริง ส่วนเล็กและส่วนใหญ่ แตแ่ ยกเป็นสว่ น ๆ เช่น วิทยาศาสตรส์ าขาฟิสิกส์ เคมเี ปน็ ต้น 2. วธิ ีการทใี่ ชใ้ นการแสวงหาความรู้ ปรัชญาโดยส่วนมาก ใช้วิธีคิดหาเหตุผลแต่เพียง อย่างเดียวในการอธิบายความเป็นจริง เพื่อจะได้ความรู้ที่บริสุทธิ์ปราศจากประสาทสัมผัสเข้ามา เกยี่ วขอ้ ง วิทยาศาสตร์ใช้วิธีการวิทยาศาสตร์ที่อยู่บนฐานของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและ อาศัยเหตุผลเชิงตรรกศาสตร์เปน็ เคร่อื งมืออกี อย่างหนึง่ นน่ั คอื วิทยาศาสตรย์ ืนยนั ว่า ความรู้ต้องเกิด ภายหลังการมปี ระสบการณ์ 3. ขอบเขตของความรู้ ปรัชญาศึกษาทั้งสิ่งที่อยู่ในขอบเขตของรูปธรรมและสิ่งที่อยู่ เหนือการรับรู้ทางประสาทสัมผัส ส่วนวิชาวิทยาศาสตร์กาหนดสิ่งที่จะศึกษาไว้ที่การรับรู้ทาง ประสาทสัมผัสเฉพาะสง่ิ ทเ่ี ปน็ รูปธรรมเท่านนั้ เหนือไปกวา่ นัน้ ไมใ่ ช่หนา้ ท่ีทางวทิ ยาศาสตร์ 4. ปรชั ญาเปน็ ส่วนเริ่มและส่วนต่อของวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีที่ สรุปความรู้ได้ดีที่สุด หากจะถามว่า เพราะเหตุใดจึงว่าเป็นวิธีดีที่สุด วิทยาศาสตร์จะตอบไม่ได้ ตัวอย่างกฎแห่งสาเหตุและผล จะนามาอธิบายโดยวิธีการทางประจักษ์คงยาก จึงต้องอธิบายโดย วธิ ีการทางปรัชญาแทน ดงั น้นั ปรชั ญาที่อธบิ ายว่า วิทยาศาสตร์คืออะไร ศึกษาเรื่องอะไร โดยวิธีการ อย่างไร มธี รรมชาติเปน็ อยา่ งไร เปน็ ตน้ จึงนับวา่ เปน็ ปรชั ญาวทิ ยาศาสตร์ ดังนัน้ ลักษณะเฉพาะของปรชั ญาและวทิ ยาศาสตรจ์ งึ สรุปได้ว่า เรื่องอะไรที่ความคิดเห็นยัง ไม่เป็นที่ตกลงยอมรับกันได้อย่างแน่นอน ถือว่าอยู่ในขอบเขตของปรัชญา แต่เรื่องอะไรที่มีความ คิดเห็นเป็นที่ตกลงยอมรับกันโดยทัว่ ไป ใหถ้ อื วา่ อย่ใู นขอบเขตของวิทยาศาสตร์ 8 สวุ ัฒก์ นยิ มคา้ , เลม่ เดยี วกนั , หน้า 82 - 83. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
230 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 8.1.3 ธรรมชาตแิ ละลกั ษณะของวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เปน็ การคน้ หาความลล้ี ับของธรรมชาติโดยใช้กระบวการทางวิทยาศาสตร์ จึงไม่ได้ตัวความรู้วิทยาศาสตร์ล้วนๆ หากประกอบด้วยวิธีการที่จะได้ความรู้นั้นมาด้วย 9 กระบวนการวทิ ยาศาสตรน์ บั แตเ่ รม่ิ ตน้ จนถึงบทสรปุ เป็นองค์ความรู้นน้ั มี 3 ข้นั ตอนคือ 1) ขัน้ ต้ังคาถามเชงิ วทิ ยาศาสตร์ ในกรณีที่พบปรากฏการณ์ที่น่าพิศวงนักคิดจะตั้ง คาถาม 3 ประเดน็ คอื (1) อะไร (What) เกิดขึ้นบ้าง การสังเกตและบันทึกข้อมูลจะช่วยให้นักคิดได้ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ สรา้ งเป็นองคค์ วามรู้ โดยจะช่วยคน้ หาสงิ่ ท่ียังไม่รู้ (2) อย่างไร (How) มันจึงเกิดขึ้นมา การตั้งคาถามนี้จะช่วยให้นักคิดลาดับ เหตุการณ์อะไรเกิดก่อนและอะไรเกิดหลัง หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องมือ ตง้ั ขอ้ สมมุติฐานและการคาดคะเนหาคาตอบ (3) เพราะเหตุไร (Why) มันจึงเกิดขึ้นมาได้ คาถามนี้จะทาให้นักคิดค้นหา คาอธิบายปรากฏการณน์ ้ันแลว้ ตงั้ เป็นทฤษฎี 2) ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ค้นหาคาตอบ นั่นคือ การสังเกต การวัด การ หาความสัมพันธร์ ะหว่างระยะทางกับเวลา การจัดประเภท การคานวณ การถ่ายทอดผลงาน การ พยากรณ์ การลงข้อวินิจฉัย การควบคุมตัวแปร การแปลผลจากข้อมูล การตั้งสมมุติฐาน การ กาหนดนยิ มเปน็ เชงิ พฤตกิ รรม การทดลอง การตคี วามหมาย 3) การสรุปเป็นองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จาแนกออกเป็น ความรู้ความจริง เชิงเดี่ยว (Fact) ความรู้ความจริงหลัก (Principle) กฎ (Law) ความคิดรวบยอด (Concept) และ ทฤษฎี (Theory) ลักษณะสาคัญของวิทยาศาสตร์ เครื่องบ่งชี้ที่สาคัญอันจะเป็นตัวบอกว่า อะไรเป็น วทิ ยาศาสตร์ สามารถจาแนกออกได้ 4 ลักษณะ คอื 10 1. วทิ ยาศาสตร์ได้จากประสบการณ์ และทดสอบด้วยประสบการณ์ เป็นความรู้ที่ ได้จากประสาทสัมผัส ใช้วิธีอุปนัย คือการสังเกตปรากฏการณ์และอธิบายปรากฏการณ์ หมายถึง 9 สุวัฒก์ นยิ มค้า, การสอนวยิ าศาสตรแ์ บบพัฒนาความคิด, หน้า 11. 10 สุพจน์ ศภุ กุล, ปรชั ญาและประวตั วิ ทิ ยาศาสตร์, หน้า 34. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
231 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา การอาศัยขอ้ มลู เชงิ เดยี่ ว (Fact) จากเฉพาะกรณีแล้วสรุปความจริงสากลออกมา วิธีอุปนัยเป็นหัวใจ ของวทิ ยาศาสตร์ 2. วิทยาศาสตร์เป็นสาธารณะ หมายถึง ความรู้ต้องสามารถทดลองให้ทุกคนเห็น ประจักษไ์ ด้เหมือนกัน 3. วทิ ยาศาสตร์มลี กั ษณะสากล คือขยายความร้แู บบสากลใหม้ ากท่สี ดุ 4. วทิ ยาศาสตร์ช่วยในการคาดหมายอนาคต คือสามารถช่วยให้เราคาดหมายสิ่งที่จะ เกิดในอนาคตได้ อกี ประการหน่ึงความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ มธี รรมชาตเิ ฉพาะ คือ - เป็นความรเู้ ชิงประจักษ์ ทีไ่ ดม้ าจากประสบการณ์ทางผสั สะ - เป็นความรู้ได้มาโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจเป็นกระบวนการ หรือ วิธี ทางวทิ ยาศาสตรก์ ็ได้ - มลี กั ษณะเป็นความจรงิ สากลมากกว่าทจ่ี ะเปน็ ความจรงิ เฉพาะราย - มลี ักษณะท่ยี ังไมเ่ ปน็ ความจรงิ ทสี่ มบรู ณ์ มีเพยี งความน่าจะเป็นไปได้ แต่ก็สอดคล้อง กบั ความเป็นจรงิ ที่มคี วามน่าเช่อื ไดส้ งู ยังต้องมกี ารแก้ไขปรับปรุงเพ่ือความสมบรู ณม์ ากย่งิ ขึ้น - มีลกั ษณะเป็นปรนยั คอื ทกุ คนสามรถเข้าใจตรงกนั สอ่ื ความหมายและแปลได้ตรงกัน ทดสอบในสภาพแวดลอ้ มทีค่ ลา้ ยกันผลย่อมปรากฏออกมาคลา้ ยกันเสมอ โมเดลทางวทิ ยาศาตรท์ ่ีอธบิ าย สรุ ยิ จกั วาล อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
232 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา สรุปความว่า วิทยาศาสตร์ประกอบด้วยลักษณะ 2 ประการ คือ การเข้าใจธรรมชาติ และ การยกระดบั ความเขา้ ใจธรรมชาติใหส้ ูงขึน้ 8.1.4 ลกั ษณะและระดับของความรู้ ในบทที่ 1 ได้กล่าวถึงความหมาย ลักษณะและระดับความรู้มาบ้างแล้ว แต่กล่าวในกรอบ ความคิดทางปรัชญาเพียงด้านเดียว ยังไม่ครอบคลุมความรู้ในสาขาอื่นๆ เพื่อให้เห็นภาพแบบมห ภาคของลักษณะความรู้อย่างหมดส้นิ องค์การยูเนสโกได้รวมความรู้บรรดามีในโลก จาแนกเป็นกลุ่ม ได้ 8 สาขาวชิ า ดังนี้ 11 1) กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์ (Humanities) เป็นความรู้ที่ควรรู้เพื่อคงความเป็นมนุษย์ เอาไว้ เชน่ วชิ า โบราณคดี ประวตั ศิ าสตร์ ภาษาศาสตร์ ปรัชญา จิตวิทยาเปน็ ตน้ 2) กลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ (Social Sciences) เป็นความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมของมนุษย์ ในสงั คมเพื่อทาให้มนษุ ย์อยรู่ ว่ มกนั ดว้ ยความเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ยและมีความสุข เช่นวิชารัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ภูมศิ าสตร์ สังคมวทิ ยาเปน็ ตน้ 3) กลุ่มวิชาศึกษาศาสตร์ (Education) เป็นความรู้เกี่ยวกับวิชาครูและการศึกษาทุก ประเภท เชน่ การฝกึ หดั ครู การบริหารการศกึ ษา พลศกึ ษาเปน็ ตน้ 4) กลุ่มวิชาวิจิตรศิลป์ (Fine Arts) เป็นความรู้เกี่ยวกับความประณีตงดงาม เช่น สถาปตั ยกรรมศาสตร์ วาดเขียน ดนตรี ละครเป็นตน้ 5) กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Sciences) เป็นความรู้บริสุทธิ์ที่ศึกษา เกย่ี วกบั ธรรมชาติ ได้แก่ ฟสิ กิ ส์ เคมี ชีววิทยา ดาราศาสตร์เปน็ ต้น 6) กลุ่มความรู้วิชาวิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) เป็นการนาเอาวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติบางสาขาไปสร้างความรู้เชิงประยุกต์ เช่นความรู้เกี่ยวกับการก่อสร้าง การทาเหมืองแร่ วิศวกรรมเครือ่ งกลเป็นตน้ 7) กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Medical Sciences) เป็นการนาเอาความรู้ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติบางสาขาไปสร้างความรู้เชิงประยุกต์เพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ บารุงสุขภาพ อนามัย เช่น แพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์เป็นตน้ 11 สุวัฒก์ นิยมคา้ , เพง่ิ อา้ ง, หน้า 1 - 2. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
233 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 8) กลุ่มวิชาเกษตรศาสตร์ (Agricultural Sciences) เป็นการนาเอาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ธรรมชาติบางสาขาไปสร้างความรู้เชิงประยุกต์ เช่นการผลิตนมจากโค สัตวบาล การ ประมง การปุาไม้ การกสกิ รรมเปน็ ต้น ลักษณะของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ ต่างจากความรแู้ ขนงอน่ื ๆ ด้วยเอกลักษณต์ อ่ ไปนี้ 12 1. ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นซ้าซากเสมอและต้องได้ผลเหมือนเดิม ไม่เหมือน ความรแู้ ขนงอน่ื ๆ ทเี่ กดิ เพยี งครงั้ เดียวจะไม่เกิดซา้ สอง เช่น ประวตั ิศาสตร์สงครามโลก จะเกิดกี่ครั้ง กเ็ ป็นสงคราม แตต่ า่ งกนั ท่สี าเหตแุ ละผลลัพธ์ 2. ความรู้ทางวิทยาศาสตรม์ ลี กั ษณะเป็นปรนัย มคี วามถูกต้องในตัวเองไม่มีข้อโต้แย้ง ได้กฎเกณฑแ์ นน่ อนตายตวั 3. ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์เป็นวิชาสากล ใช้กฎเกณฑ์เดียวกันทั่วโลกไม่จากัดเป็นของ ชาติใดชาติหนึ่ง ไม่เหมอื นวชิ าประวัตศิ าสตรไ์ ทย ประวัติศาสตรอ์ เมรกิ ันเปน็ ต้น 4. ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีการสะสมถ่ายทอดเพิ่มพูน ไม่มีวันสูญหาย สิ่งท่ี นักวทิ ยาศาสตร์คน้ พบจะถูกเกบ็ เอาไวเ้ ปน็ มรดกให้อนุชนไดศ้ ึกษาและขยายความรู้ต่อยอดออกไปได้ เสมอ ระดับความรู้ ความรู้ทางวทิ ยาศาสตรส์ ามารถแบ่งออกได้ 2 ระดับ คอื 1. ความรู้ในระดับโลกของประสบการณ์ทางประสาทสัมผสั 2. ความรู้ในระดบั ความคดิ หรือโลกของทฤษฎี ประเภทความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้ท่ีจัดว่าเปน็ ความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ได้ จะตอ้ งตั้งอยู่บนเง่ือนไข 3 ประการคือ13 1. จะตอ้ งเป็นความรู้ของธรรมชาติ หรือปรากฏการณข์ องธรรมชาติ 2. ต้องได้จากการใช้กระบวนการสบื เสาะหาความร้แู บบวทิ ยาศาสตรเ์ ข้าศึกษาค้นควา้ 3. จะต้องเปน็ ความรู้ท่ีผา่ นการทดสอบยนื ยันแล้ววา่ เปน็ ความจรงิ 12 สวุ ัฒก์ นิยมค้า, เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ 14 -15. 13 สวุ ัฒก์ นยิ มคา้ , ทฤษฎแี ละการปฏบิ ัตใิ นการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ บบสบื เสาะหาความรู้ เลม่ 1, หนา้ 111. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
234 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ดังนั้น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นผลผลิตจากการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คน้ ควา้ สามารถจาแนกออกไดเ้ ปน็ 6 ประเภท คือ 1. ข้อเท็จจริงเชิงเดี่ยว (Facts) หมายถึงข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้จัดเป็นระเบียบ เป็นสิ่งที่ ได้มาจากการสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเคยเกิดหรือกาลังเกิด จะไม่เปลี่ยนแปลง คลาดเคลอ่ื นมาก แม้จะสงั เกตหลายครงั้ ความร้เู กี่ยวกับข้อเท็จจริงจะไม่มีลักษณะพยากรณ์อนาคต เพราะเหตกุ ารณย์ งั ไมเ่ กิด ในทางวทิ ยาศาสตร์ ความรู้เกีย่ วกับข้อเท็จจริง (Fact) กับความจริง (Truth) จะเป็น ส่งิ เดียวกัน หรือบนเส้นทางเดียวกัน ไม่ต่างกันเพราะข้อเท็จจริงจะต้องเป็นความจริง หากไม่ใช่เป็น ความจริง ความร้ทู างวิทยาศาสตรท์ ่ีจะสรา้ งจากขอ้ เทจ็ จริงจะไม่เป็นความจริงและเชื่อไม่ได้ นาไปใช้ ไม่ได้ด้วย ดังนั้น ข้อเท็จจริงจะต้องสังเกตได้โดยตรง และต้องคงความจริงไว้ได้โดยสามารถสาธิต ทดสอบได้ผลเหมือนกนั ทกุ ครัง้ 2. ความคิดรวบยอด (Concepts) หรือมโนคติ หมายถึง ความคิดความเข้าใจที่สรุป เกยี่ วกบั ส่งิ ใดส่งิ หนง่ึ หรอื เร่อื งใดเรอ่ื งหน่ึงอนั เกดิ จากการสังเกต หรอื ไดร้ ับประสบการณเ์ กี่ยวกับสิ่ง นั้นหลาย ๆ แบบแล้วใช้คุณลักษณะของสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้นนามาประมวลเข้าด้วยกันให้เป็นข้อสรุป หรือคาจากัดความของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มโนคติเป็นความรู้ความเข้าใจของแต่ละ บุคคลเกี่ยวกบั วตั ถุหรอื ปรากฏการณต์ ่าง ๆ โดยนาความรู้มาสมั พันธ์กบั ประสบการณ์เดิม ความคิดรวบยอดหรือมโนคติทางวิทยาศาสตร์ อาจเกิดจากการนาเอามโนคติหลาย อย่างสัมพันธก์ นั อยา่ งมเี หตผุ ล และมลี ักษณะเป็นสากล แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท คือ 14 1. มโนคตเิ กี่ยวกับการแบ่งประเภท (Classificational Concepts) เป็นคาอธิบาย ชี้แจงคุณสมบัติ บอกคุณสมบัติรวม นาไปใช้บรรยายวัตถุหรือปรากฏการณ์นั้น ๆ เช่น สัตว์มี 2 ประเภทคือ มีกระดกู สันหลงั และไมม่ กี ระดูกสันหลัง 2. มโนคติทางทฤษฎี (Theoretical Concepts) เป็นความพยายามที่จะอธิบาย คุณลักษณะของบางสิ่งหรือปรากฏการณ์บางสิ่งที่ไม่อาจสังเกตได้โดยตรงทั้งหมด แต่มีหลักฐาน เป็นเหตุผลสนับสนนุ แล้วสรา้ งเป็นความเขา้ ใจของตนเอง เชน่ โปรตนี เปน็ สารอาหารที่อย่ใู นเนอ้ื สัตว์ 14 ภพ เลาหไพบูลย์, การสอนวทิ ยาศาสตร์ในโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา,หนา้ 4. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
235 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3. มโนคติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ (Correlational Concepts) เป็นการอธิบาย ความสัมพันธ์ระหวา่ งสาเหตแุ ละผล นาไปใช้ในการทานายหรือพยากรณ์เหตุการณ์ได้ เช่น อาหารให้ พลังงาน ทาให้ร่างกายอบอุน่ 4. หลักการวิทยาศาสตร์หรือกฎของธรรมชาติ (Principles or Laws) คาทั้งสอง น้ีมี ความหมายคล้ายคลึงกนั มากและใชแ้ ทนกันได้ หลักการ (Principles) เป็นความจริงท่สี ามารถใชเ้ ป็นหลักอ้างอิงได้ หลักการเป็นการ นามโนคติที่เกี่ยวกับกับความสัมพันธ์ซึ่งได้รับการทดสอบว่าเป็นจริงแล้ว มาผสมผสานกันแล้ว นาไปใชอ้ า้ งองิ ต่างๆ หลกั การต้องเปน็ ความจริงท่ีสามารถตรวจสอบได้ และได้ผลเหมือนกัน มีความ เป็นปรนยั และเข้าใจตรงกนั กฎ (Laws) คอื หลักการอย่างหนงึ่ เปน็ ข้อความที่ระบุความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล ผา่ นการทดสอบจนเป็นทีเ่ ช่ือถอื ได้มาแลว้ หากมีผลใดขัดแยง้ กฎนัน้ ตอ้ งเลิกไป กฎอาจได้มาจากการ อนมุ าน (Deduction) จากทฤษฎีและอปุ มาน (Induction) จากการนาเอาขอ้ เทจ็ จริงมาผสมผสาน 5. สมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Hypotheses) เป็นข้อความท่ี คาดคะเนคาตอบ ที่ผู้คิดยังไม่ทราบคาตอบอันอาจเป็นไปได้หรือไม่ได้ของปัญหาที่กาลังศึกษา โดย อาศัยขอ้ มลู และความรู้เดิมเป็นพ้นื ฐาน หรืออาจคาดคะเนจากความเชื่อหรือความบันดาลใจของนัก คดิ ก็ได้ คาตอบยังไม่ทราบวา่ จรงิ หรอื เท็จต้องทาการทดสอบโดยการทดลอง โดยการหาหลักฐานมา คัดค้านหรอื สนบั สนนุ สมมตุ ิฐานนัน้ ๆเสยี กอ่ น 6. ทฤษฎี (Theory) เป็นข้อความที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในการอธิบายกฎ หลกั การหรอื ข้อเท็จจริง อันเปน็ ข้อความท่ใี ชอ้ ธบิ ายหรอื ทานายปรากฏการณ์ต่างๆนน่ั เอง ทฤษฎีกับกฎมีระดับความลึกที่ต่างกัน คือ กฎ อธิบายโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุกับผลเป็นหลัก คือบอกได้ว่า ผลนั้นเกิดจาดสาเหตุใด เหตุกับผลสัมพันธ์กันอย่างไร แต่ไม่บอก ว่า เพราะเหตุใดจึงต้องสัมพันธ์กันเช่นนั้น ทฤษฎี สามารถอธิบายความสัมพันธ์ในกฎได้ เช่น การ อธบิ ายกฎวา่ “ถ้าเอาข้ัวเหมือนกันของแมเ่ หลก็ วางใกลก้ ันมนั จะผลกั กนั ถ้าข้ัวตา่ งกันมันจะดูดกัน” น่ีเปน็ ความสัมพนั ธใ์ นรูปของกฎ แตไ่ ม่อาจบอกวา่ ทาไมตอ้ งเป็นเชน่ นั้น จึงต้องอาศัยทฤษฎีโมเลกุล แมเ่ หล็กมาชว่ ยอธบิ ายจงึ จะเขา้ ใจ อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
236 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ทฤษฎีจะน่าเชอื่ หรือไมใ่ ห้ดูเง่ือนไขตอ่ ไปนีค้ ือ ต้องอธิบายกฎ หลกั การหรอื ข้อเทจ็ จริงของเรื่องราวทานองเดียวกันได้ ต้องอนุมานออกไปเป็นกฎหรอื หลกั การบางอย่างได้ ต้องทานายปรากฏการณ์ทอ่ี าจเกิดตามมาได้ ความรทู้ างวิทยาศาสตร์ทแี่ บง่ ได้ 6 ประเภท แตเ่ มื่อจัดระดับคงเหลือเพียง 3 ระดบั คือ 15 1. ระดับปรากฏการณ์ หรือข้อเท็จจริง ที่บอกว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างจากการสังเกต และการวดั ได้ขอ้ มลู ทน่ี า่ เชื่อถอื ได้ 2. ระดับหลักการหรือกฎที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลว่าสัมพันธ์กัน อย่างไร 3. ระดับทฤษฎี ที่อธิบายความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในกฎได้ เช่นบอกว่าเพราะเหตุไรจึง เกิดปรากฏการณเ์ ช่นนนั้ ได้ 8.1.5 กระบวนการแสวงหาความร้ทู างวทิ ยาศาสตร์ (Process of Science) วิทยาศาสตร์เปน็ ศาสตร์ท่มี งุ่ แสวงหาความรู้ความจริงของปรากฏการณ์ต่าง ๆ และอธิบาย ออกมาจนเป็นที่ยอมรับกันได้ และถือว่าเป็นความรู้สากล นักวิทยาศาสตร์เมื่อมีความสนใจในการ แสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ จาเป็นต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และขั้นตอนในการ สบื เสาะแสวงหาความรแู้ บบมลี าดับเปน็ วงจรเรยี กว่า ระเบยี บวิธีวิทยาศาสตร์(Scientific Method) โดยอาศยั ระเบยี บวิธีวิทยาศาสตร์นี้ นักวิทยาศาสตร์ทุกคนจะทางานคล้ายกันในลาดับการ หาคาตอบ เมื่อพบปัญหา จะใช้วิธีการแก้ปัญหาในแนวทางเดียวกัน นั่นคือ เริ่มต้น ณ จุด หนึ่ง และทาต่อเนื่องกันไปตามลาดับขั้นตอน จนถึงจุดสุดท้ายก็จะครบวงจรของการ แกป้ ัญหา หากมีการผิดพลาดอยากตรวจ ณ จุดใดกส็ ามารถจะทบทวนตรวจสอบได้ตามวงจรนั้นๆ ระเบยี บวธิ วี ิทยาศาสตรห์ ลักๆ มี 4 ขน้ั ตอน 16 คือ 15 สุวัฒก์ นิยมคา้ , เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า 127 -128. 16 ภพ เลาหไพบูลย์, การสอนวิทยาศาสตรใ์ นโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา, หน้า 10. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
237 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 1. ขั้นระบุปัญหา (Recognize & State Problem) หมายถึง เมื่อพบปรากฏการณ์ แล้วจะต้องตั้งคาถามเพื่อระบุปัญหาและกาหนดขอบเขตของปัญหา ต้องให้ชัดเจนและไม่กากวม ส่วนมากมักตั้งคาถามที่ต้องการคาตอบ ทั้งถามหาสาเหตุความสมพันธ์และถามเพื่อต้องการ คาอธิบายเชิงทฤษฎี เช่น อะไร อย่างไร และทาไม เสร็จแล้วต้องกาหนดขอบเขต ขีดวงทั้งระบุ ข้อจากดั ของสิง่ ที่จะศึกษาใหช้ ดั 2. ขั้นตั้งสมมติฐาน (Make a Hypothesis) หมายถึง การคาดคะเนหาคาตอบที่ได้ จากข้อมูลบนฐานของประสบการณ์ สมมติฐานสร้างจากข้อมูลที่ได้จากการสังเกต อาศัย ประสบการณ์เดิมและความรู้เดิมที่เกี่ยวข้อง ผนวกความคิดสร้างสรรค์และใช้วิธีอุปมาน (เปรยี บเทียบ) เข้าช่วย สมมติฐานอาจมีหลายอัน แตท่ ถี่ ูกมีเพียงหนง่ึ ต้องตรวจสอบตามลาดับจนได้ คาตอบ 3. ขั้นรวบรวมข้อมูล (Gather Evidence) หมายถึง เมื่อจะตรวจสอบสมมติฐานว่า จริงหรือเท็จ ต้องรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานมาสนับสนุน การรวบรวมข้อมูลก็ใช้ตามวิธีการทาง วิทยาศาสตรใ์ ห้มากพอท่จี ะเชือ่ ถือได้ 4. ขนั้ สรุปผล (Reach a Conclusion) หมายถึงขน้ั แปลผล ตีความหมาย ของขอ้ มลู ท่ี ไดห้ าความจรงิ ทปี่ รากฏในตัวข้อมูล อธิบายเปน็ ความร้สู ุดท้าย อาจเป็นการสมนยั หรือขัดแย้งกับข้อ สมมติฐาน ก็ได้ บทสรุปท่ีถูกต้องจึงถกู ตง้ั เป็นทฤษฎี หรือ กฎ ส่วนบทสรปุ ท่ขี ัดแย้ง ก็กลายเปน็ ปญั หาใหมใ่ ห้ทาการศึกษาตอ่ ไป มนี ักวทิ ยาศาสตรบ์ างท่านได้เพมิ่ ขั้นตอนเข้ามาอกี เป็น 6 ขั้น 17 ดงั นี้ 1. ขั้นระบุข้อความของปัญหา 2. ขั้นตั้งสมมติฐาน 3. ขั้นการสืบเสาะหาข้อมูล หลักฐานเพื่อทดสอบสมมติฐาน 4. ขั้นประเมินความเที่ยงตรงของสมมติฐาน 5. ขั้นทบทวน สมมตฐิ านถา้ จาเป็น 6. ขั้นนาขอ้ สรุปไปใชก้ บั ปัญหาอ่นื ท่คี ล้ายกนั ดังนั้น การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะของการเปลี่ยนแปลงการสะสม ความรู้ประเภทต่างๆ นับแต่ ข้อเท็จจริง มโนคติหลักการ กฎ ทฤษฎี สมมติฐาน การ ตรวจสอบ การพยากรณ์ของความรู้ประเภทต่าง ๆ จึงเป็นสร้างเสริมความเชื่อมั่นในความรู้เดิม 17 Louis I. Kuslan and A. Harris Stone, Teaching Children Science: an Inquiry Approach, (Belmont : Wadsworth Publishing Company, 1969, pp.15 -16. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
238 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา ระบุปัญหาใหม่ ตั้งสมมติฐานและได้ค้นพบความรู้ใหม่ๆ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต้องไม่หยุดนิ่ง เพราะข้อเท็จจรงิ ยอ่ มมใี หม่เสมอ 8.1.6 การถ่ายทอดความรู้ ในทางวิทยาศาสตร์ การถ่ายทอดความรู้ ก็ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักดังที่ กล่าวมาแลว้ หากจะแบง่ ส่วนคงจาแนกไดเ้ ปน็ 3 มรี ายละเอียดดงั นี้ คือ 8.1.6.1 คุณสมบัติของผู้อยากเป็นนกั วทิ ยาศาสตร์ ต้องมีอปุ นสิ ยั เฉพาะท่เี รียกว่ามีเจต คติทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Attitude) 6 ประการ คอื 18 1. ความอยากรู้อยากเห็น ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับปรากฏการณ์ ธรรมชาตเิ พ่ือหาคาตอบในปญั หาต่าง ๆ อยา่ งมเี หตผุ ล 2. ความเพียรพยายาม ตอ้ งเปน็ ผมู้ ีความมานะพยายาม แม้พบอุปสรรค หรือเกิด ความล้มเหลวในการทางานก็ไม่ท้อถอย ถือสุภาษิตผิดเป็นครูจะได้เปลี่ยนวิธีการใหม่ หาแนวทาง ใหม่ ทผี่ ิดเปน็ ข้อมูลทาการบนั ทึกเป็นฐานไว้ 3. ความมเี หตุผล ตอ้ งเปน็ ผู้มเี หตผุ ล ยอมรับในคาอธิบายเม่อื มีหลักฐานหรือข้อมูล มาสนบั สนุนอย่างเพียงพอ แสวงหาหลกั ฐานและข้อมลู อยา่ งเพียงพอกอ่ นท่ีจะสรุปผล และยินดีที่จะ เปดิ ใหต้ รวจสอบพสิ ูจน์ตามเหตุผลและขอ้ เท็จจรงิ 4. ความซ่อื สตั ย์ ต้องเป็นผูม้ ีความซอื่ สัตย์ บันทึกผลตามความเป็นจริงบนฐานแห่ง ข้อมลู สามารถตรวจสอบในภายหลัง โปรง่ ใส ไม่บิดเบือนข้อมลู 5. ความมรี ะเบียบและรอบคอบ ต้องเปน็ ผูท้ ่ีเห็นความสาคัญของการทางานอย่าง เปน็ ระบบ มีแผนงาน ละเอียดถถ่ี ว้ น รอบคอบกอ่ นการสรุปผล 6. ความใจกว้าง ต้องมีใจกว้างที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น ไม่ยึดมั่น ความคิดของตนฝุายเดียว สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะหาข้อมูลใหม่เพิ่มเติม เสมอหากเกิดความไมส่ มบรู ณ์ นอกน้ี อาจมีการเพม่ิ คณุ สมบัติอีกแบบหน่งึ เม่ือรวมกันแล้วได้ 9 ประการคือ 19 1. มี ความอยากรู้อยากเหน็ 2. ชอบสงสยั ชอบซักถาม 3. มีเหตุผล 4. มีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็น 18 ภพ เลาหไพบูลย์, อา้ งแล้ว, หนา้ 12 -13. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
239 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา คนอื่นแลกเปลี่ยนความคิดเมื่อมีหลักฐานที่ดีกว่า 5. มีความซื่อสัตย์ ยึดความถูกต้องตามความ เป็นจริง 6. มีความพยายามอดทนในการค้นหาคาตอบ 7. มีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการ ตัดสินใจลงข้อสรุป 8. ไม่โอ้อวด 9. ไม่เชื่อสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดย ปราศจากเหตุที่แนน่ อน 8.1.6.2 ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (Science Process Skills) การถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์นอกจากจะมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าว มาแลว้ การแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และการถ่ายทอดจะได้ผล ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถ และทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มีท้ังการปฏิบัติทดลองและการฝึกพัฒนาความคิด เช่น ฝึก การสังเกต การบันทึกข้อมูล เป็นต้น การฝึกปฏิบัติที่ผ่านขั้นตอนอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดความ ชานาญ เรียกว่า กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ซึ่งแบง่ ออกเปน็ 2 กลมุ่ 20 ดังน้ี 1. กลมุ่ ทักษะพืน้ ฐาน (Basic Science Process Skills) แบง่ เป็น 8 ทักษะ คอื 1) การสังเกต หมายถึง ความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่าง หนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ทางที่ดีควรใช้ประสาทสัมผัสให้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ เข้าไปสัมผัส (รบั รู้) โดยตรงกบั วัตถุหรอื ปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยไมล่ งความคดิ เห็นของผ้สู ังเกตเข้าไป เป็นการเฝูา สงั เกตล้วน สงั เกตอย่างละเอยี ดถถ่ี ้วนและหลาย ๆ คร้ัง และขอ้ มลู ทไี่ ด้จากการสงั เกตคือ (1) ข้อมูลเชิงคุณภาพ หมายถึงคุณสมบัติหรือลักษณะของสิ่งที่สังเกตแต่ยัง ไม่สามารถระบเุ ปน็ ตัวเลข (2) ขอ้ มูลเชิงปริมาณ หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดทางปริมาณได้ เช่น ขนาด น้าหนกั อุณหภูมิ ฯลฯ (3) ขอ้ มูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตการ เกิดปฏิสัมพันธข์ องสงิ่ ทีส่ งั เกตกับส่ิงอ่นื เพอ่ื ดูผลของการเปลี่ยนแปลง 2) การวดั หมายถงึ ความสามารถในการใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อวัดหา ปริมาณของสิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้อง ตรงตามหน่วยวัดมาตรฐาน เช่น วัดความยาว วัดมวลสาร และวดั เวลา และสามารถอา่ นค่าท่ไี ดจ้ ากการวดั อยา่ งถูกตอ้ งและรวดเรว็ 19 สุวัฒก์ นิยมคา้ , อา้ งแลว้ , หน้า 259. 20 ภพ เลาหไพบูลย์, อ้างแลว้ , หนา้ 13 -30. อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธ์ิ 2559
240 ทฤษฎแี ละปญั หาทางญาณวทิ ยา 3) การคานวณ หมายถึง การนาจานวนที่ได้จากการสังเกตเชิงปริมาณ การวัด การทดลองและจากแหล่งอื่นมาจัดกระทาให้เกิดค่าใหม่ เช่นการนับ บวก คูณ หาร หาค่าเฉลี่ยเป็น ตน้ ตอ้ งใหเ้ กดิ ความสามารถในการคานวณ และไดค้ า่ ตัวเลขใหม่ทจี่ ะสือ่ ใหท้ ราบถึงสง่ิ ที่ตอ้ งการ 4) การจาแนกประเภท หมายถึง ความสามารถในการจัดจาแนกหรือเรียงลาดับ ปรากฏการณ์ต่างๆให้ออกเป็นหมวดหมู่ ใช้เกณฑ์ ความเหมือน ความตา่ ง หรือความสัมพันธ์อย่างใด อยา่ งหนึ่ง และจัดสงิ่ ที่มีคุณสมบัตบิ างประการร่วมกันให้เข้าอยูใ่ นกลุ่มเดยี วกนั 5) การหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติของวัตถุกับวัตถุและมิติของวัตถุกับเวลา หมายถึง ความสามารถในการหาความสัมพันธ์ทางมิติของวัตถุ ที่มี 3 มิติ คือ ความกว้าง ความ ยาว และความลึกหรือสูง กับมิติของวัตถุอื่นๆ และหาความสัมพันธ์ของมิติวัตถุกับเวลาที่วัตถุหนึ่ง ได้เกดิ การเปลี่ยนแปลงไปพรอ้ มกบั เวลา เช่น การวาดรปู 2 มิติ และ 3 มิติ ความสูงของต้นข้าวเมื่อ ปลูกไป 1 เดอื น 6) การจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล หมายถึง ความสามารถในการ จัดการรวมข้อมูลที่ได้มาจัดระบบใหม่และนาเสนอให้เป็นที่เข้าใจในรูป กราฟ ตาราง แผนภูมิ สมการ และบรรยายเปน็ ตน้ 7) การลงความคิดเห็นจากข้อมูล หมายถงึ ความสามารถในการอธิบายข้อมูลท่ี มีอยู่อย่างมเี หตผุ ล โดยการพยายามเชอ่ื มโยงความร้แู ละประสบการณเ์ ดมิ ทม่ี อี ยมู่ าสัมพันธ์กับข้อมูล ทป่ี รากฏ การลงความคิดเห็น ต้องมีความสมเหตุสมผลกับปรากฏการณ์ที่เกิด ส่วนจะผิดหรือถูกให้ หาหลักฐานมาอื่นมาประกอบช่วยตรวจสอบและพิสูจน์ การลงความเห็น มี 4 แบบ คือ แบบสรุป รวมทว่ั ไป แบบเชงิ พยากรณ์ แบบอธบิ าย และแบบสมมติฐาน 8) การพยากรณ์ หมายถึง ความสามารถในการคาดคะเนหรือทานายสิ่งที่จะ เกิด โดยอาศัยการสังเกตปรากฏการณ์ที่เคยเกิดซ้าบ่อย ๆ เป็นฐาน หรืออาศัยความรู้จากหลักการ กฏทฤษฎีที่เกี่ยวกับสิ่งนั้น ๆ มาช่วย การทานายอาจทาได้ทั้งในภายในขอบเขตและนอกขอบเขต ข้อมูล 2. กลุ่มทกั ษะผสมผสาน (Integrated Science Process Skills) แบง่ ออกเปน็ 1) การตงั้ สมมติฐาน หมายถึง ความสามารถในการให้คาอธิบายซึ่งเป็นคาตอบ ล่วงหน้ากอ่ นทจ่ี ะดาเนินการทดลองเพื่อตรวจสอบความถูกต้องต่อไป สมมติฐานยังเป็นข้อสรุปรวม เชงิ หลักการ อาจถูกหรือผดิ ก็ได้ มลี ักษณะคล้ายยกรา่ งหลักการทางวิทยาศาสตรแ์ ตก่ ็ไมใ้ ช่สิ่งที่สร้าง อ.ดร.พสิ ฏิ ฐ์ โคตรสโุ พธิ์ 2559
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302