Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสอนธรรมวิทยา

การสอนธรรมวิทยา

Description: "การสอน" หมายถึง บอกวิชาความรู้ให้ แสดงให้เข้าใจโดยบอกวิธีหรือให้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง คนส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่าการสอน คือการถ่ายทอดความรู้โดยการบอก ผู้สอนจึงเป็นผู้รู้ เป็นผู้มีประสบการณ์เหนือกว้าผู้เรียน

Keywords: การสอนธรรม,วิทยา

Search

Read the Text Version

มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั Mahachulalongkornrajavidyalaya University หลักสตู รพุทธศาสตรบณั ฑติ เอกสารประกอบการสอนรายวิชา หมวดวชิ าเฉพาะสาขา รหัสวชิ า ๒๐๙ ๔๑๗ การสอนธรรมวทิ ยา ) Teaching Dhammology) ดร.ทิพย์ ขันแก้ว มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาลยั สงฆบ์ ุรรี ัมย์ วดั พระพุทธบาทเขากระโดง ตาบลเสมด็ อาเภอเมอื ง จังหวัดบรุ ีรัมย์

การสอนธรรมวทิ ยา Teaching Dhammology ทพิ ย์ ขนั แกว้ : ป.ธ.๙., กศ.ม.(การบรหิ ารการศึกษา), พธ.ด. (พทุ ธจติ วิทยา) ทปี่ รึกษา พระเทพปริยัตยาจารย์ ,ดร., ผูท้ รงคณุ วุฒิประจาวิยาลัยสงฆบ์ รุ รี มั ย์ พระสนุ ทรธรรมเมธี, ดร., ผู้ทรงคุณวฒุ ปิ ระจาวิยาลัยสงฆบ์ ุรีรมั ย์ พระศรีปรยิ ตั ิธาดา ผอู้ านวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรรี มั ย์ พระมงคลสุตกิจ รองผู้อานวยการฝ่ายบรหิ าร พระครศู รปี ญั ญาวิกรม, ดร., รองผูอ้ านวยการฝ่ายวชิ าการ ผ้ทู รงคุณวฒุ ติ รวจทางตน้ ฉบบั ผศ.ดร.สรเชต วรคามวิชยั ผศ.ดร.ทวีศกั ดิ์ ทองทิพย์ บรรณาธกิ าร นายทพิ ย์ ขันแกว้ กองบรรณาธกิ าร พระครูศรปี ญั ญาวิกรม,ดร., รองผู้อานวยการฝ่ายวชิ าการ พระปลดั วรี ะชนม์ เขมวโี ร,ดร. ประธานหลกั สตู รการสอนพระพุทธศาสนา และจิตวิทยา พระครวู นิ ยั ธรอานาจ พลปญโฺ ญ,ดร., ผู้อานวยการหลกั สตู รพุทธศาสตรมหาบัณฑิต นายรงั สิทธิ วิหกเหนิ ผอู้ านวยการสานักงานวิชาการ ปีทพี่ ิมพ์ ๒๕๖๐ จานวนพิมพ์ ๑๐๐ เลม่ จัดพมิ พ์โดย วิทยาลยั สงฆ์บุรรี มย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ISBN ……………………………………………………………….

คำปรำรภ การสอนธรรมวิทยา (Teaching Dhammology) หรือ หลักการ วิธีการ แนวทางในการสั่งสอนธรรม ของพระพุทธองค์ ในทางพระพุทธศาสนาน้ัน ถือเป็นมรดกทางธรรมอันหาคุณค่าเปรียบหาประมาณไม่ได้เพื่อ เป็นแนวทางในการส่ังสอนมนุษย์เกิดการพัฒนารอบด้าน มีความรู้ คู่คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ซ่ึงสอดคล้องกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีโครงการจัดทาและพัฒนาหลักสูตร เพ่ือการ เรียนรู้พระพุทธศาสนาของมหาวิทยาลัย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเน้ือหารายวิชาให้เป็นที่ยอมรับและใช้ ร่วมกันได้ พัฒนารูปแบบของหนังสือ และตาราให้มีเอกลักษณ์ร่วมกัน สวยงาม คงทน น่าสนใจต่อการศึกษา ค้นคว้า มีเนื้อหาสาระไปพัฒนาสื่อการศึกษาและเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ระบบคลังข้อสอบ พัฒนาบุคลากรและผลงานด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยให้แพร่หลาย และเป็นเวทีเสนอ ผลงานทางวชิ าการของคณาจารย์ของมหาวทิ ยาลยั หนังสือศาสตร์การสอนเล่มนี้ มีเนื้อหาสาระ ๑๐ บท มุ่งหมายให้ศึกษาการสอนหลักธรรมตามหลัก พทุ ธธรรม การจัดหมวดหมขู่ องหลักธรรม การออกแบบการสอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การกาหนด แผนการสอน การใช้ส่ือและเทคโนโลยีช่วยสอน และวิธีการสอน การสอนแบบบูรณาการ การวัดและ ประเมินผลการเรยี นรู้ ขออนุโมทนาขอบคุณอาจารย์ทิพย์ ขันแก้ว อาจารย์ประจารายวิชา ท่ีได้เสียสละเวลาพัฒนาเน้ือหา รายวิชาเล่มน้ีให้เกิดขึ้น อันจะเป็นประโยชน์สมบัติของวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์สืบไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ เล่มนี้คงอานวยประโยชน์เชิงวิชาการด้านพุทธศาสตร์และครุศาสตร์แก่คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และ ประชาชนผูส้ นใจทว่ั ไป พระศรปี ริยตั ิธาดา ผอู้ านวยวิทยาลยั สงฆ์บรุ รี ัมย์

คำนำ การสอนธรรมวิทยา (Teaching Dhammology) หรือ หลักการ วิธีการ แนวทางในการส่ังสอนธรรม ของพระพุทธองค์ รหัส ๒๐๙ ๔๑๗ หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนาและ จิตวิทยาแนะแนว ในฐานะผเู้ ขยี นเป็นผู้รับผดิ ชอบในการบรรยายถวายความรู้แดน่ สิ ิตชั้นปีที่ ๔ เห็นว่ายังขาด หนังสือและตาราเกี่ยวกับด้านนี้ สร้างความยุ่งยากและก่อเกิดความไม่สะดวกในการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน จงึ เกดิ จากแรงบนั ดาลใจและมีความคดิ อยากรวบรวมหนังสอื ดา้ นนี้ เห็นว่ามีความสาคัญต่อนิสิตท่ีเรียนในช้ันปี ท่ี ๔ สาขาวชิ าการสอนพระพุทธศาสนาและจิตวทิ ยาแนะแนวอย่างยิ่ง จึงได้พยายารวบรวมข้อมูลท่ีเกี่ยวข้อง จากตารา งานวิจัย วารสาร วิชาการและเว็ปไซต์ต่างๆ เพ่ือให้นิสิตนักศึกษาและผู้ที่สนใจได้ศึกษา ประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาท่ีเรียน โดยได้นาแนวสังเขปรายวิชามาศึกษาค้นคว้าและจัดรวบรวม เนือ้ หาสาระให้สอดคลอ้ ง กราบขอขอบคุณพระเดชพระคณุ พระศรีปริยัติธาดา ผู้อานวยการวทิ ยาลัยสงฆบ์ ุรีรมั ย์ ทเ่ี มตตาเปดิ โอกาสในการศกึ ษาจดั ทาเน้ือหารายวิชาน้ี เพอื่ เปน็ ประโยชนแ์ กน่ ิสติ นักศกึ ษาและผู้ที่สนใจ ศึกษาค้นควา้ ใช้ เป็นตาราประกอบการเรยี นการสอน มิไดห้ วังผลกาไรทางการค้าแต่อยา่ งไร หวังเป็นเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือประกอบการเรียนรู้ ช่ือ “การสอนแบบโยนิโสมนสิการ”เล่มน้ี จะ อานวยประโยชน์แก่นิสิต นักศึกษา ผู้ที่สนใจ และคณาจารย์ หากท่านผู้อ่านพบเห็นข้อบกพร่องหรือมีคา ชแี้ นะเพอื่ การปรับปรุงให้สมบูรณ์มากย่ิงข้ึน ขอน้อมยินดีรับฟังความคิดเห็นและจะนาไปปรับปรุงแก้ไขพัฒนา เอกสารเล่มนใ้ี หม้ คี วามสมบูรณ์ และมีคุณค่าทางการศกึ ษาต่อไป ดร.ทิพย์ ขนั แก้ว ๑๓ มกรำคม ๒๕๕๙

บท สารบัญ หนา้ คาปรารภ ก คานา ข สารบัญ ค บทท่ี ๑ การสอนหลักธรรมตามหลักพุทธธรรม ๑ ๑.๑ ความนา ๒ ๑.๒ ความหมาย ๓ ๑.๓ หลกั การของพทุ ธธรรม ๔ ๑.๔ หลกั พทุ ธธรรมกับการพัฒนาชีวติ ๖ สรุปทา้ ยบท ๒๐ คาถามทา้ ยบท ๒๑ เอกสารอา้ งอิงประจาบท ๒๒ บทที่ ๒ แนวคดิ ทฤษฎเี ก่ยี วกบั การจดั กจิ กรรม ๒๓ ๒.๑ ความนา ๒๔ ๒.๒ แนวคดิ ทฤษฎเี กยี่ วกับการจัดกิจกรรม ๒๔ ๒.๓ แนวคดิ ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ๓๑ ๒.๔ แนวคดิ เกย่ี วกับการจดั กิจกรรมการสอนวิชาพระพุทธศาสนา ๓๓ สรปุ ท้ายบท ๔๕ คาถามท้ายบท ๔๖ เอกสารอ้างอิงประจาบท ๔๗ บทที่ ๓ การออกแบบกจิ กรรม ๔๘ ๓.๑ ความนา ๔๙ ๓.๒ รูปแบบการสอน ๔๙ ๓.๓ ลักษณะการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ๕๐ ๓.๔ แนวคดิ การจัดกจิ กรรม ๕๑ ๓.๕ แนวทางการจัดกิจกรรม ๕๒ ๓.๖ การวดั ผลและประเมนิ ผล ๕๘ ๓.๗ แนวทางการจัดการเรียนรพู้ ระพทุ ธศาสนา ๖๑ สรุปท้ายบท ๖๓ คาถามท้ายบท ๖๔ เอกสารอ้างอิงประจาบท ๖๕

บทที่ ๔ การกาหนดแผนการสอน ๖๖ ๖๗ ๔.๑ ความนา ๖๗ ๔.๒ ความหมาย ๖๘ ๔.๓ ความสาคัญ ๗๒ ๔.๔ องค์ประกอบหลักของแผนการสอนและแผนการจัดการเรียนรู้ ๗๕ ๔.๕ ข้นั ตอนการจดั ทาแผนการเรียนรู้ ๗๗ สรุปทา้ ยบท ๗๘ คาถามทา้ ยบท ๗๙ เอกสารอ้างอิงประจาบท ๘๐ บทที่ ๕ การใช้ส่ือและเทคโนโลยี ๘๑ ๘๑ ๕.๑ ความนา ๘๒ ๕.๒ ความหมาย ๘๓ ๕.๓ ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ๕.๔ การนาเทคโนโลยมี าใชใ้ นการศึกษา ๘๗ ๕.๕ บทบาทและความสาคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ ๙๐ ๙๑ ตอ่ การบรหิ ารจัดการศึกษา ๙๒ สรปุ ทา้ ยบท คาถามท้ายบท ๙๓ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๙๔ ๙๔ บทที่ ๖ วิธีการสอนแบบตา่ งๆ ๙๘ ๑๐๘ ๖.๑ ความนา ๑๐๙ ๖.๒ รปู แบบการเรียนการสอน ๑๑๒ ๖.๓ รูปแบบการบูรณาการ ๑๑๔ ๖.๔ การสอนแบบศนู ยก์ ารเรียนรู้ ๑๑๕ ๖.๕ การสอนตามแบบแนวพุทธวิธี สรุปท้ายบท ๑๑๖ คาถามท้ายบท ๑๑๗ เอกสารอ้างองิ ประจาบท ๑๑๗ บทที่ ๗ รูปแบบการเรยี นการสอน ๗.๑ ความนา ๗.๒ ความหมาย

๗.๓ กระบวนการเรียนการสอน ๑๒๐ ๗.๔ วธิ ีระบบ ๑๒๙ ๗.๕ องค์ประกอบของการออกแบบการเรยี นการสอน ๑๓๑ สรปุ ทา้ ยบท ๑๓๔ คาถามท้ายบท ๑๓๖ เอกสารอา้ งอิงประจาบท ๑๓๗ บทท่ี ๘ การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๑๓๘ ๘.๑ ความนา ๑๓๙ ๘.๒ ความหมาย ๑๓๙ ๘.๓ จุดมงุ่ หมายการวดั ผลการศกึ ษา ๑๔๑ ๘.๔ หลกั การวัดและประเมินผลการศกึ ษา ๑๔๒ ๘.๕ ความสาคญั การวดั และประเมินผล ๑๔๓ ๘.๖ เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้วดั และประเมนิ ผล ๑๔๗ ๘.๗ การวดั ดา้ นพุทธพิ สิ ัย ๑๕๐ ๘.๘ การวัดด้านจติ พิสัย ๑๕๓ ๘.๙ การวดั ดา้ นทกั ษะพสิ ยั ๑๕๕ ๘.๑๐ การประเมินสภาพจรงิ ๑๕๗ ๘.๑๑ ขัน้ ตอนการวัดและประเมินผล ๑๕๙ ๘.๑๒ วิธีการวัดและตัวอยา่ งเคร่ืองมือ ๑๖๑ ๘.๑๓ การใชป้ ระโยชน์จากผลการประเมนิ ๑๖๒ สรุปทา้ ยบท ๑๖๒ คาถามท้ายบท ๑๖๔ เอกสารอา้ งอิงประจาบท ๑๖๕ บทที่ ๙ เทคนคิ และทักษะการสอน ๑๖๖ ๙.๑ ความนา ๑๖๗ ๙.๒ ความหมาย ๑๖๗ ๙.๓ รูปแบบการบูรณาการ ๑๖๙ ๙.๔ แนวทางการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ ๑๗๑ ๙.๕ ลักษณะการสอนแบบบูรณาการ ๑๗๓ ๙.๖ ข้นั ตอนการจัดการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ ๑๗๔ สรุปทา้ ยบท ๑๗๖ คาถามท้ายบท ๑๗๗ เอกสารอา้ งอิงประจาบท ๑๗๘

บทท่ี ๑๐ นวตั กรรมด้านการเรียนการสอน ๑๗๙ ๑๐.๑ ความนา ๑๘๐ ๑๐.๒ การออกแบบการเรยี นการสอนแบบย้อนกลับ ๑๘๐ ๑๐.๓ หลักการออกแบบการเรยี นการสอนแบบย้อนกลับ ๑๘๒ ๑๐.๔ รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนพื้นฐานจากทฤษฎีการสรา้ งความรู้ ๑๙๑ สรุปทา้ ยบท ๑๙๓ คาถามทา้ ยบท ๑๙๔ เอกสารอ้างองิ ประจาบท ๑๙๕ บรรณานุกรม ๑๙๖

บทท่ี ๑ การสอนหลกั ธรรมตามหลกั พุทธธรรม วัตถุประสงค์การเรียนร้ปู ระจาบท เมอื่ ได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทนแี้ ลว้ ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายหลักการของพทุ ธธรรมได้ ๒. อธิบายหลกั พุทธธรรมกับการพัฒนาชวี ิตได้ ขอบขา่ ยเน้อื หา  หลักพทุ ธธรรม  หลักพุทธธรรมกับการพัฒนาชวี ติ

การสอนธรรมวิทยา ๒ ๑.๑ ความนา พระพุทธศาสนามีหลักคาสอนที่เหมาะแก่จริตนิสัยของบุคคล ในการฝึกฝนพัฒนาตนเอง ในหลาย ระดับ คือ ต้ังแต่ในระดับศีลธรรม กุศลกรรมบถ และในระดับสัจธรรมช้ันสูง อันหมายถึง มรรคมีองค์ ๘ ในอริยสัจ ๔ ประการ๑ ท้ังนี้เพ่ือพัฒนาฝึกฝนอบรมปุถุชนซ่ึงมีชีวิตที่ระคนอยู่ด้วยความอยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ให้มีความสามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข มีสัมมาชีพ รู้จักการดาเนินชีวิต ตามมรรควิธีก็ด้วยการพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของตนตามแนวทางพระพทุ ธศาสนา ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑.กายภาวนา คือ การพัฒนาฝึกฝนอบรมกาย หมายถึง พัฒนาอินทรีย์ทั้งห้า ได้แก่ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ให้มีอนิ ทรีย์สงั วร ความสารวมในอินทรยี ์ รู้จักระมัดระวังรักษาตนไม่ให้ก่อโทษทางกาย และต้องรู้จักปรับ ตนเองให้เข้ากบั สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพที่เหมาะสม ๒.สีลภาวนา คือ การพัฒนาด้านศีล ความประพฤติเรียบร้อยดีงาม มีระเบียบวินัย มีกติกาทางสังคม ร่วมกัน อย่างน้อยท่ีสดุ ในระดับชาวบา้ นก็คือศลี ห้าขอ้ เพอ่ื ปูองกันความเดือดร้อนเสียหายแก่คนอ่ืน การไม่ล่วง ละเมิดในสิทธิของคนอื่น และให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างเก้ือกูล รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศชาติ ไวไ้ ด้ ๓.จิตตภาวนา คือ การฝึกฝนอบรมจิตใจให้มีความม่ันคง เข้มแข็ง มีความเจริญไพบูลย์ด้วยคุณธรรม ทั้งปวง เช่น ฝึกฝนตนให้มีความรัก ความเมตตาต่อสรรพสัตว์ พัฒนาจิตใจของตนให้มีความสงสารอยากจะ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ท่ีลาบาก กาลังประสบกับความทุกข์นานาประการอยู่ในสังคมยุคปัจจุบัน และฝึกฝน จติ ใจของตนให้มคี วามผอ่ งใส เบกิ บาน ดาเนินชีวิตดว้ ยความสุขใจ ๔.ปัญญาภาวนา คือ การพัฒนาฝึกฝนอบรมตน จากการได้ศึกษา เล่าเรียน การสดับตรับฟังมามาก และการลงมือปฏิบัตติ ามทฤษฎีที่ศึกษามาแล้วนั้น ให้เกิดประโยชน์ต่อตน และคนอื่น๒ ส่วนปัญญาในระดับสูง หมายถึง การรตู้ ามสภาพของสังขารทงั้ หลายที่มาปรุงแต่งกันเข้า แล้วรู้จักละปล่อยวางสังขารเหล่าน้ันเสียด้วย ปัญญา คือ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) และสัมมาสังกัปปะ (ความดาริชอบ) โดยมีเหตุปัจจัยให้เกิด ๒ ทาง คอื ปัญญาที่เกิดจากผอู้ ืน่ ชกั จูง การรบั ฟังจากส่อื ต่างๆ บุคคลที่เป็นกัลยาณมิตร และการใคร่ครวญด้วยปัญญา ของตนเอง ปัญหาในปัจจุบันที่เป็นเร่ืองหนักใจแก่สังคมไทยท่ัวไป ไม่น้อยไปกว่าปัญหาด้านอื่นๆ น่ันคือ เมื่อโลก มีความเจริญด้านวัตถุมากยิ่งข้ึนเท่าใด ความเจริญด้านจิตใจของมนุษย์ในสังคมกลับมีความเสื่อมถอยลง เพราะความนิยมในวัตถุ จนเรยี กได้ว่า คนในปัจจุบันตกอยู่ภายใต้อานาจของวัตถุนิยมก็ว่าได้๓ เพราะแทบไม่มี กิจกรรมใดๆ ในโลกนี้ ซึ่งจะไม่อิงอาศัยส่ิงอานวยความสะดวกด้านวัตถุเลย อย่างเช่น เครื่องอานวยความ สะดวกด้านสื่อสาร มีโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง เป็นต้น แต่เมื่อ วัตถุเจริญก้าวหน้าไปเท่าใด ด้านจิตใจของมนุษย์ก็สับสนวุ่นวายมาเป็นเท่าตัว เพราะการไม่สามารถจะพัฒนา ตนให้รู้ทันต่อสภาพความจริง จึงตกเป็นทาสวัตถุเหล่านั้นได้ง่าย และยังทาให้เกิดปัญหาท่ีตามมาต่างๆ คือ การบชู าวัตถุเงินทอง การบูชาคนมีฐานะร่ารวย การบูชาคนมีอานาจ คนสมัยนี้ชอบความสุขทางกาย ทางเน้ือ ๑ ส.ม.(บาล)ี ๑๙/๑๖๕/๕๒๘ ๒ อง.ปญฺจก.(บาล)ี ๒๒/๗๙/๑๒๑ ๓ พทุ ธทาสภิกข,ุ บางแงม่ มุ ของกามในทัศนะพุทธทาสภกิ ข,ุ (กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พ์สุขภาพใจ, ๒๕๔๒), หนา้ ๔๕ - ๔๗.

การสอนธรรมวิทยา ๓ หนัง ความสุขปัจจุบันเฉพาะหน้า๔ โดยไม่ได้มุ่งหวังท่ีจะพัฒนาตนให้อิสระจากเรื่องเหล่านี้ มีแต่จะแสวงหา เพิม่ เติมไม่มคี วามอม่ิ แม้พระพุทธองค์ ก็ตรัสเตือนไมใ่ ห้เพลดิ เพลินดว้ ยอานาจแหง่ ตัณหาความอยาก ดังตรัสไว้ วา่ โลกพรอ่ งอยเู่ ปน็ นิตย์ ไมร่ ู้จักอ่มิ เปน็ ทาสแหง่ ตณั หา๕ ๑.๒ ความหมาย พุทธธรรม หมายถึง หลักสารัตถะธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้า ท่ีตรัสไว้ดีแล้ว กล่าวคือ หลักธรรมที่ แสดงสาระแห่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตตนและสังคม ให้มีความเจริญงอกงามทั้งในด้านพฤติกรรมที่แสดงออก ทางกาย วาจา ด้านจิตใจและปัญญา๖ คาว่า “พุทธธรรม” หรือ “พระธรรม” คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้าน้ัน มีมากมายถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์๗ เกยี่ วกับความจริงตามธรรมชาติของมนุษยท์ มี่ ที ั้งความทกุ ข์ และ วธิ กี ารดบั ทุกข์ คาว่า “หลักพุทธธรรม” ในท่ีนี้หมายถึง หลักธรรม คาสอน ท่ีเชื่อกันว่า เป็นผลแห่งการค้นคว้า เป็นภมู ิรู้ ภมู ปิ ญั ญา ของพระพทุ ธองค์ ทีถ่ ูกถา่ ยทอดสืบตอ่ มาเปน็ เวลาไมน่ อ้ ยกวา่ ๒๕๕๐ ปี แลว้ และได้ชื่อว่า เปน็ ภูมปิ ญั ญาโลก เป็นภมู ิปัญญาของมนษุ ยชาติ เปน็ มรดกโลก ทห่ี าคา่ มิได้๘ วิกิพีเดียกล่าวว่า “พุทธธรรม หรือ พระธรรม หมายถึง ธรรม ซ่ึงพระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนาออก เผยแผ่ หรือคาสอนของพระพุทธเจ้า เก่ียวกับความจริงตามธรรมชาติของทุกข์และ วิธีการดับทุกข์ พุทธธรรม ของพระพุทธเจ้านั้นแต่เร่ิมสืบทอดกันด้วยวิธีท่องจาแบบปากต่อปาก สมัยต่อมาจึงได้มีการบันทึกไว้ เป็นตัวอักษร คัมภีร์ท่ีบันทึกพุทธธรรมน้ัน เรียกว่า พระไตรปิฎก และมีคาอธิบายจัดไว้เป็นหมวดคัมภีร์ เรยี กช่อื ต่างๆ อาทิ อรรถกถา, ฎีกา, อนุฎีกา เป็นต้น๙ ธรรม ทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงค้นพบนนั้ คาว่า“คน้ พบ” ย่อมหมายถึง “ธรรม” เป็นสิ่งที่มีอยู่เดิม มีมาก่อน ไม่ได้เกิดข้ึนพร้อมพระพุทธองค์ แต่เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นก่อนท่ีพระพุทธองค์จะตรัสรู้ อาจพอกล่าวได้ว่า การเรียนรู้ ธรรม ก็คือการรับรู้ธรรมดาโลก เรียนรู้ส่ิงท่ีเป็นปกติที่มีบ่อเกิดที่มาว่ามาอย่างไร และไปอย่างไร เพราะหลักธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสสอนไว้กว่าสองพันปีที่ผ่านมาน้ัน เป็น “สัจธรรม” เพราะ“คนเราจะล่วงพ้นความทุกขไ์ ด้ เพราะความเพยี รในการทาความดี”ผู้ใส่ใจในธรรมเท่านนั้ ถงึ จะรู้ถ่องแท้ ๔ พระราชวรมนุ ี (ประยทุ ธ์ ปยตุ โฺ ต), การศึกษาของคณะสงฆป์ ัญหาทรี่ อทางออก, กรุงเทพมหานคร : มลู นธิ ิโกมล คมี ทอง, ๒๕๒๙), หน้า ๔ ๘ – ๔๙. ๕ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๐๕/๓๖๕ ๖ พระมหาสมชาย สิรจิ นโฺ ท (หานนท)์ , พทุ ธธรรมเพือ่ การพัฒนาคุณภาพชีวติ ตามแนวทางของพระเทพวรคุณ (สมาน สเุ มโธ ), ปริญญาพุทธศาสตรมหาบณั ฑติ บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๗, หน้า ๖. ๗ THE PARLIAMENTARY HUMAN RESOURCES DEVELOPMENT PAMPHLETS. “พทุ ธธรรมกับการ ปฏิบตั งิ านราชการ”.๒๕๕๐. ๘ สภุ าคย์ อนิ ทองคง, การใชห้ ลกั พทุ ธธรรมนาการวิจยั และพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสสู่ ขุ ภาพองค์ รวม, (บทความวจิ ัย), ศูนยเ์ รยี นรชู้ มุ ชนภาคใต้ (ศรช.), ๒๕๕๐. ๙ พุทธธรรม, (ออนไลน)์ เข้าถึงจาก http://th.wikipedia.org/wiki/, สืบค้นเมอ่ื ๑๖ กนั ยายน ๒๕๕๒.

การสอนธรรมวิทยา ๔ ทางผู้เขียนก็ขอยกความหมายของพุทธธรรมในแง่ความคิดของนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาจาก หนังสอื พมิ พ์มตชิ นรายวนั จากหวั ขอ้ พุทธธรรม : คู่มอื มนุษย์ศตวรรษที่ ๒๑๑๐ดังน้ี “พุทธธรรม เป็นคาอธิบายคาสอนของพุทธศาสนาท่ีสมบูรณ์ท่ีสุดในโลกและเป็นวิชาการท่ีสุด ในบรรดางานเขยี นทางพระพทุ ธศาสนาในเมืองไทยในปจั จบุ นั น้ี…”๑๑ “พุทธธรรมน้ัน เป็นการรวบรวมคาสอนของพระพุทธศาสนาให้เป็นระบบอย่างท่ีคนในปัจจุบันเข้าใจ ได้ง่าย…เป็นหนังสือที่สาคัญท่ีสุดในประวัติศาสตร์ของคนชาติไทยทีเดียว ในพระพุทธศาสนาด้วยทั้งหมด และท้งั โลกดว้ ยหนังสือพทุ ธธรรมควรจะได้ Nobel Prize…” “พุทธธรรม เปน็ หนังสอื เล่มเดียวท่ีแสดงถึงหลักธรรมในพระพุทธศาสนาได้อย่างลุ่มลึกเป็นระบบและ รอบด้านทีส่ ดุ เท่าทีเ่ คยมใี นภาษาไทย” ๑.๓ หลักการของพุทธธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต)๑๒ พุทธธรรมมีหลักการว่าไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติข้ึนหรือไม่ ก็ตามความจริงก็ดารงอยู่ตามธรรมดาของมันอย่างเป็นกลางๆ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คือ ค้นพบความจริงนั้น แล้วนามาเปิดเผยไว้ สาระของความจริงน้ีก็คือ (ความเป็นไปตาม) ธรรมดาแห่งเหตุปัจจัยหรือกระบวนธรรม แห่งเหตุปัจจัย ผู้ที่มองส่ิงท้ังหลายตามท่ีมันเป็น ไม่ใช่มองตามท่ีตนอยากหรือไม่อยากให้มันเป็น จึงจะเข้า ใจความจรงิ ทเ่ี ป็นกลางน้ีได้ เมอ่ื เขา้ ใจธรรมทเี่ ปน็ กลางน้ีแล้ว ก็ย่อมมองเห็นความจริงอย่างกว้างๆ ครอบคลุม ท่ัวไปท้ังหมด มีทัศนะเปิดกว้าง หลุดพ้นเป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยหลุดพ้นท้ังทางจิต คือจิตหลุดพ้นจากส่ิง บีบค้ันครอบงาที่เรียกว่ากิเลสและความทุกข์ กลายเป็นจิตที่ปลอดโปร่ง เบิกบาน เป็นสุขและด้านปัญญา คือ หลุดพ้นด้วยรู้เท่าทันธรรมดา แล้วมองเห็นตัวความจริงท่ีล้วนๆบริสุทธ์ิ ไม่มีกิเลสเคลือบแคลงหรือทาให้ เอนเอียงและรู้ชัดแจ้งท่ีความจริงโดยตรง ไม่ต้องรู้ผ่านใครๆหรือรู้ตามท่ีใครบอกอีกต่อไป ลักษณะสาคัญ ของหลกั พทุ ธธรรม พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต)๑๓ ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะของพุทธธรรม สรปุ ได้ดังนี้ ๑.คาสอนเป็นกลาง ปฏิบัติสายกลาง หรือลักษณะที่เป็นสายกลาง ไม่สุดโต่งในทางความคิดหรือ สุดโต่งในทางปฏิบัติตน เห็นความสาคัญทางด้านจิตใจ และทางด้านร่างกายซึ่งสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้ จึงวางข้อปฏิบัติที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลางหรือ ข้อปฏิบัติท่ีเป็นสายกลาง (มรรคมีองค์ ๘) คือความพอดีและทัศนะเก่ียวกับ สัจธรรม ก็เป็นกลาง ความจริงท่ีเป็นกลาง ตามเหตุปัจจัยไม่ขึ้นกับใคร (เรียกวา่ ปฏจิ จสมุปบาท) ๒.พุทธธรรมมีหลักการเป็นสากล หรือสอนหลักความจริงที่เป็นสากล ความจริงเป็นสิ่งที่มีอยู่ตาม ธรรมชาติ คือธรรมดาของสง่ิ ทั้งหลายเปน็ เช่นน้ันเอง เรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติ ในทางปฏิบัติสอนให้คนมีเมตตา กรุณาอย่างเปน็ สากล ชาวพุทธต้องมีความเมตตากรุณาตอ่ สรรพสัตว์ท่ัวกนั หมดไม่เลือกพวกเขาพวกใคร ๑๐ ธนภณ สมหวัง, พทุ ธธรรม : คูม่ ือมนุษยศ์ ตวรรษท่ี ๒๑, หนังสอื พิมพม์ ตชิ นรายวนั ฉบบั ประจาวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๔๓. ๑๑ ปรีชา ช้างขวญั ยืน, ธัมมวัจนโวหารไทย, (รายงานการวิจัย), (กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ), ๒๕๓๕ หนา้ ๓๔. ๑๒ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พุทธธรรม. ฉบบั พิมพ์ครง้ั ที่ ๔,หนา้ ๙๒๓. ๑๓ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), รู้หลักก่อนแลว้ ศึกษาให้ได้ผล, สานกั งานคณะกรรมการศึกษาขนั้ พื้นฐาน, ๒๕๔๗, หน้า ๗-๖๗.

การสอนธรรมวทิ ยา ๕ ๓.พุทธธรรมให้ความสาคัญของสาระ (ธรรม) และรูปแบบ (วินัย) ธรรมวินัยจึงเป็นช่ือหนึ่งของพุทธ ศาสนา ต้องมีทั้งสองอย่าง ธรรมเป็นหลักความจริง ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมดาของมัน และเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษา ปฏิบัตสิ ามารถเขา้ ถึงได้ สว่ นวนิ ยั เป็นกฎเกณฑ์ ขอ้ บังคับ กตกิ า หรือขอ้ บัญญตั ิที่กาหนดข้ึนเพ่ือให้คนในสังคม ประพฤติปฏิบตั ิ เพอื่ ความเจรญิ และความสงบสขุ วินัยเปรยี บไดก้ ับศลี เชน่ ศลี ๕ เป็นต้น ๔.พุทธธรรมสอนหลักกรรม พระพุทธศาสนายึดเอาการกระทาหรือความประพฤติเป็นเคร่ืองจาแนก คน ไม่แบ่งแยกด้วยชาติกาเนิด ผิวพรรณ เน้นการรับผิดชอบต่อการกระทาของตน ไม่ซัดทอดส่ิงภายนอก มีการสารวจตนเองเป็นเบ้ืองต้นก่อน นอกจากนี้สอนหลักกรรมให้รู้จักพ่ึงตนเอง ไม่ฝากไว้กับโชคชะตากรรม สอนคูก่ ับความเพียร ความสาเร็จเกดิ ขึน้ ได้ จากความเพยี ร และจากการกระทาตามทางของเหตุและผล ๕.สอนให้มองความจริงโดยแยกแยะจาแนกครบทุกด้านทุกมุม ตัวอย่างเช่น มีผู้ถามเรื่อง การพูดว่า สิ่งใดควรพูด ส่ิงใดไม่ควรพูด พระพุทธองค์ตรัสแยกแยะให้ฟังว่า “วาจาใดไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกใจ ผู้ฟัง พระองค์ไม่ตรัส วาจาใดเป็นคาจริง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ถูกใจผู้ฟัง พระองค์ไม่ตรัส วาจาใดเป็นคาจริง เป็นประโยชน์ ไม่ถูกใจผู้ฟัง พระองค์เลือกกาลที่จะตรัส วาจาใดไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ ถูกใจผู้ฟัง พระองค์ไม่ตรัส วาจาใดเป็นคาจริง ไม่เป็นประโยชน์ ถูกใจผู้ฟัง พระองค์ไม่ตรัส และวาจาใดเป็นคาจริง เป็นประโยชน์ ถูกใจผู้ฟัง พระองค์เลือกกาลที่จะตรัส”ลักษณะท่าที่ของการสนองตอบหรือปฏิกิริยา ต่อสิ่ง ท้ังหลายแบบชาวพุทธ ต้องมองอยา่ งวเิ คราะห์ แยกแยะ จาแนก แจกแจง ครบทุกด้าน ๖.หลกั การสาคญั ของพทุ ธศาสนาคอื มงุ่ อิสรภาพ ดงั พทุ ธพจน์ว่า “ มหาสมทุ รแมจ้ ะกว้างใหญ่เพียงใด ก็ตาม แต่น้าในมหาสมุทรที่มากมายน้ัน มีรสเดียวคือรสเค็มฉันใด ธรรมวินัยของพระองค์ท่ีสอนไว้มากมาย ทั้งหมดกม็ รี สเดยี ว คือวมิ ุตริ ส ไดแ้ ก่ ความหลดุ พน้ จากทุกขแ์ ละปวงกิเลส ฉันนน้ั ” ๗.เป็นศาสนาแห่งปัญญา ดังพุทธพจน์ว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีปัญญาเป็นยอดย่ิง” หลักปัญญา สาคัญ เพราะปัญญาเป็นตัวตัดสินในการเข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา โดยให้ความสาคัญแก่ ศรัทธา ศลี สมาธิ ว่าเปน็ ปัจจยั ทข่ี าดไมไ่ ด้ เพ่อื เข้าถึงจุดหมาย โดยมีปัญญาเป็นตัวตัดสินสูงสุด นั่นคือ ศรัทธา ก็ขาด ปัญญาไม่ได้ ศีล ก็เพ่ือประคับประคองจนเกิดปัญญา สมาธิ ก็ต้องนาไปสู่ปัญญา มิฉะนั้นจะหลงผิด หลงทาง ปัญญา จึงเป็นคุณธรรมสาคัญ เป็นเอก ปัญญาในข้ันสูงสุดคือปัญญาในข้ันท่ีรู้เท่าทันสัจจธรรม เรียกว่า วปิ ัสสนาปญั ญา ๘.สอนหลักอนัตตา พระพุทธศาสนาประกาศหลักสาคัญเกี่ยวกับความจริงของสิ่งท้ังหลาย หรือของสภาวธรรมต่างๆ คือ หลักอนัตตา เป็นหลักใหม่ท่ีโลกไม่เคยค้นพบมาก่อน ความยึดติดในอัตตาหรือ ตวั ตนเป็นสง่ิ ฝังลกึ แนบแน่นในจติ ใจมนษุ ย์ แตแ่ ทจ้ รงิ ผู้มปี ัญญาเหน็ ว่าสง่ิ ทั้งหลายทด่ี ารงอยู่เป็นไปตามธรรมดา ของมันไม่มใี ครเปน็ เจ้าของ ไมส่ ามารถบงั คับให้เปน็ ไปตามใจปรารถนาได้เลย ๙.การมีทัศนคติท่ีมองส่ิงท้ังหลายตามความสัมพันธ์แห่งเหตุและปัจจัย เชื่อมโยงกัน อิงอาศัยกัน เป็นไปตามธรรมดาแห่งเหตปุ ัจจัยนั่นเอง ๑๐.ยนื ยนั ในศกั ยภาพสูงสุดของมนุษย์ เช่ือว่ามนุษย์ประเสริฐด้วยการฝึกฝนพัฒนา เม่ือพัฒนา แล้วก็ เป็นผู้ประเสริฐสุด ดังพุทธพจน์ว่า ผู้ที่ฝึกแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเม่ือฝึกดีแล้วมนุษย์ก็จะ ประเสรฐิ กว่าเทพทงั้ หลาย พระพทุ ธองค์ฝึกพระองคด์ ีแลว้ แม้เทพทั้งหลายกน็ ้อมนมสั การ ๑๑.เปน็ ศาสนาแหง่ การศึกษา นาเอาการศึกษาเข้ามาเป็นสาระสาคัญ เป็นเนื้อแท้ของการดาเนินชีวิต หลักปฏบิ ตั ทิ งั้ หมดในพระพุทธศาสนาเรียกว่า มรรค หมายถึงทางดาเนินชีวิต ดังนั้นวิถีชีวิตของชาวพุทธ คือ การดาเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘ เรียกย่อว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา ในท่ีสุดจะบรรลุจุดหมายแห่ง ชีวติ ทดี่ ีงาม เป็นมนุษยท์ ่สี มบรู ณ์

การสอนธรรมวทิ ยา ๖ ๑๒.ให้ความสาคัญท้ังแก่ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในได้แก่ โยนิโสมนสิการ คือ การคิดใคร่ครวญในธรรมโดยแยบคาย ลึกซ้ึง อย่างผู้มีปัญญา คือรู้จักคิด คิดเป็น ปัจจัยภายนอก ได้แก่ กลั ยาณมติ รทีด่ ี มีครูอาจารยท์ ด่ี ี มพี ่อแม่ท่ีดี ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เป็นตัวอย่างที่ดี มีแหล่งความรู้ มีส่ือมวลชนท่ี ให้สติปญั ญา ๑๓.สอนให้ตื่นตวั ดว้ ยความไมป่ ระมาท พระพุทธเจา้ ทรงเน้นย้า อัปปมาทธรรม หรือความไม่ประมาท ถึงกับตรัสเป็นปัจฉิมวาจา คือพระดารัสสุดท้ายก่อนจะปรินิพพาน ว่า “สังขารท้ังหลายมีความเส่ือมสลายไป เปน็ ธรรมดา เธอทั้งหลายจงยงั ความไมป่ ระมาทให้ถึงพร้อมเถดิ ” ๑๔.สอนให้เห็นทุกข์ แต่เป็นสุข นั่นคือพระพุทธศาสนาสอนให้มองเห็นความทุกข์ แต่ให้ปฏิบัติด้วย ความสุข (ทกุ ข์ สอนไวใ้ นหลักไตรสิกขา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และ ทุกข์ ในหลักอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นโิ รธ มรรค) เมอื่ ความทุกขม์ ีอย่จู ริง พระพทุ ธศาสนาก็สอนใหเ้ ผชญิ หนา้ ความทุกขน์ น้ั ไมเ่ ลี่ยงหนี แต่ให้มองดู ทกุ ขน์ ัน้ ดว้ ยความร้เู ทา่ ทัน จึงทาให้มจี ติ ใจปลอดโปรง่ เปน็ อสิ ระ มีปัญญา ไม่ถกู ทกุ ข์บีบคัน้ ๑๕. มุ่งประโยชน์สุขเพื่อมวลชน พระพุทธเจ้าทรงตรัสหลักนี้เสมอ เมื่อเริ่มประกาศพระศาสนาทรง ตรัสแก่ภิกษุว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงจาริกไป เพ่ือประโยชน์เก้ือกูลแก่ชนท้ังหลาย เพื่อความสุขแก่ ชนทง้ั หลาย เพอ่ื อนุเคราะหช์ าวโลก” ดังนน้ั การดาเนนิ ชีวติ ของชาวพทุ ธทัง้ หลายจงึ ควรดาเนนิ ตามพระดารัสน้ี คือ การทาประโยชน์แก่ผู้อ่ืนและแก่สังคม เมื่อทาความเข้าใจหลักพุทธธรรมที่สาคัญดังกล่าวแล้ว จะทาให้ สามารถเข้าใจแนวทางการดาเนนิ ชวี ติ ตามแบบวถิ ีพุทธไดก้ ระจ่างชัดเจนย่งิ ขึน้ ลักษณะสาคัญอีกประการ คือ ในพระพุทธศาสนามีส่ิงสาคัญคือ “ข้อปฏิบัติ” อันเป็นทางสายกลาง หรืออริยมรรคมีองค์ ๘ ซ่ึงผู้ใดได้ปฏิบัติตามแล้วก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลต้ังแต่เป็นพระโสดาบัน จนถึงเป็นพระอรหันต์หมดกิเลสเข้านิพพานได้ บุคคล ๔ คู่ ๘ จาพวกน้ีทาให้พุทธศาสนาต่างจากศาสนาอ่ืน อยา่ งชัดเจน โดยจะเหน็ ได้จากในมหาปรินพิ พานสูตร ทีพ่ ระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทรงตรสั แกส่ ภุ ัททปรพิ าชกดังนี้ สุภัททปริพาชกกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่าใด เป็นเจ้าหมู่ เป็นเจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็นอันมากสมมติว่าเป็นคนดี คือ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ อชิตเกสกัมพละ ปกุธกัจจายนะ สัญชยเวลัฏฐบุตร นิครณฐนาฏบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดตรัสรู้แล้ว ตามปฏิญญาของตน หรือท้ังหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบางพวกไม่ได้ ตรัสรู้” “อย่าเลยสุภัททะข้อน้ันหยุดไว้ก่อน” …พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนสุภัททะ อริยมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ หาไม่ได้ในธรรมวินัยใด แม้สมณะที่ ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ ที่ ๔ ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยน้ัน สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยใด แม้สมณะท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ ท่ี ๔ หาได้ในธรรม วินัยนั้น สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะท่ี ๑ ท่ี ๒ ท่ี ๓ ที่ ๔ ก็มีอยู่ ในธรรมวินัยน้ี ลัทธิอื่นๆ ว่างจากสมณผู้รู้ สุภัททะ ก็ภิกษุเหล่าน้ี พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่าง จากพระอรหันต์ทง้ั หลาย” จากพุทธพจน์บทนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าจะหาสมณะที่ ๑ ๒ ๓ และ ๔ ได้ในคาสอนท่ีมีอริยมรรคมีองค์ ๘ เท่าน้ัน ซงึ่ ก็คอื พุทธศาสนาน่ันเอง ขอ้ นเี้ องจงึ เป็นลกั ษณะสาคญั แห่งหลกั พุทธธรรมอกี ประการหน่งึ ๑.๔ หลักพุทธธรรมกบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิต การจะพฒั นาฝึกฝนอบรมตนตามหลกั พทุ ธธรรม มคี วามม่งุ หมายใหผ้ ู้ฝึกฝนพัฒนาน้ัน ได้รับประโยชน์ สุขตั้งแต่ข้ันต้นในการลงมือปฏิบัติ กล่าวคือ เริ่มแต่การรู้จักปฏิบัติตนที่ดีต่อสภาพส่ิงแวดล้อมภายนอก

การสอนธรรมวิทยา ๗ ซ่งึ เรียกว่าความสารวมอนิ ทรียท์ ้งั หลาย มีสารวมตา สารวมหู สารวมจมูก สารวมล้ิน สารวมกาย และสารวมใจ เพื่อจะได้ใช้เป็นพน้ื ฐานของศีล คือ เจตนางดเวน้ จากความชัว่ ทางกาย และเจตนางดเว้นจากความช่ัวทางวาจา เรียกว่าพัฒนาด้านความประพฤติ หรือพัฒนาด้านพฤติกรรมที่ดี อันเป็นช่องทางให้จิตใจพัฒนาและช่วยให้ ปัญญางอกงาม อย่างน้อยพึงพัฒนาพฤติกรรมที่ไม่เบียดเบียน แต่เป็นพฤติกรรมท่ีสร้างสรรค์เก้ือกูล โดยหลัก พทุ ธธรรมมสี ่วนประกอบหรอื การพฒั นาคุณภาพชีวติ ดังนี้ ๑.๔.๑ ความต้องการพน้ื ฐานของมนุษย์ทางกายภาพ ความตอ้ งการทางกาย และจิตใจ เปน็ เหตปุ ัจจยั ให้มกี ารพฒั นามนุษย์ให้ดีขึ้นหรือ เลวลงได้ เนื่องจาก ความตอ้ งการน้นั เขา้ ไปสมั พนั ธ์เก่ยี วขอ้ งกบั สิ่งแวดลอ้ ม ทงั้ ภายในและภายนอก ๑. ความต้องการทางร่างกาย หมายถึง ความต้องการปัจจัย ๔ คือ ความต้องการ ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ เคร่ืองน่มุ หม่ อาหาร ทอ่ี ยอู่ าศยั และยารักษาโรค ๒. ความต้องการทางสังคม หมายถึง ความปรารถนาสร้างหลักฐานทางครอบครัว หลักฐาน ในหมู่คณะ ในชาติ และกว้างออกไปถึงความต้องการผูกพันระหว่างชาติ เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันชาติ เปน็ ต้น ๓. ความต้องการทางจิตใจหรือทางศาสนา หมายถึง ความจาเป็นต้องมีศีล คือ การละเว้น จากความชั่ว และมีธรรม คือ การประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม อันเป็นรากฐานของกิจการท้ังปวง และต้องการให้ หลักธรรมทางศาสนาเป็นเครื่องมือพัฒนาคน เพื่อควบคุมคนให้มีความประพฤติท่ีดีงามแก่สังคมของตน ความกลัวเป็นพื้นฐาน เช่น ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่างท่ีอธบิ าย ไม่ได้ก็ให้ความสาคัญ เคารพนับถือ บูชา เช่น บูชาตน้ ไม้ ภเู ขา เทพเจา้ ต่าง ๆ เปน็ ต้น ๑.๔.๒ ความหมายและความสาคญั ในการพฒั นาชวี ติ การนาหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวัน ซ่ึงมีความสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิง ดว้ ยเหตุผลดังทก่ี ล่าวมาแล้วข้างต้นน้นั เพ่ือจะไดพ้ ัฒนาตนเองใหส้ ามารถปฏิบัติหน้าที่กิจกรรมได้อย่างปกติสุข และยังไดช้ อ่ื ว่าเป็นผปู้ ฏบิ ตั เิ พอ่ื ความเปน็ ผ้อู ยู่ใกล้นพิ พานยง่ิ ขนึ้ อีกดว้ ย นับเป็นการปฏิบตั ทิ ไี่ ม่เส่ือมถอย ทาตน ให้ตั้งอยู่ในศีลเป็นเบ้ืองต้นก่อน รู้จักวิธีคุ้มครองรักษาอินทรีย์ รู้จักประมาณในการบริโภค และรู้จักเพิ่มพูนส่ัง สมบาเพ็ญความเพียรเป็นต้น เพื่อทาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะถ้ายังไม่ส้ินกิเลสอาสวะ มนุษย์ กจ็ าเป็นต้องพฒั นาตน จนกระทงั่ บรรลถุ งึ ปรมัตถประโยชนส์ งู สุด คือ ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จาก ความเป็นปุถุชนสู่อริยะชน ซึ่งสามารถสละโลกีย์วิสัยเสียได้ แล้วย่อมไม่มาเกิดสู่ภพใดๆ อีกต่อไป จัดเป็น ผูพ้ ัฒนาตนดีแล้วและเปน็ แสงสว่างของตน คือ สรา้ งทีพ่ ึ่งถาวรอย่างที่ใครๆ ก็ทพ่ี ่ึงอนั หาไดย้ ากน้ีทาให้ไม่ได้เลย ๑.๔.๓ วัตถปุ ระสงคใ์ นการพัฒนาคุณภาพชวี ติ วตั ถปุ ระสงคห์ ลัก กเ็ พอ่ื ใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั พัฒนาการของมนุษย์ จากความอยู่รอดด้วย กิเลส มาสู่ความเป็นอยู่ด้วยปัญญาน้ี นอกจากเป็นหลัก และเป็นประโยชน์ในการพัฒนาตนเองแล้ว ยังทาให้ เกดิ ความกรณุ าตอ่ ผู้อน่ื ดว้ ย คอื ทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจและเหน็ อกเหน็ ใจเพื่อนมนุษย์ คิดจะช่วยเหลือ ตลอดจน ช่วยให้สามารถวางตนเปน็ กลั ยาณมติ ร สามารถคิดหาวิธีช่วยแก้ไขปัญหา วัตถุประสงค์ของการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตทด่ี ี คือ เพื่อฝึกฝนพฒั นาคนใหร้ ู้จักปฏบิ ัติตอ่ ชีวติ หรอื ดาเนินชีวิตอย่างถูกต้องมีความสุข ให้รู้จักแก้ปัญหา ชีวิตและหาทางออกจากความทุกข์ได้ด้วยดี โดยไม่ก่อให้เกิดโทษพิษภัยแก่ผู้อื่นและแก่สังคม ให้รู้จักแสว งหา และ เสพความสุขทางวัตถุอย่างถูกต้อง ปราศจากโทษพิษภัย ไร้การเบียดเบียด และพร้อมที่จะใช้สิ่งอานวย ความสุขนั้น ๆ ในทางท่ีเก้ือกูลแก่ ผู้อื่นและสังคม และให้พร้อมและมีความสามารถบางอย่าง ในการ ที่จะเอื้ออานวยความสุขแก่ผู้อ่ืน และแผ่ขยายความสุขออกไปในสังคมทั้งน้ีวัตถุประสงค์แท้จริง ก็คือ เพ่ือให้ พึง่ ตนเองได้ โดยไม่ตอ้ งข้ึนต่อวัตถุภายนอกทุกอย่างไป จะพึ่งวัตถุภายนอกในกรณีท่ีจาเป็นต่อสุขภาพ อนามัย

การสอนธรรมวิทยา ๘ ความจาเป็นด้านปัจจัย ๔ มีเคร่ืองนุ่มห่ม อาหาร ท่ีอยู่อาศัยและยารักษาโรค แต่ไม่ใช่แสวงหาเพื่อมอมเมา จิตใจให้เกิดการสะสมจนไม่รู้จักเพียงพอ ฉะนั้น จุดมุ่งหมายเพื่อให้รู้ความสาคัญในการพัฒนาชีวิต จะได้ แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และทันต่อเหตุการณ์ไม่ประมาทในการทากิจการ โดยผ่านกระบวนการ ฝึกฝนอย่างเปน็ ระบบ เพอ่ื การดาเนินชีวติ ทถี่ ูกต้องไดผ้ ลดี ๑.๔.๔ การพัฒนาดา้ นศีล (สีลภาวนา) การพัฒนาตนเองด้วยหลกั ศลี นัน้ โดยเน้อื หาสาระสาคัญ ก็เพื่อให้บุคคลสามารถดารงตนให้อยู่ร่วมกับ สังคม หรือ อยู่ร่วมกับคนอ่ืนได้อย่างปกติสุข ท้ังศีลท่ีเป็นสิกขาบทท่ัวไป และศีลท่ีเป็นองค์มรรค คือ อธิศีล สกิ ขา ดังจะได้กล่าวถงึ คาแปล ความหมาย และประเภทของศีลไปตามลาดับ ดงั ต่อไปนี้ ๑. คาแปลของศีล มีคาแปลหลายอยา่ ง ได้แก่ แปลว่า เศียร หมายความว่า ศีรษะ ถ้าคนมีศีรษะขาดก็ ตาย ถ้าศีรษะบาดเจ็บก็ไม่สบาย ฉันใด ถ้าคนศีลขาดก็ตายจากความดีต่างๆ ศีล แปลว่า ปกติ หมายความว่า รักษากาย วาจา ให้เรียบร้อยดีเป็นปกติ ศีล แปลว่า เย็น หมายความว่า เย็นกาย เย็นใจ ไม่มีภัย ไม่มีเวร ไม่มี ศัตรู ไม่มีความเดือดร้อน มีแต่ความสงบสุข ศีล แปลว่า เกษม หมายความว่า ปลอดภัย ไม่มีอันตราย มีแต่ ความสขุ กาย สบายใจอยเู่ สมอ ศลี แปลว่า ตัง้ กายกรรม วจีกรรม ไวด้ ว้ ยดี หมายความว่า รักษากายให้ตั้งอยู่ใน สุจริต ๓ รักษาวาจาให้ต้ังอยู่ในวจีสุจริต ๔ ไว้เป็นปกติ ศีล แปลว่า เข้าไปรับรองกุศลกรรมไว้ หมายความว่า เมื่อบคุ คลมีศีลดีแลว้ คณุ ธรรมอื่นๆ ทดี่ งี าม เช่น ขนั ติ เมตตา สัจจะ สันโดษ วิรยิ ะ ปัญญา เป็นต้น ก็เกิดข้ึนมา ตามลาดับ๑๔ ๒. ลักษณะ หนา้ ที่ ผลปรากฏ เหตุเกิดของศีล มีอธิบายว่า ลักษณะของศีล คือ มีการรักษากาย วาจา ให้เรยี บรอ้ ยดงี าม หนา้ ทข่ี องศลี คอื มกี ารกาจัดความทุศีล ผลปรากฏของศีล คือ มีความสะอาดกาย วาจา ใจ (กายโสเจยฺย วจโี สเจยฺย มโนโสเจยยฺ ) ส่วนเหตเุ กดิ ของศีล คอื หริ ิ (ละอายชัว่ ) และโอตตปั ปะ (กลวั บาป)๑๕ ๓. ความหมายของศีล ในแง่ของการฝึกฝนตน คือ การฝึกฝนอบรมตนซึ่งเรียกว่า อธิศีล หรือ ข้อ ปฏิบัติสาหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง หรือ การฝึกฝนอบรมความประพฤติทางกาย วาจา คือ ระเบียบวินัย การอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน และในส่ิงแวดล้อมต่างๆ ด้วยดี ให้เก้ือกูลไม่เบียดเบียน ไม่ ทาลาย เป็นพ้ืนฐานแห่งการฝึกอบรมจิตใจในอธิจิตตสิกขา เรียกสั้นๆ ว่า ศีล๑๖ และศีลยังหมายถึง ระเบียบความ ประพฤติหรือระเบียบความเป็นอยู่ทั้งส่วนตัว และที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางกายวาจา ตลอดถึงทามา หาเลี้ยงชีพ ซง่ึ ได้กาหนดวางไวเ้ พ่ือทาให้ความเปน็ อยู่นั้น กลายเป็นสภาพอันเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าท่ี การงานต่างๆ ประจาวัน โดยเป็นไปเพื่อความหมายอันดีงาม น่ันคือ การทาให้คนในสังคม หรือ ชุมชนมี ระเบียบวินัย ขณะเดียวกันศีลก็เป็นเครื่องปูองกันความชั่วไปในตัวอีกโสดหนึ่งด้วย แล้วศีลยังช่วยส่งเสริม โอกาสสาหรับทาความดี โดยฝึกคนให้รู้จักสร้างความสัมพันธ์ ด้วยกายวาจาที่ดีงาม กับสภาพแวดล้อม ในทาง อุดมคติแล้วศีลน้ัน ต้องการให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ปราศจากการเบียดเบียนทาร้ายกันและกัน และ ช่วยเหลือกันตามฐานะทางสงั คมจะอานวยให้อีกด้วย๑๗นอกจากน้ัน ศีลครอบคลุมไปถึง การไม่ละเมิดระเบียบ วนิ ัย หรือการไมเ่ จตนาล่วงเกนิ เบยี ดเบียนผูอ้ ื่น ถ้ามองในด้านการกระทา ศีล จึงหมายถึง ความไม่ละเมิด และ ๑๔ พระธรรมธีรราชมหามนุ ,ี (โชดก ญาณสทิ ฺธ)ิ , วปิ สั สนาญาณโสภณ, พมิ พค์ รั้งที่ ๓, (กรงุ เทพมหานคร : ศรอี นนั ต์ การพิมพ,์ ๒๕๔๖), หนา้ ๗๔ - ๗๕. ๑๕ อา้ งแล้ว, หนา้ ๗๕ - ๗๖. ๑๖ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พจนานกุ รมพุทธศาสนฉ์ บับประมวลศพั ท์, (กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๓๔๑ – ๓๔๒. ๑๗ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พุทธธรรมฉบบั ปรับปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งท่ี ๗, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๔๑๙.

การสอนธรรมวทิ ยา ๙ การไม่เบียดเบียน สาระของศีลอยู่ท่ีความสารวม หมายถึง การสารวมระวังคอยปิดก้ัน หลีกเว้นไม่ให้ความช่ัว เกิดข้ึนนนั่ เองเป็นศลี และสภาพจติ ของผไู้ ม่คดิ จะละเมิด ไม่คดิ เบยี ดเบยี นใครน่นั แหละเป็นตัวศลี ๑๘ ๔. ความหมายของศลี ท่ีเปน็ ระเบยี บทางสงั คม หมายถงึ ศีลทเี่ ปน็ ระเบยี บทางสังคม หรือระบบการ นัน้ ๆ ศีลจงึ มีความเขม้ งวดกวดขนั เครง่ ครดั หยาบ ประณีต และรายละเอียดตา่ ง ๆ กัน ดงั มีศลี ๕ ศีล ๘ ศลี ของคฤหสั ถ์ ศีล ๑๐ สาหรบั สามเณร ศลี ๒๒๗ สาหรบั พระภิกษสุ งฆ์ เปน็ ตน้ ๕. ศีลเป็นเหตุให้พัฒนาตนเองจนถึงข้ันวิมุตติหลุดพ้น หมายถึง ศีลที่ทาให้เกิดสภาพความเป็นอยู่ท่ี เก้อื กลู แกก่ ารปฏบิ ตั ิกิจต่าง ๆ เพ่อื เขา้ ถงึ จดุ หมายทีด่ งี ามโดยลาดับ ไปจนถึงจุดหมายสูงสุดของชีวิต ในกิมัตถิย สูตร กล่าวถงึ สาระสาคัญของกุศลศีล ว่าสามารถเป็นเหตุให้ดับทุกข์ได้ โดยพระอานนท์ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับผลแห่งศีลที่เป็นกุศล และพระองค์ได้ตรัสตอบว่าศีลที่เป็นกุศล ทาให้สามารถดับทุกข์ได้ มีลาดับการ พัฒนา ได้แก่ ศีลท่ีเป็นกุศล เป็นเหตุให้เกิดอวิปปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) อวิปปฏิสาร เป็นเหตุให้เกิด ปราโมทย์ ปราโมทย์ เป็นเหตุให้เกิดปีติ ปีติ เป็นเหตุให้เกิดปัสสัทธิ ปัสสัทธิ เป็นเหตุให้เกิดสุข สุข เป็นเหตุให้ เกิดสมาธิ สมาธิ เป็นเหตุให้เกิดยถาภูตญาณทัสสนะ ยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นเหตุให้เกิดนิพพิทาและวิราคะ นพิ พิทาและวริ าคะ เปน็ เหตุให้เกดิ วมิ ุตตญิ าณทสั สนะ วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ เป็นธรรมสงู สดุ ๑๙ ๖. ศีลทาให้สมาชิกของสังคมหรือชุมชนน้ันอยู่ร่วมกันด้วยดี หมายถึง ศีลทาให้สังคมสงบเรียบร้อย สมาชกิ ต่างดารงอยู่ด้วยดี และมุ่งหนา้ ปฏบิ ัตกิ ิจของตน โดยสะดวก ๗. ศีลจัดเป็นเคร่ืองมือเพื่อฝึกหัดขัดเกลาตนเอง ทาให้กิเลสอย่างหยาบเบาบางลง ด้วยการควบคุม ยบั ย้ังสังวร ปรับการแสดงออกทางกายวาจาให้เกื้อกูลแก่สภาพความเป็นอยู่ และการอยู่ด้วยกันด้วยดี ซึ่งเป็น ความจาเป็นพนื้ ฐานสาหรบั พัฒนาชีวิตของตนใหพ้ รอ้ มท่ีจะเป็นท่ีรองรับกุศลธรรมทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่ง คือ เป็นพื้นฐานของสมาธิ หรือการฝกึ ปรอื คณุ ธรรมทางจติ ใจทส่ี งู ขึ้นไป๒๐ ๘. ประเภทของศีลเพ่ือนามาพัฒนาตนเองและสงั คม ศลี เพ่ือเสรมิ สรา้ งความดีงามของชีวิตและสังคม คือ หลักคาสอนในสิงคาลกสตู รทง้ั หมด เรยี กคหิ ิวนิ ยั หมายถงึ วนิ ัยของคฤหสั ถ์ เป็นศีลสาหรับประชาชน มี ๒ ระดบั มดี งั นี้ ๘.๑ ธรรมข้ันศีล คือ ศีลในแง่ธรรม หมายถึง หลักความประพฤติระดับกายวาจาและอาชีวะ ทน่ี ามาแนะนาสัง่ สอน โดยเนน้ ทีป่ จั เจกชนเปน็ สาคัญ ในขั้นน้ี มีความหมายไปถึง อธิศีลสิกขา ซึ่งหมายถึง การ ฝึกความประพฤติสุจริตทางกาย วาจา และอาชีวะ ได้แก่ รวมเอาองค์มรรค สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ เข้ามาว่าโดยสาระก็คือ การดารงตนด้วยดีในสังคม รักษาระเบียบวินัย ปฏิบัติหน้าท่ีและ ความรับผิดชอบทางสังคมให้ถูกต้อง มีความสัมพันธ์ทางสังคมท่ีดีงามเกื้อกูลประโยชน์ ช่วยรักษาและส่งเสริม สภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในทางสังคม ให้อยู่ในภาวะเอ้ืออานวยแก่การท่ีทุกๆ คนจะสามารถดาเนินชีวิตท่ีดี งาม หรอื ปฏิบตั ติ ามมรรคกันได้ดว้ ยดี กลา่ วโดยย่อ อธิศีลสิกขา คือ ความประพฤติด้านศีล ตัวอย่างพุทธพจน์ ที่แสดงเรื่องศีลในแง่ธรรม สาหรบั คฤหสั ถผ์ คู้ รองเรอื นทแ่ี สดงถึงบทบาทของศีลและปญั ญาของบุตรธิดาต่อบิดา มารดา ดังน้ี “บตุ รธิดาที่สามารถยงั มารดาบดิ าผูท้ ุศีล ผ้ไู มม่ ศี รัทธาให้ต้งั มัน่ ในศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาได้ การกระทาอยา่ งน้ัน ชื่อว่า บุตรไดต้ อบแทนแก่มารดาบดิ า”๒๑ ๑๘ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรมฉบบั ปรบั ปรุงและขยายความ, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หนา้ ๗๖๗. ๑๙ องฺ.เอกาทสก. (ไทย) ๒๔/๑/๑ - ๓ ๒๐ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๗๒ ๒๑ องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๓๔/๗๘

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐ ๘.๒ วินัยทเ่ี ป็นศีล คือ ศีลในแง่ที่เป็นวินัย หมายถึง กฎระเบียบข้อบังคับท่ีกาหนดวางกันขึ้น เป็นบญั ญตั ทิ างสงั คม เพื่อกากบั ความประพฤติของบุคคล ตามความมุ่งหมายเฉพาะของหมู่ชน หรือ ชุมชนนั้น โดยมากมุ่งเพ่ือสนับสนุนการปฏิบัติตามธรรมให้แน่นแฟูนย่ิงขึ้น และผู้ฝุาฝืน ต้องได้รับโทษตามความ รับผิดชอบต่อชุมชน หรือ สังคมน้ันอีกช้ันหน่ึง ต่างจากผลทางจิตใจตามกฎธรรมชาติ นั่นคือ วิธีฝึกคนให้มีศีล ซึง่ เปูาหมายของวินัยท่ีเปน็ ศลี ๒๒ ได้แก่ ศีลระดับสังคมสงฆ์ มีเปูาหมายที่สาคัญอยู่ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความ ดงี ามท่เี ป็นไปโดยความเห็นชอบร่วมกันของสงฆ์ ความผาสุกแห่งสงฆ์ การาบคนหน้าด้านไม่รู้จักอาย ความอยู่ ผาสุกแหง่ เหลา่ ภิกษุผู้มศี ีลดีงาม ปิดกั้นความเสือ่ มเสยี ความทุกข์ ความเดอื ดร้อนที่จะมใี นปัจจุบัน บาบัดความ เสื่อมเสีย ความทุกข์ ความเดือดร้อนท่ีจะมีในภายหลัง ความเล่ือมใสยิ่งขึ้นไปของคนท่ียังไม่เล่ือมใส ความ เลื่อมใสย่ิงขึ้นไปของคนผู้เลื่อมใสแล้ว ความดารงมั่นแห่งสัทธรรม และส่งเสริมความเป็นระเบียบเรียบร้อย สนับสนุนวินัยให้หนักแน่น๒๓ ส่วนในอังคุตตรนิกาย ได้เพิ่มเข้ามาอีก ๒ ข้อ คือ เพื่อเอ้ืออนุเคราะห์แก่คฤหัสถ์ ทงั้ หลาย และเพื่อตัดรอนฝักฝาุ ยของภิกษุผ้มู ีความปรารถนาชว่ั ร้าย๒๔ ๙. การพัฒนาตนด้วยศีลที่เป็นองค์มรรค หมายถึง การฝึกฝนอบรมในด้านความประพฤติ ระเบียบ วินัย ความสุจริตทางกายวาจาและอาชีวะ ในระดับการพัฒนาศีล ท่านเรียกว่า อธิสีลสิกขา เรียกกันสั้น ๆ ว่า ศีล วิธีแก้ปัญหาโดยวิธีนี้ เป็นวิธีของอารยชนระดับพ้ืนฐาน เรียกตามบาลีว่า หลักของอริยมรรค แปลว่า ทาง ดาเนนิ สู่ความดับทกุ ข์ทที่ าใหเ้ ปน็ อริยชน หรอื วิธดี าเนนิ ชวี ติ ท่ีประเสรฐิ อรยิ มรรคน้ี แบ่งระดับการพัฒนาศีลท่ี เป็นองคม์ รรคเป็น ๓ อย่าง คือ สัมมาวาจา สัมมากมั มันตะ และสมั มาอาชวี ะ๒๕ มคี วามละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้ ๙.๑ สัมมาวาจา เจรจาชอบ หมายถึง การพูดหรือเจรจาชอบ มี ๔ ประการ คือ ละมุสาวาท คือ เว้นการพูดเท็จ ขณะเดียวกันให้พูดคาจริง เรียกว่า สัจจวาจา ละปิสุณาวาจา คือ เว้นการพูดส่อเสียด ขณะเดียวกันให้พูดคาสมานสามัคคี เรียกว่า สมัคคกรณีวาจา ละผรุสวาจา คือ เว้นจากพูดคาหยาบคาย ขณะเดียวกันกใ็ หพ้ ูดแต่คาอ่อนหวานสุภาพ ไพเราะ น่าฟัง ท่ีเรียกว่า สัณหวาจา ละสัมผัปปลาปะ คือ เว้นการ พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ ขณะเดียว กันก็ให้พูดแต่คามีประโยชน์ สร้างสรรค์ นามาแต่คุณธรรมปรุงจิตใจ ให้ร่าเริง เบิกบาน เรยี กวา่ อัตถสัณหติ าวาจา๒๖ ดงั พระพุทธพจนต์ รัสแสดงสัมมาวาจาวา่ “ภกิ ษุทั้งหลาย สมั มาวาจา เป็นไฉน น้ีเรยี กว่าสมั มาวาจา คือ เจตนางดเว้นจากการพูดเทจ็ เจตนางดเวน้ จากวาจาส่อเสียด เจตนางดเว้นจากวาจาหยาบ เจตนางดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ”๒๗ ๙.๒ สมั มากมั มนั ตะ หมายถึง การงานชอบ คือ การกระทาชอบมี ๓ ประการ ไดแ้ ก่ การละ จากปาณาตบิ าต หมายถึง เวน้ การทาลายชีวิตทง้ั คนและสัตว์ทุกจาพวก ขณะเดยี วกนั ก็ชว่ ยเหลอื เกือ้ กลู แก่กนั ละอทนิ นาทาน คือ เวน้ การเอาทรพั ย์สมบัติ สิ่งของคนอ่นื ท่ีไมอ่ นุญาต หรือ ไมไ่ ดม้ ีเจตนาท่ีจะให้ ขณะเดยี วกัน กค็ วรจะบริจาคทรพั ย์ใหท้ านตามโอกาส และฐานะ ละกาเมสมุ ิจฉาจารา คือ เว้นความประพฤตผิ ิดในกาม ๒๒ พระธรรมปฎิ ก, (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความ, พิมพค์ ร้งั ที่ ๗, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๑), หน้า ๗๖๘. ๒๓ องฺ.ทสก.(บาลี) ๒๔/๓๑/๗๔ ๒๔ องฺ.ทกุ .(บาล)ี ๒๐/๔๓๖/๑๒๓ ๒๕ พระธรรมปฎิ ก, (ป.อ.ปยตุ ฺโต), วธิ ีคิดตามหลกั พุทธธรรม, พิมพ์ครงั้ ที่ ๗, (กรงุ เทพมหานคร : ศยาม, ๒๕๔๖), หนา้ ๑๒ - ๑๓. ๒๖ องฺ.จตุกกฺ . (บาลี) ๒๑/๑๔๘–๑๔๙/๑๘๙ ๒๗ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๓๕/๑๒๖ - ๑๒๘

การสอนธรรมวิทยา ๑๑ หมายถึง ไมล่ ่วงเกนิ ในสามี ภรรยาอนั เป็นท่ีรักยิ่งของคนอ่ืน ขณะเดยี วกนั กป็ ระพฤติ สทารสนั โดษ คือ พอใจ ในคู่ครองของตนเองเท่าน้นั ๒๘ ดังพระพทุ ธพจน์ตรสั สัมมากัมมันตะ วา่ “ภกิ ษุท้งั หลาย สัมมากัมมนั ตะ เปน็ ไฉน นเี้ รยี กว่า สมั มากัมมันตะ คือ เจตนางดเวน้ จากการตัดรอนชวี ติ เจตนางดเว้นจากการถือเอาของทเี่ ขามิไดใ้ ห้ เจตนางดเว้นจากการประพฤติผดิ ในกามทง้ั หลาย”๒๙ ๙.๓ สัมมาอาชีวะ หมายถงึ การเลีย้ งชพี ชอบ ได้แก่ ละมจิ ฉาชีพ เลีย้ งชวี ติ ด้วยสัมมาชพี ขณะเดียวกนั ก็ มีความขยันหมน่ั เพียรในการประกอบอาชีพ การงาน หนา้ ท่ีอันสจุ รติ เชน่ ทางานไมใ่ ห้อากูล หมายถึง ไม่ค้างงาน ไมผ่ ดั ผ่อนงานไม่จบั จดงาน ไมย่ ุ่งเหยิงสบั สน เป็นตน้ เม่ือกล่าวถึงหลักการของสัมมาอาชีวะนั้น พึงเข้าใจว่าเป็นการแสวงหาทรัพย์แล้วใช้สอยทรัพย์นั้น โดยชอบธรรม ตั้งแต่ปัจจัย ๔ อันเป็นพ้ืนฐานในการครองชีพ และผลตอบแทนในด้านจิตใจด้วย ไม่ใช่ทางาน เพือ่ วัตถหุ รอื เพียงเพ่ือได้ทรัพยม์ าเท่านนั้ มีประเดน็ ควรพจิ ารณา ๘ ประการ ดังตอ่ ไปน้ี ๑) มงุ่ ใหค้ นมีปัจจัย ๔ ท่ีพอเพียงท่ีจะเป็นอยู่ได้ แต่ไม่ได้มุ่งว่าจะมีมากหรือ น้อย คือ มุ่งให้คนทางาน เป็นมากกว่าจะมาน่ังนับทรัพย์สิน ซ่ึงเป็นผลของการทางานอีกต่อหนึ่ง มิใช่เปูาหมายของพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้จาก ธรรมะท่ีเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมือง หน้าที่ของพระเจ้าแผ่นดินข้อที่หน่ึง๓๐ คือ ทาน หมายถึง การช่วยเหลือด้วยวัตถุส่ิงของแก่ประชาชน คือนาสิ่งของไปช่วยเหลือชาวบ้าน ไม่ให้เก็บไว้จนเต็ม ท้องพระคลังหลวง ถ้าพิจารณาให้ครบด้าน จะเห็นว่า ก็เป็นการรายได้หลวงบริหารประเทศให้พลเมืองอยู่ดี กนิ ดี และดารงชีวิตได้ ดว้ ยองค์กรของรัฐเขา้ ประคบั ประคอง ๒) ความสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ มิใช่จุดมุ่งหมายแสวงหา แต่เป็นเพียงส่ิงเป็นอุปการะแก่การดารงชีวิต อันเนื่องมาจากศีลเป็นตัวผลิตให้ ด้วยการทางานสุจริตนั้น จุดมุ่งหมายจริง ๆ ก็คือ ต้องการให้เกิดการพัฒนา ด้านจิตใจและปัญญา มากกว่ามาประกอบอาชีพเพ่ือหาทรัพย์มาบารุงตนฝุายเดียว แต่ทรัพย์ภายในอย่างอ่ืน ตอ้ งแสวงหาเพมิ่ ดว้ ยเชน่ กัน ๓) สัมมาชพี มิไดห้ มายถึง มหี นา้ ทใี่ นการใช้แรงงาน เพ่ือให้เกิดทรัพย์สินสมบัติเท่าน้ัน แต่ยังหมายถึง การทาหน้าที่ การดารงตาแหน่ง การมีคุณธรรม ศีลธรรมในหน้าที่ กิจการงานของตนเอง เช่น เป็นครู ก็มีธรรมะสาหรับครู เป็นต้น ไม่ใช่สอนเพื่อหวังแต่เงินเดือนตอบแทนเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกันจะต้อง ถ่ายทอดความรู้ ความสามารถวิชาการที่ก้าวหน้าแก่ศิษย์ ตามหน้าที่ จัดว่าเป็นสัมมาชีพของครู คือ มีการใช้ แรงงานการสอนวิชาการ และมีผลผลิต คือ รายได้ต่อเดือนเพ่ือนาไปเลี้ยงตนและคนท่ีเก่ียวข้องและเสียภาษี ชว่ ยรัฐ ๔) สัมมาอาชีวะโดยทางธรรม หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างแรงงานกับอาชีวะและผลตอบแทน โดยพิจารณาแบ่งเป็น ๒ อย่าง คือ สาหรับคฤหัสถ์ ได้แก่ การใช้แรงงานในหน้าท่ีเป็นเร่ืองของอาชีวะโดยตรง คือเปน็ ไปเพอ่ื ได้ผลตอบแทนเป็นทรัพยส์ นิ เงนิ ทอง ใช้เป็นปจั จยั เลยี้ งชีพ เช่นอาชีพ กรรมกร ครู ทหาร ตารวจ อัยการ ผู้พิพากษา นายกรัฐมนตรี เป็นต้น ส่วนของพระสงฆ์ ได้แก่ การใช้แรงงานในหน้าที่ไม่เป็นเรื่อง ของอาชีวะ ไม่มีความมุ่งหมายในด้านอาชีวะ คือ ไม่เกี่ยวกับอาชีวะเลย เพราะไม่เป็นไปเพื่อได้ผลตอบแทน เป็นปัจจัยเครื่องยังชีพ แต่ปฏิบัติงานเพื่อธรรมและเพื่อผดุงธรรมในโลก ถ้าเอาแรงงานที่พึงใช้ในหน้าที่ มาใช้ ในการแสวงหาปัจจัยเคร่ืองยงั ชีพ จัดวา่ เป็นมิจฉาชพี ๓๑ ๒๘ ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๓๔๗/๓๖๒ - ๓๖๔ ๒๙ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๓๕/๑๒๖ ๓๐ ที.ปา.(บาล)ี ๑๑/๓๕/๖๕ ๓๑ ม.อุ.(บาล)ี ๑๔/๒๗๕/๑๘๖

การสอนธรรมวิทยา ๑๒ ๕) สัมมาอาชีวะในแง่การพัฒนาจิตใจและปัญญา ได้แก่ การรู้จักทางาน ใช้แรงงาน เมื่อได้ทรัพย์ อันเกิดจากกิจกรรมนั้น ๆ แล้ว ก็รู้จักวิธีคิด วิธีปฏิบัติต่อทรัพย์ คือ ให้มีความรู้ ความเข้าใจคุณค่าแท้ คุณค่า เทยี ม และเปน็ ไปดว้ ยนิสสรณปัญญา หมายถึง การรู้เทา่ ทันต่อทรัพยไ์ ม่ตกเป็นทาสของทรัพย์สิน ไม่หลงมัวเมา ในสมบัตทิ ีต่ นหาไดแ้ ลว้ นน้ั คือ ใหเ้ ป็นนายทรพั ย์ ต่อจากน้นั กน็ าทรพั ยท์ ่ีหามาได้ ทาให้เกิดประโยชน์ต่อเพื่อน มนุษย์ แก่ตนเอง ครอบครัว สังคมประเทศชาติ ตามลาดบั มหี ลักในการปฏิบัติ คือ การแสวงหาทรัพย์โดยชอบ ธรรม ไม่ข่มเหง หรือ เบียดเบียนเขาได้มา ส่วนการใช้ทรัพย์ คือ บริหารทรัพย์ เป็น ๓ ส่วน ได้แก่ เล้ียงตน (และคนท่ีเกี่ยวข้องกับตน)ให้เป็นสุข ช่วยเหลือแบ่งปันแก่คนอื่น เช่น บริจาคเส้ือผ้า ข้าวสารแก่ผู้ประสบภัย พิบัติ เป็นต้น และบาเพ็ญสาธารณะประโยชน์ เช่น สร้างเคร่ืองมือแพทย์แก่โรงพยาบาล สร้างโรงเรียน สรา้ งสะพานข้ามแมน่ า้ ขุดบ่อนา้ ขดุ สระนา้ เป็นต้น๓๒ ๖) สัมมาอาชีวะที่มีคุณค่าทางจิตใจและปัญญา ได้แก่ เม่ือมีทรัพย์ก็ไม่มัวเมา ไม่ใช้จ่ายทรัพย์ไป ในทางให้โทษแก่ตนและสังคม เช่น เล่นการพนันฟุตบอล หวย ไก่ชน เสพยาเสพติด นาไปลงทุนทางผิดต่อ ศีลธรรม และกฎหมาย เป็นต้น ดังน้ัน ทรัพย์จึงมีผลต่อจิตใจและปัญญาเพ่ือการดารงชีพอยู่อย่างปกติสุข ถ้าขาดหลักสมั มาอาชวี ะ ยอ่ มผดิ ศลี ไดเ้ ชน่ กนั ๗) สัมมาอาชีวะในความหมายฝุายคฤหัสถ์ ได้แก่ สัมมาอาชีวะสาหรับคฤหัสถ์ ผู้ครองเรือน ทางพระพุทธศาสนาก็สอนให้รู้จักพัฒนาด้านสัมมาอาชีวะ คือ ให้รู้จักการหาทรัพย์ การใช้จ่ายทรัพย์ และความสุขทีเ่ กิดจากการใช้ทรัพย์ มีความหมายโดยสาระทางพุทธธรรม คือ หลักการแสวงหาทรัพย์ มีอยู่ ๔ ประการ ไดแ้ ก่ (อุฏฐานสมั ปทา) ความขยันหม่นั เพียรในการแสวงหา ไม่เกียจคร้านกิจการงานทุกอย่าง ทางาน ไม่ทอดท้ิงงาน ไม่อากูล ไม่จับจด (อารักขสัมปทา) รู้จักวิธีรักษาทรัพย์ที่ได้มานั้น รู้จักบารุงดูแลหาของใหม่มา แทนของเก่า รู้จักซ่อมแซมปรับปรุงให้ใช้งานได้ดีและการบริหารทรัพย์ควรให้คนมีความซ่ือสัตย์ไว้ใจได้ดูแล ทรัพย์สิน (กัลยาณมิตตา) การรู้จักคบหาเสวนากับบัณฑิต หรือสัตบุรุษ คนดีผู้มีศีล เว้นคนทุศีล โจรผูก้ ่อการรา้ ย ผูม้ อี ิทธิพลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมและประเทศชาติสมชีวิตา คือ ใช้จ่ายอย่างฉลาด ได้แก่มีรายได้ รายรบั และรายเหลือ๓๓ ๘) อาชีพที่ขัดต่อการพัฒนาด้านสัมมาอาชีวะสาหรับคฤหัสถ์นอกจากการประกอบอาชีพท่ีสุจริตแล้ว บุคคลผู้หวังความเจริญด้านสัมมาอาชีวะพึงหลีกเว้นโทษ ในการประกอบอาชีพค้าขายสิ่งที่ไม่เหมาะให้โทษ ๕ อย่าง คือ ค้าขายอาวุธ ค้าขายมนุษย์ ค้าขายเนื้อสัตว์ ค้าขายน้าเมา (รวมถึงสิ่งเสพติดทุกประเภท เช่น ยาบ้า ฝนิ่ เป็นต้น) และคา้ ขายยาพิษ๓๔ ๑.๔.๕ การพัฒนาดา้ นกาย (กายภาวนา) การพัฒนาด้านกายนั้น จัดอนุโลมอยู่ในการพัฒนาระดับศีล เพราะลาพังเพียงกายอย่างเดียว ไม่มีศีล ควบคุมแลว้ พระพทุ ธศาสนาไม่ถือเป็นการพัฒนาทางกาย แต่ตรงกันข้ามถ้าพัฒนากายด้านเดียวแล้ว อาจเป็น การส่งเสริมให้เกิดตัณหาความทะยานอยาก เพื่อให้ได้วัตถุมาบารุงกายให้เจริญ โดยพระพุทธศาสนา ไม่พิจารณาการพัฒนากายแยกต่างหากจาก จริยธรรม เพราะลาพังความเจริญทางกายอย่างเดียว ย่อมไม่มี ความหมายเป็นสกิ ขา และตามปกตจิ ะเอียงไปทางเปน็ การสนับสนุนให้ตัณหา ได้เครื่องมือท่ีจะเสพแสวงหายื้อ แย่งโลกามิส๓๕ ซ่ึงเป็นสายตรงข้ามกับการศึกษา คือ ไตรสิกขาเพ่ือพัฒนาฝึกปรือตนเองให้เจริญยิ่งขึ้น เม่ือไม่ พัฒนาเร่ืองกายให้ชัดเจนหรือชานาญแล้ว ก็ย่อมตกเป็นเครื่องมือของวัตถุนิยมไปโดยหลีกเลี่ยงได้ยาก ๓๒ องฺ.ทสก.(บาลี) ๒๔/๙๑/๑๙๔ ๓๓ องฺ.อฏฺฐก. (บาล)ี ๒๓/๑๔๔/๒๘๙ ๓๔ องฺ.ปญจฺ ก.(บาล)ี ๒๒/๑๗๗/๒๓๓ ๓๕ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๐๕/๔๘/๒๗๒ ดเู ทียบ องฺ.ปญจฺ ก.(ไทย) ๒๒/๗๙/๑๔๕

การสอนธรรมวิทยา ๑๓ โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน ที่ใช้ส่ือมวลชนสาขาต่าง ๆ เช่น ส่ือทางโทรทัศน์ สื่อทางหนังสือพิมพ์ สื่อทาง อินเตอร์เน็ต เป็นต้น มอมเมาให้ผู้ไม่ฝึกฝน พัฒนาตนเองต้องเสียคน เสียความดีของตนไปก็มากด้วยส่ือที่เข้า มาแล้ว ไม่พฒั นากายหรอื อินทรีย์ให้รู้เท่าทันตาม จึงเกดิ ปัญหาตามมาทางสังคมหลายประการ เช่น กรณีพี่ชาย ข่มขืนน้องสาวของตนเอง เพราะขณะนั้นพี่ชายกาลังดูเว็บไซต์อนาจารอยู่ จึงไม่สามารถควบคุมพฤติกรรม ความต้องการทางเพศของตนได้ จึงได้ทาผิดศีลธรรมอย่างน่าสลดใจย่ิงนัก๓๖ ฉะน้ัน การพัฒนากายตามหลัก พระพทุ ธศาสนา มีดังต่อไปน้ี ๑. ความหมายในการพัฒนากาย คือ พัฒนาอินทรีย์ ๖ การพัฒนากาย ในความหมายที่แท้จริง ก็คือ การพฒั นาอนิ ทรีย์ ไดแ้ ก่ การใชอ้ ินทรีย์ ๖ ภายใน คือ ตา หู จมูก ล้ิน กาย ซึ่งเป็นส่ิงท่ีใช้สาหรับสัมพันธ์ หรือ เป็นทาง เช่ือมต่อกับโลกภายนอก (คือ อินทรีย์ภายนอก ๖)ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อารมณ์ที่ใจรับรู้ เปิดช่องทางที่เข้าไปสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมทางวัตถุ และทางธรรมชาติทั้งหมด ในการฝึกพัฒนากาย หรือ ฝกึ พัฒนาอินทรีย์นัน้ การพัฒนากายจึงเปน็ การการพฒั นาอนิ ทรีย์ คือ ฝึกให้มีอินทรีย์สังวร ได้แก่ ความสารวม อินทรีย์ ๖ เพื่อเป็นเคร่ืองมือให้เกิดความแข็งแกร่งของศีล ความประพฤติ เพ่ือสนับสนุนจิตให้มีพลังงานที่ มั่นคงและเป็นทางให้เจริญปัญญาอีกด้วย ในมหาอัสสปุรสูตร พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าเป็นกิจท่ีควรทาให้ ยง่ิ ขึน้ ไป ดงั พระพุทธพจน์ทวี่ า่ “เธอทั้งหลายควรสาเหนยี กอยา่ งน้ีว่า เราทง้ั หลายจกั เป็นผู้คุม้ ครองทวารแลว้ ในอินทรีย์ทงั้ หลาย เหน็ รปู ทางตาแลว้ ไม่รวบถือไม่แยกถือ จักปฏิบตั เิ พื่อความสารวมจกั ขุนทรยี ์ ซึ่งเมื่อไมส่ ารวมแล้วกจ็ ะเป็นเหตใุ ห้ถูก บาปอกุศลธรรม คือ อภิชฌาและโทมนสั ครอบงาได้ จกั รกั ษาจักขนุ ทรีย์ ถึงความสารวมในจกั ขุนทรีย์…ฟงั เสยี งทางห.ู .ฯลฯรธู้ รรมทางใจ..”๓๗ ๒. วัตถุประสงค์ในการพัฒนา (พัฒนาอินทรีย์ ๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกฝนในด้านการใช้งาน คือ ทา ให้อินทรีย์เหล่านั้น มีความเฉียบคม มี ความละเอียด มีความไว มีความคล่อง มีความจัดเจน คล้ายกับการฝึก ทักษะและเพ่อื ฝึกฝนในด้านการเลอื กสงิ่ ท่มี ีคณุ คา่ และมีประโยชน์มากทีส่ ุด ขณะเดียวกันก็มีวิธีหลีกเว้นจากส่ิง ท่ีเป็นภัย เป็นโทษหรือส่ิงไม่ดีต่าง ๆ ไม่ให้ทะลักเข้ามาสู่อินทรีย์ภายใน โดยมีใจเป็นตัวรับรู้ท้ังหมด จะต้อง ปูองกันไวก้ อ่ น ๓. การเตรียมความพร้อมในการพัฒนากาย (พัฒนาอินทรีย์ ๖) การเตรียมความพร้อมในก่อน การพฒั นากายมีความจาเปน็ อย่างยิ่ง กลา่ วคือ ในความพรอ้ มส่วนตัวซง่ึ หมายถึงความดีหรือบุญเก่าเป็นทุนเดิม สถานท่ีหรือท่ีโคจรไป บุคคลที่ควรคบหาสมาคมด้วยหรือกัลยาณมิตร แรงจูงใจใฝุสัมฤทธิ์ในการพัฒนา ทัศนคติ ค่านิยม ตลอดจน ความไม่ประมาท ในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอด้วยสติสัมปชัญญะ มี ๖ ประการ ดังน้ี ๓.๑ ความพร้อมเร่ืองส่วนตัว ได้แก่ คุณสมบัติเฉพาะที่เป็นอุปนิสัยเดิมมาตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน๓๘ คือ ความเป็นคนได้สั่งสมความดีมาแต่เดิม (ปุพเพกตปุญญตา) การมีความพร้อมในด้านต่างๆ คือ มีสติกปัญญา (สชาติกปัญญา) ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น การวางตนให้พอเหมาะคือ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รูป้ ระมาณ รูก้ าลเวลา รชู้ มุ ชนและรูบ้ ุคคล เรือ่ งราวท่ีตนไปเกี่ยวข้อง และต้องใช้อินทรีย์น้ันๆ อย่างระมัดระวัง รอบคอบ๓๙ ๓๖ แมช่ ีศันสนยี ์ เสถยี รสุด, เพอื่ นทกุ ข์ ๒, (กรงุ เทพมหานคร : แปลนพริน้ ตง้ิ , ๒๕๔๔), หน้า ๗๐ - ๗๑. ๓๗ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๒๑/๔๕๕. ๓๘ องฺ.จตกุ ฺก.(ไทย) ๒๑/๓๑/๓/๕๐. ๓๙ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๓๐/๓๓๓.

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๔ ๓.๒ ความพร้อมด้านสถานท่ีทากิจกรรม หมายถึง การเว้นจากที่อโคจร และไปที่สู่ท่ีโคจร หมายถึง การไปมาหาสู่ในสถานท่ีอันไม่เหมาะสม เช่นการไปมาหาสู่หญิงแพศยา หญิงโสเภณี หญิงหม้าย บัณเฑาะก์ โรงสุรา๔๐ ในปัจจุบันนี้ สาหรับเยาวชนไม่ควรไปบ่อยนัก ได้แก่ บรรดาร้านเล่นเกมส์ ร้าน อินเตอรเ์ น็ต เพราะเป็นแหล่งสร้างความรุนแรงด้านความรู้สึกทางอารมณเ์ ป็นอยา่ งยิ่ง แต่ควรไปในที่โคจร เช่น วดั เปน็ สถานทท่ี าบุญ โรงเรียนสถานศกึ ษาต่างๆ เปน็ ต้น ๓.๓ ความพร้อมด้านแหล่งความรู้ และแบบอย่างที่ดี(กัลยาณมิตร) ได้แก่ บุคคลผู้ เพียบพรอ้ มด้วยคณุ สมบัตทิ ี่จะส่งั สอน แนะนา ช้แี จง ชกั จูง ช่วยบอกช่องทาง หรือ เป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นดาเนิน ไปในมรรคาแห่งการฝึกฝนอบรมอย่างถูกต้อง๔๑ เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก ครู อาจารย์ และท่านผู้ เป็นพหูสูตรทรงปัญญา สามารถสั่งสอนแนะนาเป็นที่ปรึกษาได้ แม้จะอ่อนวันกว่า๔๒ นัยตรงกันข้าม ควรเว้น บุคคลผูเ้ ปน็ คนพาล มิใชบ่ ณั ฑติ เสยี ๓.๔ ความพร้อมด้านแรงจูงใจใฝุรู้สร้างสรรค์ (ฉันทสัมปทา) ได้แก่ ความพร้อมด้านความพึง พอใจ โดยมีกุศลจิตเป็นพื้นฐาน รู้จักวิจารณญาณควบคุมต่ออินทรีย์ภายใน เมื่อได้รับสัญญาณจากอินทริย์ ภายนอก เช่น เม่ือตาเห็นรูป หูฟังเสียงเป็นต้น แล้วปฏิบัติตามขั้นตอนการรับรู้อย่างมีสติสัมปชัญญะ คือ ให้มี ความพอใจในกุศลการทาสุจริตกรรม ซ่ึงมีฉันทะเป็นผู้นาเบื้องต้น และละเว้นอกุศลการทาทุจริตกรรมอันมี ตณั หาเป็นตวั นาก่อน เม่อื ลงมือปฏบิ ตั หิ น้าท่กี ิจการงานของตนเอง เพื่อความปลอดภัยจากตัวทุกข์นั่นเอง หรือ ใหม้ ที กุ ขน์ ้อยทส่ี ุด ถ้าเราสามารถปฏิบัตติ น ฝึกฝนตนให้มีฉนั ทสมั ปทานี้๔๓ ๓.๕ ความพร้อมด้านทัศนคติและค่านิยมให้รับแนวเหตุผล (ทิฏฐิสัมปทา) ได้แก่มีความถึง พรอ้ มด้วยความเห็นเข้าใจตามนัยเหตุผล หลักการที่เห็นสมข้อที่ถูกใจ ปัจจุบันนิยมเรียกว่า ค่านิยม รวมไปถึง อุดมการณ์ แนวทัศนะในการมองโลก ที่นิยมเรียกว่า โลกทัศน์และชีวทัศน์ต่าง ๆ ตลอดจนทัศนคติพ้ืนฐานที่ สืบเนื่องจากความเห็นความเข้าใจ และความใฝุนิยมเหล่าน้ัน๔๔ ซ่ึงความเห็นนี้ ถือว่าสาคัญมากต่อการ แสดงออกทางกาย และวาจา ถ้าคิดดีเห็นดีก็จัดเป็นกุศลกรรมบท ถ้าคิดชั่วก็จะพูดช่ัวและทาช่ัวเป็ นอกุศล กรรมบท๔๕ ๓.๖ ความพรอ้ มด้านสตคิ วามตนื่ ตัวในการทากิจ (อัปปมาทสัมปทา) ได้แก่ ความไม่ประมาท ความเปน็ อย่อู ยา่ งมีสติ ความไม่เผลอ ความไมเ่ ลนิ เล่อเผลอสติ ความไม่ปล่อยปละละเลย ความระมัดระวังท่ีจะ ไม่ทาเหตุแห่งความผิดพลาดเสียหาย และไม่ละเลยโอกาสท่ีจะทาเหตุแห่งความดีงามและความเจริญ เป็นคน รอบคอบ โดยเม่อื กล่าวสรปุ คอื ไมป่ ระมาทใน ๔ สถาน คอื ในการละกายทจุ รติ ประพฤติกายสุจริต ในการละ วจีทุจริตประพฤติวจีสุจริต ในการละมโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต และในการละมิจฉาทิฏฐิ แล้วประพฤติ สัมมาทิฏฐิ๔๖ ๔๐องฺ.จตกุ กฺ .(ไทย) ๒๑/๓๑/๕๐. ๔๑ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบับประมวลศพั ท,์ กรงุ เทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓ หนา้ ๓๕๙. ๔๒ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยตุ ฺโต), พุทธธรรมฉบับปรบั ปรงุ และขยายความ, พิมพค์ รั้งที่ ๗, กรุงเทพมหานคร: โรง พิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑, หนา้ ๖๒๓. ๔๓ พระธรรมปฎิ ก, (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), ทศวรรษธรรมทัศน์พระธรรมปิฎกหมวดพทุ ธศาสตร์, หน้า ๑๔๐- ๑๔๑. ๔๔ เรื่องเดยี วกัน, หนา้ ๑๔๐ - ๑๔๑. ๔๕ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พุทธธรรมฉบับปรับปรงุ และขยายความ, หน้า ๗๓๕–๗๓๖. ๔๖ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตโฺ ต), ทศวรรษธรรมทศั น์พระธรรมปิฎกหมวดพทุ ธศาสตร์, หนา้ ๔๐๑–

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๕ ๔. สิง่ ท่เี ปน็ อุปสรรคในการพัฒนากาย หรอื อินทรีย์ ๖ เมอ่ื บคุ คลไม่สารวมกาย หรือไม่สารวมอินทรีย์ ๖ มี ตา หู เป็นต้น ย่อมเสพอารมณ์ท่ีมากระทบด้วยตัณหา จึงเกิดทุกข์ เพราะอาศัยอินทรีย์น่ันเอง โดยตัณหา๔๗ เกิดได้ ๖ ทาง รูปตัณหา ความทะยานอยากได้รูป สัททตัณหา ความทะยานอยากได้เสียง คันธตณั หา ความทะยานอยากได้กลิ่น รสตัณหา ความทะยานอยากได้รส โผฏฐัพพตัณหา ความทะยานอยาก ไดก้ ารถกู ต้องดว้ ยกาย ธมั มตัณหา ความทะยานอยากได้อารมณข์ องใจ๔๘ โดยใหพ้ จิ ารณาในสายเหตุไปหาผล จะพบวา่ บุคคลผไู้ ม่พัฒนากายนน้ั มปี ัญหาจากการไมค่ บหาสตั บุรุษ การไมฟ่ ังสทั ธรรม ความไมเ่ กิดศรัทธา การ ขาดหลักโยนิโสมนสิการ จนกระท่ังส้ินสุดการทางานท่ีอวิชชา ซ่ึงเป็นผล ฉะนั้น จึงไม่สามารถทาให้เกิดความ สมบรู ณ์ในการพัฒนาไดเ้ ลย ดังวงจรต่อไปนี้ การไม่คบสตั บุรษุ การไม่ฟังสทั ธรรม ความไม่มศี รทั ธา การมนสิการโดยไม่ แยบคาย ความไม่มสี ตสิ ัมปชญั ญะ ความไม่สารวมอินทรีย์ ทุจริต ๓ นวิ รณ์ ๕ อวชิ ชา ท่ีบรบิ ูรณ์๔๙ ๕. กระบวนการสาหรับพัฒนากาย คือ กระบวนการที่สามารถจะพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ถึงการดับ ความทุกขไ์ ดต้ ามลาดบั โดยมขี ้นั ตอนการดบั ทกุ ข์ตามลาดบั ดงั น้ี ขั้นท่ี ๑ อนิ ทรีย์ภายใน + อนิ ทรีย์ภายนอก+วญิ ญาณ = ผสั สะ ขั้นท่ี ๒ เวทนา (การเสวยอารมณ์) ขนั้ ท่ี ๓ ปัญญา (โยนโิ สมนสิการ) อธิบายกระบวนการสาหรับพฒั นากาย วา่ เมอ่ื บุคคลเสพอารมณ์ภายนอกผ่านประสาทสัมผัส ภายใน เช่น ตาเห็นรูป จะปรากฏวิญญาณ คือ สภาพรับรู้ข้อมูลทันที หลังจากน้ันก็จะเกิดการสัมผั ส คือ ถกู ตอ้ งกัน แลว้ เกดิ เวทนา คือ การเสพหรอื เสวยอารมณ์ท่ีได้รับมานั้น ต่อจากนั้น ปัญญาหรือโยนิโสมนสิการก็ จะทาการตัดตัณหา คือ ความอยากในขณะน้ันเช่นกันเพ่ือปูองกันไม่ให้สภาพจิตใจหลงใหลไปตามกระแสแห่ง ตณั หา จงึ เป็นสายดบั ทกุ ขน์ ้นั เอง ขณะทบี่ ุคคลเสพอารมณ์ทีม่ ากระทบอินทรีย์ภายในด้วยปัญญา ย่อมเป็นเหตุ ให้เกดิ ความดบั ทกุ ขไ์ ด้ โดยเป็นการใช้โยนิโสมนสิการควบคุมอินทรีย์ ให้ทางานอย่างไม่ตกเป็นทาสแห่งตัณหา ก็จะเป็นการนาสู่การดับทุกข์ตามลาดับ คือ สามารถจะสกัดก้ันตัณหาไว้ได้ด้วยปัญญา กระบวนการสายดับ ทุกข์ เมือ่ พิจารณาจากจดุ เร่ิมต้น คอื การคบสตั บรุ ุษคนดีเปน็ กัลยาณมิตร การฟังธรรม ความมีศรัทธา ไล่ไปจน สุดสายดับทุกข์ กระท่ังจนถึง วิชชาและวิมุตติ ก็เป็นผลสืบเนื่องจากความสารวมอินทรีย์ เป็นหนึ่งของ องค์ประกอบเหลา่ น้ันดว้ ย อย่างไรกต็ าม เมอื่ พจิ ารณาถึงวิชชาและวิมตุ ติซึง่ เปน็ ผลสูงสดุ ในการพฒั นากาย โดยมีความสมั พนั ธ์กับ หลกั ธรรมทเี่ กี่ยวข้อง คือ วิชชาและวิมตุ ตินนั้ เกิดข้นึ มาได้ ดว้ ยอาศยั โพชฌงค์ สติปัฏฐาน สุจริต ความสารวม อนิ ทรีย์ ความมีสติสมั ปชัญญะ การมนสิการโดยแยบคาย ความมีศรัทธา การฟังธรรม และการคบสัตบรุ ุษเปน็ เหตเุ รม่ิ ต้นของวิชชาและวมิ ุตตินัน่ เอง โดยพจิ ารณาจากเหตุไปหาผล ดังน้ี การคบสตั บรุ ุษ การฟังธรรม ความมีศรัทธา การมนสิการโดยแยบคาย สติสัมปชัญญะ ความสารวมอนิ ทรยี ์ ๖ สจุ ริต ๓ สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ วชิ ชาและวิมุตติ๕๐ ๔๐๒. ๔๗ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๒๓/ ๓๑๘. ๔๘ องฺ.ทสก.(ไทย)๒๔/๖๒/๑๓๗ - ๑๓๘. ๔๙ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๖๑/ ๑๓๕. ๕๐ องฺ.ทสก.(ไทย) ๒๔/๖๑/๑๓๕-๑๓๖.

การสอนธรรมวิทยา ๑๖ ๖. เหตปุ จั จัยท่ีเปน็ อปุ การะต่อการพัฒนากาย ๖.๑ การปูองกันด้วยการเห็น หมายถึง การเข้าไปหา เข้าไปพบเห็นสัตบุรุษ คือ คนมีความ ประพฤตดิ ี สตั บุรุษ หมายถึง ผมู้ ีสปั ปุรสิ ธรรม ๗ ประการ ได้แก่ เป็นผู้รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้จักประมาณ รู้จักกาล อันควรและไม่ควร รู้จักชุมชนสังคมนั้น และรู้จักบุคคลโดยความแตกต่างกันทั้งทางจริตนิสัย และคุณสมบัติ ท่ีจะฝึกฝนได้หรือไม่ เพราะถ้าขาดการเห็นสัตบุรุษ ไม่เข้าใจหลักธรรมของท่าน ไม่พิจารณาถึงธรรมท่ีควร มนสกิ าร และไม่ควรมนสิการ ยอ่ มจะเกดิ อาสวะ๕๑ ๖.๒ การปอู งกันอาสวะดว้ ยการบริโภคปัจจัย หมายถึง การจะใช้สอยปัจจัย ๔ คือ เคร่ืองนุ่ม หม่ อาหาร ท่ีอยู่อาศัย และยารกั ษาโรค จะต้องพิจารณาโดยแยบคายก่อนจึงบริโภค คือ อย่าใช้สอยเพ่ือสนอง ตอ่ ตณั หา๕๒ ข้อนี้สาคัญมากต่อการเกิดค่านิยมทางวัตถุในปัจจุบัน เพราะเมื่อคนเราขาดการพิจารณาโดยแยบ คายแล้ว อาสวะจะเจริญได้เร็วมาก และยากท่ีจะปูองกันได้ ส่วนมากจะไปแก้ที่ปลายเหตุ คือ เมื่อเกิดปัญหา การแย่งชงิ ทรัพย์สิน อันเป็นปจั จยั ทด่ี แี ละดีกว่ามาสนองตอบตัณหาของตน เข้าทานองว่า “แย่งถิ่นกันอยู่ แย่ง คกู่ ันพศิ วาส แยง่ อานาจกนั เป็นใหญ่ ”๕๓ เนื่องจากว่า ปัจจุบัน วัฒนธรรมในการบริโภควัตถุนิยม จนทาให้เสีย ความเป็นไทยลงไปทุกทีในด้านนี้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับสินค้า๕๔ ชีวิตแอบอิงอาศัยกับวัตถุ จนมีวัตถุเป็นสรณะ ลืมสรณะภายในคือความดีงาม ความเจริญงอกงามด้านจิตใจ ปัญญา เมื่อมีค่านิยมท่ีบริโภควัตถุจนเป็นทาส วัตถุแล้ว ย่อมเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีก เช่น ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ อาชญากรรม เพราะจะต้องแย่งชิง ส่ิงของกันในเม่ืออยากได้มาก ๆ มาบาเรอตน หรือแม้กระท่ังเด็กอนุบาลก็ใช้มือถือกันแล้ว๕๕ เป็นเร่ืองของพ่อ แม่รังแกลูก คือ ไม่สอนให้เด็กเจริญด้วยปัญญา แต่สอนให้เขาเจริญด้วยวัตถุ เมื่อโตข้ึนเป็นผู้ใหญ่จะต้องทา ความลาบากแก่ผ้ปู กครอง ซ่ึงปญั หาทางวฒั นธรรมน้ี มมี ลู เหตจุ ากการไม่พจิ ารณาก่อนการบริโภคใช้สอยปัจจัย ๔ หรอื ขาดความสารวมอินทรียท์ ด่ี ี ไม่ควบคุม ไมร่ ู้จกั คิดโดยหลกั โยนิโสมนสกิ าร เป็นตน้ ๖.๓ การปูองกันอาสวะด้วยการบรรเทา หมายถึง ให้พิจารณาโดยแยบคายภายในใจ โดยไม่ ยอมรับอกุศลวิตกมาสู่ใจของตน ได้แก่ ไม่รับกามวิตก คือ ความคิดในเรื่องกามคุณ ๕ ท่ีน่ารักน่าพอใจ ไม่รับ พยาบาทวิตก ได้แก่ ความคิดในเร่ืองแผนการทาร้ายคนอื่น และ ไม่รับวิหิงสาวิตก ได้แก่ ความคิดชนิด เบียดเบียนคนอ่ืนด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้พินาศไป และละบาปอกุศลทั้งปวงท่ีเกิดข้ึนแก่ตน แต่พยายามละอีก ต่อไปถา้ ยังไมห่ มด๕๖ ๖.๔ การปูองกันอาสวะด้วยการเจริญ หมายถึง เมื่อพิจารณาโดยแยบคายแล้ว พึงเจริญ โพชฌงค์ คือ ฝึกให้เป็นคนมีสติ รู้จักเลือกเฟูนธรรมะ มีความเพียร แล้วได้ปีติมีความสงบทางกาย (กายปัสสัทธิ) มคี วามสงบทางใจ (จติ ปสั สัทธ)ิ หรอื มีสมาธินั่นเอง แล้วข้อสุดท้าย คือ ให้มีอุเบกขาความวางเฉย ๕๑ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๑๗–๒๑/๑๘-๒๑. ๕๒ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๓/๒๒-๒๓. ๕๓ พระพิจิตรธรรมพาที (ชยั วัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน), (เทศนาวาไรต้ี), ( ออนไลน)์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=2058 หนา้ ๑๙๐, สืบค้นเม่อื ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙. ๕๔ ณัฐกานตล์ ม่ิ สถาพร, “วัฒนธรรมโลกาภิวัฒน”์ , สยามรฐั สัปดาหว์ ิจารณ์, ปีท่ี ๔๙ ฉบบั ที่ ๔๑, (๗ - ๑๓–มนี าคม๒๕๔๖): ๕๕ ๕๕ สรวงมณฑ์สทิ ธิสมาน, “เพ่ือนบา้ น”, สยามรฐั สปั ดาหว์ ิจารณ์, ปีที่ ๔๙ ฉบับที่ ๔๓, (๒๑–๒๗ มนี าคม ๒๕๔๖): ๒๘. ๕๖ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๖/๒๕.

การสอนธรรมวิทยา ๑๗ ต่ออารมณ์ โดยอาศัยความวิเวก วิราคะ นิโรธ ให้น้อมไปเพ่ือความสละทิ้ง จนกว่าจะหายความเร่าร้อน ความ คบั แคน้ ใจ๕๗ ๑.๔.๖ การพฒั นาจติ (จติ ภาวนา) การพัฒนาจิต หมายถึง อธิจิตตสิกขาในไตรสิกขาน่ันเอง ซ่ึงหมายถึง การฝึกปรือในด้านคุณภาพและ สมรรถภาพของจิต ได้แก่รวมเอาองค์มรรคข้อสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ เข้ามา ว่าโดยสาระ ก็คือ การฝึกให้มีจิตใจเข้มแข็ง ม่ันคง แน่วแน่ ควบคุมตนได้ดี มีสมาธิ มีกาลังใจสูง ให้เป็นจิตท่ีสงบ ผ่องใส เป็นสุข บริสุทธ์ิ ปราศจากสิ่งรบกวน หรือ ทาให้เศร้าหมอง อยู่ในสภาพเหมาะแก่การใช้งานมากท่ีสุด โดยเฉพาะการใช้ปัญญาอย่างลึกซ้ึง และตรงตามความเป็นจริง๕๘ กล่าวโดยย่ออธิจิตตสิกขา ก็คือ หลักสมาธิ ความแน่วแน่แห่งจิตใจ โดยใช้หลักสมถะและวิปัสสนาเป็นสาคัญ ในการพัฒนาจิตเพ่ือให้มีคุณภาพที่ดี จนสามารถละอวิชชาไดต้ ามลาดบั ดังพระพทุ ธพจนท์ ่ีตรัสไวว้ า่ “สมถะท่ีภิกษุเจริญแล้ว ย่อมให้จิตเจริญ จิตท่ีเจริญแล้ว ย่อมละราคะได้ วิปัสสนาที่ภิกษุ เจริญแลว้ ยอ่ มใหป้ ญั ญาเจริญ ปัญญาท่ีเจริญแลว้ ยอ่ มละอวชิ ชาได้”๕๙ การจะพัฒนาจิตใจให้เกิดความสาเร็จในด้านต่างๆ เช่น ให้มีกาลังที่เข้มแข็ง มีสุขภาพจิตที่ดี เป็นต้น ควรทราบถงึ คุณสมบัติของจติ โดยสงั เขป จากนน้ั พึงทราบเปาู หมายในการพัฒนาจติ ดังต่อไปน้ี ๑. คณุ สมบตั ิของจิต เมื่อกล่าวถึงคุณสมบัติของจิต ย่อมมีลักษณะที่พิเศษหลายประการ ได้แก่ ดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ดิ้นรนไปมา เห็นได้ยาก ละเอียดย่ิงนัก เท่ียวไปไกล เท่ียวไปดวงเดียว ไม่มี รปู ร่าง อาศยั อยูใ่ นถา้ ๖๐ ๒. เปูาหมายในการพัฒนาจิต คือ ทาให้บุคคลท่ีฝึกฝนพัฒนาจิตดีแล้ว ย่อมได้ถึงเปูาหมายได้ใน ๓ ลกั ษณะ ดงั น้ี ๒.๑ ด้านคุณภาพของจิต คือ ให้มีคุณธรรมต่าง ท่ีเสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม เป็นจิตใจที่สูง ประณีต เช่น มีเมตตา มีความรัก ความเป็นมิตร มีกรณุ า อยากช่วยเหลอื ปลดเปล้ืองทุกข์ของผู้อื่น มีจาคะ คือ มีน้าใจเผอ่ื แผ่ มีคารวะ มีความกตัญญเู ปน็ ตน้ ๒.๒ ด้านสมรรถภาพของจิต คือ ให้เป็นจิตท่ีมีความสามารถ เชน่ มสี ติดี มีวริ ยิ ะ คือ ความ เพียร มีขนั ติ คือ อดทน มสี มาธิ คอื จิตต้งั มั่นแน่วแน่ มสี ัจจะ คือ จริงจงั มีอธิษฐาน คือ เด็ดเดย่ี วแนว่ แน่ตอ่ จดุ หมายท่ที าเปน็ จิตใจที่พรอ้ มและเหมาะท่ีจะใช้งานโดยเฉพาะงานทางปัญญา คือ การคิดพิจารณาใหเ้ หน็ ความจรงิ ชัดเจนถูกต้อง ๒.๓ ดา้ นสขุ ภาพของจิต คอื ใหเ้ ป็นจติ ทมี่ ีสุขภาพท่ีดี มีความสุข สดช่ืน ร่าเริงเบิกบานปลอด โปร่ง สงบ ผ่องใส พร้อมท่ีจะย้ิมแย้มได้ มีปีติ ปราโมทย์ ไม่เครียด ไม่กระวนกระวาย ไม่คับข้องใจ ไม่ขุ่นมัว เศร้าหมอง ไม่หดหู่โศกเศร้า เป็นตน้ ๖๑ ๑.๔.๗ การพัฒนาด้านปัญญา (ปัญญาภาวนา) ๕๗ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๒๗/๒๕–๒๖. ๕๘ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พทุ ธธรรมฉบบั ปรับปรุงและขยายความ, อา้ งแล้ว, หน้า๙๑๕. ๕๙ องฺ.ทุก.(ไทย) ๒๐/๓๒/๗๖. ๖๐ ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๓๗/๓๗. ๖๑ พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโฺ ต), ความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนาในฐานะศาสนาประจาชาติ,พิมพ์ครงั้ ที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธพิ ุทธธรรม, ๒๕๔๐), หนา้ ๘๐-๘๑.

การสอนธรรมวิทยา ๑๘ ปญั ญาหมายถงึ ความรู้ทว่ั ปรีชาหยัง่ รู้เหตุผลความรู้เขา้ ใจชดั เจนความรเู้ ข้าใจหย่งั แยกได้ในเหตุผลดีชั่ว คุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์เป็นต้น และรู้ท่ีจะจัดแจงจัดสรร จัดการความรอบรู้ในกองสังขารมองเห็น ตามเป็นจริง” ปัญญาน้ัน เป็นเครื่องวินิจฉัยสุตะคือความรู้ท่ีเข้ามาน้ันเป็นข้อมูลดิบเป็นของดิบยังไม่รู้ว่า เป็นอย่างไรมคี ณุ คา่ อย่างไรจะเอาไปใชอ้ ยา่ งไรถา้ คนไม่มีปัญญาความรู้นั้นก็เอามากกองไว้เฉยๆไม่รู้ว่าจะเอาไป ใช้ประโยชน์ได้อย่างไรแต่คนที่มีปัญญาจะสามารถวินิจฉัยได้เลือกเฟูนได้ว่าถ้าเราจะทาอะไรให้สาเร็จสักอย่าง หน่งึ จะต้องเอาความรู้นไี้ ปใช้ไปทาอยา่ งไรไปดดั แปลง อย่างไรเอาความรู้น้ันไปยักเยื้องใช้งานทาการแก้ไขปัญหาจัดทาส่ิงต่างๆให้สาเร็จผลตามต้องการได้ ความรทู้ เี่ ขา้ ใจสิง่ ท้งั หลายตามความเป็นจรงิ ความรทู้ ส่ี ามารถสบื สาวเหตปุ ัจจยั ของส่ิงต่างๆความรู้ที่สามารถคิด พิจารณาวินิจฉยั ไดเ้ ลอื กเฟูนกล่ันกรองได้เชื่อมโยงประสานได้ทาให้เอาสุตะหรือข้อมูลข่าวสารวิชาการต่างๆไป ใช้งานสามารถจัดสรรจัดการทาส่ิงต่างๆให้สาเร็จได้ความรู้อย่างนี้เรียกว่าปัญญา๖๒ การมีปัญญาที่พัฒนาแล้ว ได้แกก่ ารไดฝ้ กึ ฝนอบรมตนเองใหม้ ีปญั ญาร้สู ่งิ ต่างๆตามความเป็นจริงเช่นการมีปัญญาพิจารณารู้ไตรลักษณ์คือ อนิจจังทกุ ขังและอนตั ตาตามความเปน็ จริงปราศจากการยดึ ถือว่าเปน็ ตวั เราของเรา๖๓ ส่วนความหมาย ปัญญาในแง่ของอธิปัญญาสิกขา หมายถึง การฝึกปรือปัญญาให้เกิดความรู้ ความเข้าใจสรรพสิ่งท้ังปวงตามความเป็นจริงจนกระทั่งหลุดพ้นมีจิตใจเป็นอิสระผ่องใสเบิกบานโดยสมบูรณ์ ได้แก่รวมเอาองค์มรรคข้อสัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะสองอย่างแรกเข้ามาว่าโดยสาระก็คือการฝึกอบรม ให้เกิดปัญญาบริสุทธ์ิที่รู้แจ้งชัดตรงตามสภาพความเป็นจริงไม่เป็นความรู้ความคิดความเข้าใจท่ีถูกบิดเบือน เคลือบคลมุ ย้อมสอี าพรางหรอื พร่ามวั เป็นต้นเพราะอิทธิพลของกิเลสมีอวิชชาและตัณหาเป็นผู้นาท่ีครอบงาอยู่ การฝึกปัญญาเชน่ นต้ี อ้ งอาศยั การฝึกจติ ใหบ้ รสิ ุทธิเ์ ป็นพื้นฐานแต่ในเวลาเดียวกันเม่ือปัญญาท่ีบริสุทธิ์รู้เห็นตาม เป็นจริงน้ีเกิดข้ึนแล้วก็กลับช่วยให้จิตน้ันสงบมั่นคงบริสุทธ์ิผ่องใสแน่นอนยิ่งข้ึน๖๔ เมื่อกล่าวโดยย่ออธิปัญญา สิกขากค็ อื ปัญญาความรอบรู้ความเข้าใจตามความจรงิ นัน่ เอง ปัญญามีหลายชื่อด้วยกันปัญญาท่ีเป็นตัวความรู้ในสังขารนั้นเป็นส่ิงท่ีจะต้องทาให้เกิดให้มีขึ้นต้อง ฝึกปรอื ทาใหเ้ จรญิ เพิม่ พูนขน้ึ ไปโดยลาดับปัญญาจึงมีหลายข้ันหลายระดับและมีชื่อเรียกต่างๆตามขั้นตอนของ ความเจริญบ้างตามทางเกิดของปัญญาน้ันบ้างตามลักษณะเฉพาะของปัญญาชนิดน้ันบ้างอันจะพึงศึกษาดังจะ ยกตัวอยา่ งช่ือของปัญญามาแสดงเชน่ เรยี กวา่ ปริญญาญาณวิชชาอัญญา อภิญญาพทุ ธิโพธสิ ัมโพธเิ ปน็ ต้น ด้วยเหตุที่ปัญญามีความหมายและสาระสาคัญดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนี้พึงทราบถึงความรู้ที่จาแนก โดยพัฒนาการทางปัญญาประเภทของการเกิดข้ึนแห่งปัญญาความรู้ที่จาแนกโดยกิจกรรมและผลงาน ของมนุษยค์ วามรู้ชุดเบด็ เตล็ดความถกู ต้องของความรูเ้ หตุปัจจยั ให้เกิดปัญญามีรายละเอยี ดดังต่อไปน้ี ๑. ความรู้ที่จาแนกโดยพัฒนาการทางปัญญาความรู้ที่อยู่ในขอบเขตของการฝึกอบรมสามารถแบ่ง ตามลาดบั ของการพัฒนาการหรือความเจรญิ ทางปัญญามี๓ทางดงั น้ี ๑.๑ สัญญาความกาหนดได้หมายรู้ ได้แก่ ความรู้ที่เกิดจากการกาหนดหมายหรือจาได้หมาย รู้ซ่ึงบันทึกไว้เป็นแบบเทียบเคียงและเป็นวัตถุดิบของการรู้และการคิดต่อๆไปสัญญาท่ีเกิดขึ้นตามปกติใน กระบวนการรบั รู้อาจจะแตกตา่ งกันได้เป็นความรูห้ ลายระดบั ตง้ั แตร่ ู้คลมุ เครือไปจนถึงรูช้ ดั เจนต้ังแต่บางแง่ถึงรู้ สมบรู ณ์รู้พลาดถงึ รูถ้ กู ตอ้ งซ่งึ เปน็ เพียงเรือ่ งการรบั รู้และไม่ร้เู ท่านน้ั จงึ เป็นเร่ืองของการพัฒนาความรโู้ ดยตรง ๖๒ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยุตโฺ ต), ความสขุ ที่แทจ้ ริง, พิมพค์ รัง้ ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๔๓), หนา้ ๑๘. ๖๓ ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๒/๓๔–๓๗. ๖๔ พระธรรมปิฎก, (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พุทธธรรมฉบบั ปรับปรุงและขยายความ,พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๗, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๑), หนา้ ๙๑๕.

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๙ ๑.๒ ทิฏฐิความเห็น หมายถึง ความเข้าใจโดยนัยเหตุผลคือความรู้ที่ได้ข้อสรุปอย่างใดอย่าง หน่ึงและมีความยึดถือไว้กับตัวตนอาจเป็นความรู้ที่มาจากแหล่งภายนอกแต่ได้คิดกล่ันกรองยอมรับหรือสรุป เข้ามาเป็นของตนเองโดยพระสารีบุตรอธิบายไว้ในมาคันทิยสูตรแสดงความหมายของคาว่า “ทิฏฐิ” ว่า หมายถึงสัมมาทิฏฐิเท่านั้นมี ๑๐ ประการได้แก่ทานที่ให้แล้วมีผลยัญท่ีบูชาแล้วมีผลการเซ่นแล้วมีผลผลวิบาก ของกรรมที่ทาดีทาช่ัวมีอยู่โลกน้ีมีโลกหน้ามีมารดามีคุณบิดามีคุณสัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมีอยู่สมณะพราหมณ์ผู้ ปฏบิ ตั ดิ ปี ฏิบัตชิ อบร้แู จ้งโลกนี้และโลกหนา้ ด้วยตนเองแล้วสอนให้ผู้อน่ื รู้แจ้งมอี ยู่ในโลก๖๕ ๑.๓ ญาณคอื ความร้ญู าณ หมายถึง ความหยั่งรเู้ ปน็ ไวพจน์หนึ่งของปัญญาความหมายเฉพาะ ในปัญญาท่ีทางานออกผลเป็นเรอื่ งๆญาณคือความรบู้ รสิ ทุ ธทิ์ ี่ผิดสว่างข้ึนมาเป็นความรู้ท่ีมองเห็นสภาวะของส่ิง น้ันๆโดยไม่มีความรู้สึกของตนหรือความยึดถือตัวตนเข้าไปเกี่ยวข้องญาณมีหลายระดับ บางครั้งเกิดขึ้น โดยอาศัยความคิดเหตผุ ลและไม่ข้นึ ต่อความคดิ เหตุผลแต่ออกไปสัมผัสกับสภาวะท่ีเป็นอยู่จริง๖๖ สัญญาเป็นวัตถุดิบของความรู้และความคิดต่างๆสัญญาจึงเป็นพื้นฐานให้เกิดทิฏฐิและญาณ เม่ือทิฏฐิ ญาณเกิดข้ึนแล้ว ก็ย่อมมีการห มาย รู้ตามทิฏฐิห รือญาณนั้ นจึ งเกิดเป็นสัญญาใหม่ซึ่งเป็นวัตถุดิบ ของความรแู้ ละความคิดอื่นต่อไปอีกข้อแตกต่างระหว่างทิฏฐิและญาณคือทิฏฐิทาให้เกิดสัญญาท่ีผิดพลาดส่วน ญาณจะชว่ ยให้เกดิ สัญญาทีถ่ กู ตอ้ งและแก้สัญญาทผี่ ิดพลาดได้ ดังนน้ั เมือ่ กล่าวถงึ สัญญาทิฏฐิและญาณแลว้ ย่อมมแี หลง่ ใหเ้ กิดใหอ้ าศัยรวมเรียกหลัก ๓ อย่างน้ีว่าทาง เกิดของปัญญาก็ได้ดงั ตอ่ ไปนี้ ๒. ประเภทของการเกิดขึ้นแห่งปัญญาประเภทหรือแหล่งความรู้๓อย่างที่กล่าวมาคือสัญญาทิฏฐิและ ญาณนั้นมีความสัมพันธ์กับการเกิดปัญญา๓ประการคือ (สุตมยปัญญา) คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณา หาเหตุผลด้วยตนเอง๖๗ (จินมยปัญญา) คือ ปัญญาท่ีเกิดจากการเล่าเรียนหรือถ่ายทอดต่อกันมา (ภาวนามย ปัญญา) คือ ปัญญาท่ีเกิดจากการลงมือปฏิบัติฝึกหัดอบรม๖๘ในการทากิจกรรมใดๆของมนุษย์จะต้องอาศัย ความรู้ความเข้าใจเพ่ือจะได้พัฒนาให้ถูกต้องเหมาะสมและเกิดผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ จึงสรุป ความรูใ้ นชุดจาแนกโดยกิจกรรมและผลงานของมนษุ ยเ์ ป็นลาดับ ๓. ความรู้ท่ีจาแนกโดยกิจกรรมและผลงานของมนุษย์ความรู้ชุดน้ีเป็นความรู้ท่ีเนื่องด้วยการ ปฏิบัติการทางสังคมเช่นการส่ือสารถ่ายทอดแสวงหาเอ่ยอ้างนับถือและท่ีเป็นมรดกทอดต่อกันสืบๆมาเป็น สมบัติของมนษุ ย์ม๓ี ประการ๖๙ดังนี้ ๓.๑ สุตะ (หรือสุติ) ความรู้ที่ได้สดับเล่าเรียนหรือถ่ายทอดกันมามี๒ได้แก่ (๑) ความรู้ที่ได้ ด้วยการสดับตรับฟังเช่นฟังพระเทศน์แม้แต่การศึกษาจากตาราคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นต้น (๒)ความรู้ท่ีบาง ศาสนาถอื วา่ ได้รบั การเปดิ เผยแจ้งดลใจจากองค์บรมเทพเช่นศาสนาพราหมณ์ที่ถือว่าตนได้รับถ่ายทอดโดยตรง จากพระพรหมความรู้นี้เรยี กวา่ สุติ ๓.๒ ทิฏฐิ คือ ความเห็นทฤษฎีลัทธิความเชื่อถือต่างๆได้แก่ความรู้ที่ได้ลงข้อสรุป ให้แก่ ตน อย่างใดอย่างหน่ึงประกอบด้วยความยึดถือผูกพันกับตัวตนจนเกิดเป็นสานักเพื่อเผยแผ่ลัทธิความเชื่อ ของ ตนเอง ๖๕ ข.ุ ม.(ไทย) ๒๙/๗๔/๒๒๓–๒๒๔. ๖๖ ข.ุ ม.(ไทย) ๒๙/๗๔/๒๒๔. ๖๗ ข.ุ ม.(ไทย) ๒๙/๗๔/๒๒๔. ๖๘ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๔๓/๒๗๑. ๖๙ พระธรรมปิฎก, (ปยตุ ฺโต), พทุ ธธรรมฉบบั ปรับปรงุ และขยายความ, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๗, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หนา้ ๕๓-๕๔.

การสอนธรรมวทิ ยา ๒๐ ๓.๓ ญาณ คือ ความรู้ความหย่ังรู้ความรู้บริสุทธ์ิความรู้ตรงตามมลภาวะหรือปัญญาท่ีทางาน ออกผลเป็นเรื่องๆหรือมองเหน็ ตลอดสายในด้านหนงึ่ ๆญาณเป็นความรู้ระดับสุดยอดของปัญญามนุษย์และเป็น ผลสาเร็จสาคัญของมนุษย์ด้วยเหตุว่าญาณสามารถผลักดันให้มนุษย์สาเร็จขั้นโ พธิญาณซ่ึงหมายถึงความตรัสรู้ เช่นการท่ีพระพุทธเจ้าตรัสรู้เราเรียกว่าสัมมาสัมโพธิญาณเป็นศัพท์เฉพาะพระองค์นอกจากนี้ยังมีวิธีจาแนก ความรู้อย่างอ่ืนอีกจดั เป็นข้อปลีกย่อยลงไปคือนาความรู้หมวดต่างๆในเบื้องต้นท่ีกล่าวแล้วน้ันมาคลุกเคล้าเข้า หมวดกัน ๔. ความรู้ชุดเบ็ดเตล็ดความรู้ในชุดน้ีรวมแล้วมี ๕ ลักษณะได้แก่ (๑) ความรู้ที่ได้จากการบอกกล่าว เลา่ ลอื ตรับฟังเล่าเรียนถา่ ยทอด (๒) ความรู้ทไ่ี ดจ้ ากการคิดเหตุเหตุผลคือตรรกอนุมานการตริตรองตามเหตุผล (๓) ความรู้ตามแบบแผนตาราเช่นความรู้จากพระไตรปิฎก (๔) ความรู้ท่ีพิจารณาเห็นสมหรือยอมรับเข้า เป็นทิฏฐิหรือทฤษฎีของตน (๕) ความรู้ที่ได้ด้วยรู้แจ้งชัดประจักษ์กับตัวคือความรู้ท่ีได้เห็นจริงได้รู้จริงได้ช่ัง เหตุผลแล้วได้ไตรต่ รองแลว้ ได้ทาให้แจ่มชดั ปรากฏชดั แลว้ ๗๐ ๕. ความถูกต้องและความผิดพลาดของความรู้เมื่อมีการสดับฟังหรือเล่าเรียนในวิชาการสาขาต่างๆ ตลอดจนการรบั รขู้ ้อมูลในสรรพส่ิงทั้งปวงในโลกน้ีเพื่อเป็นการปูองกันความสับสนและความเข้าใจผิดต่อความ เปน็ จรงิ พระพุทธศาสนาสอนให้มองใน ๒ ระดับไดแ้ ก่ ๕.๑ ในแง่ของสัจจะมี ๒ ระดับคือ (๑) สมมติสัจจะความเป็นจริงโดยสมมติ หมายถึง การสมมติของโลกตามภาษาบัญญัติต่างๆเช่นบิดามารดาพระสงฆ์วัดโรงเรียนเป็นต้น (๒) ปรมัตถสัจจะ หมายถึง ความเป็นท่ีเป็นปรมัตถ์คือจริงตามธรรมชาติของมันอย่างน้ัน เช่น เมื่อแยกส่วนประกอบของคนเรา ออกแล้ว ก็จะเป็นธาตุขันธ์ อายตนะอาการ ๓๒ เป็นต้น จะเห็นว่าเป็นการแยกแยะมองอย่างความเป็นจริง ของสังขารรา่ งกาย๗๑ ๕.๒ ในแง่ของวิปลาสคือความเข้าใจคลาดเคลื่อนผิดจากความเป็นจริงของสรรพส่ิงท้ังปวง หมายถึงการหลงผิดการลวงตัวเองวางใจวางท่าทีประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้องต่อโลกต่อชีวิตต่อสรรพสิ่งท้ังหลาย และเป็นเคร่ืองกีดก้ันบังตาไม่ให้เห็นสัจภาวะมี ๓ อย่างคือ (สัญญาวิปลาส) สัญญาคลาดเคลื่อนคือการจาผิด (จิตวปิ ลาส) จิตคลาดเคล่ือนคือคิดผิดและ (ทิฏฐิวิปลาส) ทิฏฐิคลาดเคลื่อนคือเห็นผิดโดยจาผิดคิดผิดและเห็น ผิดในลักษณะ ๔ ประการคอื (๑) ในสิง่ ไมเ่ ท่ียงว่าเท่ยี ง (๒) ในส่ิงที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข(๓) ในสิงท่ีเป็นอนัตตาว่า เป็นอตั ตาและ (๔) ในสง่ิ ท่ไี ม่งามวา่ งาม๗๒ สรุปท้ายบท คุณภาพชีวิตทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าเป็นองค์รวมขององค์ประกอบต่างๆ ซ่ึงจาแนกได้ ๒ ประเภท คือ รูปกับนามหรือเรียกง่ายๆ ว่ากายกับใจ ชีวิตจะเรียกได้ว่ามีคุณภาพอย่างแท้จริงก็ต่อเม่ือ ส่วนประกอบทุกส่วนมีคุณภาพน้ันคือ ชีวิตที่มีคุณภาพจะประกอบด้วยกายท่ีมีคุณภาพกายและคุณภาพใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตไม่ใช่ส่ิงท่ีตั้งอยู่นิ่งๆ แต่เป็นองค์รวมท่ีเคลื่อนไหวเม่ือพูดถึงคุณภาพชีวิตท่ีเคลื่อนไหวหรือ ชีวิตท่ีดาเนินไปในโลกท่ามกลางสภาพแวดล้อมจะมีวัตถุ กิจกรรมและเรื่องราวต่างๆ ที่ต่อเน่ืองกับชีวิตเพ่ิม ๗๐ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๗๒๘/๔๓๖. ๗๑ อภ.ิ ก.(ไทย) ๓๗/๑๐๖๒/๓๓๘. ๗๒ องฺ.จตุกกฺ .(ไทย) ๒๑/๔๙/๖๖.

การสอนธรรมวิทยา ๒๑ ขยายออกไปไม่ใช่เฉพาะกายกับใจล้วนๆ เท่าน้ัน วัตถุกิจกรรมและเรื่องราวต่างๆ เก่ียวกับชีวิตเหล่าน้ีจัดเป็น สว่ นประกอบของคุณภาพชวี ติ โดยแยกเปน็ คุณภาพธรรมดาสามญั ท่ีมองเห็นกันอยู่ประเภทหน่ึงและคุณภาพท่ี ลา้ ลึกเลยไปจากทม่ี องเห็นด้วยตาอกี ประการหน่ึง เชน่ คนบางคนมีทรัพย์สินเงินทองและส่ิงครอบครองบริโภค ดา้ นวัตถุพร่ังพร้อมบริบูรณ์ จัดได้ว่าในด้านที่ตามองเห็นเขาเป็นคนที่มีความสุขหรืออาจเป็นคนท่ีมีความทุกข์ มากก็ได้ คุณภาพชีวติ ท่ีดีแทจ้ ริงตอ้ งพร้อมทง้ั ดา้ นหรือระดับที่มองเห็นและดา้ นหรือระดับท่ีเลยจากที่มองเห็น คาถามทา้ ยบท

การสอนธรรมวิทยา ๒๒ เอกสารอา้ งอิงประจาบท ปรชี า ช้างขวัญยืน, (๒๕๓๕), ธัมมวจั นโวหารไทย, (รายงานการวิจัย), กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . พระธรรมธรี ราชมหามุน,ี (โชดก ญาณสิทธฺ )ิ , (๒๕๔๖), วิปสั สนาญาณโสภณ, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓, (กรงุ เทพมหานคร : ศรีอนนั ต์การพมิ พ.์ พระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต), (๒๕๔๐), ความสาคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะศาสนาประจาชาต,ิ พมิ พ์คร้ังท่ี ๙, กรงุ เทพมหานคร : มลู นธิ ิพทุ ธธรรม. , (๒๕๔๓), พจนานกุ รมพทุ ธศาสนฉ์ บับประมวลศพั ท์, กรงุ เทพมหานคร: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . , (๒๕๔๑), พุทธธรรมฉบับปรบั ปรงุ และขยายความ, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๗, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลง กรณราชวิทยาลัย. , (๒๕๔๖), วิธคี ิดตามหลกั พทุ ธธรรม, พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๗, กรุงเทพมหานคร: ศยาม. พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต), (๒๕๔๗), รูห้ ลกั ก่อนแลว้ ศกึ ษาให้ได้ผล, สานักงานคณะกรรมการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน. พระราชวรมนุ ี (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต), (๒๕๒๙), การศึกษาของคณะสงฆป์ ญั หาท่ีรอทางออก, กรงุ เทพมหานคร : มลู นิธโิ กมลคีมทอง. พทุ ธทาสภิกข,ุ (๒๕๔๒), บางแงม่ มุ ของกามในทัศนะพทุ ธทาสภิกข,ุ กรุงเทพมหานคร : สานกั พิมพ์สขุ ภาพใจ. สุภาคย์ อนิ ทองคง, (๒๕๕๐), การใช้หลักพุทธธรรมนาการวจิ ยั และพัฒนาตามปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงสูส่ ุขภาพองค์รวม ,(บทความวจิ ยั ), ศูนยเ์ รียนรชู้ มุ ชนภาคใต้ (ศรช.).

บท ๒ แนวคดิ ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดกิจกรรม วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ประจาบท เม่อื ได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทนแ้ี ล้ว ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายแนวคดิ ทฤษฎีเกีย่ วกับการจัดกิจกรรมได้ ๒. อธิบายแนวคิดทฤษฎกี ารเรียนรู้ได้ ๓. อธิบายแนวคิดเกีย่ วกบั การจดั กิจกรรมการสอนวิชาพระพุทธศาสนาได้ ขอบขา่ ยเนือ้ หา  แนวคดิ ทฤษฎีเก่ียวกับการจัดกจิ กรรม  แนวคดิ ทฤษฎกี ารเรียนรู้  แนวคดิ เกย่ี วกบั การจัดกจิ กรรมการสอนวชิ าพระพุทธศาสนา

การสอนธรรมวทิ ยา ๒๔ ๒.๑ ความนา การจัดการเรียนรู้เป็นส่วนหน่ึงของการจัดการศึกษา การจัดการเรียนรู้ท่ีจัดเป็นระบบหรือที่เรียกว่า การจัดการเรียนร้เู ชิงระบบหรือระบบการจดั การเรยี นรู้ ทาใหก้ ารจัดการเรียนรูม้ ปี ระสทิ ธิภาพ เพราะมีข้ันตอน และการจัดดาเนนิ การจัดการเรยี นรทู้ ี่เป็นระบบ มีแบบแผนท่ีชัดเจน ผู้ที่เป็นผู้สอนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับระบบการจัดการเรียนรู้ ท้ังด้านความหมาย ความสาคัญ องค์ประกอบและรูปแบบระบบการจัดการ เรยี นรู้ของนักการศกึ ษาต่างๆ และการนาระบบการจัดการเรียนรู้ไปใช้ระบบการจัดการเรียนรู้ (Instructional System) หรือการจัดการเรียนรู้เชิงระบบ (Systematic Instruction) เป็นการจัดการเรียนรู้ที่นาเอาแนวคิด เร่ืองการจัดการระบบของการทางานเข้ามาใช้ปรับปรุงคุณภาพทางการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ระบบการ จดั การเรยี นรู้ หมายถงึ การจัดองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ไว้อย่างมีลาดับ มีขั้นตอนและมีความสัมพันธ์ กนั เพอ่ื สะดวกต่อการนาไปสู่จุดหมายปลายทางของการจัดการเรียนรู้ท่ีได้กาหนดไว้รุปความสาคัญของระบบ การจดั การเรียนรูไ้ ดด้ งั น้ี ๑. ระบบการจัดการเรียนรู้ช่วยให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดาเนินไปอย่างเป็นระบบมีระเบียบ ไม่สับสน กระบวนการต่างๆดาเนินไปตามลาดับข้ันสามารถตรวจสอบได้ว่ามีจุดบกพร่องท่ีใดบ้าง เมื่อเกิด ปัญหากส็ ามารถแก้ปัญหาไดต้ รงจดุ สามารถตรวจสอบไดว้ ่าการจดั การเรยี นรู้ไดผ้ ลเพยี งใด ๒. การจัดระบบการจัดการเรียนรู้เป็นวิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับคุณภาพของการจัดการ เรยี นรูข้ องผู้สอน ทาให้ผู้สอนตอ้ งวางแผนการจดั การเรียนรู้ ต้องดาเนินการจัดการเรียนรู้ตามแผนท่ีวางไว้และ ต้องวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ท่ีกาหนดเป็นการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ของผู้สอนไปใน ตัวเอง ๓. การจัดระบบการจัดการเรียนรู้ทาให้องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ที่กาหนดไว้มีความ สอดคล้องสัมพันธ์กันและมีความสาคัญต่อกันและกันอย่างใกล้ชิดและชัดเจน ซ่ึงจะช่วยให้การจัดการเรียนรู้ ประสบผลสาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์ ๒.๒ แนวคิดทฤษฎเี กยี่ วกบั การจดั กจิ กรรม ๒.๒.๑ ความสาคัญของการจัดกจิ กรรม สถานศกึ ษาเปน็ ส่ิงสาคัญมากในเบื้องต้น ของกระบวนการให้คาปรึกษาแนะนา ท้ังน้ีเพราะพฤติกรรม ด้ังเดิมที่สะสมมานานเป็นพฤติกรรมท่ีไม่สามารถปรับตัวให้เข้าสถานการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไปได้ จึงทาให้เกิด ปัญหาข้ึนและไม่มีความม่ันคงเมื่อสภาวการณ์เปลี่ยนไป พฤติกรรมเหล่านี้ ก่อให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งในเร่ือง ต่างๆต่อการทางานภายในองค์กรเม่ือถูกสะสมเก็บไว้เป็นเวลานานๆ ก็จะเกิดความรู้สึกเก็บกดไว้ภายใน เมื่อมีการแสดงออกมาภายนอกจึงเป็นพฤติกรรมท่ีไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ ไม่เป็นที่ยอมรับและก่อให้เกิด ปญั หาต่อองค์กร ในข้ันตอนน้ีทปี่ รึกษาจะตอ้ งเข้าไปมีสว่ นรว่ มในการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเหล่านี้เสียใหม่และ กาหนดข้ันตอนในการให้คาปรึกษาเพื่อละลายพฤติกรรม การจัดกิจกรรมนันทนาการ ละลายพฤติกรรมขึ้น ในหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ย่อมส่งผลดีต่อบุคลากรในหน่วยงานนั้นๆเพ่ือสร้างความสัมพันธ์ ที่ดีในกลุ่มผู้ ร่วมกิจกรรม โดยอาศัยเกมนันทนาการที่จะสร้างบรรยากาศแห่งความสนุกสนานร่วมกันการเปิดตัวเองออกสู่

การสอนธรรมวิทยา ๒๕ ผู้อ่ืน การละลายพฤติกรรม การรู้จักกัน และสามารถทางานหรือทากิจกรรมร่วมกันได้ เพ่ือเป็นบทสอน เป็นขอ้ คดิ และเป็นเนื้อหาสาระที่จะทาให้ผูเ้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมได้ปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมตนเองให้ดียิ่งขน้ึ ๒.๒.๒ ความหมายของการจัดกจิ กรรม คณะอนกุ รรมการปฏริ ูปการเรียนรู้๑ ได้กล่าวถึงลักษณะการจัดกิจกรรมไวว้ ่า การจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คือ การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่างๆ อย่างหลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียน เกิดการ เรียนรู้อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและสั่งสมคุณลักษณะท่ีจาเป็นสาหรับการเป็นสมาชิกที่ดี ของสงั คม ของประเทศชาติต่อไป การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีมุ่งพัฒนาผู้เรียน จึงต้องใช้เทคนิควิธีการ เรยี นร้รู ูปแบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนใน หลากหลายวิธซี ึง่ จาแนกได้ ดังนี้ ๑. การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม ได้แก่ การเรียนรู้แบบสืบค้น แบบค้นพบ แบบแก้ปัญหา แบบสร้างแผนผงั ความคิดแบบใช้กรณศี ึกษาแบบตัง้ คาถามแบบใชก้ ารตดั สินใจ ๒. เทคนิคการศึกษาเป็นรายบุคคล ได้แก่ วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียน แบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ๓. เทคนิคการจดั การเรยี นร้โู ดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ ประกอบการเรียน เช่น การใช้สิ่งพิมพ์ ตาราเรียน และแบบฝึกหัดการใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน ศูนย์การเรียน ชุดการสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียน สาเรจ็ รูป ๔. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิสัมพันธ์ ประกอบด้วยการโต้วาทีกลุ่ม Buzz การอภิปราย การระดมพลงั สมอง กลุ่มแกปัญหา กลุ่มติวการประชุม การแสดงบทบาทสมมติ กลุ่มสืบค้นคู่คิด การฝกึ ปฏบิ ตั ิ เป็นต้น ๕. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เช่น การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เกม กรณีตวั อยา่ งสถานการณ์จาลองละคร เกม กรณีตวั อย่าง สถานการณจ์ าลอง ละคร บทบาท สมมติ ๖. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ได้แก่ ปริศนาความคิดร่วมมือแข่งขันหรือกลุ่มสืบค้น กลุ่มเรียนรู้ รว่ มกัน รว่ มกนั คิด กลุ่มรว่ มมือ ๗. เทคนิคการเรยี นการสอนแบบบูรณาการ ไดแ้ ก่ การเรยี นการสอนแบบใช้เว้นเล่าเร่ือง (Story line) และการเรยี นการสอนแบบ แก้ปญั หา (Problem-Solving) พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน๒ ใหค้ วามหมายคาวา่ “กจิ กรรม” คือการท่ีผูเ้ รยี นปฏบิ ตั กิ ารอย่าง ใดอย่างหน่งึ เพื่อการเรียนรู้ Good๓ ได้ให้ความหมายของกจิ กรรมนสิ ิตนักศึกษา ไว้ว่า “เป็นกิจกรรมนอกชั้นเรียนที่นิสิตนักศึกษา จัดขึ้น เพ่ือเสรมิ สรา้ งประสบการณเ์ พือ่ ให้มีความเข้าใจตนเองและสังคมดขี ้ึน” กจิ กรรมนสิ ิตนกั ศึกษา ในความหมายโดยทั่วไป จึงหมายถึง กิจกรรมที่นิสิตนักศึกษาจัดข้ึนท้ังภายในภายนอกสถาบัน เพื่อสนองความต้องการและความสนใจของตนเอง โดยไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการเรียนการสอนในหลักสูตร จึงเรียกว่า “กิจกรรมนอกหลักสูตร”หรือเน่ืองจากกิจกรรมนิสิตนักศึกษาเป็นกิจกรรมที่สาคัญในการพัฒนา ๑ คณะอนุกรรมการปฏิรปู การเรยี นร.ู้ การปฏิรูปการเรยี นรูผ้ ูเ้ รยี นสาคัญทีส่ มดุล, (เอกสารอัดสาเนา), ๒๕๔๓, หน้า ๒๓-๒๕. ๒ ราชบณั ฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรงุ เทพมหานคร : นามมบี คุ๊ พบั ลเิ คช่นั ส,์ ๒๕๔๖), หนา้ ๒๕๓. ๓๓ Good, C.V. Destionary of Education. Edited by Good, Carter V. New York : McGraw – Hill Company, 1959,p.12.

การสอนธรรมวทิ ยา ๒๖ นิสติ นกั ศึกษาให้เป็นบคุ คลทมี่ คี วามสมบูรณ์ ทง้ั ทางดา้ น สติปญั ญา สังคม อารมณ์ ร่างกาย และจิตใจ เป็นการ เสริมใหน้ สิ ิต นักศึกษามีความรู้ และประสบการณจ์ ากทไี่ ดร้ ับในหลักสูตร จึงมีผูเ้ รยี กกิจกรรมนสิ ิตนกั ศกึ ษาว่า “กจิ กรรม เสริมหลกั สูตร หรือ กจิ กรรมร่วมหลกั สูตร”ด้วย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย๔ นาเสนอถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเกี่ยวข้อง กับพระพุทธศาสนา ไว้เป็นแนวทาง ๔ ลักษณะ ได้แก่ กิจกรรมเสริมเน้ือหาสาระตามหลักสูตรกิจกรรม ประจาวนั / ประจาสปั ดาห์ กิจกรรมเนื่องในโอกาสวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา กจิ กรรมพิเศษอืน่ ๆ ๑) กิจกรรมเสริมเน้ือหาสาระตามหลักสูตร ได้แก่ พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ประกวดมารยาท ชาวพุทธกิจกรรมค่ายพุทธบุตร (ตามสาระการเรียนรู้พระพุทธศาสนา)กิจกรรมบริหารจิตเจริญปัญญา เรยี นธรรมศกึ ษา/ สอบธรรมศึกษา บรรพชาสามเณรภาคฤดูรอ้ น ๒) กิจกรรมประจาวัน/ ประจาสัปดาห์เช่น กิจกรรมหน้าเสาธง กิจกรรมท่ีกระทา เพ่ือราลึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ (ก่อนเคารพธงชาติ) กิจกรรมไหว้พระสวดมนต์ แผ่เมตตา และสงบน่ิง (สมาธิ) กิจกรรมพุทธศาสนสุภาษิตวันละบท กิจกรรมน้องไหว้พ่ี (ในแถวหน้าเสาธง) กิจกรรมเดินแถวเข้าห้องเรียน อยา่ งมีสติ เช่น เดนิ พรอ้ มทอ่ งคติธรรมขณะเข้าหอ้ งเรียน ๓) กิจกรรมเน่ืองในโอกาสวันสาคัญทางพระพุทธศาสนา โรงเรียนวิถีพุทธควร จัดกิจกรรมวันสาคัญ ทางพระพทุ ธศาสนา คือ วันวสิ าขบูชา วนั อาสาฬหบชู า วนั มาฆบูชาวนั เข้าพรรษา วันอฏั ฐมีบูชา ๔) กิจกรรมพิเศษอื่นๆ เช่น กิจกรรมไขปัญหาธรรม กิจกรรมวันสาคัญของชาติ ศาสนาและ พระมหากษัตริย์ กิจกรรมยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทาความดี กิจกรรมอาสาตาวิเศษ (มีผู้สังเกตพฤติกรรม ของผู้ปฏิบัติธรรม) กิจกรรมบันทึกความดีของผู้ปฏิบัติธรรมกิจกรรมต้นไม้พูดได้ (เน้นคติธรรม) กิจกรรมจัด นิทรรศการผลงานทางพระพุทธศาสนากิจกรรมการ กาหนดทักษะและความรู้ทางพระพุทธศาสนา กิจกรรม สมาทานศีลในวันพระกิจกรรม สร้างสรรค์สังคม เช่น ทาความสะอาดห้องน้า กิจกรรมปฏิสัมพันธ์ เช่น ครูต้อนรับทักทายนักเรียนด้วยกิริยาวาจาอ่อนหวาน และสัมผัสที่ประกอบด้วยเมตตากิจกรรมต้นไม้อธิษฐาน กิจกรรมอบรมธรรมะ ๕ นาที เปน็ ต้น สานักงานพฒั นาคุณภาพ ให้ความหมายกิจกรรม ๕ ส๕ ไว้ดังน้ี ๑. สะสาง คือ แยกส่ิงที่ไมจ่ าเป็นกับสิง่ ทจ่ี าเปน็ ๒. สะดวก คอื การจดั วางส่ิงท่จี าเปน็ ให้ง่ายต่อการหยบิ ใช้ ร้ไู ด้ทนั ทีว่าอยู่ท่ีใด ๓. สะอาด คอื การรักษาความสะอาดสถานท่ี เคร่อื งใช้ อุปกรณ์ บริเวณทางเดินให้ปราศจาก ขยะ ฝุน่ ผงและเศษวัสดุ ๔. สขุ ลกั ษณะ คือรักษาสถานที่ทางานใหส้ ะอาดโดยรกั ษา ๓ ส.แรกใหด้ ีอย่เู สมอ ๕. สร้างนสิ ยั คอื การปฏิบตั ิตมกฎระเบยี บอย่างต่อเน่ืองจนเปน็ นสิ ยั สานักส่งเสริมและพัฒนานันทนาการ๖ ให้ความหมาย ของกิจกรรมไว้พอสรุปเป็นประเด็นได้หลาย ประเดน็ ดังนี้ ๔ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , โรงเรยี นวถิ พี ทุ ธ, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๔๗), หนา้ ๒๖–๒๙. ๔ สานักงานพฒั นาคณุ ภาพคณะวศิ วกรรมศาสตร,์ กจิ กรรม ๕ ส, มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร,์ (๒๓ ต.ค.๕๕), ๕ สานักส่งเสริมและนนั ทนาการ, Bureauof Recreation Development and Promotion, กระทรวง การท่องเท่ียวและกีฬา สนามกีฬาแห่งชาติ, (ขอ้ มูลเม่ือ ๒๕ ต.ค.๕๕),

การสอนธรรมวทิ ยา ๒๗ ๑. ความหมาย ทางกิจกรรมนันทนาการ คือ การท่ีเราจะสามารถจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ให้ประสบ ผลสาเร็จได้น้ัน เราควรจะต้องเรียนรู้ถึงกระบวนการสร้างมนุษยสัมพันธ์ของคนเราก่อนว่ามีรูปแบบและ ลกั ษณะใดเพือ่ เป็นพื้นฐานของการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ของคนเราก่อนว่ามีรูปแบบและลักษณะใดเพ่ือเป็น พน้ื ฐานของการจัดกิจกรรมกลมุ่ สมั พนั ธ์อนั เป็นผลต่อการพฒั นาบคุ ลากรองคก์ รหรอื การอบรมสมั มนา ๒. ความหมาย ทางการสร้างมนุษยสัมพันธ์ คือการติดต่อเก่ียวข้องกันระหว่างบุคคลในสังคมทั้งท่ีเป็น สว่ นตวั และทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับงาน ทั้งทเี่ ป็นส่วนตวั และท่เี กย่ี วขอ้ งกบั งานทั้งทีเ่ ปน็ ทางการและไม่เป็นทางการโดยมี เป้าหมายสดุ ทา้ ยเพ่อื ให้ตนเองเปน็ สขุ ผ้อู น่ื เป็นสขุ และสังคมมีประสทิ ธิภาพ ๓. ความหมาย ทางการสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ ทาได้โดยการ คอื ๓.๑ ศึกษาตนเองและผู้อ่ืน ต้องใจกว้างสารวจตนเองพบข้อบกพร่องแล้วต้องยอมรับตนเอง และ ต้งั ใจที่จะปรบั ปรงุ พฤตกิ รรมทไี่ มส่ มควรของตนเองศกึ ษาผู้อืน่ ว่านสิ ัยใจคออยา่ งไรชอบอย่างไร ๓.๒ แก้ไขปรับปรุงตนเอง เม่ือพบข้อบกพร่องแล้ว ต้องตั้งใจแก้ไขอาจจะศึกษาจากตารา ตา่ งๆ เพอ่ื ปรบั ปรงุ ตนเอง ๓.๓ ศึกษาวัฒนธรรม ประเพณีและสงั คม ค่านยิ มในสังคม ๓.๔ ศึกษาหลกั การสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธ์ ๓.๕ นาหลักการสรา้ งมนุษยสัมพนั ธไ์ ปใชจ้ ริง ๔. ความหมายของกลุ่มสัมพันธ์ ๔.๑ เป็นกิจกรรมที่ใหก้ ลุ่มเรียนร้ถู ึงพฤติกรรมทัศนคตแิ ละการเขา้ ใจคน ๔.๒ เปน็ กิจกรรมท่ีกลุม่ รู้วิธีแก้ไขปัญหายอมรับพฒั นาตนและรบั ร้ตู นเอง ๔.๓ เปน็ การเรียนรู้ปฏิกิริยาภายในกลุ่ม กระตุ้นในบุคคลเกิดการเปล่ียนแปลงเพื่อการอยู่ใน สังคม ๔.๔ เปน็ การใช้กระบวนการกลมุ่ เปน็ แนวทางให้เกิดความร่วมมอื ทด่ี ีตอ่ การพัฒนาองค์กร ๒.๒.๓ สภาพการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ (Authentic learning) ไดถ้ กู นามาใชใ้ นการจัดการเรียนการสอน ให้มีความ เข้าใจผู้อ่ืนและรู้สึกถึงความเป็นจริงในสังคม จากแต่เดิมท่ีมีการจัดการเรียนการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียน มีกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางที่ผู้สอนได้วางแผนไว้มีการใช้ทฤษฎีเป็นตัวอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ของสังคม ใช้ทฤษฎีเป็นตัวต้ังในการอธิบายพฤติกรรมของคน วิเคราะห์ปัญหาโดยเปรียบเทียบกับเนื้อหา ของทฤษฎี และมีทฤษฎีเป็นตัวต้ังเพ่ือใช้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหา สิ่งเหล่านี้กลับส่งผลให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ในสิ่งท่ีไม่ใช่บริบทชีวิตจริงของคนตามสภาพจริงท่ีเป็นอยู่ สิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้และสัมผัสเป็นข้อมูลท่ีเกิดจาก การปรุงแต่ง การแปลความด้วยมุมมองและคาอธิบายตามหลักแนวคิดทฤษฎีที่ได้วางแผนไว้เพื่อการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้เรียนมีมุมมองที่จากัดไม่สามารถเข้าใจและเช่ือมโยงถึงสภาพความเป็นจริงท่ีเกิดขึ้นกับคน ในสังคมได้ เมื่อจบการศึกษาและต้องไปให้บริการแก่ผู้รับบริการ ก็ไม่สามารถให้บริการท่ีมีคุณภาพ และประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่แท้จริงกับผู้รับบริการได้เพราะผู้ให้บริการไม่มีความเข้าใจ ในพฤติกรรมและเหตุผลอันเป็นท่ีมาของปัญหาที่แท้จริงของชาวบ้าน ไม่สามารถเช่ือมโยงวิถีชีวิตของคน

การสอนธรรมวทิ ยา ๒๘ ในชุมชนกับปัญหาสาธารณสุขท่ีเกิดข้ึน ว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างไร เพราะการอธิบาย สงิ่ ทเี่ รียนรู้ และสมั ผสั ได้จากการเรียนรู้เป็นการอธบิ ายตาม๗ กิจกรรมการเรียนจากสภาพจริงท่ีอาศัยตัวผู้เรียนเป็นผู้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เพ่ือการเรียนรู้ พฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของผู้คนในสังคม การรู้จักธรรมชาติของมนุษย์ การจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนเพ่ือใหผ้ ู้เรียนได้เกดิ การเรยี นรจู้ ากสภาพจริงน้ันประกอบดว้ ยกิจกรรมหลัก ดงั น้ี ๑. การลงศึกษาชมุ ชน การเรยี นรพู้ ฤติกรรมและความร้สู ึกนกึ คิดของผู้คน หรือการเรียนรู้พฤติกรรมของบุคคล องค์ประกอบ ทเ่ี กี่ยวข้องในการลงศึกษาชมุ ชนของผู้เรียนประกอบด้วย ๑.๑ การเตรยี มผู้เรียนก่อนเรียน การปรับทัศนคติของนักศึกษามีความจาเป็นอย่างย่ิงในการ เรียนการสอนตามสภาพจริงท้ังน้ีเพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการตระหนักและมองเห็นเหตุท่ีจะทาให้เกิดความ คลาดเคล่ือนของข้อมูลท่ีเก็บได้ในกระบวนการเก็บข้อมูล การปรับความคิดหรือฐานการมองของผู้เรียนให้ ยอมรับและมองความจริงอย่างท่ีเป็นโดยไม่เอาตนเองไปตัดสิน หรือเอาตัวเอง (ความคิด ความรู้ หรือ ประสบการณ์ของตนเอง) เป็นเกณฑ์เป็นบรรทัดฐานในการมอง นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้ อยากเรียนด้วยตนเอง สามารถเรียนรู้จากข้อมูลท่ีเป็นวัตถุดิบได้ โดยไม่กังวลกับโจทย์วัตถุประสงค์ ความต้องการของผู้สอน หรือเป้าหมายความสาเร็จของกิจกรรมหรืองานมากกว่าความอยากรู้อยากเรียน ของตนเอง ๑.๒ โจทย์ โจทย์ท่ใี ชม้ อบหมายให้ผูเ้ รยี นไปศกึ ษาในหัวเรอ่ื งทตี่ ้องการเป็นเคร่ืองมือท่ีมีสาคัญ ท่ีจะเช่ือมโยงให้นักศึกษาเข้าใจในเนื้อหาของการเรียนการสอนตามสภาพจริงเนื่องจากโจทย์จะเป็นเค้าโครง หรือประเด็นท่ีจะทาให้ผู้เรียนมีแนวทางในการเข้าไปพูดคุยหรือศึกษาข้อมูลเพ่ือนามาทาการเรียนรู้ ก่อให้เกิด ความเขา้ ใจในวัตถุประสงค์ของการเรยี นการสอน การมอบหมายโจทยแ์ ก่ผู้เรยี นในกจิ กรรมการเรียนจากสภาพ จริงอาจแบ่งได้เป็นสองระยะ ได้แก่ ระยะแรกในข้ันของการเตรียมความพร้อมผู้เรียน และระยะที่สอง ได้แก่ ระยะของการศึกษาจากสภาพจริง โดยผู้เรียนจะใช้ทักษะการสังเกตและการสัมภาษณ์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล การดาเนินชวี ิตตามประเด็นโจทยท์ ีผ่ สู้ อนมอบหมาย ๑.๓ พ้ืนท่ีศึกษา การเรียนตามสภาพจริงสามารถศึกษาได้ทุก สภาพพ้ืนที่ทุกเวลา ซง่ึ เปน็ สิง่ แวดลอ้ มทีอ่ ยรู่ อบตัวของผู้เรยี น ดงั นัน้ จงึ นับว่าเป็นจุดแขง็ ในการเรียนการสอนแบบนี้ ส่ิงสาคัญจึงอยู่ ท่พี ืน้ ทศ่ี ึกษาเหมาะสมกบั การใชเ้ ปน็ แหลง่ ทาการศกึ ษาของผู้เรียนตามสภาพจริงหรือไม่ กล่าวคือ มีการเตรียม พ้ืนที่ศึกษาจากผู้สอนหรือผู้เก่ียวข้องหรือไม่ เพราะหากมีการเตรียมพื้นท่ีศึกษาไว้ล่วงหน้าโดยจัดเตรียมหรือ ชี้แจงพ้ืนท่ีก่อนผู้เรียนเข้าทาการศึกษา จะส่งผลทาให้เม่ือผู้เรียนเข้าไปทาการศึกษา สภาพจริงท่ีผู้เรียนได้พบ จึงไม่ใช่สภาพจริงที่เป็นอยู่ตามวิถีชีวิตของชุมชนน้ันๆ ทาให้ข้อมูลหรือส่ิงท่ีผู้เรียนได้พบเห็นและเก็บรวบรวม ข้อมูลมาเพื่อทาการศึกษามีความคลาดเคลื่อนไปจากวิถีชีวิตปกติของชุมชน ข้อมูลท่ีผู้เรียนนามาศึกษาจึงเป็น ขอ้ มูลที่ไม่ใช้สภาพจริงท่เี ปน็ อยู่ ๒. การบันทกึ ข้อมูล เม่ือนักศึกษาผ่านการฝึกทักษะท่ีจาเป็นแล้วการลงศึกษาในพื้นท่ีศึกษาผู้เรียนจาเป็นต้องทาการจด บันทึกข้อมูลและของกรณีศึกษาอย่างละเอียด เพ่ือนาข้อมูลเหล่าน้ันมาแลกเปล่ียนเรียนรู้ทั้งในกลุ่มย่อย และกลมุ่ ใหญ่ การบนั ทึกขอ้ มูลกรณศี ึกษาของผู้เรียนนบั ว่าเป็นส่ิงสาคญั อยา่ งย่ิง เพราะผู้สอนจะสามารถทราบ ๗ เภาวินี เสาะสบื , เคล็ด(ไม)่ ลับการเรยี นร้ตู ามสภาพจริง, จดั การเรยี นการสอนหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ , ในสถาบันการศึกษาสังกดั สถาบนั พระบรมราชชนก, (๒๒ ต.ค.๕๕).

การสอนธรรมวิทยา ๒๙ อคติของผู้ เรีย นจา กรา ยงาน ท่ีเขียนร วมทั้งนา ข้อมูลจากกรณีศึกษามา ช้ีปร ะเด็น เพ่ือปรับ เปลี่ ยนทัศนคติ ของผเู้ รยี นได้ น อ กจ า กน้ี บั น ทึ กข้ อมู ล กร ณีศึ ก ษา ขอ ง ผู้ เ รี ย น จ ะ เ ป็ น ข้อ มู ล ที่ ผู้ ส อ น น า ม า ใช้ ใน ก าร ช้ีป ร ะเ ด็ น และการสอนสาระการเรียนรู้ทมี่ ีตามสภาพจรงิ ท่ีผูเ้ รยี นเก็บรวบรวมข้อมลู มาได้ ๓. การปรบั ทศั นคติ การปรบั ทัศนคตใิ นท่ีน้ีหมายถึงการปรับทัศนคติท่ีต้องกระทาตลอดเวลาของการเรียนรู้ตามสภาพจริง ของผูเ้ รยี นซ่ึงมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนของผู้เรียนเพราะจะส่งผลโดยตรงต่อการเก็บข้อมูลของผู้เรียน นนั่ คอื หากผเู้ รยี นไม่ได้มกี ารปรบั ทัศนคติก่อนการเรยี นหรือในระหว่างการทากิจกรรมการเรียนการสอน จะทา ให้ข้อมูลที่ได้มามีความคิดของผู้เรียนปนอยู่มากทาให้ไม่ได้ข้อมูลความจริงมาเรียนรู้ ส่งผลโดยตรงต่อความ เข้าใจเนื้อหาสาระและชีวิตคน ฉะน้ันการท่ีผู้เรียนได้เรียนรู้ในการมองความจริง ผู้เรียนเองก็ต้องมีการพัฒนา ทัศนคตขิ องผู้เรยี นอยู่ตลอดเวลาเช่นกนั ๔. บทบาทของอาจารย์ในการชีป้ ระเด็น เพอ่ื ปรบั ความคดิ กรอบความคดิ ของนักศึกษา การช้ีประเด็นของผู้สอน บทบาทของผู้สอนมีส่วนสาคัญอย่างย่ิงท่ีช่วยให้นักศึกษาพัฒนาการเรียนรู้ ของตนเอง สรา้ งทกั ษะทางปัญญา และเข้าใจความเป็นจริงท่ีศึกษา เงื่อนไขของผู้สอนจึงต้องพัฒนาทักษะของ ตนในหลายเรือ่ ง เชน่ การอ่านความคิดของผู้เรียน ความสามารถในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพและการแปรผล มีฐานความรใู้ นสภาพจรงิ ของพฤตกิ รรมบุคคล และความสามารถในการชี้ประเด็นเพื่อสะท้อนคิด ปรับทัศนคติ หรอื ถา่ ยทอดมุมมองของกรณศี ึกษา และสรปุ ความคดิ รวบยอด เปน็ ต้น ๕. การเรียนรู้ตามสภาพจริง การเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic learning) คือ กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดย การกระตุ้นการเรียนรู้จากภายในตัวของผู้เรียนให้ผ่านการสัมผัส การเรียนรู้ด้วยตัวของผู้เรียนเอง เพื่อให้เกิด ความประจักษ์ชัดถึงความจริงที่เกิดข้ึน ทาให้ผู้เรียนมีการคิด วิเคราะห์เปรียบเทียบความคิดของตนเองที่มีอยู่ เดิม เป็นการพัฒนาการเรียนรู้ท่ีค่อยๆเกิดข้ึนตามลาดับ วิธีการเรียนรู้ตามสภาพจริงจะเป็นเคร่ืองมือชนิดหน่ึง ของการจดั การเรยี นการสอน ท่ีเช่ือว่าทาให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจชีวิตคน และเข้าใจตนเองเป็นการเรียนรู้เชิง ประจกั ษใ์ นสิง่ ทผี่ เู้ รยี นไดเ้ รียนรู้ เช่น พฤติกรรมการดื่มสรุ าของชาวบ้าน เมื่อให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาชุมชนจะพบว่าของผู้เรียนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ “สุรา” เพราะมีผลต่อ สุขภาพในเชิงลบ บทบาทของบุคลากรสาธารณสุขตามกรอบแนวคิดทฤษฎีของผู้เรียน คือ การปรับเปล่ียน พฤติกรรมให้ประชาชนงดดมื่ สรุ า แต่ในขณะท่ีความเป็นจริงในมุมมองของชาวบ้าน สุรา คือ สิ่งท่ีทามีเรี่ยวแรง ในการไปทามาหากนิ คือเพ่อื น คือสังคมทาใหม้ คี วามสุขหรอื ในบางกลุ่มบุคคลสุราเป็นกระษัยยา ทาให้สุขภาพ แข็งแรงวิธีการจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงจะช่วยทาให้ผู้เรียนแยกแยะและเข้าใจถึงความคิด ความรู้สึก มุมมองของชาวบ้าน ที่เป็นท่ีมาของพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นโดยเฉพาะท่ีเกี่ยวข้องกับสุขภาพ มองเห็นแก่นแท้และ วเิ คราะห์ถึงสิ่งท่ีเป็นรากเหง้าของปัญหาครอบคลุมในทุกมิติที่ชาวบ้านเป็น ยอมรับชาวบ้านและความเป็นจริง ที่เกิดขึ้น ทาใหม้ องเหน็ วิธกี ารใหบ้ ริการหรอื แสวงหาทางเลอื กในการแก้ไขปญั หา และใหข้ ้อเสนอแนะแก่ ชาวบา้ นในการดูแลตนเองได้อยา่ งสอดคลอ้ งกับข้อจากดั และบริบทท่ีเขาเปน็ อยู่ ๖. องค์ประกอบของการเรียนรตู้ ามสภาพจรงิ องค์ประกอบของการเรียนรู้ตามสภาพจริง เป็นองค์ประกอบท่ีมีความเช่ือมโยงสัมพันธ์กัน ในแต่ละองค์ประกอบ การขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งจะส่งผลต่อผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงได้ องค์ประกอบของการเรยี นรตู้ ามสภาพจริงประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ๓ องคป์ ระกอบ กล่าวคือ

การสอนธรรมวิทยา ๓๐ ๖.๑ การเสริมสร้างทัศนคติและการพัฒนาความคิดของผู้เรียน ทัศนคติเป็นลักษณะการมอง การพิจารณาเรอื่ งราว ตลอดจนปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึ้น ด้วยสภาวะของจติ หรือสานึกในจิต ที่แสดงออกมาในรูป ของ ความรู้สึก อารมณ์ ความเช่ือ อิทธิพลของสภาวะจิตของบุคคล ส่งผลทาให้การมองโลกทัศน์ของแต่ละ บคุ คลมีความเบย่ี งเบนไปตามทศิ ทางที่จติ นั้นโน้มเอียงไปหรือเรียกกันว่า “อคติ” การแสดงออกจึงไม่เป็นกลาง ไม่นิ่งเกิดความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงได้ง่าย ดังน้ันสานึกในจิตจึงเป็นตัวการสาคัญที่จะพัฒนาขัด เกลาทัศนคติ เป็นฐานให้ความคิดหรือปัญญาเจริญเติบโตบนความเป็นจริงรับรู้อคติ (ทัศนคติ) ของตน ได้ทันท่วงที ชว่ ยเตอื นสติบุคคลที่มักใช้ความคิดของตนเองไปตดั สนิ ผอู้ ่ืน การเรียนรู้ท่ีผู้เรียนมีทัศนคติการมองสภาวะตามความเป็นจริง และเข้าใจผู้อ่ืนโดยการลดอคติ จะเป็นฐานพฒั นาความคิดหรอื ปญั ญาของผูเ้ รียน สามารถเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆได้ตลอดเวลา ดังนั้นการปรับทัศนคติ ในการมองเห็นความเปน็ จรงิ จึงเทา่ กับเปิดโลกทัศน์ของผูเ้ รียน สามารถเรียนรู้สาระใหมๆ่ อย่างไมม่ ที ่ีส้นิ สดุ ๖.๒ การพัฒนาทกั ษะการเรียนรู้และการปฏิบัติกิจกรรมในการเรียนรู้เพ่ือให้เข้าใจสภาพจริง จาเปน็ ท่ีผู้เรียนต้องเรียนจากสภาพจริงท่ีเป็นอยู่ กิจกรรมการเรียนรู้จึงต้องมีการสร้างเง่ือนไข เพ่ือให้ผู้เรียนได้ มีโอกาสสัมผัส เก็บข้อมูลเพ่ือนามาเรียนรู้ เป็นกระบวนการศึกษาข้อมูลจากสภาพจริง หรืออาจเรียกว่า “การศึกษาสภาพ (Assessment)”อาจเป็นการศึกษาสภาพจริงของพฤติกรรมการดารงชีวิตของบุคคล หรือ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของบุคคล หรือการศกึ ษาสภาพจรงิ ของชมุ ชนในภาพรวมกไ็ ด้ ๖.๓ การเขา้ ใจสาระการเรียนรูก้ ารเรียนรู้สาระ(Content) ถือเป็นส่งิ สาคัญท่ีสุดของการเรียน การสอนของหลักสูตร และมักเป็นความกังวลของผู้สอนในเร่ืองความครอบคลุมเนื้อหาสาระที่ผู้เรียนจะได้รับ แต่การเรียนรู้ตามสภาพจริง กระบวนการเรียนการสอนจะมีความเช่ือมโยงกันในองค์ประกอบท้ัง ๓ ด้าน กล่าวคือ การพัฒนาในเรื่องทัศนคติของผู้เรียน การพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการปฏิบัติ รวมทั้งการเรียนรู้ สาระที่ได้สาระความรู้ที่เป็นความรู้ใหม่ท่ีได้จากการศึกษาสภาพจริงมักเป็นความรู้ที่ละเอียดเช่ือมโยงกันอย่าง ลึกซ้ึง ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และเข้าใจได้จากการชี้ประเด็นของผู้สอนโดยการวิเคราะห์จากข้อมูลจาก การศกึ ษาสภาพจริงของผูเ้ รยี น ๗. กระบวนการเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ กระบวนการเรียนรู้ตามสภาพจริงเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจชีวิตของผู้อ่ืนหรือเรียกว่า กระบวนการศึกษาข้อมูลจากสภาพจริง หัวใจสาคัญของการเรียนรู้ตามสภาพจริงคือความเข้าใจวิถีชีวิต เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีความเข้าใจชีวิตคนอ่ืนซึ่งเป็นพื้นฐานสาคัญในการเรียนรู้สุขภาพ พฤติกรรม ของคนเพ่ือการแก้ปัญหา กจิ กรรมการเรียนจงึ ต้องสร้างเงื่อนไขให้ผู้เรียนมีโอกาสสัมผัส เก็บข้อมูล คิดทบทวน เปน็ การศึกษาสภาพ(Assessment) มีพืน้ ฐานทส่ี าคญั ๓ ประการ คอื ๘ ๗.๑ กระบวนการปรับทัศนคติในการเรียนรู้ความจริงเป็นกระบวนการสะท้อนความคิดเดิม ของผู้เรียนออกมาโดยการกระตนุ้ ให้ผูเ้ รียนเรียนร้แู ละเข้าใจความคิดของตนเอง และสะท้อนให้เห็นถึงความคิด เดิมที่ส่งผลทาให้เกิด “ความคลาดเคล่ือน” ที่เกิดขึ้น ซึ่งกระบวนปรับทัศนคติของผู้เรียนต้องมีการกระทา ตลอดเวลาในการเรียนรู้ การท่ีผู้เรียนรับรู้สภาพจริงได้มากขึ้น จะช่วยกระตุ้นความตื่นตัวอยากรู้ เห็นคุณค่า ของการเรียนร้ดู ้วยตนเอง นาไปสกู่ ารเรียนรู้และสร้างความร้ดู ว้ ยตนเองในระยะยาวต่อไป ๗.๒ กระบวนการศึกษาความจริงด้วยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบประกอบด้วยการปฏิบัติ การศึกษาความจริงด้วยตนเอง การเรียนในสภาพจริงต้องเรียนรู้และพัฒนาความคิดด้วยตนเอง (ทาด้วย ๘ เภาวนิ ี เสาะสบื , เคลด็ (ไม่)ลบั การเรียนรูต้ ามสภาพจรงิ , จดั การเรยี นการสอนหลักสตู รพยาบาลศาสตรบณั ฑติ , ในสถาบนั การศกึ ษาสงั กัดสถาบนั พระบรมราชชนก, (๒๒ ต.ค.๕๕).

การสอนธรรมวิทยา ๓๑ ตนเอง) ดังนั้นหากต้องการให้ผู้เรียนได้ทาความเข้าใจกับความคิด ชีวิตของชาวบ้าน เพื่อทาความเข้าใจ ตามสภาพจริงของชาวบ้านที่เป็นอยู่ การเรียนการสอนจึงต้องสร้างเงื่อนไขให้ผู้เรียนได้ลงไปศึกษาข้อมูลและ เผชิญกับสถานการณ์จริง เพื่อให้ได้คาตอบที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดและความรู้สึกท่ีอยู่เบื้องหลังพฤติกรรม การกระทาต่างๆของคน โดยเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูก จนเกดิ การประจกั ษแ์ จง้ ดว้ ยตนเอง ๗.๓ กระบวนการสรุปวิเคราะห์และช้ีประเด็นของครูบทบาทของครูมีส่วนสาคัญอย่างยิ่ง ท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการเรียนรู้ของตนเอง ท้ังในเร่ืองการปรับทัศนคติและความเข้าใจในสาระที่เรียนรู้ (สาระทีเ่ ป็นแก่น) ครผู ู้สอนเองจงึ ตอ้ งพัฒนาความสามารถหรือทักษะของตนเองในการสอนตามสภาพจริงสรุป ความได้ว่า การจัดกิจกรรมมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนทุกระดับถือว่า เป็นนวัตกรรมการสอนท่ี ไดร้ บั ความนิยมอย่างแพร่หลายและเป็นส่ือท่ีมีความเหมาะสมช่วยเร้าความสนใจรวมท้ังช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียน เกิดความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถของแต่ ละคนทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ในการแสวงหาความรูไ้ ม่เบ่ือหน่ายในการเรียน มีส่วนร่วมในการเรียน และสร้างความม่ันใจให้แก่ครู เพราะชุด กิจกรรมมีการจัดระบบการใช้สื่อผลิตสื่อและกิจกรรมการเรียนรู้รวมทั้งมีข้อแนะนาการใช้สาหรับครูทาให้ครู มคี วามพร้อมในการจัดกิจกรรมการเรียนรูจ้ ึงก่อใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพในการเรียนการสอนอย่างแท้จรงิ ๒.๓ แนวคิดทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ในกระบวนการเรียนรู้ ต้องใช้มาตรฐานและตัวบ่งช้ีความสาเร็จ หรือผลการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการ เรียนรู้ เป็นเป้าหมายของการพัฒนาผู้เรียน๙ ผู้สอนจะต้องศึกษาและทาความเข้าใจในเป้าหมายดังกล่าวให้ ลึกซ้ึงในขณะเดียวกันจะต้องมีเจตคติทีด่ ีต่อกระบวนการเรียนรู้และมีความเช่ือท่ีว่าผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ ความรู้และทักษะท่ีสาคัญๆได้ พร้อมท้ังจะต้องส่งเสริมบรรยากาศในสังคมเชิงบวก ปลอดโปร่ง เพลิดเพลิน ไม่ให้ตรึงเครียดไม่ให้เกิดความอึดอัด ซ่ึงจะทาให้เกิดความเคารพซ่ึงกันและกัน ท่ามกลางเพื่อน ๆในช้ันเรียน ท่ามกลางเพ่ือนๆ ในช้ันเรียน ผู้เรียนซึ่งมีความเช่ียวชาญน้อยจะได้รับการส่งเสริมให้แสดงออกถึงความ พยายามและค่านิยม สงั คมท่ีรเิ ริ่มเชงิ บวกจะส่งเสริมการเรยี นรู้ การคัดเลือกยุทธศาสตร์ที่จูงใจผู้เรียนให้เรียนรู้ และเช่ือมโยงกับสื่อและอุปกรณ์ผู้สอนต้องอธิบายให้ชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนจูงมือไปดู เห็นกับตา จูงใจให้เห็น ของจริง ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับ และนาไปปฏิบัติเร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกาลังใจปลุกให้มี อุตสาหะ แข็งขัน มั่นใจว่าจะทาให้สาเร็จได้ไม่หวั่นและย่อท้อต่อความเหน่ือยยาก ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบ่ือและเปี่ยมด้วยความหวังเพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะฟังได้รับจากการปฏิบัติ ทาความเข้าใจเป็นการส่งเสริมให้ขยายความคิดของผู้เรียนได้สร้างความเช่ือมโยงสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ หรือ จะเรียนต่อไป โดยให้ผู้เรียนได้เข้าใจโครงสร้างส่ิงท่ีเรียนรู้ของการเรียนรู้ท่ีมีประสบการณ์การเรียนรู้ และเหน็ คณุ คา่ ของการเรียนรู้ ๒.๓.๑ ทฤษฏีการเรยี นรู้ ทฤษฏีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมการเรียนรู้มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในห้องเรียนเท่าน้ันแต่การเรี ยนรู้เกิดขึ้น ได้ตลอดเวลาท่ีประสาทการรับรู้ทางานประสานกับจิตใจ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมโดยครูเป็นผู้จัดการให้เกิด การเรียนรู้โดยศูนย์กลางของการเรียนรู้อยู่ท่ีผู้เรียนไม่ใช่ผู้สอน การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมก็ คือ การที่เด็ก ๙ ชนาธปิ พรกุล, แคทสร์ ปู แบบการจดั กระบวนการเรียนรูท้ ี่เนน้ ผเู้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลาง, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๒๙.

การสอนธรรมวทิ ยา ๓๒ เอาจิตใจร่วมทาให้ตัวเขาเองเกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ควร อยากจะให้รู้โดยทางตรงหรือทางอ้อม การเรียนรู้แบบ มีส่วนร่วมจะช่วยให้ผู้เรียนรู้ได้รับประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้รับการฝึกฝนทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการแสดงออกทักษะการสร้างความรู้ใหม่และทักษะการทางานกลุ่มส่ิงเหล่าน้ีจ ะช่วยให้ผู้เรียนได้รับ การพัฒนาไปสู่การเป็นคนดี คนเก่งและมีความสุข ซึ่งเป็นส่ิงท่ีครู ผู้ปกครอง และสังคมปรารถนา ครูจึงต้อง แสวงหาแนวทางท่ีจะนาเทคนิควิธีการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมในการพัฒนาคุณภาพ การเรยี นรู้๑๐ ๒.๓.๒ ทฤษฎีการเรียนรู้ ๘ ขนั้ ของกาเย่ ( Gagne )๑๑ ๑. การจงู ใจ(Motivation Phase) การคาดหวงั ของผเู้ รียนเป็นแรงจงู ใจในการเรียนรู้ ๒. การรับรตู้ ามเป้าหมายที่ตงั้ ไว้(Apprehending Phase) ผู้เรียนจะรบั รู้สิ่งท่สี อดคล้องกับ ความตั้งใจ ๓. การปรงุ แตง่ สงิ่ ที่รบั รู้ไวเ้ ป็นความจา (Acquisition Phase) เพอ่ื ให้เกดิ ความจาระยะสั้น และระยะยาว ๔. ความสามารถในการจา (Retention Phase) ๕. ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งทไ่ี ด้เรียนรไู้ ปแลว้ (Recall Phase ) ๖. การนาไปประยุกตใ์ ช้กับส่ิงที่เรียนรไู้ ปแลว้ (Generalization Phase) ๗. การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ (Performance Phase) ๘. การแสดงผลการเรยี นรู้กลับไปยังผู้เรียน (Feedback Phase) ผู้เรียนได้รับทราบผลเร็วจะทาให้มีผลดีและประสิทธิภาพสูงสาคัญที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้จากแนวคิด ของกาเย่ (Gagne) คือ (๑) ผูเ้ รยี น (Learner) มรี ะบบสัมผสั และ ระบบประสาทในการรับรู้ (๒) ส่งิ เร้า (Stimulus) คือ สถานการณ์ต่างๆที่เปน็ สงิ่ เรา้ ให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ (๓) การตอบสนอง (Response) คอื พฤตกิ รรมที่เกดิ ขึน้ จากการเรยี นรู้ ๒.๓.๓ การสอนด้วยสอื่ ตามแนวคดิ ของกาเย่ (Gagne) ๑. เร้าความสนใจ มีโปรแกรมที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน เช่น ใช้การ์ตูน หรือ กราฟิก ท่ีดึงดูดสายตา ความอยากรู้อยากเห็นจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียน การต้ังคาถามก็เป็นอีกสิ่ง หน่งึ ๒. บอกวัตถุประสงค์ ผู้เรียนควรทราบถึงวัตถุประสงค์ ให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียนเพื่อให้ ทราบวา่ บทเรยี นเก่ียวกบั อะไร ๓. กระต้นุ ความจาผ้เู รียน สร้างความสมั พันธ์ในการโยงข้อมูลกับความรู้ที่มีอยู่ก่อน เพราะส่ิง นี้สามารถทาให้เกิดความทรงจาในระยะยาวได้เมื่อได้โยงถึงประสบการณ์ผู้เรียน โดยการตั้งคาถาม เกี่ยวกับ แนวคดิ หรือเน้ือหานัน้ ๆ ๔. เสนอเนื้อหา ขั้นตอนน้ีจะเป็นการอธิบายเนื้อหาให้กับผู้เรียน โดยใช้สื่อชนิดต่างๆ ในรูป กราฟฟิกหรอื เสียง วิดีโอ ๑๐ เรือ่ งเดยี วกนั ,หนา้ ๓๐. ๑๑ ฝา่ ยวชิ าการ, ใบความรเู้ รื่องทฤษฎีการเรยี นรู้, โรงเรยี นบา้ นไทยสมบรู ณ์ (กรป.กลาง อุทิศ) สานักงานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษาสรุ ินทร์ เขต ๓), หน้า ๑๑.

การสอนธรรมวทิ ยา ๓๓ ๕. การยกตัวอย่าง การยกตัวอย่างสามารถทาได้โดยยกกรณีศกึ ษา การเปรียบเทียบ เพื่อให้ เขา้ ใจได้ ๒.๓.๔ ทฤษฎแี ห่งการสรา้ งสรรค์ดว้ ยปัญญา (Constructionism) ทฤษฎีแห่งการสร้างสรรค์ด้วยปัญญาของศาสตราจารย์ Seymour Paper t แห่ง MediaLab, Massachusetts Institute of Technology, สหรัฐอเมริกาผู้เรียนสามารถสร้างความรู้ ความเข้าใจ เก่ียวกับ สิ่งต่างๆ ในสภาพแวดล้อมการดารงชีวิตได้ด้วยตนเองด้วยการนาเสนอเพื่อสร้างประสบการณ์ คอมพิวเตอร์ เป็นเคร่ืองมือ ที่สามารถนามาใช้ประกอบการเรียนการสอนได้ ทาให้ผู้เรียนเรียนได้เข้าใจมากยิ่งข้ึน และ เปลี่ยนกรอบความคิดของครูจากเดิม ซึ่งเน้นการสอนไปเป็นการให้อิสระแก่ผู้เรียน ได้ร่วมเรียนรู้เป็นอิสระ ในการเรียนโดยพึง่ พาตนเอง ๒.๓.๕ สาระสาคญั ของทฤษฎีแหง่ การสร้างสรรค์ดว้ ยปัญญา ผู้เรียนเป็นฝ่ายสร้างความรู้ขึ้นด้วยตนเอง มิใช่ได้มาจากครูและในการสร้างความรู้นั้น ผู้เรียนจะต้อง ลงมือสร้างส่ิงใดสิ่งหน่ึงข้ึนมา เช่น การสร้างสิ่งจาลอง การสร้างสิ่งท่ีจับต้องสัมผัสได้ ทาให้ผู้อื่นมองเห็นได้ จะมผี ลทาใหผ้ ูเ้ รยี นตอ้ งใชค้ วามคิด มีความกระตือรือร้น มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง อย่างเพ่ือ เกิดการสรา้ งสรรคค์ วามคิด๑๒ หลกั การสาคัญ ๑. การเชอ่ื มโยงสิง่ ท่ีรู้แล้วกบั สิ่งทก่ี าลังเรยี น ๒. การใหโ้ อกาสผเู้ รียนเปน็ ผู้ริเร่มิ ทาโครงการที่ตนเองสนใจ การสนับสนุนอย่างพอเพียงและ เหมาะสมจากครูซ่ึงไดร้ บั การฝกึ ฝนใหม้ คี วามเขา้ ใจกระบวนการเรยี นรูอ้ ย่างลกึ ซึ้ง ๓.เปิดโอกาสให้มีการแลกเปล่ียนความคิดนา เสนอผลการวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้ของ ตนเอง ๒.๓.๖ กระบวนการสร้างปัญญาตามแนวพระพทุ ธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีปญั ญาเป็นใหญ่ ศาสนาทเี่ อามนุษย์เปน็ ศูนย์กลางถือว่ามนุษย์เราจะดีจะชั่ว จะเจริญจะเส่ือมอยู่ท่ีมนุษย์เอง ไม่ได้อยู่ท่ีสิ่งใดเหนือธรรมชาติคาสั่งสอนของพุทธศาสนาเป็นในลักษณะ ของระบบการศึกษาคือการฝึกอบรม หลักพระพุทธศาสนานาไปสู่การศึกษา นาไปสู่การรับผิดชอบชีวิตของตน นาไปสู่ความพยายามที่จะเป็นที่พึ่งของตน หลักคาส่ังสอนของพระพุทธศาสนาเป็นระบบการพัฒนามนุษย์ ท่ีสมบูรณ์บริบูรณ์ท่ีสุดที่เคยปรากฏอยู่ในโลก ระบบการพัฒนามนุษย์ท่ีทางพระเรียกว่าอริยมรรค มีองค์ ๘ เช่ือว่าเราสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับระบบการศึกษาทั่วไปได้ ในกรณีของโรงเรียนเราก็ไม่ได้คิดว่า จะให้โรงเรียนเป็นวัด หรือต้องการให้นักเรียนพัฒนาตัวเองเพ่ือจะเป็นพระอรหันต์ แต่เรามีความเชื่อว่า การพัฒนาระบบองค์รวมของพุทธศาสนาท่ีใช้พุทธปัญญาในการพัฒนาพฤติกรรมของเด็ก จิตใจอารมณ์ ของเดก็ และสตปิ ัญญาความคดิ การพจิ ารณาตรงตามที่พระพทุ ธเจา้ สอนจะเป็นระบบการศึกษาทด่ี มี ากที่สุด๑๓ สรปุ ไดว้ ่า การเรยี นรู้ คือ กระบวนการท่ที าให้คนเปล่ียนแปลงพฤติกรรมความคิด คนสามารถเรียนได้ จากการไดย้ นิ การสมั ผสั การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วย การเรยี นในห้อง การซกั ถาม ผู้ใหญม่ กั เรียนร้ดู ้วยประสบการณ์ท่มี ีอย่แู ตก่ ารเรียนรู้จะเกิดข้ึนจากประสบการณ์ ๑๒ ฝ่ายวชิ าการ ,ใบความรู้เร่ืองทฤษฎกี ารเรียนรู้, โรงเรียนบา้ นไทยสมบูรณ์ (กรป.กลาง อุทิศ) สานกั งานเขตพน้ื ที่ การศึกษาสรุ ินทร์ เขต ๓), หนา้ ๑๑. ๑๓ พระอาจารยฌ์ อน ชยสาโร, บม่ เพาะพุทธปญั ญานาสมยั , โรงเรยี นปญั ญาประทีปโรงเรยี นประจาสหศึกษา อาเภอปากชอ่ ง จังหวัดนครราชสมี า,

การสอนธรรมวทิ ยา ๓๔ ที่ผู้สอนนาเสนอโดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ท่ีสร้างบรรยากาศทางจิตวิทยา ท่ีเอ้ืออานวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขัน หรือ ความไม่มีระเบียบวินัย สิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเง่ือนไขและสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน ดังน้ันผู้สอน จะตอ้ งพจิ ารณาเลือกรูปแบบการสอนรวมทงั้ การสรา้ งปฏสิ มั พนั ธก์ ับผูเ้ รยี น ๒.๔ แนวคิดเกี่ยวกบั การจดั กจิ กรรมการสอนวิชาพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนากับการศึกษาเป็นเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกันอย่างมากในฐานะท่ีพระพุทธศาสนานั้นจัดได้ว่า เป็นกลุ่มแนวคิดใหม่ในช่วง ๒๕๐๐ ปีท่ีผ่านมาท่ีได้เข้ามามีอิทธิพลต่อระบบคิดของมนุษยชาติ โดยเฉพาะชาว อินเดียและประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยอมรับเอาคา สอนของพระพุทธศาสนา มาประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจาวัน และใช้เป็นกรอบในการพัฒนาชีวิตและสังคมในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านประเพณี วัฒนธรรม ด้านสังคม การเมืองการปกครอง กฎหมาย เศรษฐกิจหรือการศึกษาโดยเฉพาะในด้านการศึกษา แลว้ เราจะพบว่า พระพุทธศาสนาได้เข้าไปมีส่วนในการเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ก็เพราะ สาเหตุท่ีพระพุทธศาสนาน้ันเน้นเร่ืองของการศึกษาและมีหลักคาสอนท่ีเกิดมาจากการศึกษาและมีแนวทาง ในการชักชวนให้ผู้ท่ีเลื่อมใสมุ่งไปสู่ความเป็นผู้ที่รู้จักการพัฒนาตนเอง เช่น คาสอนเร่ืองไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา น้ันถือได้ว่าพระพุทธศาสนาได้วางหลักเกณฑ์ทางด้านการศึกษาเอาไว้เป็นอย่างดี แต่อย่างไร ก็ตามในบางสังคมเมื่อเวลาได้เปลี่ยนไป การจัดการศึกษาท่ีเก่ียวเน่ืองด้วยพระพุทธศาสนาก็พลอยเปลี่ยนตาม ไปดว้ ยกล่าวคือมกี ารให้ความสาคญั กบั การสอนวิชาพระพทุ ธศาสนา ดงั เช่น ในสังคมไทยซึ่งถือว่าเป็นสังคมท่ีมี รากฐานทางวัฒนธรรมท่ีมาจากพระพุทธศาสนานับต้ังแต่การเริ่มก่อต้ังสังคมหรือประเทศชาติขึ้นมา ดังนั้น ระบบการศึกษาของสังคมจึงมีความเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนามาโดยตลอด การจัดการเรียนรู้เป็นหัวใจ สาคัญท่ีจะทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ ดังน้ันผู้สอนควรพิจารณาเลือกใช้เทคนิคกระบวนการ จัดการเรียนรู้ท่ีเหมาะสม เลือกใช้ส่ือและแหล่งเรียนรู้ที่จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน และใช้วิธีการ วัดผลประเมินผลที่หลากหลาย ทั้งน้ีโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ของแตล่ ะคน และสามารถนาสิง่ ท่ีไดเ้ รียนรไู้ ปใช้ในชีวิตจริงได้๑๔ ๒.๔.๑ ด้านการศกึ ษาหลกั สูตร การจัดหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานจะประสบความสาเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังได้ ทุกฝ่าย ท่ีเก่ียวข้องทั้งระดับชาติชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทางานอย่างเป็นระบบ และตอ่ เนอื่ งในการวางแผน ดาเนนิ การสง่ เสริมสนบั สนุน ตรวจสอบตลอดจนปรับปรุงแก้ไขเพ่ือพัฒนาเยาวชน ของชาติไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ กาหนดไว้ หลักการสาคัญของการปฏิรูปการศึกษาคือการ กระจายอานาจการบริหารการจัดการศึกษา การเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ๑๔ พระครธู รรมศาสนโฆสติ , “ปัญหาด้านการจัดการเรียนการสอนวชิ าพระพทุ ธศาสนาตามหลกั สตู รการศึกษา ขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ ของครูระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ สงั กดั กรมสามัญศกึ ษาอาเภอสะเดา จงั หวดั สงขลา” ปริญญาพทุ ธศาสตรมหาบณั ฑติ . สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา (บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั พทุ ธศักราช ๒๕๔๗), หน้า ๑๐-๑๑.

การสอนธรรมวทิ ยา ๓๕ ซึง่ การดาเนนิ การให้บรรลุตามหลักการดังกล่าว จาเปน็ ต้องสรา้ งความรูค้ วามเขา้ ใจให้แกผ่ ูเ้ ก่ียวข้อง โดยเฉพาะ อยา่ งย่ิงผู้บรหิ ารการศึกษา ผ้บู ริหารสถานศึกษา ครู ผนู้ าชุมชนและผ้นู าองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น๑๕ การพัฒนาผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครูท้ังภาครัฐและเอกชนผู้นาชุมชนและผู้นา องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นยุทธศาสตร์หลักในการสร้างกลไกและเป็นพลังขับเคล่ือนสาคัญในการปฏิรูป การศึกษา โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ การกระจายอานาจให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา จาเป็นอย่างยิ่ง ท่ีต้องสร้างความเข้มแข็ง สร้างความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าท่ี และสร้างความเช่ือม่ันให้ทุกฝ่ายสามารถ ปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ จึงได้จัดทาโครงการพัฒนาผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหาร สถานศึกษา ครู ผู้นาชุมชนและผู้นาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นในอดีตสถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้บรรลุจุดหมายตามหลักสูตรกลางที่กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดไว้เท่านั้น ปัจจุบันแนวความคิดดังกล่าวเปลี่ยนไป มีการกระจายอานาจและมอบหมายให้สถานศึกษามี อานาจตัดสินใจ ในกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น จึงมีผู้นา แนวความคิดนี้บรรจุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ เพ่ือให้บังเกิดผลในการปฏิบัติ ดังข้อความในวรรคสอง มาตรา ๒๗ ท่ีว่า ให้สถานศึกษาข้ันพื้นฐานมีหน้าที่ จัดทาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่ง ในส่วนที่เก่ียวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคมภูมิ ปัญญาทอ้ งถิ่น คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคเ์ พ่ือเปน็ สมาชิกทีด่ ขี องครอบครวั ชุมชน สังคมและประเทศชาติ ๒.๔.๒ ความหมายของหลกั สตู ร หลกั สตู ร มวลประสอบการณ์ท้ังปวงชนที่จัดให้ผู้เรียนได้รับ เพื่อนาไปสู่การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปใน แนวทางท่ีพึงปรารถนาทั้งพฤติกรรมความรู้ ความคิดความสามารถ ทักษะ เจตคติ และค่านิยมต่างๆหรือ หลักสูตร คือ การวางแผนการจดั ประสบการณต์ า่ งๆ ทีม่ ุง่ ใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในสาขาวิชา โดยผู้สอนเป็นผู้ จดั ประสบการณ์ รวมทง้ั กิจกรรมตา่ งๆ และการใหค้ วามรู้แก่ผู้เรียน ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรท่ีกาหนดไว้ ภายใต้การควบคุมของสถาบันการศึกษา เพ่ือมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความชานาญ ทักษะวิชาชีพต่างๆ เพื่อใหส้ ามารถนาความรทู้ ่ไี ด้ไปประกอบอาชีพหรือ นาไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ิตประจาวนั ได้ดังนี้ เปรื่อง กิจรัตน์กร๑๖ ได้ให้คานิยามของหลักสูตรไว้ คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนเพื่อให้ บัณฑิตมีความรู้ และทักษะกระบวนการจัดวัสดุอุปกรณ์ เคร่ืองมือและกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการ ผลติ ตลอดจนการบรหิ ารและการจัดการ โดยเน้นเทคนิคการผลติ เพอื่ ให้ระบบการผลติ มีความเหมาะสมย่งิ ขน้ึ จีระพันธ์ พูลพัฒน์๑๗ ได้กล่าวถึงความหมายของหลักสูตรว่า หลักสูตรคือมวลประสบการณ์ทั้งหลาย ที่นักเรียนแตล่ ะคนพงึ มีในโปรแกรมการจดั การศกึ ษา เพอ่ื ใหบ้ รรลถุ ึงจุดมงุ่ หมายท่วั ไปและจุดมุ่งหมายเฉพาะท่ี ได้วางแผนเอาไว้ในกรอบของทฤษฎีและผลการวิจัยทางการศึกษาหรือการปฏิบัติงานท่ีผ่านมาท้ังใ นอดีต และปัจจุบนั ๑๕ กรมวชิ าการ, หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา ขั้นพนื้ ฐาน, กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๕๑), หนา้ ๓ – ๑๒. ๑๖ เปรือ่ ง กิจรัตน์กร, เทคโนโลยกี ารศึกษาและอุตสาหกรรม: หลกั การและแนวทางปฏิบัต.ิ กรุงเทพฯ: โรงเรยี น อบรมภาษาตา่ งประเทศ,๒๕๔๓), หน้า ๙๔-๙๕. ๑๗ จีระพนั ธ์ พูลพฒั น์, การศึกษาหลกั สตู รประถมศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร:คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย เกษตรศาสตร.์ ๒๕๓๒),หนา้ ๓.

การสอนธรรมวทิ ยา ๓๖ ธารง บัวศรี๑๘ ไดใ้ ห้ความหมายของหลกั สูตรไว้ว่า หลักสูตรคือแผนซ่ึงได้ออกแบบจัดทา ข้ึนเพื่อแสดง ถึงจุดหมาย การจัดเนื้อหาสาระ กิจกรรม และมวลประสบการณ์ในแต่ละโปรแกรมการศึกษาเพ่ือให้ผู้เรียน พฒั นาการในด้านต่าง ๆ ตามจุดหมายทไ่ี ดก้ าหนดไว้ โดยสรปุ หลกั สูตร คือการวางแผนการจัดประสบการณ์ต่างๆ ทีม่ ุ่งให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ในสาขาวิชา โดยผู้สอนเป็นผู้จัดประสบการณ์ รวมท้ังกิจกรรมต่างๆ และการให้ความรู้แก่ผู้เรียน ตามวัตถุประสงค์ ของหลักสูตรที่กาหนดไว้ภายใต้การควบคุมของสถาบันการศึกษา เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความ ชานาญ ทักษะวิชาชีพต่างๆเพื่อให้สามารถนาความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพ หรือ นาไปประยุกต์ใช้ใน ชวี ติ ประจาวนั ได้ วิสยั ทศั น์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน มุง่ พฒั นาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มี ความสมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดม่ันในการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ัง เจตคติ ท่ีจาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้น ผู้เรียนเป็นสาคัญ บนพื้นฐานความเชอ่ื วา่ ทุกคนสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ หลกั การ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน มหี ลกั การท่ีสาคัญ๑๙ ดังนี้ ๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็น เป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณธรรมบนพ้ืนฐานของความเป็นไทย ควบค่กู บั ความเป็นสากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ทีป่ ระชาชนทกุ คนมีโอกาสไดร้ ับการศกึ ษาอย่างเสมอภาคและมี คุณภาพ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคลอ้ งกบั สภาพและความต้องการของท้องถิน่ ๔. เปน็ หลักสตู รการศึกษาท่มี ีโครงสรา้ งยืดหยุน่ ทง้ั ด้านสาระการเรยี นรู้ เวลาและการจดั การเรียนรู้ ๕. เปน็ หลักสตู รการศึกษาทเี่ นน้ ผ้เู รยี นเปน็ สาคญั ๖. เป็นหลักสูตรการศึกษา สาหรบั การศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศัย ครอบคลมุ ทกุ กลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทยี บโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ จดุ หมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขมีศักยภาพ ในการศึกษาตอ่ และประกอบอาชีพ จึงกาหนดเป็นจุดหมายเพ่ือให้เกิดกับผู้เรียน เม่ือจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ดงั น้ี ๑๘ ธารง บวั ศรี,ทฤษฎีหลักสูตรการออกแบบและพัฒนา. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพค์ รุ ุสภาลาดพรา้ ว.๒๕๓๒), หน้า ๖. ๑๙ กรมวชิ าการ, หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขน้ั พ้นื ฐาน, กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๕๑), หน้า ๓-๔.

การสอนธรรมวิทยา ๓๗ ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมท่ีพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนา หรือศาสนาทต่ี นนับถอื ยึดหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ๒. มีความรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคดิ การแก้ปัญหา การใชเ้ ทคโนโลยี และมีทักษะชวี ิต ๓. มสี ขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตทด่ี ี มีสุขนสิ ยั และรักการออกกาลังกาย ๔. มีความรักชาติ มีจติ สานกึ ในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ยดึ มน่ั ในวถิ ีชีวิตและการปกครอง ตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมุข ๕. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมมีจิต สาธารณะทีม่ ่งุ ทาประโยชนแ์ ละสร้างสง่ิ ทด่ี งี ามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอยา่ งมีความสขุ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ในการพฒั นาผเู้ รียนตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสาคัญ ๕ ประการ ดงั นี้ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสารมีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพ่ือขจัดและลด ปญั หาความขัดแย้งต่างๆการเลือกรับหรอื ไม่รบั ข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถกู ต้อง ตลอดจนการเลือกใชว้ ธิ ีการส่ือสาร ที่มปี ระสทิ ธิภาพโดยคานึงถงึ ผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสงั คม ๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง สรา้ งสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพอ่ื การตดั สินใจเกยี่ วกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้ อย่างถกู ตอ้ งเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ เปลีย่ นแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสงั คมแสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมกี ารตัดสนิ ใจท่มี ีประสทิ ธิภาพโดยคานึงถงึ ผลกระทบ ทเ่ี กดิ ข้ึนตอ่ ตนเอง สังคมและส่ิงแวดลอ้ ม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ดาเนินชีวิตประจาวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องการทางาน และการอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลการจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆอย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเล่ียงพฤติกรรมไม่พึง ประสงค์ทส่ี ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผอู้ ืน่ ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆและ มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสารการทางาน การแกป้ ญั หา อย่างสร้างสรรค์ ถกู ตอ้ งเหมาะสมและมีคณุ ธรรม คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอัน พงึ ประสงค์ เพ่ือให้สามารถอยูร่ ว่ มกับผอู้ ่ืนในสงั คมไดอ้ ย่างมีความสุข ทั้งในฐานะพลเมอื งไทยและพลโลก ดงั นี้ ๑. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ๒. ซือ่ สตั ยส์ จุ รติ ๓. มีวินยั ๔. ใฝ่เรยี นรู้

การสอนธรรมวทิ ยา ๓๘ ๕. อยอู่ ย่างพอเพียง ๖. มงุ่ มั่นในการทางาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ นอกจากน้สี ถานศึกษาสามารถกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพ่ิมเติมให้สอดคล้องตามบริบทและ จุดเนน้ ของตนเอง๒๐ มาตรฐานการเรยี นรู้ การพัฒนาผู้เรยี นให้เกดิ ความสมดลุ ตอ้ งคานึงถึงหลกั พฒั นาการทางสมองและพหุปัญญาและหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน จึงกาหนดให้ผ้เู รยี นเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรดู้ งั น้ี ๑. ภาษาไทย ๒. คณิตศาสตร์ ๓. วิทยาศาสตร์ ๔. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๕. สขุ ศึกษาและพลศึกษา ๖. ศลิ ปะ ๗. การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๘. ภาษาตา่ งประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสาคัญของการพัฒนา คุณภาพผู้เรียนมาตรฐานการเรียนรู้ระบุส่ิงที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์อย่างไร เมื่อจบการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสาคัญในการขับเคลื่อนพัฒนา การศกึ ษาทง้ั ระบบ เพราะมาตรฐานการเรยี นรจู้ ะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไรจะสอนอย่างไร และประเมิน อย่างไรรวมทั้งเป็นเคร่ืองมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมิน คุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอกซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพ้ืนที่การศึกษาแล ะการ ทดสอบระดับชาติระบบการตรวจสอบเพ่ือประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสาคัญท่ีช่วยสะท้อนภาพการจัด การศึกษาว่าสามารถพัฒนาผูเ้ รียนให้มคี ุณภาพตามท่มี าตรฐานการเรยี นรู้กาหนดเพียงใด สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ซึ่งกาหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานจาเป็นต้องเรียนรู้ โดยแบ่งเป็น ๘ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ ดังนี้ ๑. ภาษาไทย : ความรู้ ทักษะและวัฒนธรรมการใช้ภาษาเพื่อ การสื่อสารความช่ืนชมการเห็นคุณค่า ภมู ิปัญญา ไทยและภมู ิใจในภาษาประจาชาติ ๒. คณิตศาสตร์ : การนาความรู้ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหาการ ดาเนินชีวิตและศกึ ษาตอ่ การมเี หตุมีผลมีเจตคตทิ ี่ดตี อ่ คณติ ศาสตร์พัฒนาการคิดอยา่ งเป็นระบบ ๓. วทิ ยาศาสตร์: การนาความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบการคิดอยา่ งเป็นเหตุเป็นผลคดิ วเิ คราะห์คดิ สร้างสรรค์ และจิตวทิ ยาศาสตร์ ๒๐ กรมวชิ าการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขัน้ พน้ื ฐาน, กระทรวงศึกษาธกิ าร, ๒๕๕๑), หน้า ๕.

การสอนธรรมวิทยา ๓๙ ๔. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม: การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดีศรัทธาในหลักธรรมของศาสนาการเห็นคุณค่าของทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม ความรักชาติ และภูมิใจในความเป็นไทย ๕. สุขศึกษาและพลศึกษา : ความรู้ทักษะและเจตคติในการสร้างเสริมสุขภาพพลานามัยของตนเอง และผูอ้ ่ืน การป้องกนั และปฏิบตั ติ อ่ สิ่งต่าง ๆ ท่มี ีผลตอ่ สขุ ภาพอย่างถกู วธิ ีและทกั ษะในการดาเนนิ ชวี ิต ๖. ศิลปะ : ความรู้และทักษะในการคิดริเริ่ม จินตนาการสร้างสรรค์งานศิลปะสุนทรียภาพ และการเห็นคณุ คา่ ทางศิลปะ ๗. การงานอาชีพและเทคโนโลยี : ความรู้ ทักษะ และเจตคติในการทางานการจัดการการดารงชีวิต การประกอบอาชพี และการใช้เทคโนโลยี ๘.ภาษาต่างประเทศ:ความรู้ทักษะเจตคติ วฒั นธรรมการใช้ภาษาต่างประเทศในการสอ่ื สารการ แสวงหาความรแู้ ละการประกอบอาชีพ การจดั การเรยี นรู้ การจดั การเรียนรู้เป็นกระบวนการสาคัญในการนาหลักสูตรสู่การปฏิบัติหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายสาหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอน พยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านสาระท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตร ๘ กลุม่ สาระการเรียนรู้ รวมท้ังปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์พัฒนาทักษะต่างๆ อันเป็นสมรรถนะ สาคญั ให้ผ้เู รียนบรรลุตามเปา้ หมาย หลกั การจดั การเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้สมรรถนะสาคัญและ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามท่ีกาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียน มีความสาคัญที่สุด เช่ือว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน กระบวน การจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพคานึงถึง ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลและพัฒนาการทางสมอง เนน้ ใหค้ วามสาคญั ทั้งความรแู้ ละคณุ ธรรม กระบวนการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลายเป็น เครื่องมือที่จะนา พาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ท่ีจาเป็นสาหรับผู้เรียนอาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการกระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิดกระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหากระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทาจริงกระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอ ง กระบวนการพัฒนาลักษณะนสิ ัย๒๑ การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัดสมรรถนะสาคัญ ของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึงพิจารณาออกแบบ ๒๑ กรมวชิ าการ, หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐานพทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขัน้ พนื้ ฐาน, กระทรวงศกึ ษาธิการ, ๒๕๕๑), หน้า ๒๐.

การสอนธรรมวทิ ยา ๔๐ การจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอนส่ือ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล เพื่อให้ ผ้เู รียนไดพ้ ัฒนาเต็มตามศกั ยภาพและบรรลตุ ามเปา้ หมายท่ีกาหนด บทบาทของผู้สอนและผเู้ รียน การจัดการเรยี นรู้เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมคี ุณภาพตามเป้าหมายของหลกั สูตรท้ังผู้สอนและผเู้ รยี นควรมบี ทบาท ดังน้ี ๑. บทบาทของผ้สู อน ๑) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเปน็ รายบคุ คล แล้วนาขอ้ มลู มาใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ ทท่ี า้ ทายความสามารถของผูเ้ รยี น ๒) กาหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ด้านความรู้และทักษะกระบวนการ ที่เป็นความคดิ รวบยอด หลักการ และความสัมพันธ์ รวมทง้ั คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ๓) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ท่ีตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล และพฒั นาการทางสมอง เพ่ือนาผ้เู รยี นไปส่เู ปา้ หมาย ๔) จัดบรรยากาศท่เี อื้อต่อการเรียนรู้ และดแู ลชว่ ยเหลอื ผเู้ รียนให้เกดิ การเรยี นรู้ ๕) จัดเตรียมและเลือกใช้ส่ือให้เหมาะสมกับกิจกรรม นาภูมิปัญญาท้องถ่ินเทคโนโลยี ท่ีเหมาะสมมาประยุกตใ์ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน ๖) ประเมินความก้าวหนา้ ของผเู้ รียนด้วยวธิ ีการทีห่ ลากหลาย เหมาะสมกบั ธรรมชาติของวิชา และระดับพฒั นาการของผเู้ รียน ๗) วเิ คราะห์ผลการประเมนิ มาใชใ้ นการซ่อมเสริมและพฒั นาผู้เรียนรวมท้งั ปรับปรงุ การ จดั การเรยี นการสอนของตนเอง ๒. บทบาทของผเู้ รยี น ๑) กาหนดเปา้ หมาย วางแผน และรบั ผิดชอบการเรยี นรู้ของตนเอง ๒) เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรยี นรู้ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ข้อความรู้ ต้ังคาถาม คิด หาคาตอบหรือหาแนวแก้ปัญหาด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ ๓) ลงมอื ปฏบิ ัตจิ ริง สรปุ ส่งิ ทีไ่ ดเ้ รียนรู้ดว้ ยตนเอง และนาความรไู้ ปประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณ์ ตา่ ง ๆ ๔) มปี ฏสิ มั พนั ธ์ ทางาน ทากิจกรรมรว่ มกบั กล่มุ และครู ๕) ประเมินและพฒั นากระบวนการเรียนรู้ของตนเองอยา่ งต่อเนือ่ ง ๓. สอื่ การเรียนรู้ การเรยี นรเู้ ปน็ เครอื่ งมอื ส่งเสริมสนบั สนนุ การจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ทักษะ กระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้มีหลากหลาย ประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ ส่ือสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และเครือข่ายการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถ่ิน การเลือกใช้ สื่อควรเลือกใหม้ ีความเหมาะสมระดับพัฒนาการและลีลาการเรียนรู้ท่ีหลากหลายของผู้เรียนการจัดหาสื่อการ เรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทาและพัฒนาข้ึนเอง หรือปรับปรุงเลือกใช้อย่างมีคุณภาพจากส่ือต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนามาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ท่ีสามารถส่งเสริมและสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดใหม้ อี ยา่ งพอเพียง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงสถานศึกษาเขตพ้ืนท่ี การศึกษาหน่วยงานทเ่ี กี่ยวขอ้ งและผู้มีหน้าที่จดั การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน ควรดาเนินการดงั น้ี

การสอนธรรมวิทยา ๔๑ ๑. จัดใหม้ ีแหลง่ การเรยี นรู้ ศูนยส์ อื่ การเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรยี นรู้และเครือข่ายการเรยี นรทู้ มี่ ี ประสทิ ธิภาพทง้ั ในสถานศึกษาและในชมุ ชน เพ่ือการศกึ ษาคน้ ควา้ และการแลกเปลย่ี นประสบการณ์การเรยี นรู้ ระหว่างสถานศึกษา ท้องถิ่น ชมุ ชนสงั คมโลก ๒. จัดทาและจัดหาส่ือการเรียนรู้สาหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ให้ผู้สอนรวมท้ัง จัดหาสง่ิ ท่มี อี ยู่ในทอ้ งถ่ินมาประยกุ ตใ์ ชเ้ ปน็ สอ่ื การเรียนรู้ ๓. เลือกและใช้ส่ือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพมีความเหมาะสม มีความหลากหลายสอดคล้องกับวิธีการ เรยี นรู้ ธรรมชาตขิ องสาระการเรียนรู้ และความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของผูเ้ รียน ๔. ประเมนิ คณุ ภาพของสือ่ การเรยี นรู้ทเ่ี ลอื กใช้อยา่ งเป็นระบบ ๕. ศึกษาคน้ คว้า วิจัย เพื่อพัฒนาสอ่ื การเรียนรู้ใหส้ อดคล้องกับกระบวนการเรียนร้ขู องผู้เรยี น ๖. จัดให้มีการกากับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเก่ียวกับสื่อและการใช้สื่อการเรียนรู้ เป็นระยะๆ และสม่าเสมอในการจัดทา การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ท่ีใช้ในสถานศึกษา ควรคานึงถึงหลักการสาคัญของส่ือการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร วัตถุประสงค์การเรียนรู้การ ออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ การจัดประสบการณใ์ หผ้ ู้เรยี น เนื้อหามีความถูกตอ้ งและทนั สมัยไมก่ ระทบความ ม่ันคงของชาติ ไม่ขัดต่อศีลธรรม มกี ารใชภ้ าษาที่ถูกต้อง รูปแบบการนาเสนอท่ีเข้าใจงา่ ยและนา่ สนใจ การบรหิ ารจัดการหลักสูตร ในระบบการศึกษาท่ีมีการกระจายอานาจให้ท้องถ่ินและสถานศึกษามีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตร นั้น หน่วยงานต่างๆ ที่เก่ียวข้อง ในแต่ละระดับ อาทิ ระดับชาติระดับท้องถิ่น และระดับสถานศึกษา จะมีบทบาทหน้าท่ี และความรับผิดชอบในการพัฒนาสนับสนุน ส่งเสริม การใช้และพัฒนาหลักสูตรให้เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลผลิตของการบริหารจัดการหลักสูตร คือ ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานการ เรียนรู้ สมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา หรือหน่วยงานต้นสังกัด อ่ืน ๆในระดับท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนคุณภาพการจัดการศึกษาส่งเสริมการใช้และ พัฒนาหลกั สูตรในระดบั สถานศึกษาใหป้ ระสบความสาเร็จของหลักสตู รโดยมภี ารกิจสาคญั ดังนี้๒๒ ๑) กาหนดเป้าหมายคุณภาพผ้เู รียน ๒) จดั สาระการเรยี นรูท้ ้องถ่นิ ๓) กาหนดระบบการวดั และประเมนิ ผล ๔) เพมิ่ พูนคณุ ภาพการใช้หลกั สูตรด้วยการวิจยั และพฒั นา ๕) สนับสนนุ ส่งเสรมิ นเิ ทศตดิ ตาม ประเมินผล วิเคราะหร์ ายงานผลการใช้ หลักสูตรสถานศึกษามีหน้าท่ีสาคัญในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา โดยมีองค์คณบุคคล ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน เครือข่ายและหน่วยงานที่เก่ียวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการ ดาเนินการ โดยมภี ารกิจสาคัญ ๑) จัดทาหลกั สตู รสถานศึกษา ๒) วางแผนและดาเนนิ การใช้หลักสูตร ๓) เพิม่ พนู คณุ ภาพการใชห้ ลักสูตรด้วยการวจิ ัยและพฒั นา ๔) ประเมนิ การใช้หลกั สตู ร ๕) ปรับปรงุ และพฒั นาหลักสูตร ๒๒ กรมวชิ าการ, หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขนั้ พ้ืนฐาน, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ๒๕๕๑), หนา้ ๒๘.

การสอนธรรมวทิ ยา ๔๒ การจัดหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานจะประสบความสาเร็จตามเป้าหมายท่ีคาดหวังได้ ทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้องท้ังระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทางานอย่างเป็นระบบ ต่อเน่ือง ในการวางแผน ดาเนินการส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขเพ่ือพัฒนาเยาวชน ของชาติไปสูค่ ณุ ภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ทีก่ าหนดไว้ ๒.๔.๓ ด้านการกาหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนการสอนคือข้อความท่ีระบุคุณลักษณะการเรียนรู้และความสามารถท่ีครูต้องการ ให้เกิดข้ึนกับนักเรียนหลังจากที่นักเรียนได้ผ่านกิจกรรมการเรียนการสอนในเรื่องหรือ บทหน่ึงๆแล้วเป็น จุดหมายปลายทางของการเรียนการสอนท่ีได้แนวทางมาจากความคิดรวบยอดการเรียนการสอน ดังนั้น จดุ ประสงค์การเรยี นการสอนจึงมคี วามสาคญั ต่อการจัดการเรยี นการสอน พนิต เข็มทอง๒๓ ได้กล่าวถึง การกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ (Objectives)เป็นการกาหนดส่ิง ท่ีต้องการให้ผู้เรียนมีหรือบรรลุซึ่งมีท้ังด้านความรู้ ทักษะและเจตคติจุดประสงค์การเรียนรู้จะได้มาจากระดับ ของหลักสูตร คือต้ังแต่จุดหมายของหลักสูตรจุดประสงค์ของสาขาวิชา มาตรฐานวิชาชีพสาขาวิชาและสาขา งานจนถึงระดับรายวิชา คือจุดประสงค์รายวิชา มาตรฐานรายวิชาและคาอธิบายรายวิชาที่ต้องการจัดการ เรียนรู้เพ่ือมุ่งไปสู่ผลสัมฤทธิ์ตามจุดประสงค์ระดับหลักสูตรทั้งน้ีการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีสมบูรณ์น้ัน จะต้องเขียนใหค้ รอบคลมุ พฤตกิ รรมทั้ง ๓ ดา้ น ดังกลา่ ว ก. ดา้ นพุทธิพิสยั (Cognitive Domain) ดา้ นพทุ ธพิ ิสัย คือ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่เน้นความสามารถทางสมอง หรือความรอบรู้ในเนอื้ หาวชิ า หลกั การหรอื ทฤษฎีพฤติกรรมการเรยี นรูด้ า้ นน้ีสามารถวดั ได้จากการให้ผูเ้ รียนแจกแจงความรู้ เขยี นรายการสิ่ง ทร่ี ูย้ กตวั อยา่ ง ประยกุ ต์กฎต่างๆ ท่เี รยี นไปหรือวิเคราะหส์ ถานการณ์ พฤตกิ รรมตามระดับการเรยี นรู้ดา้ นพุทธิ พิสัยแบ่งไว้ ๖ ข้ันซึง่ การเรียนรูใ้ นระดบั ท่ีสงู ขึ้นไป ต้องอาศัยระดบั การเรยี นรู้ทตี่ า่ กวา่ เสมอ ตารางที่ ๒.๑ แสดงระดับพฤตกิ รรมและตัวอย่างคากริยาท่ีใช้ ระดับพฤตกิ รรม ตวั อยา่ งคากรยิ าทีใ่ ช้ ๑. ความร้คู วามจา ความสามารถในการจดจา บอกคณุ สมบัติ จับคู่ เขียนลาดบั อธิบาย สงิ่ ทีเ่ รียนมาแล้ว อาจเป็นข้อมูลงา่ ย ๆ บรรยาย ขีดเส้นใต้ จาแนก ระบุ จนถงึ ทฤษฎี แปลความหมาย อธิบาย ขยายความ สรปุ ๒. ความเข้าใจ ความสามารถในการจบั ความยกตัวอย่าง บอกความแตกต่าง เรียบเรียง ใจความการแปลความหมายการสรุป เปลี่ยน หรือขยายความ แกป้ ัญหา สาธิต ทานาย เชื่อม โยงความสมั พันธ์ เปลยี่ นแปลงคานวณปรับปรงุ ผลติ ซ่อม ๓. การนาไปใช้ ความสามารถในการนา เขียนโครงร่าง แยกแยะ จดั ประเภท จาแนก สงิ่ ทีไ่ ดเ้ รียนรูไ้ ปใช้ในสถานการณใ์ หม่ ใหเ้ หน็ ความแตกตา่ ง บอกเหตผุ ล ทดลอง ๔. การวเิ คราะห์ ความสามารถในการแยก ส่งิ ต่าง ๆ ออกเปน็ ส่วนยอ่ ยเหลา่ นนั้ ได้ ๒๓ พนิต เข็มทอง.วัตถุประสงค์ทางการศึกษา : การเขียนและการจาแนก ในเอกสารประกอบการฝึกอบรม หลักสูตรกลยทุ ธก์ ารฝึกอบรมแนวใหม่ แนวคิดสู่การปฏิบัติ. (กรุงเพทมหานคร : สานักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์,๒๕๔๑), หน้า ๑-๔.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook