PEDAGOGY SCIENCE ศาสตร์การสอน โดย ทิพย์ ขันแก้ว
มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย Mahachulalongkornrajavidyalaya University หลกั สตู รพุทธศาสตรบณั ฑิต เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า หมวดวิชาเฉพาะสาขา รหัสวิชา ๒๐๐ ๔๑๕ ศาสตรก์ ารสอน )Pedagogy Science) ทิพย์ ขันแก้ว มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาลยั สงฆบ์ ุรรี มั ย์ วัดพระพทุ ธบาทเขากระโดง ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรรี ัมย์
ศาสตรก์ ารสอน Pedagogy Science นายทพิ ย์ ขนั แกว้ : ป.ธ.๙., กศ.ม.(การบริหารการศกึ ษา) ที่ปรึกษา พระราชปรยิ ตั กิ วี ผทู้ รงคุณวุฒปิ ระจำวิยาลยั สงฆ์บุรีรมั ย์ พระสุนทรธรรมเมธี ผทู้ รงคุณวุฒิประจำวิยาลยั สงฆบ์ รุ รี มั ย์ พระศรปี ริยัติธาดา ผูอ้ ำนวยการวิทยาลัยสงฆ์บรุ รี ัมย์ พระมหาบุญถนิ่ ปุญฺญสริ ิ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร พระครศู รปี ญั ญาวิกรม รองผอู้ ำนวยการฝา่ ยวิชาการ ผทู้ รงคณุ วุฒิตรวจทางตน้ ฉบบั ผศ.ดร.สรเชต วรคามวชิ ัย ผศ.ดร.ทวศี กั ดิ์ ทองทิพย์ บรรณาธิการ นายทพิ ย์ ขันแก้ว กองบรรณาธกิ าร รองผูอ้ ำนวยการฝ่ายวชิ าการ ประธานหลกั สูตรการสอนฯ พระครศู รีปญั ญาวิกรม ผอู้ ำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต พระปลดั วรี ะชนม์ เขมวีโร,ดร. ผู้อำนวยการสำนกั งานวิชาการ พระครวู นิ ัยธรอำนาจ พลปญฺโญ นายรงั สิทธิ วหิ กเหิน ปีทพี่ ิมพ์ ๒๕๕๙ จำนวนพิมพ์ ๑๐๐ เลม่ จดั พมิ พโ์ ดย วทิ ยาลยั สงฆบ์ ุรรี มย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั I SBN ……………………………………………………………….
คำปรารภ ศาสตร์การสอน) Pedagogy Science(หรือศาสตร์แห่งการสอน ในทางพระพุทธศาสนานั้น ถือเป็น มรดกทางธรรมท่ีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานให้เป็นแนวทางในการสั่งสอนเพ่ือให้มนุษย์เกิด การพัฒนารอบด้าน มีความรู้ คู่คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ซ่ึงสอดคล้องกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย มีโครงการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร เพ่ือการเรียนรู้พระพุทธศาสนาของมหาวิทยาลัย ซึ่งมี วัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาเนื้อหารายวิชาให้เป็นท่ียอมรับและใช้ร่วมกันได้ พัฒนารูปแบบของหนังสือ และตำรา ให้มีเอกลักษณ์รว่ มกัน สวยงาม คงทน น่าสนใจต่อการศึกษาค้นคว้า มีเน้ือหาสาระไปพัฒนาส่ือการศึกษาและ เผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งสื่อส่ิงพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ระบบคลังข้อสอบ พัฒนาบุคลากรและผลงานด้าน วิชาการของมหาวทิ ยาลยั ใหแ้ พรห่ ลาย และเป็นเวทเี สนอผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ของมหาวิทยาลยั หนงั สือศาสตร์การสอนเล่มนี้ มเี นื้อหาสาระ ๑๐ บท ม่งุ หมายให้ศกึ ษาวิวัฒนาการของศาสตรก์ ารสอน บริบททางการสอน ปรัชญาการศึกษากับการสอน ทฤษฎีการเรียนรู้กับการสอน หลักการจัดการเรียนการ สอนร่วมสมัย ระบบการเรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน วิธีสอนแบบต่าง ๆ เทคนิคและทักษะการ สอน นวตั กรรมดา้ นการเรยี นการสอน ขออนุโมทนาขอบคุณอาจารย์ทิพย์ ขันแก้ว อาจารย์ประจำรายวิชา ที่ได้เสียสละเวลาพัฒนาเนื้อหา รายวิชาเล่มน้ีให้เกิดขึ้น อันจะเป็นประโยชน์สมบัติของวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์สืบไป หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือ เล่มนี้คงอำนวยประโยชน์เชิงวิชาการด้านพุทธศาสตร์และครุศาสตร์แก่คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และ ประชาชนผูส้ นใจท่วั ไป )พระศรปี ริยตั ิธาดา( ผ้อู ำนวยวทิ ยาลัยสงฆ์บรุ ีรมั ย์
คำนำ ศาสตร์การสอน) Pedagogy Science(หรือศาสตร์แห่งการสอน รหัส ๒๐๐ ๔๑๕ หลักสูตรพุทธ ศาสตรบัณฑิต คณะครศุ าสตร์ สาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนาและจิตวิทยาแนะแนว เกิดจากแรงบันดาล ใจในฐานะผูเ้ ขยี นเป็นผูร้ ับผดิ ชอบในการบรรยายถวายความร้แู ดน่ ิสิตชั้นปีท่ี ๔ เห็นว่ายงั ขาดหนังสือและตำรา เกย่ี วกับด้านนี้ สรา้ งความยุ่งยากและก่อเกิดความไม่สะดวกในการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน จงึ มีความคดิ อยาก เขียนหนังสอื ดา้ นนแ้ี ละเห็นว่ามคี วามสำคญั ต่อนสิ ิตทเี่ รยี นในชั้นปีท่ี ๔ สาขาวชิ าการสอนพระพุทธศาสนาและ จิตวิทยาแนะแนว คณะครุศาสตร์ เป็นอย่างยิ่ง จึงได้รวบรวมข้อมูลที่เก่ียวข้องจากตำรางานวิจัย วารสาร วิชาการและเว็ปไซต์ต่างๆ เพ่อื ให้นิสิต นกั ศึกษาและผู้ทสี่ นใจได้ศกึ ษาประกอบการเรยี นการสอนในรายวชิ าที่ เรียน โดยได้นำแนวสังเขปรายวชิ ามาศึกษาค้นควา้ และจัดรวบรวมเน้อื หาสาระให้สอดคล้อง กราบขอขอบคุณพระเดชพระคุณพระศรีปริยตั ิธาดา ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรรี มั ย์ ทเ่ี มตตาเปิด โอกาสในการศกึ ษาจัดทำเนื้อหารายวชิ าน้ี เพ่อื เป็นประโยชน์แกน่ สิ ติ นักศึกษาและผู้ที่สนใจ ศึกษาค้นคว้าใช้ เป็นตำราประกอบการเรียนการสอน มไิ ด้หวงั ผลกำไรทางการคา้ แต่อยา่ งไร หวังเป็นเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือประกอบการเรียนรู้ ชื่อ “การสอนแบบโยนิโสมนสิการ”เล่มนี้ จะ อำนวยประโยชน์แก่นิสิต นักศึกษา ผู้ท่ีสนใจ และคณาจารย์ หากท่านผู้อ่านพบเห็นข้อบกพร่องหรือมีคำ ชแ้ี นะเพ่ือการปรบั ปรุงให้สมบูรณ์มากยิ่งข้ึน ขอน้อมยินดีรับฟังความคิดเห็นและจะนำไปปรับปรุงแก้ไขพัฒนา เอกสารเลม่ นี้ใหม้ ีความสมบูรณ์ และมคี ุณค่าทางการศึกษาตอ่ ไป ทิพย์ ขันแกว้ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙
บท สารบญั หน้า คำปรารภ ก คำนำ ข สารบญั ค บทท่ี ๑ วิวัฒนาการของศาสตร์ทางการสอน ๑ ๑.๑ ความนำ ๒ ๑.๒ การศึกษาในอยี ปิ ต์โบราณ ๒ ๑.๓ การศึกษาในดินแดนเมโสโปเตเมยี ๔ ๑.๔ อารยธรรมโรมัน ๕ ๑.๕ การศึกษาในประเทศอนิ เดยี โบราณ ๑๐ ๑.๖ การศึกษาในประเทศจนี โบราณ ๑๒ ๑.๗ ววิ ฒั นาการของการศึกษาไทย ๑๘ สรปุ ทา้ ยบท ๒๐ คำถามทา้ ยบท ๒๑ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๒๒ บทท่ี ๒ บรบิ ททางการสอน ๒๓ ๒.๑ ความนำ ๒๔ ๒.๒ บริบทการศึกษาในไทย ๒๔ ๒.๓ บริบทการศกึ ษาในอนิ เดีย ๒๖ ๒.๔ บรบิ ทการศกึ ษาในจนี ๒๘ ๒.๕ สมัยฟ้ืนฟูศลิ ปะวทิ ยาการในศตวรรษท่ี ๑๑-๑๓ ๓๐ ๒.๖ สมยั ฟน้ื ฟวู ทิ ยาการในประเทศอิตาลี ๓๒ สรปุ ทา้ ยบท ๓๕ คำถามทา้ ยบท ๓๗ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๓๘ บทท่ี ๓ ปรัชญาการศกึ ษากับการสอน ๓๙ ๓.๑ ความนำ ๔๐ ๓.๒ ความหมายและความสำคัญ ๔๐ ๓.๓ ความสำคญั ของปรัชญาการศกึ ษา ๔๓ ๓.๔ ลักษณะทวั่ ไปของปรัชญาการศึกษา ๔๔ ๓.๕ ประเภทของปรัชญาการศึกษา ๔๖
บท สารบญั หนา้ ๕๑ สรปุ ท้ายบท ๕๓ คำถามท้ายบท ๕๔ เอกสารอ้างอิงประจำบท ๕๕ บทที่ ๔ ทฤษฎกี ารเรยี นรกู้ ับการสอน ๕๖ ๕๖ ๔.๑ ความนำ ๖๒ ๔.๒ ทฤษฎเี กี่ยวกับการจดั การศกึ ษา ๗๐ ๔.๓ แนวคดิ เกย่ี วกบั การจัดการศกึ ษา ๗๒ ๔.๔ สาเหตุทคี่ นไทยต้องเรียนรู้พระพทุ ธศาสนา ๗๔ สรุปท้ายบท ๗๕ คำถามท้ายบท เอกสารอ้างอิงประจำบท ๗๖ ๗๗ บทท่ี ๕ หลักการจัดการเรยี นการสอนร่วมสมัย ๗๗ ๘๕ ๕.๑ ความนำ ๙๐ ๕.๒ หลักการและแนวคิดในการจดั การเรยี นการสอนรว่ มสมัย ๙๖ ๕.๓ หลกั การและกระบวนสอน ๑๐๓ ๕.๔ แบบเน้นประสบการณ์ ๑๐๕ ๕.๕ แบบเน้นทักษะกระบวนการ ๑๐๖ สรปุ ท้ายบท คำถามทา้ ยบท ๑๐๗ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๑๐๘ ๑๐๘ บทท่ี ๖ ระบบการเรยี นการสอน ๑๑๑ ๑๒๐ ๖.๑ ความนำ ๑๒๓ ๖.๒ ความหมาย ๑๒๖ ๖.๓ ระบบการเรยี นการสอน ๑๒๘ ๖.๔ วธิ รี ะบบ ๑๒๙ ๖.๕ องค์ประกอบของการออกแบบการเรียนการสอน สรุปท้ายบท ๑๓๐ คำถามทา้ ยบท ๑๓๑ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท บทท่ี ๗ รูปแบบการเรยี นการสอน ๗.๑ ความนำ
บท สารบญั หน้า ๗.๒ รูปแบบการเรยี นการสอนที่เปน็ สากล ๑๓๑ ๗.๓ รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีพฒั นาขน้ึ โดยนักการศึกษาไทย ๑๖๒ สรุปทา้ ยบท ๑๗๒ คำถามท้ายบท ๑๗๓ เอกสารอ้างอิงประจำบท ๑๗๔ บทท่ี ๘ วธิ ีการสอนแบบต่างๆ ๑๗๕ ๘.๑ ความนำ ๑๗๖ ๘.๒ รูปแบบการเรียนการสอน ๑๗๖ ๘.๓ รูปแบบการบูรณาการ ๑๗๙ ๘.๔ การสอนแบบศนู ยก์ ารเรียนรู้ ๑๘๙ ๘.๕ การสอนตามแนวพทุ ธวธิ ี ๑๙๐ สรุปทา้ ยบท ๑๙๓ คำถามท้ายบท ๑๙๕ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๑๙๖ บทท่ี ๙ เทคนคิ และทกั ษะการสอน ๑๙๗ ๙.๑ ความนำ ๑๙๘ ๙.๒ ความหมาย ๑๙๘ ๙.๓ ความสำคญั ของทักษะการสอน ๑๙๙ ๙.๔ ทกั ษะการสอนพื้นฐาน ๑๙๙ ๙.๕ บทบาทครู ๒๐๓ ๙.๖ เทคนิคการสอน ๒๐๖ สรปุ ท้ายบท ๒๑๓ คำถามทา้ ยบท ๒๑๔ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๒๑๙ บทที่ ๑๐ นวัตกรรมด้านการเรียนการสอน ๒๒๐ ๑๐.๑ ความนำ ๒๒๑ ๑๐.๒ การออกแบบการเรยี นการสอนแบบย้อนกลบั ๒๒๑ ๑๐.๓ หลกั การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลบั ๒๒๒ ๑๐.๔ รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนพ้นื ฐานจากทฤษฎีการสรา้ งความรู้ ๒๓๑ สรุปท้ายบท ๒๓๓ คำถามทา้ ยบท ๒๓๔ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๒๓๕
บท สารบัญ หน้า บรรณานุกรม ๒๓๖
บทท่ี ๑ วิวัฒนาการของศาสตร์ทางการสอน วัตถุประสงคก์ ารเรียนรู้ประจำบท เมือ่ ไดศ้ กึ ษาเนอื้ หาในบทนี้แลว้ ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายการศึกษาในอียิปต์โบราณได้ ๒. อธิบายการศึกษาในดนิ แดนเมโสโปเตเมยี ได้ ๓. อธิบายอารยธรรมโรมันได้ ๔. อธิบายการศกึ ษาในประเทศอนิ เดียโบราณได้ ๕. อธิบายการศึกษาในประเทศจนี โบราณได้ ๖. อธิบายวิวฒั นาการของการศึกษาไทยได้ ขอบข่ายเนือ้ หา • การศกึ ษาในอียิปตโ์ บราณ • การศึกษาในดนิ แดนเมโสโปเตเมีย • อารยธรรมโรมนั • การศึกษาในประเทศอนิ เดียโบราณ • การศกึ ษาในประเทศจีนโบราณ • วิวฒั นาการของการศึกษาไทย
ศาสตรก์ ารสอน ๒ ๑.๑ ความนำ การสอน เป็นงานหลักของครู ซ่ึงปัจจุบันถือว่าครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง ท่ีบุคคลในวิชาชีพน้ี ต้องได้รับ การศึกษาอบรมมาโดยเฉพาะเพื่อให้มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ สามารถเลือกศึกษา อบรมมา โดยเฉพาะ เพ่ือให้มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ สามารถเลือกวิธีปฏิบัติงานที่เหมาะสม เพ่ือช่วยให้ นักเรียนมีความรู้ ทักษะ และเจตคติ ดังท่ีระบุไว้ในจุดประสงค์การสอน ครูต้องมีการฝึกฝนด้านการสอนอยู่ เสมอเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการทำงานเช่นเดียวกับวิชาชีพชั้นสูงอื่นๆ และต้องมีมาตรฐานของ วิชาชีพ การที่ครูสามารถปฏิบัติงานการสอนได้ดีขึ้นอยู่กับความสามารถในการผสมผสานศาสตร์ว่าด้วยการ สอนกบั ศิลปะของการสอนเขา้ ด้วยกนั เพ่ือใหเ้ กิดประสิทธิผลของการสอนสงู สุด๑ ศาสตร์การสอน (Science of Teaching) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้และการสอนที่สังคม โลกได้ส่ังสมมาต้ังแต่อดีตจนปัจจุบัน ซึ่งผู้สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ ตามเป้าหมาย / จุดหมาย / วัตถุประสงค์ของการสอนที่กำหนด ความรูด้ งั กล่าวได้มาจากการคิด การวิเคราะห์ ของนักปราชญ์ และนักคิดทั้งหลายหรือได้มาจากการศึกษา ค้นคว้า พิสูจน์ทดสอบตามกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ของนกั จติ วิทยาและนักการศึกษาต่างๆ ข้อความร้ดู ังกล่าวประกอบด้วย ปรชั ญาการศึกษา บรบิ ท ทางการสอน ทฤษฎี หลักการ แนวคิด ระบบ รปู แบบ วิธีการ เทคนคิ และจิตวทิ ยาทางการเรียนรู้และการสอน การวางแผนและออกแบบการจัดการเรียนการสอน การดำเนินการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล สื่อ และเทคโนโลยีทางการสอน นวัตกรรมและการวจิ ัยการเรยี นการสอน เปน็ ตน้ ๑.๒ การศกึ ษาในอยี ิปตโ์ บราณ อียิปต์โบราณ หรือ ไอยคุปต์ เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ต้ังอยู่ทางตอน ตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นท่ีตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันเป็นท่ีต้ังของ ประเทศอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์โบราณเร่ิมขึ้นประมาณ ๓,๑๕๐ ปีก่อนคริตศักราช โดยการรวมอำนาจ ทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรม เรื่อยมากว่า ๓,๐๐๐ ปี ประวัติของอียิปต์โบราณปรากฏขึ้นในช่วงระยะเวลาหน่ึง หรือท่ีรู้จักกันว่า \"ราชอาณาจักร\" มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์โบราณเป็นราชอาณาจักร ส่วนมากแบ่งตามราชวงศ์ที่ข้ึนมา ปกครอง จนกระท่ังราชอาณาจักรสุดท้าย หรือท่ีรู้จักกันในชื่อว่า \"ราชอาณาจักรใหม่\" อารยธรรมอียิปต์อยู่ ในชว่ งท่ีมกี ารพัฒนาท่ีนอ้ ยมาก และส่วนมากลดลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันทอ่ี ียิปต์พ่ายแพ้ต่อการทำสงครามจาก อำนาจของชาติอ่ืน จนกระทั่งเมื่อ ๓๑ ปีก่อนคริตศักราชก็เป็นการสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อ จกั รวรรดโิ รมันสามารถเอาชนะอียปิ ต์ และจัดอียิปต์เปน็ เพยี งจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดโิ รมนั นักประวัติศาตร์ถือว่าอียิปต์เป็นชนชาติแรกที่มีอารยธรรม พัฒนาการมาจากสภาพของลุ่มแม่น้ำไนล์ การควบคมุ ระบบชลประทาน, การควบคมุ การผลิตพืชผลทางการเกษตร พร้อมกับพัฒนาอารยธรรมทางสังคม และวฒั นธรรม พื้นทีข่ องอียิปตน์ ้ันล้อมรอบด้วยทะเลทรายเสมือนปราการป้องกันการรกุ รานจากศัตรภู ายนอก นอกจากน้ียังมีการทำเหมืองแร่ และอียิปต์ยังเป็นชนชาติแรกๆที่มีการพัฒนาการใช้หนังสือและมีอักษรเป็น ๑ นายพริ ยิ ะ ตระกูลสวา่ ง และคณะ. มโนทัศน์สำคญั เกย่ี วกบั การจดั การเรยี นการสอน.ออนไลน์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.seal๒thai.org/sara/sara๐๑๔.htm สืบคน้ เม่ือ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๘.
ศาสตรก์ ารสอน ๓ ภาษาของตนเอง ร้จู ักทำหมึกหรือสีสำหรับเขยี น โดยใชย้ างไม้ผสมกับน้ำทำให้ข้นแล้วผสมกับเขม่าไฟเคียวจน เปน็ หมึก ต่อมาไดค้ ิดคน้ วธิ ีทำกระดาษโดยใช้ต้นปาไปรสั (Papyrus) การบริหารอียิปต์เน้นไปทางส่ิงปลูกสร้าง และการเกษตรกรรม พร้อมกันน้ันก็มีการพัฒนาการทาง ทหารของอียิปต์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักร โดยประชาชนจะให้ความเคารพกษัตริย์ หรือ ฟาโรห์เสมือนหนึ่งเทพเจ้า ทำให้การบริหารราชการบ้านเมืองและการควบคุมอำนาจน้ันทำได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ ชาวอยี ิปต์โบราณไม่ได้เปน็ เพียงแตน่ กั เกษตรกรรม และนักสร้างสรรคอ์ ารยธรรมเท่านัน้ แตย่ ังเป็นนัก คิด, นักปรัชญา ได้มาซึ่งความรู้ในศาสตร์ต่างๆมากมายตลอดการพัฒนาอารยธรรมกว่า ๓,๐๐๐ ปี ทั้งในด้าน คณิตศาสตร์, เทคนิคการสร้างพีระมิด, วัด, โอเบลิสก์, ตัวอักษร และเทคนิคโลยีด้านกระจก นอกจากนี้ยังมี การพัฒนาประสิทธิภาพทางด้านการแพทย์, ระบบชลประทานและการเกษตรกรรม อียิปต์ท้ิงมรดกสุดท้ายแก่ อนุชนรุ่นหลังไว้คือศิลปะ และสถาปัตยกรรม ซ่ึงถูกคัดลอกนำไปใช้ทั่วโลก อนุสรณ์สถานที่ต่างๆในอียิปต์ต่าง ดึงดดู นกั ทอ่ งเที่ยว นกั ประพนั ธก์ ว่าหลายศตวรรษท่ผี ่านมา ความเจริญทางด้านการศึกษาของอียิปต์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงทางด้านปรัชญาของอียิปต์โบราณส่วน ใหญ่เก่ียวกับศีลธรรมและการเมือง บางคร้ังความคิดด้านปรัชญาอย่างอียิปต์เป็นไปอย่างกว้างๆ กล่าวคือ ความคิดที่ว่าโลกจะถูกควบคุมโดยจิตใจหรือความฉลาด ความคิดดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในการเขียนของคณะ สงฆ์และนักปราชญ์ ซ่ึงคร้ังแรกได้มีการจารึกไว้บทละครแห่งเมืองเมมพิส ซ่ึงฟาโรห์อิคนาตัน ได้รับเอา ความคิดนี้มาใช้ ในอีก ๒,๐๐๐ ปี ต่อมาความเก่ียวกับปรัชญาในด้านอื่นๆของอียิปต์โบราณ คือ ความคิด เก่ยี วกับความเป็นอมตะของโลก ลทั ธทิ เ่ี ป็นเหตแุ ละผลตามธรรมชาติ ด้านวิทยาศาสตร์ ชาวอียิปต์ให้ความสนใจเร่ืองดาราศาสตร์และคณิ ตศาสตร์เป็นอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์ของอียิปต์ได้ศึกษาและคำนวณเวลาท่ีจะเกิดน้ำท่วมของแม่น้ำไนล์ วางโครงการสร้างปิรามิด และวัดต่างๆ และคอยแกไ้ ขปัญหาทางด้านการชลประทาน ด้านสาธารณะตลอดจนการควบคุมเศรษฐกจิ ต่างๆ ชาวอียิปต์ประสบความสำเร็จในการหาตำแหน่งต่างๆของดวงดาวได้อย่างแม่นยำ ความสำเร็จทางด้านดารา ศาสตร์ได้เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์และในสมัยราชอาณาจักรเก่า แต่มาในภายหลังๆความสนใจทางด้านนี้ค่อยๆ
ศาสตร์การสอน ๔ หมดไป การศึกษาค้นคว้าทางคณิตศาสตรก์ ลับได้รับการปรับปรุงเป็นอย่างมาก รู้จักประดิษฐ์ระบบมาตราสิบ ทัง้ ที่ไมม่ กี ารใช้เลขศูนย์ ประสบความสำเร็จอยา่ งน่าท่ึงในการคำนวณเนอ้ื ทอี่ ย่างชำนชิ ำนาญ สามารถคำนวณ เน้ือที่รปู สามเหล่ียม สี่เหล่ียมผืนผา้ และรูปแปดเหลยี่ มไดอ้ ยา่ งแม่นยำ สรุปได้ว่าอารยธรรมของอียิปต์โบราณนับว่ามีความสำคัญแก่โลกสมัยปัจจุบัน ชาวอียิปต์นอกจากจะ ประดิษฐ์ผลงานด้านปรัชญา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวรรณคดีแล้ว อียิปต์ยังประสบความสำเร็จด้าน การชลประทาน วิศวกรรม การทำเครอ่ื งป้ัน แก้วและกระดาษ ส่ิงสำคญั ท่ีชาวอียิปต์มอบเป็นมรดกอนั ล้ำค่าแก่ ชาวโลกคือ ศาสนาซ่ึงมีหลกั ศีลธรรม ๑.๓ การศึกษาในดนิ แดนเมโสโปเตเมีย อกี ชนชาตหิ นง่ึ ท่ีจะตอ้ งกลา่ วถึง คือ ชาวเมโสโปตาเมยี นไม่ไดม้ ีความสำเร็จดกี วา่ ชาวอียิปต์ ในเมื่อหิน ขนาดใหญ่ในเมโสโปตาเมีย หายาก โครงสร้างและรูปลักษณ์ขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ถึงกระนั้น ความสำเรจ็ ของเมโสโปตาเมียน ในสาขานก้ี ็ยังมอี ยมู่ ากมาย ชาวสุเมเรียนได้ทุ่มเทให้กับจินตนาการท่ีกว้างขวางและทักษะในทางเทคนิคที่สูง ชาวสุเมเรยี นได้ผลิต งานโลหะ อัญมณี และประติมากรรมท่ีประณีต เมโสโปตาเมียไม่มีหินมากพอ แต่มีดินเหนียวจำนวนมาก ดังน้ัน ชาวเมโสโปตาเมียนจึงใช้ประโยชน์จาก ดินเหนียวด้วยการนำมาทำเป็นอิฐโดยการตากแดด และใช้อิฐ ตากแดด ในการสรา้ งวิหาร สุสาน ฯลฯ ในโครงสรา้ งเหล่าน้ี ได้ใช้ส่วนโคง้ ประทุน โดม และบางโอกาสเป็นเสา คอลัมน์ ซ่ึงเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมซ่ึงอารยธรรมอ่ืน ๆ ในช่วงหลักได้ลอกเลียนแบบ หน่ึงใน โครงสรา้ ง ท่ีน่าสนใจของชาวสุเมเรียน คือ วิหารท่ีนิปเปอร์ (Nipper) ซ่ึงคล้ายกับปิรามิดของอยี ิปต์ วิหารของ เมโสโปตาเมียนที่เรียกว่าซิกกูรัต (Ziggurat) สร้างในรปู เนินเขาจำลองและสร้างขึ้นเป็นช้ัน ๆ ซิกกูรัตแห่งหนึ่ง สูง ๖๕๐ ฟตุ และสร้างเปน็ ๗ ขน้ั ซิกกูรัตแห่งหน่ึงน่าเกลียดแต่ใหญ่เทอะทะ และมีโครงสร้างของอิฐตากแดดที่ซับซ้อน หอสำหรับเทพ ประทับต้ังอยู่ ส่วนยอดของโครงสร้าง อาคารน้ีประกอบด้วยโถงหลักสำหรับประชุม หลายห้องสำหรับการ ประกอบพิธีกรรม โถงและห้องสำหรับ สมาชิกครอบครัวของเทพ ห้องให้กำเนิด ห้องฝังศพ และสนามหญ้า ฯลฯ ผนังตกแต่งด้วยกระเบ้ืองเคลือบสี โมเสค และพรม ชั้นท่ีสูงต่างกันมากก็เป็นอีกลักษณะหน่ึงของซิกกูรัต ชาวสุเมเรียนและบาบิโลเนียนใช้ดวงตราประทับจำนวนมาก ชาวบาบิโลเนียนเกือบทุกคน นับจาก กษัตรยิ ์ ไปจนถงึ สามญั ชนมตี ราประจำสว่ นตัว ตราเหล่าน้ปี ระกอบด้วยช่อื และสัญลักษณ์ ชาวเมโสโปตาเมียน ได้สร้างระบบการเขียน ตัวอักษรของพวกเมโสโปตาเมียนเป็นรปู ล่ิม การเขียนนี้ เรียกว่าคูนิฟอร์ม ชาวเมโสโป ตาเมยี นเขียนบนดนิ เหนยี วไม่ได้เขียนบนกระดาษ เขยี นดว้ นต้นออ้ ที่มขี อบเป็นรูปสเ่ี หล่ยี ม ชาวเมโสโปตาเมียน ไดใ้ ช้สญั ลักษณ์ประมาณ ๓๕๐ แบบแต่ไม่มตี ัวอกั ษร วรรณกรรมของชาวสุเมเรียนส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และชีวิตในทางเศรษฐกิจ ชาวสุเมโส โปตาเมียนยังสร้าง มหากาพย์เทพตำนานและประวัติศาสตร์ เช่น มหากาพย์การสร้างโลก และน้ำท่วมโล ก อันมีชื่อเสียง มหากาพย์การสร้างโลก สร้างความเป็นยอดให้กับมาร์ดุก มหากาพย์ น้ำท่วมโลกแสดงให้เห็น ความริษยาของเทพที่กระทำต่อมนุษย์ งานท่ีประทับใจที่สุดของ ชาวบาบิโลเนียน คือ มหากาพย์กิลกาเมช บรรจุเรื่องราวเทพตำนานท่ีเป็นหลักของตน โคลงเร่ือง ท่ีเป็นหลักของกาพยน์ ี้ คือ ชัยชนะของกิลกาเมชแสดง สญั ลักษณ์ของมนุษย์เหนือธรรมชาติ วรรณกรรมศาสนา บทสวด และธรรมจริยาก่อใหเ้ กิดวรรณกรรม ของบา บิโลเนียน ในบรรดาส่ิงที่ ปราชญ์กล่าวไว้เป็นคำคม เช่น \"อย่าเร่งรีบในการพูดในที่สาธารณะ\" \"หลีกเลย่ี งความ ช่วั ร้ายและ การเกลียดชงั \"
ศาสตรก์ ารสอน ๕ “ท่งุ ราบเมโสโปเตเมยี และอียิปต์ มีภมู ปิ ระเทศท่ีเหมาะสมมากท่สี ดุ สำหรบั การตั้งรากฐานครั้งแรกของ มนุษยชาตทิ ี่เรมิ่ เจรญิ รงุ่ เรือง”๒ ทุ่งราบเมโสโปเตเมยี อยู่ระหว่างแมน่ ้ำยูปเฟรตสิ และแม่น้ำไทกรสี ระหว่างทาง โค้งของแม่น้ำทั้งสอง เป็นที่ตั้งของท่ีราบอันอุดมสมบูรณ์สามารถทำการเพาะปลูกได้ปีละ ๓ คร้ัง ชนชาติท่ีอยู่ ในเขตนี้พวกแรกคือชาวคาลเดีย ต่อมาได้แยกออกเป็นอีกพวกหน่ึง เรียกว่าชาวอัสสิเรีย เป็นนักรบโหดร้าย ชอบทำสงคราม ชนชาติอัสสิเรียได้ติดต่อกับชนชาติสุเมเรียน และได้ถ่ายทอดอายรธรรมต่างๆมาจากชนชาติสุ เมเรียน ได้แก้ ศลิ ปวัตถุ รูปแกะสลัก หนังสอื และปฏทิ ิน ในสมัยพระเจ้าอัสสูบานิบาล (Assurbunipal) ชนชาติอัสสิเรียมีความรู้หนังสือ มีการเขียนหนังสือลงบน แผ่นดินเหนียว มีการขุดพบก้อนดินเหนียวมากถึง ๒๒,๐๐๐ ช้ิน ท่ีเป็นเครื่องแสดงหลักฐานความเจริญ ทางด้านศาสนาและวรรณคดี ชาวอัสสิเรียเป็นชนชาติแรกที่รู้จักแบ่งปีออกเป็น ๑๒ เดือน และได้ทำ เครื่องหมายของเดือนท้ัง ๑๒ เดือน เป็นรูปต่างๆ รู้จักแบ่งเดือนเป็นสัปดาห์ วัน ช่ัวโมงและนาที ยังค้นพบวิธี คำนวณสุริยุปราคา และจันทรุปราคาได้อย่างถูกต้อง รู้หลักในการแบ่งวงกลมออกเป็นดีกรี แบ่งความยาว ออกเป็นศอก คืบและรู้จักวธิ ีช่างและแบ่งน้ำหนักอกี ดว้ ย ความเจรญิ ด้านการศึกษาของชาวอัสสิเรีย ได้มีการคิดระบบความการเขียนหนังสือ โดยการประดิษฐ์ อักษรคูนิฟอร์ม ซ่ึงแปลว่ารูปมุมฉาก ไม่ได้ใช้กระดาษเหมือนชาวอียิปต์ แต่ใช้ดินเหนียวแทน ตัวหนังสือจะ พิมพ์กดลงบนดินป้ัน ใช้ไม้เป็นรูปลิ่มสลักกดดินเหนียวให้เป็นรอยแล้วนำไปเผาเป็นแผ่นๆเหมือนกระเบ้ือง หนังสือบางแผ่นมีดินประกบไว้ต้องทุบดินป้ันออก จึงจะเห็นข้อความข้างใน ดินป้ันประกบ จึงเปรียบเสมือน ซองจดหมายในปัจจบุ ัน นอกน้นั แลว้ ยงั มีหลกั ฐานหลายอย่างทแ่ี สดงวา่ มีการส่งข่าวสารทางหนังสือมานานแลว้ ภายหลังได้มีการดัดแปลงแก้ไขเก่ียวกับอักษรภาพ โดยการใช้เครื่องหมายแสดงเสียงอ่านแทนอักษร ภาพ เคร่ืองหมายเหล่าน้ีมีประมาณ ๓๕๐ เคร่ืองหมาย วิธีการเขียนหนังสือของชาวอัสสิเรียไม่ส่งเสริมการจด บันทึกหรือการเขียนที่มีขนาดยาวๆ ท้ังน้ีเพราะแผ่นดินเหนียวๆ บรรจุความข้อได้เพียงเล็กน้อยและไม่เหมาะ กับการเก็บรักษา แต่อย่างไรก็ตามชาวอัสสิเรียก็มีนิยาย กาพย์ กลอน ที่ท่องจดจำต่อๆกันมาเป็นจำนวนไม่ น้อย ท่ีจารึกไว้ในแผ่นเดินเผาเป็นเฉพาะเรื่องส้ันๆ ผลงานท่ีเขียนส่วนใหญ่เป็นผลงานของพระและนักบวช เร่อื งท่เี ขียนจงึ ประกอบด้วยเรอื่ งราวทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ๑.๔ อารยธรรมโรมนั ๓ อารยธรรมโรมนั กำเนิดทีค่ าบสมทุ รอติ าลี ซึ่งตงั้ อยทู่ างตอนใต้ของทวปี ยโุ รป โดยมีลักษณะเป็นแหลม ย่ืนลงไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา และเนินเขา ได้แก่ เทือกเขาแอลป์ ทางทิศเหนือซ่ึงก้ันคาบสมุทรอิตาลีออกจากดินแดนส่วนอื่นของทวีปยุโรป และเทือกเขาแอเพนไนน์ซ่ึงเป็น แกนกลางของคาบสมุทร ส่วนบริเวณที่ราบมีน้อยและมีที่ราบน้อย จึงทำให้การตั้งถิ่นฐานของชุมชนอยู่อย่าง กระจัดกระจายเป็นชุมชนเล็กๆ พ้ืนที่การเกษตรมีไม่มากนัก แต่เมื่อประชากรเพ่ิมขึ้น บริเวณดังกล่า วไม่ สามารถรองรับการเกษตรท่ขี ยายตัวได้ จงึ เปน็ สาเหตุทีช่ าวโรมนั ขยายดนิ แดนไปยงั ดินแดนอืน่ ๆ ๑.๔.๑ สมัยสาธารณรฐั พวกอิทรัสกัน โดยได้รับอารยธรรมของกรีก ซ่ึงต่อมาได้อพยพเข้ามาในแหลมอิตาลี จึงได้นำเอาความ เชื่อในศาสนาและเทพเจ้าของกรกี ศิลปะการแกะสลกั การทำเครื่องป้ันดินเผา ตัวอกั ษร การทำนายจากการดู ๒ สริ ิ เปรมจติ ต,์ ประวตั ศิ าสตร์โลก. พระนคร, โรงพพิ ม์ ส.ธรรมภคั ดี,๒๔๙๙ , หน้า ๕๒๔-๕๒๕. ๓ อารยธรรมโรมัน.ออนไลน์ เขา้ ถึงไดจ้ ากhttps://panupong๐๘๘.wordpress.com.สืบค้นเม่อื ๔ ธนั วาคม ๒๕๕๘.
ศาสตร์การสอน ๖ เครื่องในของสัตว์และการบินของนก การสร้างซุ้มประตูโค้ง (Arch) และประติมากรรมเทพเจ้าเข้ามาเผยแพร่ นอกจากพวกอิทรัสกันแล้วยังมีชนเผ่าอื่น ๆ อีก เช่น พวกละติน ต่อมาได้ตกมาอยู่ภายใต้การปกครอง พวกอิทรัสกนั ในระยะแรกปกครองระบอบกษัตริย์ เรยี กว่า อมิ พิเรียม (Imperium) กษัตรยิ ์จะสภาซีเนตหรือสภาขุน นางเป็นที่ปรึกษาโดยสมาชิกจะอยู่ในชนชั้นพาทรีเชียน (patrician) แต่ต่อมาพวกละตินได้ขับไล่อิทรัสกันออก จากบัลลังก์และต้ังกรุงโรมข้ึน แต่อำนาจการปกครองยังเป็นดินแดนของพวกพาทริเชียน (patrician) เท่านั้น ส่วนราษฎรที่เรียกว่า เพลเบียน (plebeian) ซึ่งเป็นสามัญชนหรือประชาชนส่วนใหญ่ เช่น ชาวไร่ ชาวนา ช่างฝีมอื ไมม่ ีสทิ ธใิ ดๆทางการเมืองและสังคมจนนำไปสู่ความขัดแยง้ ระหว่าง ๒ ชนชน้ั จนพวกเพลเบยี นมีสิทธิ ออกกฎหมายร่วมกับพวกพาทริเชียน เรียกว่า กฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the Twelve Tables) เพ่ือใช้ บงั คับกับชาวโรมันทุกคน ซ่ึงกฎหมายสิบสองโตะ๊ นับเปน็ มรดกช้ินสำคัญของโรมท่ถี ือเป็นแม่แบบของกฎหมาย โลกตะวันตก ตอ่ มาโรมันได้ทำสงครามพิวนิกกับพวกคาร์เทจ โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งผลประโยชน์ในเกาะ ชิชิลี ผลคือฝา่ ยคารเ์ ทจแพ้ จึงทำใหโ้ รมันกลายเปน็ รัฐท่มี ีอำนาจสูงสดุ ในขณะนั้น ๑.๔.๒ สมัยจักรวรรดิ ชาวโรมันเปลี่ยนการปกครองจากสาธารณรัฐมาใช้เป็นจักรวรรดิ และออกุสตุส (Augustus) เป็น จักรพรรดิหรือซีซาร์ (Caesar ) พระองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน ในสมัยน้ีโรมันเจริญถึงขีดสุดละได้ขยาย อำนาจไปยังภูมิภาคต่าง ๆ และเมื่อศาสนาคริสต์ได้แผ่ขยายมาถึงดินแดนทางภาคตะวันตกของปาเลสไตน์ซ่ึง อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน ทำให้จักรวรรดิโรมันต่อต้านศาสนาน้ีอย่างรุนแรง แต่ในสมัย จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราชพระองค์ (Constantine the Great) ทรงให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ทำ ให้จักรวรรดิโรมันกลายเป็นจักรวรรดิของคริสต์ศาสนา ทรงสร้างกรุงคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือ นครอิส ตันบูลในประเทศตุรกี) ทางตะวันตกของจักรวรรดิโรมัน ต่อมาเรียกว่า จักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือ จักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) จนกระท่ังสมัยปลายจักรวรรดิ โรมันเผชิญปัญหาภายในทำให้ถูกพวก อนารยชนเผ่าเยอรมันหรือเผ่ากอธเข้าปล้นสะดม และขับไล่กษัตริย์ออกจากบัลลังก์ ถือเป็นการส้ินสุดของ จักรวรรดิโรมันตะวันตก และประวตั ิศาสตร์สมัยโบราณ ๑.๔.๓ มรดกของอารยธรรมโรมนั ความโดดเดน่ ของอารยธรรมโรมันเกิดจากรากฐานที่แข็งแรง ซึ่งไดร้ ับอิทธิพลจากอารยธรรมกรีก และอารยธรรมของดินแดนรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนยี น ผสานกบั ความเจรญิ กา้ วหน้าทเ่ี ปน็ ภูมปิ ัญญาของชาว โรมันเองทีพ่ ยายามคดิ ค้นสรา้ งระบบต่างๆ เพ่อื ดำรงความยงิ่ ใหญ่ของจกั รวรรดโิ รมันไว้ ๑. สถาปัตยกรรม เน้นความใหญ่โต แข็งแรงทนทาน โดยชาวโรมันได้พัฒนาเทคนิคการก่อสร้างของกรีกเป็นประตู โค้ง (arch) และเปล่ียนหลังคาจากจ่ัวเป็นโดม และสร้างอาคารต่าง ๆ เพ่ือสนองความต้องการของรัฐและ สาธาณชน เช่น โคลอสเซียม สถานทีอ่ าบน้ำสาธารณะ วหิ ารแพนธีออน (Pantheon) ๒. ประตมิ ากรรม สะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างสมจรงิ ตามธรรมชาติ และมีสดั ส่วนงดงามเหมอื นกรีกแตโ่ รมัน จะเน้นพัฒนาศิลปะด้านการแกะสลักรูปเหมือนบุคคลสำคัญๆ เช่น จักรพรรดิ นักการเมือง โดยเฉพาะในครึ่ง ท่อนบนจะสามารถแกะสลักได้อย่างสมบรู ณซ์ ึ่งแสดงใหเ้ ห็นถึงความมีชีวิตชีวา ชาวโรมันเชื่อว่าการแกะสลักรูป เหมือนจริงที่สุดจะช่วยรักษาวิญญาณของคนน้ันเมื่อตายไปแล้วไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีการแกะสลักภาพนูนต่ำ เพือ่ บันทกึ เรอื่ งรามทางประวตั ิศาสตรแ์ ละสดุดวี รี กรรมของนักรบ ๓. ภาษาและวรรณกรรม
ศาสตรก์ ารสอน ๗ ชาวโรมันพัฒนาภาษาละตินจากตัวพยัญชนะในภาษากรีกท่ีพวกอีทรัสกันนำมาใช้ จนใช้กัน แพร่หลายในมหาวิทยาลยั ของยุโรปสมัยกลาง และเป็นภาษาทางราชการของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก สว่ นวรรณกรรมระยะแรกเปน็ บนั ทกึ พงศาวดาร กฎหมาย ตำราการทหาร และการเกษตร ตอ่ มามีการแต่งงาน ประพนั ธ์เปน็ ของตนเอง ไดแ้ ก่ เรอื่ ง อเิ นยี ด ประพนั ธโ์ ดยเวอรจ์ ลิ งานประพันธ์ของซิเซโร เป็นตน้ ๔. วิศวกรรม การสร้างถนนคอนกรีต โดยถนนท้ัง ๒ ข้างจะมีท่อระบายน้ำ และมีหลักบอกระยะทาง นอกจากน้ี ยังมีการสร้างสะพานส่งน้ำ (aqueduct) ขนาดสูงใหญ่จำนวนมากเพื่อนำน้ำวันละ ๓๐๐ ล้านแกลลอนหรือ ประมาณ ๘,๕๐๕ ล้านลิตร จากภูเขาไปยงั เมืองเพือ่ ใหช้ าวเมอื งได้ใช้ ๕. ปฏิทิน ปฏิทินจเู ลยี น (แบบสรุ ิยคติ) ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน แต่ละปมี ี ๓๖๕ วัน และเพิ่มเดือนกุมภาพันธ์ให้ทุก ๆ ๔ ปีมี ๓๖๖ วัน ตอ่ มาไดเ้ ปล่ยี นมาใชเ้ กรกอเรยี น ๖. กฎหมาย ระยะแรกโรมันไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นระบบ แต่มีลักษณะกลมกลืนไปกับ ศาสนา ต่อมาเปล่ียนเป็นกฎหมายบ้านเมือง จนในที่สุดก็ได้มีการตรากฎหมายสิบสองโต๊ะ (Law of the Twelve Tables) ซ่ึงประมวลกฎหมายโรมันนี้เป็นรากฐานประมวลกฎหมายของประเทศต่าง ๆ แม้แต่ กฎหมายของวัดในสมัยกลาง และยังแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลในกฎหมายโรมันในสมัยจกั รพรรดจิ ัสติเนียน ซึ่งได้ และจัดเป็นหมวดหมู่ เรียกว่า ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (Justinian Code) และท้ิงไว้เป็นมรดกล้ำค่าของ โลกตะวนั ตก ๗. การแพทย์ แพทย์โรมันสามารถผ่าตัดรักษาโรคได้หลายโรค โดนเฉพาะการผ่าตัดทำคลอดทารกทางหน้าท้อง ของมารดา ซึ่งเรียกว่า ศัลยกรรมซีซาร์ (Caesarean Operation) นอกจากนี้ยังมีการสร้างโรงพยาบาล ระบบ บำบดั นำ้ เสยี และสง่ิ ปฏิกลู ๑.๔.๔ การศึกษาของโรมนั การศกึ ษาของโรมันแบ่งออกได้ ๒ สมยั คือ การศึกษาสมัยโบราณ ระหว่าง ค.ศ. ๗๓๙-๓๐๐ ปกี อ่ น คริสตกาล และการศึกษาสมยั ใหม่ ระหว่าง ๓๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล ๑.การศึกษาสมยั โบราณ การศึกษาสมัยโบราณของโรมันเริ่มที่บ้าน บ้านเป็นเสมือนโรงเรียนมีพ่อและแม่เป็นผู้ใหญ่ให้ การศึกษาอบรม การศึกษาที่สอนที่บ้าน ได้แก่ จริยศึกษา พุทธิศึกษา และพละศึกษา สอนให้เด็กมีความกล้า หาญ รู้จักพึ่งตัวเอง รู้จักทำมาหากิน รักชาติบ้านเมือง นอกจากนั้นยังสอน การอ่าน การเขียน พลศึกษาและ ขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ งๆ สอนให้ท่องจำกฎหมาย ๑๒ หมู่ เพื่อใหเ้ ดก็ มีความรู้ในสิทธิหน้าท่ีและกฎหมาย ของบ้านเมอื ง นำมาใช้ประโยชนใ์ นการดำรงชีวติ สอนให้เคารพเทพเจา้ บดิ ามารดา ครบู าอาจารย์ ผมู้ ีพระคุณ รู้จกั รบั ผิดชอบ มคี วามกลา้ หาญ ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ สำหรับเด็กผู้หญิงจะได้รับการศึกษาอบรมให้เป็นแม่บ้านทีด่ ี ร้จู ักเข้าสังคมและสอนให้ปั่นฝ้ายและทอ ผ้าได้ ๒.การศึกษาสมยั ใหม่ การศึกษาสมยั ใหมข่ องโรมัน ได้เร่ิมหลังจากที่ได้ติดต่อทำการคา้ กับประเทศกรีกและประเทศ ท่ีเป็นอาณานิคมของกรีก ซึ่งใช้ภาษากรีกเป็นภาษากลางประมาณ ๓๐๓ ปี ก่อนคริสตกาล ได้มีผู้ต้ังโรงเรียน แบบกรีกในกรุงโรม จะสังเกตได้ว่าศิลปวิทยาการ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณี ของโรมันส่วนใหญ่ได้รับ
ศาสตรก์ ารสอน ๘ อิทธิพลจากกรีก สมัยนั้นมีการแปลวรรณกรรมกรีกโดยใช้ภาษาละติน วรรณกรรมของกรีกที่ชาวโรมันใช้แปล นน้ั ได้มากจากการยึดหนงั สือของกรีกมาไวใ้ นห้องสมุดกรุงโรม หลังจากที่กรุง Corinth แตกประมาณ ๑๔๖ ปี ก่อนครสิ ตกาล การจัดการศกึ ษาแบบใหม่ของโรมัน ได้มขี ึ้นประมาณ ๑๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล จนถึงปี ค.ศ.๑๐๐ เป็น โรงเรยี นเอกชนแบบโรมันผสมกรกี การศึกษาแบบใหม่แบ่งออกเปน็ ๔ ระดบั ๑.การศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา (Ludis Literarum) เร่ิมรับนักเรียนเมื่ออายุประมาณ ๗-๑๒ ปี โดยจัดการศึกษาแบบที่เด็กผู้ชายมาศึกษามารวมกับ เด็กหญิง หรอื ที่เรียกว่าสหศกึ ษา ใช้วธิ ีการเรียนแบบกรีก ให้เด็กนงั่ บนม้ายาว เรียงกันไปหน้าหลังและวางเป็น คู่ๆไป เด็กจะเขียนตัวอักษรลงบนแผ่นปาไปรัส เร่ิมเรียนการนับนิ้วหรือคิดลูกคิด สำหรับการดานดำนั้นชาว โรมันเป็นผู้ประดิษฐ์ใช้ในช่วงยุคทองของเอเธนส์ การศึกษาวรรณคดีได้แพร่หลายไปในกรุงโรม ผู้มีฐานะดีจะ ได้รับการศึกษาเบื้องต้นอย่างดี พวกทาสอาจได้รับการศึกษาบ้างเป็นกรณีพิเศษ หรือตามจำเป็นแห่ง สภาพแวดล้อมหรือมีหนา้ ทีอ่ ย่างใดอย่างหนงึ่ เป็นพเิ ศษ สำหรบั การศกึ ษาระดับประถมศึกษาในสมัยน้ี เด็กจะไดเ้ รียน อ่าน เขยี น เลข สุภาษิต กฎหมาย ๑๒ หมู่ โรงเรยี นส่วนใหญจ่ ะเปน็ โรงเรียนกลางแจง้ หรือเรยี นตามศาลา กฎหมาย ๑๒ หมู่ หรือกฎหมาย ๑๒ โต๊ะ ประกอบดว้ ย สาเหตุการผลักดันให้มีการบัญญัติกฎหมายสิบสองโต๊ะเกิดจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างคน ๒ ชน ชั้น คือ ฝ่าย Patricians ซึ่งเป็นชนช้ันสูง ได้แก่พวกผู้ปกครองและข้าราชการช้ันสูง และฝ่าย Plebeians ซ่ึง เป็นชนช้ันที่ถูกปกครอง ได้แก่ ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้าวานิช รวมทั้งเชลยศึก คนต่างด้าวและทาส ซ่ึงในการ ออกกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายหรือการชขี้ าดตัดสินคดีเป็นอำนาจของ Patricians ท้ังส้ิน ก่อให้เกดิ ความ ไม่พอใจแก่พวก Plebeians ซ่ึงไม่มีโอกาสได้ทราบว่ากฎหมายท่ีใช้มีอยู่อย่างไร ได้มีการเรียกร้องให้นำ กฎหมายเหล่านั้นมาเขียนให้ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร จนในราว ๔๕๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช จึงได้ทำการ รวบรวมจารีตประเพณี ที่ใช้เป็นกฎหมายอยู่ในขณะนั้นบันทึกลงบนแผ่นทองเหลือง ๑๒ แผ่น ตั้งไว้ในที่ สาธารณะใจกลางเมือง อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเร่ิมต้นของหลักการที่ว่ากฎหมายควรเป็นส่ิงซึ่งเปิดเผยให้คน ท่วั ไปได้รูไ้ ด้เห็นและศึกษาหาเหตุผลได้ โต๊ะที่ ๑ โต๊ะที่ ๒ และ โต๊ะที่ ๓ เป็นเร่ืองเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความแพ่งและการบังคับคดี เช่น — ถ้าหากคู่ความฝ่ายใดไม่มาศาลก่อนเท่ียงวัน ก็ให้ศาลพิพากษาให้คู่ความฝ่ายท่ีมาศาลชนะคดี — ถ้าหากคู่ความฝ่ายใดหาพยานไม่ได้ก็ให้ร้องตะโกนดังๆ ที่ประตูบ้านของตนเพื่อแสวงหาพยาน — ในคดีท่ีจำเลยยอมรับใช้หนี้สินหรือในคดีที่ศาลได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ก็ให้จำเลยชำระเงิน ภายใน ๓๐ วัน โตะ๊ ท่ี ๔ เปน็ เรือ่ งเกย่ี วกบั อำนาจของหวั หนา้ ครอบครวั เช่น — บดิ าระหว่างท่ีมชี ีวิตมีอำนาจเด็ดขาดเหนือบุตรอนั ชอบด้วยกฎหมาย บิดาอาจกักขังบุตรหรือเฆี่ยน ตีหรือล่ามโซ่ ให้ทำงานหรือมีเหตุไม่ชอบใจจะฆ่าบุตรเสียก็ได้ ตลอดจนจะเอาบุตรไปขายเสียก็ได้ — ทารกคลอดออกมารูปร่างผดิ ปกติมากจะเอาไปฆ่าเสยี ก็ได้ โต๊ะท่ี ๕ โต๊ะท่ี ๖ และ โตะ๊ ท่ี ๗ เปน็ เรื่องเก่ียวกบั มรดก และทรัพยส์ นิ เช่น — ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครวั ตายลงโดยมิได้ทำพนิ ัยกรรมไว้ ให้ญาติฝา่ ยชายทีใ่ กลช้ ิดท่ีสุดเป็นผู้สืบ ทอดอำนาจตอ่ ไป — ถ้าชายอิสระตายลงโดยไม่มีผู้สืบสันดาน (ผสู้ ืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน) ให้ทรัพย์สินของชาย คนนนั้ ตกแก่ผอู้ ุปถัมภ์
ศาสตรก์ ารสอน ๙ — ผลไม้หล่นตกไปในบา้ นของผอู้ ื่น เจา้ ของต้นผลไม้ยงั คงเป็นเจ้าของผลไม้น้นั อยู่ โตะ๊ ท่ี ๘ เป็นเรอื่ งเกย่ี วกบั การลงโทษผ้กู ระทำความผดิ ทางอาญา เช่น — ผู้ใดทำการโฆษณาหม่ินประมาทว่าเขาทำผิดทางอาญาหรือทางลามกอนาจาร ให้เอาผู้น้ันไปตีเสีย ให้ตาย — ผู้ใดลกั ทรัพยเ์ วลาค่ำคืน ใหเ้ อาไปฆา่ เสีย — ผู้ใดวางเพลิงบ้านเรือนเขาหรือกองข้าวสาลีของเขา ให้เอามาผูกแล้วเฆ่ียนและเผาเสียท้ังเป็น แต่ ถ้าเกดิ ขน้ึ ด้วยความประมาท ให้เสียเงนิ ค่าทำขวญั แลว้ ลงโทษพอควร — สัตว์สี่เท้าของผู้ใดเข้าไปทำให้ที่ดินเขาเสียหาย เขาจับยึดตัวสัตว์นั้นไว้เป็นของเขาได้ เว้นแต่ เจา้ ของสัตวจ์ ะเสียเงินค่าไถ่ถอนกลบั คนื มาตามราคาค่าเสียหาย โตะ๊ ท่ี ๙ เปน็ เรอ่ื งเกี่ยวกับอำนาจของรัฐ เชน่ — กฎหมายใดๆ จะกอ่ ใหเ้ ป็นแต่ทางเสียหายอยา่ งเดยี วแกเ่ อกชนนัน้ ห้ามไมใ่ ห้มผี ลบงั คับใช้ — รฐั สภาเทา่ น้นั ทีม่ ีอำนาจออกกฎหมายที่กระทบกระเทอื นถึงสถานะของบคุ คลได้ โตะ๊ ที่ ๑๐ เปน็ เรอื่ งเกี่ยวกับกฎหมายของศาสนา เชน่ — หา้ มไมใ่ หฝ้ ังหรือเผาศพในเขตพระนคร — ห้ามมิใหห้ ญิงขีดข่วนแก้ม รอ้ งไหเ้ กรียวกราวในงานศพ โตะ๊ ท่ี ๑๑ และ โต๊ะที่ ๑๒ เปน็ เร่อื งเกี่ยวกบั กฎหมายเพม่ิ เติม เช่น — ห้ามมิใหบ้ คุ คลตา่ งช้ันวรรณะทำการสมรสกนั — เม่อื ทาสทำการลักทรพั ย์ หรอื ทำให้เกิดความเสยี หายแกเ่ ขา นายทาสต้องรบั ชดใชค้ ่าเสยี หายหรือ ส่งมอบตัวทาสใหเ้ ขาไป — กฎหมายทีอ่ อกมาภายหลงั ย่อมยกเลิกกฎหมายเดิมท่ีมีขอ้ ความขดั แย้งกนั ๒.การศึกษาระดับมธั ยมศกึ ษา (Grammar Scool) หลงั จากเดก็ จบการศกึ ษาระดบั ประถมศึกษามาแลว้ เด็กกจ็ ะถูกส่งเข้าเรียนในโรงเรียนท่เี รียกวา่ เดอะ แกรมมาติคุส เป็นเด็กท่ีมีอายุระหว่าง ๑๒-๑๖ ปี หลักสูตรท่ีเรียน ได้แก่ การวิเคราะห์และเรียนรู้เกี่ยวกับนัก ประพันธ์โคลงกลอน ร้อยแก้ว ทั้งนี้เด็กนักเรียนต้องแปลและตีความของโคลงกลอนแต่ละบรรทัด แต่ละย่อ หน้าและพยายามเลียนแบบนักเขียน นักประพันธ์เหล่านั้น ผลงานของนักเรียนกรีกที่นำมาเล่าเรียนกัน ได้แก่ โฮเมอร์ มีแนนเดอร์ อีสอส และนินด้า และนักเขียนชาวละตินที่สำคัญๆ ได้แก่ ซิเซโร เวอร์จิล และเตเรนซ์ เปน็ ตน้ นอกจากนั้นเด็กจะได้เรียน ภาษากรีก ภาษาลาติน วิชาวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศ าสตร์ ตรรกวิทยา คณิตศาสตร์ ไวยากรณ์ จริยศาสตร์ เทววทิ ยาและดนตรี ๑.๔.๒ นักการศึกษาท่ีสำคญั ของโรมัน ซิเซโร (Cicero) มีชวี ิตระหวา่ ง ๑๐๖ – ๔๓ ก่อนครสิ ตกาล ซเิ ซโรเปน็ นกั การศึกษาที่มคี วามรู้ ความสามารถทางด้าน ปรัชญา วาทศิลป์ กฎหมาย และอักษรศาสตร์ ซเิ ซโรไดร้ ับอิทธพิ ลจากการศกึ ษา กรีก เป็นครูสอนหนังสอื และได้แสวงหาความรู้โดยการท่องเท่ียวไปในทต่ี ่างๆ แถบทะเลเมดิเตอรเ์ รเนียน ซิ เซโรไดเ้ ขยี นหนงั สือไวม้ ากมาย ทใี่ ช้เปน็ ตำราทางด้านการศึกษาท่สี ำคญั มากชอ่ื “De Oretore” มที ัง้ หมด ๓ เล่ม ควนิ ทิเลียน (Quintilian) มีชีวิตระหว่างคริสตศักราช ๓๕ – ๙๗ เป็นนกั การศึกษาที่มีอิทธิพลต่อ การศึกษาสมยั กลางเป็นอย่างมาก หลกั การศึกษาของควินทิเลยี นมดี ังนี้
ศาสตรก์ ารสอน ๑๐ ๑.เน้นใหค้ รูสนใจศึกษาความถนัดของเดก็ แตล่ ะคน เมื่อแนใ่ จว่าเดก็ มีความถนดั ในด้านใดโดยเฉพาะ ก็ส่งเสรมิ ในด้านนน้ั ๆ เปน็ พิเศษ ๒.สอนเด็กโดยใช้วธิ จี ูงใจ ไม่ใชก่ ารขู่เขญ็ หรือลงโทษ ๓.ก่อนจะให้เด็กท่องจำต้องให้เดก็ เขา้ ใจบทเรียนให้ดีเสยี ก่อน ๔.การเรียนเปน็ กลุ่มจะใหผ้ ลดกี วา่ การเรยี นคนเดียว เพราะเดก็ จะได้เรียนรแู้ ละรบั ฟงั ความคดิ เหน็ จากเพื่อนๆ ๕.การสอนนกั เรยี นเปน็ กลมุ่ น้ันควรเปน็ กลุ่มเล็ก เพราะครูสามารรถดแู ลได้อย่างท่วั ถึง และเด็กจะ รูจ้ ักกนั ได้เร็วกว่ากล่มุ ใหญ่ ๖.ครคู วรเตรยี มการสอนให้พร้อม และวิธีการสอนทด่ี ี ๗.สอนให้เด็กมีประสบการณ์คล้ายๆ กบั ที่เปน็ อยู่ในชีวิตจริง และสอนใหเ้ ด็กรู้จักคดิ การศึกษาของโรมันสมัยต่อมา เป็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเพราะในสมัยน้ัน ชาวยิวท่ีอยู่ ประเทศปาเลสไตน์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมนั ได้นำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพรใ่ นจักรวรรดิโรมันใน รชั สมัยพระเจา้ Claundius ซึ่งครองราชย์ระหว่างคริสตศักราช ๔๑-๕๔ ไดม้ ีการกำจัดชาวยวิ และชนชาติอ่ืน ที่นำศาสนาคริสต์มาเผยแพร่ เพราะชนเหล่านั้นไม่ยอมบูชาเทพเจ้า ได้มีการจับผู้ท่ีนับถือศาสนาคริสต์มาทำ ทารณุ และประหารชีวิตอยู่เสมอ ในสมัยพระเจ้า Galarius พระองค์ยอมให้ศาสนาคริสต์มีสภาพเหมือนศาสนา อืน่ และในปี ค.ศ.๓๑๓ จักรพรรดิ Constantine ทรงใหเ้ สรภี าพแก่ชาวโรมนั ให้นับถือศาสนาคริสตไ์ ด้ และ ในปี ค.ศ.๓๙๑ สมยั พระเจ้า Theodosius ประกาศให้ศาสนาครสิ ตเ์ ปน็ ศาสนาประจำชาติ ห้ามประชาชนนับ ถือศาสนาอื่น ในสมัยน้ันมีการตัง้ โรงเรียนสอนศาสนาขึน้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือสอนผู้ท่ีมีความประสงค์จะเปลีย่ น มานับถอื ศาสนาคริสต์ โรงเรียนสอนศาสนาทคี่ ณะสงฆต์ ั้งข้นึ มีท้งั หมด ๔ แบบ คือ ๑.โรงเรียนสอนศาสนาโดยเฉพาะ เรียกว่า (Catecuminal Instruction) สอนผู้ที่จะเข้ามานับถือ ศาสนาคริสต์ ต่อมาได้เปลี่ยนแนวการสอนเป็น การฝึกอบรมผู้ทม่ี ีความประสงค์จะบวช มพี ระเป็นผสู้ อนวิชา ต่างๆ ได้แก่ ศาสนา จริยธรรม การสวดมนต์ การอ่าน การเขยี น เป็นต้น ใชเ้ วลาเรยี นประมาณ ๒ ปี ๒.โรงเรียนนักธรรม (Catechetical School) วิชาที่สอนได้แก่ วิชาธรรมวิภาค ภาษาละติน วาทศลิ ป์ ปรัชญากรกี ไวยากรณ์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ตรรกวทิ ยา เปน็ ต้น ๓.โรงเรียนสำหรับฝึกพระ ท่ีจะไปประจำอยู่ตามวัดในถ่ินต่างๆ (Cathedral School) สอนให้พระ เครง่ ครัดในศาสนา รูจ้ ักและเข้าถึงศาสนาอย่างลึกซง้ึ ๔.โรงเรียนที่ตั้งข้ึนโดยนักบวช (Monastic School) ในสมัยที่ศีลธรรมของชาวโลกเริ่มเสื่อมลง รับ เด็กอายุ ๑๒-๑๘ ปี เข้ารับการศึกษาเก่ียวกับพิธีกรรมทางศาสนา สอนการอ่านและการเขียน ขับร้อง ดนตรี เพอื่ ให้เข้าใจคมั ภรี ์และพธิ ีทางศาสนา เปน็ โรงเรียนที่ไดร้ ับความนิยมมาก คริสต์ศาสนาเจรญิ รุ่งเรืองเปน็ อยา่ งมากในจักรวรรดิโรมัน มกี ารสง่ พระออกเผยแพร่ศาสนาในสถานท่ี ต่างๆ รวมท้งั ในยโุ รป มีการตง้ั โรงเรียนสอนศาสนาข้ึนเป็นจำนวนมาก ทำใหศ้ าสนาคริสต์มอี ทิ ธพิ ลต่อ การศกึ ษาของยโุ รปโดยเฉพาะทางด้านตะวนั ตกตั้งแตน่ ้ันมา ๑.๕ การศกึ ษาในประเทศอนิ เดียโบราณ ชนชาติอนิ เดียโบราณมาจากชนชาตทิ ่ีเรียกตนเองว่า อริยกะ หรืออารยัน ชนพวกน้ีอพยพจากใจกลาง ทวีปเอเชียเข้าในประเทศอินเดียหรือ เรียกว่า ภารตะวรรษ เป็นพวกผิวขาว ได้บุกรุกและปราบคนพ้ืนเมือง ที่ เรียกวา่ ทาส ซ่ึงเปน็ พวกผิวดำไดส้ ำเรจ็
ศาสตรก์ ารสอน ๑๑ พวกอริยกะท่ีเข้ามาอยู่ในประเทศอินเดียนั้น ได้เข้ามาเมื่อ ๕ พันปีล่วงมาแล้ว พวกอริยกะมีความ เจริญรุ่งเรืองมาก่อน มีการปกครองแบบสภากองทัพมีหัวหน้าควบคุม ส่วนคนพ้ืนเมืองของอินเดี ยนั้นมี หลักฐานว่า อินเดียมีมนุษย์ต้ังแต่ดึกดำบรรพ์ผ่านยุคหินสมัยต่างๆ มาแล้ว และเป็นพวกที่เจริญรุ่งเรอื งรู้จักต้ัง บ้านเรือนท่ีมั่นคง และเรียบร้อย เม่ือพวกอริยกะเข้ามาใหญ่ในอินเดียได้มีการแบ่งชั้นวรรณะในเรื่องสีผิว โดย ถอื ว่าพวกผิวขาวเป็นนาย พวกผวิ ดำเป็นทาส การแบง่ ชั้นวรรณะในอนิ เดียสมัยน้ันแบ่งออกเปน็ ๑. กษัตรยิ ์ หมายถงึ นักรบ มหี น้าที่รกั ษาประเทศชาติ พวกนถี้ ือว่ามเี ชอ้ื สายของอรยิ กะ ๒. พราหมณ์ มีท้ังหญิงและชาย พราหมณ์ผู้หญิง เรียกว่า พราหมณี เม่ือมีลูกเป็นชาย จะถือว่าเป็น พราหมณเ์ ลยท่ีเดียว และตอ้ งทำพธิ บี วชตามลัทธิพราหมณอ์ กี ทีหนึง่ จงึ จะเป็นพราหมณ์โดยสมบูรณ์ ๓. แพศย์ คือ พวกพอ่ ค้า และบุคคลท่ปี ระกอบวชิ าชพี ทุกประเภท ยกเว้น พวกรบั จา้ งท่ใี ช้แรงงาน ๔. สูทธ คือ พวกรับจ้างใชแ้ รงงาน เช่น พวกกรรมกร ถือเป็นชนชน้ั ตำ่ ๕. หนิ ชาติ เปน็ ชนชน้ั ต่ำกว่าพวกสูทธ ได้แก่ พวกชา่ งต่างๆ เชน่ ช่างท่อผ้า ทอเส่อื ชา่ งตดั -ผม ๖. ทาส เปน็ ชนชนั้ ตำ่ ทส่ี ดุ ของอินเดีย ในสมัยนีท้ าสยงั แบง่ ออกเป็น ๓ wan คอื - ทาสเชลย ไดแ้ ก่ พวกทรี่ บแพแ้ ล้วถกู จับเปน็ เชลย - ทาสกรรมกร ได้แก่ พวกท่ที ำผิด แล้วถูกตัดสินใหน้ ำมาเป็นทาสของพวกท่ตี นได้ทำร้ายหรือทำผดิ - ทาสที่ขายตวั เองให้เปน็ ทาส ในยุคที่พวกอารยันเข้ามาในประเทศอินเดีย ได้ขยายอิทธิพลของภาษาอารยันไปอย่างกว้างขวาง ภาษาของพวกอารยันท่ีปรากฏอยู่คือ ภาษาสันสกฤต ซึ่งมีรากมาจากตระกูลเดียวกับภาษาเปอร์เซีย กรีก ละติน และอังกฤษ ภาษาอารยันในสมัยแรกน้ียังเป็นท่ีมาของภาษาอีกหลายภาษาทางเหนือของอินเดีย เช่น ภาษามาลาตี ภาษาฮินดู และภาษาเบงกาลี เป็นต้น ต่อมาในศตวรรษที่ ๔ ก่อนคริสตกาล ภาษาสันสกฤตจึง ปรากฏชดั ออกมาเป็น ๓ แบบ คือ ๑. ภาษาสนั สกฤตของพราหมณ์ ซึง่ มคี วามถกู ต้องตามแบบฉบบั ๒. ภาษาสนั สกฤตของกวีและราชสำนกั ซ่ึงมักพบในวรรณคดี ๓. ภาษาสันสกฤตทีใ่ ช้ทางการเมอื ง กฎหมาย และศลิ ปะตา่ งๆ ในคมั ภีร์พระเวทได้อ้างถงึ ว่า ภาษาสนั สกฤตเป็นภาษาสำหรบั ผู้มีความรูใ้ ชเ้ ทา่ นั้น พวกอารยนั ทเ่ี ข้ามา ทางช่องเขาฮินดกู ูชแถบอาฟกานสิ ถาน ครอบครองบริเวณลมุ่ แม่น้ำสนิ ธุ และได้ริเริ่มวฒั นธรรมฮินดูข้ึนในด้าน ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษา ศาสนา ช่งึ ยังคงแพร่หลายอยูใ่ นสว่ นใหญข่ องอนิ เดยี คัมภีร์ฤคเวท เป็นคัมภีร์ท่ีประกอบด้วยโคลงกลอนทางศาสนารวม ๑๐ เล่ม มีโคลงมากกว่า ๑๐๐๐ บท บทโคลงสว่ นมากเปน็ คำสวดกล่าวถงึ พระเจา้ มากกวา่ องค์เดียวและแสดงให้เห็นการเสน้ สรวงบูชาธรรมชาติ ดว้ ย คัมภีร์ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ท่ีเป็นบทร้อยแก้วเป็นส่วนมาก และประกอบด้วยบทสวดเป็นส่วนประกอบ ของคัมภีร์ฤคเวท และคัมภีร์สามเวทก็เป็นการรวมบทร้องสวดในพิธีถวายน้ำโสมแก่พระเจ้า บทร้องส่วนมาก นำมาจากคัมภรี ์ฤคเวท คัมภีร์อรรถเวท เป็นคัมภีร์ภาคหลังสุดและไม่เกี่ยวเนื่องกับสามคัมภีร์ที่กล่าวมาแล้ว เป็นคัมภีร์ที่ กล่าวถึงของขลังโชคลางของโบราณ และกล่าวถึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย และยารักษาโรคต่างๆ ซึ่งแสดงให้ เหน็ วา่ พวกอารยันมีความฉลาด อย่างนอ้ ยกเ็ ปน็ ผ้ตู ง้ั ตน้ การริเรม่ิ คิดค้นทางวชิ าการ ในสมัยพุทธกาลนับว่าเป็นยุคที่รุ่งเรืองท่ีสุดของการศึกษา จากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมา สัมโพธิญาณแล้วก็ทรงเผยแผ่หลักธรรมคำสอนที่เป็นแก่นแท้ของชีวิต เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเรียนรู้ เป็นส่ิงที่
ศาสตร์การสอน ๑๒ มนุษย์ต้องเข้าใจ เป็นส่ิงที่มนุษย์ต้องน้อมมาปฏิบัติเพ่ือให้เกิดเป็นมรรค เป็นผล โดยศาสตร์แห่งการสอนของ พระพุทธองค์นั้นมีความหลากหลายนานับประการ แล้วแต่พ้ืนฐานของบุคคลน้ันๆ หรือตามอุปนิสัยเท่าท่ีเคย ส่ังสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ด้วยอุปกรณ์ทางการสอนที่หลากหลายตาม เช่น บางครั้งก็ใช้ใบไม้ พยับแดด สายน้ำ พระอาทติ ย์ หรือแม้กระทั่งสตั ว์เดียรจั ฉานก็ยงั นำมาเป็นศาสตรท์ างการสอนได้ เป็นตน้ ๑.๖ การศกึ ษาในประเทศจีนโบราณ ประเทศจีนมีช่ือเต็ม คือ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (The People’s Republic of China) ต้ังอยู่ในทวปี เอเชียตะวันออก มีพ้ืนท่ที ้ังหมดประมาณ ๓,๖๙๑,๕๒๐ ตารางไมล์ หรือ ประมาณ ๙,๕๖๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ ๑,๑๕๑,๔๘๗,๐๐๐ คน (ข้อมูล ปี ค.ศ. ๑๙๙๔) ส่วนมากนับถือศาสนา พทุ ธ ศาสนาขงจ้อื ลัทธเิ ต๋า มีกรุงปกั ก่ิง (Beijing) เป็นเมอื งหลวง ซง่ึ เปน็ ศนู ยร์ วมทางการศึกษา ศูนย์กลางของ การค้า เปน็ ต้น สกุล เงิน คือ หยวน (Yuan) ซ่ึง ๑ หยวนประมาณ ๕ บาทไทย สาธารณรฐั ประชาชนจีนมีการ ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ (Communist) สินค้าออกของประเทศ คือ ขาว ฝ้าย ชา ส่วน สินค้าเข้าส่วนมากจะ เป็นเหลก็ และเหล็กกล้า ผลติ ภณั ฑ์ผา้ อุปกรณ์ทางการเกษตร (Webster’s)๔ ๑.๖.๑ พัฒนาการดา้ นการศกึ ษา (Education Development) ประเทศจีนเป็นประเทศที่มปี ระวัตศิ าสตร์อันยาวนานและเป็นแหล่งรวมอารยธรรมและ วฒั นธรรมอัน เก่าแกม่ ากกว่า ๕,๐๐๐ ปี ในอดตี ประชาชนได้รบั การศกึ ษาแบบพน้ื บ้าน (Indigious Education) ซงึ่ ไดแ้ กก่ าร อบรมการประกอบอาชีพโดยเฉพาะทางด้านเกษตรกรรม ประวัติศาสตร์ทางการศึกษาของจีนได้เร่ิมกันอย่าง เห็นได้ชัดในสมัยการปกครองของราชวงศ์ซัง (Shang Dynasty) ซ่ึงเมื่อประมาณ ๓,๐๐๐ ปีเศษ ซึ่งชาวจีนได้ เรียนรู้วิธีการใช้ปรอนซ์และ เหล็กมาเป็นเคร่ืองมือต่างๆ ตลอดจนการรู้จักทำเคร่ืองปั้นดินเผา (Earthen Ware) และการทอผ้าไหม (ธงชัย สมบูรณ์)๕ การทักหอผ้าไหมของจีนมีความเจริญมาก การศึกษาในสมัยน้ียัง เป็นการศึกษาแบบอัธยาศัย (Non–formal Education) มีการสอนแบบถ่ายทอดข้อความร้ตู ่าง ๆ ภายในบ้าน หรือสำนักต่างๆ นอกจากนี้ยังได้มคี วามเจริญอย่างมากในเร่ืองของการคา้ ขายกับต่างประเทศผ่านเส้นทางสาย ไหม (Silk Road) ซ่ึงเป็นเส้นทางคมนาคมจากตะวันออกสู่ตะวันตก (ชายฝ่งั เมดิเตอร์เรเนียน) อน่ึงในสมัยซ้อง และหยวน (Song and Yuan Dynaties) จีนได้มีการขยายการค้าขายกว้างไกลมากข้ึน น่ันคือเมื่อมาร์กโคโป จากอติ าลเี ขา้ มาค้าขายกับจีนและไดน้ ำการประดษิ ฐส์ ิง่ ใหม่ ๆ เช่น กระดาษ การพิมพ์ เข็มทิศ และยังได้นำดิน ระเบิดของจนี ไปเผยแพรย่ งั โลกตะวันตก ครั้นถึงสมัยราชวงศ์หมิงและซิง (Ming and Qing Dynast) อำนาจของอาณาจักรจีนเร่ิมเส่ือม แต่ อารยธรรมมิได้เส่ือมเนื่องจากแนวคิดนักปรัชญาจีน เช่น เล่าจ้ือ (Lao Zi) และขงจ้ือ (Confucius) ได้ขยาย แนวคิดทางการศึกษาและศาสนาไปสู่คนจนี และ เช่นเดยี วกันในยุคน้เี องวชิ าดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ รวมทั้ง วิชาภูมิศาสตร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยเฉพาะการฝังเข็ม ซึ่งถือได้ว่าเป็นศาสตร์ที่ได้รับความสนใจจาก ชาวตะวันตกเป็นอย่างมาก การศึกษาของจีนได้ ซบเซาเป็นอย่างมากเมื่อเร่ิมเกิดสงครามฝิ่นซึ่งเกิดขึ้นเม่ือปี ๔ Webster’s New Encyclopedic Dictionary. U.S.A.: Black Dog & Leventhal ๕ ธงชยั สมบูรณ์. “มดั หมไี่ หม… ไทยอีสาน” ขา่ วบัณฑติ ศกึ ษามหาวทิ ยาลัยรามคำแหง. ๔ (๓, สิงหาคม, ๒๕๔๓): ๙.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๓ ค.ศ. ๑๘๔๐ทำให้ประเทศจีนเสียเปรียบอังกฤษ จนกระท่วั ปี ค.ศ. ๑๘๔๒ จีนต้องลงนามในสนธิสัญญานานกิง เปน็ เหตุ ใหเ้ กาะ ฮ่องกงกลายเป็นเขตเช่าขององั กฤษ ราชวงศ์ซงิ (Qing Dynasty) ได้ล่มสลาย ดร. ซุน ยัดเซน ไดท้ ำการปฏิวัติลม้ การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในปี ค.ศ. ๑๙๑๑ ซึ่งช่วงระยะเวลาน้ลี ัทธิมาร์กซีส – เลนิน ของสหภาพโซเวียตเข้ามามีอิทธิพลในจีนเม่ือ ค.ศ. ๑๙๑๗ ซ่ึงต่อมาเมื่อ ค.ศ. ๑๙๒๑ เหมา เจ๋อ ตุง (Mao-Tse-tung) ไดก้ ่อต้ังพรรคคอมมิวนิสต์ จนกระทั่วปี ค.ศ. ๑๙๔๙ พรรคคอมมิวนิสต์ได้ทำการปฏิวัติและ เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบใหม่ คือ การปกครองตามแนวคอมมิวนิสต์ ซ่ึงมีผลต่อการจัดการศึกษา เปน็ อยา่ งมากและทำให้เกดิ ปญั หา เช่น ความไมเ่ ทา่ เทียมในการไดร้ ับการศกึ ษา การขาดการดำเนินงานของรัฐ อย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ด้วยเหตุน้ีจึงทำให้รัฐบาลจีนเร่งพัฒนานโยบายการศึกษาของจีนอย่างรวดเร็ว ซ่ึงถือว่า เป็นหน้าท่ีหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party: CCP) กล่าวได้ว่า พัฒนาการ การศกึ ษาของจีนแบง่ ออกเปน็ ระยะ ดังนี้ (Altbach, P.G., Arnove)๖ ระยะแรก คือ ระยะที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง การศึกษาใน ระยะแรกน้ียังไม่มีอะไรเปล่ียนแปลงมากมายนัก การศึกษาของประชาชนจีนทั่วไปจะยงั อาศัยพ่อแม่ พระสงฆ์ เป็นผู้ให้ความรู้ โดยการสั่งสอนหรือเรียนรู้จะอยู่ในบริบทของลัทธิเต๋ามากกว่า ซ่ึงเป็นการสอนให้รู้จักรักษา ขนบธรรมเนียมการเคารพต่อบรรพบุรุษ และให้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข การเรียนใช้วิธีการท่องจำ คนเก่ง คือคนที่ท่องอะไรได้มาก ต้องท่องให้ขึ้นใจ เขียนให้ถูกต้องและรวดเร็ว คำสอนเหล่านี้ได้พัฒนาเร่ือยมาจน กลายเป็นหลักสูตรของผู้ที่สอบเข้ารับราชการ ซึ่งการเรียนในรายะนี้ยังยึดแนวคิดท่ีว่า “แดง และเช่ียวชาญ” (Red and Expert) กล่าวคือ ทุกคนจะต้องเป็นชาวจีนแดงและเป็นผู้เชี่ยวชาญ และจากพ้ืนฐานแนวคิดเช่นน้ี จึงทำให้จีนมีการปฏิวัติทางด้านวัฒนธรรม (Cultural Revolution) เกิดขึ้น อน่ึงประธานาธิบดี เหมา เจ๋อ ตุง (Mao – Tse – Tung) ได้พยายามใช้กลยุทธ์ทางการศึกษาเพื่อพัฒนากรรมกรหรือผู้ใช้แรงงานสู่การเพิ่มผลิต เพื่อพฒั นาประเทศต่อไป ระยะที่สอง คือ ระยะ ค.ศ. ๑๙๕๓ – ๑๙๕๗ ซึ่งถือว่าเป็นระยะท่ีส้ันของการศึกษาจีน แต่ในช่วงน้ีได้ เกิดแผนพัฒนาประเทศขึ้นคร้ังแรก เป็นผลทำให้การศึกษาระดับประถมศึกษาและการศึกษาทางด้านวิชาชีพ ครู (Primary and Teacher Education) การกระตุ้นให้การศึกษาเพื่อการขจัดความไม่รู้หนังสือ (Illiteracy) ตลอดจนการฝึกคนเข้าทำงาน มพี ัฒนาการของการเรยี นแบบผสมผสานการฝึกงาน นกั วชิ าการหลายท่านเรยี น ยุคน้ีว่า “ดอกไม้ร้อยดอก” (Hundred Flowers) อนึ่งยุคนี้จะเป็นการต่อต้านพวกชนช้ันการปกครองหรือ เจ้านายชั้นสูง โดยให้พรรคคอมมิวนิสต์เป็นผู้กำหนดทิศทางการศึกษา (http://www. personal.ksu.edu- ~dbski/p.๓) ระยะที่สาม ระยะปฏิรูปการศึกษาของจีนในช่วง ค.ศ. ๑๙๕๘ – ๑๙๖๐ ระยะนี้การศึกษามีการ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพราะการเมืองเข้ามามีบทบาทโดยตรงในการจัดการศึกษา (Politics in Command) การศึกษาในระดับพ้ืนฐาน (Basic Education) ได้กระจายไปสู่ทุกภูมิภาคของจีนและประชาชน ชาวจีนได้เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษามากขึ้น จุดมุ่งหมายในการปรับปรุงการศึกษาในระยะน้ี เพื่อ ผสมผสานวัฒนธรรมแบบใหม่กับเทคโนโลยเี ข้าด้วยกนั ถึงแม้ว่าเวลาในช่วงนี้จะน้อยแต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนแปลง ประวตั ิศาสตร์ของจีน ซ่งึ ทำใหป้ ี ค.ศ. ๑๙๖๒ เกดิ การปฏิวัตวิ ัฒนธรรมของจนี ขนึ้ (Cultural Revolution) ทำ ใหก้ ารศึกษาของจีนตอ้ งได้รบั การทบทวนใหมซ่ ่ึงเป็นผลใหก้ ารศกึ ษาของจีนมีความเจรญิ มากขึน้ ระยะท่ีส่ี ระยะปฏิรูปการศึกษาช่วงปี ค.ศ. ๑๙๘๐ เป็นช่วงระยะที่จีนได้ทำการปฏิรูปการศึกษา ที่ได้ พิจารณาถึงบริบทบาทพื้นฐานของประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปล่ียนแปลงคำสอนตามหลักของ ๖ Altbach, P.G., Arnove, R.F. and Kelly, G.P. Comparative Education. U.S.A: Macmillan Pulishing Co., Inc., 1982.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๔ ขงจอื้ (Confucianism) ท่ีเป็นระบบคุณธรรม ความกตัญญู แบบคัดเลือกขุนนางเพอ่ื รับราชการจากประชาชน ทุกระดับ จึงทำให้ เหมา เจ๋อ ตุง ตอ้ งล้มล้างแนวความคิดของประชาชนในยุคน้ีเรียกว่า ยุคทองของการปฏิรูป การศกึ ษาเร่อื ยมาถงึ ปจั จบุ ัน ๑.๖.๒ การบริหารการศกึ ษา (Education Administration) การบริหารการศึกษาของจีนได้ใช้รูปแบบของการบริหารของรัฐ กล่าวคือ องค์กรสูงสุดของรัฐ คือ สภาประชาชนแห่งชาติจีน (National People’s Congress) และสภาประชาชนท้องถ่ิน (Local People’s Congress) มปี ระธานาธิบดีเป็นประมุข โดยที่สภาประธานแห่งชาตจิ ีนจะมอี ำนาจหน้าที่ในการรา่ งกฎหมาย มี วาระ ๕ ปี ซ่ึงทำหน้าที่กำหนดนโยบาย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม งบประมาณด้านต่างๆ ของประเทศ ส่วนสภาประชาชนท้องถิ่นและรัฐบาลท้องถ่ิน (Local People’s Congresses and Local People’s Governments) จะมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานในส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถ่ิน เพ่ือให้สอดคล้อง กับรัฐธรรมนูญและการตรวจสอบการทำงานทุกด้านไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม วา่ นำไปใช้สอดคล้องกบั นโยบายหรือไม่ (ศรสี ว่าง เล้ียววาริณ, ๒๕๔๑: ๒) ในปัจจุบันโครงสร้างการบริหารแบ่ง ออกเป็นระดับ ดงั น้ี ๑. ระดบั ประเทศ จะมีสภาแห่งรัฐ (State Council) เปน็ องคก์ รบรหิ ารสูงสุดของประเทศ ซึ่ง จะแบ่งเป็นมณฑล (Province) ภูมิภาคหรือเขตปกครองตนเอง (Autonomous Region) และเทศบาลนคร ขน้ึ ตรงตอ่ รัฐบาลกลาง ๒. ระดบั มณฑล หรือเขตปกครองอสิ ระ จะประกอบด้วยจงั หวัด เทศบาลเมอื ง ๓. ระดับเมือง จะประกอบดว้ ยเมืองต่างๆ เขตชนกลุ่มนอ้ ย อำเภอ หมบู่ า้ น เกาะฮ่องกง ๑.๖.๓ ระบบการศกึ ษา (Education System) การศกึ ษาในประเทศสาธารณจีนแบง่ ออกเปน็ ๔ ระดับ คอื ๑. การศกึ ษาพ้นื ฐาน ได้แก่ การศึกษาก่อนวยั เรียน การประถมศกึ ษา มัธยมศึกษาตอนต้น มธั ยมศึกษาตอนปลายและการศึกษาพิเศษ ๒. อาชีวศึกษา ได้แก่ การจัดการศึกษาทุกรูปแบบของโรงเรียนอาชีวศึกษา และทุกรูปแบบ ของการให้การฝึกอบรมด้านอาชีพและเทคนิค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนมัธยมศึกษาพิเศษ โรงเรียนช่างฝีมือ โรงเรียนมัธยมอาชีวศึกษาและโรงเรียนอาชวี ศึกษาช้นั สูง การศึกษาดา้ นอาชีพจะรวมถึงการอบรมอาชีพขันต้น และการฝึกอบรมด้านเทคนิคกอ่ นเข้าทำงานแก่พนกั งานของโรงงานอตุ สาหกรรมหรอื บริษทั ด้วย ๓. อดุ มศกึ ษา ได้แก่ การจดั อุดมศึกษาในระดับอดุ มศึกษาท้ังหมด ๔. การศึกษาผู้ใหญ่ ได้แก่ การจัดการศึกษาเพ่ือการอ่านออกเขียนได้ การจัดการศึกษาใน ระดับน้ีบางคร้ังจะจัดในระบบของโรงเรียนและรูปแบบการจัดการศึกษาอื่นๆ แก่กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่จะ เป็นประชากรผใู้ หญ่ กล่าวตามความเป็นจรงิ แล้ว ระบบการศกึ ษาของจีนเหมือนกับการศึกษาของประเทศอืน่ ๆ คอื มี ระดบั อนบุ าล ประถมศกึ ษา มธั ยมศกึ ษา และระดบั อดุ มศึกษา ๑.ระดับอนุบาลศึกษา (Kindergarten) หรือบางคร้ังเรียกว่า การศึกษาก่อนวัยเรียน เด็ก อายุ ๓ ขวบจะเข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาล การศึกษาในระดับน้ีได้รับความสนใจจากผปกครองและรัฐก็ได้ ดำเนินการอย่างจริงจังต้ังแต่ปี ค.ศ. ๑๙๔๙ โดยเฉพาะตั้งศูนย์ฝากเลี้ยงเด็ก ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระของ ผู้ปกครองทจี่ ะตอ้ งออกไปทำงาน การจัดการศึกษาในระดบั นีจ้ ะแบ่งออก เป็น ๒ ลกั ษณะ คอื
ศาสตรก์ ารสอน ๑๕ ๑. สถานท่ีรบั เลีย้ งเดก็ ในเวลากลางวนั (Childhood Center Day Schooling) สถานท่ีรับเลย้ี งเดก็ ใน เวลากลางวนั นเี้ ปรียบเสมือนโรงเรียนท่ีช่วยเหลือผ้ปู กครองท่ีทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ซง่ึ ส่วนมากโรงงาน หรอื คอมมูนจะเป็นผจู้ ัดตัง้ ขึ้น เพ่อื ใหผ้ ้ปู กครองไดน้ ำเดก็ มาฝากเลยี้ งในขณะท่ีตนเองทำงาน ๒. โรงเรยี นกินนอน (Boarding School) ส่วนมากโรงเรยี นประเภทนี้จะสนองตอบความต้องการของ ผู้ปกครองที่เป็นทหาร หรือลูกของผู้ใช้แรงงาน โรงเรียนประเภทน้ีจะมีน้อยกว่าโรงเรียนประเภทแรก (อบรม สินภิบาล)๗ โดยท่ัวไปแล้ววิชาต่าง ๆ ท่ีเรียนในโรงเรียนอนุบาลศึกษานั้นจะไม่เน้นเนื้อหาทางวิชาการอะไร มากมายแต่จะมุ่งฝึกเด็กให้มีทักษะเบ้ืองต้นในการใช้ชีวิตประจำวันกับสังคม แต่อาจจะมีการฝึกเขียน ฝึกคิด คำนวณบ้าง อน่ึงการจัดการศึกษาในระดับน้ีได้รบความสนใจจากชาวต่างประเทมาก เพราะรัฐบาลจะจัด การศกึ ษาให้ฟรแี ก่ผู้ปกครอง ๒.ระดับประถมศึกษา (Primary Education) การศึกษาในระดับน้ีใช้เวลาเรียน ๖ ปี รับ นักเรียนท่ีมีอายุระหว่าง ๗-๑๒ ปี และเป็นการศึกษาภาคบังคับ (UNESCO)๘ การเรียนในระดับน้ีส่วนมากจะ เป็นหลักสูตรภาคบังคับจะประกอบด้วยกิจกรรมทางวิชาการและ กิจกรรมเสริมทักษะ โดยท่ีหลักสูตรจะมี ๒ ระดบั คอื หลกั สูตรระดับชาตทิ ่กี ำหนดโดยรฐั ส่วนมณฑลและจงั หวัดจะเป็นผ้กู ำหนดหลกั สตู รระดับทอ้ งถ่ิน หลักสูตรที่ใช้เรียนในระดับประถมศึกษาท่ีเป็นหลักสูตรระดับชาติ เรียนกว่าหลักแกน (Core Curriculum) มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ เนื้อหาวิชาของหลักสูตรจะประกอบด้วยการศึกษาทางพุทธศึกษา (Cognitive Domain) จริยศึก ษ า (Effective Domain) และหั ตถศึกษ า (Psychomotor Domain) ซึ่ง ประกอบด้วยวิชาต่าง ๆ ดังน้ี วิชาศีลธรรม คณิตศาสตร์ ธรรมชาติศึกษา กีฬา ดนตรี ศิลปะ ภาษาจีนและ แรงงาน บางโรงเรยี นกจ็ ะเรียนภาษาต่างประเทศด้วย ๓.ระดับมัธยมศึกษา (Secondary Education) การศึกษาในระดับนี้จะถูกแบ่งออกเป็น ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Lower Secondary School) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Upper Secondary School) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Lower Secondary School) การเรียนในระดับนี้จะใช้เวลา ๓ ปี ถือว่า เป็นภาคบังคับ กระบวนวิชาต่าง ๆ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นนั้นประกอบด้วยวิชาการเมือง ภาษาจีน คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา กีฬา ศิลปะ แรงงาน และแนว อาชีพระยะส้ัน หลักสูตรท้องถ่ินจะจัดโดยเจ้าหน้าท่ีการศึกษาระดับมณฑล เทศบาลนคร จังหวัด ภายใต้การ ดูแลของรัฐบาล หลักสูตรท้องถิ่นจะต้องมีส่วนประกอบทางด้านวิชาการและกิจกรรมเพื่อเป็นหลักสูตรวิชา บงั คบั หรอื วิชาเลือก ขอ้ สงั เกตประการหนง่ึ การศึกษาภาคบงั คบั ของจีนแบง่ ออกเปน็ ๒ ลกั ษณะการจัดการดงั นี้ คือ แบบแรก ประถมศกึ ษาเรียน ๖ ปี มัธยมศึกษาตอนตน้ ๓ ปี แบบทีสอง ประถมศึกษาเรียน ๕ ปี มัธยมศึกษาตอนต้นเรียน ๔ ปี ซ่ึงท้ังสองแบบนี้จะมี จำนวนช่ัวโมงเรียนในแต่ละระดบั แตกต่างกนั แตเ่ ม่อื รวมแล้วกจ็ ะเทา่ กันทั้งสองแบบ ๔.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Upper Secondary School) การศึกษาในระดับนี้จะถูก แบง่ อกเป็น ๒ รปู แบบ คอื มัธยมศึกษาตอนปลายปกติ และมธั ยมอาชีวศกึ ษาและมัธยม ศึกษาพิเศษ หลักสตู ร ของมัธยมศึกษาตอนปลายและปกติ หรือหลักสูตรท่ัวไปจะประกอบด้วยวิชาศีลธรรมและการเมือง ภาษาจีน คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ กีฬา ศิลปะ ทักษะแรงงาน สำหรบั วิชาอื่น ๆ นั้น จะเป็นวชิ าเลือกเสรีหรอื บรรจุเป็นวิชาบงั คับก็ได้ขน้ึ อยู่กับคณะกรรมการท้องถ่นิ อนึ่งการศกึ ษาในระดับนจี้ ะใช้ ๗ อบรม สินภบิ าล. ระบบการศึกษานานาชาติ. กรงุ เทพมหานคร: โอ.เอส พรนิ้ ตง้ิ เฮาส,์ ๒๕๓๗. ๘ UNESCO. World Education Report 1998 : Framce: Darantiere, 1998.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๖ เวลาเรียน ๓ ปี ส่วนโรงเรียนมัธยมอาชีวศึกษาตอนปลายใช้เวลาเรียน ๒-๔ ปี โรงเรียนมัธยมศึกษาพิเศษใช้ เวลาเรยี น ๒-๔ ปี ๕.ระดับอุดมศึกษา (Higher Education) การเรียนในระดับอุดมศึกษาของจีนนั้นแบ่งเป็น การเรียนในมหาวิทยาลัย การเรียนในสถาบันชันสูงเฉพาะ รวมท้ังการเรียนในโรงเรียนฝึกหัดครู การเรียนใน มหาวิทยาลัย ต้ังแต่ปี ค.ศ. ๑๙๘๐ เป็นต้นมา ถือได้ว่า การเรียนในมหาวิทยาลัยของจีนมีความเจริญก้าวหน้า มาก โดยเฉพาะการเรียนที่เน้นการสร้างข้อความรู้ใหม่ การวิจยั ทดลองต่างๆ การเรยี นในมหาวิทยาลยั แบ่งอก เป็น ๓ ระดับ คือ ๑.ระดับปริญญาตรี ใช้เวลาเรียน ๔ ปี ในสาขาทางด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ บาง สาขา สว่ นนกั ศึกษาที่เรียนสาขาแพทย์ศาสตร์จะตอ้ งใชเ้ วลา ๖ ปี การแพทยใ์ นประเทศจีนทำให้ชาวตะวันตกมี ความสนใจในการศึกษาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝังเข็ม (Acupuncture) ซึ่งเป็นการแพทย์ของจีน ในสมัยก่อน และในปัจจุบันก็ได้รับความสนใจจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันนี้มีมหาวิทยาลัยมากมาย เชน่ มหาวทิ ยาลัยในนครเซยี งไฮ้ ปักกงิ่ มณฑลยนู าน เปน็ ตน้ ๙ ๒.ระดับปริญญาโท มีระยะเวลาเรียน ๒-๕ ปี จะมีการเรียนรายละเอียดกระบวนวิชาต่างๆ ซึ่งเรียกว่า Courses works จากนั้นก็จะมีการทำงานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ซ่ึง เป็นการค้นคว้าข้อความรู้ใหม่ ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์ท่ีปรึกษา (Advisor) บางสาขาวิชาก็จะมีเรียนเฉพาะกระบวนวิชาต่างๆ และทำ รายงานการค้นคว้าอิสระ (Independent Study) เสร็จแล้ว ก็จะมีการสอบประมวลความรอบรู้ (Comprehensive examination) สำเร็จแลว้ ได้รบั ปริญญาตามสาขานนั้ ๆ ๓.ระดับปริญญาเอก สว่ นมากใช้เวลาเรียน ๓-๕ ปี การศึกษาในระดับปรญิ ญาเอกของจนี ใน บางมหาวิทยาลัยจะมีโปรแกรมการเรียนเฉพาะการทำวิจัยอย่างเดียว เรียกว่า Research Studies Programme) การเรียนในระดบั นี้เน้นการทำวิจัยค้นคว้าหาข้อความรู้ใหม่ ซึง่ สามารถนำไปพฒั นาประเทศไทย บางมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ก็จะมีโครงการร่วมกับประเทศต่าง ๆ เรียกว่า Sandwich Programme ซึ่งหมายถึง การเรียนในมหาวิทยาลัยของจีนและมหาวิทยาลัยของต่างประเทศด้วย จบแล้วได้ ปรญิ ญาของประเทศน้ันๆ หรือบางครั้งกป็ รญิ ญาของจีนเอง ๖.การอาชีวศึกษา (Vocational Education) การอาชีวศึกษาของจีนตามที่ทราบมาแล้วว่า มีวิวัฒนาการมาเป็นเวลาหลายพันปี โดยเฉพาะในสาขาการเกษตรกรรม ซ่ึงถือว่ามีการปรับปรุงประชาชนก็มี ความรูท้ างดา้ นนี้มาก ในปัจจบุ ันนก้ี ารอาชวี ศกึ ษาของจีนมี ๕ รูปแบบ ไดแ้ ก่ ๑. สถาบันอาชวี ศกึ ษาช้นั สูง เน้นการฝกึ ความเช่ยี วชาญเฉพาะสาขาเพ่อื ฝึกคนเข้าสูต่ ำแหน่งและงาน เฉพาะด้านต่างๆ เช่น วิศวกรรมเกษตรกรรม วนศาสตร์ ๒. โรงเรียนมัธยมศกึ ษาพเิ ศษ ๓. โรงเรียนสำหรับชา่ งฝมี อื ๔. โรงเรียนมัธยมอาชีวศึกษาตอนปลาย ๕. โรงเรียนมธั ยมอาชวี ศกึ ษาตอนต้น ซ่ึงในแต่ละโรงเรียนหรือสถาบันชั้นสูงน้ันก็จะมีสาขาต่าง ๆ มากมายให้นักศึกษาได้เลือกตามความ สนใจและความถนัด ในปัจจุบันผู้ที่จบจากการอาชีวศึกษาของจีนสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ โดยที่ผู้จบ การศึกษาเลือกงานด้วยตนเองจากตลอดแรงงาน ถกู จ้างงานโดยเซนตส์ ัญญากับสถานประกอบการขณะที่สอบ เข้าเรียนในสถาบนั นอกจากนี้แลว้ ถกู จ้างงานโดยหน่วยงานของรัฐเป็นผู้พจิ ารณาถงึ ความรู้ความสามารถท่ีตรง ๙ อรสา สขุ เปรม. “การศึกษาในประเทศสาธาณรฐั ประชาชนจนี ” วิทยาจารย.์ ๙ (๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐): ๑๑๘ – ๑๒๑.
ศาสตร์การสอน ๑๗ ตามความต้องการของหน่วยงานนน้ั ๆ ในอดีตผู้จบการศึกษาจะทำงานตามท่ีรัฐบาลกำหนดแต่ในปจั จุบนั สว่ น ของการจ้างงานท่ีรัฐบาลเป็นผู้กำหนดได้ลดลง ตลาดแรงงานมีเอกสิทธ์ิในการจ้างงาน ผู้จบการศึกษาสามารถ เลอื กงานได้เอง และกลา่ วไดว้ ่าการอาชีวศกึ ษาจนี ประผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ๗.การฝึกหัดครู (Teacher Training) ผู้ที่จะออกไปประกอบอาชีพครูนั้นสามารถเลือกเรียน วชิ าชีพครไู ด้ในวิทยาลัยครหู รอื เรียนในคณะศกึ ษาศาสตร์ หรือคณะครุศาสตร์ โดยจำแนกออกเปน็ ดงั น้ี ครูท่ีสอนในระดับอนุบาลนั้นจะรับผู้ท่ีจบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นใช้เวลาเรียน ๔ ปี ส่วนผู้ท่ี จบมัธยมศึกษาตอนปลายใช้เวลาเรียน ๒ ปี ส่วนผู้ที่จบช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายสามารถเรียนในคณะศึกษา หรือครุศาสตร์ โดยใช้เวลาเรียน ๔ ปี ปีสุดท้ายมีการฝึกสอน ทั้งในโรงเรียนมัธยมศึกษาและโรงเรียน ประถมศึกษา วิทยาลัยครู จะรับนกั เรยี นท่ีจบจากชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเข้าเรียนเป็นเวลา ๔ ปี มีการเรียน กระบวนวิชาต่าง ๆ เช่น วิชาเอก ภาษาอังกฤษ ประวัติศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ เป็นต้น รวมทั้งการเรียนวิชาท่ัวไป เช่น จัดวิทยาการเรียนการสอน จัดวิทยาสำหรับเด็ก เป็นต้น นอกจากน้ีผู้ที่เรียนในวิทยาลัยครูจะต้องมีการ ฝกึ สอนกอ่ นจบกอ่ นจบออกไปประกอบอาชีพครู ๘.การศกึ ษาผใู้ หญ่และการศกึ ษาพิเศษ (Adult Special Education) การศึกษาผู้ใหญ่จะอยู่ในการรับผิดชอบของกรมการศึกษานอกโรงเรียน เน้นการอ่านออก เขียนได้ เพ่ือประกันคุณภาพการร้หู นังสือ (Literacy) ของผูเ้ รียน รัฐบาลจีนไดอ้ อกหลักสตู รการรู้หนังสือถือครู ตอ้ งสอนให้ผู้เรียนที่เป็นชาวนาให้รู้หนังสือคำหลัก ๆ ๑,๕๐๐ คำ และประชาชนท่ีอยู่ในพื้นที่เมือง ๒,๐๐๐ คำ เป็นต้น นอกจากรัฐบาลจีนได้รณรงค์การรู้หนังสือโดยบางหมู่บ้านมีที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าน โดยเฉพาะ ท้องท่ีตามภูเขาสูง (Mountainous Area) นอกจากนี้รัฐบาลยังเร่งการปฏิรูปการศึกษาผู้ใหญ่ใน ๓ มโนทัศน์ คือ การศึกษาพืน้ ฐาน วชิ าชีพและการศกึ ษาตอ่ เนื่อง๑๐ สว่ นการศึกษาพิเศษ (Special Education) น้ันรัฐบาลจีนมีวัตถุเพ่อื เป็นการศึกษาสำหรับคน พิการ ในปัจจุบันน้ีเด็กพิการทางตา ทางหูและจิตใจ ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นพิเศษ โดยมีการจัดตั้ง โรงเรียนต่าง ๆ ขนึ้ เฉพาะ เช่น โรงเรียนสำหรบั คนตาบอด โรงเรียนสำหรับคนหูหนวก และโรงเรียนสำหรบั เด็ก เรียนช้า นอกจากน้ยี ังมีโรงเรียนบางแหง่ ที่เปิดโอกาสเด็กพิการเหล่าเรียนร่วมกับเดก็ ปกติในโรงเรียนท่วั ไปด้วย ซึ่งกล่าวได้เป็นการปรับและสร้างโอกาสให้เด็กพิการเล่าน้ี มีโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานหรือการศึกษา ภาคบังคับ ดังจะเหน็ ไดจ้ ากหลกั สูตรสำหรับเดก็ พกิ ารของจีนมี ดงั นี้ ๙.หลักสตู รสำหรับเด็กพิการ หลักสตู รสำหรบั เดก็ พิการในโรงเรยี นพิเศษมี ดงั นี้ โรงเรียนสำหรับคนตาบอด: หลักสูตรระดับประถมศึกษาสำหรับเด็กตาบอด ได้แก่ วิชา ศีลธรรม ภาษาจีน คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ธรรมชาติศึกษา กีฬา วิธีการเดิน ดนตรี ศิลปะ การแสดงอาการ รู้จัก แนะแนวชีวิต ทักษะแรงงานสำหรับหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้แก่ การเมือง ภาษาจีน คณิตศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชวี วิทยา กีฬา ดนตรี ศิลปะ และทักษะ แรงงาน โรงเรียนสำหรับคนหูหนวก (เกรด ๑ – เกรด ๙) หลักสูตรท่ีจัดได้แก่ศีลธรรม ภาษา (ภาษา มือจากเกรด ๑ – เกรด ๓) คณิตศาสตร์ ธรรมชาติศึกษา ความรู้ท่ัวไป สังคมวิทยา วิทยาศาสตร์ กีฬา ศิลปะ และทักษะแรงงาน ๑๐ Cookson, P.W., Sadounik, A.R. and Semel, S.F., (ed.) International Handbook of Educational Reform. U.S.A.: Greenwood Publishing Group, Inc. 1992. Publishes, Inc. 1993.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๘ โรงเรยี นสำหรับเดก็ เรยี นช้า (เกรด ๑ – เกรด ๙) หลักสูตรน้ีตะต้องเรียนรายวชิ า ความรู้ ทัว่ ไป ภาษาทา่ ทางจากเกรด ๑ – ๖ คณิตศาสตร์ ดนตรี (ร้องเพลง เต้นรำ เกม ในเกรดทีต่ ำ่ ) ศิลปะกีฬา และ ทักษะแรงงาน นอกจากรายวชิ าในหลักสูตรทีก่ ลา่ วมาแลว้ นักเรียนจะได้รบั การสนับสนุนใหม้ กี จิ กรรมเสรมิ สำหรบั ผูเ้ รียนทส่ี นใจ๑๑ จะเห็นไดว้ ่ารฐั บาลจีนให้ความสำคัญแก่การศึกษาทกุ เพศทุกวัย โดยไม่เลือกถงึ ความบกพร่องทางด้าน ตา่ ง ๆ ปัจจุบนั นี้โรงเรียนประเภทนี้มีมากขึน้ ในเมืองใหญ่ และกำลงั กระจายไปสู่โรงเรียนในชนบทโดยที่ชุมชน (Commune) เปน็ ผู้ดูแลและจดั หลักสูตรเองได้ดว้ ย ๑.๗ การววิ ฒั นาการของการศึกษาไทย วิวัฒนาการการจัดการศึกษาไทย ได้บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงการศึกษาไทยแต่ละยุคแต่ละสมัย การศึกษาประวัติและวิวัฒนาการศึกษาของไทยท่ีผ่านมา เพ่ือท่ีจะเข้าใจถึงการเปล่ียนแปลงที่สำคัญได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจเก่ียวกับแนวคิดการจัดศึกษาของไทยยุคสมัยโบราณ การจัดการศึกษาสมัยกรุงสุโขทัย การ จัดการศึกษาสมัยกรุงศรีอยุธยา การจดั การศึกษาสมยั กรุงธนบุรีและกรุงรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ การจัดการศึกษา ของไทยสมัยปฏิรปู ยุคแรกเริ่ม ยุคขยายงาน ยุคแสวงหา ยุคพัฒนา ยุคแหง่ ความหวัง การจัดการศึกษาเตรียม เข้าสสู่ มาคมอาเซยี น ๑.๗.๑ แนวคิดการจดั การศกึ ษาไทยสมยั โบราณ การศึกษาไทยยุคสมัยโบราณ จัดการศึกษาท่ีไม่มีระบบและแบบแผน คือ ไม่มีระบบโรงเรียน และชั้น เรียน วดั เป็นแหล่งให้ความรู้ มีพระภกิ ษุเปน็ ผู้สอนเพยี งเพอื่ ประกอบอาชีพ วชิ าความรู้ส่วนใหญ่ทถ่ี า่ ยทอดไม่มี การจดบันทึกไว้ ใช้ความสามารถในการท่องจำมากกว่า ซึ่งการจัดการศึกษาสมัยโบราณไม่มีแบบแผนและ รูปแบบที่ชดั เจน จงึ ทำให้การศกึ ษาไม่มอี ทิ ธพิ ลต่อการเปลย่ี นแปลงด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมมากนกั ๑.๗.๒ การจดั การศึกษาไทยสมยั กรุงสุโขทัย การจัดการศึกษาไทยสมัยกรุงสุโขทัย (พ.ศ.๑๗๘๑-๑๙๘๓) การศึกษาท่ีสำคัญคือ การกำเนิด อักษรไทยครั้งแรกคือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สถานท่ีเรียน ๓ แห่งคือ สำนักสงฆ์ตอ่ มาเป็นวัด อีกแห่งหน่ึง คือ สำนกั ปราชญ์ราชบัณฑิต และทา้ ยสุดคอื ราชสำนัก และการจดั แบง่ การศึกษาเปน็ ๔ องค์คอื จริยศกึ ษา สอนศีลธรรมจรรยา เน้นหลักพุทธศาสนาแบบหินยาน พระภกิ ษเุ ปน็ ผู้สอน สถานศึกษาที่ สำนักสงฆ์หรือวัด เน้นการปฏิบตั ิ พลศึกษา สอนผชู้ ายสำหรบั ปอ้ งกันตัวใช้ในเวลาศึกสงคราม พุทธิศึกษา ศึกษาจากวัด มีพระภิกษุเป็นผู้สอน การอ่าน เขียน ภาษาไทยภาษาบาลี และวิชาความรู้ เบ้อื งตน้ หัตถศึกษา สอนผู้หญิง พ่อแม่ท่ีมีความรู้ดา้ นอาชีพ เพ่ือเปน็ เคร่ืองมือทำมาหากิน และสืบวงศ์ตระกูล อาทิ งานประดิษฐ์ เยบ็ ปกั ถักรอ้ ย และทอผา้ ๑๑ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ. รายงานการปฏริ ูปการศึกษาของสาธารณรฐั ประชาชนจนี . กรุงเทพมหานคร: บริษทั ธรรมสาร จำกัด. ๒๕๔๑.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๙ ๑.๗.๓ การจดั การศึกษาไทยสมยั กรุงศรีอยุธยา การจัดการศึกษาไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.๑๘๙๓-๒๓๑๐)มีจัตุสดมภ์ ๔ คือ เวียง วัง คลัง นา มี ระบบศักดินา และการจัดการศึกษาท่ีวัด และบ้าน มีหน้าท่ีอบรมเด็กนักเรียน อีกท้ังได้ติดต่อกับฝร่ังชาติ ตะวันตก คา้ ขายและเผยแพร่ศาสนา มกี ารจัดตั้งโรงเรยี นสอนศาสนาคริสต์ ประดิษฐ์ตวั พิมพอ์ ักษรไทยขน้ึ เป็น ครัง้ แรกรับวิชาการแบบยุโรป และแตง่ แบบเรียนคอื จินดามณี เลม่ แรกของไทย ๑.๗.๔ การจดั การศึกษาสมัยกรุงธนบรุ แี ละกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น การจัดการศึกษาสมัยกรงุ ธนบุรี (พ.ศ.๒๓๑๐-๒๓๒๕) มีการเปล่ียนแปลงไม่เด่นชัด ชาวบ้านทมี่ ีฐานะ ดีและข้าราชการ นิยมส่งบุตรหลานไปศึกษาเล่าเรียนที่วัด และการจัดการศึกษาตอนต้นรัตนโกสินทร์ เริ่มนำ วิทยาการใหม่ ๆ จัดพมิ พ์ตำราเรยี น เปน็ จดุ เริ่มต้นการปฏริ ูปการศึกษาของไทย ๑.๗.๕ แนวคดิ การจัดการศกึ ษาไทยสมัยปฏิรปู แนวคิดการปฏิรูปการจัดการศึกษาของไทย เกิดข้ึนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๓) และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) และทำให้เกิดระบบโรงเรียนข้ึน ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว (รัชกาลที่ ๕) ซงึ่ การจดั การศึกษาเดมิ อยูว่ งจำกดั เฉพาะชาวบ้านทมี่ ี ฐานะดีและบุตรขา้ ราชการ และคนท่ีได้รบั การศึกษาจึงเป็นคนชั้นสูง ประชาชนโดยท่ัวไปขาดโอกาสมากและมี ผลจรงิ จังในสมยั รัชกาลท่ี ๕ (พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓) ๑.๗.๖ ยุคแรกเร่มิ ของการศกึ ษาไทย: กา้ วแรก ยุคแรกเริ่มของการศึกษาไทย ก้าวแรก (พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๗๕) การจัดการศึกษาเป็นรูปแบบที่ชัดเจน คือ “โรงเรียน” และกระทรวงศึกษาธิการทำหน้าที่จัดการศึกษา ประกอบกับมีพระราชบัญญัติการศึกษาภาค บังคับสำหรับราษฎรทุกคนทุกพื้นที่ มุ่งจัดการศึกษาเพ่ือรับราชการและการประกอบอาชีพตามที่ตนถนัด เพ่ือให้การปฏริ ูปการศกึ ษาให้เปน็ ระบบส่รู ปู แบบท่ีเปน็ สากลมากยิ่งขึ้น ๑.ยคุ ขยายงานของการศกึ ษาไทย : กา้ วทส่ี อง ยุคขยายงานของการศึกษาไทย ก้าวท่ีสอง (พ.ศ. ๒๔๗๕-๒๕๐๓) การจัดการศึกษาเป็นการ ขยายการศึกษาภาคบังคับออกให้กว้างขวางข้ึน ประเทศตกอยู่ในภาวะสงคราม ภายหลังได้มีการเร่งรัด ปรับปรุงการศึกษาให้มีความเจริญก้าวหน้าทุก ๆ ด้าน ไปสู่การพัฒนาประเทศท่ีมุ่งตอบสนองความต้องการ ของประชาชนเป็นอย่างย่งิ ๒.ยุคแสวงหา: เป็นการแสวงหาแนวทางใหมใ่ นการจดั การศึกษา ยุคแสวงหา การจัดการศึกษาในปี พ.ศ.๒๕๐๓-๒๕๒๐ ได้ขยายการศึกษาท้ังด้านปรมิ าณและ คุณภาพ ได้รับความร่วมมือจากองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลผลักดันให้ประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ ๑-๓ มีจุดมุ่งหมายท่ีสำคัญคือ มุ่งพัฒนาคนได้จัดการศึกษาภาคบังคับให้ท่ัวถึง และขยายการศึกษาทุก ระดับให้มีคุณภาพมาตรฐาน ที่ส่งเสริมด้านจริยธรรม คุณธรรม และมีวินัยรวมทั้งสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์ อีกทงั้ จดั ต้ังมหาวทิ ยาลัยและ ยกฐานะวิทยาลยั เป็นมหาวิทยาลัยที่สมบรู ณม์ ากย่งิ ข้ึน ๓.ยคุ พัฒนา: การศกึ ษาเพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพชวี ติ และสังคม ยุคพัฒนา การศึกษาเพ่ือพัฒนาคณุ ภาพชีวิตและสังคม (พ.ศ. ๒๕๒๐-๒๕๔๑) ยุคพัฒนา ท่ีมี ความพยายามเพื่อท่ีจะนำเอาแนวคดิ ของนกั การศึกษาไทยมาใช้ในการจัดการศึกษาของชาติ โดยนำบริบททาง สังคมวัฒนธรรมไทย จัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทาง เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตลอดจนบริบทของสังคมไทยที่เหมาะสม และแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ๑-๖ จัดให้เป็นระบบสากล ขยายโอกาสทางการศึกษาทุกกลุ่ม อุดมศึกษาขยายไปสู่ส่วนภูมิภาคมากข้ึนท้ังใน
ศาสตรก์ ารสอน ๒๐ ระบบและนอกระบบ เพ่ือเปิดโอกาสทุกคนทุกอาชีพได้มีความรู้กว้างมากย่ิงขึ้น และมีพระราชบัญญัติ การศกึ ษาคร้งั แรก ท่สี อดรับกบั รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ ๔.ยุคแห่งความหวัง: การปฏริ ูปการศึกษา ยคุ แห่งความหวังการปฏิรูปการศึกษา (พ.ศ. ๒๕๔๒-ปัจจุบัน) เปลี่ยนองค์กร เดิม ๑๔ เหลือ เพียง ๕ องค์กรและตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ปฏิรูป ๓ ระยะคือ จัดตั้งศูนย์ปฏิรูป การศึกษา เปลี่ยนสำนักปฏิรูปเป็นสำนักงานโครงการนำร่อง และประกาศเขตพื้นท่ีการศึกษา อีกท้ังปฏิรูปครู และบุคลากรทางการศกึ ษา กระจายอำนาจใหส้ ถานศกึ ษาและหน่วยปฏิบัติมอี ิสระ คลอ่ งตัวมากข้ึนประชาชน ภูมิปัญญาท้องถ่ิน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมจัดการศึกษา ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานทุกระดับ และผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิสูงข้ึนตามศักยภาพ ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาท่ีมุ่งหวังของคนไทยในเร่ืองของคุณภาพ ของคนให้เป็นมนุษยท์ ่ีสมบรูณ์ ซึง่ เพอื่ นำพาประเทศไปสสู่ ากล ๑.๗.๗ การจดั การศกึ ษาเตรยี มเข้าสสู่ มาคมอาเซยี น การจัดการศกึ ษาเตรยี มเขา้ สู่สมาคมอาเซียน (พ.ศ.๒๕๕๘)การเตรยี มประเทศเข้าสสู่ มาคมประชาชาติ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ที่เกิดจากผู้นำ ๕ ประเทศคือ ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ กำหนดยุทธศาสตร์ท่ีสำคัญคือ สร้างความตระหนัก หลักสูตรระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษา เตรียมบุคลากรครูและนักเรียนเพ่ือรองรับ และขยายโอกาสทางการศึกษา ที่สอดคล้องกับ ตลาดแรงงานและเศรษฐกจิ ของยคุ โลกาภวิ ฒั น์ สรปุ ทา้ ยบท การศึกษาไทยได้มีการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขมาโดยตลอด แต่ยังมีปัญหาอุปสรรคในการจัด การศึกษา และการบริหารการศึกษาหลายประการ ซึ่งนอกจากปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว ประเทศไทยใน ปัจจุบันยังประสบวิกฤตการศึกษาหลายประการ การแก้ปัญหาวิกฤตดังกล่าวจำต้องอาศัยปัจจัยแห่ ง ความสำเรจ็ ของการปฏิรูปการศกึ ษา การออก พ.ร.บ.การศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 เป็นก้าวย่างที่สำคัญในการวางกรอบการปฏิรูปการศึกษาเพ่ือขจัดปัญหาและวิกฤตต่างๆ นับเป็น พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับแรกที่มีฐานะเป็นกฎหมาย และมีกระบวนการพัฒนาสอดคล้องกับการออก กฎหมาย ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่การปฏิรูปการศึกษาตามแนวทางและสาระสำคัญใน พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จะประสบความสำเร็จ ย่อมที่จะต้องอาศัยองค์กรและบุคคลหลายฝ่าย โดยเฉพาะองค์กรปฏิบัติ ได้แก่ สถานศึกษาระดับต่างๆ ซึ่งย่อมต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม ตลอด ทง้ั การปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพเป็นอย่างดีองค์ประกอบหลักเบ้ืองต้นท่ีสำคัญอยา่ งหน่ึงของบคุ ลากรทาง การศึกษาก็คือ เจตคติทีด่ ีการใหค้ วามสำคัญและการยอมรับในสาระสำคัญทกี่ ำหนดไว้ ซ่ึงจะนำไปสู่การปฏบิ ัติ อย่างแทจ้ ริงต่อไป การที่ประเทศไทยจะแก้ปัญหาการศึกษาได้น้ัน ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญและหันมาร่วมมือกันอย่าง จริงจงั เพือ่ ให้การพฒั นาทางด้านการศกึ ษาเป็นไปอย่างดี โดยจะมสี ่วนทำให้บุคลากรของประเทศนนั้ มี ความรู้ ความสามารถ และมีคุณภาพมากขึ้น เพ่ือที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ ต่อไป
ศาสตร์การสอน ๒๑ คำถามท้ายบท ๑.การศึกษานัน้ จัดเปน็ หน้าที่ของครู ด้วยสาเหตอุ ะไร และการจดั การศกึ ษาทด่ี ตี ้องประกอบด้วยอะไร ฯ ๒.ชนชาติอยี ปิ ต์ ไดม้ ีการพฒั นาดา้ นการเรยี นการสอนอย่างไร โดยใชอ้ ะไรเป็นหมึกและกระดาษ ฯ ๓.ชนชาตสิ ุเมเรียนมถี น่ิ กำเหนิดอยา่ งไรและ ไดม้ ีการประดิษฐอ์ กั ษรด้วยวสั ดุประเภทไหน ฯ ๔.ชนชาตอิ สั สิเรยี เป็นชนชาติทน่ี า่ สนใจและมีความสำคัญอย่างไร สังคมโลกในปจั จบุ ัน ฯ ๕.ใหน้ ิสิตบอกมรดกของอารยธรรมของชนชาตโิ รมัน ว่ามอี ะไรบ้างและมีระบบการเรียนการสอนอยา่ งไร ฯ ๖.จงยกตัวอย่าง ศาสตร์การสอนของพระพุทธเจ้าในการส่งั สอนพระภกิ ษุ สามเณรและประชาชนทว่ั ไป ฯ ๗.จงอธบิ าย ๑.คัมภรี ฤ์ คเวท ๒. คัมภรี ย์ ชุรเวท ๓.คัมภีร์อรรถเวท มคี วามหมายและความสำคัญอย่างไร ฯ ๘.หลังการปฏริ ปู การศึกษาของจีนในชว่ ง ค.ศ.๑๙๕๘-๑๙๖๐ มีการบริหารจัดการอยา่ งไรฯ ๙.ระบบการศึกษาของประเทศจนี ยคุ ปจั จุบัน แบง่ ออกกี่ระดบั อะไรบ้าง จงอธิบาย ฯ ๑๐.วิวฒั นาการของการศึกษาไทยหลงั ปฏิรปู การศึกษา มกี ารจดั ยคุ ของการศกึ ษาอย่างไร อะไรบ้าง ฯ
ศาสตรก์ ารสอน ๒๒ เอกสารอ้างอิงประจำบท ธงชัย สมบูรณ์. “มัดหม่ีไหม…ไทยอสี าน”ขา่ วบณั ฑิตศกึ ษามหาวิทยาลัยรามคำแหง.๔ (๓, สิงหาคม, ๒๕๔๓) : ๙. นายพริ ยิ ะ ตระกูลสว่าง และคณะ. มโนทศั น์สำคัญเกยี่ วกับการจดั การเรยี นการสอน.ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้จาก http://www.seal๒thai.org/sara/sara๐๑๔.htm สบื คน้ เม่ือ ๔ ธนั วาคม ๒๕๕๘. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ. รายงานการปฏริ ปู การศึกษาของสาธารณรฐั ประชาชนจีน. กรงุ เทพมหานคร: บริษัทธรรมสาร จำกดั . ๒๕๔๑. สิริ เปรมจติ ต,์ ประวัติศาสตรโ์ ลก. พระนคร, โรงพิพม์ ส.ธรรมภคั ดี,๒๔๙๙ , หน้า ๕๒๔-๕๒๕. อบรม สินภิบาล. ระบบการศกึ ษานานาชาติ. กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส พริน้ ต้งิ เฮาส์, ๒๕๓๗. อรสา สขุ เปรม. “การศกึ ษาในประเทศสาธาณรัฐประชาชนจีน” วทิ ยาจารย.์ ๙ (๒ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๐) : ๑๑๘ – ๑๒๑. อารยธรรมโรมัน.ออนไลน์ เขา้ ถงึ ไดจ้ ากhttps://panupong๐๘๘.wordpress.com. สืบค้นเมอ่ื ๔ ธนั วาคม ๒๕๕๘. Altbach, P.G., Arnove, R.F. and Kelly, G.P. Comparative Education. U.S.A: Macmillan Pulishing Co., Inc., 1982. Cookson, P.W., Sadounik, A.R. and Semel, S.F., (ed.) International Handbook of Educational Reform. U.S.A.: Greenwood Publishing Group, Inc. 1992. Publishes, Inc. 1993. UNESCO. World Education Report 1998 : Framce: Darantiere, 1998.
บท ๒ บรบิ ททางการสอน วัตถปุ ระสงค์การเรียนร้ปู ระจำบท เมื่อไดศ้ กึ ษาเนื้อหาในบทนแ้ี ลว้ ผู้เรยี นสามารถ ๑. อธิบายบริบทการศกึ ษาในไทยได้ ๒. อธิบายบริบทการศกึ ษาในอินเดียได้ ๓. อธิบายบรบิ ทการศึกษาในจีนได้ ๔. อธิบายสมัยฟื้นฟูศิลปะวทิ ยาการในศตวรรษท่ี ๑๑-๑๓ได้ ๕.อธบิ ายสมัยฟน้ื ฟูวทิ ยาการในประเทศอิตาลไี ด้ ขอบขา่ ยเน้อื หา • บรบิ ทการศกึ ษาในไทย • บริบทการศึกษาในอนิ เดยี • บรบิ ทการศกึ ษาในจนี • สมยั ฟืน้ ฟูศลิ ปะวทิ ยาการในศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ • สมยั ฟน้ื ฟวู ทิ ยาการในประเทศอติ าลี
ศาสตรก์ ารสอน ๒๔ ๒.๑ ความนำ การจัดการศึกษาเปนกระบวนการอยางเปนระบบ โดยมีเปาหมายชัดเจน คือการพัฒนาคุณภาพ มนษุ ยทุกดาน ไมวาจะเปนดานรางกาย จติ ใจ สติปญญา คุณธรรม คานิยม ความคดิ การประพฤติปฏิบตั ิ ฯลฯ โดยคาดหวังวา คนที่มีคุณภาพน้ีจะทําใหสังคมมีความมั่นคง สงบสุข เจริญกาวหน้าทันโลก แขงขันกับ สังคมอื่นในเวทีระหวางประเทศได คนในสังคมมีความสุข มีความสามารถประกอบอาชีพการงานอยางมี ประสทิ ธิภาพ และอยูรวมกนั ไดอยางสมานฉนั ท การจัดการศึกษามีหลายรูปแบบ ไมวาจะเปนการจัดการศึกษาในสถานศึกษา นอกสถานศึกษา ตาม อัธยาศัย ยอมขึ้นกับความเหมาะสมสําหรับกลุมเปาหมายแตละกลุมที่แตกตางกันไป เน่ืองจากการจัด การศึกษาเปนกระบวนการท่ีเปนระบบ ดังน้ันการจัดการศึกษาจึงจําเปนตองดําเนินไปอยางตอเน่ือง มีบุคคล และหนวยงานท่ีรับผิดชอบเขารวมดําเนินการ มีรูปแบบ ขั้นตอน กติกาและวิธีการดําเนินการ มีทรัพยากรต างๆ สนบั สนุน และตองมีกระบวนการประเมนิ ผลการจัดการศกึ ษาท่เี ทีย่ งตรงและเชอ่ื ถือไดดวย ทั้งนี้ ผลผลิตของการจัดการศกึ ษาไดแกผูทีไ่ ดรับการศกึ ษา สวนผลลัพธหรือผลสะทอนทา้ ยคอื การมี พลเมืองทมี่ ีคณุ ภาพและสงั คมมสี ภาพทีพ่ ึงประสงค ๒.๒ บรบิ ทการศกึ ษาในไทย๑ การพัฒนาประเทศต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาคน การพัฒนาคนเร่ิมต้นท่ีการให้การศึกษา เพราะเช่ือ ว่าการศึกษา เพราะเช่ือว่าการศึกษาช่วยสร้างความรู้ความคิด ทักษะเจตคติให้คนไทยรู้จักตนเองรู้จักชีวิต เข้าใจสังคมและสิ่งแวดล้อมพัฒนาอาศัย นำความรู้ความเข้าใจมาใช้ในการแก้ปัญหา รวมท้ังสร้างสรรค์ชีวิ ต และสังคมใหด้ ีข้นึ โดยเฉพาะในยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศที่กา้ วลำ้ นำโลกไม่มากดำเนินต้องพัฒนาการศึกษา ให้ก้าวทันโลกแต่ปัจจุบันนี้เม่ือหันมามองการจัดการศึกษาไทย เข้าใจไปไม่ในแนวทางเดียวกันคือ การศึกษา ไทยกำลังมีปัญหา ซ่ึงมีการทำวิจัยออกมาหลายๆครั้งที่สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการจัดการศึกษา ปัจจุบันน้าถาบันครอบครัวอ่อนแอ มียาเสพย์ติดและอบายมุขเข้ามาเป็นสาเหตุของปัญหาพฤติกรรมของเด็ก และเยาวชน ซ่ึงเป็นปัญหาและค่านิยมอันผิดๆของวัยรุ่นในสังคมไทย นับวันจะทวีความรุนแรงและจะ กลายเปน็ วิกฤตทิ างสังคม โดยมีแนวโน้มว่าจะขยายตวั มากขึ้น ซง่ึ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดข้นึ หากการขึ้นหากการจัด การศึกษามีคุณภาพพอ เราไม่สามารถเปล่ียนแปลงธรรมชาติไม่ให้เกิดภัยสึนามิ ไม่ให้เกิดแผ่นดินไหว ให้เกิด สภาวะโลกร้อนไม่ให้เกิดความขัดแย้งหรือการแย่งชิงทรัพยากรที่มีอยู่ แต่เสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ โดยใช้ การศกึ ษาเปน็ เคร่ืองมอื ในการเปลีย่ นแปลง การศึกษาท่ีมคี ุณภาพสามารถเปล่ียนแปลงคนไปในทางที่ดีกว่าเพราะการศึกษาคือความเจริญงอกงาม (Education is Growth) และทำหน้าท่ีพัฒนาคุณภาพชีวิตคน การศึกษาสามารถจัดคนเข้าสู่อาชีพตามความ ถนัดและความสนใจได้ การศึกษาสร้างคนให้เป็นคนท่ีสมบูรณ์ และรู้เท่าทันการเปล่ียนแปลงของโลก ทันต่อ เหตกุ ารณ์ และแกป้ ัญหาสงั คม ประเทศและโลกได้ ๑ ปญั หาและแนวโนม้ การจดั การศกึ ษาไทยในอนาคต. กษมา ศรสี ุวรรณ, นักศึกษาดุษฎบี ณั ฑิต การบรหิ าร การศึกษา, มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๕ ถึงแม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ปฏิรูปการศึกษาในรอบแรกไปแล้วนั้น ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ กลา่ วคือในรอบแรก ต้องการพัฒนาการศึกษาไทยให้มเี อกภาพ มีการจัดระบบโครงสรา้ ง มีองคก์ รอสิ ระเข้ามา ทำหน้าที่รับรองมาตรฐาน และประเมินผลข้อสอบนักเรียน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณลักษณะและทักษะการ เรียนรู้ของนักเรียนท่ีคิดเป็นทำเป็น แต่เม่ือจากนโยบายด้านการศึกษาไม่ต่อเนื่อง และไม่ประสบความสำเร็จ เท่าทคี่ วร การปฏริ ูปการศึกษาครงั้ แรกจึงเปน็ เพยี งการปรับเปลี่ยนโครสร้าง จึงได้มีการเรียกรอ้ งให้มีการปฏริ ูป การศึกษาในทศวรรษ (๒๕๕๒-๒๕๖๑)เพื่อพัฒนาการศึกษาวางระบบและวางรากฐานที่ถูกต้อง ซ่ึงปัจจุบันนี้ การจดั การศกึ ษาของไทยมปี ัญหาที่พอแจกประเด็นได้ ๒.๒.๑ ระบบการบริหารการศกึ ษาไทยในปจั จุบัน การบริหารการศึกษาไทยเกิดจากสาระสำคัญของพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และ ที่แก้ไข (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ.๒๕๔๕ ในหมวดท่ี ๕ ว่าด้วยการบริหารและจัดการศึกษาในส่วนการบริหารและ จดั การ ศึกษาของรัฐ ซงึ่ เป็นการกระจายอำนาจการศกึ ษาโดยตรงน้ัน มีสาระสำคญั ดังน้ี การบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ แบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับชาติ ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับสถานศึกษา เพ่ือเป็นการกระจายอำนาจลงไปสู่ท้องถิ่นและสถานศึกษาให้มากท่ีสุด โดยมี รายละเอียดดงั น้ี ระดับชาติ ให้มีกระทรวงศึกษาธิการ ให้มีอำนาจหน้าท่ีกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุก ประเภทกำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรรวมท้ังการติดตามตรวจสอบและ ประเมินผลการจัดการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ประกอบด้วยหน่วยงานหลัก ๔ องค์กร คือ สภา การศึกษา คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษาและคณะกรรมการการ อดุ มศึกษา นอกจาก น้ยี งั มหี น่วยงานอน่ื ๆ ในส่วนกลางท่จี ดั ขึ้นตามความจำเปน็ ระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษา การบริหารและการจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐานและการศึกษาระดับต่ำกว่า ปริญญาให้จัดโดยเขตพ้ืนที่การศึกษา โดยคำนึงถึงปริมาณสถานศึกษา จำนวนประชากรเป็นหลัก และความ เหมาะสมอ่ืนด้วย ในแต่ละเขตพ้ืนที่การศึกษาให้มีคณะกรรมการและสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาทำหน้าที่ กำกับดูแลสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยมีการแบ่งส่วนราชการภายในออกเป็นกลุ่มตามงานที่ปฏิบัติในลักษณะ กำกับดูแล ประสานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาข้ันพื้นฐาน ได้แก่ กลุ่มอำนวยการ กลุ่ม บริหารงานบุคคล กลุ่มนโยบายและแผน กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา กลุ่มนิเทศติดตามและ ประเมินผล กลมุ่ สง่ เสริมสถานศกึ ษาเอกชน หน่วยตรวจสอบภายใน มขี อบเขตภารกิจเก่ียวกับงานตรวจสอบ การเงนิ การบัญชี และ งานตรวจสอบการดำเนนิ งานต่างๆ ระดับสถานศึกษา ให้แตล่ ะสถานศึกษาข้ันพื้นฐานและสถานศึกษาอุดมศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญามี คณะกรรมการสถานศึกษาเพื่อทำหน้าท่ีกำกับและส่งเสริม สนับสนุนกิจการของสถานศึกษาและจัดทำสาระ ของหลักสูตรในส่วนท่ีเกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถ่ินและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ทัง้ นใ้ี ห้กระทรวงกระจายอำนาจทั้งดา้ นวชิ าการ งบประมาณ การบรหิ ารงานบุคคล และการบริหาร ทั่วไปไปยังคณะกรรมการและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาในเขตพ้ืนท่ีการศึกษาโดยตรง สถานศึกษา เป็นหน่วยงานทางการศึกษาท่ีอยู่ภายใต้กำกับดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยมีการ แบ่งส่วนราชการภายในสถานศึกษาเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการเขตพ้ืนที่การศึกษาแต่ละเขตพื้นที่ การศึกษากำหนด ซ่ึงอาจมีความแตกต่างกันตามสภาพความพร้อมและบริบทของแต่ละสถานศึกษา ซ่ึงหาก แบ่งงานภายในสถานศึกษาโดยใช้ขอบข่ายและการกระจายอำนาจการบริหาร และการจัดการศึกษาอาจจัด
ศาสตร์การสอน ๒๖ โครงสร้าง ดังนี้ กลุ่มบริหารวิชาการ กลุ่มบริหารงบประมาณ มีขอบเขตภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำแผน งบประมาณและขอตั้งงบประมาณ เพ่ือเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กลุ่ม กลุ่ม บรหิ ารทวั่ ไป จากการที่ระบบบริหารและการจัดการศึกษาของรัฐ ได้กำหนดให้กระจายอำนาจลงไปสู่ท้องถิ่นและ สถานศึกษาให้มากท่ีสุด โดยในระดับสถานศึกษาให้มีคณะกรรมการสถานศึกษาทำหน้าท่ีกำกับ ส่งเสริม สนับสนนุ กิจการของสถานศกึ ษา รวมทงั้ จัดทำสาระหลักสูตรของสถานศึกษา ๒.๓ บริบทการศึกษาในอินเดยี ยุคพุทธศาสนา ในตอนปลายของยุคคัมภีร์พราหมณ์น้ัน ปรากฏว่าพวกอารยันได้ตั้งบ้านเมืองเป็น ปึกแผ่นในลุ่มแม่น้ำสินธุและแม่น้ำคงคา ซึ่งเรียกรวมกันว่ามัชฌิมประเทศ แต่พวกอารยันหาได้รวมกันเป็น อันหนึ่งอันเดียว ยังคงแยกกันอยู่เป็นประเทศๆ ในคร้ังนั้นมีประเทศใหญ่ๆ ถึง ๑๖ ประเทศ นอกจากน้ันเป็น ประเทศเล็กๆ อีกมากมาย ประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งท่ีจะกล่าวถึงคือ ประเทศสักกะ ต้ังอยู่บริเวณเทือกเขา หิมาลัย มีเมืองหลวงชื่อ กบิลพัสดุ์ อันเป็นเมืองกำเนิดของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า พระ สิทธัตถะ เป็นราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา ประสูติเม่ือวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อน พุทธศักราช ๘๐ ปี พระสิทธัตถะได้เสด็จหนีออกผนวชเมื่อพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา พระองค์ทรงค้นคว้าหา ธรรมวิเศษอยู่ ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ในขณะท่ีมีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา หลักธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสัจธรรม ความดีและความชั่วของมนุษย์เกิดจากการกระทำความดแี ละ การกระทำความชั่วของตนเอง หลักธรรมดังกล่าวเรียกว่า “อริยสัจจ์” แปลว่าความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ คอื ทกุ ข์ หมายถึง ชีวติ ท้ังหลายเปน็ ความทุกข์ สมทุ ัย หมายถึง สาเหตุท่ที ำให้เกดิ ความทกุ ข์ นิโรธ หมายถงึ ความดับทกุ ข์ มรรค หมายถึง หนทางทจี่ ะนำไปสคู่ วามดบั ทุกข์ ค.ศ. ๓๒๐ ราชวงศ์คุปตะซึ่งมีกษัตริย์ท่ีเข้มแข็งของอินเดียทรงพระนามว่า “จันทรคุปตะ” ได้ ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของอินเดีย อารยธรรมของอินเดียเจริญงอกงามเป็นอย่างมาก จนกระทั่งสมัยคุป ตะไดร้ บั การยกย่องจากชาวฮนิ ดแู ละชาวต่างชาติว่าเป็นยุคทองของอินเดีย กษัตริย์คุปตะได้ใหก้ ารอุปถัมภ์และ ฟื้นฟูลัทธิฮินดู หลักธรรมของฮินดูถือว่าคัมภีร์พระเวทเป็นแหล่งสูงสุดของอำนาจ และในตำรากฎหมายที่ เรียกว่าธรรมศาสตร์ ซง่ึ เปน็ ตำราที่เกดิ ขน้ึ ในสมัยคปุ ตะ ได้กล่าวถึงหลกั การแบ่งชัน้ วรรณะ และรายละเอยี ดว่า วรรณะใดควรปฏิบตั อิ ยา่ งไร การปฏิบัตติ ามหน้าทีข่ องวรรณะอย่างเครง่ ครัด เป็นการเตรียมวญิ ญาณของตนให้ ไปเกิดใหม่ในวรรณะทส่ี งู กว่าเดมิ ความเจริญในด้านวรรณคดี ในสมัยราชวงศ์คุปตะนี้นบั ได้ว่าเป็นสมัยทองของวรรคดีสันสกฤต ดังท่ีได้ ทราบแลว้ วา่ ภาษาสันสกฤตน้ันมีมานานแล้วและไวยากรณ์สนั สกฤตกไ็ ดม้ ีผูร้ วบรวมขึน้ ต้ังแตศ่ ตวรรษท่ี ๔ ก่อน คริสตกาล และเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยต่อมา การที่ภาษาสันสกฤตเจรญิ มากน้ีเพราะกษัตรยิ ์ในราชวงศ์คุปตะ สนบั สนุนอยา่ งดยี ิง่ นอกจากนั้นยังเนอ่ื งมาจากการติดตอ่ กับตา่ งประเทศดว้ ย ความเจริญทางด้านการศึกษา อินเดยี เห็นจะเป็นแหง่ แรกในโลกที่มีความเจริญทางความรู้ต่างๆ ถึงกับ มีมหาวิทยาลัยข้ึน ระหว่างปี ค.ศ. ๑๒๐๐ มหาวิทยาลัยในอินเดียรับเฉพาะนักศึกษาช้ันดีๆ คือรับจำนวน ๒ -
ศาสตรก์ ารสอน ๒๗ ๓ คนจากจำนวนผู้สมัคร ๑๐ คน และยังมีการไล่ออกกลางคัน หากการเรียนและความประพฤติไม่เป็นผล พอใจ นักเรียนบางคนได้รับทุนเล่าเรียนหรือทุนค่ากินอยู่ด้วย มหาวิทยาลัยมีหลายแห่ง บางแห่งก็มีช่ือในวิชา เฉพาะด้าน เช่น มหาวิทยาลัยท่ีกรุงอุชเชนีมีช่ือในด้านดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยท่ีอาจันตะก็มีชื่อในด้าน ศิลปกรรม มหาวิทยาลัยท่ีเมืองพาราณสีก็มีช่ือในด้านคำสอนของพราหมณ์ นอกจากน้ันยังเป็นศูนย์กลางของ นักปรัชญาต่างๆ แหล่งที่ดีเด่นที่สุดคือ มหาวิทยาลัยนาลันทะ เป็นที่รวมของวิชาการแขนงต่างๆ เช่น ในด้าน ศาสนา ปรัชญาโดยเฉพาะเรื่องท่ีเกี่ยวกับพุทธศาสนา ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และวิชาเกษตรกรรม มี ห้องสมุดที่ใหญ่โต ห้องทดลอง ห้องเรียน ท่ีอยู่อาศัยของนักเรียนก็เป็นตึก ๔ ช้ัน เป็นท่ีน่าเสียดายว่า มหาวิทยาลัยน้ีถูกทำลายลงในปี ค.ศ. ๑๑๙๗ และเอกสารเก่ียวกับพุทธศาสนาและลัทธิฮินดูก็สูญหายไปมาก ศาสนาสำคัญทีม่ ีมาแต่โบราณ เช่น ลัทธฮิ ินดู พุทธศาสนา หรือชินศาสตร์ เปน็ ตน้ พุทธศาสนาน้นั เจริญขึน้ มาก ในรัชสมยั พระเจ้าอโศกแห่งราชวงศ์โมลยิ ะ ต่อมาได้แตกแยกเป็น ๒ นิกาย คือ หินยาน ซึ่งมิสู้จะแพร่หลายนัก และมหายานซึ่งเคารพรูปปั้นตา่ งๆ ตลอดจนพิธีรตี องเป็นทีน่ ิยมชมชอบของคนท่ัวไปมาก ต่อมานิกายมหายาน ก็ห่างไกลไปจากหลักพุทธศาสนาเดิม และใกล้เคียงไปทางลัทธิฮินดูมากขึ้น เพราะนำเอาขนบธรรมเนียม ประเพณีหลายอย่างในลัทธิฮินดูมาใช้ และขณะเดียวกันลัทธิฮินดูก็ยอมรับพระโพธิสัตว์ของนิกายมหายานเป็น พระเจ้าของลัทธิอนิ ดู ดงั น้ัน พทุ ธศาสนานิกายมหายานและลทั ธิฮนิ ดกู ็ปะปนใกลเ้ คยี งกันเข้าไปทุกทจี นในทส่ี ุด ลัทธิฮินดูก็รับว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระวิษณุกลับชาติมาเกิด ในศตวรรษที่ ๘ สองลัทธินี้ปะปนกันจนแยกไม่ ออก ลัทธิฮินดูน้ันมีอิทธิพลในชีวิตจิตใจของประชาชนอินเดียมากกว่าพุทธศาสนา ในสมัยราชวงศ์คุปตะ ระหว่างศตวรรษที่ ๔ และท่ี ๕ นั้น กษัตริย์อินเดียนับถือลัทธิฮินดู นิกายไวศนวะ ซ่ึงเป็นนิกายที่นับถือพระ วิษณุเนื่องจากกษัตริย์มีพระประสงค์ที่จะทำให้อินเดียเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็โดยเน้นถึงอารยธรรมอินดู สนับสนุนการศึกษาพระเวทและลัทธิความเช่ือโบราณ จึงทำให้ลัทธิฮินดูรุ่งเรืองขึ้นอีก การสนับสนุนลัทธิฮินดู ให้เหนอื ศาสนานี้ ปรากฏในผลงานของนักเขียนช่ือ “สังการะ” (ค.ศ. ๘๐๐) ได้เขียนเรอ่ื งทาส สังการะเปน็ เด็ก ที่มีความรอบรู้เกินอายุ เขาสามารถอ่านพระเวทได้จบเมื่อมีอายุเพียง ๘ ปี นอกจากนั้นยังได้ทำงานสำคัญๆ ในขณะท่ีอายยุ ังน้อย เพราะปรากฏว่าเขาสิน้ ชีวิตเม่ืออายเุ พียง ๓๒ ปีเท่านน้ั สังการะได้เขียนบทความเพิม่ เติม คัมภีร์พระเวท และบทความอื่นเกี่ยวกบั หนงั สืออุปานิษัทและภควคตี า ในผลงานของสงั การะแสดงถงึ การเชดิ ชู ความดีงามของลัทธิฮินดูให้เห็นอย่างเด่นชัด และได้โจมตีพุทธศาสนาซึ่งมีความเชื่อต่างไปจากคัมภีร์พระเวท สังการะยอมรับพระเจ้าใหม่ๆ ของลัทธิฮินดูในขณะเดียวกันเขาก็พยายามที่จะยกฐานะของลัทธิฮินดูให้สูงขึ้น คือมิได้เน้นถึงการบูชาบวงสรวงในโบสถ์ หากแตไ่ ด้เน้นถึงการดำเนนิ ชีวติ ของมนษุ ย์ จากความคดิ เห็นของสงั กา ระก่อให้เกิดการปรับปรุงลัทธิฮินดูขึ้นถึง ๑๐ คณะด้วยกัน ในจำนวนนี้มีอยู่ ๔ คณะที่ยังมีปรากฏอยู่และ กลายเป็นสถานท่ีธุดงค์ไปในที่สุด สังการะใช้ชีวิตให้หมดไปด้วยการท่องเท่ียว เพ่ือจะทำให้ดินแดนต่างๆ ใน อินเดียใกล้ชิดกันยง่ิ ขึ้น และเพ่ือจะนำมาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอินเดีย การกระทำของสังการะนี้ แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พุทธศาสนาในอินเดียเส่ือมลง และการท่ีพวกต่างชาติที่เข้าไปรุกรานอินเดีย เช่น พวกกุสานะ ได้ให้การสนับสนุนพุทธศาสนาทำให้ชาวอินเดียพื้นเมืองรังเกียจ โดยเฉพาะหลังศตวรรษที่ ๗ มีผู้ นำเอาโชคลาง พ่อมด หมอผีต่างๆ เข้ามาปะปนกับการปฏิบัติทางพุทธศาสนา ประกอบกับพวกพระท่ีเคยทำ การเผยแผ่พุทธศาสนาได้หยุดทำการศึกษาค้นคว้าเสียเป็นส่วนมาก ในสมัยคุปตะนี้ทำให้การเผยแผ่ศาสนา เลิกราไป แม้พุทธศาสนาจะเส่ือมความนิยมไปจากอินเดีย แต่หลักของพุทธศาสนา เช่น อหิงสา คือ การไม่ทำ ร้ายสิ่งมีชีวิตก็ยังปรากฏแพร่หลายอยู่ในอินเดียก่อให้เกิดพวกกินผัก และมีอิทธิพลทางศิลปกรรมการก่อสร้าง ของอินเดียเป็นอย่างมาก พุทธศาสนากลับไปรุ่งเรืองในดินแดนอ่ืน ซ่ึงไม่ใช่ถิ่นกำเนิด และเป็นศาสนาประจำ ชาตขิ องประเทศทางเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตห้ ลายประเทศ
ศาสตรก์ ารสอน ๒๘ ความเจริญรุ่งเรืองของสมัยทองสิ้นสุดลงราวปลายศตวรรษที่ ๑๔ ท้ังน้ีสาเหตุเน่ืองมาจากผลของ การเมือง แต่ในขณะน้ันอารยธรรมของอินเดียได้เข้าไปยังประทศต่างๆ ในภาคเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้แล้ว ผู้ มีบทบาทสำคญั ในการนำอารยธรรมของอินเดียไปเผยแพร่ คือ นักสอนศาสนาและพอ่ คา้ ประมาณ ค.ศ. ๑๐๐ และ ค.ศ. ๖๐๐ อารยธรรมของอินเดียได้เผยแพร่เข้าไปใน พม่า มาลายู ชวา เวียดนาม และไทย ประเทศ ดังกลา่ วรับอารยธรรมของอนิ เดียโดยไมม่ กี ารตอบโต้ ซึ่งตา่ งกับประเทศจนี เปอรเ์ ซีย กรีกและโรมนั ไมย่ อมรับ อารยธรรมของอินเดีย นอกจากส่ิงสำคัญเพียงส่ิงเดียว คือ วิธีการบำเพ็ญตะบะ ซ่ึงเป็นวิธีการที่นักบวชอินเดีย ถอื ปฏิบตั ิมาชา้ นาน ๒.๔ บรบิ ทการศกึ ษาในจนี ความเจริญทีป่ รากฏในราชวงศ์เซย่ี คือ หลกั ฐานทางศาสนาปรากฏวา่ หัวหน้าทางศาสนาเปน็ ผมู้ ีหน้าที่ ทำปฏิทิน ซ่ึงถือเป็นส่ิงลึกลับทางศาสนาผู้จัดทำต้องมีความรู้ทางด้านดาราศาสตร์อย่างดีมาก จะเห็นว่าแม้ ระยะเวลา ขงจือ้ ยงั ช้ืนชมสรรเสริญวิธกี ารสรา้ งปฏิทินแบบราชวงศเ์ ซย่ี ถึงกับแนะนำใหน้ ำกลับมาใชอ้ กี ๒.๔.๑ สมัยราชวงศซ์ ัง ลกั ษณะเด่นของส่ิงที่ค้นพบในสมยั ราชวงศซ์ ัง ณ เมืองอันหยาง คือ การเขยี นหนังสือที่น่าสังเกต และ ท่ีน่าสนใจมากท่ีสุดคือ ส่ิงท่ีอยู่ในภาษาจีนโดยไม่มีอะไรผิดพลาดเลยและเป็นตัวแทนและแบบอย่างของระบบ การเขียนหนังสือสมัยแรก ๆ ตัวอักษรจีนสมัยราชวงศ์นั้น ระบบการเขียนหนังสือของจีนได้เจริญก้าวหน้าไป ไกลและอยา่ งฉลาดมาก ในสมยั ราชวงศซ์ ังมีตวั อกั ษรจีนต่าง ๆกนั กวา่ ๒,๐๐๐ คำ ชาวจนี ในสมัยหลงั ได้พฒั นา อักษรและคำคำที่ออกเสียงเพ้ียนถึง ๕,๐๐๐ คำชาวจีนในสมัยหลังได้พัฒนาตัวอักษรและคำท่ีออกเสียงเพี้ยน ถึง ๕๐,๐๐๐ คำหรือมากกว่าน้ัน ตัวอักษรจนในสมัยราชวงศ์ซังส่วนใหญ่ จะแตกต่างไปจากตัวหนังสือใน ปัจจุบันช่ึงวิวัฒนาการมาจากตัวอักษรในปัจจุบัน ว่ึงวิวัฒนาการในสมัยราชวงศ์ซังนั้นเอง ประโยชน์อย่าง มากมายจากระบบการศึกษาของจีนอีกประการหน่งึ คอื ระบบการเขียนหนังสือของจีนไดท้ ำลายอุปสรรคความ แตกต่างในด้านสำเนียงเฉพาะท้องถิ่นหรือแม้แต่เคร่ืองกีดกั้นทางด้านภาษาศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานย่ิงกว่าไปได้ อย่างง่ายดาย ชาวจีนท่ีรู้หนังสือทุกคน แม้จะพูด “ภาษาท้องถ่ิน” ท่ีคนถิ่นื่นไม่สามารถพูดเข้าใจได้ แต่คน เหล่าน้ันก็สามารถอ่านหนังสือเล่มเดียวกันได้และมีความรู้สึกว่าภาษาแบบโบราณที่เขียนไว้น้ันเป็นภาษาของ ตนเอง ๒.๔.๒ สมัยราชวงศ์โจว สมัยราชวงศ์โจวยุคแรกการท่ีพวกโจวพิชิตพวกซังลงได้ตามท่ีเชื่อกันว่าในปี ๖๗๙ - ๔๘๔ ก่อน พ.ศ. (๑๒๒๒-๑๐๒๗ ก่อนคริสต์ศักราช) นั้นมิได้เป็นเครื่องหมายแห่งการแตกแยกอย่างเด็ดขาดใด ๆ ของ วัฒนธรรมจีนท่ีกำลังเกิดข้ึน ระบบการเขียนหนังสือได้มีวิวัฒนาการสืบเน่ืองกันมาโดยไม่ขาดสายในสมัย พุทธศักราชที่ ๕ ได้เร่ิมมีการบันทึกทางประวิติศาสตร์ค่อนข้างละเอียดว่าประเทศจีนได้พัฒนาไปไกล มีอารย ธรรมท่ีเด่นชัด ประเทศจีนได้ยืนหยัดอบู่ตรงทางเข้าของยุคท่ีมีการเปล่ียนแปลงและสร้างสรรค์มากที่สุด ซ่ึง นับว่าเป็นยุคแห่งวรรณคดีโบราณที่สำคัญ ๆ และเป็นยุคเป็นยุคปัญญาเมธี ที่ได้จัดต้ังแบบแผนและขอบเขต สำหรับความคิดในยุคต่อ ๆ มา อำนาจของราชวงศ์โจวสมัยแรกได้ถูกทำลายฃลง และมีการต้ังราชวงศ์ข้นใหม่ ท่ีเมืองล่อหยาง เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวจีนว่าราชวงศ์โจวตะวันออก ราชวงศ์โจวตะวันออกเป็นลักษณะที่น่า ตื่นเต้นผจญภัยยของประวัติศาสตร์จีน นักประวัติศาสตร์สมันต่อ ๆ มาซึ่งถูกย้อมด้วยอุดมคติของจักพรรดิ์จีน ซึ่งเป็นปึกแผ่น ได้มองย้อนไปในยุคน้ี ในฐานะที่เป็นตอนที่หมดหวังตอนหนึ่ง เป็นความจริงท่ีว่าในศตวรรษ
ศาสตรก์ ารสอน ๒๙ เหล่าน้ีมีเพียงเฉพาะเงาแห่งอำนาจกลางเท่าน้ันเอง แต่ประวัติศาสตร์ของแต่ละรัฐ ละเรื่องราวของวีระบุรุษ ของพวกนักปราชญ์และพวกคนโกงหลายร้อยคนท่ีพวกเขาได้สร้างขึ้น ได้ทำให้เป็นเรื่องราว ท่ีชวนอ่านดุจดัง เป็นของขวญั ท่ชี ่างฝมี ือทางดา้ นวรรณกรรมสมัยราชวงศ์โจวยุคหลัง ๆ มอบให้ ยุคปรัชญาเมธีและยุคตำราตันติ ในสมัยราชวงศ์โจวตอนกลางและตอนปลายนับว่าเป็นยุคท่ีสำคัญ ที่สุดในด้านความคดิ ของจีน ความเจรญิ รงุ่ เรอื งทางด้านภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และสถาบนั ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ได้กระพือโหมความอยากรู้อยากเห็น และจินตนาการของมนุษย์ข้ึนมาก ความผิดพลาดของระเบียบแบบแผน เก่า ๆ คือความผิดพลาดในเรอื่ งอำนาจหน้าทีเ่ ก่า ๆ ทง้ั ในทางโลกและทางธรรม ไดท้ ำใหเ้ กิดมคี วามท้าทายกัน ขึ้น การก่อให้เกิดองค์การทางสังคมและทางการเมืองใหม่ ๆ บทบาทท่ีเด่นชัดทางของปรัชญาเมธีในสมัย ราชวงศ์โจวเป็นท้ังการผลิต และการให้องคป์ นะกอบท่ีสำคญั ในความโนม้ เอียงทางดา้ นมนษุ ยศ์ าสตร์ นบั ตงั้ แต่ ยุคปรัชญาเมธีสมัยราชวงศ์โจวมา ไมเคยมีโลกส่วนอื่นทัดเทียมเลยประวิติศาสตร์ในฐานะเป็นท่ีรวบรวม ประสบการณ์ของมนุษย์ ได้กลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับศึกษาอารยธรรมที่เกียวกับปัญหาสังคมไปอย่างไม่ แปลกเลยในสมัยราชวงศ์โจวตอนปลาย ลกั ษณะที่สำคัญของหนงั สอื ก็คอื ความรักระเบียบและดุลยภาพสำหรับ ชาวจีนแล้ว หนังสือท่ีตันติไม่ได้เป็นเพียงคำที่คลุมเครือที่ใช้หมายถึงวรรณคดีโบณาณท่ัว ๆ ไปเลย แต่ทว่า หนังสือท่ีพิเศษจริง ๆ ชุดหน่ึงที่เก่ียวข้องกับลัทธิขงจื้อเด่นอยู่ งานต่าง ๆ ท่ีรับรองกันอย่างชัดแจ้งแล้วว่าเป็น ของลัทธิอ่ืนนั้น ตามปกติไม่รวมไว้ในประเภทหนังสือตันติ หนังสือคราสสิค พร้อมด้วยหนังสืออรรถาธิบาย หนังสือตันติเหล่าน้ัน ได้ก่อให้เกิดเป็นวรรณคดีจีนที่ถือกันมาตามประเพณี ส่วนหน่ึงในสี่ส่วนรายชื่อหนังสือ หนงั สือตันติตา่ ง ๆ น้นั ได้รวมขึ่นภายหลังสมัยราชวงศ์โจว ดงั นน้ั จึงนับว่าเป็นงานสมยั ต่าง ๆ แต่ว่าหนังสอื ตนั ติ ทั้งห้าเป็นหนังสือที่เก่าที่สุด และสำคัญที่สุดมีอายุมาต้ังแต่สมัยกลางพุทธศรรตวรรษที่ ๕ เป็นต้นมาน้ันได้ รวบรวมงานท่นี บั ว่าเก่าทสี่ ดุ และควรแก่การยกยอ่ งมากทสี่ ดุ เขา้ ไวด้ ้วย หนังสือตันติทั้งห้า หนังสือตันติเล่มหนึ่งในห้าเล่มน้ันชื่อ “ซือจิง” หรือตำนาร้อยกลองบทร้อย กลองท้ังปวงนั้นมีลักษณะที่แสดงออกมาโดยมีจังหวะท้วงทำนองเป็นแบบท่ีเข็มงวดกวดขันมาก “ซูจิง” เป็น เล่มที่เรียงในอันดับถัมาเป็นตำนานประวัติศาสตร์มีเอกสารและสุนทรพจน์กึ่งประวัติศาสตร์ซ่ึงมีอายุต้ังแต่ ศตวรรษแรก ๆ แห่งสมัยราชวงศ์ดโจวมาทีเดียว “อี้จิง” หรือตำนานผลัดเปลี่ยน (เป็นหนังสือท่ีรู้จักกันดีใน นามว่า หนังสือเกี่ยวกับการทำนาย) เป็นงานอีกช่ินหนึ่งของหลายยุคหลายสมัย หนังสือก็เป็นหนังสือคู่มือของ นักพยากรณ์คนหนึ่งภายใต้คำท่ีมีเส้นหกเส้นน้ี ตำนานผลัดเปล่ียนมีเร่ืองโชคเก่า ๆ ที่รู้จักกันแพร่หลาย บางอย่าง และมีเรอ่ื งฤกษย์ ามอ่ืน ๆ อีกมากหมาย “ชุนชวิ ” หรอื ตำนานฤดใู บไม้ผลแิ ละฤดใู บไม่ร่วง เป็นงานท่ี แตกต่างออกไปอีกชนิดหนึ่ง หนังสือชุนชิวนี้เป็นหนังสือบันทึกเหตูการณ์สำคัญ ๆ ทางด้านพงศาวดารอย่าง ย่อๆเฉพาะท่ีเกิดในราชสำนักแห่งแคว้นหลู่หรือท่ีราชสำนักนั้นได้รับรายงานมา หนังสือตันติเล่มสุดท้ายใน บรรดาหนงั สอื ตนั ติทั้งห้าเล่มนน้ั ชอ่ื “หลจี ้ี” หรอื ตำนานประเพณี (เรียกว่าหนงั สอื เก่ยี วกับพิธรี ีตรองก็มีหนังสือ เล่มน้ีเป็นงานรุ่นต่อมา) นอกจากตำนานร้อยกลองต่าง ๆ แล้วงานด้ายโคลงกลอนท่ีนับว่าสำคัญอ่ืน ๆ ในสมัย ราชวงศ์โจวคือ ฉู่จ่ื หรือโคลงไว้อาลัย ฉู้ ว่ึงชวีหยวนได้แต่งขึ้นเป็ยโครงกลอนส่วนมาก โคลงกอนของกวีหยวน เป็นตัวแทนการพัฒนาการท่ีทันสมัยมาก และมีความก้าวหน้าทางด้านเทคนิคมากซ่ึงได้อิทธิพลเหนือโครง กลอนที่ฟ่มุ เฟือย และมีถอ้ ยคำทจี่ ับโน้นผสมนใี้ นศตวรรษต่อ ๆ มามากทีเดียว ลัทธิขงจื๊อ ขงจ๊ือได้ช่ือว่าเป็นครูละปรัชญาเมธีท่ียิ่งใหญ่ท่ีสุดในเอเชียตะวันออก ขงจื๊อเป็นคน พืน้ เมอื งของแคว้นหลู่ มิได้เกิดในตระกลู ทีม่ ีอำนาจสืบมาทางเช่ือสาย แต่ทวา่ เป็นบุคคลที่คงแก่การเรยี น ขงจ๊ือ นับว่าเป็นนักศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ท่ีสุดคนแรกของจีน เป็นผู้วางลากฐานประเพณีด้านจริยธรรมที่สำคัญ ลงใน อารยธรรมที่เพ่งเล็งอยู่ท่ีคุนค่าทางด้านจริยธรรมเหนือส่ิงอื่นใด ขงจ๊ือได้ตั้งตัวเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ โคลง ฉนั ท์ กลอน วิชาที่เกี่ยวกับการปกคลอง ดนตรีทำให้เค้ามีลูกศษิ ย์มากมาย เมื่อขงจื๊ออายุได้ ๖๗ ปีเขาได้เป็นที่
ศาสตรก์ ารสอน ๓๐ ปรึกษาเจ้าเมืองลู้เป็นคร่ังคราว เขาใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในการรวบรวมเอกสารในการสอนต่าง ๆ ของเขา เช่น ตำราประวัติศาสตร์ หนังสือเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีหนังสือเก่ียวกลับโครงกลอน คำราดนตรี และงานประพันอ่ืน ๆ เป็นต้น หนงั สือที่ขงจอ๊ื รวบรวมไวท้ ่ีเรยี กว่าตำราทั้ง ๕ ของขงจื๊อมดี งั น้ี • หนงั สือเชอชงิ • หนังสอื ชุชงิ • หนังสือชนุ สุย • หนังสือไอชิง • หนงั สอื ลิชิ หนังสือตำราทั้ง ๕ นี้ ขงจื๊อไดร้ วบรวมจากของเก่าด้วยความมงุ่ หมายท่ีจะชใี้ ห้เห็นถึงบทเรยี นต่าง ๆ ท่ีมี อยู่ในความรู้โบราณ ขงจ๊ืออาจจะได้เปล่ียนแปลงบ้าง ซ่ึงไม่มีใครรู้เห็นได้ แต่เขาก้ได้ทำหน้าท่ีบรรณาธิการที่ดี โดยมิได้ใชค้ วามคิดเห็นส่วนตัว เข้าไปในตำราชุดน้ีเลย เขาบง่ วา่ ตัวเขาไม่ไดเ้ ปน็ ผู้สรา่ ง แต่เป็นเพียงผู้ถ่ายทอด เพราะเหตวุ ่าเขาเชอ่ื และรักในสิ่งทม่ี ีอยู่แล้วแต่โบราณ ขงจ๊ือสอนวา่ ความดีท่แี ท้จริงทอ่ี ยุ่ในใจคน ประกอบด้วย ๒ ประการคือ การยอมรับความดีของคนอื่นตามฐานะที่เขาเป็นอยู่ และประพฤติต่อเขาเหล่าน้ัน ลัทธิขงจื๊อ เน้นถงึ การฝึกฝนตนเองตามระเบยี บแบบแผน อันเป็นส่วนทท่ี ำให้ชวิตและบา้ นเมอื งมรี ะเบยี บ ลัทธิเต๋า เป็นปรัชญาฝ่ายค้านคือสนับสนุนให้สามัญชนเป็นกบฏต่อการกดขี่ทารุณของผู้ปกครองของ แว่นแคว้นท่ีทวีย่ิงข้ึนเป็นลำดับ ลัทธิเต๋าแม้ว่าจะเป็นสำนักความคิดท่ีเป็นหน่ึงเดียว แต่ลัทธิเต๋าในสมัยปลาย ราชวงโจว ก็ได้แสดงให้เห็นว่าตรงกันข้ามกับลัทธิขงจื๊ออย่างมากทีเดียว ความรู้ท่ีสำคัญเก่ียวกับลัทธิเต๋าใน ราชวงศ์โจวน้ันได้มาจากหนังสือเล่มที่ไม่ทราบวา่ ใครเป็นผู้แต่งในหนังสือทั้งสามเล่มน้ี เล่มทนี่ ่านับถือมากที่สุด ช่ือ“เล่าจือ” หรือเต้าเต๊อจิงใช้ถ้อยคำแบบห้วน ๆ และทราบซ่ึง ทำให้นักคิดชาวจีนรุ่นหลัง ๆ ตีความหมายไป ต่าง ๆ กันตำราเล่มที่สองช่ือ “จวงจือ” หนังสือเล่มนน้ีประกอบด้วยนิกายเปรียบเทียบ คำอุปมาอุปไมย และ ข้อความที่เป็นโครงกลอนเป็นตอน ๆ ที่ไพเราะนับว่าเป็นงานท่ีมีคุณค่าทางด้านวรรณกรรมอย่างสูงมากและ เป็นตัวแทนสูตรท่ีสำคัญที่สุดแห่งความคิดในลัทธิเต๋า สมัยแรก ๆ งานชิ้นที่สามช่ือ “เลื้อจือ” มีเน้ือหาและ แบบการเขียนคล้ายกับจวงจื๊อมาก ลัทธิเต๋าเกิดจากเล่จื่อช่ึงเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมากคนหน่ึง หลัก ความคิดส่วนใหญ่ของเล่าจือปรากฎอยู่ในหนัวสือ เต๋าเตอเซง ซ่ึงได้นิยมแพร่หลายมากในบรรดานักแปลรุ่น สมัยใหม่ และนักปราชญ์ในหนังสือนี้มีอิทธิพลต่อความคิดและศิลปวิทยาของจีนเป็นส่วนมาก ลูกศิษย์คนหน่ึง ขอร้องให้เล่าจ่ือเขียนหนังสือเกี่ยวกับควาคิดเห็นของเขาซึ่งเล่าจื่อก็เห็นชอบด้วยหนังสือท่ีเขาเขียนมี ๒ เล่ม ช่ือ “เต๋า” และ “เตอ” เรียกโดยท่ัวไปว่า “เต๋า เตอ เซง” มีความยาวประมาณ ๕,๐๐๐ คำ ปรัชญาของ เล่าจ่ือน้ี ภายหลังได้วิวัฒนาการมาเป็นลัทธิเต๋า ความจริงลัทธิเต๋ามักจะรับใช้ในฐานะเป็นวงจักรที่สร้างดุลย ภาพให้แกแ่ นวความคิดเหน็ เกี่ยวกับวัฒนธรรมจีนท่ีเด่นอยู่ อย่างน่าชื่นชมยินดีเสมอ การรวมอำนาจไว้ในเมือง หลวงนั้นได้จำกัดขอบเขตเสรีภาพของมนุษย์ไส้อย่างเด็ดขาดตายตัว ศีลธรรมตามแบบลัทธิขงจ๊ือและการยืน กรานในเรื่องความลงรอยกันในทางสังคมนั้น ยิ่งเข็มงวดกวดขันมากยิ่งข้ึน แต่ในลัทธิเต๋าปัจเจกชนย่อม สามารถแสดงตัวออกมาไดอ้ ย่างเต็มท่ี พุทธิปัญญาของเขาจะทอ่ งเที่ยวไปทไ่ี หนก็ตามใจชอบ ทั้งลัทธิขงจ๊อื และ ลทั ธเิ ตา๋ ไม่ได้เปน็ ศาสนาโดดเดย่ี ว ปจั เจกชนและแม้แต่สังคมทัง้ หลายก็อาจเป็นนบั ถือลทั ธขิ งจื๊อและลทั ธเิ ต๋าไป พร้อม ๆ กันก็ได้ ซึ่งบางครั้งจะได้รับดุลยภาพทางจิตวิทยา โดยอาศัยมูลฐานทั้งสองน้ีได้ดีกว่าท่ีจะรับจากมูล ฐานเดียว การฟิ้นฟูลัทธขิ งจื๊อ สืบเน่ืองมาจากการเฟ้ิองฟูในด้านความคิดปรัชญาการศึกษา การเล่าเรียนคัมภีร์ ของขงจื๊อ เพื่อเตรียมตัวสอบบรรจุเป็นข้าราชการ มีความสำคัญมากขึ้น เป็นผลให้นักปราชญ์ท้ังหลายสนใจ
ศาสตรก์ ารสอน ๓๑ ศึกษษค้นคว้าตีความหมาย ความคิด ปรัชญาจีนสมัยโบราณในแนวใหม่เรียกกันกว้าง ๆ ว่าลัทธิขงจ๊ือท่ีฟ้ืนฟู ใหมน่ กั ปราชญเ์ หล่านีได้เขีนนบทความแสดงขอ้ คดิ เหน็ ของตนเกีย่ วกับวรรณคดีแกช่ าวจนี ๒.๕ การฟ้ืนฟูศิลปวทิ ยาการในศตวรรษท่ี ๑๑,๑๒ และ๑๓ บุคลสำคัญการการฟื้นฟูศิลปวิทยาการในศตวรรษที่ ๑๑,๑๒ และ๑๓ มีหลายท่านด้วยกันแต่ในที่นี้ จะได้ยกมาเปน็ ตวั อย่างเพยี ง ๕ ทา่ น ดังน้ี เคซเี ตอร์เรียส อรี าสมสั (ปี ค.ศ. ๑๔๖๖ - ๑๕๓๖) เปน็ ผู้ฟ้ืนฟูวิทยาการใหม่อย่างสมบูรณ์ ในฐานะ นักวรรณคดีเขารักภาษาลาตินและภาษากรีก เขาได้พูดไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถอ่าน เค เซเนตุท, เค เอมิซี เตีย และเค ออฟฟิซี รวมท้ังบทความของซิเซโร เร่ืองคนแก่ มิตรภาพ จรรยา และเร่ืองทัสคูแลนออเรชั้น โดยไม่มีการจูบหนังสือ และเคารพบูชาด้วยใจจริง” เขาแต่งภาษาลาตินที่ไพเราะโดยเอามาจาก เบมโบ้ ผู้ เลื่อมใสในลัทธิของชิเซโร และการโต้ปัญหาด้านปรัชญาของอนารยชน เขาได้พิมพ์ตอนสำคัญของคัมภีร์ใหม่ ขึน้ เปน็ ภาษากรกี หลังจากนน้ั มีการแปรมาเป็นภาษาลาตนิ วิลเลี่ยม โกรซีน (ปี ค.ศ. ๑๔๖๖ - ๑๕๑๙) ได้เดินทางไปฟลอเรนซ์ โรม และปาคัว เข้าศึกษา ภาษากรีกกับคาลดอนดิล และโปลิซิอาโน แล้วกลับมาสอนภาษากรีกท่ีเอกซเตอร์คอลเลจ ในเมืองอ๊อก ฟอร์ส เพ่ือนร่วมเดินทางในอิตาลีของเขาคือ วิลเลี่ยม ลาติเมอร์ ผู้ได้เรม่ิ แปลงงานของอริสโตเติล, โทมาส ลินาค (เคลอ) (ปี ค.ศ. ๑๔๖๐ – ๑๕๒๔) ใช้เวลา ๑๐ ปีในอิตาลี เรียนภาษากรีกและภาษาลาติน และยัง สำเร็จวิชาแพทย์จากปาคัว เขากลับมาสอนภาษากรีกท่ีอ๊อกฟอร์สแปลตำราแพทย์ของกาลอง และต้ัง วทิ ยาลยั แพทยข์ ึ้นทลี่ อนดอน ชอื่ เคอลอนดอน คอลเลจ ออฟ ฟซิ แิ คน อิราสมสั จอหน์ โคเลท (ปี ค.ศ. ๑๔๖๗ – ๑๕๑๙) ได้ไปอิตาลีและฝรัง่ เศส ไดพ้ บกับกิลโยม บเู ค นักศึกษา มนุษยชาติฝร่ังเศสคนสำคัญ วิธีการสอนของโคเลทอาศัยหลักของเพลโตในยุคฟื้นฟูวิทยาการอิตาลี เขาได้ สอนเอพิสเติล อ๊อฟ เซนต์ ปอล ทอ่ี ๊อกฟอร์ส ซ่ึงใช้ในการเขียนคัมภีรศ์ กั ด์ิสทิ ธิ์ เชน่ เคยี วกับงานทลี่ ะเมิด ต่อศาสนา โคเลทได้ต้ังโรงเรียนเซนต์ ปอล ขึ้นอีก ณ ลอนดอนโดยใช้ขุมทรัพย์ที่ได้จากมรดกของบิดา วิ ลเลียม ลิลลี่ เป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนเซนต์ ปอล สอนภาษากรีกและชิเชโรเน่ียน ลาติน ต่อมาอิ ราสมัสได้เขยี นไวยากรณ์ลาตินสำหรบั ใช้สอนในโรงเรยี นในอังกฤษ ศูนย์กลางการศึกษามนุษยชาติในอังกฤษ คือ บ้านของเซนต์ โทมาส มอร์ (ปี ค.ศ.๑๔๗๘ – ๑๕๓๕) ผู้ที่คุ้นเคยใกล้ชิดกับบ้านของเซนต์ โทมาส มอร์ คือ โกรซีน ลาติมอลร์ ลินาค (เคลอ) และโค เลท เชน่ เดยี วกับอิราสมสั วิฟเวอนักศึกษามนษุ ยชาติจากแคมบรดิ จ์ ฟรานซีส เบคอล ได้มีการกระตือรือร้นที่จะรับเอาวรรณคดีโบราณของกรีกและโรม จากนักฟ้ืนฟู มนุษยชาติ ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติขึ้น การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ ได้เจริญข้ึน แล้วฟรานซีส เบคอล ได้นำเข้าสู่ทฤษฎีการศึกษาเป็นครั้งแรก (ปี ค.ศ.๑๕๖๑ – ๑๖๒๖) หลังจากน้ันหลายชั่วอายุก็จะมีผลต่อหลักสูตรของโรงเรียนมากขึ้น เบคอนได้ยกย่องวิธีการมาตรฐานอยู่ เหนือกว่าความฉลาดของมนุษย์ แต่เขาก็ประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียนและผูกกระตุ้น และมีหลาย สายตาที่มองได้อย่างแท้จริง เขาได้เน้นความจริงเหนือทฤษฎีในอาณาจักรของปรั๙ญาแห่งธรรมชาติ ความ จำเป็นในความรู้เก่ียวกับดวงดาวและการกระทำที่ต้องไตร่ตองมาก่อน ความต้องการประมวลกฎหมาย สำรวจอารมณ์และจัดทำไวยากรณ์ปรัชญาขึ้น ขยายขอบเขตของแพทย์ ซึ่งเป็นผลให้มีการพัฒนาการด้าน การผ่าตัดสัตว์เป็นๆ เพ่ือทดลอง และการวิภาคศาสตร์เปรียบเทียบ รวมท้ังยังพิจารณาความสัมพันธ์ของ
ศาสตรก์ ารสอน ๓๒ วิทยาศาสตร์กับศาสนา หนังสือเร่ือง “ความก้าวหน้าของการเรียน” และ “โนวัม ออกานัม” (ตั้งชื่อตาม ออกานอนของอริสโตเติล) และเคอ นิวแอตแลนติส เป็นแผนสำหรับสังคมยุคใหม่ท่ีจะเรียนรู้ซึ่งเป็นหนังสือ ๓ เลม่ ที่มีผู้รู้จักมากในสมัยฟื้นฟูวทิ ยาการ วิทยานิพนธข์ องเขาให้ความรู้กวา้ งขวางมาก มีการยกย่องศาสนา การยำ้ ในมโนภาพทางวิทยาศาสตรท์ ีค่ ดว่าจะพฒั นาตอ่ ไป วิทยาศาสตร์ได้เข้าสู่โรงเรียนตอนหลงั จากที่การศกึ ษามนษุ ยชาตไิ ด้เปลย่ี นลำดบั การฟื้นฟวู ิทยาการไป ๒ หรือ ๓ ศตวรรษ แต่ในสมัยท่ีมีการค้นพบวิทยาศาสตร์กรีก และปรัชญากรีกข้ึนใหม่ในศตวรรษท่ี ๑๒ ก็ ได้มีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ติดต่อกันมา ในปี ค.ศ. ๑๔๕๒ – ๑๕๔๓ ในด้านสถาปัตยกรรม, คณิตศาสตร์, การปัน้ , วาดภาพสนี ้ำมัน, สรีรวิทยา กายวภิ าคศาสตร์, งานประพันธร์ ้อยกรอง, วรรณคด(ี , ดนตรี, ธรณีวิทยา, พฤกษาศาสตร์ และชลศาสตร์ บางที เลโอคาโนจะเปน็ ตัวอยา่ งท่ดี ีของชาวโลก ในสมัย ฟนื้ ฟวู ิทยาการอติ าเลยี น กาลิเลโอ เป็นนักฟิสิกส์ท่ียิ่งใหญ่มากในสมัยนั้น เขาได้สร้างเครื่องวัดอุณหภูมิของอากาศโดย สันนิษฐานเสียงจากการเคล่ือนไหวเป็นลูกคลื่นของอากาศ ซึ่งมีความยาวของคล่ืนต่างกันจะเกิดเสียงต่างกัน และพสิ จู น์หกั ล้างทฤษฎีของอริสโตเตลิ กาลิเลโอได้วางรากฐานของกลศาสตร์ และพละศาสตร์ ๒.๖ สมัยฟื้นฟวู ิทยาการในประเทศอติ าลี สมัยฟ้ืนฟูวิทยาการ เปรียบเสมือนแสงสว่างท่ีส่องเข้าไปในยุคแห่งความมืดในจิตใจของชาวยุโรป เป็นรากฐานของอารยธรรมสมัยใหม่ที่จะตามมาภายหลังความเจริญทางจิตใจ แต่มีผลเพียงในหมู่ชนชั้นสูง และผู้มีการศึกษาดเี ท่านั้นสามัญชนส่วนใหญ่ท่ัวไป ยังคงงมงายอยู่ในความคดิ แบบเดิมอยา่ งจับจิตใจจนยากท่ี จะชักจูงให้หันมานิยมความคิดสมัยน้ีได้สำเร็จ ตามประวัติอารยธรรมยุโรปสมัยฟ้ืนฟูวิทยาการ เริ่มราว คริสต์ศตวรรษท่ี ๑๔ และสน้ิ สุดลงในราวคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๑๗ ประเทศอติ าลีเป็นแหลง่ กำเนิด ตอ่ จากนั้นก็ ไดเ้ ป็นแบบฉบับใหแ้ ก่ประเทศเพื่อนบ้านคือ ฝรั่งเศส เยอรมนั นี ยโุ รปภาคเหนอื และองั กฤษตามลำดับ การฟื้นฟูวิทยาการเกิดข้ึนในอิตาลีประมาณปี ค.ศ.๑๓๕๐ การฟื้นฟูของเก่าด้วยความรำลึกถึงความ ย่ิงใหญ่ของชาวโรมันน้ัน เปน็ ธรรมดาท่ีจะดึงดดู ความสนใจของชาวอติ าลีนอกจากเหตุผลน้ีแลว้ เหตุผลอื่นก็คือ ตามเมืองต่างๆ ของอิตาลีเป็นอยู่อาศัยผู้มีจิตใจไปในทางโลกมากกว่า อันได้แก่สามัญชน และ เจ้าผู้คุ้มครองผู้ ซง่ึ หันมาสนใจในส่งิ ต่างๆ ท่ีเก่ยี วกับมนษุ ย์และเลิกสนใจในสงิ่ ตา่ งๆ ทเ่ี กี่ยวกบั พระผ้เู ป็นเจา้ การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการขิงอิตาลีรุ่งเรืองท่ีสุดประมาณปี ค.ศ.๑๕๐๐ ผลงานที่แสดงถึงความเจริญ สูงสดุ ของขบวนการน้ันก็คอื ผลงานทดลองของลโี อนาร์โด ดาวินชิ (สนิ้ ชวี ิตในปี ค.ศ.๑๕๑๙) เก่ียวกับโลกโดย ใชศ้ ลิ ปะสงั เกตการณ์อยา่ งละเอยี ดเก่ียวกับมนุษย์ และวตั ถตุ ่างๆ รวมท้ังผลงานการวจิ ยั ของนิคโคโล แมคคเี วล ล่ี เก่ียวกับธรรมชาติ และการใช้อำนาจการเมืองโดยอาศัยประสบการณ์ส่วนตัว และการศึกษาตำราของ นักเรียนสมัยคลาสสิค หลังจากนั้นต่อมาไม่นาน นิโคลัส คอเปอร์นิคัส(สิ้นชีวิตในปี ค.ศ.๑๕๔๓) แม้จะถึงแก่ กรรม ณ เมืองคราเคาว์ แต่ก็ได้ฟลังกระตุ้นางด้านสติปัญญาจากมหาลัยปาตัวที่เขาได้รับการศึกษาอบรมมา และไม่เคิล แอลเจโล ปัวนาร์โรติ (สิ้นชีวิตในปี ค.ศ.๑๕๖๔) ต่างได้เลิกพ่ึงพาเหตุผลของมนุษย์ซึ่งดูไม่แน่นอน ในผลงานของลีโอนาร์โด และ แคคี เวลลี่ แมคคีเวลลี่ น้ันต้องเดือร้อนทุกข์ใจเพราะความสงสัยเกี่ยวกับทุกส่ิง ทุกอย่าง แม้แต่ในคุณคา่ ของงานศิลปะของเขาเอง ส่วนระบบสุริยจักรวาลในวิชาดาราศาสตร์ของคอเปอรน์ ิคัส ซง่ึ สันนิษฐานว่าดาวพระเคาระห์นั้นมีการโคจรเป็นรูปวงกลม ไม่ใช่รูปวงรี ก็ได้แนวคิดมาจากระบบไพราโกรัส ใหมข่ องกรกี และมกั จะขดั กับสถติ ิทไี่ ดจ้ ากการสงั เกตการณ์
ศาสตรก์ ารสอน ๓๓ ๒.๖.๑ ผฟู้ ้นื ฟวู ทิ ยาการทส่ี ำคญั ของอติ าลี ฟรานซสี เพทราค (ค.ศ.๑๓๐๔-๑๓๗๔) เป็นผู้สร้างบทซอนเนท(sonnel) ได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่ มีที่ติ เพทราคนับเป็นกวีอิตาลีเลียนที่ใช้ภาษาพิ้นเมืองได้ไพเราะที่สุด เขาได้รับการยกย่องวา่ เป็นกวที างแสดง อารมณ์ จีโอวันนี โบคัชซโอ (ค.ศ.๑๓๑๓-๑๓๗๕) เป็นชาวยุโรปคนแรกที่สามารถอ่านภาษากรีกได้ เขาได้ ชื่อว่าเขียนบทร้อยแก้วได้คดีท่ีสุดของยุคนี้ สิ่งที่ทำช่ือเสียงให้เขามากที่สุดคือ การเขียนนิยายชวนหัว แสดง บุคลิกลักษณะต่างๆ ของมนุษย์ในสังคม เช่น เก่ียวกับบทละครของเชคเปียร์ นิยายซ่ึงข้ึนชื่อของเขามีอิทธิพล มากคือ เดคาเมรอน เป็นหนังสือรวมนิยาย๑๐๐เร่ือง เป็นเร่ืองท่ีถากถางสังคมท่ีเฉิยบแหลมทสี่ ุดของยุค เป็น แบบแผนของการแต่งนิยายประชดเสียดสสี ังคมในยุคต่อๆ มา ปรัชญาการเมืองยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของเพลโตเป็นส่วนใหญ่ บ้างก็หันไปศึกษางานของ อริสโตเตลิ และปรัชญาของปราชญ์ชาวกรกี อืน่ ๆ นกั ปรัชญายคุ นีข้ องอติ าลที ่เี ด่นๆ คอื นิโคลัสแห่งคูซ่า นิโคลัสเห็นว่าจำเป็นต้องปฏิรูปสถาบันศาสนาจึงได้แยกตวออกมาจากสำนักเดิม แล้วทำการปรับปรุงให้อยู่ในลักษณะท่ีถูกต้อง เร่ิมต้นอยู่ในวงบุคคลจำกัดปรากฏเป็นสถาบันในรูปใหม่ คน ทั่วไปยอมรับว่าถูกต้องและนิยมนับถือ นิโคลัสแสดงทัศนะไว้ว่า พระเจ้านั้น เราสามารถจะเข้าถึงได้ด้วยญาณ ทางจิตโดยตรงในแต่ละบุคคล ไม่ใช่จะเข้าถึงได้ด้วยสติปัญญาอย่างที่ใช้ๆกันอยู่ นิโคลัสแสดงทัศนะเกี่ยวกับ พระเจ้าต่อไปอีกว่าปัญญาของคนเราคลุกเคล้ากับโมหะเสียวแล้ว จึงมืดมัวลงไม่สว่างพอที่จะเข้าถึงพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นอุดมสัจจะ เป็นที่รวมของสิ่งทั้งปวง ข้อขัดแย้งในลักษณะต่างๆ เป็นอันยุติลงในพระเจ้า ทั้งสิ้น ปัญหาต่างๆ ถึงพระเจ้าแล้วกลายเป็นความเรียบร้อยลงตัวได้หมดส้ินน นิโคลัสแห่งคูซ่า เป็นนักดารา ศาสตร์ได้แสงทัศนะไว้ว่า โลกน้ีหมุนรอบดวงอาทิตย์ และโลกอ่ืนก็เป็นเช่นเดียวกับโลกนี้มีอยู่เป็นจำนวน มากมาย ทัศนะดังกล่าวน้ียอมรับกันว่าเป็นความจริง จนไม่รู้สึกแปลกใจเสียแล้วสำหรับคนปัจจุบันเพราะมี เครื่องมือและวิธีการพิสูจน์ให้เห็นจริง แต่สำหรับคนในอดีตไกลคงลำบากอยู่ไม่น้อย ท่ีจะให้คนท้ังหลายรับฟัง และเชอ่ื ด้วยความสนิทใจ ระยะกาลเวลาจึงมีความจำเป็นอยใู่ นเร่ืองเชน่ นี้ ฟิชชิโน แห่งอิตาลี ในปลายครสิ ต์ตวรรษท่ี ๑๕ ท่ีเมืองฟลอเรนซ์ศูนย์กลางของอิตาลี ได้เกิดสมาคม ปรชั ญาสายเพลโตขึน้ มา บดิ ามารดาของฟิชชิโนตอ้ งการให้ฟิชชิโนศึกษาแพทยแ์ ต่ฟิชชโิ นมเี พื่อนรักทางศาสนา มาก่อน จึงได้หันมาบวชตามเพื่อน และใช้ชีวิตอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์เป็นส่วนใหญ่ ได้แปปรัชญาซ่ึงวิจารณ์โดย เพลโต รวมท้ังปรัชญาของคนอ่ืนๆ เช่น โปลไตนัส เป็นต้น การกลับไปหาปรัชญาของเพลโตและปรัชญากรีก อื่นๆ เป็นข้อท่ีน่าสังเกตอย่างยิ่งประการหน่ึงในยุคนั้น งานสำคัญอย่างหนึ่งของฟิชชิโนคือ เทววิทยาแบบเพล โต ฟิชชิโนได้สนใจมนุษย์นิยมอีกด้วย และแสวงหาจุดหมายปลายทางของงานน้ัน ตามวิธีการของเพลโตฟิชชิ โนกล่าวว่า ปรัชญาของเพลโตเข้ากันได้กับศาสนาคริสต์ ในขณะเดียวกันถือว่า เซนต์ ออกัสติน เป็นผู้นำ ทางทัศนะ และกล่าวไว้อย่างน่าพิจารณาว่า ปรัชญาและศาสนาคือการแสดงออกของความคิดหรือเป็นใน ตัวแทนของจิตใจที่แตล่ ะบคุ คลจำต้องปรารถนา เพื่อบรรลุจุดหมายสูงสุดมนชีวิตความดขี ้ันสูงสดุ ไมไ่ ดผ้ ูกขาด ไว้กบั สถาบันศาสนาเท่าน้ัน สำคญั ที่พลังกระตุ้นในจิตของต่ละบุคคล ฟิชชิโน ยืนยันว่าเพราะแรงกระตุ้นในจิต น้ันเอง วิญญาณทั้งหลายจึงแสวงหาสัจจะพยายามเข้าถึงพระเจ้าเป็นต้น พลังกระตุ้นดังกล่าวน้ันเป็นเรื่อง ธรรมชาติของมนุษย์ เพราะทุกภาวะแสวงหาจุดสูงสดุ ของตัวเอง และทุกภาวะมีจุดหมายสงู สุดเป็นบ่อเกิดของ สารท้ังหลายฟิชชิโนให้เหตุผลไว้ว่า ภาวะมีระดับต่างๆ กันพระเจ้าเป็นภาวะสูงสุดแห่งภาวะทั้งปวง เป็นบ่อ เกิดของส่ิงท้ังปวง ความขัดแย้งต่างๆ จะลงเอยท่ีพระเจ้าวิญญาณของทุกคน ดำรงอยู่ระหว่างพระเจ้ากับกาย ของวิญญาณเอง และวญิ ญาณจะต้องมีรา่ งของตัวโดยตรงอีกร่างหน่ึง เมื่อวิญญาณยงั ไมส่ ามารถบรรลุจดุ หมาย
ศาสตร์การสอน ๓๔ สงู สุดในโลกน้ีได้ จึงต้องมีโลกหน้า เป็นโลกที่วิญญาณจะบรรลุจุดหมายสูงสุดเทา่ นั้นและในการน้ี การประสาน รา่ งกายใหม่จงึ จำเป็น (น้ีเปน็ ทศั นะของการเอารา่ งกายไปเกิดอีก) ลอเรนโซ วัลลา มชี ื่อเสียงในฐานะนักประวัติศาสตรแ์ ละนับปรัชญาวัลลามีความเชื่อว่าความดีสงู สุด ของมนุษย์คือความสำราญอย่างเงียๆ และดูจะไร้เหตุผลท่ีคนเราจะต้องตายเพื่อนประเทศชาติ ส่วนลีโอนาโค ดาวินซี แม้จะไม่มีงานเขียนที่ถือเป็นตำราทางด้านปรัชญาได้กย็ ังได้รับเลือกให้เป็นปราชญ์ทางการเมืองเพราะ เขาเป็นคนแรกที่ประมาณการมองความไว้วางใจให้กับผู้มีอำนาจหน้าที่ว่าเป็นแหล่งที่มาของข้อเท็จจริง เขามี ความคิดที่เป็นปักษ์ต่อสังคมอยา่ งรุนแรง ปราชญ์อิตาลีท่ีสร้างปัญหาให้ผู้ศึกษามากท่ีสุดคือ นิโคโล แมคคีเวล ลี่ หนังสือที่ทีชื่อของเขาคือเรื่อง The prince ซ่ึงเขาได้เขียนประกาศอย่างเปิดเผยว่าเขาชอบระบบเด็ดขาด เขาถือว่าหน้าท่ีสำคัญที่สุดของผู้ปกครองคือพระเจ้าต้องแสวงหาอำนาจ รักษาอำนาจ และการขยายอำนาจ ถ้าจำเป็น ผู้ปกครองจะใช้วิธกี ารใดๆ ก็ได้ที่จะช่วยให้ตนประสบความสำเรจ็ ตามหนา้ ที่ของตน ถือว่าเป็นความ ยุติธรรม ความชอบธรรมความดี แมคคี เวลล่ี ยืนยันว่ามนุษย์มักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อนอื่น กระหายอำนาจและโลภในทรัพย์สมบัติ คอยแก่งแย่งชิงดีผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาผู้ปกครองควรจะยุให้แตกกัน ตนเองจะไดป้ ลอดภัย และไดป้ ระโยชน์จากการแตกรา้ วของผ้อู นื่ ด้วย วทิ ยาศาสตร์ของยุคฟ้ืนฟูศิลปะวิทยาการในอิตาลใี นศตวรรษท่ี๑๕อิตาลีเป็นศนู ยก์ ลางของการศึกษา วิทยาศาสตร์ในยุโรป คนท่ัวยุโรปเดินทางมาศึกษาในมหาลัย อิตาลี เช่น วิชาดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และ การแพทย์ ฯลฯ คาร์ดะโน แห่งอิตาลี นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์ และนักฟิสิกส์ที่สำคัญของอิตาลี มีทัศนะทาง ธรรมชาตินิยมโดยถือว่า ส่ิงหนึ่งถ่ายทอดมาจากส่ิงหนึ่งและเกิดเป็นส่ิงใหม่อยู่ตลอดสาย สิ่งท้ังหลายมี การขยสยตัวได้เป็นอนันต์ไม่เหลือที่ว่างเปล่าไว้เลย สิ่งทั้งหลายมีวิญญาณโลก เป็นผู้ผลิตและให้เคลื่อนไหว ความลงกันได้และความขัดแย้ง ความรัก ความชงั มีอยูท่ ั่วไปแสงสว่างและความอบอ่นุ คืออาการปรากฏของ จอมวิญญาณ กฎหมายจำต้องกวดขันและมีความกลมกลืนกับศาสนา เพื่อให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่อย่างถูกต้อง ตามพระกรุณาของพระเจ้า ทัศนะต่างๆ ของคาร์ดะโน เป็นปรัชญาประยุกต์ด้วยคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ข้อความแสดงทัศนะด้านตา่ งๆ ของคาร์ดะโน แม้เป็นประเด็นส้ันๆ ก็มเี นื้อหาควรพนิ ิจพิจารณาด้วยเหตผุ ล ยรู โนเป็นนักปรัชญาชาวอิตาลีเลียน ชั้นแรกนับถือศสสนาโรมันแคธอลิก ที่เซนต์โดมนิค ตั้งขึ้นในกรุงโรม ต่อมา เกิดความไม่พอใจหลักการของสถาบันดังกล่าว จุงได้ออกจารึกไปยังยุโรปและเข้าร่วมมือกับสถาบันศาสนาท่ี ปฏิรูปข้นึ ใหม่ บรูโนไดแ้ สดงทัศนะคัดดา้ นตรรกศาสตร์ของอรสิ โตเตลิ รวามท้งั วิชาวา่ ด้วยจกั วาลของอริสโตเติล ด้วย บรูโน มัทัศนะหนักไปทางนิคโคลาสแห่งคูซ่า โดยถือว่า ทุกอย่างมีจิต พระเจ้ากับธรรมชาติเป็นอัน เดียวกัน สัจจภาพไม่ว่าจะพิจารณาในรูปใด ย่อมลงรอยกัน บรูโนได้แสดงทัศนะอีกหลายอย่างเช่นท่ีจะนำมา กล่าวต่อไปนี้ แต่ละสิ่งแต่ละอย่างเป็นอนันตะ และไม่มีอนันตะใดเป็นสอง เพราะจะไปจำกัดซ่ึงกันและกัน พระเจ้าคือภาวะท้ังปวง จักวาลคือการแสดงตัวของพระเจ้า พระเจ้าเป็นหัวใจของจักวาล และเป็นจอมแห่ง วิญญาณทั้งปวง คนคืออนุภาคมาจากพระเจ้า และกลับเข้าหาพระเจ้าอีก ทฤษฎีท่ีว่า โลกหมุนรอบดวง อาทิตย์ พิมพ์ข้ึนก่อนบรโู นเกิด ทำให้บรูโนปลงใจว่า จักรวาลมีความเป็นหน่ึง ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของ จักรวาล ทัศนะทางศาสนาท่ีเช่ือถือกันมานานถือว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไปเช่นน้ีเท่ากับ โอนความเปน็ ใหญ่ของพระเจ้ามาไว้กับดวงอาทิตย์ และทัศนะอื่นๆ อีกเป็นเหตุให้บรโู นถูกจับตัวนำไปยังกรุง โรมต้องโทษประหารชีวิต แล้วเผาศพท่ีหลักประหารนั้นเอง ทัศนะทางวิทยาศาสตร์ในระยะเร่ิมแรกเกิด อันตรายแก่ผู้แสดงทัศนะในทำนองนี้มากต่อมาก ส่วนใหญ่เพราะขัดกับหลักการทางศาสนา หากหลักการ ศาสนาประกอบด้วยเหตุผล ตรงตามหลกั วชิ าแบบใหมท่ ่ีเรยี กว่าวิทยาศาสตรแ์ ล้วการตอ้ งโทษอย่างหลักเช่นนก้ี ็ ยากท่จี ะเกิดข้นึ หรอื จะเกดิ ขน้ึ บา้ งกเ็ ห็นจะนอ้ ยมาก
ศาสตร์การสอน ๓๕ กาลิเลโอ (ค.ศ.๑๕๖๔-๑๖๔๒) เกิดที่เมือง pisa เม่ือวันท่ี๑๕กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๕๖๔ เป็นบุคคลแรกท่ีประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์ได้ ค้นพบความบรวิ ารของดาวพฤหัส ๔ ดวง วงแหวนของดาวพระเสาร์และจุดในดวงอาทิตย์และทางช้างเผอื กเขา สามารถคะเนระยะทางของดาวนพเคาระห์ได้อย่างคร่าวๆ ค้นพบว่าโลกมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลมีผล ทางความรู้สกึ ของคนสมัยน้ันเหมือนกัน คือรู้สึกว่าความสำคัญของคนเปน็ ผงธุลีชือ่ เสียงท่ีสุดในฐานะนักฟสิ ิกส์ ทเ่ี รารู้จักกันในเรอื่ งทเ่ี กยี่ วกับแรงแห่งความถว่ งจำเพาะ ฯลฯ การฟื้นฟูทางสรีรวิทยาและการแพทย์ของยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการนี้มหาวิทยาลัยปาดูเป็นแหล่งสอน วิชาน้ีที่มีช่ือเสียงย่ิง วงการแพทย์ได้รู้จักกลไกของการหมุนเวียนของกระแสโลหิต และการทำงานของอวัยวะ ภายในร่างกายจากชาวอติ าลีในยุคน้ยี ่ิงกวา่ ท่ีเคยไดท้ ราบมาในยุคใดๆ การฟื้นฟูวิทยาการทางดา้ นประติมากรรม และจติ รกรรมของอิตาลีทไ่ี ด้เปน็ ท่ียอมรบั วา่ เป็นปฏิมากรท่ี ย่ิงใหญ่ท่ีสุดของโลก และของยุคนี้คือ ไม่เคิล แอนเจโล ปัวนาร์รอตี้ เป็นศิลปินท่ีสามารถยอดเยี่ยมทั้งในด้าน สถาปัตยกรรมปฎิมากรรม จิตรกรรม ตลอดจนเป็นกวีและวิศวกรรมเอกด้วย ไมเคิล แอลเจโลมีช่ือเสียงเม่ือ สันตะปาปาจูนเสียสท่ีสองทรงมีบัญชาให้เขาวาดภาพประดับผนังในโบสถ์ซีสเตียนที่นครวาติกัน ใน ค.ศ. ๑๕๐๘ เขาปิดประตูขังตัวเองอยู่ถึง ๔ ปี จงึ วาดเสร็จลักษณะการวาดภาพของเข่าต่างกับของลีโอดาโค คาวิน ซี มากรูปของเขามีส่วนสดั มหึมาเหมอื นรูปปั้นมากกว่ารปู วาด เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติภาพที่เขาวาดใน “Sistime Chapel” นี้แสดงเร่ืองราวในพระคัมภีร์เก่าและใหม่ตั้งแต่การสร้างโลกสร้างมนุษย์กำเนิดของความ บาป ความพินาศของมนุษย์จนถึงที่พระเยซูเสด็จมาพิพากษาโลกตลอดจนภาพ CHRIST AND MADNNA FROM THE LAST JUDGEMENT และภาพ CREATION OF ADAM แสดงให้เห็นความทรงพลังมหาศาลของ พระเจ้า และความอ่อนแอของมนุษย์ แม้จะมีร่างกายใหญ่โตแต่ก็ปวกเปียก ทำให้ภาพของพระเจ้าดูทรง มหิทรานุภาพยิ่งนัก อิทธิพลที่เขาทิ้งไว้ให้ศิลปินรุ่นต่อมาคือ การแกะสลักรูปขนาดมหึมา ซึ่งมีส่วนสัดถูกต้อง การใช้รูปแกะสลักเหล่าน้ี ประดับสถานที่ต่างๆ และการแสดงพลังที่ถูกบังคับกดดันทำให้เกิดการตึงเตรียด อย่างรุ่นแรง ลีโอนาโด ดาวินซี เป็นอัจฉริยบุรุษท่ีมีความสสามารถรอบตัวเช่นเดียวกัน ไม่เคิล แอนเจโล คือ เป็นทั้งจิตรกร ปฏิมากร สถาปนิก นักดนตรี นักประดิษฐ์ วศิ วกร นักวทิ ยาศาสตร์ เขาได้เขียนหนังสือไว้หลาย เล่มเกี่ยวกับวิทยาการด้านต่างๆ ที่เขาสนใจ ภาพเขียนส่วนใหญ่ของเขาเก่ียวกับประวัติของพระเยซู เช่น ภาพ พระมารดามาเรยี และพระบตุ ร เขาสนใจในการศึกษาใบหน้าท่าทางของคนประเภทต่างๆ ตงั้ แต่วัยทารกจนถึง วัยชรา ทุกชั้นวรรณะเพื่อนำมาประกอบในการเขียนภาพ ภาพที่มีชื่อท่ีสุดของเขาคือ The last supper (พระ กระยาหารมื้อสดุ ทา้ ย) ในภาพพระเยซถู ูกห้อมลอ้ มด้วยอัครสาวก ๑๒ คน เป็นตอนท่ีพระเยซูตรัสว่า “จะมีคน หนึ่งในพวกท่านทรยศตอ่ เวลา”ยูดาห์ อิสคาริโอท ผู้ทรงยศลุกมาจบู พระเยซูเป็นอาณัติสัญญาณให้ทหารโรมัน รู้ว่าคนไหนพระเยซู ความสำคัญของภาพนี้อยู่ที่แสดงอารมณ์ได้เป็นเลิศ ภาพเขียนอีกภาพหน่ึงของเขาที่มี ช่ือเสียงไปท่ัวโลกอีกภาพหนึ่งคือ ภาพโมนาลิซา ลิโอนาโดรักภาพนี้มาก ความงามของภาพนี้อยู่ท่ีความอ่อน ละมุนละไมของผิวกาย ใบหน้าและมือที่ได้ส่วนสัดอารมณ์และผ้าคลุมศรีษะบางเบาจนแทบมองไม่เป็นด้วยตา เปล่า มีใบหนา้ เฉย สงบ ไมย่ ม้ิ และดวงตามชี ีวิตชวี า ภาพน้ีปัจจุบันอยู่ในพิพิธภณั ฑล์ ฟู ในประเทศฝรัง่ เศส ในยุคนี้อิทธิพลของจิตรกรประเทศต่างๆ แผ่ไปทั่วยุโรป แต่เม่ือเทียบกันกับงานของจิตรกรเอกของ อิตาลีแล้ว ผลงานจิตรกรยโุ รปตา่ งๆ ดูจะดอ้ ยในคณุ ค่าทางศลิ ปลงไป ภายหลัง ค.ศ.๑๕๕๐ การฟนื้ ฟศู ิลปวิทยาการในอติ าลกี ็เรม่ิ เสือ่ มลงเนอื่ งจากอิตาลไี ดส้ ูญความเป็นเอก ในทางเศรษฐกิจ การค้นพบโลกใหม่ในปลายศตวรรษที่ ๑๕ (๑๔๙๓) ได้ย้ายศูนย์กลางการค้าจากทะเลเมดิ เตอร์เรเนียนมาอยู่บนภาคเหนือทวียุโรปมากข้ึนและทำให้ดินแดนส่วนท่ีเป็นยุโรปตะวันตกได้กลายเป็น ศนู ย์กลางของอารยธรรมยุคใหม่
ศาสตร์การสอน ๓๖ สรปุ ทา้ ยบท ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของโลกก้าวผ่านจากศตวรรษท่ี ๒๐ เข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑ กระแสการ เปล่ียนแปลงของโลกได้ส่งผลกระทบท้ังทางสังคม เศรษฐกิจ ส่ิงแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ การเมืองของทุกประเทศ โดยเฉพาะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการส่ือสารท่ีทำให้โลกทั้งโลกเชื่อมโยง และส่ือสารถึงกนั ได้อยา่ งรวดเรว็ เปน็ โลกไร้พรมแดน การศึกษาเป็นเสาหลักของการพฒั นาทยี่ ั่งยืน สังคมใน วนั พรุ่งน้ีถูกกำหนดโดยทักษะและความรู้ทต่ี ้องการในปัจจุบัน (UNESCO, ๒๕๕๔ : ๑๓) ดงั นนั้ การศกึ ษาจึง มีบทบาทสำคัญในการสร้างและเตรียมเยาวชนของชาติเพื่อเข้าสู่โลกยุคศตวรรษท่ี ๒๑ การจัดการศึกษา สำหรับศตวรรษที่ ๒๑ ต้องเป็นการเปล่ียนแปลงทัศนะจากกระบวนทัศน์แบบด้ังเดมิ ไปสกู่ ระบวนทัศน์ใหม่ มี ความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ ท้าทาย และซับซ้อน เป็นการศึกษาท่ีจะทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อนำไปส่กู ารพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ทมี่ ีความรู้ความสามารถ มีทักษะการเรียนรู้แหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ เช่น การ คิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรม การส่ือสารและการทำงานร่วมกับผู้อ่ืน การศึกษามี ความสำคญั ต่อการพัฒนาประเทศ มีบทบาทโดยตรงตอ่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพเหมาะสมและ มีคุณสมบัติสอดคล้องกับความต้องการในการใช้กำลังคนของประเทศ การศึกษาจึงเป็นปัจจัยหลักท่ีสำคัญต่อ การเพ่ิมศกั ยภาพในการแขง่ ขันของประเทศ ดังนั้น การจัดการศกึ ษาจงึ ควรมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับ สภาพบริบทรอบด้านท่ีเปลี่ยนแปลงไป เพื่อนำไปสู่การกาหนดกรอบแนวคิดใหม่ภายใต้กระแสการ เปลี่ยนแปลงของสังคมการพัฒนาโครงสร้างพืน้ ฐานเพอ่ื รองรับการเจรญิ เติบโตของประเทศใด ๆ ก็ตาม ต้องทำ ควบคู่ไปพร้อมกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพ่ือให้เกิดการพัฒนาท่ีสมดุลและยั่งยืน ทุกคนควรมีส่วนร่วมใน การสรา้ งเงอ่ื นไขทาง สังคม ท่ีลดความขัดแย้ง เพื่อใหเ้ กิดสันติสุขและความมั่นคงในสงั คม๒ ๒ สำนกั งำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ กระทรวงศกึ ษำธิกำร.ออนไลน์ เขำ้ ถงึ ไดจ้ ำก. http://www.sc.mahidol.ac.th/scpn/webscpn/index.php/2-uncategorised/47-21 สืบตน้ เม่ือ ๗ มีนำคม ๒๕๕๙.
ศาสตรก์ ารสอน ๓๗ คำถามท้ายบท ๑.จุดมุ่งหมายในการพัฒนามนุษยใ์ ห้เป็นมนษุ ยท์ ส่ี มบรู ณ์ต้องพฒั นาด้านไหนบ้าง จงอธบิ าย ฯ ๒.ระบบการบรหิ ารการศกึ ษาไทยในปัจจุบนั มสี ภาพเป็นอย่างไร จงอธบิ าย ฯ ๓.พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และทีแ่ กไ้ ข (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕ ในหมวดที่ ๕ วา่ ด้วยการบรหิ ารและจดั การศกึ ษาของรัฐ จดั เป็นกี่ระดบั อะไรบ้าง ฯ ๔.หลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาทใ่ี ชก้ ารในการศกึ ษาเรอ่ื งราวของชวี ิตน้ัน มีหลักอยา่ งไร ประกอบด้วยอะไรบา้ ง ฯ ๕.ในสมัยราชวงศโ์ จว นนั้ มรี ะบบการศึกษาและนับว่าเปน็ ยุคปญั ญาเมธี หมายความอยา่ งไร ฯ ๖.ลกั ธิคงจือและลทั ธเิ ตา๋ มคี วามเหมือนหรือแตกตา่ งกันอยา่ งไร ในเรอ่ื งการจัดการศกึ ษา ฯ ๗.จงยกตัวอย่าง นักการศึกษาในการฟืน้ ศีลปวิทยาการในศตวรรษท่ี ๑๑-๑๒ และที่ ๑๓ นัน้ สกั ๒ ทา่ น วา่ มคี วามสำคัญอยา่ งไรตอ่ การศึกษาในปจั จุบันฯ ๘.นิโคลสั แห่งคซู ่า เป็นบุคคลสำคัญอย่างไรตอ่ การปฏริ ปู สถาบนั ศาสนาอย่างไร จงอธบิ าย ฯ ๙.กาลิเลโอ มีความประวัตแิ ละความสำคัญอย่างไรต่อวงศก์ ารศึกษาจนถงึ ยุคปัจจุบนั ฯ ๑๐.การเปลี่ยนแปลงของโลกกา้ วผา่ นจากศตวรรษท่ี ๒๐ เข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๑ มผี ลตอ่ กระแส การเปล่ียนแปลงของโลกอย่างไร ฯ
ศาสตรก์ ารสอน ๓๘ เอกสารอา้ งอิงประจำบท กษมา ศรีสุวรรณ, ปญั หาและแนวโนม้ การจดั การศึกษาไทยในอนาคต. นกั ศกึ ษาดษุ ฎบี ัณฑติ การบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ.ออนไลน์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก. http://www.sc.mahidol.ac.th/scpn/webscpn/index.php/2-uncategorised/47-21 สืบตน้ เมือ่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙.
บทท่ี ๓ ปรชั ญาการศึกษากับการสอน วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ประจำบท เมอื่ ได้ศึกษาเนอื้ หาในบทน้แี ลว้ ผู้เรยี นสามารถ ๑. อธิบายความหมายของปรชั ญาการศึกษากบั การสอนได้ ๒. อธิบายความสำคัญของปรัชญาการศึกษาได้ ๓. อธิบายลกั ษณะทัว่ ไปของปรัชญาการศึกษาได้ ๔. อธิบายประเภทของปรชั ญาการศกึ ษาได้ ขอบขา่ ยเนื้อหา • ความหมายของปรัชญาการศกึ ษากับการสอน • ความสำคัญของปรัชญาการศกึ ษา • ลกั ษณะทว่ั ไปของปรชั ญาการศึกษา • ประเภทของปรัชญาการศึกษา
ศาสตร์การสอน ๔๐ ๓.๑ ความนำ การศึกษา คอื การถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และทัศนคติของคนรุ่นก่อนสู่อนุชนรุ่นหลังของสังคม ทั้งน้ี เพราะ อนุชนรุ่นหลังคงไม่อาจเติบโตไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ได้ ถ้าไม่ได้ดูดซับความเชื่อเก่ียวกับโลกทัศน์ และ ทักษะในการดำรงชีวิตและแก้ปัญหา คนในสมัยโบราณมีวิธีการให้การศึกษาแก่เด็กในสังคม แต่การให้ การศึกษาของคนสมัยก่อนเป็นไปในลักษณะของการถ่ายทอด ให้เกิดการเรียนรู้ในชีวิตประจำวันโดยอัตโนมัติ เช่น การสอนการดำรงชพี โดยการสอนการจับปลาและการเพาะปลูก รวมทง้ั การถา่ ยทอดวัฒนธรรมทางสงั คม เช่น พิธศี พ หรืองานแต่งงาน การศึกษาในลักษณะดังกล่าวไม่ใช่การศึกษาแบบเป็นทางการ ไม่เป็นระบบ และ ไม่ใช่กระบวนการที่จงใจกระทำข้ึนเพื่อการเรียนรู้ จึงไม่มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งมาทำหน้าที่รับผิดชอบต่อเรื่อง การศึกษา เมื่อมนุษย์ได้สะสมอารยธรรมมากขึ้น การถ่ายทอดและการเรียนรู้ให้กับอนุชนรุ่นหลังของสังคมไม่ อาจเป็นไปในลักษณะท่ีไม่เป็นทางการ การศึกษาจึงต้องกลายมาเป็นกระบวนการสำคัญท่ีต้องกระทำด้วย ความต้ังใจและเป็นทางการ โดยมีกลุ่มคนกลุ่มหน่งึ กา้ วเขา้ มาทำหน้าทร่ี บั ผดิ ชอบโดยตรง กลมุ่ ดังกลา่ วอาจเป็น พระ หรอื นักปราชญ์ หรอื นักวิชาการ ผลจากการจัดการศกึ ษาคอื การทำให้เกดิ การค้นควา้ วิจยั ทางดา้ นความรู้ และวัฒนธรรมเพิ่มข้ึน การศึกษาจึงไม่เป็นเพียงการรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมเท่าน้ัน แต่การศึกษาควร สนองตอบเป้าหมายบางอย่างน้ี ดว้ ยเปา้ หมายของการศึกษาทคี่ วรจะเปน็ ปรัชญาการศึกษา คือ ปรัชญาในส่วนท่ีเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหา เป้าหมายของการศึกษาของสังคม โดยพยายามตอบคำถามที่วา่ เป้าหมายหรือผลท่ีพงึ ประสงค์ที่จะก่อให้เกิดกับผู้เรียนนั้นควรจะเป็นอะไร และ เป้าหมายดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เม่ือตอบคำถามถึงเป้าหมายของการศึกษาเสียแล้ว ก็สามารถตอบคำถาม ต่อไปได้ว่า ความรู้ใด ทัศนคติใด ทักษะใด ควรได้รับการถ่ายทอดให้แก่เขาเหล่านั้น รวมทั้งมรรควิธีให้ การศึกษาจะนำไปสู่เป้าหมายน้ันด้วย มนุษย์กับการศึกษาถือว่าเป็นของคู่กัน การศึกษาทำให้มนุษย์สามารถ พฒั นาศักยภาพของตัวมนุษย์เองให้ตา่ งไปจากสตั ว์ทั่วไป เพราะการศึกษากค็ ือการฝึกฝนให้ชวี ิตดำเนินไปในวิถี ทถ่ี ูกต้องดีงาม๑เมือ่ การศึกษามคี วามจำเป็นต่อมนุษย์เช่นนี้ มนษุ ยจ์ ึงพยายามศึกษาคน้ คว้าหาคุณค่าให้กับชีวิต อย่างไม่เคยหยุดย้ังต้ังแต่เกิดจนถึงตาย ผลของการศกึ ษาของมนุษย์น้ีเอง ทำให้มนุษย์ค้นพบสิ่งต่างๆ มากมาย ซึ่งส่ิงตา่ งๆ เหลา่ นก้ี ค็ อื บรรดาศาสตร์หลากหลายสาขาที่เราพากนั ศกึ ษากนั ในปัจจุบนั ๓.๒ ความหมาย ๓.๒.๑ ความหมายของปรชั ญาการศกึ ษา คำว่า ปรัชญา ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Philosophy” มาจากรากศัพท์ว่า “Philosophia” เป็นคำ ภาษากรีกโบราณ ซ่ึงมาจากคำว่า “Philia” แปลว่า “ผู้รัก” และ “Sopia” แปลว่า “ความปราดเปร่ือง” ดังนั้น คำว่า Philosophy จึงแปลว่า “ความรักในปรีชาญาณ” (Love of wisdom) เน่ืองจากชาว กรีกโบราณมักเรียกตัวพวกเขาว่า “Wise men” เช่น Pythagoras (ราวปี ๕๑๐ – ๕๐๐ ก่อน ค.ศ.) ต้องการ ให้เรียกท่านว่า “Lover of wisdom” หรือ “Philosopher” จึงเป็นท่ีมาของคำ “Philosophy” โดยสรุป ๑ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), ธรรมกับการพัฒนาชวี ติ , (กรงุ เทพ ฯ : สหธรรมมิก,๒๕๓๙), หน้า ๔.
ศาสตร์การสอน ๔๑ แล้วคำว่า “Philosophy” ตามความหมายของภาษา คือ ความรักความปราดเปร่ือง ความปรารถนาจะเป็น ปราชญ์ นนั่ คือ การรูว้ ่าตวั เองไมฉ่ ลาด แตอ่ ยากฉลาด ๓.๒.๒ ทีม่ าของคำวา่ “ปรัชญา” คำว่า “ปรัชญา” ในภาษาไทยมีท่ีมาจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศ์ประพันธ์ (พระองค์ วรรณ) อดีตราชบัณฑิต สาขาวิชาปรชั ญา เป็นผูแ้ ปลศัพท์จากภาษาอังกฤษ Philosophy เป็นคำวา่ “ปรชั ญา” เป็นการบัญญัติศัพท์เพ่ือให้มีคำที่จะใช้ในภาษาไทย ท่ีพอเทียบเคียงได้กับภาษาต่างประเทศโดยอนโุ ลมเท่าน้ัน แต่ความหมายของคำท้ังสองภาษานี้หาไดม้ ีความหมายที่ตรงกันอยา่ งแท้จริงทีเดยี วไม่ คำวา่ Philosophy แปลว่า ความรักในความรู้ หรือLove of wisdom สว่ นคำว่าปรัชญา เม่ือวิเคราะห์ตามรูปศพั ท์แล้วมิได้มีส่วนใดที่จะพาดพิง ไปถึงเร่ืองความรักเลย๒ คำเดิมมาจากภาษาสันสกฤตว่า “ชฺ า” แปลว่าความรู้ความเข้าใจ เติมอุปสรรค ปฺร เป็น ปรฺ ชฺ า อ่านวา่ ปรชั ญา รวมความแล้วแปลว่า “ความรอบรูป้ ราดเปรื่อง” ลักษณะความหมายดงั กล่าว เป็น ความหมายในเชิงอวดตัวเอง ไม่เหมือนคำว่า Philosophy ซ่ึงแสดงถึงความถ่อมตน ความหมายของคำ “ปรัชญา” จึงไม่ตรงกับคำในภาษาอังกฤษ ภาษากรีกที่ว่า Philosophy หรือ Philosopia มากนัก ปรัชญาจึงเป็นการแสวงหา ความจริง โดยอาศัยเหตุผล ปรัชญาคือการค้นพบความรู้เก่ียวกับ “ความจริง” ซึ่งเป็นความรู้ที่อยู่เหนือความรู้ ตามกฎเกณฑ์ท่ีตายตัว และเป็นความรู้ที่มีลักษณะเป็น “ศิลป์” และเป็นความรู้ในฐานะ “ศาสตร์พิเศษ” ของ มนษุ ย์ ๓.๒.๓ ความหมายของคำวา่ การศกึ ษา ในมาตรา ๔ ของ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของการศึกษาไว้ วา่ การศึกษา หมายถงึ กระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการเรยี นรู้นั้นเกิดกับบคุ คล และสังคม ถา้ เราถอื ว่าคน เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ดังนั้น การเรียนรู้ ก็คือการเรียนรู้ของคนในสังคมน่ันเอง ปรัชญาการศึกษา” คือ การ เช่ือมโยงความหมายของ “ปรัชญา” และ “การศึกษา” เข้าด้วยกัน กล่าวโดยสรุปได้ว่า ปรัชญาการศึกษา คือ แนวความคิดความเช่ือเก่ียวกับการกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษา ท่ีแสดงออกมาในรูปของอุดมการณ์ หรืออุดมคติเพ่ือเป็นเคร่ืองนำทางหรือเป็นหลักยึดในการจัดการศึกษาให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการศึกษา นับต้ังแต่การกำหนดจุดมุ่งหมาย หลักสูตร การเรียนการสอน การกำหนดเป้าหมายทางการศึกษา การสร้าง ปรัชญาการศึกษาใดจะต้องมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับลักษณะของสังคมน้ันๆ ซึ่งข้ึนอยู่กับว่าสังคมน้ัน มีหลักความเช่ือ ในเร่อื งของความรู้ ความจริง ตามแนวปรัชญาหรือลัทธิใด๓ คำว่า “ปรัชญาการศึกษา” เป็นการนำเอาศาสตร์ ๒ ศาสตร์ คือ ปรัชญา + การศึกษา มาประยกุ ต์ เข้าด้วยกัน อันหมายถึงการนำเอาหลักบางประการของปรัชญาอันเป็นแม่บทมาดัดแปลงให้เป็นระบบเพ่ือ ประโยชนใ์ นการศึกษา๔ เมื่อรวมความแล้วคำว่าปรัชญาการศึกษา ได้มีนักวิชาการได้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ตามความ เข้าใจ ตามสภาพการณ์ หรือตามหลักวิชาการ เช่น ปรัชญาการศึกษา คือ จุดมุ่งหมาย ระบบความเชื่อหรือ แนวความคิดที่แสดงออกมาในรูปของอุดมการณ์หรืออุดมคติทำนองเดียวกันกับท่ีใช้ในความหมายของปรัชญา ชีวิตซ่งึ หมายถงึ อุดมการณข์ องชวี ติ อดุ มคติของชีวิต แนวทางดำเนนิ ชวี ติ ปรัชญาการศึกษา คือ เทคนิคการคิดที่จะแสวงหาคำตอบและกำหนดแนวทางในการดำเนินงานทาง การศึกษาไม่ว่าการศึกษาในระบบโรงเรียนหรือการศึกษานอกโรงเรียน เร่ิมต้ังแต่การกำหนดจุดมุ่งหมายของ ๒ บรรจง จนั ทรสา, ปรชั ญากบั การศึกษา, (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๗), หน้า ๑. ๓ ปรัชญาการศกึ ษา, สืบคน้ จากhttp://index.php?option=com.เมอื่ ๒๖ สงิ หาคม ๒๕๕๕. ๔ กติ มิ า ปรดี ดี ิลก, ปรชั ญาการศึกษา เล่ม ๑, (กรงุ เทพ ฯ : มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ, ๒๕๒๐), หน้า ๗๒.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249