Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จิตวิทยาสำหรับครู

จิตวิทยาสำหรับครู

Description: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา จิตวิทยาการศึกษา ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการ พฤติกรรมการเรียนรู้ รูปแบบ การเรียนรู้ การจำ การลืมและการคิด เชาว์ปัญญา การแนะแนว การให้คำปรึกษาเบื้องต้น และจิตวิทยาสำหรับเด็กพิเศษ

Keywords: จิตวิทยา,ครู

Search

Read the Text Version

PSYCHOLOGY FOR TEACHERS จิ ต วิ ท ย า สำ ห รั บ ค รู โ ด ย ทิ พ ย์ ขั น แ ก้ ว

มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย Mahachulalongkornrajavidyalaya University หลกั สตู รครุศาสตรบัณฑิต เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า รหสั วิชา ๒๐๐ ๑๐๓ หมวดวชิ าชพี จติ วิทยาสาหรบั ครู Psychology for Teachers ผศ.ดร.ทิพย์ ขันแก้ว วทิ ยาลยั สงฆ์บรุ ีรัมย์ วัดพระพทุ ธบาทเขากระโดง ตาบลเสม็ด อาเภอเมอื ง จังหวัดบุรรี ัมย์ ๒๕๖๒

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู Psychology for Teachers นายทิพย์ ขันแกว้ : ป.ธ.๙., กศ.ม.(การบริหารการศกึ ษา), พธ.ด.(พทุ ธจติ วิทยา) ทปี่ รึกษา พระราชปรยิ ตั กิ วี ผทู้ รงคณุ วฒุ ปิ ระจำวิยาลยั สงฆบ์ ุรรี ัมย์ พระสุนทรธรรมเมธี ผ้ทู รงคุณวุฒปิ ระจำวิยาลยั สงฆบ์ ุรีรมั ย์ พระศรีปรยิ ตั ธิ าดา ผ้อู ำนวยการวทิ ยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ พระมหาบญุ ถ่ิน ปุญญฺ สริ ิ รองผอู้ ำนวยการฝ่ายบริหาร พระครศู รีปัญญาวิกรม,ผศ.ดร. รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ผทู้ รงคุณวฒุ ิตรวจทางต้นฉบับ ผศ.ดร.สรเชต วรคามวชิ ยั รศ.ดร.ทววศี ักดิ์ ทองทิพย์ บรรณาธิการ ขนั แก้ว ผศ.ดร.ทพิ ย์ กองบรรณาธกิ าร พระครูศรปี ัญญาวิกรม, ผศ.ดร. รองผู้อำนวยการฝ่ายวชิ าการ ดร.รุ่งสรุ ิยา หอมวัน ปที ่พี ิมพ์ ๒๕๖๒ จำนวนพมิ พ์ ๑๐๐ เลม่ จัดพมิ พโ์ ดย วทิ ยาลัยสงฆบ์ ุรีรมย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั SBN ……………………………………………………………….

คำปรารภ คำว่า “ครู” มีนยั ท่ีหลากหลายท่ีลกู ศิษยเ์ ขา้ ใจ แต่อยา่ งไรครูนน้ั เปน็ ผู้ใหโ้ อกาสศิษยเ์ สมอในการศึกษา เล่าเรียน เพราะการศึกษาเล่าเรียนไม่มีคำว่าสาย เม่ือโอกาสและจังหวะของชีวิตแต่ละคน ครูจึงไม่ควรปิดกั้น โอกาสของศิษย์ ไม่ว่าดว้ ยกรณีใดๆ ยังให้จติ วญิ ญาณและอุดมการณ์ ซึ่งเป็นสารัตถะสำคญั ของชวี ติ หลายคนท่ี ประสบความสำเร็จในชีวิต ก็ด้วยที่เนื่องมาจากมีครูผู้ให้อุดมการณ์และให้จิตวิญญาณแก่ศิษย์ จนสามารถยึด เป็นหลักในการต่อสู้ และฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆของชีวิตได้ หากครูเป็นพ่อ ลูกศิษย์ก็คือลูก เม่ือลูกทำอะไรที่ ผิดพลาด พ่อควรวา่ กลา่ วตกั เตือนดว้ ยความเอน็ ดู ควรให้อภยั และให้โอกาส หนังสือจิตวิทยาสำหรับครูเล่มน้ี มีเนื้อหาสาระ ๑๐ บท ประกอบด้วย ความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับ จิตวิทยา จิตวิทยาการศึกษา ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการ พฤติกรรมการเรียนรู้ รูปแบบ การเรียนรู้ การจำ การลืมและการคิด เชาว์ปัญญา การแนะแนว การให้คำปรึกษาเบ้ืองต้น และจิตวิทยา สำหรบั เดก็ พิเศษ ขออนุโมทนาขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทิพย์ ขันแกว้ อาจารยป์ ระจำรายวชิ า ทไ่ี ด้เสียสละเวลา พัฒนาเนอ้ื หารายวชิ าเลม่ นีใ้ ห้เกิดข้ึน อันจะเป็นประโยชน์คณุ สมบัติของวทิ ยาลยั สงฆบ์ รุ ีรัมย์สบื ไป หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเล่มนี้คงอำนวยประโยชน์เชิงวิชาการด้านพุทธศาสตร์และครุศาสตร์ แกค่ ณาจารย์ นสิ ติ นกั ศกึ ษาและประชาชนผู้สนใจทั่วไป (พระศรีปรยิ ตั ธิ าดา) ผ้อู ำนวยวทิ ยาลัยสงฆ์บุรีรมั ย์

คำนำ เอกสารประกอบ “จิตวิทยาสำหรับครู” (Psychology for Teachers) รหัส ๒๐๐ ๑๐๓ หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาและการแนะแนว เกิดจากแรงบันดาลใจในฐานะผู้เขียน เป็นผู้รับผิดชอบในการบรรยายถวายความรู้ เห็นว่ายังขาดหนังสือและตำราเก่ียวกับด้านนี้ สร้างความยุ่งยาก และเกิดความไม่สะดวกในการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน จึงมีความคิดอยากเขียนหนังสือด้านน้ีและเห็นว่ามี ความสำคัญต่อนิสิตที่เรียน สาขาวิชาจิตวิทยาและการแนะแนว คณะครุศาสตร์เป็นอย่างย่ิง จึงได้รวบรวม ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากตำรางานวิจัย วารสารวิชาการและเว็ปไซต์ต่างๆ เพ่ือให้นิสิต นักศึกษาและผู้ท่ีสนใจได้ ศึกษาประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาที่เรียน โดยได้นำแนวสังเขปรายวิชามาศึกษาค้นคว้าและจัด รวบรวมเน้อื หาสาระใหส้ อดคลอ้ ง กราบขอขอบคุณพระเดชพระคุณพระศรีปริยัติธาดา ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ ท่ีเมตตา เปิดโอกาสในการศึกษาจัดทำเน้ือหารายวิชานี้ เพ่ือเป็นประโยชน์แก่นิสิต นักศึกษาและผู้ที่สนใจ ศึกษา ค้นคว้า ใช้เป็นตำราประกอบการเรยี นการสอน มิได้หวงั ผลกำไรทางการค้าแต่อย่างไร หวังเป็นเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือประกอบการเรียนรู้ ชื่อ “จิตวิทยาสำหรับครู”เล่มนี้จะอำนวย ประโยชนแ์ ก่นิสิต นักศึกษา ผู้ทส่ี นใจ และคณาจารย์ หากท่านผู้อา่ นพบเห็นข้อบกพรอ่ งหรือมีคำชี้แนะเพ่ือ การปรับปรุงให้สมบูรณ์มากย่ิงขึ้น ขอน้อมยินดีรับฟังความคิดเห็นและจะนำไปปรับปรุงแก้ไขพัฒนาเอกสาร เลม่ น้ีใหม้ ีความสมบูรณ์ และมคี ุณค่าทางการศึกษาต่อไป ทิพย์ ขนั แกว้ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๒

บท สารบญั หนา้ คำปรารภ ก คำนำ ข สารบัญ ค แผนบรหิ ารการสอนประจำบท ๑ บทท่ี ๑ ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับจิตวทิ ยา ๔ ๑.๑ ความนำ ๔ ๑.๒ ความเป็นมาของจติ วทิ ยา ๔ ๑.๓ ความหมายของจิตวิทยา ๖ ๑.๔ พฤติกรรม ๘ ๑.๕ สาขาจติ วิทยาท่ีสัมพนั ธ์กับวชิ าชพี ครู ๑๒ ๑.๖ วธิ ีการศึกษาทางจิตวิทยา ๑๓ ๑.๗ กลุ่มแนวคดิ ทางจิตวิทยา ๑๖ ๑.๘ ประโยชน์ของการศึกษาจติ วิทยา ๒๗ สรุปทา้ ยบท ๒๗ ใบกจิ กรรมที่ ๑ ๒๘ คำถามทา้ ยบท ๒๙ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๓๐ แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี ๒ ๓๑ บทที่ ๒ จติ วิทยาการศกึ ษา ๓๔ ๒.๑ ความนำ ๒.๒ ความเป็นมาของจติ วทิ ยาการศึกษา ๓๔ ๒.๓ ความหมายของจติ วทิ ยาการศึกษา ๓๕ ๒.๔ คุณลักษณะของจิตวทิ ยาการศึกษา ๓๗ ๒.๕ ขอบขา่ ยของจติ วทิ ยาการศกึ ษา ๓๘ ๒.๖ บทบาทของจิตวทิ ยาการศึกษา ๓๙ ๒.๗ ประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษา ๓๙ ๒.๘ ครูกบั จติ วทิ ยาการศึกษา ๔๐ ๒.๙ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ๔๑ ๒.๑๐ การสร้างบรรยากาศในชัน้ เรียน ๔๓ สรุปท้ายบท ๕๔ ใบกิจกรรมท่ี ๒.๑ ๕๙ ๖๐

สารบญั (ต่อ) หนา้ บทที่ ๖๐ ใบกจิ กรรมท่ี ๒.๒ ๖๑ คำถามทา้ ยบท ๖๒ เอกสารอ้างอิงประจำบท ๖๓ แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี ๓ ๖๖ บทท่ี ๓ ความรู้เบอ้ื งต้นเก่ยี วกับจิตวิทยาพฒั นาการ ๖๖ ๓.๑ ความนำ ๖๖ ๓.๒ ความหมายของพัฒนาการ ๖๘ ๓.๓ หลักทัว่ ไปของพฒั นาการ ๖๙ ๓.๔ วธิ ศี ึกษาพฒั นาการของมนุษย์ ๗๐ ๓.๕ ปจั จัยทม่ี อี ิทธิพลต่อพฒั นาการของมนุษย์ ๗๒ ๓.๗ ทฤษฎเี ก่ียวกับพัฒนาการของมนุษย์ ๘๒ ๓.๘ คณุ ลักษณะของผูเ้ รยี นวยั ตา่ งๆ ๙๒ สรปุ ท้ายบท ๙๓ ใบกจิ กรรมท่ี ๓.๑ ๙๔ ใบกจิ กรรมที่ ๓.๒ ๙๕ คำถามทา้ ยบท ๙๖ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๙๗ แผนบรหิ ารการสอนประจำบทที่ ๔ ๙๙ บทท่ี ๔ พฤตกิ รรมการเรียนรู้ ๙๙ ๔.๑ ความนำ ๙๙ ๔.๒ ความหมายของการเรยี นรู้ ๑๐๐ ๔.๓ พฤตกิ รรมที่ไมน่ บั ว่าเปน็ การเรียนรู้ ๑๐๑ ๔.๔ กระบวนการเรยี นรู้ ๑๐๓ ๔.๕ ประเภทของการเรียนรู้ ๑๐๔ ๔.๖ องค์ประกอบของการเรียนรู ๑๐๕ ๔.๗ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ๑๑๙ สรุปทา้ ยบท ๑๒๐ ใบกจิ กรรมท่ี ๔ ๑๒๐ คำถามทา้ ยบท ๑๒๒ เอกสารอ้างอิงประจำบท

สารบัญ (ต่อ) หนา้ บทท่ี ๑๒๓ ๑๒๕ แผนบริการการสอนประจำบทที่ ๕ บทที่ ๕ รปู แบบการเรียนรู้ ๑๒๕ ๑๒๖ ๕.๑ ความนำ ๑๒๖ ๕.๒ ความหมายของรปู แบบการเรียนรู้ ๑๔๒ ๕.๓ ทฤษฎรี ูปแบบการเรยี นรู้ ๑๔๒ สรุปท้ายบท ๑๔๓ ใบกิจกรรมที่ ๕ ๑๔๔ คำถามทา้ ยบท เอกสารอ้างอิงประจำบท ๑๔๕ ๑๔๘ แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี ๖ บทท่ี ๖ การจำ การลมื และการคดิ ๑๔๘ ๑๔๘ ๖.๑ ความนำ ๑๔๙ ๖.๒ ความหมายของความจำ ๑๔๙ ๖.๓ กระบวนการของความจำ ๑๕๒ ๖.๔ ประเภทของความจำ ๑๕๓ ๖.๕ การวัดความจำ ๑๕๕ ๖.๖ การลมื ๑๕๖ ๖.๗ เทคนคิ ในการช่วยพฒั นาความจำ ๑๖๒ ๖.๘ การคิด ๑๖๓ สรปุ ทา้ ยบท ใบกิจกรรม ๖.๑ ๑๖๓ ใบกจิ กรรม ๖.๒ คำถามท้ายบท ๑๖๔ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๑๖๕ แผนบริหารการสอนประจำบทที่ ๗ ๑๖๖ บทท่ี ๗ เชาวป์ ญั ญา ๑๖๖ ๗.๑ ความนำ ๑๖๙ ๗.๒ ความหมายของเชาว์ปัญญา ๑๖๙ ๗.๓ แบบทดสอบทางเชาวป์ ัญญา ๑๗๐

สารบญั (ต่อ) หน้า บทที่ ๑๗๔ ๗.๔ ระดบั สตปิ ญั ญาของบุคคล ๗๕ ๗.๕ องคป์ ระกอบของเชาวป์ ัญญา ๑๗๗ ๗.๖ ทฤษฎีทางเชาว์ปญั ญา ๑๘๖ สรปุ ท้ายบท ๑๘๗ ใบกจิ กรรมท่ี ๗ ๑๘๘ คำถามท้ายบท ๑๘๙ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๑๙๐ แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี ๘ ๑๙๓ บทที่ ๘ ความรูเ้ บอ้ื งตน้ เกีย่ วกบั การแนะแนว ๑๙๓ ๘.๑ ความนำ ๑๙๓ ๘.๒ ความหมายของการแนะแนว ๑๙๕ ๘.๓ จุดมุ่งหมายของการแนะแนว ๑๙๖ ๘.๔ ความแตกตา่ งระหวา่ งการแนะแนวกับการแนะนำ ๒๐๐ ๘.๕ หลกั การแนะแนว ๒๐๓ ๙.๖ ปรชั ญาการแนะแนว ๒๑๗ สรุปท้ายบท ๒๑๘ ใบกิจกรรม ๘.๑ ๒๑๙ ใบกิจกรรม ๘.๒ ๒๒๐ คำถามทา้ ยบท ๒๒๑ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๒๒๒ แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี ๙ ๒๒๕ บทท่ี ๙ การใหค้ ำปรกึ ษาเบอื้ งตน้ ๒๒๕ ๙.๑ ความนำ ๒๒๕ ๙.๒ ความหมายของการใหค้ ำปรึกษา ๒๒๗ ๙.๓ หลักการของการให้คำปรึกษา ๒๔๓ สรุปทา้ ยบท ๒๔๔ ใบกจิ กรรมที่ ๙.๑ ๒๔๔ ใบกจิ กรรมท่ี ๙.๒ ๒๔๕ คำถามท้ายบท ๒๔๖ เอกสารอา้ งอิงประจำบท

สารบญั (ตอ่ ) หนา้ บทท่ี ๒๔๗ แผนบริหารการสอนประจำบทที่ ๑๐ ๒๕๐ บทท่ี ๑๐ จติ วิทยาสำหรบั เด็กพเิ ศษ ๒๕๐ ๑๐.๑ ความนำ ๒๕๑ ๑๐.๒ ความหมายของเด็กพิเศษ ๒๕๒ ๑๐.๓ ประเภทของเด็กพิเศษ ๒๕๕ ๑๐.๔ วธิ กี ารศึกษาเดก็ พิเศษ ๒๖๐ ๑๐.๕ รปู แบบการจดั การศึกษาพเิ ศษสำหรับเด็กพิการ ๒๖๐ ๑๐.๖ แนวทางการใหค้ วามช่วยเหลอื เดก็ พิเศษ ๒๗๑ สรุปทา้ ยบท ๒๗๒ ใบกิจกรรมท่ี ๑๐ ๒๗๒ คำถามทา้ ยบท ๒๗๓ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๒๗๔ บรรณานกุ รม

แผนบริหารการสอนประจำบทที่ ๑ ความรเู้ บื้องต้นเก่ียวกบั จติ วทิ ยา จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม หลังจากไดศ้ ึกษาบทเรียนนี้แลว้ นสิ ติ สามารถ ๑. อธิบายความหมายของจติ วทิ ยาได้ ๒. อธิบายความเปน็ มาของจิตวิทยา ๓. อธบิ ายความหมายของพฤตกิ รรมได้ ๔. อธิบายวิธีการศึกษาพฤติกรรมได้ ๕. อธบิ ายแนวคดิ ทฤษฎที างจิตวิทยากลุ่มต่างๆ ได้ ๖. บอกประโยชนข์ องการศึกษาจิตวิทยาได้ เน้ือหาสาระ เนื้อหาสาระในบทนี้ประกอบด้วย ๑.ความเป็นมาของจิตวทิ ยา ๒.ความหมายของจติ วิทยา ๓.พฤตกิ รรม ๔.สาขาจิตวทิ ยาทีส่ มั พนั ธ์กบั วชิ าชพี ครู ๕.วิธกี ารศึกษาทางจิตวทิ ยา ๖.กลมุ่ แนวคดิ ทางจิตวิทยา ๗.ประโยชน์ของการศึกษาจิตวทิ ยา กิจกรรมการเรียนการสอน สัปดาหท์ ี่ ๑ ๑. ปฐมนเิ ทศการเรียนรายวิชา ด้วยการอธิบายแผนบรหิ ารการสอนและสร้างข้อตกลงใน การศกึ ษาในรายวชิ าน้ีตลอดท้ังภาคเรียน ๒. อธบิ ายเนือ้ หา และสรปุ เน้ือหาสาระท่ีสำคัญ ดว้ ย Microsoft Power-point ๓. อภิปราย แลกเปล่ียนความคิดเหน็ และซักถาม ๔. มอบหมายให้นสิ ติ ค้นควา้ เก่ยี วกับกลุม่ แนวคดิ ทางจิตวิทยา สปั ดาหท์ ี่ ๒ ๑.ทบทวนความรูเ้ ดิมท่ีเรยี นในสัปดาห์ท่ี ๑ โดยการซกั ถามและใหอ้ ธบิ ายและแสดงความคดิ เหน็ ๒. อธบิ ายเนื้อหาและสรปุ เน้ือหาสาระท่ีสำคญั ดว้ ย Microsoft Power-point ๓. อภิปราย แลกเปลี่ยนความคดิ เห็น และซกั ถาม ๔. ให้นิสติ แบง่ กลุ่มแล้วศกึ ษาหวั ข้อ “แนวคิดของกล่มุ แนวคดิ ทางดา้ นจิตวทิ ยา” ทงั้ ๖ กลุ่ม ตามที่มอบหมาย โดยใชก้ จิ กรรม Home Group ในการแลกเปลย่ี นกบั กลุ่มอื่น แล้วนำเสนอหน้าชนั้ ๕. แบง่ กลมุ่ นสิ ติ เปน็ กลมุ่ มอบหมายงานใหแ้ ต่ละกล่มุ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกบั พัฒนาการ ของผูเ้ รียนในระดบั ตา่ งๆ ๖. ใหต้ อบคำถามทา้ ยบทท่ี ๑ และนำส่งในสัปดาห์หน้า

จิตวิทยาสำหรบั ครู ๒ ส่อื การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน “ความรเู้ บ้ืองตน้ เก่ยี วกบั จิตวทิ ยา” ๒. การนำเสนอดว้ ย Microsoft Power-point และวีดิทศั น์ / คลปิ วีดโี อ ๓. ตำราหรือหนังสอื เก่ียวกบั จิตวิทยา ไดแ้ ก่ กฤตวรรณ คำสม, จติ วิทยาสำหรับครู, อดุ รธานี : คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี, ๒๕๕๗. จริ าภรณ์ ตัง้ กติ ตภิ าภรณ์, จิตวิทยาท่ัวไป, พิมพ์ครง้ั ที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์ แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๗. ณฐั ภร อินทุยศ, จติ วทิ ยาทั่วไป, กรงุ เทพมหานคร : สำนักพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ,๒๕๕๖. มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ , จติ วิทยา, ขอนแกน่ :ภาควิชาจิตวทิ ยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , ๒๕๕๐. ศรวี รรณ จันทรวงศ์, พฤติกรรมมนษุ ยก์ ับการพัฒนาตน, อดุ รธานี : สยามการพิมพ์, ๒๕๔๗. อัชรา เอิบสุขสริ ิ, จิตวิทยาสำหรบั ครู, พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๓, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พแ์ ห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๙. ๔. ใบกจิ กรรมกล่มุ หวั ข้อ “แนวคิดของกลมุ่ แนวคิดทางด้านจติ วิทยา” แหลง่ การเรียนรู้ ๑. หอ้ งสมุดวทิ ยาลัยสงฆ์บรุ ีรัมย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๒. ห้องสมุดคณะครศุ าสตร์ สาขาวชิ าการสอนพระพุทธศาสนาและจิตวทิ ยาการแนะแนว ๓. แหล่งการเรยี นรทู้ างอนิ เตอรเ์ นต็ เกย่ี วกบั จิตวิทยาการศึกษา ความแตกต่างระหว่างบุคคลและการสร้าง บรรยากาศในชนั้ เรียน นสิ ิตสามารถสบื คน้ ขอ้ มลู ท่ตี อ้ งการผ่านเว็บไซตต์ ่างๆ การวดั และการประเมนิ ผล จุดประสงค์ เครอ่ื งมอื /วธิ กี าร ผลที่คาดหวัง ๑. อธิบายความหมาย ๑. ซกั ถาม ๑. นสิ ิตสามารถอธบิ ายความหมายของ ของจติ วิทยาได้ ๒. แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท จติ วิทยาไดช้ ัดเจนและครบถ้วน ๒. นิสิตมคี ะแนนการทำแบบฝกึ หัดถกู ต้อง รอ้ ยละ ๘๐ ๒. อธิบายความเปน็ มา ๑. ซกั ถาม ๑. นสิ ิตสามารถอธิบายความเป็นมาของ ของจติ วทิ ยา ๒. แบบฝกึ หดั ท้ายบท จติ วทิ ยาได้ ๒. นสิ ิตมีคะแนนการทำแบบฝึกหดั ถูกต้อง รอ้ ยละ ๘๐ ๓. อธบิ ายความหมาย ๑. ซักถาม ๑. นิสิตสามารถอธบิ ายความหมายของ ของพฤติกรรมได้ ๒. แบบฝึกหัดทา้ ยบท พฤติกรรมได้ชัดเจนและครบถ้วน ๒. นิสติ มีคะแนนการทำแบบฝกึ หดั ถกู ต้อง รอ้ ยละ ๘๐ ๔. อธบิ ายวิธีการศึกษา ๑. ซกั ถาม ๑. นสิ ติ สามารถอธิบายวธิ กี ารศึกษา พฤติกรรมได้ ๒. แบบฝึกหดั ท้ายบท พฤติกรรมได้

จติ วิทยาสำหรบั ครู ๓ ๕. อธบิ ายแนวคิดทฤษฎี ๑. สงั เกตพฤติกรรมการ ๒. นิสิตมคี ะแนนการทำแบบฝึกหัดถูกต้อง ทางจิตวิทยากลุ่มต่างๆได้ รว่ มกิจกรรม รอ้ ยละ ๘๐ ๑. นิสิตมีคะแนนการทำงานกลมุ่ และการ ๒. สงั เกตการณน์ ำเสนอ นำเสนอหน้าชั้น รอ้ ยละ ๘๐ หนา้ ชัน้ เรียน ๒. นสิ ติ ให้ความรว่ มมอื ในการทำกิจกรรม ๓. แบบสังเกตพฤติกรรม กล่มุ รอ้ ยละ ๑๐๐ การทำงานกล่มุ ๓. นิสิตมคี ะแนนการทำแบบฝึกหัดถกู ต้อง ๔. ผลงานกลุ่ม ร้อยละ ๘๐ ๕. แบบฝกึ หดั ท้ายบท ๑. นสิ ิตสามารถบอกประโยชนข์ องการศึกษา ๖. บอกประโยชน์ของ ๑. ซกั ถาม จติ วิทยาได้ การศึกษาจิตวทิ ยาได้ ๒. แบบฝึกหดั ท้ายบท ๒. นสิ ิตมีคะแนนการทำแบบฝกึ หดั ถกู ต้อง รอ้ ยละ ๘๐

จิตวิทยาสำหรบั ครู ๔ บทที่ ๑ ความรเู้ บ้ืองต้นเก่ยี วกบั จิตวิทยา ๑.๑ ความนำ ในสังคมการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มของมนุษย์ อาจจะมีหลายๆอย่างท่ีมนุษย์สงสัยและพยายามศึกษา หาข้อเท็จจริง ทั้งส่ิงท่ีเป็นธรรมชาติ และสิ่งที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เองผลจากการศึกษามีทั้ง ได้คำตอบ ท่ชี ัดเจน บางอย่างก็ได้คำตอบทไี่ ม่ชัดเจน บางอย่างก็ยงั ไม่ได้คำตอบ การกระทำหลายๆ อย่างของมนุษย์ท่ีเกิดขึ้น ในสังคม ไม่ว่าเป็นยุคสมัยใด มีบางคร้ังท่ีผู้กระทำไม่สามารถอธิบายให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้อย่างชัดเจน เพราะแม้ แต่ตนเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจถ่องแท้ มนุษย์จึงพยายามท่ีจะค้นหาคำอธิบายเร่ืองต่างๆ ของมนุษย์ด้วยกันเอง โดยเฉพาะการกระทำ ในสมัยโบราณเช่ือว่า การกระทำของมนุษย์เกิดจากส่ิงท่ีมีอำนาจเหนือธรรมชาติ ต่อมา มีนักปราชญ์หลายท่าน ช่วยกันค้นหาคำตอบ และสรุปเป็นหลักการ แต่ผลของคำตอบส่วนใหญ่มาจาก การเทียบเคียงความคิดและเหตุผลของตนเองของนักปราชญ์ ซ่ึงจะหาคำตอบท่ีชัดเจนได้ยาก เพราะแต่ละคน จะมีเหตุผลตามประสบการณ์ของตนเอง ระยะต่อมาสังคมเป็นสังคมท่ีต้องการพิสูจน์ และหาหลักฐานยืนยัน ทแ่ี นน่ อน จงึ นำมาสู่การยึดเปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิ ซึ่งถือเปน็ ยุคของวิทยาศาสตร์ การศึกษาการกระทำของมนุษย์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเน่ือง และพัฒนาตามความก้าวหน้าของการศึกษา ด้านวิทยาศาสตร์ ฉะน้ัน การศึกษาหาคำตอบในการกระทำของมนุษย์ในระยะต่อมาจึงเป็นในรูปแบบ ทางวิทยาศาสตร์ การกระทำต่าง ๆ ของมนุษย์ก็ใช้คำว่า“พฤติกรรม” แทนแนวคิดของจิตวิทยาในระยะเร่ิมแรก เป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวข้องกับวิญญาณ (Soul)โดยแทรกอยู่ในวิชาปรัชญา ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๘๗๙ เมื่อ วิลเฮล์ม วุนด์ ได้ตั้งห้องทดลองทางจิตวิทยาข้ึนเป็นแห่งแรกของโลกที่ประเทศเยอรมนี จิตวิทยาก็ได้มีฐานะเป็นจิตวิทยา เชิงวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นศาสตร์ค่อนข้างใหม่ แต่ก็มีพัฒนาการท่ีรวดเร็วมาก เป็นที่ยอมรับ และนำไปประยุกต์ใช้กันอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันมีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยทางจิตวิทยามากมาย จนเกิดเป็น จติ วิทยาสาขาใหมๆ่ ขน้ึ อย่างต่อเน่ือง ๑.๒ ความเปน็ มาของจิตวิทยา จิตวิทยาเป็นวิชาท่ีมีกำเนิดมานานแล้วตั้งแต่สมัยของอลิสโตเติล (Aristotle) แต่ในระยะเร่ิมแรกน้ัน ยงั เป็นสว่ นหน่งึ ของวิชาปรัชญาอยู่ เปน็ วชิ าที่ศึกษาเกย่ี วกับจิตวิญญาณ ตามความหมายของคำว่า “Psychology” ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำในภาษากรีก คือ Psyche หมายถึง วิญญาณ (Soul)และLogos หมายถึง การศึกษา (Study) เน่ืองจากในสมัยโบราณมนุษย์มีความเช่ือว่า ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ มีอำนาจหรือสิ่งลึกลับ บางอย่างมาบังคับให้เกิดขึ้น และคอยควบคุมปรากฏการณ์นั้นๆ ภายในตัวมนุษย์เองก็มีส่ิงลึกลับแอบแฝงอยู่ ในร่างกาย ส่ิงน้ัน คือวิญญาณ น่ันเอง วิญญาณจะคอยกระตุ้นและควบคุมกิริยาอาการต่างๆ ของร่างกาย จากความเช่ือดังกล่าวทำใหน้ ักปรัชญาเกิดความสนใจและพยายามคิดหาคำตอบเกี่ยวกับเร่ืองของวญิ ญาณ แตก่ ็ไม่ มีคำตอบของใครเป็นท่ียอมรับกันโดยทั่วไป วิญญาณคืออะไร อยู่ท่ีไหน มีตัวตนหรือลักษณะอย่างไร ก็ยังไม่มี คำตอบท่ีแน่นอน เน่ืองจากวิญญาณเป็นส่ิงที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ทางอวัยวะการรบั รู้ทางความรู้สึกไม่สามารถจับ ต้องมองเห็นและพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ ดังนั้น การศึกษาทางจิตวิทยาในเรื่องของวิญญาณจึงค่อยๆเส่ือมลงในเวลา ตอ่ มา

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๕ เม่อื วิทยาศาสตร์มคี วามเจรญิ ก้าวหน้ามากขึ้น ความสำเรจ็ ของวธิ ีการทดลองในวิชาฟิสิกส์และเคมี รวมทั้ง ความรู้ทางสรีระวิทยาและอิทธิพลของทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน (Charles Darwin) ได้กระตุ้นให้นัก ปรัชญาบางคนคิดว่า จิตและพฤติกรรมของมนุษย์ควรจะศึกษาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ด้วยเช่นกัน และลักษณะเนื้อหาวิชาของจิตวิทยาก็ควรจะแปรรูปไปเป็นแบบกายภาพให้มากขึ้น จากการศึกษาเก่ียวกับ วิญญาณ นักจิตวทิ ยาได้หันมาสนใจศึกษาเรอ่ื งของจิตสำนกึ หรือความรู้ตัว (Conscious) แทน ทั้งน้ีเพราะเปน็ เรื่อง ทสี่ ามารถพสิ จู นท์ ดลองไดด้ ีกวา่ วิญญาณ John Lock๑ นักปรัชญาชาวอังกฤษกล่าวว่า จิตสำนึกก็คือความรู้ตัวของมนุษย์นั้นเอง เป็นการที่เรารู้ตัว วา่ เราเป็นใคร กำลังคดิ อะไร รู้สึกอย่างไร และ กำลงั ทำอะไรอยู่ จิตสำนกึ เกดิ จากการเกบ็ สะสมประสบการณ์ตา่ งๆ ท่ีได้จากการเรียนรู้ ล็อคเชื่อว่าในวัยเด็ก จิตจะว่างเปล่า เม่ือโตขึ้น จิตสำนึกก็ย่ิงจะได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม มากขนึ้ ดังน้นั ส่ิงแวดล้อมจึงมอี ิทธพิ ลต่อจิตสำนึกหรอื ความรตู้ ัวของมนษุ ย์มาก ในปี ค.ศ. 1879 วิชาจิตวิทยาเริ่มก้าวมาสู่ยุคใหม่ และมีฐานะเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง เม่ือวิลเฮล์ม วุ้นด์ ได้จัดตั้งห้องปฏิบัติการทางจิตวิทยาข้ึนเป็นแห่งแรกของโลกท่ีมหาวิทยาลัยไลป์ ซิก ประเทศเยอรมัน เพื่อทำการศึกษาเก่ียวจิตสำนึก (Sensation) ซ่ึงเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ทางกายภาพ และประสบการณ์ ทางการรู้สึกของบุคคลท่ีเกิดข้ึน จากเหตุการณ์นั้น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า จิตวิทยาพ่ึงจะแยกตัว ออกมาจากวิชาปรัชญาเม่ือร้อยกว่าปีที่ผ่านามานี้เอง ต่อมาในปี ค.ศ.1883 มหาวิทยาลัยจอห์น ฮิปกิ้นส์ ก็ได้ ต้ังห้องปฏิบัติการทางจิตวิทยาอย่างเป็นทางการขึ้นนับเป็นแห่งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากน้ันไม่ก่ีปี มหาวิทยาลัยหลายแหง่ ก็ได้จดั ตง้ั ภาควิชาจติ วิทยาและหอ้ งปฏิบัตกิ ารทางจติ วทิ ยาขึ้น เชน่ กัน ในช่วงเวลาน้ัน นอกจากการศึกษาจิตในระดับจิตสำนึกแล้ว ยังมีนักจิตวิทยาอีกกลุ่มหนึ่ง ซ่ึงสนใจศึกษา จิตในระดับจิตไร้ สำนึก (Unconscious) นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้มีจิตแพทย์ชาวออสเตรียช่ือ ซิกมันด์ ฟรอยด์๒ เป็นผู้นำกลุ่ม ฟรอยด์กล่าวว่าบุคคลนั้น มีท้ังความรู้ตัวและความไม่รู้ตัว ความรู้ตัวเป็นจิตสำนึก ส่วนความไม่รู้ตัว เป็นจิตในระดับจิตไร้สำนึก ส่ิงท่ีอยู่ในจิตไร้สำนึกมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์มาก ทั้งน้ี เพราะส่ิงเหล่านั้น จะเป็นแรงผลักดันกระตุ้นทำให้มนุษย์ทำกิจกรรมต่างๆ นอกจากนั้น ความผิดปกติทางจิตหลายอย่าง มักจะมี สาเหตุมาจากจิตไรส้ ำนกึ ในปี ค.ศ. 1913 จอห์น วตั สัน๓ นักจิตวทิ ยาชาวอเมริกันได้เรยี กร้อง ใหน้ ักจิตวิทยาหันมาศึกษาพฤติกรรม แทนการศึกษาในเร่ืองของความรู้ตัวและจิตวิญญาณ ท้ังน้ีเพราะเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งท่ีไม่สามารถสังเกตเห็นได้ โดยตรง แม้จะอนุมานจากสิ่งท่ีมองเห็น ก็ยังไม่ได้ ส่วนพฤติกรรมนั้นเป็นสิ่งที่ทำการสังเกตโดยบุคคลได้ และวิทยาศาสตร์ก็ต้ังอยู่บนรากฐานของสิ่งท่ีสังเกตได้ ดังนั้น การศึกษาพฤติกรรม จึงปฏิบัติในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ เป็นอย่างดี ต่อมาข้อเสนอของวัตสันได้พัฒนาเป็นกลุ่มแนวคิดทางจิตวิทยา เรียกว่า กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งกลมุ่ แนวคดิ น้ีได้มีบทบาทและมอี ทิ ธพิ ลต่อการศกึ ษาทางจติ วิทยาในยุคต่อๆ มาเปน็ อยา่ งมาก นักจิตวิทยาเป็นจำนวนมากมีความเห็นตรงกันว่า จิตวิทยาควรศึกษาพฤติกรรม แม้แต่นักจิทยาในกลุ่ม ที่ต้องการให้จิตวิทยาศึกษาปรากฏการณ์ทางจิต (Mental Events) ท่ีเกิดขึ้น ภายในตัวบุคคล ก็ยังมีความเห็นว่า จะตอ้ งเริม่ การศกึ ษาที่พฤติกรรมกอ่ นสังคมในปจั จุบันมีความเจรญิ กา้ วหน้าและซับซ้อนมากข้ึน ส่งผลใหม้ นษุ ย์ตอ้ ง ปรับตัวตามเพ่ือให้อยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข คนมุ่งมั่นศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมากขึ้น ต่อมาจึงมีการใช้คำว่า “จิตวิทยา” อยา่ งกวา้ งขวาง จติ วิทยาจงึ เข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตของมนษุ ย์ในทุกด้าน ๑John Lock, Two Treatises of Government (2nd Ed.), New York : Heffner Press.1970 ๒ Sigmund Freud, An outline of Psychoanalysis, New York : W.W. 1974. ๓ John Watson, Research in Education. 3rd ed. Englewood Cliffs, New Jersey : Prentice Hall, Inc. 1977.

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๖ ๑.๓ ความหมายของจติ วิทยา มนุษย์พยายามท่ีจะหาคำตอบกับการกระทำของมนุษย์ด้วยกันเอง โดยการศึกษาค้นคว้าในรูปแบบต่างๆ แต่คำตอบท่ีได้กลับไม่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ เม่ือมีการศึกษาแต่ละคร้ังคำตอบ ก็เปลี่ยนแปลงไป เพราะการศึกษาค้นคว้าน้ัน มาจากความคิดและเหตุผลของผู้ศึกษาเองซ่ึงแต่ละท่านมีประสบการณ์ต่างกัน ในปี ค.ศ. ๑๕๖๐ เมลาธอน (Melanchthon) นักปรัชญาชาวเยอรมัน พยายามศึกษาหาคำตอบจากกระทำ ของมนุษย์ และได้นำคำว่า “Psychology”หรือจิตวิทยา มาใช้จิตวิทยา มาจากภาษาอังกฤษว่า Psychology โดยมรี ากศัพท์มาจากภาษากรกี ๒ คำ คือ Psyche กับ Logos คำว่า “Psyche” มีความหมายว่า จิตหรือวิญ ญ าณ ส่วนคำว่า “Logos” มีความหมายว่า ศาสตร์หรือการศึกษา รวมเป็น Psychology หรือ จิตวิทยา ดังนั้น ตามรากศัพท์จึงหมายถึง คือ ศาสตร์ท่ีศึกษา เก่ียวกับวิญญาณหรือจิต ซ่ึงสัญลักษณ์ของจิตวิทยาก็มาจากตัวอักษรตัวหน่ึงของภาษากรีก คือ “ᴪ” โดยจิตวิทยากำเนิดมาจากวัตถุประสงค์เพื่อให้มนุษย์ได้เข้าใจในมนุษย์ด้วยกันเอง ซ่ึงเดิมที่อยู่ในกรอบ ของวิชาปรัชญา เพราะใช้หลักคิดในการไตร่ตรอง วิธีพิจารณาความจริงและการหาเหตุผลส่วนตัวของนักปรัชญา ถงึ แม้จะมีผู้สนใจศึกษาด้านจิตวิทยามากข้ึน แต่ก็ยังสรุปให้ชัดเจนไม่ได้ว่า “จิต” คืออะไร นักจิตวิทยาในแต่ละยุค ก็พยายามศึกษาวิถีชีวิตและการกระทำต่างๆ ของมนุษย์ โดยทำการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และมีการทดลองด้วย จากการศึกษาการกระทำของมนุษย์อย่างต่อเน่ือง ทำให้เห็นและเข้าใจในความเป็นมนุษย์ชัดเจนขึ้ น และนกั จิตวทิ ยา ได้ใช้คำว่า “พฤตกิ รรม” (Behavior) แทนลักษณะการกระทำของมนุษย์ เมื่อจิตวิทยาพฒั นาข้ึน มาอย่างต่อเน่ือง ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม ซ่ึงให้ความสำคัญกับเรื่องที่พิสูจน์ได้ หรือวิทยาศาสตร์ จึงได้มีการศึกษาค้นคว้าในเชิงวิชาการมากขึ้นและจิตวิทยาได้เริ่มศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์ เม่ือ วิลเฮล์ม แมกซ์ วุ้นด์ (Wilhem Max Wundt) นักสรีรวิทยาและปรัชญาชาวเยอรมันได้เปิดห้องปฏิบัติการ ทางจิตวิทยาอย่างเป็นทางการห้องแรกของโลกท่ีเมืองไลป์ซิก (Leipzig) ในประเทศเยอรมัน เมื่อปี ค.ศ.๑๘๗๙ และ วนุ้ ด์ ได้รับยกย่องให้เป็นบิดาแหง่ จติ วิทยาการทดลอง ดังแสดงในภาพท่ี ๑.๑ ภาพท่ี ๑.๑ : วุน้ ด์และลูกศิษย์ กำลังศกึ ษาค้นควา้ ทางด้านจติ วทิ ยาในหอ้ งปฏิบัติการทางจติ วิทยา ทม่ี า: www.nici.ru.nl

จติ วทิ ยาสำหรับครู ๗ คำว่า จิตวิทยา (Psychology) มีนักการศึกษาให้ความหมายไว้หลายท่านในที่น้ีจะยกตัวอย่างบางท่าน เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจความหมายของจิตวิทยาเป็นเบื้องต้น ดงั น้ี บารอน (Baron)๔ ได้สรุปไว้ว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์แห่งพฤติกรรม (behavior) และกระบวนการ ทางปัญญา (cognitive process) เปน็ การศกึ ษาเก่ยี วกบั ส่ิงท่เี ราคิด รู้สึก หรือกระทำ ด้วยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ จอห์นสตัน (Johnston)๕ ให้ความหมายของจิตวิทยาว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์ของธรรมชาติมนุษย์ ซ่ึงศึกษาเก่ียวกับสภาวะจิตใจและพฤติกรรม เพื่อสามารถเข้าใจได้ว่า ทำไมผู้คนถึงคิด และกระทำในส่ิงที่ทำ รวมถึงการส่ือสารซง่ึ กันและกัน การแก้ปญั หา และการเรยี นรูส้ ่งิ ใหม่ๆ ตำนานเล่าว่า ไซคี (Psyche) มีลักษณะเป็นอาวุธประจากายของเทพโพไซดอน(Poseidon) นักจิตวิทยา ได้ความหมายของ “จติ วทิ ยา” (Psychology) ไวม้ ากมายแต่ในท่ีน้ีขอยกตวั อย่างพอเปน็ สงั เขป คอื ฮิลการ์ด๖ อธิบายว่า จิตวิทยา หมายถึง ศาสตร์ท่ีศึกษาในเรื่องท่ีเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ อน่ื ๆ (Psychology is the science that studies the behaviors of man and other animals.) มอร์แกน๗ กล่าวว่า จิตวิทยา เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมมนุษย์และสัตว์ (Psychology is a science of human and animal behaviour, it includes the applications of the science to the human problems.) ไซเดอร์ และคณะ๘ ให้คำนิยามว่า จิตวิทยา เป็นการศึกษาถึงพฤติกรรมและกระบวนการของจิตด้วย ร ะ เบี ย บ วิ ธี ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ (Psychology is the scientific study of behavior and mental processes.) เฟลดแมน๙ ให้คำนิยาม จิตวิทยา ว่า เป็นศาสตร์ท่ีศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตด้วย ร ะ เบี ย บ วิ ธี ก า ร ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ (Psychology is the scientific study of behavior and mental processes.) แมทลิน๑๐ ให้นิยาม จิตวิทยาว่าเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตด้วย ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Psychology can be defined on the the scientific study of behavior and mental processes.) เดโช สวานนท์๑๑สรุปความหมายของจิตวิทยาว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์ท่ีศึกษาอากัปกริยาและการ แสดงออกต่างๆ ที่มนุษย์ได้กระทำหรือแสดงออก เช่น ชีวิตเกิดมาได้อย่างไร แก้ปัญหาอย่างไร มีอะไรบ้าง เป็นแรงผลักดนั ใหม้ นษุ ยด์ น้ิ รน ฯลฯ ๔ Baron, Robert A, Psychology : The Essential Science, Boston : Allyn and acon,1983, p. 6. ๕ Johnston, Joni E, The complete Idiot’s Guide to Psychology, Indianapolis : Mac millon U.SA., Inc., 2000, p.4. ๖ Hilgard, Introduction to Psychology, New York: Harcourt, Brace and World Inc, 1962, p. 2. ๗ Krejcie,R.V. and Morgan,D.W. “Determining sample size for research activities”,Educational and Measurement, 1974, p. 4. ๘ Smith, C. A. et al. Organizational citizenship behavior: Its nature and antecedents, Journal of Applied Psychology, 68 (4), (1983, August). pp. 653 - 663. ๙ Feldman, R.S. Essentials of Understand Psychology, New York: McGraw-Hill, 1994, p.2. ๑๐ Matlin, M.W. Psychology. 2 nd ed. Fort Worth : Harcourt Brace, 1995, p. 2. ๑๑ เดโช สวานนท์, จติ วทิ ยาสำหรับครูและผู้ปกครอง, (กรงุ เทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘), หนา้ ๑.

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๘ นิตย์ บุหงามงคล๑๒ ได้ให้ความหมายของจิตวิทยาว่า จิตวิทยาเป็นการศึกษาเร่ืองราวของพฤติกรรม พฤติกรรมที่ศึกษาน้ัน อาจเป็นได้ทั้งพฤติกรรมมนุษย์และสัตว์ คำว่าพฤติกรรมมีความหมายรวมท้ังพฤติกรรม ภายนอกที่สงั เกตได้ วดั ได้ดว้ ยตาเปล่า และพฤตกิ รรมภายในที่จะต้องเคร่อื งมือช่วยในการวดั อุบลรัตน์ เพ็งสถิติ๑๓ ได้ให้ความหมายไว้ว่า จิตวิทยา หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์ โดยมีการศึกษาพฤติกรรมหรือการกระทำของสัตว์ เพ่ือนำผลท่ีได้จากการศึกษาดังกล่าว มาประยุกต์ใช้ และเปรยี บเทยี บกบั ลักษณะการกระทำของมนุษย์ตอ่ ไป ดังนั้น พอสรุป จากความหมายดังกล่าวข้างต้นได้ว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์ท่ีศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรม ของมนุษย์และสัตว์ กระบวนการทางจิต และกระบวนการทางปัญ ญ าของมนุษย์ ด้วยวิธีการทาง วทิ ยาศาสตร์“จิตวทิ ยา” (Psychology) เป็นศาสตร์ท่ีศึกษาค้นคว้า เพื่อนำความรู้และข้อมลู ตา่ งๆ ที่ไดจ้ ากแนวคิด ทฤษฎี และการทดลองมา นำเสนอเพื่ออธิบาย ทำนาย และควบคุมพฤติกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรม ของมนษุ ย์ ๑.๔ พฤตกิ รรม เมื่อจิตวิทยาเป็นศาสตร์ท่ีศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ ก็จะทำให้เกิด ความเข้าใจมนุษย์ดีข้ึน ดังท่ี จอห์น บี. วัตสัน (John B. Watson)๑๔ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันกลุ่มพฤติกรรมนิยม กล่าวว่า “การศึกษาเพ่ือทำความเข้าใจมนุษย์ จะต้องดูจากพฤติกรรมที่ปรากฏออกมาให้เห็น” และเขายังเน้น ต่อไปว่าจิตวิทยาคือหมวดหมู่หนึ่งของศาสตร์ธรรมชาติซ่ึงศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมมนุษย์เป็นสาระสำคัญ ฉะนั้น สาระความรู้ทางจิตวิทยา จึงพยายามทำความเข้าใจคนโดยมุ่งไปที่พฤติกรรมและศึกษาคนในแง่มุมทางพฤติกรรม แต่ในช่วงระยะที่จิตวิทยามีการศึกษาค้นคว้าตั้งแต่เชิงปรัชญาจนถึงยุควิทยาศาสตร์ นักจิตวิทยาท่ีทำการศึกษา ข้อเท็จจริงในการกระทำของมนุษย์ จะอธิบายในแง่ของสัญชาตญาณ ซ่ึงก็มีนักจิตวิทยาหลายท่านไม่เห็นด้วย หน่งึ ในผไู้ มเ่ ห็นด้วย คือ วัตสัน (John B. Watson) อธิบายว่า พฤตกิ รรมของมนุษยไ์ ด้มาจากการเรียนรู้ การฝึกฝน โดยเขาทำการทดลองจากความเช่ือของนักจิตวิทยาท่ีกล่าวว่า แมวมีสัญชาตญาณในการจับหนู วัตสันจึงทดลอง เล้ียงลูกแมวตัวเล็กๆ ไว้รวมกับหนู โดยไม่ให้ลูกแมวมีโอกาสเห็นแมวตัวอ่ืนจับหนู เม่ือลูกแมวโตและยังอยู่กับหนู ท่ีโตมาด้วยกัน แมวก็ยังหยอกล้อ เล่นกับหนู โดยไม่ทำอันตรายหนูเลย วัตสันจึงม่ันใจว่า แมวจับหนูไม่ใช่ เป็นเพราะสัญชาตญาณ และเขาเช่ือว่าพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดข้ึนต้องเคยเห็น เคยรู้ เคยฝึกฝน ฯลฯ ซ่ึงวัตสัน ก็สรปุ ว่า พฤติกรรมเปน็ ผลมาจากการเรียนรู้ ๑.๔.๑ ความเขา้ ใจเบ้ืองต้นเกี่ยวกับพฤติกรรม การศึกษาค้นคว้าของวัตสัน กระตนุ้ ให้นักจิตวทิ ยาหลาย ๆ ท่านพยายามศึกษาคน้ คว้าหาข้อสรุป ของพฤติกรรม ผลของการศึกษาค้นควา้ ก็พอสรุปพอสังเขปดังนี้๑๕ ๑๒ นติ ย์ บหุ งามงคล, จติ วิทยาเบ้อื งต้น, (ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , ๒๕๓๗), หน้า ๑. ๑๓ อบุ ลรตั น์ เพ็งสถติ ,ิ จติ วิทยาพัฒนาการ, (กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั รามคำแหง, ๒๕๔๘), หนา้ ๖. ๑๔ John B. Watson, อา้ งจาก R.L Alkinson., R.C Alkinson and Hilgaed, 1983, p 14. ๑๕ กนั ยา สุวรรณแสง, จติ วิทยาท่ัวไป, (กรงุ เทพมหานคร : บริษัทบำรงุ สาสน์ , ๒๕๓๒), หนา้ ๙๐-๙๑.

จติ วทิ ยาสำหรับครู ๙ ๑.พฤติกรรมบางอย่างท่ีเคยเชื่อวา่ เปน็ เรอื่ งของสัญชาตญาณนนั้ แท้ทจ่ี ริงเป็นเรือ่ งของการเรียนรู้ นกั จิตวทิ ยาได้พยายามสังเกตถึงเร่อื งการทีแ่ มวจบั หนูต่อไปอีก และพบว่า การท่ีแมวจบั หนูเป็นเพราะได้รับการส่ัง สอนจากแม่แมว กล่าวคือในขั้นแรกนั้น แม่จะจับหนูมาตัวหนึ่ง แต่ยังไม่ฆ่าให้ตาย เพียงแต่ทำให้บาดเจ็บมากๆ จนเกือบจะวิ่งหนีไม่ไหว แล้วนำมาวางไว้ตรงหน้าลูกแมว คร้ังแรกๆ ลูกแมวจะทำอะไรไม่ถูก นอกจากใช้เท้าเขี่ย เป็นของเล่น หนูก็จะหนี แต่ก็ไปได้ช้าๆ แม่แมวก็จะตะครุบให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วนำมาวางไว้ตรงหน้าลูกแมวอีก เหตุการณ์เช่นน้ีจะเกิดข้ึนซ้ำๆ กัน จนลูกแมวหัดตะครุบตามท่ีแม่แมวทำให้ดู แต่ก็ยังไม่คล่อง ต่อมาแม่แมว กจ็ ะไปจบั หนูตัวใหม่ให้ลูกแมวใช้เป็นแบบฝกึ หัด ตอ่ ๆมาเมอื่ ลูกแมวตะครุบหนูได้ดีข้ึน หนูตัวหลังๆ ที่แม่แมวจบั มา ให้ลูกแมว ทำแบบฝึกหัด ก็จะทำให้บาดเจ็บน้อยลง เพียงทำให้อ่อนเพลียเล็กน้อย หนูก็จะหนีได้เร็วข้ึน ลูกแมว จึงมีโอกาสได้ทำแบบฝึกหัดที่ยากข้ึนไปเรื่อย จนถึงข้ึนสุดท้าย แม่แมวจะจับหนู โดยไม่ให้มีบาดแผลเลยมาให้ลูก แมวหดั จนกระทั่งลกู แมวสามารถจบั หนไู ดเ้ อง จากผลของการสังเกตนี้ สรปุ ได้ว่า การที่แมวจับหนูเปน็ เพราะได้รับ การฝึกฝนมากอ่ นไม่ใช่เป็นเพราะสญั ชาตญาณ ๒.พฤติกรรมบางอย่างของสิ่งมีชีวิตซ่ึงเคยเชื่อกันว่า เป็นพฤติกรรมอันเนื่องมาจากสัญชาตญาณ นน้ั จากผลการศึกษาค้นคว้าแสดงให้เห็นว่า เป็นพฤตกิ รรมท่ีเกดิ จากวุฒิภาวะ ดงั เชน่ การยา้ ยถ่นิ ของปลาเซลมอน (Salmon) ซึ่งเคยเช่ือว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณน่ันแท้จริง เป็นเพราะการเปล่ียนแปลงอันเน่ืองจากวุฒิภาวะ กล่าวคือ ปลาชนิดน้ีมีเซลล์ที่ไวต่อแสงเป็นอย่างมากอยู่ที่ผิวหนัง เรียกว่า Light-Sensitive Cells เมอ่ื โตข้ึน เซลล์ ก็ทำงานได้ดีข้ึน จึงต้องร่นลงมา ในท่ีน้ำลึกเรื่อยๆ เพ่ือให้พ้นจากการรบกวนของแสง จนท้ายท่ีสุดก็ลงไปอยู่ ในทะเล เมือ่ อายุประมาณ ๒-๓ ปี ปลาชนิดนี้ ก็เจริญเติบโตถึงระยะทว่ี างไข่ การเปลี่ยนแปลงในร่างกายทำให้ปลา ต้องการอากาศที่มีออกซิเจนมากข้ึน จึงต้องย้ายข้ึนมาในท่ีน้ำต้ืนเร่ือยๆ ไปจนในท่ีสุดก็ถึงต้นน้ำ ซึ่งได้เวลาวางไข่ พอดี เมอื่ ไข่กลายเป็นลูกปลาและลูกปลาเหล่าน้ีโตข้ึน ก็ร่นไปหาน้ำลึกเรื่อยไป จนถึงระยะยาววางไข่ก็จะย้อนกลับ ไปยงั ต้นน้ำอีก เป็นเช่นนี้เรอ่ื ยไป ดังแสดงในภาพที่ ๑.๒ หมีขาวตวั ใหญ่กำลังจับกินปลาเซลมอนท่ีวา่ ยน้ำไปยงั แหล่งสบื พันธ์และวางไข่ ท่มี า:www. cherokee.exteen.com ๓.พฤติกรรมบางอย่างของส่ิงมีชีวิตก็ยังถือว่า เป็นพฤติกรรม อันเนื่องมาจากสัญชาตญาณอยู่ เพราะไม่สามารถหาข้อเท็จจริงมาพิสูจน์ได้ว่า เป็นผลมาจากสิ่งอ่ืน ดังเช่น การสร้างรังของนก Oriole รังของนก ชนิดน้ีมีลักษณะผิดจากรังนกชนิดอ่ืน คือ ห้อยลงมาจากกิ่งไม้หรือพุ่มไม้ นักจิตวิทยาได้ทดลองนำไข่นก Oriole มาฟักและเล้ียงไว้ในห้องทดลองโดยไม่ให้นกเหล่านี้มีโอกาสเห็นนกชนิดใดๆ ทำรังเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อถึงเวลา ท่ีจะวางไข่นกท่ีเล้ียงในห้องทดลองเหล่าน้ี จะสร้างรังได้เอง ลักษณะของรังที่สร้างขึ้นนั้น ก็มีลักษณะตามเผ่าพันธ์ุ ของตนอกี ดว้ ย ดงั แสดงในภาพท่ี ๑.๓ ภาพที่ ๑.๓ การสร้างรงั ของนก Oriole ท่ีมา:www.lifestyle.hunsa.com

จติ วิทยาสำหรับครู ๑๐ จากผลการศึกษาค้นคว้าดังกล่าวข้างต้น นักจิตวิทยาจึงสรุปข้อคิดเห็นไว้กว้างๆ ว่าพฤติกรรมของสัตว์ ช้ันต่ำมักจะเนื่องจากสัญชาตญาณ พฤติกรรมของสัตว์ช้ันสูงขึ้น มานั้นก็จะเป็นเรื่องของสัญชาตญาณน้อยลง กลายเป็นเร่ืองของวุฒิภาวะและการเรียนรู้มากขึ้นยิ่งในสัตว์ช้ันสูงขึ้นมาอีก พฤติกรรมอันเนื่องจากสัญชาตญาณ ก็จะยิ่งน้อยลงกลายเป็นเร่ืองของวุฒิภาวะและการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ส่วนพฤติกรรมของมนุษย์น้ันเชื่อว่าเป็นเร่ือง ของวฒุ ิภาวะและการจูงใจทง้ั สิ้นไม่มีเรื่องของสญั ชาตญาณเข้ามาเกีย่ วข้องด้วยเลย ๑.๔.๒ ความหมายของพฤติกรรม มผี ูใ้ หค้ วามหมายของพฤตกิ รรมไว้ ดงั น้ี ปรีชา วิคหโต๑๖ ได้ให้ความหมายไว้ว่า พฤติกรรม หมายถึง การกระทำทุกอย่างของมนุษย์ ไม่ว่าการกระทำนั้น ผู้กระทำจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ไม่ว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นการกระทำน้ันได้หรือไม่ได้ก็ตาม และไม่ว่าการกระทำนนั้ จะพึงประสงคห์ รือไม่พงึ ประสงคก์ ็ตาม ศรีวรรณ จันทรวงศ์๑๗ ได้ให้ความหมายของพฤติกรรมไว้ว่า กิจกรรม หรือปฏิกิริยาต่างๆ ของส่ิงมีชีวิต ซ่ึงอาจจะรู้ได้โดยการสังเกตหรือการใช้เคร่ืองมือช่วยวัดพฤติกรรม รวมถึงการตอบสนองทาง กล้ามเน้ือ และการทำงานของต่อมต่างๆ ในร่างกาย พฤติกรรม (behavior) หมายถึง กิจกรรม ปฏิกิริยาต่างๆ การแสดงออกของส่ิงมีชีวิต ท้ังที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว อาจจะรู้ได้โดยการสังเกตด้วยประสาทสัมผัส หรือใช้เครื่องมือ ทางวิทยาศาสตร์ช่วยวดั พฤตกิ รรมและการตอบสนองทางกล้ามเน้ือรวมถึงการทำงานของต่อมต่างๆในร่างกาย ๑.๔.๓ ธรรมชาติของพฤติกรรมของมนุษย์ เพ่อื ให้เข้าใจตัวพฤติกรรมมากข้ึน จึงขอกล่าวถึงธรรมชาตขิ องพฤติกรรมมนุษย์ ดงั นี้ ๑. พฤตกิ รรมมนุษย์มีความสลับซับซอ้ น ถา้ ดูจากตัวพฤติกรรมเองอาจจะไม่ซับซ้อน แต่ถา้ สงั เกต จากกระบวนการเกิดของพฤติกรรมจะเห็นถึงความซับซ้อน พฤติกรรมหน่ึงจะเกิดข้ึนได้ต้องอาศัยกลไกต่างๆ ประกอบดว้ ย ๑.๑ สงิ่ เรา้ (Stimulus) หรอื ตัวกระตนุ้ ๑.๒ หน่วยรบั ความรู้สกึ (Recepter) หรือประสาทสัมผสั ๑.๓ ระบบประสาทส่วนกลาง (Central nerverous systen) ๑.๔ หนว่ ยปฏิบัติงาน (Effector) ๑.๕ พฤตกิ รรม(Behavior) ๑๖ ปรชี า วคิ หโต, จิตวทิ ยากบั พฤตกิ รรมวัยรุ่น, เอกสารการสอนชดุ วชิ าพฤตกิ รรมวยั รนุ่ , (นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๔๔), หน้า ๕. ๑๗ ศรีวรรณ จนั ทรวงศ,์ พฤติกรรมมนุษย์กับการพฒั นาตน, (อุดรธานี : สยามการพมิ พ์, ๒๕๔๙), หนา้ ๒.

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู ๑๑ ดงั แสดงในภาพท่ี ๑.๔ ภาพที่ : กระบวนการเกิดพฤตกิ รรม ทีม่ า: www.sahavicha.com ๒. พฤติกรรมมนุษย์สามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ พฤติกรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดจาก ประสบการณ์และการเรียนรู้ เช่น การเขียนหนังสือ การเล่นกีฬา การใช้เทคโนโลยีเป็นต้น อาจจะพูดได้ว่า การดำเนินชีวิตของมนุษย์เกิดจากการเรียนรทู้ ั้งน้ัน ดังนั้น มนุษย์มีศักยภาพท่ีจะพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใหด้ ขี นึ้ ได้ ๓. พฤตกิ รรมมนุษย์เกิดขึ้น โดยมีสาเหตุ พฤติกรรมของมนุษยแ์ ตล่ ะอยา่ ง ลว้ นแตม่ ีเหตปุ ัจจยั ๔.พฤติกรรมมนุษย์มีการผสานสัมพันธ์กัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ในพฤติกรรมอย่างหนึ่งจะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง ความรู้สึก ความคิดและการกระทำ ทั้ งสามอย่างน้ี จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น เรารู้สึกชอบเพื่อนคนหน่ึง เราก็จะคิดว่าเพื่อนคนน้ีน่ารัก เป็นคนดี มีน้ำใจ และเราก็จะยมิ้ ให้ ทกั ทาย ช่วยเหลือกนั เปน็ ตน้ ๕. พฤติกรรมมนุษย์เปล่ียนแปลงไปตามช่วงอายุ เมื่อมนุษย์อายุมากข้ึ น พฤติกรรม ก็จะเปล่ียนไปตามวัย เนื่องจากมนุษย์มีการเรียนรู้ว่าควรหรือไม่ควรทำส่ิงใดในวัยใดวัยหนึ่ง เช่น ตอนเป็นเด็ก เอาแต่ใจ พอโตเป็นผใู้ หญ่ก็รู้จกั เอาใจเขามาใชใ่ จเราและมเี หตมุ ีผลมากข้ึน ๑.๔.๔ ประเภทของพฤติกรรม การจัดประเภทของพฤติกรรมของมนุษย์ข้ึนอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้จัด ในแต่ละสาขาวิชาก็มีเกณฑ์ท่ีต่างกัน ในที่แบ่งประเภทของพฤติกรรมออกหลักการ ๓ เกณฑ์ คือ หลักการสังเกตหลักการรู้ตัว และหลักการยอมรับ ทางสังคม ดังน้ี ๑. ใชห้ ลกั การในการสังเกต แบ่งพฤติกรรมเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้ ๑.๑ พฤตกิ รรมภายนอก (Overt Behavior) เป็นพฤติกรรมท่ีผู้อื่นสังเกตได้โดยประสาท สัมผสั ของเขาเองหรือใช้เคร่ืองมือ พฤติกรรมประเภทน้ี แบง่ ตามวิธกี ารสงั เกตได้ ๒ลักษณะ ดังนี้ ๑) พฤติกรรมโมลาร์ (Molar Behavior) ไดแ้ ก่พฤติกรรมท่ีคนอ่นื สามารถสังเกตได้โดยตรงด้วยประสาทสัมผัสท้ัง ๕ ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือช่วยวัด เช่น การไหว้ การยกมือ การย้ิม การหัวเราะ การรอ้ งไห้ การเดนิ การว่งิ การนอน เป็นต้น ๒) พฤติกรรมโมเลกุล (Molecular Behavior) ได้แก่ พฤติกรรมท่ีสังเกตด้วย ประสาทสัมผัสไม่ได้ ต้องอาศัยเครื่องมือหรือการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ช่วยในการสังเกต เช่น ความดันโลหิต กระแสประสาท คลน่ื สมอง การเปลีย่ นแปลงปริมาณน้ำตาลในโลหิต เปน็ ต้น

จติ วิทยาสำหรับครู ๑๒ ๒. พฤติกรรมภายใน(Covert Behavior) เป็นพฤติกรรมที่ผู้อื่นสังเกตไม่ได้ มีแต่เจ้าตัว เท่านนั้ ท่ีรู้ คนอืน่ จะรไู้ ดเ้ ม่ือเจ้าตวั บอก หรือแสดงออกด้วยการกระทำ มดี ังนี้ ๒.๑ ความรู้สึกจากการสัมผัส (Sensation) เชน่ การเห็น การได้ยินการได้กล่ิน การร้รู ส การร้สู ัมผัส ๒.๒ การเข้าใจ ตีความ หรือการสรุปความ (Interpreting) เช่น เราได้ยินเสียง เราก็ทราบความหมาย แต่ถา้ พดู ภาษาทเ่ี ราไม่รูเ้ รอื่ งไดย้ นิ เสยี งกเ็ ป็นพฤติกรรมในขอ้ ท่ี ๑ ๓. ความจำ (Remembering) หรอื สัญญา ความจำได้หมายรู้เป็นการจำส่ิงต่างๆ ท่ีผ่าน เข้ามาในชีวิต หรือเปน็ ประสบการณช์ วี ิต ถา้ ขาดขอ้ นี้เรากจ็ ะไมม่ วี วิ ฒั นาการมาถงึ ปจั จุบนั ๔. การคิด (Thinking) และการตัดสนิ ใจ (Decision Making) อาจจะเป็นจนิ ตนาการคิด หาเหตุผล คดิ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ ๒. ใช้หลักการในการร้ตู ัว แบ่งพฤติกรรมเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๒.๑ พฤติกรรมท่ีรู้ตัว เป็นพฤติกรรมผู้กระทำรู้ตัว หรือจงใจทำพฤติกรรมนั้น เช่น การยม้ิ การพดู คุย นกั จิตวทิ ยากลมุ่ จติ วิเคราะห์เรยี กพฤติกรรมประเภทนี้วา่ พฤติกรรมจิตสำนึก (Concious) ๒.๒ พฤติกรรมที่ไม่รู้ตัว เป็นพฤติกรรมท่ีผู้กระทำไม่รู้ตัว หรือไม่ได้ต้ังใจ เช่น ความฝัน นกั จติ วทิ ยากลุม่ จิตวิเคราะหเ์ รียกพฤติกรรมประเภทนี้วา่ พฤติกรรมจิตใตส้ ำนึก (Unconcious) ๓. ใช้หลกั การยอมรับทางสงั คม แบง่ พฤติกรรมเปน็ ๒ ประเภท ดังนี้ ๓.๑ พฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ (Desirable Behavior) เป็นพฤติกรรมท่ีสังคมยกย่องว่า ดี ถกู เหมาะสม และควรกระทำ เชน่ การทำตามหน้าที่ ทำตามจารตี ประเพณี เคารพกฎหมาย เปน็ ต้น ๓.๒ พฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ (Undesirable Behavior) เป็นพฤติกรรมท่ีสังคม ประณามว่า เลว ผิด ไม่เหมาะสม และไม่ควรกระทำ เช่น การทำร้ายกัน การฆ่ามนุษย์ การกระทำผิดกฎหมาย บา้ นเมอื ง เปน็ ตน้ ๑.๕ สาขาจติ วิทยาทส่ี มั พันธ์กับวิชาชพี ครู สาขาจิตวิทยาที่สัมพันธ์กับผู้จะเป็นครู ควรจะเป็นจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาพอสรุปได้ดังต่อไปนี้ คือ ๑.๕.๑ จิตวิทยาท่ัวไป (General Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทั่วๆ ไป ของมนุษย์รวมถึง หลักการและกฎเกณฑเ์ บอื้ งต้นท่ัวไป เชน่ ระบบสรีระ การรบั รู้ การเรยี นรู้ อารมณ์ เชาวน์ปญั ญา บุคลิกภาพ ฯลฯ ๑.๕.๒ จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of Learning) เป็นศาสตร์ท่ีศึกษาดา้ นพฤติกรรม ท่ีสัมพันธ์กับ การเรียนรู้ของบุคคล ซึ่งก็คือ การนำเอาความรู้ทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่าง เหมาะสม ๑.๕.๓ จิตวิทยาการศึกษา (Education Psychology) เป็นการศึกษาธรรมชาติของผู้เรียนทฤษฎี การเรียนรู้ การสร้างแรงจูงใจ แล้วการนำเอาความรู้ทางจิตวิทยามาใช้ในการศึกษา การพัฒนาและส่งเสริม หลักสูตร การบริหารและจัดการศึกษา การปฏิบัติการสอนในห้องเรียนพฤติกรรมการจัดกระบวนการเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมที่เกีย่ วข้องกับการจดั การเรียนรู้ เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเรยี นรูอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ๑.๕.๔ จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) เป็นการค้นคว้าถึงการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย์ ตั้งแตเ่ รมิ่ ปฏิสนธิจนถึงวยั ชรา รวมท้ัง อิทธิพลของพันธุกรรมและสิง่ แวดล้อมทม่ี ีอิทธิพล ต่อการพัฒนาการและลักษณะความต้องการ ความสนใจของคนในวัยต่างๆ ซึ่งอาจแบ่งเป็นจิตวิทยาเด็ก จิต จติ วิทยาวยั ร่นุ และจิตวทิ ยาวัยผ้ใู หญ่

จิตวิทยาสำหรบั ครู ๑๓ ๑.๕.๕ จิตวิทยาประยุกต์ (Applied Psychology) เป็นการนำความรู้และกฎเกณฑ์ทางจิตวิทยาแขนง ต่างๆ มาดัดแปลงใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือนำไปใช้ในการแก้ปัญหาเก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น นำไปใช้ ในการรกั ษาพยาบาล การใหค้ ำปรกึ ษาในวงการอุตสาหกรรมการควบคุมผ้ปู ระพฤตผิ ิด เปน็ ต้น ๑.๕.๖ จิตวิทยาบุคลิกภาพ (Psychology of Personality) เป็นการศึกษาคุณลักษณะเฉพาะตัว ของบุคคลที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรม ท่ีทำให้บุคคลมีความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือแตกต่างจากบุคคลอ่ืน ทง้ั ในด้านแนวคดิ ทศั นคติ การปรับตัว ตลอดจนแก้ปัญหาดว้ ย ๑.๕.๗ จิตวิทยาแนะแนว (Guidance Psychology) เปน็ สาขาท่ีศกึ ษาเกี่ยวกบั การช่วยให้บุคคล สามารถ เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อืน่ และสามารถปรบั ตวั ในสงั คมอย่างมคี วามสขุ ๑.๕.๘ จิตวิทยาการให้คำปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นสาขาที่ศึกษาทฤษฎีหลักการ และวิธีการในการช่วยเหลือบุคคลท่ีประสบอุปสรรคปัญหา ให้สามารถเข้าใจปัญหาและวางแผนในการจัดการกับ ปญั หาของตนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ ๑.๖ วิธีการศึกษาทางจติ วทิ ยา วิธกี ารตา่ งๆ ท่ีใช้ในการศึกษาพฤติกรรมในจิตวทิ ยา อาจแบ่งไดเ้ ป็น ๒ วธิ ี๑๘ ดังน้ี ๑.๖.๑ วธิ กี ารทใ่ี ช้ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และสงั คมศาสตร์ ๑.การสังเกต (Observation) เป็นวิธีรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตและจดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิด ในสถานการณ์จริงตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การสังเกตพฤติกรรมของทารกในช่วงอายุต่างๆ การสังเกต พฤติกรรมของนักศึกษาในขณะท่ีดูการแข่งขันกีฬา เป็นต้น การสังเกตพฤติกรรม เพ่ือการศึกษาวิจัยนั้นต่างจาก การสังเกตในชีวิตประจำวัน เพราะต้องเป็นระบบ มีเหตุผลมีระเบียบแบบแผนและหลักการสังเกตที่แน่นอน ผู้สังเกตจะต้องได้รับการฝึกฝนในเร่ืองของการใช้ความสังเกต การบันทึกพฤติกรรม ตลอดจนการตีความหมาย ของข้อมูล ซ่ึงจะต้องไม่ลำเอียงหรือนำความคิดเห็นส่วนตัวเขา้ มาเกี่ยวข้อง และเพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีตรงกับความเป็น จริงมากที่สุด ควรจะมีการป้องกันการรู้ตัวของผู้ถูกสังเกตด้วย เฉพาะถ้าผู้ถูกสังเกตทราบว่าตนกำลังถูกสังเกต เขาอาจเสแสร้งหรือแกล้งทำ ทำให้การแสดงพฤติกรรมไมเ่ ปน็ ไปตามธรรมชาติ การปอ้ งกันการรู้ตัวของผู้ถกู สงั เกต อาจทำได้โดยการแอบสังเกตไม่ให้รู้ตัว ด้วยการใช้กระจกมองทางเดียว (Oneway Mirror) หรือการทำตนให้เป็น เหมือนสมาชิกคนหน่ึงของกลุ่ม แล้วเข้าไปอยู่ในกลุ่มและประพฤติปฏิบัติตนเช่นเดียวกับกลุ่มตามสภาพการณ์ ท่ีเป็นธรรมชาติ เพื่อทำการสังเกตพฤติกรรมต่อไป ในบางกรณี การสังเกตจะได้ผลเป็นที่น่าเช่ือถือมากย่ิงข้ึน ถ้านำเอาเคร่ืองมือต่างๆ เขา้ มาช่วยในการเก็บข้อมูล เช่น เครื่องบันทึกเสียงหรือเครื่องบันทึกภาพ เป็นต้น วิธีการ สังเกตอย่างเป็นระบบทำให้ทราบว่าบุคคลแสดงพฤติกรรมอะไร และมีความแตกต่างของพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ภายหลังจากทำการสังเกตหลายๆ ครั้ง นักจิตวิทยาจะใช้หลักเกณฑ์ทางตรรกศาสตร์สรุปอ้างอิงไปถึงส่ิงที่ อาจจะเป็นสาเหตุของพฤติกรรมน้ันๆ ได้ ๒. การสำรวจ (Survey) เป็นวิธีรวบรวมข้อมูลโดยการให้บุคคลได้ตอบคำถามท่ีเตรียมไว้แล้ว จำนวนหนึ่ง โดยมีเปา้ หมายเพ่ือสรุปความคดิ เหน็ ทศั นคติ หรือความรู้สกึ ทม่ี ตี ่อสิง่ ใดส่ิงหน่ึงโดยเฉพาะ วิธีน้ีเหมาะ กับการศึกษาพฤติกรรมของบุคคลจำนวนมากๆ ภายในระยะเวลาอันสั้น หรือในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง พฤติกรรม บางอย่างเป็นสิ่งท่ียากต่อการสังเกต ดังน้ัน ในบางครั้งนักจิตวิทยาจึงต้องรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสำรวจ ๑๘ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , จิตวทิ ยา, (ขอนแก่น : ภาควชิ าจิตวิทยาการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร,์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ , ๒๕๕๐), หน้า ๑๐-๑๔.

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๑๔ ซง่ึ อาจจะสำรวจโดยการสัมภาษณ์(Interview) หรือโดยการใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) ก็ได้ ตัวอย่าง เช่น การสำรวจความคดิ เห็นของประชาชนทีม่ ตี อ่ การเลอื กตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรทว่ั ไป เป็นต้น ๓. การสัมภาษณ์(Interview)โดยท่ัวไปแล้ว การสัมภาษณ์ดีกว่าการใช้แบบสอบถาม เพราะใช้ได้ กับบุคคลทุกๆ ระดับการศึกษา และมีความยืดหยุ่นได้มากกว่า นอกจากนั้น ยังได้สังเกตพฤติกรรมของผู้ถูก สัมภาษณ์อีกด้วยส่วนข้อจำกัดของการสัมภาษณ์ ก็คือต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมาก และผู้สัมภาษณ์จะต้องได้รับ การฝึกฝนวิธีและเทคนิคในการสัมภาษณ์มาก่อน จึงจะทำให้การสัมภาษณ์ได้ผลดี ในกรณีท่ีข้อคำถามเป็นเรื่อง ส่วนตัวมากเกินไป หรือผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกว่า หากตอบไปแล้วจะเป็นอันตรายต่อตนเอง เช่น การสำรวจปัญหา ยาเสพติด หรือการศึกษาปัญหาเพศสัมพันธ์ การสำรวจหรือการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเร่ืองเหล่าน้ี ควรใช้การตอบ แบบสอบถาม โดยไมต่ ้องระบุชื่อผู้ตอบ จะได้ผลดีกว่าการสัมภาษณ์ แต่การใช้แบบสอบถามก็มีข้อจำกัด คอื ใช้ได้ เฉพาะกบั บุคคลทม่ี กี ารศกึ ษาเทา่ นั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการใช้แบบสอบถามหรือการสัมภาษณ์ คำถามจะต้องชัดเจนและเปน็ ที่ เข้าใจตรงกัน และตรงกับวัตถุประสงค์ของการศึกษา นอกจากนั้น จะต้องแน่ใจว่า กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษา มีความเป็นตัวแทนของประชากรที่แท้จริง ส่วนข้อมูลที่ได้จะถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริงมากน้อยเพียงใดน้ั น ก็ยังขนึ้ อย่กู บั ความร่วมมอื และความเข้าใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ หรือผตู้ อบแบบสอบถามอีกดว้ ย ๔. การศึกษารายกรณี (Case Study) เป็นวิธีศึกษาเพ่ือสืบหาสาเหตุของพฤติกรรมในปัจจุบัน โดยอาศัยข้อมูลต้ังแต่ในอดีตจนกระท่ังถึงปัจจุบัน ทั้งน้ีเพื่อให้ทราบภูมิหลังของครอบครัวสภาพแวดล้อมต่างๆ ตลอดจนสุขภาพทางกาย อารมณ์และการปรับตัวทางสังคมของบุคคลวิธีการศึกษาแบบนี้ ส่วนมากจะใช้ศึกษา บุคคลท่ีมีความผิดปกติทางจิต หรือใช้ในการสืบประวัติของบุคคลเป็นการศึกษาที่ใช้วิธีการในการรวบรวมข้อมูล หลายๆ วิธี เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ ผู้ที่ถูกศึกษาโดยตรง การสอบถามจากญาติพ่ีน้องท่ีใกล้ชิด รวมท้ัง การรวบรวมข้อมูลจากหลักฐาน ที่เป็นเอกสารหรือบันทึกต่างๆ หรืออาจจะเป็นคะแนนจากการทำแบบทดสอบ ทางจิตวิทยากไ็ ด้ ในกรณีที่เรอ่ื งท่ีต้องการจะศึกษาเป็นเร่อื งลึกซ้ึง มีรายละเอียดและต้องการความต่อเน่ือง ควรใช้ วิธีการศึกษาแบบระยะยาว (Longitudinal Study) ซึ่งเป็นการติดตามศึกษาพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล เปน็ ระยะเวลายาวนานติดต่อกนั และจะต้องใชก้ ลุ่มตัวอยา่ งเดมิ เสมอ วิธีนี้เหมาะกับการศึกษาเก่ียวกับพัฒนาการของมนุษย์ เพราะต้องติดตามการศึกษาพฤติกรรมใด พฤตกิ รรมหนึ่งเป็นเวลานาน เช่น ตั้งแต่เด็กจนโต การศึกษาแบบระยะยาวมีข้อจำกดั คือ ต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่าย มาก นอกจากน้ัน ยงั มีปัญหาเก่ียวกับการถอนตัวของผู้ถกู ศกึ ษาหรือผู้วิจัยกลางคนั อกี ด้วย เพ่ือขจดั ปัญหาดังกล่าว นักจิตวิทยาอาจจะเปลี่ยนมาใช้ วิธีศึกษาท่ีเรียกว่าการศึกษาภาคตัดขวาง (Crossectional Study) ก็ได้ วิธีน้ีเป็น การศึกษาหลายๆ คนที่มอี ายตุ ่างๆกนั ตามช่วงอายุท่ตี ้องการ แล้วเปรยี บเทียบพฤติกรรมท่ีต้องการศึกษาไปพรอ้ มๆ กนั และเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกับความเป็นจริงผู้ศึกษาจะต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างวัย และความแตกต่าง ของกลมุ่ บุคคลท่ีนำมาศกึ ษาดว้ ย ๕. การหาสหสัมพันธ์ (Correlation) เป็นการหาความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงระหว่าง ตัวแปร (Variable) ท่ีต้องการศึกษา ตัวแปรในท่ีน้ี หมายถึง คุณลักษณะต่างๆ ของสิ่งของเหตุการณ์ บุคคล หรืออะไรก็ได้ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท่ีต้องการศึกษาแสดงได้ด้วยค่าดรรชนีที่เรียกว่า “สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์” (Correlation of Coefficient) ค่า r นี้จะมีค่าอยู่ระหว่าง -๑ และ +๑ เม่ือสัมประสิทธิ์ มีค่าเป็นบวก หมายความว่า ตัวแปรทั้งสองมีความสัมพันธ์กันทางบวก กล่าวคือ ถ้าตัวแปรตัวหนึ่งมีค่าเพ่ิมขึ้น อีกตัวหน่ึงจะมีค่าเพิ่มตามไปด้วย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนช่ัวโมงที่ดูหนังสือกับปริมาณของความจำที่ค่า เป็นบวก ในบางกรณีค่า r เป็นลบ ก็หมายความว่า ความสัมพันธ์ของตัวแปรเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือ เมื่อตัว แปรตวั หนึ่งมีค่าเพิ่มขึ้น ตวั แปรอีกตัวหนึง่ จะมีคา่ ลดลง เช่น จำนวนชั่วโมงท่ีดหู นงั สอื กับจำนวนชั่วโมงท่ดี ูโทรทศั น์

จิตวทิ ยาสำหรับครู ๑๕ ถ้าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าเท่ากับ ๐ (ศูนย์) ก็หมายความว่าตัวแปรทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์กันเลย เช่น ความสูงของนกั ศกึ ษากบั เกรดเฉล่ยี ท่ีได้ เป็นต้น ในการศึกษาด้วยวิธกี ารหาสหสัมพันธน์ ้ีเราจะทราบแต่เพียงว่า ตัวแปรที่ศึกษามีความสัมพันธ์กัน หรือไม่ มีมากหรือน้อยเพียงใด แต่ไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าตัวแปรทั้งสองเป็นเหตุเป็นผลซ่ึงกันและกัน ตัวอย่างเช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการสูบบุหรี่กับการเป็นมะเร็งปอด สรุปได้ว่า การสูบบุหร่ี มีความสัมพันธก์ บั การเปน็ มะเร็งทปี่ อด แต่ยงั ไม่สามารถสรุปได้ว่า การสบู บุหรเี่ ป็นสาเหตขุ องการเป็นมะเร็งทีป่ อด ๖.วิธีการทดลอง (Experimental Method) เป็นวิธีศึกษาพฤติกรรมท่ีผู้ศึกษาทำหน้าท่ีควบคุม สภาวะเงื่อนไข หรือสร้างสถานการณต์ ่างๆ ข้นึ มา เพื่อใหเ้ หมาะสมกบั วัตถุประสงค์ของการทดลอง แล้วติดตามผล ของการเปลี่ยนสภาพการณ์ว่าทำให้เกิดการเปล่ียนแปลงไปอย่างไรวิธีน้ีช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (Variable) ได้ชดั เจนกว่าการหาสหสัมพันธ์ สามารถพิสูจนใ์ ห้เห็นจริงและสรปุ เปน็ เหตเุ ป็นผลซ่งึ กนั และกนั ได้ ในวิธีการทดลองน้ัน ตัวแปร หมายถึง ส่ิงที่เปลี่ยนแปลงค่าได้ ตัวแปรท่ีผู้ทดลองทำการ เปลี่ยนแปลงค่า เรียกว่า ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ส่วนตัวแปรท่ีเป็นผลตามมาจากการ เปลยี่ นแปลงน้ัน เรยี กวา่ ตวั แปรตาม (Dependent Variable) เน่ืองจากตวั แปรตาม จะมคี า่ แปรผันตามค่าของตัว แปรอิสระ ความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระและตัวแปรตามเป็นเหตุเป็นผลกัน โดยที่ตัวแปรอิสระเป็นเหตุ และตัวแปรตามเป็นผล ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การศึกษาพฤติกรรมโดยการทกลอง ก็คือ การศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามน่ันเองตัวอย่าง เช่น ถ้าผู้ทดลองต้องการจะศึกษาว่า วิธีสอนโดยใช้บทเรียน แบบโปรแกรมจะชว่ ยให้นกั เรียนเกิดการเรยี นรไู้ ด้ดีขึ้นหรือไม่ ในการศกึ ษาครั้งนี้ “วธิ สี อน” ถือวา่ เปน็ ตัวแปรอสิ ระ สว่ น “ผลการเรียน” หรือ “คะแนนจากการสอบ” เป็นตัวแปรตาม ในการทดลองทางจติ วทิ ยามกั จะมีกลมุ่ ตัวอยา่ ง อย่างนอ้ ย ๒ กลุ่ม เพ่ือนำผลที่ได้มาเปรียบเทยี บกนั กลมุ่ แรกเรียกว่า กลุ่มทดลอง(Experiment Group) หมายถึง กลุ่มทมี่ ีการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ไปจากการสอนด้วยวิธีปกติ คือ สอนโดยใชบ้ ทเรยี นแบบโปรแกรม กลุ่มที่สอง เรียกว่า กลุ่มควบคุม (Control Group) เป็นกลุ่มท่ีไม่มีการเปล่ียนแปลงใดๆ สอนโดยใช้วิธีการสอนตามปกติ หลังจากที่การเรียนการสอนตามเง่ือนไขของการทดลองเสร็จสิ้นแล้ว ก็นำผลการเรียนของทั้งสองกลุ่มมา เปรยี บเทียบกัน ถ้าผลการเรียนของกลุ่มทดลองดีกว่า ก็แสดงว่า บทเรียนแบบโปรแกรมช่วยให้นักเรียนเกิด การเรียนรู้ได้ดีกว่าวิธีสอนตามธรรมดาท่ัวๆ ไปสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงในวิธีการทดลองก็คือ การควบคุม สถานการณ์หรือตัวแปรอื่นๆ ที่ไม่เกีย่ วข้องกับสิ่งที่ต้องการศึกษา โดยจะต้องป้องกันมิให้ความแตกต่างระหว่างผล การเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม มีสาเหตุมาจากตัวแปรแทรกซ้อน(Intervening Variable) เหล่าน้ี ในการศึกษาผลของการใช้แบบเรียนโปรแกรมท่ีได้กล่าวไปแล้วน้ันมีตัวแปรแทรกซ้อนท่ีไม่เกี่ยวข้องกับวิธีสอน และต้องควบคุมให้ดี คือ สภาพห้องเรียน ระดับสติปัญญา ความสามารถของผู้เรียนเน้ือหาวิชาทีส่ อน และครูท่ีทำ การสอน สิ่งเหล่าน้ีต้องควบคุมให้มีความเท่าเทียมกันให้มากท่ีสุด ทั้งในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเพ่ือให้ผล การทดลองเปน็ ท่นี ่าเชอ่ื ถอื ๑.๖.๒ วิธีการท่ีใช้ในการศึกษาทางจิตวิทยาโดยเฉพาะวิธีการศึกษาพฤติกรรมที่ใช้กันในเฉพาะการศึกษา ทางจิตวิทยาแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท ดงั นี้ ๑. การใช้เครื่องมือทางจิตวิทยา (Psychological Instrument) เคร่ืองมือทางจิตวิทยามีหลาย ประเภท เช่น เคร่ืองมือวัดความแม่นยำเท่ียงตรงในการใช้มือ (Groove Type Steadiness Tests) เคร่ืองมือวัด การเปลีย่ นแปลงทางร่างกาย (Psychogalvanometer) และเครอื่ งชว่ ยสอน (Teaching Machine) ๒. การใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยา (Psychological Test) การใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยา เป็นวธิ ีศึกษาพฤตกิ รรมโดยดผู ลจากการทดสอบ แบบทดสอบทางจิตวทิ ยาทใี่ ชม้ ี

จติ วิทยาสำหรับครู ๑๖ หลายประเภท เช่น แบบทดสอบเชาวน์ปัญญา แบบทดสอบความถนัด แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบทดสอบบุคลิกภาพ เป็นต้น ผลของการทดสอยจะเช่ือถือได้มากน้อยเพียงใดข้ึน อยู่กับความเท่ียง และความตรงของแบบทดสอบนั้น เป็นสำคญั ในบางกรณีนักจิตวิทยาอาจใช้วิธีให้เด็กเล่นของเล่นต่างๆ เพื่อให้เด็กได้แสดงความรู้สึก หรือทัศนคติที่มีต่อส่ิงต่างๆ ออกมาเป็นพฤติกรรมท่ีสามารถสังเกตได้โดยง่าย วิธีนี้เรียกว่า การบำบัดโดยวิธีเล่น (Play Therapy) และใช้วิธีการแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) กับผู้ใหญ่โดยให้แสดงละครเป็นตัวเอง หรือแสดงเป็นคนอน่ื เพ่อื เปดิ โอกาสให้บคุ คลน้ันแสดงความรสู้ กึ นึกคิดตา่ งๆ ออกมาเชน่ กัน วิธีท่ีใช้ในการศึกษาทางจิตวิทยาท่ีกล่าวมาแล้วนั้น ไม่สามารถกล่าวได้ว่าวิธีใดดีที่สุด วิธีใด จะเหมาะสมหรือไม่นั้นข้ึนอยู่กับเรื่องที่ต้องการศึกษาเป็นสำคัญแต่โดยทั่วไปแล้ว ถ้าต้องการให้ผลการศึกษา ถูกต้องสมบูรณ์มากท่ีสุด ควรจะใช้หลายๆ วิธีประกอบกัน ในปัจจุบันนักจิตวิทยาได้ใช้วิธีการทดลองกันมากข้ึ น ในการศึกษาทฤษฎีทางจติ วิทยา เพราะการทดลองเปน็ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ สามารถพสิ ูจน์ได้และเปน็ ทย่ี อมรบั ๑.๗ กลุม่ แนวคดิ ของทางจติ วิทยา นับตั้งแต่จิตวิทยาได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นวิทยาศาสตร์ ก็ได้มีการศึกษาค้นคว้ากัน อย่างกว้างขวาง และจิตวิทยาก็ได้ถูกนำไปใช้กันหลายวงการอาชีพ ทำให้แนวความคิดทางการศึกษาแตกแยกกันออกไปเป็นหลาย กลุ่ม เพราะแตล่ ะกลุ่มต่างศึกษาค้นคว้าไปในแนวของตน สรา้ งเป็นแนวคิดเป็นกฎเกณฑ์ เป็นความเชื่อหรอื ทฤษฎี ข้ึนมา อย่างไรก็ตาม พวกท่ีมีแนวความคิดคล้ายคลึงกัน ก็รวมกลุ่มเรียกว่า กลุ่มจิตวิทยา (School of Psychology) กลมุ่ จติ วทิ ยาทีส่ ำคัญๆพอสรปุ ได้ดังนี้ ๑.๗.๑ กลุ่มโครงสรา้ งจิต (Structuralism) แนวคิดทางจิตวิทยากลุ่มน้ีก่อต้ัง ขึ้นในประเทศเยอรมันนี โดยนักสรีรวิทยาและนักปรัชญาช่ือ วิลเฮ็ลม แมกซ์ วุ้นด์ (Wilhem max wundt) นักจิตวิทยากลุ่มน้ี มีความเช่ือว่า มนุษย์ ประกอบด้วยร่างกาย และจิต ซึ่งต่างก็เปน็ อสิ ระแก่กนั และกัน แต่ทำงานสัมพนั ธก์ นั พฤติกรรมของมนุษยเ์ กิดจากการทำงานของร่างกาย ที่เปน็ ไปตามการสัง่ การของจติ ดังน้ัน นักจิตวิทยากลุ่มน้ีจึงสนใจศึกษาจิตในระดับที่เรียกว่า จิตสำนึก แนวคิดน้ีได้รับอิทธิพล จากแนวคิดของนกั ปรชั ญาหลายคน เช่น ๑. พลาโต (Plato) เชื่อว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์ เพราะมนุษย์ประกอบด้วยจิตซึ่งทำหน้าที่ ในการสร้างแนวคิด ๒. อรสิ โตเติล (Aristotle) เชอื่ ในเรอื่ งชีวิตจิตใจ (Mental life) ๓. โสคราติส (Socrates) เชื่อว่า ความรู้ คือ การรู้จกั มโนภาพ ซ่ึงเกิดจากการทำงานของร่างกาย สำหรบั ร่างกายกท็ ำงานตามจินตภาพทเ่ี กดิ ข้ึน ตามสภาวะจิตใจ

จิตวิทยาสำหรบั ครู ๑๗ ภาพท่ี ๑.๕ Wilhelm Max Wundt ทมี่ า: www.britannica.com จากแนวคิดท่ีเชื่อมโยงสัมพันธ์กันทั้ง ๓ คน วุ้นด์ จึงสรุปเป็นแนวคิดของเขาไว้ว่า จิต (Mind) มอี งค์ประกอบอิสระต่างๆ รวมกันเป็นโครงสร้างแหง่ จิต โดยเปรียบเทียบจติ ของคนเหมือนธาตุในวิชาเคมี เรียกว่า จิตธาตุ (Mental Element) ประกอบด้วย ธาตุ ๒ ชนดิ คอื ความรู้สกึ (Feeling) บวกกบั การสัมผสั (Sensation) อย่างไรก็ตามจากแนวความคิดของวุ้นด์นี้ ได้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้น โดยเอ็ดวาร์ด ทิเชอร์เนอร์ (Edward B.Tichener, 1967-1927) นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ ซึ่งศึกษาจิตวิทยาดุษฎีบัณฑิตท่ีมหาวิทยาลัยไลป์ ซิกกับวุ้นด์ ทิเชอร์เนอร์ได้ตั้งกลุ่มโครงสร้างจิตขึ้นที่มหาวิทยาลัยคอร์แนว(Cornell University) ประเทศสหรัฐอเมริกา และ ได้พัฒนาแนวคิดต่อจากวุ้นด์ โดยเพ่ิมเติมจินตภาพ (Image) เข้าไปด้วย จิตธาตุทั้ง ๓ เม่ือสัมพันธ์กันภายใต้ สถานการณ์แวดล้อม ก็จะก่อให้เกิดรูปจิต ผสมข้ึน เช่น ความคิด (Thinking) อารมณ์ (Emotion) ความจำ (Memory) การหาเหตุผลหรือสาเหตุ (Reasoning) ฯลฯ โดยนัยเดียวกันกับทางเคมีท่ีไฮโดรเจน เม่ือรวมตัวเม่ือ รวมตวั กับออกซิเจนภายใต้สัดส่วนทเ่ี หมาะสมและความกดดนั ที่พอดีจะไดเ้ ป็นน้ำ จากแนวคิดที่เกิดข้ึนนี้ จึงเกิดเป็นจิตวิทยาโครงสร้างจิต ซ่ึงใช้วิธีพินิจภายในหรือการตรวจสอบตนเอง (Introspection) เป็นเคร่ืองมือในการศึกษาค้นคว้า วิธีพินิจภายในคือ การพิจารณาความรู้สึก ความคิดของตน ด้วยตนเอง ทิเชอร์เนอร์ อธิบายว่า ถ้าให้บุคคลสัมผัสหนังสือเล่มหน่ึง บางคนก็รู้สึกสัมผัสเห็นสีสันของหนังสือ บางคนอาจจะรู้สึกถึงกลิ่นของหนังสือหรืออีกหลายความรู้สึกท่ีบุคคลจะมีจากประสบการณ์ของคนๆนั้น ซ่ึงได้รับ การวิพากษ์วิจารณ์และถูกโจมตีอย่างหน่ึงอย่างหนักว่ายากที่จะหาความชัดเจนในเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะยึดตัว บุคคลท้ังความคิด ความรู้สึกของตัวบุคคล ซึ่งแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันอิทธิพลหรือบทบาทสำคัญ ของจิตวิทยากลุ่ม โครงสร้างจิตท่มี ีต่อการดำเนินชวี ิตของคน ดงั นี้ ๑. ความเชื่อในเรื่ององค์ประกอบของบุคคล ยอมรับว่า บุคคลประกอบด้วย ร่างกายและจิตใจ จิตใจยงั แบ่งย่อยได้ เชน่ สว่ นเกีย่ วกบั การคดิ ความจำ ความรกั สวยรกั งาม ฯลฯ ๒. การยอมรับเอาระเบียบวิธีท่ีว่าด้วยการแยกจิตออกฝึกเป็นส่วนๆ (Method of Mental of Formal Discipline) มาใช้ในการจัดการศึกษา นักการศึกษาเช่ือว่าบุคคลมีลักษณะอย่างเดียวกับวัตถุ (Material) หรือเคร่ืองจักร หากต้องการฝึกจิตธาตุส่วนใดให้มีความสามารถต้องฝึกฝนเร่ืองนั้นโดยเฉพาะ เช่น ด้านความจำ ต้องให้ท่องจำ ด้านการคิดต้องให้เรียนวิชาที่ส่งเสริมการคิด ท้ังนี้เพราะความเชื่อท่ีว่าจิตของคนเราแยกออก เป็นส่วนๆ ดงั น้ี ถา้ ตอ้ งการให้ส่วนไหนมีความสามารถ มที กั ษะทางใดกต็ ้องมุ่งฝึก ส่วนนั้นมากเปน็ พเิ ศษ กลมุ่ โครงสรา้ งจิตค่อยๆ หายไปจากกลุม่ จิตวิทยาหลงั จากการเสยี ชีวติ ของชิเทอรเ์ นอร์ ในปี ๑๙๒๗ ๑.๗.๒ กล่มุ หนา้ ท่ีของจติ (Functionalism) เกิดข้ึนในสหรัฐอเมริกาเม่ือ ค.ศ.1900 ผู้ให้กำเนิดหรือผู้นำกลุ่มคือ จอห์น ดิวอ้ี(John Dewey 1859 - 1952) คณบดีคณะวิชาการศึกษา มหาวิทยาลัยชิคาโก วิลเล่ียม เจมส์ (William James 1842 -1910) ศาสตราจารย์วิชาจิตวทิ ยา มหาวทิ ยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้เขยี นตำราจิตวทิ ยาช่อื Principles of Psychology และเจมส์ แองเจลิ (James Angell, 1869 -1949) ภาพท่ี ๑.๖ John Dewey ท่ีมา: http://campus.dokeos.com

จิตวิทยาสำหรับครู ๑๘ ภาพที่ ๑.๗ William James ท่มี า: http://alchetron.com/William-James-1173864-W จิตวิทยากลุ่มหน้าท่ีของจิตได้แนวความคิดจากทฤษฎีวิวัฒนาการของชาลส์ ดาร์วิน ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ Origin of Species เมื่อ ค.ศ.1859 โดยมจี ุดเน้นทวี่ ่าสตั วท์ ี่ดำรงพันธ์อยไู่ ด้จะต้องต่อสู้และปรับตวั เองให้สอดคลอ้ ง กับส่ิงแวดล้อม ฉะน้ัน ความเห็นของนักจิตวิทยากลุ่มนี้เช่ือว่า การจะเข้าใจถึงการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตนั้น ต้องศึกษาถึงหน้าท่ีของจิตต่อการปรับตัว อีกทั้งควรสนใจว่าจิตทำหน้าท่ีอะไร ทำอย่างไร รวมถึงอากัปกิริยา ที่แสดงออกให้เห็น กล่าวคือการศึกษาพฤติกรรมน้ันจะสนใจศึกษาท้ังกิริยาที่แสดงออกภายนอกและความรู้สึก ภายใน กลุ่มหนา้ ท่จี ิต เชื่อวา่ จิตมหี นา้ ท่คี วบคุมการกระทำกิจกรรมของร่างกาย ให้สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับ ส่งิ แวดล้อม ฉะนั้น การศึกษาจิตในรูปของการกระทำกิจกรรมต่างๆ ให้สามารถปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม รวมทง้ั การเรยี นรกู้ ็จะช่วยให้คนปรบั ตัวดีขึ้น สรปุ แนวคิดของกลุ่มหน้าท่จี ติ คอื ๑. การกระทำท้ังหมด (The total activities) หรือการแสดงออกของคน เป็นการแสดงออก ของจิต เพ่ือปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในการศึกษาจิตใจคนก็ต้องศึกษาการแสดงออกของเขาในสถานการณ์ ต่างๆ ๒. การกระทำหรือการแสดงออกท้ังหมดข้ึนอยู่หรือเก่ียวข้องกับประสบการณ์ของแต่ละคน (The experience of individual) เสมอ พฤติกรรมของคนจึงแตกต่างกันนักจิตวิทยากลุ่มนี้จึงมุ่งศึกษาวิธีการเรียนรู้ การจูงใจ การแก้ปัญหา ตลอดจนความจำของคน เพื่อหาทางให้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้แนวคิดของกลุ่ม หน้าท่ีจิต มีอิทธิพลมากต่อวงการศึกษาปัจจุบัน เนื่องจากความมุ่งหมายของการศึกษาประการหน่ึงก็คือ เพ่ือให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยความผาสุก การปรับตัว ให้เข้ากับส่ิงแวดล้อมจึงเป็นเรื่องต้องศึกษา ทงั้ การปรับตัวให้เข้ากับสงั คมและการปรับตัวใหเ้ ข้ากับธรรมชาติ เป็นปรัชญาการศึกษาซงึ่ ได้กลายเป็นจุดมงุ่ หมาย ของการศึกษาทส่ี ำคญั ในปัจจบุ นั “การศึกษา คือ การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม”วิธีการเรียนการสอนต้องให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ มากที่สุดเครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษาของกลุ่มหน้าท่ีจิต คือ การสังเกตและการทดลอง และเช่นเดียวกับกลุ่ม โครงสร้างจิต กลุ่มหน้าที่จิตก็มีแนวคิดเดียวกันเก่ียวกับบุคคล คือ การแสดงออกของบุคคลจะเก่ียวข้องกับ ประสบการณข์ องเขาเสมอ ๑.๗.๓ กล่มุ พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism) กลุ่มพฤติกรรมนิยมเป็นแนวคิดที่เกดิ ข้ึนในสหรัฐอเมริกา เมอ่ื ค.ศ.1912 จอห์น บี วัตสัน (John B. Watson 1878-1958) เป็นผู้ให้กำเนิดโดยอาศัยแนว ความคิดของนักจิตวิทยารัสเซียช่ือ พาฟลอฟ (Pavlov) ผูซ้ งึ่ ได้ใหค้ ำอธิบายเร่อื งการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาตอบสนอง เพราะการวางเง่ือนไข(Conditioned Response) กับ เบชทเี ร (Bechterey) ศษิ ยค์ นสำคัญคนหนงึ่ ของ Ivan P.Pavlov (1846 -1936) เปน็ พนื้ ฐานขนั้ ตน้

จิตวิทยาสำหรับครู ๑๙ แนวความคิดทางจิตวิทยาของนักจิตวิทยารัสเซียทั้งสองท่านนี้ เป็นที่รู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า คำอธิบายเกี่ยวกับการสร้างปฏิกิริยาสะท้อน วัตสัน ได้รับอิทธิพลจากการศึกษาของพาฟลอฟทำให้เห็นว่า พฤติกรรมของอินทรีย์น้ัน เกิดข้ึนจากปฏิกริ ิยาสนองทีถ่ ูกวางเงื่อนไข (Conditioned reflex) ต่อสิ่งเร้า อี แวน พา ฟลอฟ (Ivan P. Pavlov) ได้ทดลองให้เห็นว่า สุนัขสามารถเรียนรู้ การสร้างสัมพันธ์ต่อเน่ือง โดยการวางเง่ือนไข เมื่อสุนัขเกิดความรู้สกึ หิว ให้นำอาหารพรอ้ มการส่ันกระด่ิงมาพร้อมกัน เม่ือทำบ่อยครั้ง สุนัขเกิดการเรียนรู้ เมื่อมี เสียงกระดิ่ง อาหารจะมา มันจะน้ำลายไหล ขณะน้ันเมื่อสุนัขสร้างสัมพันธ์ต่อเน่ืองแล้ว ได้ยินเสียงกระดิ่ง มนั ก็จะน้ำไหล ภาพที่ ๑.๘ John B. Watson ที่มา:www.kucity.kasetsart.org จอห์น บี วัตสัน (John B. Watson) เป็นอาจารย์สอนอยู่ท่ีมหาวิทยาลัย John Hopkinsระหว่าง ค.ศ. 1908-1920 กล่าวค้าน ไม่เห็นด้วยกับวิธีพินิจภายในหรือวิธีการตรวจสอบตนเอง(Introspection) เห็นว่าเป็นวิธี ท่ีแคบมากไม่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์เช่ือถือได้ยาก ไม่น่าเช่ือขึ้นอยู่กับความจำหรือความเอนเอียงส่วนตัว ของผู้ให้ข้อมูล เขาเชื่อว่าการจะศึกษาการกระทำหรือพฤติกรรมจะถูกต้องกว่า เพราะจิตเป็นสิ่งท่ีพิสูจน์ไม่ได้ ไม่สามารถสังเกตเห็นไดโ้ ดยตรง แตพ่ ฤตกิ รรมสามารถสงั เกตโดยตรงด้วยประสาทสัมผสั ท้ัง ๕ หรอื อาจใช้เคร่อื งมือ วัดช่วยในการสังเกตการศึกษาพฤติกรรมจึงถือว่าเป็นการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะสามารถนำเสนอข้อมูล ต่างๆ ของพฤตกิ รรมจากคนที่เฝ้าดูอยู่ได้ หรอื จากเครอื่ งมือวัดทใี่ ช้กไ็ ด้ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันท่ีมีชื่อเสียง บี.เอฟ สกินเนอร์ เช่ือว่าในเรื่องส่ิงเร้ากับการตอบสนองและเขามี ความเหน็ วา่ พฤตกิ รรมมี ๒ ชนดิ ดังนี้ ๑. พฤติกรรมที่อยู่ภายใตก้ ารควบคุมของสิ่งเร้าโดยตรง เช่น สตั ว์น้ำลายไหล เม่ือได้ลิ้มรสอาหาร หรือไดก้ ลน่ิ อาหาร ๒. พฤติกรรมที่ต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อน จึงจะเกิดพฤติกรรมที่ต้องการ เช่น ต้อง เสียบไฟเปิดเคร่อื งโทรทัศน์ ก่อนถึงจะเหน็ ภาพในจอ แนวคิดท่ีสำคัญของกลุ่มพฤติกรรมนิยมมุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงเร้ากับการตอบสนอง โดยมี ความเช่ือว่าพฤติกรรมของมนษุ ยเ์ กิดจากการแสดงอาการตอบสนองต่อส่ิงเรา้ และการตอบสนองตดิ ต่อกันไปเรือ่ ยๆ จะกอ่ ให้เกดิ การเรยี นรู้ สรปุ สาระสำคญั ของแนวทัศนะกลมุ่ พฤติกรรมนิยม ๑. การวางเงือ่ นไข (Conditioning) เปน็ สาเหตสุ ำคญั ทท่ี ำใหเ้ กดิ และเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ๒. พฤติกรรมของคนที่ปรากฏข้ึน สว่ นมากเกดิ จากการเรียนรมู้ ากกว่าจะเปน็ ไปเองตามธรรมชาติ ๓. การเรียนร้ขู องคนสามารถศึกษาได้จากการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ ๔. เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการศึกษาของกล่มุ พฤตกิ รรมนยิ ม คือ การสังเกตและการทดลอง

จิตวิทยาสำหรับครู ๒๐ ๑.๗.๔ กล่มุ จติ วเิ คราะห์ (Psychoanalysis) กลุ่มจิตวิเคราะห์เป็นแนวคิดเกิดข้ึน ในประเทศออสเตรีย ค.ศ.1900 ผู้ให้กำเนิดหรือ ผู้นำกลุ่ม คอื จิตแพทย์ยิว ชาวเวยี นนา ซิกมันต์ ฟรอยด์ (1956-1939) ซึ่งเป็นท่ียอมรับของวงการแพทยม์ าก เรม่ิ แพร่หลาย เม่ือแสตนเลย์ ฮอลล์ (Stanley Hall) เชิญ ฟรอยด์ไปปาฐกถาท่ีมหาวิทยาลัยคลาร์ก เมื่อ ค.ศ.1909 และพัฒนา เปน็ รากฐานวชิ าจติ วทิ ยาคลนิ ิก เม่ือ ค.ศ.1938 ๑. พน้ื ฐานแนวความคดิ พน้ื ฐานแนวความคิดของกล่มุ จิตวิเคราะห์มาจาก ๓ แนวคิด ดงั นี้ ๑.๑. จิตแพทย์ (Psychiatry) ใช้ระเบียบวิธีการศึกษาพฤติกรรมของบุคคล ด้วยการแยก จิตออกวิเคราะห์ซ่ึงเรียกว่า ระเบียบวิธีของจิตวิทยากลุ่มจิตวิเคราะห์ วิธีการศึกษา เช่นการสะกดจิตการสังเกต พฤติกรรมจากภายในคลินิก และการสืบประวัติโดยการปล่อยให้บุคคลน้ันเป็นผู้เล่าเรื่องราวต่างๆ อย่างอิสระ หรือด้วยความรู้สึกสบายใจ ทฤษฎีของ ฟรอยด์ ส่วนใหญ่ได้มาจากการศึกษาของคนอปกติ เนื่องจากเขา เปน็ จติ แพทยจ์ ึงมุ่งศกึ ษาสาเหตุความวิปรติ ทางจิตเพ่ือจะหาทางแก้ไขใหค้ นื ดี ๑.๒. วิชาฟิสิกส์ จากทฤษฎีการคงรูปของพลังงาน ที่ว่าพลังงานย่อมไม่สูญหายไป แต่ย่อมเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะอื่นได้ ทำให้ฟรอยด์กำหนดให้จิตมีสภาวะเป็นพลังงานชนิดหน่ึง พลังงานที่เกิด จากจติ ไรส้ ำนกึ มบี ทบาทสำคญั ตอ่ การแสดงพฤติกรรมของบคุ คลมากทสี่ ดุ ๑.๓. จิตวิทยากลุ่มท่เี น้นความสำคญั ของความมงุ่ หมาย (Purposive Psychology) ท่ีว่า การแสดงพฤตกิ รรมของบุคคลเป็นการกระทำทีม่ ุ่งไปสู่จดุ มุ่งหมายและบรรลจุ ุดมงุ่ หมาย ภาพที่ ๑.๙ Sigmund Freud ทม่ี า:www.impoppap.blogspot.com ๒. ลักษณะของจติ ฟรอยด์มคี วามเชื่อวา่ มนษุ ย์เรามีจติ ๓ ลกั ษณะ ดงั นี้ ๒.๑. จิตสำนึก (Conscious Mind) คือ สภาพที่มีสติ รู้ตัว รู้ว่าตัวกำลังทำอะไรอยู่ หรือกำลังจะทำอะไร รู้จักตัวเองว่าเป็นใคร ต้องการอะไร ทำอะไร อยู่ที่ไหน กำลังรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งใดการแสดง อะไรออกไปก็แสดงไปตามหลักเหตุผล แสดงตามแรงผลักดันจากภายนอกสอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง (Principle of Reality) ๒.๒. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious Mind) คือ สภาพที่ไม่รู้ตัวในบางขณะ เช่น กระดิก เท้า ผวิ ปาก ฮมั เพลง โดยไมร่ ตู้ วั พูดอะไรออกมาโดยไมไ่ ด้ตั้งใจ และถือว่าประสบการณ์ ตา่ งๆ ท่ีเก็บไว้ในรูปของความทรงจำก็เป็นส่วนของจิตใต้สำนกึ ด้วย เช่น ความขมข่ืน ความประทับใจในอดีต ถา้ ไม่ นึกถงึ ก็ไมร่ สู้ ึกอะไร แตถ่ า้ ทบทวนเหตุการณท์ ไี รก็ทำใหเ้ กดิ เศร้าทุกข์ หรือปลื้มใจทุกที

จิตวิทยาสำหรบั ครู ๒๑ ๒.๓. จิตใต้สำนึก (Unconscious Mind) เป็นส่วนของพฤติกรรมภายในท่ีเจ้าตัว ไม่รู้สึกตัวเลย อาจเน่ืองมาจากเจ้าตัวพยายามเก็บกดเอาไว้ เช่น อิจฉาน้อง เกลียดครู อยากทำร้ายชาวต่างชาติ ฯลฯ เปน็ สิ่งทเ่ี ก็บกดเอาไว้ หรือพยายามที่จะลืม แลว้ ในท่สี ุดก็ลืมๆ ไป ดูเหมือน ลืมไปจริงๆ แต่ท่ีจริงไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ในตัวในลักษณะจิตใต้สำนึก และจะแสดงออกมาในรูปของความฝัน การละเมอ การพล้ังปากพูดออกมา พฤติกรรมผิดปกติต่างๆ ความสามารถด้านจินตนาการในศิลปวรรณคดี นอกจากน้ียังเป็นเร่ืองของ Id ซ่ึงมีอยู่ในตัวเราเป็นพลังท่ีผลักดันให้เราแสดงออกซ่ึงพฤติกรรมตามหลักแห่ง ความพอใจ แต่ส่งิ น้ันถูกกดหรอื ขม่ ไว้จนถอยร่นไปอย่ใู นสภาพท่ีเราไม่รตู้ ัว กลุ่มน้ีเน้นความสำคัญในเร่ืองจิตใต้สำนึกและขบวนการปฏิบัติงานของจิตใต้สำนึก โดยถือว่าเป็นแก่นสำคัญของสกุลน้ี พยายามค้นให้พบถึงสภาพจิตใต้สำนึก ซึ่งเช่ือว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความ ผิดปกติทางจิตหรอื ระบบประสาท ฟรอยด์ได้ศกึ ษาคน้ พบว่าจิตใต้สำนึกมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนโดยทางอ้อม เชื่ออย่างมากว่าจิตใต้สำนึกเป็นเหตุจูงใจให้บุคคล มีพฤติกรรมแทบทุกอย่าง จิตรู้สำนึกเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าเปรียบเปน็ ก้อนน้ำแข็งทีล่ อยอยู่ในน้ำ จิตรสู้ ำนึกก็เปน็ เสมือนส่วนท่โี ผลพ่ น้ น้ำและจิตใต้สำนกึ มจี ำนวนมากซงึ่ ถูก เก็บกดเอาไว้เปรียบเสมือนน้ำ แข็งใต้น้ำ การท่ีจะเข้าใจบุคคลจึงจำเป็นต้องศึกษาจิตใต้สำนึกของเขาให้มากท่ีสุด โดยศึกษาจากความฝันคำพูดท่ีพลั้งเผลอพูดขณะเมา หรือการท่ีแสดงออกโดยไม่รู้ตัว และยังมีความเชื่อว่า พฤติกรรมท้ังหลาย หรือแรงจูงใจมีสาเหตุมาจากพลังผลักดันทางเพศ ความเช่ือนี้มีผู้ต่อต้านมากในระยะแรกๆ แตแ่ นวคิดของกลุ่มน้ีเป็นท่ียอมรับในวงการแพทย์ สำหรับการบำบดั รักษาอาการผดิ ปกติทางจิต ปัญหาทางอารมณ์ ปัญหาทางบคุ ลกิ ภาพ ความคิดหลักของฟรอยด์ ก็มีอยู่ว่าจิตมีลักษณะเป็นพลังงาน เรียกว่าพลังจิตพลังงานจิตนี้ เปน็ ผคู้ วบคุมการกระทำกิจกรรมต่างๆ ของร่างกายท้ังหมด เม่ือพูดถึงพลังงานจิตเป็นคำรวมๆ ก็จะตอ้ งหมายถึงว่า มีสภาพเป็นท้ัง ที่ใต้สำนึกและท่ีรู้สำนึก ขอให้หลับตาเห็นเป็นคล้ายเส้นกั้นขวางอยู่ พลังงานจิตใต้สำนึก ก็จะพยายามดันที่จะขึ้นเลยเหนือเส้นก้ัน เข้าไปอยู่ในภาวะรู้สึก แตใ่ นขณะเดียวกันก็อาจจะมีแรงกดผลักดันเอาไว้ ฝา่ ยไหนมกี ำลงั เหนอื กวา่ ฝ่ายน้ันก็ชนะไป ดงั แสดงในภาพท่ี ๑.๑๐ แรงกด จติ ร้สู ำนกึ เส้นแบง่ ระดบั จิตใตส้ ำนกึ แรงดนั ภาพท่ี ๑.๑๐ แสดงแรงกดของจติ สำนึก และแรงดันของจิตใตส้ ำนึก ฟรอยด์เช่ือว่า ความทะเยอทะยานในกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์นั้น ได้รับอิทธิพลมาจากจิตใต้ สำนึกมากที่สุด โดยปกติไม่ว่ามนุษย์จะแสดงพฤติกรรมใดๆ ออกมา ย่อมอยู่ใต้การบังคับของจิตสำนึก การแสดงออกของจิตใต้สำนึกหารู้สึกตัวไม่ ไม่สามารถควบคุมได้ พวกวิกลจริตเป็นเพราะจิตใต้สำนึกนี้ บันดาล ให้มีพฤติกรรมแปลกๆ กลายเป็นผู้มีบุคลิกภาพผิดจากคนธรรมดา (Personality Defect) หรือจิตผิดปกติ (Mental Disorder) จติ ใต้สำนึกเกิดจากความต้องการทไี่ มไ่ ดร้ ับการตอบสนองของมนุษย์ แล้วถูกเก็บไว้และมักจะ แสดงออกในรูปของความฝันการละเมอ และพล้ังปาก ความปรารถนา กล่าวคือ ความปรารถนาที่สังคมไม่ยอมรับ โดยถูกห้ามปราม หรือลงโทษทำให้เด็กเกิดความรู้สึกจะทำอย่างไร เกิดความอึดอัด วุ่นวายใจ ท่ีกลายมาเป็นส่วน ของจิตใต้สำนึก ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปของความฝัน คำพูดท่ีหลุดปาก หรือการกระทำที่แสดงออกมาโดย

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๒๒ ไม่รสู้ กึ ตัว ความปรารถนาที่เปน็ จิตใต้สำนึกส่วนใหญเ่ ป็นความปรารถนาทางด้านเพศ มูลเหตจุ ูงใจของคน มตี น้ เหตุ มาจากความปรารถนาทางเพศ แต่ฟรอยด์ให้ความหมายของคำว่าเพศ ของเขาไว้อย่างกว้างขวาง ได้ชี้ให้เห็นว่า การแสดงพฤติกรรมของบุคคลน้ัน ย่อมดำเนินไปสู่จุดมุ่งหมาย เพ่ือให้สอดคล้องกับหลักแห่งความพึงพอใจ หรอื เพื่อความสบายใจเป็นสำคัญ ซึ่งส่วนมากเป็นการแสดงพฤติกรรมที่มีสาเหตุมาจากสัญชาตญาณของการดำรง พันธ์ุ แต่การแสดงพฤติกรรมต่างๆ ต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง โดยเฉพาะส่งิ แวดลอ้ มทางวัฒนธรรม ด้วยเหตุน้ีเอง พฤติกรรมหลายอย่างท่ีแสดงออกมา เช่น พฤติกรรมท่ีเกิดจากสัญชาตญาณของการดำรงพันธ์ุ ซ่ึงเกิดข้ึนต้ังแต่วยั เด็ก พอโตข้ึน พบกับหลกั แหง่ ความเป็นจริงก็ต้องสะกดกล้ันไว้ ในบางครั้งก็เกิดการขัดแย้งอย่าง รุนแรง ระหว่างความต้องการท่ีแสดงพฤติกรรมเพ่ือให้สอดคล้องกับหลักแห่งความพึงพอใจกับแรงกดดัน จากความจริงภายนอก ผลที่เกิดข้ึนคือพลังของจิตใต้สำนึกส่วนหน่ึงของพฤติกรรมที่มนุษย์ได้รับแรงผลักดัน จากแรงจูงใจจากจิตใต้สำนึกและเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ในระยะ ๕ ปี แรกของชีวิต ซ่ึงมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพ ฟรอยด์เชื่อวา่ บุคลกิ ภาพของมนษุ ยป์ ระกอบดว้ ยการทำงานของระบบ ๓ ระบบ ดังน้ี ๓. ระบบ Id เป็นส่วนประกอบทางกาย (biological component) เป็นระบบด้ังเดิม ของบุคลิกภาพประกอบด้วยทุกอย่างที่สืบทอดมาแต่เกิด รวมทั้งสัญชาตญาณซ่ึงเป็นแรงขับให้มนุษย์แสดง พฤติกรรมต่างๆ ๓.๑ สญั ชาตญาณ ฟรอยด์ ไดแ้ บง่ สญั ชาตญาณแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ดงั น้ี ๑) สัญชาตญาณของการดำรงชีวิต (life instinct) เป็นญชาตญาณที่ตอบสนอง ความต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยเฉพาะสัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) ซึ่งฟรอยด์ให้ช่ือว่า “Libido” เป็นแกนสำคัญของการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ๒) สัญชาตญาณของการตายหรือความก้าวร้าว เป็นสัญชาตญาณ ท่ีฟรอยด์ (Freud) เช่ือว่ามีอยู่ในตัวคนทุกคน การนินทาเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวของคนอย่างหนึ่ง ส่ิงต่างๆ เหล่าน้ีล้วนเป็น อนั ตราย ในการดำรงชีวิตซึง่ ก็เปน็ สงิ่ นำไปสู่ความตาย Id เป็นพนื้ ฐานการก่อเกดิ บุคลกิ ภาพ คนตอบสนอง เรยี นรู้ สิ่งแวดลอ้ มภายนอก ความต้องการ รบั สถานการณ์ต่างๆ เบื้องต้น (ID) เผชิญต่อความจริง ๓.๒ หน้าทข่ี อง Id ๑) สร้างแรงขับสัญชาตญาณ (instinctive force) ออกมาเพ่ือให้บุคคลแสดง พฤติกรรมและสญั ชาตญาณ (Instinct) ๒) กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมาเพื่อให้สอดคล้องกับหลักแห่ง ความพึงพอใจ (principle of pleasure) ดังน้ัน พฤติกรรมต่างๆ ของบุคคลท่ีแสดงออกมาภายใต้อิทธิพลของ Id จงึ มีพฤติกรรมทีป่ า่ เถอ่ื น หยาบคาย แขง็ กรา้ ว เห็นแกต่ วั โหดร้าย ฯลฯ ๓) เป็นแกนกลางของบุคลกิ ภาพของบุคคล ๔. ระบบ Ego คือ พลังจิตส่วนท่ีควบคุมการแสดงพฤติกรรมให้เหมาะสม หมายถึง ส่ิงต่างๆ ที่บุคคลได้รับมาจากการเรียนรู้ เป็นพลังส่วนที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้มาแล้ว ฉะน้ันพฤติกรรมท่ีบุคคลแสดง ออกมาเพราะพลังของ Ego จึงมีลักษณะเป็นพฤติกรรมที่ผ่านการฝึกหัดอบรมมาแล้ว (learned or trained behaviors) Ego หมายถึง การด้ินรนของร่างกาย เพ่ือสนองความต้องการท่ีเกิดขึ้น Ego หมายถึง พลังท่ีควบคุม

จติ วิทยาสำหรับครู ๒๓ ไม่ให้แสดงพฤติกรรมท่ีสังคมไม่ปรารถนาออกมาและปรับตัวไม่ให้เกิดทุกข์ทรมานเม่ือความต้องการถูกกดไว้ (repression) หาทางให้ความเกิดจาก Id ได้รับการตอบสนองแต่ไม่ขัดกับคุณธรรม กล่าวคือ พยายามยับยั้ง การสนองความต้องการท่ีเกิดจาก Id ให้เหมาะสม Ego เป็นพลังท่ีคอยห้ามมนุษย์ไม่ให้แสดงพฤติกรรมสนอง ตามที่ Id ต้องการให้ขัดกับคุณธรรม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมและพยายามปรับปรุงตน ให้บรรลุวุฒิภาวะให้สูงสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม Ego เป็นพลังส่วนท่ีควบคุมการแสดงออก ซึง่ พฤติกรรมของคนใหด้ ำเนินไปอย่างเหมาะสมภายใต้อิทธิพลของจติ และ Super ego พยายามแกไ้ ขข้อขดั แย้ง ต่างๆ ของ Id และ Super ego ซึ่งบางกรณีถ้าความขัดแยง้ มมี ากจะเกิดความวิตกกังวล กระวนกระวายจนเป็นโรค จติ โรคประสาทได้ วธิ หี นึง่ ท่ีเปน็ ทางออกของ Ego กลไกการปอ้ งกนั ตวั หรือใชก้ ลวธิ าน (defense mechanism) ๔.๑ หน้าทขี่ อง Ego ๑) ควบคุมการแสดงพฤติกรรมของบุคคลให้สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็น จรงิ (Principle of Reality) คือ ควบคมุ ความอยากอันไมเ่ ป็นท่ีพึงปรารถนาของสังคมมิใหป้ รากฏออกมาภายนอก ได้ ใช้หลักความเป็นจริง (Principle of Reality) มาคอยควบคุมหลักแห่งความพอใจ (Principle of Pleasure) ควบคุมมใิ ห้ความตอ้ งการที่เกดิ จากพลงั ของ Id ในสิง่ ท่ีไมป่ ระสงคข์ องสังคมปรากฏออกมา ๒) ผ่อนคลายความทุกข์เนื่องจากการเก็บกด ระงับความขัดแย้งระหว่าง ความตอ้ งการเพื่อสนองความพอใจของตน (Id) กบั ความรู้สึกผิดชอบชวั่ ดี ซ่ึงทำใหค้ นเราเกดิ ความทุกข์ร้อนกระวน กระวาย อาจรุนแรงถึงเป็นโรคจิตโรคประสาทก็ได้ ควบคุมการแสดงพฤติกรรมของบุคคลให้ดำเนินไป อย่างเหมาะสมภายใต้อิทธพิ ลของ Id และ Superego คอื พยายามแก้ไข ข้อขัดแย้งต่างๆ ท่ีเกดิ ขึ้นจากความอยาก เพราะข้อขัดแย้งต่างๆ น้ีเองเป็นท่ีมาของความทุกข์ร้อน พยายามมิให้เกิดความทุกข์โดยการเก็บความอยาก เหล่านั้น Egoทำหน้าท่ีใช้กลวิธานหรือวิธีป้องกันตัว (defense mechanisms) ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเป็นทุกข์ กลไกในการแก้ไขหรือคลายความทุกข์อาจแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมาโดยไมร่ ้สู ึกตัว เชน่ การก้าวร้าว เกบ็ กดทน แทนหรือหลีกเลีย่ ง ๓) ทำให้บุคคลเป็นผู้มีวุฒิภาวะ (Maturity) คือสะสมวามสามารถ รู้จักตน พ่ึงตนเองไดเ้ มื่อเผชญิ กับแรงดันจากความเป็นจริงภายนอก ๕. ระบบ Superegoเป็นส่วนประกอบทางสังคม (Social Component) เป็นระบบมโนธรรม ซึ่งมนุษย์ได้รับการขัดเกลาจากสังคมให้รู้ส่ิงดีและส่ิงเลวร้าย เป็นตัวแทนของคุณธรรมหรือค่านิยมตามประเพณี อุดมคติของสังคม ซ่ึงพ่อแม่แปลความหมายและบังคับให้เด็กปฏิบัติโดยอาศัยระบบการให้รางวัลและการลงโทษ เป็นเครือ่ งควบคมุ พฤตกิ รรมบังคบั ใหบ้ ุคคลกา้ วสูม่ าตรฐานอันไรข้ ้อบกพร่องมากกวา่ ให้มีความสุข ๕.๑ หนา้ ทข่ี อง SUPEREGO ๑) หักห้ามอารมณ์ที่พลุ่งข้ึนมาอย่างรุนแรงของ ID โดยเฉพาะเร่ืองเพศ และความกา้ วร้าวรนุ แรง ๒) ชักจูงให้ไปสู่เป้าหมายทางศลี ธรรมแทนทเ่ี ป้าหมายตามความเปน็ จรงิ ๓) พยายามควบคมุ พฤติกรรมให้เขา้ สู่มาตรฐาน ๖. สรุปสาระสำคญั ของแนวคิดกลุ่มจิตวิเคราะห์ ประกอบด้วย ๖.๑ การเข้าใจถึงส่วนลึกของจิตใจและพลังท่ีอยู่ภายใต้ของมนุษย์แต่ละคนอีกท้ัง ความสามารถทจี่ ะนำไปประยุกตใ์ ช้ เพอ่ื ใหค้ วามทกุ ขใ์ จของมนุษยแ์ ตล่ ะคนบรรเทาลง ๖.๒ การเขา้ ใจพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ที่แสดงออกน้ันส่วนใหญ่ จะถูกควบคุมโดยจิต ใต้สำนกึ (unconscious) ๖.๓ พัฒนาการในช่วงวัยเด็กตอนต้นมีอิทธิพลสำคัญ ซึ่งสามารถส่งผลถึงพฤติกรรมวัย ผูใ้ หญไ่ ด้

จติ วิทยาสำหรบั ครู ๒๔ ๖.๔ การเข้าใจถึงวิถีทางของมนุษย์ท่ีพยายามลดความวิตกกังวล ด้วยการสร้างกลไก ทางจิต ๖.๕ วธิ กี ารที่จติ วิเคราะห์ใชไ้ ด้แก่ การระบายความในใจ (free association)การระบาย อารมณ์ (transference)การวิเคราะห์ความฝัน(dream analysis)การต่อต้าน (resistance) การแปลความหมาย (interpretation) หลักสำคัญของกลุ่มจิตวิเคราะห์ สามารถทำความเข้าใจเป็นภาพรวม คือ การที่จะเข้าใจถึงส่วน ลึกของจิตใจและพลังที่มีอยู่ภายในตัวคน เพ่ือให้เข้าใจถึงพฤติกรรมต่างๆ ฟรอยด์ (Freud) เน้นว่าควรทำความ เข้าใจกบั จติ สำนึกและจิตใต้สำนึก และอุปมาจติ ของมนุษย์เปรียบเสมือนกอ้ นน้ำแข็งท่ีกำลังลอยอยูใ่ นน้ำ จติ สำนึก (conscious) เปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือ ผิวน้ำ ส่วนท่ีอยู่ใต้ผิวน้ำน้ีคือ จิตใต้สำนึก (unconscious) ฟรอยด์ (Freud) เชื่อว่ามีถึงเก้าในสิบ (๙/๑๐) ส่วนของก้อนน้ำแข็ง ซึ่งจิตใต้สำนึกนี้เป็นท่ีสะสมของประสบการณ์ ความทรงจำและส่ิงต่างๆ ท่ีมนุษย์พยายามเก็บกดไว้ รวมถึงแรงจูงใจและความต้องการต่างๆ ที่ไม่สามารถ แสดงออกได้ ในภาวะปกติ ผลจากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก เป็นผลงานที่สร้างช่ือเสียงให้กับฟรอยด์ (Freud) มาก เพราะเป็นสิ่งสำคัญท่ีช่วยให้มนุษย์เข้าใจถึงพฤติกรรมและปัญหาที่เกี่ยวกับบุคลิกภาพของมนุษย์ ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถศึกษาจิตใต้สำนึกได้โดยทางตรง แต่จิตใต้สำนึกก็จะแสดงให้เห็นในรูปของพฤติกรรม ตามลกั ษณะทแี่ ตกต่างกนั ไป ดงั น้ี ๑. ข้อมูลท่ีได้ภายหลังการสะกดจิต โดยเฉพาะข้อมูลการใช้เทคนิคการระบายความในใจ (Free Association) ๒. การพูดพลั้งปาก (Slips of the tongue) เช่น ขณะท่ีเรากำลังพูดสนทนากับบุคคลหน่ึง แต่ใจไปนึกถงึ อกี บคุ คลหน่ึง จึงเรียกช่อื บคุ คลที่เราสนทนาด้วยผดิ ไป ๓. ความฝัน (Dream) ฟรอยด์ถือว่า ความฝันเป็นสัญลักษณ์ที่แทนความต้องการหรือ ความขดั แย้งทซ่ี อ่ นอยู่ในสว่ นลึก ๑.๗.๕ กลุม่ จิตวิทยาเกสตอลท์ (Gestalt Psychology) กลุ่มจิตวิทยาเกสตอลท์เป็นแนวคิดท่ีเกิดข้ึน ในประเทศเยอรมัน เมื่อ ค.ศ.1913 ผู้นำกลุ่ม คือ แมกซ์ เวอร์ไธเมอร์ (Max Wertheimer, 1880) โคห์เลอร์ (Kohler, 1877) และ เคริท คอฟกา (Kurt Koffka, 1886) นักจิตวิทยาเหล่านี้เป็นชาวยิว อยู่ในประเทศเยอรมันเมื่อถูกฮิตเลอร์ ขับไล่ จึงหนีไปต้ังถ่ินฐาน อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานของเขาต่อไปจนเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายท่ัวไป หลังจากทฤษฎีที่ซบเซาไป เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ และเริ่มมาแพร่หลายในสหรัฐอเมริกาเม่ือหลังสงคราม ซึ่งต่อมา เคริท เลวิน (Kurt Lewin, 1890 - 1947) นำทฤษฎีเกสตอลท์มาปรับปรุงดัดแปลง ทฤษฎีน้ีมีช่ือใหม่ในระยะหลังว่า Field Theory (ทฤษฎีสนาม) จิตวิทยาเกสตอลท์ ได้รับความสนใจจาก โคห์เลอร์ ได้รับเชิญเป็นนายกสมาคมจิตวิทยา แห่งสหรัฐอเมริกา ใน ค.ศ. 1959 คำว่า “Gestalt” เป็นคำในภาษาเยอรมัน หมายความว่า Totality หรือ A whole configuration หรือ see as a whole หรือกระสวน โครงร่าง รูปร่าง (pattern) สนาม (field) การรวม หน่วยย่อย (configuretion) หรือโครงรูปแห่งการรวมหน่วย (การรวมเป็นรูปร่าง) หรือโครงสร้างของการรวม หน่วย (โครงสร้างของส่วนรวม) (form configuration หรือ organization) ส่วนรวมท้ังหมด หรือโครงสร้าง ทง้ั หมดจิตวิทยากลมุ่ เกสตอลทน์ ิยมจงึ หมายถงึ จิตวทิ ยาท่ียึดถือเอาส่วนรวมทงั้ หมดเป็นสำคัญ นักจิตวิทยากลุ่มน้ีมีความเห็นว่า การศึกษาจิตวิทยาน้ัน ต้องศึกษาพฤติกรรมทางจติ เป็นส่วนรวม จะแยก ศกึ ษาทีละส่วนไม่ได้ เขามีความเชือ่ มัน่ ในการรวมหนว่ ยต่างๆ อย่างแน่นแฟ้น กลุ่มเกสตอลท์เห็นว่า วิธีการของพฤติกรรมนิยมที่พยายามแยกพฤติกรรมออกมาเป็นหน่วยย่อย เช่น ส่ิงเร้าและการตอบสนองน้ัน เป็นวิธีการท่ีไม่ใช่เร่ืองของจิตวิทยา น่าจะเป็นเร่ืองของเคมีหรือศาสตร์บริสุทธ์ิแขนง

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู ๒๕ อื่นๆ ฉะน้ัน กลุ่มเกสตอลท์จึงไม่พยายามแยกพฤติกรรมออกเป็นส่วนๆ แล้วศึกษารายละเอียดของแต่ละส่วน เหมือนกลุ่มอ่ืนๆ แต่ใช้วิธีตรงกันข้ามกล่าว คือ พิจารณา พฤติกรรมหรือการกระทำของมนุษย์ทุกๆ อย่าง เป็นส่วนรวม เน้นในเร่ืองส่วนรวม (whole) มากกว่าส่วนย่อย เพ่งเล็งถึงส่วนทั้งหมด ในลักษณะท่ีเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน มีความคิดว่าครั้งแรกที่เรามองวัตถุเราจะมองทั้งหมดก่อนแล้วจึงจะแยกดูเป็นส่วนย่อยเป็นส่วนๆ ไป เช่น ดูสี ดูขนาด ทำนองเดียวกัน ถ้าเรามองบ้านคร้ังแรก เรามองบ้านทังหลังก่อนแล้วจึงดูส่วนประกอบ เช่น หลังคา หน้าต่าง เสา การท่ีเรามองเห็นส่ิงต่างๆ น้ัน เราจะรับรู้ลักษณะทั้งหมดเป็นส่วนรวม รายละเอียดจะถูก มองข้ามไปไม่ได้รับการเอาใจใส่ นอกจากจะพิจารณาในแง่ท่ีเกี่ยวพันกับส่วนรวมเท่าน้ัน เช่น เรามองดูภาพ โดยรวมๆ เราทราบว่าเป็นภาพอะไรท้ัง ๆ ที่ไม่ได้พิจารณาส่วนย่อยอย่างละเอียด การรับรู้ของคนเราจะรับรู้เป็น ส่วนรวมก่อนการพิจารณารายละเอียดส่วนย่อย กลุ่มเกสตอลท์มีแนวคิดว่า “ส่วนรวมมีความสำคัญมากกว่า สว่ นยอ่ ยท่ีมารวมกนั ” ภาพที่ ๑.๑๑ Max Wertheimer ทีม่ า: http://quandocabecanaotemjuizo.blogspot.com กลุ่มเกสตอลท์อธิบายหลักการว่า ส่วนประกอบของหน่วยเมื่อรวมกันเข้าแล้วจะไม่เท่ากับหน่วยที่รวมกัน เป็นโครงสร้างแล้วเปรียบได้กับว่า กองไม้ อิฐ ซีเมนต์ เหล็ก ฯลฯ ถ้าแยกเป็นกองๆ จะมีค่าต่ำกว่าบ้าน เพราะเป็น หน่วยรวมซึ่งมีโครงสร้างให้เห็นชัดเจน บ้านสองหลังสร้างด้วยวัสดุเหล่าน้ีจำนวนเท่ากัน อาจสร้างไม่เหมือนกัน ค่าของบ้านอาจจะมีราคาไม่เท่ากัน หลังหนึ่งอาจจะสวยกว่าอีกหลังก็ได้ ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับเทคนิควิธีการใช้วัสดุมา ผสมผสานกันให้เหมาะสม ทำนองเดียวกัน ในรูปของพฤติกรรมก็เช่นกัน การแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อ สิ่งแวดล้อม การท่ีจะแสดงออกมาในรูปใดมักเน่ืองมาจากคุณสมบัติโดยส่วนรวมของบุคคลน้ันๆ เช่น การประสม ประสานกันระหว่างความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก ทักษะหรือความสามารถในการกระทำ ไม่ได้เกิดเพราะส่ิงใดส่ิง หน่ึงเพียงสิ่งเดียวและถึงแม้ว่าส่ิงเร้าสิ่งเดียวกัน ปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคลนั้น ก็อาจจะ แตกต่างกันตาม กาลเวลา ท้ังนี้เน่ืองจากประสบการณ์ท่ีเพ่ิมข้ึนทำให้ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก ทักษะ ความสามารถ ฯลฯ เปลยี่ นไปจากเดิม นกั จิตวทิ ยา กลุ่มน้ี จึงไม่แยกศึกษาส่วนต่างๆ แต่จะมุ่งศึกษาพฤติกรรมทางจิตเป็นส่วนรวม ในการเรียนรู้ใดๆก็ตาม บุคคลจะเรียนรู้จากส่วนรวมก่อนแล้วจึงแยกเป็นส่วนย่อย จึงขัดกับกลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism) ซึ่งเน้น ส่วนย่อยมากกว่า ส่วนรวม กลุ่มเกสตอลท์เน้นว่า ส่วนรวมมีค่าและมีความหมายมากกว่าผลรวมของส่วนย่อยๆ ความคดิ น้ีขัดแย้งกบั แนวความคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม ซึ่งพยายามแยกศึกษาสว่ นย่อยต่างๆ ทีละสว่ นจนเข้าใจ แล้วจึงรวมเป็นส่วนท้ังหมดในภายหลัง กลุ่มเกสตอลท์เน้นว่าการเรียนรู้ไม่ใช่แต่เพียงผลรวมของความสัมพันธ์ ระหว่างสง่ิ เรา้ และการตอบสนองน้ัน แต่เปน็ การรบั รู้และแปล ความหมายของสถานการณท์ ั้งหมดเปน็ ส่วนรวม ๑.๗.๕.๑ แนวคดิ ที่สำคญั ของจิตวิทยาเกสตอลท์ แนวคดิ ทส่ี ำคัญของจิตวทิ ยาเกสตอลท์มี ๒ ประการ ดงั น้ี

จติ วิทยาสำหรับครู ๒๖ ๑. การรับรู้ (Perception) การที่คนเราจะรับรู้สถานการณ์ได้เข้าใจทั้งหมดนั้น จะต้องรับรู้ส่วนรวมท้ังหมด แล้วจึงพิจารณาส่วนย่อยเป็นส่วนๆ ภายหลัง จึงจะสามารถทราบ ถึงความสัมพันธ์ ของสว่ นต่างๆ ทำให้เข้าใจสถานการณ์ท่ีเป็นสิ่งเรา้ ไดอ้ ยา่ งถูกต้องแน่นแฟ้น ๒. การหย่ังเห็น (Insight) กลุ่มเกสตอลท์เช่ือว่าการแก้ปัญหาเป็นวิธีการเรียนรู้ของคน และสัตว์ช้ันสูง ความคิดที่เกิดขึ้น เม่ือมีการแก้ปัญหาทำให้ลุล่วงไปได้ เรียกว่า หยั่งเห็น(Insight) วิธีสอนแบบ แก้ปัญหา (problem solving method) จึงเริ่มเข้ามามีบทบาทในโรงเรียนความสามารถในการแก้ปัญหา ของคนเราข้ึนอยู่กับความสามารถในการหยั่งเห็น ถ้าเกิดการหย่ังเห็นขึ้น เมื่อใดก็คือการแก้ปัญหาได้เม่ือน้ัน และเมื่อแก้ปญั หาได้กห็ มายถงึ เกิดการรบั รูข้ ้ึน แล้วนน่ั เอง ๑.๗.๖ กลุ่มจติ วทิ ยามนุษยนิยม (Humanistic Psychology) กลุ่มมนุษยนิยมเป็นกลุ่มแนวคิดท่ีเกิดขึ้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ.1950 ผู้นำกลุ่มน้ี ได้แก่ อับราฮมั มาสโลว์ (Abraham H. Maslow, 1908 – 1970) และคารล์ โรเจอรส์ (Carl Rogers, 1902 – 1987) ภาพที่ ๑.๑๒ Abraham H. Maslow ทีม่ า: http://veerasit-dba๐๔.blogspot.com ภาพที่ ๑.๑๓ Carl Rogers ทมี่ า: http://pairsasiwimon.exteen.com กลุ่มน้ีไม่เห็นด้วยกับกลุ่มพฤติกรรมนิยมท่ีมองมนุษย์เป็นเคร่ืองจักรมากเกินไป ทำให้ดูเหมือนว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถควบคุมวิถีชีวิตของตนเองได้ แสดงพฤติกรรมอยู่ภายใต้อิทธิพลของส่ิงแวดล้อม แนวคิดกลุ่ม มนุษยน์ ิยมเนน้ คุณค่าและความสำคัญของความเป็นมนุษย์ โดยมีความเชื่อวา่ มนุษย์นั้น มีลกั ษณะท่ีเป็นเอกลักษณ์ (Unique) เฉพาะตัวแตกต่างไปจากบุคคลอื่น มีความปรารถนาที่เป็นอิสระ รู้จักคิดตัดสินใจและเลือกกระทำสิ่ง ต่างๆ ได้ด้วยตนเองนอกจากนั้น ยังมีแรงจูงใจท่ีจะพัฒนาตนเองไปสู่ระดับท่ีสมบูรณ์ข้ึนอีกด้วย การแสดง พฤติกรรมจะข้ึน อยู่กับตัวของเขาเองว่าเขารับรู้และตีความหมายเหตุการณ์นั้น อย่างไร ดังนั้น กลุ่มมนุษยนิยม จึงสนใจศึกษาการรับรู้ของบุคคลที่เกี่ยวกับตนเอง บุคคลอื่น และโลกที่เขาอาศัยอยู่ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพล ต่อการแสดงพฤติกรรม ของบุคคลมาก การท่ีมนุษย์สามารถท่ีจะตัดสนิ ใจเก่ียวกับวิถีชีวิตของเขา โดยแนวคิดของนักจิตวทิ ยากลมุ่ นี้เชื่อว่า มนุษย์ ตามธรรมชาติมคี วามโน้มเอียงท่ีจะมกี ารพัฒนาไปในสิง่ ท่ีดีขึ้น ถ้าไมถ่ ูกขัดขวางหรือมีอุปสรรคเกดิ ข้ึน และพวกเขา เชือ่ ตอ่ ไปว่า ลกั ษณะของชีวิตของมนุษย์ไม่สามารถศกึ ษาในเชงิ วิทยาศาสตร์ เช่น ความรกั ความเกลียด ความกลัว ความสุข ความรับผิดชอบ รวมถึงความหมายของชีวิตเพราะลักษณะเหล่าน้ีไม่สามารถให้คำจำกัดความเฉพาะ

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๒๗ หรือถูกจัดกระทำได้ พวกเขาจึงศึกษาเกี่ยวกับความหมายของการมีชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ โดยใช้วิธีการต่างๆ ศึกษา เช่น วิธกี ารปรนัย การศกึ ษาประวตั ิรายบุคคล ปจั จุบัน กลุ่มแนวคิดทางจิตวิทยาในระยะเร่ิมแรก ได้แก่ กลมุ่ โครงสรา้ งทางจิตและกลมุ่ หน้าท่ีจติ ได้เสื่อม ความนิยมลงไปบ้างแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ข้อค้นพบท่ีสำคัญของกลุ่มแนวคิดเหล่านี้ ก็ยังถูกรวบรวมไวเ้ ป็นความรู้ พ้ืนฐานของวิชาจิตวิทยา สำหรับกลุ่มพฤติกรรมนิยมและกลุ่มจิตวิเคราะห์ยังเป็นท่ีนิยมอยู่ แต่ว่าได้ถูกปรับปรุง เปล่ียนแปลงไปบ้างตามแนวคิดของนักจิตวิทยา ในปัจจุบัน จิตวิทยาเกสตอลท์ ได้พัฒนามาเป็นจิตวิทยาความรู้ ความเข้าใจ ส่วนกลุ่มมนุษยนิยมเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้นใหม่เม่ือประมาณ ๕๐ ปีที่ผ่านมานี้เอง ผลของการเกิดกลมุ่ แนวคิดทางจิตวิทยาใหม่ๆ ทำให้นักจติ วทิ ยามที างเลอื กมากข้ึน ในการนำแนวคิดเหล่านั้นมาใช้ อธิบายและทำความเขา้ ใจพฤตกิ รรมทีต่ ้องการศกึ ษาได้อยา่ งเหมาะสม ๑.๘ ประโยชน์ของการศึกษาจิตวทิ ยา จิตวิทยามีประโยชน์แก่บุคคลทุกประเภท โดยเฉพาะครูผู้สอน ผู้บริหารการศึกษา นักสังคมสงเคราะห์ บิดามารดา ผู้ปกครอง ซึ่งจะช่วยให้สร้างสัมพันธ์ท่ีดีกับเด็กได้อย่างราบร่ืนและเป็นสุข ประโยชน์ของจิตวิทยา การศึกษามีดังตอ่ ไปน๑ี้ ๙ ๑.ชว่ ยให้ครูสามารถเข้าใจตนเอง รู้จักพิจารณาตนเอง ตรวจสอบตนเองทั้งด้านดีและข้อบกพร่อง รวมท้ัง ความสนใจ ความต้องการ ความสามารถ ซ่งึ จะทำใหค้ รสู ามารถคดิ และตัดสินใจกระทำส่ิงตา่ งๆ ได้อย่างเหมาะสม ท่สี ุด ๒.ช่วยให้ครูเขา้ ใจทฤษฎีวิธกี ารใหมๆ่ และสามารถนำความรเู้ หลา่ น้ันมาจดั การเรียนการสอน ตลอดจนนำ เทคนิคมาใช้ได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์แก่เด็กอย่างยิ่ง เช่น ในการเรียนส่ิงที่เป็นนามธรรมครูจำเป็นต้อง ใชว้ สั ดุอุปกรณ์เพอื่ ประกอบการเรยี นการสอนให้เดก็ เขา้ ใจง่ายยิ่งขึ้น เปน็ ตน้ ๓.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็ก และสามารถนำความรู้มาจัดการเรียนการสอนให้ เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ความตอ้ งการ ความสนใจของเดก็ แตล่ ะวัย ๔.ช่วยให้ครูเข้าใจและสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน วิธีจัดกิจกรรม ตลอดจนวิธีการวัดผลประเมินผล การศึกษาใหส้ อดคล้องกับความเจรญิ เตบิ โตของผู้เรยี นและถกู ต้องตามหลกั การ ๕.ช่วยให้ครูรูจ้ ักวิธกี ารศึกษาเปน็ รายบุคคล เพ่อื หาทางชว่ ยเหลอื แก้ปัญหาของเดก็ และส่งเสริมพฒั นาการ ของเดก็ ให้เปน็ ไปอยา่ งดที ส่ี ุด ๖.ช่วยใหค้ รูมีสัมพนั ธภาพทดี่ ีกับเด็ก มคี วามเข้าใจเด็กและสามารถทำงานกับเด็กได้อยา่ งราบร่นื ๗.ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษาได้วางแผนการศึกษา การจัดหลักสูตร อุปกรณ์การสอนและการบริหาร การศกึ ษาได้อยา่ งถกู ต้อง ๘.ช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี การที่เรารู้จักจิตใจคนอื่น รู้ความต้องการ ความสนใจ และปรับตัวให้เข้ากับลักษณะเหล่าน้ันได้ ก็ทำให้เราสามารถเข้ากับคนอื่นในสังคมได้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ อยา่ งปกติสุข สรุปท้ายบท ๑๙กฤตวรรณ คำสม, เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าจิตวทิ ยาสำหรบั คร,ู (อุดรธานี : คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุดรธานี, ๒๕๕๗), หน้า ๑๘-๑๙.

จิตวทิ ยาสำหรับครู ๒๘ การศึกษาจิตวทิ ยา เป็นเร่ืองสำคัญต่อวงการศึกษามาก เพราะเป็นแนวคิดท่ีมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ยุคสมัย กรีกโบราณ ผ่านกระบวนการคิดของนักปราชญ์จากยุคหน่ึงสู่ยุคหนึ่ง โดยใช้หลักการคิดเชิงเหตุผล การสังเกต และการทดลอง จนแนวคิดทางจิตวิทยาเป็นแนวคิดท่ีได้รับการยอมรับในยุควิทยาศาสตร์ เน่ืองจากมกี ระบวนการ ศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์ น่ันคือ การทดลอง ถึงแม้ในช่วงระยะแรกจิตวิทยาจะเน้นด้านจิตใจหรือวิญญาณ แต่ในปัจจุบันจิตวิทยาได้ให้ความสำคัญกับส่ิง ที่สามารถพิสูจน์ได้จับได้มากขึ้น น่ันคือ “พฤติกรรม” อาจกล่าวได้ ว่าการศึกษา “จิตวิทยา” นำไปสู่การเข้าใจ “พฤติกรรม” โดยเฉพาะพฤติกรรมมนุษย์ เนื่องจากจิตวิทยานับว่า เป็นเคร่ืองมือหนึ่ง ท่ีจะช่วยกระตุ้นให้มนุษย์ตระหนักถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์และคุณค่าของการปรับตัว เพ่อื ความสขุ สมบูรณข์ องการอยูร่ ว่ มกันในสงั คม จะเห็นได้จากแนวคิดทฤษฎีของกล่มุ แนวคดิ ทางด้านจติ วิทยากลุ่ม ตา่ งๆ ฉะน้ัน ครจู ึงตอ้ งทำความเข้าใจในจติ วทิ ยาพฤติกรรม วิธีการศกึ ษาพฤติกรรมและกลุ่มแนวคดิ ทางจติ วิทยา

จติ วิทยาสำหรับครู ๒๙ ใบกิจกรรมที่ ๑.๑ ใหน้ กั ศึกษาแตล่ ะกลุ่ม ศึกษาแนวคิดจิตวทิ ยาของกลุ่มแนวคดิ ท่ีได้รับมอบหมาย แล้วสรุปประเดน็ ตา่ งๆ ดงั น้ี กลุ่มแนวคิด........................................................... ไดร้ ับอิทธิพลจาก ผู้นำกลมุ่ แนวคิดสำคญั การนำไปใช้ หลังจากท่ีสมาชิกในกลุ่มศึกษา ทำความเข้าใจกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายแล้ว ให้สมาชิก ๑ คน ประจำอยู่ใน กล่มุ ส่วนสมาชกิ ที่เหลอื ใหแ้ ยกไปเข้ากลุ่มอื่น กลมุ่ ละ ๑ คน เม่ือได้กลุ่มใหม่แล้วใหแ้ ตล่ ะคนพูดเร่อื งที่ตนเองไดท้ ำ ความเข้าใจมา เมื่อพูดหมดทุกคนแล้วให้กลับกลุ่มเดิม แล้วสรุปส่ิง ท่ีได้จากการแลกเปล่ียนให้สมาชิกทุกคนได้ รบั ทราบ ต่อจากน้ันให้แต่ละกลุ่มสรุปเป็นองค์ความคิดรวบยอด โดยทำเป็น Mind Mapping แล้วนำเสนอ หนา้ ช้ันเรียน

จติ วิทยาสำหรับครู ๓๐ คำถามท้ายบท ๑. คำว่า “จติ วทิ ยา” มคี วามหมายอย่างไรและม่งุ ศึกษาเกี่ยวกับอะไรฯ ๒. คำว่า “พฤตกิ รรม” มีความหมายอยา่ งไร แบ่งออกเป็นก่ีประเภท อะไรบา้ งฯ ๓. คำว่า “พฤตกิ รรมภายนอกกบั พฤติกรรมภายใน”แตกต่างกันอย่างไร ให้อธิบายพร้อมนำเสนอตัวอยา่ งฯ ๔. จติ วทิ ยามีความเกยี่ วข้องกับวชิ าชพี ครูอยา่ งไรฯ ๕. วิธีการศกึ ษาจิตวิทยามีวิธอี ะไรบา้ งฯ ๖. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายแนวคิดทางดา้ นจติ วทิ ยา ทั้ง ๖ กลุ่ม ดงั นี้ ๖.๑ กลุ่มโครงสร้างจติ ๖.๒ กลุ่มหนา้ ท่จี ิต ๖.๓ กลุ่มพฤตกิ รรมนยิ ม ๖.๔ กลมุ่ จิตวเิ คราะห์ ๖.๕ กลมุ่ เกสตอลท์ ๖.๖ กลุ่มมนุษยนยิ ม โดยการอธบิ ายต้องประกอบด้วยประเด็นเหลา่ นี้ คือ - ผู้นำกลมุ่ - แนวคดิ ที่สำคัญ - การนำแนวคิดไปใช้ประโยชน์ ๗. การศึกษาจติ วทิ ยามีประโยชนส์ ำหรับครูหรือบุคลากรทางการศึกษาอย่างไรฯ ๘. นักศกึ ษาจะประยุกตจ์ ติ วทิ ยาในชีวติ ประจำวนั ได้อยา่ งไรฯ

จติ วิทยาสำหรบั ครู ๓๑ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท กฤตวรรณ คำสม,เอกสารประกอบการสอนรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู, อดุ รธานี : คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอดุ รธานี,๒๕๕๗. กันยา สวุ รรณแสง, จิตวทิ ยาท่ัวไป, กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั บำรงุ สาสน์ , ๒๕๓๒. จรรยา สุวรรณทัต, ความร้เู บือ้ งตน้ เกยี่ วกับจติ วิทยา, เอกสารการสอนชดุ วิชาจิตวิทยาทว่ั ไป, นนทบรุ ี : มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๓๔. ชวนพศิ ทองทวี, จติ วทิ ยาการศกึ ษา, มหาสารคาม : วทิ ยาลัยครูมหาสารคาม, ๒๕๒๒. เดโช สวนานนท์, จติ วทิ ยาสำหรบั ครูและผ้ปู กครอง, กรงุ เทพมหานคร : โอเดียนสโตร์,๒๕๒๘. นิตย์ บุหงามงคล, จติ วิทยาเบ้ืองต้น, ขอนแกน่ : มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ , ๒๕๓๗. ปราณี รามสตู ร, พฤติกรรมมนษุ ย์กบั การพัฒนาตน, กรงุ เทพมหานคร : ธนะการพิมพ์, ๒๕๔๕. ปรีชา วิคหโต, จติ วทิ ยากบั พฤตกิ รรมวัยร่นุ , เอกสารการสอนชุดวิชาพฤติกรรมวัยรุ่น, นนทบุร:ี มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๔๔. มหาวิทยาลัยขอนแก่น,จติ วิทยา, ขอนแก่น : ภาควชิ าจติ วทิ ยาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ , ๒๕๕๐. วริ ฬุ ห์ บญุ สมบัติ, การศกึ ษาธรรมชาติวทิ ยา : ธรรมชาติวิทยา, กรุงเทพมหานคร :จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๒๑. ศรวี รรณ จันทรวงศ์, พฤติกรรมมนษุ ยก์ ับการพัฒนาตน, อุดรธานี : สยามการพมิ พ์, ๒๕๔๙. สชุ า จนั ทน์เอม, สุรางค์ จันทน์เอม, จิตวิทยาในหอ้ งเรียน, กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์, ๒๕๒๑. อบุ ลรัตน์ เพง็ สถิต, จติ วทิ ยาพฒั นาการ, กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๘. Atkinson, R.L, Athinson, R.C and Hilgard E. R. Introduction to Psychology, New York : Harcourt Brace Javanovick, 1987. Baron, Robert A, Psychology : The Essential Science, Boston : Allyn and acon,1983. __________,Psychology, Boston : Allyn and Bacon, 1992. Cronbach, Lee J, Essentials of Psychological Testing, 5th ed. New York : Harper &Row,1990. Johnston, Joni E, The complete Idiot’s Guide to Psychology, Indianapolis : Mac millon U.SA., Inc., 2000.

แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี ๒ จติ วิทยาการศกึ ษา จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม หลงั จากไดศ้ กึ ษาบทเรียนนแ้ี ลว้ นิสิตสามารถ ๑. อธิบายความเปน็ มาความหมาย คณุ ลักษณะ ขอบข่าย และบทบาทของจติ วทิ ยาการศกึ ษาได้ ๒. บอกประโยชน์ของจติ วทิ ยาการศึกษาได้ ๓. อธิบายความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลได้ วางบุคคลได้ ๕. อธิบายการสรา้ งบรรยากาศในช้นั เรียน องคป์ ระกอบของการสร้างบรรยากาศในช้ันเรียนได้ และบทบาทของครูในการสรา้ งบรรยากาศในชน้ั เรียนได้ ๖. อธบิ ายใชเ้ ทคนิคในการสร้างบรรยากาศในชน้ั เรียนได้ ๗. บอกความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล และการแสดงทศั นคติที่ดีต่อผู้เรียน เนอื้ หาสาระ เน้ือหาสาระในบทน้ีประกอบด้วย ๑.ความเป็นมาและความหมายของจิตวทิ ยาการศึกษา ๒.คุณลักษณะจติ วทิ ยาการศึกษา ๓.ขอบขา่ ยจิตวทิ ยาการศึกษา ๔.บทบาทจติ วทิ ยาการศึกษา ๕.ประโยชนข์ องจติ วิทยาการศึกษา ๖.ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ๗.การสร้างบรรยากาศในชั้นเรียน กจิ กรรมการเรยี นการสอน ๑. ทบทวนความรู้เดิมในบทที่ ๑ โดยการซักถามและใหน้ สิ ิตอธบิ ายและแสดงความคดิ เห็น ๒. อธบิ ายเน้อื หา และสรปุ เนื้อหาสาระทีส่ ำคัญ ดว้ ย Microsoft Power-point ๓. อภปิ ราย แลกเปลยี่ นความคิดเหน็ และซกั ถาม ๔. แบง่ กลุ่มนิสิตออกเปน็ ๕ กลุม่ ใหน้ สิ ิตระดมความคิดเห็นในหัวข้อ “ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล” และเขียนสรุปประเด็นต่างๆ แลว้ ให้แตล่ ะกลมุ่ ออกมานำเสนอหนา้ ชั้นเรียน ๕. แบง่ กลมุ่ นิสติ เปน็ ๕ กลมุ่ มอบหมายงานใหแ้ ต่ละกล่มุ ศึกษาค้นควา้ เกยี่ วกบั เทคนิคการสรา้ ง บรรยากาศในชัน้ เรยี น และทดลองใช้ในสัปดาหห์ น้า ๖. ให้นิสิตตอบคำถามท้ายบทที่ ๒ และนำสง่ ในสัปดาห์หนา้ ส่อื การเรียนการสอน ๑. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน “จติ วทิ ยาการศึกษา” ๒. การนำเสนอด้วย Microsoft Power-point และวดี ทิ ศั น์ / คลปิ วีดโี อ ๓. ตำราหรอื หนังเสือเก่ยี วกับจิตวทิ ยา ไดแ้ ก่ กฤตวรรณ คำสม, เอกสารประกอบการสอนรายวิชาจติ วทิ ยาสำหรับครู, อดุ รธาน:ี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอดุ รธานี, ๒๕๕๗. กนั ยา สวุ รรณแสง, จิตวทิ ยาทั่วไป, กรุงเทพมหานคร : บริษัทบำรงุ สาสน,์ ๒๕๔๐.

จิตวทิ ยาสำหรับครู ๓๓ นอ้ มฤดี จงพยุหะ และคณะ, คู่มือการศกึ ษาวิชาจิตวิทยาการศึกษา, กรุงเทพมหานคร : มติ รสยาม, ๒๕๑๖. นุชลี อปุ ภัย, จติ วิทยาการศกึ ษา, พิมพค์ รัง้ ท่ี ๓, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๖. ศรีวรรณ จนั ทรวงศ,์ จติ วทิ ยาเพ่อื การเรียนรู้, เอกสารประกอบการสอน, อดุ รธานี : สยามการพิมพ,์ ๒๕๔๙. สรุ างค์ โคว้ ตระกลู , จติ วิทยาการศึกษา, พมิ พค์ ร้ัง ที่ ๙, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓. แสงเดอื น ทวสี ิน, จิตวทิ ยาการศึกษา, พิมพ์ครงั้ ที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร : ไทยเสง็ , ๒๕๔๕. อารี พันธ์มณ,ี จิตวิทยาสร้างสรรค์การเรยี นการสอน, กรงุ เทพมหานคร : ใยไหม ครเี อทีฟ กรปุ๊ , ๒๕๔๖. ๔. ใบกจิ กรรม ๒ กิจกรรม ดังนี้ ๔.๑ กจิ กรรมความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล ๔.๒ กจิ กรรมเทคนคิ การสร้างบรรยากาศในช้นั เรียน ๕. แบบสอบถามการยอมรับและทศั นคตติ อ่ นักเรียนท่ีมีความแตกตา่ งกัน แหล่งการเรียนรู้ ๑. ห้องสมุดวิทยาลยั สงฆบ์ รุ ีรัมย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๒. หอ้ งสมุดคณะครศุ าสตร์ สาขาวชิ าการสอนพระพทุ ธศาสนาและจิตวทิ ยาการแนะแนว ๓. แหล่งการเรียนรทู้ างอินเตอรเ์ นต็ เก่ียวกบั จิตวิทยาการศึกษา ความแตกต่างระหว่างบุคคล และการสรา้ งบรรยากาศในช้ันเรียน นิสิตสามารถสบื ค้นข้อมูลทต่ี อ้ งการผา่ นเว็บไซต์ตา่ งๆ การวดั และการประเมนิ ผล จุดประสงค์ เครื่องมอื /วิธกี าร ผลทคี่ าดหวัง ๑. มีคะแนนการทำแบบฝึกหัด ๑. อธบิ ายความเปน็ มา ๑. ซกั ถาม ถกู ต้อง ร้อยละ ๘๐ ความหมาย คุณลักษณะ ๒. แบบฝึกหัดท้ายบท ๑. นิสิตมีคะแนนการทำ แบบฝกึ หดั ถูกต้อง ร้อยละ ๘๐ ขอบข่าย และบทบาทของ จติ วทิ ยาการศึกษาได้ ๒. บอกประโยชนข์ องจิตวทิ ยา ๑. ซกั ถาม การศึกษาได้ ๒. แบบฝกึ หดั ท้ายบท ๓. อธบิ ายความแตกต่าง ๑. ซักถาม ๑. นสิ ิตมีคะแนนการทำงานกล่มุ ระหว่างบคุ คลได้ ๒. แบบฝึกหัดท้ายบท และการนำเสนอร้อยละ ๘๐ ๒. นิสติ มคี ะแนนการทำ ๔. บอกปจั จยั ท่มี ีอทิ ธพิ ลต่อ ๑. ซกั ถาม แบบฝกึ หดั ถูกต้อง รอ้ ยละ ๘๐ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคลได้ ๒. แบบฝึกหัดท้ายบท ๑. นสิ ติ มคี ะแนนการทำงานกล่มุ และการนำเสนอร้อยละ ๘๐ ๒. นสิ ติ มคี ะแนนการทำ แบบฝึกหดั ถูกตอ้ ง ร้อยละ ๘๐

จติ วิทยาสำหรับครู ๓๔ ๕. อธิบายการสรา้ งบรรยากาศ ๑. สังเกตพฤติกรรมการร่วม ๑.นิสติ มคี ะแนนการ ทำงานกลมุ่ และการนำเสนอ ในชน้ั เรยี น องคป์ ระกอบของ กิจกรรม หน้าชั้นเรียน รอ้ ยละ ๘๐ ๒. นิสิตให้ความรว่ มมือใน การสร้างบรรยากาศในชนั้ เรียน ๒.สงั เกตการณน์ ำเสนอหนา้ ช้ันเรยี น การทำกจิ กรรมกล่มุ ร้อยละ ๑๐๐ ๓. นิสติ มีคะแนนการทำ ได้ และบทบาทของครูในการ ๓. แบบสังเกตพฤติกรรม แบบฝกึ หัดถูกตอ้ ง รอ้ ยละ ๘๐ สร้างบรรยากาศในชนั้ เรยี นได้ การทำงานกลุ่ม ๑. นสิ ิตมีคะแนนการทำงานกลุ่ม และการนำเสนอร้อยละ ๘๐ ๔. ผลงานกล่มุ ๒. นิสติ มคี ะแนนการทำ แบบฝึกหดั ถูกตอ้ ง ร้อยละ ๘๐ ๕. แบบฝึกหัดทา้ ยบท ๑. นสิ ติ มีการยอมรับและ ๖. ใช้เทคนิคในการสรา้ ง ๑. ซกั ถาม ทัศนคตติ ่อนักเรยี นทมี่ ีความ แตกต่างกนั ในระดับดี บรรยากาศในชั้นเรยี นได้ ๒. แบบฝึกหดั ท้ายบท ๓. นำเสนอเทคนคิ การสรา้ ง บรรยากาศในช้ันเรียน ๗. ยอมรบั ในความแตกต่าง ๑.แบบสอบถามการยอมรับ ระหว่างบคุ คล และมที ัศนคติท่ี และทัศนคตติ ่อนกั เรยี นทม่ี ี ดีตอ่ ผเู้ รียน ความแตกต่างกัน

จิตวทิ ยาสำหรับครู ๓๕ บทท่ี ๒ จิตวิทยาการศกึ ษา ๒.๑ ความนำ จติ วิทยาการศึกษาไม่ใช่ศาสตรเ์ ด่ียวๆ ท่จี ะสามารถสรุปขอบขา่ ยสาระได้ ในตัวเอง แตเ่ ป็นเร่ืองทเ่ี กี่ยวข้อง กบั ศาสตร์ใหญ่ๆ ทสี่ ำคัญ ๒ ศาสตร์ คือ จติ วิทยาและการศึกษา ซึง่ ทงั้ สองศาสตร์มีปรชั ญาท่ีมาและลักษณะหลาย อยา่ งที่แตกต่างกันโดยสิ้น เชิงจิตวิทยาเป็นการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ เพอื่ หาหลักและกฎเกณฑ์ในการอธิบาย พฤติกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นลักษณะของการศึกษาหาความรู้ทางทฤษฎีในห้องปฏิบัติการ และตลอดระยะเวลา ของการศึกษาทางจิตวิทยาท่ีผ่านมาได้มีการคิดค้นทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายและคาดคะเนเหตุผล ในการแสดงกรรมต่างๆ ของมนุษย์ รวมท้ังพยายามคิดค้นหาวิธีท่ีจะควบคุมพฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าวซึ่งต้องอาศัย ระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้า ในขณะเดียวกันก็เป็นการยากมากที่จะสรุปออกมาเป็นทฤษฎี ท่ีสามารถอธิบาย พฤติกรรมของมนุษย์ได้อย่างแน่ชัด เน่ืองจากมีปัจจัยหลายประการเข้ามาเก่ียวข้องกับการแสดงพฤติกรรม และปัจจยั ตา่ งๆ ดังกล่าวก็ไม่สามารถกำหนดขอบเขตได้อยา่ งชดั เจน ในขณะท่ี “การศึกษา” หมายถึง การให้การศึกษาแก่บุคคล อันเป็นวิชาชีพหนึ่งที่มีปรัชญา จุดมุ่งหมาย ความเป็นมา และวิธีดำเนินการท่ีแตกต่างจากศาสตร์ทางจิตวิทยา โดยการให้การศึกษา ส่วนใหญ่จะเน้นไปท่ี การบริหารจัดการท่ีเก่ียวข้องกับกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพื่อมุ่งพัฒนาบุคคลให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพเพ่ือการดำรงอยู่ของตนเองและสังคมอย่างมีความสุข จึงเห็นได้ว่า การให้การศึกษา เป็นกระบวนการพัฒนาบุคคลในลักษณะของการดำเนินการที่ต้องมีการปฏิบัติในสถานการณ์ จริง มิใช่ลักษณะของการศึกษาหาแนวคิดหรือทฤษฎี ที่พยายามอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ จากการค้นคว้า ทดลองในหอ้ งปฏิบัติการ ดังเชน่ วิธีการศึกษาทางจิตวิทยา จะเห็นได้ว่า จิตวิทยาในการศกึ ษาน้ัน มีลกั ษณะธรรมชาติของสองวัฒนธรรมท่ีแตกต่างกัน คือวัฒนธรรม หนึ่งเป็นนักทฤษฎี อีกวัฒนธรรมหนึ่งเป็นนักปฏิบัติ ซ่ึง Sprinthall๑ กล่าวว่า “จิตวิทยาการศึกษาเป็นความ พยายามเชื่อมต่อสองวัฒนธรรมท่ีแตกต่างเข้าด้วยกัน” โดยอาศัยซ่ึงกันและกันในการศึกษาหาความรู้ เนื่องจาก การปฏิบัติการหรือการดำเนินการใดที่ปราศจากทฤษฎีเป็นพ้ืนฐานแนวคิดนี้อาจทำให้เกิดหลักเกณฑ์ท่ีชัดเจน ในการปฏิบัติ หรือไม่สามารถให้คำอธิบายท่ีมีความหมายชัดเจน ต่อการศึกษาค้นคว้าต่อไปในอนาคต และในทางตรงกันข้าม การค้นหาความรู้ทางทฤษฎีเพียงอย่างเดียว ก็อาจไม่สามารถนำมาอธิบายหรือนำมาใช้ อย่างเป็นรูปธรรมได้จริงในทางปฏิบัติหรือแนวคิดพ้ืนฐานของทฤษฎีน้ันๆ อาจเป็นคนละกรณีกับสถานการณ์ ทีเ่ กดิ ขนึ้ จรงิ ก็เป็นได้ ดังน้นั จิตวทิ ยาการศึกษาจึงขาดไมไ่ ด้ ท่จี ะตอ้ งมีทั้งแนวคดิ ทฤษฎที างจิตวทิ ยาเพ่ือเปน็ หลัก และพื้นฐานความคิดในการศึกษาหาความรู้และแก้ปัญหาการจัดการศึกษาที่กำลังปรากฏอยู่ในสภาพการณ์ ของความเป็นจริงนัน่ เอง ๑ Sprinthall และ Sprinthall, ., Educational psychology, 5th ed. New York:McGraw-Hill. 1990 p, 4.

จติ วิทยาสำหรับครู ๓๖ Thorndike๒ นักจิตวิทยาผู้ซ่ึงเขียนบทความเกี่ยวกับจิตวิทยาการศึกษาข้ึนเป็นครั้งแรก ได้เปรียบ นักจิตวิทยาการศึกษาว่า \"เสมือนคนกลางที่เป็นส่ือประสานระหว่างศาสตร์ทางจิตวิทยาและศิลปะในการสอน เขา้ ดว้ ยกัน\" ดงั นั้น จึงอาจสรุปสาระสำคญั ของจิตวิทยาการศึกษาได้วา่ จติ วิทยาการศึกษาเป็นการศึกษาหาความรู้ เพ่ือท่ีจะนำมาใช้ในการจัดดำเนินการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ โดยอาศัยแนวคิดและทฤษฎีทางจิตวิทยา มาเป็นพน้ื ฐานในการสร้างสรรค์ศลิ ปะการสอนให้เกดิ คณุ ค่าและเกดิ ประโยชน์สงู สุดแกผ่ เู้ รยี น ๒.๒ ความเป็นมาของจิตวทิ ยาการศึกษา มีนักปรัชญานักการศึกษาและนักจิตวิทยามากมายที่มีส่วนในการสร้างกรอบแนว คิดให้กับจิตวิทยา การศึกษาแต่ในทีน่ ้ีจะขอกลา่ วถงึ บุคคล ๔ คน ดังนี้๓ ๑. William James : ผู้จุดประกายจิตวิทยาการศกึ ษา คร้ังแรกท่ีก่อกำเนิดขึ้นจิตวิทยามิได้ถูกจัดเป็นวิชาด้านวิทยาศาสตร์แต่ถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของวิชา ปรัชญาในขณะน้ัน (ราวปี 1890) William James ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยHarvard ได้พยายาม ดำเนินการอย่างเป็นระบบเพ่ือเรียกร้องให้จิตวิทยาแยกตัวเป็นศาสตร์อิสระ รวมท้ังพยายามอย่างยิ่งยวดท่ีจะนำ ความรูท้ างจิตวิทยามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตจริง เพ่อื มีใหเ้ ปน็ เพยี งศาสตร์ทศี่ ึกษาหาความรู้อยแู่ ต่เฉพาะในหอ้ งทดลอง William James ทุ่มเทความพยายามให้กับการศึกษาและการทำความเข้าใจกระบวนการเรียนการสอน ในชั้นเรียนเป็นอย่างมาก การบรรยายที่สำคัญย่ิงของเค้าท่ีมีผลต่อวงการจิตวิทยาการศึกษา คือการบรรยาย ในหัวข้อ “คุยกับครูเกี่ยวกับจิตวิทยา” (Talks to teachers on psychology) ที่เน้นว่าทุกส่วนและทุกข้ันตอน ของการศึกษาขึ้น อยกู่ ับการตัดสนิ ใจของครผู ปู้ ฏิบัติการสอนในช้ันเรียน ดังนั้น ความคิดสร้างสรรค์ของครใู นฐานะ ที่เป็นส่ือกลาง ของการนำความรู้ไปสู่ผ้เู รยี น จึงมคี วามสำคญั ยง่ิ ต่อความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอน James (อ้างถึงใน Sprinthall & Sprinthall,) มีแนวความคิดว่า จิตวิทยาการศึกษาควรเป็นการศึกษา และการทำความเข้าใจกับกระบวนการเรียนการสอนในช้ันเรียน ท่ีประกอบไปด้วยสภาพแวดล้อมตามสภาพจริง และที่สำคัญต้องเข้าใจความคิดตลอดจนความรู้สึกของผู้เรียน จนสามารถดึงความคิดและความสนใจของผู้เรียน หรือใหม้ าอยู่กบั เนอื้ หาสาระทีค่ รสู อน James ไม่สนับสนุน ให้นักการศึกษาและครูพึ่งพิงหรือรอคอยคำตอบจากทฤษฎีทางจิตวิทยา และไม่ต้องการให้นักจิตวิทยานำแนวคิดทฤษฎีท่ีศึกษามาอธิบายพฤติกรรมในชั้นเรียน ที่มีความซับซ้อนเกินกว่า ทฤษฎีใดทฤษฎีหน่ึงจะอธิบายได้ เขายืนยันว่าการศึกษาหาความรู้ ทางจิตวิทยาการศึกษาจะต้องดำเนินการ ในชน้ั เรยี น เพ่อื จะได้ทราบปัญหาท่ีเกย่ี วข้องกบั การเรยี นการสอนในสภาพทเ่ี ป็นจริง รวมท้ังต้องอาศัยขอ้ มูล ที่เป็น อัตนัยและปรนัยประกอบ อย่างไรก็ตามการศึกษาในลักษณะนี้ถูกวิจารณ์ ว่าทำได้ยากยิ่งเน่ืองจากมีตัวแปร มากมายเขา้ มาเกยี่ วขอ้ ง และคำตอบท่ีได้จากการศกึ ษาดังกลา่ ว ก็ขาดความเชอ่ื ถือได้ ในทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุ นจ้ี งึ ทำใหย้ คุ นั้น ยงั คงศึกษาค้นควา้ เกี่ยวกบั จิตวทิ ยาการศกึ ษาในหอ้ งทดลองปฏบิ ตั ิการ ๒. Stanley Hall : ผบู้ รู ณาการจิตวทิ ยาสกู่ ารศกึ ษา Stanley Hall ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ท่ีริเริ่มดำเนินการจัดการให้จิตวิทยาเป็นศาสตร์และวิชาชีพอย่าง จริงจังในสหรัฐอเมริกา เขาเป็นบุคคลแรกท่ีเร่ิมศึกษาค้นควา้ ธรรมชาติของมนุษยใ์ นช่วงวยั เด็กและวัยรุ่น จนได้รับ ๒ Thorndike อ้างใน Anderson, Educational psychology, [Online]. Sources : http://facultyweb.conrtland.edu/andersmd/whatis.html.(Accessed 9th march,2004),1998 p,1. ๓ นุชลี อุปภัย, จิตวิทยาการศึกษา, พิมพ์ครั้งท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หน้า ๓-๘.

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๓๗ การยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการศึกษาบุคคลในวัยเด็ก นอกจากน้ียังเป็นบุคคลแรกท่ีนำ แบบสอบถามมาใช้ในการศึกษาเด็กและวัยรุ่นและระหว่างที่เป็นอธิการบดีอยู่ที่มหาวิทยาลัย clark เขาเป็นผู้ริเริ่ม จัดทำวารสารทางจิตวิทยาขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา และยังได้จัดให้มีการประชุมสัมมนา โดยเชิญ นักจิตวิทยาที่มีช่ือเสียงท้ังจากยุโรปและอเมริกาเข้าร่วมสัมมนาเป็นจำนวนมาก เช่น Sigmund Freud และ Carl Jung เป็นตน้ นอกจากนี้ Hall ยังจัดสร้างห้องทดลองปฏิบัติการทางจิตวิทยาขึ้น เพื่อให้นักศึกษาที่เรียนจิตวิทยา ในมหาวิทยาลัยได้ศึกษาวิจัยในระหว่างการศึกษาเล่าเรียน จากการริเร่ิมดำเนินการหลายๆ อย่างดังกล่าวทำให้ Hall ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำของการปฏิรูปการศึกษา ในเวลาต่อมาแนวคิดเก่ียวกับการประยุกต์จิตวิทยา เข้ากับการศึกษาเกิดขึ้น ขณะท่ี Hall ศึกษาและท่องเที่ยวอยู่ในยโุ รปในระยะเวลาหนึ่ง และเมอื่ กลับสหรัฐอเมริกา เขาพยายามบูรณาการจิตวิทยาและการศึกษาเข้าด้วยกัน โดยเชื่อว่าการศึกษาเป็นจิตวิทยาประยุกต์อย่างหน่ึง๔ ขณะท่ีเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins และระหว่างท่ีเป็นอธิการบดีที่มหาวิทยาลัย Clark เขาจัดทำหลักสูตรรายวิชา จัดสัมมนาจัดพิมพ์เอกสารและบทความที่เก่ียวข้องกับปัญหาการเรียนการสอน การศึกษาธรรมชาติทางจิตวิทยาของเด็ก และจิตวิทยาการศึกษามากมาย ร่วมกับลูกศิษย์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น นักจิตวิทยาและนักการศึกษาที่สำคัญหลายคน อาทิ James McKeen Cattell, John Dewey และ L.M. Terman โดยเฉพาะ Terman ไดก้ ล่าวถงึ Hall ว่าเป็นอาจารย์ผู้ย่ิงใหญ่ของวงการจติ วทิ ยาอเมริกัน๕ ๓. John Dewey : จิตวทิ ยาและทฤษฎีทางการศึกษา John Dewey เป็นทั้งนักปราชญ์และนักจิตวิทยา เขาเป็นต้นกำเนิดของแนวคิดทางจิตวิทยากลุ่มหน้าที่ แห่งจิต (Functionalist) และกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorist) ที่เช่ือว่าความสำคัญของส่ิงแวดล้อมมีผล ต่อพฤติกรรมมนุษย์ และเช่ือว่าการศึกษาเป็นกระบวนการทางสังคม ในอันท่ีจะเตรียมบุคคลเพื่อให้สามารถใช้ชีวิต สรา้ งสรรค์คณุ คา่ และประโยชนแ์ กส่ งั คมตอ่ ไป๖ อย่างไรก็ตามแนวคิดเกี่ยวกับความเก่ียวพันของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม (person-In environmental) ของ John Dewey กลับได้รับความสำคัญน้อยกว่าแนวคิดของเขา เก่ียวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน เป็ น สำคัญ (Child-Centered Curriculum) ซึ่ง Dewey เน้ น ว่าจะต้องจัดป ระสบ การณ์ ให้ แก่ผู้เรียน ตามความสามารถและความสนใจของผู้เรียนและถึงแม้จะมีการนำความคิดน้ีไปจัดเป็นการเรียนการสอนท่ีให้ ผเู้ รียนทำทุกอย่างได้ตามใจตนเองก็ตามแต่ปรัชญาพ้ืนฐานของการจัดการเรยี นการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามแนวความคิดของ Dewey ก็ยังคงมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการพัฒนาหลักสูตการจัดกิจกรรมและการใช้สื่อ ประกอบการเรยี นการสอนมาจนถึงปจั จบุ ัน Dewey เห็นว่า ผู้เรียนมีใช้ภาชนะว่างเปล่าที่คอยการเติมความรู้เข้าไปเสมือนเป็นผู้รองรับทุกอย่าง ทผี่ ู้สอนป้อนให้ เขาเนน้ วา่ การทำความเข้าใจพัฒนาการและการเจริญเติบโตในด้านต่างๆ ของผู้เรียนเป็นส่งิ จำเป็น ท่ีผู้สอนจะต้องศกึ ษาหาความรู้ เขาเชื่อว่าหน้าที่หลกั ของสถานศึกษา คือ จะต้องสอนใหผ้ ู้เรียนเป็นนักคิด โดยช่วย ใหผ้ ้เู รียนเรยี นรู้วธิ กี ารคดิ มิใชใ่ ห้ผูเ้ รียน เรียนรขู้ อ้ มลู และความรู้มากมายจากบทเรียน๗ และจะตอ้ งใหผ้ ู้เรยี นเข้ามา ๔ Goodchild L.F., “G. Stanley Hall and the study of higher education”, Review of Higher Education 20,no. 1: 1996, pp.69-99. ๕ Watson , Sr. R.I., Granville Stanley Hall.[Online].Sources:http://educ. southern.edu/tour/who/pioneers/hall.htm.(Accessed 6th March,2004), 2000, p,5. ๖ Shook, J., John Dewey, [Online].Sources:http://psychclassics.yorku.ca/ Thorndike/education.htm.(Accessed 6th March,2004), 1998, P.2. ๗ Campbell, J. Understanding John Dewey:Nature and Cooperative intelligence, Peru, IL:Open Count Publishing Co., 1995, pp.215-216.

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู ๓๘ มีส่วนในกระบวนการเรียนการสอนเช่นเดียวกับครูผู้สอน เนื่องจากการมีส่วนร่วมจะช่วยทำให้ผู้เรียนเกิด ความกระตือรือร้นในการเรียน (Active Learning) ที่สำคัญการให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรงในสิ่งท่ีเรียน จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด นอกจากนี้Dewey ยังมีมุมมองที่กว้างไกล โดยเห็นว่าโรงเรียนจะต้อง เป็นสถานที่ ท่ีช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตและการทำงานร่วมกับผู้อื่นซ่ึงจะทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ วถิ ที างของประชาธิปไตย การแกป้ ญั หา คุณธรรมและจริยธรรมไปในเวลาเดยี วกนั จะเห็นได้ว่าแนวคิดในการจัดการศึกษาของ John Dewey ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลอย่างย่ิงต่อการจัด การศึกษาในปัจจุบันท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดและวิเคราะห์มากกว่าการหาหนทางให้ ผู้เรียนจดจำเนอื้ หาในบทเรยี นทผี่ ูส้ อนเสนอ ๔. Edward Thorndike : บิดาแห่งจติ วทิ ยาการศึกษา Edward Thorndike เป็นนักจิตวิทยาการศึกษาท่ีสร้างสรรค์ผลงานมากมายอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อ กระบวนการจัดการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นแบบทดสอบความสามารถในการเรียนรู้ แบบวัดเชาว์ปัญญา และความถนัดของเด็ก เทคนิคการสอนผู้เรียนวัยผู้ใหญ่โดยใช้กระบวนการกลุ่มวีดีทัศน์ และภาพยนตร์ช่วยสอน การจัดทัศนศึกษา การสอนโดยการสวมบทบาทและการศึกษาเป็นรายกรณี เป็นต้น นอกจากน้ี Thorndike ยังเขยี นตำรา ซ่ึงนบั ว่าเปน็ ตำราจิตวทิ ยาการศึกษาเล่มแรกของโลกในปี 1903 Thorndike เน้นการศึกษาทดลองในห้องปฏิบัติการเพ่ือหาคำตอบให้กับปัญหาที่เกิดข้ึนกับกระบวนการ เรียนการสอนในชั้นเรียน โดยเช่ือว่าคำตอบที่ได้จากการศึกษาจะมีความชัดเจนและเชื่อถือได้ เน่ืองจากใช้วิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ที่มีระบบระเบียบมิใช่เป็นเพียงการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในชั้นเรียนและสรุปผล ตามความเข้าใจส่วนบุคคลสำหรับการศึกษาทดลองท่ีมีช่ือเสียงของ Thorndike และ มีผลต่อการจัดการเรียน การสอนในเวลาต่อมา คือการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของแมวที่ต้องอาศัยกระบวนการลองผิดลองถูก และสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความพร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดจนการฝึกฝน ฝึกหัดซ่ึงทั้งหมดน้ี นำไปสู่ทฤษฎีท่ีได้ ประยุกต์ใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนและการถ่ายโอนการเรียนรู้ ในเวลาต่อมาจากการทดลอง ในห้องปฏิบัติการแล้ว Thorndike ยังได้คิดเคร่ืองมือวัดมากมายที่มีประโยชน์ต่อวงการศึกษาอาทิ แบบวัดผล การเรียนรู้แบบวัดความถนัด ซ่ึงช่วยให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้สอนในการทำความเข้าใจผู้เรียน อย่างไรก็ตามวิธีการศึกษาในห้องปฏิบัติการทดลองและความจำกัดของเคร่ืองมือวัดทำให้วิธีการดังกล่าว ของ Thorndike ถูกวิจารณ์ว่า เป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาของกระบวนการเรียนการสอนในขอบเขตที่จำกัด ซง่ึ การศึกษาหาความรู้ในทางจิตวิทยาการศกึ ษา ควรจะตอ้ งมีการศึกษาพฤติกรรมของผเู้ รยี นในสภาพแวดล้อมจริง ทเี่ กดิ ขนึ้ ในชัน้ เรยี นจึงจะทำใหไ้ ด้ขอ้ มูลความรทู้ ี่ครอบคลมุ ปัญหาทุกด้านที่เกย่ี วข้อง จะเห็นได้ว่าเส้นทางของจิตวิทยาการศึกษามาจากการนำศาสตร์ทางจิต วิทยามาก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อการจัดการศึกษาโดยนักจิตวิทยาท่ีมีอิทธิพลต่อวงการศึกษาทุกคนได้พยายามประยุกต์ความรู้และวิธีการศึกษา ทางจิตวิทยามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนในสภาพจริงเพื่อให้ผู้เรียนได้รับการศึกษาอย่าง เตม็ ที่ โดยมเี ปา้ หมายสงู สุดคือเพื่อให้มนุษย์สามารถศึกษาสังคมให้ม่นั คงต่อไป ๒.๓ ความหมายของจติ วิทยาการศึกษา สุรางค์ โค้วตระกูล๘ ได้กล่าวถึงจิตวิทยาการศึกษาไว้ว่า จิตวิทยาการศึกษาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิจัย เก่ียวกับการเรียนรู้ และพัฒนาการของผู้เรียน ในสภาพการเรียน การสอนหรือในชั้นเรียนเพื่อค้นคิดทฤษฎี และหลักการทจ่ี ะนำมาช่วยในการแก้ปญั หาทางการศึกษาและส่งเสรมิ การเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ๘ สุรางค์ โค้วตระกลู ,จิตวิทยาการศึกษา, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๙, (กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓), หนา้ ๑.

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๓๙ นุชลี อุปภัย๙ ได้กล่าวไว้ว่า จิตวิทยาการศึกษาเก่ียวข้องกับการเพ่ิมประสิทธิภาพการเรียนการสอน โดยนำหลักการ ความรู้ ทฤษฎี และวิธีการศึกษาทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้เพื่อค้นคว้าหาความรู้และแก้ปัญหา ท่ีเกิดขึ้นในสภาพการเรียนการสอนจริง จึงทำให้จิตวิทยาการศึกษาต้องเก่ียวพันกับเรื่องราวต่างๆ มากมายหลาย ดา้ น ไมว่ ่าจะเป็นด้านพฤติกรรมผู้เรียน กระบวนการเรียนการสอนของครู การบริหารจัดการศกึ ษา รวมทั้ง บริบท ที่เกย่ี วขอ้ งอื่นๆ กฤตวรรณ คำสม๑๐ ได้ความหมายไว้ว่า จิตวิทยาการศึกษา หมายถึง การนำหลักการ แนวคิดทฤษฎี และเทคนิคต่างๆ ทางจิตวิทยามาใช้ในกระบวนการทางการศึกษา ทั้งน้ีเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็ม ศกั ยภาพ จากข้อมูลน้ีสามารถสรุปความหมายของจิตวิทยาการศึกษาได้ว่า จิตวิทยาการศึกษา หมายถึง สาขา จิตวิทยาแขนงหนึ่ง ท่ีนำเอาความรู้พื้นฐานทางจิตวิทยา การพัฒนาการของมนุษย์วิธีการเรียนรู้สภาพปัญหา การเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมต่างๆ ท่ีมีผลต่อพฤติกรรมของผู้เรียนและผู้สอน มาประยุกต์ในการจัดกระบวนการ ศกึ ษาการแกไ้ ขปญั หาของผู้เรียนและส่งเสริมการเรยี นรู้ ๒.๔ คณุ ลักษณะของจติ วทิ ยาการศึกษา ครอนบาช (Cronbach, Lee)๑๑ ได้ใหแ้ นวคดิ คุณลักษณะของจิตวทิ ยาการศึกษาไว้ ๔ อยา่ ง ดงั นี้ ๑. จิตวิทยาการศกึ ษาต้องสัมพนั ธ์กับปัญหาของสถานศึกษา ถ้าจิตวิทยาการศึกษาเน้นแต่ทางด้านวิชาการ โดยไม่นำเอาหลักการทางจิตวิทยามาสัมพันธ์กับ การปฏบิ ัติงานในหอ้ งเรียน ผู้เรียนจะเกิดอุปสรรคในการปรบั ตวั สำหรับการดำเนินชีวติ ดังน่ันจิตวิทยาการศกึ ษาจึง เป็นไปในทางทจ่ี ะนำเอาทฤษฎที างจติ วทิ ยามาใชเ้ ก่ยี วกับการศึกษา ๒. จติ วิทยาการศึกษาตอ้ งมกี ารศึกษาวิจยั มาเป็นองคป์ ระกอบ การศึกษาวิจัยจะทำให้ผู้เรียนรู้ข้อเท็จจริง และแนวทางท่ีจะส่งเสริม พัฒนาและวางแนวทาง แก้ปัญหาของส่ิงท่ีศกึ ษา ฉะนั้น การให้ผเู้ รยี นทราบถึงขอ้ เท็จจรงิ ที่มีหลักฐานจากการศึกษาวิจัยทดลองก็จะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีถูกต้อง แทนการเช่ือความคิดท่ีถูกใจ ฉะน้ัน จิตวิทยาการศึกษาท่ีมีการศึกษาวิจัย เป็นองคป์ ระกอบกจ็ ะช่วยใหม้ ีหลกั ฐานสนับสนุนใหเ้ กดิ การเรียนรู้ท่ีมปี ระสิทธิภาพ ๓. จิตวิทยาการศกึ ษาตอ้ งมคี วามเขา้ ใจองคป์ ระกอบของพฤติกรรม การศึกษาจิตวิทยาเบื้องต้น เราอาจเข้าใจการสรุปกฎเกณฑ์เก่ียวกับพฤติกรรมเช่น “ผู้เรียน ที่ได้รับคำชมเชย จะต้ังใจเรียนมากกว่าผู้เรียนที่ถูกตำหนิ” แต่เมื่อเรียนสาขาของจิตวิทยามากข้ึน ก็จะเข้าใจได้ว่า พฤติกรรมที่กล่าวไปแล้วเป็นส่วนหน่ึงของเร่ืองแรงจูงใจและการเรียนรู้ของมนุษย์ ฉะน้ัน จิตวิทยาการศึกษา จะต้องพิจารณาองค์ประกอบอน่ื ๆ อกี หลายอยา่ งของพฤติกรรม ๔. จติ วทิ ยาการศกึ ษาต้องมีความชดั เจน ๙ นชุ ลี อปุ ภัย, จติ วิทยาการศกึ ษา,พิมพค์ ร้งั ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร : สำนกั พมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖), หน้า ๘. ๑๐ กฤตวรรณ คำสม, เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าจิตวทิ ยาสำหรบั ครู, (อุดรธานี : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุดรธาน,ี ๒๕๕๗), หนา้ ๒๖. ๑๑ Cronbach, L.J., Essentials of Psychological Testing, 5th ed. (New York: Harper&Row, 1990), P.42.

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู ๔๐ จิตวิทยาการศึกษาเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ท่ีจะประกอบวิชาชีพครู ฉะน้ัน ครูผู้สอนจะต้องเข้าใจ สาระของจิตวิทยาการศึกษาอย่างถ่องแท้ อีกทั้งแสวงหาตัวอย่างและวิธีการที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ ในการดำเนินชีวติ ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ๒.๕ ขอบขา่ ยของจติ วทิ ยาการศกึ ษา จิตวิทยาการศึกษาเก่ียวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน โดยนำหลักการความรู้ทฤษฎี และวิธีการศึกษาทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้เพื่อค้นคว้าหาความรู้ และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสภาพการเรียน การสอนจริง จึงทำให้จิตวิทยาการศึกษาต้องเกี่ยวพันกับเรื่องราวต่างๆ มากมายหลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้าน พฤติกรรมผู้เรียน กระบวนการเรียนการสอนของครู การบริหารจัดการศึกษา รวมท้ัง บริบทท่ีเก่ียวข้องอ่ืนๆ กลา่ วถึงขอบข่ายเน้ือหาสาระตา่ งๆ ที่นักจิตวิทยาการศึกษาควรทราบ๑๒ ดงั นี้ ๑. นักจิตวิทยาการศึกษาต้องทราบถึงวิธีการศึกษาธรรมความเข้าใจมนุษย์รวมท้ัง ต้องมีความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับแนวคิดของจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม (Humanistic Orientation) พฤติกรรมนิยม (Behavioral Orientation) ปัญญานิยม (Cognitive Orientation) และจิตวิเคราะห์(Psychoanalysis) เพ่อื ที่จะช่วยให้สามารถ เข้าใจผเู้ รียนไดอ้ ย่างลึกซง้ึ ๒. นักจิตวิทยาการศึกษาต้องรู้เรื่องราวของทฤษฎีและงานวิจัยที่ได้มาจากจิตวิทยาสาขาต่างๆ ได้แก่ จิตวิทยาพัฒนาการ นักจิตวิทยาการศึกษาจะต้องทำความเข้าใจทฤษฎีพัฒนาการของนักจิตวิทยาหลายท่าน เช่น Piaget, Erikson, Kohlberg , Freud เป็นต้น พัฒนาการทางภาษา นักจิตวิทยาการศึกษาต้องศึกษาผลงาน ของนักวิชาการ เช่น Vygotsky , Chomsky เป็นต้น การจูงใจ นักจิตวิทยาการศึกษาต้องศึกษาทฤษฎี ของนักจิตวิทยา เช่น Hull, Lewin,Maslow , McClelland เป็นต้น การคิดและกระบวนการจัดการกับความคิด ของผู้เรียน(Metacognitive) การทดสอบและการแปลผล ซ่ึงนักจิตวิทยาการศึกษาต้องทราบเร่ืองราวเกี่ยวกับ แบบทดสอบต่างๆ เชน่ แบบทดสอบเชาว์ปัญญา แบบทดสอบบคุ ลกิ ภาพ เป็นตน้ ๓. นักจิตวิทยาการศกึ ษาตอ้ งติดตามพฒั นาการของการจัดการชัน้ เรียนและการออกแบบการสอนการวัด และตรวจสอบรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน (Learning Styles) ตลอดจนวิธีการนำรูปแบบการเรียนรู้ไปใช้ ประโยชน์ รวมถงึ ความก้าวหน้าในการใชเ้ ทคโนโลยเี พือ่ การสอนและการศึกษาทางไกล นอกจากขอบข่ายเนื้อหาดังกล่าวแล้ว นักจิตวิทยาการศึกษาจะต้องสามารถประยุกต์งานวิจัยที่ได้จากทุก แขนงความรมู้ าปรบั ใช้ในชั้น เรียนเพื่อเสริมสร้างความรูใ้ ห้แก่ผเู้ รียน และเพ่ือเตรียมผ้เู รียนใหพ้ ร้อมสำหรบั อนาคต ท่ไี มอ่ าจจะคาดเดาได้ ด้วยการส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนเกิดการศึกษาตลอดชีวิต Anderson ได้สรุปขอบข่ายของจิตวิทยา การศึกษาไวใ้ นรปู ของไดอะแกรมต่อไปน้ี การเรียนวิชาจิตวิทยาการศึกษา ผู้ศึกษาจะต้องมีความรอบรู้ในหลากหลายสาขา ท้ังด้านจิตวิทยา ด้านการศกึ ษา ด้านการวดั ผล ด้านสถานการณ์ปัจจุบันของสงั คม และแนวโน้มท่ีอาจจะเป็นไปในอนาคตเพื่อจะได้ นำความรู้ทั้ง หมดมาประมวลและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนในสภาพการณ์ปัจจุบัน ทำใหเ้ กิดประโยชน์แก่ผเู้ รียนให้ได้มากทส่ี ดุ เท่าทจ่ี ะทำได้ ๒.๖ บทบาทของจติ วทิ ยาการศกึ ษา ๑๒ Anderson , M., Educational psychology, [Online]. Sources : http://facultyweb.conrtland.edu/andersmd/whatis.html.(Accessed 9th march, 1998 p,1-2.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook