Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักเกณฑ์การแปลบาลี ฯ

หลักเกณฑ์การแปลบาลี ฯ

Published by supasit.kon, 2022-12-27 05:33:39

Description: หลักเกณฑ์การแปลบาลี ฯ

Search

Read the Text Version

เพื่อใหเ้ ขา้ ใจง่ายและสะดวกแก่การกาหนดจดจาหลักการแปลกริยากติ ก์ที่ลง อนฺต และ มาน ปัจจยั อาจแสดงสรปุ ไดด้ ังในตารางท่ี ๖.๑ ตารางที่ ๖.๑ สรปุ หลักการแปลกรยิ ากติ ก์ท่ีลง อนฺต และ มาน ปจั จัย ภารกจิ /หน้าท่ี คาแปล ประโยคตัวอยา่ ง อย่/ู เมือ่ ๑. อพั ภนั ตรกริยา โส เอกทิวส นหานติตฺถ คนฺตวฺ า นหาตฺวา (Present participle) อาคจฺฉนฺโต ทิสฺวา ปกฺกาม.ิ แปลโดยพยัญชนะ ๒. วิเสสนะ ผู้/ตวั /อัน ในวันหน่ึง อ. เศรษฐีน้ัน ไปแล้ว สู่ท่าเป็นที่อาบ (Adjective) อาบแล้ว มาอยู่ เห็นแลว้ หลกี ไปแลว้ เถโร อฏฺ เม ทิวเส อนฺโตคาม คจฺฉนฺโต ต อาทาย ภกิ ขสุ งฺเฆน สนธฺ ึ น อคมาสิ. แปลโดยพยัญชนะ อ. พระเถระ เม่อื เข้าไป สู่ภายในแห่งบ้าน ในวนั ท่ี ๘ ไม่ได้พาไปแล้ว ซึ่งสามเณรน้ัน กบั ด้วยหมูแ่ ห่ง ภิกษุ สตฺถา ตสฺส อุปนิสฺสย โอโลเกตฺวา ธมฺม เทเสนฺโต อนุปพุ ฺพีกถ กเถสิ. แปลโดยพยัญชนะ อ. พระศาสดา ทรงตรวจดแู ลว้ ซึ่งธรรมอันเปน็ อปุ นิสัย แห่งกุฎมุ พีชอื่ ว่ามหาปาละน้นั เมอ่ื (=เพ่อื ) ทรงแสดง ซง่ึ ธรรม ตรสั แล้ว ซ่ึงวาจาเปน็ เครือ่ ง กล่าวโดยลาดับ ข้อสงั เกต: ๑) กริยากิตกล์ ง อนฺต หรอื มาน ปัจจยั ทีเ่ ปน็ อันภันตรกรยิ านีจ้ ะมลี งิ ค์ วจนะ วภิ ตั ติเหมอื นกับ บทประธานและวางอย่หู ลังบทประธาน ๒) กรยิ ากิตกด์ ังกลา่ วนี้ถ้ามีธาตุไม่ซ้ากับกรยิ า กิตก์หรือกริยาอาขยาตที่อยู่ข้างหลัง จะแปลว่า “อยู่” ถ้ามีธาตุซ้ากับกริยาอาขยาตที่อยู่ข้างหลัง จะแปลว่า“เมอ่ื ”และในกรณีที่แสดงวัตถุประสงค์ หรือความมุ่งหมาย จะแปลว่า “เม่ือ” แม้กริยา อาขยาตที่อยู่ข้างหลัง จะมีธาตตุ า่ งกันกต็ าม เสสฏฺ าเน ต ปสสฺ นฺโต นาม (ปุคฺคโล) นตถฺ ิ. แปลโดยพยัญชนะ อ. บุคคล ช่ือว่า ผู้เห็นอยู่ ซึ่งเจดีย์คือรอยพระ บาทนั้น ในท่ีอนั เหลอื ย่อมไม่มี ๑๒๘

๓. สมานกาลกรยิ า อยู่ โส ปนุ ปปฺ นุ วจุ ฺจมาโนปิ ตเถว วตฺวา นิสที ิ. (Simultaneity) (โดยอรรถ=พรอ้ ม แปลโดยพยัญชนะ กบั /ขณะเดียวกับ… อ. เจ้าศากยะพระนามว่าสุปปพุทธะน้ัน แม้ผู้อัน ๔. กริยาวิเสสนะ ฯลฯ) ราชบุรุษ ท. กราบทูลอยู่ บ่อย ๆ ประทับนั่ง ตรัส (Adverb) แลว้ เหมือนอยา่ งนัน้ นัน่ เทยี ว อยู่ ๕. วิกติกัตตา (แปลโดยอรรถ มหาปาโล อริยสาวเก คนฺธมาลาทิหตฺเถ วิหาร (Complement) =ด้วย/โดย… คจฉฺ นเฺ ต ทิสวฺ า… ฯลฯ) แปลโดยพยญั ชนะ อ. กุฎุมพี ชื่อว่ามหาปาละ เห็นแล้ว ซ่ึงอริยสาวก เป็นผู้/ของ…อยู่ ท. ผู้มีวัตถุมีของหอมและระเบียบ เป็นต้น ในมือ ผูไ้ ปอยู่ ส่พู ระวหิ าร… ข้อสังเกต: กริยากิตก์ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจยั จะทาหน้าท่ีเป็นวิเสสนะในกรณี ดังน้ี ๑) ประกอบด้วยปฐมาวิภัตติ และวางอยู่ หนา้ บทประธาน ๒) เป็นกัมมวาจก หรือเหตุกัมมวาจก (เฉพาะ มาน ปัจจัย) และวางอยหู่ น้า หรอื หลงั บท ประธาน ๓) ประกอบดว้ ยทุตยิ าวิภตั ตถิ ึงสตั ตมวี ิภตั ติ สามิโกปิสสฺ า ต โอโลเกนฺโต อฏฺ าสิ. แปลโดยพยัญชนะ แม้ อ. สามีของหญิงน้ัน ได้ยืนแลดูอยู่แล้ว ซึ่ง หญิงสาวนน้ั วสิ าขา สสุร วชี มานา ิตา. แปลโดยพยญั ชนะ อ. นางวิสาขา ยนื พัดอยแู่ ลว้ ซง่ึ พ่อสามี ข้อสงั เกต: กรยิ ากิตก์ อนฺต หรอื มาน ปัจจัยท่ีทา หนา้ ทเ่ี ปน็ สมานกาลกริยา มกั จะวางอยู่หนา้ กรยิ า คุมพากย์ อถสสฺ สรีร ผรมานา ป จฺ วณฺณา ปตี ิ อปุ ฺปชชฺ ติ. แปลโดยพยัญชนะ ครั้งนั้น อ. ปีติ อันมีวรรณะห้า ย่อมเกิดขึ้น แผ่ไป อยู่ ตลอดสรีระ ของพราหมณ์น้นั ข้อสังเกต: กริยากิตก์ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจยั ท่ี ทาหน้าท่ีเป็นวิเสสนะ มักจะวางหน้าบทประธาน และแปลหลังกริยาคุมพากย์ อิทานิ มยา ปจฺฉโต นกิ ฺขมานา ตรณุ ิตถฺ ี อิทนฺนาม กโรนตฺ ี (หตุ ฺวา) ทฏิ ฺ า. ๑๒๙

๖. อุปมาวิกติกัตตา เป็นผู้/เป็นของ แปลโดยพยญั ชนะ (Analogy ราวกะวา่ ...อยู่ อ. หญิงรุ่นสาว ผู้ออกไปอย่ขู า้ งหลงั เปน็ ผู้กระทา complement) อยู่ เปน็ ซึง่ กริ ิยาชื่อนี้ อันผมเหน็ แลว้ ในกาลนี้นนั่ ให…้ อยู่ เทยี ว ๗. วกิ ตกิ มั มะ (Complement) ข้อสังเกต: กโรนฺตี เป็นวิกติกัตตา ใน หุตฺวา แต่ ถา้ ไมข่ ึ้น หตุ ฺวา มารับ ก็จดั เป็นวิเสสนะ โส ปน พาโล เถร ทิสฺวาปิ อปสสฺ นโฺ ต วิย หตุ ฺวา อโธมุโข (หุตวฺ า) ภญุ ชฺ เตว. แปลโดยพยัญชนะ แต่ว่า อ. เศรษฐี ผู้เป็นพาลน้ัน แม้เห็นแล้ว ซึ่ง พระเถระ เป็นผู้ราวกะว่าไม่เห็นอยู่ เป็นผู้มีหน้า ในเบ้อื งตา่ เปน็ ย่อมบริโภคนั่นเทยี ว สตฺถา ตสฺส อชฺฌาสย วิทิตฺวา อตฺตโน สงฺฆาฏึ สลิ าตล ปฏิจฉฺ าทยมาน (กตฺวา) ขปิ ิ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซ่ึงอัธยาศัย ของ ท้าวสักกะนั้น ทรงโยนไปแล้ว ซึ่งผ้าสังฆาฏิ ของ พระองค์ กระทา ใหค้ ลมุ อยู่ ซึง่ พื้นแห่งศิลา จากตารางท่ี ๖.๑ จะเห็นว่า หลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง อนฺต และ มาน ปัจจัย คือ ให้ผู้ แปลพิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าท่ีของกริยากิตก์ที่ลง อนฺต และ มาน ปัจจัย ในประโยคก่อน แล้วจึง แปลโดยเลือกใช้คาแปลให้สอดคล้องกบั ภารกิจหรอื หนา้ ทีข่ องกรยิ ากติ ก์น้ัน ๆ กลา่ วโดยสรุป ผแู้ ปลจะตอ้ งพิจารณาถงึ ภารกจิ หรือหน้าที่ของกริยากิตก์ทีล่ ง อนตฺ และ มาน ปจั จยั วา่ ทาหนา้ ที่เป็นอะไร เพราะคาแปลก็จะแตกต่างกนั ออกไปตามภารกิจหรือหนา้ ท่ีของกริยากิตก์ ดังกล่าวน้ัน คือ ๑) เป็นอัพภันตรกริยา แปลว่า “อยู่/เม่ือ” ๒) เป็นวิเสสนะ แปลว่า “ผู้/ตัว/อัน” ๓) เป็นสมานกาลกริยา แปลว่า “อยู่” (ถ้าแปลโดยอรรถ แปลว่า พร้อมกับ/ขณะเดียวกับ…ฯลฯ) ๔) เป็น กริยาวิเสสนะ แปลว่า “อยู่” (ถ้าแปลโดยอรรถ แปลว่า ด้วย/โดย….ฯลฯ) ๕) เป็นวิกติกัตตา แปลว่า “เป็นผู้/เป็นของ...อยู่” ๖) เป็นอุปมาวิกติกัตตา แปลว่า “เป็นผู้/เป็นของราวกะว่า...อยู่” และ ๗) เป็นวกิ ตกิ มั มะ แปลวา่ “ให…้ อย”ู่ ๑๓๐

แบบฝึกหดั ที่ ๖.๒ (การแปลกรยิ ากิตก์ทล่ี ง อนฺต และมาน ปัจจัย) ให้แปลประโยคต่อไปนเี้ ปน็ ไทยโดยพยัญชนะ ๑. ราชา ปเสนฺทิโกสโล ธมฺม สณุ นฺโต ต สททฺ สตุ ฺวา…อาห. (๕/๒) ๒. เถโร อฏฺ เม ทิวเส อนฺโตคาม คจฺฉนฺโต ต (สามเณร) อาทาย ภกิ ฺขสุ งเฺ ฆน สนธฺ ึ น อคมาสิ. (๔/๓๓) ๓. สตถฺ า อิมสฺส ปพุ พฺ กมมฺ กเถตฺวา...อนุสนธฺ ึ ฆเฏตฺวา ธมมฺ เทเสนโฺ ต อิม คาถมาห “ยาวเทว อนตฺถาย ตตฺ พาลสสฺ ชายติ, หนฺติ พาลสสฺ สุกฺกส มทุ ฺธมสฺส วปิ าตยนฺติ. ๔. ตตถฺ ตตถฺ นิสีทนตฺ า หิ ภิกฺขู พุทฺธาสน ปญฺ าเปตวฺ า ว นสิ ีทนฺติ. (๑/๑๔๕) ๕. โส (สปุ ปฺ พทุ โฺ ธ) อาห “ปุรโต คจฉฺ ถ, ตสสฺ (สมณโคตมสฺส) วเทถ ‘นาย (สมณโคตโม) มยา มหลฺลกตโรติ นาสฺส มคคฺ ทสฺสามตี ิ, ปุนปฺปุน วุจจฺ มาโนปิ ตเถว วตวฺ า นิสีท.ิ (๕/๔๑) ๖. อเถกทวิ ส มหาปาโล อริยสาวเก คนฺธมาลาทหิ ตฺเถ วหิ าร คจฺฉนฺเต ทิสฺวา “อย มหาชโน กหุ ึ คจฺฉตตี ิ ปุจฉฺ ิตฺวา “ธมฺมสสฺ วนายาติ สตุ ฺวา “อหปิ คมิสสฺ ามีติ คนฺตวฺ า สตฺถาร วนทฺ ิตฺวา ปริสปริยนเฺ ต นิสีท.ิ (๑/๕) ๗. ภนเฺ ต มหากปปฺ ิโน “อโห สขุ , อโห สุขนฺติ อทุ าน อุทาเนนโฺ ต วจิ รติ. (๕/๒๐) ๘. อถสฺส สรีร ผรมานา ปญจฺ วณณฺ า ปีติ อุปปฺ ชชฺ ิ. (๕/๑) ๙. ตา (อิตฺถิโย) เคเห ฌายนเฺ ต เวทนาปรคิ ฺคหกมฺมฏฺ าน มนสิกโรนตฺ โิ ย (โหนฺติ), กาจิ ทตุ ิยผล, กาจิ ตติยผล ปาปณุ ึสุ. (๒/๕๗) ๑๐. สตถฺ า ตสสฺ (สกฺกสสฺ ) อชฺฌาสย วิทติ ฺวา อตฺตโน สงฺฆาฏึ สิลาตล ปฏจิ ฺฉาทยมาน ขิป.ิ (๖/๘๓) ๑๓๑

คาศัพทท์ คี่ วรทราบ ที่ คาศพั ท์ คาแปล ที่ คาศพั ท์ คาแปล ๑ อาทาย เปน็ ผแู้ กก่ ว่า ไม่ได้พาไปแล้ว ๑๒ มหลฺลกตโร น อคมาสิ จกั ไมใ่ ห้ ๒ คาถ อาห ตรัสแลว้ ซึ่งพระคาถา ๑๓ น ทสสฺ ามิ นง่ั แลว้ ๓ อนตถฺ าย แตค่ วามฉิบหายไม่ใช่ ๑๔ นิสีทิ ประโยชน์ ผู้มีวัตถุมีของหอม ๔ ตตฺ อ. ความเป็นคืออนั รู้ ๑๕ คนฺธมาลาทหิ ตเฺ ถ และระเบียบเป็น ต้นในมือ ๕ หนตฺ ิ ย่อมฆ่า ๑๖ ปริสปริยนเฺ ต ณ ท่ีสุดรอบแห่ง บรษิ ทั ๖ สุกฺกส ซงึ่ สว่ นแห่งธรรมอันขาว ๑๗ วจิ รติ ย่อมเทย่ี ว ๗ มุทฺธ ยังปัญญาช่ือวา่ มทุ ธา เกดิ ขนึ้ แล้ว ๘ วปิ าตยนตฺ ิ ให้ตกไปอยู่ ๑๘ อุปฺปชฺชิ ซ่ึ ง กั ม มั ฏ ฐ า น มี กาหนดถือเอาซึ่ง ๙ ปญฺ าเปตฺวา ๑๙ เวทนา- เวทนาเป็นอารมณ์ ๑๐ นสิ ีทนตฺ ิ ปรคิ คฺ หกมฺมฏฺ าน บรรลุแลว้ ๑๑ ปุรโต ซ่ึงพน้ื แหง่ ศลิ า ปลู าดแลว้ ๒๐ ปาปุณึสุ ทรงโยนไปแล้ว ยอ่ มนงั่ ๒๑ สิลาตล ข้างหน้า ๒๒ ขปิ ิ ๑๓๒

๖.๕ กริยากติ กท์ ล่ี ง ต ปัจจัย (Past participle) กริยากิตกท์ ีล่ ง ต ปจั จยั ตามหลักเปน็ ไดท้ ั้ง ๕ วาจก จะรวู้ ่าเป็นวาจกอะไร ก็ตอ้ งพจิ ารณาถงึ ธาตุเสียก่อน กลา่ วคือ ถ้าเป็นกัตตุวาจก เปน็ ได้ท้งั สกัมมธาตุ และอกัมมธาตุ ถา้ เปน็ กัมมวาจกและเหตุ กัมมวาจกเป็นได้เฉพาะสกัมมธาตุเทา่ นั้นและถา้ เป็นภาววาจกกจ็ ะเป็นได้เฉพาะอกัมมธาตุเท่านั้น สว่ น ทเ่ี ปน็ เหตุกมั มวาจกไมป่ รากฏวา่ มที ใ่ี ชเ้ ลย กรยิ ากติ ก์ที่ลง ต ปจั จยั ดังกล่าว ทีเ่ ปน็ กัตตุวาจก เช่น คโต, ปกฺกนโฺ ต, ปวิฏโฺ ฯลฯ ทเ่ี ป็น กมั มวาจก เช่น กาตพฺพ กรณีย ฯลฯ ท่ีเปน็ ภาววาจก เช่น มรติ พฺพ ภวติ พฺพ ฯลฯ สว่ นที่เป็นเหตุกัมม วาจกนนั้ ตอ้ งอาศยั เหตุ ปัจจยั และลง อิ อาคม ดว้ ย เช่น การาปิต = อนั เขา (ยงั บคุ คล) ใหก้ ระทาแล้ว , สมุฏฺ าปิตา = อันเขา (ยังบุคคล) ใหต้ ั้งไว้พร้อมแลว้ , ตาปาปิต = อนั เขา (ยงั บุคคล) ใหเ้ ผาแลว้ เปน็ ต้น และเปน็ ได้ทง้ั ๓ ลิงค์ คอื ปุงลงิ ค์แจกตามแบบ ปรุ สิ , อติ ถีลิงค์ แจกตามแบบ ก ฺ า, และนปุงสกลงิ ค์ แจกตามแบบ กลุ กลา่ วโดยสรุป กริยากิตกท์ ี่ลง ต ปัจจัย ตามหลักเปน็ ไดท้ ั้ง ๕ วาจก ถา้ เป็นกัตตุวาจก เปน็ ได้ ท้ังสกัมมธาตุ และอกัมมธาตุ ถ้าเป็นกัมมวาจกและเหตุกัมมวาจกเป็นได้เฉพาะสกัมมธาตุเท่านั้น และ ถา้ เป็นภาววาจกก็จะเป็นได้เฉพาะอกัมมธาตุเทา่ นน้ั สว่ นทเ่ี ปน็ เหตกุ มั มวาจกไม่ปรากฏว่ามีท่ีใชเ้ ลย ๖.๖ หลกั การแปลกรยิ ากิตกท์ ี่ลง ต ปัจจัย ในการแปลกริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย นี้ ผู้แปลพึงพิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าท่ีของกริยากิตก์ที่ ลง ต ปจั จัย ว่าทาหน้าท่ีอะไรในประโยคหรือข้อความนน้ั ๆ เช่นเดียวกบั กริยากิตก์ที่ลง อนตฺ หรอื มาน ปัจจยั ดงั กล่าวมาแลว้ ดงั นี้ ๖.๖.๑ คุมพากย์ (Finite verb) กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ท่ีใช้เป็นกริยาคุมพากย์ ให้แปลว่า “…แลว้ ” เช่น ตสมฺ า เตน อากปเฺ ปน นริ าสงฺโก ว คนตฺ วฺ า สตฺถาร วนฺทติ วฺ า พทุ ฺธปฺปมขุ ภิกขฺ ุสงฺฆ อาทาย อาคโต. (๑/๖๖) แปลโดยพยัญชนะ เพราะเหตุน้ัน อ. พระเถระช่ือว่า จุลลกาล เป็นผู้มีความรังเกียจออกแล้วเทียว ด้วย มารยาทนั้น ไปแล้ว ถวายบังคมแล้ว ซ่ึงพระศาสดา พาเอา ซึ่งหมู่แห่งภิกษุ มี พระพุทธเจ้าเป็นประมุข มาแล้ว (คาว่า “อาคโต” เป็นกริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ใช้เป็น ๑๓๓

กรยิ าคุมพากย์ (Finite verb) ถา้ ไม่ใช้เป็นกริยาคมุ พากย์ จะตอ้ งแปลเป็นวกิ ตกิ ัตตาว่า เปน็ ผู้มาแลว้ และต้องเตมิ โหติ ซงึ่ เป็นกริยาอาขยาตมาคมุ พากยแ์ ทน) ตาตา นานจุ ฉฺ วิก รญฺ า กต เอวรปู ํ สาสน สุตวฺ า ตุมหฺ าก สตสหสสฺ ททมาเนน. (๔/๑๗) แปลโดยพยญั ชนะ ดกู อ่ นพอ่ ท. อ. กรรม (กมฺม) อนั ไม่สมควร อันพระราชา ผู้ทรงสดับซึง่ ขา่ วสาส์น อนั มี อย่างน้เี ปน็ รปู แลว้ จงึ พระราชทานอยู่ ซ่ึงแสนแหง่ ทรพั ย์แกท่ า่ น ท. ไม่กระทาแล้ว (กต เปน็ กริยากิตก์ลง ต ปจั จัย ใช้คุมพากย)์ ๖.๖.๒ วิเสสนะ (Adjective) วางอยู่หน้าหรือหลังบทประธาน (หรือบทนาม) โดยทาหน้าที่ ขยายบทประธาน (หรือบทนาม)น้ัน แปลว่า “ ผู้/อนั ...แลว้ ” เชน่ วฏฺฏ ปน เขเปตวฺ า ิโต ขณี าสโว คตทฺธา นาม โหติ. (๔/๕๔) แปลโดยพยญั ชนะ สว่ นวา่ อ. พระขณี าสพ ผู้ยงั วัฏฏะใหส้ ้ิน แล้วจงึ ดารงอยู่แล้ว เปน็ ผูช้ ่อื วา่ มที างไกลอนั ถึงแล้ว มยา ขติ ฺโต สโร สลิ ปิ วชิ ฌฺ ิตฺวา คจฺฉต.ิ (๒/๕๔) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ลูกศร อนั อันเรายงิ แล้ว ย่อมเจาะไปได้ แม้ซ่ึงศิลา (ขติ ฺโต แปลโดยอรรถวา่ ท่ี (เรา) ยิง) ปจฉฺ า วนิ ยธโร ตตถฺ ปวิฏฺโ ต อทุ ก ทิสฺวา นิกฺขมิตฺวา อิตร ปจุ ฺฉิ…(๑/๔๙) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระวินัยธร ผู้เข้าไปแล้ว ในซุ้มแห่งน้าน้ันในภายหลัง เห็นแล้ว ซ่ึงน้านั้นออกแล้ว ถามแล้ว ซ่ึงพระธรรมกถึก นอกน้ี… (ปวิฏฺโ วางอยู่หลังบทประธาน เป็นวิเสสนะ แปลว่า “ผู้เข้าไปแล้ว” แต่ถ้าแปลว่า “เป็นผู้เข้าไปแล้ว” ก็จะเป็นวิกติกัตตา ซ่ึง จะต้องขึน้ หุตฺวา มารับ) ๖.๖.๓ อุปมาวิเสสนะ (Analogy adjective) กริยากิตก์ ลง ต ปัจจยั ทที่ าหน้าทเี่ ปน็ วิเสสนะ นนั้ ถา้ มี วยิ หรือ อิว ศพั ท์ อยู่ด้วย นยิ มเรียกว่า “อปุ มาวเิ สสนะ” แปลว่า “ผ้/ู อนั ราวกะวา่ …แล้ว”, “ผ้/ู อนั เพยี งดังว่า…แล้ว” เช่น ๑๓๔

อถ สตถฺ า คนธฺ กุฏิย นสิ ินโฺ นว โอภาส ผรติ วฺ า สมมฺ เุ ข นิสนิ โฺ น วิย…(๔/๑๔๙) แปลโดยพยญั ชนะ ลาดับน้ัน อ. พระศาสดา.ผู้ประทับน่ังแล้วเทียว ในพระคันธกุฎี ทรงแผ่แล้ว ซ่ึงพระ รัศมี ผู้ราวกะว่าประทบั น่ังแล้ว ในท่มี ีหน้าพร้อม…(…ดุจประทับนงั่ ตรงหน้า) ๖.๖.๔ วิกตกิ ัตตา (Complement) กริยากติ กล์ ง ต ปจั จยั มีลิงค์ วจนะ และวิภัตติ เหมือน นามนามทเ่ี ป็นกตั ตา และวางอยใู่ กล้กรยิ าว่ามีว่าเป็น ให้แปลเปน็ วิกติกตั ตาวา่ “เป็น…” เช่น อชชฺ อมหฺ าก ราชภาโว ตุมฺเหหิ าโต ภวสิ สฺ ติ. (๓/๔๓) แปลโดยพยัญชนะ อ. ความท่ีแห่งเรา ท. เป็นพระราชา จักเป็นภาวะ อันท่าน ท. รู้แล้วในวันน้ี จัก เป็น กห ปน ตวฺ นิสินฺโน๓ (อสิ). (๑/๓๖) แปลโดยพยญั ชนะ ก็ อ. ท่าน เปน็ ผู้นัง่ แลว้ ณ ท่ีไหน (ย่อมเป็น) อห อิมาย นิพพฺ ุตปท สาวโิ ต๔ (อมฺหิ) (๑/๗๗) แปลโดยพยญั ชนะ อ. เรา เป็นผู้อนั นางกสี าโคตมีนี้ ใหฟ้ ังแล้ว ซงึ่ บทวา่ ดับแลว้ (ย่อมเป็น) ๖.๖.๕ อุปมาวิกติกัตตา (Analogy complement) กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ที่ทาหน้าท่ีเป็น วิกติกัตตานั้น ถ้ามี วิย หรือ อิว ศัพท์อยู่ด้วย นิยมเรียกว่า “อุปมาวิกติกัตตา” แปลว่า “ เป็นผู้/ของ ราวกะว่า…แล้ว”, “เป็นราวกะว่า…แล้ว”,“เป็นผู้/ของเพียงดังว่า…แล้ว”, หรือ “เป็นเพียงดังว่า… แล้ว”, เช่น ราชา…โกเธน สมปฺ ชชฺ ลิโต วยิ อโหส.ิ (๒/๕๓) แปลโดยพยญั ชนะ พระราชา…เปน็ ผูร้ าวกะวา่ อนั ความโกรธให้โพลงท่ัวพรอ้ มแล้ว ไดเ้ ป็นแล้ว ๓ กริยากิตก์ลง ต อนีย หรือ ตพฺพ ปัจจัย ใช้คุมพากย์ได้ก็ต่อเมื่อบทประธานเป็นประถมบุรุษเท่านั้น ถ้าบท ประธานเป็นมัธยมบุรุษหรืออุตตมบุรุษ ให้แปลเป็นวิกติกัตตาในกริยาอาขยาต (ซ่ึงจะต้องขึ้นมา) กล่าวคือ ถ้าบท ประธานเป็น ตฺว ให้แปลเป็นวิกติกัตตาใน อสิ, บทประธานเป็น ตุมฺเห ให้แปลเป็นวิกติกัตตาใน อตฺถ, ถ้าบทประธาน เปน็ อห ใหแ้ ปลเป็น วิกตกิ ัตตาใน อมฺห,ิ และถา้ บทประธานเปน็ มย กใ็ หแ้ ปลเปน็ วิกตกิ ตั ตาใน อมฺม ๔ ดู เชิงอรรถ ๓ ๑๓๕

๖.๖.๖ วิกติกัมมะ (Complement) กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ประกอบด้วยทุติยาวิภัตติใน ประโยค กัตตุวาจกและประกอบด้วยปฐมาวิภัตติในประโยคกัมมวาจก ทาหน้าที่ขยายตัวกรรมให้แปล จากเดมิ และเขา้ กบั กรยิ าวา่ ทา เรยี กวา่ “วกิ ติกรรม” แปลวา่ “ ให้เปน็ …” เชน่ อปฺปมตฺต ปน ปมตฺต กโรสิ. (๒/๙๔) แปลโดยพยัญชนะ ก็ อ. ท่าน ย่อมกระทา ซง่ึ บุคคลผู้ไม่ประมาทแลว้ ให้เป็นบคุ คลผปู้ ระมาทแล้ว (ปมตฺต ประกอบด้วยทุตยิ าวิภัตตใิ นประโยคกตั ตุวาจก เปน็ วกิ ตกิ ัมมะ เข้ากับ กโรสิ) อตฺตา สทุ นฺโต กาตพฺโพ. (๖/๑๐) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ตน อันบุคคลพึงทา ให้เป็นตนอนั ฝกึ ดแี ลว้ (สุทนโฺ ต ประกอบด้วยปฐมาวภิ ตั ติ ในประโยคกัมมวาจก) ๖.๖.๗ อุปมาวกิ ติกัมมะ (Analogy complement) กริยากติ ก์ลง ต ปจั จัย ที่ทาหนา้ ท่ีเป็น วกิ ติกรรมน้นั ถ้ามี วิย หรือ อิว ศัพท์อย่ดู ้วย กเ็ รยี กวา่ “อุปมาวิกตกิ ัมมะ” แปลว่า “ใหเ้ ปน็ ราวกะ/ เพยี งดังว่า…” เชน่ อย นิจจฺ กาล มยา กต วตฺต อตฺตนา กต วิย (กตวฺ า) ทสฺเสติ. (๓/๑๑๕) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ภิกษุนี้ ย่อมแสดง ซึ่งวตั รอนั เรากระทาแล้ว (กระทา) ให้เป็นราวกะว่า วัตรอันตน กระทาแล้ว สน้ิ กาลเป็นนติ ย์ เพ่ือให้เข้าใจง่ายและสะดวกแก่การกาหนดจดจาหลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ต ปัจจัย อาจ แสดงสรปุ ไดด้ งั ในตารางที่ ๖.๒ ๑๓๖

ตารางท่ี ๖.๒ สรุปหลักการแปลกริยากติ กท์ ลี่ ง ต ปจั จัย ภารกจิ /หน้าที่ คาแปล ประโยคตวั อย่าง ๑. คมุ พากย์ …แล้ว เอโก ปุรโิ ส นทึ นหานาย คโต. (Finite verb) (แปลเป็นบทสดุ ทา้ ย) แปลโดยพยัญชนะ ๒. วเิ สสนะ (Adjective) อ. ชายคนหน่ึง ไปแล้ว สูแ่ ม่นา้ เพื่ออันอาบ ๓. อุปมาวิเสสนะ ราชา มหาชเนน มานิโต. (Analogy adjective) แปลโดยพยญั ชนะ ๔. วิกติกัตตา อ. พระราชา อนั มหาชน นบั ถือแลว้ (Complement) ข้อสังเกต: กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ใช้คุมพากย์ ๕. อุปมาวิกติกัตตา (Analogy เมื่อบทประธานเป็นประถมบุรุษเท่านั้น ถ้าบท complement) ประธานเป็นมัธยมหรืออุตตมบุรุษ ให้ข้ึนกริยา อาขยาตมาคมุ พากยแ์ ทน ผู้/อนั …แล้ว มยา ขิตฺโต สโร สิลปิ วชิ ฌฺ ติ ฺวา คจฉฺ ติ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ลูกศร อันเรา ยิงแล้ว ย่อมเจาะไปได้ แม้ซ่ึง ศลิ า ปคุ คฺ ล อิธ ิต ปสสฺ าม.ิ แปลโดยพยัญชนะ อ. เรา เหน็ อยู่ ซงึ่ บุคคล ผยู้ ืนอยู่แลว้ ในทนี่ ี้ ชนา ตยา อกถิต วจน น ชานึสุ. แปลโดยพยัญชนะ อ. ชน ท. ไมร่ แู้ ล้ว ซง่ึ ถอ้ ยคา อนั ทา่ น ไม่กล่าว แล้ว ข้อสังเกต: กริยากิตก์ลง ต ปัจจัย ที่ทาหน้าที่ เป็นวิเสสนะ อาจวางหน้าหรือหลงั บทประธาน (กัตตุการก) หรือบทนาม ที่เป็นการกอื่น ๆ ก็ ได้ ผู้/อันราวกะว่า...แลว้ อถ สตฺถา คนฺธกุฏิย นิสินฺโนว โอภาส ผริตฺวา สมมฺ เุ ข นิสนิ โฺ น วิย… แปลโดยพยัญชนะ ลาดับนั้น อ. พระศาสดา ผปู้ ระทบั นงั่ แล้วเทียว ในพระคันธกุฎี ทรงแผ่แล้ว ซ่ึงพระรัศมี ผู้ราว กะวา่ ประทบั นัง่ แลว้ ในที่มีหนา้ พร้อม เป็น… อชชฺ อมฺหาก ราชภาโว ตมุ เฺ หหิ าโต ภวสิ สฺ ต.ิ แปลโดยพยัญชนะ อ. ความที่แห่งเรา ท. เป็นพระราชา จักเป็น ภาวะ อันทา่ น ท. รแู้ ลว้ ในวนั นี้ เป็นผู/้ ของราวกะว่า…แล้ว, ราชา…โกเธน สมฺปชชฺ ลโิ ต วยิ อโหสิ. เป็นผู้/ของเพียงดงั ว่า…แลว้ ฯลฯ ๑๓๗

แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระราชา…เป็นผู้ราวกะว่า อันความโกรธ ใหโ้ พลงทว่ั พรอ้ มแล้ว ได้เป็นแลว้ . ๖. วิกตกิ มั มะ …ใหเ้ ป็น อปฺปมตตฺ ปน ปมตฺต กโรสิ. (Complement) แปลโดยพยัญชนะ ๗. อุปมาวิกติกัมมะ (Analogy ก็ อ. ท่าน ย่อมกระทา ซ่ึงบุคคลผู้ไม่ประมาท complement) แล้ว ให้เป็นบุคคลผูป้ ระมาทแล้ว อตฺตา สทุ นโฺ ต กาตพฺโพ. แปลโดยพยัญชนะ อ. ตน อนั บุคคลพึงทา ให้เปน็ ตนอนั ฝกึ ดแี ลว้ . ข้อสังเกต: วิกติกัมมะ ในประโยคกัตตุวาจก จะประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ ส่วนในประโยค กมั มวาจก จะประกอบดว้ ยปฐมาวภิ ัตติ ใหเ้ ปน็ ราวกะ/เพยี งดงั ว่า… อย นิจฺจกาล มยา กต วตฺต อตฺตนา กต วิย (กตวฺ า) ทสฺเสติ. แปลโดยพยัญชนะ อ. ภิกษุนี้ ย่อมแสดง ซ่ึงวัตรอันเรากระทาแลว้ (กระทา) ให้เป็นราวกะว่าวัตร อันตน กระทา แลว้ ส้ินกาลเป็นนิตย์ จากตารางท่ี ๖.๒ จะเห็นว่า หลักการแปลกริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย คือ ให้ผู้แปลพิจารณาถึง ภารกิจหรือหน้าท่ีของกริยากิตก์ท่ีลง ต ปัจจัย ในประโยคก่อน แล้วจึงแปลโดยเลือกใช้คาแปลให้ สอดคล้องกับภารกิจหรอื หนา้ ทข่ี องกรยิ ากติ ก์นั้น ๆ กลา่ วโดยสรปุ ผูแ้ ปลจะตอ้ งพิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าทีข่ องกริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย วา่ ทา หน้าท่ีเป็นอะไรในประโยค เชน่ เดยี วกบั กรยิ ากิตก์ทลี่ ง อนตฺ หรือ มาน ปจั จัย ดงั กล่าวมาแล้ว เพราะคา แปลก็จะแตกต่างกันออกไปตามภารกิจหรอื หน้าที่ของกริยากิตก์ดังกล่าวนน้ั คือ ๑) เป็นกริยาคุมพากย์ แปลวา่ “…แล้ว” (แปลเปน็ บทสุดท้าย) ๒) เป็นวิเสสนะ แปลว่า “ผู้/อัน…แล้ว” ๓) เป็นอปุ มาวเิ สสนะ แปลว่า “ผู้/อันราวกะว่า…แล้ว” ๔) เป็นวิกติกัตตา แปลว่า “เป็น…” ๕) เป็นอุปมาวิกติกัตตา แปลวา่ “เป็นผู้/ของราวกะว่า…แล้ว, เป็นผู้/ของเพียงดังว่า…แล้ว ฯลฯ” ๖) เป็นวิกติกัมมะ แปลว่า “…ให้ เป็น” และ ๗) เป็นอุปมาวกิ ติกัมมะ แปลว่า “ให้เปน็ ราวกะ/เพยี งดงั ว่า...” ๑๓๘

แบบฝกึ หดั ท่ี ๖.๓ (การแปลกริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย) ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนเี้ ปน็ ไทยโดยพยัญชนะ ๑. ภกิ ฺขุ คาม ปิณฑฺ าย ปวิฏฺโ . ๒. ป ม อาคโต ภิกฺขุ ปุรโต นิสีท.ิ ๓. ปจฺฉา วนิ ยธโร ตตถฺ ปวิฏฺโ ต อทุ ก ทิสวฺ า นิกขฺ มติ วฺ า อติ ร (ธมฺมกถกิ ) ปจุ ฉฺ ิ… (๑/๔๙) ๔. กห ปน ตวฺ นิสินโฺ น (อสิ). (๑/๓๖) ๕. ราชา….โกเธน สมปฺ ชฺชลโิ ต วิย อโหสิ. (๒/๕๓) ๖. อปฺปมตฺตา (หุตวฺ า) สมณธมมฺ กโรถ. (๖/๙) ๗. อย (ภิกฺขุ) นิจฺจกาล มยา กต วตฺต อตฺตนา กต วยิ (กตฺวา) ทสเฺ สติ. (๓/๑๑๕) ๑๓๙

คาศัพทท์ ี่ควรทราบ ท่ี คาศัพท์ คาแปล ท่ี คาศัพท์ คาแปล ๑ ปจฺฉา สน้ิ กาลเป็นนิตย์ ๒ นกิ ฺขมติ วฺ า ในภายหลงั ๓ นิจฺจกาล ย่อมแสดง ออกไปแล้ว ๔ ทสฺเสติ ๑๔๐

๖.๗ กริยากิตก์ทีล่ ง ตนู าทิ ปัจจัย ปจั จัย ๓ ตัว คือ ตนู ตวฺ า และ ตวฺ าน เรียกว่า ตนู าทปิ จั จยั คาวา่ “ตูนาทปิ ัจจัย” แปลวา่ ปจั จัย ๓ ตวั มี ตนู เปน็ ต้น เปน็ อพั ยยปัจจัย คือแจกด้วยวิภตั ติท้ัง ๗ เหมือนนามทงั้ ๓ ไมไ่ ด้ และบอก อดตี กาล แปลว่า “…แลว้ ” เปน็ ได้ ๕ วาจก และใช้เปน็ กริยาในระหวา่ ง กริยากิตก์ที่ลง ตูน ปัจจัย มีท่ีใช้น้อย ส่วนท่ีลง ตฺวา และ ตฺวาน ปัจจัย มีท่ีใช้มาก โดยมี ข้อสังเกตการใชก้ ริยากิตกท์ ลี่ งปจั จยั ทง้ั ๒ ตวั นี้ ดงั นี้ ๖.๗.๑ กรณีทเี่ ปน็ กตั ตุวาจก ๑) ถ้าลงหลงั ธาตุ ๒ ตัว ลบทีส่ ุดธาตุ เชน่ กรฺ + ตวฺ า = กตวฺ า กรฺ + ตวฺ าน = กตฺวาน ๒) ถ้าไมล่ บท่ีสดุ ธาตุ ลง อิ อาคม เชน่ กรฺ + ตฺวา = กรติ วฺ า กรฺ + ตวฺ าน = กริตฺวาน ๓) ถ้าไม่ลง อิ อาคม แปลงพยัญชนะที่สุดธาตุเป็นพยัญชนะท่ีสุดวรรคของ ต แห่ง ตฺวา ปจั จัย คือ น ได้ เชน่ คมฺ + ตฺวา = คนฺตฺวา คมฺ + ตวฺ าน = คนฺตฺวาน ๖.๗.๒. กรณีท่เี ป็นเหตกุ ตั ตุวาจก กริยากิตก์ลง ตูนาทิ ปัจจัย ท่ีเป็นเหตุกัตตุวาจกนั้น ต้องลงปัจจัยประจาวาจกใน อาขยาตกอ่ น คือ เณ/ณฺย/ณาเป/ณาปยฺ ตวั ใดตัวหนง่ึ แล้วจึงลง ตวฺ า หรือ ตฺวาน ภายหลงั (ท่ีมี ย ต้อง ลง อิ อาคมกอ่ น ) เช่น กรฺ + เณ + ตวฺ า = กาเรตฺวา, การยิตวฺ า กรฺ + ณาเป + ตวฺ า = การาเปตวฺ า, การาปยติ วฺ า กรฺ + เณ + ตวฺ าน กาเรตวฺ าน, การยติ วฺ าน ๑๔๑

๖.๗.๓. กรณีเปน็ กัมมวาจก ภาววาจก และเหตุกัมมวาจก กริยากิตก์ลง ตูนาทิ ปัจจัย ที่เป็นกัมมวาจก ภาววาจก และเหตุกัมมวาจก ไม่มีใช้ เพราะได้ไช้ ต ปัจจยั แทน กล่าวโดยสรุป ปัจจัย ๓ ตัว คือ ตูน ตฺวา และ ตฺวาน เรียกว่า ตูนาทิปัจจัย เป็นอัพยย ปัจจัย และบอกอดีตกาล แปลว่า “...แล้ว” เป็นได้ ๕ วาจก และใชเ้ ป็นกริยาในระหวา่ ง ๖.๘ หลกั การแปลกรยิ ากติ ก์ท่ีลง ตูนาทิ ปจั จัย ในการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัยนั้น ให้พิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าที่ของกรยิ ากิตกน์ ั้น ในประโยคหรือข้อความนั้น ๆ เช่นเดยี วกบั กริยากติ ก์ทล่ี ง อนฺต หรือ มาน ปัจจยั และกริยากิตก์ท่ีลง ต ปจั จยั ดงั กล่าวมาแลว้ ดงั น้ี ๖.๘.๑ บุพพกาลกริยา (Precedence) เป็นกริยาท่ีทาก่อนกริยาข้างหลัง ทาก่อนกริยาใดก็ สมั พนั ธเ์ ข้ากบั กริยานนั้ เวลาแปลมักมคี าวา่ “…แลว้ ” เช่น สนฺตติมหามตฺโตปิ นหานติตฺเถ ทิวสภาค อุทกกีฬ กีฬิตฺวา อุยฺยาน คนฺตฺวา อาปาน- ภูมิย นสิ ีทิ. (๕/๗๒) แปลโดยพยญั ชนะ แม้ อ. มหาอามาตย์ช่ือวา่ สนั ตติ เล่นแล้ว เล่นด้วยน้า ส้ินกาลอันเป็นส่วนแหง่ วนั ทที่ ่า เป็นท่ีอาบ ไปแลว้ สู่สวน นง่ั แลว้ บนพื้นเป็นทมี่ าดมื่ โสปิ “นสสฺ วสลีติ (วตฺวา) กชุ ฺฌติ วฺ า อญฺ สฺส ฆร อคมาสิ. (๗/๑๔๑) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พราหมณ์แม้นั้น กล่าวแล้วว่า “ดูก่อนหญิงถ่อย อ. เจ้า จงฉิบหาย ดังนี้ โกรธแลว้ ได้ไปแล้ว สเู่ รือน ของบุตรอน่ื ๖.๘.๒ สมานกาลกริยา (Simultaneity) เป็นกริยาท่ีทาพร้อมกับกริยาอ่ืน โดยมากจะ สมั พันธ์เข้ากับกรยิ าท่วี างอยู่ข้างหลัง และในการแปล อาจจะแปลก่อนหรือแปลพร้อมกับกรยิ าตวั ที่วาง อยู่ข้างหลงั กไ็ ด้ แตจ่ ะไม่แปลออกสาเนยี งว่า “…แล้ว” เหมือนอย่างปุพพกาลกริยา เชน่ ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรนฺติ อิม ธมมฺ เทสน สตถฺ า เชตวเน วิหรนฺโต อนาถปิณฺฑกิ อารพฺภ กเถสิ. (๕/๙) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระวิหารชื่อว่าเชตวัน ทรงปรารภ ซึ่งเศรษฐีช่ือว่า อนาถปิณฑิกะ ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนานวี้ า่ “ปาโปปิ ปสฺสตี ภทรฺ ” ดังน้เี ป็นต้น ๑๔๒

(อารพภฺ ในตวั อยา่ งน้ี แปลก่อน กเถสิ ไม่ออกสาเนียงวา่ “แล้ว” และ เป็นสมานกาล กริยาใน กเถสิ คือเป็นกริยาที่ทาพร้อมกับ กเถสิ) โส (พรฺ าหมฺ โน) สตฺถาร ปชู ิตุกาโม หุตวฺ า “สเจ อมิ สาฏก ทสสฺ าม,ิ เนว พรฺ าหฺมณิยา, น มยหฺ ปารุปน ภวสิ ฺสตีติ จินเฺ ตสิ. (๕/๑) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พราหมณ์น้นั เป็นผใู้ คร่เพอื่ อนั บชู า ซ่งึ พระศาสดา เปน็ คดิ แล้วว่า ถ้าว่า อ. เรา จัก ถวาย ซ่ึงผ้าสาฎกนไี้ ชร้, อ. ผา้ เปน็ เคร่อื งห่มของนางพราหมณี จักไมม่ ีนั่นเทียว, อ. ผ้า เป็นเครื่องห่มของเรา (ก็) จักไม่มี ดังน้ี (หุตฺวา ในตัวอย่างนี้ แปลก่อน จินเตสิ โดยไม่ ออกสาเนียงว่า “แล้ว” และเป็นสมานกาลกริยาใน จินฺเตสิ คือเป็นกริยาที่ทาพร้อม กบั จนิ เฺ ตสิ) ภิกขู ภควนฺต อาทาย ชีวกมพฺ วน อคมสุ. (๔/๕๓) แปลโดยพยัญชนะ อ. ภิกษุทัง้ หลาย ไดพ้ า (หาม) ซ่ึงพระผ้มู ีพระภาค ไปแล้ว สูส่ วนมะม่วงของหมอชื่อว่า ชีวก (อาทาย แปลพรอ้ มกับ อคมสุ โดยไม่ออกสาเนียงว่า “แลว้ ” และเปน็ สมานกาล กริยาคอื กริยาทีท่ าพร้อมกับ อคมสุ) สตถฺ า…อนสุ นฺธึ ฆเฏตฺวา ธมมฺ เทเสนฺโต อมิ า คาถา อภาสิ. (๕/๕๒) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระศาสดา…เม่ือทรงสืบต่อ ซึ่งอนุสนธิ แสดง ซ่ึงธรรม ได้ทรงภาษิตแล้ว ซ่ึงพระ คาถา ท. เหล่านี้ (ฆเฏตฺวา แปลพร้อมกับ เทเสนฺโต โดยไม่ออกสาเนียงว่า “แล้ว” และเป็นสมานกาลกริยา ใน เทเสนโฺ ต คือเปน็ กริยาทีท่ าพรอ้ มกับ เทเสนฺโต) ๖.๘.๓ อปรกาลกริยา (Successtion) เป็นกรยิ าที่ทาทีหลงั กริยาอ่ืนทั้งหมดในประโยค อาจ วางอยู่หน้าหรือหลังกริยาคุมพากย์ก็ได้ และเวลาแปลจะแปลหลังกริยาคุมพากย์ โดยออกสาเนียงการ แปลวา่ “...แลว้ ” เชน่ คจฺฉ ตาส ทตวฺ า. (๒/๕๑) แปลโดยพยญั ชนะ อ. เจ้า จงไป ให้แล้ว แก่หญิง ท. เหล่านั้น (ทตฺวา วางหลังกริยาคุมพากย์ เป็น อปรกาลกริยาใน คจฉฺ ) ๑๔๓

เตนสสฺ า ทกฺขิณปาทตล ปูเรตฺวา จนฺทลกขฺ ณ นิพพฺ ตตฺ ิ. (๗/๓๖) แปลโดยพยัญชนะ เพราะเหตุน้ัน อ. ลักษณะแห่งพระจันทร์ บังเกิดแล้ว ยังพ้ืนแห่งเท้าข้างขวา ของ ภรรยาของเศรษฐีนัน้ ให้เตม็ แลว้ (ปูเรตฺวา วางหน้ากริยาคุมพากย์ เป็นอปรกาลกริยา ใน นพิ พฺ ตตฺ )ิ เตน โข ปน สมเยน อายสฺมา มหากสฺสโป ปิปฺผลิคุหาย วิหรติ, สตฺตาห เอกปลฺลงฺเกน นิสนิ ฺโน อญฺ ตร สมาธึ สมาปชฺชิตวฺ า. (๓/๘๓) แปลโดยพยญั ชนะ ก็ โดยสมัยน้ันแล อ. พระมหากัสสปะ ผู้มีอายุ ย่อมอยู่ในถ้าชื่อว่าปิปผลิ อ. พระ มหากัสสปะน้ัน นั่งแล้ว โดยบัลลังก์หนึ่ง ส้ินวันเจ็ด เข้าแล้ว ซ่ึงสมาธิ อย่างโดยอย่าง หน่งึ (สมาปชชฺ ติ ฺวา วางหนา้ และแปลทหี ลังกรยิ าคุมพากย์ เปน็ อปรกาลกริยาใน นิ สินโฺ น) ๖.๘.๔ เหตุกาลกริยา (Causation) เป็นกริยาท่ีมีกัตตา (ผู้ทา) ต่างจากกัตตา (ผู้ทาหรือ ประธาน) ของกรยิ าคมุ พากย์ซึ่งอยู่หลังตน เวลาแปลจะออกสาเนยี งวา่ “เพราะ...” เชน่ ร โฺ ต สตุ วฺ า อธิมตฺต ทุกฺข อุปปฺ ชชฺ ิ. (๑/๑๐๘) แปลโดยพยัญชนะ อ. ความทุกข์ อนั มีประมาณยง่ิ เกดิ ข้นึ แลว้ แกพ่ ระราชา เพราะทรงสดบั ซึง่ ข่าวสาส์น น้ัน (กัตตา ของ สุตฺวา คือ รญฺโ ส่วนกัตตาของ อุปฺปชฺชิ ซ่ึงเป็นกริยาคุมพากย์ คือ ทุกขฺ ฉะน้นั สุตฺวา จึงเปน็ เหตใุ น อปุ ฺปชฺช)ิ วาโลทก อปปฺ รส นิหนี ปติ ฺวา มโท ชายติ คทรฺ ภาน. (๔/๔๕) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ความเมา ย่อมเกิด แกฬ่ า ท. เพราะดืม่ ซงึ่ นา้ หาง อนั มรี สน้อย อนั เลว (กตั ตา ของ ปิตฺวา คือ คทฺรภาน ส่วนกัตตาของ ชายติ คือ มโท ฉะนั้น ปิตฺวา จึงเป็นเหตุ ใน ชายต)ิ เอตฺตก กตฺวาปิ อยฺยาน ทนิ ฺนานิ (วตถฺ าน)ิ น นสสฺ นตฺ ิ. (๒/๕๖) แปลโดยพยัญชนะ อ. ผา้ ท. อันอันบุคคลถวายแล้ว แกพ่ ระผ้เู ปน็ เจ้า ท. จักไม่เสยี หายแม้เพราะทาซงึ่ การ ใชส้ อย อันมีประมาณเท่านี้ (กัตตา ของ กตวฺ า คือ อยฺยาน สว่ นกตั ตาของ น นสสฺ นตฺ ิ คือ วตฺถานิ ฉะนั้น กตฺวา จึงเปน็ เหตใุ น น นสสฺ นฺติ) ๑๔๔

๖.๘.๕ ปริโยสานกาลกริยา (Repetition) เป็นกริยาที่กล่าวซ้ากับกริยาข้างต้นคือ กล่าวซ้า กับกรยิ าทม่ี ีอยู่ในอีกพากย์ (ประโยค) หนึ่งขา้ งต้น โดยในการกล่าวซา้ นั้น อาจซา้ โดยธาตุ หรือ ซ้าโดย อรรถ (ความหมาย) เปน็ กรยิ าทแ่ี สดงวา่ ทาเสร็จแล้ว เวลาแปลจะออกสาเนยี งว่า “ครน้ั …แล้ว” เชน่ ๑) กลา่ วซา้ โดยธาตุ โสปิ นกิ ฺขมติ วฺ า ปพพฺ ชิ; ปพพฺ ชิตฺวา จ ปน น จริ สเฺ สว อรหตฺต ปาปุณ.ิ (๔/๔๘) แปลโดยพยญั ชนะ อ. บุตรแม้น้ัน ออกแล้ว บวชแล้ว; ก็แล อ. บุตรนั้น คร้ันบวชแล้ว บรรลุแล้ว ซ่ึงความ เป็นแห่งพระอรหันต์ ต่อกาลไม่นานน่ันเทียว (ปพฺพชิตฺวา กล่าวซ้าโดยธาตุกับ ปพฺพชิ จงึ เป็นปริโยสานกาลกริยา ใน ปพฺพช)ิ ตตฺราห อาวุโส เอก เปต อทฺทส; ตสฺส เอวรูโป นาม อตฺตภาโว; อหนฺต ทิสฺวา…สิต ปาตวฺ ากาสึ. (๕/๕๕) แปลโดยพยญั ชนะ ดูกอ่ นผมู้ อี ายุ อ. ผม ไดเ้ ห็นแล้ว ซงึ่ เปรตตนหน่งึ ในที่นน้ั ; อ. อัตภาพ ของเปรตน้ัน เปน็ สภาพช่ือมีอย่างนี้เป็นรูป ย่อมเป็น; อ. ผม ครั้นเห็นแล้ว ซึ่งเปรตน้ัน ได้กระทาซึ่งการ แย้มให้ปรากฏ… (ทิสฺวา กล่าวซ้าโดยธาตุ กับ อทฺทส จึงเป็นปริโยสานกาลกริยาใน อทฺทส) ๒) กลา่ วซา้ โดยอรรถ สตฺถา… ภิกฺขูหิ ตสฺส ปุพฺพกมฺม ปุฏฺ โ พฺยากาสิ… เอว สตฺถา ตสฺส ปุพฺพกมฺม กเถตวฺ า… วตวา… (๕/๕๕-๕๘) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระศาสดา…ผู้อันภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว ซึ่งกรรมอันมีในก่อน ของเปรตน้ัน ทรง พยากรณแ์ ล้วว่า…อ. พระศาสดา คร้นั ตรสั แลว้ ซง่ึ กรรมอันมใี นก่อนของเปรตน้ัน อยา่ ง นี้แล้ว จึงตรัสแล้วว่า… (กเถตฺวา กล่าวซ้าโดยอรรถ กับ พฺยากาสิ จึงเป็นปริโยสานกาล กรยิ าใน พยฺ ากาส)ิ ๖.๘.๖ วิเสสนะ (Adjective) เป็นกริยาท่ีไม่ทาหน้าที่กริยา แต่จะทาหน้าท่ีเป็นบทขยาย นามให้แปลกไปจากปกติ คือแปลหลังนามโดยเข้ากับบทนามในฐานะวิเสสนะ และไม่ต้องออก สาเนยี งวา่ “…แล้ว” เชน่ ๑๔๕

มหาทคุ ฺคโต ม เปตวฺ า อญฺ ภิกขุ น ลภสิ ฺสติ. (๔/๒๖) แปลโดยพยัญชนะ อ. บรุ ุษชอื่ ว่ามหาทุคคตะ จกั ไม่ได้ ซึ่งภิกษุอื่น เว้น ซ่ึงเรา ( เปตวฺ า วิเสสนะ ของ ภกิ ํฺขุ) อมิ คาม นิสฺสาย โกจิ อาร ฺ โก วหิ าโร อตถฺ .ิ (๑/๑๓) แปลโดยพยัญชนะ อ. วิหาร อันต้ังอยู่ในป่าไร ๆ อาศัย ซ่ึงบ้านนี้ มีอยู่หรือ (นิสฺสาย วิเสสนะ ของ วิหาโร) (อานนฺโท) “ภนเฺ ต ทาสกมมฺ กเร อุปาทาย สพฺเพ (ชนา) อกโฺ กสนฺตตี ิ. (๒/๕๐) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระอานนท์ กราบทูลแล้วว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ชน ท. ทั้งปวง เข้าไป ถือเอา ซึ่งทาสและกรรมกร ท. ย่อมด่า ดงั น้ี (อุปาทาย วเิ สสนะ ของ ชนา) ตสฺมึ อุปปฺ นฺเน มกฺขิก อาทึ กตวฺ า ยาว คาโว ป ม ตริ จฺฉานคตา มรนตฺ ิ. (๒/๖๖) แปลโดยพยญั ชนะ ครั้นเม่ือโรคนั้น เกิดข้ึนแล้ว อ. สัตว์ดิรัจฉาน ท. กระทา ซ่ึงแมลงวันให้เป็นต้น เพียงใด ซงึ่ โค ท. ยอ่ มตาย ก่อน (กตวฺ า วิเสสนะ ของ ตริ จฉฺ านคตา) ขอ้ สงั เกต: กริยากิตกท์ ล่ี ง ตูนาทิ ปจั จัย ดังในตัวอยา่ งขา้ งต้นนี้ แปลหลงั บทนามในฐานะเป็น ตวั ขยายบทนามนนั้ ใหแ้ ปลกออกไป เรยี กว่า “วิเสสนะ” แตใ่ นบางกรณี อาจแปลหลงั กริยาไดใ้ นฐานะ เป็นตัวขยายบทกริยา ซ่ึงจะเรียกว่า “กริยาวิเสสนะ” ๖.๘.๗ กริยาวิเสสนะ (Adverb) เป็นกริยาที่ทาหน้าท่ีขยายบทกริยา (คุมพากย์หรือใน ระหว่าง) ให้แปลกไปจากปกติ แปลหลังกริยาและไม่ต้องออกสาเนียงว่า “ …แล้ว” (ต่างจากอปรกาล กรยิ าทต่ี อ้ งออกสาเนียงว่า “…แลว้ ”) เชน่ อถ สตถฺ า ต พฺยาธนิ า อภิภตู กตวฺ า ทสฺเสสิ. (๕/๑๐๕) แปลโดยพยัญชนะ ลาดับนั้น อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซ่ึงรูปน้ัน ทรงกระทา ให้เป็นรูปอันพยาธิ ครอบงาแล้ว (กตฺวา แปลหลังกริยา ทสฺเสสิ ในฐานะเป็นตัวขยาย จึงเป็นกริยาวิเสสนะ ของ ทสเฺ สส)ิ ๑๔๖

อตฺตโน หิ โถกมปฺ ิ อนวเสเสตวฺ า ทินนฺ นิรวเสสนฺนาม. (๕/๘๓) แปลโดยพยัญชนะ จริงอยู่ อ. ทาน อันอันบุคคลถวายแล้ว ไม่ให้เหลือลง เพ่ือตนแม้หน่อยหน่ึง ช่ือว่าเป็น ทานมสี ว่ นเหลือลงออกแล้ว ย่อมเป็น (อนวเสเสตฺวา เปน็ กรยิ าวิเสสนะของ ทินฺน) สพเฺ พ เทเว อตกิ กฺ มฺม สมพฺ ทุ ฺโธ ว วิโรจต.ิ (๖/๘๔) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทียว ย่อมรุ่งโรจน์ ก้าวล่วง ซ่ึงเทวดา ท. ทั้งปวง (อติกฺกมฺม เปน็ กริยาวเิ สสนะของ วโิ รจติ) อิม ทกุ นิปาเต อลีนจิตฺตชาตก วิตฺถาเรตวฺ า กเถสิ.(๔/๓) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว ซง่ึ อลนี จิตตชาดก ในทกุ นบิ าตนี้ ให้พิสดาร (วติ ถฺ าเรตวฺ า เป็น กริยาวิเสสนะของ กเถสิ) เพ่ือให้เข้าใจง่ายและสะดวกแก่การกาหนดจดจาหลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัย อาจแสดงสรปุ ได้ดงั ในตารางที่ ๖.๓ ตารางท่ี ๖.๓ สรุปหลกั การแปลกรยิ ากิตกท์ ี่ลง ตนู าทิ ปจั จยั ภารกจิ /หน้าท่ี คาแปล ประโยคตัวอยา่ ง ๑. บพุ พกาลกรยิ า …แล้ว (แปลกอ่ นกรยิ าอ่ืน ๆ) กสกา เขตเฺ ต กมมฺ านิ กรติ วฺ า อตฺตโน เคห (Precedence) อคมึส.ุ ไม่ตอ้ งมีคาว่า...แล้ว แปลโดยพยัญชนะ ๒. สมานกาลกรยิ า (แปลก่อนหรอื พร้อมกับ อ. ชาวนา ท. กระทาแล้ว ซึ่งการงาน ท. ในนา (Simultaneity) กริยาที่อยหู่ ลัง) ไดไ้ ปแล้ว สเู่ รอื นของตน ๆ ฉตตฺ คเหตฺวา คจฉฺ ติ. แปลโดยพยญั ชนะ (อ. เขา) ถอื เอา ซง่ึ รม่ เดินไปอยู่ = (อ. เขา) ย่อมเดนิ ถอื ร่มไป แปลโดยอรรถ เขาเดินกน้ั ร่มหรอื เดนิ กางร่ม ข้อสังเกต: ถ้าแปล คเหตฺวา ว่า ถือเอาแล้ว ภารกิจหรือหน้าที่ของ คเหตฺวา จะเปล่ียนเป็น บุพพกาลกริยา หมายถึง เขาถือร่มแล้ว จึงเดิน ไป ๑๔๗

๓. อปรกาลกรยิ า ...แลว้ ธมฺมกถิโก ธมฺมาสเน นิสที ิ จติ ฺตวชี นึ คเหตฺวา. (Cuccesstion) (แปลหลงั กรยิ าคุมพากย์) แปลโดยพยัญชนะ ๔. เหตกุ าลกรยิ า (เหต)ุ (Causation) อ. พระธรรมกถึก น่ังแล้ว บนธรรมาสน์ จับ ๕. ปริโยสานกาลกริยา แล้ว ซง่ึ พดั อนั วจิ ิตร (Repetition) เพราะ… สหี ทิสวฺ า ภย อปุ ปฺ ชฺชติ. ๖. วเิ สสนะ (Adjective) (แปลหลงั กรยิ าคุมพากย)์ แปลโดยพยญั ชนะ ๗. กรยิ าวเิ สสนะ อ. ภยั ย่อมเกดิ ขนึ้ เพราะเหน็ ซึ่งราชสหี ์ (Adverb) (คาว่า เหน็ เปน็ กริยาของคน ไม่ใช่กริยา ของ ภยั ) ครั้น…แลว้ กลา่ วซา้ โดยธาตุ (แปลหลังกรยิ าคุมพากย์ อานนฺโท เยน ภควา, เตนปุ สงฺกมิ,อุปสงฺกมติ ฺวา ทีอ่ ยใู่ นอีกประโยคหน่ึง เอกมนตฺ นิสที .ิ ข้างหน้า ) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระอานนท์ อ. พระผูม้ พี ระภาคเจ้า (ประทับ อยู่) โดยสว่ นแหง่ ทศิ ใด เข้าไปเฝ้าแลว้ โดยส่วน แห่งทิศน้ัน, ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว นั่งแล้ว ณ ที่ สมควรสว่ นข้างหนึ่ง กล่าวซ้าโดยอรรถ สตฺถา…ภิกฺขูหิ ตสฺส ปุพฺพกมฺม ปุฏฺ โ พฺยากาสิ ...เอว สตถฺ า ตสสฺ ปพุ ฺพกมมฺ กเถตฺวา…วตฺวา… แปลโดยพยัญชนะ อ. พระศาสดา…ผู้อันภิกษุ ท. ทูลถามแล้ว ซ่ึง กรรมอันมีในก่อนของเปรตนั้น ทรงพยากรณ์ แล้ว วา่ …อ. พระศาสดา ครั้นตรสั แล้ว ซึง่ กรรม อันมีในก่อนของเปรตน้ัน อย่างน้ีแล้ว จึงตรัส แล้วว่า… ไมต่ อ้ งมีคาวา่ ...แล้ว เปตฺวา เทฺว อคฺคสาวเก อวเสสา อรหตฺต (แปลหลงั บทนาม) ปาปุณึสุ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ภิกษุ ท. ท่ีเหลือ เว้น ซึ่งพระอัครสาวก ท. สอง บรรลุแลว้ ซ่ึงพระอรหัต มหาทคุ ฺคโต ม เปตฺวา อญฺ ภิกขุ น ลภิสฺสติ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. บุรุษช่ือว่ามหาทุคคตะ จักไม่ได้ ซึ่งภิกษุอ่ืน เวน้ ซึ่งเรา ไม่ต้องมคี าวา่ ….แลว้ ตณี ิ รตนานิ เปตฺวา อญฺ เม ปฏิสรณ นตถฺ ิ. (แปลหลังกรยิ า) แปลโดยพยัญชนะ อ. ทีพ่ ง่ึ อยา่ งอืน่ ย่อมไมม่ ี แกเ่ รา เวน้ ซึง่ รตนะ ท. สาม ๑๔๘

อถ สตฺถา ต พฺยาธนิ า อภิภูต กตฺวา ทสฺเสสิ. แปลโดยพยัญชนะ ลาดบั น้นั อ. พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซ่ึงรปู น้นั ทรงกระทา ให้เปน็ รปู อนั พยาธิครอบงา แล้ว ข้อสังเกต: การแปลกริยาวิเสสนะ จะต่างจาก กาแปลอปรกาลกริยา ท่ีต้องออกสาเนียงว่า… แลว้ . จากตารางท่ี ๖.๓ จะเห็นว่า หลักการแปลกริยากิตก์ที่ลง ตูนาทิ ปัจจัย คือ ให้ผู้แปลพิจารณา ถงึ ภารกจิ หรือหนา้ ท่ขี องกรยิ ากิตก์ทล่ี ง ตนู าทิ ปจั จัย ในประโยคกอ่ น แล้วจงึ แปลโดยเลอื กใช้คาแปลให้ สอดคล้องกบั ภารกิจหรือหนา้ ท่ขี องกรยิ ากิตก์น้นั ๆ กล่าวโดยสรุป ในการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัยน้ัน ให้พิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าที่ ของกรยิ ากิตกน์ ้ันในประโยคหรือข้อความน้ัน ๆ เช่นเดยี วกบั กริยากิตกท์ ่ีลง อนฺต หรอื มาน ปัจจัย และ กริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย ดังกล่าวมาแล้ว คือ ๑) เป็นบุพพกาลกริยา แปลว่า “…แล้ว” (แปลก่อนกริยา อื่น ๆ) ๒) เป็นสมานกาลกรยิ า ให้แปล “ก่อนหรือพร้อมกับกริยาท่ีอยู่หลัง โดยไม่ต้องมีคาว่า...แลว้ ” ๓) เป็นอปรกาลกริยา แปลวา่ “...แล้ว” (แปลหลังกริยาคมุ พากย)์ ๔) เป็นเหตุกาลกรยิ า (เหต)ุ แปลว่า “เพราะ…” (แปลหลังกริยาคุมพากย์) ๕) เป็นปริโยสานกาลกริยา แปลว่า “ครั้น…แล้ว” (แปลหลัง กริยาคุมพากย์ท่ีอยู่ในอีกประโยคหน่ึงข้างหน้า) ๖) เป็นวิเสสนะ ให้แปล “หลังบทนาม โดยไม่ต้องมี คาว่า...แลว้ ” และ (๗) เป็นกรยิ าวเิ สสนะ ให้แปล “หลงั กรยิ า โดยไมต่ ้องมคี าวา่ …แลว้ ” ๑๔๙

แบบฝกึ หัดที่ ๖.๔ (การแปลกรยิ ากติ ก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัย) ใหแ้ ปลประโยคตอ่ ไปนี้เป็นไทยโดยพยญั ชนะ ๑. เต (มนุสฺสา) ปุนปฺปุน ยาจิตวฺ า เตส คมนฉนฺทเมว ตฺวา อนคุ นตฺ วฺ า ปรเิ ทวิตวฺ า นิวตฺตสึ ุ. (๑/๑๓) ๒. อตฺตานญฺเจติ อมิ ธมฺมเทสน สตถฺ า เภสกฬาวเน วิหรนโฺ ต โพธิราชกมุ าร อารพภฺ กเถสิ. (๖/๑) ๓. ภกิ ฺขู ภควนตฺ อาทาย ชวี กมพฺ วน อคมสุ. (๔/๕๓) ๔. โส (เถโร) อาสเน นสิ ที ิ จติ ตฺ วีชนึ คเหตวฺ า. ๕. ต สุตฺวา เสฏฺ ฐิโน “ย (กมฺม) กาเรมิ, ต น โหติ, น ย กาเรมิ ตเทว โหตีติ มหนฺต โทมนสฺส อปุ ฺปชฺชิ. (๒/๒๒) ๖. สา (เสฏฺฐิธีตา) “อย เอตฺตกา สมฺปตฺติ ตยา ม นิสฺสาย ลทธฺ าติ จนิ ฺเตตฺวา หสนิ ตฺ ิ อาห. (๒/๒๖) ๗. วสิ ารทา กลุ ธีตา มม สงฺคห กรสิ สฺ ติ, กตฺวา จ ปน มหาสมฺปตตฺ ึ ลภสิ สฺ ติ. (๕/๖) ๘. อทิ านสิ ฺส ม เปตฺวา อญฺ ปฏสิ รณ นตฺถ.ิ ๙. “อธิสีลสิกฺขา อธิจิตฺตสิกฺขา อธิปญฺ าสิกฺขาติ อิมา ติสฺโส สิกฺขา สิกฺขนโต โสตาปตฺติมคฺคฏฺฐํ อาทึ กตวฺ า ยาว อรหตตฺ มคคฺ ฏฺ า สตตฺ วโิ ธ (อริยปุคฺคโล) เสโข. (๓/๒) ๑๐. ภควา นนฺทกมุ าร คเหตฺวา คโต, ตุมเฺ หหิ ต (กมุ าร) วนิ า กรสิ ฺสติ. (๑/๑๐๗) ๑๑. อชฺชตคฺเคทานาห อาวุโส อานนฺท อญฺ ตฺเรว ภควตา อญฺ ตฺร ภิกฺขุสงฺฆา อุโปสถ กริสฺสามิ สงฆฺ กมมฺ กรสิ ฺสามิ. (๑/๑๓๒) ๑๕๐

คาศัพทท์ ่ีควรทราบ ท่ี คาศัพท์ คาแปล ที่ คาศพั ท์ คาแปล ๑ เภสกฬาวเน ในเภสกฬาวนั ๘ โสตาปตตฺ ิมคฺคฏฺฐํ ซ่ึงพระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ใน โสดาปตั ติมรรค ๒ ชีวกมพฺ วน ซ่ึงสวนมะม่วงของ ๙ อาทึ ให้เปน็ ต้น หมอชอ่ื วา่ ชวี ก ๓ จิตตฺ วีชน ซงึ่ พดั อนั วิจิตร ๑๐ อรหตฺตมคฺคฏฺ า แต่พระอริยบุคคลผู้ต้ังอยู่ใน อรหัตมรรค ๔ กาเรมิ ยอ่ มยงั …ใหท้ า ๑๑ ตุมฺเหหิ จากพระองค์ ๕ หสึ หัวเราะแลว้ ๑๒ วนิ า เว้น ๖ วสิ ารทา ผูแ้ กล้วกลา้ ๑๓ อชฺชตคเฺ คทานาห ในกาลน้มี ีวนั นเ้ี ปน็ เบ้อื งต้น ๗ ปฏสิ รณ อ. ที่พึ่ง ๑๕๑

๖.๙ บททเี่ น่อื งด้วยกรยิ าในระหวา่ ง บทท่ีเนื่องด้วยกริยาในระหว่าง หมายถึง บทนามนามและสัพพนาม ที่ประกอบด้วยทุติยา วิภัตติถึงสัตตมีวิภัตติ หรือศัพท์ท่ีไม่ได้ประกอบด้วยวิภัตติ ที่ทาหน้าที่ขยายกริยาในระหว่างหรือขยาย บทที่เน่ืองด้วยกริยาในระหว่าง หรือแม้ข้อความท่ีเป็นเลขในโดยอยู่ภายใน อิติ ศัพท์ท้ังหมด ที่ใช้กริยา ในระหวา่ งเปน็ ตัวเปดิ ก็ถอื ว่าเป็นบททีเ่ นื่องดว้ ยกริยาในระหวา่ ง เชน่ พนธฺ โุ ล “สาธูติ วตวฺ า สหสฺสตฺถามธนุ คเหตฺวา ต รถ อาโรเปตฺวา สาวตถฺ โิ ต นิกขฺ มติ วฺ า รถ ปาเชนโฺ ต มหาลลิ จิ ฉฺ วิโน ทินนฺ ทฺวาเรน เวสาลึ ปาวิสิ. (๓/๑๕-๑๖) แปลโดยพยญั ชนะ อ. เสนาบดชี ื่อว่าพันธุละ กล่าวแล้ววา่ อ. ดลี ะ ดงั นี้ ถอื เอาแลว้ ซง่ึ ธนูอันบุคคลพงึ โก่ง ดว้ ยเร่ียวแรงแห่งพันแห่งบรุ ุษ ยกขนึ้ แลว้ ซ่ึงภรรยานน้ั สู่รถ ออกไปแล้ว จากรุงสาวัตถี ขบั ไปอยู่ ซงึ่ รถ ได้เข้าไปแล้ว สู่กรงุ เวลาลี โดยประตูอันเจา้ ลจิ ฉวี ท. ถวายแล้ว แกเ่ จา้ ลิจ ฉวพี ระนามว่ามหาลิ (ทเ่ี นน้ ตัวหนา คอื บททเ่ี นื่องด้วยกริยาในระหวา่ ง) กล่าวโดยสรุป บททเ่ี น่อื งด้วยกรยิ าในระหวา่ ง ก็คอื บทนามนามและสพั พนาม ทป่ี ระกอบดว้ ย ทุติยาวิภัตติถึงสัตตมีวิภัตติ หรือศัพท์ที่ไม่ได้ประกอบด้วยวิภัตติ ท่ีทาหน้าท่ีขยายกริยาในระหว่างหรือ ขยายบทท่ีเน่ืองด้วยกริยาในระหว่าง รวมท้ังข้อความท่ีเป็นเลขในโดยอยู่ภายใน อิติ ศัพท์ทั้งหมด ท่ีใช้ กริยาในระหวา่ งเปน็ ตัวเปิด ๖.๑๐ หลักการแปลบทท่ีเน่อื งดว้ ยกรยิ าในระหว่าง เม่ือผู้แปลได้แปลกริยาในระหว่างจบแล้ว จะต้องแปลบทที่เน่ืองด้วยกริยาในระหว่างเป็น ลาดับต่อไป จนกว่าจะหมดช่วงของกริยาในระหวา่ งน้นั ๆ จึงจะแปลบทกริยาในระหว่างและบทท่ีเน่อื ง ด้วยกรยิ าในระหวา่ งตอ่ ไป เช่น อปุ าสกา จ อปุ าสกิ าโย จ อาราม คนฺตฺวา ทาน ทตฺวา สลี สมาทยิตวฺ า ธมมฺ สณุ นฺติ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. อุบาสก ท. ด้วย อ. อุบาสิกา ท. ด้วย ไปแล้ว สู่อาราม ให้แล้ว ซ่ึงทาน สมาทานแล้ว ซึ่งศีล ฟงั อยู่ ซ่งึ ธรรม (อาราม ทาน และ สลี เปน็ บททีเ่ นื่องด้วยกรยิ าในระหว่าง) ๑๕๒

วาณชิ า วเิ ทสา ภณฺฑานิ อาเนตวฺ า อาปเณสุ ตานิ วิกฺกีณนฺต.ิ แปลโดยพยัญชนะ อ. พ่อค้า ท. นามาแล้ว ซ่ึงภณั ฑะ ท. จากต่างประเทศ ย่อมขายซ่ึงภณั ฑะ ท. เหลา่ นั้น ใน ร้านค้า ท. (วิเทสา และ ภณฑฺ านิ เปน็ บทที่เนื่องด้วยกรยิ าในระหวา่ ง) โส ภิกฺขุ เอเกน สามเณเรน สทฺธึ อรญฺ คนตฺ ฺวา อตฺตโน วิหาร อาคจฉฺ ต.ิ แปลโดยพยญั ชนะ อ. ภิกษุ นั้น ไปแล้ว สู่ป่า กับ ด้วยสามเณร รูปหนึ่ง ย่อมมา สู่วิหาร ของตน (เอเกน สามเณเรน สทฺธึ และ อรญฺ เป็นบทหรือข้อความหรือกลุ่มคาที่เนื่องถึงกันกับกริยาใน ระหวา่ งจึงจดั เปน็ บทที่เนอ่ื งด้วยกรยิ าในระหว่าง) ตสมฺ า ตทวิ ส สตฺถา ตสสฺ อุปนิสฺสย โอโลเกตวฺ า ธมมฺ เทเสนโฺ ต อนปุ พุ พฺ กี ถ กเถส.ิ (๑/๕) แปลโดยพยัญชนะ เพราะเหตุน้ัน ในวันน้ัน อ.พระศาสดา ทรงแลดูแล้ว ซ่ึงอุปนิสัย ของกุฎุมพีช่ือว่า มหาปาละน้ัน เม่ือทรงแสดง ซ่ึงธรรม ตรัสแล้ว ซ่ึงอนุบุพพีกถา (ตสฺส อุปนิสฺสย และ ธมมฺ เปน็ บททเ่ี นอ่ื งด้วยกริยาในระหว่าง) ชโน เสฏฺ โิ น คาเม กมมฺ กตฺวา ลญฺจ ลภ.ิ แปลโดยพยญั ชนะ อ. ชน ทาแล้ว ซ่ึงการงาน ในบ้าน ของเศรษฐี ได้แล้ว ซึ่งค่าจ้าง (เสฏฺ โน คาเม และ กมฺม เป็นบทหรือข้อความท่ีเนื่องถึงกันกับกริยาในระหว่างจึงจัดเป็นบทที่เน่ืองด้วยกริยา ในระหวา่ ง) โสปิ ฆร อาคนฺตฺวา ต อทิสฺวา ปฏิวิสฺสเก ปุจฺฉิตฺวา “กุลฆร คตาติ สุตฺวา เวเคน อนพุ นธฺ ิตฺวา อนฺตรามคเฺ ค สมปฺ าปุณิ.” (๒/๗๕) แปลโดยพยัญชนะ อ. สามีแม้น้ัน มาแล้ว สู่เรือน ไม่เห็นแล้ว ซึ่งภรรยานั้น ถามแล้ว ซึ่งชน ท. ผู้คุ้นเคยกัน ฟังแล้วว่า อ. ภรรยานั้น ไปแล้ว สู่เรือนแห่งตระกูล ดังน้ี ติดตามแล้ว โดยเร็ว ถึงพร้อม แล้ว ในระหว่างแห่งหนทาง (ฆร ต ปฏิวิสฺสเก กุลฆร คตาติ และ เวเคน เป็นบทและ ข้อความท่ีเน่ืองดว้ ยกริยาระหว่าง) กล่าวโดยสรุป เมื่อผู้แปลได้แปลกริยาในระหว่างจบแล้ว จะต้องแปลบทท่ีเน่ืองด้วยกริยาใน ระหว่างเป็นลาดับต่อไป จนกว่าจะหมดช่วงของกริยาในระหว่างน้ัน ๆ จึงจะแปลบทกริยาในระหว่าง และบทท่เี น่ืองด้วยกรยิ าในระหว่างต่อไป ๑๕๓

๖.๑๑ สรปุ ท้ายบท กริยาในระหว่างและบทที่เนื่องด้วยกริยาในระหว่างท่ีได้นาเสนอในบทที่ ๖ นี้ มีท้ังหมด ๙ ประเดน็ ซง่ึ แตล่ ะประเดน็ มสี าระสาคญั อาจสรปุ ได้ ดังน้ี ๖.๑๑.๑ ความหมายของกริยาในระหว่าง: กริยาในระหว่าง (หรือ อัพภันตรกริยา) หมายถึง กริยากิตก์ท่ีอยู่ในระหว่างประโยค ซ่ึงอาจเป็นกริยาที่ประกอบด้วย ต อนฺต มาน หรือ ตูนาทิ ปัจจยั ก็ได้ แตส่ ่วนมากจะเป็นกรยิ าทปี่ ระกอบดว้ ย ตวฺ า ปัจจัย โดยจะปรากฏในข้อความตอนหนึง่ ๆ ๖.๑๑.๒ กรยิ ากติ ก์ทีล่ ง อนตฺ และ มาน ปัจจยั : อนตฺ และ มาน ปจั จัย จดั เปน็ ส่วนหนึ่ง ของปัจจัยที่ใช้สาหรับประกอบกริยากิตก์ อนฺต ปัจจัยเป็นเคร่ืองหมายบอกวาจกได้ ๒ วาจก คือ กัตตุ วาจกและเหตกุ ัตตุวาจก และเป็นได้ ๓ ลิงค์ ถ้าเป็นปงุ ลิงค์ แจกตามแบบ ปรุ ิส ถา้ เปน็ อิตถลี ิงค์ แจกตาม แบบ นารี แต่ถ้าเป็นนปุงสกลิงค์ แจกตามแบบ กลุ สว่ น มาน ปจั จัย เป็นเครือ่ งหมายบอกวาจกได้ท้ัง ๕ วาจก ได้แก่ กัตตุวาจก กัมมวาจก ภาววาจก เหตุกัตตุวาจก และเหตุกัมมวาจก และเป็นได้ ๓ ลิงค์ เช่นกัน คือถ้าเป็นปุงลิงค์ แจกตามแบบ ปุริส ถ้าเป็นอิตถีลิงค์ แจกตามแบบ กญฺ า แต่ถ้าเป็น นปุงสกลงิ ค์ แจกตามแบบ กลุ ๖.๑๑.๓ หลกั การแปลกรยิ ากิตก์ท่ลี ง อนตฺ และ มาน ปัจจยั : ผู้แปลจะตอ้ งพิจารณาถึง ภารกจิ หรอื หน้าทีข่ องกรยิ ากิตก์ทลี่ ง อนตฺ และ มาน ปัจจัย ว่า ทาหน้าที่เป็นอะไรในประโยค เพราะคา แปลก็จะแตกต่างกันออกไปตามภารกิจหรือหน้าท่ีของกริยากิตก์ดังกลา่ วน้ัน คือ ๑) เป็นอัพภันตรกริยา แปลว่า “อยู่/เม่ือ” ๒) เป็นวิเสสนะ แปลว่า “ผู้/ตัว/อัน” ๓) เป็นสมานกาลกริยา แปลว่า “อยู่” (ถ้า แปลโดยอรรถ แปลวา่ พรอ้ มกบั , ขณะเดียวกบั …ฯลฯ) ๔) เป็นกริยาวิเสสนะ แปลว่า “อย”ู่ (ถา้ แปลโดย อรรถ แปลว่า ด้วย/โดย ….ฯลฯ) ๕) เป็นวิกติกัตตา แปลว่า “เป็นผู้/เป็นของ...อยู่” ๖) เป็นอุปมา วิกติกัตตา แปลว่า “เปน็ ผู้/เป็นของราวกะว่า...อย”ู่ และ ๗) เป็นวิกติกัมมะ แปลวา่ “ให…้ อย”ู่ ๖.๑๑.๔ กริยากิตก์ท่ีลง ต ปัจจัย: กริยากิตก์ท่ีลง ต ปัจจัย ตามหลักเป็นได้ทั้ง ๕ วาจก จะรู้ว่าเป็นวาจกอะไร ก็ต้องพิจารณาถึง ธาตุเสียก่อน กล่าวคือ ถ้าเป็นกัตตุวาจก เป็นได้ทั้งสกัมมธาตุ และอกมั มธาตุ ถ้าเป็นกมั มวาจกและเหตกุ ัมมวาจกเป็นได้เฉพาะสกัมมธาตุเท่านั้นและถ้าเป็นภาววาจก ก็จะเปน็ ได้เฉพาะอกมั มธาตุเทา่ น้ัน สว่ นทเี่ ป็นเหตุกัมมวาจกไม่ปรากฏวา่ มที ใ่ี ช้เลย ๖.๑๑.๕ หลักการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ต ปัจจัย: ผู้แปลจะต้องพิจารณาถึงภารกิจหรือ หน้าที่ของกริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย ว่า ทาหน้าที่เป็นอะไรในประโยค เช่นเดียวกับกริยากิตก์ท่ีลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย ดังกล่าวมาแลว้ เพราะคาแปลก็จะแตกต่างกันออกไปตามภารกิจหรือหน้าที่ของกริยา กิตก์ดังกล่าวนั้น คือ ๑) เป็นกริยาคุมพากย์ แปลว่า “…แล้ว” (แปลเป็นบทสุดท้าย) ๒) เป็นวิเสสนะ แปลว่า “ผู้/อัน…แล้ว” ๓) เป็นอุปมาวิเสสนะ แปลว่า “ผู้/อันราวกะว่า…แล้ว” ๔) เป็นวิกติกัตตา แปลว่า “เป็น…” ๕) เป็นอุปมาวิกติกัตตา แปลว่า “เป็นผู้/ของราวกะว่า…แล้ว, เป็นผู้/ของเพียงดัง ว่า…แลว้ ฯลฯ” ๖) เป็นวิกตกิ มั มะ แปลวา่ “…ให้เป็น” ๗) เป็นอุปมาวิกติกัมมะ แปลวา่ “ใหเ้ ปน็ ราว กะ/เพยี งดงั ว่า...” ๖.๑๑.๖ กริยากิตก์ที่ลง ตูนาทิ ปัจจัย: ปัจจัย ๓ ตัว คือ ตูน ตฺวา ตฺวาน เรียกว่า ตูนาทิ ปจั จัย คาว่า “ ตนู าทปิ ัจจัย” แปลวา่ ปัจจัย ๓ ตวั มี ตูน เป็นต้น เปน็ อัพยยปจั จยั คือ แจกดว้ ยวิภัตติทงั้ ๑๕๔

๗ เหมือนนามทั้ง ๓ ไม่ได้ และบอกอดีตกาล แปลว่า “...แล้ว” เป็นได้ ๕ วาจก และใช้เป็นกริยาใน ระหว่าง ๖.๑๑.๗ หลักการแปลกริยากิตก์ที่ลง ตูนาทิ ปัจจัย: ในการแปลกริยากิตก์ท่ีลง ตูนาทิ ปัจจัยนั้น ให้พิจารณาถึงภารกิจหรือหน้าที่ของกริยากิตก์น้ันในประโยคหรือข้อความนั้น ๆ เช่นเดียวกับ กริยากิตก์ที่ลง อนฺต หรือ มาน ปัจจัย และกริยากิตก์ที่ลง ต ปัจจัย ดังกล่าวมาแล้ว คือ ๑) เป็นบุพพ กาลกริยา แปลว่า “…แล้ว” (แปลก่อนกริยาอื่น ๆ) ๒) เป็นสมานกาลกริยา ให้แปล “ก่อนหรือพร้อม กับกรยิ าทีอ่ ยูห่ ลงั โดยไม่ต้องมีคาว่า...แลว้ ” ๓) เป็นอปรกาลกริยา แปลว่า “...แลว้ ” (แปลหลงั กริยา คุมพากย์) ๔) เป็นเหตุกาลกริยา (เหตุ) แปลว่า “เพราะ…” (แปลหลังกริยาคุมพากย์) ๕) เป็น ปริโยสานกาลกริยา แปลว่า “ครั้น…แล้ว” (แปลหลังกริยาคุมพากย์ท่ีอยู่ในอีกประโยคหนึ่งข้างหนา้ ) ๖) เป็นวิเสสนะ ให้แปล “หลังบทนาม โดยไม่ต้องมีคาว่า...แล้ว” และ (๗) เป็นกริยาวิเสสนะ ให้แปล “หลงั กริยา โดยไม่ต้องมีคาวา่ ...แล้ว” ๖.๑๑.๘ บทท่ีเนื่องด้วยกริยาในระหว่าง: บทท่ีเนื่องด้วยกริยาในระหว่าง ก็คือบทนาม นามและสัพพนาม ที่ประกอบด้วยทุติยาวิภัตติถึงสตั ตมีวิภตั ติ หรือศัพท์ที่ไม่ได้ประกอบด้วยวภิ ตั ติ ท่ีทา หน้าท่ีขยายกริยาในระหว่างหรือขยายบทท่ีเนื่องด้วยกริยาในระหว่าง รวมท้ังข้อความท่ีเป็นเลขในโดย อยภู่ ายใน อิติ ศัพทท์ ัง้ หมด ทใ่ี ชก้ ริยาในระหว่างเปน็ ตัวเปดิ ๖.๑๑.๙ หลักการแปลบทที่เนื่องด้วยกริยาในระหว่าง: เมื่อผู้แปลได้แปลกริยาใน ระหวา่ งจบแลว้ จะต้องแปลบทท่ีเนื่องด้วยกริยาในระหวา่ งเป็นลาดับต่อไป จนกว่าจะหมดช่วงของกริยา ในระหวา่ งนนั้ ๆ จึงจะแปลบทกรยิ าในระหวา่ งและบททเ่ี น่อื งดว้ ยกริยาในระหว่างต่อไป ๑๕๕

บทท่ี ประโยคแทรก ๗ กรยิ าคมุ พากย์ และบททเ่ี นอื่ งดว้ ย กรยิ าคมุ พากย์ วตั ถปุ ระสงค์ ๑. บอกความหมายและชนิดของประโยคแทรกได้ ๒. อธบิ ายหลกั การแปลและแปลประโยคแทรกได้ถกู ต้อง ๓. บอกกรยิ าคมุ พากยใ์ นประโยคได้ ๔. ระบชุ นดิ ตา่ ง ๆ ของกรยิ าคุมพากยไ์ ด้ ๕. อธบิ ายหลักการแปลและแปลกรยิ าคุมพากย์ได้ถกู ต้อง ๖. บอกบทที่เนื่องด้วยกริยาคุมพากยไ์ ดถ้ กู ต้อง ๗. อธิบายหลักการแปลและแปลบททเ่ี นื่องดว้ ยกรยิ าคุมพากย์ได้ ๗.๑ ความนา ในการแปลบาลีเป็นไทย หลังจากที่ผู้ศึกษาได้ศึกษาและฝึกแปลกริยาในระหว่างและบทที่ เน่ืองด้วยกริยาในระหว่างในบทท่ี ๖ มาแล้ว จึงควรศึกษาและฝึกแปลเร่ืองประโยคแทรก กริยา คุมพากย์ และบททเ่ี นือ่ งด้วยกริยาคุมพากย์ เพราะตามหลักการแปล ประโยคแทรก กริยาคมุ พากย์ และ บทที่เน่ืองด้วยกริยาคุมพากย์จะต้องแปลในลาดับถัดจากกริยาในระหว่างและบทท่ีเน่ืองด้วยกริยาใน ระหวา่ ง ดงั นั้น ในบทน้ี จะนาเสนอเนอ้ื หาสาระสาคัญท่เี กี่ยวกบั ประโยคแทรก กริยาคุมพากย์ และบทท่ี เน่ืองด้วยกริยาคุมพากย์ ๗ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของประโยคแทรก ๒) ประเภทของประโยค แทรก ๓) หลักการแปลประโยคแทรก ๔) กรยิ าคุมพากย์ ๕) หลักการแปลกริยาคุมพากย์ ๖) บทท่ีเน่ือง ด้วยกรยิ าคุมพากย์ และ ๗) หลักการแปลบททเ่ี น่ืองดว้ ยกรยิ าคุมพากย์ โดยมีรายละเอยี ด ดังต่อไปน้ี ๑๕๖

๗.๒ ความหมายของประโยคแทรก ประโยคแทรก หมายถึง ประโยคหรือข้อความท่ีแทรกเข้ามาต่างหากจากข้อความเดิมโดยมี บทประธานและกริยาเป็นเฉพาะของตน ในข้อความเดิมจะมีประโยคใหญ่เป็นประโยคยืนหรือประโยค หลัก และมีประโยคเล็กเป็นประโยคแทรก ซ่ึงอาจแทรกหน้าประโยคใหญ่หรือท่ามกลางประโยคใหญ่ โดยมเี นือ้ ความทกี่ ลา่ วถงึ เรอ่ื งอน่ื ซง่ึ ต่างไปจากประโยคใหญ่ ๗.๓ ประเภทของประโยคแทรก ประโยคแทรกในภาษาบาลี มี ๒ ประเภท ได้แก่ ๑) ประโยคอนาทร และ ๒) ประโยค ลกั ขณะ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี ๗.๓.๑ ประโยคอนาทร เป็นประโยคแทรกที่แทรกเข้ามาในประโยคหลัก ซึ่งเป็น ประโยคยืน โดยแทรกหน้าประโยคหลักบา้ ง ท่ามกลางประโยคหลักบ้าง หมายถึง บทนามนามทีเ่ ปลี่ยน ท้ายคาเป็นวจนะในรูปฉัฏฐีวิภัตติ สัมพันธการก แปลออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “เม่ือ…” ทาหน้าท่ี เปน็ ประธานในประโยค และมีกรยิ าคมุ พากย์ เรยี กวา่ “กริยาอนาทร” ประกอบดว้ ย ต อนตฺ หรอื มาน ปัจจัย โดยเปลยี่ นท้ายคาเปน็ วจนะในรปู ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ สัมพันธการก เหมือนกบั บทประธาน (มีลิงค์ วจนะ และวิภัตติ ตรงกับบทประธานเสมอ) ถ้าเป็นปัจจุบันกาล ใช้ อนฺต หรือ มาน ปัจจัยที่แปลว่า “เม่ือ” หรือ “อยู่” แต่ถ้าบ่งบอกถึงอดีตกาล ใช้ ต ปัจจัย๑ โดยประกอบรูปเป็นกริยาอนาทร ส่วนจะเป็นวาจก อะไร ก็ข้ึนอยู่กับความมุ่งหมายในท่ีน้ัน ๆ โดยถือเอาปัจจัยเป็นเกณฑ์ว่า ต อนฺต หรือ มาน ปัจจัย สามารถเป็นวาจกอะไรได้ กป็ ระกอบรปู กริยาเปน็ วาจกนนั้ ตามหลักเกณฑ์ แลว้ เปลย่ี นท้ายคาเปน็ วจนะ ในรูปฉฏั ฐวี ิภตั ติ สมั พนั ธการก โดยอาจเป็นเอกวจนะ หรือพหวุ จนะ กไ็ ด้ เชน่ สามเณรสฺส ธมฺม กเถนฺตสฺส, อนฺธกาโร ชาโต. แปลโดยพยัญชนะ อ. ความมืด, เมือ่ สามเณร แสดงอยู่ ซ่ึงธรรม, เกดิ แล้ว (ประโยคอนาทร แทรกหนา้ ประโยคหลัก) ๑ ต ปจั จยั ถ้าสมาสอยกู่ บั ศพั ท์อื่น จะใชค้ มุ พากยเ์ ป็นกริยาอนาทรไม่ได้ ต้องแปลเปน็ วกิ ติกัตตา ใน สนตฺ สฺส หรือ สมานสสฺ (ในกรณีทเ่ี ป็นปุงลิงคห์ รอื นปงุ สกลงิ ค์ เอกวจนะ) หรอื ใน สนฺตาน หรอื สมานาน (ในกรณที ีเ่ ปน็ ปุงลิงค์ หรือนปุงสกลิงค์ พหุวจนะ) แต่ถ้าเป็นอิตถีลิงค์ เอกวจนะ จะใช้ สมานาย, พหุวจนะ จะใช้ สมานาน เช่น ปุตฺตสฺส กาลกตสฺส (สนฺตสฺส) = เมื่อบุตร เป็นผู้มีกาละอันกระทาแล้ว มีอยู่, ธีตุยา กาลกตาย (สมานาย) = เมื่อธิดา เป็นผู้มี กาละอันกระทาแล้ว มีอยู่ ๑๕๗

เสฏฺฐิโน ภรยิ า, ตสสฺ วน คตสสฺ , คาเม กมฺม กโรติ. แปลโดยพยัญชนะ อ. ภรรยา ของเศรษฐี, เม่อื เศรษฐีนนั้ ไปแลว้ สปู่ ่า, ยอ่ มทา ซึ่งการงาน ในบา้ น (ประโยคอนาทร แทรกกลางประโยคหลกั ) ๗.๓.๒ ประโยคลักขณะ๒ (หรือประโยคลักขณวันตะ) เป็นประโยคแทรกท่ีแทรกเข้ามาใน ประโยคหลัก ซึ่งเป็นประโยคยืน ในลักษณะเดียวกับประโยคอนาทร หมายถึง บทนามนาม ที่เปล่ียน ท้ายคาเป็นวจนะในรูปสัตตมีวิภัตติ อธิกรณการก แปลออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “ครั้นเม่ือ…” ทา หน้าท่เี ป็นประธานในประโยคและมีกริยาคุมพากย์ เรยี กว่า “กรยิ าลกั ขณะ”หรือ“กริยาลักขณวันตะ” ประกอบด้วย ต,๓ อนฺต หรือ มาน ปัจจัย เหมือนประโยคอนาทร แต่เปลี่ยนท้ายคาเป็นวจนะในรูป สัตตมีวิภัตติ อธิกรณการก เหมือนกับบทประธาน (มีลิงค์ วจนะ และวิภัตติ ตรงกับบทประธานเสมอ) เช่น รญฺเ อาคเต, สพฺเพ ชนา ปกฺกมนฺติ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ชน ท., คร้นั เม่ือพระราชา เสดจ็ มาแลว้ , ยอ่ มหลีกไป (ประโยคลกั ขณะ แทรกหนา้ ประโยคหลัก) นิโคฺรธสฺส ปตตฺ านิ, เทเว วุฏฺเ , ผลนตฺ .ิ แปลโดยพยัญชนะ อ. ใบ ท. แห่งตน้ ไทร, คร้นั เมื่อฝน ตกแล้ว, ยอ่ มผลิ (ประโยคลักขณะ แทรกกลางประโยคหลกั ) กล่าวโดยสรุป ประโยคแทรกในภาษาบาลี มี ๒ ประเภท ได้แก่ ๑) ประโยคอนาทร ซ่ึง หมายถึง บทนามนามที่เปล่ียนท้ายคาเป็นวจนะในรูปฉัฏฐีวิภัตติ แปลออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “เมอื่ …” ทาหนา้ ทเี่ ปน็ ประธานในประโยค และมกี รยิ าคมุ พากย์ เรียกว่า “กรยิ าอนาทร” ประกอบด้วย ๒ ประโยคลักขณะอีกรูปแบบหนง่ึ ประกอบด้วยศัพท์พิเศษ คือ อถ ศัพท์ หรือ เอว ศัพท์ กล่าวคือ อถ ศัพท์ ท่ีอยู่ในข้อความเลขใน และ เอว ศัพท์ ที่มีข้อความเป็นการแสดงเหตุ นิยมแปลเป็นประโยคลกั ขณะ โดยให้ขึ้น ภาเว และ สนเฺ ต มาเป็น บทประธานและกริยา ตามลาดบั เช่น เอว (ภาเว สนฺเต) = ครนั้ เม่ือความเปน็ อยา่ งน้นั มีอยู่ (โดย อรรถ = เม่ือเป็นอย่างนน้ั ), “อถ (ภาเว สนฺเต) กึ กริสฺสสิ พฺราหฺมณาติ (๑/๒๓) = ข้าแต่พราหมณ์ ครั้นเม่ือความเปน็ อย่างนั้น มอี ยู่ อ. ทา่ น จักกระทาอยา่ งไร (โดยอรรถ = พราหมณ์ เมื่อเปน็ อย่างนั้น ท่านจกั ทาอยา่ งไร) ๓ ต ปัจจัย ในประโยคลักขณะ นั้น ถ้าสมาสอยู่กับศัพท์อ่ืน ก็ไม่สามารถใช้เป็นกริยาคมุ พากย์ในประโยคนั้น ได้ ถ้าเป็นปุงลิงค์หรือนปุงสกลงิ ค์ ฝ่ายเอกวจนะ นิยมแปลเป็นวิกติกัตตา ใน สนฺเต แต่ถ้าเป็นฝ่ายพหุวจนะ ก็จะแปล เป็นวิกติกัตตาใน สนฺเตสุ หรือถ้าเป็นอิตถีลงิ ค์ เอกวจนะ จะใช้ สมานาย, พหุวจนะ ก็จะใช้ สมานาสุ หรือจะใช้กรยิ า คุมพากยพ์ ิเศษคอื สติ (= มอี ย)ู่ กไ็ ด้ (สติ เป็นสตั ตมีวภิ ัตติ เป็นได้ ๒ วจนะ และ ๓ ลิงค)์ เช่น ปติ ริ กาลกเต (สนฺเต) = ครัน้ เมือ่ บดิ า เปน็ ผมู้ ีกาละอันกระทาแลว้ มอี ยู่, มาตริ อาคตมตตฺ าย (สต)ิ = ครัน้ เมื่อมารดา เปน็ ผสู้ กั ว่ามาแล้ว มอี ยู่ ๑๕๘

ต, อนฺต หรือ มาน ปัจจัย และ ๒) ประโยคลักขณะ ซ่ึงหมายถึง บทนามนามที่เปลี่ยนท้ายคาเป็นวจนะ ในรูปสัตตมีวิภัตติ แปลออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “คร้ันเมื่อ…” ทาหน้าท่ีเป็นประธานในประโยคและ มีกริยาคมุ พากย์ เรียกว่า “กรยิ าลกั ขณะ” หรอื “กริยาลกั ขณวันตะ” ประกอบด้วย ต, อนตฺ หรอื มาน ปัจจัย เหมอื นประโยคอนาทร ๗.๔ หลกั การแปลประโยคแทรก ๗.๔.๑ ประโยคอนาทร บทนามนามที่ประกอบเป็นรูปฉัฏฐีวิภัตติในประโยคอนาทรให้ แปลว่า “เม่ือ…” ส่วนกรยิ าอนาทรท่ใี ช้ อนฺต หรือ มาน ปัจจัย ใหแ้ ปลวา่ “เมื่อ…” หรอื “…อย”ู่ แต่ถ้า ใช้ ต ปัจจัย ให้แปลวา่ “….แล้ว” โดยมหี ลกั การแปล ดงั นี้ ๑) กรณีแทรกหน้าประโยคหลัก จะแปลก่อน หรือแปลหลังบทประธานของประโยคก็ ได้ เช่น เถรสสฺ นิททฺ อโนกกฺ มนฺตสสฺ , อกฺขมิ ฺหิ โรโค อปุ ฺปชชฺ ิ. (๑/๘) แปลโดยพยัญชนะ (๑) เม่ือพระเถระ กา้ วลงอยู่ สูค่ วามหลับ, อ. โรค ในนยั นต์ า เกดิ ขน้ึ แล้ว (แปลก่อนบทประธานของประโยคหลัก) แปลโดยพยญั ชนะ (๒) อ. โรค ในนัยนต์ า, เมื่อพระเถระ กา้ วลงอยู่ สู่ความหลบั , เกิดขน้ึ แลว้ (แปลหลงั บทประธานของประโยคหลกั ) แปลโดยอรรถ เมอ่ื พระเถระ กาลงั หลบั อยู่ โรคตา เกดิ ขึ้นแล้ว ๒) กรณีแทรกกลางประโยคหลัก ใหแ้ ปลเนื้อความของประโยคหลักไปตามลาดับจนถึง ประโยคแทรก (ประโยคอนาทร) หยุดการแปลเนื้อความของประโยคหลักไว้ แล้วแปลประโยคแทรก (ประโยคอนาทร) ใหห้ มด จากนัน้ จงึ เริ่มแปลเน้อื ความของประโยคหลักตอ่ ไปจนจบประโยค เช่น สามเณรา เอกโต ทูรรูปทสฺสเน กฬี ปสฺสติ วฺ า, อาจริยสฺส อาคจฉฺ โต, ปลายสึ ุ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. สามเณร ท. ดแู ล้ว ซงึ่ การกฬี า ในวตั ถุเป็นเคร่ืองเห็นซึ่งรปู ในท่ไี กล (โทรทัศน)์ โดย ความเป็นอันเดยี วกนั , เมื่ออาจารย์ มาอยู่, หนไี ปแลว้ ๗.๔.๒ ประโยคลักขณะ บทนามนามที่ประกอบเป็นรูปสัตตมีวิภัตติในประโยคลักขณะให้ แปลวา่ “ครนั้ เมอ่ื …” สว่ นกริยาลักขณะท่ีใช้ อนฺต หรอื มาน ปจั จัย ใหแ้ ปลวา่ “เมือ่ …” หรือ “…อยู่” ๑๕๙

และท่ีใช้ ต ปัจจัย ให้แปลว่า “…แล้ว” เช่นเดียวกับกริยาอนาทรดังกล่าวมาแล้ว ส่วนหลักการแปล ก็ เหมอื นกบั หลกั การแปลประโยคอนาทร ดังนี้ ๑) กรณีแทรกหน้าประโยคหลัก จะแปลก่อนหรือแปลหลังบทประธานของประโยค หลกั กไ็ ด้ เช่น อตีเต พาราณสิย พฺรหฺมทตฺเต รชฺช กาเรนฺเต, ราชเคเห นิพทฺธ อฏฺ ปจฺเจกพุทฺธา ภุ ฺชนตฺ ิ. (๒/๖๐) แปลโดยพยัญชนะ (๑) ในกาลอันเป็นไปล่วงแล้ว คร้ันเม่ือพระเจ้าพรหมทัต ยังบุคคลให้กระทาอยู่ ซ่ึงความ เป็นแห่งพระราชา ในเมืองสาวัตถี, อ. พระปัจเจกพุทธเจ้า ท. แปด ย่อมฉันใน พระราชวังเนืองนิตย์ (แปลก่อนบทประธานของประโยคหลกั ) แปลโดยพยญั ชนะ (๒) ในกาลอนั เปน็ ไปลว่ งแล้ว อ. พระปัจเจกพุทธเจา้ ท. แปด, คร้นั เมอื่ พระเจ้าพรหมทัต ยังบุคคล ให้กระทาอยู่ ซ่ึงความเป็นแห่งพระราชา ในเมืองสาวัตถี, ย่อมฉันใน พระราชวังเนืองนิตย์ (แปลหลังบทประธานของประโยคหลัก) แปลโดยอรรถ ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติอยู่ในกรุงสาวัตถี พระปัจเจกพุทธ เจ้า ๘ องค์ ฉนั อยใู่ นพระราชวงั เนอื งนิตย์ ๒) กรณีแทรกกลางประโยคหลัก ก็ให้แปลเน้ือความของประโยคหลักไปตามลาดับ จนถึงประโยคแทรก (ประโยคลักขณะ) หยุดการแปลเน้ือความของประโยคหลักไว้แล้วแปลประโยค แทรก (ประโยคลักขณะ) ให้หมด จากนั้นจึงเร่ิมแปลเนื้อความของประโยคหลักต่อไปจนจบประโยค เชน่ อเถกทิวส ราชา, ปจฺเจกพุทฺเธสุ คเตสุ, ตา อิตฺถิโย อาทาย นทิย อุทกกีฬ กีฬิต คตา. (๒/๖๐) แปลโดยพยญั ชนะ ครนั้ ภายหลัง ณ วนั หนึ่ง อ. พระราชา, ครน้ั เม่อื พระปจั เจกพุทธเจา้ ท. ไปแล้ว, ทรง พาเอา ซ่ึงหญงิ ท. เหล่าน้นั เสดจ็ ไปแล้ว เพ่อื อนั ทรงเลน่ ทรงเล่นซ่งึ นา้ ในแม่น้า แปลโดยอรรถ ต่อมาวันหนึ่ง เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายไปแล้ว พระราชาทรงพาหญิงเหล่านั้น ไปเพ่ือทรงเล่นน้าในแม่นา้ ๑๖๐

ข้อสังเกต: ถ้าแปลโดยอรรถ นิยมแปลบทนามนามท่ีประกอบเป็นรูปสัตตมีวิภัตติใน ประโยคลกั ขณะวา่ “เมื่อ …” เช่นเดียวกบั การแปลบทนามนามทป่ี ระกอบเปน็ รูปฉัฏฐีวิภตั ติในประโยค อนาทร กล่าวโดยสรุป ถ้าประโยคแทรกเป็นประโยคอนาทร ให้แปลว่า “เม่ือ…” ส่วนกริยาอนาทรที่ ใช้ อนตฺ หรอื มาน ปัจจัย ใหแ้ ปลว่า “เมือ่ …” หรอื “…อย”ู่ แตถ่ า้ ใช้ ต ปจั จยั ใหแ้ ปลวา่ “…แล้ว” แต่ ถ้าประโยคแทรกเป็นลักขณะ ใหแ้ ปลวา่ “ครนั้ เมือ่ …” สว่ นกรยิ าลกั ขณะที่ใช้ อนตฺ หรือ มาน ปัจจัย ให้ แปลว่า “เมื่อ …” หรือ “…อยู่” และท่ีใช้ ต ปัจจัย ให้แปลว่า “…แล้ว” เช่นเดียวกับกริยาอนาทร ดงั กล่าวมาแลว้ ๑๖๑

แบบฝกึ หัดท่ี ๗.๑ (การแปลประโยคแทรก) ให้แปลประโยคตอ่ ไปนเี้ ปน็ ไทยโดยพยัญชนะ ๑. อิมสมฺ ึ คาเม เอกสฺส ทารกสฺส มาตา ตสฺส (ทารกสสฺ ) วยปปฺ ตตฺ สฺส (สมานสสฺ ) กาลมกาสิ. ๒. เสฏฺฐิโน ภรยิ า, ตสสฺ (เสฏฺฐโิ น) วน คตสฺส, คาเม กมฺม กโรติ. ๓. โจรา เสฏฺฐิสฺส คาเม ฉทิ ฺท คเวสนตฺ า ป มมาเส อตกิ กฺ นฺเต โอกาส ลภสึ ุ. ๔. พุทโฺ ธ, อปุ าสเกสุ วิหาร อาคเตสุ, ธมมฺ เทเสติ. ๕. (พรฺ าหมฺ ณี) “อถ (ภาเว สนฺเต) กึ กริสสฺ ติ พรฺ หมฺ ณาติ (ปจุ ฉฺ ิ). (๑/๒๓) ๑๖๒

คาศัพท์ทคี่ วรทราบ ท่ี คาศัพท์ คาแปล ที่ คาศัพท์ คาแปล ๑ กาล อกาสิ ครั้นเมื่อความเปน็ อยา่ งน้นั ๒ ฉทิ ทฺ ได้กระทาแล้ว ซงึ่ กาละ ๔ อถ ภาเว มอี ยู่ ๓ คเวสนฺตา ซง่ึ ชอ่ ง ๕ สนฺเต แสวงหาอยู่ ๑๖๓

๗.๕ กริยาคมุ พากย์ (Finite verb) กริยาคุมพากย์ คือ กริยาอาการที่เกิดข้ึนหรือที่กล่าวถึงเป็นตัวสุดท้ายของข้อความ ไม่ว่าจะ วางอยู่สว่ นไหนของข้อความ จดั เป็นกรยิ าทเี่ ป็นส่วนสาคญั ของข้อความนั้น ๆ กรยิ าคุมพากยไ์ ด้แก่ กริยา ดงั ต่อไปน้ี ๗.๕.๑ กริยาอาขยาต: กริยาอาขยาตต้องมี วจนะ และบุรุษ ตรงกับบทประธาน ยกเว้น ภาววาจกท่ีกาหนดใช้เฉพาะอกัมมธาตุเท่านั้น เมื่อเป็นกริยาคุมพากย์ในประโยค ลง ย ปัจจัย และใช้ เฉพาะ เต วัตตมานาวภิ ตั ตติ ัวเดียวเท่าน้ัน เช่น ปุรโิ ส ธน ลภติ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. บุรุษ ย่อมได้ ซ่ึงทรัพย์ (ลภติ เป็นกริยาอาขยาต ใช้คุมพากย์ในประโยค กตั ตุวาจก) เตน ภูยเต. แปลโดยพยัญชนะ อันเขา เป็นอยู่ (ภูยเต เป็นกริยาอาขยาต ลง ย ปัจจัย ใช้ เต วัตตมานาวิภัตติ คุมพากย์ในประโยคภาววาจก) ๗.๕.๒ กริยากิตก์: กริยากิตก์ท่ีประกอบด้วย ต อนีย หรือ ตพฺพ ปัจจัย๔ โดยไม่มีกริยา อาขยาตอยู่ในประโยคนั้น และจะต้องมี ลิงค์ วจนะ และวิภัตติ ตรงกับบทประธาน ยกเว้นภาววาจก ซึ่งกริยาต้องเป็นนปุงสกลิงค์ เอกวจนะเท่านั้น ส่วนบทประธานเป็นวจนะหรือบุรุษอะไรก็ได้ แต่จะ ประกอบไปดว้ ยตติยาวิภตั ติ เชน่ ๔ ต ปัจจัย เป็นได้ท้ัง ๕ วาจก (แต่ไม่นิยมใช้ในประโยคเหตุกัตตวุ าจก) ส่วน อนีย และ ตพฺพ ปัจจัย ใช้เป็น กรยิ าคมุ พากยไ์ ด้ ๓ วาจก คือ กัมมวาจก ภาววาจก และเหตกุ มั มวาจก และปัจจยั ท้งั ๓ ตัวดังกลา่ วนี้ นยิ มใช้คมุ พากย์ ในกรณีที่บทประธานเป็นประถมบุรุษเท่าน้ัน ถ้าบทประธานเป็นมัธยมบุรุษหรืออุตตมบุรุษ ให้แปลเป็นวิกติกัตตาใน กริยาอาขยาต เช่น ถ้าบทประธานเป็น ตฺว ให้แปลเป็นวิกติกัตตาใน อสิ หรือถ้าบทประธานเป็น อห ก็ให้แปลเป็น วิกตกิ ัตตาใน อมฺหิ ฯลฯ ๑๖๔

โส อปุ าสโก ธมฺม สโุ ต. แปลโดยพยัญชนะ อ. อุบาสกน้ัน ฟังแล้ว ซึ่งธรรม (สุโต เป็นกริยากิตก์ลง ต ปัจจัย คุมพากย์และ เป็นกัตตุวาจก) เตน สตฺตเม ทิวเส มรติ พพฺ . แปลโดยพยัญชนะ อนั เขา พึงตาย ในวันทเี่ จด็ (มรติ พฺพ เป็นกรยิ ากิตก์ลง ตพฺพ ปจั จยั เปน็ นปงุ สกลิงค์ เอกวจนะ) ๗.๕.๓ นามกิตก์: นามกติ กท์ ลี่ ง ณยฺ ปจั จยั ใช้คุมพากยไ์ ด้ เช่น เต จ ปุคคฺ ลา คารยฺหา๕ แปลโดยพยญั ชนะ ก็ อ. บุคคล ท. เหล่าน้ัน อันเขา พึงติเตียน (คารยฺหา เป็นนามกิตก์ ลง ณฺย ปัจจัย ใช้คมุ พากยไ์ ด)้ ๗.๕.๔ กริยาลง ตฺวา ปัจจัย: กริยาลง ตฺวา ปัจจัยท่ีใช้เป็นกริยาคุมพากย์ในประโยคกริยา ปธานนัย เรียกวา่ “กรยิ าปธานนัย” เชน่ เหฏฺ าคงฺคาย จ เทฺว อิตฺถิโย นหายมานา ต ภาชน อุทเกนาหริยมาน ทิสฺวา เอกา อิตฺถี “มยฺหเมต ภาชนนฺติ อาห. (๘/๑๗๒) แปลโดยพยัญชนะ ก็ อ. หญิง ท. สอง อาบอยู่ ในภายใต้แห่งแม่น้าช่ือว่าคงคา เห็นแล้ว ซึ่งภาชนะนั้น อัน อันน้าพดั มาอยู่ อ. หญิง คนหนงึ่ กล่าวแลว้ วา่ อ. ภาชนะ นั่น ย่อมมี แก่เรา ดังนี้ (ทสิ ฺวา เป็นกรยิ าปธานนัย) ๕ คารยฺหา เป็นศัพท์นามกิตก์ลง ณฺย ปัจจัย สาเร็จรูปมาจาก ครห + ณฺย เป็น คารยฺห โดยแปลง ห ท่ีสุด ธาตุ กับ ย เปน็ ยหฺ (สลบั ย ไวห้ นา้ , ห ไวห้ ลงั ) และเนอื่ งจากเปน็ ศัพท์ทีเ่ ก่ียวดว้ ย ณฺย ปจั จัย จึงให้ลบ ณ เหลือไวแ้ ต่ ย แลว้ มีอานาจทีฆะตน้ ธาตุ ประกอบรูปเปน็ คารยหฺ า โดยมลี งิ ค์ วจนะ และวิภตั ติ ตรงกบั บทประธานคือ ปคุ ฺคลา อน่ึง ณฺย ปัจจัยใช้คุมพากยไ์ ด้เม่อื บทประธานเป็นประถมบุรษุ เท่านน้ั ถ้าประธานเป็นมธั ยมบุรุษหรืออุตตมบรุ ุษให้แปลเป็น วิกตกิ ตั ตาในกรยิ าอาขยาต เชน่ เดียวกับ ต อนีย และ ตพพฺ ปจั จัย ๑๖๕

๗.๕.๕ กริยาลง อนตฺ มาน และ ต ปจั จัย: กรยิ าลง อนตฺ มาน และ ต ปัจจัยทป่ี ระกอบดว้ ย ฉัฏฐีวิภัตติ ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ของประโยคอนาทร และท่ีประกอบด้วยสัตตมีวิภัตติ ใช้เป็นกริยาคุม พากยข์ องประโยคลักขณะ โดยต้องประกอบให้มีลงิ ค์ วจนะ และวภิ ัตติ ตรงกบั บทประธานเสมอ เชน่ ตสฺส อมิ นิ า นิยาเมเนว ชวี ติ กปฺเปนตฺ สฺส ป จฺ ปณฺณาส วสสฺ านิ อติกกฺ นฺตาน.ิ (๑/๑๗) แปลโดยพยญั ชนะ เม่ือนายจุนทะน้ัน สาเร็จอยู่ ซึ่งชีวิต โดยทานองนี้ น่ันเทียว อ. ปี ท. ห้าสิบห้า ก้าวล่วง แล้ว (กปเฺ ปนฺตสฺส ลง อนฺต ปัจจยั ใช้คุมพากยใ์ นประโยคอนาทร) ๗.๕.๖ บทนิบาตบางตัว: บทนิบาตบางตัวท่ีเป็นอัพยยศัพท์ ลงในอรรถปฐมาวิภัตติ เช่น สกกฺ า อล ลพภฺ า ฯลฯ สามารถใช้เปน็ กรยิ าคุมพากย์ได้ เชน่ ปารปุ นสสฺ หิ อภาเวน น สกกฺ า อมฺเหหิ เอกโต คนตฺ ุ. (๕/๑) แปลโดยพยญั ชนะ เพราะวา่ อันเรา ท. ไมอ่ าจ เพอื่ อันไป โดยความเปน็ อันเดยี วกันเพราะความไม่มแี ห่งผ้า เปน็ เครือ่ งห่ม (สกกฺ า เปน็ อพั ยยศัพท์ ใช้เปน็ กริยาคุมพากย์ โดยเป็นภาววาจก) ๗.๕.๗ บทกริยาพิเศษ: บทกริยาพิเศษที่เป็นได้ท้ังเอกวจนะและพหุวจนะ ใช้คุมพากย์ใน ประโยคได้ ไดแ้ ก่ อตฺถิ และ นตถฺ ิ เช่น ธน อตถฺ ิ. แปลโดยพยัญชนะ อ.ทรัพย์ มีอยู่ (อตถฺ ิ เปน็ กริยาคมุ พากย์) กล่าวโดยสรุป กริยาคุมพากย์เป็นกริยาอาการท่ีเกิดขึ้นหรือท่ีกล่าวถึงเป็นตัวสุดท้ายของ ข้อความ ไม่ว่าจะวางอยู่ส่วนไหนของข้อความ กริยาคุมพากย์มีหลายประเภท ได้แก่ ๑) กริยาอาขยาต ซึ่งต้องมีวจนะ และบุรุษ ตรงกับบทประธาน ๒) กริยากิตก์ ท่ีประกอบด้วย ต อนีย หรือ ตพฺพ ปัจจัย ๓) นามกติ ก์ ทลี่ ง ณยฺ ปัจจัย ๔) กริยาลง ตฺวา ปจั จยั ที่ใชเ้ ป็นกริยาคมุ พากย์ในประโยคกริยาปธานนัย ๕) กริยาลง อนฺต มาน และ ต ปัจจัย ท่ีประกอบด้วยฉัฏฐีวิภัตติ ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ของประโยค อนาทร และที่ประกอบดว้ ยสตั ตมีวภิ ตั ติ ใช้เป็นกรยิ าคมุ พากย์ของประโยคลกั ขณะ ๖) บทนิบาตบางตัว ทีเ่ ปน็ อัพยยศพั ท์ ลงในอรรถปฐมาวภิ ตั ติ และ ๗) บทกริยาพิเศษ ทเ่ี ปน็ ไดท้ ้งั เอกวจนะและพหุวจนะ ๑๖๖

๗.๖ หลักการแปลกริยาคมุ พากย์ ในการแปลประโยคภาษาบาลีโดยท่ัวไป ก่อนแปลข้อความใด ๆ ผู้แปลต้องกาหนดข้อความท่ี จะแปลก่อนเป็นอันดับแรกว่า ข้อความน้ัน ๆ ส้ินสุดประโยคตรงไหน ซ่ึงหลักในการกาหนดข้อความ ดังกล่าวก็คือ ให้กาหนดกรยิ าคุมพากย์เป็นสาคัญ เพราะกริยาคุมพากย์เป็นตัวกาหนดข้อความ หรือ กริยาคุมพากย์เป็นตัวกาหนดวาจก การแปลโดยพยัญชนะที่ถูกต้อง จะต้องกาหนดข้อความแล้วแปล ใหถ้ กู ต้องตามลกั ษณะของวาจกทง้ั ๕ ดปู ระโยคตัวอย่าง ๗.๖.๑ กริยาอาขยาต ที่ วาจก ประโยค ๑ กัตตุวาจก ปรุ ิโส ธน ลภติ. ๒ กมั มวาจก อ. บรุ ุษ ยอ่ มได้ ซึง่ ทรัพย์. ๓ ภาววาจก ปุริเสน ธน ลภิยเต. (ลพฺภติ) อ. ทรพั ย์ อันบุรุษ ยอ่ มได้ ๔ เหตกุ ัตตุวาจก เตน ภูยเต. ๕ เหตกุ มั มวาจก อนั เขา เป็นอยู่ กุสโล อาจริโย สสิ สฺ สุนฺทร สปิ ฺปํ สกิ ฺขาเปติ. อ. อาจารย์ ผฉู้ ลาด ยังศิษย์ ให้ศกึ ษาอยู่ ซ่งึ ศลิ ปะ อนั ดี กุสเลน อาจรเิ ยน สสิ สฺ (สสิ ฺเสน) สุนฺทร สปิ ฺปํ สกิ ฺขาปิยเต. อ. ศลิ ปะ อนั ดี อันอาจารย์ ผู้ฉลาด ยงั ศษิ ย์ ใหศ้ ึกษาอยู่ จากประโยคตวั อย่างข้างต้น จะเห็นว่า ในแต่ละประโยคจะมีกริยาอาขยาตเป็นกริยาคุมพากย์ เป็นตัวกาหนดข้อความ และเป็นตัวกาหนดวาจก การแปลโดยพยัญชนะที่ถูกต้อง จึงต้องกาหนด ข้อความแล้วแปลให้ถูกตอ้ งตามลกั ษณะของวาจกทั้ง ๕ ข้อสังเกต: บทการิตกัมมะในประโยคเหตุกัมมวาจกได้แก่ สิสฺส ซ่ึงประกอบเป็นรูปทุติยา วิภัตติ แปลออกอายตนิบาตว่า “ยัง…” หรืออาจประกอบเป็นรูปตติยาวิภัตติว่า สิสฺเสน ก็ได้ แต่ต้อง แปลหักวภิ ัตติเป็นทุติยาวิภตั ติ โดยแปลออกอายตนิบาตว่า “ยงั …” เชน่ เดมิ ๑๖๗

แบบฝกึ หดั ที่ ๗.๒ (การแปลกรยิ าคมุ พากย์: กริยาอาขยาต) ให้แปลประโยคตอ่ ไปนี้เป็นไทยโดยพยญั ชนะ ๑. อาจรยิ สสฺ สิสสฺ า คามสฺมึ วหิ าเร วสนตฺ ิ. ๒. ทกฺเขน สสิ เฺ สน กลยฺ าณ สปิ ปฺ ํ กุสลา อาจริยมฺหา สกิ ฺขยิ เต. ๓. อิธ โลเก สพฺเพหิ สตฺเตหิ มรยิ เต. ๔. มาตา จ ปิตา จ อตฺตโน ปุตฺเตเจว ธีตโร จ สปิ ปฺ ํ สกิ ฺขาเปนฺต.ิ ๕. อาหาโร มาตรา ปุตฺต ภญุ ชฺ าปยิ เต. ๖. สามิเกน สเู ทน โอทโน ปาจาปิยเต. ๑๖๘

คาศัพทท์ ี่ควรทราบ ที่ คาศัพท์ คาแปล ที่ คาศัพท์ คาแปล ๑ ทกฺเขน ท้งั ปวง ๒ กลยฺ าณ ผู้ขยัน ๔ สพเฺ พหิ ๓ คเวสนฺตา อันงาม แสวงหาอยู่ ๑๖๙

๗.๖.๒ กรยิ ากิตก์ ประโยค ที่ วาจก โส อุปาสโก ธมฺม สโุ ต. ๑ กตั ตุวาจก อ. อบุ าสกน้นั ฟังแลว้ ซึ่งธรรม ๒ กมั มวาจก เตน อุปาสเกน ธมโฺ ม สโุ ต. ๓ ภาววาจก อ. ธรรม อนั อบุ าสกนน้ั ฟังแล้ว ตยา กลยฺ าณ กมฺม กาตพพฺ . ๔ เหตกุ ัมมวาจก อ. กรรม อันงาม อันท่าน ควรทา ชเนหิ กลยฺ าณ กมฺม กรณีย. อ. กรรม อนั งาม อนั ชน ท. พงึ ทา เตน สตฺตเม ทิวเส มริตพพฺ . อนั เขา พงึ ตาย ในวนั ทีเ่ จด็ ตมุ เฺ หหิ อปปฺ มตฺเตหิ ภวิตพฺพ. อันท่าน ท. พงึ เป็นผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว พึงเป็น เตหิ ปุคคฺ เลหิ คมนยี อันบคุ คล ท. เหลา่ นนั้ พึงไป ปคุ ฺคเลน คต อันบคุ คล ไปแลว้ เตน โอทโน ปุคคฺ ล ปาจาเปตพโฺ พ. อ. ขา้ ว อนั เขา ยังบคุ คล พงึ ใหห้ ุง สามเิ กน ต กมมฺ ทาส การาปนีย. อ. กรรมนัน้ อนั นาย ยงั ทาส พึงให้ทา เตน ปุรเิ สน ปุคคฺ ล กมมฺ การาปติ . อ. กรรม อนั บุรษุ นัน้ ยงั บคุ คล ให้ทาแล้ว จากประโยคตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า ในแต่ละประโยคจะมีกริยากิตก์เป็นกริยาคุมพากย์ เป็นตัวกาหนดข้อความ และเป็นตัวกาหนดวาจก การแปลโดยพยัญชนะท่ีถูกต้อง จึงต้องกาหนด ข้อความแล้วแปลให้ถูกต้องตามลักษณะของวาจก โดยท่ัวไป กริยากิตก์เป็นได้ ๕ วาจก เหมือนกริยา อาขยาต แต่กริยากิตก์ที่ใช้คุมพากย์ในประโยคเหตุกัตตุวาจก มีใช้น้อยมาก ท่ีพบส่วนใหญ่ใช้เป็นกริยา ในระหว่าง (อัพภันตรกริยา) เพื่อบ่งบอกผู้ใช้ให้ทา ซึ่งมีความหมายเป็นเหตุกัตตุวาจก เช่น เสฏฺ ี ภริย ภตฺต ปาจาเปนฺโต... (อ. เศรษฐี ยังภรรยา ให้หุงอยู่ ซ่ึงภัตร...) ดังนั้น จึงไม่ได้แสดงตัวอย่างประโยค เหตุกตั ตุวาจกทม่ี ีกริยากิตก์คุมพากย์ไว้ ๑๗๐

แบบฝึกหดั ท่ี ๗.๓ (การแปลกริยาคมุ พากย์: กริยากิตก์) ให้แปลประโยคต่อไปนีเ้ ป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. เตวสี ติยา กมุ าราน อาจรโิ ย คาม ปวิฏฺโ . ๒. จตุปญฺ าสาย ภิกขฺ นู จีวรานิ ทายเกหิ ทินนฺ านิ. ๓. เสฏฺฐิโน มาตา พทุ ธฺ สาสเน ปสนนฺ า, ตาย สงฺฆสสฺ ทาน ทินฺน. ๔. สพฺพ (วตฺถ) ปหาย คนฺตพพฺ . (๒/๑) ๕. อิทานิ กึ (กมฺม อมเฺ หหิ) กาตพพฺ . (๒/๑๐๐) ๖. สา (กณฺณิกา อมเฺ หหิ) ปริเยสิตพฺพา. (๒/๑๐๑) ๗. (สสรุ กุเล วสนฺตยิ า อติ ฺถิยา) พหอิ คฺคิ อนฺโต น ปเวเสตพฺโพ. (๓/๕๗) ๘. (โส โทโส) ตุมเฺ หหิ โสเธตพฺโพ. (๓/๕๗) ๑๗๑

คาศัพทท์ ี่ควรทราบ ท่ี คาศพั ท์ คาแปล ที่ คาศพั ท์ คาแปล ๑ เตวีสติยา ในกาลน้ี ๒ จตุปญฺ าสาย ๒๓ ๕ อิทานิ อ.ช่อฟ้า ๓ ทายเกหิ อ.ไฟภายนอก ๔ ปหาย ๕๔ ๖ กณฺณิกา ในภายใน อันทายก ท. ๗ พหิอคคฺ ิ ละแลว้ ๘ อนโฺ ต ๑๗๒

๗.๖.๓ นามกติ ก์ โส จ ธมโฺ ม คมฺโม.๖ แปลโดยพยญั ชนะ ก็ อ. ธรรมนั้น อนั บคุ คล พึงถงึ (คมฺโม เปน็ กริยาคมุ พากย)์ โส จ อสโฺ ส ทมฺโม.๗ แปลโดยพยัญชนะ ก็ อ. ม้าตวั นัน้ อนั บคุ คล พึงทรมานได้ (ทมโฺ ม เป็นกรยิ าคมุ พากย)์ ตญจฺ กมมฺ การยิ .๘ แปลโดยพยัญชนะ ก็ อ. กรรมนั้น อันบคุ คล พงึ ทา (การิย เปน็ กริยาคมุ พากย)์ โส จ ชโน เวเนยโฺ ย.๙ แปลโดยพยัญชนะ ก็ อ. ชนนัน้ อันบคุ คล พึงแนะนาได้ (เวเนยฺโย เปน็ กรยิ าคมุ พากย)์ ตญจฺ วตถฺ ุ เทยฺย.๑๐ แปลโดยพยัญชนะ ก็ อ. วัตถุนัน้ อนั บคุ คล พงึ ให้ (เทยยฺ เปน็ กริยาคุมพากย)์ ๗.๖.๔ กริยาลง ตวฺ า ปัจจัย อโุ ภปิ (ตาปสา) สาราณยี กถ กเถตวฺ า สยนกาเล นารโท เทวลสสฺ นิปชฺชนฏฺ านญจฺ ทฺวารญจฺ สลฺลกฺเขตวฺ า นปิ ชฺช.ิ (๑/๓๘) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ดาบส ท. แม้ทัง้ สอง กลา่ วแล้ว ซงึ่ วาจาเปน็ เคร่ืองกล่าว อนั เปน็ ที่ตั้งแห่งการยัง กนั และกนั ใหร้ ะลกึ ในกาลเป็นท่ีนอน อ. ดาบสชือ่ ว่า นารทะ กาหนดแล้ว ซึ่งท่เี ป็น ที่นอนแห่งดาบสชื่อว่าเทวละด้วย ซึ่งประตูด้วย นอนแล้ว (กเถตฺวา เป็นกริยาคุม พากย์ เรยี กช่อื ทางสมั พันธว์ า่ “กรยิ าปธานนยั ”) ๖ คมโฺ ม มาจาก คมฺ+ณฺย โดยลบ ณ และ เอา ม กับ ย เปน็ มฺม ๗ ทมโฺ ม มาจาก ทม+ฺ ณยฺ โดยลบ ณ และ เอา ม กับ ย เปน็ มฺม ๘ การิย มาจาก กร+ฺ อิ+ณยฺ โดยลง อิ อาคมทท่ี ้ายธาตุ แล้วทฆี ะต้นธาตุ ๙ เวเนยฺโย มาจาก วิ+ า+ณยฺ โดยแปลง ณฺย เป็น เอยยฺ ในเมือ่ ทีส่ ุดธาตุเปน็ สระ อา ๑๐ เทยฺย มาจาก ทา+ณยฺ โดยแปลง ณยฺ เป็น เอยฺย ในเมอื่ ท่สี ดุ ธาตเุ ปน็ สระ อา ๑๗๓

๗.๖.๕ กรยิ าลง อนฺต มาน และ ต ปัจจัย เสฏฺฐิโน อทิ ญฺจิทญฺจ (กมมฺ ) กโรนฺตสเฺ สว, ทารโก วฑฒฺ ิโต. (๒/๑๗) แปลโดยพยัญชนะ เมอ่ื เศรษฐี กระทาอยู่ (ซ่ึงกรรม) นดี้ ้วย ๆ นน่ั เทยี ว, อ. เด็ก เติบโตแล้ว (กโรนฺตสฺส ลง อนตฺ ปจั จัย ประกอบด้วยฉัฏฐีวิภัตติ เป็นกรยิ คมุ พากย์ ของประโยค อนาทร เรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “อนาทรกริยา” โดยมีบทประธานของประโยคคือ เสฏฺ โน เรยี กช่ือทางสมั พันธ์วา่ “อนาทร”) อเถกทิวส ราชา, ปจฺเจกพุทฺเธสุ คเตสุ, ตา อิตฺถิโย อาทาย นทิย อุทกกีฬ กีฬิตํ คตา. (๒/๖๐) แปลโดยพยญั ชนะ คร้ันภายหลัง ณ วันหน่ึง อ. พระราชา, คร้ันเม่ือพระปัจเจกพุทธเจ้า ท. ไปแล้ว, ทรงพาเอา ซึ่งหญิง ท. เหล่านั้น เสด็จไปแล้ว เพื่ออันทรงเล่น ทรงเล่นซ่ึงน้า ในแม่น้า (คเตสุ ลง ต ปัจจัย ประกอบด้วยสัตตมีวิภัตติ เป็นกริยาคุมพากย์ของ ประโยคลักขณะ เรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “ลักขณกริยา” โดยมีบทประธานของ ประโยคคือ ปจเฺ จกพุทเฺ ธสุ เรียกชือ่ ทางสัมพนั ธว์ ่า “ลักขณะ”) ๗.๖.๖ บทนิบาตบางตัว (สกกฺ า, อล, ลพภฺ า) โกสลร ฺ าปิ สทฺธึ น สกกฺ า เอกโต ภวติ ุ. (๑/๑๒๙) แปลโดยพยญั ชนะ (อันเรา) ไม่อาจ เพื่ออันเป็น โดยความเป็นอันเดียวกัน กับ แม้ด้วยพระราชาทรง พระนามว่าโกศล (สกกฺ า เป็นกริยาคุมพากย์ ภาววาจก) กมฺมวิปาโก นาม น สกกฺ า เกนจิ ปฏพิ าหิตุ. (๑/๑๑๘) แปลโดยพยัญชนะ ชื่อ อ. ผลแห่งกรรม อันใคร ๆ ไม่อาจ เพื่ออันห้าม (สกฺกา เป็นกริยาคุมพากย์ กมั มวาจก) (เถเรน) อล กาตุ. แปลโดยพยญั ชนะ (อนั พระเถระ) อาจ เพอื่ อนั กระทา (อล เปน็ กรยิ าคมุ พากย์ ภาววาจก) ๑๗๔

นวหิ ภกิ ฺขเว องเฺ คหิ สมนนฺ าคต กุล (ภิกขฺ ุนา) อนปุ คนฺตฺวา น อล อุปคนฺตุ. (๓/๘) แปลโดยพยญั ชนะ ดูก่อนภิกษุ ท. อ. ตระกูล อันประกอบพร้อมแล้ว ด้วยองค์ ท. ๙ (อันภิกษุ) ไม่เข้า ไปใกลแ้ ล้ว ไมค่ วร เพ่อื อันเข้าไปใกล้ (อล เป็นกริยาคมุ พากย์ กัมมวาจก) น ลพภฺ า ตยา ปพพฺ ชิตุ... (สมนตฺ . ๑/๒๓๖) แปลโดยพยญั ชนะ อนั เจ้า ไม่พงึ ได้ เพอื่ อนั บวช (ลพภฺ า เปน็ กริยาคุมพากย์ ภาววาจก) ปเวณิรชฺช นาม ตาต อิท, (อิท ปเวณิรชฺช) น ลพฺภา เอว กาตุ. (๓/๖) แปลโดยพยญั ชนะ แนะพ่อ อ. ความเป็นแห่งพระราชานี้ ช่ือว่าเป็นความเป็นแห่งพระราชาตาม ประเพณี ย่อมเป็น อ. ความเป็นแหง่ พระราชาตามประเพณีน้ี อนั เจา้ ไมพ่ ึงได้ เพื่อ อันกระทา อย่างนี้ (ลพภฺ า เป็นกรยิ าคมุ พากย์ กัมมวาจก) ขอ้ สงั เกต: ๑) สกฺกา อล และ ลพฺภา เป็นศัพท์นิบาตพิเศษท่ีใช้เป็นกริยาคุมพากย์ได้ และเป็นได้ท้ัง กัมมวาจก และภาววาจก ๒) สกฺกา อล และ ลพฺภา ที่เป็นบทนิบาตนี้ ช่ือว่าเป็น“อัพยยศัพท์” เพราะแจกด้วย วิภัตติทั้ง ๗ ไม่ได้ คือรูปเดิมเป็นอย่างไรก็คงรูปอยู่อย่างน้ัน และช่ือว่า “อัพยยกริยา” เพราะไม่เปลี่ยน ลงิ คไ์ ปตามบทประธาน หรือเพราะไม่ถกู แจกไปตามบทประธาน ๓) สกฺกา อล และ ลพฺภา ในประโยคที่ไม่มีบทนามนามหรือสัพพนามท่ีเป็นปฐมาวิภตั ติ ให้แปลเป็นกริยาภาววาจก และในประโยคท่ีมีบทนามนามหรือสัพพนามท่ีเป็นปฐมาวิภัตติและ ประถมบุรุษอยู่ด้วย ให้แปลเป็นกริยากัมมวาจก แต่ถ้าบทนามนามหรือสัพพนามที่เป็นปฐมาวิภัตตินัน้ เป็นมธั ยมบุรุษหรอื อุตตมบรุ ุษ นยิ มแปล สกกฺ า อล หรือ ลพภฺ า เป็น วิกตกิ ัตตา ในกริยาอาขยาต เช่น นาห ตาทสิ นี สเตนปิ สหสฺเสนปิ สตสหสฺเสนปิ สกกฺ า กมเฺ ปตุ. (๕/๑๑) แปลโดยพยัญชนะ อ.เรา เป็นผู้ อันร้อยบ้าง อันพันบ้าง อันแสนบ้าง แห่งเทวดา ท. ผู้เช่นกับด้วยท่าน ไมอ่ าจ เพ่ืออันให้หว่นั ไหว ยอ่ มเป็น ๔) ลพฺภา ที่เปล่ียนลิงค์ไปตามบทประธาน เช่น เปล่ียนเป็น ลพฺโภ ลพฺภา ลพฺภ ตาม บทประธานท่ีเป็นปุงลิงค์ อิตถีลิงค์ และนปุงสกลิงค์ เอกวจนะ ตามลาดับ พึงทราบว่า เป็นบทนามกิตก์ ท่ลี ง ณฺย ปจั จัย ใชค้ ุมพากยไ์ ด้ แตจ่ ะไม่เรยี กว่าเปน็ บทนิบาต เชน่ ๑๗๕

ลพภฺ เมต (ผล) วชิ านตา. (โสนนทฺ ชาตก ๒๘/๖๖) แปลโดยพยญั ชนะ ผลนน่ั อันบคุ คลผู้รแู้ จ้ง พึงได้ (ลพภฺ ในประโยคน้ี เป็นบทนามกติ ก์ มาจาก ลภฺ ธาตุ ลง ณยฺ ปจั จยั ลบ ณ แปลง ภย เป็น ภ ซ้อน พฺ สาเร็จเป็นรปู นปุงสกลิงค์ เอกวจนะ และปฐมาวภิ ตั ตติ ามบทประธาน ใชเ้ ป็นกรยิ าคุมพากย์ ภาววาจก) รญโฺ อาณา อกาตุ น ลพภฺ า. (๒/๗๐) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระอาญา ของพระราชา อันใคร ๆ ไมพ่ ึงได้ เพอื่ อันไมก่ ระทา (ลพฺภา ในประโยค น้ี ก็เป็นบทนามกิตก์ เพราะมีลิงค์ วจนะและวิภัตติ เหมือนบทประธานคือ อาณา และใชเ้ ปน็ กรยิ าคุมพากย์ กัมมวาจก) ๗.๖.๗ บทกรยิ าพิเศษ (อตถฺ ิ, นตถฺ ิ๑๑) ธน อตถฺ ิ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ทรัพย์ มีอยู่ (อตฺถิ ในประโยคน้ี เป็นกริยาอาขยาต มาจาก อสฺ ธาตุ อ ปัจจัย และ ติ วิภัตติ ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ เรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “อาขยาตบท กตั ตวุ าจก”) ธนานิ อตถฺ ิ. แปลโดยพยัญชนะ อ. ทรัพย์ ท. มีอยู่ (อตฺถิ ในประโยคนี้ เป็นนิบาตกริยา มรี ปู คงเดิม ไม่เปล่ยี นรูปไป ตามบทประธาน ไม่ได้สาเร็จรูปมาจาก ธาตุ ปัจจัย และวิภัตติอะไร เพราะเป็น อัพยยศัพท์ ใช้เป็นกริยาคุมพากย์ในประโยคที่มีบทประธานเป็นพหุวจนะ เรียกชื่อ ทางสัมพนั ธ์วา่ “นิบาตกริยากตั ตวุ าจก”) ๑๑ นตฺถิ สาเรจ็ รูปมาจากการสนธิ น + อตฺถิ มีวิธีใชเ้ ชน่ เดยี วกบั อตฺถิ เพยี งแตใ่ ชใ้ นเชิงปฏเิ สธ ซ่งึ ตรงข้ามกับ อตถฺ ิ ที่ใช้ในเชิงยอมรับ ๑๗๖

แบบฝกึ หัดท่ี ๗.๔ (การแปลกริยาคุมพากย์ที่ลง ณยฺ ปัจจยั ฯลฯ) ให้แปลประโยคต่อไปนี้เป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. เต จ ปคุ คฺ ลา คารยหฺ า. ๒. มม สรรี มชฺเฌ ภชิ ฺชติ วฺ า, เอโก ภาโค โอรมิ ตีเร ปตต,ุ เอโก ปาริมตีเร. (๓/๑๘๗) ๓. สามเณรสสฺ ธมฺม กเถนฺตสฺส, อนธฺ กาโร ชาโต. ๔. สรุ เิ ย อตฺถงคฺ เต, จนโฺ ท อุคคฺ จฉฺ ติ. ๕. โกสลรญฺ าปิ สทธฺ ึ น สกฺกา (มยา) เอกโต ภวติ ุ. (๑/๑๒๙) ๖. ธนานิ อตถฺ .ิ ๑๗๗


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook