Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักเกณฑ์การแปลบาลี ฯ

หลักเกณฑ์การแปลบาลี ฯ

Published by supasit.kon, 2022-12-27 05:33:39

Description: หลักเกณฑ์การแปลบาลี ฯ

Search

Read the Text Version

๙.๗ ประโยค ย-ต ปรจิ เฉทนตั ถะ ในส่วนของประโยค ย-ต สามญั น้ี มีเนื้อหาสาระสาคัญทีค่ วรศึกษา ๒ ประเด็น ไดแ้ ก่ ๑) แบบ ของประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ และ ๒) หลักการแปลประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี ๙.๗.๑ แบบของประโยค ย-ต ปรจิ เฉทนัตถะ ประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ มีแบบโครงสร้างในลักษณะเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ และ ประโยค ย-ต อ่ืน ๆ ท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้ว โดยมีโครงสร้างของ ย-ต เพียงคู่เดียวในแต่ละประโยค จึงไม่ มคี วามซับซอ้ นยุ่งยากแตอ่ ย่างใด ซึ่งอาจแสดงใหเ้ หน็ ไดช้ ัดเจนดงั แผนภาพท่ี ๙.๑๒ ๑) ยาว...............................; ตาว...................... ๒) (ตาว)..............................; ยาว...................... ๓) ..........................., ยาว..........................; ตาว........................ แผนภาพท่ี ๙.๑๒ โครงสร้างของประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ จากแผนภาพที่ ๙.๑๒ จะเห็นว่า ประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะนั้น มีโครงสร้างของ ย-ต เหมือนกับประโยค ย-ต สามัญ นั่นเอง โดยอาจวาง ย ไว้ข้างหน้า วาง ต ไว้ข้างหลัง หรือ วาง ต ไว้ ข้างหน้า วาง ย ไว้ข้างหลัง ก็ได้ ส่วนคาแปลตามโครงสร้างของประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ อาจแสดง ไดต้ ามแผนภาพที่ ๙.๑๓ .......................เพยี งใด......................เพยี งน้นั ...................... แผนภาพท่ี ๙.๑๓ คําแปลตามโครงสร้างของประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ ๒๒๘

๙.๗.๒ หลกั การแปลประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ ประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ คือ ประโยค ยาว-ตาว ท่ีแปลว่า “เพียงใด-เพียงนั้น” มี โครงสร้างการเรียบเรียงคาพูดเหมือนกับประโยค ย-ต สามัญนั่นเอง หลักการแปลท้ังการแปลโดย พยัญชนะและโดยอรรถกเ็ หมือนกนั ยกเวน้ การใชค้ าํ เชอ่ื มในกรณที ี่แปลโดยอรรถเท่านัน้ ดังนี้ หลักการแปลประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะโดยอรรถ เริ่มแปลที่ประโยค ต (ตาว) พอแปลไปถึงตอนนี้ จะเข้าแปลประโยค ย (ยาว) ก็ให้ ใช้คาเชื่อมต่อไปนี้คือ “ตราบเท่าที่, ตลอดเวลาท่ี, จน, จนกว่า, จนถึง” คาใดคา หน่ึง แล้วก็เข้าแปลประโยค ย (ยาว) เมื่อแปลประโยค ย (ยาว) จบแล้ว ก็ถือว่า สิ้นสดุ ไม่ตอ้ งมีอะไรมาต่อทา้ ยอกี ดปู ระโยคตวั อย่าง ยาว เม ปสนนฺ จติ ตฺ น ปฏิกฏุ ต;ิ ตาวเทว ปูช กริสสฺ าม.ิ (๓/๑๓๕) แปลโดยพยัญชนะ อ. จิตอันเลื่อมใสแล้ว ของเรา ย่อมไม่คลาย (ย่อมไม่งอกลับ) เพียงใด, อ. เรา จักกระทา ซึ่ง การบชู า เพยี งน้ัน นั่นเทยี ว แปลโดยอรรถ เราจักทาการบชู า ตราบเท่าที่ จติ อนั เล่อื มใสของเราไมค่ ลาย (= จติ อนั เลื่อมใสของเราไม่คลาย ตราบใด, เราจกั ทาการบูชา ตราบนน้ั ) เตนหิ สามิ อาคเมหิ ตาว; ยาวาห กุจฉฺ ิคต ทารก วชิ ายามิ. (๔/๔๗) แปลโดยพยัญชนะ ขา้ แตน่ าย ถา้ อย่างนน้ั อ. ท่าน ยังกาล จงใหม้ าถึง, อ. ดฉิ นั จะคลอด ซึง่ ทารกผ้ไู ปแลว้ ใน ท้อง เพียงใด, เพยี งนั้น แปลโดยอรรถ พี่ ถ้าอย่างนนั้ ขอพจ่ี งรอ จนกวา่ ฉนั จะคลอดบตุ ร ผูอ้ ยู่ในทอ้ ง เตสุ กนฺตาร ปฏปิ นโฺ น; ยาว อจิ ฉฺ ติ ฏฺ าน น ปาปุณาต;ิ ตาว อทธฺ ิโกเอว. (๔/๕๔) แปลโดยพยญั ชนะ อ. บุคคล ดาเนินไปแล้ว สู่- ในทางไกล ท. เหล่านั้นหนา- ทางไกลคือกนั ดาร, เป็นผู้ดาเนินไป แล้วสู่หนทางไกลน่ันเทียว, อ. ตน ย่อมไม่ถึง ซ่ึงที่อันตนปรารถนาแล้ว เพียงใด, เพียงนั้น ย่อมเป็น ๒๒๙

แปลโดยอรรถ บรรดาทางไกล ๒ อย่างนั้น ผู้เดินทางกันดาร, ยังไม่ถึงที่ ๆ ตนปรารถนา เพียงใด; ก็ชื่อว่าผู้ เดนิ ทางไกลเร่อื ยไป เพียงน้นั กล่าวโดยสรุป ประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ มีเนื้อหาสาระสาคัญที่ควรศึกษา ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ ซึ่งมีแบบโครงสร้างในลักษณะเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ และประโยค ย-ต อื่น ๆ ท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้ว โดยมีโครงสร้างของ ย-ต เพียงคู่เดียวในแต่ละ ประโยค จึงไม่มีความซับซ้อนยุ่งยากแต่อย่างใด และ ๒) หลักการแปลประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ ผู้ แปลสามารถแปลได้ทั้งโดยพยัญชนะและโดยอรรถเช่นเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ ที่ผ่านมา ยกเว้น การใช้คาเชอื่ มในกรณีทแ่ี ปลโดยอรรถเทา่ น้ัน ๒๓๐

แบบฝึกหดั ท่ี ๙.๔ (การแปลประโยค ย-ต ปริจเฉทนตั ถะ) ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนีเ้ ปน็ ไทยโดยพยญั ชนะและโดยอรรถ ๑. ยาว อิท พนธฺ น น พนธฺ ติ, ตาวเทว ฉนิ ฺทิสฺสาม.ิ (๑/๗๗) ๒. ยาว ตสฺสา ปวตฺตึ น สุโณม, ตาว เนว ยุทฺธ ทสฺสาม น รชฺช. (๒/๘) ๓. อาคเมหิ ตาว เมฆยิ , เอกโกมฺหิ ยาว อญฺโ ปิ โกจิ ภกิ ฺขุ ทิสฺสติ. (๒/๑๑๖) ๔. อาคเมหิ ตาว สามิ, ยาว อย วยปฺปตฺโต โหติ. (๔/๕๔) ๕. วฏฺฏสนฺทสิ สฺ ิตาปิ สตฺตา, ยาว (เต สตตฺ า) วฏฺเฏ วสนตฺ ิ, อทธฺ ิกาเอว. (๔/๔๗) ๖. โส (ราชา) อิม กมฺม กตฺวา อายุหปริโยสาเน อวีจิมฺหิ นิพฺพตฺติตฺวา, ยาวาย มหาป วี โย ชนมตฺต อุสฺสนฺนา; ตาว นิรเย ปจิตฺวา จตุนฺน จูฬทฺวาราน ปิหิตตฺตา ตโต จุโต เอติสฺสาเอว มาตุ กุจฺฉิสฺมึ ปฏิสนฺธึ คเหตฺวา สตฺตมาสาธิกานิ สตฺต วสฺสานิ อนฺโตกุจฺฉิสฺมึ วสิ, สตฺต ทิวสานิ โยนมิ ุเข ติริย นิปชฺชิ. (๔/๔๗) ๒๓๑

คาํ ศัพท์ท่ีควรทราบ ท่ี คําศพั ท์ คําแปล ท่ี คําศพั ท์ คําแปล ๑ พนฺธน ไหมแ้ ล้ว ๒ ฉินฺทสิ สฺ ามิ อ. เครอื่ งผกู ๑๒ นพิ ฺพตฺติตฺวา สนิ้ ทอี่ ันมโี ยชน์หนึง่ เปน็ ประมาณ ๓ ปวตฺตึ จักตดั ๑๓ โยชนมตตฺ หนาขนึ้ แลว้ ๔ ยุทธฺ แหง่ ประตูน้อย ท. ๕ รชชฺ ซง่ึ เรื่องอันเปน็ ไปทั่ว ๑๔ อสุ ฺสนนฺ า เพราะความท…ี่ เป็น ซงึ่ การรบ ๑๕ จฬู ทฺวาราน ประตอู ันปิดแลว้ ๖ อาคเมหิ ซึ่งความเปน็ แหง่ พระราชา ๑๖ ปหิ ติ ตฺตา ในท้อง ๗ ทิสฺสติ อนั ยง่ิ ดว้ ยเดือนเจ็ด ๘ วฏฺฏ- ยัง (กาล) จงให้มาถงึ ๑๗ กุจฉฺ สิ มฺ ึ ในภายในแห่งท้อง ยอ่ มปรากฏ ๑๘ สตตฺ มาสาธิกานิ สนฺทิสฺสิตาปิ แมผ้ อู้ าศัยแล้วซึง่ วฏั ฏะ ๑๙ อนโฺ ตกุจฉฺ ิสฺมึ ท่ปี ากแหง่ กาเนดิ ๙ อทธฺ ิกาเอว เปน็ ผดู้ าเนนิ ไปแล้วสหู่ นทาง ๒๐ โยนิมุเข ขวาง ๑๐ อายหุ - ไกล ปริโยสาเน ในกาลอนั เป็นท่ีสุดลงรอบแห่ง ๒๑ ติริย นอนแล้ว อายุ ๑๑ อวีจิมหฺ ิ ในนรก ๒๒ นปิ ชชฺ ิ ๒๓๒

๙.๘ ประโยค ย-ต เหตุ ในส่วนของประโยค ย-ต เหตุนี้ มีเนื้อหาสาระสาคัญที่ควรศึกษา ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑) แบบ ของประโยค ย-ต เหตุ และ ๒) หลักการแปลประโยค ย-ต เหตุ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๙.๘.๑ แบบของประโยค ย-ต เหตุ ประโยค ย-ต เหตุ มแี บบโครงสรา้ งในลกั ษณะเดยี วกบั ประโยค ย-ต สามัญ และประโยค ย-ต อื่น ๆ ท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้ว โดยมีโครงสร้างของ ย-ต เพียงคู่เดียวในแต่ละประโยค จึงไม่มีความ ซับซ้อนยุ่งยากแต่อย่างใด ซง่ึ อาจแสดงให้เหน็ ได้ชัดเจนดังแผนภาพที่ ๙.๑๔ (๑) ยสมฺ า............................; ตสฺมา............................ (๒) ยสฺมา............................ (ตสฺมา) ............................ (๓) ............................, ยสมฺ า............................; ตสมฺ า.................. แผนภาพท่ี ๙.๑๔ โครงสร้างของประโยค ย-ต เหตุ จากแผนภาพที่ ๙.๑๔ จะเห็นว่า ประโยค ย-ต เหตุ นั้น มีโครงสร้างของ ย-ต เหมือนกับ ประโยค ย-ต สามัญ น่ันเอง ในประโยค ย-ต เหตุ น้ี ประโยค ยสฺมา มักจะวางอยู่หน้า ประโยค ตสฺมา จะวางอยู่หลัง และจะมี ประโยค ยสฺมา วางแทรกอยู่ในประโยค ตสฺมา ด้วย ส่วนคาแปลตาม โครงสรา้ งของประโยค ย-ต เหตุ อาจแสดงได้ตามแผนภาพที่ ๙.๑๕ ......................เหตใุ ด......................เพราะเหตนุ ัน้ ...................... เพราะ...................................ฉะนัน้ ........................... เพราะเหตทุ .่ี ..........................จึง................................ แผนภาพท่ี ๙.๑๕ คาํ แปลตามโครงสร้างของประโยค ย-ต เหตุ ๒๓๓

๙.๘.๒ หลักการแปลประโยค ย-ต เหตุ ประโยค ย-ต เหตุ คือ ประโยค ยสฺมา-ตสมฺ า ท่แี ปลวา่ “เหตุใด-เพราะเหตุน้ัน” มีโครงสร้าง การเรียบเรียงคาพูดคล้ายกับประโยค ย-ต ต่าง ๆ ที่ผ่านมา แต่มีข้อสังเกตว่า ในประโยค ย-ต เหตุ นี้ ประโยค ยสฺมา มักจะวางอยู่หนา้ ประโยค ตสฺมา จะวางอย่หู ลัง ส่วนประโยค ยสฺมา ท่ีวางแทรกอยู่ใน ประโยค ตสฺมา นนั้ มใี ช้นอ้ ย สาหรับหลกั การแปลประโยค ย-ต เหตุ ก็เหมอื นกับประโยค ย-ต ท้ังหลายที่ได้อธิบายมาแล้ว ขา้ งตน้ มีประโยค ย-ต สามัญ ประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย เป็นตน้ ดูประโยคตัวอย่าง ยสฺมา สปฺปุริโส สีลคนฺเธน สพฺพา ทิสา อชฺโฌตฺถริตฺวา คจฺฉติ; ตสฺมา “ตสฺส คนฺโธ ปฏิวาตเมตีติ วตฺตพฺโพ. (๓/๗๙-๘๐) แปลโดยพยัญชนะ อ. สัตบุรุษ ครอบงาแล้ว ซึ่งทิศ ท. ทั้งปวง ด้วยกล่ินแห่งศีล ย่อมไป เหตุใด; เพราะเหตุนั้น อ. สัตบุรุษน้ัน อันบัณฑิต พึงกล่าวว่า อ. กล่ิน แห่งสัตบุรุษน้ัน ย่อมฟุ้งไป สู่ที่เป็นที่ทวนลม ดังนี้ แปลโดยอรรถ เพราะ สัตบุรุษ ย่อมฟุ้งขจรปกคลุมไป ตลอดทุกทิศ ด้วยกลิ่นศีล; ฉะน้ัน สัตบุรุษอันบัณฑิต ควรกลา่ วได้วา่ “กลิน่ ของทา่ นฟ้งุ ไปทวนลมได”้ (= เพราะเหตุท่ี สัตบุรุษ ย่อมฟุ้งขจรไปตลอดทุกทิศ ด้วยกลิ่นศีล; ฉะน้ัน สัตบุรุษนั้นอัน บณั ฑิตควรกล่าวว่า “กลน่ิ ของทา่ น ฟุ้งไปทวนลม”) ยสฺมา เชฏฺฐ เปตฺวา กนฏิ ฺฐ อาหราเปตวฺ า เชฏฺ าปจายกิ กมฺม น กโรสิ. (๕/๖๘) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ท่าน ยังเราให้นามาแลว้ ซึ่งน้องชายผนู้ อ้ ยที่สดุ เวน้ ซง่ึ พช่ี ายผู้เจริญที่สดุ ยอ่ มไมก่ ระทา ซ่ึง กรรมของบุคคลผูป้ ระพฤตถิ ่อมตนต่อบุคคลผู้เจรญิ ที่สดุ เหตใุ ด; เพราะเหตุน้ัน อ. ท่าน ย่อม รู้ซ่ึงเทวธรรม ท. อย่างเดียวน่ันเทียว, ก็แต่ว่า ย่อมไม่ประพฤติ ในเทวธรรม ท. เหล่านั้น (ตสมฺ า ตฺว เกวล เทวธมเฺ ม ชานาสิ, เตสุ ปน น วตตฺ สิ.) แปลโดยอรรถ เพราะท่านให้พาน้องชายคนเล็กมาเว้นคนโตเสีย ย่อมไม่ช่ือว่าทากรรมของบุคคลผู้นอบน้อม ต่อผใู้ หญ่ (กรรมคือการทาความออ่ นน้อม) ข้อสังเกต: ในตัวอย่างน้ี ไม่มีประโยค ตสฺมา เวลาแปลโดยพยัญชนะ ต้องแปลเพิ่มประโยค ตสฺมา เข้ามาเอง ประโยค ตสฺมา ท่ีจะต้องเพิ่มเข้ามาน้ัน ก็คือประโยคผลท่ีเพิ่งแปลผ่านมาแล้วน่ันเอง ๒๓๔

แต่เวลาแปลโดยอรรถ ไม่ต้องเพิ่มประโยค ตสฺมา เข้ามาอีก เพราะเน้ือความในเรื่องมีความต่อเนอื่ งและ ได้ความดีอยู่แลว้ สารีปุตฺตตฺเถโรปิ อาคนฺตฺวา สตฺถาร วนฺทิตฺวา, ยสฺมา เตน ตถารูปาย พุทฺธสิริยา โอตรนฺโต สตถฺ า อิโต ปุพเฺ พ น ทิฏฺ ปุพฺโพ, ตสมฺ า “น เม ทิฏฺโ อิโต ปพุ เฺ พ น สุโต อทุ กสฺสจิ ตสุ ติ า คณมิ าคโตติ๑ เอว วคคฺ คุ โท สตถฺ า อาทีหิ อตตฺ โน ตุฏฺ ฐึ ปกาเสตวฺ า “อชฺช ภนเฺ ต สพเฺ พปิ เทวมนุสฺสา ตุมฺหาก ปหิ ยนฺติ ปฏฺเ นฺตีติ อาห. (๖/๙๐) แปลโดยพยัญชนะ แม้ อ. พระเถระชื่อว่าสารีบุตร มาแล้ว ถวายบังคมแลว้ ซึ่งพระศาสดา อ. พระศาสดา เสดจ็ ลงอยู่ ดว้ ยสิริแห่งพระพทุ ธเจ้า อันมอี ย่างน้นั เป็นรูป เปน็ ผู้อันพระเถระชอ่ื ว่าสารบี ุตรนั้น ไม่ เคยเห็นแล้ว ในกาลก่อน แตก่ าลนี้ ยอ่ มเปน็ เหตใุ ด, เพราะเหตุน้ัน ประกาศแล้ว ซึ่งความ ยนิ ดี ของตน ดว้ ยคา ท. มีคาวา่ “อ. พระศาสดา ผู้มีวาจาอันไพเราะ อย่างน้ี ผู้เป็นอาจารย์ แห่ง คณะ เสด็จมาแล้ว จากภพช่ือว่าดุสติ อันข้าพระองค์ ไม่เคยเห็นแล้ว หรือวา่ ไมเ่ คยฟงั แลว้ ต่อใคร ๆ ในกาลกอ่ น แต่กาลน้ี ดงั นี้”เป็นตน้ กราบทูลแล้วว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. เทวดาและมนุษย์ ท. แม้ทั้งปวง ย่อมกระหย่ิม ยอ่ มปรารถนา ต่อพระองค์ ในวันน้ี ดงั นี้ กลา่ วโดยสรปุ ประโยค ย-ต เหตุ มเี น้อื หาสาระสาคญั ทคี่ วรศึกษา ๒ ประเด็น ไดแ้ ก่ ๑) แบบ ของประโยค ย-ต เหตุ ซึ่งมีแบบโครงสร้างในลักษณะเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ และประโยค ย-ต อื่น ๆ ที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้ว โดยมีโครงสร้างของ ย-ต เพียงคู่เดียวในแต่ละประโยคเช่นเดียวกับ โครงสร้างของประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ จึงไม่มีความซับซ้อนยุ่งยากแต่อย่างใด และ ๒) หลักการ แปลประโยค ย-ต เหตุ ก็เหมือนกับประโยค ย-ต ท้ังหลายท่ีได้อธิบายมาแล้วข้างต้น มีประโยค ย-ต สามัญ ประโยค ย-ต อปุ มาอปุ ไมย เป็นอาทิ ๑ บางแห่งแปลวา่ เสดจ็ มาแลว้ จากภพชอื่ วา่ ดสุ ิต ส่แู ผน่ ดนิ (ตสุ ติ า คณมิ าคโต) ๒๓๕

แบบฝึกหัดท่ี ๙.๕ (การแปลประโยค ย-ต เหตุ) ใหแ้ ปลประโยคตอ่ ไปนเี้ ปน็ ไทยโดยพยัญชนะและโดยอรรถ ๑. ยสฺมา พุทฺธา อุปฺปชฺชมานา มหาชน ราคกนฺตาราทีหิ ตาเรนฺติ, ตสฺมา พุทฺธาน อุปฺปาโท สโุ ข. (๖/๑๑๔) ๒. ยสฺมา (ปุคฺคโล) ปน กายทุจฺจริต หิตฺวา กายสุจริต จรนฺโต อุภยเปต (กมฺม) กโรติ; ตสฺมา “กาย ทจุ ฺจริตํ หติ ฺวา กาเยน สุจรติ ํ จเรติ วุตฺต. (๖/๑๘๙) ๓. ยสฺมา นาพพฺ นณ (ปาณ) วิสมนเฺ วติ, (ตสฺมา ปาณิมหฺ ิ เจ วโณ นาสสฺ , หเรยยฺ ปาณินา วสิ ). (๕/๒๖) ๔. ยสฺมา เต (วีตราคา ปุคฺคลา) กามคเวสิโน น โหนฺติ, (ตสฺมา ยตฺถ อรญฺเ สุ น รมตี ชโน ตตถฺ วีตราคา รเมสสฺ นตฺ ิ). (๔/๘๕) ๕. สารปี ุตฺตตฺเถโรปิ อาคนตฺ ฺวา สตถฺ าร วนทฺ ติ ฺวา, ยสฺมา เตน ตถารูปาย พุทธฺ สิรยิ า โอตรนโฺ ต สตถฺ า อโิ ต ปพุ ฺเพ น ทฏิ ฺ ปุพโฺ พ, ตสฺมา “น เม ทฏิ ฺโ อิโต ปพุ เฺ พ น สโุ ต อทุ กสสฺ จิ เอว วคฺคคุ โท สตฺถา ตุสิตา คณมิ าคโตติ อาทีหิ อตฺตโน ตุฏฺ ฐึ ปกาเสตฺวา “อชฺช ภนฺเต สพฺเพปิ เทวมนุสฺสา ตุมฺหาก ปิหยนฺติ ปฏฺ เ นฺตีติ อาห. (๖/๙๐) ๒๓๖

คําศัพท์ท่คี วรทราบ ที่ คําศพั ท์ คาํ แปล ท่ี คาํ ศพั ท์ คาํ แปล ๑ อุปฺปชฺชมานา เมอื่ ทรงเกิดข้นึ ๑๐ กามคเวสิโน เป็นผู้แสวงหาซ่ึงกามโดย ปกติ ๒ ราคากนฺตาราทีหิ จากกันดาร ท. มี ๑๑ น รมตี ยอ่ มไม่ยนิ ดี กันดารคือราคะเป็นตน้ ๓ ตาเรนฺติ ย่อมทรง...ใหข้ า้ ม ๑๒ ตถารูปาย อันมอี ยา่ งนั้นเปน็ รูป ๔ หิตฺวา ละแลว้ ๑๓ โอตรนฺโต เสดจ็ ลงอยู่ ๕ น อนเฺ วติ ย่อมไม่ไปตาม ๑๔ น ติฏฺ ปุพโฺ พ เป็นผู้...ไม่เคยเหน็ แลว้ ๖ อพพฺ ณ อนั หาแผลมไิ ด้ ๑๕ วคคฺ ุคโท ผู้มีวาจาอนั ไพเราะ ๗ ปาณ ซง่ึ ฝา่ มอื ๑๖ ตฏุ ฺฐึ ซ่งึ ความยินดี ๘ วโณ แผล ๑๗ ปิหยนฺติ ย่อมกระหยิม่ ๙ วสิ อ. ยาพษิ ๑๘ ปฏฺเ นตฺ ิ ย่อมปรารถนา ๒๓๗

๙.๙ ประโยค ยํ กริยาปรามาส ในสว่ นของประโยค ยํ กรยิ าปรามาส น้ี มีเนอ้ื หาสาระสาคญั ที่ควรศึกษา ๒ ประเดน็ ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ยํ กริยาปรามาส และ ๒) หลักการแปลประโยค ยํ กริยาปรามาส โดยมีรายละเอียด ดังน้ี ๙.๙.๑ แบบของประโยค ยํ กริยาปรามาส ประโยค ยํ กริยาปรามาส มีแบบโครงสร้างในลักษณะเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ และ ประโยค ย-ต อื่น ๆ ที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้วเช่นเดียวกัน โดยมีโครงสร้างของ ย-ต เพียงคู่เดียวในแต่ละ ประโยค จงึ ไม่มคี วามซับซอ้ นยุ่งยากแตอ่ ย่างใด ซ่ึงอาจแสดงใหเ้ ห็นได้ชดั เจนดงั แผนภาพที่ ๙.๑๖ .............................ตํ (เอตํ) ........................., ยํ.............................. แผนภาพท่ี ๙.๑๖ โครงสร้างของประโยค ยํ กริยาปรามาส จากแผนภาพท่ี ๙.๑๖ จะเห็นว่า ประโยค ย กริยาปรามาส นั้น มีโครงสร้างของ ย-ต เหมอื นกับประโยค ย-ต สามัญ นนั่ เอง คาว่า “ยํ” น้ี นยิ มวางไวต้ น้ ประโยค และประโยคท่ี ยํ ปรากฏอยู่ นี้ จะต้องคู่กับประโยค ต (ตํ หรือ เอตํ) เสมอ โดยประโยค ต วางไว้ข้างหน้า ส่วนประโยค ยํ กริยา ปรามาส วางไว้ข้างหลัง ส่วนคาแปลตามโครงสร้างของประโยค ย กริยาปรามาส อาจแสดงได้ตาม แผนภาพที่ ๙.๑๗ ............ใด.................... (อ. ความทีแ่ ห่ง, อ. อนั ) ...............น้นั ขอ้ ท.ี่ ................นัน้ ................. แผนภาพท่ี ๙.๑๗ คาํ แปลตามโครงสร้างของประโยค ยํ กรยิ าปรามาส ๒๓๘

๙.๙.๒ หลักการแปลประโยค ยํ กรยิ าปรามาส ยํ กริยาปรามาส คือ วิเสสนะของทุกบทในประโยคที่ ยํ ปรากฏอยู่ คาวา่ “ยํ” น้ี นิยมวางไว้ ต้นประโยค และประโยคท่ี ยํ ปรากฏอยู่นี้ จะต้องคู่กับประโยค ต (ตํ หรือ เอตํ) เสมอ โดยประโยค ต วางไว้ข้างหน้า ส่วนประโยค ยํ กริยาปรามาส วางไว้ข้างหลัง (เม่ือประโยค ยํ กริยาปรามาส มาคู่กับ ประโยค ต (ตํ หรอื เอตํ) ก็จะมลี กั ษณะเป็นประโยค ย-ต ชนดิ หน่งึ นนั่ เอง) สาหรับการแปลประโยค ยํ กริยาปรามาส ผู้แปลอาจแปลได้ท้ังโดยพยัญชนะและโดยอรรถ โดยมีหลกั การแปล ดังนี้ ๑) หลักการแปลประโยค ยํ กริยาปรามาสโดยพยญั ชนะ หลกั การแปล ๑. แปลประโยค ยํ ใหจ้ บทกุ บทกอ่ น แลว้ จึงแปลตวั ยํ เป็นบทสุดทา้ ย ๒. แปลประโยค ต (ตํ หรือ เอตํ) โดยให้โยค (ประกอบ) บทต่าง ๆ ทุกบทใน ประโยค ยํ มาแปลเปน็ ตัวประธาน คือ ๒.๑ เปล่ียนบทประธานในประโยค ยํ ให้เป็นรูปฉัฏฐีวิภัตติ ส่วนบท อน่ื ๆ ใหค้ งไวต้ ามเดิม ๒.๒ เปลี่ยนกริยาคุมพากย์ของประโยค ยํ ให้เป็นตัวประธานโดยวิธี เปลีย่ นเปน็ นามกติ ก์ หรือภาวตทั ธติ ๒) หลักการแปลประโยค ยํ กรยิ าปรามาสโดยอรรถ หลกั การแปล แปลข้ึนต้นท่ี ตํ (หรือ เอตํ) ก่อน ใช้คาแปลว่า “ข้อที่...” จากนั้นให้เข้าแปลประโยค ยํ กริยาปรามาส ให้จบ โดยไมต่ อ้ งแปลตัว ยํ ดปู ระโยคตวั อยา่ ง อนจฺฉริย โข ปเนตํ ภิกฺขุ, ยํ ตฺว มาทิส อาจริย ลภติ ฺวา อปปฺ จิ ฺโฉ อโหสิ. (๒/๑๑๘) แปลโดยพยัญชนะ ดูก่อนภิกษุ ก็, อ. เธอ ได้แล้วซึ่งอาจารย์ ผู้เช่นกับด้วยเรา เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย ได้ เป็นแล้ว ใด, อ. ความท่ีแห่งเธอได้แล้ว ซ่ึงอาจารย์ ผู้เช่นกับด้วยเรา เป็นผู้มีความปรารถนา น้อย (ตว มาทิส อาจรยิ ลภิตฺวา อปฺปจิ ฺฉตตฺ ) น้นั ไม่น่าอศั จรรยแ์ ล ๒๓๙

แปลโดยอรรถ ภิกษุ ข้อที่เธอได้อาจารย์ผู้เช่นกับด้วยเราแล้ว ได้เป็นผู้มีความปรารถนาน้อย น้ัน ไม่น่า อศั จรรยเ์ ลย ข้อสังเกต: ๑. บทประธานในประโยค ยํ เปลี่ยนเป็นรูปฉัฏฐีวิภัตติ ฉะนั้น ตฺวํ จึงเปล่ียนเป็น ตว โดยแปลออกอายตนนบิ าตวา่ “แหง่ ...” ๒. การเปล่ยี นกริยาคุมพากย์ของประโยค ยํ เป็นประธาน โดยการเปลี่ยนให้เปน็ นามกติ ก์ หรอื ภาวตัทธิต มหี ลกั เกณฑ์ดังน้ี ๒.๑ ถ้ากรยิ าคมุ พากย์ในประโยค ยํ มาจาก หุ ธาตุ, ภู ธาตุ หรอื อสฺ ธาตุ ก็ให้เปล่ยี น ธาตุดังกล่าวน้ีเป็น ตฺต ปัจจัย ในภาวตัทธิต แล้วให้เอา ตฺต ปัจจัยน้ี ไปประกอบเข้ากับบท วิกติกัตตา ในประโยค ยํ น้ัน จากประโยคตัวอยา่ งข้างตน้ จงึ อาจแสดงให้เห็นวิธีเปล่ยี นได้ ดงั แสดงในตารางท่ี ๙.๒ ตารางที่ ๙.๒ การเปลีย่ นกริยาคมุ พากยข์ องประโยค ยํ เป็น ตตฺ ปัจจยั วิกตกิ ัตตา หุ ธาตุ อปฺปจิ ฺโฉ อโหสิ ตตฺ ปจั จัย อปฺปิจโฺ ฉ + ตฺต = อปฺปจิ ฺฉตฺตํ จากตารางที่ ๙.๒ จะเห็นว่า กริยาคุมพากย์ในประโยค ยํ (อโหสิ) มาจาก หุ ธาตุ ดงั น้ัน จึงเปลี่ยนธาตดุ งั กล่าวนเ้ี ป็น ตตฺ ปัจจยั ในภาวตัทธิต แลว้ เอา ตฺต ปัจจัยน้ี ไปประกอบเข้ากับบท วกิ ติกัตตา (อปปฺ จิ โฺ ฉ) ในประโยค ยํ ไดร้ ูปเป็น อปปฺ ิจฉฺ ตตฺ ํ ๒.๒ แต่ถ้ากริยาคุมพากย์ของประโยค ยํ เป็นธาตุอื่นนอกจากธาตุดังกล่าวแล้ว ก็ให้ เอาธาตุน้ันมาลง ยุ ปจั จัยนามกิตก์ จากประโยคตวั อยา่ งขา้ งต้น อาจแสดงวิธีเปลี่ยนได้ดงั แสดงในตาราง ที่ ๙.๓ ๒๔๐

ตารางที่ ๙.๓ การเปลีย่ นกรยิ าคุมพากยข์ องประโยค ยํ ด้วยการลง ยุ ปัจจัย ท่ี ธาตุ กรยิ าคมุ พากย์ มาจากธาตุ ลง ยุ ปจั จัย กเรยยฺ าสิ กรฺ กรณ จากตารางที่ ๙.๓ จะเห็นว่า กริยาคุมพากย์ในประโยค ยํ (กเรยฺยาสิ) เป็นธาตุอื่น (กรฺ ธาตุ) นอกจากธาตุดังกล่าวแล้ว จึงเอาธาตุนั้น คือ เอา กรฺ ธาตุ มาลง ยุ ปัจจัยนามกิตก์ ได้รูปเป็น กรณํ กล่าวโดยสรปุ ประโยค ยํ กริยาปรามาส มีเน้ือหาสาระสาคัญที่ควรศึกษา ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ยํ กริยาปรามาส มีแบบโครงสร้างในลักษณะเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ และ ประโยค ย-ต อ่ืน ๆ ท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้วเช่นเดียวกัน โดยมีโครงสร้างของ ย-ต เพียงคู่เดียวในแต่ละ ประโยค เช่นเดียวกับโครงสร้างของประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ และประโยค ย-ต เหตุ จึงไม่มีความ ซับซ้อนยุ่งยากแต่อย่างใด และ ๒) หลักการแปลประโยค ยํ กริยาปรามาส ผู้แปลอาจแปลได้ท้ังโดย พยัญชนะและโดยอรรถ โดยมีหลักการแปล คือ กรณีการแปลประโยค ยํ กริยาปรามาสโดยพยัญชนะ ให้แปลประโยค ยํ ให้จบทุกบทก่อน แล้วจึงแปลตัว ยํ เป็นบทสุดท้าย จากน้ันจึงแปลประโยค ต และ กรณีการแปลประโยค ยํ กริยาปรามาสโดยอรรถ ให้แปลข้ึนต้นท่ี ตํ (หรือ เอตํ) ก่อน โดยใช้คาแปลว่า “ข้อท.่ี ..” จากนั้นใหเ้ ขา้ แปลประโยค ยํ กรยิ าปรามาส ให้จบ โดยไมต่ ้องแปลตัว ยํ ๒๔๑

แบบฝกึ หัดท่ี ๙.๖ (การแปลประโยค ยํ กรยิ าปรามาส) ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนเี้ ป็นไทยโดยพยญั ชนะและโดยอรรถ ๑. อิธ โข (ธมฺมวินเย) ต ภิกฺขเว โสเภถ; ย ตุมฺเห เอว สฺวากฺขาเต ธมฺมวินเย ปพฺพชิตา สมานา ขมา จ ภเวยฺยาถ โสรตา จ. (๑/๕๑-๕๒) ๒. าน โข ปเนต วิชฺชติ, ย ตวฺ กุมาโรว สมาโน กาล กเรยฺยาสิ. (๑/๑๓๐) ๓. อนจฉฺ ริย ภิกฺขเว (ต), ย มม เอตรหิ พุทธฺ ภตู สสฺ องฺคารราสิโต ปทมุ านิ อุฏฺฐิตานิ. (๓/๙๙) ๔. (ต) เอตฺตกเมว กิรสฺส โอฬาริก ขลิต อโหสิ, ย (โส ทุคฺคตปุริโส) ภิกฺขูน อนาโรเจตฺวา ปกฺกาม.ิ (๔/๑๒๑) ๒๔๒

คาํ ศัพทท์ ีค่ วรทราบ ที่ คาํ ศพั ท์ คําแปล ท่ี คาํ ศัพท์ คําแปล ๑ โสเภถ พึงงาม ๗ องคฺ ารวาสโิ น จากกองแหง่ ถ่านเพลงิ ๒ ขมา จ เปน็ ผูอ้ ดทนดว้ ย ๘ อุฏฺฐิตานิ เปน็ ของผดุ ขนึ้ แล้ว ๓ โสรตา จ เปน็ ผู้ยินดแี ล้วในธรรมอันงามด้วย ๙ โอฬาริก อันโอฬาร ๔ วชิ ฺชติ มอี ยู่ ๑๐ ขลติ เปน็ ความพล้งั พลาด ๕ อนจฉฺ รยิ เป็นของไม่นา่ อศั จรรย์ ๑๑ อนาโรเจตฺวา ไมบ่ อกแล้ว ๖ เอตรหิ ในกาลน้ี ๑๒ ปกฺกามิ หลีกไปแล้ว ๒๔๓

๙.๑๐ สรปุ ทา้ ยบท ประโยค ย-ต ที่ได้นาเสนอในบทท่ี ๙ นี้ มีทั้งหมด ๘ ประเด็น ซง่ึ แต่ละประเด็นมีสาระสาคัญ อาจสรุปได้ ดงั น้ี ๙.๑๐.๑ ความหมายของประโยค ย-ต: คาว่า “ประโยค ย-ต” หมายถึง ประโยค ย (อนุประโยค ย) และประโยค ต (อนุประโยค ต) ต้ังแต่ ๒ ประโยคขึ้นไป ที่ใช้คาสัพพนามซึ่งแปลงมา จาก ย-ต และใช้นิบาตคือ ยถา-ตถา, ยาว-ตาว และ ยสฺมา-ตสฺมา เป็นคู่ ๆ โดยทาให้ทั้งประโยค ย และประโยค ต มีความเชื่อมกระชับ หรือสัมพันธภาพ (coherence) รวมกันอยู่ในประโยคใหญ่ ซึ่ง เรียกว่า “ประโยค ย-ต” (complex sentence) และถือว่า ประโยค ต เป็นประโยคหลัก หรือประโยค สาคญั (main clause) ส่วนประโยค ย เป็นประโยคแฝงหรือประโยคอาศัย (subordinate clause) คือ ต้องอาศัยประโยคหลัก จึงจะอา่ นหรอื ฟังได้ความสมบูรณ์ ๙.๑๐.๒ ประเภทของประโยค ย-ต: ประโยค ย-ต อาจจาแนกออกได้ ๒ ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ๑) ประโยค ย-ต สัพพนาม คือ ประโยค ย-ต ที่มาจาก ย-ต ศัพท์ที่เป็นสรรพนาม แปลว่า “ใด-นน้ั ” นิยมเรยี กกนั วา่ “ประโยค ย-ต สามัญ” และ ๒) ประโยค ย-ต นิบาต คอื ประโยค ย-ต ทีม่ า จากศพั ท์พวกนิบาต บอกอปุ มาอปุ ไมย บอกประการ เป็นต้น ๙.๑๐.๓ ประโยค ย-ต สามัญ: ประโยค ย-ต สามัญ มีเน้ือหาสาระสาคัญที่ควรศึกษา ๒ ประเด็น ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ย-ต สามัญ ซ่ึงมีทั้งแบบ A และ แบบ B โดยแบบ A มีโครงสร้าง ของ ย-ต เพียงคู่เดียวเท่านั้น ส่วนแบบ B มีโครงสร้างของ ย-ต ตั้งแต่ ๒ คู่ข้ึนไป คือมี ๒ คู่บ้าง ๓ คู่ บ้าง ซึ่งมีความซบั ซ้อนย่งุ ยากมากกว่าประโยค ย-ต สามัญ แบบ A และ ๒) หลักการแปลประโยค ย-ต สามญั ผแู้ ปลสามารถแปลไดท้ ้ังโดยพยัญชนะและโดยอรรถ คอื กรณีการแปลประโยค ย-ต สามัญ แบบ A โดยพยัญชนะ น้ัน ไม่ค่อยมีความยุ่งยากมาก การแปลประโยค ย-ต สามัญ แบบ A โดยอรรถ จะมี ความยุ่งยากมากกว่า แต่สาหรับผู้แปลท่ีมีหลักเกณฑ์ดีอยู่แล้ว ก็จะไม่รู้สึกยากแต่ประการใด ส่วนการ แปลประโยค ย-ต สามญั แบบ B โดยอรรถ จะมีความซบั ซ้อนยุ่งยากมากกว่าประโยค ย-ต สามัญ แบบ A แต่ก็ยังเป็นไปตามหลักท่ีว่า ประโยค ต เป็นประโยคหลัก ส่วนประโยค ย เป็นประโยคแฝงหรือ ประโยคอาศัย คือต้องอาศัยประโยคหลกั จึงจะอ่านหรอื ฟังรเู้ รือ่ งไดค้ วามสมบรู ณ์ ๙.๑๐.๔ ประโยค ย-ต อุปมาอปุ ไมย: ประโยค ย-ต อุปมาอปุ ไมย มีเน้ือหาสาระสาคัญที่ ควรศึกษา ๒ ประเด็นเช่นเดียวกัน ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย ซ่ึงมีท้ังแบบ A และ แบบ B เช่นเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ โดยท้ังสองแบบมีโครงสร้างของ ย-ต เหมือนประโยค ย-ต สามัญ และ ๒) หลักการแปลประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย ผู้แปลสามารถแปลได้ทั้งโดยพยัญชนะและ โดยอรรถ เกณฑ์ที่จะต้องยึดและคานึงถึงอยู่เสมอในขณะแปลโดยพยัญชนะ ก็เหมือนกับการแปล ประโยค ย-ต สามัญโดยพยัญชนะทุกประการ กรณีการแปลประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย แบบ A โดย อรรถ นั้น โดยหลักใหญ่แล้ว ก็มีวิธีแปลเหมือนกันกับการแปลประโยค ย-ต สามัญโดยอรรถ แต่มีข้อ แตกต่างกันในเร่ืองข้อยกเว้นเล็กน้อย และกรณีการแปลประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย แบบ B ทั้งโดย พยัญชนะและโดยอรรถ ค่อนข้างจะยุ่งยากสับสนพอสมควร แต่ก็ยังคงเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดิม คือ ๒๔๔

ประโยค ย (หรือ ยถา) ทาหน้าท่ีเป็นประโยคขยายบทนามหรือกรยิ าในประโยค ต (หรือ เอวํ) ถ้าขยาย บทนาม ก็เรยี กวา่ ประโยควเิ สสนะ แต่ถ้าขยายบทกรยิ า ก็เรียกว่า ประโยคกรยิ าวเิ สสนะ ๙.๑๐.๕ ประโยค ย-ต ปการัตถะ: ประโยค ย-ต ปการัตถะ มีเน้ือหาสาระสาคัญที่ควร ศึกษา ๒ ประเดน็ เช่นเดียวกัน ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ย-ต ปการตั ถะ ซ่งึ มีทั้งแบบ A และ แบบ B เช่นเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ โดยแบบ A มีโครงสร้างของ ย-ต เพียงคู่เดียวเท่านั้น แบบ B มี โครงสร้างของ ย-ต ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีประโยค ย-ต ปการัตถะ ผสมกับประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย และ ๒) หลกั การแปลประโยค ย-ต ปการตั ถะ ผู้แปลสามารถแปลได้ท้งั โดยพยัญชนะและโดยอรรถ คือ กรณกี ารแปลประโยค ย-ต ปการัตถะ แบบ A ท้ังโดยพยญั ชนะและโดยอรรถ นั้น ส่วนใหญ่ก็เหมือนกับ การแปลประโยค ย-ต สามัญท่ีผ่านมา จะมีต่างกันบ้างก็คือ เรื่องของการใช้คาเชื่อมในกรณีท่ีแปลโดย อรรถเทา่ นัน้ และกรณีการแปลประโยค ย-ต ปการตั ถะ แบบ B ท้ังโดยพยัญชนะและโดยอรรถ ซ่งึ เป็น การแปลโครงสร้างที่มีประโยค ย-ต ปการตั ถะ ผสมกบั ประโยค ย-ต อุปมาอุปไมย นั้น ผแู้ ปลสามารถใช้ หลักการแปลเหมอื นอย่างท่ีเรยี นผา่ นมา ทง้ั การแปลโดยพยญั ชนะและโดยอรรถ ๙.๑๐.๖ ประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ: ประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ มีเน้ือหา สาระสาคัญที่ควรศึกษา ๒ ประเด็นเช่นเดียวกัน ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ ซ่ึงมี แบบโครงสร้างในลักษณะเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ และประโยค ย-ต อ่ืน ๆ ท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้ว และ ๒) หลักการแปลประโยค ย-ต ปริจเฉทนัตถะ ผู้แปลสามารถแปลได้ทั้งโดยพยัญชนะและโดย อรรถเชน่ เดียวกับประโยค ย-ต สามญั ทผี่ า่ นมา ยกเว้นการใช้คาเชอื่ มในกรณีทีแ่ ปลโดยอรรถเทา่ นั้น ๙.๑๐.๗ ประโยค ย-ต เหตุ: ประโยค ย-ต เหตุ มีเนื้อหาสาระสาคัญที่ควรศึกษา ๒ ประเด็นเช่นเดียวกัน ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ย-ต เหตุ ซ่ึงมีแบบโครงสร้างในลักษณะเดียวกับ ประโยค ย-ต สามัญ และประโยค ย-ต อ่ืน ๆ ท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้ว และ ๒) หลักการแปลประโยค ย-ต เหตุ ก็เหมือนกับประโยค ย-ต ท้ังหลายที่ได้อธิบายมาแล้วข้างต้น มีประโยค ย-ต สามัญ ประโยค ย-ต อปุ มาอปุ ไมย เปน็ อาทิ ๙.๑๐.๘ ประโยค ยํ กริยาปรามาส: ประโยค ย กริยาปรามาส มีเนื้อหาสาระสาคัญที่ ควรศึกษา ๒ ประเด็นเช่นเดียวกัน ได้แก่ ๑) แบบของประโยค ยํ กริยาปรามาส มีแบบโครงสร้างใน ลักษณะเดียวกับประโยค ย-ต สามัญ และประโยค ย-ต อ่ืน ๆ ท่ีได้ศึกษาผ่านมาแล้วเช่นเดียวกัน และ ๒) หลักการแปลประโยค ยํ กริยาปรามาส ผู้แปลอาจแปลได้ท้ังโดยพยัญชนะและโดยอรรถ โดยมี หลักการแปล คือ กรณีการแปลประโยค ยํ กริยาปรามาสโดยพยัญชนะ ให้แปลประโยค ยํ ให้จบทุกบท ก่อน แล้วจึงแปลตัว ยํ เป็นบทสุดท้าย จากน้ันจึงแปลประโยค ต และกรณีการแปลประโยค ยํ กริยา ปรามาสโดยอรรถ ให้แปลข้ึนต้นที่ ตํ (หรือ เอตํ) ก่อน โดยใช้คาแปลว่า “ข้อท่ี...” จากนั้นให้เข้าแปล ประโยค ยํ กริยาปรามาส ให้จบ โดยไม่ต้องแปลตัว ยํ ๒๔๕

บทท่ี ๑๐ ประโยคพเิ ศษ วตั ถุประสงค์ ๑. บอกลักษณะพิเศษของประโยคพเิ ศษต่าง ๆ ได้ ๒. ยกตัวอย่างประโยคพิเศษได้ ๓. อธิบายหลกั การแปลและแปลประโยคพเิ ศษได้ถูกตอ้ ง ๑๐.๑ ความนา ในการแปลบาลีเป็นไทย หลังจากที่ผู้ศึกษาได้ศึกษาและฝึกแปลประโยค ย-ต ในบทท่ี ๙ มาแล้ว จึงควรศึกษาและฝึกแปลเรื่องประโยคพิเศษ เป็นลาดับต่อไป เพราะประโยคพิเศษ เป็นประโยค เฉพาะซึ่งมลี ักษณะโครงสร้างและหลักเกณฑ์การแปลไมเ่ หมือนกับประโยคทั่วไป เป็นประโยคในระดับท่ี สงู ขนึ้ มรี ปู แบบการแปลโดยเฉพาะและมคี วามยงุ่ ยากซับซอ้ นมากข้ึน ในการแปลประโยคทั่วไปดงั กล่าว มาน้นั ไดน้ าเสนอมาแล้วในบทที่ ๓ ตอนวา่ ดว้ ยหลกั การแปลประโยคภาษาบาลีตามลาดบั ๙ ประการ ซ่ึงได้แสดงให้เห็นลาดับการแปลที่มีหลักเกณฑ์สาคัญและจาเป็นอย่างยิ่งที่ผู้แปลจะต้องเรียนรู้และทา ความเข้าใจให้ดี เพราะเป็นหลักเบื้องต้นสาหรับการแปลภาษาบาลีขั้นพ้ืนฐาน การแปลภาษาบาลีใน ระดับท่ีสูงข้ึนไป ถ้าขาดความเข้าใจหลักเบ้ืองต้นแล้ว ก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าผู้แปลมีความเข้าใจหลัก เบ้ืองต้นดีแล้ว ก็จะเห็นว่าการแปลภาษาบาลีในระดับที่สูงขึ้นไปนั้นไม่ยากเกินไป ดังนั้น ในบทน้ี จะ นาเสนอเน้ือหาสาระสาคัญท่ีเก่ียวกับประโยคพิเศษ ๒๙ ประเด็น ได้แก่ ๑) ความหมายของประโยค พิเศษ ๒) ประโยคต้ังช่ือ ๓) ประโยคที่ต้องเพ่ิม าปนเหตุก ๔) ประโยคต้ังเอตทัคคะ ๕) ประโยค ขมนีย-ยาปนีย ๖) ประโยค กถ สมุฏฺ าเปสุ ๗) ประโยค วุตฺเต ๘) ประโยค อาคเมหิ ๙) ประโยค ฌาเปสิ ๑๐) ประโยค ฌาปิตา ๑๑) ประโยคกริยาปธานนัย ๑๒) ประโยค กิมงฺค ปน ๑๓) ประโยค อาณาเปสิ ๑๔) ประโยคอุปมา ๑๕) ประโยค ยญฺเจ-เสยฺโย ๑๖) ประโยคท่ีมีสัตตมีวิภัตติเป็นประธาน ๑๗) ประโยคที่มี เอว เป็นประธาน ๑๘) ประโยคท่ีมี ตถา เป็นประธาน ๑๙) ประโยคที่มี ตุ ปัจจัย เป็น ประธาน ๒๐) ประโยคที่มี สกฺกา ๒๑) ประโยคท่ีมี อล ๒๒) ประโยค ท่ีมี ลพฺภา ๒๓) ประโยคที่มี กึ (ปโยชน) ๒๔) ประโยคนาคโสณฑิ ๒๕) ประโยคกาโกโลกนยั ๒๖) ประโยคสากังขคติ ๒๗) ประโยค อิท วุตฺต โหติ ๒๘) ประโยคที่มี สททฺ นตี ิย และ ๒๙) ประโยค ทฏฺ พพฺ โดยมีรายละเอยี ด ดงั ต่อไปนี้ ๒๔๖

๑๐.๒ ความหมายของประโยคพิเศษ ประโยคพิเศษ หมายถึง ประโยคเฉพาะซึ่งมีลักษณะโครงสร้างและหลักเกณฑ์การแปลไม่ เหมือนกับประโยคทั่วไป เป็นประโยคในระดับท่ีสูงขึ้น มีรูปแบบการแปลโดยเฉพาะและมีความยุ่งยาก ซับซ้อนมากข้ึน ผู้แปลต้องอาศัยหลักเกณฑ์และทักษะการแปลภาษาบาลีในระดับท่ีสูงข้ึนไป อย่างไรก็ ตาม ผู้แปลต้องอาศัยหลักเกณฑ์และทักษะการแปลภาษาบาลีในระดับพ้ืนฐานด้วย เพราะถ้าขาด หลักเกณฑ์และทักษะพื้นฐานดังกล่าวแล้ว ก็เป็นเร่ืองยาก ตรงกันข้าม ถ้าผู้แปลมีความเข้าใ จหลัก เบอื้ งตน้ ดีแลว้ จะเหน็ วา่ การแปลภาษาบาลใี นระดับทสี่ ูงข้นึ ไปกไ็ มย่ ากเกนิ ไป ๑๐.๓ ประโยคต้งั ช่ือ ในการแปลประโยคต้ังช่ือ มีหลักอยู่ว่า ผู้แปลจะต้องข้ึนคาว่า “วจน” มาเปิด อิติ ก่อนเสมอ ส่วน นาม ทมี่ ีอยนู่ น้ั ให้แปลเป็น วิกติกมั มะ ใน กรฺ ธาตุ เชน่ เสฏฺ ี ตสฺส ปาโลติ (วจน) นาม อกาสิ. (๑/๓) แปลโดยพยัญชนะ อ. เศรษฐี ได้กระทาแลว้ ซงึ่ คาว่า อ. ปาละ ดงั นี้ ให้เปน็ ชื่อ ของบตุ รน้ัน ๑๐.๔ ประโยคทต่ี อ้ งเพม่ิ าปนเหตุก ในประโยคภาษาบาลีบางประโยค จาเป็นต้องบอกอาการโดยประกาศแบบตีฆ้องร้องป่าวใหร้ ู้ หรือแสดงอาการโบกมืออย่างใดอย่างหนงึ่ ฯลฯ เป็นสัญญาณ จึงจะสามารถเข้าใจความหมายได้ชดั เจน ในกรณีเช่นน้ี เวลาแปลให้เพ่ิมบทว่า าปนเหตุก เข้ามาหลัง อิติ ศัพท์ โดยให้แปลว่า “มีอันให้รู้ว่า... ดังนี้เปน็ เหตุ” ดูประโยคตวั อย่างซง่ึ จาแนกออกได้ ๕ ประเภท ดังนี้ ๑๐.๔.๑ ประโยคดดี นว้ิ มอื เถโร “นาย มม วจน สุณาตีติ จินฺเตตฺวา “ตว ปมาณ น ชานาสีติ ( าปนเหตุก) อจฺฉร ปหริ. (๕/๘) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระเถระ คิดแล้วว่า อ. นางเทพธิดา น้ี ย่อมไม่ฟัง ซึ่งคา ของเรา ดังนี้ ประหาร แล้ว ซึ่งน้วิ มือ มีอันใหร้ ู้ว่า อ. เธอ ยอ่ มไม่รู้ ซึ่งประมาณ ของเธอ ดงั นีเ้ ป็นเหตุ ๒๔๗

๑๐.๔.๒ ประโยคสน่ั ศรี ษะ สตฺถา “น คมิสสฺ ามีติ ( าปนเหตุก) สีส จาเลสิ. (๘/๖๔) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระศาสดา ทรงยังพระเศียร ให้หวั่นไหวแล้ว มีอันให้รู้ว่า อ. อาตมภาพ จักไม่ไป ดงั นเี้ ป็นเหตุ ๑๐.๔.๓ ประโยคส่งขา่ วสาส์น สาวตถฺ นี ครโต อนาถปณิ ฺฑิโก วสิ าขา มหาอปุ าสกิ าติ เอวมาทีนิ มหากุลานิ อานนฺทตฺ- เถรสฺส สาสน ปหิณสึ ุ “สตถฺ าร โน ภนฺเต ทสฺเสถาติ ( าปนเหตกุ ). (๑/๕๕) แปลโดยพยัญชนะ อ. ตระกูลใหญ่ ท. มีอาทิอย่างนี้ คือ อ. มหาเศรษฐีชื่อว่า อนาถบิณฑิกะ อ. มหา อุบาสิกา ชื่อว่า วิสาขา ส่งไปแล้ว ซ่ึงข่าวสาส์น แก่พระเถระชื่อว่าอานนท์ จากพระ นครชื่อว่าสาวัตถี มีอันให้รู้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อ. ท่าน ขอจงแสดง ซ่ึงพระศาสดา แก่ข้าพเจา้ ท. ดงั นเ้ี ปน็ เหตุ (ราชา) “เอก เม ธตี ร เทนฺตตู ิ ( าปนเหตกุ ) สากฺยาน สนฺตกิ สาสน เปเสสิ. (๓/๑๑) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระราชา ทรงส่งไปแลว้ ซ่งึ พระราชสาสน์ สสู่ านัก ของเจ้าศากยะ ท. มอี ันให้รู้ว่า อ. เจา้ ศากยะ ท. ขอจงประทาน ซง่ึ พระธิดา คนหน่งึ แก่หมอ่ มฉนั ดังน้เี ป็นเหตุ ๑๐.๔.๔ ประโยคตีกลอง ราชา “ปญฺจธนสตานิ ทตฺวา คณหฺ าตูติ ( าปนเหตกุ ) เภริญฺจาราเปสิ. (๕/๙๘) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระราชา (ทรงยังราชบุรุษ) (ให้) ยังกลอง ให้เที่ยวไปแล้ว มีอันให้รู้ว่า อ. บุคคล ใหแ้ ลว้ ซึ่งร้อยแหง่ ทรัพย์ห้า ท. จงรับเอา (ซ่ึงนางสริ มิ า) ดงั น้เี ปน็ เหตุ ๑๐.๔.๕ ประโยคแผ่นดินไหว ตสมฺ ึ ขเณ“ปตฏิ ฺ ต พุทฺธสาสนนตฺ ิ ( าปนเหตกุ ) อุทกปริยนตฺ กตวฺ า มหาป วี กมฺปิ. (๓/๑๖๔) แปลโดยพยัญชนะ ในขณะน้ัน อ. แผ่นดินใหญ่ กระทา ซ่ึงที่สุดรอบแห่งน้า หวั่นไหวแล้ว มีอันให้รู้ว่า อ. พระพทุ ธศาสนา ตัง้ ม่ันแล้ว ดังนเี้ ป็นเหตุ ๒๔๘

๑๐.๕ ประโยคต้ังเอตทัคคะ การแปลภาษาบาลี โดยเฉพาะการแปลธรรมบท (ธัมมปทัฏฐกถา) ผู้แปลจะพบประโยคแบบ คอื ประโยคต้ังเอตทคั คะ ซง่ึ ปรากฏอยู่ทว่ั ไป ในการแปลประโยคทรงตัง้ เอตทัคคะนนั้ มหี ลกั เกณฑ์ ดงั น้ี ๑๐.๕.๑ บทวา่ เอต และสองบทวา่ ย อิท ใหโ้ ยค (ประกอบ) ขนธฺ ปญจฺ กกฺ ๑๐.๕.๒ บทว่า อคฺค แปลได้ ๒ อย่าง คือ แปลว่า “เป็นยอด” และ “เป็นเลิศ” โดยถ้า แปลว่า “เป็นยอด” ฉัฏฐีวิภัตติที่ตามมา ต้องแปลว่า แห่ง... แต่ถ้าแปลว่า “เป็นเลิศ” ฉัฏฐีวิภัตติที่ ตามมา ต้องแปลว่า กว่า... ดปู ระโยคตวั อย่าง อถ เนส ภควา ตสฺส ปรินิพฺพุตภาว อาจิกฺขิตฺวา “เอตทคฺค ภิกฺขเว มม สาวกาน ภิกฺขนู ขิปฺปาภิญฺ าน ยทิท พาหิโย ทารจุ รี โิ ยติ เอตทคเฺ ค เปสิ. (๔/๙๗) แปลโดยพยัญชนะ ลาดับน้ัน อ. พระผู้มีพระภาค ตรัสบอกแล้ว ซ่ึงความท่ีแห่งพาหิยะเป็นผู้ปรินิพพาน แลว้ แก่ภกิ ษุ ท. เหลา่ นั้น ทรงต้ังไว้แลว้ (ซง่ึ พาหิยะนั้น) ในเอตทคั คะดว้ ยพระดารัสว่า “ดกู ่อนภกิ ษุ ท. อ. ขันธปัญจก นี้ ใด คอื อ. พาหยิ ะ ทารุจีริยะ อ. ขนั ธปัญจก นั่น เป็น ยอด แห่งภิกษุ ท. ผู้เป็นสาวกของเรา ผู้ตรัสรู้ได้เร็ว (หรือเป็นเลิศกว่าภิกษุ ท. ผู้เป็น สาวกของเรา ผูต้ รสั ร้ไู ด้เรว็ ) ยอ่ มเป็น ดังน้ี แปลโดยอรรถ ลาดบั นนั้ พระผู้มีพระภาคตรัสบอกความที่พาหยิ ะนนั้ ปรินิพพานแลว้ แก่ภิกษุเหล่าน้ัน ทรงต้ังไว้ในเอตทัคคะว่า “ภิกษุท้ังหลาย พาหิยะ ทารุจีริยะ (ผู้นุ่งผ้าเปลือกไม้) เป็น เลศิ กวา่ ภกิ ษุ ผสู้ าวกของเรา ผตู้ รัสรู้เรว็ ” (หรือเป็นยอดแห่งเหลา่ ภิกษุ ผู้สาวกของเรา ผตู้ รัสรูไ้ ดเ้ ร็ว) ๑๐.๖ ประโยค ขมนีย-ยาปนีย ประโยค ขมนีย หรือ ขมนีย-ยาปนีย ในภาษาบาลี เป็นประโยคเกี่ยวกับการไต่ถามสุขทุกข์ เช่น ขมนียนฺเต อาวุโส. (ท่านสบายดีหรือ) ขมนีย เม ภนฺเต. (สบายดี ขอรับ) ฯลฯ ในการแปลประโยค ขมนีย หรอื ขมนีย-ยาปนยี นนั้ มีหลกั เกณฑ์ ดังน้ี ๑๐.๖.๑ ใหข้ นึ้ ยนตฺ สรีร มาเปน็ ประธาน ๑๐.๖.๒ ใหข้ น้ึ จตุจกกฺ นวทวฺ าร มาเป็นวิเสสนะ ของ ยนตฺ สรีร ๒๔๙

๑๐.๖.๓ ให้แปลหัก บทฉัฏฐีวิภัตติ (ผถู้ ูกถามถึง) หรอื ขึน้ บทตตยิ าวิภัตติ (ผถู้ กู ถาม) มาเป็น อนภิหิตกัตตา ใน ขมนยี และ/หรอื ยาปนยี ดูประโยคตวั อย่าง (๑) (สตฺถา) “มม ปุตฺตสฺส มหากสฺสปสฺส ขมนียนฺติ. “ขมนีย ภนฺเต, เอโก ปนสฺส สทฺธิวิหาริโก โอวาทมตฺเตน กชุ ฺฌิตวฺ า ปณฺณสาล ฌาเปตฺวา ปลาโตติ. (๓/๑๑๗) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระศาสดา ตรัสถามแล้วว่า “อ. ยนต์คือสรีระ อันมีจักรส่ี อันมีทวารเก้า อัน มหากัสสปะ ผู้เป็นบุตร ของเรา พึงอดทน หรือ” ดังนี้ อ. ภิกษุ นั้น กราบทูลแล้วว่า “ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ อ. ยนต์คอื สรีระ อันมีจักรสี่ อันมีทวารเก้า อันมหากัสสปะ ผู้ เป็นบุตร ของพระองค์ พึงอดทน, แต่ว่า อ. สัทธิวิหาริก ของพระเถระ ช่ือว่า มหากัสสปะนั้น รูปหน่ึง โกรธแล้ว ด้วยเหตุสักว่าโอวาท ยังบรรณศาลาให้ไหม้แล้ว หนีไปแล้ว” แปลโดยอรรถ พระศาสดาตรัสถามว่า “มหากัสสปะบุตรของเรา ยังสบายดีอยู่หรือ” พวกภิกษุจึง กราบทูลว่า “สบายดีอยู่ พระเจ้าข้า, แต่สัทธิวิหาริกของท่านรูปหน่ึง โกรธท่านด้วย เหตสุ กั ว่าโอวาท (การกล่าวสอน) เผาบรรณศาลาแล้วหลบหนีไป” ข้อสังเกต: บทว่า มหากสฺสปสฺส เป็นรูปฉัฏฐีวิภัตติ หมายถึง ผู้ถูกถามถึง จึงแปลหัก วิภัตติเป็นตติยาวิภัตติว่า “อัน...” เข้ากับ ขมนีย คาว่า “จักรส่ี” คือ มือ ๒, เท้า ๒ (อาจารย์บางสานัก บอกว่า ได้แก่ อิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน) ส่วนคาว่า “ทวารเก้า” คือ ตา ๒, จมูก ๒, หู ๒, ปาก ๑, ทวารเบา ๑, ทวารหนกั ๑ ดูประโยคตัวอยา่ ง (๒) ... “กจฺจิ ภิกฺขเว ขมนีย, กจฺจิ ยาปนีย, น จ ปิณฺฑเกน กิลมิตฺถาติ วุตฺตา “ขมนีย ภนฺเต, ยาปนีย ภนฺเต,...ติ กถยึสุ. (๒/๑๒๒) แปลโดยพยญั ชนะ ...ผู้อนั พระศาสดาตรสั แลว้ วา่ “ดกู ่อนภิกษุ ท. อ. ยนตค์ อื สรีระ อันมีจักรส่ี อันมีทวาร เก้า อันเธอ ท. (ตุมฺเหหิ) พึงอดทน แลหรือ, อ. ยนต์คือสรีระ อันมีจักรสี่ อันมีทวาร เก้า อันเธอ ท. (ตุมฺเหหิ) พึงให้เป็นไป แลหรือ, อนึ่ง อ. เธอ ท. ไม่ลาบากแล้ว ด้วย ก้อนข้าว หรือ ดังน้ี กราบทลู แลว้ ว่า ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ อ. ยนต์คอื สรีระ อนั มจี ักร สี่ อันมีทวารเก้า อันข้าพระองค์ ท. (อมฺเหหิ) พึงอดทน, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ยนต์คือสรีระ อันมีจักรส่ี อันมีทวารเก้า อันข้าพระองค์ ท. (อมฺเหหิ) พึงให้ เป็นไป...ดงั น้ี ๒๕๐

แปลโดยอรรถ ...พระศาสดาตรัสถามว่า “ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอสบายดีกันหรือ, พวกเธอพอยัง อัตภาพใหเ้ ปน็ ไปไดห้ รือ, อนึ่ง พวกเธอ ไม่ลาบากดว้ ยบณิ ฑบาตหรือ” จึงกราบทลู ว่า “สบายดี พระเจ้าข้า, พอยงั อตั ภาพให้เปน็ ไปได้ พระเจ้าข้า”... ข้อสังเกต: ในตัวอย่างนี้ ขึ้นบทตติยาวิภัตติ (ผู้ถูกถาม) มาเป็น อนภิหิตกัตตา ใน ขมนีย และ ยาปนีย, บทว่า ขมนีย เรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “กิตบท กัมมวาจก” ส่วนบทว่า ยาปนีย เรยี กว่า “กติ บท เหตกุ มั มวาจก” ๑๐.๗ ประโยค กถ สมุฏฺ าเปสุ ในการแปลประโยค กถ สมุฏฺ าเปสุ น้ี มหี ลกั การแปล ดังนี้ ๑๐.๗.๑ แปลโดยพยัญชนะ ให้ใช้ กถ เปิด อิติ ก่อน โดยแปล กถ ว่า “ยังวาจาเป็นเคร่ือง กลา่ วว่า...” เสรจ็ แลว้ จงึ กลบั มาแปล สมุฏฺ าเปสุ ในภายหลังวา่ “ให้ตั้งขนึ้ พร้อมแล้ว...” ดูประโยคตวั อยา่ ง ภิกฺขู ธมฺมสภาย กถ สมุฏฺ าเปสุ “โจรฆาตโก ปญฺจปณฺณาส วสฺสานิ กกฺขฬกมฺม กตฺวา อชฺเชว ตโต มุตฺโต อชฺเชว เถรสฺส ภิกฺข ทตฺวา อชฺเชว กาลกโต, กห นุ โข นพิ พฺ ตฺโตติ. (๔/๙๐) แปลโดยพยัญชนะ อ. ภกิ ษุ ท. ยงั วาจาเปน็ เครือ่ งกลา่ วว่า อ. บุรษุ ผู้ฆ่าซง่ึ โจร กระทาแลว้ ซ่งึ กรรมอัน หยาบช้า สิ้นปี ท. ๕๕ ผู้พ้นแล้ว จากกรรมน้ัน ในวันน้ีน่ันเทียว ถวายแล้ว ซ่ึงภิกษา แก่พระเถระ ในวันน้ีนั่นเทียว เป็นผู้มีกาละอันกระทาแล้ว ในวันน้ีน่ันเทียว ย่อมเป็น อ. บุรุษน้ัน เป็นผู้บังเกิดแล้ว ณ ท่ีไหนหนอแล ย่อมเป็น ดังน้ี ให้ต้ังขึ้นพร้อมแล้ว ในโรงเปน็ ทก่ี ลา่ วกับเปน็ ท่แี สดงซ่ึงธรรม ๑๐.๗.๒ แปลโดยอรรถ คาว่า กถ สมุฏฺ าเปสุ ให้แปลรวบโดยไม่ต้องแยกเหมือนแปลโดย พยัญชนะวา่ “สนทนากนั ...” ๒๕๑

ดูประโยคตวั อย่าง ภิกขฺ ู ธมมฺ สภาย กถ สมุฏฺ าเปสุ...นิพพฺ ตฺโตติ. (๔/๙๐) แปลโดยอรรถ ภิกษุทง้ั หลายสนทนากนั ในโรงธรรมว่า “บุรุษฆ่าโจร กระทากรรมหยาบชา้ สิน้ ๕๕ ปี พ้นจากกรรมนน้ั ในวนั น้แี ล ถวายภกิ ษาแก่พระเถระก็ในวันน้ีเหมือนกัน กระทากาละ ก็ในวันนนี้ ่ันแล เขาบงั เกดิ ในที่ไหนหนอแล” ๒๕๒

แบบฝึกหดั ที่ ๑๐.๑ ให้แปลประโยคต่อไปน้ีเป็นไทยโดยพยญั ชนะ ๑. (เสฏฺฐี) ตสฺส (ปุตตฺ สสฺ ) จุลลฺ ปาโลติ นาม กตฺวา อิตรสฺส (ปุตตฺ สฺส) มหาปาโลติ นาม กร.ิ (๑/๓) ๒. เถโร ตฺวา ปุน ปฏิกฺขิปิตฺวา อปคนฺต อนิจฺฉมานา ยาจนฺติโย “อตฺตโน ปมาณ น ชานาถ อปคจฺฉถาติ อจฉฺ ร ปหริ. (๓/๘๑) ๓. สรทตาปโสปิ อนฺเตวาสิกตฺเถราน สนฺติก คนฺตฺวา สหายกสฺส สิริวฑฺฒกุฏุมฺพิกสฺส สาสน เปเสสิ “ภนฺเต มม สหายกสฺส วเทถ สหายเกน เต สรทตาปเสน อโนมทสฺสิสฺส พุทฺธสฺส ปาทมูเล อนาคเต อุปฺปชฺชนกสฺส โคตมพุทฺธสฺส สาสเน อคฺคสาวกฏฺ าน ปตฺถิต ตฺว ทุติยสาวกฏฺ าน ปตเฺ ถหีติ. (๑/๑๐๑-๑๐๒) ๔. (ราชปรุ สิ า) “คนธฺ เสฏฺฐิโน ภุญฺชนลฬี หฺ โอโลเกตูติ นคเร เภรญิ ฺจาราเปสุ. (๕/๘๐) ๕. ตสมฺ ึ ขเณ “ปตฏิ ฺฐิต พทุ ฺธสาสนนตฺ ิ อทุ กปรยิ นตฺ กตฺวา มหาป วี กมปฺ ิ. (๓/๑๖๔) ๖. อถ น สตฺถา “เอตทคฺค ภิกฺขเว มม สาวิกาน อุปาสิกาน ธมฺมกถิกาน ยทิท ขุชฺชุตฺตราติ (วจเนน) เอตทคเฺ ค เปสิ. (๒/๔๘) ๗. กิจฺจิ ภิกฺขเว ขมนยี , กจิ ฺจิ ยาปนีย, น จ ปิณฺฑเกน กลิ มิตฺถ. (๒/๑๒๒) ๘. ภิกฺขู ธมฺมสภาย กถ สมุฏฺ าเปสุ “กุณฺฑลเกสีเถริยา ธมฺมสฺสวน พห นตฺถิ, ปพฺพชิต- กิจฺจมสฺสา มตถฺ ก ปตฺต, เอเกน กริ โจเรน สทธฺ ึ มหาสงฺคาม กตฺวา ชนิ ิตวฺ า อาคตาต.ิ (๔/๑๐๕) ๒๕๓

คาศัพทท์ ี่ควรทราบ ๑. ปฏกิ ขฺ ิปติ วฺ า หา้ มแลว้ ๑๑. ทุตยิ สาวกฏฺ าน ซึ่งตาแหน่งแห่งพระ สาวกท่สี อง ๒. อปคนตุ เพอ่ื อันหลีกไป ๑๒. ภุ ชนลีฬหฺ ซงึ่ ลลี าแห่งการบรโิ ภค ๓. อนจิ ฉฺ มานา ผูไ้ มป่ รารถนาอยู่ ๑๓. อทุ กปริยนฺต ซึ่งท่ีสดุ รอบแหง่ น้า หว่นั ไหวแลว้ ๔. อจฺฉร ซงึ่ นิ้วมอื ๑๔. กมปฺ ิ พึงอดทนได้ พงึ ใหเ้ ป็นไปได้ ๕. ปหริ ประหารแลว้ ๑๕. ขมนยี ไมล่ าบากแลว้ ๖. อนฺเตวาสกิ ตฺเถราน ของพระเถระผู้เป็น ๑๖. ยาปนีย ใหต้ ้งั ข้ึนพร้อมแล้ว อันเตวาสิก ท. ซึ่งที่สุด ถงึ แล้ว ๗. สนตฺ กิ สสู่ านกั ๑๗. น กิลมมิ หฺ า ๘. สาสน ซง่ึ ขา่ วสาส์น ๑๘. สมุฏฺ าเปสุ ๙. เปเสสิ สง่ ไปแล้ว ๑๙. มตถฺ ก ๑๐. อคฺคสาวกฏฺ าน อ. ตาแหน่งแห่งพระ ๒๐. ปตฺต อคั รสาวก ๒๕๔

๑๐.๘ ประโยค วุตฺเต ประโยค วุตฺเต ส่วนมาก ปรากฏในลาดับถัดจากประโยค กถ สมุฏฺ าเปสุ เน่ืองจากประโยค ทง้ั สองนี้ มคี วามเชอ่ื มโยงกันโดยเน้ือความ และถือวา่ เปน็ ประโยคแบบทม่ี ีใชม้ ากท่ีสุดในธรรมบท ประโยค วุตเฺ ต เปน็ ประโยคแทรกท่ีเรียกวา่ “ประโยคลกั ขณะ” มหี ลักการแปล ดังน้ี ๑๐.๘.๑ แปลโดยพยัญชนะ ให้ข้ึน วจเน มาเปิด อิติ (ถ้ามี อิติ ศัพท์) โดยใช้คาแปลว่า “ครั้นเม่ือคาว่า...” และข้ึนตัวตติยาวิภัตติ (กรณการก เอกวจนะหรือพหุวจนะแล้วแต่เนื้อความ) ใช้คา แปลวา่ “อัน...”แล้วจงึ แปล วุตเฺ ต โดยใช้คาแปลว่า “...กลา่ วแลว้ ” (หรอื กราบทูลแล้ว) ๑๐.๘.๒ แปลโดยอรรถ ให้แปลรวบทั้ง ๓ บทคือ วจเน ตัวตติยาวิภัตติ (กรณการก) และ วตุ เฺ ต ว่า “เมอ่ื ...กล่าวว่า (หรือกราบทูลวา่ ) ดปู ระโยคตัวอยา่ ง สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นุตฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาติ ปุจฺฉิตฺวา “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต,๑ ภกิ ขฺ เว ตุสิตปุเร โส นิพพฺ ตฺโตติ อาห. (๔/๙๑) แปลโดยพยัญชนะ อ. พระศาสดา เสด็จมาแล้ว ตรัสถามแล้วว่า “ดูก่อนภิกษุ ท. อ. เธอ ท. เป็นผู้นั่ง ประชุมพร้อมกันแล้ว ด้วยวาจาเป็นเคร่ืองกล่าว อะไรหนอ มีอยู่ ในกาลนี้ ดังนี้ ครั้น เมื่อคาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ. ข้าพระองค์ ท. เป็นผู้นั่งประชุมพร้อมกันแล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกล่าว ช่ือน้ี มีอยู่ ในกาลน้ี ดังน้ี อันภิกษุ ท. เหล่านั้น (เตหิ ภกิ ขฺ ูหิ) กราบทูลแล้ว ตรัสแลว้ วา่ ดกู ่อนภกิ ษุ ท. อ. บุรุษน้นั เป็นผู้บงั เกดิ แลว้ ในบุรี (ภมู )ิ ชือ่ ดุสติ ยอ่ มเปน็ ดงั นี้ แปลโดยอรรถ พระศาสดา เสด็จมาแล้ว ตรสั ถามวา่ “ภกิ ษทุ ้งั หลาย บัดน้ี พวกเธอน่ังประชมุ กนั ดว้ ย เร่ืองอะไรหนอ เม่ือภิกษุเหล่าน้ันกราบทูลว่า “ด้วยเรื่องชื่อน้ี” จึงตรัสว่า “ภิกษุ ท้ังหลาย บุรษุ น้ัน บังเกิดในดุสิตบุรี” ๑ ถา้ เป็น อาโรจิเต ให้ขึ้น อตฺเถ (ครั้นเม่ือเนอ้ื ความวา่ …) แทน วจเน แล้วดาเนนิ การแปลเหมอื นประโยค วตุ ฺเต ๒๕๕

๑๐.๙ ประโยค อาคเมหิ อาคเมหิ (รวมท้ัง อาคเมตุ และ อาคเมถ) เป็นกริยาอาขยาต ใช้คุมพากย์ออกสาเนียงการ แปลโดยพยัญชนะว่า “ยังกาลจงให้มาถึง” และเรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “เหตุกัตตุวาจก” แต่ถ้าแปล โดยอรรถก็จะแปลว่า “รอ” หรือ “รอคอย” ความจริง ไม่ว่าจะแปลโดยพยัญชนะหรือโดยอรรถ เมื่อว่า โดยความหมายแลว้ ตัวประธานเป็นผูท้ ากรยิ า อาคเมหิ เองเหมอื นกนั ไม่ได้ใช้ใหค้ นอื่นทาแต่อย่างใด ดปู ระโยคตวั อย่าง อาคเมหิ ตาว สามิ, ยาว อย วยปฺปตโฺ ต โหติ. (๔/๔๗) แปลโดยพยัญชนะ ข้าแต่นาย อ. ท่าน ยังกาล จงให้มาถึง อ. บุตรนี้ เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งวัย ย่อมเป็น เพียงใด, เพียงนน้ั แปลโดยอรรถ นาย ขอทา่ นจงรอ จนกว่าบุตรน้ีเจริญวัยเถดิ อาคเมถ ภนเฺ ต. (๓/๙๒) แปลโดยพยัญชนะ ข้าแตท่ า่ นผูเ้ จริญ อ. ท่าน ท. ยังกาล จงใหม้ าถงึ แปลโดยอรรถ ทา่ นผู้เจริญ ขอพวกท่าน จงรอ ๑๐.๑๐ ประโยค ฌาเปสิ ฌาเปสิ (รวมถึง ฌาเปสฺสามิ และ ฌาเปตฺวา) แปลโดยพยัญชนะว่า “ให้ไหม้แล้ว” และ เรยี กชื่อทางสัมพันธว์ ่า “เหตกุ ัตตวุ าจก” แต่ถา้ แปลโดยอรรถ ก็จะแปลว่า “เผา” ประโยค ฌาเปสิ นี้ ก็ เช่นเดียวกับประโยค อาคเมสิ กล่าวคือ ไม่ว่าจะแปลโดยพยัญชนะหรือแปลโดยอรรถ เมื่อว่าโดย ความหมายแล้ว ตวั ประธานเป็นผูท้ ากริยา ฌาเปสิ เองเหมอื นกัน ไม่ไดใ้ ช้ใหค้ นอื่นทาแต่อยา่ งใด ดูประโยคตัวอยา่ ง โส (กสโก) ...ปณฺณสาล ฌาเปสิ. (๓/๑๕๗) แปลโดยพยัญชนะ อ. ชาวนา นนั้ ...ยงั บรรณศาลา ให้ไหม้แลว้ ๒๕๖

แปลโดยอรรถ ชาวนาน้นั เผาบรรณศาลาแลว้ ...ตยุ ฺห ทสเฺ สตฺวา ฌาเปสฺสามิ. (๑/๖๓) แปลโดยพยัญชนะ อ. ดิฉนั ...แสดงแล้ว แกท่ า่ น จักยังสรีระของชน ผ้ตู ายแล้วนน้ั ให้ไหม้ แปลโดยอรรถ ดฉิ ัน...แสดงแกท่ า่ นแลว้ จึงจักเผา ...“เถรสฺส กิร สทิ ธฺ วิ หิ าริโก...ปณณฺ สาล ฌาเปตวฺ า ปลาโตติ. (๓/๑๑๗) แปลโดยพยญั ชนะ ...“ได้ยินว่า อ. สัทธิวิหาริก ของพระเถระ...ยังบรรณศาลา ให้ไหม้แล้ว หนีไปแล้ว” ดงั นี้ แปลโดยอรรถ ....“ขา่ ววา่ สทั ธิวิหารกิ ของพระเถระ...เผา บรรณศาลาแล้วหลบหนไี ป” ข้อสังเกต: จากตัวอย่างประโยคข้างต้น จะเห็นว่า ไม่ว่าจะแปลโดยพยัญชนะ (เป็นเหตุกัตตุ- วาจก) หรือโดยอรรถ (เป็นกัตตุวาจก) ความหมายของประโยคยังคงเดิมคือไม่เปล่ียนแปลง ตัวประธาน ของประโยค ยังคงทากริยาเผาเหมือนเดมิ ไม่ได้ใช้ให้คนอื่นเผาแต่อย่างใด ดูตัวอย่างการแปลประโยค ภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาไทย เพ่อื เปรียบเทียบ ดงั นี้ King Suddhodhana educated the prince in all manly games and exercises. แปลโดยพยัญชนะ อ. พระราชา ทรงพระนามว่าสุทโธทนะ ทรงยังเจ้าชายพระองค์น้ันให้รู้แล้ว ในการ กีฬา ท. อันเป็นของลูกผู้ชาย ท้ังปวงด้วย ในการออกกาลังกาย ท. อันเป็นของ ลูกผชู้ าย ท้งั ปวง ด้วย แปลโดยอรรถ พระเจ้าสุทโธทนะทรงให้การศึกษาเจ้าชายในการกีฬา และการออกกาลังกายของ ลกู ผู้ชายทกุ อย่าง จากตัวอย่างนี้ ผู้ศึกษาจะเห็นว่า โครงสร้างประโยคที่เป็นเหตุกัตตุวาจก (Causative voice) ในภาษาอังกฤษนนั้ เมอ่ื แปลเปน็ ไทย ไมว่ ่าจะแปลโดยพยญั ชนะหรือโดยอรรถ และใชโ้ ครงสรา้ งประโยค ตา่ งกันกต็ าม ความหมายของประโยคกย็ งั คงเดิม โดยไม่เปลย่ี นแปลง กล่าวคอื พระเจ้าสุทโธทนะทรงให้ การศกึ ษาแกเ่ จา้ ชายและเจา้ ชายได้รบั การศึกษา ๒๕๗

๑๐.๑๑ ประโยค ฌาปติ า ฌาปิตา แปลโดยพยัญชนะว่า “(อัน)...ให้ไหม้แล้ว” และเรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “เหตุกัมม- วาจก” แต่ถ้าแปลโดยอรรถ ก็จะแปลว่า “เผา” ซึ่งข้อนี้ ไม่ว่าจะแปลโดยพยัญชนะ หรือแปลโดยอรรถ เมื่อว่าโดยความหมายแล้ว จะเห็นว่าตัวประธานของประโยคถูกกระทาเหมือนกันหรือประโยคมี ความหมายเหมอื นกัน คงตา่ งกันเฉพาะโครงสร้างหรือวิธีการแปลเท่าน้ัน ดูประโยคตวั อยา่ ง มยา ตสสฺ (ปจเฺ จกพุทธฺ สฺส) ปณณฺ สาลา ฌาปิตา. (๓/๑๕๗) แปลโดยพยัญชนะ อ. บรรณศาลา ของพระปจั เจกพทุ ธเจ้านนั้ อนั เรา ใหไ้ หม้แลว้ แปลโดยอรรถ ฉันเผาบรรณศาลาของพระปัจเจกพทุ ธเจ้าน้ันแลว้ (= ข้าพเจา้ เอง เผาบรรณศาลาของพระปจั เจกพุทธเจา้ นั้น) (= บรรณศาลาของพระปัจเจกพุทธเจา้ น้ัน ข้าพเจา้ เผาเอง) ข้อสังเกต: จะเห็นว่า ไม่ว่าจะแปลโดยพยัญชนะหรือโดยอรรถ ต่างกันเฉพาะโครงสร้างของ ประโยค หรือวิธีการแปลเท่านั้น ส่วนความหมายของประโยคยังคงเหมือนกัน กล่าวคือ ตัวประธาน คือ บรรณศาลา (ปณฺณสาลา) ถูกเรา หรือฉัน (มยา) เผาแล้ว. หรือว่า เราหรือฉันเผาบรรณศาลาเอง (ไม่ไดใ้ ช้ใหค้ นอ่ืนเผาหรอื ไม่มีใครคนอน่ื เผา) อน่ึง ประโยคท่ีมีลักษณะเช่นนี้ มีปรากฏในภาษาทั่ว ๆ ไป เช่น ในภาษาอังกฤษอาจ เปรยี บเทยี บได้กับประโยคดงั ตวั อย่างต่อไปนี้ The prince was puzzled to see a corpse. อ. เจ้าชายนนั้ อันตนให้พศิ วงแล้ว ทไี่ ด้เห็น ซากศพ ซากหน่งึ แปลโดยอรรถ (๑) เจา้ ชาย (รสู้ กึ ) ฉงนสนเทห่ ์ เมื่อไดเ้ หน็ ซากศพ แปลโดยอรรถ (๒) ซากศพทาให้เจา้ ชาย (รู้สกึ ) ฉงนสนเท่ห์ จากตัวอย่างนี้ ผู้ศึกษาจะเห็นว่า โครงสร้างประโยคท่ีเป็นเหตุกัมมวาจก (Causal passive voice) ในภาษาองั กฤษน้ัน เม่ือแปลเป็นไทย ไมว่ ่าจะแปลโดยพยัญชนะหรือโดยอรรถ และใชโ้ ครงสร้าง ประโยคแบบใดก็ตาม ความหมายของประโยคก็ยังคงเดิม โดยไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เจ้าชาย (รู้สึก) ๒๕๘

ฉงนสนเท่หเ์ อง เมือ่ ได้เห็นซากศพ คนอนื่ ไมไ่ ด้ฉงนสนเท่ห์ ไม่ได้ทาให้คนอื่นฉงนสนเทห่ ์ หรอื ถูกคนอ่ืน ทาให้ฉงนสนเท่ห์ กห็ ามไิ ด้ ๑๐.๑๒ ประโยคกริยาปธานนัย โดยทั่วไป ประโยคในภาษาบาลี จะมีกริยาคุมพากย์ ซ่ึงเป็นกริยาอาขยาต หรือกริยากิตก์ ท่ีลง ต อนีย หรือ ตพฺพ ปัจจัย แต่บางครั้ง ผู้แปลจะพบว่า กริยากิตก์ท่ีลง ตฺวา ปัจจัย ก็สามารถใช้คุม พากย์ได้ ในกรณีเช่นนี้ ตัวประธานเรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “ปกติกัตตา” ส่วนตัวกริยาคุมพากย์ท่ีลง ตฺวา ปจั จัย นัน้ เรียกชอื่ ทางสมั พนั ธว์ า่ “กรยิ าปธานนยั ” กริยาปธานนัย คือกริยาท่ีเป็นประธาน หรือเป็นใหญ่ มีฐานะเทียบเท่ากริยาอาขยาต เพราะสามารถใช้คุมพากย์ได้ มวี ธิ ใี ช้ในประโยคทมี่ ลี ักษณะ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑๐.๑๒.๑ รวม-แยก ประโยคท่ีมีข้อความหลายตอน ตอนต้นกล่าวรวม ตอนหลัง กลา่ วแยก วางกริยา ตฺวา ปจั จัย ไว้ในท่สี ุดของตอนท่ีกลา่ วรวมหรือกลา่ วแยก เชน่ เหฏฺ าคงฺคาย จ เทฺว อิตฺถิโย นหายมานา ต ภาชน อุทเกนาหริยมาน ทิสฺวา, เอกา อิตถฺ ี มยหฺ เมต ภาชนนตฺ ิ อาห. (๘/๑๗๒) แปลโดยพยญั ชนะ ก็ อ. หญิง ท. สอง อาบอยู่ ในภายใต้แห่งแม่น้าช่ือว่าคงคา เห็นแล้ว ซึ่ง ภาชนะน้ัน อันอันน้าพัดมาอยู่, อ. หญิงคนหนึ่ง กล่าวแล้วว่า อ. ภาชนะ นั่น ย่อมมี แก่เรา ดังน้ี (วางกริยา ตฺวา ปัจจัย (ทิสฺวา) ไว้ในท่ีสุดของตอนท่ีกล่าว รวม) อิเมส สตฺตาน ชาติอาทโย นาม ทณฺฑหตฺถโคปาลกสทิสา, ชาติ ชราย สนฺติก เปเสตฺวา, ชรา พยฺ าธโิ น สนตฺ ิก (เปเสตฺวา), พฺยาธิ มรณสสฺ สนฺตกิ (เปเสตฺวา), มรณ กุธารยิ า ฉินทฺ นตฺ า วยิ ชวี ติ ฉินฺทต.ิ (๕/๕๖) แปลโดยอรรถ ช่ือว่าสภาวธรรมทั้งหลายมีชาติ เป็นต้น ของสัตว์เหล่าน้ี เป็นเช่นกับคนเลี้ยง โคมีมือถือท่อนไม้, ชาติส่งไปสู่สานักของชรา, ชราส่งไปสู่สานักของพยาธิ, พยาธิส่งไปสู่สานักมรณะ, มรณะตัดชีวิตเหมือนพวกมนุษย์ตัด (ต้นไม้) ด้วย ขวาน (วางกริยา ตฺวา ปัจจัย (เปเสตฺวา) ไวใ้ นทีส่ ุดของตอนที่กลา่ วแยก) ๒๕๙

เต เอกมคฺเคนาปิ อคนฺตฺวา, เอโก ปจฺฉิมทฺวาเรน มคฺค คณฺหิ, เอโก ปุรตฺถิม- ทวฺ าเรน (คณหฺ ิ). (๗/๗๐) แปลโดยอรรถ พระเถระเหล่าน้ัน ไม่ไปแม้ทางเดียวกัน, รูปหน่ึงถือทางประตูทิศตะวันตก, (อีก) รูปหน่ึงถือทางประตูทิศตะวันออก (วางกริยา ตฺวา ปัจจัย (อคนฺตฺวา) ไว้ ในทส่ี ดุ ของตอนทกี่ ลา่ วรวม) ๑๐.๑๒. ๒ แยก-รวม ประโยคที่มีข้อความหลายตอน ตอนต้นกล่าวแยก ตอนหลัง กล่าวรวม ซึ่งสลับกันกับข้อ ๑๐.๑๑.๑ วางกริยา ตฺวา ปัจจัย ไว้ในที่สุดของข้อความตอนท่ีกล่าวแยก เช่น ...เอกเมก ภิกฺขุสต นิสินฺนนิสินฺนฏฺ าเนเยว สห ปฏิสมฺภิทาหิ อรหตฺต ปตฺวา เวหาส อพฺภุคฺคนฺตฺวา, สพฺเพปิ เต ภิกฺขู อากาเสเนว วีสโยชนสติก กนฺตาร อติกฺกมติ วฺ า ตถาคตสฺส สวุ ณณฺ วณณฺ สรรี วณฺเณนตฺ า ปาเท วนทฺ ึสุ. (๘/๗๘) แปลโดยอรรถ ...ภิกษุ ๑๐๐ รูป ๆ บรรลุพระอรหัต พร้อมกับปฏิสัมภิทา ในท่ีท่ีน่ัง ๆ นั่นเอง เหาะขึ้นสู่เวหาส, ภิกษุเหล่านั้นแม้ท้ังหมด ก้าวล่วงทางกันดาร ๑๒๐ โยชน์ ทางอากาศทีเดียว ชมเชยพระสรรี ะ มีวรรณะเพยี งดังวรรณะแหง่ ทองของพระ ตถาคต ถวายบงั คมพระบาทแล้ว (วางกริยา ตฺวา ปจั จยั (อพภฺ คุ ฺคนฺตฺวา) ไวใ้ น ทสี่ ดุ ของตนทกี่ ลา่ วแยก) ๑๐.๑๒.๓ รวม-แยก-รวม ประโยคที่มีข้อความหลายตอน ตอนต้นกล่าวรวม ตอนกลางกล่าวแยก แล้วกล่าวรวมกันอีกในตอนท้าย โดยวางกริยา ตฺวา ปัจจัย ไว้ในตอนที่กล่าวแยก เช่น เตปิ เทวโลกโต จวิตฺวา, พนฺธุมติย เอกสฺมึ กุลเคเห เชฏฺ โ เชฏฺ โ ว หุตฺวา, กนฏิ ฺโ กนฏิ ฺโ ว หตุ ฺวา, ปฏิสนธฺ ึ คณฺหึสุ. (๘/๑๖๔) แปลโดยพยัญชนะ อ. เทวบุตร ท. แม้เหล่าน้ัน เคลื่อนแล้ว จากเทวโลก, อ. พี่ชาย ผู้เจริญท่ีสุด เป็นพ่ีชายผู้เจริญที่สุดเทียว เป็นแล้ว, อ. น้องชาย ผู้น้อยท่ีสุด เป็นน้องชาย ผู้น้อยที่สุดเทียว เป็นแล้ว, ถือเอาแล้ว ซ่ึงปฏิสนธิ ในเรือนแห่งตระกูล หลัง หน่ึง ในเมืองพันธุมดี (กริยา หุตฺวา ๒ ศัพท์ เป็นกริยาปธานนัย ส่วน จวิตฺวา เป็น ปพุ พกาลกริยาใน คณหฺ สึ ุ) จะเห็นว่า ในประโยคท่ีมีข้อความหลายตอนท่ีกล่าวรวมแล้วแยก แยกแล้วรวม หรือ กล่าวรวมในตอนต้น แยกในตอนกลาง แล้วกล่าวรวมในตอนท้ายอีก เช่นน้ี วางกริยาปธานนัยไว้ใน ๒๖๐

ตอนที่กล่าวรวมบ้าง กล่าวแยกบ้าง ขอให้ผู้ศึกษาพึงสังเกตและระมัดระวังในการแปล อย่างไรก็ตาม การแปลกรยิ าปธานนัยดังกลา่ ว ก็แปลไปตามปกตเิ หมอื นแปลกริยาคุมพากยน์ ่ันเอง ข้อสังเกต: ในภาษาอังกฤษ ประโยคที่มีข้อความตอนต้นกล่าวรวม ตอนหลังกล่าวแยก กริยาในข้อความตอนหลังท่ีกล่าวแยกนั้น นิยมใช้ Participle (กริยากิตก์) ซ่ึงสามารถใช้คุมพากย์ได้ เรยี กวา่ absolute (กรยิ าปธานนยั ) เชน่ They walk together: he leading, she following. พวกเขา (ชายหญิง) เดนิ ไปดว้ ยกนั คือ ผ้ชู ายเดนิ นาหนา้ ผู้หญงิ เดนิ ตามหลงั จากประโยคนี้ Participles ๒ ตวั คอื leading กับ following เทียบกบั บาลี กค็ ือ กริยาที่ ลง ตวฺ า ปจั จยั ใช้คมุ พากยไ์ ด้ เรยี กชอื่ ทางสมั พนั ธ์วา่ “กริยาปธานนัย” ๑๐.๑๓ ประโยค กมิ งคฺ ปน ตามปกติ ประโยคในภาษาบาลีจะตอ้ งมีส่วนประกอบตา่ ง ๆ ครบสมบูรณ์ อยา่ งนอ้ ยต้องมี ตัวประธานและกริยาคุมพากย์ที่เป็นอกัมมธาตุในประโยคกัตตุวาจกหรือมีตัวประธานกับบทขยาย ประธานในประโยคลงิ คัตถะ แต่ประโยค กิมงฺค ปน จะเป็นประโยคท่ีไม่สมบูรณ์ คือจะมีแต่ตัวประธาน เทา่ นนั้ ฉะน้นั ในเวลาแปล ผู้แปลจะตอ้ งเพิ่มคาเข้ามาให้สมบูรณ์ หลักในการเพิ่มมอี ยู่ ๒ ประการ ดงั นี้ ๑๐.๑๓.๑ ปฏเิ สธ-บอกเลา่ ถา้ ประโยคข้างหนา้ ของ กิมงฺค ปน เปน็ ประโยคปฏเิ สธ (มี น ศัพท์ ปฏิเสธ) ประโยคข้างหลังของ กิมงฺค ปน ต้องเพ่ิมคาให้เป็นประโยคบอกเล่า (ไม่มี น ศัพท์ ปฏิเสธ) โดยใช้คากริยาที่มีธาตุเดียวกับคากริยาของประโยคข้างหน้า กิมงฺค ปน แต่ต้องประกอบด้วย วิภตั ติหมวดภวสิ สนั ติเท่าน้ัน เช่น ตาต มหลฺลกสฺส หิ อตตฺ โน หตถฺ ปาทาปิ อนสฺสวา โหนฺติ, น วเส วตฺตนฺติ, กมิ งคฺ ปน าตกา. (วเส วตตฺ สิ ฺสนฺติ) (๑/๑๖) แปลโดยพยัญชนะ แนะพ่อ ก็แม้ อ. มือและเท้า ท. ของตน แห่งบุคคลผู้ถือเอาซ่ึงความเป็นแหง่ คนแก่ เป็นอวัยวะไม่ฟังตาม ย่อมเป็น อ. มือและเท้า ท. ย่อมไม่เป็นไปในอานาจ ก็ อ. อะไรเป็นเหตเุ ล่า อ. ญาติ ท. จกั เปน็ ไป (วตตฺ ิสสฺ นตฺ ิ) ในอานาจ (วเส) (= ก็ไม่ต้องพูดถงึ ว่าญาติทั้งหลายจะเปน็ ไปในอานาจ) ๑๐.๑๓.๒ บอกเล่า-ปฏิเสธ ถ้าประโยคข้างหน้าของ กิมงฺค ปน เป็นประโยคบอกเล่า (ไม่มี น ศัพท์ปฏิเสธ) ประโยคข้างหลังของ กิมงฺค ปน ต้องเพิ่มคาให้เป็นประโยคปฏิเสธ (มี น ศัพท์ ๒๖๑

ปฏิเสธ) โดยใช้คากริยาที่มีธาตุตัวเดียวกันกับคากริยาของประโยคข้างหน้า กิมงฺค ปน และต้อง ประกอบด้วยวิภัตตหิ มวดภวสิ สนั ติเทา่ น้นั เช่น อยฺโย หิ นาม ภเวสี สีเลสุ ปริปรู ิการี ภวสิ ฺสติ, กิมงฺค ปน มย. (สเี ลสุ ปรปิ รู ิการิโน น ภวิสฺสาม.) (อง.ฺ ปญจฺ ก. ๒๒/๒๔๑) แปลโดยอรรถ ก็ภเวสีอุบาสกผู้หัวหน้า เป็นผู้ทาให้บริบูรณ์ในศีลท้ังหลายแล้ว, ก็เราท้ังหลาย จัก ไม่ทาให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย เพราะเหตุอะไรเล่า (= ก็เราท้ังหลาย จะต้องทา ใหบ้ ริบูรณ์ในศลี ท้ังหลายเช่นเดียวกัน) ข้อสังเกต: กิมงฺค ปน มีความหมายเหมือนกับ โก ปน วาโท และ ปเคว ดูประโยค ตวั อยา่ ง ดังนี้ จิตฺตุปฺปทมฺปิ โข อห จุนฺท กุสเลสุ ธมฺเมสุพหุการ วทามิ, โก ปน วาโท กาเยน วาจาย อนุวธิ ิยนาสุ. (สลฺเลขสุตฺต. ๑๒/๗๘) แปลโดยอรรถ จุนทะ เรากล่าว แม้ความเกิดแห่งจิตในกุศลธรรมทั้งหลายแลว่ามีอุปการะมาก, จะป่วยกล่าวไปไย ในการทาเนือง ๆ ทางกาย ทางวาจา (= ในการทาเนือง ๆ ทาง กาย ทางวาจา ย่งิ ไม่ตอ้ งพูดถงึ คือมอี ุปการะมากอยแู่ ลว้ ) โส เจ อธมฺม จรติ, ปเคว อิตรา ปชา. (อมุ มฺ าทนฺต.ี ๒๘/๒๐) แปลโดยอรรถ ถ้าพระราชาทรงประพฤติอธรรม, จะป่วยกล่าวไปไย ถึงประชานอกนี้ (คือย่อม ประพฤติอธรรมเหมือนกัน) จตูสุ ปน ทีเปสุ จกฺกวตฺติสิรึ ทาตุ สมตฺถามาตาปิตโร นาม ปุตฺตาน นตฺถิ, ปเคว ทพิ พฺ สมฺปตฺตึ วา ป มชฌฺ านาทสิ มปฺ ตตฺ ึ วา. (โสเรยฺยตฺเถร. ๒/๑๖๔) แปลโดยอรรถ ก็ธรรมดาว่ามารดาบิดา ผู้สามารถเพ่ือให้จักรพรรดิสิริในทวีปท้ัง ๔ แก่บุตร ทั้งหลาย ย่อมไม่มี, จะป่วยกล่าวไปไย ถึงทิพยสมบัติหรือสมบตั ิมีปฐมฌานเป็นตน้ (คือมารดาบิดา ย่อมไม่สามารถจะให้ทิพยสมบัติหรือสมบัติมีปฐมฌาน เป็นต้น อย่างแน่นอน) จากประโยคตัวอย่าง จะเห็นว่า กิมงฺค ปน, โก ปน วาโท และ ปเคว มีความหมายเหมือนกัน ส่วนคาศัพท์ท่ีตามมา จะประกอบด้วยวิภัตติอะไรนั้น ข้ึนอยู่กับเนื้อความ ขอให้ผู้แปลสังเกตประโยค ตัวอย่างท่ีให้ไวใ้ หด้ ี ๒๖๒

แบบฝกึ หัดที่ ๑๐.๒ ให้แปลประโยคตอ่ ไปนเ้ี ปน็ ไทยโดยพยญั ชนะ ๑. มนุสฺสา… “ภนฺเต กุหึ อยฺยา คจฺฉนฺตีติ ปุจฺฉิตฺวา “ยถาผาสุกฏฺ าน อุปาสเกติ วุตฺเต ปณฺฑิตมนุสฺสา…“ภนฺเต สเจ อยฺยา อิม เตมาส อิธ วเสยฺย มย สรเณสุ ปติฏฺ าย สีลานิ คณเฺ หยฺยามาติ อาหส.ุ (๑/๘) ๒. อาคเมหิ ตาว เมฆิย. (๒/๑๑๖) ๓. โส (กสโก) ปจฺเจกพุทฺธสฺส ปิณฺฑาย ปวิฏฺ กาเล ปริโภคภาชนานิ ภินฺทิตฺวา ปณฺณสาล ฌาเปสิ. (๓/๑๕๗) ๔. โสปิ (กสโก) มหาชเนเนว สทฺธึ อาคโต มหาชนมชฺเฌ ฐิตโก เอวมาห “มยา ตสฺส ปณฺณสาลา ฌาปิตาต.ิ (๓/๑๕๗) ๕. เต สพฺเพปิ ยาวตายุก ตฺวา ตโต จุตา เทวโลเก นิพฺพตฺติตฺวา อิมสฺมึ พุทฺธุปฺปาเท เทวโลกา จวิตฺวา, เชฏฺ กกุฏุมฺพิโก กุกฺกุฏวตีนคเร ราชกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วยปฺปตฺโต มหากปิน- ราชา นาม อโหสิ, เสสา อมจจฺ กเุ ลสุ นิพฺพตฺตึสุ. (๔/๑๒) ๗. อิเมส สตฺตาน ชาติอาทโย นาม ทณฺฑหตฺถโคปาลกสทิสา (โหนฺติ), ชาติ ชราย สนฺติก เปเสตฺวา, ชรา พฺยาธิโน สนฺติก (เปเสตฺวา), พฺยาธิ มรณสฺส สนฺติก (เปเสตฺวา), มรณ กุธาริยา (รุกฺข) ฉนิ ทฺ นฺตา วิย ชวี ติ ฉินฺทต.ิ (๕/๕๔) ๘. มย “อทิ านิ คเหตุ น สกฺขิสสฺ าม…อติ ิ (มนเฺ ตตฺวา) เอเกโก เอเกก สาขาภงคฺ มุฏฺฐิมาทาย สตตฺ ปิ ชนา (หุตฺวา) สตฺต ฉิทฺทานิ ปทิ หติ ฺวา ปกฺกมึสุ. (๕/๓๙) ๙. ตาต มหลฺลกสฺส หิ อตฺตโน หตฺถปาทาปิ อนสฺสวา โหนฺติ, น วเส วตฺตนฺติ, กิมงฺค ปน าตกา. (๑/๖) ๑๐. อิเม หิ นาม สกยฺ กมุ ารา เอวรปู ํ สมปฺ ตฺตึ ปหาย อิมานิ อนคฺฆานิ อาภรณานิ เขฬปิณฺฑ วิย ฉฑเฺ ฑตฺวา ปพพฺ ชิสสฺ นฺติ, กมิ งฺค ปนาห. (๑/๑๒๘) ๒๖๓

คาศัพท์ทค่ี วรทราบ ที่ คาศัพท์ คาแปล ที่ คาศัพท์ คาแปล ๑ ยถาผาสุกฏฺ าน ดว้ ยขวาน สูท่ ีอ่ ันมคี วามสาราญ ๑๑ กุธาริยา ๒ ภนิ ทฺ ิตฺวา ถือเอาแล้วซงึ่ กาแหง่ อยา่ งไร รุกขาวัยวะอนั บคุ คลพงึ ๓ ยาวตายกุ หกั คือกง่ิ ไม้ ทาลายแลว้ ๑๒ สาขาภงคฺ - ซ่ึงชอ่ ง ท. ๔ เชฏฺ กกุฏุมพฺ โิ ก มฏุ ฺ มาทาย แห่งบคุ คลผู้ถือเอาซ่งึ ๕ นิสนิ ฺนนสิ ินฺนฏฺ- ความเป็นคนแก่ าเนเยว สิ้นกาลกาหนดเพยี งไร ๑๓ ฉทิ ฺทานิ เปน็ อวยั วะไมฟ่ งั ตาม แหง่ ชวี ติ ๑๔ มหลลฺ กสสฺ ๖ อพฺภุคคฺ นฺตวา ในอานาจ ๗ กนตฺ าร อ. กฎุ มุ พีผูเ้ จริญที่สุด อ.องค์อะไรเปน็ เหตเุ ลา่ ๘ สุวณณฺ วณณฺ อันหาคา่ มไิ ด้ ในทแ่ี ห่งตนนง่ั แล้วและ ๑๕ อนสฺสวา ๙ ชาตอิ าทโย นัง่ แลว้ นนั่ เทียว กอ้ นแหง่ น้าลาย นาม ๑๖ วเส เหาะขน้ึ ไปแลว้ ๑๗ กิมงคฺ ๑๐ ทนฺฑหตถฺ - ซง่ึ ทางกันดาร ๑๘ อนคฺฆานิ โคปาลกสทิสา อันมวี รรณะเพียงดัง วรรณะแหง่ ทอง ๑๙ เขฬปิณฑฺ ช่ือ อ. สภาวธรรม ท. มี ชาติเป็นต้น เป็นเชน่ กับด้วยบคุ คลผู้ เล้ียงซึ่งโคผูม้ ที ่อนไม้ใน มือ ๒๖๔

๑๐.๑๔ ประโยค อาณาเปสิ คาว่า “อาณาเปสิ” มาจาก อาณฺ ธาตุ ในความบังคับ ลง ณาเป ปัจจัย ในกัตตุวาจก (นอก แบบ) แปลวา่ “ส่งั บงั คับแล้ว” ฉะนน้ั ในเวลาแปลผแู้ ปลจะต้องระมัดระวังโดยไม่แปลว่า “ยงั ...ให้รู้ทั่ว แลว้ ” ดว้ ยคิดว่า ลง ณาเป ปัจจยั ในเหตุกตั ตวุ าจก ดูประโยคตวั อย่าง สกฺโก วาตวลาหกเทวปุตฺต อาณาเปสิ (ติตฺถิยาน มณฺฑปํ วาเตหิ อุปฺปาเฏตฺวา อุกฺการภมู ิย ขิปาเปหีติ (วจเนน). (๖/๗๕) แปลโดยพยัญชนะ อ. ท้าวสักกะ ส่ังบังคับแล้ว ซึ่งเทพบุตรชื่อว่าวาตวลาหกะ ด้วยพระดารัสว่า อ. ท่าน ยังลม ท. ให้เพิกขึ้นแล้ว ซ่ึงมณฑป ของเดียรถีย์ ท. จงให้ซัดไป บนพื้นอัน เปน็ ทถ่ี ่ายอุจจาระ ดังนี้ ข้อสังเกต: ในประโยค อาณาเปสิ น้ี ถ้ามีตัวทุติยาวิภัตติ กัมมการก ที่สัมพันธ์เข้ากับ อาณาเปสิ อยู่ด้วย เวลาแปลจะนิยมข้นึ วจเนน มาเปิด อิติ ศัพท์ แต่ถ้าไม่มีตัวทุติยาวิภัตติ กัมมการก อยูด่ ้วย กใ็ ห้ใช้ อาณาเปสิ เปิด อติ ิ ศพั ท์ ไดเ้ ลย (โดยไม่ต้องขน้ึ วจเนน มาเปดิ อีก) (ราชา) กตรสกฺกสสฺ ธีตาติ ปุจฺฉิตวฺ า อาคจฺเฉยยฺ าถาติ วตวฺ า ทูเต อาณาเปสิ. (๓/๑๑) แปลโดยอรรถ อ. พระราชา ทรงตรัสสัง่ บังคับแล้ว ซึง่ ทูต ท. วา่ “อ. ทา่ น ท. พงึ ถามวา่ “(อ. ธดิ า นี้) เป็นธดิ าของเจ้าศากยะองคไ์ หน ยอ่ มเป็น” ดังน้แี ล้วพึงมา” ดังนี้ ๑๐.๑๕ ประโยคอปุ มา ประโยคอุปมา หมายถึง ประโยคท่ีมีข้อความแสดงการเปรียบเทียบ โดยแสดงถึงส่ิง ๒ สิ่ง ซ่ึงมีสภาพแตกตา่ งกัน แตม่ คี ุณลักษณะคล้าย ๆ กัน เชน่ เปรียบเทียบ “ความตาย” เหมือน “การนอน หลบั ” “เงินทอง” เหมอื น “อสรพิษ” และ “ธรรมะ” เหมอื น “แพทีข่ ้ามฟาก” ฯลฯ ในประโยคอุปมามีศัพท์ที่นิยมใช้เปรียบเทียบ ได้แก่ วิย (ราวกะ), อิว (เพียงดัง) และ ยถา (ราวกะ) เป็นศัพท์นิบาตบอกอุปมาอุปไมย นิยมเขียนไว้หลงั บทอ่ืนเสมอไป และเวลาแปลจะต้องรวบไป ถงึ วิย อวิ หรอื ยถา ข้อความที่แสดงการเปรียบเทียบในประโยคอุปมาน้ัน อาจจาแนกออกได้ ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) อุปมาลงิ คัตถะ ๒) อุปมาวิเสสนะ ๓) อุปมาวิกติกัตตา ๔) อุปมาวิกติกัมมะ และ ๕) อุปมาอัพภันตร กรยิ า โดยมีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปนี้ ๒๖๕

๑๐.๑๕.๑ อุปมาลิงคัตถะ คือ ข้อความท่ีแสดงการเปรียบเทียบโดยมีบทประธานหรือ บทนามนามวางอยู่ข้างหน้า และมี วิย อิว หรือ ยถา ศัพท์ วางอยู่ข้างหลัง ในเวลาแปลนิยมแปลหลัง กริยาคุมพากย์ และใหถ้ อื หลักการแปลรวบ ดงั นี้ วยิ ศพั ท์ ควบ แปลรวบวา่ ราวกะ อ... อิว ศัพท์ ควบ แปลรวบว่า เพียงดัง อ... ยถา ศพั ท์ ควบ แปลรวบว่า ราวกะ อ... ดูประโยคตัวอย่าง เทฺว อกฺขีนิ ทีปสขิ า วิย วิชฺฌายึสุ. (๑/๑๙) แปลโดยพยญั ชนะ อ. นัยนต์ า ท. สอง ดบั แลว้ ราวกะ อ. เปลวแหง่ ประทปี ปสนฺเนน หิ มเนน กตกมฺม เทวโลก มนุสฺสโลก คจฺฉนฺต ปุคฺคล ฉายาว น วิชหติ. (๑/๓๓) แปลโดยพยญั ชนะ เพราะว่า อ. กรรมอนั บุคคลกระทาแล้ว ดว้ ยใจ อนั ผอ่ งใสแล้ว ยอ่ มไม่ละ ซงึ่ บคุ คล ผไู้ ปอยู่ สู่เทวโลก สู่มนุษยโลก เพียงดัง อ. เงา สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปปฺ า มณิ โชตริ โส ยถา. (๓/๓๗) แปลโดยพยัญชนะ อ. ความดาริ ท. ทัง้ ปวง จงเต็ม ราวกะ อ. แก้วมณี ช่ือว่าโชติรส ข้อสังเกต: ในประโยคอุปมาลิงคัตถะน้ัน บางครั้งต้องนาเอาธาตุของกริยาคุมพากย์ มา ประกอบด้วย อนฺต มาน ปัจจัย และต้องให้มีลิงค์ วจนะ และวิภัตติ เหมือนกับบทประธาน เพ่ือให้ เนือ้ ความชัดเจนยิ่งข้นึ เช่น ฉทิ ทฺ ฆฏโต อุทกธารา (ปคฆฺ รนตฺ ี) วยิ อกฺขหี ิ ธารา ปคฺฆรนฺติ. (๑/๘) แปลโดยพยัญชนะ อ. สายน้า ท. ย่อมไหลออก จากนัยน์ตา ท. ราวกะ อ. สายแห่งน้า ท. (ไหลออก อยู่) จากหม้ออันทะลุ (ปคฺฆรนฺตี มีธาตุเหมือนกริยาคุมพากย์คือ ปคฺฆรนฺติ โดย ประกอบด้วย อนฺต ปัจจัย มีลิงค์ วจนะ และวิภัตติ เหมือนกับบทประธาน คือ อุทกธารา) ๒๖๖

ปาปกมฺม หิ นาเมต ธุร วหโต พลิวทฺทสฺส ปท (อนุคจฺฉนฺต) จกฺก วิย อนุคจฺฉติ. (๑/๑๒๐) แปลโดยพยญั ชนะ จริงอยู่ ชื่อ อ. กรรมอันช่ัว น่ัน ย่อมไปตาม ราวกะ อ. ล้อ (หมุนไปตามอยู่) ซ่ึง รอยเท้า ของโคพลิพัท ตัวนาไปอยู่ ซึ่งแอก (อนุคจฺฉนฺต มีธาตุเหมือน อนุคจฺฉติ ประกอบดว้ ย อนตฺ ปัจจยั มลี ิงค์ วจนะ และวิภัตติ เหมือนบทประธานคือ จกฺก) ๑๐.๑๕.๒ อุปมาวิเสสนะ คือ ข้อความที่ทาหน้าที่เป็นวิเสสนะ (เป็นส่วนขยายความ) และควบด้วย วยิ อิว หรือ ยถา ศพั ท์ ในเวลาแปลนิยมแปลก่อนกริยาคุมพากย์ และให้ถือหลักการแปล รวบ ดังนี้ วยิ /ยถา ศพั ท์ ควบ เปน็ วเิ สสนะของคน แปลรวบว่า ผูร้ าวกะวา่ ... วยิ /ยถา ศพั ท์ ควบ เปน็ วเิ สสนะของสิง่ ของ แปลรวบวา่ อันราวกะว่า... (ศลี ธรรม อธรรม ตัวราวกะวา่ ... อาการ เป็นต้น) ผู้เพยี งดังว่า... วยิ /ยถา ศพั ท์ ควบ เปน็ วเิ สสนะของสตั ว์ แปลรวบวา่ อันเพยี งดงั วา่ ... อิว ศัพท์ ควบ เป็นวิเสสนะของคน แปลรวบว่า ตัวเพยี งดังว่า... อวิ ศัพท์ ควบ เป็นวเิ สสนะของสง่ิ ของ แปลรวบว่า อิว ศพั ท์ ควบ เปน็ วิเสสนะของสตั ว์ แปลรวบวา่ ดูประโยคตัวอยา่ ง (ยกฺขินี) ปวิสติ ฺวา ปสฺสนฺตี วยิ ทารก คเหตฺวา ขาทติ วฺ า คตา. (๑/๔๕) แปลโดยพยญั ชนะ (อ. นางยกั ษิณ)ี เข้าไปแล้ว ผูร้ าวกะวา่ ดูอยู่ จบั แลว้ ซึ่งทารก เคีย้ วกินแล้ว ไปแล้ว (เอว) โส (เสฏฺ ี) ปพฺพเตน วิย มหนฺเตน โสเกน อวตถฺ ริโต หุตฺวา อนปฺปก โทมนสฺส ปฏสิ เวเทสิ. (๒/๑๘) แปลโดยพยัญชนะ (อ. เศรษฐี) น้ัน เป็นผู้อันความโศกใหญ่ อันราวกะว่าภูเขา ท่วมทับแล้ว เสวย เฉพาะแล้ว ซึง่ ความโทมนัส อันไม่นอ้ ย (ฉะนั้น) ๒๖๗

วิมลจนฺทมณฺฑลมวิ สโุ ธตมณิขณฺฑมิว นมิ ฺมล สลี อทฺทส. (๔/๑๓๘) แปลโดยพยัญชนะ อ. ชน (ชโน) ได้เหน็ แล้ว ซ่ึงศีลอนั ไมม่ มี ลทนิ อันเพียงดังว่า มณฑลแหง่ ดวงจันทร์ อันปราศจากมลทิน อนั เพียงดังว่าทอ่ นแห่งแก้วมณี อันขัดดีแล้ว แปลโดยอรรถ (ชน) ได้เห็นศีลอันบริสุทธิ์ ดุจดวงจันทร์อันแจ่มใส ดุจท่อนแก้วมณี อันเจียระไนดี วาววบั ฉะน้ัน ๑๐.๑๕.๓ อุปมาวิกติกัตตา คือ ข้อความท่ีเป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาที่แปลว่า “มี” หรือ “เปน็ ” (โดยมากเป็นกรยิ าที่ประกอบดว้ ย หุ ภู อสฺ และ ชนฺ ธาตุ) และควบดว้ ย วยิ อวิ หรือ ยถา ศัพท์ ในเวลาแปลให้ถือหลกั การแปลรวบ ดังน้ี วิย/ยถา ศัพท์ ควบ แปลรวบวา่ เปน็ ราวกะว่า...หรือ เปน็ ผู้ราวกะวา่ ... อิว ศพั ท์ ควบ แปลรวบวา่ เปน็ เพียงดังว่า... ดูประโยคตัวอย่าง มม วา ภริยาย สรีรวณโฺ ณ เอตสฺส (เถรสฺส) สรรี วณฺโณ วยิ ภเวยยฺ . (๒/๑๒๕) แปลโดยพยญั ชนะ หรือว่า อ. วรรณะแห่งสรีระ ของภรรยา ของเรา พึงเป็นราวกะว่าวรรณะแห่ง สรรี ะ (ของพระเถระ) นั้น พงึ เป็น ข้อสงั เกต: ๑. อุปมาวิกติกัตตา มักจะวางอยู่หน้ากริยาท่ีแปลว่า “มี” หรือ “เป็น” ดังกล่าว แล้ว และกริยาท่ีแปลว่า “มี” หรือ “เป็น” นั้น มักจะเป็นกริยาคุมพากย์ที่วางไว้หลังสุดในประโยคคือ จบประโยค (บางกรณีมิได้วางไว้ ต้องเติมเข้ามารับ) ถ้ายังไม่จบประโยค มักจะเป็นกริยาที่อยู่ในรูปของ หุตฺวา เสมอ เช่น กายกิ เจตสิก สขุ คตคตฏฺ าเน อนุปายินี ฉายา วยิ หุตวฺ า น วชิ หติ. (๑/๓๕) แปลโดยพยัญชนะ อ. ความสุข อันเป็นไปทางกายและอันเป็นไปทางจิต เป็นราวกะว่าเงาอันไปตาม โดยปกติ เป็น ย่อมไม่ละ (ซ่ึงบคุ คลนัน้ ) ในที่แหง่ บคุ คลนัน้ ไปแลว้ และไปแลว้ ๒๖๘

๒. แต่ในบางกรณี แม้ยังไม่จบประโยค ก็ไม่ปรากฏกริยาที่อยู่ในรูปของ หุตฺวา ใน กรณเี ช่นน้ี กใ็ ห้เติม หุตวฺ า เข้ามารบั คอื ให้ขน้ึ หตุ วฺ า มารบั เชน่ โส ตถาคเต จกฺขุปถ วิชหนฺเตเยว ปสนฺนมโน กาล กตฺวา สุตฺตปฺปพุทฺโธ วิย (หตุ วฺ า) เทวโลเก ตึสโยชนิเก กนกวมิ าเน นิพพฺ ตตฺ ิ. (๑/๒๕) แปลโดยพยัญชนะ (อ. มฏั ฐกณุ ฑลี) นั้น คร้นั เม่อื พระตถาคต ทรงละอยู่ ซ่ึงคลองแหง่ จักษุน่ันเทียว ผมู้ ี ใจอันเล่ือมใสแล้ว กระทาแล้ว ซึ่งกาละ เป็นผู้ราวกะว่าหลับแล้วและตื่นขึ้นแล้ว (เปน็ ) บงั เกดิ แลว้ ในวิมานอันเปน็ วิการแห่งทอง อันประกอบแลว้ ด้วยโยชน์สามสบิ ในเทวโลก ๓. อุปมาวิกติกตั ตา นี้ คล้ายกับ อุปมาวิเสสนะมาก และอปุ มาวเิ สสนะส่วนใหญ่ อาจ แปลเปน็ อุปมาวกิ ติกตั ตา ก็ได้ แตต่ ้องเติม หตุ วฺ า เขา้ มารับ เชน่ (ยกขฺ นิ ี) ปวิสติ วฺ า ปสสฺ นฺตี วิย ทารก คเหตวฺ า ขาทิตวฺ า คตา. (๑/๔๕) แปลโดยพยัญชนะ (๑) (อ. นางยักษิณี) เข้าไปแล้ว ผู้ราวกะว่าดูอยู่ จับแล้ว ซ่ึงทารก เค้ียวกินแล้ว ไปแล้ว (ในประโยคนี้ แปล ปสสฺ นตฺ ี วิย เป็นอปุ มาวิเสสนะ) แปลโดยพยญั ชนะ (๒) (อ. นางยักษิณี) เข้าไปแล้ว เป็นผู้ราวกะว่าดูอยู่ เป็น จับแล้ว ซึ่งทารก เคี้ยวกิน แล้ว ไปแล้ว (ในประโยคนี้ แปล ปสฺสนฺตี วิย เป็นอุปมาวิกติกัตตา และเติม หุตฺวา ทแี่ ปลว่า เปน็ เข้ามารับ ๑๑.๑๕.๔ อุปมาวิกติกัมมะ คือ ข้อความท่ีเป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาท่ีแปลว่า กระทา (คือ เปน็ กรยิ าท่ปี ระกอบดว้ ย กรฺ ธาตุ) และควบดว้ ย วิย อวิ หรือ ยถา ศพั ท์ ในเวลาแปลใหถ้ ือหลักการแปล รวบ ดังน้ี วิย/ยถา ศัพท์ ควบ แปลรวบว่า ให้เป็นราวกะวา่ ... อิว ศัพท์ ควบ แปลรวบวา่ ใหเ้ ปน็ เพียงดังวา่ ... ดูประโยคตวั อย่าง ๒๖๙

...เตส วยานุรูปํ ปิยวจน วตฺวา ปณฺณาการ เปเสนฺตี สกลนครวาสิโน าตเก วิย อกาสิ. (๓/๕๙) แปลโดยพยัญชนะ (อ. นางวิสาขานั้น) กล่าวแล้ว ซ่ึงคาอันเป็นที่รัก อันสมควรแก่วัย ของชน ท. เหล่านั้น ส่งไปอยู่ ซึ่งเคร่ืองบรรณาการ ได้กระทาแล้ว ซ่ึงชน ท. ผู้อยู่ในพระนคร ทัง้ สนิ้ โดยปกติ ใหเ้ ปน็ ราวกะวา่ ญาติ ข้อสังเกต: ๑. ในบางกรณี กริยาคุมพากย์ในประโยค มิได้ประกอบด้วย กรฺ ธาตุ เหมือนอย่าง ประโยคขา้ งตน้ แตม่ ีกรยิ าทีป่ ระกอบดว้ ย กรฺ ธาตุ ในรปู ของ กตฺวา วางอยขู่ า้ งหนา้ เชน่ (สตฺถา) เถร อุยฺโยเชตฺวา อิทฺธิยา จกฺกมตฺต สุวณฺณปทุม มาเปตฺวา ปตฺเตหิ เจว นาเฬน จ อทุ กพนิ ฺทูนิ มุญจฺ นตฺ วิย กตวฺ า อทาสิ. (๗/๗๘) แปลโดยพยัญชนะ (อ. พระศาสดา) ทรงสง่ ไปแลว้ ซึ่งพระเถระ ทรงเนรมติ แลว้ ซ่งึ ดอกประทมุ อันเป็น วิการแห่งทอง อันมีล้อเป็นประมาณ ด้วยพระฤทธ์ิ ทรงกระทาแล้ว ให้เป็นราวกะ ว่า หล่ังอยู่ ซ่ึงหยาดแห่งน้า ท. จากใบ ท. น่ันเทียวด้วย จากก้านด้วย ได้ ประทานแล้ว ๒. หรือในบางกรณี ไม่มีกริยาท่ีประกอบด้วย กรฺ ธาตุ มารับในประโยค ในกรณี เช่นนี้ เวลาแปลใหข้ น้ึ กตฺวา มารับเสมอ เช่น อย นิจฺจกาล มยา กตวตตฺ อตฺตนา กต วยิ ทสฺเสติ. (๓/๑๑๕) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ภิกษุน้ี ย่อมแสดง ซ่ึงวัตร อันอันเรากระทาแล้ว (กตฺวา กระทา) ให้เป็นราวกะ ว่าวตั รอนั ตนกระทาแลว้ ตลอดกาลเป็นนิตย์ ๑๐.๑๕.๕ อุปมาอัพภันตรกริยา คือ ข้อความที่เป็นกริยาในระหว่าง ประกอบด้วย อนฺต หรือ มาน ปัจจัย มีลิงค์ วจนะ และวิภัตติ เหมือนกับตัวประธาน และควบด้วย วิย อิว หรือ ยถา ศัพท์ ใน เวลาแปลให้ถือหลกั การแปบรวบ ดงั น้ี วิย/ยถา ศพั ท์ ควบ แปลรวบวา่ ราวกะวา่ ... อวิ ศพั ท์ ควบ แปลรวบวา่ เพียงดังว่า... ๒๗๐

ดูประโยคตวั อย่าง ตสสฺ า วีหิปหรณกาเล มุสล มทุ ฺธ ปหรนตฺ วยิ อปุ ฏฺ าต.ิ (๑/๔๘) แปลโดยพยญั ชนะ ในกาลเป็นท่ีซ้อมซ่ึงข้าวเปลือก อ. สาก ย่อมปรากฏ แก่นางยักษิณีนั้น ราวกะว่า ประหารอยู่ ซ่งึ ศรี ษะ ๒๗๑

แบบฝกึ หดั ท่ี ๑๐.๓ ใหแ้ ปลประโยคต่อไปนเี้ ปน็ ไทยโดยพยญั ชนะ ๑. ราชา ต ปวตฺตึ สุตฺวา หตถฺ าจรยิ อาณาเปสิ “คจฺฉ ต หตถฺ ึ กลลโต อุทธฺ ราหตี ิ. (๗/๑๕๔) ๒. สตฺถา อฏฺ เม ทวิ เส “ติสฺสสสฺ จวี ร ภาเชตฺวา คณฺหนฺตูติ อาณาเปสิ. (๗/๑๐) ๓. โส (โฆสโก) เสฏฺฐิโน อกฺขิมหฺ ิ กณฏฺ โก วิย ขาย.ิ (๒/๑๗) ๔. (สา อิตถฺ ี) รญฺโ ปุณณฺ จนฺโท วลาหกนฺตร ปวิฏฺโ วิย อุปฏฺ าสิ. (๓/๑๐๐) ๕. ตโต (ตวิ ิธทุจจฺ รติ โต) น ปคุ คฺ ล ทกุ ขฺ มนฺเวติ จกกฺ ว (ธรุ ) วหโต (พลิพทฺธสฺส) ปท. (๑/๑) ๖. เตปิ (ชนา) อปสฺสนฺตา วยิ อตฺตโน กมมฺ เมว กโรนตฺ า โถก อาคมสึ ุ. (๓/๘๑) ๗. โส (จุลลฺ กาโล) เขตฺต คนฺตวฺ า โอโลเกนโฺ ต สกลเขตฺเต กณฺณกิ าพทฺเธหิ วยิ สาลสิ ีเสหิ สญฺฉนนฺ (เขตตฺ ) ทิสวฺ า…(๑/๘๙) ๘. มม วา ภริยาย สรรี วณฺโณ เอตสสฺ (เถรสสฺ ) สรีรวณฺโณ วิย ภเวยฺย. (๒/๑๒๕) ๙. อิทานิ (มม อสิ) เอกวาร นมิโต เอกวาร ตาลปตฺตเวฐโก วิย ชาโต. (๔/๑๒๕) ๑๐. สสฺสุปิ สสุรปิ สามกิ ปิ อคคฺ ิกฺขนฺธ วยิ (จ) อุรคราชาน วิย จ กตวฺ า ปสฺสิตุ วฏฺฏติ. (๓/๖๓) ๑๑. เอตฺตก กาล เอส ทหโร อมิ ินา กต วตตฺ อตตฺ นา กต วิย ปกาเสสิ.(๓/๑๑๖) ๑๒. อถสสฺ (ภกิ ขฺ สุ สฺ ) ชเล กุมุทานิ อภริ ูปานิ (อุทก) ปคฆฺ รนฺตานิ วยิ อุปฏฺ หสึ ุ. (๗/๗๙) ๒๗๒

คาศัพท์ท่คี วรทราบ ที่ คาศพั ท์ คาแปล ที่ คาศัพท์ คาแปล ๑ กลลโต ด้วยรวงแห่งข้าวสาลี ท. ๒ อุทฺธราหิ จากเปอื กตม ๑๓ สาลสีเสหิ อันดาดาษแล้ว ๓ กณฏฺ โก วยิ เปน็ ราวกะว่าใบแห่งตาล จงฉดุ ขึ้น ๑๔ สญฉฺ นฺน อนั มว้ น ๔ ปุณณฺ จนฺโท แม้ซึง่ แมส่ ามี ๕ วลาหกนตฺ ร ราวกะ อ. หนามที่ ๑๕ ตาลปตตฺ เว โก วยิ ๖ อุปฏฺ าสิ แม้ซ่งึ พ่อสามี ๗ อนเฺ วติ นยั น์ตา แม้ซ่ึงสามี ๘ ธุร อ. พระจนั ทรเ์ ต็มดวง ๑๖ สสฺสุปิ ให้เป็นราวกะว่านาคผู้ ๙ วหโต พระราชาด้วย ๑๐ โถก สู่ระหว่างแหง่ เมฆ ๑๗ สสรุ ปิ ในนา้ ๑๑ อาคมสึ ุ อ. ดอกโกมุท ท. ๑๒ กณณฺ กิ า ปรากฏแลว้ ๑๘ สามิกปิ อันมรี ปู งาม ราวกะว่าหลงั่ ออกอยู่ พทฺเธหิ วิย ย่อมเปน็ ไป ๑๙ อรุ คราชาน วิย จ ซง่ึ แอก ๒๐ ชเล ตัวนาไปอยู่ ๒๑ กุมุทานิ หนอ่ ยหนึ่ง ๒๒ อภริ ปู านิ รอแล้ว ๒๓ ปคฺฆรนฺตานิ วยิ อันราวกะว่าเนื่องกัน แล้วโดยความเป็นชอ่ ๒๗๓

๑๐.๑๖ ประโยค ยญฺเจ-เสยฺโย ยญฺเจ-เสยฺโย โดยปกติใช้คู่กันในข้อความ ๒ ตอนที่ตรงกันข้าม โดยวาง เสยฺโย ไว้ใน ข้อความตอนแรกที่แสดงความในทางที่ดี และวาง ยญฺเจ ไว้ในข้อความตอนหลังที่แสดงความในทางที่ ไม่ดี เวลาแปลใชค้ าแปลวา่ “ยังดีกว่า...”, “ประเสรฐิ กว่า...” เช่น เสยโฺ ย อโยคโุ ฬ ภุตฺโต ตตโฺ ต อคคฺ สิ ขิ ปู โม ยญเฺ จ ภุญเฺ ชยยฺ ทุสสฺ ีโล รฏฺ ปณิ ฺฑ อสญฺ โต. ๗/๑๒๔) แปลโดยอรรถ ก้อนเหล็กที่ร้อนเปรียบด้วยเปลวไฟอันบรรพชิตผู้ ทุศีลบริโภคแล้วยังดีกว่า (หรือประเสริฐกว่า) ก้อน ข้าวของชาวเมืองที่บรรพชิตผู้ทุศีลไม่สารวม แล้วพึง บรโิ ภค ๑๐.๑๗ ประโยคที่มีสตั ตมีวิภตั ติเป็นประธาน ในประโยคบาลีบางประโยค อาจมีนามนามท่ีเป็นสัตตมีวิภัตติ เช่น พาเล ปณฺฑิเต ฯลฯ หรอื มีนิบาตบอกกาล เช่น อชชฺ ตทา อิทานิ ฯลฯ ทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ประธานในประโยค เรียกชือ่ ทางสัมพันธ์ ว่า “สัตตมีปัจจัตตะ” (สัตตมี แปลว่า สัตตมีวิภัตติ, ปัจจัตตะ แปลว่า ปฐมาวิภัตติ รวมกันหมายความ ว่า ปฐมาวิภัตติในรูปของสัตตมีวิภัตติ หรือ สัตตมีวิภัตติท่ีนามาใช้ในรูปแบบของปฐมาวิภัตติ) ในเวลา แปลให้แปลวา่ อ. (อนั ว่า)...... ดปู ระโยคตัวอย่าง พาเล จ ปณฺฑิเต จ สนฺธาวติ ฺวา สสริตวฺ า ทุกขฺ สฺสนฺต กรสิ สฺ นฺติ. (ขนธฺ วารวคฺค. ๑๗/ ๒๖๐) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พาลด้วย อ. บัณฑิตด้วย แล่นไปแล้ว ท่องเท่ียวไปแล้ว จักกระทาซ่ึงท่ีสุดแห่ง ทุกข์ อสุกคามโต อสุกคามคมนฏฺ าเน สม (โหติ). (๓/๓) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ทเ่ี ปน็ ทีไ่ ปสูบ่ า้ นโน้น จากบา้ นโนน้ เปน็ ที่เสมอ (ย่อมเป็น) ๒๗๔

อิทานิ สาย จ (โหติ). (๑/๑๘) แปลโดยพยัญชนะ อ. กาลนี้ เป็นเวลาเย็น (ย่อมเปน็ ) ด้วย ๑๐.๑๘ ประโยคทม่ี ี เอว เป็นประธาน ในประโยคบาลี เอว ศัพท์ ท่ีเป็นคารับว่าเป็นจริง ใช้เหมือนกับปฐมาวิภัตติคือ อาจใช้เป็น ประธานได้ ในทางสัมพนั ธ์ เรยี กชื่อวา่ “สจั จวาจกลิงคัตถะ” ในเวลาแปลให้ถือหลกั ดงั น้ี ๑๐.๑๘.๑ ถ้า เอว ศัพท์ เป็นคารับโดยตรง ใหแ้ ปลวา่ อ. อยา่ งนัน้ ๑๐.๑๘.๒ แต่ถา้ เอว ศพั ท์ เปน็ คารบั ที่ทวนถาม ใหแ้ ปลว่า อ. อยา่ งนนั้ หรอื (เหน็บคาแปลว่า ....หรอื ) ดูประโยคตัวอย่าง (ภิกฺขู ปุจฉฺ สึ ุ) “เอว ภนฺเตติ. “เอว ภิกฺขเวติ. (ธมมฺ ิกอปุ าสก ๑/๑๒๑) อ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ภกิ ษุ ท. ทลู ถามแล้วว่า ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้เจรญิ อ. อย่างน้ันหรือ ดงั นี้. พระศาสดา ตรสั แล้วว่า ดกู อ่ นภิกษุ ท. อ. อย่างน้นั ดังน้ี ๑๐.๑๙ ประโยคที่มี ตถา เป็นประธาน ในประโยคภาษาบาลี โดยท่ัวไป เม่ือวางบทเดียวหรือหลายบทในความตอนต้นแล้ว จะไม่วาง ซ้าในประโยคหรือความตอนหลังท่ีมี ตถา ศัพท์ปรากฏอยู่ และ ตถา ศัพท์ ในกรณีเช่นน้ี จะทาหน้าที่ เป็นประธานในเวลาแปล จะแปล ตถา ว่า “อ. เหมือนอย่างน้ัน” แล้วไขไปหาประโยคหลัง โดยมีคา แปลไขวา่ “คอื วา่ ” เช่น ...ตีหิ องฺคุลหี ิ คเหตวฺ า โถเก ตณฺฑุเล อทาสิ, ตถา มุคเฺ ค, ตถา มาเส. (พิฬาลปทกเสฏฺฐิ. ๕/๑๗) แปลโดยพยญั ชนะ (อ. เศรษฐี คนหนึ่ง) ถือเอาแล้วด้วยน้ิว ท. ๓ ได้ให้แล้ว ซ่ึงข้าวสาร ท. หน่อยหน่ึง อ. เหมือนอย่างน้ัน คือว่า (อ. เศรษฐีน้ัน) ถือเอาแล้ว ด้วยนิ้ว ท. ๓ ได้ให้แล้ว ซ่ึง ถั่วเขียว ท. หน่อยหน่ึง. อ. เหมือนอย่างน้ัน คือว่า (อ. เศรษฐีนั้น) ถือเอาแล้วด้วย นวิ้ ท. ๓ ได้ให้แล้ว ซ่งึ ถว่ั ทอง ท. หน่อยหนึง่ ๒๗๕

แปลโดยอรรถ (เศรษฐีคนหน่ึง) ได้เอาน้ิว ๓ น้ิว หยบิ ให้ข้าวสารหน่อยหนึ่ง, ถั่วเขยี ว (และ) ถ่วั ทอง กเ็ ช่นเดียวกัน (คือ เอานิ้ว ๓ นวิ้ หยิบ...หน่อยหน่ึง) ๑๐.๒๐ ประโยคท่มี ี ตุ ปัจจยั เปน็ ประธาน ในภาษาบาลี ตุ ปัจจัย ท่ีใช้ในรูปของปฐมาวิภัตติ อาจใช้เป็นประธานในประโยคได้ เรยี กชอ่ื ทางสมั พนั ธว์ า่ “ตุมตั ถกตั ตา” มหี ลักในการแปล ดงั น้ี ๑๐.๒๐.๑ แปลโดยพยัญชนะ เม่ือแปลโดยพยัญชนะ ให้แปลโดยขึ้นท่ี ตุ ปัจจัยว่า “อ. อัน...”และอาจจะต้องขึ้นบทผู้ทากริยาที่ประกอบด้วยตติยาวิภัตติ (ตัวอนภิหิตกัตตา) มาด้วยก็ได้ แล้วแตใ่ จความ เช่น มยา ตตถฺ คนตฺ ุ วฏฺฏติ. (๕/๙๓) แปลโดยพยญั ชนะ อ. อัน อันเรา ไป ในทน่ี ั้น ยอ่ มควร (การแปลในประโยคนี้ไมต่ ้องข้นึ บทผู้ทากริยาที่ เป็นตติยาวภิ ตั ตมิ า เพราะมี มยา อยูแ่ ลว้ ) สงคฺ าม โอตณิ ณฺ หตฺถิโน หิ จตูหิ ทิสาหิ อาคเต สเร สหติ ุ ภาโร. (๒/๕๐) แปลโดยพยัญชนะ เหมือนอยา่ งว่า อ. อนั อดกล้นั ซึง่ ลกู ศร ท. อนั มาแลว้ จากทิศ ท. ๔ เปน็ ภาระ ของ ช้างตวั ข้ามลงสสู่ งคราม ย่อมเป็น (การแปลในประโยคน้ี ไมม่ กี ารขึ้นบทผทู้ ากริยาที่ ประกอบด้วยตติยาวภิ ัตติ) เอต วตตฺ อกโรนเฺ ตน วิหารมชเฺ ฌ นสิ ที ติ ุ น วฏฺฏติ. (๑/๓๖) อ. อัน (ตยา = อันเธอ) ผไู้ มก่ ระทาอยู่ ซึง่ วตั รนน่ั นั่งในท่ามกลางแหง่ วหิ าร ย่อมไม่ ควร (การแปลในประโยคน้ี ไดข้ ึน้ บทผู้ทากริยาที่เปน็ ตตยิ าวิภตั ตคิ อื ตยา มาดว้ ย) ๑๐.๒๐.๒ แปลโดยอรรถ เมอ่ื แปลโดยอรรถ ใหแ้ ปลโดยใช้หลกั ในการแปล ๒ อย่าง ตาม กรณี ดงั นี้ ๑) ในกรณีที่ไม่มีตัวอนภิหิตกัตตาในประโยค ให้แปลข้ึนท่ี ตุ ปัจจัย โดยแปลว่า “การ...” หรอื ใหแ้ ปลขนึ้ ที่กริยา โดยแปลว่า “ควร...” เชน่ ๒๗๖

อานนทฺ น เอว กาตุ วฏฺฏติ. (๗/๑๓๖) แปลโดยอรรถ การทาอยา่ งนัน้ ไม่ควร อานนท์ ไมค่ วรทาอยา่ งน้นั อานนท์ ๒) ในกรณีที่มีตัวอนภิหิตกัตตาในประโยค ให้แปลขึ้นที่ ตุ ปัจจัย โดยแปลว่า “การท.ี่ ..” หรอื ให้แปลขึน้ ที่กริยา โดยแปลว่า “ควรที่...” เชน่ มยา อมิ ิสฺสา อวสฺสเยน ภวิตุ วฏฺฏติ. (๔/๔๗) แปลโดยอรรถ การที่เราเป็นทพี่ ึ่งของหญงิ นี้ ควร (= ควรทีเ่ ราเปน็ ที่พง่ึ ของหญงิ นี้) ข้อสังเกต: กริยาคุมพากย์ในประโยคท่ีมี ตุ เป็นประธาน ส่วนใหญ่มักจะได้แก่ วฏฺ ฏติ, น วฏฺฏติ, ยชุ ฺชติ, ยตุ ตฺ หรือ อยตุ ฺต ๑๐.๒๑ ประโยคท่มี ี สกฺกา คาว่า “สกฺกา” เป็นนิบาตกริยา หรือ อัพยยกริยา จัดเป็นอัพยยศัพท์ เพราะไม่ เปลี่ยนแปลงด้วยการแจกผสมวภิ ัตติ คงรูปเดิมไว้ ถือว่าเป็นกริยาพิเศษบทหน่ึงในภาษาบาลี มีหลักการ แปล สกฺกา ๔ วธิ ี ได้แก่ ๑) แปลเป็นประธานในประโยค ๒) แปลเป็นกรยิ ากัมมวาจก ๓) แปลเป็นกริยา ภาววาจก และ ๔) แปลเปน็ วกิ ติกตั ตา โดยมรี ายละเอียด ดังตอ่ ไปน้ี ๑๐.๒๑.๑ แปล สกฺกา เป็นประธานในประโยค: ในกรณีที่ประโยค สกฺกา น้ัน ไม่มี นามนามท่ีสามารถเป็นประธานได้ แต่มีกริยาอาขยาตเป็นปฐมบุรุษคุมพากย์ ให้แปล สกฺกา เป็น ประธาน (เรยี กชอ่ื ทางสมั พันธว์ ่า สยกตฺตา) และใหข้ น้ึ บท อนภหิ ิตกัตตา มาด้วยเสมอ เช่น ตตถฺ น อาคต คเหตุ สกกฺ า ภวสิ ฺสติ. (๒/๓๒) แปลโดยพยัญชนะ อ. อันอันพระองค์อาจ เพอื่ อนั ทรงจับ ซึ่งพระราชาน้นั ผเู้ สด็จมาแลว้ ในทนี่ ั้น จกั มี (ขึ้น ตยา เปน็ บทอนภหิ ติ กตั ตา) ๒๗๗


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook