๑๓.๒.๒ ให้แปลว่า “ด้วย” ในกรณีที่สัมพันธ์เข้ากับกริยา เรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “กรณ” (กะระณะ) เชน่ อห อตฺตโน มนสา พุทฺธสสฺ ธมมฺ สลลฺ กฺเขมิ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ข้าพเจ้า ยอ่ มกาหนด ซงึ่ ธรรมะ ของพระพทุ ธเจ้า ด้วยใจ ของตน ๑๓.๔ การแปลรูปวิเคราะห์ ในการแปลรูปวิเคราะห์นั้นให้ถือตามหลักการแปลประโยคกัตตุวาจกทุกประเภท แต่มีกรณี พิเศษ คือ ให้เพิ่ม ย ศัพท์ ในรูปบทประธานว่า โย เป็นประโยค ย และศัพท์สาธนะให้เพ่ิม ต ศัพท์ มา รับในรปู บทประธานวา่ โส เป็นประโยค ต ดตู ัวอยา่ ง (โย) ภเุ ชน คจฺฉตตี ิ (โส) ภุชโค. (สตฺโต) แปลโดยพยัญชนะ อ. สัตว์ ใด ย่อมไป ด้วยขนด (โคนหาง) เพราะเหตุนั้น อ. สัตว์น้ัน ชื่อว่า ภุชโค (ผู้ไป ด้วยขนด) (เปน็ ชอื่ ของสตั ว์ หมายถงึ พญานาค) ข้อสังเกต: ตัวอย่างรูปวิเคราะห์นเี้ ป็นกัตตุรูป กัตตุสาธณะ, โย-โส ที่วงเล็บไว้น้ัน ตามปกติไม่ มรี ูปวิเคราะห์ แตเ่ พือ่ ใหเ้ ข้าใจงา่ ย เวลาแปลตอ้ งเพม่ิ มาตามทีว่ งเลบ็ ไว้นัน้ ๑๓.๕ การแปลบทสนธิ ศัพท์สนธิทั้ง ๓ ประการ ได้แก่ สระสนธิ พยัญชนะสนธิ และนิคหิตสนธิ เม่ือเราพบเห็นอยู่ใน รูปประโยคคาพดู ต่าง ๆ เวลาแปลเป็นไทยให้ถือหลัก ๓ ประการ ดงั นี้ ๑๓.๕.๑ ศัพท์สนธิท่ีไม่เน่ืองด้วยบทสมาส หรือไม่มีอุปสรรคนาหน้า เวลาแปลโดย พยญั ชนะ ให้แยกออกจากกันเด็ดขาด เช่น ยมห แยกเป็น ย + อห, ตมฺปิ แยกเปน็ ต + ปิ, จตตฺ ารมี านิ แยกเป็น จตฺตาริ + อมิ านิ เปน็ ต้น ดตู ัวอย่าง ตมห พฺรมู ิ พฺราหมฺ ณ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. เรา ยอ่ มเรยี กซง่ึ บคุ คลนัน้ ว่า เป็นพราหมณ์ ๓๗๘
๑๓.๕.๒ ศัพท์สนธิที่เน่ืองด้วยบทสมาส เวลาแปลไม่ต้องแยก เพราะถือว่าสมาสย่อบท ตง้ั แต่ ๒ บทขน้ึ ไปให้เข้าเปน็ บทเดียวกนั แล้ว เช่น กโตปกาโร แปลวา่ ผมู้ อี ปุ การะอันกระทาแลว้ เปน็ ต้น ดตู วั อย่าง สพพฺ ปาปสฺส อกรณ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา สจิตฺตปริโยทปน เอต พุทฺธานสาสน. แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระพุทธพจน์น่ี คือ อ. การไม่กระทา ซึ่งบาปท้ังปวง คือ อ. การยังกุศลให้ถึง พร้อม คอื อ. การยงั จติ ของตนให้ผ่องใส เปน็ คาสอนของพระพทุ ธเจ้า ท. ยอ่ มเป็น แปลโดยอรรถ การไมท่ าบาปทกุ อย่าง ๑ การทาความดี ๑ (การถงึ พร้อมด้วยกศุ ล) การทาจติ ของตน ให้ผ่องใส ๑ (ท้งั ๓ ประการ) น้ี เป็นคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ทุกพระองค์ (พทุ ธาน = ของพระพุทธเจ้า ท. หมายถงึ อดีตพระพุทธเจา้ ทกุ พระองค์) ๑๓.๕.๓ ศัพท์สนธิท่ีมีอุปสรรคนาหน้า เวลาแปลไม่ต้องแยก เช่น สุจฺจริต (ประพฤติดี), ทจุ ฺจริต (ประพฤติช่วั ), ทุกกฺ ฏ (ความชว่ั /กรรมอันบคุ คลทาช่ัวแล้ว) เปน็ ตน้ ดูตวั อย่าง อกต ทกุ กฺ ฏ เสยฺโย. แปลโดยพยัญชนะ อ. กรรมอันบุคคลกระทาแลว้ ไม่ดี อันบุคคลไม่กระทาแล้ว เป็นสภาพดีกวา่ ย่อมเป็น (= ความชัว่ ไมท่ าเสยี เลย ดกี วา่ ) ๑๓.๖ การแปลศัพทเ์ สรมิ บท คาว่า “ศัพท์เสริมบท” หมายถึง นิบาตจาพวกหนึ่ง ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นเครื่องทาบทให้เต็ม หรอื จะเรยี กวา่ เป็นศัพทเ์ สริมบทให้ไดค้ วามเต็มท่ี มีอยู่ ๙ ศัพท์ ดงั แสดงในตารางท่ี ๑๓.๒ ตารางท่ี ๑๓.๒ ศัพท์เสรมิ บท ๙ ศพั ท์ คาศพั ท์ คาแปล คาศพั ท์ คาแปล แล, (เว้ย) แท,้ เลย โข แล เว โวย้ นูน แน่ โว สิ (นะ) นุ หนอ สุ แล, (เวย้ ) น่นั แล วต หนอ หเว แล, ทีเดยี ว หิ ๓๗๙
จากตารางที่ ๑๓.๒ ศัพท์เสริมบทดังกล่าวน้ี ต้องการใช้เสริมบทไหน ก็จะเขียนไว้หลังบทนั้น เวลาแปลตอ้ งพจิ ารณาดูวิธีใชป้ ระกอบดว้ ย ดงั นี้ ๑๓.๖.๑ ศพั ทเ์ สริมบททอ่ี ยใู่ นรูปคาถา ใช้เสรมิ บทเพ่อื ทาอกั ขระในบาทแห่งคาถาให้เต็ม บาทตามกฎของฉันทลักษณ์ เรยี กช่อื ทางสัมพันธ์วา่ “ปทปรู ณะ” แปลวา่ เป็นเครื่องทาบทให้เต็ม เชน่ อนจิ ฺจา วต สงฺขารา อุปปฺ าทวยธมฺมิโน. แปลโดยพยญั ชนะ อ. สังขาร ท. เป็นสภาพไม่เที่ยง หนอ เป็นสภาพมีการเกิดข้ึนและเส่ือมไปเป็น ธรรมดา ย่อมเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ. แปลโดยพยัญชนะ อ. ตน แล เป็นทพี่ ึง่ ของตน ยอ่ มเป็น ธมฺโม หเว รกขฺ ติ ธมมฺ จารึ. แปลโดยพยัญชนะ อ. ธรรม แล ย่อมรกั ษา ซึ่งผ้ปู ระพฤติธรรมโดยปกติ สาธุ โข ปณฑฺ โิ ต นาม. แปลโดยพยัญชนะ ธรรมดา อ. บัณฑิต เป็นผู้ยังประโยชนใ์ ห้สาเรจ็ แล ย่อมเปน็ ๑๓.๖.๒ ศัพท์เสริมบทท่ีไม่ได้อยู่ในรูปคาถา ใช้เสริมบทในคาพูดร้อยแก้วธรรมดา ซ่ึงอาจ เป็นนิทานชาดก หรือความเรียงเรื่องต่าง ๆ ก็ได้ เพ่ือเสริมบทให้ไพเราะ หรือทาถ้อยคาให้สละสลวย เรยี กชื่อทางสัมพันธ์ว่า “วจนาลังการะ” แปลว่า เปน็ เครอ่ื งประดับถ้อยคา หรือเรยี กว่า “วจนสลิ ิฏฐกะ” แปลวา่ เปน็ เครอื่ งทาถ้อยคาใหส้ ละสลวย เชน่ โย จ โข วกฺกลิ ธมฺม ปสฺสติ, โส ม ปสสฺ ติ นาม. แปลโดยพยัญชนะ ดกู อ่ นวกั กลิ ก็ อ. บคุ คลใดแล ยอ่ มเหน็ ซง่ึ ธรรม, อ. บคุ คลนน้ั ชอ่ื วา่ ยอ่ มเหน็ ซ่งึ เรา (ตถาคต) เกน นุ โข อปุ าเยน สพฺเพ สพฺรหมฺ จารี ผาสุ วิหเรยฺย.ุ แปลโดยพยญั ชนะ อ. เพอ่ื นพรหมจรรย์ ท. ท้งั ปวง พึงอยู่ เป็นสุขสาราญ ดว้ ยอุบายอะไรหนอแล ๓๘๐
๑๓.๖.๓ ศัพท์เสริมบทที่ใช้เสริมศัพท์นิบาต ใช้เสริมศัพท์นิบาตด้วยกัน อยู่หลังศัพท์ใด เวลาแปลก็ใหแ้ ปลรวบกับศัพทน์ ั้น เชน่ อถ โข ภควา ภกิ ฺขู อามนฺเตสิ. แปลโดยพยัญชนะ ลาดับน้นั แล อ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรยี กมาแล้ว ซ่งึ ภิกษุ ท. อถ โข สามเณราน เอตทโหสิ “กติ นุ โข อมฺหาก สิกฺขาปทานิ, กตฺถ จ อมฺเหหิ สิกฺขิตพฺพนฺติ. แปลโดยพยญั ชนะ ครั้งนั้นแล อ. ความปริวิตกน้ี ได้มีแล้ว แก่สามเณร ท. ว่า “อ. สิกขาบท ท. ของเรา เท่าไรหนอแล, อนึ่ง อนั เรา ท. พึงศกึ ษา ในสิกขาบทไหน” ดงั นี้ ๑๓.๗ การแปลไข (ววิ รยิ ะ-วิวรณะ) ในการแปลอรรถกถา (แกอ้ รรถ) มีเทคนคิ หรือกลวิธีการแปลอย่างหนึง่ น่นั ก็คอื การแปลความ ของศัพท์หรือบทที่ยังไม่ชัดเจน ไปหาศัพท์หรือบทอื่น เพื่อให้ได้เน้ือความชัดเจนข้ึน เราเรียกกลวิธีการ แปลเชน่ นว้ี า่ “การแปลไข” การแปลไข เป็นการแปลบท ข้อความ หรือประโยค ที่มีในคาถาโดยอธิบายขยายความ ออกไปหาบท ข้อความ หรือประโยค ท่ีไม่มีในคาถาให้ชัดเจนยิ่งข้ึน ซ่ึงมีลักษณะการแปลไข ๓ ประการ ได้แก่ ๑) ไขบทไปหาบท ๒) ไขวลีไปหาวลี (กลุ่มคาหรือบทตั้งแต่ ๒ บทขึ้นไป) และ ๓) ไขประโยคไป หาประโยค ลักษณะการแปลไขเหล่านี้มีข้อท่ีพึงสังเกตว่า บท (หรือศัพท์) หรือประโยคท่ีจะไขไปหากันได้ นั้น โดยมากจะเป็นประเภทเดียวกัน กล่าวคือ จะมีฐานะทางไวยากรณ์ หรือทางสัมพันธ์เสมอกัน เช่น ถ้าเป็นกริยาอาขยาตก็เป็นกริยาอาขยาตด้วยกัน ถ้าเป็นกริยากิตก์ก็เป็นกริยากิตก์ด้วยกัน หรือถ้าเป็น วิเสสนะก็เปน็ วเิ สสนะด้วยกัน ฯลฯ ดงั นั้น การแปลไขจงึ เกย่ี วข้องกับศัพท์หรือบททว่ี างอยู่หน้าและหลัง ซึ่งศัพท์หรือบทที่วางอยู่หน้านั้น เราเรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “วิวริยะ” (บทที่ควรไข, บทถูกไข), ส่วน ศัพทห์ รอื บททวี่ างอยูห่ ลงั เราเรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “วิวรณะ” (บททไ่ี ขออกไป, บทไข)๑ หลักในการแปลไข: ในการแปลไขมีหลักในการแปลตามลักษณะการแปลไข ๓ ประการ ได้แก่ ๑) ไขบทไปหาบท ๒) ไขวลีไปหาวลี (กลุม่ คาหรือบทต้ังแต่ ๒ บทขึ้นไป) และ ๓) ไขประโยคไปหา ๑ คาว่า “ไข” ในท่ีน้ี ก็คือ ขยายความให้ชัดด้วยบท หลายบท หรือประโยคอ่ืนอีกที่มีฐานะทางไวยากรณ์ หรือทางสัมพันธ์เสมอกนั ๓๘๑
ประโยค ถ้าแปลโดยพยัญชนะ ใช้คาแปล่า “คือว่า…” ทุกบทที่ไข แต่ถ้าแปลโดยอรรถ จะใช้คาแปล ของการไขคร้ังท่ี ๑ ว่า “คือ...” ไขครั้งที่ ๒ ว่า “ได้แก่…” และถ้ามีไขต่อไปอีกก็ให้แปลได้เลย โดยไม่ ตอ้ งใชค้ าแปลว่า “คอื …” หรือ “ไดแ้ ก่…” อีก) อาจแสดงให้เห็นไดช้ ดั เจน ดังแสดงในตารางท่ี ๑๓.๓ ตารางที่ ๑๓.๓ หลักในการแปลไข วธิ ีการแปล หลกั ในการแปลไข ๑) แปลโดยพยญั ชนะ ๒) แปลโดยอรรถ คาแปล แปลวา่ “คอื ว่า…” ทุกบททไ่ี ข ไขครงั้ ท่ี ๑ แปลวา่ “คอื ...” ไขครั้งที่ ๒ แปลวา่ “ได้แก่…” และถ้ามีไขต่อไปอีกก็ให้แปลได้เลย โดยไม่ต้องใช้ คาวา่ “คอื …” หรอื “ได้แก่…” อีก จากตารางที่ ๑๓.๓ จะเห็นว่า ในการแปลโดยพยัญชนะนั้น ให้ใช้คาแปลว่า “คือว่า…” ทุกบทท่ีไข ส่วนในการแปลโดยอรรถ ไขคร้ังที่ ๑ ให้ใช้คาแปลว่า “คือ...” ไขคร้ังท่ี ๒ ให้ใช้คาแปลวา่ “ได้แก่…”และถ้ามีไขต่อไปอีกก็ให้แปลได้เลย โดยไม่ต้องใช้คาว่า “คือ…” หรือ “ได้แก่…” อีก ดปู ระโยคตวั อยา่ งเกีย่ วกบั การไข ๓ ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. ไขบทไปหาบท ปุ ฺ สฺส หิ อุจฺจโย วฑุ ฒฺ ิ อิธโลกปรโลกสขุ าวหนโต สุโข. (๕/๙) แปลโดยพยญั ชนะ เพราะว่า อ. การส่ังสม คือว่า อ. การพอกพูน ซึ่งบุญ ช่ือว่าเป็นสภาพนามาซึ่ง ความสขุ เพราะการนามาซ่งึ ความสขุ ในโลกนแ้ี ละโลกอน่ื ยอ่ มเปน็ แปลโดยอรรถ เพราะว่า การสั่งสมคือการพอกพูนบุญ ช่ือว่าให้เกิดสุข เพราะเป็นเหตุนาความสขุ มา ให้ในโลกนี้และโลกหน้า (อุจฺจโย เป็นบทมาจากคาถาบาทที่ ๔ ว่า สุโข ปุญฺ สฺส อุจฺจโย จึงเป็นบท วิวริยะ คือ บทท่ีถูกไข ส่วน วุฑฺฒิ เป็นบทวิวรณะ คือ บทที่ไข ออกไป) ตสฺส กรณกขฺ เณปิ ตมฺหิ ปญุ เฺ ฉนทฺ รจุ ึ อุสฺสาห กโรเถว. (๕/๙) แปลโดยพยญั ชนะ อ. บุรุษ พึงกระทานั่นเทียว ซ่ึงความพอใจ คือว่า ซึ่งความชอบใจ คือว่า ซึ่งความ อุตสาหะ ในบญุ นัน้ แม้ในขณะแห่งการกระทา ซงึ่ บญุ นนั้ ๓๘๒
แปลโดยอรรถ แม้ในขณะทาบุญนั้น บุรุษพึงทาความพอใจ คือ ความชอบใจ ได้แก่ ความอุตสาหะ ในบุญนน้ั (ฉนฺท เปน็ บทที่มาจากคาถา ไขไปหา รจุ ึ และ รุจึ กไ็ ขไปหา อุสสฺ าห เพราะ มีความเกี่ยวเน่ืองกันทั้ง ๓ บท ต่างก็เป็นบทนามนามท่ีประกอบด้วย ทุติยาวิภัตติ เช่นเดียวกัน ฉนฺท จึงเป็น วิวริยะ ใน รุจึ, รุจึ เป็นวิวรณะ และ วิวริยะ ใน อุสฺสาห, อุสสฺ าห เป็น วิวรณะ) ๒. ไขวลไี ปหาวลี ลาเภน วา อคฺคมหตฺตมฺปิ ลาเภน เสฏฺ ตฺตญฺจ มหนฺตตฺตญฺจ ปตฺโตติ อตฺโถ. (ส.ปา. ๑/๒๒๑) แปลโดยพยัญชนะ อีกอย่างหนึ่ง อ. อธิบายว่า ถึงแล้ว แม้ซ่ึงความท่ีแห่ง…เป็นหมู่อันเลิศและใหญ่ด้วย ลาภ คือว่า ซึ่งความที่แห่ง…เป็นหมู่อันประเสริฐด้วย ซ่ึงความท่ีแห่ง…เป็นหมู่อัน ใหญด่ ว้ ย ดว้ ยลาภ ดังน้ี แปลโดยอรรถ อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ถึงความเป็นหมู่เลิศและใหญ่ด้วยลาภ คือความเป็นหมู่ ประเสริฐและความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยลาภ (ลาเภน อคฺคมหตฺต เป็นวลีหรือกลุ่มคา ไขไปหา ลาเภน เสฏฺ ตฺต มหนฺตตฺต ซ่ึงเป็นวลีหรือกลุ่มคาท่ีประกอบด้วยตติยาวิภตั ติ และทตุ ิยาวิภัตติเชน่ เดียวกนั ) ๓. ไขประโยคไปหาประโยค ตสฺมา ตมุ เฺ ห มา ปมาทมนุยุญฺเชถ มา ปเทน กาล วีตินามยิตถฺ . (๒/๙๐) แปลโดยพยญั ชนะ เพราะเหตุนั้น อ. ท่าน ท. จงอย่าตามประกอบซึ่งความประมาท คือว่า อย่ายังกาล ให้น้อมลว่ งไปวเิ ศษแล้ว ดว้ ยความประมาท แปลโดยอรรถ เพราะฉะนั้น ท่านท้ังหลายอย่าตามประกอบความประมาท คือ อย่าให้กาลล่วงไป ด้วยความประมาท (มา ปมาทมนุยุญฺเชถ มาจากคาถา ยกมาท้ังบาท เป็น วิวริยะ, ส่วน มา ปมาเทน กาล วีตนิ ามยติ ถฺ เป็น วิวรณะ ของบาทคาถาน้ัน) ๓๘๓
ขอ้ สงั เกต: ๑. บททม่ี ิไดม้ าจากคาถา อาจแปลไขดว้ ยอานาจเนือ้ ความได้ เช่น มรจี ิ ทเู ร ฐิตาน รูปคต วยิ คยหฺ ปุ คา วิย โหติ. (๓/๔) แปลโดยพยัญชนะ อ. พยับแดด เป็นราวกะว่าถึงแล้วซ่ึงความเป็นแห่งรูป คือว่า เป็นราวกะว่าเข้าถึง ซึ่งความเป็นวัตถุอันบุคคลพึงถือเอา ย่อมมี แก่ชน ท. ผู้ยืนอยู่แล้ว ในท่ีไกล (รูปคต มิไดม้ าจากคาถา เป็น ววิ รยิ ะ ส่วน คยฺหปุ คา เป็น ววิ รณะ) ๒. คาท่เี ป็นไวพจนไ์ มจ่ ัดวา่ เป็นวิวรยิ ะ-วิวรณะ เช่น ต ตถาคโต อภิสมฺพุชฺฌติ อภิสเมติ, อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา อภิสเมตฺวา อาจิกฺขติ เทเสติ, ปญฺ เปติ ปฏฺ เปติ, ววิ รติ วิภชติ อตุ ฺตานีกโรติ. (ธมฺมนยิ ามสุตฺต) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระตถาคต ย่อมตรัสรู้แจ้ง ย่อมทรงทราบแจ้ง ซ่ึงธาตุน้ัน, อ. พระตถาคต คร้ัน ตรสั ร้แู จง้ แลว้ คร้ันทรงทราบแจ้งแล้ว ย่อมทรงบอก ยอ่ มทรงแสดง, ยอ่ มทรงบัญญัติ ย่อมทรงกาหนด, ย่อมทรงเปิดเผย ย่อมทรงจาแนก ย่อมทรงทาให้ตื้น (อภิสมฺพุชฺฌติ กับ อภิสเมติ เป็นไวพจน์กัน และ อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา กับ อภิสเมตฺวา ก็เป็นไวพจน์กัน จึงไม่เปน็ ววิ รยิ ะ-ววิ รณะ) คาถาปรโิ ยสาเน เถโร…สตฺถุ สุวณฺณวณณฺ สรรี โถเมนโฺ ต วณฺเณนโฺ ต วนฺทนโฺ ต อาคโตติ. (๓/๔) แปลโดยพยญั ชนะ ในกาลอันเป็นท่ีสุดลงรอบแห่งพระคาถา อ. พระเถระ…ชมเชยอยู่ สรรเสริญอยู่ ถวาย บังคมอยู่ ซึ่งพระสรีระอันมีวรรณะเพียงดังวรรณะแห่งทอง ของพระศาสดา มาแล้ว ดังนี้แล (โถเมนฺโต กับ วณเฺ ณนฺโต เปน็ ไวพจน์กัน จึงไม่เป็น วิวรยิ ะ-วิวรณะ) ๓๘๔
๑๓.๘ การแปลเปน็ สญฺ -สญฺ า ในการแปลอรรถกถา (แก้อรรถ) ยังมีกลวิธีการแปลอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้ามีบทหนึ่งหรือหลาย บทกล่าวอธิบายความกันเอง ให้แปลเป็น สญฺ -สญฺ า การแปลเป็น สญฺ -สญฺ า๒ นั้น มีลักษณะ คลา้ ยกบั การแปลไข (วิวรยิ ะ-วิวรณะ) แต่ลกั ษณะการวางบทหรือหลายบทจะตรงขา้ มกัน บทหรอื หลาย บทที่เป็นส่วนอธิบายความไม่มีในคาถาและวางอยู่ข้างหน้า เรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “สญฺ ” ส่วนบท หรือหลายบทที่พึงอธิบายความมีในคาถาและวางอยู่ข้างหลัง เรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “สญฺ า” ให้ แปลวา่ “ชือ่ ว่า…” โดยปกติ บทหรือหลายบทท่ีเป็น สญฺ -สญฺ า จะมีฐานะทางไวยากรณ์เท่าเทียมกัน เช่น ถา้ เปน็ อาขยาตก็จะเป็นอาขยาตดว้ ยกนั เปน็ กรยิ ากิตก์ ก็จะเป็นกริยากติ ก์ด้วยกัน หรือถ้าเป็นวเิ สสนะก็ จะเป็นวเิ สสนะด้วยกนั ฯลฯ ดตู ัวอยา่ ง ยถา ทณเฺ ฑน โคปาโล คาโว ปาเชติ โคจร เอว ชรา จ มจจฺ ุ จ อายุ ปาเชนตฺ ิ ปาณนิ นฺติ. ตตถฺ ปาเชตีติ เฉโก โคปาลโก เกทารนฺตร ปวิสนตฺ ิโย คาโว ทณเฺ ฑน นวิ าเรตวฺ า เตเนว โปเถนโฺ ต สลุ ภติโณทก โคจร เนติ ปาเชต.ิ (๕/๕๔) แปลโดยพยญั ชนะ อ. บุคคลผู้เล้ียงซ่ึงโค ย่อมต้อนไป ซึ่งโค ท. สู่ท่ีเป็นที่ เท่ียวไปแห่งโค ด้วยท่อนไม้ ฉันใด อ. ชราด้วย อ. มัจจุ ด้วย ย่อมต้อนไป ซึ่งอายุ ของสัตว์ผู้มีปาณะ ท. ฉันน้ัน ดังนี้ อ. อรรถวา่ อ.บุคคลผู้เล้ยี งซ่งึ โค ผู้ฉลาด ห้ามแลว้ ซึ่งโค ท. ตัวเข้าไปอยู่ สู่ระหว่างแห่งคันนา ด้วยท่อนไม้ โบยอยู่ ด้วยท่อนไม้ นั้นนั่นเทียว ย่อมนาไป ช่ือ ว่า ย่อมต้อนไป สู่ที่เป็นท่ีเท่ียวไปแห่งโค อันมีน้าและหญ้าอันสัตว์ได้โดยง่าย ดังน้ี แห่ง- ในบท ท. เหล่านั้นหนา- บทว่า ปาเชติ ดังน้ี (เนติ ไม่มีในคาถาและวางอยู่ ข้างหน้าเป็น สญฺ , ปาเชติ มีในคาถาและวางอยู่ข้างหลังเป็น สญฺ า บททั้งสอง ๒ การแปลเป็น สญฺ -สญฺ า มีลักษณะตรงข้ามกับการแปล วิวริยะ-วิวรณะ (การแปลไข) กล่าวคือ สญฺ -สญฺ า ประกอบด้วยบทหนา้ ทีไ่ มม่ ใี นคาถา และบทหลังมีในคาถา เวลาแปลใหเ้ หน็บคาวา่ “ช่ือวา่ …” ท่ีบทหลงั สว่ น วิวริยะ-วิวรณะ ประกอบดว้ ยบทหนา้ ทม่ี ใี นคาถา และบทหลังไม่มีในคาถา เวลาแปลให้แปลไขจากบทหน้าไปหา บทหลังว่า “คอื วา่ …” ๓๘๕
เป็นกริยาอาขยาตด้วยกัน ในลักษณะเช่นน้ีให้แปลเป็น สญฺ -สญฺ า คือแปล ปาเชติ วา่ ชือ่ วา่ ยอ่ มต้อนไป) ยถาปิ รจุ ิร ปุปฺผ วณฺณวนฺต อคนธฺ ก เอว สุภาสติ า วาจา อผลา โหติ อกุพพฺ โต ยถาปิ รุจิร ปปุ ผฺ วณณฺ วนตฺ สคนฺธก เอว สภุ าสติ า วาจา สผลา โหติ สกุ ุพพฺ โตติ. ตตถฺ รุจริ นฺติ โสภน…สุตคนธฺ ธารณคนฺธ ปฏปิ ตตฺ ิคนธฺ ญฺจ น อาวหติ อผล โหต.ิ (๓/๔๔-๔๕) แปลโดยพยัญชนะ อ. ดอกไม้ อันงาม เป็นดอกไม้มีสี เป็นดอกไม้มีกลิ่น หามิได้ ย่อมเป็น แม้ฉันใด อ. วาจา อันเป็นสุภาษิต เป็นวาจามีผลหามิได้ ย่อมมี แก่บุคคล ผู้ไม่กระทาอยู่ ฉันนั้น อ. ดอกไม้ อันงาม เป็นดอกไม้มีสี เป็นดอกไม้ เป็นไปกับด้วยกลิ่น ย่อมเป็น แม้ฉันใด อ. วาจา อันเป็น สุภาษิต เป็นวาจาเป็นไปกับด้วยผล ย่อมมี แก่บุคคล ผกู้ ระทาอยู่ด้วยดี ฉันนนั้ ดังน้ี อ. อรรถวา่ อันงาม ดงั นี้ แห่ง-ในบท ท. เหล่าน้ันหนา-บทวา่ รุจิร ดังนี้… ย่อมไม่นามา ซึ่งกล่ินคือการฟังด้วย ซึ่งกล่ินคือการทรงไว้ด้วย ซ่ึงกล่ินคือการ ปฏิบัติด้วย ช่ือว่าเป็นธรรมชาติมีผลหามิได้ ย่อมมี… (หลายบทว่า สุตคนฺธ ธารณคนฺธ ปฏิปตฺติคนฺธญฺจ น อาวหติ ไม่มีในคาถาและวางอยู่หน้าเป็น สญฺ , สองบทว่า อผล โหติ (ซ่ึงก็คือ อผลา โหติ) มีในคาถาและวางอยู่หลัง เป็น สญฺ า จึงแปลเป็น สญฺ -สญฺ า คือแปล อผล โหติ ว่า ชื่อว่าเป็นธรรมชาติมีผลหามิได้ ยอ่ มมี) ๑๓.๙ การแปลหนนุ ในการแปลอรรถกถานั้น มกี ลวธิ กี ารแปลอกี อย่างหนึ่ง ซง่ึ มีลักษณะการแปลคลา้ ยกับการแปล เป็น สญฺ สญฺ า คือ แปลบทท่ีมาจากคาถาซึ่งวางอยู่ข้างหลงั ว่า “ช่ือว่า…” ส่วนบทที่ไม่ได้มาหรือไม่ มีในคาถาซึ่งวางอยู่ข้างหน้า แปลว่า “เพราะ…” การแปลลักษณะเช่นนี้เรียกว่า “การแปลหนุน” คือ แปลหนนุ บททีม่ อี ยู่ในคาถานนั้ ว่า “ชอ่ื ว่า…” หลักเกณฑ์ในการแปลหนุน อาจจาแนกได้ ๒ อย่าง ดังน้ี ๓๘๖
๑๓.๙.๑ กรณีบทในอรรถกถา (แก้อรรถ) เป็นบทที่มาจากคาถา (คือมีอยู่ในคาถา) วางอยูข่ ้างหลงั โดยมีบทข้างหน้าเป็นบทเหตุที่แปลว่า “เพราะ...” ให้แปลบททว่ี างอยู่ข้างหลังซึ่งเป็น บททมี่ าจากคาถาน้ันวา่ “ชือ่ วา่ …” ดโู ครงสร้าง ดงั แสดงในตารางที่ ๑๓.๔ ตารางท่ี ๑๓.๔ โครงสรา้ งบทอรรถกถาที่มีบทขา้ งหนา้ เปน็ บทเหตุ ตติยาวิภัตติ + บทในอรรถกถา (ซ่งึ มาจากคาถา) ภาว ศพั ท์ ช่อื ว่า…เพราะ… ตฺต/ตา ปจั จัยในภาวตทั ธติ โต ปัจจยั จากตารางท่ี ๑๓.๔ จะเหน็ ว่าบทในอรรถกถาเป็นบททีม่ าจากคาถาและวางอยู่ข้างหลัง โดยมีบทข้างหน้าเป็นบทเหตุท่ีแปลว่า “เพราะ...” ซ่ึงอาจเป็นบทท่ีประกอบด้วยตติยาวิภัตติ เป็น ศัพท์ที่ประกอบด้วย ภาว ศัพท์ ประกอบด้วย ตฺต หรือ ต ปัจจัย ในภาวตัทธิต หรือประกอบด้วย โต ปจั จัย ใหแ้ ปลบทท่ีวางอยขู่ า้ งหลงั ซง่ึ เป็นบททมี่ าจากคาถานนั้ วา่ “ช่ือว่า…” ดปู ระโยคตัวอยา่ ง ตสฺสตฺโถ วตฺถาลงฺการาทีหิ อลงฺกโต เจปิ ปุคฺคโล กายาทีหิ สมญฺจเรยฺย ราคาทวิ ปู สเมน สนฺโต อินฺทรฺ ยิ ทเมน ทนฺโต จตมุ มฺ คคฺ นิยาเมน นยิ โต…(๕/๗๕) แปลโดยพยัญชนะ อ. เนื้อความว่า แม้หากว่า อ. บุคคล ผู้ประดับแล้ว ด้วยเคร่ืองประดับ ท. มี เคร่ืองประดับคือผ้า เป็นต้น ช่ือว่าผู้สงบแล้ว เพราะความเข้าไปสงบแห่งกิเลสมี ราคะ เป็นต้น ชื่อว่าผู้ฝึกแล้ว เพราะการฝึกซึ่งอินทรีย์ ช่ือว่าผู้แน่นอนแล้ว เพราะความแน่นอนในมรรค ๔…แห่งคาอันเป็นพระคาถาน้ัน อันบัณฑิต พึง ทราบ (สนฺโต ทนฺโต และ นิยโต เป็นบทที่มาจากคาถา แปลหนุนว่า “ชื่อว่า…” เพราะมบี ทตตยิ าวภิ ตั ติ เป็นบทเหตุ วางอยูข่ า้ งหนา้ ) ตสสฺ ตฺโถ ภคินิ อิท ตว สรีรสงขฺ าต รูปํ มหลฺลกภาเวน ปริชิณฺณ…(๕/๑๐๐) แปลโดยพยัญชนะ อ. เน้ือความว่า ดูก่อนน้องหญิง อ. รูปนี้ คือว่า อันอันบัณฑิตนับพร้อมแล้วว่า สรีระของเธอ ช่ือว่าเป็นธรรมชาติแก่รอบแล้ว เพราะความที่แห่งเธอเป็นผู้ ถือเอาซ่ึงความเป็นคนแก่ ย่อมเป็น…แห่งคาอันเป็นพระคาถาน้ัน อันบัณฑิต พึงทราบ (ปริชิณฺณ เป็นบทท่ีมาจากคาถา แปลหนุนว่า “ช่ือว่า…” เพราะมีบท ท่ปี ระกอบดว้ ย ภาว ศพั ท์ เป็นบทเหตุ วางอยู่ข้างหนา้ ) ๓๘๗
๑๓.๙.๒ กรณีกริยากิตก์ ประกอบด้วย อนฺต หรือ มาน ปัจจัย วางอยู่ข้างหน้า จะเป็น ตัวขยายความกริยาอาขยาตท่ีมาจากคาถาซึ่งวางอยู่ข้างหลัง เวลาแปลให้แปลหนุนกริยาอาขยาตที่วาง อยขู่ ้างหลังกริยากติ กน์ น้ั วา่ “ชอ่ื วา่ …” ดูโครงสรา้ ง ดังแสดงในแผนภาพท่ี ๑๓.๑ กริยากติ กป์ ระกอบด้วย อนฺต หรือ มาน ปจั จยั …กริยาอาขยาต (ขยายความกริยาอาขยาตที่อยู่หลงั ซ่งึ เป็นบทในอรรถกถาทม่ี าจากคาถา) ชื่อวา่ …เพราะ… แผนภาพท่ี ๑๓.๑ โครงสร้างกริยากติ กอ์ ย่ขู ้างหนา้ และกรยิ าอาขยาตอยขู่ ้างหลงั จากแผนภาพท่ี ๑๓.๑ จะเห็นว่า เป็นโครงสร้างกริยากิตก์ที่ประกอบด้วย อนฺต หรือ มาน ปจั จยั วางอยขู่ ้างหนา้ ซง่ึ จะเป็นตัวขยายความกรยิ าอาขยาตที่มาจากคาถาซงึ่ วางอยู่ข้างหลัง เวลา แปลใหแ้ ปลหนนุ กรยิ าอาขยาตทวี่ างอยู่ข้างหลงั กริยากติ กน์ ้นั วา่ “ชือ่ วา่ …” ดูประโยคตัวอยา่ ง อุภยตฺถาติ อิธ กต เม กสุ ล อกต เม ปาปนฺติ ปรตถฺ วิปาก อนุภวนโฺ ต นนทฺ ติ. (๑/๑๔๓) แปลโดยพยญั ชนะ อ. อรรถว่า ย่อมเพลิดเพลิน ในโลกนี้ว่า อ. กุศล อันอันเรากระทาแล้ว อ. บาป อันอัน เราไม่กระทาแล้ว ดังน้ี เสวยอยู่ ซ่ึงวิบาก ชื่อว่า ย่อมเพลิดเพลินในโลกอื่น ดังนี้ แห่ง บทว่า อุภยตฺถ ดังนี้ (นนฺทติ เป็นกริยาอาขยาต มาจากคาถา แปลหนุนว่า “ช่ือว่า…” เพราะมีกรยิ ากติ ก์ประกอบด้วย อนฺต ปจั จัย ทาหน้าทขี่ ยายอยู่ขา้ งหนา้ ) ๑๓.๑๐ การแปลแยกศพั ท์เพอื่ จบั คู่ ในการแปลโดยอรรถนั้น จาเป็นจะต้องแปลให้ได้ความชัดเจน ฉะน้ัน ในบางกรณีหากผู้แปล แปลไปโดยไมแ่ ยกศพั ท์เพื่อจบั คู่ บทแปลทีไ่ ด้กจ็ ะไม่ชัดเจน เชน่ อินทฺ ริยสวรสลี นตฺ ุ สวราสวเรสุ อาทนี วานสิ สทสสฺ าวิโน วสิ ุชฌฺ ติ. (มงฺคลตถฺ . ๑/๑๗๘) แปลโดยอรรถ (๑) ส่วนอินทรียสังวรศีลย่อมบริสุทธิ์ เมื่อภิกษุพิจารณาเห็นโทษและอานิสงส์ ในสังวร และอสงั วรโดยปกติ (ไมแ่ ยกศัพท)์ ๓๘๘
แปลโดยอรรถ (๒) ส่วนอินทรียสังวรศีลย่อมบริสุทธิ์ เมื่อภิกษุพิจารณาเห็นโทษในอสังวร และอานิสงส์ใน สังวรโดยปกติ (แยกศัพท)์ จากประโยคข้างต้นน้ี จะเห็นได้ว่า การแปลโดยอรรถ (๑) นั้น เป็นการแปลโดยไม่แยกศัพท์ เม่ือดูลาดับการเรียงคาศัพท์แล้วจะเห็นวา่ โทษ (อาทีนว) ในคาว่าโทษและอานิสงส์ เป็นศัพท์หน้า และ สังวร (สวร) ในคาว่า สังวรและอสังวร ก็เป็นศัพท์หน้า ซ่ึงน่าจะเข้าคู่กันได้ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็น อย่างนั้น การแปลโดยอรรถ (๑) ดังกล่าว จึงทาให้ความหมายไม่ชัดเจน ดังนั้น เพื่อป้องกันความสับสน และเพือ่ ให้ความหมายชดั เจน จงึ ตอ้ งแยกศพั ทแ์ ละแปลจับคู่ใหมด่ ังการแปลโดยอรรถ (๒) ๑๓.๑๑ การแปล อิติ ตโต และ อิติ ตสฺมา การแปลภาษาบาลีโดยเฉพาะการแปลในคัมภรี ์มงั คลัตถทีปนี บางครง้ั ผ้แู ปลอาจจะพบคาว่า อิติ ตโต หรือ อิติ ตสฺมา มาคู่กัน ในกรณีเช่นนี้ให้แปลพร้อมกันว่า “เพราะเหตุฉะนี้น้ัน” ดูโครงสร้าง ดังแสดงในแผนภาพท่ี ๑๓.๒ ...............…อิติ ตโต…............... หรอื ...............…อติ ิ ตสมฺ า…............... ...............…เพราะเหตุฉะนี้นน้ั ...............… แผนภาพที่ ๑๓.๒ โครงสรา้ ง อิติ ตโต และ อติ ิ ตสมฺ า จากแผนภาพท่ี ๑๓.๒ จะเห็นว่า เป็นโครงสร้างท่ี อิติ ตโต หรือ อิติ ตสฺมา มาคู่กัน ใน กรณเี ชน่ น้ีใหแ้ ปลพรอ้ มกันว่า “เพราะเหตุฉะนน้ี น้ั ” ดปู ระโยคตวั อยา่ ง เต หิ ยทิ อิม เทสน น สุเณยฺยุ ปมตฺตา หุตฺวา าน ชหิตุ น สกฺกุเณยฺยุนติ ตโต เนส ต ปาปํ วฑฒฺ มาน อปาเยเสฺวว สสีทาเปยฺย. (มงฺคลตถฺ . ๑/๑๗๕) แปลโดยอรรถ กผ็ วิ ่า ภกิ ษเุ หล่านัน้ ไมพ่ งึ ฟังเทศนากัณฑน์ ี้ไซร้ กจ็ ะพงึ เปน็ ผปู้ ระมาท ไมส่ ามารถเพื่อจะ ละฐานะได้ เพราะเหตุฉะน้ีนั้น บาปนั้น เมื่อเจริญแก่ภิกษุเหล่าน้ัน จะพึงให้จมลงใน อบายเท่านัน้ ๓๘๙
๑๓.๑๒ การแปลกริยาวิเสสนะ คาว่า “วิเสสนะ” แปลว่า แสดง ขยาย หรือทาให้แปลกออกไป คาศัพท์ท่ีเป็นวิเสสนะนั้น อาจใช้ขยายนาม หรือกริยาได้ ถ้าใช้ขยายนามก็ต้องประกอบให้มีลิงค์ วจนะ และวิภัตติเหมือนกับ คานามที่ตนขยายน้ัน ๆ และจะทาให้นามนั้น ๆ แปลกออกไปคือ จะทาให้รู้ว่านามน้ันมีลักษณะ สูง ต่า ดา ขาว ยาว สน้ั อว้ น ผอม โง่ หรือ ฉลาด ฯลฯ เวลาแปลไม่ต้องออกสาเนียงอายตนิบาตเหมือนนามที่ ตนขยาย คงแปลเฉย ๆ หรือ เพียงแต่ใช้คาว่า “ผู้/ท่ี/ซ่ึง/อัน…” คาใดคาหน่ึงที่ถูกต้องตามภาษานิยม เช่น ทกโฺ ข ปุรโิ ส = อ.บรุ ุษ ผ้ขู ยนั , กลยฺ าณ สปิ ปฺ ํ = อ.ศลิ ปะ อนั งาม เป็นตน้ แต่คาศัพท์ที่เป็นวิเสสนะน้ัน ถ้าใช้ขยายกริยา เรียกว่า “กริยาวิเสสนะ” บทกริยาวิเสสนะ อาจเป็นบทนามท่ีประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ หรือบทกริยาที่ลงตูนาทิปัจจัย โดยวางอยู่หน้ากริยา เวลา แปลให้แปลต่อจากกริยา โดยจะไม่แปลออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “ซึ่ง” (กรณีเป็นบทนาม) และไม่ ออกสาเนียงวา่ “แล้ว” (กรณเี ปน็ บทกริยา) เช่น อุตตฺ รึ ภุญฺเชยยฺ . แปลโดยพยญั ชนะ อ. บคุ คล พึงบรโิ ภค ใหย้ ิ่ง (อตุ ฺตรึ เป็นกรยิ าวิเสสนะ ไม่ออกสาเนียงว่า “ซึง่ ”) ผาสุํวหิ เรยฺย.ุ แปลโดยพยัญชนะ อ. ภกิ ษุ ท.พงึ อยู่ สาราญ (ผาสุํเป็นกรยิ าวเิ สสนะ ไมอ่ อกสาเนียงวา่ “ซ่ึง”) อิทานสิ สฺ ม เปตวฺ า อญฺ ปฏสิ รณ นตฺถ.ิ แปลโดยพยญั ชนะ ในกาลนี้ อ. ที่พ่ึงอ่ืน ย่อมไม่มี แก่ภิกษุน้ัน เว้น ซ่ึงเรา ( เปตฺวา เป็นกริยาวิเสสนะ แปล ทีหลังกริยาคมุ พากย์ไม่ออกสาเนียงว่า “แล้ว”) และในกรณีท่ีกริยาวิเสสนะมีธาตุเหมือนกับกริยาท่ีตนขยาย เวลาแปลโดยพยัญชนะ จะไม่ ออกสาเนียงอายตนิบาต และเวลาแปลโดยอรรถนิยมแปลเฉพาะธาตุของกริยาเท่านั้น ส่วนธาตุของ กริยาวิเสสนะไม่ตอ้ งแปล แตศ่ ัพท์ท่เี ข้าสมาสกับกรยิ าวเิ สสนะนน้ั ต้องแปลด้วย เชน่ ตโต ปฏฺ าย เทฺวปิ สมคฺคสวาส วสึสุ. (๒/๖) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ชน ท. แม้สอง อย่แู ลว้ อยพู่ ร้อมเพรียงกัน จาเดมิ แตก่ าลน้นั ๓๙๐
แปลโดยอรรถ จาเดิมแต่กาลนั้น ชนแม้ท้ัง ๒ คน ก็อยู่พร้อมเพรียงกันแล้ว (แปลโดยอรรถ จะไม่แปล คาว่า สวาส) โส ต สตุ ฺวา หตฺถริ ว รวิ. (๒/๗) แปลโดยพยัญชนะ อ. ชา้ งนน้ั ฟังแล้ว ซึง่ คานน้ั …รอ้ งแลว้ รอ้ งดว้ ยเสียงแห่งช้าง แปลโดยอรรถ ช้างนัน้ ฟงั คานั้นแล้ว…จงึ รอ้ งเปน็ เสยี งช้าง (แปลโดยอรรถ จะไมแ่ ปลคาว่า...รว) ข้อสังเกต: คาวา่ “วสสฺ าวาส” และ “วสฺสาวาเส” ทม่ี ีปกตสิ ังขยามาขยาย และวางอย่หู น้า กริยา วสิ จะไม่เป็นกริยาวิเสสนะ แต่จะเป็น อจฺจนฺตสโยค ใน วสิ เวลาแปลต้องแปลออกสาเนียง อายตนิบาตว่า “ตลอด” เช่น ตถาคโต หิ…เอกเมว วสฺสาวาส วสิ…เอกูนวีสติ (วสฺสาวาเส)…ฉ วสฺสาวาเส…ปญฺจวีสติ วสฺสาวาเส วสิ. (๑/๔) แปลโดยพยญั ชนะ จริงอยู่ อ. พระตถาคต…ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่จาพรรษาหนึ่งนั่นเทียว…ประทับ อยู่แล้ว ตลอดการอยู่จาพรรษา ท. ย่ีสิบหย่อนด้วยหน่ึง…ประทับอยู่แล้วตลอดการอยู่ จาพรรษา ท. หก…ประทับอยู่แล้ว ตลอดการอยู่จาพรรษา ท. ยี่สิบห้า (เอก วิเสสนะ ของ วสฺสาวาส ๆ อจฺจนฺตสโยค ใน วสิ, เอกูนวีสติ ฉ และ ปญฺจวีสติ เป็นวิเสสนะของ วสฺสาวาเส และ วสฺสาวาเส ทง้ั ๓ บท ตา่ งกเ็ ป็น อจจฺ นตฺ สโยค ใน วสิ ตามลาดับ) ๑๓.๑๓ การแปลบททุตยิ าวภิ ตั ตวิ า่ “กะ/ซ่งึ ” ในการแปลบททุติยาวิภตั ติว่า “กะ หรือ ซึ่ง” น้ัน มีหลักอยู่ว่า ในกรณีการแปลโดยพยัญชนะ ถ้าพบว่า บททุติยาวิภัตติมาคู่กับบทกริยาที่ประกอบด้วยธาตุในความกล่าว เวลาแปลให้แปลบท ทุติยาวิภัตตินั้น โดยออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “กะ” และแปลหลัง อิติ ศัพท์ แต่ถ้าผู้แปลพบว่า บททุติยาวิภัตติมาคู่กับบทกริยาท่ีประกอบด้วยธาตุในความถาม เวลาแปลให้แปลบททุติยาวิภัตตินั้น โดยออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “ซ่ึง” และแปลก่อน อิติ ศัพท์ ส่วนในกรณีการแปลโดยอรรถ ให้แปล บททุติยาวิภัตติก่อนเปิด อิติ ศัพท์ ไม่ว่าบททุติยาวิภัตตินั้นจะมาคู่กับบทกริยาในความกล่าวหรือความ ถามกต็ าม ดูตวั อยา่ ง ๓๙๑
อถ น เถโร “คจฺฉาวโุ สติ อาห. แปลโดยพยญั ชนะ ครง้ั นั้น อ. พระเถระ กล่าวแล้วว่า ดกู อ่ นท่านผ้มู อี ายุ อ. ท่าน จงไป ดังน้ี กะภกิ ษุนนั้ แปลโดยอรรถ คร้งั นั้น พระเถระกลา่ วกะภิกษนุ นั้ ว่า ท่านผูม้ อี ายุ ทา่ นจงไป อถ น สตฺถา “กุหึ คจฉฺ สีติ ปจุ ฺฉิ. แปลโดยพยัญชนะ ครัง้ นัน้ อ. พระศาสดา ตรสั ถามแล้ว ซ่งึ พระเถระน้ันว่า อ. เธอ จะไป ณ ทไ่ี หน ดังนี้ แปลโดยอรรถ ครั้งนัน้ พระศาสดา ตรสั ถามพระเถระน้ันว่า เธอ จะไปไหน ๑๓.๑๔ การแปลบทวกิ ตกิ ัมมะ คาว่า “วิกติกัมมะ” มาจาก วิกติ กับ กมฺม, วิกติ แปลว่า ทาให้แปลก กมฺม แปลว่า ถูกทา รวมความว่า ทาบทกรรมให้แปลก หรือทาบทที่ถูกทาให้แปลกออกไป หมายถึง เป็นตัวขยายกรรมให้ แปลกจากเดมิ บทวกิ ตกิ ัมมะมี ๒ ลกั ษณะ ดงั น้ี ๑๓.๑๔.๑ บทวิกติกัมมะท่ีเป็นทุติยาวิภัตติ ทาหน้าท่ีขยายบทกรรม (ประกอบด้วย ทตุ ิยาวิภัตติ) ในประโยคกตั ตุวาจกและเหตุกัตตวุ าจก ๑๓.๑๔.๒ บทวิกติกัมมะท่ีเป็นปฐมาวิภัตติ ทาหน้าท่ีขยายบทกรรม (ประกอบด้วย ปฐมาวภิ ตั ติ) ในประโยคกัมมวาจกและเหตกุ ัมมวาจก บทวกิ ตกิ ัมมะทั้ง ๒ ลักษณะนีม้ ักจะเข้ากับกรยิ าท่ีสาเร็จมาจาก กรฺ ธาตุ หรือ จรฺ ธาตุ และทา หน้าทคี่ ลา้ ยวิกตกิ ตั ตา คือ วกิ ตกิ ตั ตาเป็นตวั ขยายบทกัตตาใหแ้ ปลก แต่วกิ ติกัมมะเปน็ ตวั ขยายบทกรรม ใหแ้ ปลก การแปลบทวิกติกัมมะ จะต้องไม่ออกสาเนียง “อายตนิบาต” และให้แปลหนุนเหมือนกับ แปลบทวิกติกัตตา ต่างแต่ว่าการแปลบทวกิ ติกัมมะจะต้องหนุนคาว่า “ให้” ข้ึนต้นเท่าน้ัน เช่น ให้เป็น/ ใหเ้ ปน็ ผู้/ให้เป็นของ/ใหเ้ ป็นธรรมชาติ/ให้เป็นสภาพ…เป็นตน้ ดูตวั อยา่ ง ๓๙๒
โส (พนฺธุโล) วนิ ิจฺฉย คนตฺ วฺ า ต อฏฺฏ ตีเรตฺวา สามิกเมว สามกิ อกาสิ. (๓/๑๘) แปลโดยพยัญชนะ อ. เสนาบดีชื่อว่าพันธุละน้ัน ไปแล้ว สู่โรงเป็นท่ีวินิจฉัย พิจารณาแล้ว ซึ่งคดีนั้น ได้กระทา แล้ว ซึ่งเจ้าของนั่นเทียว ให้เป็นเจ้าของ (สามิก เป็นบทวิกติกัมมะท่ีเป็นทุติยาวิภัตติใน ประโยคกัตตุวาจก ขยายบทกรรมคือ สามิกเมว เข้ากับกริยาท่ีสาเร็จมาจาก กรฺ ธาตุ คือ อกาสิ และแปลหนนุ ว่า ใหเ้ ปน็ …) ปาณาตปิ าตกมฺมสฺส โว ภนเฺ ต (กกุ ฺกฏุ มติ ฺโต) อการโก กโต. (๕/๒๕) แปลโดยพยัญชนะ ข้าแตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ อ. นายพรานชื่อวา่ กุกกฏุ มติ ร อันพระองค์ ทรงกระทาแล้ว ใหเ้ ป็นผู้ ไม่กระทา ซ่ึงกรรมคือปาณาติบาตหรือ (อการโก เป็นบทวิกติกัมมะท่ีเป็นปฐมาวิภัตติใน ประโยคกัมมวาจก ขยายบทกรรม คือ กุกฺกุฏมิตฺโต เข้ากับกริยาที่สาเร็จมาจาก กรฺ ธาตุ คอื กโต และแปลหนุนวา่ ใหเ้ ป็นผู้…) ธมมฺ จเร สจุ ริต. (๖/๓๒) แปลโดยพยญั ชนะ อ. บุคคล พึงประพฤติ ซ่ึงธรรม ให้เป็นสุจริต (สุจริต เป็นบทวิกติกัมมะท่ีเป็นทุติยาวิภตั ติ ในประโยคกัตตุวาจก เข้ากับกริยาท่ีสาเร็จมาจาก จรฺ ธาตุ คือ จเร และแปลหนุนว่า ให้ เปน็ ...) ขอ้ สงั เกต: (๑) บทวิกติกัมมะอาจมีลิงค์และวจนะเหมือนหรือไม่เหมือนกับบทกรรมที่มันขยายก็ได้แต่ ต้องมีวิภัตติเหมือนกัน เวลาแปลจะหนุนคาว่า ให้…ให้เป็น…เป็นต้น และจะไม่ออกสาเนียงว่า ท. (ทง้ั หลาย) แมจ้ ะเป็นพหุวจนะก็ตาม (๒) บทกรรมในประโยคกัตตุวาจกและเหตุกัตตุวาจก จะประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ ดังนั้น บทวิกติกมั มะ ในฐานะบทขยายจงึ ต้องประกอบดว้ ยทตุ ยิ าวภิ ตั ตติ ามบทกรรม (๓) บทกรรมในประโยคกัมมวาจกและเหตุกัมมวาจกจะประกอบด้วยปฐมาวิภัตติเพราะ กัมมวาจกและเหตุกัมมวาจก ได้ยกตัวกรรมข้ึนเป็นประธานและประกอบด้วยปฐมาวิภัตติ ฉะนั้น บท วิกตกิ มั มะในฐานะบทขยายจงึ ต้องประกอบดว้ ยปฐมาวิภัตตติ ามบทกรรม ๓๙๓
แบบฝึกหดั ท่ี ๑๓.๑ (การแปลข้อเบ็ดเตล็ด) ให้แปลประโยคต่อนเ้ี ป็นไทยโดยพยญั ชนะ ๑. ต สุตฺวา เถโร สตถฺ ุ สนฺตกิ คนตฺ วฺ า ภควนฺต เอตทโวจ. ๒. สจจฺ เว อมตา วาจา. ๓. “สญฺ ตสสฺ าติ (ปทสสฺ ) กายาทหี ิ สญฺ ตสสฺ นิจฺฉทิ ทฺ สฺส (อตฺโถ). (๒/๗๒) (สญฺ ตสฺส มาในคาถา) ๔. ตทหุชาต (รูปํ) สุวณฺณวณฺณมฺปิ สมาน นิจฺจ ปคฆฺ รณตเฺ ถน ปตู กิ าย ปภงฺคณุ . (๕/๑๕๐) (ปภงฺคณุ มาในคาถา) ๕. “อุปสนฺตสฺสาติ (ปทสฺส) อพฺภนฺตเร ราคาทีน อุปสเมน อุปสนฺตสฺส (อตฺโถ). (๔/๗๒) (อุปสนฺตสสฺ มาในคาถา) ๖. “โยคกเขม อนุตตรนติ (คาถาปาทสฺส) เย จตฺตาโร โยคา มหาชน วฏฺ เฏ โอสีทาเปนฺติ เตหิ เขม นิพฺภย สพฺเพหิ โลกิยโลกุตฺตรธมฺเมหิ เสฏฺ ตฺตา อนุตฺตรนฺติ (อตโถ). (๒/๖๕) (อนุตฺตร มาใน คาถา) ๗. ธโี ร ปณฺฑติ ปุริโส โถก โถกมปฺ ิ ปญุ ฺ อาจินนฺโต ปุญฺ สสฺ ปูเรติ. (๕/๑๙) (ปูเรติ มาในคาถา) ๘. สตถฺ า ตติย สาธุการ ทตฺวา อตุ ฺตรึปิ ปจุ ฉฺ ิ. ๙. อถ สตฺถา ต พฺยาธนิ า อภิภูต กตวฺ า ทสฺเสสิ. (๕/๑๐๕) ๑๐. อห ปน ต (กาณ) โลกิยกุฏุมฺพสามนิ ึ กรสิ สฺ าม.ิ (๔/๔๒) ๑๑. ภิกฺขเว ปร โอวทนฺเตน นาม อตฺตา สทุ นฺโต กาตพโฺ พ. (๖/๑๐) ๓๙๔
คาศัพท์ทค่ี วรทราบ ที่ คาศัพท์ คาแปล ท่ี คาศัพท์ คาแปล ยอ่ มให้จมลง ๑ สญฺ ตสฺส ผู้สารวมแล้ว ๕ โอสที าเปนฺติ ใหร้ ปู …ครอบงาแลว้ ให้เป็นตนอนั ฝกึ ดีแลว้ ๒ นิจฺฉิทฺทสสฺ ผมู้ ชี อ่ งออกแลว้ ๖ อภภิ ูต ๓ ตทหชุ าต อันเกดิ ขน้ึ ในวนั น้นั ๗ สุทนโฺ ต ๔ ปคฺฆรณตฺเถน เพราะอรรถวา่ ไหลออก ๓๙๕
๑๓.๑๕ การแปลบทสัมภาวนะ คาว่า “สัมภาวนะ” แปลว่า การยกข้ึนกล่าว หมายถึง การยกบท ๒ บทที่มีคุณลักษณะ แตกต่างกันให้มีความหมายเป็นอย่างเดียวกันหรือเป็นคนเดียวกัน มีองค์ธรรมหรือคุณสมบัติเดียวกัน บทสัมภาวนะมี ๒ ลกั ษณะ ดงั น้ี ๑๓.๑๕.๑ บทสัมภาวนะท่ีเป็นทุติยาวิภัตติในประโยคกัตตุวาจก เป็นบทท่ียกขึ้นกล่าว ประกอบดว้ ย ทตุ ยิ าวภิ ตั ตติ ามบทกรรมในประโยคกัตตุวาจก ๑๓.๑๕.๒ บทสัมภาวนะที่เป็นปฐมาวิภัตติในประโยคกัมมวาจก เป็นบทท่ียกข้ึนกล่าว ประกอบดว้ ยปฐมาวภิ ตั ติตามบทกรรมในประโยคกัมมวาจก บทสมั ภาวนะท้ัง ๒ ลักษณะน้ี ทาหนา้ ที่คลา้ ยบทคุณนาม เป็นบททไ่ี มม่ ี อติ ิ ศพั ทค์ ุม มกั เข้า กับกริยาท่ีประกอบด้วยธาตุในความ กล่าว/เรียก/ถึง/รู้/เห็น/ดูหมิ่น อย่างใดอย่างหนึ่ง เวลาแปลต้อง หนุนคาวา่ “วา่ /วา่ เป็น” ดูตวั อยา่ ง ตมห พรฺ มู ิ พฺราหมฺ ณ. (๘/๑๘๙) แปลโดยพยัญชนะ อ. เรา ย่อมเรยี ก ซึ่งบุคคลนนั้ วา่ เปน็ พราหมณ์ (พฺราหฺมณ เป็นบทสัมภาวนะท่ีเป็นทุติยาวิภัตติตามบทกรรม (ปุคฺคล) ในประโยค กัตตุวาจก เข้ากับกริยาท่ีประกอบด้วยธาตุในความเรียก คือ พฺรูมิ และแปลหนุนว่า “ว่าเป็น…” อนึ่ง บท ๒ บทที่แตกต่างกันในประโยคน้ี คือ ปุคฺคล กับ พฺราหฺมณ เม่ือ ยกข้ึนกล่าวเป็นสัมภาวนะ จึงมีความหมายเป็นคนเดียวกัน มีองค์ธรรมเดียวกัน คือ บุคคลนี้มีคุณสมบัติเป็นพราหมณ์และคุณสมบัติของความเป็นพราหมณ์ ก็มีอยู่ในบุคคล น้ี) อมต วุจฺจติ นพิ ฺพาน. (๒/๖๓) แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระนิพพาน อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมตรัสเรียกว่า อมตะ (อมต เป็นบทสัมภาว นะที่เป็นปฐมาวิภัตติตามบทกรรม (นิพฺพาน) ในประโยคกัมมวาจก เข้ากับกริยาท่ี ประกอบดว้ ยธาตใุ นความกลา่ ว คือ วจุ ฺจติ และแปลหนนุ วา่ ว่า…) ข้อสังเกต: บทกรรมในประโยคกัมมวาจก จะประกอบด้วยปฐมาวิภัตติ เพราะกัมมวาจกได้ ยกตัวกรรมขึ้นเป็นประธาน สว่ นบทสัมภาวนะต้องประกอบดว้ ยปฐมาวิภตั ตติ ามบทกรรม ๓๙๖
๑๓.๑๖ การแปลบทอิตถัมภตู คาว่า “อิตถัมภูต” (หรอื อิตถมั ภูตะ) แปลวา่ มอี ย่างน้ี, เปน็ อยา่ งนี้ หมายถึง ข้อความที่แสดง ความมี ความเป็น หรือแสดงความมีความเป็นอากัปกิริยาอย่างน้ันอย่างน้ีของนามนาม กล่าวอีกอย่าง หนงึ่ อติ ถมั ภตู เปน็ อาการของนาม ในภาษาบาลี ข้อความที่เป็นอิตถัมภตู จะประกอบดว้ ยตติยาวิภตั ติ มี วิธีแปล ๒ อยา่ ง ดงั นี้ ๑๓.๑๖.๑ แปลบทอิตถัมภูตต่อจากตัวประธานหรือนาม (ก่อนกริยา) โดยให้แปลว่า “ม”ี เชน่ (ปคุ ฺคโล) มนสา เจ ปทฏุ ฺเ น ภาสติ วา กโรติ วา. (๑/๓) แปลโดยพยัญชนะ หากว่า อ. บคุ คล มใี จอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว จะกล่าวหรอื หรอื ว่าจะกระทาไซร้ ๑๓.๑๖.๒ แปลบทอติ ถัมภตู หลงั กรยิ า โดยให้แปลวา่ “ดว้ ยทง้ั …” เชน่ (ปคุ คฺ โล) มนสา เจ ปทุฏฺเ น ภาสติ วา กโรติ วา. (๑/๓) แปลโดยพยัญชนะ ว่า อ. บคุ คล จะกลา่ วหรอื หรือว่าจะกระทา ดว้ ยท้งั ใจอนั โทษประทุษรา้ ยแล้วไซร้ ข้อสังเกต: ในการแปลอิตถัมภูต มีข้อที่พึงระวัง คือ จะต้องไม่แปลออกอายตนิบาตว่า ด้วย (กรณ) หรอื โดย (ตติยาวิภตั ติ) อย่างเด็ดขาด เพราะจะทาให้เสยี เนือ้ ความไป เช่น ประโยคว่า สา ปุตฺตวโิ ยคทกุ ขฺ ติ า อสฺสตุ ินฺเตเนว มเุ ขน ภกิ ฺขาย จรมานา ฯเปฯ ปวตตฺ ิตฺวา ปต.ิ แปลโดยพยญั ชนะ อ. พระเถรีน้ัน ผู้ถึงแล้วซ่ึงทุกข์ เพราะความพลัดพรากจากบุตร มีหน้าอันชุ่มด้วย น้าตาน่นั เทยี ว เท่ียวไปอยู่เพอ่ื ภิกษา ฯลฯ เป็นไปแลว้ ล้มไปแล้ว จากประโยคน้ี ถ้าแปลบท มุเขน ว่า ด้วย (กรณ) คือแปลว่า เท่ียวไปอยู่เพื่อภิกษา ด้วยใบหน้า อันชุ่มด้วยน้าตาน่ันเทียว ฯลฯ จะกลายเป็นว่า เอาหน้าไป คือ เอาหน้าเป็นเคร่ืองไป หรือ เอาหน้า แทนเท้า แต่ถ้าแปลว่า โดย (ตติยาวิเสสนะ) คือ แปลว่า เที่ยวไปอยู่เพื่อภิกษา โดยหน้าอันชุ่มแล้วด้วย น้าตานั่นเทียว ฯลฯ ก็จะหมายความว่า เอาหน้าเป็นถนนหรือหนทาง ซึ่งถือว่าเป็นความหมายท่ี ผิดพลาดอย่างมาก ๓๙๗
๑๓.๑๗ การแปลบทสัญญาวเิ สสนะ คาว่า “สัญญาวิเสสนะ” เป็นชื่อสัมพันธ์ของบทวิเสสนะท่ีมีลักษณะเช่นเดียวกับบทวิเสสนะ ธรรมดาน่นั เอง เพียงแต่ในเวลาแปลบทสัญญาวิเสสนะต้องเติมคาวา่ “ชื่อวา่ /ทรงพระนามวา่ …” เข้ามา โดยไมม่ ี นาม ศพั ทก์ ากบั อยู่ เชน่ อถสฺส เอกทวิ ส ราชา พมิ ฺพิสาโร สททฺ มสโฺ สสิ. (๒/๖๗) คร้ังนั้น ในวันหนึ่ง อ. พระราชา ทรงพระนามว่าพิมพิสาร ได้ทรงสดับแล้ว ซ่ึงเสียง ของบุรุษนั้น (พมิ พิสาโร เปน็ สญั ญาวเิ สสนะของ ราชา) ข้อสังเกต: การแปลบทสัญญาวิเสสนะ จะคล้ายกับการแปลเป็น สัญญี-สัญญา และการ แปลหนุน ซึ่งนิยมใช้ในการแปลแก้อรรถหรือแปลบทอรรถกถา เพราะต่างก็ไม่มี นาม ศัพท์กากับอยู่ ดู รายละเอยี ดในเรื่องการแปลเป็นสัญญี-สญั ญา และการแปลหนนุ เพอื่ เปรยี บเทียบความแตกตา่ ง ๑๓.๑๘ การแปลบทวิเสสนวิปลั ลาส ตามปกติ บทวิเสสนะจะต้องมีลิงค์ วจนะ และวิภัตติเหมือนกับบทนามท่ีมันขยาย แต่ถ้าบท วิเสสนะบทใดมลี งิ คต์ า่ งออกไป บทนั้นเรยี กว่า วิเสสนลิงควิปลั ลาส คือ วิเสสนะท่มี ลี ิงค์ตา่ งออกไป บาง บทมีวจนะต่างกันออกไป เรียกว่า วิเสสนวจนวิปัลลาส คือ วิเสสนะท่ีมีวจนะต่างออกไป หรือบางบทมี ท้ังลิงค์และวจนะต่างออกไป เรียกว่า วิเสสนลิงควจนวิปัลลาส คือ วิเสสนะท่ีมีลิงค์และวจนะต่าง ออกไป ส่วนการแปลก็ใหแ้ ปลเหมอื นอย่างการแปลวิเสสนะท่วั ๆ ไป ดูตวั อย่าง ๑๓.๑๘.๑ วิเสสนลิงควปิ ัลลาส มาลวุ า สาลมโิ วตถฺ ต. แปลโดยพยญั ชนะ เพียงดัง อ. เถาย่านทราย อันรวบรัดแล้ว ซึ่งไม้สาละ (โอตฺถต เป็นนปุสกลิงค์ ทา หนา้ ท่เี ปน็ วเิ สสนลิงควปิ ัลลาส ของ มาลุวา ซง่ึ เปน็ อติ ถีลงิ ค)์ ๑๓.๑๘.๒ วิเสสนวจนวปิ ลั ลาส ทารกา...เอเกโก เอเกก สาขาภงฺคมุฏฺ มาทาย สตฺตปิ ชนา สตฺต ฉินฺทานิ ปิทหิตฺวา ปกฺกมสึ ุ. ๓๙๘
แปลโดยพยัญชนะ อ. เด็กชาย ท…คนหน่ึง ๆ ถือเอาแล้ว ซ่ึงกาแห่งก่ิงไม้อันบุคคลพึงหักกา หน่ึง ๆ เปน็ ชนแม้เจด็ เป็น ปดิ แล้ว ซึง่ ช่อง ท. เจด็ หลกี ไปแลว้ (เอเกโก เปน็ เอกวจนะ ทา หน้าที่เปน็ วิเสสนวจนวิปัลลาสของ ทารกา ซ่งึ เป็นพหวุ จนะ) ๑๓.๑๘.๓ วิเสสนลงิ ควจนวิปลั ลาส พหุ เว สรณ ยนฺติ ปพฺพตานิ วนานิ จ อารามรุกฺขเจตยฺ านิ มนุสสฺ า ภยตชชฺ ิตา. (๖/๑๐๙) แปลโดยพยัญชนะ อ. มนุษย์ ท. ผู้มากแล ผู้อันภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึง ซ่ึงภูเขา ท. ด้วย ซ่ึงป่า ท. ด้วย ซึ่งอารามและรุกขเจดีย์ ท. ด้วย ว่าเป็นท่ีพ่ึง (คาว่า “พหุ” เป็นนปุงสกลิงค์และเอกวจนะ โดยทาหน้าที่เป็น วเิ สสนลิงควจนวปิ ัลลาสของ มนสุ ฺสา ซึง่ เป็นปงุ ลงิ คแ์ ละพหุวจนะ) ๑๓.๑๙ การแปลบทวิเสสลาภี บทวิเสสลาภี หมายถึง บทท่ีขยายนามนามให้ได้ความหมายพิเศษ (ให้มีความหมายแคบเข้า หรือเข้าใจงา่ ย) โดยทั่วไป บทท่ีทาหน้าที่ขยายนามนาม ส่วนมากจะเป็นศัพท์ประเภทคุณนาม หรือแม้เป็น นามนามกต็ อ้ งแปลเป็นคณุ นาม และตอ้ งมี ลิงค์ วจนะ วภิ ัตติ เหมือนนามนามทีม่ ันขยาย แต่บทวิเสสลาภีน้ีเป็น บทนามนาม หรือ ปุริสสัพพนาม และอาจจะมี ลิงค์ เหมือนบทนาม นามทม่ี ันขยายหรือไม่ก็ได้ แต่ตอ้ งมี วจนะ และ วิภัตติ ตรงกัน เชน่ ถา้ บทนามนามที่มันขยายเป็นเอก วจนะ ปฐมาวภิ ตั ติ บทวเิ สสลาภีก็ต้องเปน็ เอกวจนะ ปฐมาวิภัตติ ดว้ ย ฯลฯ ในการแปลบทวิเสสลาภี๓ ผู้แปลต้องพิจารณาดูว่า บทวิเสสลาภีที่จะแปลน้ันประกอบด้วย วิภัตติใด และเวลาแปลก็ต้องแปลออกสาเนียงอายตนิบาตของวิภัตตินั้นตามปกติ แต่ให้แปลหนุนคาว่า “คือ” เข้ามา เช่น ถ้าบทวเิ สสลาภเี ป็นปฐมาวภิ ตั ติ เอกวจนะ ก็แปลวา่ คอื อ. (คือ อนั วา่ ) เป็นพหุวจนะ กแ็ ปลวา่ คือ อ…ท. ถา้ เป็นทตุ ยิ าวภิ ัตตกิ แ็ ปลว่า คือ ซึง่ ...เปน็ ตน้ ดตู วั อยา่ ง ๓ การแปลบทวเิ สสลาภีนี้ มีลักษณะคล้ายกับการแปลไข (วิวริยะ-ววิ รณะ) ดูเรอ่ื งการแปลไขประกอบ ๓๙๙
ยเทว (รุกขฺ ชาต) อวสิฏฺฐ โหติ องฺกุโร วา ปตฺต วา ตโจ วา. (๒/๑๑๓) แปลโดยพยญั ชนะ อ. รุกขชาตใดน่ันเทียว คือ อ. หน่อหรือ หรือว่า คือ อ. ใบ หรือว่า คือ อ. เปลือก เป็นธรรมชาติเหลือลงแล้ว ย่อมเป็น (รุกฺขชาต เป็นบทนามนามท่ีถูกขยาย, องฺกุโร ปตฺต และ ตโจ เป็นบท วเิ สสลาภี โดยทาหน้าทขี่ ยาย รุกขฺ ชาต ให้ได้ความหมายพิเศษ คือให้มคี วามหมายแคบเข้า เข้าใจง่ายขน้ึ , องกฺ ุโร และ ตโจ (ยกเวน้ ปตตฺ ) เป็นปุงลิงค์ มีลิงค์ไม่เหมือนกับ รุกฺขชาต ซ่ึงเป็นนปุงสกลิงค์แต่มีวิภัตติและวจนะตรงกัน คือ เป็น ปฐมาวิภตั ติ เอกวจนะดว้ ยกัน) เยเกจิ (ชนา) เทวา วา มนุสสฺ า วา คหฏฺ า วา ปพฺพชิตา วา ต ฯเปฯ อปุ นยฺหนฺติ. (๑/๔๑) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ชน ท. เหล่าใดเหล่าหนึ่ง คือ อ. เทวดา ท. หรือ หรือว่า คือ อ. มนุษย์ ท. คือ อ. คฤหัสถ์ ท. หรือ หรือว่า คือ อ. บรรพชิต ท.ฯลฯ ย่อมเข้าไปผูกอยู่ซึ่งความโกรธ นั้น ฯลฯ (ชนา เป็นบทนามนามท่ีถูกขยาย, เทวา มนุสฺสา คหฏฺ า และ ปพฺพชิตา เป็นบทวิเสสลาภี โดยทาหน้าที่ขยาย ชนา ให้ได้ความหมายพิเศษ แคบเข้า เข้าใจง่าย ข้ึน และบทวิเสสลาภีทั้ง ๔ บท มีลิงค์ วจนะ วิภัตติเหมือนกับ ชนา กล่าวคือ เป็น ปุงลิงค์ พหวุ จนะ และปฐมาวิภตั ติ ด้วยกนั ) ยสฺส (ปุคคฺ ลสสฺ ) เอตา ธนา อตฺถิ อติ ฺถยิ า วา ปรุ ิสสฺส วา. (๓/๑๒๙) แปลโดยพยัญชนะ อ. ทรพั ย์ ท. เหล่านี้ ของบคุ คลใด คอื ของหญิง หรอื หรือว่า คอื ของชาย มีอยู่ (ปุคฺคลสฺส เป็นบทนามนามท่ีถูกขยาย, อิตฺถิยา และ ปุริสสฺส เป็นบทวิเสสลาภี โดยมี วจนะและวิภัตติเหมือนกับ ปุคฺคลสฺส กล่าวคือ เป็นเอกวจนะ และฉัฏฐีวิภัตติ ด้วยกัน ส่วนลิงค์ต่างกันก็มีเหมือนกันก็มี กล่าวคือ อิตฺถิยา เป็นอิตถีลิงค์ ไม่เหมือนกับ ปคุ คฺ ลสสฺ ซงึ่ เปน็ ปงุ ลงิ ค์ ในขณะที่ ปุรสิ สฺส เปน็ ปุงลงิ คเ์ หมอื นกบั ปุคฺคลสฺส) ๔๐๐
แบบฝกึ หดั ท่ี ๑๔.๒ (การแปลข้อเบ็ดเตลด็ ) ให้แปลประโยคต่อไปนี้เป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. เอต ปพพฺ ต สรณ คจฉฺ ถ. (๖/๑๐๙) ๒. สวุ ณฺณราชหสยิ า ปรุ โต กากสี ทิส อตฺตาน อวมญฺ ต.ิ ๓. อมต วจุ จฺ ติ นิพฺพาน. (๒/๖๓) ๔. ตขณญฺเ ว ราชา อุทกาหิ ธาริยมานาหิ ตตฺถ คนฺตฺวา นารท วนฺทิตฺวา เอกมนฺต นิสินฺโน อาห. (๑/๓๙) ๕. ราชา ปเสนฺทิโกสโล ธมมฺ สุณนฺโต ต สททฺ สตุ ฺวา…อาห. (๕/๒) ๖. วปิ สสฺ ี สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก อปุ ปฺ ชฺชิ. (๒/๒๓๐) ๗. ขนตฺ ี ปรม ตโป ตตี กิ ฺขา. (๖/๑๐๑) ๘. นาทฏิ ฺ า ปรโต โทส อณถุ สู านิ สพฺพโส อิสฺสโร ปณเย ทณฑฺ สาม อปปฺ ฏิเวกขฺ ิยา. (๖/๑๕) ๙. โส (ตว ปุตฺโต) อห กสุ ล กริตฺวาน กมฺม ติทสาน สหพยฺ ต ปตฺโต. (๑/๒๙) ๑๐. (ตวฺ วา อญโฺ วา มิโค) นิโครฺ ธเมว เสเวยยฺ , น สาขมุปสวเส. (๖/๑๕) ๑๑. (เทวราชา) “อห โส ภนเฺ ตติ (อาห). (๒/๒) ๔๐๑
คาศัพท์ท่คี วรทราบ ท่ี คาศัพท์ คาแปล ที่ คาศพั ท์ คาแปล ทัง้ ละเอยี ดและหยาบ ๑ สวุ ณณฺ ราชหสยิ า แหง่ พญาหงษ์ทอง ๖ อณถุ ูลานิ แห่งเทวดาเหลา่ ไตรทศ ท. ซ่งึ เป็นความแหง่ สหาย ๒ อกุ ฺกาหิ มีคบเพลิง ท. ๗ ติทสาน ไม่พงึ เขา้ ไปเสพ ๓ ธาริยมานาหิ อัน…ทรงไวอ้ ยู่ ๘ สหพยฺ ต ๔ นาทฏิ ฺ า (= น อทิสวฺ า) ไมเ่ หน็ แล้ว ๙ น อุปสวเส ๕ ปรโต (= ปรสฺส) ของบุคคลอ่นื ๔๐๒
๑๓.๒๐ การแปลบทสรปู บทสรูป หมายถงึ บทนามนามบทเดียวหรือหลายบททที่ าหน้าทข่ี ยายบทท่ีกล่าวรวมใหช้ ดั เจน บทสรูปจะมีวิภัตติเหมือนกับบทนามนามท่ีมันขยาย แต่วจนะต่างกัน ส่วนใหญ่บทนามนามท่ีบทสรูป ขยาย จะเปน็ พหุวจนะ ส่วนบทสรูปก็จะเปน็ เอกวจนะเปน็ สว่ นมาก โดยท่ัวไป บทสรูปจะคลา้ ย ๆ กับบทวเิ สสลาภี แตม่ ีข้อท่ตี ่างกันอยา่ งชดั เจนก็คือ บทสรูปจะมี วจนะ ต่างกับบทนามนามที่มันขยาย ในเวลาแปลบทสรูป ก็ให้ออกสาเนียงอายตนิบาตตามปกติ และให้หนุนคาว่า “คือ อ.” (คือ อันว่า) เขา้ มา ดูประโยคตัวอยา่ ง เอเต ภิกขฺ เว เทฺว สหายกา อาคจฺฉนฺติ โกสิโต จ อุปติสโฺ ส จ ฯเปฯ อาคจฉฺ นตฺ .ิ (๑/๘๖) แปลโดยพยญั ชนะ ดูก่อนภิกษุ ท. อ. สหาย ท. ๒ เหล่านั่น คือ อ. โกลิตะ ด้วย คือ อ. อุปติสสะ ด้วย มา อยู่ ฯลฯ (สหายกา เป็นบทนามนามที่ถูกขยาย ส่วน โกลิโต และ อุปติสฺโส เป็นบทสรูป ขยาย สหายกา เรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “สรูป” คือสรูปใน สหายกา, โกลิโต และ อุป ติสฺโส มีลิงค์และวิภัตติเหมือนกับ สหายกา คือเป็นปุงลิงค์และปฐมาวภิ ัตติด้วยกัน แต่มี วจนะต่างกัน คือ สหายกา เป็นพหุวจนะ ส่วน โกลิโต และ อุปติสฺโส ต่างก็เป็นเอก วจนะ) จตตฺ าโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุข พล. (๔/๑๑๖) แปลโดยพยญั ชนะ อ. ธรรม ท. ๔ คือ อ. อายุ คือ อ. วรรณะ คอื อ. ความสุข คือ อ. พละ ย่อมเจรญิ (ธมฺมา เป็นบทนามนามท่ีถูกขยาย, อายุ วณฺโณ สุข และ พล เป็นบทสรูปขยาย ธมฺมา เรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “สรูป” คือสรูปใน ธมฺมา และบทสรูปมี อายุ เป็นต้นนี้ มีวิภัตติ เหมอื นกบั ธมมฺ า แตว่ จนะต่างกนั คอื ธมมฺ า เปน็ พหวุ จนะ ส่วนบทสรูปดังกลา่ วเปน็ เอก วจนะ) ข้อควรจา: “วิเสสลาภี” ต้องมวี จนะตรงกับบทนามนามทม่ี ันขยาย สว่ น “สรปู ” จะมวี จนะ ต่างกบั บทนานามทม่ี นั ขยาย ๔๐๓
๑๓.๒๑ การแปลบททตี่ ้องแปลเปน็ วิกตกิ ัตตา วิกติกัตตา (Complement) แปลว่า ทาตัวกัตตาให้แปลก หรือทาผู้ทาให้แปลก หมายถึงทา บทนามนามที่เป็นตัวกัตตาให้แปลกจากเดิม กล่าวง่าย ๆ วิกติกัตตา ก็คือ บทที่ทาหน้าท่ีขยายนามนาม ท่ีเป็นตวั กตั ตาใหช้ ัดเจนสมบรู ณ์นน่ั เอง๔ บททจี่ ะตอ้ งแปลเปน็ วิกติกตั ตา ได้แก่ บทท่อี ย่ใู กล้ธาตุ ๔ คือ หุ, ภู, อสฺ และ ชนฺ ธาตุ และใน เวลาแปลตอ้ งหนุนคาว่า “เปน็ …” เข้ามา เช่น บททีอ่ ยใู่ กล้ หุ ธาตุ อย ปุตฺโต มหาปุญฺโ โหติ. แปลโดยพยัญชนะ อ. บุตรนี้ เป็นผ้มู บี ญุ มาก ย่อมเป็น (โหติ มาจาก หุ ธาตุ) มชฺฌมิ วเย (ปคุ คฺ เลน) อปฺปมตฺเตน หตุ วฺ า กุสล กาตพพฺ . (๖/๕) แปลโดยพยัญชนะ อ. กุศล อนั บุคคล เปน็ ผู้ไมป่ ระมาทแล้ว เป็น พงึ กระทา (หตุ วฺ า มาจาก หุ ธาตุ) บททีอ่ ยใู่ กล้ ภู ธาตุ อย กมุ าโร กตาภนิ ีหาโร ภวสิ สฺ ติ. แปลโดยพยญั ชนะ อ. กุมารนี้ จักเป็นผ้มู ีอภินหิ ารอนั กระทาแล้ว จักเป็น (ภวิสฺสติ มาจาก ภู ธาตุ) ๔ ตัวกัตตาในกัตตุวาจก ชื่อว่าสยกัตตา ทาหน้าที่เป็นประธานในประโยคกัตตุวาจก ตัวกัตตาในกัมมวาจก และภาววาจก ช่ือว่า อนภิหิตกัตตา ส่วนตัวกัตตาในเหตุกัตตุวาจก ช่ือว่า เหตุกัตตา และเน่ืองจากตัวกัตตาในภาษา บาลีประกอบวิภัตติแตกต่างกัน ตัววิกติกัตตาจึงต้องประกอบวิภัตติตามตัวกัตตาในวาจกน้ัน ๆ กล่าวคือตัววิกติกัตตา ในกัตตวุ าจกและเหตกุ ตั ตวุ าจกตอ้ งเปน็ ปฐมาวภิ ตั ติ ส่วนตัววิกติกตั ตาในกมั มวาจกและภาววาจกต้องเปน็ ตติยาวิภตั ติ ๔๐๔
๑๓.๒๒ การแปล ภาว ศพั ท์ และปัจจัยในภาวตัทธิต ภาว ศพั ท์ และปัจจัยในภาวตัทธติ ๕ ทีม่ ีศพั ท์อื่นตอ่ ขา้ งหน้า มหี ลกั การแปล ดังนี้ ๑๓.๒๒.๑ ศัพท์ลง ยุ ปัจจัย ต่อกับ ภาว ศัพท์ หรือปัจจัยในภาวตัทธิต ให้แปล ภาว ศัพท์ หรอื ปัจจัยในภาวตทั ธิต ว่า “ความเป็นคอื อนั ….”๖ เช่น สตถฺ ุ คมนภาโว. แปลโดยพยัญชนะ อ. ความเป็นคืออันเสดจ็ ไป แหง่ พระศาสดา (คมน เปน็ ศัพทล์ ง ยุ ปัจจัย) สยนตา. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ความเปน็ คืออันนอน (สยน เป็นศัพทล์ ง ยุ ปจั จยั ต่อกับ ตา ปัจจยั ในภาวตทั ธิต) ๑๓.๒๒.๒ ศัพท์ลง ต ปัจจัย หรือศัพท์คุณนาม ต่อกับ ภาว ศัพท์ หรือปัจจัยใน ภาวตทั ธิต ใหแ้ ปล ภาว ศัพท์ หรอื ปจั จัยในภาวตัทธติ ว่า “ความที่แห่ง…เป็นผู้…” เชน่ สตถฺ ุ อาคตภาโว. แปลโดยพยัญชนะ อ. ความทแี่ หง่ พระศาสดา เป็นผู้เสด็จมาแลว้ (อาคต เปน็ ศพั ท์ลง ต ปจั จยั ) ตสสฺ ปรุ ิสสฺส โกวทิ ภาโว. แปลโดยพยัญชนะ อ. ความที่แหง่ บรุ ษุ น้ัน เปน็ ผู้ฉลาด (โกวิท เปน็ ศัพท์คุณนาม ต่อกบั ภาว ศพั ท)์ ๕ คาว่า “ภาวตัทธิต” แปลว่า ตัทธิตที่ใช้ ตฺต/ณฺย/ตฺตน/ตา/ณ/กณฺ ปัจจัย แทน ภาว ศัพท์ ถ้าศัพท์ลง ยุ ปัจจัย ต่อกับ กาล/เวลา/สมย หรือ าน ศัพท์ ให้แปลศัพท์ที่ลง ยุ ปัจจัยนั้นว่า “...เป็นท่ี…” เช่น สตฺถุ คมนกาเล = ในกาลเปน็ ที่เสดจ็ ไป แหง่ พระศาสดา ๖ ถ้าศพั ทล์ ง ต ปัจจยั ต่อกบั ศพั ทอ์ ื่น เชน่ กาล ศพั ท์ ให้แปลศัพทท์ ล่ี ง ต ปัจจัย นั้น วา่ “...แห่ง...แลว้ ” เช่น สตฺถุอาคตกาเล = ในกาลแห่งพระศาสดาเสด็จมาแล้ว. และถ้าศัพท์ลง ต ปัจจัย ต่อกับ ปุพฺพ ศัพท์ ให้แปลศัพท์ที่ลง ต ปจั จัย และ ปุพฺพ ศพั ท์ นั้น เปน็ วกิ ตกิ ตั ตาวา่ “เปน็ …แล้วในกอ่ น” เชน่ เอวรูปา ปูวา นาม น ทฏิ ฺ ปพุ ฺพา. (๑/๑๒๕) = ชอ่ื อ.ขนม ท.อันมอี ยา่ งนเี้ ป็นรูป เปน็ ขนมอนั เราเห็นแลว้ ในกอ่ น ย่อมเปน็ หามิได้, นตฺถตี ิ วจนมฺปิ เตน น สตุ ปุพพฺ . (๑/๑๒๔) = แม้ อ.คาวา่ ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี้ เปน็ คาอนั เจา้ อนรุ ุทธะนั้นฟงั แล้วในกอ่ น ย่อมเปน็ หามไิ ด้ ๔๐๕
ธมฺมารามตา. แปลโดยพยญั ชนะ อ. ความท่ีแห่ง บุคคล เป็นผู้มีธรรมเป็นท่ีมายินดี (ธมฺมาราม เป็นศัพท์คุณนาม ต่อกับ ตา ปจั จัยในภาวตัทธิต) ๑๓.๒๒.๓ ศัพท์นามนามต่อกับ ภาว ศัพท์ หรือปัจจัยในภาวตัทธิต ให้แปล ภาว ศัพท์ หรือ ปจั จัยในภาวตัทธิตว่า “ความเป็นแห่ง…” เช่น สมณภาโว. แปลโดยพยัญชนะ อ. ความเปน็ แหง่ สมณะ (สมณ เปน็ ศพั ท์นามนาม) มนุสสฺ ตตฺ . แปลโดยพยัญชนะ อ. ความเปน็ แห่ง มนษุ ย์ (มนุสสฺ เป็นศัพทน์ ามนาม ตอ่ กบั ตตฺ ปจั จัยในภาวตทั ธิต) ๑๓.๒๒.๔ อตฺถิ (หรือ นตฺถิ) ต่อกับ ภาว ศัพท์ หรือปัจจัยในภาวตัทธิต ให้แปล ภาว ศพั ท์ หรอื ปัจจยั ในภาวตัทธติ ว่า “ความที่แห่ง…มีอยู่ (หรอื ไมม่ )ี เช่น ธนสฺส อตถฺ ิภาโว. แปลโดยพยัญชนะ อ. ความท่แี หง่ ทรพั ย์ มอี ยู่ ๔๐๖
แบบฝึกหดั ท่ี ๑๔.๓ (การแปลขอ้ เบ็ดเตลด็ ) ใหแ้ ปลประโยคตอ่ ไปน้ีเป็นไทยโดยพยัญชนะ ๑. จตตฺ าโร ธมมฺ า วฑฺฒนตฺ ิ อายุ วณโฺ ณ สขุ พล. (๔/๑๔) ๒. สาวตฺถยิ กริ สริ คิ ุตโฺ ต จ ครหทินฺโน จ เทวฺ สหายกา อเหสุ. (๓/๙๐) ๓. โกสมพฺ ยิ หิ โฆสิตาราเม ปญจฺ สตปญจฺ สตปรวิ ารา เทฺว ภิกฺขู วหิ รสึ ุ วนิ ยธโร จ ธมฺมกถิโก จ. (๑/๔๙) ๔. ปุพฺเพ สนนฺ ิวาเสน ปจจฺ ปุ ฺปนนฺ หิเตน วา (ทฺวีหิ การเณหิ) เอว ต (เปม) (ชายมาน) ชายเต (๒/๒๑) ๕. โส (นิสฺสตฺตนิชฺชีวธมฺโม) อตฺถโต ตโย อรูปิโน ขนฺธา “เวทนากฺขนฺโธ สญฺ ากฺขนฺโธ สงฺขารกขฺ นฺโธติ. (๑/๒๑) ๖. ภคินิ ตยา กถิตสฺส ตถภาว วา วิตถภาว วา อหเมว ตวญจฺ ชานาม. (๖/๔๘) ๗. อวชิ ฺชา ปรม มล (โหติ). (๗/๑๖) ๘. มชฌฺ มิ วเย อปปฺ มตฺเตน หุตวฺ า กสุ ล กาตพฺพ. (๖/๕) ๙. อปุ าสกา มย สมคฺคา ชาตา. (๑/๕๓) ๑๐. โส (สามเณโร) สลี วิปตฺตึ ปตฺโต ภวิสสฺ ติ. (๑/๑๕) ๑๑. ตถาคตสฺส ตตฺถ หตฺถินาเคน อุปฏฺ ยมานสฺส วสนภาโว สกลชมฺพุทีเป ปากโฏ อโหสิ. (๑/๕๕) ๑๒. ภควา…พฺรหฺมทตฺเตน ทีฆีติสฺส โกสลรญฺโ รชฺช อจฺฉินฺทิตฺวา อญฺ าตกเวเสน วสนฺตสสฺ มาริตภาวญฺเจว ทีฆาวุกุมาเรน อตฺตโน ชีวิเต ทินฺเน, ตโต ปฏฺ าย เตส สมคฺคภาวญฺจ กเถตฺวา… เนว เต สมคเฺ ค กาตุ อสกฺข.ิ (๑/๕๗) ๔๐๗
คาศัพทท์ ค่ี วรทราบ ที่ คาศพั ท์ คาแปล ที่ คาศพั ท์ คาแปล ๑ ตถภาว ซงึ่ ความท่ี…เปน็ คาจริง ๕ อญฺ าตกเวเสน ดว้ ยเพศอนั บุคคลอนื่ ไมร่ ู้แลว้ ๒ วิตถภาว ซ่ึงความท่ี…เป็นคาไม่ ๖ มารติ ภาว ซ่ึงความที่…ใหส้ วรรคตแลว้ จรงิ ๓ วสนภาโว อ. ความเป็นคอื อันอยู่ ๗ สมคฺคภาว ซ่ึ ง ค ว า ม ท่ี …เ ป็ น ผู้ พ ร้ อ ม เพรยี งกันแล้ว ๔ อจฺฉนิ ฺทติ ฺวา ชงิ เอาแล้ว ๘ น อสกฺขิ ไม่ได้ทรงอาจแล้ว ๔๐๘
๑๓.๒๓ สรปุ ทา้ ยบท ขอ้ เบด็ เตล็ดทไี่ ด้นาเสนอในบทท่ี ๑๓ น้ี มที ั้งหมด ๒๑ ประเด็น ซง่ึ แตล่ ะประเดน็ มสี าระสาคัญ อาจสรปุ ได้ ดังนี้ ๑๓.๒๓.๑ ความหมายของการแปลข้อเบ็ดเตล็ด: คาว่า “การแปลข้อเบ็ดเตล็ด” หมายถึง การแปลขอ้ ปลีกย่อยทางภาษาบาลี ซ่งึ อาจจะเปน็ บทหรือคาศัพท์ หรือรปู ประโยค เป็นต้น ซง่ึ แต่ละประเด็นปลีกยอ่ ยจะมีเทคนคิ ในการแปลแตล่ ะเร่ืองตา่ งกัน ๑๓.๒๓.๒ การแปลมโนคณะในรูปประโยค: คาว่า “มโนคณะ” แปลว่า กลุ่ม หรือ หมู่ แห่งมนะ เป็นนามนามจาพวกกติปยศัพท์ รวมเฉพาะกลุ่มมนะ มีอยู่ ๑๒ ศัพท์ มน ศัพท์ ที่แปลท้ายคา เป็นวจนะในรูปตติยาวิภัตติ กรณการก เอกวจนะ เช่น มนสา ให้ใช้คาแปลประกอบได้ ๒ อย่าง ได้แก่ ๑) ให้แปลว่า “มี” ในกรณีท่ีสัมพันธ์เข้ากับบทประธานของประโยคท่ีเป็นกัตตา เรียกชื่อทางสัมพันธว์ า่ “อติ ถมั ภตู ” และ ๒) ให้แปลวา่ “ด้วย” ในกรณที ่ีสัมพนั ธ์เขา้ กบั กรยิ า เรียกชอื่ ทางสมั พันธว์ า่ “กรณ” ๑๓.๒๓.๓ การแปลรูปวิเคราะห์: ในการแปลรูปวิเคราะห์นั้น ให้ถือตามหลักการแปล ประโยคกัตตวุ าจกทุกประเภท แตม่ กี รณีพเิ ศษ คือ ใหเ้ พมิ่ ย ศพั ท์ ในรปู บทประธานวา่ โย เป็นประโยค ย และศัพทส์ าธนะใหเ้ พิ่ม ต ศัพท์มารับในรูปบทประธานวา่ โส เปน็ ประโยค ต ๑๓.๒๓.๔ การแปลบทสนธิ: หลักการแปลบทสนธิ ๓ ประการ ได้แก่ ๑) ศัพท์สนธิที่ไม่ เนื่องด้วยบทสมาส หรือไม่มีอุปสรรคนาหน้า เวลาแปลโดยพยัญชนะ ให้แยกออกจากกันเด็ดขาด ๒) ศัพท์สนธิท่ีเน่ืองด้วยบทสมาส เวลาแปลไม่ต้องแยก เพราะถือว่าสมาสย่อบทต้ังแต่ ๒ บทข้ึนไปให้เข้า เป็นบทเดียวกันแลว้ และ ๓) ศัพทส์ นธิทม่ี อี ปุ สรรคนาหนา้ เวลาแปลไม่ตอ้ งแยก ๑๓.๒๓.๕ การแปลศัพท์เสริมบท: ศัพท์เสริมบทเป็นศัพท์เสรมิ บทใหไ้ ด้ความเต็มท่ี อาจ ใช้ใน ๓ กรณี ได้แก่ ๑) กรณีเสริมบทที่อยู่ในรูปคาถา เรียกชื่อทางสัมพันธ์ว่า “ปทปูรณะ” แปลว่า เปน็ เครอ่ื งทาบทใหเ้ ต็ม ๒) กรณีเสรมิ บทที่ไมไ่ ด้อยใู่ นรูปคาถา เรียกช่ือทางสัมพันธว์ า่ “วจนาลังการะ” แปลว่า เป็นเครื่องประดับถ้อยคา และ ๓) กรณีเสริมศัพท์นิบาตดว้ ยกัน อยู่หลังศัพท์ใด เวลาแปลก็ให้ แปลรวบกับศพั ทน์ ้นั ๑๓.๒๓.๖ การแปลไข (วิวรยิ ะ-ววิ รณะ): ในการแปลอรรถกถา (แกอ้ รรถ) มเี ทคนคิ หรือ กลวิธีการแปลอย่างหนึ่ง น่ันก็คือ การแปลความของศัพท์หรือบทท่ียังไม่ชัดเจน ไปหาศัพท์หรือบทอื่น เพื่อให้ได้เนื้อความชัดเจนข้ึน เราเรียกกลวิธีการแปลเช่นน้ีว่า “การแปลไข” การแปลไขเป็นการแปล บท ขอ้ ความ หรือประโยค ท่ีมใี นคาถาโดยอธบิ ายขยายความออกไปหาบท ขอ้ ความ หรือประโยค ท่ีไม่ มีในคาถาให้ชัดเจนย่ิงขึ้น ซ่ึงมีลักษณะการแปลไข ๓ ประการ ได้แก่ ๑) ไขบทไปหาบท ๒) ไขวลีไปหา วลี (กลมุ่ คาหรือบทตง้ั แต่ ๒ บทขน้ึ ไป) และ ๓) ไขประโยคไปหาประโยค โดยมีหลักในการแปลไข ไดแ้ ก่ ๑) แปลโดยพยัญชนะ ให้แปลวา่ “คือว่า…” ทุกบททีไ่ ข และ ๒) แปลโดยอรรถ ให้แปลว่า “คอื ...” ๑๓.๒๓.๗ การแปลเป็น สญฺ -สญฺ า: ในการแปลอรรถกถา (แก้อรรถ) ยังมีกลวิธีการ แปลอีกอย่างหน่ึง คือ ถ้ามีบทหนึ่งหรือหลายบทกล่าวอธิบายความกันเอง ให้แปลเป็น สญฺ -สญฺ า การแปลเป็น สญฺ -สญฺ า น้ัน มีลักษณะคล้ายกับการแปลไข (วิวริยะ-วิวรณะ) แต่ลักษณะการวาง ๔๐๙
บทหรือหลายบทจะตรงข้ามกัน บทหรือหลายบทท่ีเป็นส่วนอธิบายความไม่มีในคาถาและวางอยู่ ข้างหน้า เรียกช่ือทางสัมพันธ์ว่า “สญฺ ” ส่วนบทหรือหลายบทที่พึงอธิบายความมีในคาถาและวางอยู่ ขา้ งหลัง เรยี กช่อื ทางสมั พันธว์ ่า “สญฺ า” ให้แปลว่า “ชอื่ ว่า…” ๑๓.๒๓.๘ การแปลหนุน: แปลบทท่ีมาจากคาถาซึ่งวางอยู่ข้างหลังว่า “ชื่อว่า…” ส่วน บทที่ไม่ได้มาหรือไม่มีในคาถาซ่ึงวางอยู่ข้างหน้า แปลว่า “เพราะ…” การแปลลักษณะเช่นน้ีเรียกว่า “การแปลหนุน” คือแปลหนุนบทท่ีมีอยู่ในคาถาน้ันว่า “ชื่อว่า…” หลักเกณฑ์ในการแปลหนุน อาจ จาแนกได้ ๒ อย่าง ได้แก่ ๑) ถา้ บทในอรรถกถา (แกอ้ รรถ) เปน็ บทท่ีมาจากคาถา (คอื มอี ยู่ในคาถา) วาง อยู่ข้างหลัง โดยมีบทข้างหน้าเป็นบทเหตุ ที่แปลว่า “เพราะ...” และ ๒) ถ้ากริยากิตก์ ประกอบด้วย อนฺต หรือ มาน ปัจจัย วางอยู่ข้างหน้า จะเป็นตัวขยายความกริยาอาขยาตท่ีมาจากคาถาซึ่งวางอยู่ข้าง หลงั เวลาแปลใหแ้ ปลหนนุ กรยิ าอาขยาตท่วี างอยขู่ า้ งหลังกริยากติ ก์นัน้ วา่ “ชอ่ื ว่า...” ๑๓.๒๓.๙ การแปลแยกศพั ท์เพ่ือจับคู่: ในการแปลโดยอรรถนัน้ จาเปน็ จะต้องแปลให้ได้ ความชัดเจน ฉะนน้ั ในบางกรณหี ากผู้แปล แปลไปโดยไมแ่ ยกศพั ทเ์ พ่ือจบั คู่ บทแปลทไ่ี ด้ก็จะไมช่ ดั เจน ๑๓.๒๓.๑๐ การแปล อิติ ตโต และ อิติ ตสฺมา: การแปลบาลีโดยเฉพาะการแปลใน คัมภีร์มังคลัตถทีปนี บางครั้งผู้แปลอาจจะพบคาว่า อิติ ตโต หรือ อิติ ตสฺมา มาคู่กัน ในกรณีเช่นน้ีให้ แปลพรอ้ มกันว่า “เพราะเหตฉุ ะนน้ี ัน้ ” ๑๓.๒๓.๑๑ การแปลกริยาวิเสสนะ: คาศัพทท์ ีเ่ ป็นวิเสสนะน้นั ถา้ ใชข้ ยายกรยิ า เรียกว่า กริยาวิเสสนะ บทกริยาวิเสสนะอาจเป็นบทนามที่ประกอบด้วยทุติยาวิภัตติ หรือบทกริยาที่ลงตูนาทิ ปัจจัย โดยวางอยู่หน้ากริยา เวลาแปลให้แปลต่อจากกริยา โดยจะไม่แปลออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “ซึ่ง” (กรณีเป็นบทนาม) และไม่ออกสาเนียงว่า “แล้ว” (กรณีเป็นบทกริยา) และในกรณีท่ีกริยา วิเสสนะมีธาตุเหมือนกับกริยาท่ีตนขยาย เวลาแปลโดยพยัญชนะ จะไม่ออกสาเนียงอายตนิบาต และ เวลาแปลโดยอรรถนิยมแปลเฉพาะธาตขุ องกริยาเทา่ นน้ั ส่วนธาตุของกริยาวิเสสนะไม่ต้องแปล แต่ศัพท์ ท่ีเขา้ สมาสกับกรยิ าวเิ สสนะนั้นต้องแปลด้วย ๑๓.๒๓.๑๒ การแปลบททุติยาวภิ ตั ติว่า “กะ/ซง่ึ ”: ในการแปลบททตุ ิยาวิภัตติว่า “กะ/ ซึ่ง” น้ัน มีหลักอยู่ว่า ในกรณีการแปลโดยพยัญชนะ ถ้าพบว่า บททุติยาวิภัตติ มาคู่กับ บทกริยาที่ ประกอบด้วยธาตุในความกล่าว เวลาแปลให้แปลบททุติยาวิภัตตินั้นโดยออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “กะ” และแปลหลัง อิติ ศัพท์ แต่ถ้าพบว่า บททุติยาวิภัตติ มาคู่กับ บทกริยาที่ประกอบด้วยธาตุใน ความถาม เวลาแปลให้แปลบททุติยาวิภัตตินั้น โดยออกสาเนียงอายตนิบาตว่า “ซึ่ง” และแปลก่อน อิติ ศัพท์ ส่วนในกรณกี ารแปลโดยอรรถ ให้แปลบททุติยาวภิ ัตติก่อนเปิด อติ ิ ศัพท์ ไม่วา่ บททตุ ิยาวิภัตติ นน้ั จะมาคูก่ บั บทกริยาในความกลา่ วหรอื ความถามก็ตาม ๑๓.๒๓.๑๓ การแปลบทวิกติกัมมะ: การแปลบทวิกติกัมมะ จะต้องไม่ออกสาเนียง “อายตนิบาต” และให้แปลหนุนเหมือนกับแปลบทวิกติกัตตา ต่างแต่ว่าการแปลบทวิกติกัมมะจะต้อง หนุนคาว่า “ให้” ขึ้นต้นเท่านั้น เช่น ให้เป็น/ให้เป็นผู้/ให้เป็นของ/ให้เป็นธรรมชาติ/ให้เป็นสภาพ…, เป็นตน้ ๑๓.๒๓.๑๔ การแปลบทสัมภาวนะ: บทสัมภาวนะทาหน้าที่คล้ายบทคุณนาม เป็นบทที่ ไม่มี อิติ ศัพท์คุม มักเข้ากับกริยาท่ีประกอบด้วยธาตุในความ กล่าว/เรียก/ถึง/รู้/เห็น/ดูหม่ิน อย่างใด อย่างหนงึ่ เวลาแปลตอ้ งหนุนคาวา่ “วา่ /ว่าเป็น” ๔๑๐
๑๓.๒๓.๑๕ การแปลบทอิตถัมภูต: บทอิตถัมภูตจะประกอบด้วยตติยาวิภัตติ มีวิธีแปล ๒ อย่าง ได้แก่ ๑) แปลต่อจากตัวประธานหรือนาม (ก่อนกริยา) ให้แปลว่า “มี” และ ๒) แปลหลัง กรยิ า ใหแ้ ปลวา่ “ดว้ ยทงั้ …” ๑๓.๒๓.๑๖ การแปลบทสัญญาวิเสสนะ: คาว่า “สัญญาวิเสสนะ” เป็นชื่อสัมพันธ์ของ บทวิเสสนะท่ีมีลักษณะเช่นเดียวกับบทวิเสสนะธรรมดานั่นเอง เพียงแต่ในเวลาแปลบทสัญญาวิเสสนะ ตอ้ งเติมคาว่า “ช่อื วา่ /ทรงพระนามวา่ …” เข้ามาโดยไมม่ ี นาม ศัพทก์ ากบั อยู่ ๑๓.๒๓.๑๗ การแปลบทวิเสสนวิปัลลาส: ตามปกติ บทวิเสสนะจะต้องมีลิงค์ วจนะ และวิภัตติเหมือนกับบทนามท่ีมันขยาย แต่ถ้าบทวิเสสนะบทใดมีลิงค์ต่างออกไป บทน้ันเรียกว่า วิเสสนลิงควิปัลลาส คือวิเสสนะท่ีมีลิงค์ต่างออกไป บางบทมีวจนะต่างกันออกไปเรียกว่า วิเสสนวจน- วิปัลลาส คือวิเสสนะที่มีวจนะต่างออกไป หรือบางบทมีทั้งลิงค์และวจนะต่างออกไปเรียกว่า วิเสสน- ลงิ ควจนวปิ ลั ลาส คือวเิ สสนะทมี่ ลี งิ คแ์ ละวจนะตา่ งออกไป สว่ นการแปลก็ใหแ้ ปลเหมือนอยา่ งการแปล วิเสสนะทวั่ ๆ ไป ๑๓.๒๓.๑๘ การแปลบทวิเสสลาภี: บทวิเสสลาภีเป็นบทนามนาม หรือ ปุริสสัพพนาม และอาจจะมี ลิงค์ เหมือนบทนามนามท่ีมันขยายหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมี วจนะ และ วิภัตติ ตรงกัน ใน การแปลบทวิเสสลาภี ผู้แปลต้องพิจารณาดูว่า บทวิเสสลาภีท่ีจะแปลนั้นประกอบด้วยวิภัตติใด และ เวลาแปลกต็ อ้ งแปลออกสาเนยี งอายตนิบาตของวภิ ตั ตนิ นั้ ตามปกติ แต่ให้แปลหนุนคาวา่ “คือ” เขา้ มา ๑๓.๒๓.๑๙ การแปลบทสรูป: บทสรูป คือ บทนามนามบทเดียวหรือหลายบทที่ทา หน้าที่ขยายบทท่ีกล่าวรวมให้ชัดเจน บทสรูปจะมีวิภัตติเหมือนกับบทนามนามที่มันขยาย แต่วจนะ ต่างกัน ส่วนใหญ่บทนามนามที่บทสรูปขยาย จะเป็นพหุวจนะ ส่วนบทสรูปก็จะเป็นเอกวจนะเป็น ส่วนมาก โดยทัว่ ไป บทสรูปจะคลา้ ย ๆ กับบทวิเสสลาภี แต่มีขอ้ ทต่ี ่างกันอย่างชัดเจนก็คือ บทสรูปจะมี วจนะต่างกับบทนามนามที่มันขยาย ในเวลาแปลบทสรูป ก็ให้ออกสาเนียงอายตนิบาตตามปกติ และ ให้หนุนคาว่า “คอื อ.” (คอื อันว่า) เข้ามา ๑๓.๒๓.๒๐ การแปลบทท่ีต้องแปลเป็นวิกติกัตตา: บทวิกติกัตตา คือ บทท่ีทาหน้าที่ ขยายนามนามที่เป็นตัวกัตตาให้ชัดเจนสมบูรณ์ บทท่ีจะต้องแปลเป็นวิกติกัตตา ได้แก่ บทที่อยู่ใกล้ธาตุ ๔ ได้แก่ หุ, ภ,ู อสฺ และ ชนฺ ธาตุ และในเวลาแปลตอ้ งหนนุ คาวา่ “เปน็ …” เข้ามา ๑๓.๒๓.๒๑ การแปล ภาว ศัพท์ และปัจจัยในภาวตัทธิต: ภาว ศัพท์ และปัจจัยใน ภาวตัทธิต ท่ีมีศัพท์อื่นต่อข้างหน้า มีหลักการแปล ได้แก่ ๑) ศัพท์ลง ยุ ปัจจัย ต่อกับ ภาว ศัพท์ หรือ ปัจจัยในภาวตัทธิต ให้แปล ภาว ศัพท์ หรือปัจจัยในภาวตัทธิตว่า “ความเป็นคืออัน...” ๒) ศัพท์ลง ต ปัจจัย หรือศัพท์คุณนาม ต่อกับ ภาว ศัพท์ หรือปัจจัยในภาวตัทธิต ให้แปล ภาว ศัพท์ หรือปัจจัย ในภาวตทั ธติ วา่ “ความท่แี หง่ …เปน็ ผู้…” ๓) ศพั ท์นามนามตอ่ กับ ภาว ศพั ท์ หรือปัจจัยในภาวตทั ธิต ให้แปล ภาว ศัพท์ หรือปัจจัยในภาวตัทธิตว่า “ความเป็นแห่ง…” และ ๔) อตฺถิ (หรือ นตฺถิ) ต่อกับ ภาว ศพั ท์ หรือปัจจัยในภาวตัทธติ ใหแ้ ปล ภาว ศพั ท์ หรือปจั จัยในภาวตทั ธิตว่า “ความทีแ่ ห่ง...มีอยู่ (หรอื ไมม่ )ี ๔๑๑
บรรณานกุ รม กรรมการกองตารามหามกุฏราชวทิ ยาลยั . (๒๕๓๘). อธบิ ายบาลไี วยากรณ์ นามกิตถ์ และ กิรยิ ากิตก์. (พิมพค์ รงั้ ที่ ๑๔). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. กรรมการกองตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๔๐). อธิบายบาลีไวยากรณ์ อาขยาต. (พิมพ์ครั้งท่ี ๑๗). กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . กรรมการกองตารามหามกุฏราชวทิ ยาลยั . (๒๕๔๑). อธิบายบาลีไวยากรณ์ นาม และ อัพยยศพั ท.์ (พิมพ์ คร้งั ที่ ๑). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๑๔). พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๕. (พิมพ์ครั้งที่ ๘). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวิทยาลยั . กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๑๕). พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๗. (พิมพ์ครั้งท่ี ๗). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๑๕). พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๘. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลัย. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๑๖). พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๖. (พิมพ์คร้ังท่ี ๘). กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๑๗). พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๒. (พิมพ์คร้ังท่ี ๘). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวทิ ยาลัย. (๒๕๑๙). พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๓. (พิมพ์คร้ังท่ี ๑๐). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๒๒). พระธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๔. (พิมพค์ รั้งท่ี ๑๐). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพม์ หามกุฏราชวทิ ยาลัย. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวทิ ยาลัย. (๒๕๓๘). อธบิ ายวากยสัมพนั ธ์ เล่ม ๑. (พมิ พ์คร้ังที่ ๙). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวทิ ยาลัย. (๒๕๓๙). พระธมั มปทัฏฐกถาแปล ภาค ๑. (พิมพค์ รงั้ ท่ี ๘). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๓๙). อธิบายวากยสัมพันธ์ เล่ม ๒. (พิมพ์ครั้งท่ี ๗). กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. กรรมการแผนกตารามหามกุฏราชวิทยาลัย. (๒๕๔๑). วิธีแปลไทยเป็นมคธ. (พิมพ์คร้ังท่ี ๙). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวทิ ยาลัย. กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. (๒๕๓๖). คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ อษุ าการพมิ พ.์ กลุ่มศึกษานิรุตติศาสตร์. (๒๕๔๐). คัมภีร์ปทรูปสิทธิแปลและอธิบาย เล่ม ๒. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. ๔๑๒
การศาสนา, กรม. (๒๕๒๘). ปัญหาและเฉลยบาลีสนามหลวง ประโยค ๑-๒ และ ป.ธ.๓ พ.ศ. ๒๕๑๘- ๒๕๒๘. กรุงเทพฯ: โรงพิมพก์ ารศาสนา. เกษม บุญศรี. (ม.ป.ป.). พระธัมมปทัฏฐกถา แปลโดยพยัญชนะ ภาค ๑-๘. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ลูก ส. ธรรมภักด.ี จตุรงั คพล, มหาอามาตย์. (พระศรีสทุ ธิพงศ์ ปรวิ รรต). (๒๕๒๗). อภิธานปปฺ ทีปกิ าฏกี า. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ เทคนิค. จันทบุรีนฤนาถม, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ . (๒๕๑๓). ปทานุกรม บาลี ไทย อังกฤษ สันสกฤต. กรุงเทพฯ: ห.จ.ก. ศิวพร. ชินวรสิริวัฒน์, สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง. (๒๕๔๖). พระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกาหรือพจนานุกรม ภาษาบาลีแปลเป็นไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พโ์ สภณพพิ รรธนากร. เชวง จันทรเขตต์. (๒๕๒๘). การแปลเพ่ือการสื่อสาร. กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์ไทยวฒั นาพานิช. เทพดรุณานุศิษฏ์, หลวง. (ทวี ธรมธัช). (๒๔๙๔). พจนานุกรมธาตุสํสกฤตสําหรับใช้สอนเทียบกับธาตุ บาลี. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลยั . เทพดรุณานุศิษฏ์, หลวง. (ทวี ธรมธัช). (๒๕๐๙). ธาตุปปทีปิกาหรือพจนานุกรมบาลี-ไทย แผนกธาตุ ประกอบดว้ ยหลกั ไวยกรณ์ชน้ั สูง. (พิมพ์คร้งั ท่ี ๓). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . ธงชยั สมุ นจักร. (๒๕๓๘). ประมวลฉันทลักษณ์. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา. นาคะประทีป (พระสารประเสริฐ). (๒๔๖๕). บาลี-สยาม อภธิ าน. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ไท. บุญมี พมิ พ์โพธ์ิ และคณะ. (๒๕๒๐). ธรรมบทวิจารณ์ ภาค ๑. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ลูก ส. ธรรมภักด.ี บญุ สบื อนิ สาร. (๒๕๓๙). เทคนคิ การแปลมคธเปน็ ไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์และทาปกเจรญิ ผล. บุญสืบ อินสาร. (๒๕๔๐). บาลีไวยากรณ์สําหรับท่อง ฉบับรวมท้ัง ๔ เล่ม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์และทาปก เจรญิ ผล. บญุ สบื อินสาร. (๒๕๔๒). ธรรมบท ภาค ๑-๔ แปลโดยพยัญชนะ ฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่. (พิมพ์ครั้งท่ี ๒). กรุงเทพฯ: รุ่งนครการพมิ พ์. บุญสืบ อินสาร. (๒๕๔๓). ธรรมบท ภาค ๕-๘ แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสืบสานปริยัติ. (พิมพ์ครั้งท่ี ๑). กรุงเทพฯ: รุ่งนครการพมิ พ.์ บุญสืบ อินสาร. (๒๕๔๔). เทคนิคการแปลธรรมบท ฉบับสืบสานปริยัติ. (พิมพ์ครั้งท่ี ๗). นนทบุรี: สานักพิมพส์ ืบสานพุทธศาสน.์ บุญสืบ อนิ สาร. (๒๕๔๔). เทคนคิ การสัมพนั ธไ์ ทย. (พิมพค์ รัง้ ท่ี ๑). นนทบุรี: รา้ นสบื สานพุทธศาสน์. ป. หลงสมบุญ. (๒๕๑๙). พจนานุกรมบาลี-ไทย. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพร้าว. ประจวบ สาเกตุ. (๒๕๓๔). หลักท่องจําวิชาสัมพันธ์ไทย ป.ธ.๓. (พิมพ์ครั้งที่ ๑). กรุงเทพฯ: ร้านเรือง ปัญญา. ประดิษฐ์ บุญยะภักดี. (๒๕๓๘). คู่มือเรียนบาลีด้วยตนเอง. (พิมพ์ครั้งที่ ๔). กรุงเทพฯ: บริษัท ประยูร วงศพ์ รนิ้ ท์ด้ิง จากดั . ปราณี บานชน่ื . (๒๕๒๓). การแปลขน้ั สงู . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปริยัติธรรมธาดา, พระยา. (แพ ตาละลักษณมณี). (๒๔๕๙). พระบาฬีลิปิกรม แปลลําดับศัพท์บาลีเป็น ไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์พศิ าลบรรณนิต์.ิ ๔๑๓
ปรียา อุนรัตน์. (๒๕๓๓). การแปลอังกฤษเป็นไทย. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ดวงกมล, อ้างจาก Tyer A.F. Essays on the Principles of Translation. Amsterdam: John Benjamin, 1978. พจนสุนทร, พระยา. (เรือง อติเปรมานนท์). (๒๔๖๗). อักขรานุกรมธรรมบท. (พิมพ์คร้ังท่ี ๒). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พไ์ ท. พระกจั จายนะ. (๒๕๔๐). กจฺจายนพฺยากรณํ. กรงุ เทพฯ: วริ ิยะวฒั นาโรงพิมพ.์ พระเทพวิสุทธิกวี. (๒๕๒๘ ). การพั ฒ น าจิต แปลโดย ศิริ พุ ทธศุกร์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวทิ ยาลัย พระธรรมกิตต.ิ (พระคนั ธสาราภิวงศ์ ชาระ). (๒๕๔๑). พาลาวตาโร. ลาปาง: จติ วัฒนาการพิมพ.์ พระพุทธโฆษาจารย์. (๒๕๐๙). ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๘. (พิมพ์คร้ังท่ี ๑๖). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. พระพุทธโฆษาจารย์. (๒๕๑๔). ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๕. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๙). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . พระพุทธโฆษาจารย์. (๒๕๑๖). ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๒. (พิมพ์คร้ังที่ ๒๐). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . พระพุทธโฆษาจารย์. (๒๕๑๗). ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๓. (พิมพ์คร้ังท่ี ๒๐). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . พระพุทธโฆษาจารย์. (๒๕๑๘). ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๑. (พิมพ์ครั้งท่ี ๒๒). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลัย. พระพุทธโฆษาจารย์. (๒๕๑๘). ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๖. (พิมพ์ครั้งที่ ๑๖). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั . พระพุทธโฆษาจารย์. (๒๕๑๙). ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๔. (พิมพ์คร้ังที่ ๑๙). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวิทยาลัย. พระพุทธโฆษาจารย์. (๒๕๒๐). ธมฺมปทฏฺ กถา ภาค ๗. (พิมพ์คร้ังที่ ๑๖). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. พระพุทธัปปยิ ะ. (๒๕๒๖). ปทรปู สทิ ฺธิ. กรุงเทพฯ: เฉลมิ ชาญการพมิ พ.์ พระมหาจารัส ฐิตโชติ. (๒๕๓๓). คู่มือบาลีไวยากรณ์. (พิมพ์ครั้งที่ ๗). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรสมัย (คอมพิวกราฟฟิค). พระมหาฉลาด ปริ าโณ. (๒๕๓๔). หลักการแปลไทยเป็นมคธโดยสังเขป. (พิมพ์คร้ังที่ ๑). กรุงเทพฯ: โรงพิมพเ์ ลย่ี งเชียง. พระมหานิยม อุตตโม. (๒๕๒๓). บนั ทึกบทเรียนบาลีไวยากรณ์. ขอนแก่น: หจก. โรงพิมพ์คลังนานาวิทยา. พระมหานยิ ม อุตตโม. (๒๕๒๓). หลักสูตรย่อบาลีไวยากรณ์. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพเ์ ล่ียงเชยี ง. พระมหานิยม อตุ ตโม. (๒๕๓๒). วธิ ีแปลภาษามคธเป็นภาษาไทย. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์เลี่ยงเชียง. พระมหาเวทย์ วรัญญู. (๒๕๔๑). แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ กิริยากิตก์. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). นครปฐม: โรงพิมพส์ ถาบนั พฒั นาการสาธารณสขุ อาเซยี น มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. ๔๑๔
พระมหาเวทย์ วรัญญู. (๒๕๔๑). แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ นามกิตก์. (พิมพ์คร้ังที่ ๒). นครปฐม: โรงพิมพส์ ถาบันพฒั นาการสาธารณสขุ อาเซยี น มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. พระมหาเวทย์ วรัญญ.ู (๒๕๔๑). แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ นามศัพท์-อัพยยศัพท์. นครปฐม: โรงพิมพ์สถาบนั พฒั นาการสาธารณสขุ อาเซียน มหาวิทยาลยั มหดิ ล. พระมหาเวทย์ วรัญญู. (๒๕๔๑). แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ สมาส-ตัทธิต. (พิมพ์ครั้งท่ี ๒). นครปฐม: โรงพมิ พ์สถาบนั พฒั นาการสาธารณสุขอาเซยี น มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. พระมหาเวทย์ วรัญญู. (๒๕๔๑). แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบ อาขยาต. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). นครปฐม: โรงพิมพ์สถาบันพฒั นาการสาธารณสขุ อาเซยี น มหาวิทยาลยั มหดิ ล. พระมหาเวทย์ วรญั ญู. (๒๕๔๑). แบบเรียนบาลีไวยากรณ์สมบูรณ์แบบสมัญญาภิธาน-สนธิ. (พิมพ์ครั้งท่ี ๑). นครปฐม: โรงพิมพ์สถาบนั พฒั นาการสาธารณสขุ อาเซียนมหาวทิ ยาลัยมหิดล. พระมหาศักรินทร์ ศศพินทุรักษ์. (๒๕๑๕). หลักควรจําบาลีไวยากรณ์. กรุงเทพฯ: หจก.รุ่งเรืองสาส์น การพมิ พ.์ พระมหาศักรินทร์ ศศพินทุรักษ์. (๒๕๑๕). หลักควรจําบาลีไวยากรณ์. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เล่ียงเชียงจง เจริญ. พระมหาสมคิด จินตามโย. (๒๕๓๘). คู่มือหลักเกณฑ์การแปลบาลี. (พิมพ์ครั้งท่ี ๔). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ เลี่ยงเชียง. พระมหาสมใจ ปญญาทีโป. (๒๕๒๘). ปทรปู สทิ ธิแปล. กรงุ เทพฯ: ห.จ.ก.พทิ กั ษ์การพมิ พ์. พระราชวสิ ุทธิโมลี. (๒๕๒๗). คมู่ ือการศึกษาบาล.ี กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา. พระวิสทุ ธสิ มโพธ.ิ (๒๕๒๐). ปทานกุ รมกิริยาอาขยาต. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพธ์ รรมบรรณาคาร. พระศรีสทุ ธพิ งศ์ (สมศกั ด์ิ อปุ สโม). (๒๕๓๑). กจฺจายนสงฺเขป. กรุงเทพฯ: บริษัทธรรมสาร. พระศาสนโศภน (แจ่ม จตตสลโล). (๒๔๙๕). สวดมนต์แปล. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . พระอมราภริ ักขิต. (๒๕๓๘). อธบิ ายบาลีไวยากรณ์ สมัญญาภิธานและสนธิ. (พิมพ์คร้ังที่ ๑๔). กรุงเทพฯ: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. พระอุดมญาณโมลี. (๒๕๓๘). คู่มือฝึกหัดแต่งไทยเป็นมคธ. (พิมพ์ครั้งท่ี ๕). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลยั . ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๔๖). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. (พิมพ์คร้ังท่ี ๑). กรุงเทพฯ: บริษทั นานมบี ุ๊คส์พบั ลเิ คช่นั ส์ จากดั . วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. (๒๕๔๐). อุภัยพากยปริวัตน์. (พิมพ์คร้ังที่ ๓๐). กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . เวทย์ วรัญญู. (๒๕๔๕). หลักเกณฑ์การแปลบาลีและหลักสัมพันธ์. (พิมพ์คร้ังท่ี ๓). นครปฐม: บรรณกร การพิมพ.์ สนามหลวงแผนกบาลี. (๒๕๔๒). เรอ่ื งสอบบาลี ๒๕๑๐-๒๕๔๒. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพก์ ารศาสนา. สมเด็จพระวันรัต (ฑิต อุทยมหาเถระ). (๒๕๓๑). มูลน้อยอาศัยมูลใหญ่. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. ๔๑๕
สารประเสริฐ, พระ. (ต.นาคะประทีป). (๒๕๔๖). บาลีอภิธานัปปทีปิกา พร้อมทั้งสูจิ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ไท. สุวิทย์ ภาณุจารี. (๒๕๔๕). การแปลอังกฤษ-ไทย-อังกฤษ. (พิมพ์คร้ังที่ ๑). กรุงเทพฯ: บริษัท ธนาเพรส แอนด์ กราฟฟคิ จากัด. อนุกรรมการเฉพาะกิจ. (๒๕๓๖). คําถาม-คําตอบเก่ียวกับพระพุทธศาสนา เล่ม ๑. (พิมพ์ครั้งที่ ๓). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์บริษัทศรีเมืองพร้ินติ้ง จากัด, อ้างถึงใน สุวิทย์ ภาณุจารี. “การแปลอังกฤษ- ไทย-อังกฤษ”. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั ธนาเพลส แอนด์ กราฟฟิค จากัด, ๒๕๔๕. อเนก ขาทอง. (๒๕๓๕). คู่มือการแปลประโยคที่น่าสนใจ สําหรับประโยค ๑-๒ เล่ม ๑-๔. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พก์ ารศาสนา. อเนก ขาทอง. (๒๕๓๖). คู่มือการแปลประโยคที่น่าสนใจ สําหรับประโยค ๑-๒ เล่ม ๕-๘. กรุงเทพฯ: โรงพิมพก์ ารศาสนา. Barnwell, Katherine. ( 1 9 7 8 ) . Bible Translation: An Introductory Course in Basic Translation principles. Nigeria: Bible Translation Trust, Jos., 1 9 7 8 , อ้ า ง ถึ ง ใ น รศ.ปรยี า อุนรตั น์ “การแปลอังกฤษเป็นไทย”. กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์ดวงกมล, ๒๕๓๓. Larson, Mildred. ( 1 9 8 4 ) . Meaning-based Translation: A Guide to Cross-Language Equivalence. New York: University Press of America, อ้างถึงใน สุวิทย์ ภาณุจารี “การ แปลอังกฤษ-ไทย-อังกฤษ”. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั ธนาเพลส แอนด์ กราฟฟคิ จากัด, ๒๕๔๕. ๔๑๖
ภาคผนวก ๔๑๗
ภาคผนวก ๑ เรอ่ื ง การแปลบาลเี ปน็ ไทย ระดับความหมายและสานวนโวหาร (idiomatic) ในส่วนนี้จะแสดงขั้นตอนและตัวอย่างการแปลบาลีเป็นไทยในระดับ ความหมายและสานวน โวหาร (idiomatic) เพ่ือให้ผู้ศึกษาวิชาแปลบาลีเป็นไทย หรือผู้ท่ีสนใจ ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการ พัฒนาความสามารถด้านการแปลบาลีเป็นไทยในระดับสูงต่อไป การแปลระดับความหมายและสานวนโวหาร (idiomatic) คือ การแปลระดับที่ดีมากท้ัง ด้านความหมายและสานวนโวหาร เป็นการแปลที่ถือกันว่า ได้ความหมายใกล้เคียงกับข้อความเดิม มี สานวนเปน็ ธรรมชาติในภาษาทีส่ องหรือภาษาฉบบั แปลมากทสี่ ดุ ขั้นตอนการแปลบาลีเป็นไทยระดับความหมายและสานวนโวหาร อาจแบ่งออกเป็น ๓ ขัน้ ตอน ดงั นี้ ข้ันตอนท่ี ๑: วิเคราะห์ หมายถึง การหาความหมายของข้อความหรือประโยคท่ีต้องการแปล ในภาษาบาลี โดยการวิเคราะห์รูปแบบของภาษาบาลีท่ใี ชแ้ สดงขอ้ ความนั้น ข้ันตอนท่ี ๒: ถ่ายทอด หมายถึง การถ่ายทอดความหมายที่วิเคราะห์ได้ในข้ันแรกจากภาษา บาลไี ปสู่ภาษาไทย โดยใช้ข้อความหรอื ประโยคท่แี สดงออกดว้ ย (รปู แบบของ) ภาษาไทย ขั้นตอนที่ ๓: ปรับบท หมายถึง การปรับแต่งข้อความที่ได้จากการถ่ายทอดในขั้นท่ีสอง ให้ สอดคล้องกบั ลักษณะของภาษาไทย และเหมาะสมกบั วตั ถุประสงค์แหง่ การแปล ดูตัวอยา่ ง (๑) โสตฺถิ ปิยทยฺยรฏฺ วาสีน โหตุ สพฺพทา ฯ อชฺช ปนาย โภนฺโต โลกสมฺมตินิยาเมน พุทฺธปริ- นิพฺพานโต ปฏฺ าย ปญฺจสตาธิกาน ทฺวินฺน สหสฺสานมุปริ อฏฺ จตฺตาฬีสมสฺส สวจฺฉรสฺส ปริโยสานทิวโส โหติ, อายติญฺจ ปญฺจสตาธิกาน ทฺวินฺน สหสฺสานมุปริ เอกูนปญฺ าสมสฺส สวจฺฉรสฺส อาทิภูตทิวโส (ป มทิวโส) ฯ เอวญฺหิ เยภุยเฺ ยน มนสุ ฺสา อมหฺ าก ชวี ติ เอกสวจฉฺ ร วีตวิ ตตฺ อโหสิ ปุนเรว จ อภินวสวจฉฺ ร ปวตฺตตีติ เอวมาทนิ า นเยน จนิ ฺเตนฺติ มนยนตฺ ิ มนสกิ โรนฺติ ฯ คาแปล พี่น้องชาวไทยที่รักทั้งหลาย วันน้ี เป็นวันสุดท้ายของปี ๒๕๔๘ และจะเป็นวันต้นปี ๒๕๔๙ ตามที่ชาวโลกกาหนดไว้ เม่ือกาหนดกันไว้อย่างนี้ต่างก็มีความรู้สึกว่า ตนได้มีชีวิตผ่านมาอีกปี ๑ แล้ว และจะเริม่ ยา่ งเข้าปใี หมต่ อ่ ไป ๔๑๘
(๒) โย เจ ปณฺฑิโต อตฺถโต อิม อภินวสวจฺฉรภาว ยถาภูต สมนุปสฺเสยฺย ฯ ตสฺเสวมสฺส ต โข ปเนต สมฺมติสจฺจมตฺต วา โหติ ปญฺ ตฺติมตฺต วา, ย ปุพฺพสวจฺฉเร อติกฺกนฺเต (วีติวตฺเต) อภินวสวจฺฉร ปุเนว ปากฏภี ตู โหติ ฯ คาแปล เร่ืองปใี หม่นี้ ถ้าพจิ ารณากันตามความเปน็ จรงิ แล้ว ก็จะเห็นไดว้ ่า การสน้ิ ไปแห่งปีเก่าและข้นึ ปี ใหมน่ ้ี เปน็ เพียงการสมมติหรือบัญญัติข้ึน (๓) อิทานิ โข มหาราช มงคฺ ลวิเสสกถ วสิ ชเฺ ชสสฺ ามิ มหาราชสสฺ อปุ นสิ สฺ ยสสฺ านุรเู ปน ปญฺ า- ปารมมิ นพุ รฺ หู ติ ุ ฯ อยญหฺ ิ มงฺคลวิเสสกถา มหาราชสสฺ มหามงฺคลสมโยติ อภลิ กฺขิตสมเย ปสาทนยี กถา- ภตู า เจว โหติ มงฺคลานุโมทนา จ ฯ คาแปล บัดน้ี จะรับประทานวิสัชชนาในมงคลวิเสสกถา ฉลองพระเดชพระคุณประดับปัญญาบารมี ตามพระบรมราชประสงค์ เป็นปสาทกถามงคลานุโมทนา ในพระมหามงคลสมยั อภลิ กั ขิตกาล (๔) ปญฺ า จ นาเมสา อภิญฺห ภาวิตา พหุลีกตา ภิยฺโยโส มตฺตาย วฑฺฒติ ฯ นิทสฺสน เจตฺถ ทฏฺ พฺพ ยถา นาม ยนฺตจกกฺ เนว อภณิ หฺ วลญฺชติ ต อกมฺมนิย โหติ ฯ ยมฺปน ยนตฺ จกกฺ ตตกรณียสสานุ- รเู ปน อภณิ ฺห วลญชฺ ิตพฺพ เยว ต กมมฺ นิยเมว โหติ, เอวเมว ปญฺ าปิ ฯ คาแปล ปัญญานั้น ต้องหมั่นอบรมหมั่นใช้ จึงจะเจริญยิ่ง ๆ ข้ึน เปรียบเหมือนกับเครื่องยนต์ที่หมั่นใช้ อยูเ่ สมอจึงคล่อง (๕) อมิ สฺมิมปฺ น วโรกาเส อิธ สมาคตาน ตมุ ฺหาก รตนตฺตยานภุ าว อาทาย วร ทมมฺ ิ ฯ รตนตตฺ ยานภุ าเวน รตนตฺตยเตชสา สพเฺ พปิ สขุ ติ า โหถ อนีฆา นริ ุปทฺทวา วฑุ ฒฺ ึ ปปฺโปถ เวปลุ ลฺ วริ ุฬฺหึ จตุ ตฺ รึ สทาติ ฯ คาแปล ในโอกาสน้ี ขออาราธนาคุณพระศรีรตั นตรัย ไดโ้ ปรดดลบันดาลให้ทา่ นท้ังหลายที่มาประชุมกัน ณ ทน่ี ้ี ได้มคี วามสขุ ความเจรญิ โดยท่วั กัน (๖) ตสฺมิญฺจ สมเย จกฺกิวโส ปญฺจมมหาราชสฺยามิกานมินฺโท ทยฺยภาสาย พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อิติ เอว ปรมาภิเธยฺโย ขตฺติโย มหาราชา เย ทยฺยภาสาย ญี่ปุ่น พม่า ลังกา ไซบี เรีย อติ ิ เอว นาเมสุ วิเทเสสุ พทุ ธฺ สาสนกิ า ขตตฺ ยิ าทโย อสิ ฺสริยปปฺ ตตา อตฺตโน อตฺตโน ราชทูต สปริวาร ๔๑๙
ตาส พุทธฺ สารรี ิกธาตนู มาภจิ นตฺถาย สยฺ ามรฏฺ อยุ ฺโยเชสุ ฯ เตส เยวตฺถาย ยถารห ตา วภิ ชิตฺวา อทาสิ ฯ ตโต จ อวเสสาน พุทฺธสารีริกธาตูน นิธานตฺถาย กสมยเจติย กาเรตฺวา ต ทยฺยภาสาย สระเกศ อิติ เอว นามาราเม สุวณฺณปพฺพตมตฺถเก ถูปสฺสนฺโต คุหาย ปติฏฺ าเปสิ ฯ ยญฺจ ยาวชฺชตนา มหาชโน สกฺกโรติ ครกุ โรติ มาเนติ ปูเชติ ฯ คาแปล คร้ังนั้น พวกท่ีนับถือพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ คือ ญี่ปุ่น พม่า ลังกา และประเทศ ไซบีเรีย แต่งต้ังทูตเข้ามาขอพระบรมธาตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แบ่ง พระราชทานให้ตามความประสงค์ พระบรมธาตุท่ีเหลือน้ัน โปรดให้สร้างพระเจดีย์สัมฤทธิ์เป็นท่ีบรรจุ ประดิษฐานไว้ในคูหาพระสถูปบนยอดพระบรมบรรพต วัดสระเกศ เป็นที่สักการะบูชาของมหาชนมา จนถึงทกุ วันน้ี (๗) ยสฺมิญฺหิ ภูมิภาเค สมฺพหุลา เอกโต หุตฺวา นิวสนฺติ, โสปิ นครนฺติ วา ปเทโสติ วา วุจฺจติ ฯ ตตเฺ ถว ทปุ ปฺ เภทา มนสุ สฺ า อจิ ฉฺ ติ พพฺ า กสิกมฺมาทกิ ารี เจว ปสาสนการี จาติ ฯ เตสุ ปเนว กสิ กมฺมาทิกา รี ฯ เสยฺยถาปิ นาม ยสฺมึ กุเล ปรทตฺตูปชีวีเยว พหุตฺตรา อเหสุ, กสิกมฺมการี ปน อปฺปตรา, ตเมว นจิรสฺเสว ปริหานึ ปาปุณาติ, สเจ ปน ตสฺมึ กุเล มนุสฺสา อตฺตโน อตฺตโน สามตฺถิยานุรูเปน กสิกมฺมาทนี ิ อนุยญุ เฺ ชยยฺ ุ ปริโภคญจฺ กเรยฺยุ, เตสเยว กลุ อทธฺ นยิ โหติ จิรฏฺ ตกิ , เอวเมว ยสมฺ ึ ปเทเส กสกิ มมฺ าทิการี อปฺปตรา ว, ปรทตฺตูปชีวี ปน พหุตฺตรา ตสฺส ปริหานิเยว ปาฏิกงฺขา โน วุฑฺฒิฯ ตสฺมา หิ กสิกมฺมาทิการี ปเทสสสฺ พลวภาวตฺถาย อิจฺฉิตพฺพา ฯ คาแปล ในชุมนุมชนที่ตั้งเป็นปึกแผ่นแห่งหนึ่งในแผ่นดิน ซึ่งเรียกว่าบ้านเมืองประเทศน้ี จาต้องมีคน ๒ จาพวกคือ คนทากิน ๑ คนปกครอง ๑ ในครอบครัวแห่งหนึ่งมแี ต่คนกินมากคนหาน้อย ครอบครัวน้ันไม่ ชา้ กถ็ งึ ความล่มจม แต่ถา้ ชว่ ยกันหาชว่ ยกันกินก็จะตั้งอยไู่ ด้ ประเทศก็เหมือนกันมคี นทากินน้อย แตม่ ีคน คอยกินมาก ก็ไมเ่ จริญ มีแต่ความเสอ่ื มทราม เหตนุ ้จี าพวกคนทากินจงึ เป็นกาลังของประเทศ (๘) เยเกจิ หิ สตตฺ า อมิ สมฺ ึ โลกสนฺนวิ าเส สวชิ ฺชนฺติ, สพฺเพเต สขุ กามา โหนฺติ ทกุ ขฺ ปฺปฏกิ ุลา ฯ ตมฺปเนต สุข นาม ทิฏฺ ธมฺมิกสมฺปรายิกปรมตฺถสุขวเสน ติวิธ โหติ ฯ ตตฺถ ทิฏฺ ธมฺมิกสุข นาม ย ทิฏฺเ ว ธมเฺ ม อนภุ วติ พฺพ สุข, ตญจฺ สมฺพหเุ ลหิ สตฺเตหิ อจิ ฉฺ ิตเมว โหติ ฯ สมปฺ รายกิ สขุ นาม ย อุปชชฺ ิตพพฺ ภาเว สุขิโต ภวิสฺสามิ วุฑฺฒิปตฺโตติ เอว ปตฺถต, สมฺปราเย อปรสฺมึ ภเว สุข, ยมฺปน สุข ปรมตฺถภูต โหติ โลกุตตฺ ร, ต ปรมสขุ นาม ฯ คาแปล อันบุคคลท้ังหลายที่เกิดมาในโลกล้วนปรารถนาความสุข แต่ความสุขน้ันจาแนกได้เป็น ๓ ประการ คอื ความสุขในปัจจบุ ัน ความสขุ ที่ทันตาเห็นในภพปจั จุบันน้ี เป็นความสุขทบี่ ุคคลท้ังหลายมุ่ง หมายเป็นอย่างมากประการหน่ึง ความสุขในสัมปรายภพ คือในภพหน้าซ่ึงเป็นท่ีมุ่งหวังว่า ในภพท่ีจะ ๔๒๐
อุบตั ติ ่อไปให้ได้ความสุขความเจริญเปน็ ท่ีพึงปรารถนาน้ันประการหน่ึง และความสขุ อย่างยอดเย่ียมคือ โลกตุ ตรสขุ ความสขุ พ้นจากโลก (๙) พุทฺธสฺส ธรมานกาเล หิ พุทฺธมามกา พุทฺธ ธมฺม สงฺฆญฺจ สรณ คตา ฯ อิทมฺปิ วุจฺจติ ติสรณคมนนฺติ ฯ นตฺเถวญฺ วตฺถุ พุทฺธสาสเน เจติย ฯ ยานิ กานิจิ ติสรณคมนโต ปรานิ พุทฺธสาสเน เจ ตยิ านิ, ตานิ สพฺพาเนว พุทฺธปรนิ ิพพฺ านโต ปจฺฉา อปุ ฺปชชฺ ึสุ ฯ คาแปล ในสมัยครั้งพุทธกาลนั้น พวกท่ีนับถือพระพุทธศาสนานับถือแต่พระพุทธเจ้า พระธรรมคาส่ัง สอนของพระพุทธเจ้า และพระสงฆพ์ ุทธสาวกทั้งหลายเป็นหลักพระศาสนา เรียกรวมกนั ทงั้ ๓ วา่ “พระ ไตรสรณคมน์” หามีวัตถุอื่นเป็นเจดีย์ในพระพุทธศาสนาไม่ บรรดาเจดีย์ในพระพุทธศาสนา นอกจาก พระไตรสรณคมนน์ ี้ ล้วนเปน็ ของเกิดขนึ้ เมื่อพระพุทธองค์เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินพิ พานแลว้ ทั้งนั้น (๑๐) พุทฺธสาสนญฺจ นาเมต ยถา ทยฺยภาสาย เยซู อิติ วา มะหะหมัด อิติ วา ลทฺธนามาน สตถฺ าราน สาสน อญฺเ ส ปฏปิ กฺขภตู เยว อโหสิ, เนว โหติ ฯ พุทธฺ สาสนสฺสามิโก หิ สมมฺ าสมฺ พทุ โฺ ธ ยถา อนุตฺตร สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุชฺฌิ, ตถา เวเนยฺยพนฺธวาน ยถาภูต ทุกฺขสมุทยมริยสจฺจญฺเจว ทุกฺขนิโรธ- คามนิ ปี ฏปิ ทมรยิ สจจฺ ญฺจ เทเสตกุ าโมเยว อโหสิ, เนว เย เกจิ อญฺ ติตถฺ ิยา นานปปฺ กาเรน อญฺ มญฺ ญฺ- เจว วิวทึสุ พุทฺธสาสนญฺจุปวทึสุ, สพฺเพส วาท พฺยากาสิ นยิท พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย สวตตฺ ตตี ิ ยถาภตู ทิฏฺ ตตฺ า ฯ คาแปล พระพุทธศาสนาไม่สู้เป็นปฏิปักษ์คัดค้านกันกับศาสนาอื่น ๆ เหมือนศาสนาพระเยซู หรือ ศาสนามะหะหมัด พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์อย่างแน่วแน่ท่ีจะทรงแสดงเหตทุ ่ีเป็นจริงอยู่อย่างไร และ ทางท่ีจะระงับทุกข์ได้อย่างไร ตามท่ีพระองคไ์ ด้ตรสั รดู้ ว้ ยพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ไม่ทรง พยากรณ์กล่าวแก้ในถ้อยคาความเห็นของชนท้ังปวง ท่ีกล่าวแก่งแย่งกันอยู่ต่าง ๆ ด้วยเห็นไม่เป็น ประโยชน์อันใด (๑๑) ยสฺมิญฺหิ เทเส ชมฺพูทีปวาสี ขตฺติโย มหาราชา รชฺช กาเรติ, ตสฺมึ พฺราหฺมณลทฺธิ วุฑฺฒึ วิรุฬฺหึ เวปุลฺล ปาปุณิ เสยฺยถาปิ ทยฺยภาสาย ชวา กัมพูชา อิติ จ เอวนามาทีสุ เทเสสุ ฯ ยสฺมิมฺปน เทเส ตทีตโร รชฺช กาเรติ, ตสฺมึ พุทฺธสาสน เสยฺยถาปิ ทยฺยภาสาย จีน ญ่ีปุ่น พม่า มอญ ไทย อิติ จ เอว- นามาทีสุ ฯ คาแปล ประเทศใดท่ีชาวอินเดียได้ไปมีอานาจปกครอง ประเทศน้ันศาสนาพราหมณ์มักเจริญรุ่งเรือง เช่น ประเทศชวา และประเทศกัมพูชา เป็นต้น ส่วนประเทศใดที่ชาวอินเดียมิได้ปกครอง ประเทศน้ัน ๔๒๑
พระพุทธศาสนามักเจริญรุ่งเรือง เช่น ประเทศจีน ประเทศญ่ีปุ่น ประเทศพม่า ประเทศมอญ และ ประเทศไทย เป็นตน้ (๑๒) ต โข ปเนต พุทฺธสาสนสฺส พหูปการเยว โหติ, ย อโสโก นาม ขตฺติโย มหาราชา นานปฺ- ปการโต พุทฺธสาสนสฺสุปถมฺภนมกาสิ ฯ ตญฺจ สงฺขิตฺตนเยน วณฺณิตพฺพ ตีหากาเรหิ สลฺลกฺเขตพฺพ สิยา พทุ ฺธเจติยฏฺ านกรณ ธมมฺ วนิ ยสงคฺ ายนา นานาวเิ ทเสสุ จ พุทฺธสาสนปปฺ วตตฺ นนฺติ ฯ คาแปล ขอ้ สาคัญอันเป็นคุณแก่พระพุทธศาสนา ซงึ่ พระเจ้าอโศกมหาราชไดท้ รงอุปถัมภบ์ ารงุ นั้น ถา้ ว่า โดยลักษณะก็มี ๓ อย่าง คือ การสร้างพุทธเจดียสถานอย่าง ๑ การสังคายนาพระธรรมวินัยอย่าง ๑ การสอนพระพุทธศาสนาใหแ้ พร่หลายไปยังนานาประเทศอยา่ ง ๑ (๑๓) อชฺช ปนาย มหาราช สุภมงฺคลวาโร โหติ, โย มหาราชสฺส สมฺภวทิวโส ปุนเรว อนุสวจฺฉรสฺสจฺจเยนานุปฺปตฺโต, อิทาเนว าตกานุ าตกภูตา อธิมตฺตปีติปาโมชฺชปฺปตฺตา อิเธว สมาคตมหฺ มหาราชสฺส ชยมงคฺ ลกถ กเถตุ สมภฺ ตฺติญฺจ ปเวทติ ุ ฯ คาแปล ขอเดชะฝา่ ละอองธุลีพระบาทปกเกลา้ ปกกระหม่อม วันนี้ เป็นวันศุภมงคลวาร ที่วันพระราชสมภพได้เวียนมาบรรจบครบรอบปีอีกวาระหนึ่ง เป็น คราวที่ข้าพระพุทธเจ้าเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ บังเกิดความปีติปราโมทย์เป็นล้นพ้น ที่จะได้ มาเฝา้ ทูลละอองธลุ พี ระบาทถวายชยั มงคล และแสดงความสวามิภกั ดิ์ในใต้เบื้องพระยุคลบาท (๑๔) เมตฺตา จ นาเมสา โอทิสฺสผรณาอโนทิสฺสผรณาวเสน ทุพฺพิธาว โหติ, ยา อญฺ มญฺ สฺส ผริตฺวา ภาเวตพฺพา ฯ ตตฺถ โอทิสฺสผรณา นาม, ยา โอธิโส อตฺตโน าตเก โอทิสฺส ผริตฺวา ภาเวตพฺพา เมตฺตา ฯ นิทสฺสนญฺเจตฺถ ทฏฺ พฺพ ฯ เสยฺยถาปิ มาตาปิตโร เมตฺตาสหคเตน เจตสา อตฺตโน ปุตฺตธีตราสุ เมตฺตายนฺติ ตาสญฺจาภิวุฑฺฒิมภิกงฺขนฺติ เอวเมว โอทิสฺส ผรณา เมตฺตา ภาเวตพฺพา ฯ อโนทิสฺสผรณา ปเนสา, ยา มโุ ขโลกนาภาเวน สพพฺ สตฺเต อารพภฺ ผริตฺวา ภาเวตพฺพา เมตตฺ า ฯ นทิ สสฺ นญฺเจตถฺ ขตตฺ เิ ยน มหาราเชน อตตฺ โน รฏฺ วาสีน ผรติ วฺ า ภาเวตพพฺ า เมตตฺ า ฯ คาแปล เมตตาที่บุคคลแผ่ไปแก่กันมีอยู่ ๒ อย่าง คือ โอทิสสผรณา แผ่โดยอาการเจาะจง ๑ อโนทิสส- ผรณา แผโ่ ดยอาการมิไดเ้ จาะจง ๑ การแผโ่ ดยอาการเจาะจงนนั้ ได้แกก่ าหนดตวั ลงไปตรง ๆ โดยฐานท่ี ตนรู้จัก พึงเห็นอุทาหรณ์ในมารดบิดามีความรักใคร่ และหวังความเจริญแก่บุตรธิดา ส่วนการแผ่โดย อาการมิได้เจาะจงได้แก่ปรารถนาทั่วไปไม่เลือกบุคคล มีพระเมตตาของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอัน พระองค์ใหเ้ ปน็ ไปในประชาชนเป็นอุทาหรณ์ ๔๒๒
(๑๕) อิมสฺมิมฺปน สฺยามรฏฺเ พหุกา สฺยามิกา พุทฺธสาสนิกา ว โหนฺติ ตสฺมา เยภุยฺเยน ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอวาทานุสฺาสนึ อนุสฺสวนฺติ ฯ ภิกฺขูหิ นาม ทยฺยิกาน มโนนุปาลนสงฺขาโต อติภาโร อมฺเหหิ อาทินฺโน สมฺมาทสฺสนสงฺกปฺเป มหาชนสฺส มน อาราเธตุ โอกาส ลภิมฺหาติ ม ฺ ตพฺพ ฯ เต จ สเจ ต น นกิ ฺขเิ ปยยฺ ุ อิธ รญโฺ เจว รฏฺ ปาลีนญจฺ มหปฺพลภตู า ภวติ ุ สกโฺ กนฺติ ฯ คาแปล ในประเทศไทย ประชาชนชาวไทยยังมีความนิยมเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอยู่โดยมาก ฉะนั้น โดยมากยังเช่ือฟังคาสง่ั สอนของพระภิกษุสงฆ์ พระภิกษุควรรู้สึกวา่ เป็นผู้ได้รับมอบภาระสาคัญไว้อยา่ ง หนึ่ง คือ เท่ากับได้รับภาระเป็นผู้ถนอมน้าใจของชนชาติไทย เป็นผู้มีโอกาสที่จะน้อมนาจิตใจของชนหมู่ มากให้มีความคิดชอบ เห็นชอบ และถ้าไม่ละเลยเพิกเฉยเสียแล้วก็อาจท่ีจะเป็นกาลังแก่พระราชาธิบดี และรัฐบาลเปน็ อย่างมาก (๑๖) อโหสิ โข เม เอว อภนิ ิเวโส พหุกาภิกฺขู ยถาสตฺตยิ า ยถาพเลน สกกรณยี กริสฺสามาติ มน สากาสุนฺติ ฯ อนปฺปกา จ ปน สวิชฺชนฺติ เย โอธิเสน สกกรณีย มญฺ มานา เกวล ภิยฺโยโส มตฺตาย วตฺตปฺปฏิวตฺตสมฺปาทนมฺปิ ปโหตนฺติ ปสฺสนฺติ ฯ เต จ ราชกิจฺจาทีสุ มหาชนสฺส วินยน น มนสิกโรนฺติ โลกยิ เมต อสสฺ มณกจิ จฺ เมตนตฺ ิ มญฺ มานตฺตา ฯ คาแปล พระภกิ ษุโดยมาก ข้าพเจา้ กเ็ ช่ืออยู่ว่ามีความต้งั ใจอยู่วา่ จะทากรณียะของท่านโดยเตม็ สติกาลัง เสียแต่ว่ายังมีอยู่ไม่น้อยท่ีตีวงแห่งกรณีะของตนเองแคบไป คือ เห็นเสียว่าเพียงแต่ปฏิบัติกิจวัตรให้ เคร่งครดั ก็พอแล้ว และไมใ่ คร่ใฝ่ใจในทางที่จะช่วยฝึกฝนใจนรชนให้รสู้ ึกในหน้าท่ีทางฝา่ ยบ้านเมือง โดย ถอื เสียวา่ การสง่ั สอนเช่นน้เี ป็นส่วนคดีโลก ไม่ใช่กจิ ของสมณะ (๑๗) โส (โพธิสตฺโต) ตสฺสา เอก โกฏึ นทีตีเร ตรุกฺเข พนฺธิตฺวา เอก อตฺตโน กฏิย พนฺธิตฺวา อุลฺลงฺฆิตฺวา อมฺพรุกฺข ปจฺจาคจฺฉิ ฯ ลตาย ปน อีสกรสฺสตาย ตสฺสุโภสุ หตฺเถสุ อมฺพสาขาย ปริยนฺต สมฺปตฺเตสุ ลตาสุตฺต ปริกฺขยิ ฯ โส กิญฺจิ กาตุ อสกฺโกนฺโต อุโภหิ อมฺพสาข ทฬฺห คณฺหิตฺวา ปริวารวาน ราน สญฺ อทาสิ สีฆ เม ปิฏฺ ย มทฺทมานา โสตฺถินา ลตาสุตฺเตน ปรตีร คจฺฉถาติ ฯ เต จ ต วนฺทิตฺวา ขมาเปตวฺ า ตถา ปาร อุตฺตรนฺตา อคมสึ ุ ฯ คาแปล วานรโพธิสัตว์จึงเอาปลายเถาวัลย์ข้างหน่ึงผูกให้มั่นกับต้นไม้ท่ีริมฝ่ัง อีกข้างหน่ึงผูกเข้ากับเอว ของตนแล้วกระโจนกลับมายังตน้ มะม่วง แต่เพราะเหตุท่ีเถาวัลย์สั้นไปหน่อยหนึ่ง จึงพอมือจับปลายกิ่ง มะม่วงได้ เถาวัลย์ก็ตึงพอดี เมื่อไม่อาจจะทาอย่างไรจึงจับกิ่งมะม่วงให้ม่ันทั้ง ๒ มือแล้วให้สัญญาแก่หมู่ วานรบริวารว่า พวกเจ้าจงรีบเดินไปบนหลังของเราแล้วไต่ไปตามเถาวัลย์ข้ามไปฝั่งโน้นโดยสวัสดีเถิด พวกวานรบรวิ ารได้ทาความเคารพขอขมาแลว้ ไต่ข้ามแมน่ ้ารอดไปได้ ๔๒๓
(๑๘) ขตฺติยมุทฺธาภิเสกมงฺคลมิท นาม ทยฺยรฏฺ วาสีหิ อภิมญฺ ตพฺพ ฯ อิมินาว หิ ทยฺยิก- เชฏฺ กสฺส ราชาธิปติภาโว เตหิ อตฺตโน กายญฺจ ชีวิตญฺจ ททนฺเตหิ สมฺปฏิจฺฉิตพฺโพ โหติ ฯ สลฺลกฺขิตพฺพ เจตถฺ อธิ รฏฺ าน ราชาธิปเตยฺยกาเล สพฺเพสเยว สกรฏเฺ สุ ราชาธปิ ติภาวสฺส สมฺปฏจิ ฉฺ นปปฺ เวณิ อโหสีติ ฯ นิสฺสสย โข จ ปน ปพุ เฺ พ ทยฺยรฏฺ สสฺ อโยฌิยราชธานิกาเล (สโุ ขทยราชธานิกาเล วาปิ) สพฺเพ มญฺญิตพฺพ- ภาเวน ขตฺติยมุทฺธาภิเสกมงฺคล อภิลกฺขึสุ ฯ ตสฺมา อิมสฺมึ รตนโกสินฺทราชธานิกาเล ทยฺยิกชนา ปรมฺปราย อนจุ รสึ ุ ฯ คาแปล พิธีราชาภิเษกมีความสาคัญ เพราะเป็นการรับรองผู้ท่ีจะครองบ้านครองเมือง ซึ่งเรามอบกาย ถวายชีวิตไว้ พึงสังเกตได้ว่าทุก ๆ ชาติในโลกในสมัยท่ีพระเจ้าแผ่นดินมีอานาจปกครองบ้านเมืองนั้น ต่างก็มีระเบียบรับรองผ้ทู ี่จะเป็นผ้นู าในตาแหนง่ สูงสุดน้ีด้วยกันท่ัวไป ไม่ต้องสงสัยเลยวา่ ในสมัยกรุงศรี อยธุ ยา(หรอื แมส้ โุ ขทยั ) ได้นยิ มมรี าชาภิเษกกนั อยู่แล้ว ไทยเราในสมัยกรงุ รตั นโกสนิ ทรจ์ งึ ได้ทาตาม (๑๙) วณิชฺชา นาเมสา สพฺพรฏฺเ หิ อภิมญฺ ตพฺพา โหตีติ คยฺหติ กายพลสทิสตาย ฯ ยถาหิธ โย โกจิ ปุริโส พลสมปฺ นโฺ น โส อญฺเ หิ สมานวฑฒฺ เนน อตตฺ าน วฑเฺ ฒตุ สกฺโกติ สเจ ปน โกจิ อติถามวา ภเวยฺย โส ขิปฺปเมว อนุปุพฺเพน อภิวฑฺเฒติ เอวมายมฺปิ รฏฺ าน พล โหติ ยสฺมึ พหุธา ปวตฺตติ ตสฺส พลญฺเจว วสสิ ฺสรยิ ญจฺ ภยิ โฺ ยโส มตฺตาย อนพุ รฺ ูหนตฺ ิ ฯ คาแปล พาณชิ การน้ัน ทุกชาติทุกภาษาย่อมนยิ มกันวา่ เปน็ สงิ่ สาคัญแห่งชาติ เปรียบประหนึ่งกาลังกาย ของบุคคลฉะนน้ั ในโลกนีบ้ ุคคลใดมกี าลังกายบรบิ รู ณ์อยู่ก็อาจมีความเจริญทันเพื่อนบา้ นได้ ถ้าผู้ใดย่ิงมี กาลังกายมากก็ยิ่งมีหนทางเจรญิ ได้มาก และรวดเร็วข้ึนเปน็ ลาดับ ดังน้ีฉันใด พาณิชการก็เป็นกาลังของ ชาติบ้านเมืองฉันนน้ั เมืองใดมีพาณิชการก็เหมือนมีกาลงั พาณิชการยิ่งมาก กาลังและอานาจแห่งชาติก็ ยิง่ มากขน้ึ เป็นลาดบั (๒๐) ชนปทานญฺหิ วฑฺฒาปน สารตฺถิกญฺเจว โหติ วิสาลกิจฺจญฺจ ฯ ตมฺปเนต เยหายตฺต เต ปุคฺคลา อภิณหฺ สนนฺ ิปาตา เจวสสฺ ุ สนนฺ ิปาตพหุลา จ สมคฺคา จ สนฺนปิ เตยยฺ ุ ตตถฺ กรณยี านิ สมมฺ นฺเตตุ ฯ สมฺมนตฺ นา เจตถฺ ตตฺ านสุ าเรน ปวตเฺ ตตพพฺ า กึ กาตพพฺ นฺติ วิชานิตุ ฯ ปญฺหากมมฺ ญฺเจตฺถ มนสิกาตพฺพ โหติ กึ กาตพฺพ กถ กตฺถ กทา จ กาตพฺพนฺติ ฯ ยถา เจตฺถ เอวเมวญฺเ สุปิ สพฺพกรณีเยสุ ปญฺหากมฺม มนสิกาตพฺพเยว ฯ อีทิสญฺหิ ปญฺหากมฺม สพฺเพส กรณียาน ปทฏฺ านนฺติ สงฺข คต ป ม มนสิกาตพฺพว ฯ ยญฺเหตถฺ ปญฺหากมฺม มหตฺถิก โหติ ต ป ม สนฺตเี รตพฺพ ฯ สมฺมนฺตนกาเล ปน เยภุยเฺ ยน มนฺติโน ขุทฺท กานุขทุ ฺทก ปญหฺ ากมมฺ มนสกิ โรนตฺ เิ ยว โน มหตฺถิก ฯ คาแปล การพัฒนาชนบท เป็นเรื่องสาคัญและเป็นเร่ืองใหญ่ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานน้ี จึงควรได้มาสัมมนา ปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด และการสัมมนาก็ควรเป็นทางวิชาการ เพ่ือให้ทราบว่าควรจะทาอย่างไร ๔๒๔
ปัญหาในการพัฒนาชนบทน้ี ต้องนึกถึงว่า ทำทำไม ทำอย่ำงไร และทำที่ไหน เม่ือไร คาถามเหล่าน้ีเป็น คาถามสาหรับทกุ สง่ิ ทุกอย่างท่ีเราจะทา เราควรตั้งปัญหาหรอื คาถามที่เรียกวา่ “พน้ื ฐาน” เปน็ เบ้ืองต้น ก่อน เพราะโดยมากเวลามาพูดกันในทางวิชาการ มักชอบพูดกันแต่ในทางรายละเอียด ซ่ึงท่ีจริงจะต้อง พิจารณาในส่วนรวมก่อน (๒๑) โย หิ ปิยมหาราชา ทาสพฺยญฺจ นาเมต ทาสภูตาน รฏฺ วาสีน อิสฺสริยุปฺปจฺเฉทนตฺถ สวตฺตตีติ เอว มนสิกโรนฺโต เต ทาสภูเต รฏฺ วาสี การณานุรูปํ ทาสพฺยโต ปโมเจสิ ฯ เสยฺยถีท ฯ โส หิ อตฺตโน รชฺชสมยสฺส ป มสวจฺฉรภูเต นาคสวจฺฉเร ทาสทารเก ทาสีปุตฺตภาวโต ปริโมเจสิ ฯ ธนกฺกีเต ทาสพฺยุปคเต ชเน อนุปุพฺเพน สวจฺฉเร สวจฺฉเร อนุมาส เอเกกสฺส กหาปณสฺส ปริหาปเนน ทาสพฺยโต ปริโมเจสิ ฯ เตเยว ทาสา เจว ทาสี จ อนปุ พุ ฺเพน ทาสพยฺ โต ปริมุญฺจึสุ ฯ คาแปล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพิจารณาเห็นว่า การมีทาสนั้นเป็นการตัดรอน สิทธิเสรีภาพแห่งบุคคลผู้ตกอยู่ในภาวะอย่างน้ัน จึงทรงพระกรุณาผ่อนผันเลิกทาส โดยให้เด็กที่เกิดใน สมยั แหง่ พระองค์ปีมะโรง ปแี รกที่เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ พ้นจากความเป็นทาส และบคุ คลผูม้ ีค่าติด ตวั อยู่ ก็ใหล้ ดผอ่ นลงในระยะ ๑ ปี เดือนละ ๔ บาท เพ่ือผ่อนให้ลดหายพ้นไปโดยสาคญั (๒๒) มนุสฺสา จ นาเมเต โมหภภิ ตู า โมหปเรตา หตุ ฺวา เสยโฺ ยหมสมฺ ิ มนสุ ฺเสสตู ิ อภมิ ญฺ นตฺ ิ โย ปน อตฺตโน เวรี โหติ อปฺปิโย ต ลาภาทีหิ อตฺตนา เสฏฺ ปฺปตฺต ทิสฺวา น ลภนฺติ นานุโมทนฺติ โย จ อตฺตนา อย ลาภาทีหิ มยา อธิกตโร น โหตีติ อวมญฺ ตพฺโพ ตสฺส ลาภาทีหิ อตฺตนา สมานตฺต เนวา- ภิปฏฺเ นฺติ ฯ เอวญฺเจเต มนาติมาเนนาภิภูตา อตฺตาน มิจฺฉาปฏิปทาย ปวตฺตาเปนฺติ ฯ อิจฺเจวมฺปเนเตส จิตฺต โลภลุทธฺ โทสทฏุ ฺ โมหมฬุ หฺ หตุ ฺวา เนว ปริยิสฺสติ เอวมปฺ น สงฺกลิ ิสฺสติ เตเนว เต มนุสฺสา กายาทีหิ นานปฺปการ ทจุ ริต จรนตฺ ิ ฯ คาแปล ธรรมดาบุคคลย่อมเห็นตนเป็นสาคัญ ไม่ปรารถนาทาให้บุคคลอื่นได้ดีกว่าตน และไม่ปรารถนา เห็นบุคคลอ่ืนซ่ึงตนเห็นว่าต่ากว่าตนเสมอตน หลงตนเห็นตนเป็นสาคัญกว่าบุคคลทั้งหลาย ทาผิดทา พลาดเพราะถือตนเป็นประมาณ เมื่อจิตใจยังแวดล้อมด้วยกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เชน่ น้ี ย่อมไม่ผอ่ งใส ย่อมเปน็ จติ ทเี่ ศรา้ หมอง เป็นทางให้ทาทุจริตได้นานาประการ (๒๓) รูปนฺติ ปเนตฺถ สงฺขตลกฺขณวสานุคต สงฺขตปญฺจกสงฺคหิต รูปกาย สนฺธาเยต วุตฺต ฯ เย ปนีธ มนสุ ฺสา อติ ถฺ ี วา โหนฺตุ ปรุ ิสา วา คหฏฺ า วา ปพฺพชติ า วา (ขตตฺ ิยา วา พรฺ าหมฺ ณา วา เวสสฺ า วา สู ทา วา จณฺฑา วา ปุกฺกุสา วา) สพฺเพสมฺปิ รูปํ อุปาทวยธมฺมภาววเสน สทิสเมว โหติ ฯ ตญฺหิ อุปชฺชิตฺวา น จิรสฺเสว ขยวยมุปคจฺฉติ โอร วสฺสสตาปิ อปฺปณฺณตฺติกภาวมุปคมิสฺสติ ฯ วุตฺตญฺเหต ภควตา รูปํ ชีรติ มจจฺ านนตฺ ิ ฯ ๔๒๕
คาแปล คาวา่ รปู หมายถงึ รูปกายท่สี งเคราะหเ์ อาเบญจขันธ์ อนั เปน็ ไปตามสงั ขตลักษณะ บคุ คลแม้จะ ต้ังอยู่ในฐานะเช่นไร เม่ือกล่าวโดยเฉพาะรูปก็มีความเปน็ ไปดจุ เดยี วกัน คือ ไม่เป็นไปได้ถึงไหน เพียง ไม่ก่ีสิบปีก็ถึงความไม่มีบัญญัติ คือ เป็นอะไร อยู่ที่ไหน ไม่มีใครรู้ จึงต้องตรัสพุทธภาษิตว่า “ร่างกาย ของสัตวท์ ง้ั หลาย ย่อมย่อยยับไป” ดงั น้ี (๒๔) ยานิ จ อมิ สฺมึ โลเก สาสนานิ สมพฺ หุลานิ อตถฺ ิ ฯ สพพฺ าเนตานิ อาโท สาสนตฺถ สามญเฺ น อภิสญฺญูหิตฺวา คยฺหมานานิ สุวิญฺเ ยฺยานิ เยว โหนฺติ โน ทุวิญฺเ ยฺยานิ ฯ เย เกจิ สตฺถาโร เตส สาสนาน สามิกภูตา โหนฺติ อมฺหาก วา สมฺมาสมฺพุทฺโธ อญฺเ วา ทยฺยภาสาย เยซู อิติ เอว นามาทโย สพฺเพเปเต ยถา อตฺตโน สาสนิกา สุเขน ยถาภูต สาสน ปชานนฺติ, ตถา โอวทนฺติ อนุสาสนฺติ ปญฺ าเปนฺติ ปฏฺ เปนฺติ วิวรนฺติ วิภชนฺติ อุตฺตานีกโรนฺติ, ตสฺมา เหเต อตฺตโน อตฺตโน สาวเก โอวทนฺตา อนุสาสนฺตา ย กิญฺจิ ตสฺมึ สมเย เยภุยฺเยน สลฺลเปตพฺพเยว, ตสเฺ สวานุรูเปน อตฺถโต เจว โวหารโต จ โอวทนฺติ อนสุ าสนตฺ ิ ฯ คาแปล บรรดาศาสนาทั้งหลาย เม่ือว่าโดยรวม ในชั้นต้นก็เป็นลัทธิอันเข้าใจง่าย ไม่ยากเย็นปานใด ผู้ท่ี เปน็ ศาสดาเอง จะเปน็ พระพทุ ธเจ้าของเราทง้ั หลายก็ดี หรือจะเปน็ พระเยซูก็ดี ใครก็ดี ความตั้งใจในการ ส่ังสอนจะต้องเหมือนกัน คือ อยากจะให้ผู้ฟังนั้นเข้าใจง่าย เพราะฉะนั้น ถ้อยคาอันใดที่จะเลือกใช้ ก็ใช้ ทีเ่ ปน็ ภาษาพดู กันอยโู่ ดยมากในสมัยน้นั ทัง้ สานวนและโวหารคงใช้อยา่ งทใ่ี ชก้ ันอยใู่ นสมัยนั้น (๒๕) ธมฺม ชานาตีติ ธมฺมญฺญู ฯ ตสฺส ภาโว ธมฺมญฺญุตา ฯ อตฺถ ชานาตีติ อตฺถญฺญู ฯ ตสฺส ภาโว อตถฺ ญญฺ ุตา ฯ ตา หิ สพฺเพสุ กรณีเยสุ อิจฺฉิตพฺพาเยว ฯ ตาสุ ปน ธมฺมญฺญุตา ยสฺสตฺถิ, โส ปุคฺคโล (ตาสุ ปน ธมฺมญฺญุตาย สมนฺนาคโต ปุคฺคโล) ย ย อตฺตโน กิจฺจมตฺถิ, ต ต อวิราเธตฺวา กาตุ ยถิจฺฉิตญฺจ สุฏฺ ฐุ อภนิ ิปฺผาเทตุ สกโฺ กติ ฯ คาแปล ความเข้าใจเหตุผล ย่อมเปน็ คณุ สมบตั อิ ันสาคญั ของบุคคลผู้ดาเนินกจิ การ เม่ือมคี วามเขา้ ใจเหตุ อาจปฏิบตั กิ ารไมผ่ ิดพลาด สามารถทจี่ ะทากิจการน้ัน ๆ ใหล้ ุลว่ งบรรลผุ ลสมตามความมุ่งหมาย ๔๒๖
ภาคผนวก ๒ เฉลยแบบฝกึ หดั เฉลย แบบฝกึ หดั ที่ ๑.๑ ๑. ภาษาบาลมี ีความสาคัญและมีอิทธิพลต่อภาษาไทยในแง่ของการใชภ้ าษาเป็นอย่างมาก โดย เหตุที่ภาษาไทยมีไม่เพียงพอแก่ความต้องการ เม่ือรับคาศัพท์เฉพาะทางภาษาบาลีเข้ามาใช้ ก็ทาให้ ภาษาไทยมีความสมบูรณ์ในแง่ของการใช้ภาษามากข้ึน เช่น รับคาว่า เมตตา สงฆ์ ธนาคาร รัฐสภา ภัตตาคาร เป็นต้น เข้ามาใช้ และภาษาบาลีมีความสาคัญในแง่ของการศึกษาพระพุทธศาสนา เพราะ ภาษาบาลีเป็นภาษาท่ีใช้จารึกพระไตรปิฎก เมื่อเราศึกษาพระไตรปิฎกจึงจาเป็นต้องศึกษาภาษาบาลี ซ่ึงเป็นภาษาที่ใช้ถ่ายทอดหรือส่ือความหมายหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนา ได้อย่างลึกซ้ึงและ ชัดเจน ๒. โครงสร้างคาพูดในภาษาบาลีจัดแบ่งออกเป็น ๑๐ ชนิด ได้แก่ ๒.๑) อักขรวิธี ๒.๒) สนธิ ๒.๓) นาม ๒.๔) สัพพนาม ๒.๕) อาขยาต ๒.๖) กิตก์ ๒.๗) สมาส ๒.๘) ตัทธิต ๒.๙) อุณาทิ และ๒.๑๐) การก ๓. โครงสร้างคาพดู ในภาษาบาลีโดยยอ่ มี ๔ ภาค ดังน้ี ภาคที่ ๑: อักขรวิธี มี ๒ ชนิด คือ ๑) สมัญญาภิธาน ว่าด้วยการเขียน การอ่านออก เสียงสระและพยัญชนะพรอ้ มทงั้ ฐานกรณ์ และ ๒) สนธิ ว่าดว้ ยวิธีการเชอ่ื มหรอื ตอ่ ตวั อักษร ภาคที่ ๒: วจีวิภาค มี ๖ ชนิด คือ ๑) นาม ๒) อาขยาต ๓) สมาส ๔) อัพยยศัพท์ (๕) กิตก์ และ ๖) ตัทธติ ภาคที่ ๓: วากยสมั พนั ธ์ ว่าดว้ ยการกและวธิ เี รียงการกในวจวี ภิ าคท้ัง ๖ ชนิดเขา้ เป็นวลี หรอื ประโยคตา่ ง ๆ ภาคที่ ๔: ฉนั ทลักษณ์ ว่าด้วยวธิ รี ้อยกรองคาพูดใหเ้ ป็นคาถาหรือฉนั ทต์ ่าง ๆ ๔. ส่ิงที่ควรรู้ในการแปลภาษาบาลี ได้แก่ ๔.๑) ศัพท์ ๔.๒) บท ๔.๓) พากยางค์ ๔.๔) พากย์ หรือ ประโยค และ ๔.๕) การก ๕. การก คือ คานามท่ีเปล่ียนท้ายคาเป็นเอกวจนะและพหุวจนะในรูปการกต่าง ๆ โดยเรียก ตามช่ือของวิภัตติน้ัน ๆ เช่น ปฐมาวิภัตติ เรียก กัตตุการก ทุติยาวิภัตติ เรียก กัมมการก เป็นต้น และ การกแต่ละการกเหล่านี้มีคาแปลท่ีแตกต่างกันไปตามการกนั้น ๆ เช่น กัตตุการก แปลว่า อันว่า... กัมม การก แปลว่า ซ่ึง/สู่/ยัง/สิ้น/กะ/เฉพาะ/ตลอด…, เป็นต้น ซ่ึงคาแปลดังกล่าวน้ีมีความสาคัญมากในการ แปลภาษาบาลีเปน็ ภาษาไทย โดยผแู้ ปลจะตอ้ งยดึ ถือเป็นหลกั เบอื้ งต้นในการแปลเพอ่ื การแปลที่ถูกต้อง ๔๒๗
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 497
Pages: