นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2.24 นางสุนีรัตน์ เตลาน นางสุนีรัตน์ เตลาน มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯ และ มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ด 1 สมัย ซึ่งเดิมนางสุนีรัตน์ หรือชื่อเดิม สุนี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอื่นมาก่อน กล่าวคือ เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนครสวรรค์ เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2495 – 25 กุมภาพันธ์ 2500 และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระนอง ไม่สังกัดพรรคการเมือง เมื่อ 15 ธันวาคม 2500 – 20 ตุลาคม 2501 และหลังจากนั้นก็มาลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ดในช่วง 26 มกราคม 2518 – 12 มกราคม 2519 สังกัดพรรคแผ่นดินไทย ซึ่งในช่วงเวลานั้นในพื้นที่มีกระแสข่าว ว่า นางสุนีรัตน์หิ้วกระเป๋ามาลงแข่งเลือกตั้งกับผู้สมัครในพื้นที่ ร้อยเอ็ดแล้วได้รับเลือกตั้ง (สิทธิพร โพธินาม, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2554) จนกลายเป็นต้นกำเนิดของ “โรคร้อยเอ็ด” 1 2.25 นายถวิล พิมพ์มหินทร์ นายถวิล พิมพ์มหินทร์ มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย 1 แต่คำว่าโรคร้อยเอ็ดที่เป็นที่รู้จัก กล่าวกันว่าพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ได้ใช้เงินจำนวนมหาศาลทำให้ชนะเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 9 สิงหาคม 2524 (สุธาชัย ยิ่มประเสริฐ, 2551: 193) 138
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2.26 นายชัชวาลย์ ชมภูแดง นายชัชวาลย์ ชมพูแดง เกิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2488 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขานิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอ พนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 สมัย ดำรงตำแหน่งสำคัญ ทางการเมืองได้แก่ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 17 เมษายน 2535 - 24 พฤษภาคม 2535 หัวหน้าพรรคพลังสังคม ประชาธิปไตย และรองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณา เปิดเผยรายงานการประชุมลับและตรวจรายงานการประชุม คนที่ 1 2.27 นายสุธรรม ปัทมดิลก นายสุธรรม ปัทมดิลก มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย 2.28 นายเจริญ กลางคาร นายเจริญ กลางคาร มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย 2.29 นายอุดม ทวีวัฒน์ นายอุดม ทวีวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2463 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษา ธรรมศาสตรบัณฑิต มีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นนักธุรกิจ 139
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญได้แก่ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2519 สมาชิกสภาปฏิรูปการ ปกครองแผ่นดิน พ.ศ.2519 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2520 และเป็นสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2535 2.30 นายโกศล แวงวรรณ 1. ประวตั ขิ องนายโกศล แวงวรรณ นายโกศล แวงวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2479 ที่บ้านแวง คุ้มเหนือ ตำบลแวง อำเภอแวง (ปัจจุบันคืออำเภอ โพนทอง) มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรอาชีวศึกษาชั้นสูง จาก วิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ รุ่น พ.ศ.2550 และ ได้เข้ารับราชการในสังกัดองค์การทหารผ่านศึก ก่อนที่จะย้าย มาทำงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ในสายงานส่งเสริม การเกษตร และได้มีโอกาสทำงานด้านเผยแพร่ความรู้ทางการ เกษตรผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียง หลังจากนั้นก็ได้ผันตัวเองไป ทำงานด้านโฆษณาให้กับบริษัทเอกชน และประสบความสำเร็จ จนมีบริษัททำโฆษณาเป็นของตนเอง และมีประสบการณ์ ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย เคยดำรง ตำแหน่งกรรมาธิการตรวจรายงานการประชุม และกรรมาธิการ พิจารณาเปิดเผยรายงานการประชุมลับ จากการที่เป็นคนสนใจเรื่องการบ้านการเมือง และ เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่มีพื้นเพมาจากชนบท และมีความคิดที่ฝังใจ มาตั้งแต่เด็กกว่า “บ้านเรายังด้อยพัฒนาในทุกๆ ด้าน และไม่มี 140
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ส.ส.ที่ทำงานอย่าง จริงใจ จริงจังต่อการพัฒนาท้องถิ่น” จึงเป็น แรงบันดาลใจให้ท่านมาตลอดว่าต้องพัฒนาโพนทองให้เจริญ ก้าวหน้าให้ได้ 2. การเข้าสูก่ ารทำงานการเมือง นายโกศล แวงวรรณ เริ่มต้นชีวิตทางการเมืองด้วย การลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อปี 2510 และได้รับเลือกตั้ง ในความพยายามครั้งที่สอง หลังจากนั้นก็ได้เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย ติดต่อกันในการเลือกตั้ง พ.ศ.2519 และ พ.ศ.2522 ในสังกัดพรรคธรรมสังคม และพรรคชาติไทย ตามลำดับ ส่วนเหตุผลที่เข้ามาทำงานการเมืองนั้น นายโกศล กล่าวว่า “มีใจรัก เห็นแบบอย่างของ ส.ส.ที่ดี เลยอยากเป็น ส.ส.” (โกศล แวงวรรณ, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) ช่วงที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแรกๆ นายโกศล แวงวรรณเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ได้รับสมญานามว่าเป็น “ดาวสภา” มบี คุ ลกิ กลา้ พดู กลา้ คิด กลา้ ทำ จงึ ไดด้ ำรงตำแหน่ง เป็นกรรมาธิการหลายคณะ และได้อุทิศชีวิตการทำงานเพื่อ พัฒนาท้องถิ่นอย่างเต็มที่ด้วยการผลักดันให้อำเภอโพนทอง มีศักยภาพพร้อมที่จะได้รับการยกฐานะให้เป็นจังหวัด เช่น การปรับปรุงถนนหนทางให้โพนทองได้มีเส้นทางคมนาคม ติดต่อกับพื้นที่ข้างเคียงได้สะดวก ผลักดันให้มีการตั้ง โรงพยาบาลโพนทอง และสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ พัฒนา บึงแหลมพยอม จนกลายเป็นแหล่งน้ำสำคัญของพี่น้อง ชาวโพนทอง มิใช่เพียงการพัฒนาเพื่อวางรากฐานให้อำเภอ 141
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด โพนทองเท่านั้น นายโกศลยังได้มีส่วนในการผลักดันให้ยกฐานะ กิ่งอำเภอโพธิ์ชัยให้เป็นอำเภอโพธิ์ชัย และสนับสนุนพระราช บัญญัติเพิ่มทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จนมีกิจการใหญ่โตในปัจจุบัน ภายหลังจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้ง พ.ศ.2526 นายโกศล แวงวรรณ จึงได้ยุติบทบาททางการเมืองและใช้ชีวิต อย่างเรียบง่าย ทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเองอยู่ในอำเภอโพนทอง และมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่บ้างเป็นครั้งคราว 3. นักการเมอื งในดวงใจ นายโกศล มีความชื่นชอบในตัวนักการเมืองที่ หลายๆ คนถือเป็นต้นแบบนั่นคือ นายชวน หลีกภัย ด้วยเหตุผล ว่า “ชวน หลีกภัย เป็นคนซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่ก้าวร้าว เป็นคนกลาง” (โกศล แวงวรรณ, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) 2.31 นายดุลย์ ดวงเกตุ นายดุลย์ ดวงเกตุ เกิดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2478 มี ภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขาเศรษฐศาสตรบัณฑิต และระดับปริญญาโทจาก สหรัฐอเมริกา มีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งคือรับราชการ กรมการ พัฒนาชุมชน และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 2 สมัย และเคยดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ การปกครอง 142
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 2.32 นายเฉลียว คล้ายหนองสรวง นายเฉลียว คล้ายหนองสรวง มีภูมิลำเนาอยู่ใน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท การศึกษามหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา จาก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมีประสบการณ์ทางการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย 2.33 นายยงยุทธ ขัติยนนท์ 1. ประวตั ขิ องนายยงยุทธ ขัติยนนท ์ นายยงยุทธ ขัติยนนท์ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2485 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จ การศึกษาประกาศนียบัตรอาชีวศึกษาชั้นสูง (วิจิตรศิลป์) ประกาศนียบัตรประโยคครูพิเศษมัธยม และในระดับปริญญา ตรีนิติศาสตรบัณฑิต และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย และเคยดำรงตำแหน่งสมาชิก องค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็น ข้าราชการครู 2. การเข้าสูก่ ารทำงานการเมอื ง นายยงยุทธ เริ่มงานทางการเมืองครั้งแรกสังกัดพรรค แนวร่วมสังคมนิยม แต่มาประสบความสำเร็จได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับพรรคชาติไทยตั้งแต่ พ.ศ.2519- 2522 ในขณะมีอายุได้ 37 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงที่พลเอกประมาณ อดิเรกสาร เป็นหัวหน้าพรรค และพลตรีศิริ ศิริโยธิน เป็น เลขาธิการพรรค นายยงยุทธเป็นผู้แทนราษฎรสมัยแรกพร้อม 143
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด กับนายโกศล แวงวรรณ (ขณะนั้นอายุ 39 ปี) และหลังจากนั้น ลาออกจากพรรคชาติไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2524 นายยงยุทธเป็น แกนนำตั้งพรรคการเมืองมีชื่อว่า พรรคแนวมหาชน และหลัง จากนั้นเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคชาติประชาธิปไตย ที่นำโดยพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงกลับมา ร่วมงานกับพรรคชาติไทยอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ประสบความ สำเร็จอีกเช่นกัน จึงย้ายมาร่วมงานทางการเมืองกับพรรค ประชาธิปัตย์ตั้งแต่ พ.ศ.2535 จนถึงปัจจุบัน โดยปัจจุบัน นายยงยุทธดำรงตำแหน่งประธานสาขาพรรคประชาธิปัตย์ของ จังหวัดร้อยเอ็ด แรงจูงใจในการลงเล่นการเมืองมีมาตั้งแต่เรียน มัธยมเพราะชื่นชอบนักการเมืองในพื้นที่ โดยนายยงยุทธกล่าว ว่า “ชอบคุณใหญ่ ศวิตชาติ คุณฟอง สิทธิธรรม คุณสมพร จุรีมาศ ชื่นชอบในความมีเหตุผลของคนเหล่านี้” (ยงยุทธ ขัติยนนท์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) และในช่วงที่เรียน มัธยมอยู่ที่กรุงเทพฯก็ชื่นชอบในการไปดูไฮปาร์คที่สนามหลวง ดังนั้นนักการเมืองที่ยึดเป็นแบบอย่างคือ นายชวน หลีกภัย และนายอุทัย พิมพ์ใจชน นายยงยุทธกล่าวว่า “นายชวน และ นายอุทัย คือสองนักการเมืองต้นแบบ” (ยงยุทธ ขัติยนนท์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) โดยพยายามจะทำงาน การเมืองตามนักการเมืองต้นแบบแต่ลักษณะนิสัยส่วนตัวของ ตนเองเป็นคนเลือดร้อน 144
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 3. รูปแบบการหาเสียง นายยงยุทธใช้นโยบายการหาเสียงเรื่องน้ำเป็นหลัก จัดหาแหล่งน้ำให้เกษตรกร เสนอสร้างเขื่อนกั้นน้ำลำห้วยกุง ซึ่ง เป็นเรื่องที่ยื่นเสนอตั้งแต่ พ.ศ.2522 ผลงานอีกหนึ่งประการ ที่ภาคภูมิใจก็คือการแปรญัตติมาเพื่อปรับปรุงถนนยาว 26 กิโลเมตร โดยใช้วงเงิน 28 ล้านบาท และยกเลิกป่าสงวน แห่งชาติเขตดงมะอี่ เพื่อให้ประชาชนมีที่ทำกิน นายยงยุทธ มีความเห็นว่า “การใช้นโยบายในการหาเสียงส่วนใหญ่จะถูก กำหนดมาจากพรรคการเมืองเป็นหลักและมองว่านักการเมือง ในปัจจุบันไม่มีคุณภาพทั้งในด้านการทำงานทางการเมืองและ การพูดปราศรัยต่างจากในสมัยอดีตเช่น ยุค 4 รัฐมนตรีอีสาน นายเตียง ศิริขันธ์ นายจำลอง ดาวเรือง นายใหญ่ ศวิตชาติ เพราะมุ่งเน้นการทำลายล้างเพื่อให้ตนเองชนะโดยไม่คำนึงถึง จริยธรรมทั่วไป” (ยงยุทธ ขัติยนนท์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) โดยมีความเห็นว่า “พฤติกรรมการเลือกตั้งของคน ในปัจจุบันมุ่งเน้นเรื่องเงินเป็นใหญ่” (ยงยุทธ ขัติยนนท์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) 2.34 ร.ต.อ.พงษ์พันธ์ พงศ์สยาม ร.ต.อ.พงษ์พันธ์ พงศ์สยาม มภี มู ิลำเนาอยใู่ นอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย 145
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 2.35 พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ 1. ประวตั ขิ องพลเอกเกรียงศกั ดิ์ ชมะนนั ทน์ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2460 (อสัญกรรม วันที่ 23 ธันวาคม 2546) 86 ปี เป็น บุตรของนายแจ่ม กับนางเจือ ชมะนันทน์ สมรสกับคุณหญิง วิรัตน์ ชมะนันทน์ มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัด สมุทรสาคร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เริ่มการศึกษาชั้นต้น ที่โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย โรงเรียนปทุมคงคา จากนั้น เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จนสำเร็จ การศึกษาใน พ.ศ.2483 ในระหว่างรับราชการทหารได้ศึกษา ต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก โรงเรียนเสนาธิการทหารบก แห่งสหรัฐอเมริกา วิทยาลัยกองทัพบก และวิทยาลัยป้องกัน ราชอาณาจักร รุ่น 5 ในช่วงที่รับราชการทหาร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์เคยร่วมรบในสมรภูมิเกาหลีรุ่นแรก ในตำแหน่ง ผู้บังคับกองพันทหารราบ ผลัดที่ 3 สร้างเกียรติภูมิอย่างมาก จนหน่วยใต้บังคับบัญชาได้ฉายาว่า “กองพันพยัคฆ์น้อย” (ปัจจุบันแปรสภาพเป็นกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์) ภายหลังกลับจากสงครามก็เข้าประจำกอง บัญชาการทหารสูงสุด เติบโตในสายเสนาธิการมาเป็นลำดับ จนเป็นพลเอก และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จนเกษียณอายุราชการ โดยสรุปการรับราชการทหารสำคัญๆ ของพลเอกเกรยี งศกั ด์ิ ชมะนนั ทน์ ไดแ้ ก่ พ.ศ.2493 ฝา่ ยเสนาธกิ าร กองทัพภาคที่ 3 พ.ศ.2495 ผู้บังคับกองพันทหารราบ กรมผสมที่ 146
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 21 พ.ศ.2498 อาจารย์หัวหน้าวิชา โรงเรียนเสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2500 หัวหน้ากรมการวางแผนสำนักงานวางแผนทหารของ สนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่ง เอเซียอาคเนย์(สปอ) พ.ศ.2502 หัวหน้ากองการทหารของสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันแห่ง เอเซียอาคเนย์(สปอ) พ.ศ.2506 รองเสนาธิการ กองอำนวยการ กลาง สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด พ.ศ.2516 รองเสนาธิการ ทหารบก พ.ศ.2517 เสนาธิการทหารบก พ.ศ.2518 ผู้ช่วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ พ.ศ.2520 ผู้บัญชาการทหาร สูงสุด จนเกษียณอายุราชการ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ จึงได้เข้าสู่วงการการเมือง ประสบการณ์ทางการเมืองของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 สมัย เคยดำรง ตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ได้แก่ นายกรัฐมนตรีคนที่ 15 (2 สมัย) คือ เคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา และคณะกรรมาธิการ ต่างประเทศ พ.ศ.2511 เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ.2515 ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ปรึกษาของนายก- รัฐมนตรี พ.ศ.2520 และเป็นหนึ่งในคณะทำการรัฐประหาร รัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร พ.ศ.2520 จากนั้นดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 1 พ.ศ.2520 และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2520 ต่อมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2521 และเป็นนายกรัฐมนตรีสมัย ที่ 2 พ.ศ.2522 รวมทั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2522 147
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2. การเขา้ สกู่ ารทำงานการเมอื ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เข้ารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี หลังจากคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินภายใต้ การนำของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล ของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ในช่วงของการดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีทั้ง 2 สมัยของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ มีเหตุการณ์สำคัญดังนี้ นายกรฐั มนตรสี มยั ท่ี 1 พลเอกเกรยี งศกั ด์ิ ชมะนนั ทน์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2520 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล- อดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศ โดยมีพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ประธานสภานโยบายแห่งชาติเป็นผู้รับสนอง พระบรมราชโองการ และคณะรัฐมนตรีคณะนี้สิ้นสุดลงเมื่อ ประกาศใช้รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2521 และได้ มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 301 คน และ มกี ารแตง่ ตง้ั สมาชกิ วฒุ สิ ภา จำนวน 225 คน ในวนั ท่ี 22 เมษายน 2522 ทำให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารประเทศอยู่ก่อนวันประกาศใช้ รัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง นายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2522 พระบาทสมเด็จพระปรมินทร- มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศ โดยมี พลอากาศเอกหะริน หงสกุล ประธานรัฐสภา เป็นผู้ลงนาม รับสนองพระบรมราชโองการ 148
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งในช่วงสมัยที่ 2 นี้มีเหตุการณ์ที่ต้องถูกจารึกไว้ใน ประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็คือ คำว่า “โรคร้อยเอ็ด” ซึ่งหลัง จากการเลือกตั้ง พ.ศ. 2522 มีการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดร้อยเอ็ด เขต 1 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2524 ครั้งนี้มีการแข่งขันกัน อย่างดุเดือด ฝ่ายพลเอกเกรียงศักดิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ชาติประชาธิปไตย จึงต้องใช้การซื้อเสียงเชิงรุก เพื่อให้ได้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงใช้การแจกจ่ายเงินสดแทน ข้าวของ ทำกันอย่างเอิกเกริกแต่ก็ไม่มีการลงโทษตามกฎหมาย จึงเป็นต้นกำเนิดของการซื้อเสียงอย่างแพร่หลายในภาคอีสาน ในเวลาต่อมา ทำให้คนรู้จักในนาม “โรคร้อยเอ็ด” จากนั้นคณะรัฐมนตรีคณะนี้สิ้นสุดลง เพราะพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี ได้ลาออกจากตำแหน่ง ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2523 ซึ่งพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ให้เหตุผลในการลาออกครั้งนี้ว่า “ได้เกิดการขัดแย้งระหว่าง รัฐบาลกับรัฐสภา ในปัญหาที่สำคัญหลายเรื่องและหลายครั้ง จนยากที่จะบริหารงานของชาติให้ดำเนินการไปสู่เป้าหมายที่ กำหนดไว้ได้” อันมีสาเหตุเนื่องมาจากการที่รัฐบาลตัดสินใจ เพิ่มราคาค่าน้ำมันตามราคาตลาดโลก ซึ่งทำให้หลายฝ่าย ได้รับความเดือดร้อนและโจมตี หลังจากนั้นได้ยุติบทบาท ทางการเมือง โดยไม่ข้องเกี่ยวกับวงการเมืองอีก แต่อย่างไร ก็ตามในเหตุการณ์กบฏวันที่ 9 กันยายน 2528 พลเอก เกรียงศักดิ์ถูกต้องสงสัยว่าอาจมีส่วนรู้เห็นหรือสนับสนุนการ กบฏดังกล่าว ทั้งนี้ระหว่างเล่นการเมืองอยู่นั้น พลเอก เกรียงศักดิ์ได้รับฉายาว่า “อินทรีแห่งทุ่งบางเขน” 149
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 3. ผลงานสำคัญ ผลงานสำคัญในช่วงที่พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ดำรงตำแหน่งคือการปรบั ปรงุ สมั พันธภาพกับประเทศเพื่อนบ้าน อันประกอบด้วย ประเทศเวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า รวมทั้งพลเอกเกรียงศักดิ์ ได้เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐ ประชาชนจีน และสหภาพโซเวียต เพื่อกระชับความสัมพันธ์ กับประเทศมหาอำนาจทั้งสอง ทำให้ไทยมีความสัมพันธ์ทาง การทตู และการค้ากับทั้งสองประเทศแน่นแฟ้นขึ้น นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งหน่วยงานสำคัญๆ เพิ่มขึ้นอีก หลายหน่วยงาน เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย กระทรวง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน และมหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช เป็นต้น รวมทั้งยังได้มีการนำเสนอร่าง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมให้แก่นักศึกษาที่ถูกจำคุกเนื่องจาก เหตุการณ์ชุมนุม 6 ตุลาคม 2519 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกด้วย ซึ่งรัฐสภาก็ได้ผ่านร่างดังกล่าวใน พ.ศ.2521 โดยมี เหตุผลสำคัญคือเพื่อความปรองดองของประเทศ ซึ่งทำให้ นักศึกษาที่ถูกจับทั้งหมดได้รับการปล่อยตัว พลเอกเกรียงศักดิ์ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 รวมอายุได้ 86 ปี โดยในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีอยู่นั้น ภาพที่ติดตาของพลเอกเกรียงศักดิ์ คือ การทำพะแนงเนื้อใส่บรั่นดีระหว่างออกเยี่ยมประชาชนตามที่ ต่างๆ อันเป็นสูตรของพลเอกเกรียงศักดิ์เอง 150
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 2.36 นายประสงค์ โพดาพล นายประสงค์ โพดาพล มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย 2.37 นางศิริพันธ์ จุรีมาศ นางศิริพันธ์ จุรีมาศ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2497 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาโทสังคมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล และ มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย และเคยดำรงตำแหน่งเป็นกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน 2.38 นายขจรศักดิ์ ศรีสวาสด์ิ นายขจรศักดิ์ ศรีสวาสดิ์ เกิดเมื่อวันที่10 ธันวาคม 2488 (เสยี ชวี ติ วนั ท่ี 7 เมษายน 2541) มภี มู ลิ ำเนาอยใู่ นกรงุ เทพมหานคร สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเกษตรศาสตรบัณฑิต สาขา กสิกรรมและสัตวบาล จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 6 สมัย 2.39 นายเวียง วรเชษฐ์ นายเวียง วรเชษฐ์ เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2494 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรีการศึกษาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม โดยเคยมีอาชีพก่อน 151
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับเลือกตั้งเป็นนักธุรกิจ ซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 สมัย เคยดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดินเมื่อเริ่มก่อตั้งพรรคระหว่าง วันที่ 2 ตุลาคม 2550 - 30 ตุลาคม 2551 2.40 นางสาวอุ่นเรือน อารีเอื้อ 1. ประวตั ขิ องนางสาวอุ่นเรอื น อารีเอื้อ นางสาวอุ่นเรือน อารีเอื้อ มีภูมิลำเนาอยู่ใน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมี ประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย โดยมีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นทนายความ 2. การเขา้ สู่การทำงานการเมอื ง นางสาวอุ่นเรือน เริ่มอาชีพแรกก่อนที่จะมาเล่น การเมืองคือ เป็นทนายความและทำธุรกิจที่ดินจัดสรรของ มารดา ในช่วงแรก นางสาวอุ่นเรือนไม่มีความรู้และความสนใจ เกี่ยวกับการลงเล่นการเมืองเลย แต่ช่วงเวลานั้นพรรคกิจสังคม ที่นำโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดแตกแยกและแบ่งออกมา ทำงานการเมืองเป็น 2 พรรค คือ พรรคกิจประชาคม โดยการนำ ของนายบุญชู โรจนเสถียร และพรรคสหประชาธิปไตย โดยม ี นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าพรรค นางสาวอุ่นเรือน ได้รับการทาบทามจากนายบุญชู โรจนเสถียร หัวหน้าพรรค กิจประชาคม เนื่องด้วยนายบุญชู มีความต้องการให้ผู้หญิงได้มี โอกาสทำงานทางการเมือง ประกอบกับนางสาวอุ่นเรือนก็เป็นที่ สนใจของประชาชนในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดอยู่แล้ว เพราะใน 152
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด สมัยนั้นไม่ค่อยจะมีผู้หญิงประกอบอาชีพทนายความ อีกทั้ง ในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงเพียง คนเดียวนั่นก็คือ นางศิริพันธ์ จุรีมาศ ซึ่งทำงานการเมืองกับ พรรคสหประชาธิปไตยของนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ การลงแข่งขันทางการเมืองครั้งแรกของนางสาว อุ่นเรือน ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงเพราะในตอนนั้น นางสาวอุ่นเรือนมีอายุ 31 ปี ซึ่งถือว่าเป็นมือใหม่ทางการเมือง แต่สามารถเอาชนะพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทม์ เข้ามาเป็น ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเลือกตั้งเป็นอันดับที่ 1 ของจังหวัด ร้อยเอ็ด ในขณะที่พลเอกเกรียงศักดิ์ ได้รับคะแนนเป็นอันดับ ที่ 3 นางสาวอุ่นเรือน ให้เหตุผลว่า “สาเหตุที่ได้รับเลือก มาเป็นอันดับที่ 1 นั้นเพราะช่วงนั้นมี ส.ส.ที่เป็นผู้หญิงน้อย นอกจาก นางศิริพันธ์ก่อนหน้านั้นก็มีนางสุนีรัตน์ เตลาน ซึ่งก็ ถือว่าไม่ใช่คนพื้นที่ อีกทั้งที่ตัดสินใจลงสมัครเพราะต้องการลบ คำสบประมาทเรื่อง “โรคร้อยเอ็ด” ที่ถูกกล่าวหาว่าคนร้อยเอ็ด ซื้อได้เป็นใครมาจากที่ไหนก็มาเป็น ส.ส.ร้อยเอ็ดได้หากมีเงินมา ซื้อเสียง” (อุ่นเรือน อารีเอื้อ, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) 3. รปู แบบการหาเสียง นางสาวอุ่นเรือน เน้นการใช้วิธีการปราศรัยหาเสียง โดยในการปราศรัยนางสาวอุ่นเรือนจะพูดเสมอว่า “คนร้อยเอ็ด ก็ต้องเลือกคนร้อยเอ็ด อย่าให้เขาดูถูกได้ว่าคนร้อยเอ็ดซื้อได้” (อุ่นเรือน อารีเอื้อ, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) และอีก กลยุทธหนึ่งที่ถือว่าได้ผลคือการเดินเข้าไปในแต่ละหมู่บ้าน 153
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเฉลี่ยช่วงเช้าของแต่ละวันสามารถเข้าถึงชาวบ้านได้ ประมาณ 14-15 หมู่บ้าน เพื่อเสนอนโยบายประกันพืชผล ทางการเกษตรซึ่งเป็นนโยบายเดิมของ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ และพยายามจะแทรกประเด็นเรื่องสิทธิสตรีเข้าไปในการ หาเสียง หลังจากได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงที่มาเป็น อันดับหนึ่งแล้ว นางสาวอุ่นเรือนได้ทำงานการเมืองหนึ่งสมัย แต่ต่อจากนั้นก็ออกจากพรรคกิจประชาคม และมาร่วมงาน ทางการเมืองกับพรรคความหวังใหม่ที่นำโดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ปัจจุบันก็หันมาประกอบ อาชีพทนายความและธุรกิจส่วนตัวดังเดิม 2.41 นายระวี หิรัญโชติ นายระวี หิรัญโชติ เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2500 มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร สำเร็จการศึกษาระดับ ปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 สมัย เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (24 เมษายน. 2548 - 30 พฤษภาคม 2550) เป็นผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2538-2539 เป็นผู้ช่วย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ.2539-2540 เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พ.ศ.2540- 2548 และดำรงตำแหนง่ เปน็ รัฐมนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงวทิ ยาศาสตร์ พ.ศ.2541-2542 154
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2.42 นายสุรพร ดนัยต้ังตระกูล นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล เกิดเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2499 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเศรษฐศาสตรบัณฑิต สาขา เศรษฐศาสตร์การอุตสาหกรรม จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 สมัย สมาชิกวุฒิสภาร้อยเอ็ด 28 กรกฎาคม 2549 - 19 กันยายน 2549 เคยดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงอตุ สาหกรรม พ.ศ.2529 และประจำสำนกั นายกรฐั มนตรี พ.ศ.2531 เป็นกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2535 เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและ สวัสดิการสังคม พ.ศ.2538-2539 และเคยเป็นเลขานุการ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม พ.ศ.2539 2.43 นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ 1. ประวัตขิ องนายนริ ันดร์ นาเมืองรกั ษ ์ นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2492 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากการศึกษานอก โรงเรียนจังหวัดร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด 8 สมัย เคยดำรง ตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ พ.ศ.2534 เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงคมนาคม พ.ศ.2535 เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ 155
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด กระทรวงมหาดไทย และประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยมีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นธุรกิจส่วนตัว 2. การเข้าสกู่ ารทำงานการเมือง นายนิรันดร์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ถือว่าเป็น พี่ใหญ่แห่งวงการการเมืองในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเฉพาะในพื้นที่ เขตอำเภอเสลภูมิ นายนิรันดร์ได้ลงเล่นการเมืองตั้งแต่การเมือง ระดับท้องถิ่นโดยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดตั้งแต่ พ.ศ.2521 และ เป็นสมาชิกสภาจังหวัด 2 สมัย แล้วเข้าสู่การเมืองระดับชาติ แรงจูงใจที่เข้ามาทำงานการเมือง นายนิรันดร์ได้เล่า ถึงความเป็นมาของการทำงานการเมืองจากการเป็นสมาชิก สภาจังหวัด จนถึงการเข้าสู่การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า “ผมถูกบีบ ถูกบังคับให้ต้องเป็นนักการเมือง เริ่มต้นผมไม่มีอาชีพเป็นผู้รับเหมา แต่บังเอิญในปี 2516- 2517 อาจารย์หม่อมโครงการเงินผัน และมีคนที่เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้จะไปปรึกษาใคร เพราะได้เงินมา 40,000 บาท มาให้ทำงานตรงนี้ จึงได้มาให้ผมไปหาจ้างคนมา ทำงานให้ ผมจึงไปจ้างคนมาทำให้โดยใช้แรงงานทั้งหมด สุดท้ายจึงเกิดเป็นอาชีพผู้รับเหมาเล็กๆ ขึ้นมา ซึ่งถือ เป็นการก้าวเข้ามาเป็นผู้รับเหมาครั้งแรกจากการเชื้อเชิญ จากกำนันผู้ใหญ่บ้าน หลังจากนั้นการทำงานเกิดความ ขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีอดีต ส.จ.อยู่แล้ว เป็นฝ่ายตรง ข้ามกับผมขึ้นมา ต่อมาคนนั้นเขาเป็น ส.จ.เขามีหน้าที่ใน การตรวจรับงาน ส.จ.คนนี้ไม่เซ็นรับงาน ทั้งที่ ส.จ.คนอื่นๆ 156
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด เซ็นรับงานไปแล้ว แต่สุดท้ายให้ผู้ว่าตัดสินโดยถือว่างาน ผ่านเพราะเซ็นรับงานเกินครึ่งแล้ว จากนั้นมีงานถัดมาอีก ส.จ.คนเดิมก็ไม่ยอมเซ็น จึงมีคนหนึ่งแนะนำผมว่าให้ ลงเล่น ส.จ.เองเลย ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยคิดจะเล่นการเมือง และคนตระกูลผมก็ไม่เคยเป็นนักการเมือง สุดท้ายมีการ อบรมลูกเสือชาวบ้าน 400 กว่าคน ในปี 2517 นายกองมา ชักชวนผมให้ไปร่วม ผมก็ไปร่วม แล้วได้รับเลือกให้เป็น หัวหน้า ชนะที่หนึ่งได้ 200 กว่าเสียง ได้เป็นหัวหน้าลูกเสือ ชาวบ้าน แล้วต่อมาก็มีคนเชียร์ให้เป็น ส.จ. ก็ได้รับ เลือกตั้งให้เป็น ส.จ. โดยชนะที่หนึ่งของ ส.จ.ในจังหวัด แล้วผมก็ท้าเขามาสมัคร ส.ส. เขาก็มาสมัคร แต่แพ้ผม สู้กัน 4 ครั้ง ก็แพ้ทั้งหมด แล้วเขาก็เสียชีวิต จนมาถึง รุ่นลูกในปัจจุบัน” (นิรันดร์ นาเมืองรักษ์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) นายนิรันดร์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 8 สมัย เริ่มจากการเป็นสมาชิกสภาจังหวัดก่อน แล้วจึงลงสู่สนาม การเมืองระดับชาติ ครั้งแรกใน พ.ศ.2529 ในสังกัดพรรค กิจสังคม และเป็น 3 สมัยติดต่อกัน จากนั้นสอบตกอีก 2 สมัย และกลับมาได้รับเลือกตั้งอีกครั้งใน พ.ศ.2539 ในสังกัดพรรค ความหวังใหม่ และได้รับการเลือกตั้งในสังกัดพรรคไทยรักไทย พ.ศ.2548 และ พ.ศ.2549 แต่กลับมาสอบตกอีกครั้งในการ เลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2550 โดยแพ้คู่แข่งตลอดกาลอย่างตระกูล พลซื่อ ที่ได้ส่งนายนพดล พลซื่อ ซึ่งเป็นหลานของนายเอกภาพ พลซื่อ แต่นายนิรันดร์ได้ยื่นร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง 157
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ในการหาเสียงเลือกตั้งของนายนพดล พลซื่อ และนายกิตติพงษ์ พรหมชัยนันท์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 3 สังกัด พรรคเพื่อแผ่นดิน ทำให้นายนภดลที่ได้รับการเลือกตั้งและ นายกิตติพงษ์ได้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (โดนใบแดง) แต่ใน การเลือกตั้งซ่อม นางรัชนี พลซื่อ ภรรยาของนายเอกภาพ พลซื่อ ก็ได้รับเลือกตั้งแทนนายนำดล ซึ่งถือว่าในการเลือกตั้ง ครง้ั นน้ั นายนริ นั ดรแ์ พค้ นในตระกลู พลซอ่ื ถงึ 2 ครง้ั เพราะฉะนน้ั หลังจากแพ้เลือกตั้งครั้งสำคัญนั้นมาแล้ว นายนิรันดร์ได้มีการ ทำสถานีวิทยุทำสภาประชาชนเพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ตัวเอง และถือเป็นการเตรียมตัวสู่สนามเลือกครั้งครั้งต่อไป ทีมงาน ของนายนิรันดร์ กล่าวว่า “ส.ส.นิรันดร์ ทำสภาประชาชน และทำสถานีวิทยุ ช่วงที่ไม่ได้เป็น ส.ส. คนฟังติดรายการวิทยุ จะเห็นได้จาก การที่ประชาชนโทรศัพท์เข้ามาในรายการ บางช่วง จัดประชุมสัมมนาที่ทำการ ส.ส.(ที่บ้าน) มีการใช้สถานี วิทยุเป็นสื่อกลางระหว่างนายนิรันดร์กับประชาชน มีการ จัดทำสภาประชาชน ซึ่งเป็นวิธีคิดของนายนิรันดร์เอง คิดเพื่อจะดึงเสียงตัวเองกลับ เพราะจากการเลือกตั้งเดิม ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง คะแนนค่อนข้างห่างพอสมควร คู่แข่งนั้นมีการลงพื้นที่สร้างภาพได้ เขาสร้างภาพเป็น คนอยู่ในร้อยเอ็ดแต่บ้านเกิดเขาอยู่ที่อำเภอเมยวดี ไม่ใช่ คนในพื้นที่อำเภอเสลภูมิ และอีกอย่างคือชาวบ้านมองวา่ ทา่ น ส.ส.แกแ่ ลว้ เปน็ หลายสมยั แลว้ แตช่ าวบา้ นไม่ได้มอง ว่าเป็นหลายๆ สมัยแล้วจะได้เป็นอะไร” (ชนกภา นาเมืองรักษ์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) 158
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด นายนิรันดร์ มีพี่น้องด้วยกันทั้งหมด 9 คน ถือว่า เป็นทั้งฐานเสียงและทีมงานที่สำคัญของนายนิรันดร์ หนึ่งใน เครือญาติของนายนิรันดร์กล่าวว่า “ทุกคนในเครือญาติจะช่วย การดูแลพื้นที่ รับผิดชอบลงพื้นที่ทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง” ใน กลุ่มเครือญาติเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่จะช่วยเป็นฐานเสียงให้ แก่นายนิรันดร์ ซึ่งน้องชายคนหนึ่งของนายนิรันดร์ให้ข้อมูลว่า “หลานคนหนึ่ง ที่เป็นลูกชายของพี่นิรันดร์ก็เคย เป็นสมาชิกสภาจังหวัด ผมก็เคยเป็นนายกเทศบาลเมือง เสลภูมิ พี่ชายคนหนึ่ง (น้องชายของนายนิรันดร์) เป็นอดีต กำนัน และพี่ชายอีกคนเป็นอดีตประธานสภาจังหวัด รวมทั้งพี่สะใภ้ก็เป็นอดีตสมาชิกสภาเทศบาล แต่พอ พี่นิรันดร์สอบตก ญาติอื่นๆ ก็สอบตกเช่นกัน” (ชัยภิพัฒน์ นาเมืองรักษ์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) 3. รปู แบบการหาเสยี ง ตอนนี้นโยบายพรรคเป็นตัวสำคัญ และส่วนตัว บุคคลคือการจัดสภาประชาชนและจัดสถานีวิทยุ เป็นตัวช่วย ดีมาก สโลแกนในการหาเสียง คือ “น้ำเข้านา ไฟฟ้าเข้าสวน ถนนดี เข้าถึงทุกพื้นที่” โดยมีผู้ช่วยที่เป็นกำนันที่ถือว่าเป็นเลขา ส่วนตัวเป็นคนจัดรายการหลักช่วงที่นายนิรันดร์ไม่อยู่ ซึ่งช่วงที่ ไม่อยู่จะมีการโทรศัพท์เข้ามาพูดคุยในรายการ ทำให้ประชาชน ติดและถือเป็นการดึงเสียงกลับคืน โดยมีการปรับมาหลังจาก แพ้ 159
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายนิรันดร์ยอมรับว่าคะแนนเสียงที่ได้มาครั้งนี้มากที่สุดเท่าที่ เคยได้รับจากการเลือกตั้งทั้ง 7 ครั้งที่ผ่านมา และยอมรับว่า ส่วนหนึ่งคือการทำรายการวิทยุ ที่เป็นสื่อนำเสนอพร้อม ตรวจสอบความไม่โปร่งใสในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ และเป็นสื่อกลางรับฟังความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งแนวคิด ริเริ่มของการทำรายการวิทยุนี้ นายนิรันดร์เล่าว่า “จากช่วงที่ผมสอบตก เราว่างก็ลงพื้นที่ไปหา ชาวบ้าน แม้ไม่ได้เป็นอะไร แต่มีเจตนารมณ์ที่จะไปช่วย ชาวบ้าน เราก็ลงไป ชาวบ้านก็พอใจแล้ว ตอนลงชาวบ้าน บางคนเลี้ยงไก่ ไม่ได้มีเวลา ผมเลยสร้างสนามชนไก่ขึ้น ในบ้านพัก(บ้านสวน) ที่ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย แล้วก็ได้กลุ่มนี้ จากนั้นไปตามบ้านพบเจอชาวบ้านที่ชอบ ฟังรายการวิทยุ ขอเพลงทางวิทยุ จึงมาทำสถานีวิทยุ มีการจัดรายการทำเพลง แต่ตัวเรามานำเสนอข่าว ถือว่า เป็นผู้แทนนอกสภา 2 ปี ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีมาก ต่อจากนั้นผมก็เลยมาตั้ง “สภาประชาชน” ต่อเนื่องมา จากสถานีวิทยุ เป็นการทำหน้าที่ผู้แทนนอกสภาด้วย จากแนวคิดว่าจะช่วยชาวบ้านอย่างไร ในเมื่อเราไม่มี ตำแหน่งหน้าที่ จะไปพูดกับหน่วยงานราชการอย่างไร ก็เลยตั้งเป็นสภาประชาชน โดยมีนายนิรันดร์ นาเมือง รักษ์เป็นประธานสภาประชาชน แล้วใช้สถานีวิทยุเป็น สื่อกลาง โดยมีสมาชิกอยู่ทั่วไป มาไกลจากจังหวัดยโสธร และอบุ ลฯ กม็ ี แตล่ ะกลมุ่ มาประชมุ กนั อยทู่ บ่ี า้ นในแตล่ ะวนั 160
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด แล้วส่วนราชการนั้น คะแนนได้ไม่เกิน 20% แต่ส่วนใหญ่ คะแนนได้มาจากชาวบ้าน เช่น ปัญหาเรื่องทะเบียน ไปติดต่อแล้วโดนนายทะเบียนดุ เรื่องที่ดินไปติดต่อแล้ว ไม่ได้ผล เราก็อยู่ข้างประชาชน จึงได้รับการสนับสนุนจาก ประชาชนอีกครั้ง” (นิรันดร์ นาเมืองรักษ์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) ในรปู แบบการหาเสียงนั้น นายนิรันดร์ให้ความสำคัญกับ การครองใจประชาชนมากกว่ากลยุทธหรือกลวิธีในการหาเสียง โดยนายนิรันดร์ได้กล่าวว่า “คนที่เป็นนักการเมือง ไม่ได้ใช้ยุทธิวิธีในการ หาเสียง แต่ใช้เวลาในการครองใจชาวบ้าน เพราะการ หาเสียงนั้น ทุกคนมีแต่คนดี คนเก่งทั้งนั้น ในช่วง 2 เดือน ของการหาเสียง ล้วนแล้วแต่เป็นคนดี แต่คนดีที่ประทับใจ ชาวบ้านคือใคร สำหรับคนที่จะเข้ามาเป็นผู้แทนฯ นั้น ทำอะไรให้กับประชาชนไว้บ้าง ทำให้ประชาชนรักตัวเอง เข้าใจตัวเองอะไรบ้าง และคนที่เป็น ส.ส.มา เวลาเป็น และก่อนเป็นรับปากอะไรกับเขา เวลาเป็นแล้วเราทำ อย่างที่พูดไว้หรือไม่ อย่างน้อยๆ เราทำจริงแต่ไม่สำเร็จ ให้ชาวบ้านรู้ว่าเราพยายามทำแล้ว ไม่ใช่ว่านักการเมือง เป็นเทวดาหรือเป็นผู้วิเศษที่พูดอะไรทำได้ทุกอย่าง แต่ ต้องทำให้ชาวบ้านรู้ว่าเราทำจริงแต่ไม่ได้ แต่การทำ นักการเมืองจะทำแบบปิดทองหลังพระไม่ได้ ต้องบอก ชาวบ้าน ต้องชี้แจงให้ชาวบ้านรู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร 161
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด อย่างไร แล้วหากไม่ได้ก็เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจที่จะให้เรา ได้หรือไม่ได้ ต้องให้ชาวบ้านรับรู้และมีส่วนร่วม เช่น การ จะทำถนน ต้องเรียกชาวบ้านมาดูด้วยกัน แล้วบอกว่าจะ ทำอย่างนี้ๆ เสนอต่อหน่วยงานต่างๆ เวลาที่เราดำเนิน การอะไร ยื่นเสนอเอกสารต่อทางหน่วยงานอะไร ที่หน่วย งานมีหนังสือตอบกลับมาว่าจะดำเนินการอย่างไร เมื่อไร เราก็ใช้หนังสือนี้ไปตอบกับชาวบ้าน... ชาวบ้านต้องการได้ รับความอบอุ่นจากการให้ของผู้แทน การให้นี้ไม่ใช่การ ให้เงิน แต่เป็นการให้เวลา ให้โอกาสกับเขา เวลาเขามี ปัญหาก็ไปหาเขา... เมื่อเป็นแล้ว เราต้องยึดว่าประชาชน คือนายเรา แต่ถ้าเป็นแล้ว ตำแหน่งเราคือเป็นผู้แทนที่ ใหญ่มาก อันนั้นตกแน่ เพราะฉะนั้นเราต้องรับฟังสิ่งที่ ประชาชนเขาบอกเรา แต่ถ้าเราทำสุดฝีมือไม่ได้ เราต้อง บอกเขา เขาไม่ได้โกรธ” (นิรันดร์ นาเมืองรักษ์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) หากมีการเรียงลำดับความสำคัญที่มีผลต่อการ หาเสียง น้องชายนายนิรันดร์กล่าวว่า “ลำดับแรกคือตัวผู้สมัคร ลำดับสองคือพรรค แล้วลำดับสุดท้ายคือเสื้อแดง” ในการ เลือกตั้งนั้นยังให้ความสำคัญกับตัวบุคคลเป็นสำคัญ อันเนื่อง มาจากเดิมในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2550 แม้นายนิรันดร์ จะสังกัดพรรคพลังประชาชน (เพื่อไทย) ก็ตาม แต่ก็ยังแพ้คนใน ตระกูลพลซื่อ แสดงถึงว่าประชาชนให้ความสำคัญในตัวบุคคล อยู่มาก 162
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ในเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ดนั้น นายนิรันดร์ได้เป็นตัวแทนผู้ดูแลเพื่อน ส.ส.ในจังหวัด ช่วงของ การเลือกตั้งที่นายนิรันดร์แพ้การเลือกตั้ง ส่วนนักการเมือง ระดับชาติแต่เดิมนั้น นายนิรันดร์สนิทสนมกับนายเสนาะ เทียนทอง ในกลุ่มวังน้ำเย็น 4. นกั การเมอื งในดวงใจ เมื่อกล่าวถึงนักการเมืองในดวงใจของนายนิรันดร์ คือ นายเสนาะ เทียนทอง เป็นต้นแบบนักการเมือง โดย นายนิรันดร์กล่าวว่า “ป๋าเหนาะ เป็นอาจารย์ทางการเมือง คือทำกับ พื้นที่ แล้วก็ให้กับชาวบ้านก่อน ก่อนที่ชาวบ้านจะให้เรา คือป๋าเหนาะนี้ ไม่ได้เป็นอย่างบางคนที่ดึงงบประมาณลง จังหวัดตัวเอง แล้วเอาส่วนแบ่งมากๆ ป๋าเหนาะไม่ได้เป็น อย่างนั้น” (นิรันดร์ นาเมืองรักษ์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) 5. ความมงุ่ หมายทางการเมอื ง ความมุ่งหวังทางการเมืองของนายนิรันดร์นั้น ไม่ได้ ต้องการตำแหน่งยิ่งใหญ่ใดๆ เพียงเพื่อต้องการช่วยเหลือพี่น้อง ประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งนายนิรันดร์กล่าวว่า “ผมไม่ได้มีเป้าหมายที่จะเป็นใหญ่ทางการเมือง แต่ขอให้มาอยู่ในระบบการเมืองเพื่อที่จะดูแลพี่น้อง 163
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ประชาชน เป็นสื่อกลางระหว่างชาวบ้านกับภาครัฐได้ เพราะเราเกิดมาเป็นคนจนเรารู้ แต่สมมติว่าไปเป็น ตำแหน่งอะไร ถ้าไม่ทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านเมือง คิดถึงแต่ผลประโยชน์ มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง วงศ์ตระกูล ประเทศชาติ และพี่น้องประชาชน เพราะ ฉะนั้นผมไม่หวังว่า ณ เวลานี้ที่เข้าไปผมนี้ เขาคิดว่าผม จะไปวิ่งเต้นเกี่ยวกับการเป็นรัฐมนตรี ผมขอกลับมาอยู่ บ้านในพื้นที่นี้มีความสุข แม้จะเสนอให้เป็นประธาน คณะกรรมาธิการในสภา ผมก็ไม่เอา ขอเป็นคนที่คอย เสนอว่าเขาควรทำอย่างไรเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ บ้านเมืองเท่านั้นก็พอ ในเรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ผมไปงานศพทุกระดับ งานศพมหาเศรษฐีคนหนึ่ง มหาเศรษฐีสุดท้ายตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ แล้วมหาเศรษฐี ให้อะไรกับคนที่ไปงาน เป็นถุงแดงใส่ “ฮอลล์” 1 ก้อน ก็เท่านั้น ที่สุดของชีวิตต้องสร้างความดีให้คนได้จารึก ให้ รวยทางสังคม” (นิรันดร์ นาเมืองรักษ์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) 2.44 นายอนุรักษ์ จุรีมาศ 1. ประวัติของนายอนรุ ักษ์ จุรีมาศ นายอนุรักษ์ จุรีมาศ เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2503 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษา ระดบั ปรญิ ญาตรนี ติ ศิ าสตรบณั ฑติ จากมหาวทิ ยาลยั รามคำแหง และเนติบัณฑิตไทย และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็น 164
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 สมัย เคยดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ.2546 รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ.2545 รองประธานคณะกรรมการบริษัทขนส่ง จำกัด พ.ศ.2545 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2541 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2540 เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พ.ศ.2538 ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2535 เลขานุการ ประธานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2531 รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงคมนาคม พ.ศ.2551 และอดีตรองเลขาธิการพรรค ชาติไทย โดยมีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นนักธุรกิจ 2. การเขา้ สกู่ ารทำงานการเมอื ง นายอนุรักษ์ จุรีมาศ เข้าสู่การเมืองเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด ตั้งแต่พ.ศ.2529 เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคชาติไทย พ.ศ.2548 ซึ่งจากการ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย จึงได้รับความไว้วางใจ จากนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ให้รับ ผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพรรคชาติไทย และ หลายครั้งสามารถช่วยกู้สถานการณ์ของพรรคชาติไทยได้ ประสบการณ์การทำงาน นายอนุรักษ์เป็นเลขานุการ ประธานสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2531 ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2535 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง พ.ศ.2538 เริ่มต้นเก้าอี้รัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2540 รัฐมนตรีช่วย 165
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2541 รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ.2545 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ.2546 ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายอนุรักษ์ได้รับ การแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในโควต้าของพรรคชาติไทย 1 ในพรรคร่วมรัฐบาล โดยก่อน หน้านี้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไป 23 ธันวาคม 2550 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง นายอนุรักษ์ตกเป็นจำเลยที่คณะกรรมการตรวจสอบ การกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรีชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีโครงการออกสลากพิเศษ เลขท้าย 2 ตัวและ 3 ตัว (หวยบนดิน) ร่วมกับนางอุไรวรรณ เทียนทอง และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ขณะนี้ศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งรับคำฟ้อง เมื่อ พรรคชาติไทยถูกยุบพรรค นายอนุรักษ์ ซึ่งเป็นกรรมการบริหาร พรรค ถกู ตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี แม้ไม่ได้เป็น ส.ส. และไม่ได้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองใดๆ ในปัจจุบัน แต่นายอนุรักษ์ จุรีมาศ ยังคงเป็นที่รัก นับถือของคนทั่วไปอยู่เช่นเคย จะเห็นได้จากการจัดงานวันเกิด ของนายอนุรักษ์ ที่มีการจัดทุกปี ล่าสุดงานวันเกิดครบรอบ 51 ปี วันที่ 5 สิงหาคม 2554 ที่ซอยอนุรักษ์ ตำบลในเมือง อ.เมือง ร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด มีผู้มาร่วมงานที่สำคัญๆ คือ นายปราโมทย์ โชติมงคล ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายธีระ วงศ์สมุทร 166
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมศักดิ์ ขำทวีพรหม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด และแขกที่มาร่วมงาน เนืองแน่นอย่างทุกปีที่ผ่านมา (วัชรินทร์ เขจรวงศ์, 2554) นอกจากนี้สิ่งที่แสดงถึงความนิยมในตระกูลจุรีมาศ จะเห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 มีคนในตระกูลจุรีมาศลงสมัคร ส.ส. เขต 1 ในนามพรรคชาติ ไทยพัฒนา แข่งกับนายวราวงษ์ พันธ์ศิลา พรรคไทยรักไทย ถึงแม้ว่าตระกูลจุรีมาศจะแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้(อีกครั้ง) ซึ่งเดิม การเลือกครั้งที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ตระกูล อนุรักษ์ก็แพ้เช่นกัน ซึ่งในช่วงนั้นกระแสไทยรักไทยฟีเวอร์หรือ ทักษิณฟีเวอร์แรงมากในจังหวัดร้อยเอ็ด รวมทั้งในภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ แต่คะแนนจากการเลือกตั้งมีคะแนนที่ไม่ห่างกับ ผู้ที่ได้รับเลือกมากนัก ซึ่งนายอนุรักษ์เคยกล่าวกับทีมงาน หาเสียงของตนว่า “เราไม่ได้แพ้วราวงษ์ แต่เราแพ้ทักษิณ” 2.45 นายประณต เสริฐวิชา นายประณต เสริฐวิชา เกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2486 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนสตรีศึกษา จังหวัด ร้อยเอ็ด และมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 1 สมัย เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภา จังหวัดร้อยเอ็ด สมาชิกสภาจังหวัดร้อยเอ็ด 4 สมัย ที่ปรึกษา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมาธิการ การเศรษฐกิจ 167
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 2.46 นายเยี่ยมพล พลเยี่ยม นายเยี่ยมพล พลเยี่ยม เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2494 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการ ศึกษาจากโรงเรียนการช่างสตรีมหาสารคาม และมี ประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย และเคยเป็นกรรมาธิการการแรงงาน โดยมีอาชีพก่อนได้ รับเลือกตั้งเป็นข้าราชการครู 2.47 นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ เกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2502 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการ ศึกษาปริญญาตรีบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาบริหารการตลาด จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และปริญญาโทกิตติมศักดิ์ สาขา รัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และ มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย นายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด 4 สมัย อดีตกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาสหกรณ์แห่งชาติ (ค.พ.ช.) อ ด ี ต ผู ้ ท ร ง ค ุ ณ ว ุ ฒ ิ ใ น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ก า ร ป ร ะ ถ ม ศ ึ ก ษ า คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 ตัวแทนองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูร้อยเอ็ด จำกัด นายกสมาคมกีฬาจังหวัดร้อยเอ็ด สมัยที่ 3 ที่ปรึกษา คณะกรรมาธิการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ประธานสันนิบาตเทศบาลจังหวัดร้อยเอ็ด และรองประธาน สันนิบาตเทศบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบัน นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ เป็นนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด 168
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2.48 นายเศกสิทธ์ิ ไวนิยมพงศ์ 1. ประวัติของนายเศกสิทธิ์ ไวนยิ มพงศ์ นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2509 ปัจจุบันอายุ 45 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัด ร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมี ประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 สมัย สมาชิกสภาจังหวัดร้อยเอ็ด และเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ว่าการกระทรวงยุติธรรม 2. การเขา้ สู่การทำงานการเมอื ง นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรตั้งแต่อายุ 25 ปี ใน พ.ศ.2535 โดยการเข้าสู่วงการ การเมืองนั้น นายเศกสิทธิ์ได้ลงสู่การเมืองระดับชาตินับแต่ กฎหมายเปิดช่องให้ เหตุผลในเบื้องต้นของการเข้าสู่วงการ การเมืองคือครอบครัวของนายเศกสิทธิ์เป็นนักการเมืองระดับ ท้องถิ่นมาตั้งแต่สมัยบิดา ซึ่งบิดาของนายเศกสิทธิ์ (เสี่ยอู๊ด) เคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัด และในปัจจุบันพี่ชายของ นายเศกสิทธิ์คือ นายพิศิษฐ์ศักดิ์ ไวนิยมพงศ์ และนายจักรกริช ไวนิยมพงศ์ เป็นสมาชิกสภาจังหวัด รวมทั้งน้องเขย นายเศกสิทธิ์คือ นายมังกร ยนต์ตระกูล เป็นนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัด ซึ่งการลงสู่สนามเลือกตั้งครั้งแรกของ นายเศกสิทธิ์นั้นได้ลงสมัครในสังกัดพรรคความหวังใหม่และได้ รับการเลือกตั้งตั้งแต่ลงสมัครครั้งแรก นายเศกสิทธิ์เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจำนวน 5 สมัย สังกัดพรรคความหวังใหม่ 169
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2 สมัยแรก ใน พ.ศ.2535 และ 2538 แต่ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2544 นายเศกสิทธิ์ได้รับการเลือกตั้งในสังกัดพรรค ไทยรักไทย แต่ต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ได้รับใบแดง) เพราะจัดให้มีการแสดงมหรสพบนแคร่ไม้ไผ่ก่อนการปราศรัย ดังนั้นเพื่อเป็นการกันคู่ต่อสู้ เข้าไปมีอำนาจทางการเมือง นายเศกสิทธิ์จึงได้ขอให้พี่น้องประชาชนที่รักและศรัทธาตนเอง ให้เลือกนายบุญเติม จันทะวัฒน์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรร้อยเอ็ด เขต 2 สังกัดพรรคถิ่นไทย เป็นตัวแทน ทั้งที่ นายบุญเติมเป็นผู้สมัครที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก โดยประกาศเท คะแนนให้นายบุญเติม มีสโลแกนที่ว่า “รักเศกสิทธิ์ สงสาร เศกสิทธิ์ เลือกบุญเติม จันทะวัฒน์ เป็น ส.ส.เขต 2” แต่ด้วย ความรักที่มีต่อนายเศกสิทธิ์ พี่น้องประชาชนได้เทคะแนนของ นายเศกสิทธิ์เลือกนายบุญเติมจนชนะคู่แข่งอย่างท่วมท้น และ นายบุญเติมได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2544 จากนั้นนายเศกสิทธิ์ได้เว้นวรรคใน การเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2548 และ 2549 แล้วกลับมาลงสมัครรับ เลือกตั้งอีกครั้งและได้รับการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2550 ในสังกัด พรรคพลังประชาชน (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อไทย) และ สังกัดพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง พ.ศ.2554 อีกครั้ง นอกจากเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นายเศกสิทธิ์ไม่ได้ทำอาชีพอื่น ซึ่งการลงสมัครสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร นายเศกสิทธิ์เห็นว่า “ต้องมีการแบ่งๆ กันทำ หน้าที่กันบ้าง ทั้งคนในตระกูลเอง และคนจากตระกูลอื่นๆ ด้วย” (เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) 170
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในร้อยเอ็ดของ นายเศกสิทธิ์ถือเป็นพันธมิตรทางการเมืองคือ “ส.ส.ฉลาด ขาม ช่วง และ ส.ส.วราวงษ์ พันธุ์ศิลา เคยลงสมัครสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเขตเดียวกันในสังกัดพรรคเพื่อไทย และเมื่อมีการ เลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียวนั้นในกลุ่มเพื่อน ส.ส. จะมีการ แบ่งเขตเลือกตั้งให้เหมาะตามพื้นที่ที่มีฐานเสียง” (เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) ซึ่งในการ เลือกครั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายเศกสิทธิ์ได้ลงสมัคร ในเขต 8 เขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน อำเภอศรีสมเด็จ อำเภอ อาจสามารถ (บางตำบล) และอำเภอเมืองสรวง (บางตำบล) โดยแท้จริงแล้วพื้นที่ฐานเสียงของนายเศกสิทธิ์จะอยู่ในเขต อำเภอธวัชบุรีและอำเภอเมืองมากกว่า แต่ด้วยต้องจัดแบ่งเขต ลงสมัครให้ลงตัวต่อเพื่อนในพรรคเดียวกัน แต่ในพื้นที่เขต 8 เอง นายเศกสิทธิ์ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากฐานเสียงของ นายเวียง วรเชษฐ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ดแบบ เขต และปัจจุบันเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งนายเวียง วรเชษฐ์ ถือเป็นพันธมิตรทาง การเมืองที่บิดาของนายเศกสิทธิ์ให้การสนับสนุนมา 3. รูปแบบการหาเสียง ในการหาเสียงของนายเศกสิทธิ์เน้นการปราศรัย หาเสียงเป็นหลัก ซึ่งการปราศรัยเดิมสมัยอยู่กับพรรค ค ว า ม ห ว ั ง ใ ห ม ่ แ ต ก ต ่ า ง ก ั บ ก า ร ป ร า ศ ร ั ย ต อ น อ ยู ่ พ ร ร ค ไทยรักไทย (เพื่อไทย) อย่างมาก โดยนายเศกสิทธิ์กล่าวว่า 171
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด “นโยบายมีผลต่อการเลือกตั้งมาก ซึ่งแต่เดิม ผู้สมัครจะหาเสียงโดยการนำเสนอนโยบายที่กว้างๆ จับต้องไม่ได้ เพื่อเป็นการกันว่าเมื่อหาเสียงไปแล้ว คุณสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้หรือไม่ แต่พอมี พรรคไทยรักไทย โดยการนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ นี้ เป็นการพูดนโยบายชัดเจนเป็นรูปธรรมจับต้องได้ น โ ย บ า ย ท ี ่ เ ด ่ น ๆ เ ช ่ น 3 0 บ า ท ก อ ง ท ุ น ห มู ่ บ ้ า น การปราศรัยหาเสียงสมัยก่อนกับสมัยนี้แตกต่างกันมาก ตอนอยู่พรรคความหวังใหม่ พูดถึงโครงการอีสานเขียว ชาวบ้านต้องการได้แหล่งน้ำต่างๆ ซึ่งเป็นนโยบายแบบ กว้างๆ พอมาเป็นพรรคไทยรักไทยก็ชูนโยบายพรรค เป็นหลัก ซึ่งชาวบ้านต้องการแบบจับต้องได้” (เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) นอกจากการปราศรัยหาเสียงแล้ว ยังมีวิธีการ หาเสียงอื่น ได้แก่ การให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาให้พี่น้อง ประชาชน รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของพี่น้อง ประชาชน นายเศกสิทธิ์กล่าวว่า “เราก็ทำงานให้กับเขาอย่างเต็มที่ เวลาที่เขามี เรื่องมีอะไรเขาก็มาปรึกษาหารือและช่วยให้คำแนะนำเขา หรือช่วยแก้ปัญหาให้เขา และอีกเรื่องหนึ่งก็คือเวลาเขามี กิจกรรมมีอะไรในบ้านเราก็ไปร่วม ผมถือว่าเขาเลือกเรา มาแล้ว เราต้องทำงานให้เขาอย่างเต็มที่ ก็ทั้งทำงานใน ส่วนกลางที่เข้าไปทำงานในส่วนนิติบัญญัติ และส่วนหนึ่ง 172
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด กลับมาเป็น ส.ส. ก็ออกไปทำกิจกรรมในพื้นที่ ซึ่งการทำ กิจกรรมก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำหน้าที่” (เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) ในส่วนของผู้สนับสนุนในการหาเสียงอย่าง หัวคะแนน นายเศกสิทธิ์กล่าวว่ายังคงมีความสำคัญอยู่ แต่บทบาทของหัวคะแนนได้เปลี่ยนไป “เดิมคนเป็นหัวคะแนน จะมีการคุมฐานเสียง จึง ต้องใช้คนที่มีอิทธิพล มีญาติพี่น้องเยอะๆ แต่ตอนนี้ หัวคะแนนก็ปรับเปลี่ยนไป เป็นคนที่ไปกระจายเรื่อง นโยบายในสิ่งที่เราไปถ่ายทอด ทีมงานของผมส่วนมาก เป็นผู้นำในหมู่บ้าน เป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายก อบต. ซึ่งหัวคะแนนยังมีบทบาทอยู่” (เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) ซึ่งบทบาทหนึ่งของหัวคะแนนคือ เมื่อผู้สมัครจะไป ปราศรัยตามที่ต่างๆ จะต้องมีการประชาสัมพันธ์ไว้ก่อนล่วง หน้าว่าจะมีการปราศรัยของผู้สมัคร โดย “การปราศรัย จะมี การประกาศก่อนว่าจะมีผู้สมัครมาปราศรัยพูดเรื่องนโยบาย” ในรูปแบบการหาเสียงนั้น นายเศกสิทธิ์ได้กล่าวว่า “วิธีการหาเสียงไม่มีรูปแบบตายตัวว่าแบบนั้นได้มาก แบบนี้ ได้น้อย การหาเสียงจะไม่ใช้รูปแบบเดียว ต้องทำทุกอย่าง ไปด้วยกัน” เช่น การปราศรัย การลงพื้นที่ช่วยแก้ปัญหา การร่วมกิจกรรมกับชาวบ้าน เป็นต้น และเมื่อกล่าวถึงการใช้ 173
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งนั้นใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป โดยนาย เศกสิทธิ์กล่าวว่า “การเป็น ส.ส. ที่ผู้สมัครต้องแจกเงินแจกของ ในปัจจุบันใช้ไม่ได้ผลแล้ว ดูจากตัวอย่างครั้งที่ผ่านมา พวกผม ทั้งสามคน (ส.ส.เศกสิทธิ์ ส.ส.ฉลาด และ ส.ส.วราวงษ์) สังกัด พรรคเดียวกัน และลงเขตเดียวกัน ไม่มีใครนั่นเลย (ไม่มีการ แจกเงิน) คู่แข่งมีการแจกเงินแต่ไม่ได้” (เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) 4. นักการเมืองในดวงใจ เมื่อกล่าวถึงนักการเมืองในดวงใจ นายเศกสิทธิ์ กล่าวว่า “ผมอยู่กับท่านจาตุรนต์ ฉายแสง อยู่กับท่านมาตลอด ทำงานด้วยกันมา” ซึ่งนายเศกสิทธิ์ถือเป็นหนึ่งในสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในกลุ่มของนายจาตุรนต์ ฉายแสง 5. ความม่งุ หมายทางการเมอื ง เมื่อกล่าวถึงความมุ่งหมายสูงสุดทางการเมือง นาย เศกสิทธิ์กล่าวว่า “ตอนเข้ามาเป็น ส.ส.ไม่คิดว่าอยากจะมี ตำแหน่งอะไร เพราะการมาเป็น ส.ส.นี้ ถือว่าเป็นการตอบแทน สังคมกลับคืน” ซึ่งการตอบแทนสังคมอย่างหนึ่งที่เห็นชัดเจนคือ การที่นายเศกสิทธิ์ได้ให้การสนับสนุนให้ทีมฟุตบอลประจำ จังหวัดมีความเข้มแข็งขึ้น โดยนายเศกสิทธิ์ถือเป็นผู้จัดการทีม ที่คอยให้คำปรึกษาผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอล “มีโค้ชดูแลทีม แต่ส่วน มากเวลาเขามีอะไรก็จะมาปรึกษา ในฐานะที่เราเคยเล่นกีฬา มาก่อน เราก็ให้คำแนะนำกับเขาได้” “ผมเป็นตัวกลางหา งบประมาณมาช่วยทั้งส่วนราชการและเอกชนในจังหวัดมา ช่วยกัน” และนายเศกสิทธิ์ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการมีทีม 174
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ฟุตบอลจังหวัดว่า “ผมถือว่าฟุตบอลเป็นกีฬาหนึ่งที่ทำให้ เยาวชนได้มาดูฟุตบอล แล้วก็เป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถให้ ครอบครัวใช้เวลามาทำกิจกรรมในครอบครัว เป็นการแก้ไข ปัญหาสังคมได้ส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงนี้ประเทศไทยคนส่วน มากกำลังให้ความสนใจกับฟุตบอลระดับชาติอยู่ด้วย ในการ สนับสนุนทีมฟุตบอลจังหวัดของนายเศกสิทธิ์นี้ ถือเป็นผลงาน เด่นที่สร้างความนิยมในตัวนายเศกสิทธิ์จากประชาชนอย่าง มาก ในเรื่องอนาคตทางการเมือง นายเศกสิทธิ์กล่าวว่า “ผมไม่ ได้คิดว่าจะต้องวางแผน หรือสร้างทายาททางการเมือง ตอนนี้ ก็คิดแต่เพียงว่าทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด” (เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) 2.49 นายเกษม มาลัยศรี นายเกษม มาลัยศรี เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2499 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการ ศึกษาระดับปริญญาตรีศิลปศาสตรบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ การปกครอง จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมีประสบการณ์ ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย นอกจากนี้ ยังเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาจังหวัด 3 สมัย อดีตสมาชิกวุฒิสภา ร้อยเอ็ด 4 มีนาคม 2543 - 27 กรกฎาคม 2549 อดีตกรรมาธิการ งบประมาณกรรมาธิการสิ่งแวดล้อม กรรมาธิการเปิดเผย รายงานการประชุมและตรวจรายงานการประชุม ซึ่งตำแหน่ง ทางการเมืองสุดท้ายคือ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมี อาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นเกษตรกรและค้าขาย 175
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด นายเกษม มาลัยศรี เคยเป็นข่าวใหญ่ ในปี 2537 เมื่อ นายธานี ยี่สาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเพชรบุรี ชกหน้า นายเกษม มาลัยศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ร้อยเอ็ด ในระหว่างการประชุมพิจารณาแปรญัตติงบประมาณ ก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา วัดนครอินทร์ จังหวัด นนทบุรี เหตุมาจากกรณีที่นายเกษมสงสัยว่าอาจมีส่วนได้เสีย กับโครงการนี้ ทำให้นายธานี ยี่สาร ไม่พอใจลุกขึ้นชกนายเกษม และใน พ.ศ.2554 นายเกษม มาลัยศรี ถูกขึ้นข่าวพาดหัวว่า “เกษม มาลัยศรี” อดีต ส.ส.และ ส.ว.ร้อยเอ็ดชื่อดังถูกศาล ล้มละลายกลางพิพากษาล้มละลายแล้ว เว้นวรรค 3 ปี” ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 ให้ นายเกษม มาลัยศรี ที่ 1 นายประณต เสริฐวิชา ที่ 2 ลูกหนี้ ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ผลของคำพิพากษาทำให้นายเกษมเป็นบุคคลล้มละลาย 3 ปี เมื่อล่วงเลยเวลา 3 ปีจึงพ้นจากล้มละลาย ทำให้ไม่สามารถ สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาได้ใน ช่วงเวลาดังกล่าว 2.50 นายเอกภาพ พลซื่อ 1. ประวัติของนายเอกภาพ พลซ่อื นายเอกภาพ พลซื่อ เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2502 เป็นบุตรของนายอุ่น พลซื่อ กับนางทองดา พลซื่อ มีภูมิลำเนา อยู่ในอำเภอเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาระดับ ปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และระดับปริญญาโทศิลปศาสตรมหาบัณฑิต จาก 176
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ด้านชีวิตครอบครัวสมรสกับรัชนี พลซื่อ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด นายเอกภาพ พลซื่อ เริ่มทำงานเป็นทนายความ กระทั่งเข้ามาสู่วงการการเมืองโดยการเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด ในการเลือกตั้งวันที่ 13 กันยายน 2535 และได้รับเลือกตั้งเรื่อยมา โดยได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมากถึง 6 สมัย ได้แก่ ครั้งแรก คือ 13 กันยายน 2535 – 19 พฤษภาคม 2538 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 สังกัดพรรคเอกภาพ ครั้งที่ 2 คือ 2 กรกฎาคม 2538 – 27 กันยายน 2539 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 สังกัดพรรคเสรีธรรม ครั้งที่ 3 คือ 17 พฤศจิกายน 2539 – 9 พฤศจิกายน 2543 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 สังกัดพรรคเสรีธรรม ครั้งที่ 4 คือ 6 มกราคม 2544 – 6 มกราคม 2548 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 4 สังกัดพรรคเสรีธรรม ครั้งที่ 5 คือ 6 กุมภาพันธ์ 2548 – 24 กุมภาพันธ์ 2549 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 สังกัดพรรคไทยรักไทย และครั้งที่ 6 คือ 2 เมษายน 2549 – 19 กันยายน 2549 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 สังกัดพรรคไทยรักไทย ในด้านประสบการณ์ทางการเมืองของ นายเอกภาพ พลซื่อ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคเสรีธรรม ดำรงตำแหน่งช่วง พ.ศ.2539 - 2544 ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พ.ศ.2539 - 2540 ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2540-2545 ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) พ.ศ.2545 - 2547 ดำรงตำแหน่ง 177
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด รองเลขาธิการรองนายกรัฐมนตรี (พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์) พ.ศ.2548 และเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ในช่วงวันที่ 24 เมษายน 2548 - 30 พฤษภาคม 2550 ซึ่งในครั้งนี้ที่ทำให้ นายเอกภาพได้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจาก เป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบในคดียุบพรรค การเมือง พ.ศ.2549 ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 2. การเขา้ สู่การทำงานการเมือง ตระกูลพลซื่อถือเป็นเจ้าของพื้นที่ทางการเมือง ในจังหวัดร้อยเอ็ดมานานตั้งแต่สมัยบิดาของนายเอกภาพที่ลง เล่นการเมืองระดับท้องถิ่นโดยเป็นกำนันเดิม จนมาถึงรุ่นลูก อย่างนายเอกภาพที่เริ่มจากการเป็นทนายช่วยเหลือชาวบ้าน จนได้ใจคนในพื้นที่เรื่อยมา เมื่อลงสู่การเมืองระดับประเทศ ที่สามารถดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ดได้ถึง 6 สมัย ซึ่งพื้นที่ที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของตระกูลพลซื่อคือ เขตอำเภอเมยวดี ซึ่งถือว่าเป็นบ้านเกิดของนายเอกภาพ พลซื่อ นอกจากนี้ยังมีเขตอำเภอหนองพอก และอำเภอโพนทอง บางส่วน แต่จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ตระกูลพลซื่อไม่สามารถรักษาพื้นที่ใดๆ ไว้ได้ อันเนื่องจากการสู้กับกระแสความแรงของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ 2.51 นายฉลาด ขามช่วง 1. ประวัตขิ องนายฉลาด ขามช่วง นายฉลาด ขามช่วง เกิดเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2499 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษา 178
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ระดับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต สาขานิติศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระดับปริญญาโทศิลปศาสตร- มหาบัณฑิต สาขาไทยคดีศึกษา จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และได้รับประกาศนียบัตรการเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยสําหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.2) จากสถาบัน พระปกเกล้า นายฉลาดมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด 8 สมัย เป็นสมาชิก สภาจังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอโพธิ์ชัย 3 สมัย (พ.ศ.2528-2535) เคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2530 ประธานสภาจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2531-2532 เคยดำรงตำแหน่ง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ศ.2540-2544 เป็นรองประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ เป็น กรรมาธิการสามัญและวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2538 และ 2545 เปน็ กรรมาธกิ ารวสิ ามญั พจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ิ งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ โดยอาชีพก่อนได้รับ เลือกตั้งของนายฉลาดคือเป็นทนายความ นายฉลาด กล่าวว่า “ผมเป็น ส.ส.อย่างเป็นทางการ 7 สมัย อีกสมัยหนึ่งไม่รับรอง เป็นสมัยแรก สังกัดประชาธิปัตย์ สมัคร ส.ส.ครั้งแรกปี 2526” เดิมเคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัด ใน พ.ศ.2528 ซึ่งครอบครัวของนายฉลาดเป็นนักการเมืองท้องถิ่น คือ บิดาเป็นกำนัน พี่ชายเป็นกรรมการสุขาภิบาล(เดิม) นายฉลาดจบการศึกษาสาขาไทยศึกษา โดย นายฉลาดให้เหตุผลว่า “ที่เรียนไทยศึกษาเพราะอยากศึกษา ประวัติและท้องถิ่นของภาคอีสาน” นอกจากเป็นสมาชิกสภา 179
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนราษฎรแล้วนายฉลาดยังประกอบอาชีพทนายความ และ มีการทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างด้วย ในด้านครอบครัวนายฉลาด มีบุตร 2 คน ซึ่งนายฉลาดคาดว่าจะให้ลูกชายคนโตเจริญ รอยตามเข้าสู่วงการการเมือง 2. การเข้าสู่การทำงานการเมอื ง ความเป็นมาของการลงสู่สนามการเมืองของ นายฉลาด ซึ่งนายฉลาดกล่าวถึงความฝังใจและเห็นถึงความ ลำบากจากประสบการณ์ตั้งแต่วัยเยาว์ของตนเองว่า “ผมเป็นคนชนบท บ้านอยู่ห่างจากตัวจังหวัด 80 กม. และห่างจากตัวอำเภอโพนทอง 30 กม. ต้องเดิน ทางไปเรียนหนังสือแต่เช้า ต้องปั่นจักรยาน เห็นความ ยากจนของพี่น้องประชาชน เห็นความไม่ได้รับความเป็น ธรรม พอดีช่วงนั้นมีคดีเรื่องคอมมิวนิสต์ จึงต่อสู้ตั้งแต่ ตอนเป็นนักศึกษา ถูกจับดำเนินคดีช่วง 6 ตุลา 19 ที่ ธรรมศาสตร์ กลับมาเรียนต่อ แต่พรรคพวกเข้าป่าแล้ว” (ฉลาด ขามช่วง, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) นายฉลาดจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเข้ามาช่วยแก้ไข ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน โดยเสนอตัวเป็นตัวแทนประชาชน ซึ่งนายฉลาดกล่าวว่า “ ต ้ อ ง ก า ร ย ก ร ะ ด ั บ ค ว า ม เ ป ็ น อ ยู ่ ข อ ง พ ี ่ น ้ อ ง ประชาชนให้ดีขึ้น เช่น เรื่องการเดินทางสัญจรไปมา เรื่อง 180
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ความยากจน เรื่องการลดต้นทุนการผลิตทางการเกษตร เป็นต้น เพราะฉะนั้นเมื่อดำรงตำแหน่ง ส.ส. จึงเข้าไปอยู่ ในคณะกรรมการด้านการเกษตรและสหกรณ์ และ คมนาคม เพื่อไปช่วยผลักดันนโยบายกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องให้เกิดความเสมอภาค สอบถามเพื่อแก้ไข ปัญหา เสนอความเห็นให้กับพรรคที่จะจัดตั้งรัฐบาล ในช่วงสัมมนาพรรค ถือเป็นตัวแทนคนยากคนจน” (ฉลาด ขามช่วง, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) ใน พ.ศ.2548 นายฉลาดย้ายสังกัดพรรคจาก ประชาธิปัตย์มาสังกัดพรรคไทยรักไทย โดยใน พ.ศ.2547 รัฐบาลทักษิณทำงานได้ตรงตามนโยบายที่หาเสียงไว้ นายฉลาดเห็นว่าการเมืองน่าจะเปลี่ยนโฉมใหม่ และถือเป็น ประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งนายฉลาดกล่าวว่า “พี่น้อง ประชาชนบอกว่าให้มาช่วยเสริมหรือสนับสนุนนโยบายที่จะทำ ต่อไปที่รัฐบาลของพรรคไทยรักไทยทำไว้” นายฉลาดจึงได้ ตัดสินใจเปลี่ยนสังกัดพรรคการเมือง ซึ่งในครั้งนั้นนายฉลาดได้ รับการติดต่อจากนักการเมืองระดับสูงโดยตรง “ตอนที่จะเข้ามา สมัคร ส.ส. ไทยรักไทย ได้รับการทาบทามจากนายกทักษิณ และคุณเยาวภาโดยตรงด้วย ตอนนั้นเป็นเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” (ฉลาด ขามช่วง, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) ในเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ดนั้น นายฉลาดกล่าว่า “ไม่ได้เป็นกลุ่มใดๆ เพราะอยู่พรรคประชา- ธิปัตย์มานาน” เพราะในจังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทน 181
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ราษฎรทุกคนสังกัดพรรคเพื่อไทย (ไทยรักไทยเดิม) อยู่ก่อนแล้ว 3. รูปแบบการหาเสียง ในวิธีการหาเสียงของนายฉลาดยึดนโยบายเป็น สำคัญ ซึ่งนายฉลาดกล่าวว่า “นโยบาย” สำคัญมาก อย่างอื่น เป็นส่วนประกอบ คนเป็น ส.ส.ต้องรักษาพื้นที่ต้องดูแล ประชาชนเป็นหลัก” ส่วนระบบหัวคะแนนนั้น นายฉลาดยังเห็น ว่ายังใช้ได้ผล และมีแนวทางการเลือกผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นหัว คะแนนว่า “คนที่จะเป็นหัวคะแนนต้องเป็นผู้นำ เป็นคนที่น่า เชื่อถือ เป็นคนซื่อสัตย์ในหมู่บ้าน มีญาติพี่น้องเยอะ เช่น เวลา ไปปราศรยั หวั คะแนนจะเปน็ คนแจกแผน่ พบั และประชาสมั พนั ธ์ แจ้งความเคลื่อนไหวต่อพี่น้องประชาชนหรือการกระจายข่าว ก่อนที่ ส.ส.จะลงไปปราศรัย” (ฉลาด ขามช่วง, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) นายฉลาดกล่าวว่าวิธีการหาเสียงใช้การปราศรัย เหมือนเดิม แต่การตอบรับในการหาเสียงดีขึ้นเมื่อนำเสนอ นโยบายที่เห็นผลได้ดีขึ้น โดยที่รูปแบบการหาเสียงจากการ ปราศรัยในปัจจุบันมีความแตกต่างจากอดีตในเรื่องการนำเสนอ นโยบาย คือ “ก่อนมีกฎหมายปี 2544 การเลือกตั้งไม่มีกระแส พรรค ที่เลือกตั้งแบบพวงใหญ่ เลือกตามผู้สมัคร ส.ส. คน ที่เป็น ส.ส. จะทำงานหนัก บริการประชาชนทุกอย่าง รัฐบาลสมัยก่อนเป็นรัฐบาลผสม รัฐบาลมาสำเร็จในปี 2544 เพราะฉะนั้นในช่วงเลือกตั้งปี 2548-2549 จะเป็นการ 182
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด เลือกตั้งที่เน้นนโยบาย ก่อนการเลือกตั้งปี 2544 ไม่มี นโยบายใดที่ชัดเจน ไม่สามารถนำนโยบายของพรรคมา หาเสียงได้ทั้งหมด เพราะส่วนมากเป็นรัฐบาลผสมและ อยู่ได้ไม่นาน การหาเสียงจึงเป็นการปราศรัยที่นำเสนอ นโยบายแบบกว้างๆ เช่น นโยบายเรื่องน้ำ แต่เมื่อหลังปี 2544 พรรคการเมืองรัฐบาลอยู่นานมากขึ้น” (ฉลาด ขามช่วง, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) 4. นกั การเมอื งในดวงใจ นักการเมืองในดวงใจของนายฉลาด คือ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่ นายฉลาดได้สังกัดตั้งแต่แรกเริ่มของการลงสู่สนามการเมือง ระดับชาติ โดยนายฉลาดได้กล่าวถึงนายชวน หลีกภัย ไว้ว่า “นายชวน หลีกภัย เป็นผู้ที่ตรงในการอภิปราย เรื่องเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ก็จะไม่พูดเอาใจคน ไม่ว่า จะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล นายชวนก็จะยึดหลัก บางคนเป็นฝ่ายค้านพูดอย่าง พอเป็นฝ่ายรัฐบาลพูด อีกอย่าง นายชวนถือว่าเป็นต้นแบบ เหตุการณ์ในการ เลือกตั้งปี 39 พรรคประชาธิปัตย์แพ้ก็คือแพ้ นายชวน โยนผ้ายอมให้อีกฝ่ายหนึ่งจัดตั้งรัฐบาล แม้ว่าลูกพรรค จะจับขั้วกันอยู่เพื่อจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม” (ฉลาด ขามช่วง, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) 183
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 5. ความมุ่งหมายทางการเมือง ความมุ่งหวังในทางการเมืองของนายฉลาด คือ “เป็นฝ่ายบริหารคือรัฐมนตรี เพื่อได้รับนโยบายและไปปฏิบัติได้ จริงๆ เป็นผู้ปฏิบัติ อันนี้เป็นเรื่องที่แล้วแต่บุญวาสนา ความ ใฝ่ฝันของนักการเมืองก็คือได้เป็นรัฐมนตรีบริหารประเทศชาติ” (ฉลาด ขามช่วง, สัมภาษณ์, 26 กุมภาพันธ์ 2554) ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายฉลาดลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 2 สังกัดพรรคเพื่อไทยเช่นเดิม ผลการเลือกตั้งนายฉลาดได้ รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนที่ชนะขาด ซึ่งมาจากความนิยมใน ตัวนายฉลาดเอง รวมทั้งความนิยมในพรรคเพื่อไทยและกระแส ของกลุ่มเสื้อแดงในพื้นที่ร้อยเอ็ด 2.52 นายชัยศักด์ิ ทะไกรราช นายชัยศักดิ์ ทะไกรราช เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2485 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จ การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนพรชัยวิทยา มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย เคยเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลนาแซง พ.ศ.2551 และสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ.2523-2538 2.53 นายศักดา คงเพชร 1. ประวัตขิ องนายศกั ดา คงเพชร นายศักดา คงเพชร เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2504 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จ 184
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด การศึกษาระดับปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขา ศิลปศาสตร์ จากสถาบันราชภัฏร้อยเอ็ด มีประสบการณ์ ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 สมัย เคยเป็น สมาชิกสภาจังหวัด เคยดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (พลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูล ณ อยุธยา) กรรมาธิการการเกษตรฯ กรรมาธิการการพลังงาน กรรมาธิการการแรงงาน และกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ โดย มีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นธุรกิจส่วนตัว คือธุรกิจทำเสาปูน บิดามารดาทำการค้าขายมา เคยค้าขายน้ำมันก๊าด และมีโรงสี ข้าวจนถึงปัจจุบัน น้องชาย(นายนิรันดร์ คงเพชร) เคยเป็น สมาชิกสภาจังหวัด แต่เสียชีวิตแล้ว นายศักดาสมรสกับ นางจิตตรา คงเพชร ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกสภาจังหวัด นายศักดา คงเพชร เป็นสมาชิกกลุ่มอีสานพัฒนา ภายใต้นายไพจิต ศรีวรขาน นายศักดาเป็นแกนนำในกลุ่ม อีสานพัฒนา ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลเพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบ คนใกล้ตัวนายสมัคร สุนทรเวช และกลุ่มแก๊งออฟโฟร์ ในเรื่อง ทุจริต ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรคพลังประชาชน พอสมควร และนอกจากนี้นายศักดา คงเพชร เป็นแกนนำ ในการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2. รปู แบบการหาเสยี ง วิธีการหาเสียงของนายศักดา เน้นการปราศรัย หาเสียงเป็นหลัก ซึ่งทีมงานหาเสียงของนายศักดา กล่าวว่า “เน้นการปราศรัยทุกชุมชนทุกหมู่บ้าน ใช้รถสองคัน แล้วจอดรถ ตามสี่แยก ปราศรัยทุกหมู่บ้าน” นโยบายหลักๆ ของนายศักดา 185
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ใช้ในการหาเสียง คือ การแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ทั้งที่ทำแล้ว ประสบความสำเร็จบ้างและไม่ประสบความสำเร็จบ้าง เช่น กรณีของลำน้ำเสียว นายศักดาบริการชาวบ้านช่วยเหลือกัน ในกรณีที่ไม่สำเร็จคือ การที่ยื่นโครงการไปส่วนกลางแล้วไม่ได้ รับการอนุมัติกลับมา ซึ่งการปราศรัยหาเสียงของนายศักดาเน้นนโยบาย พรรค ทีมงานหาเสียงของนายศักดากล่าวว่า “ท่าน ส.ส.ไม่เคย ปราศรัยโจมตีคู่แข่งสักครั้ง ปราศรัยเน้นนโยบายตอนแรกเป็น นโยบายภาคก่อน แล้วตอนนี้เน้นนโยบายพรรค เมื่อปราศรัย นโยบายแล้ว ส.ส.ก็จะอ้อนคะแนนเสียง ผมก็ลูกในบ้าน ว่านใน สวน สงสารผม กช็ ว่ ยผมดว้ ยเถอะ” (โกศล สมานสขุ , สมั ภาษณ,์ 19 สิงหาคม 2554) การปราศรัยหนึ่งวันได้ประมาณ 13-14 หมู่บ้าน ปราศรัยแต่ละแห่งก็ใช้เวลาไม่นานมาก มีทีมงานช่วย เตรียมประชาสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ซึ่งนายศักดาไม่มีการ จัดเวทีใหญ่ ยกเว้นเวทีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้ อันเนื่องจากว่าการปราศรัยตามหมู่บ้านจะเข้าถึงชาวบ้าน มากกว่า เพราะบางครั้งชาวบ้านติดภารกิจไร่นาไม่สามารถ มาร่วมฟังปราศรัยหาเสียงเวทีใหญ่ได้ นอกจากนี้ยังมีการใช้ แผ่นพับใบปลิวที่ใช้แจกตามบ้านด้วย ในระบบหัวคะแนนของนายศักดาจะใช้กลุ่มแม่บ้าน เป็นหลัก โดยปกตินายศักดาจะลงพื้นที่ตลอด เมื่อช่วงหลังก่อน การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 นายศักดาไม่ค่อยได้ลงพื้นที่ เสียงมีการตกบ้างเล็กน้อย โดยทีมงานหาเสียงของนายศักดา กล่าวว่า “ชาวบ้านไม่เห็นหน้าผู้แทน ก็พูดไปต่างๆ นานา เสียง 186
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด เริ่มตก แต่พอสุดท้ายชาวบ้านเห็นว่าถ้าไม่เลือก ส.ส.ศักดา แล้ว ก็ไม่มีใครจะเป็นตัวแทนได้ดี จึงหันกลับมาเลือกเหมือนเดิม รวมทั้งทีมงานลงไปชี้แจงให้ชาวบ้านเข้าใจว่า ส.ส.เป็น กรรมาธิการ ต้องทำงานส่วนกลาง จึงไม่ค่อยได้ลงพื้นที่ ชาวบ้านจึงเข้าใจ” (โกศล สมานสุข, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) การลงพื้นที่คือ การช่วยเหลือหรือให้บริการชาวบ้าน เช่น ให้บริการเครื่องสูบน้ำเข้านา ถ้านายศักดาไม่ได้ลงพื้นที่เอง ก็มีตัวแทนที่เป็นพันธมิตรทางการเมืองระดับท้องถิ่น คือ สมาชกิ สภาเทศบาล เปน็ ตวั แทน ซง่ึ หนา้ ทห่ี ลกั ๆ ของหวั คะแนน คือการประชาสัมพันธ์และประสานงานกับกลุ่มแม่บ้าน และ กลุ่มแม่บ้านก็จะประสานต่อไป นอกจากนี้นายศักดายังช่วยสนับสนุนกลุ่มแม่บ้าน ให้ผลิตสินค้าในชุมชน เช่น รองเท้า ผ้าไหม เป็นต้น ต่อมาตัด เสื้อแดงแจกกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งถือว่ากลุ่มแม่บ้านเป็นฐานเสียง หลักของนายศักดา ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายศักดาได้รับ คะแนนห่างจากอันดับสองมาก คือได้รับคะแนนประมาณ 65,000 คะแนน ซึ่งผู้สมัครที่ได้อันดับสองได้คะแนนประมาณ 6,000 คะแนน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ทีมงานหาเสียงของนายศักดา เห็นว่า การสังกัดพรรคเพื่อไทยมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี ้ อย่างมาก เพราะชาวบ้านรักนายกฯ ทักษิณอย่างมาก ในกลุ่มเครือข่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัด ร้อยเอ็ดได้ทำงานแต่ละพื้นที่ของตนเอง แต่นายศักดาถือว่าเป็น ที่ปรึกษาให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนในจังหวัด 187
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335