Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

Description: เล่มที่40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ส.ส.ที่ได้รับการชื่นชมยกย่องเสมอมาทุกยุคคือ บทของ นักเปิดโปง และขจัดทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งปัจจุบันถือว่า นายศักดา คงเพชรเป็นตัวแทนกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ในพื้นที่ จังหวัดร้อยเอ็ดก็ว่าได้ 2. กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง จากการศึกษาและวิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจ การเมืองในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด โดยวิเคราะห์ผ่านพัฒนาการ ของตัวละคร คือ “กลุ่มธุรกิจ” และ “กลุ่มการเมือง” พบว่า กระบวนการสะสมทุนของนักธุรกิจท้องถิ่นได้กระทำผ่านการ รวมกลุ่มกันในรูปขององค์กร เช่น หอการค้าจังหวัด กลุ่ม สมาคมวิชาชีพ และอื่นๆ โดยเฉพาะในเขตเมือง ซึ่งมีความ เจริญทางเศรษฐกิจสูง โดยการรวมกลุ่มภายในองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นมีความหลากหลาย และแต่ละกลุ่มมีการแข่งขัน กันเองในเวทีสาธารณะ ทั้งยังมีพลวัตการเมืองมากน้อยต่างกัน ด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าการรวมตัวของ “กลุ่มผลประโยชน์ ทางธุรกิจ” ในสนามการเมืองระดับจังหวัดและองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ต่างมีแนวโน้มที่จะขยายไปสู่การเข้าไปมีบทบาท ทางการเมืองในระดับท้องถิ่น และในระดับชาติเพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ โดยเฉพาะนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจควบคู่ไปกับงาน ทางการเมือง โดยปัจจัยสำคัญในการกำหนดความเป็นอิทธิพล จะมีอยู่ 3 ประการ คือ ทรัพย์สิน อำนาจ และสถานภาพทาง สังคม คุณลักษณะทั้ง 3 ประการนี้จะอยู่ควบคู่และเกื้อกูลกัน 238

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง และกัน โดยผู้มีอำนาจมักใช้อำนาจในการแสวงหาทรัพย์สิน และผู้มีทรัพย์สินมักใช้ทรัพย์สินแสวงหาอำนาจ และปัจจัยทั้ง สอง (อำนาจและทรัพย์สิน) จะส่งผลให้บุคคลหนึ่งมีสถานภาพ สูงในสังคมตามไป เ ม ื ่ อ ว ิ เ ค ร า ะ ห ์ ล ั ก ษ ณ ะ ค ว า ม ส ั ม พ ั น ธ ์ ภ า ย ใ น ข อ ง “กลุ่มการเมือง” จะพบว่ามีความสัมพันธ์ ในระบบอุปถัมภ์แบบ จารีตในลักษณะเครือญาติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้กลุ่มมีการรวม ตัวทางการเมืองได้ง่ายขึ้น โดยความสัมพันธ์ที่เกิดจากความไว้ วางใจกันทำให้การรวมตัวเหนียวแน่น และความเป็นเครือญาติ ได้ส่งผลให้กลุ่มการเมืองสามารถรวมตัวกันได้ง่าย การรวมตัว กันทางการเมืองจะมีผลในการร่วมกันแสวงหาประโยชน์ได้ง่าย ยิ่งขึ้น จึงเรียกการรวมกลุ่มการเมืองเช่นนี้ว่า “กลุ่มผลประโยชน์ ทางการเมือง” ในขณะเดียวกัน การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ภายใน กลุ่มผลประโยชน์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะเป็น กระบวนการที่กระทำโดยกลุ่มธุรกิจที่ได้ดำเนินกิจกรรมทาง เศรษฐกิจในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีความสัมพันธ์ ส่วนตัวระหว่างสมาชิกด้วยกันก่อน แล้วจึงมีการชักชวน สนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจในรูปแบบ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในกลุ่มการเมือง ซึ่งเป็นการดำเนินการบน ฐานของความสัมพันธ์ส่วนตัว และบนวัตถุประสงค์ เพื่อการ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นสำคัญ ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะขยายฐานทางการเมืองของตน ออกไปเพอ่ื ผลประโยชนท์ ง้ั ในทางธรุ กจิ และทางการเมอื ง จะพบวา่ 239

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มการเมืองมีแนวโน้มที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ในจังหวัดเดียวกัน ทั้งนี้ ปรากฏการณ์หนึ่งที่พบเห็นได้ชัด คือ การสร้างความต่อเนื่องของเครือข่ายความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ ทางการเมือง ผ่านการส่งคนในครอบครัวเข้าลงสมัครรับ เลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพราะฐานคะแนน เสียงของท้องถิ่นเป็นปัจจัยชี้วัดผลการเลือกตั้ง ความสัมพันธ์ ทางการเมืองระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงไม่สามารถ ที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ใน ลักษณะเป็นฐานคะแนนเสียง และนายหน้าทางการเมืองให้กับ พรรคการเมืองระดับชาติ ทั้งนี้ “กลุ่มธุรกิจ” มีความสำคัญเพราะนอกเหนือจาก บทบาททางเศรษฐกิจในการแสวงหาผลประโยชน์ของเจ้าของ กิจการ ผ่านการประมูลงานจากภาคส่วนราชการ ยังเข้าไปมี ความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจการเมืองในระดับ ท้องถิ่น และในระดับชาติ และทางกลุ่มธุรกิจเองก็พร้อมจะเข้า มามีบทบาททางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม เมื่อมีการ สะสมทุนทางเศรษฐกิจและสังคมขึ้นมาได้ในระดับที่พอเหมาะ โดยสามารถแบ่งกลุ่มผลประโยชน์ในจังหวัดร้อยเอ็ดได้ เป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มนักกฎหมาย กลุ่มสมาคมครู กลุ่มนักเคลื่อนไหว และกลุ่มนักการเมือง ท้องถิ่น ดังนี้ 240

แผนภาพท่ี 5.5 ลักษณะเฉพาะของกลมุ่ ผลประโยชนใ์ นจงั หวัดรอ้ ยเอด็ เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง 241

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มธุรกิจ โดยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง นักการเมืองถิ่นที่มีพื้นฐานอาชีพเป็นนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ นายศักดา คงเพชร และนายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ เพราะ ก่อนที่จะมาทำงานทางการเมืองบุคคลเหล่านี้ทำอาชีพรับเหมา ก่อสร้างมาก่อนและอาศัยฐานทางธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ในการสร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนในพื้นที่ ด้าน นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงษ์ และนายอนุรักษ์ จุรีมาศถือได้ว่าเป็น ตัวแทนของกลุ่มธุรกิจการค้า ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจเก่าแก่และถือว่า เป็นคหบดีเมืองร้อยเอ็ดโดยธุรกิจการค้าที่ว่าเช่น ตัวแทน จำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมถึงโรงพยาบาลและ โรงงานสัปปะรดกระป๋อง ทั้งนายเศกสิทธิ์และนายอนุรักษ์เป็นที่ ยอมรับกว้างขวางในจังหวัดร้อยเอ็ดว่าเป็นสองตระกูลใหญ่ที่ ประสบความสำเร็จในธุรกิจด้านต่างๆ และเป็นที่น่าเชื่อได้ว่าจะ สามารถทำงานทางการเมืองได้ประสบผลสำเร็จเช่นเดียวกับ ธุรกิจของตระกลู กลุ่มทนายความ เนื่องด้วยประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ เป็นเกษตรกรและมีการศึกษาในระบบค่อนข้างน้อย เมื่อประสบ ปัญหาด้านคดีความต่างๆ ก็ขาดความรู้ความเข้าใจและมักถูก เอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ กลุ่มคนที่ประกอบอาชีพทนายความ จึงเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งที่จะสามารถสร้างผลงานให้เป็นที่น่า เชื่อถือและไว้วางใจของชาวบ้านได้ไม่ยาก คนกลุ่มนี้ ได้แก่ นายฉลาด ขามช่วง นายนิรมิต สุจารี และนายเอกภาพ พลซื่อ เพราะเป็นกลุ่มคนที่จบการศึกษาด้านนิติศาสตร์มาโดยตรงและ ให้ความรู้ในสาขาวิชาชีพเพื่อสร้างผลงานจนเป็นที่เชื่อถือของ ชาวบ้านในพื้นที่ 242

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง กลุ่มข้าราชการครู บุคคลกลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มคนที่สร้าง ความน่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่ ได้ไม่ยากเพราะโรงเรียนถือเป็นศูนย์รวมด้านการศึกษาในพื้นที่ ชนบท อีกทั้งยังสามารถช่วยเหลือและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน พื้นที่ได้อย่างดี เช่น เด็กนักเรียนขาดการศึกษา เด็กนักเรียน ไม่มีเงินรับประทานอาหารกลางวัน กลุ่มคนที่จะต้องเผชิญ ปัญหาและช่วยเหลือเป็นกลุ่มแรกๆ คือ กลุ่มข้าราชการคร ู จึงเป็นที่รักและไว้วางใจของประชาชนในพื้นที่ บุคคลกลุ่มนี้ ได้แก่ ครูเวียง วรเชษฐ์ ครูนิสิต สินธุไพร ครูเอมอร สินธุไพร และครนู ิรมิต สุจารี เป็นต้น กลุ่มนักเคลื่อนไหว ในอดีตที่ผ่านมายังไม่มีนัยสำคัญ ทางการเมืองมากนักแต่ในปัจจุบันนั้นบุคคลที่อาศัยฐานของ มวลชนในการเคลื่อนไหวประเด็นทางการเมืองต่างๆ ทวีความ สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปรากฏการณ์สีเสื้อที่เกิดขึ้นใน สังคมการเมืองไทย บุคคลที่โดดเด่นของกลุ่มนี้ ได้แก่ นายนิสิต สินธุไพร และนายนิรมิต สุจารี เป็นต้น กลุ่มอื่นๆ กลุ่มอาชีพนี้มีลักษณะหลากหลายแต่จุดเน้น ทส่ี ำคญั คอื การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาเปน็ ปจั จยั เกอ้ื หนนุ ในการที่จะทำให้ประชาชนรู้จักและไว้วางใจ เช่น นายวราวงษ์ พันธุศิลา ประกอบอาชีพเป็นนักจัดรายการวิทยุชุมชน อาศัย การสร้างฐานเสียงจากรายการวิทยุที่ตนเองจัด จนได้รับการ เลือกตั้งใน 2 สมัยที่ผ่านมา ที่สำคัญคือสามารถชนะการ เลือกตั้งเหนือกลุ่มของนายอนุรักษ์ จุรีมาศได้ แต่ที่น่าตั้ง ข้อสังเกตคือกลุ่มบุคคลที่มาจากกลุ่มอาชีพเช่นนี้จะขาดฐาน 243

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ค ะ แ น น เ ส ี ย ง ท ี ่ แ น ่ น อ น เ พ ร า ะ ส ่ ว น ใ ห ญ ่ ผู ้ ท ี ่ น ิ ย ม ใ น ต ั ว นายวราวงษ์ จะรู้จักในนามของนักจัดรายการวิทยุมากกว่าที่จะ เป็นตัวแทนของประชาชนเขต 1 ร้อยเอ็ด จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า แต่ละกลุ่มอาชีพจะมีข้อ โดดเด่นและการทำให้เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนในพื้นที่ที่ ต่างกันลักษณะการจัดแบ่งกลุ่มอาชีพก็เป็นการจัดแบ่งแบบ หลวม เพราะจะพบว่าเราจะสามารถจัดประเภทของบุคคล เดียวกันไว้ได้ในหลายกลุ่มอาชีพ แต่ข้อโดดเด่นที่พบคือกลุ่ม บุคคลที่มาจากกลุ่มธุรกิจ จะยึดแนวทางการประกอบธุรกิจเดิม และฐานคะแนนเสียงของตนเองเดิมเป็นหลัก โดยจะไม่เลื่อน ไหลเหมือนกับกลุ่มอาชีพทนายความ ข้าราชการครู และ นักเคลื่อนไหว เพราะกลุ่มที่กล่าวมานั้นต้องอาศัยประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองเพื่อแสดงผลงานให้ประชาชนในพื้นที่ ไว้วางใจและลงคะแนนเสียงให้ จากการทก่ี ลมุ่ ผลประโยชนใ์ นจงั หวดั รอ้ ยเอด็ แบง่ ออกเปน็ 5 กลุ่มนั้น ทุกกลุ่มล้วนต้องอาศัยฐานเสียงจากนักการเมือง ท้องถิ่นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งสมาชิกในครอบครัว หรือ สนับสนุนพันธมิตรทางการเมืองให้สู้ศึกเลือกตั้งในสนาม การเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดร้อยเอ็ดเฉกเช่นกรณี ของสมาชิกสภาจังหวัดที่มีการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันกับนักการ เมืองระดับชาติ ยกตัวอย่าง - อำเภอเกษตรวิสัย นายนิรันดร์ คงเพชร และ นางจิตรา คงเพชร สนับสนุนและได้รับการสนับสนุน โดยกลุ่มคงเพชร 244

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง - อำเภอจตุรพักตรพิมาน นายอนิวัตร วรเชษฐ์ สนับสนุนและได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มวรเชษฐ์ และไวนิยมพงศ์ - อำเภอธวัชบุรี นายพิสิษฐ์ศักดิ์ ไวนิยมพงศ์ นายจักรกริช ไวนิยมพงศ์ สนับสนุนและได้รับการ สนับสนุนโดยกลุ่มไวนิยมพงศ์ - อำเภอศรีสมเด็จ นางเกิ้อจิตร จุรีมาศ สนับสนุน และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มจุรีมาศ - อำเภอเสลภูมิ นางศศิธร พรหมชัยนันท์ สนับสนุน และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มพลซื่อ - อำเภอหนองพอก นายเอกชัย พลซื่อ สนับสนุน และได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มพลซื่อ ความสัมพันธ์นี้จะมีความเกี่ยวพันกับบทบาทการต่อรอง และจัดสรรผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างแต่ละพรรค การเมือง และระหว่างกลุ่มการเมืองท้องถิ่นด้วยกันเอง ซึ่ง สภาพการเมืองท้องถิ่นจะมีการแข่งขันกันระหว่างหลายพรรค ในจังหวัดหนึ่งๆ ผ่านการแข่งขันกันส่งคนของตนเข้าลงสมัคร รับเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับชาติและพรรคการเมือง และในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดมีข้อมูลแสดงให้เห็นถึงความ สัมพันธ์ระหว่างการเมืองระดับชาติและการเมืองระดับท้องถิ่น ของนักการเมืองถิ่นที่มีจุดเริ่มของการเข้าสู่วงการทางการเมือง ที่แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง โดยสามารถสรุปเป็นแผนภาพที่ 245

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 5.6 โดยที่นักการเมืองถิ่นมีรูปแบบการวางฐานสู่การเมือง แบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะรับเหมาก่อสร้างอัน มีส่วนเกี่ยวพันเกี่ยวข้องกับการเมืองระดับท้องถิ่นจนนำไปสู่การ เป็นนักการเมืองท้องถิ่น (สจ.) ก่อนที่จะเริ่มลงสู่สนามเลือกตั้ง ระดับชาติ กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มของทนายความ นักกฎหมาย ซึ่ง จะเป็นผู้ที่สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ได้เป็น อย่างดี ที่ถือได้ว่าการเป็นทนายความชาวบ้านจะเป็นที่มั่นสู่ การเริ่มเส้นทางการเมืองจากการเมืองท้องถิ่น และการเมือง ระดับชาติต่อไป กลุ่มทส่ี าม เป็นกลุ่มของครู หรือข้าราชการเดิม ในพื้นที่ ต่างจังหวัดอย่างร้อยเอ็ด ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับชาวบ้าน ยอ่ มมคี วามใกลช้ ดิ สนทิ สนมในฐานะครขู องลกู หลานหรอื เปน็ ครู ของสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่รุ่นพ่อถึงรุ่นลูก ฉะนั้นจึงไม่ยาก นักที่กลุ่มครูจะเข้าสู่สนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ กลุ่มที่ส่ี เป็นกลุ่มของนักเคลื่อนไหว กลุ่มนี้มีลักษณะ พิเศษคือเป็นทั้งนักเคลื่อนไหวตั้งแต่ยังคงเป็นครูอยู่และยังเป็น ทนายความให้ชาวบ้าน ฉะนั้นจึงถือว่ามีต้นทุนจากพลังมวลชน มากกว่านักการเมืองถิ่นที่มาจากกลุ่มแบบอื่นๆ และต้นทุนที่ว่า นี้ทำให้คนในกลุ่มนี้ไม่ได้ผ่านการเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่น มาก่อน แต่สามารถเข้าสู่การเมืองระดับชาติเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้โดยตรง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ นายนิสิต สินธุไพร ที่เป็นนักเคลื่อนไหวมวลชนอย่างแท้จริง 246

เหน็ ไดชัดคือ นายนสิ ติ สนิ ธไุ พร ท่ีเปน นักเคลอื่ นไหวมวลชนอยางแทจ รงิ แผนภาพท่ี 5.6 ทม่ี ทาี่มแาลแะลควะาคมวสามัมพสแนััมผพธนขภนั อาธงพข์ กทอลงี่มุ 5กผ.ล6ลมุ่ ป ผรละโปยรชะนโย ชน ์ ธรุ กิจ (รับเหมา) ทนาย นักการเมืองทองถน่ิ สมาชิกสภาผูแทนราษฎร (สจ.) เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง ครู247 นกั เคลอ่ื นไหว 3. รูปแบบการหาเสยี ง 3.1 การรณรงคทางการเมอื ง

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 3. รูปแบบการหาเสียง 3.1 การรณรงค์ทางการเมือง การรณรงค์ทางการเมือง (political campaign) นับได้ว่า เป็นภารกิจหน้าที่หนึ่งที่พรรคการเมืองที่ดีควรต้องปฏิบัติอยู่เป็น ประจำสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้ง หรือหลัง จากการเลือกตั้งก็ตาม โดยที่พรรคการเมืองจะทำหน้าที่เป็น เสมอื นองคก์ รทจ่ี ะคน้ หาวา่ กระบวนการหรอื วธิ กี ารใดทเ่ี หมาะสม ที่จะดึงดูดหรือโน้มน้าวใจให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้เลือก ผสู้ มคั รจากพรรคตนใหเ้ ขา้ ไปมที น่ี ง่ั ในสภาไดม้ ากทส่ี ดุ พรอ้ มทง้ั ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีต่างๆ ของพรรคให้ออกสู่สาธารณะ อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังต้องคอยตรวจสอบความต้องการของ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่า ณ ปัจจุบันเขามีความต้องการ อย่างไร และนำความต้องการเหล่านั้นมาแปลงเป็นนโยบาย พรรค (political policies) ซึ่งวิธีการรณรงค์ทางการเมืองของ พรรคการเมืองสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ (วิชชุดา เมฆานุวงศ์, 2551, http://www.ect.go.th/) 1. การรณรงค์ทางการเมืองผ่านทางสาร (campaign message) เป็นการรณรงค์ที่พรรคการเมืองจะจัดเตรียมสารและ วาทะทางการเมืองซึ่งต้องแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้อง ระหว่างความคิด จุดยืน และตัวตนของผู้สมัครรับเลือกตั้งกับ นโยบายของพรรค และจำต้องเผยแพร่สารและวาทะทาง การเมืองต่างๆ ออกสู่สาธารณะอย่างเป็นประจำ เพื่อให้ผู้มีสิทธิ เลือกตั้งรู้สึกประทับใจ อีกทั้งพรรคและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ยังต้องคอยเตรียมสาร และวาทะทางการเมืองเพื่อตอบโต้ 248

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง พรรคการเมืองคู่แข่งที่พยายามจะโจมตีสาร หรือวาทะทาง การเมืองของผู้สมัครพรรคตรงกันข้ามด้วยการชูนโยบายที่ดีกว่า หรือต้องคอยพยายามเตรียมการตั้งรับกับคำถามอันเกี่ยวกับ พฤติกรรม บุคลิกลักษณะต่างๆ ของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง คู่แข่ง ด้วยข้อความที่สั้นได้ใจความและสามารถจะแสดงถึง ด้านลบของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น การเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ.2008 ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดี นายจอห์น แม็กเคน (John McCain) ใช้สารที่สื่อ เน้นให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นถึงความรักในชาติอเมริกัน (patriotism) กับประสบการณ์ทางการเมืองที่ยาวนานของเขา (political experience) ต่อมาก็ได้เปลี่ยนสารเป็น “ผู้ที่มีความคิด เปน็ อสิ ระ (maverick)” ทางดา้ นบารกั ค์ โอบามา (Barack Obama) ผู้แข่งขัน ได้ใช้สารคำว่า “เปลี่ยน (change)” เพียงคำเดียวเพื่อ โจมตีสารทางการเมืองของนายจอห์น แม็กเคน ทั้งหมด 2. การเงินกับการรณรงค์ทางการเมือง (campaign finance) การรณรงค์ทางการเมืองที่ดีสามารถทำให้พรรค การเมืองมีเงินทุนเพิ่มขึ้นเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป ด้วยการที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องออกพบปะสาธารณชนหรือ กลุ่มผลประโยชน์อยู่เป็นประจำ และหากสาร วาทะทางการ เมือง หรือนโยบายของพรรคประทับใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือกลุ่ม ผลประโยชน์ พวกเขาก็จะบริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองเพื่อ สนับสนุนพรรคที่เขาชื่นชอบ 3. การรณรงค์ทางการเมืองยุคใหม่ ในปัจจุบันเป็นที่ ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่า พรรคการเมืองได้นำเทคนิคทาง 249

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด การบริหารธุรกิจมาใช้ในการรณรงค์ทางการเมืองอย่าง แพร่หลาย ลักษณะของโครงสร้างองค์กรพรรคการเมือง การ ดำเนินการบริหารพรรคต่างๆ มีสภาพไม่แตกต่างจากบริษัท หากต่างแต่เพียงอย่างเดียว คือตัวสินค้า เพราะพรรคการเมือง จะขายนโยบายและผู้สมัครให้แก่ประชาชน ดังนั้นในการ รณรงค์ทางการเมืองพรรคการเมืองจึงมีการจัดตั้งทีมรณรงค์ ทางการเมือง(political consultants and the campaign’s staff) เช่นเดียวกับทีมขาย ประกอบกับการใช้เทคนิคการทำตลาด ทางการเมือง (political marketing) อาทิ การสร้างภาพลักษณ์ ในตัวพรรค (brand royalty) นโยบายและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ในแต่ละคน ให้ตรงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยการทำโพลสำรวจว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องการสิ่งใด ปรับภาพลักษณ์ให้เป็นที่สะดุดใจ และสร้างให้เกิดความประทับใจทันทีเมื่อแรกพบ ปรับสารและ วาทะทางการเมอื งตลอดจนนโยบายใหเ้ ปน็ ขอ้ ความทส่ี น้ั กระชบั และตรึงใจผู้สิทธิเลือกตั้งทันทีเมื่อได้ยิน โดยการใช้เทคนิคการ โฆษณาต่างๆ (advertising and propaganda) ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต ฯลฯ เข้ามาช่วยเสริม อีกทั้งยังมีการจัดตั้งตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวให้กับผู้สมัครรับ เลือกตั้งแต่ละคน เพื่อให้ผู้จัดการสามารถเป็นทั้งผู้ช่วยที่คอย ปรับบุคลิก สารและวาทะทางการเมือง ให้คำปรึกษาในด้าน ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อสร้างความประทับ ใจให้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเมื่อแรกพบเห็น และจัดทำสำรวจโพล ทั้งเพื่อวัดความนิยมในตัวผู้สมัคร วัดความต้องการของผู้มีสิทธิ เลอื กตง้ั และวดั ความนยิ มของผสู้ มคั รในพรรคคแู่ ขง่ (benchmark) หรือแม้กระทั่งต้องตอบคำถามต่างๆ กับสื่อมวลชนแทนผู้สมัคร 250

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง 4. เทคนิคการรณรงค์ทางการเมือง มีตั้งแต่เทคนิค แบบเก่า เช่น การเยี่ยมเด็กตามโรงเรียน พบปะคนชรา ปรากฏ ตัวในหมู่บ้านเล็กๆ (whistlestop tour) เดินตลาด เคาะประตู บ้าน ลงหนังสือพิมพ์ ส่งจดหมายไปยังสมาชิกพรรค จัดงาน เลี้ยงเชิญสมาชิกพรรคเพื่อเพิ่มผู้สนับสนุน เผชิญหน้ากับ ผู้สมัครคู่แข่งในที่ต่าง ๆ ไปจนกระทั่งเทคนิคสมัยใหม่ด้วยการ เปิดเว็บไซต์ผู้สมัคร ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) อันเป็น เทคนิคที่เข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้มากที่สุด เร็วที่สุด และ ทันสมัยที่สุด หรือการหันไปรณรงค์ทางการเมืองในกลุ่มผู้มีสิทธิ เลือกตั้งเล็กๆ (microtargeting) ของสังคม ฯลฯ 3.2 พรรคการเมืองกับการรณรงค์ทางการเมือง ในประเทศไทย ในอดีตการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง ในประเทศไทยไม่ว่าจะกระทำโดยผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือ พรรคการเมอื งยงั มกี ารนำระบบอปุ ถมั ภ์ ผลประโยชนแ์ ลกเปลย่ี น และปัจจัยทางสังคม หรือภูมิหลังของบุคคลเป็นหลัก โดยมิได้ เห็นความสำคัญหรือมีความเชื่อในสำนึกเหตุผล ทำให้การ รณรงค์ทางการเมืองโดยเฉพาะช่วงการเลือกตั้งเป็นการแข่งขัน ในลักษณะของการให้ผลประโยชน์ในรูปของเงินทอง และ สิ่งของแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยผ่านระบบอุปถัมภ์ หรือผู้นำใน ชุมชนต่าง ๆ รวมทั้งมีการโจมตีให้ร้ายแก่ผู้สมัครหรือ พรรคการเมืองคู่แข่งด้วยวิธีการต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการปฏิรูปการเมือง โดยวางกฎกติกาทางการเมืองใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง 251

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และมีพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลง ระบบการเลือกตั้ง อันมีทั้งการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ และ การเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง รวมทั้งยังมี คณะกรรมการการเลือกตั้ง อันเป็นองค์กรอิสระ เข้ามาทำหน้าที่ ควบคุมและจัดการเลือกตั้ง ทำให้พรรคการเมืองต้องปรับ กลยุทธ์ในการรณรงค์หาเสียงและสร้างจุดขายเพื่อหาคะแนน นิยมให้ตนเองมากกว่าแต่ก่อน จึงได้เกิดมิติใหม่ในการรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง โดยพรรคการเมืองมีการนำ เสนอนโยบายสาธารณะของพรรคการเมืองผ่านสื่อต่างๆ อย่าง กว้างขวางมากขึ้น มีการริเริ่มนำรูปแบบการรณรงค์ทาง การเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้งแบบใหม่ของต่างประเทศมา ใช้ ด้วยวิธีการทำการตลาดทางการเมือง (political marketing) และคงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า พรรคไทยรักไทยเป็นพรรค การเมืองแรกที่ประสบความสำเร็จในการรณรงค์หาเสียง เพื่อการเลือกตั้งภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย 2540 ดังที่ นันทนา นันทวโรภาส (2549) ได้กล่าวสรุปไว้ในงาน วิจัยเรื่อง “ชนะเลือกตั้งด้วยพลังการตลาด” ว่าพรรคไทยรักไทย ได้นำกรอบแนวคิดการตลาดทางการเมืองทุกชนิดมาใช้ได้อย่าง เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพสังคมการเมืองไทยทั้งการแบ่ง ส่วนตลาดผู้เลือกตั้ง (voter segmentation) ที่สามารถจำแนกได้ ละเอียดชัดเจนและเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม การจัดวางตำแหน่งของ พรรคและหัวหน้าพรรค (product positioning) เป็นตำแหน่งที่ 252

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง แตกต่างและสร้างประโยชน์แก่พรรค ขณะเดียวกันพรรคก็ใช้ ส่วนผสมของการตลาด 4Ps อย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้การ วิจัย (polling) เป็นตัวนำในการออกแบบผลิตภัณฑ์ (product) คือ นโยบายที่ตอบสนองความพอใจของผู้เลือกตั้ง และใช้ทั้งการ ตลาดแบบผลักดัน (push marketing) ผ่านกิจกรรมต่างๆ และ การตลาดแบบดึงดูด (pull marketing) ผ่านทางสื่อมวลชนอย่าง กว้างขวาง โดยมีกลไกของรัฐเป็นตัวสนับสนุนโดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งเมื่อพิจารณาผลการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ที่ พรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งสูงถึง 377 ที่นั่งย่อมเป็นเครื่อง ยืนยันความสำเร็จของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งภายใต้กรอบ การตลาดเปน็ อยา่ งดี หรอื ตามท่ี สรุ นนั ทน์ เวชชาชวี ะ ไดก้ ลา่ วถงึ ลักษณะของโปสเตอร์ แผ่นพับ ใบปลิวว่า “สำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ ส่วนใหญ่แล้วเราจะชูท่านหัวหน้าพรรคเป็นหลัก ในระยะแรก พรรคก็เหมือนกับหัวหน้าพรรค เราจึงเน้นที่รูปของท่าน และ เนื้อหาคำกล่าวของท่าน...มีคำกล่าวสั้นๆ ที่หัวหน้าพรรค ต้องการสื่อสาร ซึ่งเป็นข้อความสั้นๆ และสามารถเข้าใจง่าย กินใจหรือโดนใจที่สุด อันเป็นกลยุทธ์เดียวกับการรณรงค์ ทางการเมืองด้านสารและวาทะทางการเมืองของสหรัฐอเมริกา ความสำเร็จในการนำการตลาดทางการเมืองมาใช้ในการ รณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้งของไทยรักไทยนั้น ส่งผลให้พรรคอื่นๆ จำต้องปรับกลยุทธ์ในการรณรงค์ทาง การเมืองให้ทันต่อกระแสความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ชาวไทย ไม่วา่ จะเปน็ พรรคประชาธปิ ัตยด์ ้วยการ RE-BRANDING พรรคประชาธิปัตย์ หรือการปรับใช้เทคนิคการ BRANDING นักการเมือง ของพรรคชาติไทย เป็นต้น แนวโน้มในการรณรงค์ 253

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองไทย มีดังนี้ (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, 2553) 1. พรรคการเมืองมีแนวโน้มในการรณรงค์หาเสียง โดย เน้นการประกาศนโยบายสาธารณะแบบประชานิยม ดังเช่นที่ นิยม รัฐอมฤต (อ้างใน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, 2553) ได้กล่าวว่า “...ทิศทางของพรรคการเมืองไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะยัง ไม่มีอะไรมากไปกว่าการแข่งขัน เพื่อให้ตนเองได้มี ส.ส.มาก ที่สุด และยุทธวิธีที่หนีไม่พ้นก็คือการใช้เงิน และระบบอุปถัมภ์ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การแข่งขันประกาศนโยบาย ประชานิยม โดยมุ่งหวังที่จะสร้างคะแนนนิยมจากประชาชน” 2. ประชาชนที่มีความใกล้ชิดกับข้อมูลข่าวสารจะให้ ความสำคัญกับนโยบายของพรรคการเมืองมากขึ้น 3. สื่อมวลชน ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และอื่นๆ จะ เข้ามามีบทบาทในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อการหาเสียง เลือกตั้งของพรรคการเมืองมากขึ้น 4. เงินยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการรณรงค์ทาง การเมืองเพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง แต่อาจมิใช่ปัจจัยชี้ขาดถึงผล สำเร็จของการเลือกตั้ง เพราะหากใช้จ่ายเงินในทางที่ผิดไม่เป็น ไปตามกฎหมายอาจจะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ ในส่วนที่ 6 ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งและวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง มาตรา 49- 60 5. จะมีการใช้ข้อมูลสารสนเทศสำหรับวางแผนและ ดำเนินการในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง 254

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง มากขน้ึ เชน่ มกี ารทำแบบสำรวจ (โพล) เพอ่ื คน้ หาความตอ้ งการ ของประชาชนมากำหนดเป็นนโยบายของพรรคการเมืองเพื่อใช้ ในการหาเสียงมากขึ้น รวมทั้งมีการสำรวจความนิยมของ พรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำข้อมูล มาปรับกลยุทธ์ในการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง ให้มีประสิทธิภาพตรงใจกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มีการปรับวาทะ ทางการเมืองให้สั้น กระชับ เพื่อดึงดดู ใจ และให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ประทับใจในช่วงเวลาอันรวดเร็วและตรงต่อความต้องการ 6. พรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งจะรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้งควบคู่ไปกับการจับจ้องพฤติการณ์การหาเสียง เลือกตั้งของคู่แข่งมากยิ่งขึ้น เพื่อหวังผลในการร้องเรียน ร้องคัดค้านอันจะนำมาสู่การไม่ประกาศผลการเลือกตั้งจาก ก.ก.ต. ในกรณที ต่ี นเองแพก้ ารเลอื กตง้ั และเพกิ ถอนสทิ ธเิ ลอื กตง้ั แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งฝ่ายตรงข้าม ตามมาตรา 114 3.3 รูปแบบของการหาเสียงอย่างเป็นทางการ ของจังหวัดร้อยเอ็ด 1. การใช้สิ่งพิมพ์และการประชาสัมพันธ์ การรณรงค์หาเสียงอย่างเป็นทางการ เริ่มด้วย การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งได้รู้จักผู้สมัคร ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การแสดงโฆษณา (ป้ายคัทเอาท์) ขนาด ใหญ่เพื่อบอกถึงชื่อตนเอง ชื่อพรรคที่สังกัด พร้อมกับคำขวัญ และนโยบายของตนเองและของพรรครวมถึงรูปภาพของผู้สมัคร ในด้านสถานที่ติดตั้งป้ายโฆษณามักติดอยู่ตามที่ชุมชนตาม สี่แยกใจกลางเมืองที่คนจะผ่านไปมาเห็นได้ถนัด โดยสามารถ 255

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด กระทำได้แม้ว่ายังไม่ได้เลขหมายอย่างเป็นทางการมา วัตถุประสงค์หลักในการทำป้ายโฆษณานี้คือมุ่งที่จะให้ ประชาชนได้รู้จักตัวผู้สมัคร โดยเฉพาะผู้สมัครหน้าใหม่มีความ สำคัญเป็นอย่างยิ่งและนโยบายสำคัญๆ ที่พรรคการเมือง นำเสนอต่อประชาชนในพื้นที่ นอกจากการใช้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ก็เป็นเรื่อง ของการปิดโปสเตอร์หรือแจกใบปลิวซึ่งกระบวนการนี้ต้องทำให้ ถูกขั้นตอน เช่น ต้องคำนึงถึงฤดูการหาเสียงเลือกตั้งว่าเป็น หน้าฝนหรือหน้าร้อน เพราะถ้าเป็นช่วงหน้าฝนอาจต้องใช้ กระดาษหนาหรือสิ่งพิมพ์โปสเตอร์แบบเคลือบพลาสติก เพราะ ทนทั้งแดดและฝนได้ดีกว่าหรือเลือกใช้สีที่ไม่จืดจางเร็วจน เกินไป เป็นต้น สำหรับสถานที่พิมพ์โปสเตอร์ก็จะไม่พิมพ์จาก แหลง่ เดยี วกนั กบั คแู่ ขง่ ทางการเมอื งเพราะอาจถกู ลอกเลยี นแบบ รปู ลักษณ์ทำให้ตนเองขาดจุดเด่นในการประชาสัมพันธ์ นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น การแจกใบปลิวและติด แผ่นป้ายก็ยังต้องมีช่วงเวลาที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการหาเสียง เลือกตั้ง ซึ่งอาจแบ่งออกเป็น 4 จังหวะดังนี้ คือ (สุรพงษ์ โสธนะเสถียร, 2545; เพิ่มพงษ์ เชาวลิต และศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี , 2531) 1.1 โปสเตอร์ที่แจกหรือปิดโฆษณาในช่วงแรก มีพร้อมทั้งรูป ทั้งหมายเลข เขตเลือกตั้งของผู้สมัคร รวมถึง คำขวัญและนโยบายหาเสียงหลักของพรรคการเมือง โดยจะ เน้นรูปที่มีความภูมิฐานที่สุดของผู้สมัครและหัวหน้าพรรคนั้นๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชนในพื้นที่ 256

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง 1.2 หลังจากที่ได้มีการรณรงค์หาเสียงจนคิดว่า ประชาชนในพื้นที่รู้จักหน้าผู้สมัคร โดยเฉพาะในกรณีผู้สมัคร หน้าใหม่แล้วก็อาจออกโปสเตอร์เฉพาะหมายเลขของผู้สมัคร พร้อมกับเครื่องหมายกากบาท อาจกล่าวได้ว่าเริ่มหันมาเน้น ตัวผู้สมัครเป็นสำคัญ 1.3 ช่วงนี้จะเป็นการแจกบัตรเล็กๆ ขนาดพกใส่ กระเป๋าได้ โดยจะเน้นหมายเลขของผู้สมัครมากกว่าสิ่งอื่น เป็นการป้องกันกรณีที่ชาวบ้านลืมชื่อหรือหมายเลขของผู้สมัคร ในวันที่ไปเลือกตั้ง โดยจะแจกบัตรชนิดนี้ออกไปประมาณ 20-10 วันก่อนการเลือกตั้ง วิธีการคือมอบให้หัวคะแนนประจำ หมู่บ้านเป็นคนแจกต่อให้ประชาชน แต่อีกด้านหนึ่งผู้สมัครจะ ถือว่าบัตรเล็กๆ เช่นนี้คือ “บัตรย้ำ” ที่ใช้แจกในวันท้ายๆ แนบ ไปพร้อมกับเงินเพื่อซื้อเสียงนั่นเอง 1.4 ช่วงสุดท้ายจะเป็นใบปลิวที่ไม่มีชื่อ ไม่มีรูป ผู้สมัคร มีแต่หมายเลขของผู้สมัครและเขตเลือกตั้งพร้อมกับ เครื่องหมายกากบาท อย่างไรก็ตามขั้นตอนการแจกแผ่นพับและใบปลิวใน พื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดก็ไม่มีลักษณะตายตัว ขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ทางการเมืองและคะแนนนิยมในช่วงเวลานั้นๆ การใช้สิ่งพิมพ์ในการหาเสียงที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ได้แก่ การออกใบปลิวหรือเอกสารซึ่งอาจจะมีทั้งที่เป็นใบปลิว “เถื่อน” คือใบปลิวที่ไม่มีการระบุว่าใครเป็นผู้จัดทำมีลักษณะเป็นการรุก และมุ่งโจมตีคู่แข่งขันในสนามการเลือกตั้งเพื่อตัดคะแนน หรือทำให้ได้คะแนนน้อยที่สุด ในส่วนของจังหวัดร้อยเอ็ด 257

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด การเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2535 ก็มีกรณีคู่แข่งของ นายเอกภาพ พลซื่อ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จังหวัด ร้อยเอ็ดเขต 3 ทำใบปลิวพาดหัวข่าวว่า นายเอกภาพถูกศาล พิพากษาให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน โทษฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ภรรยาของตนถึงแก่ความตายเพราะฉะนั้นจึงขาด คุณสมบัติ เป็นบุคคลต้องห้าม ไม่สามารถสมัครรับเลือกตั้งได้ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีการปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ คือทำเป็นหนังสือจากผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ดถึงนายอำเภอ เพิกถอนใบสมัครรับเลือกตั้งของนายเอกภาพเนื่องจากยังไม่ได้ ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอีกด้วย โดยหนังสือ ปลอมดังกล่าวลงวันที่ว่า ประกาศเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งเป็น วันก่อนการเลือกตั้งเพียงวันเดียว 2. การปราศรัยหาเสียง โดยทั่วไปหากกล่าวถึงการปราศรัยหาเสียง เรามัก นึกถึงภาพของการจัดเวทีปราศรัยอย่างเป็นทางการ ที่มีการ นัดหมายหรือประชาสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้า มีการใช้อุปกรณ์เครื่อง ขยายเสียง แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วการปราศรัยหาเสียง อาจมีได้มากกว่านั้น เช่น บางพื้นที่ผู้สมัครอาจใช้วิธีไปร่วมงาน ต่างๆ ที่ได้รับเชิญหรือที่หัวคะแนนของตนเองอ้างในโอกาส ต่างๆ ซึ่งถือเป็นโอกาสปรากฏตัวและกล่าวคำปราศรัย โดย เนื้อความในการปราศรัยก็จะเป็นการแนะนำตนเองและ นโยบายของพรรคที่สำคัญๆแก่ชาวบ้านรวมถึงให้คำมั่นสัญญา ว่าจะสามารถทำประโยชน์อย่างไรให้กับพื้นที่นั้นๆ ในกรณีที่ ตนเองได้รับเลือกตั้ง วิธีการนี้ผู้สมัครหน้าใหม่ที่ยังไม่รู้จัก 258

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง บุคคลที่ควรจะรู้จักในเขตเลือกตั้งของตนนิยมใช้มากเพราะเป็น วิธีที่ไม่รู้สึกว่าเป็นทางการอะไรมากนัก ส่วนการปราศรัยอย่างเป็นพิธีการประเภทมีเวที เครื่องขยายเสียงนั้นนิยมใช้กันมากที่สุดในพื้นที่ที่ประชาชน มีความตื่นตัวทางการเมืองในระบบพรรคสูง ซึ่งนอกจาก กรุงเทพมหานครแล้วส่วนมากมักจะเป็นพื้นที่ในเขตจังหวัด ภาคใต้เพราะในท้องที่ดังกล่าวการปราศรัยหาเสียงมีความ สำคัญกับภาพลักษณ์ของผู้สมัครและการได้รับคะแนนนิยมจาก การเลือกตั้ง เนื่องจากลักษณะของชุมชนที่อยู่กระจัดกระจาย กันออกไป ประกอบกับความคิดที่ว่าผู้ที่จะทำหน้าที่ ส.ส. ต้องเป็นผู้ที่พูดได้ดี ส่วนในพื้นที่ภาคอื่นๆ การปราศรัยหาเสียง เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการหาเสียง ที่ถึงแม้ว่าจะจำเป็น ต้องมีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการรณรงค์หาเสียงที่เป็น ประชาธิปไตยรวมถึงการแสดงออกถึงความพร้อมของ พรรคการเมืองต่อการนำเสนอนโยบายสู่ประชาชน แต่ในสภาพ ความเป็นจริงมีผลต่อตัวคะแนนเสียงจริงๆ น้อยมาก แต่อย่างไร ก็ตาม การปราศรัยหาเสียงซึ่งปกติแล้วมักจะจัดขึ้นในสถานที่ สาธารณะที่เป็นจุดศูนย์กลางของเมือง ยังคงมีความสำคัญใน แง่ของการสร้างความพร้อมและความยิ่งใหญ่ของผู้สมัครของ พรรค เพราะอย่างน้อยที่สุดก็เป็นโอกาสที่บุคคลสำคัญๆ ระดับ ชาติ เช่น หัวหน้าพรรคการเมืองและผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ จะได้ มาปรากฏตัว และปราศรัยสนับสนุนตัวผู้สมัครของพรรคใน พื้นที่นั้นๆ 259

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ทีมหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนหนึ่งกล่าวถึงวิธีการปราศรัยหาเสียงทั้งที่เป็นการปราศรัย ขนาดย่อมที่นำรถหาเสียงเข้าพื้นที่แต่ละหมู่บ้านโดยตรง และ การเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่จัดให้หลายๆ หมู่บ้านมาร่วมกันฟัง ปราศรัย ว่า “การตั้งเวทีใหญ่ก็มี แต่ผู้สมัครที่เงินทุนมีน้อยก็จะ ลำบาก ซึ่งสมัยนี้ใช้เงินทุนตัวเองทั้งนั้น ในการหาเสียง แบบเดิม เวลาเข้าหมู่บ้านหาเสียง ชาวบ้านจะขอเงินซื้อ เหล้าบุหรี่ ทีมงานผู้สมัคร ส.ส. ก็จำเป็นต้องให้ เพราะ ตอนนั้นสามารถให้ได้ไม่ถือว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง (ก่อน มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง) ในช่วงการเปิดตัว ครั้งแรกๆ มีคนฟัง 20-30 คนก็ทำการปราศรัย ส่วนการ ปราศรัยใหญ่จะมีการเกณฑ์คนมาฟัง เพื่อโชว์พาวเวอร์ ของ ส.ส.” (โกศล สมานสุข, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) ช่วงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ในกรณี ของจังหวัดร้อยเอ็ด เวทีปราศรัยที่ กกต.จังหวัดจัดขึ้นก็ไม่ได้ รับความนิยมจากผู้สมัครและประชาชนในพื้นที่มากเท่าที่ควร เพราะผู้สมัครหลายคนในพื้นที่ได้รับคำบอกกล่าวจากประชาชน ว่า “ไม่ต้องปราศรัยก็เลือกพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว” (โกศล สมานสุข, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) ซึ่งเป็นการสะท้อนให้ เห็นว่าการปราศรัยหาเสียงส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องของพิธีการ และเป็นเรื่องของการ “จัดฉาก” ที่จำเป็นต้องจัดให้มีอย่างน้อย 260

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง สักครั้งหนึ่งในการหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น 3. การเข้าถึงตัวผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกต้ัง การหาเสียงแบบเข้าถึงตัวประชาชนตามบ้านอย่างที่ นิยมเรียกกันในปัจจุบันว่า “การเคาะประตูบ้าน” นั้น ดูจะเป็น ที่นิยมกันมากในหมู่ผู้สมัครหน้าใหม่ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งตามที่ชุมชนที่มีผู้คนอยู่หนาแน่น เช่นชุมชนตลาดเขตเมือง เขตการค้า เพราะนอกจากจะทำให้ภาพลักษณ์ว่าเป็นผู้สมัครที่ ชาวบ้านเข้าถึงได้แล้ว ยังดูจะเป็นการสร้างความรู้สึกใกล้ชิด สนิทสนมกับชาวบ้านได้ในเวลาอันสั้น ในทางปฏิบัติการออก เคาะประตูบ้านจะต้องมีหัวคะแนนซึ่งเป็นคนกว้างขวางและ มีความใกล้ชิดกับผู้คนในละแวกบ้านนั้นๆ เป็นพี่เลี้ยงนำไป เพื่อว่าจะได้ไม่เสียเวลาไปขอคะแนนจากหัวคะแนนของคู่แข่ง ทางการเมืองในพื้นที่ ปกติแล้วการออกพบประชาชนในลักษณะนี้ ช่วยให้ ผู้สมัครได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นมาก ถ้าผู้คนที่ตนได้พบปะพูดคุย ด้วยนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดลงไปว่าจะเลือกใคร แต่ ภายใต้ระบบการเลือกตั้งแบบปัจจุบันที่เปิดโอกาสให้ประชาชน เลือก ส.ส.แบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อได้นั้น วิธีการที่ใช้ กันมากในขณะที่ออกไปเคาะประตูบ้าน คือการขอกับชาวบ้าน ว่า “ถ้ามีเบอร์พรรคอยู่ในใจอยู่แล้วก็ขอฝากเบอร์… ไว้ด้วย แบ่งๆ กันไป” กรณีของจังหวัดร้อยเอ็ดวิธีการหาเสียงเช่นนี้ เกิดขึ้นในเขตเลือกตั้งที่ 1 ที่ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย (เบอร์ 1) คือ นายวราวงษ์ พันธุ์ศิลา ต่อสู้กับผู้สมัครจากพรรคชาติไทย พัฒนา (เบอร์ 21) คือ นายคมกริช จุรีมาศ จากการตรวจสอบ 261

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ผลการเลือกตั้งพบว่าในเขต 1 ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยชนะ คู่ต่อสู้จากพรรคชาติไทยพัฒนาเพียง 2,065 คะแนน ซึ่งมี ลักษณะตรงข้ามกับคะแนนของ ส.ส.แบบระบบบัญชีรายชื่อที่ พรรคเพื่อไทยชนะอย่างขาดลอยในทุกเขตเลือกตั้งของจังหวัด ร้อยเอ็ด แสดงให้เห็นว่ายุทธวิธี “…การขอแบ่งๆ กันไป” ใน จังหวัดร้อยเอ็ดเกือบที่จะใช้ได้ผลท่ามกลางกระแส “ยิ่งลักษณ์ ฟีเว่อร์” ส่วนเขตเลือกตั้งอื่นๆในจังหวัดร้อยเอ็ดการเลือกเบอร์ พรรคและเบอร์ของผู้สมัคร เป็นเบอร์เดียวกันอยู่แล้วนั่นคือ เลือกเบอร์ 1 (พรรคเพื่อไทย) ทั้งสองส่วนอยู่แล้ว การเข้าถึงประชาชนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในช่วงที่ไม่ได้อยู่ระหว่างการเลือกตั้งนั้น การลงพื้นที่ถือว่าเป็น หัวใจสำคัญโดยเฉพาะในต่างจังหวัดอย่างร้อยเอ็ดนี้ ส.ส.จะให้ ความสำคญั กบั การลงพน้ื ทอ่ี ยา่ งสมำ่ เสมอ เชน่ การเขา้ รว่ มงาน พิธีสำคัญๆ ของหมู่บ้าน และงานพิธีส่วนบุคคลอย่างงานบวช งานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น รวมทั้งการลงพื้นที่ไปช่วยเหลือ ชาวบ้านหรือรับฟังปัญหาจากชาวบ้าน หากมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรคนใดลงพื้นที่น้อย หรือไม่ให้ความสำคัญกับ การลงพื้นที่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ไม่เห็นหน้าผู้แทน” เลยนั้น จะทำให้คะแนนเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนดังกล่าว ลดลง 4. การใช้สื่อมวลชนเพ่ือการหาเสียง ในภาพรวมของประเทศหากเปรียบเทียบกับ พรรคประชาธิปัตย์แล้ว พรรคเพื่อไทยด้อยกว่าในแง่ความ หลากหลายของสื่ออย่างชัดเจน แต่การจะมองข้ามพรรค 262

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง เพื่อไทยที่เคยใช้วิธี “การตลาดนำการเมือง” ที่พรรคไทยรักไทย นำไปใช้จนประสบความสำเร็จ ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก ในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดมีผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเพียงแค่ 2 คนจาก 8 คน ที่ใช้วิธีหาเสียงผ่านระบบ สื่อสารมวลชน (วิทยุชุมชน) อย่างจริงจังนั่นคือ ผู้สมัครเขต เลือกตั้งที่ 1 นายวราวงษ์ พันธุ์ศิลา และผู้สมัครเขตเลือกตั้งที่ 3 นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ นายวราวงษ์ หาเสียงโดยการใช้คำขวัญประจำตัวว่า “ลกู ในบา้ น วา่ นในสวน” (วนิ ติ ตา ชณิ โย, สมั ภาษณ,์ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2554) ลักษณะของรายการเป็นการเปิดเพลงพื้นบ้านและ ประชาสัมพันธ์งานที่ตนเองเคยทำมาในพื้นที่ ส่วนรูปแบบ รายการที่นายนิรันดร์จัด มีลักษณะการวิเคราะห์ข่าวทั้งช่วงเช้า 06.30-08.00 น. และช่วงค่ำ 20.30-22.30 น. ในทัศนะของผู้วิจัย เองพบว่ารายการวิเคราะห์ข่าวของนายนิรันดร์ ได้รับความนิยม อย่างมากในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 3 ประกอบด้วย อำเภอโพนทอง และอำเภอหนองพอก 5 ตำบล รวมถึงพื้นที่บางส่วนของจังหวัด ยโสธรด้วย 3.4 รู ป แ บ บ ก า ร ห า เ สี ย ง ที่ ไ ม่ เ ป็ น ท า ง ก า ร ข อ ง จังหวัดร้อยเอ็ด 1. การใช้เงินในการหาเสียง จากการให้ข้อมูลของทีมหาเสียงผู้สมัครสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรคนหนึ่งเล่าถึงวิธีการหาเสียงของผู้สมัครสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรว่า 263

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด “การหาเสียงเลือกตั้งในอดีต ใช้การเดินตาม หมู่บ้านเพื่อปราศรัยหาเสียง โดยใช้รถโมบาย ใช้เงิน ส่วนตัวและเงินสนับสนุนจากพรรค ซึ่งส่วนใหญ่ต้องหา เงินสำรองมาใช้ก่อนที่จะกลับไปเบิกจากพรรค ถ้าคาดว่า คะแนนเสียงดีจึงจะไปเบิกจากพรรคได้โดยจะอยู่ในวงเงิน ประมาณ 20-30 ล้านบาท แต่ไม่ใช่เงินเป็นก้อนจะเป็นการ ทยอยให้ โดยทางผู้สมัครจะต้องหาเสียงไปก่อน แล้ว พรรคจะมีการส่งคนมาสำรวจคะแนนความนิยมของว่าที่ ผู้สมัคร ส.ส. ถ้าเสียงดีถึงจะให้เงินสนับสนุนถ้าเสียงไม่ดี ก็ไม่ให้ ช่วงเวลานั้นมีการซื้อเสียงแบบปูพรม ถึง 2-3 รอบ ผู้สมัคร ส.ส.จึงต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านบาท มีกระทั่งว่าแจกเงินกันหน้าประตูหรือหน้าคูหาเลือกตั้งก็มี ซึ่งตอนนั้นกติกาการเลือกตั้งยังไม่ค่อยรัดกุม ซึ่งการแจก เงินนี้คาดว่าจะได้คะแนนเสียงมา ประมาณ 30% โดยจะ มีผู้เลือกตั้งบางกลุ่มเป็นแบบ “เงินไม่มา กาไม่เป็น” กับ อีกบางกลุ่มเป็นแบบ “เลือกใคร หรือเลือกพรรคไหน ก็เหมือนเดิม” ซึ่งคิดว่ามีอยู่เป็นจำนวนมาก” (วิชิต โพธาราม, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) ในเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงินในการหาเสียงของผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทีมงานหาเสียงคนหนึ่งกล่าวว่า “แม้ในอดีตตอนนั้นมีการแจกเงินกันอยู่แล้ว แต่ใน ปัจจุบันเป็นแบบการซ่อนๆให้เงิน คนที่มาฟังส่วนใหญ่ มาเอง อีกส่วนคือพวก “คนขี้เหล้า” ก็จะชอบมา เพราะ 264

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง จะได้ขอเงินซื้อเหล้ากิน ส่วนการปราศรัยใหญ่จะมีการ เกณฑ์คนมาฟัง เพื่อโชว์พาวเวอร์ของ ส.ส. และผู้สมัคร ต้องอำนวยความสะดวกโดยการให้ค่ารถค่าเดินทางมาฟัง ส่วนใหญ่การปราศรัยจะเป็นช่วงทุ่มหรือสองทุ่ม ให้คนกิน ข้าวมาก่อน จะได้ไม่ยุ่งยากวุ่นวาย ก็จ่ายเงินไปเลย ซึ่งการปราศรัยใหญ่นี้คนฟังจะมาจากหลายหมู่บ้าน ใครที่มาฟังก็จะได้เงิน เช่น คนละ 100-200 บาท ส่วนคนที่ เป็นเจ้าของรถก็จะได้มากกว่าคนอื่นๆ โดยหัวคะแนน ในแต่ละหมู่บ้านจะรู้กันเอง” (โกศล สมานสุข, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) ทีมงานหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่า การที่มี กกต.ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการหาเสียง เลือกตั้งโดยไม่ให้มีการจัดงานเลี้ยงหรือการแจกสิ่งของที่มีชื่อ หรือสัญลักษณ์ของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ถือเป็นการช่วยผู้สมัคร เพราะไม่ต้องเสียเงินไปกับเรื่องเหล่านั้น เหมือนที่เคยเป็นมา และอีกอย่างคือในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในร้อยเอ็ดในช่วงหลังๆ มานี้ กระแสของพรรคเพื่อ ไทย ความรักในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และการเป็นเสื้อแดงมีแรง สนับสนุนอย่างมาก ฉะนั้นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลง พรรคเพื่อไทย จึงใช้เงินในการหาเสียงน้อยมาก 2. การใช้หัวคะแนน หัวคะแนนถือว่ามีความสำคัญต่อผู้สมัครสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรอย่างมาก เพราะเป็นกระบอกเสียงเข้าถึง 265

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ประชาชนในหมู่บ้านได้โดยตรง ซึ่งการมีหัวคะแนนบางครั้ง ซ้ำกัน คือรับเป็นหัวคะแนนให้กับผู้สมัครหลายคน และบางครั้ง ผู้สมัครก็ต้องยอมเพราะไม่อยากให้เสียคะแนนในเขตพื้นที่ ดังกล่าว ทีมงานหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า “คนที่จะเป็นหัวคะแนนได้นั้นจะมีสายสัมพันธ์กัน มายาวนาน ส่วนใหญ่เป็นพวกกำนันผู้ใหญ่ ซึ่งเริ่มแรก ของการเข้าไปของทีมผู้สมัคร ส.ส. จะรู้ได้จากมีคนใน พื้นที่แนะนำต่อกันมา คนที่เป็นหัวคะแนนที่เป็นชาวบ้าน ส่วนมากก็จะซื่อสัตย์ รับเพียงเป็นหัวคะแนนให้ผู้สมัคร เพียงคนเดียว แต่จะมีบางคนที่รับเป็นหัวคะแนนให้ ผู้สมัครหลายคน ในการเลือกตั้งในครั้งก่อนๆ ที่มีการนับ คะแนนที่หน่วยเลือกตั้ง จะสามารถรู้คะแนนของพื้นที่ นั้นๆ ได้ คือจะมีคะแนนจากการเลือกตั้งตรงตามโผที่ หัวคะแนนได้แจ้งไว้ก่อนเลือกตั้ง แต่ปัจจุบันอาจใช้แบบ นั้นไม่ได้แล้ว และอาจมีวิธีการหาเสียงแปลกไปเรื่อยๆ ส่วนในเรื่องของนโยบาย ชาวบ้านสามารถรับรู้ได้จากสื่อ แตท่ ส่ี ำคญั ทส่ี ดุ คอื เรอ่ื งเงนิ ” (โกศล สมานสขุ , สมั ภาษณ,์ 19 สิงหาคม 2554) ทีมงานหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แสดงความเห็นว่า “ในสภาพความเป็นจริงคนหาเสียง (ทีมงาน ผู้สมัคร) ก็อยากหาเสียงกับคนมีเงิน คนที่ช่วยด้วยใจก็มีแต่มี น้อยมาก” (โกศล สมานสุข, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) 266

เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง 3. การแจกสิ่งของ การแจกสิ่งของในการหาเสียงแบบเดิมนั้นมีการใช้วิธี การนี้อย่างแพร่หลาย แต่เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง การแจกสิ่งของในช่วงเลือกตั้งจะไม่มีให้เห็นชัดเจน แต่ยังคงมี การแจกสิ่งของในเวลาที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเลือกตั้ง เช่น การแจก เสื้อกีฬาที่มีชื่อของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อย่างกรณี ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งที่ให้การสนับสนุนทีม ฟุตบอลของจังหวัด เป็นต้น ผู้สนใจการเมืองในพื้นที่เล่าให้ฟังว่า “ลักษณะการ แจกเงินสมัยก่อนจะมีการเย็บเงินรวมกันกับบัตรแนะนำผู้สมัคร แต่สมัยนี้จะไม่เย็บ เพื่อเป็นการป้องกันการถูกจับนำไปเป็น หลักฐานฟ้องร้องได้ และการแจกสิ่งของ เช่น เสื้อที่มีชื่อของ ส.ส. นั้น ยังมีในช่วงที่ไม่มีการหาเสียง เพราะไม่ถือว่าผิด กฎหมายเลอื กตง้ั ” (ชยั ศรี ผลาพรหม, สมั ภาษณ,์ 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2554) โดยสรุปผู้วิจัยพบว่าลักษณะเครือข่ายกลุ่มผลประโยชน์ ของนักการเมืองถิ่นในจังหวัดร้อยเอ็ด ยังเป็นลักษณะเครือข่าย ที่อยู่บนพื้นฐานของลักษณะเครือญาติและสายเลือดเป็นหลัก ยังไม่พบกลุ่มทางการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดใดที่มีลักษณะโดด เด่นในแง่มุมที่ยึดโยงผลประโยชน์ภายในกลุ่มด้วยผลประโยชน์ ทางธุรกิจหรือประเด็นร่วมทางการเมือง ตามแนวคิดกลุ่ม ผลประโยชน์ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะแต่ละกลุ่มการเมืองถิ่น ในจังหวัดร้อยเอ็ดมีพื้นที่ฐานเสียงของตนเองชัดเจนแน่นอน จึงไม่เกิดการปะทะสังสรรค์ระหว่างกลุ่มต่างๆ โดยด้านหนี่ง 267

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ก็ทำให้บรรยากาศทางการเมืองถิ่นในจังหวัดร้อยเอ็ดไม่มีความ ขัดแย้งกันรุนแรงมากนักแต่อีกด้านหนึ่งก็จะขาดการปะทะ/ ขัดแย้ง ที่จะนำไปสู่การต่อรองกันทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ สงู สุดของกลุ่มที่ตนเองเป็นตัวแทนอยู่นั่นเอง 268

บ6ทท ่ี สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 1. สรุปผลการศึกษา จากการศึกษาวิจัยในหัวข้อนักการเมืองถิ่นจังหวัด ร้อยเอ็ด ผู้วิจัยได้ทำการสืบค้นเอกสารและสัมภาษณ์บุคคล ที่อยู่ในแวดวงการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้วิจัยพบข้อสรุปตาม วัตถุประสงค์ในการศึกษาดังนี้ ประการแรก ข้อมูลเกี่ยวกับนักการเมืองที่ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ด นับตั้งแต่จัดให้มีการเลือกตั้งครั้งแรกและถือว่าเป็นการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกของประเทศไทย ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 จนถึงล่าสุดวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 รวมมี การเลือกตั้ง 23 ครั้ง ซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน ทั้งหมด 24 ชุดและหากนับเป็นรายบุคคลได้จำนวน 66 คน ซึ่งการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวมีทั้งในมิติด้านประวัติศาสตร์และ ข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกที่ได้จากการสัมภาษณ์

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ประการที่สอง รูปแบบการหาเสียงของนักการเมืองถิ่น จังหวัดร้อยเอ็ด สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ คือ รูปแบบ การหาเสียงอย่างเป็นทางการและรูปแบบการหาเสียงอย่างไม่ เป็นทางการ โดยลักษณะรูปแบบการหาเสียงที่เป็นทางการ เช่น การใช้สิ่งพิมพ์ประชาสัมพันธ์ การปราศรัยหาเสียงเพื่อเข้าถึง ตัวผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งและการใช้สื่อสารมวลชนให้เป็น ประโยชน์เพื่อการหาเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น ส่วนรูปแบบการ หาเสียงที่ไม่เป็นทางการ เช่น การใช้ระบบหัวคะแนน การใช้เงิน ในการหาเสียง (ซื้อเสียง) และการแจกสิ่งของอุปโภคบริโภค แก่ประชาชน เป็นต้น ประการที่สาม เครือข่ายและความสัมพันธ์ของ นักการเมืองในจังหวัดร้อยเอ็ด หากแบ่งกลุ่มตามสายสัมพันธ์ และครือญาติ สามารถแบ่งเป็น 4 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ กลุ่มจุรีมาศ ซึ่งมีฐานเสียงอยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองเป็นหลัก กลุ่มไวนิยมพงษ์ มีฐานเสียงอยู่ในพื้นที่อำเภอธวัชบุรี กลุ่มพลซื่อ มีฐานเสียง อยู่ในพื้นที่อำเภอหนองพอก อำเภอโพนทอง อำเภอเสลภูมิ และกลุ่มคงเพชร มีฐานเสียงอยู่ในพื้นที่อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสวุ รรณภมู ิ แตห่ ากแบง่ ตามแนวคดิ เรอ่ื งกลมุ่ ผลประโยชน์ (Interest Group) ผู้วิจัยสามารถแบ่งกลุ่มโดยใช้เกณฑ์การ ประกอบอาชีพและธุรกิจ ออกได้เป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ 1) กลุ่มธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยนายศักดา คงเพชร นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงษ์ และนายอนุรักษ์ จุรีมาศ ซึ่งพบว่า นักการเมืองที่มาจากกลุ่มธุรกิจประสบความสำเร็จทาง การเมืองมากกว่ากลุ่มอาชีพอื่นๆ (หากนับจากจำนวนครั้งที่ได้ รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) 2) กลุ่มทนายความ 270

สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ซึ่งประกอบด้วย นายฉลาด ขามช่วง นายนิรมิต สุจารี และ นายเอกภาพ พลซื่อ 3) กลุ่มข้าราชการครู ซึ่งประกอบด้วยครู เวียง วรเชษฐ์ ครูนิสิต สินธุไพร ครูเอมอร สินธุไพร และครู นิรมิต สุจารี 4) กลุ่มนักเคลื่อนไหว ซึ่งประกอบด้วย นายนิสิต สินธุไพร และนายนิรมิต สุจารี และ 5) กลุ่มอื่นๆ คือกลุ่มอาชีพ นี้มีลักษณะหลากหลายแต่จุดเน้นที่สำคัญคือการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศเข้ามาเป็นปัจจัยเกื้อหนุนในการที่จะทำให้ประชาชน รู้จักและไว้วางใจ เช่น นายวราวงษ์ พันธุศิลา เป็นต้น ประการสุดท้าย บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่ม ที่ไม่เป็นทางการอื่นๆ พบว่าแต่ละกลุ่มผลประโยชน์จะมีข้อ โดดเด่นและการทำให้เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนในพื้นที่ ต่างกัน โดยลักษณะการจัดแบ่งกลุ่มอาชีพก็เป็นการจัดแบ่ง แบบหลวม เพราะผู้วิจัยพบว่าสามารถจัดประเภทของบุคคล เดียวกันไว้ได้ในหลายกลุ่มอาชีพแต่ข้อโดดเด่นที่พบคือกลุ่ม บุคคลที่มาจากกลุ่มธุรกิจ จะยึดแนวทางการประกอบธุรกิจเดิม ของครอบครัวและฐานคะแนนเสียงของตนเองเดิมเป็นหลัก โดยจะไม่มีลักษณะเลื่อนไหลเหมือนกับกลุ่มอาชีพทนายความ ข้าราชการครู และนักเคลื่อนไหว เพราะกลุ่มหลังที่กล่าวมานั้น ต้องอาศัยประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองเพื่อแสดง ผลงานให้ประชาชนในพื้นที่ไว้วางใจและลงคะแนนเสียงให้ 2. อภิปรายผล การศึกษาวิจัยในหัวข้อนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเกี่ยวกับการรณรงค์ หาเสียงอาจมีความแตกต่างไปจากพฤติกรรมการหาเสียง 271

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด เลือกตั้งจากประเทศอื่นๆ ดังจะเห็นได้ว่าคนไทยมีการรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้งโดยคำนึงถึงค่านิยมทางสังคมไทย เช่น การ หาเสียงที่สอดคล้องกับค่านิยมอันเกี่ยวกับระบบความสัมพันธ์ ของ “เจ้านาย-ลูกน้อง” (patron-client) ค่านิยมเกี่ยวกับความ กตัญญู เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องตามการศึกษาเรื่อง “วัฒนธรรม ทางการเมือง” (Roskin, G. e.t., 1997: 125) โดยการรณรงค ์ หาเสียงในจังหวัดร้อยเอ็ดมีวิธีต่างๆ มากมาย แล้วแต่ว่าผู้สมัคร รับเลือกตั้งจะใช้วิธีการหาเสียงในรูปแบบใด แต่ผู้ที่ประสบ ความสำเร็จในการหาเสียงก็มักจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ ในวัฒนธรรมทางการเมืองของผู้ลงคะแนนเสียงในช่วงเวลานั้นๆ (กระแสทางการเมือง) โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางการเมืองใน ระดับท้องถิ่นของจังหวัดร้อยเอ็ดในช่วงการเลือกตั้งครั้งที่ 23 (วันที่ 3 กรกฎาคม 2554) ได้สะท้อนให้เห็นว่าผู้สมัครที่มาจาก พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกตั้งทั้ง 8 เขต นั่นหมายถึงหากผู้สมัคร คนใดสามารถจับกระแสความนิยมทางการเมืองต่อพรรค การเมืองได้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่ตนเองลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็จะสามารถใช้วิธีการในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งได้อย่างมี ประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จทางการเมืองสูง ตัวอย่าง ที่เป็นรูปธรรมในกรณีนี้คือ ผู้สมัครที่ชื่อว่า นายวราวงษ์ พันธุศิลา ซึ่งเอาชนะคู่แข่งทางการเมืองที่ถือว่าเป็นเจ้าของพื้นที่ มาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษอย่าง นายคมกฤช จุรีมาศ ได้ ส่วน รูปแบบการหาเสียงเลือกตั้งที่มีแนวโน้มในลักษณะที่ไม่เป็น ทางการ ในทางปฏิบัติการใช้เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเกิดขึ้นมานานแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ใช้เงิน จำนวนมากอย่างในปัจจุบัน และอาจกล่าวได้ว่าการซื้อเสียง 272

สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ที่อื้อฉาวมากที่สุดในประวัติการเมืองไทยคือ การเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดร้อยเอ็ดใน พ.ศ. 2522 โดยกล่าวกันว่าผู้สมัครรับเลือกตั้ง (ซ่อม) ของจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนั้นใช้เงินซื้อเสียงประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งต่อมาเรียกชื่อเหตุการณ์นี้ว่า “โรคร้อยเอ็ด” และได้ขยายตัวไปทั่วประเทศไทย ซึ่งพฤติกรรมการที่ผู้สมัคร นิยมใช้เงินเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงนี้ได้สะท้อนว่าวิธีการ ซื้อเสียงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่จะทำให้ผู้สมัครชนะการ เลือกตั้งได้ แต่ทั้งนี้ต้องอาศัยองค์ประกอบอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น พรรคการเมืองที่ผู้สมัครสังกัด ชื่อเสียงส่วนตัวของผู้สมัคร การบริหารจัดการหัวคะแนน การจัดองค์กรการหาเสียง เป็นต้น เงื่อนไขดังที่กล่าวมาสอดคล้องกับผลงานวิจัยของสมบัติ จันทรวงศ์ (2536) ที่เสนอเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการซื้อเสียง เลือกตั้ง ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์หรือเจ้านาย (patron) กับลูกน้อง (client) ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จะพบว่า ความสัมพันธ์เช่นนี้มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน โดยผู้อุปถัมภ์ก็จะมีส่วนได้เปรียบอยู่ในเนื้อแท้ของความ สัมพันธ์ กล่าวคือ ผู้อุปถัมภ์จะเป็นคนส่วนน้อยในไม่กี่คนที่มี ทรัพยากรมากเพียงพอที่จะแจกจ่ายให้ผู้อยู่ใต้ความอุปถัมภ์ จนพอใจได้ ดังนั้น ผู้อุปถัมภ์จึงเป็นผู้เลือกว่าจะให้การอุปถัมภ์ แก่ผู้ใด อีกทั้งยังเป็นผู้กำหนดว่า ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ควรจะทำอะไร เป็นการตอบแทนให้แก่ตน การที่ผู้อุปถัมภ์จะได้เปรียบมากน้อย เพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายเป็น ประการสำคัญ (อคิน รพีพัฒน์, 2523, น.167) 273

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด การชว่ ยเหลอื อปุ ถมั ภใ์ นรปู แบบตา่ งๆ แลว้ แตส่ ถานการณ์ แวดล้อม หรือวัฒนธรรมชุมชุน เช่น นางรัชนี พลซื่อ จะให้ ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสตามชุมชน เป็นต้นว่า กลุ่ม คนชรา กลุ่มสตรี กลุ่มพวกนี้ถือว่าไม่หลอกลวง รักษาคำมั่น งานบริการสวัสดิการสังคม นายนิสิต สินธุไพร มีรถบริการรับ- ส่งผู้ป่วยระหว่างบ้าน-โรงพยาบาล หากเสียชีวิตก็มีหีบศพ บริการนำศพส่งบ้าน-วัด และช่วยเหลือกลุ่มครูเป็นพิเศษ นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ ช่วยเหลืออุปถัมภ์งานกีฬาเยาวชนคน หนุ่ม-สาวเป็นพิเศษ นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ ช่วยเหลือให้ พันธุ์ไก่ชน หาตลาดจำหน่ายไก่ชน นายนิรมิต สุจารี ช่วยเหลือ กลุ่มเกษตรกร นายวราวงษ์ พันธุศิลา ช่วยเหลือ-อุปถัมภ์งาน โฆษณาประชาสัมพันธ์งานประเพณี ข่าวการบวชลูก แต่งงาน ลูก งานปรึกษาอรรถคดี ในส่วนที่เป็นทนายคนยาก ผู้ให้บริการ ด้านนี้ก็มี นายฉลาด ขามช่วง นายนิรมิต สุจารี และกลุ่ม ทนายที่ได้รับการสนับสนุนจากนายนิสิต สินธุไพร เป็นต้น การเข้าร่วมกิจกรรมงานบุญประเพณี กิจกรรมทางสังคม และวัฒนธรรมต่างๆ งานประเพณีบุญพระเหวตเป็นงานประจำ ปีของจังหวัดร้อยเอ็ดที่ ส.ส.ทุกคนขาดไม่ได้ งานกฐิน ผ้าป่า สงกรานต์ แข่งเรือ ประกวดสรภัญญะ วันเด็ก วันแม่ วันพ่อ งานแต่ง งานบวช งานศพ ฯลฯ หาก ส.ส.ไปร่วมไม่ได้ต้องจัด ให้ผู้แทน ส.ส. หรือแกนนำของเครือข่ายไปแทน หากใครขาด การร่วมกิจกรรมดังกล่าว จะมีเสียงตำหนิว่า “ตีนไม่ติดดิน” ไม่ร่วมทุกข์-ร่วมสุข และการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนพบปะพูดคุย หรือ “เคาะประตูบ้าน” บ่อย สม่ำเสมอ ส.ส.นิรมิต สุจารี ได้รับ การกล่าวขานว่า ขยันลงพื้นที่ในเขตเลือกตั้งมากที่สุด 274

สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในด้านความสัมพันธ์ของนักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ดกับ พรรคการเมือง ข้อมูลการเลือกตั้งชี้ให้เห็นว่าพรรคการเมือง ที่เคยได้รับการเลือกตั้งในการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด 5 อันดับแรก ในปัจจุบัน ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรค ความหวังใหม่ พรรคกิจสังคม และพรรคเสรีธรรม การเรียง ลำดับนี้ เรียงตามจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดที่ได้ รับเลือกในสมัยเลือกตั้ง พ.ศ.2500 ถึง พ.ศ.2554 เป็นที่น่า สังเกตว่าความนิยมในพรรคการเมืองของประชาชนชาวร้อยเอ็ด มักเปลี่ยนไปตามกระแสนิยม โดยเฉพาะพรรคที่เป็นพรรค รัฐบาลเดิม และนักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ดผู้ที่ได้รับเลือกตั้งหลาย สมัยจะย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองที่เป็นพรรครัฐบาลเกือบทั้ง สิ้น ส่วนเรื่องกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มอิทธิพลนั้น เกิดจาก การรวมตัวกันโดยยึดหลักเอาสายสัมพันธ์แบบเครือญาติและ แนวการประกอบอาชีพเดียวกันเป็นหลัก เพื่อให้การรวมกลุ่มกัน นั้นมีประสิทธิภาพสูงสุดในทางการเมือง ซึ่งสอดคล้องกับ ผลการวิจัยของพิชญ์ สมพอง (2551, บทคัดย่อ) ที่ได้ศึกษา วิจัยเรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดยโสธร โดยสามารถจำแนก นักการเมืองถิ่นจังหวัดยโสธรได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มนักสื่อสาร มวลชน กลุ่มครู อาจารย์ข้าราชการเก่า และนักกฎหมาย โดย กลุ่มดังกล่าวจะทำงานเชื่อมโยงเครือข่ายกับกลุ่มผลประโยชน์ ทางการเมืองในระดับท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติ 275

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 3. ข้อเสนอแนะ 3.1 ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัย ควรศึกษาวิจัยเครือข่ายทางเศรษฐกิจ สังคม และ การเมืองของนักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ดที่เชื่อมโยงกับนักการเมือง ท้องถิ่นในจังหวัดอื่นๆ ทั้งในระดับลึกและในระดับกว้าง รวมถึง ควรศึกษาตัวแปร “ท้องถิ่นนิยม” หรือ แนวคิดเรื่อง “อรรถประโยชน์” กับการตัดสินใจเลือกสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรของประชาชนในจังหวัดร้อยเอ็ด 3.2 ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาการเมืองถ่ิน ร้อยเอ็ด จากการวิจัยนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด นักวิจัยม ี ขอ้ เสนอแนะ เพื่อการพัฒนาการเมืองถิ่นจงั หวดั ร้อยเอ็ด ดังนี้ - ควรให้องค์กรภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ บริหารจัดการเลือกตั้งเพื่อความบริสุทธิ์ ยุติธรรม และสนับสนุนการตรวจสอบการเลือกตั้งโดยภาค ประชาชนทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น - ควรมีการฝึกอบรมประชาธิปไตยภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่มีแนวคิดทางการเมือง เป็นของตนเอง - ควรมกี ารใหค้ วามรเู้ กย่ี วกบั แนวคดิ เรอ่ื งประชาธปิ ไตย แบบตัวแทนที่ถูกต้องให้กับประชาชน และปลูกฝัง แนวคิดเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดย เสียงส่วนใหญ่และรักษาสิทธิของเสียงส่วนน้อย 276

สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ - ควรประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจและปรับทัศนคติ ทางการเมืองเกี่ยวกับ “โรคร้อยเอ็ด” เพื่อสร้าง ทัศนคติที่ดีทางการเมืองให้ประชาชนในจังหวัด ร้อยเอ็ด เพราะจากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนใน จังหวัดร้อยเอ็ดจำนวนมากมีความรู้สึกถูกดูหมิ่นจาก ทัศนคติในด้านลบผ่านคำว่า “โรคร้อยเอ็ด” 277

บรรณานุกรม หนังสือภาษาไทย กระมล ทองธรรมชาติ สมบูรณ์ สุขสำราญ และปรีชา หงษ์ไกรเลิศ. (2531). การเลือกต้ังพรรคการเมืองและเสถียรภาพของ รฐั บาล. กรุงเทพฯ: มาสเตอร์. กฤช เอื้อวงศ์. (2547).“พรรคการเมืองกับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง”. พรรคการเมืองสมั พนั ธ.์ 10(1), 27-30. กาลัญ วรพิทยุต. (2548). RE-BRANDING พรรคประชาธิปัตย์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน. ชาญชัย บุญเสนอ. (2536). การรวมกลุ่มของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตร- มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ชาญณวุฒ ไชยรักษา. (2549). นักการเมืองถิ่นจังหวัดพิษณุโลก. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. ไชยวุฒิ มนตรีรักษ์. (2551). นักการเมืองถ่ินจังหวัดเลย. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. ณรงค์ บุญสวยขวัญ. (2549). นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. ถวิลวดี บุรีกุล และคณะ. (2544). บทเรียนจากการเลือกต้ังสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพื่อปรับปรุงระบบเลือกต้ังให้ดีข้ึน. นนทบุรี: สถาบันประปกเกล้า.

ภาคผนวก นพดล สุคนธวิท, ร.ต.อ. (2539). พรรคการเมืองไทยกับการเมือง ท้องถิ่น: ผลประโยชน์และฐานอำนาจ. วิทยานิพนธ ์ รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นันทนา นันทวโรภาส. (2549). ชนะเลือกต้ัง...ด้วยพลังการตลาด. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ฃอคิดด้วยฅน. นิรันดร์ กุลฑานันท์. (2549). นักการเมืองถ่ินจังหวัดบุรีรัมย์. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ. (2550). พลวัตของการเมืองไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. บุฆอรี ยีหมะ. (2549). นักการเมืองถิ่นจังหวัดปัตตานี. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง. (2550). นักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงราย. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. ปานหทัย ตันติเตชา. (2546). การตลาดทางการเมือง : ศึกษาเฉพาะ กรณีการใช้ส่ือในการรณรงค์หาเสียงเลือกต้ังของพรรคไทย รักไทย ในเขตกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พรชัย เทพปัญญา. (2549). นักการเมืองถิ่นจังหวัดปทุมธานี. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. พิชญ์ สมพอง. (2551). นักการเมืองถ่ินจังหวัดยโสธร. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. เพิ่มพงษ์ เชาวลิต และศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี . (2531). หาคะแนน อย่างไรใหเ้ ปน็ สส. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์นิติธรรม. เพียงกมล มานะรัตน์ (2547). การเมืองเรื่องการเลือกตั้ง: ศึกษากรณี การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของทศบาลนคร เชียงใหม่ ปี พ.ศ.2547. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 279

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ภาคภูมิ ฤกขะเมธ. (2552). นักการเมืองถ่ินจังหวัดตาก. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. รักฎา เมธีโภคพงษ์ และวีระ เลิศสมพร. (2551). นักการเมืองถิ่นจังหวัด เชียงใหม.่ กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. วิษณุ บุญมารัตน์. (2549). “อาจสามารถโมเดล” กู้กระแสหรือจริงใจ แก้ปัญหาคนจน. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2549. ศรุดา สมพอง. (2550). นักการเมืองถ่ินจังหวัดฉะเชิงเทรา. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. สมบัติ จันทรวงศ์. (2536). เลือกต้ังวิกฤต : ปัญหาและทางออก. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ. สานิตย์ เพชรกาฬ. (2550). นักการเมืองจังหวัดพัทลุง. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า. สุชาติ ศรียารัณย์. (2550). รายงานวิจัยเรื่อง วัฒนธรรมการเมือง ท้องถิ่นกับการพัฒนาประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: สถาบันพระ ปกเกล้า. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. (2551). สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย ไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: พี. เพรส. สุรพงษ์ โสธนะเสถียร. (2531). ส่ิงพิมพ์กับการเลือกตั้งท่ัวไป 2529. กรุงเทพฯ : มลู นิธิเพื่อการศึกษาประชาธิปไตยและการพัฒนา. . (2541). การส่ือสารกับการเมือง. กรุงเทพฯ: ประสิทธิ์ แอนด์ พริ้นติง จำกัด. . (2545). แนวความคิดในการหาเสียงเลือกต้ัง. กรุงเทพฯ: ประสิทธิ์ภัณฑ์แอนด์พริ้นติ้ง. สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดร้อยเอ็ด. (2553). พิธี เปิดอาคารสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัดร้อยเอ็ด และห้องสมุดและนิทรรศการประชาธิปไตย. 280

ภาคผนวก สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. (2532). ทำเนียบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2532. สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2524). ภาพและประวัติสมาชิก รัฐสภา พ.ศ.2524. สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร. . (2535). สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2475-2535. สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. . (2538). สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2538. สำนัก ประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. . (2542). ทำเนียบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2539. สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. . (2547). หนังสือที่ระลึกครบรอบ 72 ปี รัฐสภาไทย. สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. . (2550). ทำเนียบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2550. สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. . (2550). ทำเนียบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2550 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม. สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร. เสถียร เชยประทับ. (2551). การสื่อสาร การเมือง และประชาธิปไตย ในสังคมพัฒนาแล้ว. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. เสรี วงษ์มณฑา. (2550). BRANDING นักการเมือง. กรุงเทพฯ: ฐานการพิมพ์. หนงั สือภาษาองั กฤษ Monroe, J.P. (1962). The political party matrix: the persistence of organization. New York: State University of New York Press. 281

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด Richard Gunther, Jose Ramon-Montero and Juan J.Linz. (2002). Political Parties: Old Concepts and New Challenges. New York: Oxford University Press. Roskin, G. Michael. e.t. (1997). Political Science An Introduction. Sixth edition. New Jersey: Prentice-Hall, Inc. เวบ็ ไซต ์ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2554). สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554, จาก http://stat.dopa.go.th จังหวัดร้อยเอ็ด. (2553). ประวัติจังหวัดร้อยเอ็ด. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2553, จาก http://www.roiet.go.th/101/ ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า. (2553). สืบค้นเมื่อ วันที่ 3 มกราคม 2554 จากhttp://www.kpi.ac.th ที่ทำการปกครองจังหวัดร้อยเอ็ด. (2553). สืบค้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2554. จาก http://repa.roietceo.net/ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. (2553). พรรคการเมืองกับการรณรงค์ทางการเมือง. ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า สืบค้นเมื่อ วันที่ 15 ธันวาคม 2554, จาก http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/ วัชรินทร์ เขจรวงศ์. (2552). สืบค้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554, จาก http:// 76.nationchannel.com/playvideo.php?id=49822 วิชชุดา เมฆานุวงศ์. (2551). “กกต.สดศรี แจงผลการศึกษาดูงานเลือกตั้ง อเมริกา”. ข่าวสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. สืบค้นเมื่อ วันที่ 20 กันยายน 2554, จาก http://www.ect.go.th/thai/ download51/214_2551.pdf ศูนย์ข้อมูลการเมือง. (2553). สืบค้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2554. จาก http:// www.politicalbase.in.th ศูนย์ข้อมูลนักการเมือง. (2553). สืบค้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2554. จาก http://www.thaiswatch.com/parliament/member 282

ภาคผนวก สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. (2553). สืบค้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2554. จาก http://www.ect.go.th สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดร้อยเอ็ด. (2553-2554). สืบค้น เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2554 จาก http://www2.ect.go.th สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2553). สืบค้นเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2554. จาก http://www.parliament.go.th การสมั ภาษณ ์ โกศล แวงวรรณ. (2554, 26 กุมภาพันธ์). อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ บ้านพัก อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด. โกศล สมานสุข. (2554, 19 สิงหาคม). ทีมงานสนับสนุนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ เทศบาลเมืองเกษตรวิสัย อำเภอ เกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด. จันทร์ เขาน้อย. (2554, 20 สิงหาคม). ทนายความและทีมงานสนับสนุน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. ฉลาด ขามช่วง. (2554, 26 กุมภาพันธ์). สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด หลายสมัย. สัมภาษณ์ ณ สำนักงานทนายความฉลาด ขามช่วง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. ชนกภา นาเมืองรักษ์. (2554, 19 สิงหาคม). ทีมงานสนับสนุนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ สำนักงาน ส.ส.นิรันดร์ นา เมืองรักษ์ อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด. ชัยภิพัฒน์ (โกวิทย์) นาเมืองรักษ์. (2554, 19 สิงหาคม). อดีตนายก เทศมนตรีเมืองเสลภูมิ. สัมภาษณ์ ณ สำนักงาน ส.ส.นิรันดร์ นา เมืองรักษ์ อำเภอเสลภมู ิ จังหวัดร้อยเอ็ด. ชัยศรี ผลาพรหม. (2554, 27 กุมภาพันธ์). ทีมงานสนับสนุนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ บ้านพัก อำเภอเมือง จังหวัด ร้อยเอ็ด. 283

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ดุษฎี สุจารี. (2554, 26 กุมภาพันธ์). ภรรยาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ สำนักงานทนายความนิรมิต สุจารี อำเภอ หนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด. ทองนาค กุลาศรี. (2554, 20 สิงหาคม). ทีมงานสนับสนุนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ บ้านพัก อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด. นภาพร พวงช้อย. (2554, 27 กุมภาพันธ์). อดีตทีมงานสนับสนุนและ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ สำนักงานทนายความนภาพร พวงช้อย อำเภอโพนทอง จังหวัด ร้อยเอ็ด. นิรมิต สุจารี. (2554, 24 สิงหาคม). สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ รัฐสภา กรุงเทพฯ. นิรันดร์ นาเมืองรักษ์ (2554, 19 สิงหาคม). สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ดหลายสมัย. สัมภาษณ์ ณ สำนักงาน ส.ส.นิรันดร์ นาเมืองรักษ์ อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด นิสิต สินธุไพร. (2554, 20 สิงหาคม). อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ดหลายสมัย. สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์. บุญจันทร์ ทิพชัย. (2554, 20 สิงหาคม). นายกเทศมนตรีตำบลเชียงใหม่. สัมภาษณ์ ณ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. ยงยุทธ ขัติยนนท์. (2554, 26 กุมภาพันธ์). อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ บ้านพัก อำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด. วิชิต โพธาราม. (2554, 19 สิงหาคม). ปลัดเทศบาลเมืองเกษตรวิสัย. สัมภาษณ์ ณ เทศบาลเมืองเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัด ร้อยเอ็ด. วินิตตา ชิณโย. (2554, 27 กุมภาพันธ์). เลขานุการสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ ที่ทำการ ส.ส.วราวงษ์ พันธุ์ศิลา อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. เศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์. (2554, 26 กุมภาพันธ์). สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 284

ภาคผนวก ร้อยเอ็ดหลายสมัย. สัมภาษณ์ ณ สนามกีฬากลาง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. สรัณย์พงศ์ บัวจันทร์. (2554, 19 สิงหาคม). ทีมงานสนับสนุนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ สำนักงาน ส.ส.เอมอร สินธุไพร อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด. สาคร แว่นทองคำ. (2554, 26 กุมภาพันธ์). อดีตนายกเทศมนตรี. สัมภาษณ์ ณ บ้านพัก อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด. สิทธิพร โพธินาม. (2554, 27 กุมภาพันธ์, 20 สิงหาคม). ปลัดเทศบาลเมือง อำนาจเจริญ. สัมภาษณ์ ณ บ้านพัก อำเภอเมือง จังหวัด ร้อยเอ็ด. หนูรมภ์ เชียงใหม่. (2554, 27 กุมภาพันธ์). ผู้ช่วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ ที่ทำการ ส.ส.วราวงษ์ พันธุ์ศิลา อำเภอ เมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. อุ่นเรือน อารีเอื้อ. (2554, 26 กุมภาพันธ์). อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ด. สัมภาษณ์ ณ สำนักงานทนายความอารีเอื้อ อำเภอ เมือง จังหวัดร้อยเอ็ด. 285

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 286

ภาค ผนวก ภาคผนวก ก. ข้อมูลเขตเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด (การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554) เขตเลือกตั้ง พื้นทที่ ่เี ป็นเขตเลอื กตัง้ 1 อ.เมืองร้อยเอ็ด อ.จังหาร (เฉพาะ ต.ปาฝา ต.ยางใหญ่) 2 อ.โพธิ์ชัย อ.ธวัชบุรี (เฉพาะ ต.นิเวศน์ ต.มะอึ ต.อุ่มเม้า ต.หนองพอก ต.บึงนคร ต.ธวัชบุรี ต.ธงธานี) อ.จังหาร (ยกเว้น ต.ปาฝา และ ต.ยางใหญ่) อ.เชียงขวัญ 3 อ.โพนทอง อ.หนองพอก (เฉพาะ ต.ภูเขาทอง ต.หนองพอก ต.กกโพธิ์ ต.บึงงาม และ ต.รอบเมือง) อ.เมยวดี 4 อ.เสลภูมิ อ.หนองพอก (ยกเว้น ต.ภูเขาทอง ต.หนองพอก ต.กกโพธิ์ ต.บึงงาม และ ต.รอบเมือง) อ.ทุ่งเขาหลวง (เฉพาะ ต.ทุ่งเขาหลวง ต.บึงงาม และ ต.มะบ้า)