Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

Description: เล่มที่40นักการเมืองถิ่นร้อยเอ็ด

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันยามปกติของสังคมชนบทเป็นหลัก ซึ่งเกิดมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้ 1. ความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจสังคมระหว่าง สังคมเมืองกับสังคมชนบท 2. วัฒนธรรมและทัศนคติของผู้เลือกตั้ง 3. ความไม่เหมาะสมของกฎหมายเลือกตั้งบางส่วน และความย่อหย่อนในการบังคับใช้ 4. เขตเลือกตั้งที่ใหญ่เกินไป 5. ความอ่อนแอและด้อยพัฒนาของระบบพรรค การเมือง 6. ระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์ 7. บทบาทของนักธุรกิจการเมือง ชาญชัย บุญเสนอ (2536, น.82-84) ได้ทำการศึกษา เรอ่ื งการรวมกลมุ่ ของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในภาคตะวนั ออก เฉียงเหนือ ได้กำหนดกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มอิทธิพล เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการรวมกลุ่มของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไว้ดังนี้ กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มอิทธิพล เป็นการรวมตัวกัน โดยยึดหลักเอาแนวอาชีพเดียวกันเป็นหลัก เพื่อให้การรวมกลุ่ม กันเป็นไปด้วยดี มีการจัดองค์กรที่ดีมีประสิทธิภาพแล้วก็จะ สามารถสร้างพลังอำนาจขึ้นมาเหนือรัฐบาลหรือผู้บริหาร ประเทศ ซึ่งสิ่งที่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการรวมกลุ่ม ทางการเมือง โดยมุ่งผลประโยชน์ตอบแทนได้ 3 ประเด็น คือ 38

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ผลประโยชน์และการแบ่งสรรผลประโยชน์ทางอำนาจ ผลประโยชน์และการแบ่งสรรผลประโยชน์ทางอำนาจ มีลักษณะดังนี้ 1.1 ข้อเสนอการแบ่งสรรผลประโยชน์ในเรื่องตำแหน่งที่ สำคัญในพรรคการเมือง เช่น รองหัวหน้าพรรคฯ เลขาธิการ พรรคฯ กรรมการบริหารพรรคฯ เป็นต้น จะเป็นแรงจูงใจให้เข้า มารวมกลุ่มหรือมาสังกัดพรรคนั้นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1.2 ข้อเสนอในการแบ่งสรรผลประโยชน์ในเรื่องตำแหน่ง ทางการเมือง เมื่อพรรคการเมืองนั้นเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล เช่น ตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี เป็นต้น จะเป็นแรงจงู ใจให้เข้ามาสังกัดพรรคการเมืองนั้น 1.3 ข้อเสนอในการแบ่งสรรผลประโยชน์ในเรื่องบารมี ของพรรคการเมอื งหรอื กลมุ่ ผสู้ นบั สนนุ ทม่ี ตี อ่ เจา้ หนา้ ทบ่ี า้ นเมอื ง ในพื้นที่ในฐานพรรครัฐบาลที่รักษาการอยู่ หรือผู้มีอิทธิพลใน พื้นที่ทั้งทางบวกและทางลบจะเป็นแรงจูงใจให้เข้ามารวมกลุ่ม หรือมาสังกัดพรรคหรือกลุ่มนั้นๆ 2. ผลประโยชน์และการแบ่งสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ผลประโยชน์และการแบ่งสรรผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ มีลักษณะดังนี้ 2.1 ข้อเสนอในการแบ่งสรรผลประโยชน์ในเรื่องเงินและ สิ่งของที่ทางพรรคการเมือง หรือผู้สนับสนุนพรรคการเมืองหรือ หัวหน้าทีมในเขตเลือกตั้งจัดสรรให้ในการสมัครรับเลือกตั้ง และ 39

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด หาเสียงเลือกตั้งจะจูงใจให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเสนอตัวมาเข้าสังกัด 2.2 ข้อเสนอในการแบ่งสรรผลประโยชน์ในเรื่อง ผลประโยชน์เฉพาะตัวให้ผู้สมัครโดยเฉพาะที่มีชื่อเสียงดี ซึ่ง แยกต่างหากจากค่าใช้จ่ายที่พรรคการเมืองจะให้การสนับสนุน ในการหาเสียงเลือกตั้ง เช่น คาดว่าที่จ้างมาให้ลงสมัครหรือการ ใช้หนี้สินส่วนตัวให้จะจูงใจสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเสนอตัวเข้ามาสังกัด 2.3 ข้อเสนอในการแบ่งสรรผลประโยชน์ในเรื่อง ผลประโยชน์ที่ไม่ใช้ตัวเงินหรืออำนาจ แต่เป็นการใช้บารมีที่ พรรคการเมืองนั้นมีอยู่ช่วยเหลือ และปกป้องธุรกิจของตนหรือ พรรคพวกให้ดำเนินการไปโดยราบรื่น และเจริญก้าวหน้าจะ จูงใจให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เสนอตัวมาเข้าสังกัด 2.4 ข้อเสนอในการแบ่งสรรผลประโยชน์ในเรื่อง สวัสดิการตอบแทนจากพรรคการเมืองนั้นๆ ทั้งก่อนและภาย หลังเลือกตั้งแล้ว โดยไม่คำนึงว่าผลการเลือกตั้งจะออกมา อย่างไร จะจูงใจให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาคตะวันออก เฉียงเหนือเสนอตัวเข้ามาร่วมในสังกัด 3. ผลประโยชน์และการแบ่งสรรผลประโยชน์ทางสถานะ ทางสังคม ผลประโยชน์และการแบ่งสรรผลประโยชน์ทางสถานะ ทางสังคม มีลักษณะดังนี้ 40

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง 3.1 ภาพรวมหรือภาพพจน์ที่ดีขึ้นในสายตาประชาชนใน พื้นที่เมื่อรวมกลุ่มกับทีม หรือสังกัดพรรคการเมืองที่มีชื่อเสียง มีคุณภาพ ประชาชนศรัทธา จะจูงใจให้สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเสนอตัวมาเข้าสังกัด 3.2 อัตราความเสี่ยงน้อย คือ สถานการณ์ทางการเมือง ในขณะนั้นเอื้ออำนวยให้บุคคลหรือพรรคการเมืองเป็นที่ศรัทธา ในหมู่ประชาชน หรือมีภาพรวมที่ดี ประชาชนให้การสนับสนุน หรือเป็นพรรคการเมืองที่ถูกคาดหมายไว้ว่า จะเป็นพรรคร่วม รัฐบาลหรือจัดตั้งรัฐบาล เจ้าหน้าที่บ้านเมืองให้ความเกรงใจ และให้การสนับสนุน ซึ่งส่งผลให้บุคคลที่จะเข้ามารวมกลุ่มหรือ ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามกลุ่มหรือพรรคการเมืองนั้นมีโอกาส สอบได้มากขึ้น จะจูงใจให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเสนอตัวมาเข้าสังกัด ภาคภูมิ ฤกขะเมธ (2552, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดตาก พบว่า กลวิธีในการหาเสียงของ นักการเมืองมีความใกล้เคียงกันคือใช้บัตรแนะนำตัว แผ่นพับ ใบปลิว การโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยขับรถขยายเสียง การ ปราศรัย สาเหตุที่ทำให้ได้รับเลือกเกิดจากการเข้าถึงประชาชน อย่างสม่ำเสมอ ความจริงใจความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งบุคลิกลักษณะที่อ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่ก้าวร้าว ประกอบ กับมีความพร้อมทางครอบครัว ทางเศรษฐกิจ ทางการศึกษา และหากเป็นนักการเมืองอาชีพ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ก็เป็นสิ่งสนับสนุนทำให้ได้รับการเลือกตั้ง สำหรับกรณีสมาชิก วุฒิสภาต้องมีความสำเร็จทางวิชาชีพและเป็นที่ยอมรับจาก 41

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ภายนอก ทั้งนี้ส่วนใหญ่มีวุฒิการศึกษาที่ดี อย่างไรก็ตามหาก สามารถสร้างเครือข่ายให้เกิดการยอมรับและศรัทธา และการ รับรู้จากประชาชนในระยะสั้นได้ก็จะสามารถประสบความ สำเร็จได้รับเลือกตั้ง และด้วยโครงสร้างทางสังคมและ วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า ทำให้ประชาชนชาวตาก ยึดตัวบุคคล ดังนั้นไม่ว่านโยบายพรรคจะดีเพียงใดก็จะไม่ใช่ ปัจจัยหลักในการได้รับเลือกตั้งในจังหวัดตาก รักฎา เมธีโภคพงษ์ และวีระ เลศิ สมพร (2551, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงใหม่สามารถจำแนกได้ดังนี้คือ อดีตข้าราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคลากรทาง การศึกษา นักธุรกิจ บุคลที่มีตำแหน่งในสมาคม/ชมรม อดีต ข้าราชการในการบริหารราชการส่วนภูมิภาค นักกฎหมาย และ บุคลากรด้านสื่อสารมวลชน ส่วนใหญ่ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น นักการเมืองชาย มีนักการเมืองหญิงเพียง 4 คน โดยในจำนวน นี้มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองคือ เป็นคู่สมรส 2 คน และ ญาติ 1 คน ความนิยมพรรคการเมืองของประชาชนจังหวัด เชียงใหม่นับตั้งแต่ พ.ศ.2500 จนถึง พ.ศ.2539 พรรคการเมือง ที่ได้รับความนิยมจากประชาชน และได้ที่นั่ง ส.ส. จากจังหวัด เชียงใหม่ค่อนข้างสม่ำเสมอ มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไปใน แต่ละยุคสมัย ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ ยกเว้นในการเลือกตั้ง ครง้ั ท่ี 15 (24 กรกฎาคม 2531) การเลอื กตง้ั ครง้ั ท่ี 18 (2 กรกฎาคม 2538) และในช่วง พ.ศ.2544 - 2548 ซึ่งกระแสความนิยมของ พรรคไทยรักไทยในจังหวัดเชียงใหม่มีสูง วิธีการและกลวิธีการ หาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ 42

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง มีหลายรูปแบบ ได้แก่การใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น การหาเสียงแบบเข้าถึงชาวบ้าน การแจกใบปลิว และการใช้ เครือข่าย ส่วนบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ พบว่าครอบครัว วงศาคณาญาติ เพื่อนฝูง ลูกศิษย์ ลูกค้า รวมทั้งภูมิลำเนาเดิม ล้วนเป็นปัจจัย สำคัญที่มีส่วนสนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด เชียงใหม่ให้ได้รับการเลือกตั้ง พิชญ์ สมพอง (2551, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดยโสธร พบว่า นักการเมืองถิ่นยโสธร จำแนกได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มนักสื่อสารมวลชน กลุ่มครู อาจารยข์ า้ ราชการเกา่ และนกั กฎหมาย กลมุ่ นกั การเมอื งทอ้ งถน่ิ และนักธุรกิจ เครือข่ายสายสัมพันธ์ที่พบจะเป็นบิดา–บุตร 1 คู่ นอกนั้นจะเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายกับกลุ่มผลประโยชน์ ทางการเมืองในระดับท้องถิ่น กลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกลุ่มผลประโยชน์ทางสังคมและวัฒนธรรม พรรคการเมือง คือ กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง มีบทบาทสูงต่อนักการเมือง ถิ่นยโสธร นักการเมืองถิ่นยโสธรมีการเปลี่ยนสังกัดพรรค ตามวาระของรัฐบาล โดยพรรคใดเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ นักการเมืองถิ่นยโสธรก็สังกัดพรรคนั้น ส่วนกลวิธีสำคัญในการ หาเสียงได้แก่ การลงพื้นที่พบประชาชนโดยสม่ำเสมอ การให้ ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ไชยวุฒิ มนตรีรักษ์ (2551, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดเลย พบว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเลยทั้งสิ้น 25 คน เป็นชาย 21 คน คิดเป็นร้อยละ 84 43

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ในขณะที่เป็นหญิง 4 คน คิดเป็นร้อยละ 16 อาชีพก่อนเข้ามา ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนใหญ่มีอาชีพธุรกิจ รองลงมา ได้แก่รับราชการ มีภูมิลำเนาโดยการเกิดในจังหวัดเลย 12 คน คิดเป็นร้อยละ 48 เครือข่ายทางการเมืองที่ให้การสนับสนุน นักการเมืองและความสัมพันธ์ของนักการเมืองกับประชาชน ส่วนใหญ่เป็นความสัมพันธ์แบบเครือญาติทั้งในแบบเครือญาติ ตระกูลและเครือญาติเกื้อกูล รูปแบบการหาเสียงและวิธีการ สร้างคะแนนนิยมของนักการเมืองถิ่น เดิมใช้การเดินหาเสียง กับประชาชนในหมู่บ้าน มีใบปลิว โปสเตอร์หาเสียง ฉาย ภาพยนตร์ มีจัดเลี้ยงสุราอาหาร แจกสิ่งของ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่เป็นนักธุรกิจปราศรัยหาเสียงน้อย การสร้างคะแนนนิยมจะ อาศัยการจ่ายเงิน และอุปถัมภ์หัวคะแนนการเลือกตั้งนับจาก พ.ศ.2538 เป็นต้นมามีการนำรูปแบบการบริหารจัดการเชิงธุรกิจ มาใช้ในการสร้างฐานคะแนนเสียงทางการเมือง ควบคู่กับการ สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัด เลย บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์กับการเมืองเริ่มมีบทบาท และมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองถิ่นอย่างเด่นชัดนับจากการ เลือกตั้งใน พ.ศ.2512 คือ กลุ่มสัมปทานป่าไม้ และกลุ่มค้าส่ง ค้าปลีก ต่อจากนั้นเป็นกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเริ่มเข้าสู่ การเมืองใน พ.ศ.2529 ในบางเขตเลือกตั้ง และกลุ่มธุรกิจ สัมปทานแร่ และรับเหมาก่อสร้าง เข้ายึดพื้นที่ทางการเมือง จังหวัดเลย ทุกเขตเลือกตั้งมาตั้งแต่การเลือกตั้งใน พ.ศ.2539 ถึง พ.ศ. 2548 และมีเครือข่ายธุรกิจรับเหมาระหว่างจังหวัด ส่วนกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ นักการเมืองถิ่นได้แก่กลุ่ม อสม. กลุ่มสตรี เครือข่ายกำนัน 44

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้ เงินค่าตอบแทน และระบบอุปถัมภ์ทางการเงินเป็นเครื่องมือ หลัก สุเชาวน์ มีหนองหว้า และกิติรัตน์ สีหบัณฑ์ (2549, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ภูมิหลังและอาชีพของนักการเมืองในจังหวัด อุบลราชธานีตั้งแต่ พ.ศ. 2476-2548 สามารถแบ่งได้เป็น 2 ยุค คือ ยุคของนักการเมืองที่เป็นข้าราชการ (พ.ศ.2476 - พ.ศ. 2514) และยุคของนักธุรกิจการเมือง (พ.ศ. 2518 - พ.ศ. 2548) นักการเมืองมีการรวมกลุ่มกันเป็นบางช่วงเพื่อช่วยเหลือกันใน การเลือกตั้ง ในส่วนรูปแบบการหาเสียงในอดีตและแตกต่าง จากปัจจุบัน โดยที่ในอดีตจะใช้การปราศรัยในแหล่งชุมชน มีเครือญาติและเพื่อนช่วยเหลือ แต่ในยุคปัจจุบันใช้วิธีการ บริหารจัดการหัวคะแนนในชุมชนควบคู่ไปกับระบบอุปถัมภ์ การเข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ที่ม ี วิธีการบริหารจัดการหัวคะแนนที่ดีจะชนะการเลือกตั้ง ศรดุ า สมพอง (2550, บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ กึ ษาเรอ่ื งนกั การเมอื ง ถิ่นจังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่า 1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน จังหวัดฉะเชิงเทราตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2548) จะเป็น บุคคลในกลุ่มชนชั้นนำของจังหวัด มีสถานะภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ดี เป็นที่รู้จักของคนในจังหวัด โดยมีปัจจัยที่สำคัญ จากพื้นฐานทางด้านอาชีพการรับราชการ โดยเฉพาะการเป็น สมาชิกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมาก่อน 2) ลักษณะ ทางการเมืองในจังหวัดฉะเชิงเทราจะเป็นการสืบทอดอำนาจ 45

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ทางการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มเครือญาติ และการได้รับการ สนับสนุนจากกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง 3) ในการสังกัด พรรคการเมืองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัด ฉะเชิงเทรา จะไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เพราะลักษณะการ ลงคะแนนของประชาชนทั่วไปจะยึดที่ตัวบุคคลเป็นหลัก 4) วิธีที่ ใช้ในการหาเสียงของผู้สมัครฯ โดยทั่วไปจะใช้การลงพื้นที่ พบปะประชาชนในพื้นที่ การปราศรัยบนเวที การใช้สื่อ ประชาสัมพันธ์ต่างๆ การใช้รถขยายเสียงวิ่งตามท้องถนน แต่ที่ สำคัญจะใช้วิธีการผ่านทาง “หัวคะแนน” ซึ่งจะเป็นผู้มีบารมีใน พื้นที่ เช่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมาชิก องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน เป็นต้น ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง (2550, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงราย พบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัด เชียงรายมี 3 กลุ่มอาชีพคือ นักธุรกิจ นักกฎหมายและอดีต ข้าราชการ ความนิยมของประชาชนมีต่อตัวบุคคลผู้สมัครรับ เลือกตั้งมากกว่าความนิยมต่อนโยบายพรรค แต่โดยภาพรวม ความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติจะผูกโยงต่อสถานภาพการ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติมีน้อย มีผู้แทนราษฎร ที่เป็นสตรีเพียง 3 คน ในขณะที่เป็นเพศชาย 49 คน กลยุทธ์การ หาเสียงที่นำมาใช้มีหลากหลายวิธี ได้แก่ การแจกสิ่งของ แจก เงิน การปราศรัย การใช้แผ่นปลิว การติดป้ายประชาสัมพันธ์ การพาไปทัศนศึกษา การพนันขันต่อ การซื้อบัตรประชาชน การสัญญาว่าจะให้ การใช้อิทธิพลข่มขู่ สานิตย์ เพชรกาฬ (2550, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง 46

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง นักการเมืองจังหวัดพัทลุง พบว่า นักการเมืองถิ่นพัทลุงสามารถ จำแนกตามภูมิหลังของอาชีพ และบทบาทพฤติกรรมได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มอดีตข้าราชการ กลุ่มนักกฎหมาย และกลุ่มบุคคล ผู้กว้างขวางในสังคม โดยกลุ่มอดีตข้าราชการได้รับเลือกเป็น ส.ส. มากที่สุด ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่มาจากอดีตข้าราชการครู ส่วนกลุ่มอาชีพธุรกิจยังไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง ส.ส.พัทลุง ปัจจัยที่เป็นเหตุผลให้ได้รับการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับ เงื่อนไขศักยภาพของนักการเมือง และอิทธิพลของพรรค การเมืองที่สังกัด การได้รับเลือกตั้งเกิดจากความนิยมในตัว บุคคลมากกว่าอิทธิของพรรคการเมือง ชาญณวุฒ ไชยรักษา (2549, บทคัดย่อ) ได้ศึกษา นักการเมืองถิ่นจังหวัดพิษณุโลก พบว่าในช่วงแรกผู้ได้รับการ เลือกตั้งจะเป็นผู้เคยดำรงตำแหน่งข้าราชการและเป็นกลุ่ม บุคคลชั้นนำในสังคมจนถึง พ.ศ. 2512 สภาพการเมืองเริ่ม เปลี่ยนแปลงไปนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะเป็นผู้มีความ ผูกพันกับจังหวัดพิษณุโลกอย่างใกล้ชิดกับประชาชนมาตั้งแต่ รุ่นบิดา มารดา บางคนมีบิดามารดาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น มาก่อน บางคนเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง บางคนบิดาเคยเป็น ส.ส. มาก่อน สำหรับยุทธวิธีการหาเสียงมีหลายรูปแบบ เช่น การพบปะชาวบ้านในพื้นที่เลือกตั้งเพื่อคลุกคลี พูดคุยสร้าง ความคุ้นเคยทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง การปราศรัย หาเสียง การฉายหนังกลางแปลงแล้วคั่นด้วยการปราศรัย หาเสียง การใช้สื่อประชาสัมพันธ์และการใช้รถแห่กระจายเสียง เป็นต้น ในส่วนของปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการเลือกตั้ง นั้นประกอบด้วยปัจจัยสำคัญดังนี้ 47

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 1. ความสัมพันธ์ของผู้สมัครที่มีต่อชุมชน 2. ค่าใช้จ่ายในการใช้หาเสียง 3. การมีเครือข่ายทางสังคมของผู้สมัคร 4. ความสัมพันธ์กับนักการเมืองระดับท้องถิ่นและผู้นำ ชุมชน 5. การสร้างระบบอุปถัมภ์ผ่านการช่วยเหลือในลักษณะ ต่างๆ นิรันดร์ กุลฑานันท์ (2549, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า เครือข่ายความสัมพันธ์ ระหว่างนักการเมืองจะเป็นความสัมพันธ์ผ่านการทำธุรกิจและ การแบ่งปันผลประโยชน์ งบประมาณพัฒนาในพื้นที่เลือกตั้ง มีความสัมพันธ์เชิงเครือญาติและผ่านกลุ่มผลประโยชน์ เช่น หอการค้า สภาอุตสาหกรรม องค์กรกู้ภัย ส่วนความสัมพันธ์ ระหว่างนักการเมืองกับพรรคการเมืองจะสัมพันธ์ผ่านมุ้ง การเมืองที่ตนสังกัดอยู่ ในด้านวิธีการหาเสียงมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การเดินเคาะประตูบ้าน การจัดมหรสพแล้วปราศรัย หาเสียง การทำโปสเตอร์ ป้ายโฆษณา การแจกสิ่งของ เช่น ลูกเป็ด กล้าไม้ รองเท้า น้ำปลา อาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า แจกเงิน ในด้านรูปแบบการจัดตั้งหัวคะแนนจะเริ่มจากรูปแบบ ง่ายๆ ผ่านผู้นำท้องถิ่นข้าราชการ ผู้นำกลุ่มสตรีมาเป็นการวาง เครือข่ายคล้ายธุรกิจขายตรง มีสัดส่วนหัวคะแนนต่อผู้ใช้สิทธิ เล็กลง มีการจัดตั้งกองทุนให้กลุ่มชาวบ้าน การอบรม การพาไป ศึกษาดงู าน การจัดเลี้ยง การแจกเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น ณรงค์ บุญสวยขวัญ (2549, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า ปฏิบัติการ 48

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ทางการเมืองจะสัมพันธ์กันทั้งบริบทการเมืองระดับชาติและ บริบทสังคมวิทยา ในส่วนของภาพลักษณ์นักการเมืองถิ่น จะเป็นผู้มีความรู้สูง มีการศึกษาค้นคว้าตลอดเวลา มีความใกล้ ชิดกับประชาชน มีระบบอุปถัมภ์ภายใต้โครงการพัฒนาทาง กายภาพ มีความสามารถในการสร้างวาทกรรมทางการเมือง มีความกล้าหาญที่จะชี้นำประชาชนให้เห็นความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมของข้าราชการและคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่าง ไม่เกรงกลัว เน้นกลวิธีการหาเสียงมากกว่าการเมืองเชิงนโยบาย กระบวนการสร้างเครือข่ายการหาเสียงในช่วงแรกมีการใช้พรรค พวก ญาติ เครือข่ายวิชาชีพครู เครือข่ายสถาบันการศึกษาหรือ ชมรมศิษย์เก่าของสถาบันการศึกษา เครือข่ายสตรี กลไก ศาสนาและนักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรค หลักที่ชนะการเลือกตั้งต่อเนื่องมาหลายสมัย พยายามจะเชื่อม โยงสภาพความเป็นนักการเมืองประชาธิปัตย์กับความมี มาตรฐานทางการเมืองถิ่น บูฆอรี ยีหมะ (2549, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดปัตตานี พบว่า การเมืองของปัตตานี สามารถแบ่งพัฒนาการได้เป็น 3 ยุคคือ ยุคแรก (พ.ศ. 2476-2528) เป็นการต่อสู้ช่วงชิงทาง การเมืองระหว่างตระกูลอดีตเจ้าเมืองกับตระกูลนักการศาสนา และเครือข่าย ยุคที่สอง (พ.ศ. 2529-2547) มีการก่อตั้งกลุ่มการเมือง เพื่อเป็นกลไก การต่อรองกับพรรคการเมืองและกลยุทธ์ในการ ชนะเลือกตั้ง คือ กลุ่มวะดะห์ และกลุ่มญามาอะฮ์อุลามะอ์ ปัตตานีดารุสสลาม (ชุมชนนักปราชญ์แห่งปัตตานี) 49

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ยุคปัจจุบัน (2548-ปัจจุบัน) เกิดวิกฤตความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองเมื่ออดีตนักการเมืองผู้มีชื่อเสียงต้องพ่ายให้แก ่ นักการเมืองหน้าใหม่ พรชัย เทพปัญญา (2549, บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดปทุมธานี จากผลการศึกษาพบว่า 1. นักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่มีภูมิหลังทางการศึกษาที่ดี มีสภาพทางเศรษฐกิจดีและมีสังคมที่เอื้ออำนวยต่อ การเป็นนักการเมือง 2. นักการเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มตระกูลหาญ สวัสดิ์ นอกจากนั้นจะได้รับเลือกตั้งเพราะชื่อเสียง ของตน 3. ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองถิ่นภายในจังหวัด ปทุมธานีมีน้อย 4. การหาเสียงของนักการเมืองถิ่นในจังหวัดปทุมธานี ในปัจจุบันมีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองและ นโยบายพรรค 5. กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจมีความสัมพันธ์กับ ส.ส. น้อย 6. การรวมตัวของกลุ่มตระกูลหาญสวัสดิ์กับพรรคไทย รักไทยถือว่าเป็นการรวมกันระหว่างอิทธิพลท้องถิ่น กับอิทธิพลระดับชาติ 50

บ3ทท ่ี การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด สาระสำคัญของบทนี้ต้องการนำเสนอพัฒนาการ ทางการเมืองถิ่นของจังหวัดร้อยเอ็ดตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรก คือ 15 พฤศจิกายน 2476 จนถึงปัจจุบัน 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่ง เป็นการสะท้อนให้เห็นภูมิทัศน์ทางการเมืองถิ่นของจังหวัด ร้อยเอ็ด และในอีกส่วนที่สำคัญของเนื้อหาในบทนี้คือ การอธิบายลักษณะที่เรียกว่า “โรคร้อยเอ็ด” โดยจะให้ภาพ การอธิบายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังต่อไปนี้ 1. ข้อมูลการเลือกต้ังของจังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ดมีการเลือกตั้งครั้งแรกซึ่งเป็นการเลือกตั้ง ครั้งแรกของประเทศไทย ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 จนถึง ล่าสุดวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 รวม 23 ครั้ง และมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จำนวนทั้งหมด 24 ชุด ดังรายละเอียดของการ เลือกตั้งระดับประเทศและจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ในจังหวัดร้อยเอ็ดตั้งแต่ปี 2476 ถึงปัจจุบัน (สิงหาคม 2554) (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2547, น.16-60, สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2553, http:// www.parliament.go.th) 1.1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 1 พ.ศ.2475 (28 มิถุนายน 2475 – 9 ธันวาคม 2476) จัดต้ังผู้แทนราษฎรช่ัวคราว วันที่ 24 มิถุนายน 2475 “คณะราษฎร” ซึ่งประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน จำนวน 99 คน เข้ายึดอำนาจ การปกครองแผ่นดิน ตั้งคณะรักษาพระนครฝ่ายทหาร 3 นาย เป็นผู้ใช้อำนาจแทน มีผลให้ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัฐธรรมนญู เป็นหลักในการปกครองประเทศเป็นครั้งแรก ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม ชั่วคราว พ.ศ.2475 กำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎร โดยให้ “คณะราษฎร” ซึ่งมีคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้ อำนาจแทน จัดตั้งผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้น จำนวน 70 คน เป็น สมาชิกในสภา ประเทศไทยจึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกิด ขึ้นเป็นครั้งแรก จำนวน 60 คน โดยเริ่มมีการประชุมสภาผู้แทน ราษฎรขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2475 ณ พระที่นั่ง อนันตสมาคม ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และพลตรีพระยาอินทรวิชิต เป็น รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 52

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ชั่วคราวชุดนี้ ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 28 มิถุนายน 2475 ถึง 9 ธันวาคม 2476 1.2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 2 พ.ศ.2476 (15 พฤศจิกายน 2476-9 ธันวาคม 2480) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 1 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475 ได้ บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 และสมาชิกประเภท ที่ 2 มีจำนวนสมาชิกเท่ากัน รัฐบาลจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 เป็นการเลือกตั้งโดยทางอ้อม โดยเลือกตั้งผู้แทนตำบลก่อน แล้ว ผู้แทนตำบลเป็นผู้เลือกผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง การเลือกตั้ง ครั้งนี้ได้ผู้แทนราษฎร จำนวน 78 คน ซึ่งผู้แทนราษฎรจังหวัด หนึ่งๆ อาจจะมีคนเดียว หรือหลายคนก็ได้สุดแต่จำนวน พลเมืองของจังหวัดนั้นจะมีมากน้อยเพียงใด ตามปกติมีจังหวัด ละ 1 คน แต่ถ้าจังหวัดใดมีพลเมืองเกินกว่า 300,000 คน จังหวัดนั้นมีผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีก 1 คน ทุก ๆ 200,000 คน หากมีเศษให้ปัดทิ้งเสีย และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภท ที่ 1 ชุดนี้ สิ้นสุดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2480 เพราะถึงคราวออก ตามวาระที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ในส่วนของจังหวัดร้อยเอ็ดมีผู้แทนราษฎรที่มาจากการ เลือกตั้งครั้งนี้ จำนวน 2 คน ได้แก่ พันตรี พระไพศาลเวชกรรม 53

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด (สวาสดิ์ โสมเกษตริน) และจ.ส.ต ขุนเสนาสัสดิ์ (ถั่ว ทองทวี) ซึ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 ถึง 9 ธันวาคม 2480 1.3 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 3 พ.ศ.2480 (7 พฤศจิกายน 2480-10 ธันวาคม 2481) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 2 วันท่ี 7 พฤศจิกายน 2480 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 นี้มีขึ้น เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบ แบ่งเขต โดยประชาชนเป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทน ราษฎรในเขตของตนเองโดยตรง แต่ละเขตมีผู้แทนราษฎรได้ หนึ่งคน ถือจำนวนประชาชน 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน โดยให้ราษฎรใช้สิทธิเลือกตั้งผู้แทนราษฎรโดยตรงซึ่ง เป็นการเลือกตั้งทางตรงครั้งแรกของไทย ได้ผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น จำนวน 91 คน การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ซึ่งกำหนดให้ ฝ่ายนิติบัญญัติมีระบบสภาเดียว และพรรคการเมืองที่มีบทบาท ในการเลือกตั้งยังคงมีเพียงพรรคเดียวคือ พรรคคณะราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2481 โดยพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจาก รัฐบาลแพ้มติของสภา กรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ญัตติของแก้ไขข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นการยุบ สภาครั้งแรกนับแต่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าไปทำหน้าที่ในสภา 54

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งทางตรงครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 เขตเลือกตั้ง และมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจำนวน 2 คน ได้แก่ เขต 1 นายถวิล อุดล และเขต 2 นายเขมชาติ บุญรัตน์พันธ์ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 ถึง 10 ธันวาคม 2481 1.4 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 4 พ.ศ.2481 (12 พฤศจิกายน 2481-15 ตุลาคม 2488) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 3 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 จำนวน 91 คน เป็นการเลือกตั้ง แบบแบ่งเขต โดยประชาชนเป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทน ราษฎรในเขตของตนเองโดยตรง มีเกณฑ์การคำนวณสัดส่วน ผู้แทนราษฎรในแต่ละเขตคือ ประชาชน 200,000 คน ต่อผู้แทน ราษฎร 1 คน ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2488 ได้มีการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มอีก 4 คน รวมเป็น 95 คน เนื่องจากไทยได้ดินแดน 4 จังหวัดเพิ่มขึ้น ได้แก่ จังหวัด นครจำปาศักดิ์ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม และ จังหวัดล้านช้าง (ปัจจุบันไม่มี 4 จังหวัดนี้แล้ว) ช่วงของการเลือกตั้งดังกล่าวอยู่ในช่วงที่สงครามโลก ครั้งที่ 2 กำลังเริ่มต้นและเป็นเหตุให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทั่วโลก การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ซึ่งกำหนดให้ 55

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ฝ่ายนิติบัญญัติมีระบบสภาเดียว และพรรคการเมืองที่มีบทบาท ในการเลือกตั้งยังคงมีเพียงพรรคเดียวคือ พรรคคณะราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ได้มีการขยายวาระเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรออกไปอีกคราวละไม่เกิน 2 ปี ตาม รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร พ.ศ.2485 ดังนั้นสมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ จึงอยู่ในวาระนานกว่า 4 ปี และได้สิ้นสุดโดยพระราชกฤษฎีกา ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2488 เนื่องจากสภา ผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติอาชญากร สงครามตามที่รัฐบาลเสนอ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้ยังคงเป็นคนเดิมจาก 2 เขตเลือกตั้ง ได้แก่ เขต 1 นายถวิล อุดล และเขต 2 นายเขมชาติ บุญรัตน์พันธ์ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่ง 4 ปี ตั้งแต่ 12 พฤศจิกายน 2481 ถึง 15 ตุลาคม 2488 1.5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 5 พ.ศ.2489 (6 มกราคม 2489 -8 พฤศจิกายน 2490) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 4 วันที่ 6 มกราคม 2489 การเลือกตั้งครั้งที่สี่นี้เป็นการเลือกตั้งด้วยวิธีแบ่งเขต โดยประชาชนเป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในเขต ของตนเองโดยตรง มีเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนผู้แทนราษฎรใน แต่ละเขตคือ ประชาชนสองแสนคนต่อผู้แทนราษฎรหนึ่งคน เหตุที่มีการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ขึ้นเนื่องจากมีพระราชบัญญัติ 56

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ยุบสภาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2488 ซึ่งเป็นการประกาศ ยุบสภาครั้งที่สอง การเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร ประเภทที่ 1 จำนวน 96 คน ได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2489 การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ซึ่งกำหนดให้ ฝ่ายนิติบัญญัติมีระบบสภาเดียว หลังจากนั้นเมื่อเกิดการ รัฐประหาร ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้จึงสิ้นสุดลง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 2 คน มาจาก 2 เขตเลือกตั้ง ได้แก่ เขต 1 นายสิงห์ ประกาสิทธิ์ และเขต 2 นายวิเชียร บำรุงพานิช ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 6 มกราคม 2489 ถึง 9 พฤศจิกายน 2490 1.6 สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร ชุดที่ 5 (เพิม่ เตมิ ) พ.ศ.2489 (5 สิงหาคม 2489 - 8 พฤศจิกายน 2490) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เพ่ิมเติมตามจำนวนราษฎร) วันที่ 5 สิงหาคม 2489 การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นผลมาจากบทบัญญัต ิ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 ได้กำหนด เพิ่มจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามจำนวนพลเมือง และ ยกเลิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ซึ่งทำให้ต้องมีการ จัดการเลือกตั้งเพิ่มเติมเฉพาะในพื้นที่ 47 จังหวัด (82 เขต) เพื่อ ให้ได้ผู้แทนราษฎรแทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 57

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 82 คน รวมกับผู้แทนราษฎรที่มีอยู่เดิม 96 คน ทำให้ สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิก จำนวน 178 คน ซึ่งการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งด้วยวิธีการ แบ่งเขต โดยประชาชนเป็นผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทน ราษฎรในเขตของตนเองโดยตรง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 ซึ่งกำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติมี ระบบสองสภา นั่นคือ มีสภาผู้แทนราษฎร และพฤฒิสภา ซึ่งมี ที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม แต่ไม่ทันได้มีการเลือกตั้งสมาชิก พฤฒิสภาแต่อย่างใด ทั้งนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ได้สิ้นสุดโดยการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งเพิ่มเติมครั้งนี้มีจำนวน 3 คน มาจาก 3 เขตเลือกตั้ง ได้แก่ เขต 1 นายฉันท์ จันทชุม เขต 2 นายประมวล ประสาน และเขต 3 นายจำรัส ทับแสง ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 5 สิงหาคม 2489 ถึง 9 พฤศจิกายน 2490 1.7 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 6 พ.ศ.2491 (29 มกราคม 2491-29 พฤศจิกายน 2494) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 5 วันที่ 29 มกราคม 2491 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2490 ซึ่งประกาศใช้โดย คณะรัฐประหารนำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณ โดยการเลือกตั้ง 58

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้รัฐบาลนำโดยนายควง อภัยวงศ์ นายก- รัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร เพื่อทำหน้าที่ ดำเนินการจัดการเลือกตั้งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติให้รัฐสภา ประกอบ ด้วยวฒุ ิสภาและสภาผแู้ ทน โดยกำหนดให้มีการเลือกต้งั สมาชกิ สภาผู้แทน ภายใน 90 วัน นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนญู ดังนั้นจึงได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนขึ้น เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2491 เป็นการเลือกตั้งทางตรง โดยวิธีรวมเขต จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละจังหวัดคำนวณโดยถือเอาจำนวน ประชาชน 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ทำให้มีจำนวน ผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งนี้จำนวน 100 คน และท้ายสุด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดลงเพราะการยึดอำนาจ การปกครองของคณะบริหารประเทศชั่วคราว เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลอื กตง้ั ครง้ั นม้ี จี ำนวน 3 คน มาจาก 3 เขตเลอื กตง้ั ไดแ้ ก่ เขต 1 นาย ช. สายเชื้อ เขต 2 นายนิวัฒน์ ศรีสุวรนันท์ และเขต 3 นายเขมชาติ บุญรัตน์พันธ์ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ ดำรงตำแหนง่ ระหวา่ งวนั ท่ี 29 มกราคม 2491 ถงึ 29 พฤศจกิ ายน 2494 59

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 1.8 สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร ชดุ ท่ี 6 (เพ่มิ เติม) พ.ศ.2491 (5 มิถุนายน 2492 - 29 พฤศจิกายน 2494) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เพ่ิมเติม ตามบทเฉพาะกาล) วันท่ี 5 มิถุนายน พ.ศ.2492 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเพิ่มเติมตามจำนวนพลเมืองตามบทเฉพาะกาลของ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2492 แทน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2490 โดย กำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีระบบสองสภา คือ สภาผู้แทน ราษฎรและวุฒิสภา จึงมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพิ่มเติม โดยจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 5 มิถุนายน 2492 จำนวน 19 จังหวัด เป็นการเลือกตั้งทางตรง โดยวิธีรวมเขต โดยถือเอาจังหวัดหนึ่งเป็นเขตเลือกตั้งหนึ่ง จำนวนผู้แทน ราษฎรในแต่ละจังหวัดคิดคำนวณโดยถือจำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพิ่มขึ้นมาอีก 21 คน เนื่องจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. 2492 กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการลง มติแสดงความไว้วางใจต่อรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว โดยที่วุฒิสภา ไม่มีอำนาจเช่นนั้น และเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 คณะ บริหารประเทศชั่วคราว ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ประเทศ ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง ในจังหวัดร้อยเอ็ดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการ เลือกตั้งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้นอีก 1 คน คือ 60

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด นายสุวัฒน์ พูนลาภ อยู่ในวาระตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2492 ถึง 29 พฤศจิกายน 2494 1.9 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 7 พ.ศ.2495 (26 กุมภาพันธ์ 2495-25 กุมภาพันธ์ 2500) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 6 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 การเลือกตั้งครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องจากมีการรัฐประหารเมื่อ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 เพื่อล้มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณา- จักรไทย พ.ศ. 2492 และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 พร้อมทั้งรัฐธรรมนูญแก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. 2482 และรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วย บทเฉพาะกาล พ.ศ.2483 มาบังคับใช้ใหม่ ซึ่งเป็นผลให้ฝ่าย นิติบัญญัติกลับมามีระบบสภาเดียว ประกอบด้วยสมาชิกสภา 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 และสมาชิกประเภทที่ 2 โดยคณะรัฐประหารได้แต่งตั้งบุคคลในคณะรัฐประหาร และข้าราชการทหาร พลเรือน เป็นสมาชิกสภาประเภทที่ 2 ทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรในสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับสมาชิกสภา ประเภทที่ 1 ซึ่งมีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต โดยถือเอาจังหวัดหนึ่งเป็นเขตเลือกตั้งหนึ่ง จำนวนผู้แทน ราษฎรในแต่ละเขตจังหวัดคิดคำนวณโดยถือเอาจำนวน ประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ทำให้ได้สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจำนวน 123 คน และสมาชิกสภาผู้แทน 61

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ราษฎร ประเภทที่ 1 ชุดนี้ สิ้นสุดเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2500 เนื่องจากถึงคราวออกตามวาระที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนญู สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 4 คน ได้แก่ 1. นายจรินทร์ สุวรรณธาดา 2. นายฉันท์ จันทชุม 3. นายอัมพร สุวรณบล และ 4.นายนิวัติ ศรีสุวรนันท์ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่ง ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2500 1.10 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 8 พ.ศ.2500/1 (26 กุมภาพันธ์ 2500-16 กันยายน 2500) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 7 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 วนั ท่ี 10 กนั ยายน 2498 จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม นายก- รัฐมนตรี ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติพรรคการเมืองต่อสภา โดยให้เหตุผลว่าระบอบประชาธิปไตยได้ดำเนินมากว่ายี่สิบปี แล้ว ควรแก่เวลาที่จะให้มีการก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้น สภาเห็น ชอบด้วยและลงมติประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2498 ตั้งแต่นั้นมาได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้น หลายพรรค ทำให้การเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 มีผู้สมัครรับเลือกตั้งส่วนใหญ่สังกัดพรรคการเมือง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต โดยถือเอาจำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทน 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 160 คน แต่การเลือกตั้ง ครั้งนี้ปรากฏว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้งก่อให้เกิดความ ไม่พอใจในหมู่ประชาชนทั่วไปจนถึงกับมีการเดินขบวนคัดค้าน 62

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด การเลือกตั้งเป็นผลให้เกิดความยุ่งยากทางการเมืองเป็นอย่าง มาก ในที่สุดก็ได้มีการรัฐประหารโดยคณะทหารซึ่งมีจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้นำ เป็นผลให้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูล สงคราม ต้องพ้นจากตำแหน่งไป เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 4 คน และทุกคนมีสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ 1. นายอัมพร สุวรรณบล พรรคเสรีประชาธิปไตย 2. นายเทพเจริญ พูลลาภ พรรคเสรีประชาธิปไตย 3. นายฉันท์ จันทชุม พรรคเสรีมนังคศิลา และ 4. นายสมพร จุรีมาศ พรรค ประชาธิปัตย์ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่ง ไม่ถึง 1 ปี ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 ถึง 16 กันยายน 2500 1.11 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 9 พ.ศ.2500/2 (15 ธันวาคม 2500-20 ตุลาคม 2501) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 10 วันท่ี 15 ธันวาคม 2500 รัฐบาลชุดใหม่ซึ่งมีนายพจน์ สารสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2500 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขต โดยมีหลักเกณฑ์การคำนวณ สัดส่วนจำนวนผู้แทนราษฎรต่อจำนวนประชาชนในแต่ละเขต คอื ประชาชน 150,000 คน ตอ่ ผแู้ ทนราษฎร 1 คน ในการเลอื กตง้ั ครั้งนี้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 160 คน และ สมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดโดยคณะปฏิวัติ ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้เข้ายึดอำนาจและประกาศ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 63

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 4 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ 1. นายบรรเจิด สายเชื้อ พรรคสหภูมิ 2. นายฉันท์ จันทชุม ไม่สังกัดพรรค 3. นายจรินทร์ สุวรรณธาดา พรรคสหภูมิ และ 4. นายสมพร จุรีมาศ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2500 ถึง 20 ตุลาคม 2501 1.12 สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ชดุ ที่ 9 (เพิ่มเติม) พ.ศ.2500/2 (30 มีนาคม 2501-20 ตุลาคม 2501) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (เลือกต้ังสมาชิกประเภทที่ 1 แทนสมาชิกประเภทที่ 2) วันท่ี 30 มีนาคม 2501 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2475 แก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ.2495 บทเฉพาะกาลได้บัญญัติว่า ถ้าผู้มีสิทธ ิ เลือกตั้งในจังหวัดใดได้รับการศึกษาอบรมจบชั้นประถมศึกษา ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในจังหวัดนั้น ก็ให้สมาชิกประเภทที่ 2 ออกจากตำแหน่งมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีการเลือกตั้งในจังหวัดนั้น และให้มีการเลือกตั้งสมาชิก ประเภทที่ 1 เพิ่มขึ้น มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกประเภทที่ 2 ที่จะออกจากตำแหน่ง ดังนั้นจึงมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 จำนวน 26 คน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2501 ใน 5 จังหวัด คือ จังหวัดพระนคร จังหวัดธนบุรี จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดอุบลราชธานี แทนสมาชิกประเภทที่ 64

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2 ที่ต้องจับสลากออกจากตำแหน่ง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการ เลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต และเมื่อคณะปฏิวัติได้ประกาศ ยึดอำนาจการปกครองประเทศในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 สมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จึงสิ้นสุดลง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดร้อยเอ็ดที่เพิ่มขึ้นมา จากการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ นาย ช. สายเชื้อ พรรคชาติสังคม ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 30 มีนาคม 2501 ถึง 20 ตุลาคม 2501 1.13 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 10 พ.ศ.2512 (10 กุมภาพันธ์ 2512-17 พฤศจิกายน 2514) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 9 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2511 ประกาศ ใช้ในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 บัญญัติให้มีสองสภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ประกอบเป็นรัฐสภา นอกจาก นั้นยังได้มีการประกาศใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 และ พระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511 จากนั้น รัฐบาลได้ประกาศกำหนดวันจัดการเลือกตั้งขึ้นในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขต โดยถือเอาหนึ่ง จังหวัดเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้ง และเป็นการเลือกตั้งโดยตรง จำนวนผู้แทนราษฎรในแต่ละเขตคำนวณโดยถือเอาจำนวน ประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้ง ครั้งนี้มีผู้แทนทั้งหมด 219 คน และเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 คณะปฏิวัติได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินและ 65

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ให้วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลงพร้อม รัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวน 5 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ 1. นายสมบูรณ์ ทวีวัฒน์ พรรคสหประชาธิปไตย 2. นายสมพร จุรีมาศ พรรคประชาธิปัตย์ 3. ร้อยเอกสมบูรณ์ ไพรินทร์ พรรค ประชาธิปัตย์ 4. ร้อยตรีอำพัน หิรัญโชติ ไม่สังกัดพรรค และ 5. นายเสมอ อัครปรีดี ไม่สังกัดพรรค ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 ถึง 17 พฤศจิกายน 2514 1.14 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 11 พ.ศ.2518 (26 มกราคม 2518-12 มกราคม 2519) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 10 วันที่ 26 มกราคม 2518 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2517 กำหนดให้ รัฐสภามี 2 สภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร จึงมีการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 เป็นการเลือกตั้งทั้งทางตรง แบบผสมระหว่างแบ่งเขตและ รวมเขต ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ในแต่ละเขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน ถือเกณฑ์จำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 269 คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรชดุ น้ี สน้ิ สดุ โดยพระราชกฤษฎกี า ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2519 เนื่องจาก 66

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สนับสนุนรัฐบาล จะสนับสนุน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 2 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 5 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบด้วย 1. นายสนิท ขุราษี พรรคพลังใหม่ 2. นายช ู อุ่นสมัย พรรคชาติไทย และ 3. นางสุนีรัตน์ เตลาน พรรค แผ่นดินไทย เขต 2 ประกอบด้วย 1. นายชัชวาล ชมพูแดง พรรคพลังใหม่ 2. นายถวิล พิมพ์มหินทร์ พรรคเกษตรสังคม และ 3. นายอำพนั หริ ญั โชติ พรรคชาตไิ ทย ในการเลอื กตง้ั ครง้ั น้ี ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้หญิงครั้งแรกของจังหวัด ร้อยเอ็ด ทั้งนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่ง ระหว่างวันที่ 26 มกราคม 2518 ถึง 12 มกราคม 2519 1.15 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 12 พ.ศ.2519 (4 เมษายน 2519 – 6 ตุลาคม 2519) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 11 วันท่ี 4 เมษายน 2519 การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เมอ่ื วนั ท่ี 4 เมษายน 2519 เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบผสมระหว่างรวมเขตและ แบ่งเขต จำนวนผู้แทนในแต่ละเขตถือเอาจำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 279 คน ในช่วงเวลาหลังจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ได้มีเหตุการณ์ ผันผวนทางการเมืองอย่างมาก จนเหตุการณ์ขยายตัวไปสู่ความ 67

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด รุนแรง กระทั่งยุติลงด้วยการเข้ายึดอำนาจการปกครอง โดย คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งมีพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เหตุการณ์รัฐประหาร ดังกล่าวจึงส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหมดสภาพไป สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจาก การเลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 7 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบด้วย 1. นายสมพร จุรีมาศ พรรคเกษตรสังคม 2. พ.อ.อุดม ทวีวัฒน์ พรรคธรรมสังคม 3. นายสุธรรม ปัทมดิลก พรรคประชาธปิ ตั ย ์ เขต 2 ประกอบดว้ ย 1. นายโกศล แวงวรรณ พรรคธรรมสังคม 2. นายเฉลียว คล้ายหนองสรวง พรรคประชา- ธิปัตย์ และเขต 3 ประกอบด้วย 1. นายดุล ดวงเกตุ พรรค กิจสังคม 2. นายเจริญ กลางคาร พรรคธรรมสังคม ซึ่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 4 เมษายน 2519 ถึง 6 ตุลาคม 2519 1.16 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 13 พ.ศ.2522 (22 เมษายน 2522-19 มีนาคม 2526) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 12 วันที่ 22 เมษายน 2522 เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2521 ในเดือนธันวาคม 2521 โดยกำหนดให้รัฐสภามี 2 สภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลของพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนนั ทน์ ไดป้ ระกาศใหม้ กี ารเลอื กตง้ั ทว่ั ไปในวนั ท่ี 22 เมษายน 2522 การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบผสม ทั้งรวมเขตและแบ่งเขต เขตเลือกตั้งหนึ่งมีผู้แทนราษฎรได้ไม่ 68

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน ถือเอาจำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้แบ่งออก เป็น 126 เขต มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 301 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดโดยพระราช กฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2526 เนื่องจากการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหา ความขัดแย้งทางการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 7 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบด้วย 1. น.พ.อำพันธ์ หิรัญโชติ พรรคเสรีธรรม 2. นายสมพร จุรีมาศ พรรคชาติประชาชน ซึ่งต่อมาถึงแก่กรรม พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พรรคชาติประชาธิปไตย เข้ามา แทนจากการเลือกตั้งซ่อม ซึ่งในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ได้มี ปรากฏการณ์ใช้เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งสูงกว่า 80 ล้านบาท ที่เรียกว่า “โรคร้อยเอ็ด” โดยจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป 3. พ.อ.พิเศษอุดม ทวีวัฒน์ พรรคกิจประชาธิปไตย เขต 2 ประกอบด้วย 1. นายโกศล แวงวรรณ พรรคชาติไทย 2. นายยงยทุ ธ ขตั ยิ นนท์ พรรคชาตไิ ทย และเขต 3 ประกอบดว้ ย 1. ร.ต.อ.พงศ์พันธ์ พงศ์สยาม พรรคกิจสังคม และ 2. นายดุลย์ ดวงเกตุ พรรคกิจสังคม ทั้งนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรง ตำแหน่งระหว่างวันที่ 22 เมษายน 2522 ถึง 19 มีนาคม 2526 69

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 1.17 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 14 พ.ศ.2526 (18 เมษายน 2526-1 พฤษภาคม 2529) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 13 วันที่ 18 เมษายน 2526 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2526 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จำนวน 324 คน เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบผสม ทั้งรวมเขตและแบ่งเขต เขตเลือกตั้งหนึ่งมีผู้แทน ราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน ถือเอาจำนวน ประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน เช่นเดียวกับ การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดโดยพระราช- กฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่อนุมัติพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 7 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบด้วย 1. พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พรรคชาติ ประชาธิปไตย 2. นางศิริพันธ์ จุรีมาศ พรรคกิจสังคม 3. นพ.อำพัน หิรัญโชติ พรรคชาติประชาธิปไตย เขต 2 ประกอบด้วย 1. นายประสงค์ โพดาพล 2. นายเฉลียว คล้ายหนองสรวง พรรคประชาธิปัตย์ และเขต 3 ประกอบด้วย 1. นายขจรศักดิ์ ศรีสวาสดิ์ พรรคชาติประชาธิปไตย และ 2. นายเวียง วรเชษฐ์ พรรคชาติประชาธิปไตย ซึ่งสมาชิกสภา 70

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 18 เมษายน 2526 ถึง 1 พฤษภาคม 2529 1.18 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 15 พ.ศ.2529 (27 กรกฎาคม 2529-29 เมษายน 2531) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 14 วันที่ 27 กรกฎาคม 2529 วันที่ 27 กรกฎาคม 2529 มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 347 คน เป็นการเลือกตั้ง ทางตรง แบบผสม ทั้งรวมเขตและแบ่งเขต เขตเลือกตั้งหนึ่ง มีผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน ถือเอา จำนวนประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรชดุ น้ี สน้ิ สดุ โดยพระราชกฤษฎกี า ยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 29 เมษายน 2531 เนื่องจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาลส่วนหนึ่งคัดค้าน ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาอีก 1 คน รวมเป็น จำนวน 8 คน และสงั กดั พรรคการเมอื ง ไดแ้ ก่ เขต 1 ประกอบดว้ ย 1. นางสาวอุ่นเรือน อารีเอื้อ พรรคกิจสังคม 2. นายอนุรักษ์ จุรีมาศ พรรคสหประชาธิปไตย 3. พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ พรรคชาตปิ ระชาธปิ ไตย เขต 2 ประกอบดว้ ย 1. นายระวี หริ ญั โชติ พรรคกิจสังคม 2. นายเวียง วรเชษฐ์ พรรคกิจประชาสังคม 3. นายขจรศักดิ์ ศรีสวาสดิ์ พรรคชาติประชาธิปไตย และเขต 3 71

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ประกอบด้วย 1. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล พรรคประชาธิปัตย์ และ 2. นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ พรรคกิจสังคม การเลือกตั้ง ครั้งนี้ในเขต 1 จะพบว่า พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้เข้ามา เป็นอันดับ 3 ซึ่งมีการกล่าวถึงเหตุการณ์ไฟดับในช่วงของการ นับคะแนน ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่ง ระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 ถึง 29 เมษายน 2531 1.19 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 16 พ.ศ.2531 (24 กรกฎาคม 2531-23 กุมภาพันธ์ 2534) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 15 วันที่ 24 กรกฎาคม 2531 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 โดยถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่จังหวัด ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัด ออกเป็นเขตเลือกตั้งแต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน และไม่น้อยกว่า 2 คน โดยถือเอาจำนวน ประชาชน 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากมีการ ยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 8 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบด้วย 1. นายอนุรักษ์ จุรีมาศ พรรคชาติไทย 72

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 2. นายประณต เสริฐวิชา พรรคประชาธิปัตย์ 3. นางศิริพันธ์ จุรีมาศ พรรคชาติไทย เขต 2 ประกอบด้วย 1. นายชัชวาล ชมพูแดง พรรคพลังสังคมประชาธิปไตย 2. นายระวี หิรัญโชติ พรรคกิจสังคม 3. นายขจรศักดิ์ ศรีสวาสดิ์ พรรคราษฎร และ เขต 3 ประกอบด้วย 1. นายเยี่ยมพล พลเยี่ยม พรรคราษฎร 2. นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ พรรคกิจสังคม ซึ่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2534 1.20 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 17 พ.ศ.2535/1 (22 มีนาคม 2535-30 มิถุนายน 2535) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 16 วันท่ี 22 มีนาคม 2535 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 ได้บัญญัติ ให้รัฐสภามี 2 สภา คือ วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร โดย กำหนดให้วุฒิสภา มีจำนวน 270 คน และสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวน 360 คน ต่อจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเท่ากับประชากรในขณะนั้นประมาณ 150,000 คนขึ้นไป ต่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน โดยการใช้การเลือกตั้งโดยตรง แบบผสม เขตละไม่เกิน 3 คน และผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนตอ้ ง สงั กดั พรรคการเมอื ง และพรรคการเมอื งนน้ั จะตอ้ งสง่ สมาชกิ เข้า สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 120 คน นอกจากนั้น กฎหมายยังได้ระบุให้การเลือกตั้งครั้งนี้ มี “องค์กรกลาง” เป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมและ ดูแลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกอีกด้วย และการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม 2535 ได้ 73

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 360 คน ซึ่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดโดยพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทน ราษฎร ในวันที่ 30 มิถุนายน 2535 เนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์ ทางการเมืองช่วงเดือนพฤษภาคม 2535 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 8 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบดว้ ย 1. นายอนรุ กั ษ์ จรุ มี าศ พรรคชาตไิ ทย 2. นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ พรรคสามัคคีธรรม 3. นางเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ พรรคความหวงั ใหม่ เขต 2 ประกอบดว้ ย 1. นายชชั วาล ชมภแู ดง พรรคสามัคคีธรรม 2. นายระวี หิรัญโชติ พรรคกิจสังคม 3. นายขจรศักดิ์ ศรีสวาสดิ์ พรรคความหวังใหม่ และเขต 3 ประกอบด้วย 1. นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ พรรคกิจสังคม 2. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล พรรคความหวังใหม่ ซึ่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 22 มีนาคม 2535 ถึง 30 มิถุนายน 2535 1.21 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 18 พ.ศ.2535/2 (13 กันยายน 2535-19 พฤษภาคม 2538) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 17 วันท่ี 13 กันยายน 2535 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 (แกไ้ ขเพ่มิ เติม ฉบับท่ี 4 พ.ศ.2534) โดยได้กำหนดให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ทั้งหมด 360 คน ต่อจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซึ่งเท่ากับประชากร 74

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ในขณะนั้นประมาณ 150,000 คนขึ้นไป ต่อสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 1 คน โดยการใช้การเลือกตั้งโดยตรงแบบผสม เขตละ ไม่เกิน 3 คน และผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนต้องสังกัด พรรคการเมือง ส่วนผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 ได้ส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรค การเมืองที่มีคะแนนเสียงสูงสุด จนได้เป็นพรรคแกนนำในการ จัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคเอกภาพ และพรรคกิจสังคม รวมเป็นจำนวนพรรครัฐบาล จำนวน 5 พรรคการเมือง โดยมีนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรค ฝ่ายค้านมีจำนวน 6 พรรคการเมือง อันประกอบด้วย พรรค ชาติพัฒนา พรรคเสรีธรรม พรรคชาติไทย พรรคประชากรไทย พรรคมวลชน และพรรคประชาไทย ต่อมารัฐบาลได้ถูกเสนอญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้ วางใจรัฐมนตรีทั้งคณะ ขณะเดียวกันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ประกาศว่า จะไม่ยกมือให้ฝ่ายรัฐบาล ในกรณี ส.ป.ก.4-01 จึงทำให้นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 8 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบด้วย 1. นายอนุรักษ์ จุรีมาศ พรรคชาติไทย 75

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2. นายฉลาด ขามช่วง พรรคประชาธิปัตย์ 3. นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ พรรคชาติพัฒนา เขต 2 ประกอบด้วย 1. นายระวี หริ ญั โชติ พรรคกจิ สงั คม 2. นายเกษม มาลยั ศรี พรรคชาตพิ ฒั นา 3. นายชัชวาล ขมภูแดง พรรคชาติไทย และเขต 3 ประกอบ ด้วย 1. นายเอกภาพ พลชื่อ พรรคเอกภาพ และ 2. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล พรรคความหวังใหม่ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 13 กันยายน 2535 ถึง 19 พฤษภาคม 2538 1.22 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 19 พ.ศ.2538 (2 กรกฎาคม 2538-27 กันยายน 2539) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 18 วันที่ 2 กรกฎาคม 2538 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 5 พ.ศ.2538) จำนวนสมาชิก สภาผ้แู ทนราษฎร 1 คน ตอ่ ประชากร 150,000 คน เปลี่ยนแปลง จำนวนผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่บังคับให้ พรรคการเมืองส่งสมัครไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม (120 คน) มาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั้งหมด และกำหนดให้สมาชิกรัฐสภาต้องยื่น บัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินเช่นเดียวกับรัฐมนตรี และ กำหนดให้มีคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อกำกับดูแลการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งให้มีศาลปกครองเพื่อ ทำการพิจารณาคดีปกครอง 76

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด การเลือกตั้งในครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 391 คน ได้ส่งผลให้พรรคชาติไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีคะแนน เสียงสูงสุด จนได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม พรรคประชากรไทย พรรค นำไทย พรรคมวลชน และพรรคกิจสังคม รวมเป็นจำนวนพรรค รฐั บาลจำนวน 7 พรรคการเมอื ง โดยให้ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนพรรคฝ่ายค้านมีจำนวน 5 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคชาติพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเอกภาพ พรรค เสรีธรรม และพรรคเสรีภาพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงโดยการประกาศ ยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2539 มีสาเหตุจาก เกิดการแตกแยกภายในพรรคร่วมรัฐบาลและต้องการคืน อำนาจการตัดสินใจแก่ประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาอีก 1 คน รวมเป็น จำนวน 9 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบ ด้วย 1. นายอนุรักษ์ จุรีมาศ พรรคชาติไทย 2. นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ พรรคความหวังใหม่ 3. นายฉลาด ขามช่วง พรรค ประชาธิปัตย์ เขต 2 ประกอบด้วย 1. นายศักดา คงเพชร พรรค ชาติไทย 2. นายขจรศักดิ์ ศรีสวาสดิ์ พรรคความหวังใหม่ 3. นายชัชวาล ขมภูแดง พรรคชาติไทย และเขต 3 ประกอบ ด้วย 1. นายเอกภาพ พลชื่อ พรรคเสรีธรรม 2. นายชัยศักดิ์ 77

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ทะไกรราช พรรคชาติไทย และ 3. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล พรรคความหวังใหม่ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรง ตำแหน่งระหว่างวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ถึง 27 กันยายน 2539 1.23 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 20 พ.ศ.2539 (17 พฤศจิกายน 2539-9 พฤศจิกายน 2543) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 21 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีขึ้นในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 5 พ.ศ.2538) และพระราช- บัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522 ฉบับที่ 3 พ.ศ.2538 เช่นเดียวกันกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 ทำให้มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ถึง 393 คน ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ ได้ส่ง ผลให้พรรคความหวังใหม่ เป็นพรรคการเมืองที่มีคะแนนเสียง สูงสุด จนได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ พรรค ชาติพัฒนา พรรคประชากรไทย พรรคมวลชน พรรคเสรีธรรม และพรรคกิจสังคม รวมเป็นจำนวนพรรครัฐบาลจำนวน 6 พรรคการเมือง โดยให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรค ความหวังใหม่ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วน พรรคฝ่ายค้านมีจำนวน 5 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรค ประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคเอกภาพ พรรคพลังธรรม และพรรคไท แต่รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องสิ้นสุดลง ในเวลาเพียง 11 เดือน ด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่ง 78

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 และส่งผลให้นายชวน หลีกภัย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงโดยการยุบสภา ผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 มีสาเหตุมาจาก รัฐบาลต้องประสบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจต่อเนื่องจาก รัฐบาลชุดที่แล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 9 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบด้วย 1.นายเวียง วรเชษฐ์ พรรคความหวังใหม่ 2. นายฉลาด ขามช่วง พรรคประชาธิปัตย์ 3. นายอนุรักษ์ จุรีมาศ พรรคชาติไทย เขต 2 ประกอบด้วย 1. นายขจรศักดิ์ ศรีสวาสดิ์ พรรคความหวังใหม่ 2. นายระวี หิรัญโชติ พรรค กิจสังคม 3. นายศักดา คงเพชร พรรคความหวังใหม่ และเขต 3 ประกอบด้วย 1. นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล พรรคความหวังใหม่ 2. นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ พรรคความหวังใหม่ และ 3. นายสุเอกภาพ พลชื่อ พรรคเสรีธรรม ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ถึง 9 พฤศจิกายน 2543 79

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 1.24 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 21 พ.ศ.2544 (6 มกราคม 2544–6 มกราคม 2548) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งท่ี 20 วันท่ี 6 มกราคม 2544 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกภายใต้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ส่งผลให้ ระบบการเลือกตั้งมีการเปลี่ยนแปลงไปจากการเลือกตั้ง ครั้งก่อน อาทิ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 500 คน โดยเป็นสมาชิกซึ่งมาจาก ระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ (Party lists) จำนวน 100 คน และสมาชิกมาจากระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (One man one vote) จำนวน 400 คน นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญ ยังได้ให้อำนาจแก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็น ผู้ควบคุมและจัดให้มีการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ พรรคไทยรักไทยได้รับคะแนน เสียงอย่างท่วมท้น และได้รวมตัวเป็นแกนนำในการจัดตั้ง รัฐบาลผสมร่วมกับพรรคชาติไทย พรรคความหวังใหม่ และ พรรคเสรีธรรม ส่วนพรรคฝ่ายค้านมีจำนวน 5 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติพัฒนา พรรคราษฎร พรรคถิ่นไทย และพรรคกิจสังคม ภายหลังจากที่รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำ ในการจัดตั้งรัฐบาล ได้บริหารประเทศมาจนครบวาระ 4 ปีเต็ม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีไทยที่อยู่จนครบวาระ 80

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 9 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 9 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 นายสานิต ว่องสันพงษ์ พรรคเสรีธรรม เขต 2 นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ พรรคไทยรักไทย โดยที่ต่อมามีนายบุญเติม จันทะวัฒน์ พรรคถิ่นไทย มาแทนนายเศกสิทธิ์ ไวนิยทพงษ์ เขต 3 นายฉลาด ขามช่วง พรรคประชาธิปัตย์ เขต 4 นายเอกภาพ พลชื่อ พรรคเสรีธรรม เขต 5 นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ พรรค ไทยรักไทย เขต 6 นายนิสิต สินธุไพร พรรคความหวังใหม่ เขต 7 นายกิตติ สมทรัพย์ พรรคไทยรักไทย เขต 8 นายศักดา คงเพชร พรรคไทยรักไทย เขต 9 นายเวียง วรเชษฐ์ พรรคความ หวังใหม่ ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีเต็ม ระหว่างวันที่ 6 มกราคม 2544 ถึง 6 มกราคม 2548 1.25 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 22 พ.ศ.2548 (6 กุมภาพันธ์ 2548-24 กุมภาพันธ์ 2549) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 21 วันท่ี 6 กุมภาพันธ์ 2548 การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เมอ่ื วนั ท่ี 6 กมุ ภาพนั ธ์ 2548 นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ผลจากการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทาง การเมืองครั้งใหม่อีกครั้ง โดยพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ภายใต้กฎกติกาการเลือกตั้งในระบอบ ประชาธิปไตย จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่การเมืองไทย ถูกบริหารงานโดยรัฐบาลพรรคเดียว คือพรรคไทยรักไทย 81

นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคการเมืองที่เหลือ เป็นฝ่ายค้าน ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และ พรรคมหาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้สิ้นสุดลง เมื่อมีการยุบสภา ผู้แทนราษฎรในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 และกำหนดให้มีการ เลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 เมษายน 2549 อันเป็นการปิดฉากการ บริหารประเทศโดยรัฐบาลพรรคเดียว ภายใต้พรรคไทยรักไทย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 8 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 8 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 นายอนุรักษ์ จุรีมาศ พรรคชาติไทย เขต 2 นายฉลาด ขามช่วง พรรคไทยรักไทย เขต 3 นายเอกภาพ พลชื่อ พรรคไทยรักไทย เขต 4 นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ พรรคไทยรักไทย เขต 5 นายนิสิต สินธุไพร พรรคไทยรักไทย เขต 6 นายกิตติ สมทรัพย์ พรรคไทยรักไทย เขต 7 นายศักดา คงเพชร พรรคไทยรักไทย เขต 8 นายมังกร ยนต์ตระกูล พรรคไทยรักไทย การเลือกตั้ง ครั้งนี้กระแสพรรคมีมาก จะเห็นได้จากสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 7 ใน 8 เขต เป็นพรรคไทยรักไทย ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2549 82

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 1.26 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 22 พ.ศ.2549 (2 เมษายน 2549-19 กันยายน 2549) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ถูกเพิกถอนการเลือกตั้ง) วันที่ 2 เมษายน 2549 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 2 เมษายน 2549 นับเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 3 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 จากนน้ั ไดม้ กี ารเลอื กตง้ั ซอ่ ม ในวันที่ 23 เมษายน 2549 แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มีปัญหา ร้องเรียนกรณีการดำเนินการของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้เพิกถอน การเลือกตั้ง เพื่อจะได้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แล้วศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ให้มีการเพิกถอนการเลือกตั้ง และต้อง จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเลือกตั้ง ทั่วไปใหม่ ซึ่งได้ถกู กำหนดให้มีขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 แต่การเลือกตั้งในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 ก็มีอันต้องถูก ล้มเลิกไปเนื่องจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ซึ่งมีพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้าคณะ และจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ คือ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 8 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 8 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 83

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด นายสถาพร ว่องสัธนพงษ์ พรรคไทยรักไทย เขต 2 นายฉลาด ขามช่วง พรรคไทยรักไทย เขต 3 นายเอกภาพ พลชื่อ พรรค ไทยรักไทย เขต 4 นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ พรรคไทยรักไทย เขต 5 นายนิสิต สินธุไพร พรรคไทยรักไทย เขต 6 นายกิตติ สมทรัพย์ พรรคไทยรักไทย เขต 7 นายศักดา คงเพชร พรรค ไทยรักไทย เขต 8 นายอนิวรรตน์ วรเชษฐ์ พรรคไทยรักไทย การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งของจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกเขตมาจากพรรคการเมือง พรรคเดียว คือ พรรคไทยรักไทย ด้วยกระแสพรรคที่มีผลมาก แต่ก็อยู่ในวาระได้ไม่นานก็สิ้นสุดสภาพไปจากการรัฐประหาร ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 2 เมษายน 2549 – 19 กันยายน 2549 1.27 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 23 พ.ศ.2550 (23 ธันวาคม 2550-9 พฤษภาคม 2554) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังท่ี 22 วันที่ 23 ธันวาคม 2550 การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเมอ่ื วนั ท่ี 23 ธนั วาคม พ.ศ.2550 นับเป็นการเลือกตั้งครั้งแรก ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้ถูกร่างขึ้นภายหลังจากที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ทำ รัฐประหาร จึงเป็นเหตุให้ระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน 84

การเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ราษฎร และจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีความแตกต่างไป จากเดิม ดังนี้ 1. จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขต เดียวหลายคน โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนแบบเขตเดียวหลายคน ทั้งประเทศจำนวน 400 คน 2. จัดการเลือกตั้งแบบสัดส่วน โดยกำหนดให้กลุ่ม จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง จำนวน 8 กลุ่มจังหวัด และแต่ละกลุ่ม จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เพียง 10 คน โดยมีสมาชิกสภา ผู้แทนแบบเขตเดียวหลายคนทั้งประเทศจำนวน 80 คน สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน มี 8 กลุ่มจังหวัด แต่ละกลุ่ม มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 10 คน ดังนี้ - กลุ่มที่ 1 มีจำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ พะเยา น่าน ลำปาง ลำพนู แพร่ สโุ ขทยั ตาก และกำแพงเพชร - กลุ่มที่ 2 มีจำนวน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ พิจิตร ชัยภูมิ ขอนแก่น ลพบุรี นครสวรรค์ และอุทัยธานี - กลุ่มที่ 3 มีจำนวน 10 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด หนองคาย อุดรธานี เลย นครพนม สกลนคร หนองบวั ลำภู กาฬสนิ ธ์ุ มกุ ดาหาร มหาสารคาม และอำนาจเจริญ - กลุ่มที่ 4 มีจำนวน 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ 85

นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด - กลมุ่ ท่ี 5 มจี ำนวน 10 จงั หวดั ไดแ้ ก่ นครราชสมี า นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และปทุมธานี - กลุ่มที่ 6 มีจำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพ- มหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ - กลุ่มที่ 7 มีจำนวน 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สระบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม - กลุ่มที่ 8 มีจำนวน 12 จังหวัด ได้แก่ จังหวัด สุราษฎร์ธานี พังงา นครศรีธรรมราช กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา 3. เปลี่ยนมานับคะแนนที่หน่วยเลือกตั้งแทนสถานที่นับ คะแนนผลการเลือกตั้งกลาง ภายหลังจากการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ส่งผลให้นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้า พรรคพลังประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นพรรคแกนนำใน การจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับ พรรคชาติไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรค ประชาราช ส่วนพรรคฝ่ายค้านเพียงพรรคเดียว คือ พรรค ประชาธิปัตย์ ต่อมานายสมัครก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสิ้นสภาพ การเป็นนายกรัฐมนตรี จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเปิดประชุมสภา 86

การเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 ในการเสนอชื่อ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่รัฐบาล นายสมชายก็ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ อันเนื่องมาจากศาล รัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้ยุบพรรคพลังประชาชนในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ด้วยสาเหตุมาจากการทุจริตการเลือกตั้งของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช และมีคำสั่งให้ตัดสิทธิทางการเมือง หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค 111 คน ต่อจากนั้นในวันที่ 15 ธันวาคม 2551 สภาผู้แทนราษฎร จึงได้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีกครั้ง กลุ่มพรรคร่วม รัฐบาลได้ยกมือสนับสนุนให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่าย ค้านจากพรรคประชาธิปัตย์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และบริหาร ประเทศไปกว่า 2 ปี จึงทำการยุบสภาในวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดร้อยเอ็ดจากการ เลือกตั้งครั้งนี้แบ่งเป็น 3 เขตเลือกตั้ง มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จำนวน 8 คน และสังกัดพรรคการเมือง ได้แก่ เขต 1 ประกอบด้วย 1. นายฉลาด ขามช่วง พรรคเพื่อไทย เดิมคือ พรรคพลังประชาชน 2. นายวราวงษ์ พันธุ์ศิลา พรรคเพื่อไทย (พรรคพลังประชาชน) 3. นายเศกสิทธิ ไวนิยทพงศ์ พรรค เพอ่ื ไทย (พรรคพลงั ประชาชน) เขต 2 ประกอบดว้ ย 1. นายศกั ดา คงเพชร พรรคเพื่อไทย (พรรคพลังประชาชน) 2. นายปิยะรัช หมื่นแสน (11 ม.ค. 2552) พรรคเพื่อไทย (พรรคพลังประชาชน) แทนนายนิสิต สินธุไพร ซึ่งถูกศาลสั่งยุบพรรคพลังประชาชน 3.นายกิตติ สมทรัพย์ และเขต 3 ประกอบด้วย 1. นายนิรมิต 87