นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งการเลือกครั้งนี้พรรคเพื่อไทยให้นายศักดาเป็นตัวแทนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด 2.54 นายบุญเติม จันทะวัฒน์ 1. ประวัติของนายบญุ เติม จันทะวัฒน์ “บุญเติม จันทะวัฒน์ ส.ส. บุญหล่นทับ 4 ปี ร้อยเอ็ด เขต 1 ปี 44-48” หรือ “บุญเติม จันทะวัฒน์ ส.ส. คนยาก” เป็นคำกล่าวขวัญถึงนายบุญเติม จันทะวัฒน์ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด 1 สมัย ในช่วงรัฐบาลทักษิณอยู่ครบ วาระ 4 ปี นายบุญเติม จันทะวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2494 (เสียชีวิตเมื่อ 17 มีนาคม 2553) อายุ 59 ปี บ้านเกิดที่ บ้านโพธิ์ศรี ตำบลพลับพลา อำเภอเชียงขวัญ เดิมขึ้นกับอำเภอ ธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นลูกชาวนา พ่อมา-แม่มา ลูกคน สุดท้องในจำนวน 7 คน การศึกษา ประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านพลับพลาวิทยาคม บวชเรียนธรรมะที่วัด บรู พาภริ าม (พระอารามหลวง) อำเภอเมอื งรอ้ ยเอด็ ไดน้ กั ธรรมโท และหลักสูตรเปรียญธรรม (ปธ1-2) นักธรรมเอกจากวัดปากน้ำ สมุทรปราการ ประถมศึกษาปีที่ 7 สอบเทียบที่สนามจังหวัด ธนบุรี มัธยมศึกษา (ม.ศ.) 3 จากโรงเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ วัดหลวงปรีชาคุณ จังหวัดปราจีนบุรี มัธยมศึกษา (ม.ศ.) 5 สอบเทียบสนามกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2515 เข้าโรงเรียน กรมไปรษณีย์โทรเลข (เทียบ ปวท.) รับราชการที่ทำการ ไปรษณีย์ โทรเลขวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ช่วยราชการ ที่ทำการไปรษณีย์คลองเตย ตำแหน่งพนักงานจัตวาอันดับ 3 188
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด เงินเดือน 780 บาท ลาออกจากราชการประกอบธุรกิจส่วนตัว ทำงานในบริษัทเครือญาติ ตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าคลังสินค้า พ.ศ.2528 กลับบ้านเกิดตำบลพลับพลา วางรากฐานงาน สถาบันด้านการเกษตรกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ประกอบธุรกิจ ส่วนตัวพร้อมศึกษาระดับปริญญาตรีทางนิติศาสตร์ที่ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จบพ.ศ.2535 ได้นิติศาสตร- บัณฑิต เป็นทนายความ พ.ศ. 2537 เป็นทนายความเพื่อ ประชาชน “ทนายความลูกชาวนา” 2. การเขา้ สกู่ ารทำงานการเมือง นายบุญเติม จันทะวัฒน์ ก้าวเข้าสู่ถนนการเมือง เมื่อ พ.ศ.2537 สมัครเข้าเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิการประถม ศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด คณะกรรมการข้าราชการท้องถิ่นจังหวัด ร้อยเอ็ด คณะกรรมการสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 เป็น ผู้ประสานงานองค์กรการเลือกตั้ง เขต 2 อำเภอธวัชบุรี – เชียงขวัญ หลังจากนั้นได้ลงสู่สนามการเมืองระดับชาติ ซึ่งเหตุ ที่นายบุญเติม ได้เข้าสู่สนามด้วยเหตุผลว่า นายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ ผู้สมัครับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรค ไทยรักไทย ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ได้รับใบแดง) เพราะจัดให้ มีการแสดงมหรสพบนแคร่ไม้ไผ่ก่อนการปราศรัย ดังนั้น นายเศกสิทธิ์จึงประกาศเทคะแนนให้นายบุญเติม ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 2 มี อำเภอธวัชบุรี เชียงขวัญ ทุ่งเขาหลวง อาจสามารถ สังกัดพรรคถิ่นไทย ซึ่งการ เลือกตั้งครั้งนี้นายบุญเติมไม่ต้องหาเสียงมากและไม่มีการ ซื้อเสียง เพราะมีสโลแกนที่ว่า “รักเศกสิทธิ์ สงสารเศกสิทธิ์ 189
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด เลือกบุญเติม จันทะวัฒน์ เป็น ส.ส.เขต 2” ผลปรากฏว่า นายบุญเติมได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2544 ด้วยคะแนน 19,712 คะแนน และ ถือว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียงคนเดียวของพรรค ถิ่นไทยที่ได้รับเลือกตั้ง แล้วสุดท้ายนายบุญเติมได้ย้ายมาอยู่ พรรคไทยรักไทย ในช่วงของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายบุญเติมเป็นกรรมาธิการพลังงาน กรรมาธิการมิตรภาพ ระหว่างประเทศไทย ฝรั่งเศส อิตาลี อิหร่าน และกรรมาธิการ ร่างกฎหมายหลายฉบับ และนายบุญเติมได้เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรอยู่ในวาระ 4 ปีเต็ม นายบุญเติม จันทะวัฒน์ เคยกล่าวว่าจาก ประสบการณ์ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวบนถนนชีวิตเคยเข้าสู่ สภาผู้แทนราษฎร เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ดมาจาก การเลือกตั้งของประชาชน ลูกชาวนาได้เข้าสู่สภาอย่าง สมเกียรติ 4 ปี ในสภาตนเองทำหน้าที่เป็นปากเสียงของ ชาวร้อยเอ็ด พูดในสภาทั้งด้านงบประมาณ ด้านการพัฒนา เป็นเพียง 1 เดียวของพรรคถิ่นไทย จึงสามารถพูดในสภาผู้แทน ราษฎร เมื่อย้ายเข้ามาอยู่พรรคไทยรักไทยก็ได้ทำหน้าที่จนครบ วาระ 4 ปีเต็มเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองร้อยเอ็ด นายบุญเติม เคยกล่าวว่า “ตนเองพร้อมนำ ประสบการณ์ชีวิตจากสภาผู้แทนราษฎร ความรู้ความสามารถ ด้านกฎหมายที่ผ่านมาของลูกชาวนา เพื่อความผาสุกของ ประชาชนบ้านเกิด ด้วยความกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด” แต่เมื่อ นายบุญเติมลงรับสมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล พลับพลาเมื่อเดือนธันวาคม 2552 ได้เพียง 82 คะแนน 190
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ก่อนหน้าที่นายบุญเติมจะกลับมาอยู่ที่ร้อยเอ็ด นายบุญเติมได้เปิดบริษัทรถแท็กซี่ให้เช่าอยู่ในกรุงเทพฯ ก่อนที่ เศรษฐกิจจะพ่นพิษให้ธุรกิจไปไม่รอดต้องกลับร้อยเอ็ดไปอาศัย อยู่กับญาติและเพื่อนแบบที่เคยเป็นสมัยยังไม่เล่นการเมือง และใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ แบบพอเพียง คือพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน มีคุณธรรม นำหลักวิชาการเข้ามาใช้ใน ชีวิตประจำวันเป็นทนายความชั้นหนึ่ง ทนายชาวบ้านอยากจะ ทำงานให้กับประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ตนจะเข้าสู่เวที การเมืองในระดับชาติหากมีความพร้อมด้านการเงิน แต่ก็ไม่ได้ ทำตามที่ใจหวังต่อไปได้เมื่อนายบุญเติมได้เสียชีวิตลงจาก อุบัติเหตุด้วยรถจักรยานยนต์ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2553 ที่ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นการปิดตำนาน “ส.ส.คนยาก” 2.55 นายสานิต ว่องสัธนพงษ์ นายสานิต ว่องสัธนพงษ์ เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2488 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต และปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต ซึ่งนายสานิตมีประสบการณ์ทาง การเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย เคยดำรง ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน พ.ศ.2550 – 2551 โดยมี นายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก นอกจากนี้ยังเคย เป็นสมาชิกสภาจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2518-2539 ประธานสภา จังหวัดร้อยเอ็ด 2 สมัย เคยดำรงตำแหน่งประจําสํานัก เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2540 ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาไทย พ.ศ.2541-2543 และเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภา 191
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ด พ.ศ. 2549-2549 โดยมีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็น นักธุรกิจ ทั้งนี้นายสานิต ว่องสัธนพงษ์ เป็นบิดาของ นายสถาพร ว่องสัธนพงษ์ ทายาทที่เป็นผู้สืบทอดทางการเมือง ซึ่งตระกูลว่องสัธนพงษ์ถือเป็นหนึ่งในตระกูลนักการเมืองของ จังหวัดร้อยเอ็ดทั้งที่เป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่นและระดับชาต ิ 2.56 นายนิสิต สินธุไพร 1. ประวัติของนายนสิ ิต สินธไุ พร นายนิสิต สินธุไพร เกิดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2499 ชาวตำบลแสนสุข อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นบุตรของ นายใส และนางผาด สินธุไพร เป็นบุตรคนโตจากพี่น้องทั้งหมด 6 คน สมรสกับนางเอมอร สินธุไพร อายุ 48 ปี อาชีพรับราชการ ครู มีบุตรร่วมกัน 2 คน คือนางสาวจิราพร สินธุไพร อายุ 20 ปี และนางสาวชญาภา สินธุไพร อายุ 18 ปี นายนิสิตสำเร็จการ ศึกษาระดับปริญญาตรีศึกษาศาสตรบัณฑิต (กศ.บ.) เอก สังคมศึกษา จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขต มหาสารคาม รัฐศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ระดับปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และประกาศนียบัตรชั้นสูง หลักสูตรวิชาการเมือง การปกครองสำหรับนักบริหารระดับสูง จากสถาบันพระปกเกล้า โดยมีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 4 สมัย เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน (26 มกราคม 2551 - 2 ธันวาคม 2551) กรรมาธิการกิจการเด็ก สตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ สภาผู้แทนราษฎร เป็นรองประธาน กรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี 192
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ และที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายนิสิตเป็นผู้ที่มีความสนใจทางการเมืองตั้งแต่ วัยเยาว์ โดยมีแรงบันดาลใจจากการฟังปราศรัยของครูเตียง ศิริขันธุ์ ซึ่งนายนิสิตกล่าวว่า “ผมเป็นคนสนใจการเมืองตั้งแต่ ประถม เคยฟังครูเตียงปราศรัย ได้ช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน พ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน และเคยเข้าไปฟังปราศรัยของ มรว.เสนีย์ ปราโมทย์ ยืนบนลังปราศรัย ช่วงปี 2512 ประชาธิปัตย์หาเสียง ที่ยโสธร” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) นายนสิ ติ เรยี นอยโู่ รงเรยี นศรธี รรมมาราม อำเภอเมอื ง จังหวัดยโสธร แล้วย้ายมาเรียนอยู่โรงเรียนสิทธิธรรมศาสตร์ ศิลป์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ในระดับ มศ.4 โดยมีครู ฟอง สิทธิธรรม เจ้าของโรงเรียนได้สอนและสอดแทรกแนวคิด ทางการเมือง ซึ่งช่วงนั้นเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา นายนิสิตก็อยู่ ในขบวนการนักเรียนจังหวัดอุบลราชธานี โดยอยู่ในชมรม นักเรียนเสรีประชาธิปไตยจังหวัดอุบลราชธานี โดยการร่วมแจก ใบปลิวอยู่ในชมรมนี้ตั้งแต่ตอนอยู่ มศ.4 ซึ่งเป็นปีแรกที่ย้ายไป อยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเลย หลังจากนั้นได้สอบเข้าเรียนที่ วิทยาลัยครูที่อุบลราชธานี ในระดับ ป.ก.ศ.ต้น และในช่วงปี 2517-2518 ร่วมเดินขบวนต่อต้านฐานทัพอเมริกันที่อุบลราชธานี โดยตอนนั้นมาเป็นครูก่อนที่โรงเรียนบ้านเซาะมิตรภาพที่ 2.3 อำเภอบึงบูรณ์ จังหวัดศรีสะเกษแล้ว 193
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด จากนั้นนายนิสิตได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ศกึ ษาศาสตรบณั ฑติ (กศ.บ.) เอกสงั คมศกึ ษา จากมหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม พ.ศ.2525 ในช่วงที่เรียนอยู่นั้น นายนิสิตได้เข้าร่วมงานทางการเมือง พรรคพลังสังคม ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวช่วง 14 ตุลาด้วย และ นายนิสิตได้รับเลือกให้เป็นรองนายกองค์การนิสิต มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม เมื่อจบการศึกษานายนิสิต ได้เป็นอาจารย์ใหญ่อยู่ที่โรงเรียนบ้านหนองผือ ตำบล หนองหมื่นถ่าน อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด แล้วมา โรงเรียนโนนแฮด ตำบลหน่อม อำเภออาจสามารถ และได้รับ เลือกตั้งเป็นประธานชมรมครูประถมศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด ช่วงปี 2529-2530 เป็นครูประชาบาล มีบทบาททางสังคมเป็น ตัวแทนของกลุ่มวิชาชีพครู เป็นประธานชมรมครูประชาบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประธานคณะกรรมการกองทุนศึกษา เพื่อพัฒนาชนบท เพื่อเด็กนักเรียนยากจน และประธานชมรม ผู้แทนครู ก.ป.จ. และ อ.ก.ค.ภาคอีสาน ซึ่งทำหน้าที่ดูแล มาตรการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการครู การแต่งตั้งผู้อำนวยการ โรงเรียน ปราบคอรัปชั่นในวงการครู เป็นผู้นำคุรุสภา การสอบ บรรจุ ตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ครูใหญ่ในจังหวัดร้อยเอ็ด นายนิสิตเริ่มทำงานภาคประชาชน โดยทำงานเป็น ที่ปรึกษาสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน ร่วมกับนายบำรุง คะโยธา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งนายนิสิต กล่าวว่า “ผมทำงานในภาคอีสานร่วมกับนายนิรมิต สุจารี (ร้อยเอ็ด) อวยชัย วะทา (มหาสารคาม) สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ (นครราชสีมา) บำรุง คะโยธา (กาฬสินธุ์) ร่วมทำงานภาค 194
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ประชาชนกัน” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) 2. การเข้าส่กู ารทำงานการเมอื ง ในการทำงานทั้งการเป็นตัวแทนข้าราชการครู และ การทำงานภาคประชาชนของนายนิสิตถือเป็นการสร้างฐาน เสียงทางการเมือง ซึ่งเหตุที่นายนิสิตได้ลงสู่การเลือกตั้งระดับ ชาติเลย โดยไม่ต้องผ่านสนามการเมืองท้องถิ่นที่สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรหลายๆ คนในจังหวัดร้อยเอ็ดล้วนต้องผ่านการ เป็นสมาชิกสภาจังหวัดมาแทบทั้งสิ้น แต่นายนิสิตกระโดดข้าม แนวทางนั้นไป โดยนายนิสิตได้กล่าวถึงเหตุผลที่เข้ามาเล่น การเมือง คือ “เหตุที่มาลงสนามใหญ่เพราะเราอยากจะทำ หน้าที่ เราคงไม่มีโอกาส เพราะว่าเราไม่มีเงิน แล้วมี พรรคการเมืองต่างๆ มาชวนหลายรอบ แต่ไม่ไป เมื่อท่าน พล.อ.ชวลิต และคุณชิงชัย มงคลธรรม ได้ชวนให้เข้าร่วม พรรคความหวังใหม่ เมื่อการเลือกตั้งปี 2544 เป็นระบบ เขตเลือกตั้ง ตอนนั้นพรรคความหวังใหม่ก็ถือว่าเป็นพรรค ที่เล็กเพราะแตกไป คนลาออกมากไปอยู่พรรคไทยรักไทย ก็มี แต่ก็ได้ตัดสินใจลงในนามพรรคความหวังใหม่ เลือกตั้งคราวนั้นพรรคความหวังใหม่ได้แค่ประมาณ 36 ที่นั่ง ผมได้ลงเลือกตั้งในเขต 5 จังหวัดร้อยเอ็ด ชนะคู่แข่ง 23 คะแนน แข่งกับพี่ชัชวาลย์ ชมพูแดง ซึ่งเป็นถึงแชมป์ อยู่นานและเป็นถึงรัฐมนตรีด้วย แต่มีการร้องเรียน 195
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด กกต.จึงให้มีการนับคะแนนใหม่ รอบสองผมชนะ 7 คะแนน เป็นการชนะคะแนนที่น้อยที่สุดในประเทศ” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) นายนิสิตเข้าสู่การเมืองโดยเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ด พรรคความหวังใหม่ ในปี พ.ศ.2544 ก่อนจะย้ายสังกัดเมื่อพรรคความหวังใหม่ควบรวมกับพรรค ไทยรักไทย และได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ด พรรคไทยรักไทย ใน พ.ศ.2548 ประสบการณ์ด้าน การเมืองเคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงอตุ สาหกรรม และทป่ี รกึ ษา รองนายกรฐั มนตรี นายนิสิตเป็นผู้ริเริ่มแนวคิด “อาจสามารถโมเดล” 2 2 เป็นแนวคิดสร้างต้นแบบการพัฒนาแก้ไขปัญหาความยากจนที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ช่วงวันที่ 16-21 มกราคม 2549 นั้น ซึ่งเป็นความ พยายามอีกเรื่องหนึ่งของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการสร้างภาพปลุกกระแส ความนิยมของคนในสังคม โดยเฉพาะฐานเสียงในชนบท ซึ่งอาจสามารถ ถือเป็นอำเภอแรกของ จ.ร้อยเอ็ด และของประเทศที่ได้รับการโอนเงิน ครบถ้วน ตามโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้าน และชุมชน หรือ เอสเอ็มแอล จำนวน 31.4 ล้านบาท 138 หมู่บ้านจากรัฐบาล จึงเป็นสาเหตุ ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกพื้นที่นี้นำร่องศึกษาแก้ปัญหาความยากจน และเดินทางมาใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้าน เพราะหมู่บ้านชุมชนใน อ.อาจสามารถ มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองในอัตราที่สูงกว่าพื้นที่อื่นๆ (วิษณุ บุญมารัตน์, 2549) 196
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด จัดแคมเปญเรียลลิตี้แก้จนภายใต้ชื่อ Back Stage Show “The Prime Minister” 3 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด นายนิสิตเป็นผู้เปิดตัว “กลุ่มคนรักทักษิณไม่เอา เผด็จการ” ร่วมกับอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรค ไทยรักไทย 60 คน ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานทั่วประเทศ เมื่อ วันที่ 6 มิถุนายน 2550 เพื่อขับไล่คณะมนตรีความมั่นคง แห่งชาติ (คมช.) ที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยร่วมมือกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนไหวทางภาคอีสาน นายนิสิตได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชาชน จังหวัดร้อยเอ็ด เคยเข้าสังกัดกลุ่ม เพื่อนเนวิน ของนายเนวิน ชิดชอบ อดีตกรรมการบริหารพรรค ไทยรักไทย และเป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทน ราษฎร แต่ปัจจุบันนายนิสิตถูกสั่งเพิกถอนทางการเมืองเป็น ระยะเวลา 5 ปี จากคดียุบพรรคพลังประชาชน 3. รปู แบบการหาเสียง รูปแบบการหาเสียงของนายนิสิตที่ทำให้ชนะผู้สมัคร ที่เป็นถึงอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและอดีตรัฐมนตรี ตั้งแต่ ครั้งแรกนั้น นายนิสิตกล่าวว่า 3 ซึ่งเป็นการถ่ายทอดสดภารกิจของนายกรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหา ความยากจนตามแนวคิด “อาจสามารถโมเดล” ผ่านโทรทัศน์ช่องยูบีซี 16 ตลอด 24 ชั่วโมง ในรูปแบบเดียวกับรายการ “อะคาเดมี แฟนเทเซีย” 197
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด “นโยบายทางการเมือง เราทำงานด้านการศึกษา มาอยู่แล้ว บุคลากรที่ทำงานด้านการศึกษาเขาเดือดร้อน เราก็เข้าไปช่วยเหลือในส่วนนี้ ให้มีความสะอาด ครั้งที่ สอง ผมพูดปัญหากับประชาชน ปัญหาเรื่องความยากจน ผมก็มีโอกาสจัดทุนการศึกษาปีละล้านบาท ช่วยคนใน พื้นที่ มีนักเรียนได้รับทุนกว่า 1,000 คน ในพื้นที่เลือกตั้ง ด้านสิ่งแวดล้อม ผมเคยขับเคลื่อนปัญหายูคาลิปตัส ซึ่งในเขตอำเภอพนมไพรมีปัญหายูคาลิปตัสอยู่ ผมได้พา ชาวบ้านไปคัดค้านต่อต้านเรียกร้องที่กรมป่าไม้ออกให้ เป็นป่าเสื่อมโทรม เรียกร้องให้ชาวบ้านได้บริหารป่าเอง อันต่อมาก็คือเรื่องของคลองส่งน้ำทับที่ราษฎร กระทรวง วิทยาศาสตร์มาทำคลองส่งน้ำในพื้นที่พนมไพร อาจสามารถ แต่ไม่ชดเชยค่าเวนคืน หรือค่าที่ดินให้เขา ชาวบ้านก็มาร้องเรียน ในที่สุดได้รับค่าชดเชยกันถ้วนหน้า นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านรักผม ที่บ้านผมมีทีมงานเป็น สำนักงานทนายความ เหมือนกับว่าคล้ายๆ ทนายความ แต่ว่าเป็นครู ชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ชาวบ้าน จะมาหาที่บ้านเยอะ มาปรึกษาหารือต่างๆ มากกว่าบ้าน ส.ส. ส.จ. ด้วยซ้ำ ปัญหาชาวบ้านเราจะรู้หมดเลย ซึ่งเสมอหนึ่งว่าเป็น ส.ส.อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่เป็น ปัญหาเลยเรื่องฐานเสียง ที่จริงไม่ได้คิดจะลงเล่นการเมือง ด้วยซ้ำ เพราะเราไม่มีเงิน แต่ก็ตัดสินใจลงผู้แทนราษฎร ครั้งแรกแบบมั่นใจเลย คือมั่นใจที่ว่าเราได้ทำสิ่งต่างๆ ไปแล้ว เรื่องป่าชุมชน เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องแหล่งน้ำ เรื่องภาพพจน์ในวงการครู แล้วก็เรื่องเราช่วยเหลือ 198
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด เกษตรกร เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย โดยการจัดอบรม กฎหมาย โดยให้พี่ทองใบ ทองเปาด์ ลงอบรมทุกหมู่บ้าน ทุกตำบลให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ชาวบ้าน นับว่า เป็นคนช่วยคนจน ทำให้มีชื่อเสียงโดดเด่นด้านนี้” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) และจากการบอกเล่าของทีมงานหาเสียงของ นายนิสิต เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้นายนิสิตชนะการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่การลงสนามครั้งแรกนั้น มาจากการ ไม่ขาดการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน “คู่แข่งคือ นายชัชวาลย์ ชมพูแดง เขาประมาท ไม่ลงพื้นที่ ประชาชนเข้าหายาก เป็นเหมือนนายกับ ลูกน้อง มันก็ตรงกันข้ามกับพวกเราที่เข้าหาง่าย เข้าถึง ชาวบ้าน วิธีการหาเสียงเน้นการปราศรัยหาเสียง ช่วงแรกๆ ก็แนะนำตัว แล้วสอดแทรกเกี่ยวกับการเมือง ด้วยให้พี่น้องประชาชนเข้าใจด้วย แต่ก่อนพี่น้อง ประชาชนมีปัญหาเรื่องคลอง แล้วพี่เขา (นายนิสิต) ต่อสู้ จากราคาที่จะให้ 5,000 บาท เป็น 50,000 บาท แล้ว ประชาชนก็ได้มา แล้วก็พี่เขาจะตั้งทนายประจำศูนย์ อย่างน้อย 2 คน คอยช่วยเหลือชาวบ้าน” (สรัณย์พงศ์ บัวจันทร์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) นอกจากการช่วยเหลือด้านกฎหมาย และการให้คำ ปรึกษาปัญหาต่างๆ แล้ว สำนักงานของนายนิสิตยังมีรถไว้คอย 199
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ให้บริการประชาชนเพื่อใช้ในการเคลื่อนย้ายศพ ถือเป็นการ ช่วยเหลือประชาชนอย่างหนึ่งด้วย ส่วนบทบาทของหัวคะแนนในการหาเสียงของ นายนิสิต ทีมงานหาเสียงของนายนิสิตกล่าวว่า “เราไม่เรียกว่า หัวคะแนน เราเรียกว่าตัวแทนพรรค ถ้าเป็นหัวคะแนน พี่เขา (นายนิสิต) อธิบายว่า หัวคะแนนเป็นคนแจกเงินเฉยๆ เพราะเคยมีโรคร้อยเอ็ด” (สรัณย์พงศ์ บัวจันทร์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) นายนิสิตได้รับความนิยมจากประชาชน มาก จะเห็นได้จากการได้รับคะแนนเสียงที่ท่วมท้น โดยทีมงาน ของนายนิสิตเล่าให้ฟังว่า “ที่ชาวบ้านเทคะแนนให้พี่เขา (นายนิสิต) เป็นเพราะว่าพี่เขาเป็นคนไม่ถือตัว เข้าง่าย ติดดิน พูดง่าย อธิบายให้ฟังง่าย ไม่มีด่าแบบเจ้านาย-ลูกน้อง อย่าง เรียกผมก็เรียกว่าหัวหน้า (เป็นการให้เกียรติทีมงาน)” (สรัณย์ พงศ์ บัวจันทร์, สัมภาษณ์, 19 สิงหาคม 2554) 4. นกั การเมืองในดวงใจ นักการเมืองในดวงใจของนายนิสิต แรกเริ่มเดิมทีคือ นักต่อสู้อย่าง ครูเตียง ศิริขันธ์ และในปัจจุบันคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนายนิสิตกล่าวว่า “ผมชอบครูเตียง ศิริขันธ์ ด้วยมีวิถีชีวิตความเป็น ครูเหมือนกัน เป็นนักต่อสู้ ดำเนินงานและต่อสู้ในแนว ทางประชาธิปไตย และการเข้าร่วมขบวนการเสรีไทย นักการเมืองในดวงใจปัจจุบันก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ เหตุที่ ชอบเพราะเขาเป็นคนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทาง 200
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด การเมืองอย่างมาก สร้างการเปลี่ยนแปลงให้พรรค การเมืองมีความสำคัญในเชิงนโยบาย ทำให้นโยบาย พรรคการเมืองเป็นนโยบายรัฐบาลเป็นครั้งแรก และที่ สำคัญก็คือ เมื่อเขาถูกปฏิวัติยึดอำนาจ เขาเป็นผู้เดียว ที่เป็นสัญลักษณ์ทำให้ประชาชนต้องนำไปสู่การต่อสู้ จนสู่ ขบวนการประชาชนในทุกวันนี้ นี่คือสิ่งที่ผมชอบทักษิณ เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ เป็นนักการเมืองที่จุด ประกาย” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) 5. จุดมุ่งหมายทางการเมือง เมื่อกล่าวถึงจุดมุ่งหมายทางการเมืองของนายนิสิต นน้ั นายนสิ ติ คำนงึ ถงึ เปา้ หมายสำคญั ของการเปน็ ประชาธปิ ไตย อย่างแท้จริง โดยนายนิสิตกล่าวว่า “จริงๆ ผมอยากเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ผมอยากสู้เหมือนที่เป็น 14 ตุลา ก็มีส่วนในการต่อสู้ ก็เคยขึ้นเวทีที่หน้าสภาด้วย ตอนนั้นเป็นครู ผมสู้มาช่วง เป็นข้าราชการครู จนถูกสอบวินัย ครั้งหนึ่งคุณสัมพันธ์ ทองสมัคร(รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น) ขอมาตรวจสอบโรงเรียนผมว่า ผมไปเคลื่อนไหวตรงโน้น ตรงนี้อย่างไร แต่พอมาตรวจแล้วพบว่า โรงเรียนเป็น โรงเรียนดีเด่น เรื่องอาหารกลางวัน เรื่องสุขภาพ ชาวบ้าน ก็รัก เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นมูลฐาน หรือเป็น องค์ประกอบได้เราได้รับความนิยม ได้รับความไว้วางใจ 201
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ก็จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นโรคร้อยเอ็ด พอเราทำจริงๆ เรามั่นใจ เลยว่าต้องชนะเลือกตั้งแน่นอน” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) และการเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแนวร่วม ประชาธิปไตยแห่งชาติหรือ นปช. ของนายนิสิตนั้น นายนิสิต เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดนี้ ซึ่งนายนิสิตเล่าให้ฟังว่า “ผมเองเป็นเจ้าของแนวความคิดการตั้งโรงเรียน นปช. หลังจากเหตุการณ์ยุบพรรคการเมือง พรรค พลังประชาชน ผมเป็นกรรมการบริหารพรรค ผมก็เข้าร่วม เมื่อปี 2552 พอหลังจากปี 2552 เราไม่มีบทเรียนเรื่องการ ต่อสู้เลย เมื่อปี 2545 มีการตั้งกลุ่มขบวนการคนรักทักษิณ แล้ว มีการประชุม นปก.สัมมนากันที่กาญจนบุรี ผมเสนอ ในที่ประชุมว่าควรมีการสรุปบทเรียนทางการต่อสู้ที่ผ่าน มาในทิศทางการต่อสู้ แล้วสรุปยุทธศาสตร์ ได้นโยบาย ได้แนวทางการทำงานอย่างชัดเจน โดยผมเสนอว่าควรมี การตั้งโรงเรียนการเมืองขึ้นมา เพื่อขยายแนวความคิด อบรมแนวความคิดให้เป็นเอกภาพ ให้ นปช. เคลื่อนไหว อย่างมีเอกภาพ คือ ภาพเดียวกัน ซึ่งเป็นเครื่องมือ อันสำคัญที่ทำให้ นปช.นี่สนใจมาก หลักสูตรคือ การให้ ความรู้พื้นฐานเรื่องระบอบประชาธิปไตย เรื่องสังคมไทย เรื่องการจัดตั้ง เรื่องการขยายมวลชน เรื่องการพัฒนา องค์กร อันที่สองคือการระดมความคิดของกลุ่มต่างๆ ซึ่ง อันนี้เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกับหมู่บ้านเสื้อแดง ซึ่งอันนี้ก็เป็น 202
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด แนวคิดของประชาชนเอง หลังจากที่มีการระดมความคิด กันเอง เป็นอิสระของขบวนการเขา” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) ในช่วงแรกมีข้าราชการครูเป็นฐาน แต่ต่อมาเปลี่ยน เป็นพี่น้องมวลชนเสื้อแดง ซึ่งนายนิสิตเห็นว่าเป็นฐานเสียง แต่เป็นฐานเสียงทางความคิด ซึ่งมีผลต่อการเลือกตั้งมาก นายนิสิตกล่าวว่า “พี่น้องเสื้อแดง เป็นฐานเสียงทางความคิด ซึ่งการ เลือกตั้งที่ผ่านมา (3 กรกฎาคม 2554) ร้อยเอ็ดเป็นพรรค เพื่อไทยยกทีมหมด 8 เขต แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลทาง ความคิดทางการเมืองได้เปลี่ยนไปแล้ว การเลือกตั้ง คราวที่แล้ว ผมว่านโยบายถือว่าไม่ใช่เรื่องหลัก เรื่องหลัก ก็คืออุดมการณ์ทางการเมือง เพราะประชาชนต้องการ ความเป็นประชาธิปไตย... ...ผมมองว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่เลือกพรรค ไทยรักไทยยกทุกเขตนั้น ประชาชนเลือกด้วยน้ำตา คือ ไม่ชอบ ส.ส. แต่ต้องเลือก เพราะกลัวพรรคแพ้ กลัวไม่ได้ เป็นรัฐบาล ก็เลยจำเป็นต้องเลือกทั้งน้ำตา เพราะ ประชาชนเขาเลือกแบบอุดมการณ์ ผมว่าตัว ส.ส.ที่ได้รับ เลือกตั้งมานั้น ได้รับเลือกมาเพราะเสื้อแดง อันที่สองคือ นโยบายที่แก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เพราะ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเป้าหมายของคนเสื้อแดงอยู่แล้ว 203
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด เราเรียกร้องให้มีการยุบสภา เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งก็มี แล้ว ต่อไปก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่วางไว้ของ นปช. เรื่องนโยบายถือเป็น อานิสงส์ที่ทำให้ชนะการเลือกตั้ง... ...ในช่วงที่ยังไม่พ้นโทษทางการเมือง 5 ปี ผมก็จะ ทำโรงเรียน นปช.ต่อไป ส่วนเมื่อพ้นโทษทางการเมือง เรามีสถานภาพทางการเมืองแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าตอนนี้สนใจที่จะทำ นปช.ให้มีความเข้มเข็ง ให้ประชาชนเดินไปได้ด้วยหลักประชาธิปไตย ปกป้อง ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ ยังมีความสนใจอยู่ ผมเคยคุยกับคุณตู่ (จตุพร พรหมพันธุ์) ว่าบางทีไม่อยาก เป็น ส.ส.แล้ว อยากทำงานมวลชนต่อไป แล้วเห็น วิวัฒนาการของประชาชนตื่นตัว และเห็นบ้านเมือง เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะทรัพยากรบุคคลในชนบท ถือว่า เป็นคุณค่ามาก พรรคเพื่อไทยถือว่าเป็นพรรคเพื่อ ประชาชน ถือว่าเป็นพรรคเสรีนิยมใหม่ กลุ่มที่สองคือ พรรคอนุรักษ์นิยม คือพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคอื่น ถือว่าเป็นพรรคที่ยังไม่มีแนวความคิดที่ชัดเจนทาง การเมือง” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงมีความคิดว่าอยากให้คนเสื้อแดง เป็นรัฐมนตรี แต่ด้วยเหตุผลของพรรคกลัวกระทบหลายด้าน ต้องยอมรับในนโยบายของพรรค จึงหันมาดำเนินแนวทาง 204
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ประชาธิปไตยต่อไป ตามแนวทาง “ยุบสภา เลือกตั้ง แก้ไข รัฐธรรมนูญ ลดอำนาจอำมาตย์” (นิสิต สินธุไพร, สัมภาษณ์ ทางโทรศัพท์, 20 สิงหาคม 2554) 2.57 นายกิตติ สมทรัพย์ นายกิตติ สมทรัพย์ เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2507 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นบุตร ของนายมังกร สมทรัพย์ และนางถนอม สมทรัพย์ สมรสกับ นางภัทรวดี สมทรัพย์ พยาบาลประจำโรงพยาบาลร้อยเอ็ด นายกิตติ สมทรัพย์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี บริหารธุรกิจบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) สาขาบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยหอการค้า มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 สมัย ในพื้นที่อำเภอสุวรรณภูมิ โดยสังกัดพรรคไทยรักไทยตั้งแต่ต้น ได้รับการเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2544 และได้รับเลือกตั้งทุกครั้งเป็นต้นมา จนถึงเมื่อ วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรร้อยเอ็ด เขต 6 นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งเป็น คณะกรรมการการประถมศึกษาจังหวัดร้อยเอ็ด (กปจ.) กรรมการสุขาภิบาล และรองประธานกรรมาธิการการปกครอง ซึ่งนายกิตติเริ่มต้นมาจากการมีธุรกิจส่วนตัวที่เป็นผู้รับเหมา มาก่อน โดยถือว่าเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับนายศักดา คงเพชร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด ในเขตพื้นที่อำเภอ เกษตรวิสัย และสังกัดพรรคเพื่อไทยเช่นเดียวกัน 205
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 2.58 นายมังกร ยนต์ตระกูล นายมังกร ยนต์ตระกูล เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2503 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรีสถาปัตยกรรมศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยศิลปากร มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย และเคยเป็นนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งมีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นนักธุรกิจ 2.59 นายอนิวรรตน์ วรเชษฐ์ นายอนิวรรตน์ วรเชษฐ์ มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอ จตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด มีประสบการณ์ทางการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย ซึ่งนายอนิวรรตน์ วรเชษฐ์ เป็นบุตรของนายเวียง วรเชษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ด แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ปัจจุบัน นายอนิวรรตน์เป็นสมาชิกสภาจังหวัดร้อยเอ็ด เขตอำเภอ จตุรพักตรพิมาน 2.60 นายสถาพร ว่องสัธนพงษ์ นายสถาพร ว่องสัธนพงษ์ เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2514 มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นบุตร ของนายสานิต ว่องสัธนพงษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รอ้ ยเอด็ กบั นางสมปอง วอ่ งสธั นพงษ์ นายสถาพร วอ่ งสธั นพงษ์ ส ำ เ ร ็ จ ก า ร ศ ึ ก ษ า ร ะ ด ั บ ป ร ิ ญ ญ า ต ร ี น ิ ต ิ ศ า ส ต ร บ ั ณ ฑ ิ ต มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย โดยนายสถาพร ว่องสัธนพงษ์ อยู่กลุ่มวังพญานาค ซึ่งกลุ่มวังพญานาคมีผู้ให้การสนับสนุนใหญ่ 2 ราย คือ 206
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด นายพินิจ จารุสมบัติ และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ร่วมกับ นายเอกภาพ พลซื่อ และนายเศกสิทธิ์ ไวนิยมพงศ์ 2.61 นายนพดล พลซ่ือ 1. ประวตั ิของนายนพดล พลซ่ือ นายนพดล พลซื่อ เกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2517 มี ภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรีศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์) จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย และเคยเป็นรองเลขาธิการ พรรคเพื่อแผ่นดิน พ.ศ.2550 – 2551 2. การเข้าสู่การทำงานการเมอื ง นายนพดล พลซื่อ ถือเป็นทายาททางการเมืองของ นายเอกภาพ พลซื่อ ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา เมื่อนายเอกภาพถูก เพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี จึงส่งนายนพดลผู้เป็นหลานลง แทนซึ่งขณะนั้นเป็นข้าราชการในตำแหน่งปลัดอำเภออยู่ นอกจากนี้นายนพดลก็เป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคเพื่อ แผ่นดินเมื่อแรกก่อตั้งพรรคโดยดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการ พรรคเพื่อแผ่นดิน ระหว่างวันที่ 2 ตุลาคม 2550 - 30 ตุลาคม 2551 จากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ที่ทำให้ นายนพดลได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ ทำให้นายนพดล พลซื่อ ถูกศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี กล่าวคือ ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการการเลือกตั้ง 207
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) กับ นายนพดล พลซื่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 และนายกิตติพงษ์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งไม่ได้รับการเลือกตั้ง ในข้อกล่าวหา ว่าขนคนไปฟังการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งและให้เงินแก่ผู้มี สิทธิเลือกตั้ง และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2552 ศาลฎีกาแผนกคดี เลือกตั้งได้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี แก่นายนพดล พลซื่อ และนายกิตติพงษ์ พรหมชัยอนันต์ เรื่องกระทำผิดพระราช บัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) พ.ศ.2550 จากกรณีที่มีการ ขนคนฟังการปราศรัยโดยใช้รถกระบะรับประชาชนไปฟังการ ปราศรยั ทบ่ี า้ นสวนของนายเอกภาพ พลซอ่ื เปน็ หนง่ึ ในบา้ นเลขท่ี 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของ นายนพดล ที่จังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อวันที่ 20 และ 28 ตุลาคม 2550 ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการปราศรัยแล้ว มีการให้เงินกับเจ้าของ รถและผู้ฟังปราศรัย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติว่าด้วย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมการการ เลือกตั้งได้สั่งให้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 ใหม่ จำนวน 1 คน แทนนายนพดล โดยการเลือกตั้งซ่อมนี้ ยังคงได้คนในตระกูลพลซื่ออีก คือ นางรัชนี พลซื่อ ซึ่งเป็น ภรรยาของนายเอกภาพ พลซื่อ และปัจจุบันนายนพดล พลซื่อ ได้กลับเข้ารับราชการโดยดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 208
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2.62 นายนิรมิต สุจารี 1. ประวตั ิของนายนิรมิต สจุ าร ี นายนิรมิต สุจารี เกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2499 มี ภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการ ศึกษาระดับปริญญาตรีการศึกษาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ และนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย รามคำแหง มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร 2 สมัย และเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัด (ส.จ.) ร้อยเอ็ด 3 สมัย 2. การเขา้ สกู่ ารทำงานการเมือง นายนิรมิต สุจารี เป็นครู เป็นนักกฎหมาย และเป็น นักต่อสู้เคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อนที่จะเข้าสู่วงการทาง การเมือง โดยเริ่มจากการเป็นสมาชิกสภาจังหวัด 3 สมัย ในช่วง พ.ศ.2533 และระหว่างนั้นก็ได้ลงสู่สนามการเลือกตั้ง ระดับชาติ แต่ยังไม่ประสบผล จนได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ดครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2550 ซึ่งนายนิรมิต ได้เล่าความเป็นมาของตนเองดังนี้ “ผมเรียนทางด้านการศึกษา และเรียนด้าน กฎหมายควบคู่กันมาด้วย จบกฎหมายจาก มหาวิทยาลัย รามคำแหง ต่อเนื่องจากสมัย 14 ตุลา และ 6 ตุลา พอจบ ปริญญาตรี กลับไปเป็นครูที่บ้านตัวเอง (อำเภอ หนองพอก) เพราะสมัยนั้นยังไม่มีครูที่จบปริญญา เป็นครู สังคมศึกษา และก็ได้สอนภาษาอังกฤษด้วย แต่เน้นสอน 209
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด สังคมเป็นหลัก เพราะผมเรียนทางการศึกษาเรียน ประวัติศาสตร์ สอนอยู่ประมาณไม่ถึง 10 ปี ขณะที่เป็น ครูก็จัดอบรมกฎหมาย ในช่วงเสาร์-อาทิตย์ ผมเอาความรู้ ทางกฎหมายไปช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นกฎหมายในชีวิต ประจำวัน โดยเชิญวิทยากรนักกฎหมายที่สำคัญๆ อย่าง ทองใบ ทองเปาด์ ออกไปพูดตามหมู่บ้านให้ชาวนา ให้ ชาวบ้านได้ฟัง เกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา เช่น การจับ การค้น การขัง การประกันตัวผู้ต้องหา กฎหมายแพ่ง เรื่องละเมิด นิติกรรมสัญญา กู้ยืม กฎหมายจำนองจำนำ กฎหมาย ครอบครัว กฎหมายมรดก กฎหมายป่าไม้ พรบ.อาวุธปืน เปน็ ตน้ ผมตอ้ งการจดั ใหเ้ ขารสู้ ทิ ธเิ สรภี าพตามรฐั ธรรมนญู กระแสการเรียกร้องของชาวบ้านมีมาก ชาวบ้านมีปัญหา เช่น มีกฎหมายที่ดิน แต่ความรู้ไปไม่ถึงชาวบ้าน โฉนด ที่ดิน หรือ นส.3 ยังไม่มี รัฐบาลก็บอกว่าชาวบ้านบุกรุก ป่าสงวน อะไรต่างๆ ผมก็ใช้พวกนี้ไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง ทำให้ประชาชนรู้สิทธิของตัวเอง และอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่ม หนี้สิน ผมไปหยิบตรงโครงการของรัฐที่ส่งเสริมชาวบ้าน ที่เห็นชัดคือโครงการมะม่วงหิมพานต์ หม่อนไหม ไผ่ตรง ที่รัฐจับมือกับ ธกส. ส่งเสริมให้ปลูกแล้ว ปรากฏว่า พอปลูกแล้วชาวบ้านโดนพันธุ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อย่างของ วัวก็ไม่ได้มาตรฐานเป็นวัวหมัน อย่างมะม่วงหิมพานต์ ก็ไม่ออกผล ผมก็ไปบอกชาวบ้าน ซึ่งก็ทำในขณะที่เป็นครู อยู่ ชาวบ้านไม่เคยเห็นใครไปพูด โดยเฉพาะตัวแทนของ ภาครัฐ มีแต่มาจับชาวบ้านว่าผิด ทำให้ชาวบ้านมีความรู้ 210
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด มากขึ้น และชาวบ้านก็เข้ามาหาผมหมดเลย ผมก็เลยใช้ พลังของชาวบ้าน เพราะเราไม่มีอำนาจอะไร จึงมีการรวม กลุ่มกัน กลุ่มปัญหาที่ดิน แยกเป็นกลุ่มโยงไปจังหวัดอื่น อย่างเช่น มุกดาหาร และกาฬสินธุ์ ในภาคอีสาน มีการ รวมกลุ่มกันในรูปของสมัชชาเกษตรกรรายย่อยหลาย จังหวัดในภาคอีสาน 19 จังหวัด ขณะเดียวกันก็มีการให้ ความรู้กฎหมายขยายเครือข่าย จากระดับตำบล เป็น อำเภอ เปน็ จงั หวดั และเปน็ ภาค เวลามกี ารเจรจา เราจะจดั ให้มี 3 ฝ่าย คือ มีภาคประชาชน ภาครัฐ และนักวิชาการ เป็นนักกฎหมายซึ่งเป็นลูกชาวบ้านที่ได้เรียนกฎหมาย ชาวบ้านก็เห็นว่าเราสู้จริง การเป็นครูถือเป็นตัวแทนของ รัฐ ผู้บังคับบัญชาเลยเห็นว่าผมกระด้างกระเดื่องเห็นว่า อยู่ข้างชาวบ้าน เวลาที่ไปเรียกร้องอะไร ผมจะพาชาวบ้าน ไปด้วย ถือเป็นพลังประชาชน นอกจากปัญหาที่ดินแล้ว ยังมีปัญหาเขื่อน ที่ภาครัฐสร้างเขื่อนแล้วทำให้ท่วมที่นา ชาวบ้าน แต่ไม่จ่ายเงินชดเชยให้ สู้กัน เจรจากัน จนได้รับ ค่าชดเชย จากเดิมจะจ่าย 5,000 บาทต่อไร่ ต่อสู้จนได้ 50,000 บาทต่อไร่ ที่เป็น นส.3 ถ้าเป็น สปก.ก็ลดลงมา หน่อย” (นิรมิต สุจารี, สัมภาษณ์, 24 สิงหาคม 2554) ในการเป็นนักเคลื่อนไหวนั้น ผู้ที่เด่นๆ ถือเป็น นักเคลื่อนไหวรุ่นเดียวกันซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน จังหวัดร้อยเอ็ดเหมือนกัน คือ นายนิสิต สินธุไพร ซึ่งนอกจาก เป็นนักเคลื่อนไหวเหมือนกันแล้ว ยังมีฐานมาจากการเป็นครู เหมือนกัน แต่ในตอนแรกนายนิสิตเคลื่อนไหวในรูปตัวแทนครู 211
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ก่อน แล้วนายนิรมิตได้ลาออกจากราชการครูเพื่อมาทำงาน มวลชนก่อนนายนิสิต ซึ่งนายนิรมิตกล่าวว่า “คุณนิสิต เคลื่อนไหวสบทบหลังผม เป็นคนร้อยเอ็ดเหมือนกัน ผมออก จากครูก่อนแล้ว นิสิตออกหลังผม ช่วงนั้นผมไม่มีเวลาจะไป สอน ชาวบ้านก็ไปรอผมหน้าห้องเรียน ผมจึงลาออก” “ผมลาออกจากราชการ แต่โชคดีที่เรียนกฎหมายมา จึงไปตีตั๋วเป็นทนาย ตรงกับปัญหาชาวบ้าน ตอนผมลาออก ผมไม่มีเงินสักบาท วันที่ผมลาออก มีชาวบ้านถือใบนามา (โฉนดที่ดิน) มีปัญหาเรื่องการโอนชื่อจากพ่อ ธกส.ไม่ให้โอน ผมก็เลยทำให้ คดีมรดก ถือเป็นพื้นฐานของนักกฎหมาย พอผลออกมาแล้วชาวบ้านพูดต่อๆกัน เลยทำให้เป็นทนาย อาชีพ” (นิรมิต สุจารี, สัมภาษณ์, 24 สิงหาคม 2554) นายนิรมิตกล่าวถึงเหตุผลของการกลับไปอยู่ในพื้นที่ อำเภอหนองพอกด้วยเหตุผลว่า พ.ศ.2522 ถนนสัญจรในเขต พื้นที่อำเภอหนองพอกไม่ดี มีแต่ถนนลูกรัง และยังไม่มีครูที่ เรียนจบปริญญา พอนายนิรมิตไปสอน มศ.5 ที่โรงเรียน หนองพอกวิทยา เมื่อวันหยุดช่วงเสาร์-อาทิตย์ นายนิรมิตก็จะ ไปพบปะผู้ปกครองของนักเรียนที่บ้านหรือที่นาเลย เพื่อไปให้ ความรู้หรือสอบถามปัญหาชาวบ้าน “พอช่วยชาวบ้านแล้ว ผมก็ลงสมัคร ส.จ. ผมไม่ ต้องติดป้ายเลย ปราศรัยโดยใช้รถคันเดียว นโยบายคือ “พาพี่น้องสู้” ได้คะแนนจากชาวบ้าน ทำให้เป็น ส.จ. เมื่อ เป็น ส.จ.แล้ว ต่อจากนั้นก็เลยลงสมัคร ส.ส.แต่คะแนน 212
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ของการเป็น ส.ส. ไม่ใช่ฐานเสียงเพียงอำเภอเดียว ต้อง เป็นหลายอำเภอก็ได้คะแนนเฉพาะกลุ่มที่เคยปัญหาและ เคยช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่พวกพ่อค้าและข้าราชการยังเข้า ไม่ถึง เพราะเขามองคนที่บริจาคเงินดูเป็นนายทุน ซึ่ง ผู้สมัครคู่แข่งมีภาพแบบนั้น จึงมีการเปรียบเทียบกัน ระหว่างกลุ่มจัดตั้งของเขา และกลุ่มธรรมชาติของผม ก็สู้กัน ผมลงสมัคร ส.ส.แต่สอบตกหลายครั้ง เพราะผม ไม่มีเงิน จนมาพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเขาจะค้นหา คนจากนักกิจกรรมเหมือนนักเคลื่อนไหวตั้งแต่ 14 ตุลา และขณะเดียวกันกับผมก็มีความต้องการอยากจะ เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเหมือนกัน จึงต้องเข้าสู่อำนาจ ด้วยการยินยอมจากการเลือกตั้ง ผมก็ลงสมัครไปเรื่อยกับ พรรคไหนที่เปิดโอกาส เริ่มแรกจากพรรคชาติพัฒนา ซึ่ง คะแนนขึ้นเป็นหมื่น แล้วมาลงความหวังใหม่ในช่วง ปี 2538 คุณสุรพร ดนัยตั้งตระกูล ให้ผมไปลงคู่กับ คุณนิรันดร์ ผมเข้าที่ 4 ซึ่งเขตนั้นมี ส.ส.ได้ 3 คน ได้คะแนน 7 หมื่นกว่า คู่แข่งใช้เงินยิงในคืนหมาหอน ชนะกันแค่ 3 พันคะแนน แต่ผมก็ไม่ถอย พอท่านทักษิณ ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ช่วงประมาณปี 2544 เขตผมมี คุณสุรพรเป็นรัฐมนตรี คุณเอกภาพเป็น ส.ส. เขตเดียว เบอรเ์ ดยี ว ผมลงในนามพรรคไทยรกั ไทย ผมชนะคณุ สรุ พร แต่ไปแพ้คุณเอกภาพ เมื่อแพ้ก็กลับมาทำงานทนายและ เป็น ส.จ.เหมือนเดิม ทำงานอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ขณะเดียว กันผลงานก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปัญหาของชาวบ้านนี้ พรรคไทยรักไทยเปิดให้เราเป็นคนเสนอ เรื่องที่ดิน นี่เป็น 213
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด เหตุผลที่ได้เข้ามาร่วมพรรคไทยรักไทย จากนั้นช่วงปี 2548 ผมก็จะลงแต่ถูกกันไม่มีที่ลง(เพราะคู่แข่งลงในนาม พรรคไทยรักไทยแล้ว) มีแต่พรรคอื่น ผมดูๆ ว่าชาวบ้าน ไม่ชอบ ผมก็ไม่ลง ก็มาเป็น ส.จ.เหมือนเดิม พอมาปี 2549 มีการปฏิวัติ หลังจากนั้นผมได้ถูกติดต่อจาก คุณทักษิณโดยผ่าน ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยคนหนึ่ง คราวนี้เป็นเขตใหญ่ ผมลงคู่กับคุณนิรันดร์ โดยแบ่งพื้นที่ กันหาเสียง ผมหาเสียงฝั่งโพนทอง แต่ฝั่งเสลภูมิผมก็เคย ช่วยชาวบ้านมา จึงเทคะแนนให้ผม ผมจึงได้เข้ามา แต่ คุณนิรันดร์ไม่ได้เข้า ต่อมาการเลือกครั้งนี้ (3 กรกฎาคม 2554) มีข้อตกลงกันอยู่ว่านิรมิตอยู่ฝั่งโพนทอง พี่นิรันดร์ อยู่ฝั่งเสลภูมิ แล้วให้คุณสุรพรขึ้นบัญชีรายชื่อ” (นิรมิต สุจารี, สัมภาษณ์, 24 สิงหาคม 2554) ซึ่งการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้ นายนิรมิตได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 3 สังกัดพรรค เพื่อไทย 3. รูปแบบการหาเสียง นายนิรมิตเน้นการปราศรัยหาเสียง มีทีมงานหาเสียง ช่วยในการลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ก่อนการปราศรัย และ สิ่งสำคัญที่นายนิรมิตให้ความสำคัญในการนำเสนอตัวให้คน รู้จักคือสื่อ โดยนายนิรมิตกล่าวว่า 214
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด “สื่อนี่สำคัญมาก การเมืองต่อไปจะสู้กันด้วยสื่อ” นายนิรมิตลงพื้นที่ประจำ เช่น ร่วมงานพิธีทางศาสนา แล้วจะนำข้อมูลจากสภาฯ ไปส่งข่าวให้ชาวบ้านได้รับรู้ ในเรื่องโครงการ นโยบาย งบประมาณ เป็นต้น ... ส.ส. ในพื้นที่เดิม ส่วนมากเป็นผู้รับเหมา เขาไม่ได้มองถึงสิทธิ เสรีภาพ เขามองแค่ว่าจะได้อะไร ไม่ได้คิดถึงชาวบ้าน เอาการรับเหมาตัวเองเป็นที่ตั้ง พอได้เงินมาก็เอาไป ซื้อเสียง สภาพเป็นอย่างนี้ ชาวบ้านเลยต้องมาหาผม” (นิรมิต สุจารี, สัมภาษณ์, 24 สิงหาคม 2554) ส่วนบทบาทมวลชนเสื้อแดง ถือว่ามีผลต่อการ เลือกตั้งครั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เป็นอย่างมาก ซึ่ง นายนิรมิตกล่าวว่า “มวลชนเสื้อแดงมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้มาก คนที่สามารถรักษามวลชนเสื้อแดงได้มี 2 ลักษณะ อันแรกคือ เป็นผู้นำทางความคิด ถ่ายทอดวิธีการต่อสู้ และอีกพวกหนึ่งจะเป็นการหยิบยื่นเงินให้กลุ่มเสื้อแดง ของผมนี่เล่นความคิด เพราะทุนมีน้อย ผมใช้บ้านผมเป็น สถานที่สำหรับการประชุมระดมความคิดต่างๆ รวมทั้ง ที่เป็นกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น ซึ่งเสื้อแดง ก็คือกลุ่มที่เดินขบวนของผมนี่แหละ เป็นกลุ่มที่ชอบ ประชาธิปไตย ที่รู้สิทธิของตนเอง” (นิรมิต สุจารี, สัมภาษณ์, 24 สิงหาคม 2554) 215
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 4. นกั การเมอื งในดวงใจ นักการเมืองในดวงใจ คือ “ผมชอบคนที่ต่อสู้ ยุคก่อนผมชอบคนที่เข้าป่าเข้าดง เช่น เตียง ศิริขันธ์ ผมอ่าน หนังสือ ผมชอบแนวทางที่เขาสู้สุดๆ ในปัจจุบันเป็นระบบทุน ไปหมดแล้ว จริงๆ แล้วผมไม่ชอบ แต่ก็ไปได้ แต่ยังไม่ถึงตามที่ เราคาด เป็นนักการเมืองต้องเสียสละมากกว่านั้น ในขณะ เดียวกันโครงสร้างบ้านเมืองต้องให้ความรู้ชาวบ้าน อย่ามาพึ่ง ผู้แทนแบบเงิน ให้พึ่งความคิด แล้วมีปัญหาเอาเสนอแก้ไขกัน” (นิรมิต สุจารี, สัมภาษณ์, 24 สิงหาคม 2554) 5. จุดมุ่งหมายทางการเมอื ง เมื่อกล่าวถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดทางการเมือง นายนิรมิตกล่าวว่า “ผมอยากจะเห็นสิทธิ เสรีภาพ ผลประโยชน์ ของชาวบ้านได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างแท้จริงตาม รัฐธรรมนูญ นี่คือเป้าหมายสูงสุด แต่เราเข้ามาแล้วไม่ได้เป็นไป ตามที่เราหวัง มีปัญหาปัจจัยอื่นอีกมาก ที่ทำให้สิทธิ เสรีภาพ ผลประโยชน์ของชาวบ้านถกู ละเมิดไป” “ผมอยากให้ญาติพี่น้อง และคนที่อยู่ในพื้นที่ของผม รวมทั้งประเทศนี้ ปัญหาที่ดิน ปัญหาหนี้สิน ปัญหาการชดเชย โครงการของรัฐ หมดไป แต่พอเข้ามาอยู่ในระบบแล้ว บางอย่างพรรคบอกว่าเอาอย่างนี้ก่อน เราก็ต้องยอมรับ งานมวลชนก็ไม่ทิ้งยังคงทำอยู่” (นิรมิต สุจารี, สัมภาษณ์, 24 สิงหาคม 2554) 216
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 2.63 นายวราวงษ์ พันธุศิลา 1. ประวตั ขิ องนายวราวงษ์ พันธุศิลา นายวราวงษ์ พันธุศิลา เกิดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2504 อายุ 49 ปี สถานภาพโสด มีภูมิลำเนาในอำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด แต่เคยอยู่ในเขตอำเภอจังหารมาเป็นเวลานาน สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง และระดับปริญญาโทศิลปศาสตร- มหาบัณฑิต สาขารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย สมาชิกสภาจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2538-2543 รองประธาน สภาจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2538-2543 โดยมีอาชีพเดิมเป็น ทนายความ จากคำบอกเล่าของทีมงานของนายวราวงษ์เล่าว่า “ท่าน ส.ส.เคยลงสมัครในสังกัดพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่แรกๆ แต่ไม่ได้ พอมาถึงสมัยที่ 2 เปลี่ยนมาลง สมัครในสังกัดพรรคมหาชน เพราะมี ส.ส.ในเขตคนหนึ่ง ได้ลงแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการเลือกตั้งอีก จึงหันกลับมา สังกัดพรรคไทยรักไทยอีกครั้งเพราะมีความผูกพันกับ พรรค ซึ่งก่อนจะได้รับเลือกเป็น ส.ส. ท่าน ส.ส.ก็ยังช่วย งานพรรคไทยรักไทย โดยที่ทางพรรคให้โครงการมาดูแล” (วินิตตา ชิณโย, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2554) 217
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 2. รปู แบบการหาเสียง ในรูปแบบการหาเสียงของนายวราวงษ์ใช้การ ปราศรัยเป็นหลัก รวมทั้งการใช้รถประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ ที่ทำให้คนรู้จักนายวราวงษ์มากที่สุดคือ การเป็นดีเจในรายการ วทิ ยขุ องนายวราวงษ์ โดยมสี โลแกนวา่ “ลกู ในบา้ น วา่ นในสวน” ทีมงานหาเสียงของนายวราวงษ์ได้กล่าวถึงวิธีการหาเสียงว่า “การหาเสียงใช้การปราศรัยโดยการตั้งเวทีทั้งเวที ใหญ่และเวทีเล็ก บางครั้งไปหาเสียงแบบคนเดียว และ แบบเวทีใหญ่ โดยจะมีเพื่อน ส.ส.ที่สมัครร่วมไปด้วยกัน คือ ส.ส.ฉลาด และส.ส.เสกสิทธิ์ การหาเสียงเน้นการ ปราศรัย ส่วนอื่นๆ ก็มี เช่น การมีรถหาเสียง “รถแห่” (ขบวนรถประชาสัมพันธ์ผู้สมัคร) โดยแบ่งโซนการ รับผิดชอบในแต่ละเขตพื้นที่ของแต่ละผู้สมัคร ส.ส. ไม่มี การเคาะประตูบ้าน มีแต่ไปปราศรัย โดยจะมีหัวคะแนน และรถประชาสัมพันธ์เป็นการประชาสัมพันธ์ในแต่ละ พื้นที่ไว้ก่อนล่วงหน้า ซึ่งการปราศรัยจะชูนโยบายของ พรรคซึ่งชาวบ้านจะชอบ และในการปราศรัยของผู้สมัคร ส.ส. 3 คนที่อยู่เขตเดียวกัน จะแบ่งกันปราศรัยนโยบาย ต่างๆ เพื่อเป็นการพูดให้ชาวบ้านเข้าใจ” (วินิตตา ชิณโย, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2554) นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์นอกจากจะมีรถ ประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมีการใช้สื่อวิทยุร่วมด้วย โดยทีมงาน นายวราวงษ์กล่าวว่า “ในสื่อวิทยุก็มีการแจ้งข่าวก่อนว่า ส.ส. 218
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด จะไปหาเสียงที่ใด ซึ่งถือว่ายังคงเป็นแนวเดิมที่เครือข่ายสื่อ ทางเคเบิ้ลไทยแลนด์ เสียงไทยแลนด์ พอหลังจากมี พ.ร.บ. การเลือกตั้ง ออกมา การหาเสียงดังกล่าว ไม่มีการใช้สื่อเคเบิ้ล เพราะผิดเงื่อนไขในการเลือกตั้ง” (วินิตตา ชิณโย, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2554) หัวคะแนนก็มีบทบาทในการสนับสนุนหาเสียง ของนายวราวงษ์เช่นกัน โดยทีมงานหาเสียงของนายวราวงษ์ กล่าวว่า “ตอนที่หาเสียง ท่าน ส.ส.ไม่มีการใช้เงิน มีหัวคะแนน เหมือนกัน ส่วนมากเป็นชาวบ้านทั่วไป ไม่ค่อยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อกันการเกิดปัญหา หน้าที่ของหัวคะแนนคือ การไปคุยกับบ้านโน้นบ้านนี้” (หนูรมภ์ เชียงใหม่, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2554) ในเรื่องการลงพื้นที่ของนายวราวงษ์นั้น มีการลง พื้นที่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการลงพื้นที่คือ การไปร่วมงานพิธีต่างๆ เช่น งานอุปสมบท งานมงคลสมรส งานฌาปนกิจศพ เป็นต้น ซึ่งทีมงานของนายวราวงษ์กล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งว่า “ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตหรือ แบบเขตเดียวเบอร์ เดียวเห็นว่าไม่มีปัญหา เพราะคิดว่าชาวบ้านชอบนโยบาย” ซึ่งผลก็เป็นเช่นนั้น เพราะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายวราวงษ์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด ในเขต 1 ซึ่งถือว่าเป็นเขตที่มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นและ คะแนนแพ้ชนะไม่มาก เพราะผู้ลงสมัครคู่แข่งของนายวราวงษ์ คือ นายคมกฤช จุรีมาศ หนึ่งในตระกูลจุรีมาศผู้เป็นเจ้าของ พื้นที่ในเขตอำเภอเมืองมาตั้งแต่สมัยบิดา แต่นายวราวงษ์ 219
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ก็สามารถได้รับการเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลของกระแสของพรรค เพื่อไทยและกระแสของมวลชนเสื้อแดงมีแรงมาก จึงเป็น ส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้นายวราวงษ์ได้รับเลือกในครั้งนี้ 2.64 นายปิยะรัช หมื่นแสน 1. ประวตั ขิ องนายปิยะรัช หมื่นแสน นายปิยะรัช หมื่นแสน เกิดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2500 มีภูมิลำเนาอยู่อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการ ศึกษาประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา วิทยาลัยครูบุรีรัมย์ ระดับ ปริญญาตรีศึกษาศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมาธิราช และระดับปริญญาโทศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา จากวิทยาลัยบัณฑิตบริหารธุรกิจ โดยมี ประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย 2. การเข้าสกู่ ารทำงานการเมือง นายปิยะรัชเคยเป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน แล้วลาออกมาเล่นการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม เมื่อ นายนิสิต สินธุไพร ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองพร้อมการสั่งยุบ พรรคพลังประชาชน นายปิยะรัชถือว่าเป็นคนที่นายนิสิต สนับสนุน กระทั่งว่าผู้เชี่ยวชาญและผู้ช่วยสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจำนวน 6 คน นายนิสิตยังเป็นผู้แต่งตั้งให้นายปิยะรัช แต่เมื่อนายปิยะรัชได้เข้ามาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรในช่วงท้ายๆ ของวาระ นายปิยะรัชเริ่มแสดงถึงการเอาใจออกห่างพรรคเพื่อ ไทย(พรรคพลังประชาชนเดิม) โดยการยกมือโหวตร่างพระราช 220
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด บัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ที่พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเสนอในสภา ดังนั้นในการเลือกตั้งเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 นายปิยะรัชไม่ได้ถูกส่งลงสมัครเลือกตั้ง โดย มีการแถลงข่าวของนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค เพื่อไทย กล่าวถึง “การโหวตร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปี 2554 พบว่ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาก พรรคเพื่อไทย 1 ราย ที่ปฏิบัติตัวในลักษณะที่สวนทางกับพรรค คือ นายปิยะรัช หมื่นแสน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย มีความชัดเจนว่าพรรคคงไม่ส่งลงสมัครรับ เลือกตั้งอีกแน่ เนื่องจากทำตัวขัดต่อแนวทางและนโยบาย พรรคชัดเจน” ฉะนั้นในการเลือกตั้งล่าสุดนายปิยะรัชจึงลง สมัครรับเลือกตั้งภายใต้พรรคภูมิใจไทย แต่ก็ไม่สามารถชนะ นางเอมอร สินธุไพร ได้ 2.65 นางรัชนี พลซ่ือ 1. ประวตั ิของนางรชั นี พลซื่อ นางรัชนี พลซื่อ มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอเมยวดี จังหวัดร้อยเอ็ด สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีวิทยาศาสตร- บัณฑิต (สุขศึกษา) จากวิทยาลัยครูบุรีรัมย์ และระดับปริญญา โทบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 สมัย และเคยเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. 2547-2551 221
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 2. การเขา้ ส่กู ารทำงานการเมอื ง นางรัชนี พลซื่อเป็นภรรยาของนายเอกภาพ พลซื่อ ซึ่งเป็นหนึ่งในบ้านเลขที่ 111 อดีตกรรมการบริหารพรรค ไทยรักไทย นางรัชนีได้รับการเลือกตั้งจากการเลือกตั้งซ่อม อันเนื่องมาจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้สั่งให ้ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 ใหม่ จำนวน 1 คน แทนนายนพดล พลซื่อ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2552 การที่ ผลการเลือกตั้งยังคงได้คนจากตระกูลพลซื่ออยู่ แสดงถึงความ นิยมในตัวของคนในพื้นที่มากกว่าพรรคการเมือง เพราะในขณะ นั้นพรรคพลังประชาชนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีกระแส แรงมากในพื้นที่จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดในจังหวัดร้อยเอ็ดมีเพียงคน เดียวที่ไม่ได้สังกัดพรรคประชาชนคือคนในตระกลู พลซื่อเท่านั้น ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นางรัชนี พลซื่อ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ร้อยเอ็ด ในเขต 3 สังกัดพรรคพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ที่ก่อนหน้านี้อยู่กับพรรคภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ มาปกี วา่ แตม่ กี ระแสขา่ ววา่ กอ่ นถงึ วนั ลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั ไมน่ าน นางรัชนี ได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรค ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินถือว่าเป็นการกลับไปอยู่กับนายพินิจ จารุสมบัติ อีกครั้ง ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ถือว่ามีการแข่งขัน ที่สูงมาก โดยที่ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งคู่แข่งคนสำคัญคือ นายนิรมิต สุจารี สังกัดพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีดีกรีเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรร้อยเอ็ด เขต 3 ร่วมกันมาจากการเลือกตั้งเมื่อครั้ง 222
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ.2550-2554 และในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดนี้กระแสของพรรค เพื่อไทยและมวลชนคนเสื้อแดงมีสูงมาก ผลสุดท้ายตระกูล พลซื่อก็ไม่สามารถต้านกระแสของความนิยมในพรรคเพื่อไทย ได้ จึงไม่สามารถรักษาพื้นที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ 2.66 นางเอมอร สินธุไพร นางเอมอร สินธุไพร มีภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดร้อยเอ็ด หน้าใหม่ล่าสุด โดยมีอาชีพก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นข้าราชการครู ซึ่งนางเอมอร สินธุไพรสมัครรับเลือกตั้งแทนนายนิสิต สินธุไพร ผู้เป็นสามีที่ถูกสั่งเพิกถอนสิทธิทางการเมือง จากการเป็น กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน เดิมทีที่นายนิสิตลงสมัคร รับเลือกตั้งไม่ได้ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นายนิสิตได้ส่งเพื่อนสนิทลงแทนคือ นายปิยะรัช หมื่นแสน ซึ่งเป็นข้าราชการครูเช่นเดียวกัน แต่เมื่อการเลือกตั้งล่าสุดเมื่อ วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายนิสิตได้ส่งนางเอมอร สินธุไพร ลงสมัครรับเลือกตั้งแทน ซึ่งมีการกล่าวกันว่านางเอมอร ไม่ต้องหาเสียงเลือกตั้งเลย เพราะเขตพื้นที่นั้นฐานเสียงคือ กลุ่มคนเสื้อแดงและหมู่บ้านเสื้อแดงที่ให้การสนับสนุนผู้นำ อย่างนายนิสิต สินธุไพร ผู้เป็นสามีอยู่แล้ว 223
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 3. สรุปข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด จากที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยได้แสดงให้เห็นถึง รายละเอียดของนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดในด้านต่างๆ และพบข้อสรุปว่าพัฒนาการของการทำงานทางการเมืองและ การหาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดมีทิศทางในการ ใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาร่วมในการหาเสียงเพื่อให้ได้ รับการเลือกตั้งมากขึ้นกว่าในอดีต อีกทั้งการทำงานทาง การเมืองของนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดก็จะต้องมีการ ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องซึ่งเท่ากับว่าเป็นการปรับตัวเพื่อให้ ทันยุคสมัยแห่งการแข่งขัน ซึ่งต่างจากนักการเมืองถิ่นจังหวัด ร้อยเอ็ดในอดีตที่ใช้วิธีการหาเสียงหลักโดยการปราศรัยเพียง อย่างเดียว(พูดเก่ง) ข้อค้นพบอีกประการหนึ่งซึ่งถือว่าเป็น จุดร่วมของนักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบันคือในการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบแบ่งเขต เลือกตั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “ต้องไม่ห่างพื้นที่” ผู้วิจัยพบว่า สิ่งนี้คือ ยุทธวิธีที่สำคัญที่สุดและถือเป็นจุดชี้ขาดในการที่จะ ทำให้ผู้สมัครได้รับเลือกตั้งหรือไม่ได้รับเลือกตั้ง 224
บ5ทท ่ี เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และรูปแบบการหาเสียง เนื้อหาในบทนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงเครือข่าย กลุ่ม ผลประโยชน์และรูปแบบการหาเสียงที่นิยมใช้กันในพื้นที่ของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด ข้อมูลวิจัยภาคสนามพบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ดมีเครือข่ายที่สามารถจัดแบ่ง เป็นกลุ่มตามแนวคิดกลุ่มผลประโยชน์ได้ดังนี้ 1. เครือข่ายความสัมพันธ์ทางการเมือง 1.1 เครือข่ายความสัมพันธ์ของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรพื้นท่ีอำเภอเมือง อำเภอธวัชบุรี
1.1 เครือขา ยความสัมพันธข องสมาชิกสภาผแู ทนราษฎรพื้นทอี่ าํ เภอเมือง อําเภอ ธวัชบุรี แผนภแาผพทน่ี 5ภ.1าพท่ี 5.1 เครเอืครขือ่าขายยคคววาามสมมั สพัมนั ธพข นัองธนข์ักกอางรเนมอื กั งกพนื้าทร่ีอเํามเภือองเมพอื งื้นทอ่ี ำเภอเมือง อ.เมือง จุรมี าศ นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 226 สมพร จรุ ีมาศ ถวลิ ย จุรีมาศ ศริ ิพันธ จรุ ีมาศ สมควร จรุ ีมาศ อดีต ส.ส. ทินกร จรุ ีมาศ เกอ้ื จิตต จรุ ีมาศ คมกฤช จรุ มี าศ ลง อดีตนายก อบจ. สจ.อ.ศรสี มเด็จ สส.เขต 1 (ลาสุด) บรรจง โฆษติ จิรนันท พ.ญ.กฤษณา โฆษิตจริ นันท อนุรักษ จรุ ีมาศ อดตี นายกเทศมนตรีเมอื ง (อดีต สส.) เจาของโรงพยาบาลจรุ เี วช ส.ส. 7 สมยั
เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง กลุ่มจุรีมาศ ในพื้นที่เขตอำเภอเมือง แกนนำหลักคือ นายอนุรักษ์ จุรีมาศ เครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนใหญ่เป็นระบบเครือญาติ ที่เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดร้อยเอ็ด พื้นที่ ฐานเสียงหลักคือเขตเลือกตั้งที่ 1 (โดยเฉพาะในย่านธุรกิจของ จังหวัด) ปัจจุบันถือว่านายอนุรักษ์ จุรีมาศเป็นแกนนำหลักใน พรรคชาติไทยพัฒนา และได้รับความไว้วางใจอย่างมากจาก นายบรรหาร ศิลปอาชา ด้านครอบครัวนายอนุรักษ์ แกนนำ กลุ่มมีสถานะโสด สมาชิกในครอบครัวประกอบธุรกิจสำคัญๆ ในจังหวัดร้อยเอ็ด เช่น โรงพยาบาลจุรีเวชโดยมีน้องสาว คือ พ.ญ.กฤษณา โฆษิตจิรนันท์(จุรีมาศ) ภรรยานายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ เป็นผู้ดูแล รวมถึงกิจการตัวแทนจำหน่าย มอเตอร์ไซค์ยี่ห้อยามาฮ่า(YAMAHA) โดยนายคมกฤช จุรีมาศ เป็นผู้ดแู ล เป็นต้น ในปัจจุบันถือว่าตระกูลจุรีมาศครองสนามการเมืองเล็ก คือในตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ดโดยมี นายบรรจง โฆษิตจิรนันท์ ซึ่งเป็นสามีของ พ.ญ.กฤษณา น้องสาวนายอนุรักษ์ เป็นนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด หาก กล่าวถึงการเมืองระดับท้องถิ่นกลุ่มจุรีมาศมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ นายมังกร ยนต์ตระกูล จากการให้ข้อมูลของผู้สนใจการเมือง ในพื้นที่กล่าวว่า กลุ่มของนายมังกร ยนต์ตระกูล สามารถเจรจา กบั กลมุ่ ของนายทนิ กร จรุ มี าศ (เสย่ี ไก)่ อดตี นายก อบจ.รอ้ ยเอด็ โดยในเลือกตั้งนายก อบจ.ร้อยเอ็ด สมัยที่ผ่านมา เสี่ยไก่ มีคะแนนเป็นอันดับที่ 3 รองจากนายมังกร ยนต์ตระกูลและ 227
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด นางรัชนี พลซื่อ จึงมีการเจรจาทางการเมืองกับกลุ่มการเมือง ในระดับท้องถิ่นระหว่างกลุ่มจุรีมาศและกลุ่มของนายมังกรให้ เข้าร่วมสู้ศึกเลือกตั้ง นายก อบจ.ร้อยเอ็ด ด้วยกันโดยเป้าหมาย คือต้องโค่นล้มนางรัชนี พลซื่อ ให้ได้โดยสัญญาใจว่าหาก นายมังกรชนะการเลือกตั้ง ก็จะสมประโยชน์ระหว่าง 2 กลุ่ม การเมืองในจังหวัดร้อยเอ็ดคือให้นายทินกร เป็นผู้บริหาร ใน อบจ.ร้อยเอ็ด อันเป็นการแลกเปลี่ยนของทั้งสองฝ่าย ด้านการเมืองระดับชาติในปัจจุบัน กลุ่มจุรีมาศที่นำโดย นายอนุรักษ์ จุรีมาศ ซึ่งเป็นแกนนำในพรรคชาติไทยพัฒนาของ นายบรรหาร ศิลปอาชา นั้นถือได้ว่าไม่โดดเด่นเหมือนในอดีต ที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะสาเหตุที่ภูมิทัศน์ทางการเมืองของ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตคือ พฤติกรรมการเลือกตั้ง ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งในปัจจุบันมีความนิยมเลือกพรรคการเมือง ที่มีนโยบายโดดเด่นในการพัฒนาทั้งระดับท้องถิ่น (จังหวัด ร้อยเอ็ด) และระดับประเทศ โดยผลงานที่ถือว่าโดดเด่นของ กลุ่มจุรีมาศในจังหวัดร้อยเอ็ดคือการขุดลอกบึงพลาญชัย ในสมัยรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งผลงานเช่นที่ กล่าวมานี้ไม่สามารถตอบโจทย์ทางการเมืองในปัจจุบันของผู้ใช้ สิทธิเลือกตั้งในจังหวัดร้อยเอ็ดได้ อีกทั้งผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งใน จังหวัดร้อยเอ็ดก็นิยมเลือกผู้สมัครที่มาจากพรรคการเมือง เดียวกันทั้งหมดโดยมีเหตุผลว่า “หากเลือกพรรคเดียวกัน ยกจังหวัดก็จะทำให้เราต่อรองและผลักดันงบประมาณ และนโยบายต่างๆ เข้าจังหวัดได้ง่ายขึ้น” (สิทธิพร โพธินาม, สัมภาษณ์, 27 กุมภาพันธ์ 2554) 228
เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง แผนภาพที่ 5.2 เครือข่ายความสมั พนั ธข์ องนกั การเมืองพื้นท่ีอำเภอธวชั บรุ ี กลุ่มไวนิยมพงษ์ ในพน้ื ทอ่ี ำเภอธวชั บรุ ี ปจั จบุ นั แกนนำหลกั คอื นายเศกสทิ ธ์ิ ไวนิยมพงษ์ เครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนใหญ่เป็นระบบ เครือญาติที่เป็นนักธุรกิจและนักการเมืองท้องถิ่นในระดับ จังหวัด โดยพี่ชายทั้งสองคนของนายเศกสิทธิ์เป็นสมาชิกสภา จังหวัดอำเภอธวัชบุรี ส่วนน้องเขย (นายมังกร ยนต์ตระกูล) เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วย นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ ฐานเสียงหลักคือเขตเลือกตั้งที่ 1 พื้นที่อำเภอเมือง (โดยเฉพาะ 229
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด ในย่านธุรกิจเช่นเดียวกับตระกูลจุรีมาศ) และเขตเลือกตั้งที่ 8 อำเภอจตุรพักตรพิมาน เพราะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าของพื้นที่ เดิมคือนายเวียง วรเชษฐ์ (ครูเวียง) โดยกลุ่มไวนิยมพงษ ์ มีเครือข่ายการเมืองในระดับชาตินับตั้งแต่รุ่นของ “เสี่ยอู๊ด” ผู้เป็นบิดากับ นายเจริญ พัฒน์ดำรงจิตร (เสี่ยเล้ง ขอนแก่น) และนายสมประสงค์ (หัวคะแนน พล.อ.เกรียงศักดิ์) ในปัจจุบัน นายเศกสิทธิ์ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายจาตุรนต์ ฉายแสง ครั้งทำงานการเมืองกับพรรคความหวังใหม่จนกระทั้งย้ายมา ร่วมงานการเมืองกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และ พรรคเพื่อไทย ตามลำดับ ด้านสนามการเมืองระดับท้องถิ่น มีนายมังกร ยนต์ตระกูล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็น น้องเขยของนายเศกสิทธิ์ เป็นผู้ดูแลฐานเสียงที่สำคัญ โดย นายมังกร ยนต์ตระกูลเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่ประสบความสำเร็จ ด้านธุรกิจด้านรถยนต์อย่างสูง เคยเป็นนายก อบจ.คนแรกของ จังหวัดร้อยเอ็ด และเป็นอดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด 1 สมัย คู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญของกลุ่มไวนิยมพงษ์ที่สำคัญ คือ ตระกูลพลซื่อ ของนายเอกภาพและนางรัชนี พลซื่อ เป็นแกนนำ โดยนายมังกร ยนต์ตระกูล ซึ่งเป็นน้องเขยของ นายเศกสิทธิ์เป็นคู่แข่งทางการเมืองระดับท้องถิ่นที่สำคัญ นายมังกรตั้งกลุ่มการเมืองที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า “กลุ่มพลังประชาชน 101” ผลคะแนนปรากฏว่านายมังกร ยนต์ตระกูล ได้ 258,423 คะแนน นางรัชนี พลซื่อ ได้ 202,110 คะแนน ต่างอยู่ที่ 51,313 คะแนน ซึ่งฐานคะแนนของนางรัชนี พลซื่อ จะอยู่ที่เขตเลือกตั้ง 230
เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง ที่ 3 คืออำเภอโพนทอง หนองพอก เมยวดี เสลภูมิ โพธิ์ชัย แต่ ไม่สามารถชนะได้เด็ดขาด ส่วนนายมังกร ยนต์ตระกลู ซึ่งขึ้นชื่อ หาเสียงคู่กับ สจ.กลุ่มพลังประชาชน 101 ใน 20 อำเภอ คะแนน ชนะเด็ดขาด ต้ังแตอ่ ำเภอเชียงขวัญ ธวชั บุรี จงั หาร ทุ่งเขาหลวง เมืองร้อยเอ็ด ศรีสมเด็จ เมืองสรวง จตุรพักตรพิมาน อาจสามารถ ปทมุ รตั ต์ เกษตรวสิ ยั สวุ รรณภมู ิ พนมไพร หนองฮี และโพนทราย พร้อมกับสมาชิกในกลุ่มพลังประชาชน 101ได้รับ เลือกเป็น สจ. โดยสามารถกล่าวได้ว่าสถานการณ์ของแวดวง การเมืองท้องถิ่นของจังหวัดร้อยเอ็ด โดยเฉพาะแวดวง อบจ. มีประเด็นมากมายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวาระ การดำรงตำแหน่งแบบใหม่จะเริ่มนับเมื่อไรประเด็นนี้คาบเกี่ยว ไปยังองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบอื่นๆ ด้วย และประเด็น การทุจริตฮั้วหนังสือ ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ โดยในขณะนี้ ผลสอบของกระทรวงมหาดไทยก็ออกมาแล้ว รวมไปถึงประเด็น การเลือกตั้งท้องถิ่น เลือกตั้ง อบจ.ที่กำลังมีการขับเคลื่อนกันอยู่ ในปัจจุบัน นอกจากนี้ กลุ่มของนายมังกรยังสามารถเจรจากับกลุ่ม ของนายทินกร จุรีมาศ อดีตนายก อบจ.ร้อยเอ็ด ในการเลือกตั้ง นายก อบจ.ร้อยเอ็ด ให้เข้าร่วมทีมด้วย ไม่ให้มีการไป ตัดคะแนนกันเอง โดยมีกระแสข่าวว่าหากนายมังกร ชนะการ เลือกตั้ง ก็จะมีบำเหน็จรางวัลหลังศึกให้กับนายทินกร ด้วยเก้าอี้ผู้บริหารระดับสงู ใน อบจ.ร้อยเอ็ด 231
นักการเมืองถิ่นจังหวัดร้อยเอ็ด 1.2 เครือข่ายความสัมพันธ์ของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรพ้ืนท่ีอำเภอหนองพอก อำเภอโพนทอง อำเภอเสลภูมิ แผนภาพที่ 5.3 เครือข่ายความสมั พันธข์ องนกั การเมอื งพื้นท่ี อำเภอหนองพอก อำเภอโพนทอง อำเภอเสลภูมิ 232
เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง กลุ่มพลซ่ือ กลุ่มพลซื่อมีพื้นที่ฐานเสียงหลักที่ อำเภอโพนทอง อำเภอหนองพอก และอำเภอเมยวดี ที่สำคัญคือ อำเภอเมยวดี เพราะเป็นภูมิลำเนาเดิมของตระกูลพลซื่อ แกนนำหลักของกลุ่ม คือ นายเอกภาพ พลซื่อ โดยครอบครัวพลซื่อ ถือเป็นครอบครัว การเมืองท้องถิ่นโดยแท้เพราะอยู่ในสนามการเมืองท้องถิ่น มาตั้งแต่รุ่นบิดาของนายเอกภาพ อีกทั้งปัจจุบันสมาชิกใน ครอบครัวก็ปัจจุบันก็อยู่ในสนามการเมืองท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่ เครือข่ายการเมืองระดับชาติ นายเอกภาพ มีความ สัมพันธ์อันดีกับนายพินิจ จารุสมบัติ ครั้งที่เป็นหัวหน้าพรรค เสรีธรรมและนายเอกภาพ เป็นเลขาธิการพรรคเสรีธรรม หลังจากนั้นย้ายเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคไทยรักไทย ก่อนที่จะเจอวิบากกรรมทางการเมือง “บ้านเลขที่ 111” ส่วนการเมืองระดับท้องถิ่นมีสมาชิกในครอบครัว นั่นคือ นางรัชนี พลซื่อ (ภรรยา) ซึ่งเป็นทั้งอดีตนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดร้อยเอ็ดและอดีต ส.ส จังหวัดร้อยเอ็ด นายเอกชัย พลซื่อ เป็น สจ. อ.เสลภูมิ ส่วนพันธมิตรนอกตระกูลในสนาม การเมืองท้องถิ่นคือ นายกิตติพงษ์ พรหมชัยนันท์ สจ.อ.เสลภูมิ และนายสานิต ว่องสัธนพงษ์ อดีต ส.ส./อดีต ส.จ. ด้านคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญในสนามการเมืองระดับ ประเทศคือ นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ และนายนิรมิต สุจารี โดยมีข้อมลู รายงานว่า ในการเลอื กตัง้ ซอ่ ม ส.ส.เขต 3 ที่เลือกตั้ง ซ่อมแทน นายนพดล พลซื่อ ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่โดน ใบแดงและถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี นายนิรันดร์ นาเมือง 233
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด รักษ์ อดีต ส.ส. 7 สมัย ลงสมัครล้างตา ในนามพรรคเพื่อไทยลง แข่งขันกับ นางรัชนี พลซื่อ ภรรยาของนายเอกภาพ พลซื่อ ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและส่งหลานชายลงสมัครครั้งที่ผ่าน มา แต่ก็ยังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจนต้องส่งภรรยาลงแทนนั้น ก็ยังสามารถชนะนายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ ที่ถือว่าเป็นเต็งหนึ่ง ในพื้นที่ และถือว่าเป็นหัวหน้าทีมผู้สมัครพรรคพลังประชาชน จนร่วงไปอยู่อันดับ 4 จากที่นั่ง ส.ส. 2 คน แต่ที่แทรกเข้ามาแบ่ง ที่นั่งของ ส.ส.ในพื้นที่ได้ก็คือนายนิรมิตร สุจารี ที่ครั้งก่อนเป็น ลูกทีมของนิรันดร์ ด้านนางรัชนี นั้นสาเหตุที่ได้รับเลือกเพราะ เคยเป็นอดีต นายก อบจ.ร้อยเอ็ด และการทำงานการเมืองใน พื้นที่ของตระกูลพลซื่อ ที่ผ่านมาจึงทำให้มีฐานเสียงสนับสนุน โดยปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยสังเกตจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 เพราะภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปของประเทศไทย และการเมืองในจังหวัดร้อยเอ็ด เช่น การเปลี่ยนพื้นที่เขต เลือกตั้งใหม่มาเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว ทำให้พื้นที่ในการ แข่งขั้นเล็กลงมีการเปลี่ยนการแบ่งเขตพื้นที่เลือกตั้งและมีการ แข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมในการเลือกตั้งของ ผู้ใช้สิทธิ์ก็นิยมที่จะเลือกผู้สมัครที่มาจากพรรคเดียวกันทั้ง จังหวัดส่งผลให้ นางรัชนี พลซื่อ พ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งครั้งล่าสุด ต่อนายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ซึ่งอาศัยฐานเสียงเดิมของตนเองใน พื้นที่และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัด ร้อยเอ็ดเป็นสำคัญ 234
เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง คู่แข่งในสนามการเมืองระดับท้องถิ่นของ ตระกูลพลซื่อ คือ นายมังกร ยนต์ตระกูล ล่าสุดในการเลือกตั้งนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด ผลคะแนนปรากฏว่านายมังกร ยนต์ตระกูล ได้ 258,423 คะแนน นางรัชนี พลซื่อ ได้ 202,110 คะแนน ผลต่างอยู่ที่ 51,313 คะแนน ข้อสังเกตฐานคะแนน นางรัชนี พลซื่อ จะอยู่ที่เขตเลือกตั้งที่ 3 คืออำเภอโพนทอง หนองพอก เมยวดี เสลภูมิ และโพธิ์ชัย แต่ชนะไม่ขาด ส่วน นายมังกร ยนต์ตระกูล ซึ่งขึ้นชื่อคู่กับ สจ.กลุ่มพลังประชาชน 101 ใน 20 อำเภอ คะแนนชนะขาด ตั้งแต่อำเภอเชียงขวัญ ธวัชบุรี จังหาร ทุ่งเขาหลวง เมืองร้อยเอ็ด ศรีสมเด็จ เมืองสรวง จตุรพักตรพิมาน อาจสามารถ ปทุมรัตต์ เกษตรวิสัย สุวรรณภูมิ พนมไพร หนองฮี และโพนทราย ล้วนชนะขาด สาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้กลุ่มพลซื่อไม่ได้รับ เลือกให้ดำรงตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองของจังหวัดร้อยเอ็ด ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น แต่กลุ่มพลซื่อก็ยังมีความ สำคัญและขับเคลื่อนการเมืองในจังหวัดร้อยเอ็ดอยู่อย่างต่อ เนื่องและอาจจะรอเวลาที่เหมาะสมในการกลับมาทำงาน ทางการเมืองอีกครั้งในโอกาสต่อไป 235
นักการเมืองถ่ินจังหวัดร้อยเอ็ด 1.3 เครือข่ายความสัมพันธ์ของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรพ้ืนท่ีอำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิ 142 แผนภาพที่ 5.4 เครือขเาคยครวอื ามขสา่ัมพยนั คธขวอางมนักสกาัมรเพมอื นั งพธื้น์ขทีอ่ อาํ เงภอนเกักษกตราวสิรัยเอมําเอื ภองสพวุ ร้ืนรณทภ ีู่มิ อำเภอเกษตรวสิ ัย อำเภอสวุ รรณภมู ิ อ.เกษตรวิสัย ศกั ดา คงเพชร จิตรา คงเพชร สจ.อ. ส.ส. 7 สมยั เกษตรวิสัย พันธมิตรทางการเมอื ง กิตติ สมทรัพย ≠ พนั ธมติ รของ ส.ส. รัชนี พลซ่อื ตีน๋ อ ย ชอบขาย พงษศกั ด์ิ เลาพาณิช อ.สุวรรณภูมิ อดตี สจ. นริศรา ชอบขาย ณฐั วุฒิ ชอบขาย กิตศิ ักด์ิ เลาพาณิช สจ.อ.เกษตรวสิ ัย นายกเทศมนตรีโพนทอง กลมุ คงเพชร กลุมคงเพชรนําโดยนายศักดา คงเพชร ส.ส.รอยเอ็ด พรรคพลังประชาชน เปนสมาชิกกลุม อสี านพฒั นาภายใตนายไพจิต ศรวี รขาน ส.ส.พรรคความหวังใหม เคยสังกัดกลุมวังนํ้าเย็นของนายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.พรรคไทยรักไทย นายศักดาเปนแกนนําในกลุมอีสานพัฒนาท่ีออกมาเปดเผยขอมูลเพื่อ เรียกรองใหตรวจสอบคนใกลตัวนายสมัคร สุนทรเวช และกลุมแกงออฟโฟรในเร่ืองทุจริต ซ่ึงทําใหเกิด ค2ว3าม6ขดั แยง ในพรรคพลังประชาชนพอสมควร ฐานเสียงหลักของนายศักดาอยูในพ้ืนท่ี อําเภอเกษตรวิสัย และอําเภอสุวรรณภูมิ โดยมี เครอื ขายการเมอื งในระดบั ทอ งถน่ิ กับตระกูลชอบขาย ซง่ึ เปน สจ.ในพ้นื ทอี่ ําเภอเกษตรวิสัย และมีพันธมิตร
เครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ และการหาเสียง กลุ่มคงเพชร กลุ่มคงเพชรนำโดยนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน เป็นสมาชิกกลุ่มอีสานพัฒนาภายใต ้ นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.พรรคความหวังใหม่ เคยสังกัด กลุ่มวังน้ำเย็นของนายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.พรรคไทยรักไทย นายศักดาเป็นแกนนำในกลุ่มอีสานพัฒนาที่ออกมาเปิดเผย ข้อมูลเพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบคนใกล้ตัวนายสมัคร สุนทรเวช และกลุ่มแก๊งออฟโฟร์ในเรื่องทุจริต ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งใน พรรคพลังประชาชนพอสมควร ฐานเสยี งหลกั ของนายศกั ดาอยใู่ นพน้ื ท่ี อำเภอเกษตรวสิ ยั และอำเภอสุวรรณภูมิ โดยมีเครือข่ายการเมืองในระดับท้องถิ่น กับตระกูลชอบขาย ซึ่งเป็น ส.จ.ในพื้นที่อำเภอเกษตรวิสัย และ มีพันธมิตรทางการเมืองกับนายกิตติ สมทรัพย์ ส.ส.เขตอำเภอ สุวรรณภูมิ ส่วนคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญคือ ตระกูลพลซื่อ และพันธมิตรทางการเมืองระดับท้องถิ่นของพลซื่อ คือตระกูล เล้าพาณิช เส้นทางทางการเมืองของนายศักดา คงเพชร เป็น ส.ส.เริ่มต้นจากพรรคความหวังใหม่ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สังกัดอยู่ในกลุ่มวังน้ำเย็นของนายเสนาะ เทียนทอง เข้าสังกัด ไทยรักไทยตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นพลังประชาชน นายศักดา คงเพชร ไม่เคยแสดงบทบาทโดดเด่นอะไร กระทั่งเกิดความ ขัดแย้งหนักในพรรคพลังประชาชน เกิดการเปิดฉากถล่มกัน ระหว่างกลุ่มเพื่อนเนวิน และกลุ่มอีสานพัฒนา นายศักดา คงเพชร ได้โอกาสสำคัญยิ่งที่จะแสดงฝีมือและบทบาทของ 237
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335