นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู โดย รองศาสตราจารย์ ดร.วลั ลภ รฐั ฉตั รานนท์, นพพล อัคฮาด ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data วัลลภ รัฐฉตั รานนท์. นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั หนองบวั ลำภ-ู - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2559. 264 หน้า. 1. นักการเมือง - - หนองบัวลำภู. 2. หนองบัวลำภู - - การเมืองการปกครอง l. ชื่อเรื่อง. II. นพพล อัคฮาด ผู้แต่งร่วม. 342.2092 ISBN 978-974-449-XXX-X รหัสสิง่ พมิ พ์ของสถาบนั พระปกเกลา้ สวพ.58-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนงั สอื 978-974-449-XXX-X ราคา พมิ พ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2559 จำนวนพมิ พ ์ 500 เล่ม ลิขสทิ ธ์ ิ สถาบันพระปกเกล้า ท่ีปรึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้แต่ง วัลลภ รัฐฉัตรานนท์ และ นพพล อัคฮาด ผ้พู ิมพ์ผโู้ ฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จดั พมิ พโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พมิ พ์ที่ บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225
นักการเมืองถิ่น จังหวัดหนองบัวลำภู วัลลภ รัฐฉัตรานนท์ นพพล อัคฮาด สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ
คำนำ การวิจัยโครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลการเมืองถิ่น และนักการเมืองถิ่น จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นโครงการวิจัย สำรวจเพื่อให้ทราบถึงข้อมูลที่เป็นจริงของการเมืองถิ่นและ นักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งสำเร็จลงด้วย ความสมบูรณ์เป็นเบื้องต้นเพื่อรอการพัฒนาให้สมบรู ณ์ยิ่งขึ้นไป ซง่ึ จะทำใหส้ ามารถสรา้ งความเขา้ ใจในปรากฏการณท์ างการเมอื ง ของจังหวัดหนองบัวลำภูนับตั้งแต่มีการจัดตั้งจังหวัดขึ้นใน พ.ศ.2536 จนถึงปัจจุบัน และผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยคาด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเติมเต็มเรื่องราวต่างๆ ของการเมือง ถิ่นและนักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ที่ขาดหาย ไปของภาคการเมืองที่ศึกษากันอยู่ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์ สำหรับการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมืองของ ประเทศ อันอาจนำไปสู่การเป็นบทเรียนกรณีศึกษา (Case Study) เพื่อการพัฒนาทางการเมืองการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยรปู แบบรัฐสภา
นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ความสำเร็จดังกล่าวเป็นผลมาจาก คุณณัฏฐกาญจน์ ศุกลรัตนเมธี คุณวิศิษฎ ชัชวาลทิพากร และ ดร.ถวิลวดี บุรีกุล แห่งสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้าที่ให้ความ ช่วยเหลือด้านการประสานงานและคำแนะนำในการดำเนินการ จนสำเร็จลงด้วยดี และสถาบันพระปกเกล้าที่มีดำริเริ่มต้น ในการศึกษาและสนับสนุนการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้เขียนใคร่ขอ ขอบคุณผู้ให้ข้อมูลสำคัญทุกท่านโดยเฉพาะสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดหนองบัวลำภูทุกท่าน ตลอดจนญาติพี่น้อง มิตรสหาย พรรคพวกเพื่อนฝูง และ ลูกศิษย์ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ที่ให้คำแนะนำที่เป็น ประโยชน์อย่างยิ่ง ขอขอบคุณคุณแม่รั่นทม อัคฮาด ที่ให้ใช้ รถยนต์ในการใช้เก็บข้อมูลในพื้นที่ ขอบคุณคุณปรัชญา วิชาคำ สำหรับที่พักในหนองบัวลำภู คุณสัมพันธ์ จันทร์โคตร สำหรับ อาหารหลายๆ มื้อ ระหว่างลงพื้นที่เก็บข้อมูล จนทำให้งานวิจัย ครั้งนี้สามารถเก็บข้อมูลและเรียบเรียงจนสำเร็จลุล่วง อย่างไร ก็ตาม เนื่องจากการดำเนินการวิจัยครั้งนี้มีข้อจำกัดหลาย ประการ ทั้งในด้านผู้ให้ข้อมูล และเงื่อนไขของเวลา อาจทำให้ ผลการวิจัยขาดความสมบูรณ์ในบางส่วน ผู้วิจัยยินดีรับฟังข้อ เสนอแนะ เพื่อนำไปปรับปรุงสำหรับการสร้างสรรค์ผลงานวิจัย และผลงานวิชาการ ต่อไป วัลลภ รัฐฉัตรานนท ์ นพพล อัคฮาด ผวู้ ิจัย
บทคัดย่อ การสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพื้นที่ จังหวัดหนองบัวลำภู มีวัตถุประสงค์เพื่อรู้จักนักการเมืองที่ได้รับ การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภูตั้งแต่มีการจัดตั้งเป็น จังหวัดหนองบัวลำภูขึ้นจนถึงปัจจุบัน และกลวิธีการหาเสียง ของนักการเมือง ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ ทำการเก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์และการเข้าสังเกตแบบมีส่วนร่วมในพื้นที่ช่วง เดอื นเมษายน – เดอื นกนั ยายน พ.ศ.2555 แลว้ ทำการตรวจสอบ ความถูกต้องและสร้างข้อสรุปโดยการจำแนกและจัดระบบ ข้อมูล จากการศึกษาพบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัด หนองบัวลำภูสามารถจำแนกได้ดังนี้ คือ นักการเมืองท้องถิ่น, นักธุรกิจในท้องถิ่น, ข้าราชการในพื้นที่ และบุคคลที่สืบทายาท ทางการเมืองของคนในครอบครัว ส่วนผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นนักการเมืองชายจำนวน 10 คน นักการเมืองหญิง 2 คน
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ในจำนวนนี้มีผู้ที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองคือ เป็นบิดา- บุตร 1 คน และคู่สมรส 1 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับ การเลือกตั้งมีจำนวน 7 คน โดยอยู่ในตำแหน่งมากสุด คือ 13 สมัย ได้แก่ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รองลงมา ได้แก่ นายไชยา พรหมา จำนวน 8 สมัย และนายวิชัย สามิตร 5 สมัย และสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการเลือกตั้ง จำนวน 5 คน อยู่ในตำแหน่งคนละ 1 สมัย พรรคการเมืองที่มีบทบาทในการเมืองถิ่นจังหวัด หนองบัวลำภู นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 จนถึง พ.ศ.2544 ที่ได้รับ ความนิยมจากประชาชน ได้แก่ พรรคความหวังใหม่ พรรค กิจสังคม และพรรคชาติพัฒนา และในช่วงปี พ.ศ. 2544 – ปัจจุบัน กระแสความนิยมของพรรคไทยรักไทยหรือพรรค การเมืองที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้การสนับสนุน เช่น พรรค พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย จะได้รับความนิยมจาก ประชาชนในจังหวัดหนองบัวลำภูอย่างสูง สำหรับวิธีการและ กลวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่นในจังหวัด หนองบัวลำภู มีหลายรูปแบบ ได้แก่ การปราศรัย การใช้รถยนต์ ตดิ เครอ่ื งขยายเสยี งประชาสมั พนั ธ์ การใหเ้ งนิ ซอ้ื เสยี ง การเขา้ รว่ ม กิจกรรมทางสังคม และการใช้หัวคะแนนในระดับหมู่บ้าน และ บทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่ม ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ พบวา่ ครอบครวั ญาตพิ น่ี อ้ ง เพอ่ื นฝงู เครอื ขา่ ย ระบบราชการในพื้นที่ การเป็นมีภูมิลำเนาในพื้นที่ และกลุ่มคน เสื้อแดงในพื้นที่ล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนทางการเมืองแก่ นักการเมืองถิ่นในจังหวัดหนองบัวลำภู VII
Abstract This study of local politicians in Nongbualamphu Province was undertaken to reveal data concerning local politicians who have been elected to parliament in the province since the establishment of the province, and examine their political campaign strategies. Data were collected for this qualitative study through interviews and participant observation during the period April to September 2011, and checked a data by typology and taxonomy. The result showed that Nongbualamphu local politicians can be classified as follows: local politicians, local businessmen, government officials, and members of political dynasties. Through the province’s history, 10 men and 2 women have been elected to parliament, , and off these had a relationship was father - son and was political ‘s wife. Mr. Kittisakdi Hathasongkorh was elected 13 consecutive times, more than any other politician, followed by Mr. Chaiya Promma who was
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู elected 8 consecutive times, and Mr. Wichai Samitr elected 5 consecutive times. There have been 5 senators elected for Nongbualamphu had amount five people and had position amount one consecutive times. Political parties that were popular in Nongbualamphu between 1995 and 2001 are New Aspiration Party, Social Action Party, and National Development Party; since B.E. 2544 parties linked to Dr. Thaksin Shinawatra—Thai Rak Thai, People’s Power Party, and Pheu Thai Party—have been the most popular. Regarding local politicians’ campaign methods and strategies, these include speechifying, the using a car engine sound speech advocates, participating in social activities, and employing canvassers at the village level. Examination of the roles and relationships of benefit group and informal group found that the important factors associated with political support to be elected as a local politician in Nongbualamphu were family, relatives, friends, networks with the bureaucracy in the area, presence of hometown people in the area and presence of red-shirt groups in the area. IX
สารบัญ หน้า คำนำ IV บทคัดย่อ VI Abstract VIII บทท่ี 1 บทนำ 1 เกริ่นนำ 1 การศึกษา “การเมืองถิ่นและนักการเมืองถิ่น” 2 จังหวัดหนองบัวลำภ ู บทที่ 2 ข้อมูลทว่ั ไป หนองบัวลำภใู นอดีต 11 หนองบัวลำภูในปัจจุบัน 11 บทที่ 3 แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวิจัยทเี่ กีย่ วข้อง 14 แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างฐานอำนาจทางการเมือง 22 แนวความคิดระบบอุปถัมภ์ 23 แนวความคิดเรื่องสังคมเครือข่ายหรือเครือข่ายสังคม 26 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 29 31
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู หน้า บทท่ี 4 ขอ้ มูลนักการเมอื งถน่ิ จังหวดั หนองบวั ลำภ ู 46 ข้อมูลการเลือกตั้งของจังหวัดหนองบัวลำภ ู 46 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภูครั้งแรก : 48 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 49 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภูครั้งที่ 2 : 51 17 พฤศจิกายน 2539 52 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภูครั้งที่ 3 : 55 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 57 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภคู รั้งที่ 4 : 60 6 มกราคม พ.ศ. 2544 61 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภคู รั้งที่ 5 : 62 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 62 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภคู รั้งที่ 6 : 64 2 เมษายน พ.ศ. 2549 67 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภูครั้งที่ 7 : 67 19 เมษายน พ.ศ. 2549 80 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภูครั้งที่ 8 : 91 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 103 การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภูครั้งที่ 9 : 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 XI การเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภคู รั้งที่ 10 : 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 สรุป ประวัตินักการเมืองถิ่นหนองบัวลำภ ู นายไพรัช นุชิต นายไชยา พรหมา ว่าที่ พันตรี ดร. สรชาติ สุวรรณพรหม นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์
นักการเมืองถ่ินหนองบัวลำภู หน้า นายพิชาญ วิบลู ย์วัฒนวงษ์ 117 นายธวัชชัย เมืองนาง 120 นายสามารถ รัตนประทีปพร 125 นายวิชัย สามิตร 135 นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ 147 ดร.อนงค์วิชญา สาริบุตร 155 นางจุรีลักษณ์ รัตนประทีปพร 159 นายรักพงษ์ ณ อุบล 162 บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผลการศกึ ษาและขอ้ เสนอแนะ 168 สรุปภาพรวมการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู 168 สรุปผลการศึกษานักการเมืองถิ่นในพื้นที่ 175 จังหวัดหนองบัวลำภู ภูมิหลังของนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู 175 เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองใน 178 จังหวัดหนองบัวลำภู บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ 183 ที่มีส่วนในการสนับสนุนนักการเมืองจังหวัดหนองบัวลำภู บทบาทของพรรคการเมืองกับนักการเมืองในจังหวัด 189 หนองบัวลำภ ู รูปแบบ วิธีการ และกลวิธีในการหาเสียงเลือกตั้งในจังหวัด 191 หนองบัวลำภ ู อภิปรายผลการศึกษา 196 ข้อเสนอแนะ 203 ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย 203 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 205 บรรณานกุ รม 207 XII
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู หนา้ ภาคผนวก ก รายชื่อผู้ให้สัมภาษณ์ 215 ข ภาพนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู 215 พ.ศ. 2538 – 2554 218 ค ข้อมูลสถิติการเลือกตั้งในจังหวัดหนองบัวลำภ ู ประวตั ิผู้วิจัย 223 245 XIII
นักการเมืองถ่ินหนองบัวลำภู หน้า 14 สารบัญแผนภาพ 16 45 แผนภาพที่ 1 : แสดงตราประจำจังหวัดหนองบัวลำภู แผนภาพที่ 2 : แสดงพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู แผนภาพที่ 3 : แสดงกรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย XIV
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 : จำนวนประชากร จังหวัดหนองบัวลำภู 20 จำแนกรายอำเภอ ปี 2553 ตารางที่ 2 : ข้อมลู การปกครอง จังหวัดหนองบัวลำภ ู 21 จำแนกรายอำเภอ ปี 2553 ตารางที่ 3 : สรุปข้อมลู การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 65 และสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดหนองบัวลำภู ปี 2538 – 2554 ตารางที่ 4 : สรุปภูมิหลังทางการเมืองของนักการเมืองถิ่น 176 ในจังหวัดหนองบัวลำภ ู ตารางที่ 5 : สรุปเครือข่ายและความสัมพันธ์ทางการเมืองของ 178 นักการเมืองถิ่นในจังหวัดหนองบัวลำภู ตารางที่ 6 : สรุปบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็น 183 ทางการที่มีส่วนในการสนับสนุนของนักการเมืองถิ่น ในจังหวัดหนองบัวลำภู ตารางที่ 7 : สรุปบทบาทของพรรคการเมืองกับนักการเมืองถิ่น 189 ในจังหวัดหนองบัวลำภู ตารางผนวกที่ 1 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 224 จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อ 2 กรกฎาคม 2538 ตารางผนวกที่ 2 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 227 จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ตารางผนวกที่ 3 : ผลการเลอื กตง้ั สมาชกิ วฒุ สิ ภาจงั หวดั หนองบวั ลำภ ู 230 วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ตารางผนวกที่ 4 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบ 231 แบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัดหนองบัวลำภู วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 XV
นักการเมืองถ่ินหนองบัวลำภู หน้า ตารางผนวกที่ 5 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซ้ำใน 235 เขตเลือกตั้งที่ 2 ของจังหวัดหนองบัวลำภ ู วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2544 ตารางผนวกที่ 6 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบ 236 แบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัดหนองบัวลำภู วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ตารางผนวกที่ 7 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบ 237 แบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัดหนองบัวลำภู วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ตารางผนวกที่ 8 : ผลการเลอื กตง้ั สมาชกิ วฒุ สิ ภาจงั หวดั หนองบวั ลำภ ู 238 วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2549 ตารางผนวกที่ 9 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบ 239 แบ่งเขตเลือกตั้งจังหวัดหนองบัวลำภ ู วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ตารางผนวกที่ 10 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัด 242 หนองบัวลำภู วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551 ตารางผนวกที่ 11 : ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 243 ในระบบแบ่งเขตเลือกตั้งของจังหวัดหนองบัวลำภู วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 XVI
บ1ทท ่ี บทนำ เกร่ินนำ โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจ เพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ที่สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดสรรทุน สนับสนุนให้นักวิชาการในพื้นที่ดำเนินการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ทำการวิจัย โดยมีฐานคิดว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น ระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ได้สร้างระบบ การเมืองในรูปแบบที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตนไปทำหน้าที่ กำหนดนโยบายสาธารณะทั้งในระดับชาติ และในระดับท้องถิ่น แทนตน ซึ่งที่ผ่านมา การศึกษาการเมืองการปกครองไทยยังคง มงุ่ เนน้ ไปทก่ี ารเมอื งระดบั ชาตเิ ปน็ สว่ นใหญ่ สง่ิ ทข่ี าดหายไปของ ภาคการเมืองที่ศึกษากันอยู่ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “การเมืองถ่ิน”
นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ที่เป็นการศึกษาเรื่องราวของการเมืองที่เกิดขึ้นในอาณา- บริเวณของท้องถิ่นที่เป็นจังหวัดต่าง ๆในประเทศไทย ซึ่งเป็น ปรากฏการณ์ที่เป็นภาพคู่ขนานไปกับการเมืองระดับชาต ิ อีกระนาบหนึ่ง เพราะในขณะที่เวทีการเมือง ณ ศูนย์กลางของ ประเทศกำลังเข้มข้นไปด้วยการชิงไหวชิงพริบของนักการเมือง ในสภาและพรรคการเมืองต่างๆ การเมืองอีกด้านหนึ่งในพื้นที่ จังหวัดต่างๆหรือท้องถิ่นต่างๆ บรรดาสมัครพรรคพวกและ ผู้สนับสนุนทั้งหลาย ก็กำลังดำเนินกิจกรรมเพื่อรักษาฐานเสียง ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน และทันทีที่ภารกิจในส่วนกลางสิ้นสุดลง การลงพื้นที่พบประชาชนตามสถานที่ต่าง ๆ และการร่วมงาน บุญงานประเพณี เป็นสิ่งที่นักการเมืองผู้หวังชัยชนะในการ เลือกตั้งจะต้องปฏิบัติให้ได้อย่างทั่วถึงมิให้ขาดตกบกพร่อง ภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆ ได้สะท้อนให้เห็นถึงหลาย สิ่งหลายอย่างของการเมืองไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องเป็น เวลาอันยาวนาน ในแง่มุมที่อาจถูกมองข้ามไปในการศึกษา การเมืองระดับชาติ “การเมืองถ่ิน” และ “นักการเมืองถิ่น” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจทำการศึกษา เพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ ที่ขาดหายไป และสิ่งที่ได้ทำการศึกษาค้นพบน่าจะสามารถช่วย ให้เข้าใจการเมืองไทยได้ชัดเจนมากขึ้น จกังาหรศวัดึกหษนาอ“งกบาัวรลเำมภือู งถิ่นและนักการเมืองถ่ิน” สำหรับการศึกษาเรื่องราวของการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นใน ประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2554 ซึ่งมีการเลือกตั้ง ทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 24 ครั้ง (วันที่ 3
บทนำ กรกฎาคม 2554) มีการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกวุฒิสภา มาแล้ว 3 ครั้ง (2543,2549, และ 2551) ในยุคสมัยของ 3 รัชกาล โดยเป็นการเลือกตั้งในช่วงรัชกาลที่ 7 จำนวน 1 ครั้ง ช่วง รัชกาลที่ 8 จำนวน 3 ครั้งและช่วงรัชกาลที่ 9 จำนวน 23 ครั้ง เมื่อพิจารณาข้อมูลการเลือกตั้งในครั้งแรกอันเป็นการเลือกตั้ง ทั่วไป สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 พบว่า เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมในระบบรวมเขตใช้เขตจังหวัด เป็นเขตเลือกตั้ง โดยให้กรมการอำเภอจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มี สิทธิออกเสียงในตำบลนั้นแล้วให้เลือกตั้งผู้แทนตำบล ๆ ละ 1 คน เมื่อได้ผู้แทนตำบลแล้วผู้แทนตำบลจึงมาออกเสียง เลือกตั้ง ส.ส. ของจังหวัด ซึ่งผู้แทนตำบลมีสิทธิเลือก ส.ส. ได้เท่ากับจำนวน ส.ส. ที่จังหวัดนั้นพึงมี ได้ผู้แทนราษฎร รวมทั้งสิ้น 78 คน ให้มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี มีจังหวัดที่มีผู้แทนได้ 3 คนมี 2 จังหวัดคือพระนครและ อุบลราชธานี รองลงมาเป็นจังหวัดที่มีผู้แทนได้ 2 คนมี 4 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ นครราชสีมา มหาสารคามและ ร้อยเอ็ด ซึ่งขณะนั้นพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูยังอยู่ภายใต้การ ปกครองของจังหวัดอุดรธานีซึ่งมีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน โดยใน การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกปรากฏว่ามีผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง 4,278,231 คนมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 1,773,532 คน คิดเป็นร้อยละ 41.45 (วิกิพีเดีย, 2556) จนกระทั่งมาถึงการเลือกตั้งทั่วไปล่าสุด เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั้งระบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 375 คนและ ระบบบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองจำนวน 125 คน รวมทั้งสิ้น 500 คน โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. เป็น
นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ห น ่ ว ย ง า น ก ล า ง ท ี ่ ม ี ห น ้ า ท ี ่ ด ำ เ น ิ น ก า ร จ ั ด ก า ร เ ล ื อ ก ต ั ้ ง มีจังหวัดที่มีผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร จำนวน 33 คน รองลงมาคือจังหวัด นครราชสีมา มีผู้แทนได้ 15 คน สำหรับจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งแยกออกมาจากการปกครองของจังหวัดอุดรธานีและจัดตั้ง เป็นจังหวัดใหม่ขึ้นเมื่อปี 2536 มีผู้แทนราษฎรของจังหวัดได้ 3 คน สำหรับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นพบว่าทั่วประเทศมีผู้ออก มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งกว่า 35,203,107 คน จากผู้มีสิทธิทั่วประเทศ 46,921,682 คน คิดเป็นร้อยละ 75.03 (สำนักงานคณะกรรมการ การเลอื กตง้ั , 2554) ทำใหเ้ หน็ วา่ ระยะเวลาทร่ี ะบอบประชาธปิ ไตย ของประเทศภายใต้การยึดกติการ่วมกันคือ “การเลือกตั้ง” ได้ดำเนินมาเป็นเวลา 80 ปี ภายใต้กฎเกณฑ์การเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ นายกรัฐมนตรี 28 คน คณะรัฐมนตรี 60 ชุด โดยแต่ละช่วงเวลาการเลือกตั้งจะมีสภาพเหตุการณ์ ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ซึ่งบางช่วงเวลาเป็นการเลือกตั้ง ภายใต้กฎหมายที่มีความเป็นประชาธิปไตย บางช่วงเป็น การเลือกตั้งภายใต้กฎเกณฑ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่อย่างไร ก็ตามก็ต้องถือว่ากติกาอันเป็นหัวใจของการได้มาซึ่งผู้แทน ในระบบรัฐสภาเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชนวิธีนี้ ยังเป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมากกว่าการรัฐประหารหรือการใช้ วิธีการอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นมา และด้วยระยะเวลาที่ผ่านมา ก็พบว่าบรรดาตัวเลขผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งของไทยก็ถือได้ว่า เพิ่มขึ้นตามลำดับการพัฒนาในระบอบประชาธิปไตยที่ดำรง อยู่ไปเรื่อยๆ
บทนำ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากล่าวได้ว่า การเลือกตั้งผู้แทน มีข้อสังเกตหลายประการที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่เข้าใจ คุณค่าการเลือกตั้ง มีการซื้อเสียงมากขึ้น มีการใช้อำนาจรัฐเพื่อ ช่วยเหลือพรรคการเมืองและผู้สมัคร การเข้าสู่ตำแหน่งทาง การเมืองใช้วิธีการที่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้ง ผู้แทนที่ประชาชน เลือกไม่มีคุณภาพที่ดีพอที่จะนำไปสู่การปฏิรูปการเมือง ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2548) แต่จะรวมกลุ่มกันเพื่อต่อรองแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ของ ตนเอง และการใช้ระบบอุปถัมภ์ในท้องถิ่นจนทำให้นำไปสู่ ความสำเร็จในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งอาจสรุป เป็นกรอบการศึกษาว่า ปัญหาการเมืองไทยเกิดจากความ ไม่พร้อมและความไม่มีสำนึกของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (ประจักษ์ ก้องกีรติ, 2555: น. 9 – 16) ด้วยวิธีการดังกล่าว ข้างต้นเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยมคี วามกา้ วหนา้ ชา้ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากปญั หาการซอ้ื สทิ ธข์ิ ายเสยี ง ไมล่ ดลง นกั การเมอื ง หลายคนโดยเฉพาะในภาคอีสานได้รับเลือกตั้งติดต่อกันหลาย สมัย แต่ไม่ได้มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาประชาชนตาม กระบวนการประชาธิปไตย (สมบัติ จนั ทรวงศ,์ 2536) ประชาชน ขอรับความช่วยเหลือจากนักการเมือง ในด้านที่ไม่ใช่หน้าที่ใน ฐานะนักการเมือง ประชาชนไม่สามารถวิเคราะห์เหตุผลที่ นักการเมืองซื้อเสียงได้ว่า นักการเมืองจะได้รับประโยชน์จาก การใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของตนเองและ ครอบครัวอย่างไร (วัลลภ รัฐฉัตรานนท์, 2553: น. 129-130) ดังนั้นการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง ประชาชน
นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู มีความเกี่ยวพันกับการเมืองตามอุดมการณ์ด้านการเมืองมิใช่ การร้องขอและเรียกรับผลประโยชน์ส่วนตัวเพียงเล็กน้อยแล้ว ตอบแทนแลกเปลี่ยนด้วยการลงคะแนนเสียงให้ อีกทั้ง ไม่สามารถทำให้ประชาธิปไตยพัฒนาด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือเพิ่มบทลงโทษให้สูงขึ้นเท่านั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างศรัทธาต่อคุณค่าของ ประชาธิปไตยในกลุ่มประชาชน (เอนก เหล่าธรรมทัศน์, 2550) อีกทั้งปัจจุบันแม้จะมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับประชาธิปไตย มากขึ้น ทั้งที่เป็นการศึกษาในระบบโรงเรียนและการศึกษาตาม อัธยาศัย แต่ความรู้ส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับสาระ หลักการกว้างๆ ซึ่งมองไม่เห็นภาพที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น ไม่สามารถเรียบเรียงเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นใน ภูมิลำเนาที่ตนเองอาศัย จึงเกิดความรู้สึกว่า การเมืองเป็นเรื่อง ไกลตัว เป็นเรื่องของชนชั้นนำเป็นเรื่องของนักการเมือง อีกทั้ง การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในพื้นที่จังหวัด หนองบัวลำภู โดยเฉพาะพฤติกรรมทางการเมืองในจังหวัด หนองบัวลำภูไม่เคยมีผู้ศึกษามาก่อน ทำให้ผู้ที่สนใจไม่มีแหล่ง สืบค้นข้อมูลในการศึกษา นอกจากนี้ จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นพื้นที่ของจังหวัด ใหม่ซึ่งแยกการปกครองออกจากจังหวัดอุดรธานีเมื่อปี 2536 เป็นจังหวัดขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับจังหวัดต่างๆ ใน ภูมิภาคเดียวกัน ซ้ำยังถูกจัดให้เป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อ หัวต่อปีของประชากรต่ำที่สุด หรือประชาชนมีฐานะยากจนที่สุด ในประเทศไทย (สำนักงานสถิติจังหวัดหนองบัวลำภู, 2552) นบั ตง้ั แตจ่ ดั ตง้ั เปน็ จงั หวดั ขน้ึ มา การพฒั นาจงั หวดั หนองบวั ลำภู
บทนำ แม้จะเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลหรือราชการบริหารส่วนภูมิภาค ในพื้นที่ก็ตาม แต่ที่ขาดมิได้และถือเป็นความหวังสำคัญสำหรับ การพัฒนาพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูอย่างแท้จริงคือ บรรดา ผู้แทนฯ ทั้งหลายที่ได้รับการเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัด หนองบัวลำภู ซึ่งการศึกษาเรื่องราวของผู้แทนฯ ที่มาจาก การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในจังหวัดแห่งนี้ นอกจากจะทำให ้ เห็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่สำคัญอย่างหนึ่งในพื้นที ่ ภาคอีสาน นั้นคือ การมองว่าพื้นที่ภาคอีสานเป็นฐานเสียงของ นักการเมืองที่หวังจะเป็นรัฐบาล หากถึงเวลาเลือกตั้งขนเงินใส่ กระเป๋าเจมส์บอนด์ (James bond Bag) มาแจกชาวบ้านเพื่อ ลงคะแนนเสียงให้ก็จะได้เป็นผู้แทนของคนภูมิภาคนี้ ดังกรณี “โรคร้อยเอ็ด” ที่เกิดขึ้นสมัยพุทธทศวรรษ 2520 โด่งดังไป ทั่วบ้านทั่วเมืองในช่วงเวลานั้น (ไชยา พรหมา, 2555) หรือ การมองว่าพื้นที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ผูกขาดของพรรคการเมือง บางพรรคตั้งแต่การเลือกตั้งหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2540 อันทำให้การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นทุกครั้ง พรรคการเมืองดังกล่าวต่างประสบชัยชนะและเป็นแกนนำ ในการจัดตั้งรัฐบาลทุกครั้ง อันเนื่องมาจากฐานเสียงที่สำคัญ และเป็นภูมิภาคใหญ่ที่สุดก็คือคนอีสานนั้นเอง (วัลลภ รัฐฉัตรานนท์และนพพล อัคฮาด, 2553: 7) ซึ่งเหตุผลเบื้องหลัง ของปรากฏการณ์ตามที่กล่าวมานี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่า เกิดขึ้นจากสาเหตุใด แต่ก็มีนักวิชาการและสื่อมวลชนบางส่วน เสนอความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว เกิดจากความเป็นภูมิภาคที่ประชากรส่วนใหญ่ยากจน ขาด ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู (ประจักษ์ ก้องกีรติ, 2555: น. 15–16) หรือสื่อมวลชนบางสำนัก เรียกว่า “คนอีสานชื้อได้” (วัลลภ รัฐฉัตรานนท์ และนพพล อคั ฮาด, 2555: 49) โดยมองวา่ คนอสี านซง่ึ รวมทง้ั คนหนองบวั ลำภู ด้วยเป็นพวกที่ไม่เข้าใจในสิทธิการเลือกตั้งและขายสิทธิ์ของตน ในการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยให้แก่นักการเมืองที่มีเงินมา ซื้อเสียง ดังนั้นการศึกษาเรื่องราวของบรรดาผู้แทนฯที่มาจาก การเลือกตั้งในภาคอีสานจึงเป็นประเด็นสำคัญที่น่าสนใจเพื่อ หาคำตอบว่าแท้ที่จริงพวกบรรดาผู้แทนฯอีสานโดยเฉพาะ จังหวัดหนองบัวลำภูได้มีพฤติกรรมที่กระทำต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งของตนอย่างไรเพื่อเป็นคำอธิบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองในจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งจะ สามารถใช้เป็นข้อมูลในการสืบค้น อ้างอิงและการวิเคราะห์ ในทางวิชาการต่อไป งานวิจัย “นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู” จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักการเมือง ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในจังหวัดหนองบัวลำภู เครือข่ายและ ความสัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัดหนองบัวลำภู ความ สัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีส่วนในการสนับสนุน ทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัดหนองบัวลำภู บทบาท และความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับการเลือกตั้งในจังหวัด หนองบวั ลำภู และวธิ กี ารหาเสยี งในการเลอื กตง้ั ของนกั การเมอื ง ในจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งผู้วิจัยได้จำกัดขอบเขตการศึกษาทาง ภูมิศาสตร์โดยใช้เขตเลือกตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู จำกัด
บทนำ ขอบเขตการศึกษาทางระยะเวลาโดยใช้เวลาตั้งแต่การเลือกตั้ง ครั้งแรกภายหลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัด หนองบวั ลำภู พ.ศ. 2536 ถงึ การเลอื กตง้ั ทว่ั ไปเมอ่ื วนั ท่ี 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 และให้ความสำคัญกับการเจาะลึกประวัต ิ นักการเมืองถิ่น โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นตำนานหรือมีความ สำคัญในแต่ละช่วงเวลา / ยุค และทำการศึกษาจากเอกสาร และสัมภาษณ์ครอบครัว บุคคลใกล้ชิด หัวคะแนน ประชาชน ในพื้นที่ที่รู้จักมักคุ้ยกันเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก โดยให้ประเด็นที่ศึกษาครอบคลุมประเด็นตามวัตถุประสงค์ ที่ทำการศึกษาเป็นสำคัญ การวิจัยนี้ใช้เทคนิควิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งประกอบด้วยการศึกษาวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Non Structure Interview) จากบุคคลผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informant) ซึ่งคัดเลือกอย่าง เจาะจงและตรวจสอบความถูกต้องด้วยวิธีการตรวจสอบ สามเส้า (Methodological Triangulation) ด้านวิธีรวบรวมข้อมูล โดยการตรวจสอบข้อมูลเดียวกันจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญหลายคน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง หลังจากนั้นนำข้อมูล มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลแบบสร้างข้อสรุปตามแนวทางของ สุภางค์ ฉันทวนิช (2542 : น.131-152) ซึ่งประกอบด้วย การวิเคราะห์แบบอุปนัย การจำแนกชนิดของข้อมูล และ การเปรียบเทียบข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อสรุปต่างๆ ร่วมกันตาม วัตถุประสงค์ที่ทำการศึกษาประเด็นนั้นๆ
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการศึกษานักการเมืองถิ่น จังหวัดหนองบัวลำภู คือ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ นักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา เครือข่ายและความสัมพันธ์ของ นักการเมืองในจังหวัด บทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ บทบาทและความ สัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับการเลือกตั้งในจังหวัด และวิธีการ หาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมืองในจังหวัด ซึ่งใช้เป็นฐาน ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติและข้อมูลพื้นฐานการเลือกตั้ง เพื่อใช้ ประโยชน์ในการอ้างอิง และเป็นเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง กับวัฒนธรรมด้านการเมืองจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งจะทำให้ องค์ความรู้เกี่ยวกับจังหวัดหนองบัวลำภูมีความหลากหลาย มากขึ้น ตลอดจนสามารถนำเนื้อหาสาระ องค์ความรู้จาก การศึกษาวิจัยมาใช้ประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตร สถานศึกษาได้ และองค์ความรู้เหล่านี้สามารถนำไปสู่การสร้าง จิตสำนึกทางการเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยของไทยในอนาคตต่อไปได้ 10
บ2ทท ่ี ข้อมูลท่ัวไป หนองบัวลำภูในอดีต ประมาณ พ.ศ. 2106 สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่ง ราชอาณาจักรล้านช้าง ทรงสถาปนาพระนครที่เวียงจันทน์ ได้นำผู้คนอพยพเข้ามาสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นที่บริเวณ หนองซำช้างเชิงเขาภูพานขึ้นเรียกว่า “เมืองจำปานคร กาบแก้วบัวบาน” มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านของเมือง เวียงจันทน์แต่คนทั่วไปมักนิยมเรียกชื่อเมืองตามลักษณะ ภูมิประเทศว่า “เมืองหนองบัวลุ่มภู” จากนั้นประมาณ พ.ศ. 2117 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 19 พรรษา ได้ตามเสด็จพระราชบิดานำกองทัพไทยเพื่อไปช่วย กองทัพพม่าตีเวียงจันทน์ เมื่อเสด็จประทับพักแรมที่บริเวณ หนองซำช้างหรือหนองบัวลำภูในปัจจุบัน พระองค์ได้ประชวร เปน็ ไขท้ รพษิ จงึ เปลย่ี นพระทยั เสดจ็ นำกองทพั กลบั สกู่ รงุ ศรอี ยธุ ยา
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู อันเป็นที่มาของการสร้างศาลขึ้นบริเวณนั้น (เสรี อุ่นยวง, 2543: น. 23) และเปน็ สญั ลกั ษณใ์ นตราประจำจงั หวดั หนองบวั ลำภตู อ่ มา พ.ศ. 2310 ในสมัยพระเจ้าสิริบุญสารแห่งเวียงจันทน์ ซึ่งตรงกับต้นสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระวอ พระตา ขุนนางผู้ใหญ่แห่งเวียงจันทน์ เกิดความขัดแย้งภายใน กับราชสำนัก จึงนำกำลังคนอพยพเข้ามาอาศัยบริเวณเมือง หนองบัวลุ่มภู โดยบูรณะและปรับปรุงขึ้นใหม่ สร้างกำแพงหิน บนเขาภพู านไวป้ อ้ งกนั ขา้ ศกึ และเปลย่ี นชอ่ื เปน็ “นครเขอ่ื นขนั ธ์ กาบแก้วบัวบาน” ตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับเวียงจันทน์ กองทัพเวียงจันทน์ จึงยกทัพมาโจมตีสู้รบกันอยู่ประมาณ 3 ปี ก็ยังไม่สามารถตีเมืองได้ กองทัพเวียงจันทน์จึงขอให้กองทัพ พม่าช่วยเหลือ จึงสามารถตีเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ได้สำเร็จ โดยพระตาเสียชีวิตในที่รบ เมืองจึงกลับไปขึ้นกับ เวียงจันทน์อีกครั้งหนึ่ง ในสมยั รชั กาลท่ี 4 พระปทมุ เทวาภบิ าล เจา้ เมอื งหนองคาย ได้แต่งตั้งพระวิชโยดมภมุทธเขต มาสร้างนครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบานขึ้นใหม่มีฐานะเป็นเมืองเอก ชื่อเมือง “กมุทธไสยบุรีรัมย์” หรือ “กมุทาสัย” โดยมีพระวิชโยดมภมุทธ เขตเป็นเจ้าเมืองคนแรก ต่อมาในพ.ศ. 2435 กรมพระยาดำรงรา ชานุภาพเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้ปฏิรูปการปกครอง ส่วนภูมิภาค โดยรวมหัวเมืองเป็นมณฑลต่างๆ รวม 6 มณฑล รวมทั้งมณฑลลาวพวนโดยให้มีข้าหลวงที่เป็นเจ้านายจาก ส่วนกลางเป็นผู้รับผิดชอบมณฑล เมืองกมุทาสัยถูกจัดเป็น หวั เมอื งเอก 1 ใน 16 หวั เมอื งของมณฑลลาวพวน ซง่ึ ในขณะนน้ั มีกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เสนาบดีกระทรวงวังเป็นข้าหลวง 12
ข้อมูลท่ัวไป บัญชาการมณฑล เปลี่ยนชื่อมณฑลลาวพวนเป็นมณฑล ฝ่ายเหนือเมืองกมุทาสัย เป็น 1 ใน 12 เมืองขึ้นกับมณฑล ฝ่ายเหนือ ต่อมาในพ.ศ. 2443 ได้เปลี่ยนชื่อมณฑลฝ่ายเหนือ เป็นมณฑลอุดร และให้รวมเมืองต่างๆ ในมณฑลอุดร เป็น 5 บรเิ วณ โดยเมอื งกมุทาสยั ถกู รวมอย่ใู นบรเิ วณบ้านหมากแข้ง ตั้งที่ว่าการบริเวณบ้านหมากแข้ง(ปัจจุบันคือที่ตั้งของตัวจังหวัด อุดรธานี) โดยส่งข้าหลวงจากกรุงเทพฯ ออกไปเป็นข้าหลวง บริวารควบคุมเจ้าเมืองต่างๆ ต่อมา พ.ศ. 2449 รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองกมุทาสัย เป็นเมืองหนองบัว- ลุ่มภู แต่เรียกเพี้ยนเป็น “หนองบัวลำภู” ขึ้นอยู่กับบริเวณ หมากแข้ง และในพ.ศ. 2450 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวง มหาดไทยรวมเมืองต่างๆ ในบริเวณหมากแข้งตั้งเป็นเมืองจัตวา เรียกว่าเมืองอุดรธานี ส่วนเมืองในสังกัดเดิมให้มีฐานะเป็น อำเภอ หนองบัวลำภู จึงกลายเป็น “อำเภอหนองบัวลำภู” ขึ้น กับจังหวัดอุดรธานี (เสรี อุ่นยวง, 2543 : น. 23-34) จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2536 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบหลักการจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูตามที่ กระทรวงมหาดไทยเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และรัฐสภาได้อนุมัติ ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู แล้วประกาศ เป็นพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูในหนังสือ ราชกิจจานุเบกษาลงฉบับพิเศษเล่มที่ 110 ตอนที่ 125 วันที่ 2 กันยายน 2536 ให้มีผลใช้บังคับในวันที่ 1 ธันวาคม 2536 เหตุผลในการประกาศให้ใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากจังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดทีมีอาณาเขตกว้างขวาง มีพลเมืองจำนวนมาก และเป็นจังหวัดที่ใกล้เคียงกับจังหวัด 13
นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ชายแดน มีปัญหาเกี่ยวกับผู้อพยพ ปัญหาการแทรกซึม และ การบอนทำลายของผู้ไม่ประสงค์ดี และผู้ก่อการร้ายทั้งภายใน และภายนอกประเทศ อันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงของ ประเทศ ดังนั้น เพื่อประโยชน์แก่การปกครองการรักษาความ มั่นคงและการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในท้องที่ สมควรจะแยกอำเภอหนองบัวลำภู อำเภอนากลาง อำเภอ สุวรรณคูหา อำเภอศรีบุญเรือง อำเภอโนนสังออกจากจังหวัด อดุ รธานี รวมจดั ตง้ั เปน็ จงั หวดั หนองบวั ลำภขู น้ึ (พระราชบญั ญตั ิ จัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภ,ู 2536) หนองบัวลำภูในปัจจุบัน 8 หลังจากมีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภ ู ซง่ึ มผี ลบงั คบั ใชอ้ ยา่ หงนเปองน็ บทวั าลงำกภาใู นรเปมัจอ่ื จวบุ นั นั ท่ี 1 ธนั วาคม พ.ศ. 2536 เมอ่ื วนั ปจทห่ีังร1ลหะงธั จนัวเาทวักดามศคหพีมไนรทพะอร.ยศางช.ซบบ25ึญ่ังัว3ญม6ลตัจีขำจิงั ภด้หัอตวูจมงดัั้ จึงหูลงั นไหทดอวงดัั่้วถบหวไัือนลปอกางภเำบกูจวเังึ ีน่ลไยดาิดวภถ้ ซูอืกขกง่ึ ัึ้บนมาเผี นเสลปดิ บภข็นงั น้ึาคเจบัปพใัง็นชทหจอ้ งัยาวหา่ งวัดงดัเกปหหา็นนนทย่งึ ึาข่งภงอขกงาาอรพง ประเทศเศไทรยษซฐง่ึ มกขี ิจอ้ มสลู ทังวั่คไปมเกวย่ี ัฒวกบันสธภรารพมทางแกลายะภกาาพรเปศรกษคฐกรจิ อสงงั ดคมังนวฒัี้ นธรรม และการ ปกครองดงั แน้ีผนภาพที่ 1 : แสดงตราประจำจงั หวัดหนองบวั ลำภู แ1ผ4นภำพที่ 1 : แสดงตราประจาจงั หวดั หนองบวั ลาภู จากตราประจาจงั หวดั หนองบวั ลาภทู เ่ี ป็นพระบรมรปู สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระ หตั ถซ์ า้ ยทรงพระแสงดาบ ออกแบบใหป้ ระทบั ยนื หน้าศาล เพอ่ื เน้นใหเ้ หน็ เด่นชดั เป็นประธาน ของดวงตรา
ข้อมูลทั่วไป จากตราประจำจังหวัดหนองบัวลำภูที่เป็นพระบรมรูป สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระหัตถ์ซ้ายทรงพระแสงดาบ ออกแบบให้ประทับยืนหน้าศาล เพื่อเน้นให้เห็นเด่นชัดเป็น ประธานของดวงตรา หนองบัว แสดงให้เห็นว่าศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตั้งอยู่ริมฝั่ง หนองบัวลำภ ู ภเู ขา แสดงว่าเป็นจังหวัดที่มีภูเขาและป่าไม้ อันได้แก่ เทือกเขาภพู าน ช่ือจงั หวัดบนพ้ืนผ้า หมายถึง เป็นจังหวัดที่มีหัตถกรรมทอผ้าพื้นเมืองเป็นหลัก ชายท้งั สองขา้ งท่ผี กู เปน็ ปม หมายถึง ความสามัคคีที่ผูกพันแน่นแฟ้นของชาวหนองบัวลำภู ใช้อักษรย่อว่า “นภ” โดยมีคำขวัญของจังหวัดหนองบัวลำภู“ ศาลสมเด็จ พระนเรศวรมหาราช อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ แผ่นดิน ธรรมหลวงปู่ขาว เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้ว บัวบาน” (ที่ทำการปกครองจังหวัดหนองบัวลำภ,ู 2553) จังหวัดหนองบัวลำภู ตั้งอยู่ในภาคอีสานหรือภาค ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ระหวา่ งละตจิ ดู ท่ี 16 องศา 45 ลปิ ดาเหนอื ถึง 17 องศา 40 ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 101 องศา 57 ลิปดาตะวันออก ถึง 102 องศา 30 ลิปดาตะวันออก ห่างจาก กรุงเทพมหานคร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 210 15
จงั หวดั หนองบวั นลักากภารู เตมืองั้ งอถยิ่นจใู่ ังนหภวัดาหคนอองสี บาัวนลำหภู รอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ระหว่างละตจิ ดู ท่ี า 45 1ล0ปิ 2ดอางเหศนาเ(กปือร3็ถนุง0เงึรทะล1พยปิ7ฯดะาท-อตนงาะศคงวาปรนั ร4รอา0ะอชมกสลาีมหปิ ณาา่ดง-า6จเขห0าอก8นนกือกแรกิงุโแลเ่นลทเะพม-ลอมตอุดหงรจราหธจินาดูรคนทือรี ่ีต-1ตหา0ามน1มอททองาาบงงงศหัวหาลลลำว5วภง7งแู) ผล่นปิ ดดนิ า ก ถงึ ข 210 (กรงุ เทแพผฯ่นด–ินนหคมรารายชเลสมีขา22–8 ข(กอรนุงแเกท่นพ –- สอีคุดิ้รวธ-านชีัย-ภูหมนิ -อชงบุมวัแลพาภ- ู) เป็น งประมาณ 608 หกนโิ ลอเงมบตัวรลหำรภอื ู)ตปามระทมางาหณลว5ง1แ8ผก่นิโดลนิ เหมมตารยมเลีขขน2า2ด8พ(ื้นกทรงุ ี่รเวทมพท–ั้งสคี ว้ิ – ชุมแพ –หนองจบังวัหลวาัดภ3ู) ,ป85ร9ะ.ม1าตณาร5า1ง8กิกโลโิ เลมเมตตรรหมรือขี นปารดะมพาน้ื ณทร่ี 2ว,ม4ท11งั้ ,จ9งั3ห7ว.5ดั ไร3่,859.1 จลงั เหมวตดัรหนหอรองื บปวัรหคละนิดมาอเภาปงณู,บ็แน2ัวผร52ล้5อน,ำ34ยภภ)1ลา1ู,ะพ,295ท3057.ี่37.2)55 :ขไแอรส่ งคดปดิ งรเพปะเ็น้ืนทรทศอ้ ่ีจย(งั ทลหะี่ทวำัด0ก.ห7าน5รอปขงกอบคงัวปรลอรำะงเภจทั ูงศหว(ัทดท่ี าการ พที่ 2 : แสด1ง6พน้ื ทจ่ี งั หวดั หนองบวั ลาภู มอี าณาเขตตดิ ต่อกบั จงั หวดั อ่นื ดงั น้ี (เสรี อุ่นยวง,2543)
ข้อมูลทั่วไป มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดอื่นดังนี้ (เสรี อุ่นยวง, 2543) ทิศเหนือ ติดต่อกับ อ.น้ำโสม และ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ทศิ ใต้ ติดต่อกับ อ.สีชมพู อ.หนองนาคำ อ.ภูเวียง อ.อุบลรัตน์ และ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น ทิศตะวนั ตก ติดต่อกับ อ.ภูกระดึง อ.วังสะพุง อ.ผาขาว และ อ.เอราวัณ จ.เลย ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกับ อ.บ้านผือ อ.กุดจับ และ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดหนองบัวลำภู เป็น ที่ราบสูง บางส่วนเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลอนตื้นถึงลอนลึก มีความ สูงเฉลี่ยจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร ทาง ด้านทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเป็นทิวเขา ติดต่อกับอ.น้ำโสม จ.อุดรธานี อ.นาด้วง และอ.วังสะพุง จ.เลย พื้นที่มีลักษณะลาดลงไปทางทิศใต้และตะวันออกของจังหวัด ซึ่งเป็นที่ราบลุ่ม “ลำพะเนียง” ซึ่งถือเป็นลำห้วยที่เป็นเส้นเลือด ใหญ่ของชาวหนองบัวลำภู ดินส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายและ ลูกรังไม่สามารถเก็บน้ำหรืออุ้มน้ำ ทางด้านตะวันออกของ จังหวัดเป็นแนวทิวเขาภูพานกั้นเขตแดนกับอุดรธานีตลอด แนวจากเหนือลงใต้และติดต่อกันลงไปด้านทิศใต้จนถึงแนว อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ในเขต อ. โนนสัง (ที่ทำการปกครอง จังหวัดหนองบัวลำภ,ู 2553) 17
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ส่วนสภาพทางเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบ อาชีพเกษตรกรรม รายได้โดยทั่วไปจึงขึ้นอยู่กับการผลิต ภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง อ้อยโรงงานและสวนยาง พารา ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย ส่วนรายได้นอกภาคเกษตรกรรมส่วนใหญ่มาจากการค้าส่ง และค้าปลีก การซ่อมแซมยานยนต์และของใช้ ทั้งนี้ในปี 2552 มีการจัดทำสถิติมวลรวมภายในจังหวัด พบว่า จังหวัดมีรายได้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในจังหวัด (GDP.) 18,368 ล้านบาท ประชาชนมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีเท่ากับ 34,492 บาท (เป็น อันดับที่ 18 ของภูมิภาค และอันดับที่ 75 ของประเทศ) แต่ก็ พบว่าเมื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP.) ของจังหวัด ตั้งแต่ปี 2544-2552 ก็พบว่ายังคงมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี (สำนักงานสถิติจังหวัดหนองบัวลำภู ,2552) ในด้านการศึกษา จังหวัดหนองบัวลำภู มีสถาบัน การศึกษาในระบบการศึกษาภาคบังคับสายสามัญและสาย อาชีพ 351 แห่ง จำนวนครูประมาณ 4,200 คน มีมหาวิทยาลัย ตั้งอยู่ 1 แห่งคือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการ เฉลิมพระเกียรติจังหวัดหนองบัวลำภู มีวิทยาลัยชุมชน 1 แห่ง มีวิทยาลัยการอาชีพ 1 แห่ง มีวิทยาลัยเทคนิค 1 แห่งและ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน อำเภอละ 1 แห่งรวม 6 แห่ง (ที่ทำการปกครองจังหวัดหนองบัวลำภ,ู 2553) ด้านประชากร จังหวัดหนองบัวลำภู มีลักษณะทาง ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนไทอีสานซึ่งมีภาษาพูดที่คล้ายกับ 18
ข้อมูลทั่วไป คนลาวที่อยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มีวิถีชีวิตคล้ายชาวบ้านในหมู่บ้าน แถบภาคอีสานทั่วไปที่นิยมตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มใหญ่ มีความ เชื่อเรื่องผี เช่น ผีบ้าน ผีเมือง ผีปู่ตาฯลฯ และพระพุทธศาสนา ผสมผสานกัน มีนิสัยชอบช่วยเหลือกันภายในหมู่บ้านและ เครือญาติพี่น้อง และมีเอกลักษณ์สำคัญคือการถือจารีต ประเพณีที่เรียกว่า ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่ ในการดำเนินชีวิต นอกนั้นเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่จะประกอบธุรกิจในเขต เทศบาลหรือเขตเมือง และคนไทยอื่นๆ ที่อพยพเข้ามาภายหลัง จากการสำมะโนประชากรครั้งล่าสุดในปี 2553 (เดือนธันวาคม) จังหวัดหนองบัวลำภูมีประชากรทั้งสิ้น 513,976 คน เป็นชาย 253,003 คน หรือร้อยละ 50.35 เป็นหญิง 249,865 คน หรือ ร้อยละ 49.65 ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาล 106,642 คน หรือร้อยละ 20.75 ส่วนที่เหลือ 407,354 คน หรือร้อยละ 79.25 อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 129 คน ตอ่ ตารางกิโลเมตร รายละเอยี ดดงั ตารางท่ี 1 (ท่ีทำการ ปกครองจังหวัดหนองบัวลำภู, 2553) 19
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ตารางท่ี 1 : จำนวนประชากร จังหวัดหนองบวั ลำภู จำแนกรายอำเภอ ปี 2553 อำเภอ หลงั คา ชาย ประชากร รวม เมือง เรอื น 66,649 132,901 37,523 หญงิ 66,252 นากลาง 22,804 45,871 45,103 90,974 ศรีบุญเรือง 27,266 55,560 54,211 109,771 โนนสัง 14,886 32,285 32,174 64,456 สุวรรณคหู า 17,013 34,006 33,7553 67,559 นาวัง 9,587 18,632 18,572 37,204 รวม 129079 253003 249865 513976 ด้านการปกครอง จังหวัดหนองบัวลำภูแบ่งเขต การปกครองออกเป็น 6 อำเภอ 59 ตำบล 687 หมู่บ้าน 29 ชุมชน องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลเมือง 1 แห่ง (เทศบาลเมืองหนองบัวลำภู) เทศบาลตำบล 18 แห่ง อบต. 49 แห่ง ประกอบด้วยหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล 95 หมู่บ้าน และหมู่บ้านที่ตั้งอยู่นอกเขตเทศบาล 592 หมู่บ้าน โดยอำเภอต่างๆ มีดังนี้ 1) อำเภอเมืองหนองบัวลำภู 2) อำเภอ นากลาง 3) อำเภอโนนสัง 4) อำเภอศรีบุญเรือง 5) อำเภอ สุวรรณคูหา และ 6) อำเภอนาวัง ซึ่งแสดงรายละเอียดดังตาราง ที่ 2 20
ตารางที่ 2 : ขอ้ มลู การปกครอง จังหวัดหนองบัวลำภู จำแนกรายอำเภอ ปี 2553 อำเภอ ตำบล หมู่บา้ น/ อบจ/.อบต. เทศบาลเมอื ง/ พ้ืนท่ี ระยะทาง ชุมชน ตำบล ตร.กม. จากจงั หวัด 907.562 เมือง 15 152/33 1/14 1/3 - - - - เขตเทศบาล 1 33 ชุมชน 1 1 - - 564.442 30 - นอกเขตฯ 14 148 14 3 830.643 33 557.736 46 นากลาง 9 127 8 2 646.081 65 333.162 43 ศรีบุญเรือง 12 158 12 2 3859.626 - โนนสัง 10 107 7 4 สุวรรณคูหา 8 92 8 2 นาวัง 5 51 5 1 รวม 59 687/33 1/51 1/15 (รวม 716) ที่มา : ที่ทำการปกครองจังหวัดหนองบัวลำภู ณ ธันวาคม 2553 ข้อมูลทั่วไป 21
บ3ทท ี่ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การเมืองเป็นกิจกรรมของมนุษยชาติที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับอำนาจและผลประโยชน์ในแต่ละประเทศแต่ละสังคมจะมี รายละเอียดแตกต่างกันไปตามพื้นฐานวัฒนธรรมทางการเมือง ของสังคมนั้น ๆ พฤติกรรมทางการเมืองเป็นพฤติกรรมรวมหมู่ กิจกรรมทางสังคมที่ซับซ้อน จึงไม่สามารถใช้ทฤษฎีใดทฤษฎี หนึ่งอธิบายปรากฏการณ์ให้กระจ่างชัดได้เพียงทฤษฎีเดียว จำเป็นจะต้องอาศัยแนวคิด ทฤษฎีหลายทฤษฎีในการอธิบาย การวิจัยครั้งนี้ก็มิอาจหนีพ้นสัจธรรมดังกล่าวข้างต้นไปได้ จึงขอ หยิบยกวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างฐานอำนาจ ทางการเมือง ในทางรัฐศาสตร์ถือว่าแหล่งที่มาของฐานอำนาจทาง การเมืองเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพยากรทางการเมือง (Political Resources)” นั้น ย่อมแสดงว่าผู้ใดจะมีอำนาจทางการเมือง มากน้อยเพียงใด มีความสามารถและทักษะในการใช้ทรัพยากร เหล่านั้นเพื่อการเมืองมากน้อยเพียงใด ความแตกต่างในด้าน ความสามารถและทักษะในการใช้ทรัพยากรทางการเมือง อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านชีววิทยา เช่น ความแตกต่างทาง ด้านสมอง เป็นต้น นอกจากนั้นบุคคลมีทักษะและมีความ สามารถต่างกันในด้านนี้ก็เพราะโอกาสในการฝึกฝนให้เกิด ความชำนาญซึ่งแต่ละคนได้รับไม่เท่ากัน (เดชะ สิทธิสุทธิ์, 2541: น. 28) การสร้างอำนาจและอิทธิพลนั้น Robert R. Dahl ไดก้ ลา่ ววา่ สาเหตทุ บ่ี คุ คลมอี ทิ ธพิ ลเหนอื การตดั สนิ ใจในเรอ่ื งใด เรอ่ื งหนง่ึ นน้ั ประกอบดว้ ยปจั จยั ดงั น้ี (มงคล เกษประทมุ , 2552 : น.26-27) 1. บุคคลมีทรัพยากรทางการเมืองอยู่ในครอบครอง มากกว่าบุคคลอื่น 2. แม้จะมีทรัพยากรทางการเมืองในครอบครองเท่ากัน แต่บางคนอาจจะมีวิธีใช้ทรัพยากรทางการเมืองได้มากกว่า คนอื่น ทำให้บุคคลนั้นมีอิทธิพลทางการเมือง 23
นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู 3. แม้จะมีทรัพยากรทางการเมืองในครอบครองเท่ากัน บุคคลบางคนสามารถจะใช้ทรัพยากรทางการเมืองได้ชำนาญ และมีประสิทธิภาพมากกว่าบุคคลอื่น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าปัจจัยที่ทำให้บุคคลมีอำนาจและ อิทธิพลนั้น คือ การมีทรัพยากรทางการเมือง ความสนใจและ ความชำนาญในการใช้ทรัพยากรทางการเมือง สำหรับทรัพยากรทางการเมืองที่สำคัญนั้นสรุปได้ว่า คือ ความมั่งคั่ง ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ความสามารถที่จะควบคุม ข้อมูลข่าวสารต่างๆ การเป็นตัวอย่างที่ดีในทางสาธารณะ การได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างกว้างขวาง การม ี พรรคพวกบริวารที่จะมีวินัยและการจงรักภักดีตลอดจน การควบคุมหน่วยงานที่ไวต่อการรับรู้ข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล อย่างน่าเชื่อถือ สำหรับการใช้ทรัพยากรทางการเมืองสร้างฐานอำนาจ ทางการเมืองนั้นสามารถกระทำได้หลายวิธี ดังนี้ (ชิตพล กาณจนกจิ , 2540 : น. 32) 1. การกำจัดให้หมดไป (elimination) เช่น ประหารชีวิต หรือเนรเทศออกจากประเทศ 2. การกระทำให้เกิดความเสียหาย (damage) เช่น การทำลายทรัพย์สิน ชื่อเสียง เกียรติยศ 3. การใช้อำนาจในการคุกคาม (threat) คือการแสดง เจตนาหรือความตั้งใจที่จะทำให้คู่แข่งเห็นว่าตนพร้อมที่จะ กำจัดเขาให้หมดไป หรือทำให้เขาเสียหายได้ 24
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 4. การติดสินบน คือ การให้เงินทองหรือสิ่งของมีค่า ต่างๆ เพื่อให้เขาเห็นด้วยหรือยอมทำตามหรือขัดขวาง 5. การชักจูงโน้มโน้ม (persuasion) เป็นการใช้อำนาจ ด้วยการใช้เหตุผล ข้อมูลที่เป็นจริง(ข้อเท็จจริง)เพื่อให้อีกฝ่าย หนึ่งเห็นด้วยจนยอมทำตาม หรือไม่ขัดขวางการชักจูงด้วยการ ใช้สำนวนโวหารเพื่อให้เห็นตามก็เป็นการใช้อำนาจชนิดหนึ่ง หรือการชักจูงใจโดยใช้เสน่ห์ดึงดูดหรือบุคลิกภาพอันเป็นที่ ประทับใจหรือศรัทธาก็เป็นการชักจูงชนิดหนึ่ง จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนด ว่านักการเมืองคนใดจะมีอำนาจทางการเมืองหรือไม่ ก็คือ หน่ึง พิจารณาจากทรัพยากรทางการเมือง และ สอง พิจารณา จากวิธีการใช้ทรัพยากรทางการเมือง ซึ่งสำหรับการสร้างฐาน อำนาจทางการเมืองของการศึกษานักการเมืองถิ่นจังหวัด หนองบัวลำภูในครั้งนี้ ผู้วิจัยจะใช้แนวคิดนี้ในการพิจารณา ความแตกต่างของทรัพยากรทางการเมืองที่นักการเมืองถิ่น แต่ละคนมี และพิจารณาวิธีการการใช้ทรัพยากรทางการเมือง ในการรักษาฐานอำนาจทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดหนองบัว- ลำภู ซึ่งจะทำให้เข้าใจการเมืองถิ่นในพื้นที่อย่างมากเนื่องจาก จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นพื้นที่ฐานการเมืองที่นักการเมือง ตา่ งตอ้ งระดมทรพั ยากรทางการเมอื งและรจู้ กั วธิ กี ารใชท้ รพั ยากร ทางการเมืองที่ตนมีเหนือคู่แข่งคนอื่นๆ เพื่อมาสร้างฐานเสียง และรกั ษาฐานเสยี งในพน้ื ทซ่ี ง่ึ ถอื เปน็ จดุ ไดเ้ ปรยี บและเสยี เปรยี บ ในเชิงการเมืองถิ่นด้วย ดังนั้นการนำแนวคิดดังกล่าวมาทำใช้ เป็นกรอบในการทำความเข้าใจการเมืองถิ่นครั้งนี้จึงถือได้ว่า 25
นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นสิ่งที่มีความเหมาะสม หากสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล และมีพื้นฐานความรู้ในการเมืองถิ่นในพื้นที่มาพอสมควรแล้ว ซึ่งผู้วิจัยจะได้พัฒนาองค์ความรู้ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้กรอบ แนวคิดนี้ในการทำความเข้าใจการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ต่อไป แนวความคิดระบบอุปถัมภ์ แนวความคิดนี้อธิบายพฤติกรรมความสัมพันธ์ของผู้คน ในสังคมไทยเป็นแบบผู้อุปถัมภ์ กับผู้รับการอุปถัมภ์ (Patron Client Relationship) ปรีชา คุวินทร์พันธ์ (2543 ใน อมรา พงศา พิชญ์ และปรีชา ดุวินทร์พันธุ์, 2543) ได้แปลผลงานของ Anthony Hall ซึ่งนิยามผู้อุปถัมภ์ (Patron) ว่า “หมายถึงบุคคล ผู้มีอำนาจ สถานภาพ ฉันทานุมัติ (Sanction) และอิทธิพล ที่ไป เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้ที่มีอำนาจด้อยกว่า หรือผู้รับอุปถัมภ์ (Client) ที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือปกป้องผู้อุปถัมภ์จะได้ ผลประโยชนต์ อบแทนในรปู สนิ คา้ ความจงรกั ภกั ดี การสนบั สนนุ ทางการเมือง และบริการในรูปแบบต่าง” อมรา พงศาพิชญ์ และ ปรีชา คุวินทร์พันธุ์ (2543) ได้ รวบรวมผลงานวิจัยของนักวิชาการหลายท่านที่ใช้แนวคิด เรื่อง ระบบอุปถัมภ์เป็นกรอบในการอธิบายโครงสร้างสังคมไทย นักวิชาการเหล่านั้นเป็นต้นว่า Hanks, ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ , Wilson VanRoy, Clark Neher ได้ชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคม ที่มีการกำหนดสถานภาพของบุคคลลดหลั่นกันลงมาจากบน สู่ล่าง เมื่อมีการติดต่อสัมพันธ์กันจะเน้นความแตกต่างระหว่าง ตำแหน่ง/สถานภาพ เป็นการติดต่อสัมพันธ์แบบไม่เท่าเทียมกัน 26
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือ เป็นความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง ซึ่งความคิดนี้จะใช้อธิบาย ความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมระดับจุลภาคได้ค่อนข้างชัดเจน โดยได้ขยายความเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์ตามความเชื่อของ คนไทยในเรื่องบุญกรรมและเรื่องตายแล้วเกิดใหม่ ผู้ที่เกิดมา เป็นลูกเศรษฐีมีเงินทอง หรือเป็นผู้มีอำนาจ วาสนา ตำแหน่งสูง เพราะกรรมดี หรือบุญที่สร้างสมกันไว้แต่ปางก่อน คนเราเกิด มาไม่เท่าเทียมกัน คนไทยต่างก็ยอมรับในความแตกต่างใน ฐานะตำแหน่งที่ลดหลั่นเป็นขั้น ๆ ว่า เป็นปรากฏการณ์ธรรมดา หรือปกติของสังคม ผู้อุปถัมภ์มักจะได้รับยกย่องให้เป็น “เจ้านาย” หรือ “หวั หนา้ ” หรอื “ลกู พ”่ี หรอื “เฮยี ” ขณะทผ่ี รู้ บั อปุ ถมั ภก์ ย็ นิ ยอม ที่จะเป็น “ผู้รับใช้” หรือ “ผู้ตาม” หรือ “ลูกน้อง” สายสัมพันธ์นี้ จะเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้อุปถัมภ์กับผู้รับอุปถัมภ์ เป็นต้นว่า ผู้อุปถัมภ์หรือผู้บังคับบัญชาก็จะส่งเสริมสนับสนุน ผู้รับอุปถัมภ์ให้เจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานเป็น พิเศษจากพฤติกรรมความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์ และผู้รับ อุปถัมภ์นี้ได้นำไปสู่การสนับสนุนให้ “ลูกพี่” ได้รับเลือก เป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน หรือกลายเป็น “หัวคะแนน” สำหรับการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวัฒนธรรมการเมืองไทย (อมรา พงศาพิชญ์ และปรีชา คุวินทร์พันธ์, 2543: น. 3-5) จากระบบความสมั พนั ธข์ องคนในสงั คมไทยดงั ทก่ี ลา่ วมา จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวของคนไทยสนับสนุนให้เกิด ระบบอุปถัมภ์ในการเมือง โดยมีหัวหน้ากลุ่มการเมืองอยู่ใน ฐานะผู้อุปถัมภ์และสมาชิกของกลุ่มเป็นผู้ถูกอุปถัมภ์ ผู้นำกลุ่ม จะต้องมีความสามารถและความพร้อมที่จะช่วยเหลือสมาชิก 27
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ของกลุ่มตนในยามที่สมาชิกกลุ่มได้รับความเดือดร้อน เพราะ ความอยู่รอดของกลุ่มจะขึ้นอยู่กับว่าผู้นำจะสามารถสร้าง และรักษาสายใยแห่งความสัมพันธ์ระดับบุคคลไว้เพียงใด ซึ่ง พฤติกรรมเหล่านี้มีส่วนกำหนดลักษณะและการเปลี่ยนแปลง ของการเมืองไทยอยู่มาก ดังนั้นการใช้แนวคิดระบบอุปถัมภ์ ในการทำความเข้าใจในปรากฏการณ์การศึกษาการเมืองถิ่น จังหวัดหนองบัวลำภูจึงมีความสำคัญอยู่มากเช่นเดียวกัน เพราะจังหวัดหนองบัวลำภูเป็นจังหวัดขนาดเล็ก ประชากรมี เชื้อสายเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับนิสัยใจคอที่ มีความรัก ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเกื้อกูลให้ความช่วยเหลือ ซึ่งกันและกันในหมู่คนในพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้ความ สัมพันธ์ของผู้คนในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูค่อนข้างมีความ ใกล้ชิดและโน้มเอียงไปในการเกิดระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง มีการใช้ญาติพี่น้อง เพื่อน หรือคนที่รู้จักในการช่วยเหลือในการ เลือกตั้ง มีการต่างตอบแทนกันด้วยความช่วยเหลือในรูปแบบ ต่างๆ ทั้งเป็นรูปธรรมและนามธรรมที่คิดเป็นราคามิได้ ซึ่งผู้ที่ได้ รับการเลือกตั้งและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่ต่างเข้าใจ บริบทในเชิงพื้นที่เป็นอย่างดี นักการเมืองต้องออกพบปะ เยี่ยมเยือนให้ประชาชนเห็นหน้าค่าตาเป็นประจำเพื่อรู้สึก ใกล้ชิด และประชาชนเมื่อมีกิจกรรมทางสังคมหรือได้รับความ เดือดร้อนใดๆก็จะขอความช่วยเหลือจากนักการเมือง ด้วยความสัมพันธ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นการใช้แนวคิดระบบอุปถัมภ์ มาทำความเข้าใจการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู จึงเป็นสิ่งที่ จะทำให้เห็นภาพและทิศทางการเมืองถิ่นของจังหวัด หนองบัวลำภูได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ซึ่งผู้วิจัยจะได้นำเสนอ ประกอบองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นต่อไป 28
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แนวความคิดเรื่องสังคมเครือข่าย หรือเครือข่ายสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า ชุมชน หรือสังคม เนื่องจากมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยแลกเปลี่ยนสัมพันธ์ กับสมาชิกในสังคม การติดต่อสัมพันธ์กันจะใกล้ชิด ห่างเหิน ขึ้นอยู่กับระยะห่างทางสังคม (Social distance) ว่ามีสายสัมพันธ์ ที่เป็นเครือข่าย (Network) อยู่ใน ระดับเหนียวแน่น (Close-Knit) หรือกลุ่มระดับหลวม (Loose-knit) การอธิบายพฤติกรรมการ ติดต่อสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม โดยใช้แนวคิด “เครือข่าย” (Network) เป็นกรอบในการศึกษาวิจัยได้รับความสนใจอย่าง มากในสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ ค.ศ.1977 (Fararo 1992: pp.259- 260) Fararo (1992: pp. 260-271) ได้อธิยายขยายความเพิ่ม เติมต่อไปว่า แนวคิดเครือข่ายทางสังคมจัดอยู่ในสาขาหนึ่งของ ทฤษฎีโครงสร้างนิยม ( Structuralism ) ซึ่งแนวคิด “เครือข่าย สังคม” จะใช้อธิบายความสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคมว่า สายสัมพันธ์จะเหนียวแน่น (เข้มแข็ง) หรือหลวม(อ่อนแอ) ขึ้นอยู่ กบั โครงสรา้ งของสงั คมถา้ เปน็ สงั คมขนาดเลก็ โครงสรา้ งไมซ่ บั ซอ้ น สายสัมพันธ์ของเครือข่ายจะเหนียวแน่นในทางตรงกันข้ามถ้า เปน็ สงั คมขนาดใหญโ่ ครงสรา้ งซบั ซอ้ น เชน่ สงั คมโลก สายสมั พนั ธ์ ในหมสู่ มาชกิ กจ็ ะโนม้ เอยี งไปในดา้ นหลวมไมม่ น่ั คงไมเ่ หนยี วแนน่ ในสังคมชั้นสูงของอังกฤษยุคร่วมสมัย Abercrombie, Warde, Soothill, Urry and Walby (1988: pp.188-92) ไดช้ ใ้ี หเ้ หน็ วา่ “เครือข่าย (Network)” มีส่วนสำคัญในการติดต่อสัมพันธ์ 29
นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ภายในชนชั้นซึ่งเครือข่ายอาจจะมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น การสมรส เครือญาติมิตรภาพสัมพันธ์ สมาคมนักเรียนเก่า สายสัมพันธ์ทางธุรกิจการคลัง จากการศึกษาวิจัยใน ค.ศ.1970 พบว่า สามในสี่ของผู้บริหารทางการเงินระดับสูงของธนาคาร ในอังกฤษสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมแบบกินนอน (Public School) ชื่อ Eton ซึ่งครึ่งหนึ่งของชนชั้นสูงพวกนี้เป็น ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย อ๊อกซ์ฟอร์ดและแคมบริดจ์ ร้อยละ 75 ของนายทหารยศตั้งแต่พลโทขึ้นไปก็สำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนมัธยมแบบกินนอนประจำ (Public School) เช่นกัน Boissevain (1974) ได้ศึกษาเครือข่ายทางสังคมเกี่ยวกับ “เพื่อนของเพื่อน (Friends of friends)” เขาพบว่าเครือข่ายความ สัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะใกล้ชิดแค่ไหนขึ้นอยู่กับระยะห่างทาง สังคม (Social distance) ระหว่างบุคคลที่เป็นศูนย์กลางกับ เครือข่ายปริมณฑล ซึ่ง Boissevain ได้แบ่งออกเป็น 3 เขต ปรมิ ณฑล ได้แก่ 1) เครือข่ายใกล้ชิดสนิทสนม (Intimate network) ได้แก่ บุคคลในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท เป็นต้น 2) เครือข่ายระดับรอง (Effective network) เป็นบุคคล หรือกลุ่มคนที่มีความคุ้นเคย สนิทสนม กับแกนกลางน้อยกว่า กลุ่มแรก 3) เครือข่ายขยาย (Extended network) เป็นเครือข่าย ในระดับปริมณฑลที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่รู้จักโดยตรงกับ แกนกลาง แต่สามารถติดต่อสัมพันธ์กับโดยผ่านเครือข่าย ใกล้ชิดอีกชั้นหนึ่งก่อน 30
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นแนวคิดเครือข่ายทางสังคมดังกล่าวจึงมีความ จำเป็นในการนำมาอธิบายพฤติกรรมการเมือง โดยเฉพาะ การสร้างฐานเสียงในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูซึ่งเป็นพื้นที่ สังคมชาวบ้านที่ประชาชนส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตและรู้จักคุ้นเคยกัน เป็นอย่างดี ซึ่งหากถามชื่อหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งในจังหวัดกับ คนหนองบัวลำภู ก็จะถามกลับมาว่ารู้จักคนนั้นคนนี้ในหมู่บ้าน นั้นหรือไม่ ซึ่งความกลมเกลียวและรู้จักกันเป็นลูกโซ่เช่นนี้ ทำให้ พื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูจึงมีลักษณะสังคมแบบเครือข่าย ที่มีความกลมเกลียวกันสูง ดังนั้นในทางการเมืองถิ่น การนำ แนวคิดดังกล่าวมาทำความเข้าใจการเมืองถิ่นจังหวัด หนองบัวลำภูจึงจะสามารถเข้าใจบริบททางการเมืองที่มีการใช้ เครือข่ายทางสังคมในการสร้างฐานอำนาจทางการเมืองได้ดี เช่นกัน งานวิจัยที่เก่ียวข้อง ดลฤดี วรรณสุทธะ (2544) ได้ศึกษาพฤติกรรมการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร: ศึกษากรณีการเลือกตั้งทั่วไป เมอ่ื 6 มกราคม 2544 ในพนื้ ทีอ่ ำเภอกุดชุม จงั หวัดยโสธร พบวา่ “ระบบอุปถัมภ์” ได้แก่การซื้อเสียง การให้ผลประโยชน์ มีความ สัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน ส่วนกลุ่มเครือญาติไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมคะแนนเสียง เลือกตั้งของประชาชน คุณลักษณะของประชากร อันได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ที่ต่างกันมีผลทำให้มี ทัศนะเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์แตกต่างกัน 31
นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ดารารตั น์ เมตตารกิ านนท์ (2535) ไดศ้ กึ ษา ผนู้ ำทอ้ งถน่ิ อีสานกับเครือข่ายความสัมพันธ์ โดยได้ศึกษาสมาชิกสภา เทศบาลเมืองยโสธรในชุดปี 2535 พบว่า กลุ่มที่กุมอำนาจ ทางการเมืองในระยะแรกของการตั้งเมืองยโสธรคือ กลุ่มไทย อีสาน ภายหลังปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 โอกาส ก็เปิดให้บุคคลผู้ที่มี “ความรู้” ในระบบราชการเข้ามาเป็นผู้นำ ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา แกนนำกลุ่มผู้มีอำนาจทาง การเมืองท้องถิ่น ได้เปลี่ยนมาสู่กลุ่มพ่อค้าชาวจีนที่มีธุรกิจ ก่อสร้าง และบริการบันเทิง ผสมกับกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในเมือง ที่มีการเชื่อมประสานสัมพันธ์กับผู้นำคุ้มต่าง ๆ ที่มีเชื้อสายไทย อีสาน มีการรวม “ทุน” ช่วยเหลืออุปถัมภ์ทางการเมืองซึ่งกัน และกัน มีการขยายฐานของเครือข่ายสัมพันธ์ไปยังกลุ่ม องค์กร ต่าง ๆ ทั้งด้านการค้าและสาธารณะกุศล ตลอดจนกลุ่มพลัง ทางสังคม เช่น กลุ่มลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มสตรี หอการค้า มูลนิธิ สโมสรไลออนส์ โรตารี ฯลฯ การประสานเครือข่ายเหนียวแน่น ด้วนผลประโยชน์ทำให้ประสบผลสำเร็จในการเลือกตั้งสมาชิก สภาเทศบาลเกือบทุกครั้ง เครือข่ายดังกล่าวยังเชื่อมประสานสู่ เครือข่าย ข้อมูลข่าวสาร ทั้งในระดับการเลือกตั้ง ส่วนท้องถิ่น ระดับชาติ ซึ่งในอนาคตการกระจุกตัวของอำนาจการบริหาร ท้องถิ่น มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในด้านการ ครอบครองและแบ่งปันทรัพยากรได้ ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์ และปณัทดา เผือกพันธ์ (2535) ได้ศึกษา ผู้นำท้องถิ่นกับเครือข่ายสัมพันธ์ระดับตำบล กรณีกำนันสตรีตำบลนาหนองทุ่ม อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น พบว่า คุณลักษณะที่สำคัญในการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งคือ 32
แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง (1) เป็นผู้ที่มีฐานทุนมั่งคั่ง (2) เป็นผู้อุปถัมภ์ชุมชน (3) เข้าถึง แกนนำของกลุ่มหรือคุ้ม (4) เข้าถึงกลุ่มพลังมวลชนจัดตั้ง ต่าง ๆ และมีการยืนยันสมมุติฐานว่า ระบบอุปถัมภ์เดิมได้ เปลี่ยนแปลงจากแนวคิด “บุญ” กับ “อำนาจ” ไปสู่ระบบ อุปถัมภ์ใหม่ คือความสัมพันธ์ของ “ทุนที่มั่งคั่ง” กับ “อำนาจ” ชุมชนที่เปลี่ยนเป็นชุมชนเมือง การสมาคม เครือข่ายสัมพันธ์ แม้จะเป็นครัวเรือน เพื่อนบ้าน เครือญาติ แต่เนื้อหา และ ความหมายได้เปลี่ยนไปเป็นการเมือง และเศรษฐกิจการค้า กลุ่มพลังมวลชนทางการเมืองท้องถิ่นที่รัฐจัดตั้งขึ้นไม่เพียงแค่ เป็นพลังสนับสนุนอำนาจรัฐบาลกลางเท่านั้นแต่ได้กลายมาเป็น พลังสนับสนุนอำนาจทางการเมืองของผู้นำท้องถิ่นด้วยซึ่งถือว่า เป็นอุปสรรคของการพัฒนาประชาธิปไตย นภดล สุคนธวิท (2539) ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง พรรค การเมืองไทยกับการเมืองท้องถิ่น : ผลประโยชน์และฐาน อำนาจ พบว่า การที่พรรคการเมืองต่าง ๆ สามารถควบคุม ประชาชนในท้องถิ่นในลักษณะที่สามารถชักจูงหรือชักนำ ประชาชนได้นั้นจะอาศัยกลไกในระบบอุปถัมภ์ของสังคมไทย ควบคู่ไปกับความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่อง การเมืองของประชาชน ภายใต้วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้าจึงทำให้พรรค การเมืองสามารถใช้การเมืองท้องถิ่นเป็นฐานอำนาจสำคัญ ในการก้าวเข้าสู่อำนาจทางการเมืองและแสวงหาผลประโยชน์ จากอำนาจทางการเมืองอย่างไม่จำกัด การจัดสรรผลประโยชน์ ต่าง ๆ ในท้องถิ่นเป็นการทำเพื่อรักษาและสร้างฐานอำนาจของ พรรคการเมืองอย่างหนึ่ง จากเหตุผลดังกล่าวนี้จึงเป็นปัจจัย สำคัญของที่มาแห่งฐานอำนาจของการเมืองทั้งในท้องถิ่นและ 33
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265