Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์

นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์

Description: นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์
เล่มที่ 61

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ คดีเผาตลาดอุตรดิตถ์ บิดาได้ช่วยเหลือจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่า เผาตลาดไม่ให้ได้รับโทษได้ โดยจำเลยคนดังกล่าวนั้นเป็นผู้ที่มี ฐานะยากจน บิดาก็ให้ความช่วยเหลือเต็มที่ จึงทำให้บิดาได้รับ การยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีน้ำใจและเป็นทนายที่เก่งในยุคนั้น และ เมื่อมีการประกาศการเลือกตั้งครั้งแรกใน พ.ศ. 2476 บิดา ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารการเมืองเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ประกอบกับการมีอาชีพทนายความ ทำให้ใกล้ชิดกับประชาชน ที่เดือดร้อน จึงได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อครบวาระการดำรง ตำแหน่งใน พ.ศ. 2480 แล้วบิดาได้กลับมาประกอบอาชีพ ทนายความอีกครั้ง (พญ.กนก บุญยะรัตเวช, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2558) 2. ประวตั ิการดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง นายฟัก ณ สงขลา ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกของ ประเทศไทยภายหลังมีพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติมในพุทธศักราช 2476 โดยมีพระราชกฤษฎีกาให้มี การเลือกตั้งผู้แทนตำบลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท ที่ 1 พุทธศักราช 2476 ในวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวกำหนดไว้ในมาตรา 2 บุคคลใด ปรารถนาจะรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนตำบลของตำบลใดให้ไปลงชื่อ ของตนที่กรมการอำเภอซึ่งตำบลนั้นขึ้นอยู่ในระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม จนถึงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2476 มาตรา 3 ให้กรมการอำเภอกำหนดวันเลือกตั้งในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 มาตรา 4 บุคคลใด 84

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ปรารถนารับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรให้ไปยื่นใบสมัครด้วย ตนเอง ณ ศาลากลางจังหวัดก่อนเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 มาตรา 5 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรต้องมีความรู้อ่าน และเขียนหนังสือไทยได้ และมาตรา 6 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด กำหนดวันเลือกตั้งผู้แทนราษฎรในระหว่างเดือนพฤศจิกายนกับ ธันวาคม พ.ศ. 2476 ได้ (ราชกิจจานุเบกษา, 2476, น. 355-357) หากพิจารณาจากพระกฤษฎีกาดังกล่าวเป็นได้ว่าการได้มาซึ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 นั้นเป็นการเลือกตั้ง ทางอ้อมโดยผู้แทนระดับตำบล และมีเงื่อนไขที่สำคัญคือ จักต้องเป็นผู้ที่มีความรู้อ่านและเขียนภาษาไทย ซึ่งนายฟัก ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปของจังหวัดอุตรดิตถ์ และเมื่อได้รับ การเลือกตั้งแล้วนายฟักได้บทบาทในการสื่อสารทางการเมือง เพื่อสะท้อนสภาพปัญหาในด้านต่างๆ ของจังหวัดไปยังรัฐบาล ในขณะนั้นในนามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ เรื่อง การปาฐกถาผู้แทนราษฎรเรื่อง สภาพของจังหวัดต่างๆ ทางวิทยุกระจายเสียง เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2477 สะท้อน ปัญหาสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจของประชาชนในจังหวัด เช่น “…สภาพจังหวัดอุตรดิตถ์ก็เหมือนเช่นจังหวัดอื่นหลาย จังหวัดที่ห่างไกลพระนครออกไปที่มีประชาชนไม่น้อยดำรงชีวิต อยู่ในสภาพที่น่าสงสาร เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ไปไหนมาไหน ไม่ได้สะดวก พืชที่เขาทำได้ ไม่อาจจะส่งออกเพื่อแลกเปลี่ยน ได้ง่าย ยามป่วยไข้ไม่มีแพทย์ที่ดีเยียวยา เขาไม่อาจและทั้งไม่ ทราบถึงการจัดบ้านช่องของเขาให้ถูกหลักอนามัย …ตาม ท้องแถบถิ่นอำเภอท่าปลาและน้ำปาดเป็นส่วนนั้นมาก เขาอยู่ ห่างจากที่ทำการรัฐบาล …” (คณะกรรมการพิจารณาจัดพิมพ์ 85

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ หนังสือชุดหนังสือหายาก 2539, น. 126) จากข้อมูลที่กล่าว ในการปาฐกถาของนายฟักเห็นได้ว่าเป็นผู้ที่สามารถรวบรวม ปัญหาและเห็นความสำคัญด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ ของประชาชนที่ควรได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นลำดับ แรก เพราะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของประชาชน นายฟักได้ทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนครบ วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปีแล้วได้มาประกอบอาชีพ ทนายความต่อ โดยคดีที่เป็นที่รู้จัก คือ คดีการสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันท มหิดล รัชกาลที่ 8 ที่นายฟักได้เป็นทนายฝ่ายจำเลยคือ นายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน อีกทั้งยังได้ทำงาน ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายให้กับ นักศึกษาที่โดนกักขังในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งได้ เข้าไปมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาอย่าง ตอ่ เนอ่ื งจนกระทง่ั เสยี ชวี ติ ใน พ.ศ. 2518 (พญ.กนก บญุ ยะรตั เวช, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2558) 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมือง ด้วยสภาพการเมืองภายหลังการเปลี่ยนแปลง การปกครองโดยคณะราษฎร พ.ศ. 2475 นั้น ถือว่าประชาชน ทั่วไปยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย ผู้ที่มีความรู้จึงสามารถเข้าใจถึง เจตนารมณ์ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยให้ประชาชน เขา้ มามบี ทบาททางการเมอื ง ซง่ึ การเปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 86

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มาจากการเลือกตั้ง โดยได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งแรก และมีการกำหนดคุณสมบัติพื้นฐาน คือ การอ่านออก เขียนภาษาไทยได้ จึงเป็นการจำกัดประชาชนที่จะเข้ามาม ี ส่วนร่วมทางการเมือง ฉะนั้น ผู้ที่มีความรู้ในระดับปริญญาตรี ในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นชนชั้นนำในสังคมกอปรกับการเป็น ทนายความที่เคยให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีคดีความแต่ฐานะ ยากจนมาค่อนข้างมาก จึงเป็นฐานที่สำคัญที่ทำให้ประชาชน สนับสนุนทางการเมืองจนได้รับเลือกตั้ง และบิดาได้รู้จักกับ ข้าราชการทั้งนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดก็อาจเป็นได้ว่า ผู้ที่นับถือรักใคร่เข้ามาเป็นเครือข่ายในการช่วยหาเสียงโดย วิธีการกล่าวถึงบิดาในฐานะทนายความ จึงอาจเป็นช่องทาง หนึ่งในการช่วยหาเสียงทางอ้อม (พญ.กนก บุญยะรัตเวช, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2558) ดังนั้น ด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสม ส่วนตัวของนายฟัก ณ สงขลา จึงถือว่าช่วยสนับสนุนการเข้าสู่ การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยตัวของเขาเองที่ประชาชน ให้การยกย่อง ส่วนพรรคการเมืองนั้นถือว่ายังไม่มีบทบาทใดๆ แต่เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วนายฟัก และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเริ่มมีการรวมกลุ่มทาง การเมืองขึ้นในรัฐสภา โดยนายฟักนั้นมีบทบาทริเริ่มรวมกลุ่ม สหชีพ ซึ่งได้พัฒนาเป็นพรรคสหชีพในเวลาต่อมา 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสยี งเลอื กตงั้ จากการสัมภาษณ์ พญ.กนก บุญยะรัตเวช ให้ความเห็นว่าบิดาอาจจะใช้วิธีการเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้าน เกี่ยวกับการเลือกตั้งในลักษณะของการให้ความรู้มากกว่า 87

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศ ซึ่งประชาชน ย่อมยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง ในช่วงเวลาการพึ่งเปลี่ยนผ่านการปกครอง และด้วยการทำ อาชีพทนายความนั้นบิดาน่าจะสามารถพูดให้หรือสื่อสารข้อมูล ให้กับประชาชนได้ดี นอกจากนี้คิดว่าจึงคิดว่ารูปแบบในการ หาเสียงเลือกตั้งอาจเกิดจากการที่ข้าราชการในจังหวัดที่รู้จัก และนับถือบิดาได้พูดถึงชื่อบิดาในการลงสมัครรับเลือกตั้ง จงึ เสมอื นเปน็ การชว่ ยหาเสยี งในทางออ้ มโดยวธิ กี ารปากตอ่ ปาก ก็เป็นไปได้ (พญ.กนก บุญยะรัตเวช, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2558) นายพึ่ง ศรีจันทร์ 1. ประวัตสิ ว่ นตัว นายพึ่ง ศรีจันทร์ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2450 ที่บ้านท่าทราย ตำบลกง อำเภอ กงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เป็นบุตรของนายดี และนางคุ้ม ศรีจันทร์ สำเร็จการศึกษาจากนิติศาสตรบัณฑิต จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเนติบัณฑิต จากสำนักอบรม กฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ประกอบอาชีพเป็นทนายความ โดยนายประพนธ์ ศรีจันทร์ ให้ข้อมูลว่าบิดาเคยบอกถึงสาเหตุ ที่ย้ายจากอำเภอกงไกรลาศมาอาศัยอยู่จังหวัดอุตรดิตถ์ เพราะทราบว่าประกอบอาชีพทนายความที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ดีกว่าจังหวัดสุโขทัย บิดาเลยย้ายมาอาศัยและรับว่าความ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์และมีภรรยาคนแรก แต่ทั้งสองได้ย้ายไปอยู่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยบิดายังประกอบอาชีพทนายความ 88

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ภายหลังได้เลิกกับภรรยาคนแรกจึงย้ายกลับมาเป็นทนายความ ที่จังหวัดอุตรดิตถ์อีกครั้ง และได้แต่งงานกับมารดา คือ นางคุ้ม โดยมีบุตร-ธิดา 4 คน คือ นายประเดิม ศรีจันทร์ ปัจจุบันเป็น วิศวกรอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา นายประคอง ศรีจันทร์ รับราชการ นายประสงค์ ศรีจันทร์ และนางสาวประพิณ ศรีจันทร์ เป็นนักธุรกิจ และนายประพนธ์ ศรีจันทร์ (นายประพนธ์ ศรีจันทร์, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2558) ข้อมูล จากการสัมภาษณ์นางประหยัด ศรีจันทร์ ซึ่งลูกสะใภ้ของ นายพึ่งให้ข้อมูลว่า นายพึ่งเป็นผู้มีน้ำใจช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข ์ ได้ยาก การรับว่าความแต่ละครั้งจะพิจารณาและแจ้งให้ผู้มา ติดต่อทราบว่าคดีมีแนวโน้มจะได้รับคำตัดสินอย่างไร หรือ มีโอกาสชนะหรือแพ้คดี เพื่อให้ผู้มาติดต่อพิจารณาก่อนว่า จะจ้างทนายความหรือไม่ นายพึ่งจึงมักให้คำปรึกษาและ ช่วยเหลือกรณีที่เห็นว่าลูกความนั้นไม่ได้กระทำผิดแต่ตกเป็น จำเลยและมีฐานะยากจน ก็จะช่วยเหลือว่าความให้โดยไม่คิด ค่าใช้จ่าย และเป็นทนายความที่ไม่ไปรอหาผู้มาที่จะมาจ้างว่า ความที่ศาล แต่มีผู้มาติดต่อจ้างเป็นทนายความที่บ้านพักด้วย ตนเอง ซึ่งนางประหยัดเล่าว่าตนแต่งงานกับนายประพนธ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 ก็จะเห็นนายพึ่งเดินทางไปว่าความทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่ไม่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เช่น มีประชาชนนำที่ดินมาจำนองเพื่อขอกู้เงิน แต่ไม่นำเงินมาคืน ตามที่ตกลงกันไว้ หรือเลยกำหนดระยะ นายพึ่งก็ไม่เคยยึดที่ดิน หรือทรัพย์สินของประชาชนเลย แต่จะนัดหมายเวลาใหม่เพื่อ ต้องการคืนที่ให้กับเจ้าของ (นายประพนธ์ และนางประหยัด ศรีจันทร์, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2558) 89

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 2. ประวตั กิ ารดำรงตำแหนง่ ทางการเมือง นายพึ่ง ศรีจันทร์ ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 3 สมัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2490 – 8 พฤศจิกายน 2490 (สำนักงาน เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2558, ออนไลน์) และดำรง ตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี 2 ชุด ดังนี้ 2.1 พ.ศ. 2480 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ สมัยที่ 1 2.2 พ.ศ. 2481 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ สมัยที่ 2 2.3 พ.ศ. 2489/2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ สมัยที่ 3 2.4 พ.ศ. 2490 ประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 7 นอกจากนี้นายพึ่ง ศรีจันทร์ ยังดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีในสมัยที่นายนายทวี บุณยเกตุ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็น ผู้ลงนามในประกาศ และมีพระยามานวราชเสวี (ปลอด ณ สงขลา) ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนอง พระบรมราชโองการ นายทวี บุญยเกตุ ดำรงตำแหน่ง 1 – 17 กันยายน 2488 อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในสมัย รัฐบาลของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ลงนามในประกาศ ที่มีพระยา มานวราชเสวี (ปลอด ณ สงขลา) เป็นผู้รับสนองพระบรม 90

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ราชโองการเช่นกัน ซึ่ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ดำรงตำแหน่ง 19 กันยายน 2488 - 31 มกราคม 2489 (สำนักงานเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี, 2558, ออนไลน์) จนกระทั้งมีรัฐบาลใหม่ของ นายกรัฐมนตรี ควง อภัยวงศ์ ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปใน วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 การเลือกตั้งในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2489 นี้ นายพึ่ง ศรีจันทร์ ไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎรเพราะ นายสุ่ม ตันติพลาพล ได้เป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุตรดิตถ์ แต่เพียง 7 เดือนต่อมาในการเลือกตั้งเพิ่มเติมในบางจังหวัดนั้น ซึ่งที่จังหวัดอุตรดิตถ์มีการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเขต และ นายพึ่ง ศรีจันทร์ ก็ได้กลับเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2558, ออนไลน์) การได้รับเลือกตั้ง ครั้งนี้จึงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 โดยนายพึ่ง สังกัดพรรคสหชีพ ซึ่งก่อนการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ในปี 2489 นี้ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2489 ในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 อันเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น เปิดโอกาสให้มีพรรคการเมืองส่งสมาชิกเข้ารับเลือกตั้งตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 นายพึ่งซึ่ง สนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์ จึงเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคซึ่งเป็น พรรคท่ใี หก้ ารสนบั สนนุ รัฐบาลของนายปรดี ี พนมยงค์ การกลบั เข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในคราวนี้ของนายพึ่งทำให้ เขาได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2490 – 8 พฤศจิกายน 2490 (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทน ราษฎร, 2558, ออนไลน์) นายพึ่ง ศรีจันทร์ เป็นประธานสภา ผู้แทนราษฎรต่อมาจนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 91

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ อันเป็นวันที่คณะรัฐประหาร นำโดย พลโทผิน ชุณหวัณ และ พวกได้ยึดอำนาจล้มรัฐบาลและล้มรัฐธรรมนูญ แต่การปฏิบัติ อย่างกล้าหาญหลังการรัฐประหารที่ทำให้มีคนกล่าวถึง นายพึ่ง ศรีจันทร์กันมากก็คือในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 หลังการยึดอำนาจโดยทหาร 4 วัน นายพึ่ง ศรีจันทร์ ได้เดินทาง ไปที่สภา เพราะท่านอ้างว่าได้ออกหนังสือนัดหมายสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรไปตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน ก่อนวันที่ยึดอำนาจ 1 วัน จึงต้องมาแจ้งให้สมาชิกได้ทราบ วันนั้นมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมาที่สภาประมาณ 20 คน และมีคนเล่ากันว่า ท่านประธานสภาก็ได้บอกกับเพื่อนสมาชิกว่ามีสมาชิกมาไม่ ครบองค์ประชุมจึงขอเลิกการประชุม การมาสภาของนายพึ่ง ศรีจันทร์ ส่งผลให้คณะรัฐประหารต้องส่งกำลังทหารมาคุมตัว นายพึ่ง ศรีจันทร์ ไปกักตัวไว้ระยะหนึ่ง การเลือกตั้งทั่วไปหลัง การรัฐประหารที่รัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ จัดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 นั้น นายพึ่ง ศรีจันทร์ ไม่ได้รับเลือกตั้ง เข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2558, ออนไลน์) ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นายประพนธ์ บุตรชายได้ให้ข้อมูล เพิ่มเติมว่า บิดาเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำงานร่วมกับนายปรีดี พนมยงค์ ในนามขบวนการเสรีไทยซึ่งเป็นเสรีไทยที่ดำเนินงาน ในส่วนภูมิภาค โดยบิดาเป็นผู้ที่การสนับสนุนนายปรีดีจาก การเข้าไปทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านเป็นคนที่ต่อต้านทหารญี่ปุ่นจึงยึดมั่น ที่จะทำงานในขบวนการเสรีไทยที่ได้รับมอบหมายจนได้รับ การยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์และรักชาติ (นายประพนธ์ ศรีจันทร์, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2558) ซึ่งขบวนการเสรีไทย 92

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นขบวนการจัดตั้งขึ้นโดยนายปรีดี พนมยงค์ ที่ไม่เห็นด้วย นโยบายของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ตกลงให้ทางเดินทัพแก่ญี่ปุ่นและตกลงในกติกา พันธไมตรีทางทหารกับญี่ปุ่น (ดิเรก ชัยนาม, 2510, น. 106) และได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นภายในประเทศ โดยร่วมมือกับ ประชาชนคนไทยและขบวนการเสรีไทยที่ก่อตั้งขึ้นใน สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นผู้รุกราน ผลจาก การนี้ทำให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม แม้ว่า สงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติลงโดยฝ่ายญี่ปุ่นยอมจำนนแก่ฝ่าย สัมพันธมิตร ในการนี้นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ได้ประกาศสันติภาพในพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ใน พ.ศ. 2488 โดยให้ ถือว่าการประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเป็น โมฆะไม่มีผลผูกพันประชาชนไทย ซึ่งในขบวนการเสรีไทยนี้ นายพง่ึ ศรจี นั ทร์ ไดป้ ฏบิ ตั งิ านในสว่ นภมู ภิ าคโดยไดม้ กี ารแบง่ เขต ปฏิบัติการระหว่างอังกฤษและอเมริกา อังกฤษจะปฏิบัติการอยู่ ในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต พังงา นครพนม สกลนคร เลย ตาก ระนอง อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร ขณะที่อเมริกาจะอยู่ที่แพร่ เชียงราย สุโขทัย อุดรธานี สกลนคร อุบลราชธานี ชัยภูมิ กาญจนบุรี อ่างทอง อยุธยา ระยอง ชลบุรี ชุมพร นครศรีธรรมราช นครราชสีมา และ เพชรบุรี ในเขตจังหวัดเหล่านี้มีทั้งเสรีไทยและนายทหาร สัมพันธมิตรร่วมปฏิบัติงานกันอยู่ทุกพื้นที่ โดยงานส่วนใหญ ่ 93

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ก็คือการฝึกอาวุธพลพรรคฯ และการส่งข่าวกรอง ในบางพื้นที่ เครื่องบินสัมพันธมิตรจะมาทิ้งร่มอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย นายปรีดี พนมยงค์ ได้มอบหมายให้สมาชิกระดับอาวุโสของ ขบวนการเสรีไทยแบ่งภาระและความรับผิดชอบดำเนินการ ในแต่ละพื้นที่ โดยประสานกับทางสัมพันธมิตร และร่วมมือกับ นายทหารเสรีไทยผู้รับผิดชอบในปฏิบัติการนั้น สมาชิกอาวุโส ของขบวนการเสรีไทยซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการในส่วนภูมิภาค อาทิ นายเตียง ศิริขันธ์ นายพึ่ง ศรีจันทร ์ นายทอง กันทาธรรม และนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เป็นต้น นายพึ่งจึงเข้ามาม ี ส่วนร่วมในขบวนการโดยรับผิดชอบในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยได้รับความไว้วางใจจากนายปรีดีซึ่งได้ใกล้ชิดในขณะที่เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การทำงานในฐานะสมาชิกของ ขบวนการเสรีไทยของนายพึ่งนั้นล้วนเป็นปฏิบัติการทางทหาร ทั้งสิ้น (วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, 2558, ออนไลน์) นอกจากนี้บุตร ชายได้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำหน้าที่ขณะที่เป็นสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรนั้นบิดาได้พัฒนาจังหวัดอุตรดิตถ์จนเป็นที่รักและ เคารพของประชาชน แต่ไม่สามารถจำโครงการหรือการ ช่วยเหลือของบิดาให้แก่จังหวัดอุตรดิตถ์ได้ แต่จำโครงการ ที่สำคัญโครงการหนึ่งคือ โครงการสร้างโรงงานน้ำตาลวังกะพี้ ตำบลวังกะพี้ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งบิดาเป็นคนแรก ที่เสนอให้มีการสร้างโรงงานแห่งนี้ เพราะจังหวัดอุตรดิตถ ์ มีเกษตรกรปลูกอ้อยจำนวนมาก แต่ประสบปัญหาการจำหน่าย บิดาจึงได้เสนอขอให้รัฐบาลพิจารณาอนุมัติงบประมาณ สร้างโรงงานดังกล่าว (นายประพนธ์ ศรีจันทร์, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2558) 94

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมอื ง สำหรับเครือข่ายสนับสนุนทางการเมืองของนายพึ่ง ศรีจันทร์ นั้น นายประพนธ์ ศรีจันทร์ ได้ให้ข้อมูลว่าบิดามี เครือข่ายที่สำคัญ คือ ผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน ที่ช่วยหาเสียง โดยการระดมประชาชนมาพบที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านและกำนัน (นายประพนธ์ ศรีจันทร์, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2558) นอกจากนี้ยังมีประชาชนที่ถือว่าเป็นชนชั้นนำของจังหวัด ในขณะนั้นช่วยหาเสียง ซึ่งนายประมุข ตันติพลาผล (หลาน นายสุ่ม ตันติพลาผล อดีตนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์) ให้ข้อมูลว่า ตอนที่เขายังเด็กอยู่ ที่บิดาของตนจัดงานเลี้ยงโดยมีคนมาร่วมงานจำนวนมาก ที่บ้านของตน จึงได้ถามบิดาว่างานเลี้ยงอะไร ทำไมถึงมีคน มาบ้านจำนวนมาก ซึ่งบิดาก็ได้ตอบว่าเป็นงานเลี้ยงช่วย นายพึ่งหาเสียง ซึ่งคนที่มางานเลี้ยงที่บ้านมีทั้งผู้ใหญ่บ้านและ กำนนั และญาตพิ น่ี อ้ งของตน (ประมขุ ตนั ตพิ ลาผล, สมั ภาษณ,์ 4 ธันวาคม 2558) สำหรับพรรคการเมืองนั้นถือไม่มีบทบาทใน การสนับสนุนการเลือกตั้งเนื่องจากเป็นเพียงการรวมกลุ่มกับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาที่มีอุดมการณ์เดียวกันกรณี การรวมกลุ่มและพัฒนาเป็นพรรคสหชีพ 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสยี งเลือกตั้ง สำหรับรูปแบบการหาเสียงนั้นนายประพนธ์ ศรีจันทร์ ได้ให้ข้อมูลว่าบิดาได้ใช้วิธีการเข้าถึงประชาชน ในแต่ละครัวเรือนโดยตรง ส่วนใหญ่จะเดินและปั่นจักรยานไป 95

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ และพื้นที่ไกลบิดาจะจ้างรถลากไม้ขับพาไปส่งเพื่อไปหาเสียง กับประชาชน (นายประพนธ์ ศรีจันทร์, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2558) ซึ่งจากข้อมูลประวัตินายพึ่ง ศรีจันทร์แล้วเห็นได้ว่าเป็น บุคคลที่มีการศึกษา และประกอบอาชีพทนายความที่เคยให้ ความช่วยเหลือด้านคดีความต่างๆ แก่ประชาชน รวมทั้งการ ช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ที่มาร้องขอโดยไม่เอารัดเอาเปรียบดัง ที่บุตรชายและลูกสะใภ้กล่าวมาแล้ว จึงอาจทำให้นายพึ่ง มีคุณสมบัติที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของประชาชน จงึ ทำให้ ได้รับเลือกตั้ง ฉะนั้น รูปแบบการหาเสียง จึงเป็นเพียงการ ไปพูดคุยกับประชาชนเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ในแต่ละครั้ง และให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การเลือกตั้งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2480 เป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ของประเทศไทย กระบวนการหาเสียง เลือกตั้งจึงมาจากตัวผู้สมัครที่มีการวางแผนและอาศัย เครือข่ายที่สนับสนุนทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และชนชั้นนำในขณะ ขับเคลื่อนร่วมกัน แต่ตัวผู้สมัคร คือ นายพึ่งเป็นกลไกหลัก ในการหาเสียง นายสุ่ม ตันติพลาผล 1. ประวตั ิส่วนตวั นายสุ่ม ตันติพลาผล ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยนางสาวโฉมเฉลา แสงอุไร เป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก ซึ่งบิดาของนางสาวโฉมเฉลา คือ นายอั้น แสงอุไร ได้แต่งงานกับอาของนายสุ่ม และผู้ให้ข้อมูลหลักอีก หนึ่งคน คือ นายประมุข ตันติพลาผล ซึ่งเป็นหลานชายของ 96

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นายสุ่ม โดยทั้งสองท่านแจ้งว่าไม่มีข้อมูลวันเดือนปีเกิดที่ชัดเจน นายสุ่มสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียน พิเศษมัธยม ซึ่งปัจจุบันคือโรงเรียนอุตรดิตถ์ หลังจากสำเร็จ การศึกษาแล้วได้บรรจุเป็นครูที่โรงเรียนแห่งนี้ (นายประมุข ตันติพลาผล, สัมภาษณ์, 2 ธันวาคม 2558) การเป็นครูทำให้ นายสุ่มได้มีลูกศิษย์จำนวนมาก เช่น นายเสริม โลกเลื่อง ที่ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัด อุตรดิตถ์ในการเลือกตั้งครั้งที่ 11 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) จากนั้นนายสุ่มได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีและสำเร็จ การศึกษานิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ การเมือง และได้ประกอบอาชีพเป็นทนายความ นายสุ่มสมรส กับนางศรีลา ตันติพลาผล ชาวจังหวัดพิษณุโลก มีอาชีพเป็น สมุห์บัญชีบริษัทจังหวัดพิษณุโลก จำกัด มีบุตร-ธิดา จำนวน 4 คน คือ นางสาวเมธินี ตันติพลาผล นายแพทย์เมธี ตันติพลาผล ดร.แพรวพรรณ ตันติพลาผล และแพทย์หญิง กิ่งแก้ว ตันติพลาผล การที่อาของนายสุ่มได้แต่งงานกับ นายอั้น แสงอุไร ทำให้ได้สนิทสนมกับนายอั้นเป็นอย่างมาก นางสาวโฉมเฉลาได้กล่าวว่านายสุ่มเป็นผู้ที่บิดาเห็นว่ามีความรู้ ความสามารถมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นนักการเมืองได้ บิดาจึงวางแผนเพื่อให้นายสุ่มเข้าสู่การเมืองระดับท้องถิ่น คือ นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ และเป็นเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรด้วยตัวของบิดาตนเอง (นางสาวโฉมเฉลา แสงอุไร, สัมภาษณ์, 4 ธันวาคม 2558) 97

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ 2. ประวัตกิ ารดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังที่นางสาวโฉมเฉลา แสงอุไร ได้กล่าวว่าบิดาของ ตนเองคือ นายอั้น แสงอุไร เป็นผู้มีบทบาทการเข้าสู่ตำแหน่ง ทางการเมืองของนายสุ่ม ตันติพลาผล ตั้งแต่การลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี โดยนายอั้นนั้นผู้ใหญ่บ้านและ ยังเป็นเจ้าของกิจการชื่อ “บางโพธิ์พาณิชย์” ตั้งอยู่บริเวณ หอนาฬิกาจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าอุปโภค และบริโภครายใหญ่ของจังหวัด เช่น อุปกรณ์ก่อสร้าง น้ำตาล สุรา และบุหรี่ ฯลฯ และบางโพธิ์พาณิชย์สามารถประมูลโรงฝิ่น ของรัฐบาลได้ด้วย นางสาวโฉมเฉลากล่าวว่าร้านของบิดาเป็น ร้านคนไทยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดทำการค้าแข่งขันกับร้านคนจีน บิดาจึงค่อนข้างมีบทบาททางเศรษฐกิจของจังหวัด เมื่อประสบ ความสำเร็จทางธุรกิจจึงต้องการสนับสนุนเครือญาติทำงาน ทางการเมือง (นางสาวโฉมเฉลา แสงอุไร, สัมภาษณ์, 4 ธันวาคม 2558) โดยได้สนับสนุนนายสุ่มเป็นนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์เป็นคนที่ 2 ต่อจากขุนพิไชยชนเขต (สำนักปลัดเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์. 2558 : ถ่ายเอกสาร) ซึ่งในปี ที่ดำรงตำแหน่งยังมีข้อมูลที่ไม่ชัดเจน จากนั้นนางสาวโฉมเฉลา ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าบิดาของตนได้วางแผนให้นายสุ่ม ลงสมัครรับเลือกตั้ง และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งที่ 4 (6 มกราคม พ.ศ. 2489) ถือว่าการดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งสองระดับของนายสุ่ม มีบิดาเป็นผู้วางแผนและสนับสนุนหลัก 98

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมอื ง ดังที่กล่าวมาแล้วว่านายอั้น แสงอุไร เป็นผู้ที่มี บทบาทเบื้องหลังความสำเร็จในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ทั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้น เครือข่ายในการสนับสนุนจึงมีทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนัน เนื่องจากนายอั้นเป็นผู้ใหญ่บ้านที่มีเครือข่ายในระดับเดียวกัน และต่างระดับ อีกทั้งการเป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ที่จำหน่ายสินค้าให้กับหน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังเป็นผู้บริจาคที่ดินคนแรกสำหรับก่อสร้างโรงพยาบาล อตุ รดติ ถ ์ จงึ ทำใหเ้ ปน็ ทร่ี จู้ กั กบั บคุ คลทกุ กลมุ่ นางสาวโฉมเฉลา แสงอุไรได้กล่าวว่า “…คุณพ่อตนเปรียบเสมือนเจ้าที่เวลา ข้าราชการระดับสูงย้ายมาประจำที่จังหวัดอุตรดิตถ์จะมา เข้าพบ…” นอกจากนี้นายอั้นยังเป็นผู้บริจาคข้าวสาร และ เนื้อหมู เนื้อไก่ หรือข้าวของเครื่องใช้ที่หน่วยงานราชการ ตอ้ งการในยามสงคราม (นางสาวโฉมเฉลา แสงอไุ ร, สมั ภาษณ,์ 4 ธันวาคม 2558) ซึ่งสถานการณ์ก่อนที่ประเทศไทยจะมี การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2489 นั้นยังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยุติไปก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 ปีเท่านั้น ซึ่งการที่นายอั้นเป็น เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ที่เคยได้มีบทบาทช่วยเหลือหน่วยงาน ราชการหลายแห่งในภาวะสงครามและการเป็นนักธุรกิจชั้นนำ ของจังหวัดในขณะนั้นจึงทำให้มีเครือข่ายที่ค่อนข้างกว้างขวาง ที่ส่งผลต่อการหาเสียงสนับสนุนทางการเมืองแก่นายสุ่ม นอกจากนี้จากการที่นายสุ่ม เคยเป็นครูโรงเรียนชายประจำ จังหวัดจึงทำให้มีลูกศิษย์จำนวนมาก อีกทั้งผู้ปกครองตลอดจน 99

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ คณะครูที่เคยร่วมงานเป็นเครือข่ายช่วยหาเสียง ส่วนพรรค การเมืองถือว่ายังไม่มีบทบาทใดๆ 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตง้ั ในด้านรูปแบบและกระบวนการหาเสียงในสมัยนั้นไม่มี กระบวนการที่ชัดเจน แต่มีการวางแผนเส้นทางการหาเสียงโดย นายอั้น แสงอุไรเป็นหลัก ซึ่งมุ่งหาเสียงตามครัวเรือนต่างๆ โดยตรง ทั้งใช้วิธีการเดินและใช้จักรยานไปยังครัวเรือนใน หมู่บ้านต่างๆ บางหมู่บ้านต้องเดินทางเรือ ทุกหมู่บ้านจะมี ผู้ใหญ่และกำนันที่เป็นเครือข่ายของนายอั้นให้การต้อนรับและ พาไปยังครัวเรือนต่างๆ จึงทำให้สามารถหาเสียงได้โดยไม่มี อุปสรรค โดยสรุปแล้วเครือข่ายในการหาเสียงของนายสุ่ม คือ เครือญาติ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ลูกศิษย์ ข้าราชการ และค้าพ่อที่ เป็นกลุ่มใกล้ชิดกับนายอั้นที่มี 2 บทบาทในฐานะผู้ใหญ่บ้าน และนักธุรกิจรายใหญ่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ที่เป็นทำหน้าที่ ผู้สนับสนุนตั้งแต่แรกเริ่ม ฉะนั้น กลไกและกระบวนการหาเสียง ของนายสุ่ม ตันติพลาผลจึงรวมศูนย์การบริหารจัดการโดย บุคคลที่มีบทบาทในระดับจังหวัดขณะนั้น ซึ่งก็คือนายอั้น แสงอุไร นายเทพ เกตุพันธ์ นายเทพ เกตุพันธ์ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 สมัย โดยสมัยที่ 1 จากการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 6 (29 มกราคม พ.ศ. 2491) การเลือกตั้ง ครั้งที่ 8 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) โดยการเลือกตั้งครั้งที่ 2 นี้ เป็นการเลือกตั้งใหม่เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ 100

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นายชื้น อยู่ถาวร เสียชีวิตจึงต้องเลือกแทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งนายเทพ เกตุพันธุ์ ได้รับการเลือกตั้งแทนนายชื้น อยู่ถาวร และการเลือกตั้งครั้งที่ 9 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) จังหวัด อุตรดิตถ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกจำนวน 2 คน คือ นายเทพ เกตุพันธุ์ สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา และนายพึ่ง ศรีจันทร์ ไม่สังกัดพรรค โดยในขณะที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในสมัยแรกนั้นปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของ นายเทพ คือ การอภิปรายนโยบายการคลังในการประชุม ร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 วันที่ 1 มีนาคม 2491 ซึ่งจาก การอภิปรายที่ปรากฏในรายงานการประชุมนี้ ชี้ให้เห็นว่า นายเทพเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีข้อความว่า “…ความจริงแม้ถึงข้าพเจ้าสังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ แต่ข้าพเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้านประชาธิปัตย์…” (สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, 2491, น. 71) และนายเทพ ได้อภิปรายนโยบายการคลังที่มีใจความสำคัญบางประการ ที่แสดงถึงการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ “…ข้าพเจ้าเป็นห่วงหนักหนาเรื่องภาษีอากรนั้น รู้สึกห่วง ราษฎรตาดำๆ อะไร ตาสี ตาสา ตามา ข้าพเจ้าเอง เคยเห็นความเดือนร้อนของเขา ภาษีที่เขาเสียให้รัฐบาล 10 ปี มาแล้วไม่เคยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนไม่คุ้มเลย เพราะว่า ภาษีเหล่านี้ตกอยู่ในเมืองหลวง ในเทศบาล มาตกอยู่ในหมู่คน สองสามคน …รัฐบาลน่าจะเข้าใจว่าแก้ไขเรื่องนี้…แต่ถ้าหากว่า ไหนขืนไม่ทำด้วยความเป็นธรรม หมายความว่าไม่เก็บภาษี เป็นธรรมแก่สังคมจริงๆแล้ว ภาษีต่างๆไม่เก็บแก่ข้าราชการ ไม่เก็บจากพวกมั่งมี เสียใจแม้ข้าพเจ้าเองก็ไม่รับรองรัฐบาล 101

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ เหมือนกัน ด้วยเป็นเหตุเกี่ยวกับภาษี…” (สำนักงานเลขาธิการ รัฐสภา, 2491, น. 72) จากข้อความการอภิปรายของนายเทพ ดังกล่าวเป็นการสะท้อนปัญหาด้านการคลังของประเทศ ในขณะนั้นที่ยังไม่มีนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เป็นธรรมจึงก่อให้ เกิดความเหลื่อมล้ำของประชาชนที่มีฐานะยากจนในเขตชนบท และเขตเมือง ซึ่งถือว่าเป็นการอภิปรายที่สามารถสะท้อน ปัญหาในฐานะผู้แทนของประชาชนที่อยู่ในชนบทที่มีฐานะ ยากจน อันเป็นการชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ปัญหาด้านการ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในขณะนั้นที่มีความแตกต่างกันใน พื้นที่เขตชนบทและเขตเมือง นอกจากนี้นายเทพยังมีบทบาท ในการอภิปรายนโยบายอุตสาหกรรม ในการประชุมร่วมกัน ของรัฐสภา ครั้งที่ 5 วันที่ 5 มีนาคม 2491 โดยมีเนื้อหา การอภิปรายที่เกี่ยวกับจังหวัดอุตรดิตถ์ที่สำคัญดังนี้ “…โรงงาน อุตสาหกรรม คือ โรงทำน้ำตาล โรงทำน้ำตาลไทยของประเทศ มีอยู่ 2 แห่ง คือ ลำปางกับอุตรดิตถ์ ใน 2 จังหวัดนี้ถ้าคิดแล้ว ไม่พอใช้ครึ่งหนึ่งของประชาชนที่จะใช้ตลอดปี เพราะว่าคนหนึ่ง คิดเฉลี่ยแล้วจะต้องกินน้ำตาลเพียง 3 กิโลต่อหนึ่งปี ประชาชน ในเมืองไทย 18 ล้านคนจะต้องกินน้ำตาล 54 ล้านกิโลกรัม เมื่อเป็นดังนี้แล้วโรงงานตั้ง 2 โรงผลิตน้ำตาลได้ไม่ถึงครึ่ง ของประชาชนที่จำเป็นจะต้องใช้ แล้วเวลานี้พวกพ่อค้าได้สั่งเอา น้ำตาลของชะวาเข้ามาเมื่อขายแล้วราคานั้นต่ำไปกว่าราคาของ โรงงานน้ำตาลไทยที่เราผลิตขึ้นประมาณกิโลกรัมละ 50 สตางค์ ที่นี้โรงงานของเราจะทรงอยู่ไม่ได้ …” (สำนักงานเลขาธิการ รัฐสภา, 2491, น. 486-487) จากการทำหน้าที่ในการอภิปราย นโยบายด้านอุตสาหกรรมดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่านายเทพ 102

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้นำเสนอประเด็นปัญหาและข้อจำกัดด้านการพัฒนา อุตสาหกรรมของประเทศในขณะนั้นที่สัมพันธ์กับพื้นที่ที่ตนเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ จังหวัดอุตรดิตถ์ไปยังรัฐบาล โดยเฉพาะปัญหาการผลิตน้ำตาลที่ไม่เพียงพอกับความต้องการ บริโภคภายในประเทศทำให้มีการนำเข้าจากต่างประเทศผ่าน พ่อค้าคนกลางที่สามารถจำหน่ายได้ในราคาที่ถูกกว่าโรงงาน ที่ผลิตภายในประเทศ อันจะกระทบต่ออุตสาหกรรมภายใน ประเทศ ซึ่งนัยยะนี้หมายถึงเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยที่อยู่ในจังหวัด อุตรดิตถ์และลำปางที่เป็นพื้นที่ปลูกอ้อยส่งยังโรงงาน ฉะนั้น การอภิปรายดังกล่าวของนายเทพจึงเป็นการทำหน้าที่ในฐานะ ตัวแทนของประชาชนจังหวัดอุตรดิตถ์เพื่อป้องกันผลประโยชน์ ด้านเกษตรกรรมหลักของจังหวัด และจากการอภิปรายนโยบาย การคลังและอุตสาหกรรมของนายเทพนั้นทำให้เห็นว่านายเทพ นั้นมีความรู้ด้านเศรษฐกิจที่สะท้อนผ่านการอภิปรายดังกล่าว นายชื้น อยู่ถาวร นายชื้น อยู่ถาวร ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ ในการเลือกตั้ง ทั่วไป ครั้งที่ 8 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) ซึ่งการเลือกตั้ง ในครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 เพื่อล้มรัฐธรรมนูญที่ใช้ในขณะนั้น และจอมพล ป. พิบลู สงครามขน้ึ มาดำรงตำแหนง่ นายกรัฐมนตรี และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ส่งผลให้รัฐสภาเป็นระบบเดียว ที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาสองประเภท โดยคณะรัฐประหาร 103

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แต่งตั้งบุคคลในคณะรัฐประหารเป็นสมาชิกสภาประเภทที่ 2 ทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรในสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับสมาชิกสภา ประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่การเลือกตั้ง ครั้งนี้สืบเนื่องจากการรัฐประหาร โดยมีการประกาศห้ามไม่ให้ มีการชุมนุมทางการเมือง ทำให้พรรคการเมืองไม่มีบทบาท ในการเลือกตั้ง สำหรับจังหวัดอุตรดิตถ์มีผู้สมัครและได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 คือ นายชื้น อยู่ถาวร แต่ต่อมาได้เสียชีวิตลงซึ่งไม่ปรากฏข้อมูลปีที่เสียชีวิต จึงเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลง ซึ่งนายเทพ เกตุพันธุ์ ได้รับการเลือกตั้งแทนนายชื้น อยู่ถาวร ซึ่งจากข้อมูลที่รวบรวม ที่แสดงถึงบทบาทสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายชื้นพบว่า เป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอก และ การนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 ในการประชุมครั้งที่ 10 วันที่ 19 สิงหาคม 2490 ซึ่งเหตุผลในการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เนื่องจาก “การลักลอบสินค้าประเภทอาหารที่จำเป็นในการครองชีพ เช่น อาหารสด อาหารเค็มและอาหารแห้ง ตลอดจนกระทั่งสัตว์ มีชีวิต เช่น วัว ควาย และสุกร เป็นต้น เพื่อนำไปขายยัง ต่างประเทศที่ใกล้เคียงนั้น เป็นเหตุอันสำคัญที่ทำให้สินค้า ประเภทอาหารดังกล่าวมาแล้วมีราคาสูงขึ้นอย่างมากมาย ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในเรื่องการครองชีพ นอกจากสินค้าประเภทอาหารดังกล่าวแล้ว ยังมีแร่ดีบุก ยาง ไม้ ซึ่งนับว่าเป็นสินค้าที่สำคัญของประเทศไทย ก็มีการลักลอบออก ไปขายยังต่างประเทศเช่นเดียวกัน นับว่าเป็นผลเสียหายแก่ ประเทศชาติอย่างร้ายแรง…” (รัฐสภา, 2490, น. 1192) 104

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ จากข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงบทบาทในฐานะสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของนายชื้นในการรวบรวม และเสนอสภาพ ปัญหาเศรษฐกิจในด้านการลักลอบส่งออกและนำเข้าสินค้า ผิดกฎหมายที่กระทบประชาชน เพื่อนำไปบัญญัติเป็นกฎหมาย ผ่านกระบวนการทางรัฐสภา ซึ่งเป็นบทบาทหลักของในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายชื้น อยู่ถาวร นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ 1. ประวตั สิ ่วนตวั นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เป็นคนจังหวัดอุตรดิตถ์โดยกำเนิด เกิดวันที่ 28 มิถุนายน 2494 เป็นบุตรของนายต้น และนางต้า หาญประเสริฐ สำเร็จ การศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนอุตรดิตถ์ สมรส กับนางปราณี หาญประเสริฐ ซึ่งปัจจุบันอายุ 95 ปี มีบุตร- ธิดา จำนวน 5 คน คือ นายชัยยันต์ หาญประเสริฐ เคยดำรง ตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวสุพิณนา หาญประเสริฐ นายชัยยุทธ หาญประเสริฐ นายชัยยงค์ หาญประเสริฐ และ นายอุโฆษ หาญประเสริฐ นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ เริ่มธุรกิจเกี่ยวกับตัดและลากจูงไม้ ซึ่งได้รับสัมปทานจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และตัดส่ง โรงเลื่อยไม้ของนายสุนันท์ สีหลักษณ์ บิดาของนางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์สังกัด พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย โดย นางปราณี หาญประเสริฐ ให้ข้อมูลว่าสามีได้รับรถลากไม้จาก น้องชายของบิดา โดยนางปราณีมีบิดาที่อพยพมาจากเมืองจีน 105

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ทำกิจการโรงเลื่อยที่ตำบลสันป่าข่อย อำเภอเมือง จังหวัด เชียงใหม่ด้วย จึงทำให้เมื่อแต่งงานแล้วได้เริ่มทำกิจการตัดไม้ ซึ่งกิจการนี้ทำให้รู้จักเพื่อนกลุ่มที่ทำกิจการเดียวกัน และ การต้องไปตัดไม้ยังทุกพื้นที่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ทำให้ได้รู้จัก ประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันตลอดจน พระตามวัดต่างๆ จึงเป็นจุดให้ได้เริ่มช่วยเหลือวัดต่างๆ หาก พระวัดใดต้องการไม้สำหรับสร้างวัด ก็จะขอมายังสามี ซึ่งก็ไม่ เคยปฏิเสธทั้งวัดที่ตั้งอยู่ห่างไกล หรือวัดที่อยู่ในตัวเมือง อุตรดิตถ์ เช่น วันเกษมจิตตาราม ที่สามีได้ไปลากท่อนซุง ขนาดใหญ่ที่อำเภอสวรรคโลกมาบริจาคให้กับวัด และช่วยนำ ไม้มาซ่อมแซมโบสถ์หลวงพ่อเพ็ชร วัดท่าถนน เป็นต้น อีกทั้ง ยังได้นำไม้ไปมอบให้กับโรงเรียนจำนวนหลายโรงเรียนที่ขอรับ ความช่วยเหลือ ฉะนั้น จากการที่สามีได้ช่วยเหลือดังที่กล่าวมา และจากการที่เพื่อนที่ประกอบกิจการเหมือนกันสนับสนุนให้ นายสมพงษ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงเห็นว่ามีฐานผู้สนับสนุน พอสมควร จงึ ไดล้ งสมคั รรบั เลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (นางปราณี หาญประเสริฐ, สัมภาษณ์, 26 พฤศจิกายน. 2558) 2. ประวตั ิการดำรงตำแหนง่ ทางการเมือง นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ เป็นนักการเมืองระดับ ชาติโดยเคยได้ทำงานการเมืองระดับท้องถิ่นมาก่อนในตำแหน่ง สมาชิกสภาเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ แต่ไม่มีข้อมูลปีและระยะ เวลาดำรงตำแหน่ง เนื่องจากภรรยาและบุตรที่ให้ข้อมูลหลัก ไม่สามารถระบุได้ นายสมพงษ์ หาญประเสริฐไม่มีบุคคล ในเครอื ญาตทิ ม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งทางการเมอื งมากอ่ น แตเ่ นอ่ื งดว้ ย 106

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ การประกอบอาชีพที่มีโอกาสได้สัมผัสกับกลุ่มคนที่หลากหลาย และการให้ความช่วยเหลือกลุ่มบุคคลดังที่ได้กล่าวมา จึงทำให้ ตัดสินใจสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการ เลือกตั้ง ครั้งที่ 10 (15 ธันวาคม พ.ศ. 2500) โดยในปีนั้นจังหวัด อุตรดิตถ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวน 2 คน คือ นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ ไม่สังกัดพรรค และนายส่ง ศัลยพงษ์ ไม่สังกัดพรรคเช่นเดียวกัน แต่ได้ทำหน้าที่เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเพียง 10 เดือน จอมพลสฤษดิ์ ธนารัชต์ ได้ยึดอำนาจรัฐบาลของ พลโทถนอม กิตติขจร ที่อยู่ในตำแหน่ง จนถึงวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ซึ่งการรัฐประหารครั้งนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ สภา ผู้แทนราษฎร และยุติบทบาทของพรรคการเมืองไทยลง นายชัยยุทธ หาญประเสริฐ ได้ให้ข้อมูลว่าภายหลังจาก การรัฐประหารแล้วบิดา และเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประมาณ 22 คน ได้จัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ชื่อพรรคอิสระ โดยมี นายประสิทธิ์ กาญจวัฒน์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นผู้ให้การสนับสนุนร่วมกับอดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจำนวน 22 คน ประกอบนายโกศล ไกรฤกษ์ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั พษิ ณโุ ลก นายบญุ เลศิ ชินวัตร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ นายวัฒนา อัศวเหม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ นายสมพงษ์ อยู่หุ่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น ซึ่งนายประสิทธิ์ กาญจวัฒน์ ได้เช่าบ้านที่ตั้งอยู่ซอย เสนาร่วม เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมวางแผนการดำเนินงาน ของพรรคอิสระ นายชัยยุทธเล่าว่าขณะนั้นได้ไปศึกษาต่อใน 107

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่กรุงเทพฯ และพักอาศัยที่บ้าน หลังดังกล่าว อีกทั้งได้มีโอกาสช่วยจัดเตรียมอาหารและ เครื่องดื่มให้กับเพื่อนๆ บิดาที่มาประชุม และในการเลือกตั้ง ครั้งที่ 11 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) บิดาได้ลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นสมัย ที่ 2 ในนามพรรคอิสระ แต่ในครั้งนี้ไม่ได้รับการเลือกตั้ง โดยผู้ที่ ได้รับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวน 2 คน คือ นายเสริม โลกเลื่อง และเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ เมื่อ ไม่ได้รับการเลือกตั้ง นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ได้แต่งตั้ง บิดาเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี ซึ่งนายประสิทธิ์ดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกร (กระทรวงพาณิชย์) ใน พ.ศ. 2514 นายชัยยุทธ์ หาญประเสริฐ ยังกล่าวว่าการจัดตั้งพรรคอิสระ ที่ประสบความสำเร็จในช่วงระหว่างปี 2501 – 2511 นั้น มีจอมพลประภาส จารุเสถียร เป็นผู้ให้การสนับสนุน นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ในการก่อตั้งพรรคดังกล่าว (สัมภาษณ์นายชัยยุทธ หาญประเสริฐ, สัมภาษณ์, 26 พฤศจิกายน. 2558) 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมือง การลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยแรกนั้นนายสมพงษ์ หาญประเสริฐ มีกลุ่มที่ทำกิจการค้าไม้ผลักดันให้ลงสมัครรับ เลือกตั้ง ผนวกกับความชอบทางการเมืองจึงทำให้ตัดสินใจ ลงสมัคร ซึ่งเครือข่ายที่สนับสนุนให้เขาสามารถเขาสู่การเมือง ได้สำเร็จนั้น คือ ผู้ใหญ่บ้านและกำนัน คร ู พระสงฆ์ และ 108

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ประชาชนที่นายสมพงษ์เคยให้ความช่วยเหลือ โดยเฉพาะ ประชาชนที่บุตรหลานต้องไปศึกษาต่อยังกรุงเทพฯ นายสมพงษ์ ได้เคยช่วยเหลือติดต่อญาติหรือคนรู้จักที่กรุงเทพฯให้หาที่พักให้ บุตรหลานคนที่มาขอความช่วยเหลือ นอกจากนี้ครอบครัวของ ภรรยา คือ นางปราณี ที่มีมารดา คือ แม่ช่ายเป็นเจ้าของ โรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ถือว่าค่อนข้างมีฐานะในจังหวัด อุตรดิตถ์ก็ให้เงินช่วยเหลือในการหาเสียง ซึ่งมีค่าใช้จ่าย เช่น การเหมารถจี๊ป และการทำป้ายหาเสียงสำหรับติดบนรถ เป็นต้น (สัมภาษณ์นางปราณี หาญประเสริฐ, สัมภาษณ์, 26 พฤศจิกายน 2558) ซึ่งการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในสมัยแรกนั้นเขายังไม่ได้สังกัดพรรค จึงทำให้มี เครือข่ายสนับสนุนจำกัด แต่จากการที่เขารับสัมปทานตัดไม้ ทุกเขตอำเภอของจังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดใกล้เคียง จึงทำให้ ประชาชนจำได้ทั้งหน้าตาและชื่อของเขา และมีกลุ่มเพื่อนใน แวดวงธุรกิจค้าไม้ที่ค่อยเป็นกระบอกเสียงส่งต่อไปยังประชาชน ให้เขาเวลาที่ได้ไปตัดไม้ยังพื้นที่ต่างๆ ส่วนการลงสมัครรับ เลือกตั้งในสมัยที่ 2 นั้น ถือได้ว่าบทบาทของนักการเมืองและ พรรคการเมืองที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดตั้ง คือ พรรคอิสระ มีบทบาทในการกำหนดแนวทางการเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งบรรยากาศทางการเมืองไม่เอื้อ อำนวยให้ทำกิจกรรมทางการเมืองยาวนาน ตั้งแต่ พ.ศ. 2501 จนกระทั่งถึงการตราพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 จึงทำให้พรรคการเมืองสามารถเคลื่อนไหวกิจกรรมทาง การเมอื งไดอ้ กี ครง้ั ดงั นน้ั ในฐานะทน่ี ายสมพงษ ์ หาญประเสรฐิ มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการก่อกำเนิดขึ้นของพรรคจึงทำให้ 109

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในนามพรรคอิสระ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ รับเลือกตั้งในสมัยที่ 2 แต่ก็ได้รับแต่งตั้งให้มีบทบาททาง การเมืองในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร จะเห็นได้ว่าเครือข่ายทางการเมืองของนายสมพงษ์ หาญประเสริฐในการเวทีการเมืองในสมัยที่ 2 นั้นขยายขึ้นมา เป็นเครือข่ายนักการเมืองระดับชาติและพรรคการเมืองที่ให้การ สนับสนุน และจากที่นายชัยยุทธ หาญประเสริฐ ได้ให้ข้อมูล ไว้ว่าการกำเนิดขึ้นของพรรคอิสระนั้นมีทหารซึ่งมีบทบาท ทางการเมือง คือ จอมพลประภาศ จารุเสถียร เป็นผู้สนับสนุน นายประสิทธิ์ กาญจวัฒน์ ที่ถือว่าเป็นกลไกหลักในการจัดตั้ง พรรค ถือได้ว่านายสมพงษ์ หาญประเสริฐ เป็นผู้ที่มีเครือข่าย ทหารสนับสนุนแม้ว่าจะเป็นทางอ้อมโดยผ่านอดีตสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรก็ตาม 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสียงเลือกต้งั สำหรับรูปแบบการหาเสียงนั้นนายสมพงษ์ หาญประเสริฐ ที่ดำเนินการเองนั้น ได้ใช้การแห่การเหมารถจี๊ป แล้วนำป้ายหาเสียงสำหรับติดด้านข้างรถ ซึ่งเป็นรูปที่จ้าง โรงภาพยนตร์ในจังหวัดอุตรดิตถ์วาดให้ และใช้การพูดปราศรัย ตามจุดต่างๆ ที่ผู้ใหญ่บ้านและกำนันได้นัดหมายประชาชนให้ โดยใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “ป่าล้อมเมือง” ซึ่งนายชัยยุทธ หาญประเสริฐ กล่าวว่าบิดาวางแผนหาเสียงกับประชาชน ในเขตพื้นที่รอบนอกก่อน โดยเดินทางไปยังพื้นที่อำเภอที่อยู่ ไกลสุดแล้วเดินทางมายังพื้นที่อำเภอชั้นใน และอำเภอเมืองเป็น พื้นที่สุดท้าย สาเหตุที่บิดาใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองเพราะบิดา 110

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ คุ้นเคยกับผู้นำชุมชนและประชาชนที่อยู่อำเภอรอบนอกจาก การที่บิดาได้ไปตัดไม้ในพื้นที่สัมปทานมากกว่าในเมือง ซึ่งใน พื้นที่เขตอำเภอเมืองขณะนั้นมีนายส่ง ศัลยพงษ์ ซึ่งลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพร้อมบิดาได้เปรียบ ทางการเมือง เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์หลายสมัยมาก่อน ซึ่งนายชัยยุทธ กล่าวว่าจากกลยุทธ์นี้บิดาได้คะแนนจากอำเภอรอบนอก ค่อนข้างมาก เช่น จากอำเภอพิชัยที่ได้คะแนนสนับสนุน มากที่สุด (สัมภาษณ์นายชัยยุทธ หาญประเสริฐ, สัมภาษณ์, 26 พฤศจิกายน. 2558) แต่เมื่อลงสมัครครั้งที่ 2 ภรรยาของ นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ ได้ให้ข้อมูลว่า มีการแข่งขัน ทางการเมืองค่อนข้างสูง และผู้ที่สนใจลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่เป็นคนใหม่เข้ามา และเป็นที่รู้จักของประชาชนในจังหวัด ค่อนข้างมาก นายสมพงษ์ หาญประเสริฐจึงไม่ได้รับเลือกตั้ง ซึ่งในคราวนั้นมีนายเสริม โลกเลื่อง อาชีพทนายความ และ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ที่เป็นปลัดอำเภอลับแล ลงสมัครด้วย (สัมภาษณ์นางปราณี หาญประเสริฐ, สัมภาษณ์, 26 พฤศจิกายน 2558) โดยการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ของ นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ เมื่อ10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 นี้ ห่างจากสมัยแรกยาวนานกว่า 10 ปี และในคราวที่ได้รับ เลือกตั้งสมัยแรกก็ดำรงตำแหน่งเพียง 11 เดือนเนื่องจาก การรัฐประหาร จึงยังไม่มีผลงานปรากฏเป็นรูปธรรมจาก การดำรงตำแหน่งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้น ประชาชนจึงยังอาจไม่รับรู้ถึงบทบาทและผลงานที่มีต่อจังหวัด อุตรดิตถ์ ตลอดจนคู่แข่งทางการเมืองมีฐานจากการเป็น 111

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ข้าราชการประจำกรณีเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ จึงมี ฐานผู้นำชุมชนและข้าราชการทุกระดับเป็นฐานสนับสนุนหลัก และด้วยประสบการณ์ทางการเมืองของประชาชนที่ถูกไม่ให้ ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองใดในห้วงกว่า 1 ทศวรรษ เมื่อมี โอกาสในการแสดงออกทางการเมืองจึงต้องการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง ฉะนั้น จึงเป็นโอกาสของผู้สมัครหน้าใหม่ที่เป็นที่ ช่วยเปลี่ยนผ่านทางการเมืองผนวกกับคุณสมบัติส่วนตัวของ ผู้สมัครหน้าใหม่ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งดังกล่าวด้วย นายส่ง ศัลยพงษ์ 1. ประวตั ิส่วนตวั นายส่ง ศัลยพงษ์ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เกิดที่ จังหวัดอุตรดิตถ์ นายส่งสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี และได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ หลายสมัย แต่ข้อมูลประวัติในด้านอื่นๆ นั้นนางนพรัตน์ ศัลยพงษ์ ซึ่งเป็นหลานของนายส่งได้กล่าวว่าไม่ทราบประวัติ โดยละเอียดของผู้เป็นลุง (นางนพรัตน์ ศัลยพงษ์, สัมภาษณ์, 30 พฤศจิกายน 2558) ตระกูลศัลยพงษ์นั้นถือว่าเป็นตระกูล ใหญ่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ที่มีเครือญาติในตระกูลเดียวกัน จำนวนมาก และมีฐานะทางเศรษฐกจิ ค่อนขา้ งดี โดยจากบนั ทึก พระครวู นิ ยั ธรสมชยั สมจติ โฺ ต อดตี เจา้ อาวาสวดั เกษมจติ ตาราม (อดีตชื่อวัดม่อนศัลยพงษ์) ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 บ้านคลองโพธิ์ ตำบล ท่าอิฐ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ที่ได้บันทึกประวัติของวัด ด้วยลายมือว่าที่ดินวัดได้รับบริจาคจากนายกว้าง และ นางแปลก ศัลยพงษ์ (พระครูวินัยธรสมชัย สมจิตฺโต, ม.ป.ป., 112

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ถ่ายเอกสาร) โดยข้อมูลจาก น.อ.เชษฐ์ ศัลยพงษ์ ซึ่งเป็นหลาน ของนายส่ง กล่าวว่านายกว้างเป็นบิดาของนายส่งซึ่งเป็น ผู้บุกเบิกพื้นที่บริเวณคลองโพ ในเขตอำเภอเมืองปัจจุบัน และ ได้พัฒนาเป็นตลาดการค้าขึ้นมา อาจมีพื้นที่จำนวนมาก จึงได้บริจาคให้กับวัดและตั้งชื่อวัดว่า วัดม่อนศัลยพงษ์ ตาม นามสกุลของตนเอง โดยนายส่งนั้นได้รับการศึกษาในระดับ มัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กรุงเทพฯ และ เป็นนักบอลเสื้อสามารถของโรงเรียน จากนั้นได้ศึกษาเป็น นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ เนติบัณฑิต จากสำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา จึงได้ประกอบอาชีพเป็นทนายความ ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง ส่วนอุปนิสัยนั้นเป็นคนตรงไปตรงมาทั้งนี้เนื่องด้วยเป็นผู้ที่ทำ หน้าที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและคดีความต่างๆ (น.อ.เชษฐ์ ศัลยพงษ์, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2558) 2. ประวัติการดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง ข้อมูลจากเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์นั้นระบุว่านายส่ง ศัลยพงษ์ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี 4 วาระ (สำนัก ปลัดเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์, 2558, ถ่ายเอกสาร) ดังนี้ 2.1 สมัยที่ 1 วันที่ 9 พฤษภาคม 2492 – 16 พฤษภาคม 2496 2.2 สมัยที่ 2 วันที่ 17 พฤษภาคม 2496 – 18 พฤษภาคม 2501 2.3 สมัยที่ 3 วันที่ 18 พฤษภาคม 2501 – 7 มีนาคม 2505 113

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ 2.4 สมัยที่ 4 วันที่ 9 มกราคม 2511 – 26 กุมภาพันธ์ 2516 สำหรับการดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรนั้น นายส่ง ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งที่ 10 (15 ธันวาคม พ.ศ. 2500) และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดอุตรดิตถ์มีผู้แทน จำนวน 2 คน คือ นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ และนายส่ง ศัลยพงษ์ แต่การดำรงตำแหน่งเพียง 10 เดือน เช่นเดียวกันกับ นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ เนื่องจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจพลโทถนอม กิตติขจร ในวันที่ 20 ตุลาคม 2501 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมือง ในด้านการสนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมืองนี้ เป็นข้อมูลที่ผู้ให้ข้อมูลหลักคาดว่าจากการที่นายส่ง ศลั ยพงษ์ ดำรงตำแหนง่ เปน็ ผบู้ รหิ ารองคก์ ารปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในบรรดานายกเทศมนตรีเทศบาล เมืองอุตรดิตถ์ จึงย่อมมีเครือข่ายสนับสนุนที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม อาทิ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นักการเมืองท้องถิ่น ตลอดจน ข้าราชการทุกระดับในจังหวัดที่อาจถือได้ว่าเป็นเครือข่าย สนับสนุนทางการเมืองในระดับจังหวัดที่ส่งผลต่อการให้การ สนับสนุนทางการเมืองในระดับชาติเมื่อนายส่งได้ลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากการดำรง ตำแหน่งในฐานะนายกเทศมนตรีที่ต้องมีการติดต่อประสานกับ ข้าราชการทุกระดับ และการทำหน้าที่ในฐานะผู้บริหารท้องถิ่น 114

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่จักต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนและส่วนราชการอื่น ภายในจังหวัด จึงย่อมสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปสู่การ เป็นเครือข่ายสนับสนุนทางการเมืองได้ และด้วยคุณลักษณะ ของนายส่งที่ผู้ให้ข้อมูลหลักได้กล่าวถึง คือ เป็นผู้ที่มีความ สามารถในการพูดโน้มน้าวบุคคลอื่นได้ดี ทั้งนี้ด้วยอาชีพ ทนายความที่มีความสามารถในการสื่อสารเป็นพื้นฐาน จึงอาจ ย่อมจูงใจให้ประชาชนยอมรับที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในฐานะ ผู้แทนราษฎรได้ นอกจากนี้อาจมีเครือข่ายญาติพี่น้องในตระกูล “ศัลยพงษ์” ที่มีสมาชิกในตระกูลค่อนข้างมาก ก็อาจเป็น ส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทางการเมือง ทั้งนี้ตระกูลศัลยพงษ์ เป็นตระกูลดั้งเดิมที่มีประชาชนในจังหวัดอุตรดิตถ์รู้จักเป็น ส่วนมาก และคนในตระกูลส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการ และ นักธุรกิจของจังหวัด เช่น ธุรกิจเช่าพื้นที่ในตลาดคลองโพธิ ์ ที่ตั้งอยู่ถนนบรมอาสน์บริเวณย่านธุรกิจหลักของจังหวัด ธุรกิจ เกษตรขนาดใหญ่ เช่น สวนเกษตรศิลป์ ของนายศิลป์ ศัลยพงษ์ เป็นต้น ดังนั้น การเป็นตระกูลที่มีสมาชิกในตระกูลอยู่ทั้งใน ภาคราชการและธุรกิจจึงอาจเป็นเครือข่ายช่วยสนับสนุน ทางการเมืองด้วย สำหรับพรรคการเมืองนั้นไม่มีข้อมูลว่า ได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองและพรรคการเมืองใดๆ (น.อ.เชษฐ์ ศัลยพงษ์, สัมภาษณ์, 1 ธันวาคม 2558) 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสยี งเลือกตัง้ ในด้านการหาเสียงเลือกตั้งนี้เป็นการวิเคราะห์จาก ข้อมูลส่วนตัวและการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีของนายส่ง ศัลยพงษ์ ที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี 4 วาระ จึงส่งผล 115

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ให้มีความได้เปรียบในการด้านการหาเสียงเลือกตั้งที่มีกลุ่มฐาน คะแนนสนับสนุนเดิมในการเข้าสู่ตำแหน่งนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นฐานสนับสนุนทางการเมืองเดียวกัน ฉะนั้น การหาเสียงเลือกตั้งจึงใช้วิธีการเช่นเดียวกับการหาเสียง เลอื กตง้ั ดำรงตำแหนง่ นายกเทศมนตรี อาทิ การอาศยั ผใู้ หญบ่ า้ น กำนันในการเป็นผู้สื่อสารไปยังประชาชนในหมู่บ้านและตำบล ต่างๆ การพบปะเยี่ยมเยียนประชาชน การปราศรัยหาเสียง เป็นต้น และจากการสัมภาษณ์นายชัยยุทธ์ หาญประเสริฐ ซึ่งเป็นบุตรชายของนายสมพงษ์ หาญประเสริญ อดีตสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งได้กล่าวถึงการหาเสียง ของบิดาว่า ใช้กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” คือ เน้นหาเสียงในพื้นที่ อำเภอรอบนอกและห่างไกลจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ก่อน เนื่องจากบิดาเห็นว่านายส่ง ศัลยพงษ์ เน้นหาเสียงในเขต เมืองและพื้นที่ชั้นในของจังหวัดอุตรดิตถ์เป็นหลัก จากข้อมูลนี้ จึงเห็นได้ว่านายส่งได้กำหนดพื้นที่หาเสียงโดยเดินทางหาเสียง ไปยังหมู่บ้านต่างๆ ในเขตอำเภอเมืองและอำเภอใกล้เคียงเป็น หลัก ทั้งนี้อาจเนื่องด้วยเป็นฐานสนับสนุนเดิมที่เคยสนับสนุน เป็นนายกเทศมนตรีเมืองอุตรดิตถ์อยู่แล้ว และการหาเสียงของ นายส่งน่าจะใช้วิธีการเดินทางหาเสียงในระดับครัวเรือน เพื่อได้ ใช้เวลาพบปะประชาชนและผู้นำชุมชนทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนัน ซึ่งเปรียบเสมือนคนคุ้นเคยในฐานะผู้ที่ได้สนับสนุนและ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในขณะที่ดำรงตำแหน่งนักการเมือง ท้องถิ่น ดังนั้นรูปแบบการหาเสียงของนายส่งจึงยังเป็นวิธีการ ที่เน้นเข้าถึงประชาชนในระดับบุคคลมากกว่ารปู แบบอื่น 116

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นายเสริม โลกเล่ือง 1. ประวัติสว่ นตัว นายเสริม โลกเลื่อง ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว โดยข้อมูล ของนายเสริมนี้มีนางอัมพา สุขวิเศษ อดีตข้าราชการครูซึ่งเป็น หลานของนายเสริมและเคยมีประสบการณ์ติดตามนายเสริม หาเสียงเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ โดยได้ให้ข้อมูลว่า นายเสริมเป็นบุตรของนายฟุ้ง และนางเชิง โลกเลื่อง นายฟุ้ง นั้นสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเทพบดินทร์ กรุงเทพฯ และรับ ราชการ จึงสนับสนุนบุตร-ธิดาทั้งหมดให้ได้รับการศึกษา จนสำเร็จปริญญาตรี ซึ่งบุตร-ธิดาจำนวน 7 คน ประกอบด้วย นายประสทิ ธ ิ โลกเลอ่ื ง (ไมท่ ราบยศทช่ี ดั เจน) เปน็ เจา้ กรมทหาร แผนที่ นายประเสริฐ โลกเลื่อง รับราชการตำรวจ นายทองดำ โลกเลื่อง เป็นพนักงานธนาคารออมสิน นายเสริม โลกเลื่อง เคยเป็นครูโรงเรียนพาณิชยการแห่งหนึ่ง และเป็นประธาน สหกรณ์แห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ จากนั้นเป็นกลับมาเปิดสำนักงาน ทนายความที่จังหวัดอุตรดิตถ์ นายอร่าม โลกเลื่อง รับราชการ เป็นคลังจังหวัดอุตรดิตถ์ นายประเมิน โลกเลื่อง รับราชการ ตำรวจ และนางสาวสมจิตร โลกเลื่อง รับราชการครู ด้าน การศกึ ษานายเสรมิ โลกเลอ่ื ง สำเรจ็ การศกึ ษานติ ศิ าสตรบณั ฑติ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และเนติบัณฑิต จากสำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ด้านครอบครัว นายเสริม โลกเลื่อง สมรสกับนางกาญจนา โลกเลื่อง นามสกุล เดิม จีนอนันต์ เป็นข้าราชการในตำแหน่งอาจารย์วิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนอี ตุ รดติ ถ ์ มบี ตุ รชาย 2 คน คอื นายบญุ ยง 117

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ โลกเลื่อง และนายภีมะวัชร์ พสิษฐ์ภูมิภัทร (นางอัมพา สุขวิเศษ, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) 2. ประวตั กิ ารดำรงตำแหนง่ ทางการเมือง นายเสริม โลกเลื่อง ได้เคยดำรงตำแหน่งนายก- เทศมนตรีเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ทั้งนี้ก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นนายกเทศมนตรีนั้น นายเสริมเคยทำงานที่สหกรณ์ใน กรุงเทพฯ และเมื่อกลับมาอาศัยอยู่จังหวัดอุตรดิตถ์ก็ได้ ประกอบอาชีพเป็นทนายความที่บ้านพักของบิดานายเสริม จึงทำให้รู้จักพบปะผู้คนมาก และด้วยอัธยาศัยดี ชอบปะพูดคุย กับบุคคลอื่น ตลอดจนเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาสูงในขณะนั้น จึงได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลเมือง อุตรดิตถ์ ที่ถือได้ว่าไม่มีคู่แข่งเนื่องจากประชาชนเห็นว่าเป็นผู้ที่ มีความรู้และมีอัธยาศัยดี แต่ไม่มีข้อมูลปีที่ดำรงตำแหน่ง ทั้งจากเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์และนางอัมพาซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูล หลัก และใน พ.ศ. 2012 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งที่ 11 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) ผลการเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์จำนวน 2 คน คือ นายเสริม โลกเลื่อง สังกัดพรรคสหประชาไทย ซึ่งมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค และ เรืออากาศตรี บุญยง วัฒนพงศ์ ไม่สังกัดพรรค ซึ่ง นางอัมพา ได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้นายเสริมได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมาแล้ว 1 ครั้งในสมัยที่ยังอาศัยอยู่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง และไม่สามารถจำข้อมูลปีและพรรคไม่ได้ เนื่องจากค่อนข้างนานและยังคงเป็นเด็กอยู่ แต่การที่นายเสริม 118

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งที่ 11 นี้เป็นเพราะว่านายเสริมมีพื้นฐานเป็นคนชอบช่วยเหลือคน ที่ลำบาก เช่น ช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนที่เป็นจำเลยใน คดีความต่างๆ แต่ไม่มีเงินจ้างทนายความ นายเสริมก็ให้ความ ช่วยเหลือโดยเคยนั่งรถไฟจากจังหวัดอุตรดิตถ์เพื่อไปว่าความ ให้ที่กรุงเทพฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายทุกอย่างนายเสริมเป็นผู้รับผิดชอบ เองทุกอย่าง อย่างไรก็ตามนายเสริมช่วยเหลือเฉพาะคน ที่เห็นว่าไม่ได้กระทำผิดจริง จึงทำให้ประชาชนรักและพูดถึง นายเสริมต่อๆ กัน นอกจากนี้ยังช่วยบุตรหลานของคนอุตรดิตถ์ ที่ไปศึกษาต่อยังกรุงเทพฯ ให้ไปพักที่บ้านของตนเองโดยไม่คิด ค่าเช่า จึงมีนักเรียนและนักศึกษาจากอุตรดิตถ์ไปพักยังบ้าน ของนายเสริมหลายรุ่น ด้วยความรักที่จะช่วยเหลือคนและชอบ การเมืองมาก ดังนั้น ในทุกเทศกาลจะมีคนที่เคยพึ่งพา นายเสริมมาเยี่ยมและนำของมาฝากเพื่อขอบคุณเป็นประจำ ทุกปี จากการที่ได้ช่วยเหลือกลุ่มคนต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง จึงตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยที่ 2 จึงได้รับเลือกตั้ง ดังกล่าว นางอัมพากล่าวว่าคุณลุงชอบการเมืองมาก เมื่อได้ยิน ประกาศวา่ จะมกี ารเลอื กตง้ั ลงุ กจ็ ะรบี มาลงสมคั ร โดยนางอมั พา เปรียบว่า “ฆ้องดังเมื่อไหร่ ลุงก็จะไปสมัครทันที” (นางอัมพา สุขวิเศษ, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) นายเสริมมีผลงาน ที่เป็นที่จดจำของประชาชน คือ การเสนอโครงการเพื่อสร้าง สะพานข้ามแม่น้ำน่าน ชื่อว่า สะพานพัฒนาภาคเหนือ 13 ใน พ.ศ. 2513 ภายหลังได้รับเลือกตั้งเพียง 1 ปี ซึ่งปัจจุบัน สะพานยังคงอยู่ แต่ปิดไม่ให้สัญจรแล้ว แต่สร้างสะพานขึ้นใหม่ โดยขนานสะพานเดิมที่มีอยู่ นอกจากนี้มีโรงเรียนที่ได้ช่วย 119

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ สนับสนุนงบประมาณสร้างโรงเรียน คือ โรงเรียนวัดป่ากล้วย (เสริมวิทยา) อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ (นางอัมพา สุขวิเศษ และทิวาทิพย์ โลกเลื่อง, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมอื ง ในด้านเครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองของ นายเสริม โลกเลื่อง ถือว่าเครือข่ายญาติพี่น้องในตระกูลมีส่วน สำคัญ เนื่องจากมีพี่น้องค่อนข้างมาก และเมื่อแต่ละคน ในตระกูลแต่งงานก็ยิ่งทำให้ครอบครัวมีขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น นางอัมพาที่ได้กล่าวว่าน้องของนายเสริม และลูกหลาน จะเดินทางไปช่วยหาเสียง โดยนั่งรถแลนด์โรเวอร์ซึ่งมีนายเสริม เป็นคนขับ เมื่อไปถึงจุดต่างๆ ญาติพี่น้องก็จะแจกใบปลิวที่เป็น นโยบายของพรรคให้กับประชาชนที่มารอ ซึ่งประชาชนที่มารอ ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่และกำนันบ้านที่เคารพนายเสริมก่อน เป็นผู้ช่วยแจ้งประชาชนมารวมตัวกัน โดยส่วนใหญ่มักใช้วัด และโรงเรียนเป็นสถานที่หาเสียง นางอัมพากล่าวว่าผู้ใหญ่บ้าน และกำนันสมัยนั้นสนับสนุนผู้สมัครทุกคน ฉะนั้น หากขอความ ร่วมมือเพื่อแจ้งประชาชนก็จะได้รับความร่วมมือ สำหรับ พรรคการเมืองก็ให้การสนับสนุน โดยให้เงินไปจัดทำป้ายเพื่อ หาเสียงแล้วนำไปติดตามแยกใหญ่ในอำเภอต่างๆ แต่กระบวน ห า เ ส ี ย ง เ ล ื อ ก ต ั ้ ง น ั ้ น น า ย เ ส ร ิ ม ด ำ เ น ิ น ก า ร เ อ ง ห ม ด พรรคการเมืองไม่ได้กำหนดให้ และเมื่อนายเสริม ได้รับ การเลือกตั้งแล้ว เวลาเดินทางไปประชุมสภาที่กรุงเทพฯ จะให้ ตนเองไปซื้อผ้าที่เป็นผ้าทอของอำเภอลับแลจำนวนมาก 120

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อนำผ้าไปมอบให้ภรรยาของนายกรัฐมนตรี และภรรยาของ เพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นางอัมพาเล่าว่าพอเลือกตั้ง อีกครั้งในปีถัดมานายเสริมก็สมัคร แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง เนื่องจากเริ่มมีการแข่งขันทางการเมืองสูง บุตรหลานจึงขอให้ นายเสริมหยุดบทบาททางการเมือง (นางอัมพา สุขวิเศษ, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) โดยสรุปแล้วนายเสริม โลกเลื่อง ได้รับเลือกตั้งเพียง 1 สมัย และเครือข่ายที่สนับสนุนการเข้าสู่ ตำแหน่งทางการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของนายเสริมประกอบด้วยเครือญาติ ผู้นำชุมชน และ พรรคการเมือง 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสยี งเลอื กตงั้ ดังที่ได้กล่าวข้างต้นว่านายเสริม โลกเลื่อง ใช้รูปแบบการหาเสียงโดยการแจกใบปลิว และซึ่งในใบปลิวนั้น จะอธิบายถึงนโยบายของพรรคที่จะดำเนินให้กับจังหวัด อุตรดิตถ์ และใช้วิธีการขับรถยนต์ส่วนตัวที่ด้านข้างรถจะติด แผ่นป้ายที่มีรูปของนายเสริม โลกเลื่อง และหมายเลขผู้สมัคร ไปยังจุดนัดพบที่ผู้ใหญ่บ้านและกำนันนัดหมายประชาชนให้ แล้วนายเสริมเป็นผู้อธิบายนโยบายของพรรคให้ประชาชนฟัง เวลาส่วนใหญ่ที่ไปพบประชาชนจะเป็นช่วง 17.00 – 20.00 น. ซ่ึงเปน็ ชว่ งทปี่ ระชาชนกลบั จากทำเกษตรกรรม นางอมั พาเลา่ วา่ นายเสริมจะมอบเงินส่วนตัวให้ผู้นำชุมชนไม่เกิน 1 พันบาท เพื่อให้ทำอาหารเย็นเลี้ยงแก่ประชาชนที่มาฟังปู่หาเสียงด้วย เหมือนเป็นเลี้ยงอาหารเย็นแก่ประชาชนที่เหน็ดเหนื่อยจาก การทำไร่ทำนา นอกจากนี้ยังเข้าไปพูดคุยกับประชาชนยังร้าน 121

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ กาแฟ ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนมักพูดคุยเรื่องการเมืองในขณะนั้น โดยมี 2 ร้านที่ได้ไปพูดคุยพบปะ คือ ร้านโอชากาแฟ ซึ่งตั้งอยู่ ใกลก้ บั วดั ทา่ ถนน และ ก.กาแฟ ทต่ี ง้ั อยหู่ นา้ โบสถ์ หลวงพอ่ เพช็ ร วัดท่าถนนเช่นกัน ซึ่งนางอัมพากล่าวว่าจริงๆ แล้วนายเสริม ไปร้านกาแฟเป็นวิถีปกติ เพราะเป็นสถานที่ที่รวมผู้คนทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มที่สนใจข่าวสารการเมือง ที่เรียกว่า “สภากาแฟ” อยู่ด้วย พอนายเสริมสมัครรับเลือกตั้ง คนที่รู้จักและสนับสนุน นายเสริมก็จะช่วยพูดเกี่ยวกับการลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎร ของนายเสริม สำหรับกระบวนการหาเสียงนั้นจะวางแผน วัน เวลา และเส้นทางหาเสียงด้วยตนเอง โดยประสาน ความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านและกำนันในการนัดหมาย ประชาชน ซึ่งเป็นขั้นตอนการหาเสียงที่มีการเตรียมการโดย นายเสริม ส่วนพรรคการเมืองถือว่ายังไม่มีบทบาทมาก ในกระบวนการหาเสียง มีเพียงสนับสนุนการทำใบปลิวและ ทำป้ายภาพของนายเสริมสำหรับการประชาสัมพันธ์เพื่อ หาเสียง ซึ่งนายเสริมได้จัดเตรียมด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่ อยู่แล้ว (นางอัมพา สุขวิเศษ, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ 1. ประวัติส่วนตัว เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เกิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2476 ณ จังหวัดนครนายก เป็นบุตร ของนายสุมล และนางบุญเกิด วัฒนพงศ์ มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน โดยเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ เป็นบุตรคนที่ 3 บดิ า- มารดามีอาชีพทำนา เรืออากาศตรีบุญยง สำเร็จการศึกษา 122

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ รัฐศาสตรบัณฑิต รุ่นที่ 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมรสกับ นางวยิ ดา มหาทรพั ย์ มบี ตุ ร-ธดิ า จำนวน 5 คน ซง่ึ ในการศกึ ษา ครั้งนี้มีบุตรคนที่ 1 คือ นายบุญญวัฒน์ วัฒนพงศ์ เป็นผู้ให้ ข้อมูลหลัก นายบุญญวัฒน์เคยดำรงตำแหน่งในสภาท้องถิ่น ภายหลังบิดาเสียชีวิต โดยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหาร สว่ นตำบลชยั จมุ พล อำเภอลบั แล จงั หวดั อตุ รดติ ถต์ ดิ ตอ่ กนั 9 ปี และปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 11 บ้านปากทาง ตำบลชัยจุมพล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ สำหรับ ประวัติการทำงานของเรืออากาศตรีบุญยงนั้นได้ดำรงตำแหน่ง ที่สำคัญต่างๆ (หนังสือที่ระลึกพระราชทานเพลิงศพ, 2539, น. 17) ดังนี้ 1.1 พ.ศ. 2500 - 2502 รับราชการทหารอากาศ (ตำแหน่งอาจารย์) 1.2 พ.ศ. 2502 – 2512 รับราชการสังกัดกระทรวง มหาดไทย ในตำแหน่ง - ปลัดอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ - ปลัดอำเภอบางบาน จังหวัดอยุธยา - ปลัดอำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ - ผู้ตรวจราชการส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ 2. ประวัตกิ ารดำรงตำแหน่งทางการเมอื ง ด้านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองเรืออากาศตรี บุญยง วัฒนพงศ์ ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นักการเมืองท้องถิ่น (นายกเทศมนตรี) และดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี (หนังสือที่ระลึกพระราชทาน 123

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ เพลิงศพ. 2539 : 17) ดังนี้ 2.1 พ.ศ. 2512 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ สมัยที่ 1 2.2 พ.ศ. 2516 นายกเทศมนตรีเทศบาล เมืองอุตรดิตถ์ 2.3 พ.ศ. 2518 รฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงคมนาคม 2.4 พ.ศ. 2519 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ สมัยที่ 2 2.5 พ.ศ. 2522 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ สมัยที่ 3 2.6 พ.ศ. 2522 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2.7 พ.ศ. 2524 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2.8 พ.ศ. 2531 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ สมัยที่ 4 2.9 พ.ศ. 2534 สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมัยที่ 5 โดยในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรนั้น เรืออากาศตรีบุญยง ได้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ คือ ประธานกรรมาธิการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (นายบุญญวัฒน์ วัฒนพงศ์, สัมภาษณ์, 18 พฤษภาคม 2558) ส่วนการดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีนั้น เรืออากาศตรีบุญยง ได้แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในคณะ 124

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ รัฐมนตรี คณะที่ 36 (14 มีนาคม 2518 – 12 มกราคม 2519) โดยมีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 41 (12 พฤษภาคม 2522 – 3 มีนาคม 2523) โดยมีพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งในสมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เรืออากาศตรีบุญยงได้แต่งตั้งเป็นเป็นรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหารครั้งสุดท้าย ในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 42 (3 มีนาคม 2523 – 19 มีนาคม 2526) (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, 2558, ออนไลน์) ในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะสมาชิสภา ผู้แทนราษฎร สมัยที่ 1 พ.ศ. 2512 เรืออากาศตรีบุญยงไม่ได้ สังกัดพรรคการเมือง ซึ่งเป็นข้อมูลจากการสัมภาษณ์บุตรชาย แต่ในหนังสือที่ระลึกพิธีพระราชทานเพลิงศพ ที่เขียนโดย นายปัญจะ เกสรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด เพชรบูรณ์และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ในปีเดียวกันกับ เรืออากาศตรีบุญยง ระบุว่า เรืออากาศตรีบุญยงสังกัดพรรค สหประชาไทย โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นนายกรัฐมนตรี (หนังสือที่ระลึกพระราชทานเพลิงศพ, 2539, น. 20) ในสมัยที่ 2 พ.ศ. 2518 และสมัยที่ 3 พ.ศ. 2519 สังกัดพรรคธรรมสังคม แต่สมัยที่ 4 พ.ศ. 2522 เรืออากาศตรี บุญยง ได้แยกตัวออกจากพรรคธรรมสังคมเพื่อก่อตั้งพรรคใหม่ ในนาม “พรรคชาติประชาชน” และเป็นหัวหน้าพรรคเอง และ ไดร้ ว่ มรฐั บาลสมยั พลเอกเปรม ตณิ สลู านนท์ ซง่ึ ไดร้ บั การแตง่ ตง้ั เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เรืออากาศตรีบุญยง 125

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ รบั ผดิ ชอบดแู ลคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ คณะกรรมการ ปราบปรามยาเสพติดให้โทษ คณะกรรมการส่งเสริมเยาวชน สำนักงานสถิติแห่งชาติ และคณะกรรมการส่งเสริมกีฬาแห่ง ประเทศไทย (สยามจดหมายเหตุ, 2523, น. 220, 224-225) และ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ สมยั สดุ ทา้ ย คอื สมยั ท่ี 5 พ.ศ. 2531 สงั กดั พรรคปวงชนชาวไทย นอกจากนี้ยังได้รับการแต่งตั้งให้มีบทบาททางการเมือง ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2534 ภายหลัง การรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่นำโดย พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ หัวหน้าคณะรักษาความสงบ เรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งสมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2535 เนื่องจากมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็น การทั่วไปในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งในฐานะนักการเมืองถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ คือ การจัดตั้งพรรคการเมือง และสามารถ ได้รับการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ในนามชื่อ “พรรคชาติประชาชน” การก่อตั้งพรรคของเรืออากาศตรีบุญยง นี้ดำเนินภายหลังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาแล้ว 3 สมัย และดำรงตำแหน่งระดับสูงในฐานะรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ทำให้มีทักษะทางการเมืองและ มีเครือข่ายสนับสนุนทางการเมืองทุกระดับทั้งระดับท้องถิ่นและ ระดับชาติ ซึ่งเรืออากาศตรีบุญยง ซึ่งการตั้งพรรคการเมืองนี้ ไม่ได้มีการจดทะเบียนพรรคการเมือง แต่ได้มีการรวมตัวกันของ กลุ่มบุคคลที่ใช้ชื่อว่า “กลุ่มชาติประชาชน” เพื่อดำเนินกิจกรรม 126

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ทางการเมือง (นรนิติ เศรษฐบุตร และนิยม รัฐอมฤต, 2558, ออนไลน์) ทั้งนี้การไม่สามารถจดทะเบียนได้พรรคการเมืองได้ เนื่องจากได้มีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ซึ่งนำโดย พลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ ฉบับที่ 6 ลงวันที่ 6 ตุลาคม พุทธศักราช 2519 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พุทธศักราช 2517 เป็นผลให้บรรดาพรรคการเมืองที่ได้จัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดลง และกำหนด ห้ามมิให้ผู้ใดจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นอีก (ราชกิจจานุเบกษา, 2519, น. 19) ซึ่งกลุ่มชาติประชาชนมี เรืออากาศตรีบุญยง เป็นหัวหน้าพรรค และได้ส่งตัวแทนพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 จำนวน 36 คน และมีผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจาก การเลือกตั้งครั้งนี้ จำนวน 13 คน (สยามจดหมายเหตุ, 2522, น. 342, 353) จากบทบาททางด้านนิติบัญญัติ และบริหาร ดังกล่าว ถือได้ว่าเรืออากาศตรีบุญยงเป็นนักการเมืองถิ่น ที่มีความสามารถและได้รับความนิยมสูง ทั้งนี้ อาจเนื่องด้วยมี ฐานจากประสบการณ์ทำงานในกระทรวงมหาดไทยในฐานะ ปลัดอำเภอและผู้ตรวจราชการส่วนท้องถิ่น 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมอื ง จากการสัมภาษณ์บุตรชายของเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ พบว่า ความสำเร็จในการได้รับเลือกตั้งเข้าดำรง ตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์แต่ละ ครั้งนั้นมาจากการมีบุคลิกภาพที่เรียบง่าย ใจดี ชาวบ้านและ 127

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ผู้นำชุมชนทั้งผู้ใหญ่บ้านและกำนันรักใคร่ ซึ่งมีฐานจากการที่ ท่านใกล้ชิดประชาชนทุกระดับในฐานะที่ดำรงตำแหน่งปลัด อำเภอลับแล และอำเภอตรอน การดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะ ต้องสัมผัสกับประชาชน โดยส่วนใหญ่ประชาชนและผู้นำมักจะ เข้าพบเพื่อร้องเรียนปัญหาและขอให้ช่วยเหลือ ซึ่งท่านก็จะ ช่วยเหลือและสนับสนุนแก่ประชาชนตามหลักระบบราชการ เช่น การแก้ไขปัญหาด้านการคมนาคม (การสร้างสะพานและ ฝายกั้นน้ำ) ซึ่งทำมาต่อเนื่องจนเป็นที่เคารพนับถือ และกล่าว ชื่นชมในลักษณะบอกต่อ จนเป็นที่รู้จักของประชาชนในอำเภอ ที่ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอ และอำเภอใกล้เคียง เช่น อำเภอ พชิ ยั ซง่ึ มเี ขตตดิ ตอ่ อำเภอตรอนจงั หวดั อตุ รดติ ถ์ (นายบญุ ญวฒั น์ วัฒนพงศ์, สัมภาษณ์, 18 พฤษภาคม 2558) และเมื่อทำหน้าที่ ในฐานะผู้ตรวจราชการส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ ก็ยิ่งส่งผล ให้เรืออากาศตรีบุญยงเป็นที่รู้จักของข้าราชการและผู้นำ ประชาชนครอบคลุมทั้งจังหวัด ดังคำกล่าวไว้อาลัยของ นายสุนันท์ สีหลักษณ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองอุตรดิตถ์ บิดา ของนางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขต 2 สมัย และแบบบัญชีรายชื่อ 1 สมัย ว่า “ผม ได้พบกับ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ตั้งแต่สมัยที่ท่าน มารับราชการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ท่านเคยดำรงตำแหน่ง ปลัดอำเภอเกือบทุกอำเภอในสมัยนั้น จนเป็นที่รู้จักคุ้ยเคยของ ราษฎรแทบทุกหมู่บ้าน แม้ว่าต่อมาท่านจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็น ผู้ตรวจการฯจังหวัด ท่านยังคลุกคลีดูแลทุกข์สุขของราษฎร อย่างใกล้ชิด ท่านจึงทราบปัญหาความเดือดร้อน และมีความ ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะช่วยเหลือประชาชนโดยเลือก 128

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ การต่อสู้บนเวทีการเมือง…ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ท่านได้รับปฏิบัติหน้าที่เต็มกำลังความสามารถ จนบังเกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติเอนกอนันต์…” (หนังสือ ที่ระลึกพระราชทานเพลิงศพ, 2539, น. 26) จากข้อความนี้ จะเห็นได้ว่าเรืออากาศตรีบุญยงเป็นผู้ที่มีความกว้างขวางโดย ตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในระบบราชการ และด้วยการทำงานใกล้ชิด ประชาชน และได้รับความเคารพยกย่องจากประชาชน ข้าราชการ และนักการเมืองท้องถิ่น กลุ่มบุคคลดังกล่าวจึงได้ เข้ามาเป็นกลุ่มสนับสนุนทางการเมืองที่สำคัญของเรืออากาศ ตรีบุญยง แม้ว่าในการลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั ครง้ั แรก เรอื อากาศตรี บญุ ยง วฒั นพงศ์ ไม่สังกัดพรรคก็ตาม ต่อมาในการเลือกตั้ง ครั้งที่ 12 (26 มกราคม พ.ศ. 2518) และ ครั้งที่ 13 (4 เมษายน พ.ศ. 2519) เรืออากาศตรี บุญยง ได้รับการสนับสนุนจากพรรคธรรมสังคม โดยมีนายทวิช กลิ่นประทุม เป็นหัวหน้าพรรค และในการเลือกตั้งครั้งที่ 14 (22 เมษายน พ.ศ. 2522) เรืออากาศตรีบุญยงสังกัดพรรค ชาติประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นมาเอง (เรียกว่า กลุ่มการเมืองเนื่องจากยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พุทธศักราช 2517) การลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค ที่ตนเองตั้งจึงยิ่งช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำ ทางการเมืองของเรืออากาศตรีบุญยง และได้รับการเลือกตั้ง ในที่สุด สำหรับการเลือกตั้งครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) เรืออากาศตรีบุญยง สังกัดพรรคปวงชนชาวไทย ซึ่งในครั้งนี้ ถือว่าได้รับโอกาสในการเข้าสังกัดพรรคการเมืองที่มีบุคคล มีชื่อเสียง ซึ่งก็คือ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เป็นหัวหน้าพรรค 129

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่เป็นข้าราชการทหารที่ได้รับการยอมรับจากทั้งในกองทัพและ ประชาชน โดยเคยดำรงผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการ ทหารสูงสุดของไทย และเคยได้รับฉายาว่า “วีรบุรุษสะพาน มฆั วาน” จากกรณที น่ี สิ ติ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั และประชาชน เดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 โดยพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ในขณะนั้น ได้สั่งห้ามทหารทำร้ายประชาชนโดยเด็ดขาดและ เปิดทางให้ขบวนประท้วงเดินข้ามสะพานมัฆวานรังสรรค์ ไปจนถึงทำเนียบรัฐบาลได้โดยดี โดยพลเอกอาทิตย์เป็นหนึ่ง ในกลุ่มทหารเหล่านั้น ขณะนั้นยังมียศเพียงร้อยเอก (ช่อง 9 อสมท, 2558, ออนไลน์) ภาพลักษณ์ในฐานะนักการเมือง ที่มีอยู่เดิมผนวกกับการสังกัดพรรคการเมืองดังกล่าวก็ส่งผล ให้ได้รับการเลือกตั้งในสมัยนี้อีกครั้ง ในช่วงที่มีการเลือกตั้งครั้งที่ 15 (18 เมษายน พ.ศ. 2526) ครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) เรืออากาศตรี บุญยง ไม่ได้รับการเลือกตั้ง บุตรชายของท่านได้ให้ข้อมูลว่า ท่านมีความสนิทสนมกับนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธาน กรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ขณะที่ทำงานทางการเมืองในคณะรัฐมนตรี จึงได้รับแต่งตั้งเป็น ที่ปรึกษาของเครือเจริญโภคภัณฑ์ แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทมากนัก และหลังจากนั้นท่านกลับมาลงสนามเลือกตั้งอีกครั้งใน พ.ศ. 2531 นอกจากนี้ เรืออากาศตรีบุญยง ยังได้รับการเคารพ จากอดีตนายกรัฐมนตรี คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบิดาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือ นายเลิศ ชินวัตร เป็นเพื่อนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2512 ปีเดียวกับ 130

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ เรืออากาศตรีบุญยง โดย พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกเรืออากาศตรี บุญยงว่า “อา” อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณ พึ่งเริ่มเข้าสู่ถนน การเมืองสังกัดพรรคพลังธรรมและขออนุญาตประกอบโทรทัศน์ ดาวเทียม UBC และขณะนั้น เรืออากาศตรีบุญยง เป็นประธาน กรรมาธิการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ จึงปรึกษาเกี่ยวกับการขออนุญาตในกิจการดังกล่าว ซึ่ง เรืออากาศตรี บุญยง ก็ให้คำปรึกษาในฐานะลูกของเพื่อน ฉะนั้น กลุ่มธุรกิจจึงยังไม่ได้มีบทบาทสนับสนุนทางการเมือง ต่อเรืออากาศตรีบุญยง ถือว่าต่างคนต่างทำตามบทบาทหน้าที่ เท่านั้น (นายบุญญวัฒน์ วัฒนพงศ์, สัมภาษณ์, 18 พฤษภาคม 2558) จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าเรืออากาศตรี บุญยง เข้าสู่ตำแหน่งนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์โดยการ สนับสนุนจากฐานประชาชนและผู้นำชุมชนเป็นหลัก โดยเฉพาะ ผู้ใหญ่บ้านและกำนัน และจากการสนับสนุนของข้าราชการ โดยเฉพาะในส่วนข้าราชการกระทรวงมหาดไทยในส่วนภูมิภาค จังหวัดอุตรดิตถ์ แม้ว่าจะมีลักษณะการสนับสนุนทางอ้อมจาก การที่ทำหน้าที่ในระดับสูงในช่วงเวลานั้น ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้โดยง่ายและผนวกกับมีบุคลิก ที่เป็นกันเองจึงสามารถปรับตัวเข้ากับประชาชนได้เป็นอย่างดี ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีภาวะผู้นำสูงและน่าเคารพยกย่องจาก ประชาชนทุกระดับในจังหวัด ในส่วนแรงหนุนจากพรรค การเมืองถือว่ามีบทบาทค่อนข้างน้อย เนื่องจากฐานการเข้าสู่ การเป็นนักการเมืองในสมัยที่ 1 ที่ไม่ได้สังกัดพรรคเป็นฐาน ที่ทำให้ประชาชนรู้จักและเชื่อมั่นเป็นเบื้องต้นอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ 131

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ สามารถปฏิเสธได้ว่าพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรคการเมือง มีส่วนอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่นขณะที่ลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม พรรคปวงชนชาวไทยในการเลือกตั้ง ครั้งที่ 17 ที่มีพลเอก อาทติ ย์ กำลงั เอกเป็นหัวหนา้ พรรค ซ่ึงเป็นจดุ ดงึ ดดู คะแนนเสียง จากประชาชนและข้าราชการในจังหวัดอุตรดิตถ์ด้วย ในส่วน ของกลุ่มผลประโยชน์และ/หรือกลุ่มทุนไม่ปรากฏเด่นชัดในการ ให้การสนับสนุน แม้ว่า นายสุนันท์ สีหลักษณ์ นักธุรกิจจังหวัด อุตรดิตถ์และอดีตนายกเทศมนตรีเมืองอุตรดิตถ์ได้กล่าวไว้ใน คำไว้อาลัยในพิธีพระราชทานเพลิงศพเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ว่า “ผมกับท่านสนิทสนมคุ้ยเคยกันมาก…ผมเคารพ รักท่านเสมือนญาติผู้ใหญ่ เพราะท่านคอยดูแลให้คำปรึกษา แนะนำ ให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ด้วยความรักความห่วงใย ความสำเร็จของผมให้วันนี้เกิดจากการสนับสนุนของท่าน ดังนั้น ระหว่างผมกับท่านจึงเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งเกินกว่า คำว่า มิตรภาพ… ” (หนังสือที่ระลึกพระราชทานเพลิงศพ, 2539, น. 26) และการที่ท่านสนิทสนมกับนักธุรกิจทั้ง นายธานินท์ เจียรวนนท์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม หากพิจารณาดูแล้วถือว่าไม่ได้เป็นผู้สนับสนุน แต่ถือว่า เรอื อากาศตรีบุญยง เปน็ ผทู้ ี่นักธุรกิจตอ้ งการไดร้ ับการสนบั สนุน เชิงนโยบายจากการดำรงตำแหน่งในกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีและในคณะรัฐมนตรีมากกว่า จึงถือว่าไม่ได้มี ความสัมพันธ์และสนับสนุนทางตรงในเวทีการเมือง 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสียงเลอื กตัง้ ในส่วนของรูปแบบและกระบวนการหาเสียง เลือกตั้งของเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ นั้น จากการ 132

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ สัมภาษณ์นายบุญญวัฒน์ วัฒนพงศ์ และลูกสะใภ้ คือ นางกัญญารัตน์ วัฒนพงศ์ พบว่า การเลือกตั้งในขณะนั้น การแข่งขันมีน้อย บุคคลที่เป็นที่รู้จักของประชาชนก็ยังมีไม่มาก นัก ดังนั้นเรืออากาศตรีบุญยง จึงถือว่ามีคู่แข่งน้อยมาก และ ดังที่กล่าวข้างต้นด้วยทักษะการเข้าถึงประชาชนและผู้นำชุมชน ได้ง่าย จึงเปรียบเสมือนมีผู้นำที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันเป็น หัวคะแนน แต่เป็นหัวคะแนนที่สมัครทำด้วยความรักและเคารพ บิดา ซึ่งผู้นำชุมชนจะเรียกท่านว่า “เจ้านาย” ซึ่งเป็นการยกให้ ท่านเป็นผู้ที่มีบุญคุณและยกให้เป็นบุคคลที่อยู่เหนือชาวบ้าน อีกด้วย ฉะนั้นในการหาเสียงเลือกตั้งจึงไม่ได้มีกลยุทธ์หรือ วิธีการหาเสียงที่ซับซ้อน (นายบุญญวัฒน์ วัฒนพงศ์ และ นางกัญญารัตน์ วัฒนพงศ์, สัมภาษณ์, 18 พฤษภาคม 2558) ซึ่งวิธีการหาเสียงบิดาจะวางแผนไปหาเสียงในอำเภอที่ไกลที่สุด คือ อำเภอบ้านโคก น้ำปาด ท่าปลา และเส้นอำเภอพิชัย ตรอน ส่วนพื้นที่ใกล้ๆ เขตอำเภอเมือง และอำเภอเมืองจะเข้าไป หาเสียงภายหลังและสามารถหาเสียงเช้า ไปเย็นกลับได้ แต่อำเภอรอบนอกเช่นบ้านโคกส่วนใหญ่จะไปค้างคืนบ้านผู้นำ ชุมชน โดยมีลูกสะใภ้ คือ คุณกัญญรัตน์ เป็นผู้จัดเสื้อผ้าให้ใน การเดินทางหาเสียงในอำเภอพื้นที่ห่างไกล การหาเสียงแต่ละ ครั้งจะมีผู้นำชุมชนเป็นผู้แจ้งชาวบ้านว่าปลัดบุญยงจะมา หาเสียง ชาวบ้านจึงมักมารวมตัวและรอพบล่วงหน้า และ ทำอาหารเลี้ยงปลัดบุญยงกับผู้ติดตามคือสมาชิกในครอบครัว โดยเรืออากาศตรีบุญยงได้ทำแผ่นการ์ดรูปตนเองขนาดเล็ก สำหรับแจกให้ประชาชน ส่วนโปสเตอร์ที่เป็นรูปวาดขนาดใหญ่ พรรคการเมืองจะช่วยทำให้เพื่อติดยังสถานที่ต่างๆ แต่ไม ่ 133