นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นคำที่อาจไม่เหมาะสมที่จะใช้กับประชาชนทั่วไป จึงไป เปลี่ยนมาใช้คำว่ามหาราษฎร์ (ราษฎร) แทน และได้ใช้ชื่อนี ้ ในฐานะนักจัดรายการวิทยุที่เป็นอาชีพก่อนลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประมาณมากกว่า 10 ปี โดยนายสุรพลได้รับเลือกตั้ง พ.ศ. 2535 นายสุรพลเป็น นักจัดรายการวิทยุให้กับบริษัทโอสถสภา ผ่านคลื่นกองทัพ ภาค ทร.3 อุตรดิตถ์ ซึ่งนายสุรพลได้ดำเนินรายการเกี่ยวกับ ข่าวท้องถิ่นและข่าวการเมือง จึงมีประชาชนที่โทรศัพท์เข้ามา แจ้งข่าวจำนวนมาก เช่น ข่าวสะพานและถนนชำรุด หรือ ข่าวอื่นๆ ในท้องถิ่น นายสุรพลเป็นสื่อกลางในการประสาน ปัญหาการร้องเรียนจากประชาชนไปยังหน่วยงานราชการ ที่เกี่ยวข้อง และบางครั้งได้ไปพื้นที่ที่ประชาชนร้องเรียนด้วย ตนเองก่อนแม้ว่าบางพื้นที่ห่างไกล เช่น อำเภอฟากท่า อำเภอ บ้านโคก ก็จะขับรถไปด้วยตนเอง เพื่อให้เห็นสภาพปัญหาและ ความเดือนร้อนของประชาชนก่อนที่จะประสานงานต่อไป การเป็นนักจัดรายการวิทยุจึงทำให้ได้ใกล้ชิดกับประชาชน ที่มีปัญหา นายสุรพลนั้นยังมีบทบาทในฐานะใหญ่บ้านของ หมู่ที่ 9 บ้านปากฝางด้วย แต่พื้นที่อื่นๆ ที่ได้ร้องเรียนผ่าน รายการวิทยุมาขณะที่นายสุรพลดำเนินรายการนั้น นายสุรพล จะทำหน้าที่ประสานงานให้ทุกพื้นที่ไม่เฉพาะที่บ้านปากฝาง ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น ซึ่งเขาได้กระทำให้ลักษณะเช่นนี้ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ได้ให้ตัวแทน มาชักชวนให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคราษฎรในปี 2535 (นางปัทมา จันนะ และนางสาวอินทิรา เลี้ยงบำรุง, สัมภาษณ์, 11 ธันวาคม 2558) 184
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 2. ประวตั กิ ารดำรงตำแหน่งทางการเมอื ง ก่อนดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายสุรพล เลี้ยงบำรุง ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและได้ ลาออกเพื่อสมัครรับเลือกตั้ง โดยการชักชวนของนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ และต่อมา ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคราษฎร (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2536 – 2538) โดยนายสุรพลได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งครั้งที่ 18 (22 มีนาคม พ.ศ. 2535) ซึ่งในขณะนั้น จังหวัดอุตรดิตถ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ และนายสุรพล เลี้ยงบำรุง สังกัดพรรค ราษฎร ส่วนนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ สังกัดพรรคชาติไทย แต่นายสุรพลได้ดำรงตำแหน่งในระยะเวลาสั้น เนื่องจากเกิด เหตกุ ารณพ์ ฤษภาทมฬิ ในปี 2535 ระหวา่ งวนั ท่ี 17-20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 ทป่ี ระชาชนประทว้ งรฐั บาล พล.อ.สจุ นิ ดา คราประยรู เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นรองคณะ รักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ทำการรัฐประหาร รัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 แต่เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 มาตรา 99 (ราชกิจจานุเบกษา, 2534) ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นมาใต้ยุครัฐบาลนายอนันท์ ปัณยารชุณ ที่คณะ รสช. แต่งตั้งภายหลังการรัฐประหาร แต่การเลือกตั้งครั้งที่ 18 ใน พ.ศ. 2535 กลับไม่มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรคนใดได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องด้วยพรรคการเมืองเสียงข้างมากในขณะนั้น ด้วยสนับสนุน ให้พลเอกสุจินดา คราประยูร รองคณะ รสช. และเป็น 185
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกับผู้บัญชาการทหารบกดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีแทน อย่างไรก็ตามภายหลังพลเอก สุจินดา คราประยูร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ถูกประชาชนชุมนุม ประท้วงขับไล่เนื่องจากพลเอก สุจินดา คราประยูรไม่ได้มาจาก การเลอื กตง้ั และประชาชานเหน็ วา่ การเขา้ มาเปน็ นายกรฐั มนตรี นั้นเป็นสืบทอดอำนาจของคณะ รสช. ซึ่งเหตุการณ์การประท้วง ดังกล่าว ยุติเมื่อพลเอกสุจินดา คราประยูร ลาออกเมื่อ 24 พฤษภาคม 2535 และนายอนันท์ ปัณยารชุณ ได้รับโปรดเกล้า แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และประกาศยุบสภาโดยให้มี การเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 จากเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬและการยุบสภาจากการเลือกตั้งครั้งที่ 18 ดังกล่าว ทำให้นายสุรพลพ้นสภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งที่ 19 อีกครั้งแต่ไม่ได้รับคัดเลือก โดยมีผู้ได้รับคัดเลือก 2 คนเดิม คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ และ นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ ส่วนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกตั้งแทนที่ นายสุรพล คือ นายกนก ลิ้มตระกูล สังกัดพรรคชาติพัฒนา เมื่อไม่ได้รับเลือกตั้งแต่นายสุรพล ยังทำหน้าที่ทางการเมือง โดยได้รับแต่งตั้งเป็นโฆษกพรรคราษฎรจดกระทั้งนายชัยภักดิ์ หมดว่าการดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคราษฎรในปี 2538 (นางปัทมา จันนะ, สัมภาษณ์, 11 ธันวาคม 2558) 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมือง จากการที่นายสุรพล เลี้ยงบำรุง ได้ทำหน้าที่เป็น ผู้ใหญ่บ้าน และเป็นนักจัดรายการวิทยุจึงทำให้มีเครือข่าย 186
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 ที่ให้การสนับสนุนทางการเมืองมาจากทั้งเครือข่ายที่เป็น ผู้ใหญ่บ้านและกำนัน และประชาชนที่เป็นผู้ติดตามรายการ ที่นายสุรพลดำเนินรายการ ซึ่งมิเพียงแต่ดำเนินรายการแต่ยัง ค่อยประสานความช่วยเหลือด้านต่างๆ ไปยังส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้อง ประชาชนกลุ่มดังกล่าวนี้ และกลุ่มอื่นๆ ที่ได้ทราบ เกี่ยวกับการทำหน้าที่ลักษณะนี้ จึงอาจเป็นฐานคะแนนเสียง ขนาดใหญ่ของนายสุรพลได้ ซึ่งข้อมูลจากนางปัทมา จันนะ ที่ได้ให้ไว้ว่านายสุรพลไม่ได้รู้จักนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เป็นการ ส่วนตัว และการที่ได้รับเชิญให้เข้าพบนายชัยภักดิ์ที่บ้านแก่ง อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์นั้นเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดหวัง มาก่อน แต่นายสุรพลก็รับคำเชิญเพื่อเข้าพบนายชัยภักดิ์ และ ลงสมัครรับเลือกตั้งในเวลาต่อมา ซึ่งนางปัทมาเห็นว่านายชัย ภักดิ์อาจพิจารณาว่านายสุรพลเป็นบุคคลที่ประชาชนรู้จักและ มีฐานผู้ฟังรายการวิทยุค่อนข้างมาก ประกอบกับเป็นทำงาน ในพื้นที่ในฐานะผู้ใหญ่บ้านด้วยจึงประสงค์ให้ลงสมัครเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคราษฎร ในส่วนของกลุ่ม สื่อสารมวลชนซึ่งน่าจะเครือข่ายสนับสนุนทางการเมืองนั้น นางปัทมาเห็นว่าอาจจะมีสนับสนุนบางแต่ไม่ชัดเจน เนื่องจาก สื่อก็จะต้องวางตัวเป็นกลาง แต่ก็เป็นไปได้ที่เป็นการสนับสนุน ทางอ้อมในฐานะที่มีความสนิทสนมกัน นอกจากนี้นางปัทมา ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าพรรคการเมืองมีบทบาทในการสนับสนุน ทางการเมืองแก่นายสุรพลทั้งกระบวนการในการหาเสียงตั้งแต่ การวางแผนประชาสัมพันธ์ การลงพื้นที่เพื่อรณรงค์การเลือกตั้ง และรูปแบบการหาเสียงทั้งหมด (นางปัทมา จันนะ, สัมภาษณ์, 11 ธันวาคม 2558) ฉะนั้น ในกรณีของนายสุรพลนี้เห็นได้ว่า 187
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พรรคการเมืองมีบทบาทอย่างยิ่งโดยเฉพาะการกำหนดรูปแบบ และแนวทางในการหาเสียง โดยพรรคมีทีมงานที่ทำหน้าที่ เฉพาะในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ให้แก่ผู้สมัครของพรรค 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสยี งเลอื กตง้ั สำหรับรูปแบบเสียงนั้นพบว่ามีการใช้รูปแบบที ่ หลากหลาย อาทิ การติดตั้งป้ายโฆษณาหาเสียง โดยทีมงาน ของพรรคราษฎรจะกำหนดจุดในการติดตั้งป้าย การใช้รถ พาหนะตะเวนหาเสียงซึ่งมีทั้งรถส่วนตัวของนายสุรพลบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นรถที่พรรคได้จัดเตรียมไว้ให้ และ การปราศรัยยังเวทีต่างๆ ที่พรรคได้ส่งทีมงานเพื่อประสานไปยัง ผู้ใหญ่บ้านและกำนันเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาเข้าร่วม รับฟังการหาเสียง ส่วนในเรื่องหัวข้อที่จะพูดหาเสียงนั้น นางปัทมากล่าวว่านายสุรพลได้เตรียมเนื้อหาที่จะไปพูดเอง เนื่องจากถือว่าเป็นนักพูดมืออาชีพ แต่หัวข้อใหญ่ๆ พรรคก็จะ ทำหน้าที่กำหนดเป็นกรอบไว้ให้เท่านั้น (นางปัทมา จันนะ, สัมภาษณ์, 11 ธันวาคม 2558) โดยบุตรสาวคือนางสาวอินทิรา ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าบิดาชอบที่จะหาเสียงโดยการพูด ปราศรัย ซึ่งสามารถพูดได้โดยธรรมชาติและมีวิธีการพูดที่ทำให้ ประชาชนสนใจ (นางสาวอินทิรา เลี้ยงบำรุง, สัมภาษณ์, 11 ธันวาคม 2558) โดยสรุปแล้วนายสุรพลนั้นมีรูปแบบในการ หาเสียงที่หลากหลายรูปแบบและถูกกำหนดโดยพรรคที่สังกัด แต่ด้วยทักษะของการเป็นนักจัดรายการมืออาชีพจึงนิยม หาเสียงโดยการปราศรัย ส่วนกระบวนการหาเสียงนั้น ถูกกำหนดจากพรรคซึ่งได้แต่งตั้งทีมงานหาเสียงในพื้นที่จังหวัด 188
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 อุตรดิตถ์โดยเฉพาะ เนื่องจากเป็นฐานการเลือกตั้งของ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นายกนก ลิ้มตระกูล 1. ประวัติส่วนตวั นายกนก ลิ้มตระกูล เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2499 ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นบุตรของนายประมวล และ นางกาหลง ลิ้มตระกูล มีน้องชายและนางสาว คือ นายอมร และนางสาวไพเราะ ลิ้มตระกูล ในด้านการศึกษา นายกนก ลิ้มตระกูล ศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนอุตรดิตถ์ มัธยมปลายโรงเรียนปทุมคงคง ปริญญาตรีศิลปศาสตร์ สถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์ และปริญญาโท พัฒนบริหารศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยก่อนเข้าสู่ตำแหน่ง ทางการเมืองนั้นมีอาชีพเป็นนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และ ธุรกิจเครื่องเขียนร้านสรรพิทยา ในด้านครอบครัวมีบุตรสาว 1 คน คือ นางสาวกนกนันท์ ลิ้มตระกูล ซึ่งปัจจุบันเป็น นักธุรกิจเช่นกัน (กนก ลิ้มตระกูล, สัมภาษณ์, 15 กันยายน 2558) 2. ประวัตกิ ารดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง ด้านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น นายกนก ลิ้มตระกูล ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะนักการเมือง ท้องถิ่นตำแหน่งแรก คือ สมาชิกสภาจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมี แรงบนั ดาลใจในการเขา้ สวู่ งการเมอื ง เนอ่ื งจากเหน็ วา่ ในขณะนน้ั ทิศทางการพัฒนาจังหวัดอุตรดิตถ์ยังขาดทิศทางที่ชัดเจนและ 189
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์จำนวนหลาย ท่านยังไม่ขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดเท่าที่ควร ซึ่งเห็นว่า จังหวัดยังมีศักยภาพในการพัฒนาอีกหลายด้าน การดำรง ตำแหน่งในฐานะสมาชิกสภาจังหวัดนายกนก ลิ้มตระกูล สามารถดำรงตำแหน่ง 3 สมัย จากนั้นได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 6 สมัย โดยมีเพียงสมัยเดียวที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง คือ เลือกตั้ง ทั่วไปครั้งที่ ครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) ซึ่งการเลือกตั้ง ในครั้งดังกล่าวนี้ลงสมัครในนามพรรคชาติพัฒนา แต่แพ้ คะแนนให้กับนางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ นักธุรกิจกลุ่มสีหราช ที่ถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของจังหวัด และอดีตเคยดำรง ตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอุตรดิตถ์จากพรรคไทยรักไทย ซึ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมัยแรก สำหรับนายกนก ลิ้มตระกูล ถือว่าเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ได้รับการเลือกตั้งจำนวนครั้ง สูงสุดของจังหวัด คือ 5 สมัย เช่นเดียวกับนักการเมืองที่ได้รับ เลือกตั้งก่อนหน้า คือ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ และนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ โดยนายกนก ลิ้มตระกูล ได้ดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ (กนก ลิ้มตระกูล, สัมภาษณ์, 15 กันยายน 2558) ดังนี้ 2.1. พ.ศ. 2535 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคชาติพัฒนา 2.2. พ.ศ. 2538 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคชาติพัฒนา 190
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 2.3. พ.ศ. 2539 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคชาติพัฒนา 2.4. พ.ศ. 2550 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคพลังประชาชน 2.5. พ.ศ. 2554 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคเพื่อไทย โดยในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ คือ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2538 และผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2539 และเป็น กรรมาธิการในคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โดยมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการตำรวจ พ.ศ. 2554 ซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในคณะกรรมาธิการชุดนี้ คือ นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ และนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ 1 นายกนก ลิ้มตระกูล ถือว่าเป็นนักการเมืองที่ได้รับ ความไว้วางใจจากประชาชนในนามของพรรคชาติพัฒนา มาอย่างต่อเนื่องถึง 3 สมัย โดยเริ่มต้นเข้าสู่เวทีการเมืองระดับ ชาติครั้งแรกในการเลือกตั้ง ครั้งที่ 19 (13 กันยายน พ.ศ. 2535) โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดอุตรดิตถ์มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งจำนวน 3 คน คือ นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีฐานผู้สนับสนุน อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการเลือกตั้งติดต่อกันมาแล้ว 4 สมัย คือ การเลือกตั้งครั้งที่ 15 - 18 สังกัดพรรคชาติไทย และ 191
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ซึ่งได้รับการเลือกตั้งติดต่อกันมาแล้ว 2 สมัย คือ การเลือกตั้งครั้งที่ 17 - 18 สังกัดพรรคราษฎร และ นายกนก ลิ้มตระกลู สังกัดพรรคชาติพัฒนาที่มีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าพรรคโดยออกจากพัฒนาชาติไทย มาจัดตั้งเป็นพรรคชาติพัฒนาเป็นพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งใน จังหวัดอุตรดิตถ์ได้คัดเลือกผู้สมัครเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง คือ นายกนก ลิ้มตระกูลที่ได้รับเลือกตั้งครั้งแรกที่ถือได้ว่า ประสบความสำเร็จในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหน้าใหม่ ของจังหวัด และพรรคชาติพัฒนาที่สามารถมีผู้แทนในเขต จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่พรรคจะมีฐานสนับสนุนใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก และการเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้ พรรคชาติพัฒนามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วทั้งประเทศ จำนวน 60 ที่นั่ง เป็นลำดับที่ 3 ต่อจากพรรคชาติไทยมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเป็นอันดับที่ 2 มี 77 ที่นั่ง และพรรค ประชาธิปัตย์ที่ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นอันดับ 1 จำนวน 79 ที่นั่ง (กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2538, น. 97) การลงสมัครเข้าสู่นักการเมืองระดับชาติครั้งนี้จึงเป็น การวางฐานรากทางการเมืองระดับชาติที่เป็นทางเข้าสู่ถนน การเมืองอีก 4 สมัยต่อไปของนายกนก ลิ้มตระกูล คือ ครั้งที่ 20 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) ครั้งที่ 21 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) และครั้งที่ 25 (23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) ครั้งที่ 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) ซึ่งครั้งที่ 19 – 21 จังหวัดอุตรดิตถ์ มีเพียงเขตเลือกตั้งเดียว ส่วนในการเลือกตั้งครั้งที่ 22 – 24 และ 26 จังหวัดอุตรดิตถ์แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 3 เขต ยกเว้น ครั้งที่ 25 ที่กลับมาใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งสมาชิกสภา 192
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 ผู้แทนราษฎรแบบเขตเดียวหลายคน สำหรับการเลือกตั้งครั้งที่ 22 เป็นการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ภายหลังประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 แล้วกำหนดให้มีการเลือกทั่วไปในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งที่ 22 นี้ นายกนก ลิ้มตระกูล ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต 1 อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์นาม พรรคเดิม และนางสาวกฤษณา สีหะลักษณ์ ลงสมัครในเขต เดียวกันในนามพรรคไทยรักไทย การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดเป็น ยุติบทบาทนักการเมืองถิ่นของนายกนก ลิ้มตระกูล ในฐานะ สมาชิกพรรคชาติพัฒนาแพ้การเลือกตั้งแก่นางสาวกฤษณา สีหะลักษณ์ แต่ต่อมาก็ได้กลับเข้าสู่การเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรอีกครั้งโดยสังกัดพรรคพลังประชาชน ใน พ.ศ. 2550 และพรรคเพื่อไทย พ.ศ. 2554 ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ การสมัครการแข่งขัน ในเวทีการเมืองในนามพรรคชาติพัฒนา ไม่สามารถที่จะดึง คะแนนความนิยมผู้แทนราษฎรคนเดิมได้ แม้ว่ามีฐานคะแนน จากประชาชนในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 สมัยก็ตาม จึงทำให้การสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 22 ใน พ.ศ. 2544 ที่พรรคไทยรักไทยได้ส่งนางสาวกฤษฎา สีหะลักษณ์ แข่งขัน กับนายกนกในเขตเดียวกันซึ่งหากเปรียบเทียบการเป็น นักการเมืองถิ่นแล้วนายกนก มีความได้เปรียบทางการเมือง มากกว่านางสาวกฤษณา สีหะลักษณ์ ที่สมัครเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเป็นสมัยแรก อันถือได้ว่าเป็นหน้าใหม่ในเวที การเมืองระดับประเทศ อย่างไรก็ตาม นางสาวกฤษณา สีหะลักษณ์ มิใช่หน้าใหม่ในเวทีการเมืองระดับจังหวัดในฐานะ 193
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ และบุตรสาว นักธุรกิจและอดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จึงทำ ในฐานผสู้ นบั สนนุ และเครอื ขา่ ยทางการเมอื งกวา้ งขวาง ตลอดจน บทบาทของพรรคการเมือง คือ พรรคไทยรักไทยที่มีกลยุทธ ์ เชิงการตลาดในการเข้าถึงฐานคะแนนทุกกลุ่มได้อย่างมี ประสิทธิภาพในฐานะพรรคการเมืองสมัยใหม่ ซึ่งในการเลือกตั้ง ครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) พรรคไทยรักไทยได้รับคะแนน เสียงอย่างท่วมท้นและเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่ก่อตั้งขึ้น ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในขณะที่พรรคเพิ่งเริ่มก่อตั้งมาได้ เพียง 2 ปีเศษเท่านั้น โดยได้คะแนนเสียง 247 ที่นั่ง จากจำนวน ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 500 ที่นั่ง และได้รวมตัวเป็น แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคชาติไทยที่มี คะแนนเสียง 40 ที่นั่ง พรรคความหวังใหม่ 36 ที่นั่ง และพรรค เสรีธรรม 14 ที่นั่ง เป็นผลให้รัฐบาลผสมชุดนี้มีคะแนนเสียง รวมทั้งสิ้น 337 ที่นั่ง (นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์, 2550, น. 136- 137) การเลือกตั้งครั้งดังกล่าวนี้ส่งผลให้พรรคชาติพัฒนาที่ นายกนก ลิ้มตระกูล สังกัดถูกลดบทบาททางการเมืองลง เนื่องจากมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเหลือเพียง 31 คน ทั้งจากแบบบัญชีรายชื่อและแบ่งเขต (สำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้ง, 2558, ออนไลน์) และในภาพรวมระดับประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคการเมืองถิ่นที่เคยได้รับ การเลือกตั้งก็ถูกแทนที่ด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค ไทยรักไทยเช่นกัน และถือได้ว่าจากการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2544 นี้เป็นจุดที่สร้างความแข็งแกร่งทางการเมืองให้กับพรรค ไทยรักไทย และอดีตนักการเมืองต้องการเข้าสู่การลงสมัครรับ 194
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 เลือกตั้งในนามพรรค เช่นเดียวกับนายกนก ลิ้มตระกูล ที่สมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งใน พ.ศ. 2550 ในนามพรรค พลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาแทนพรรค ไทยรักไทยภายหลังที่ถูกยุบเมื่อ พ.ศ. 2549 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมือง ในส่วนของผู้สนับสนุนทางการเมืองนั้นมีเครือข่าย ครอบคลุมทั้งผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน สมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนตำบลสมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภา จังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจนเครือข่ายกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน กลุ่มเกษตรกร กลุ่มสตรี/แม่บ้าน และกลุ่มครู/ อาจารย์ (กนก ลิ้มตระกูล, สัมภาษณ์, 15 กันยายน 2558) และ ในฐานะอดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วนายกนก ลิ้มตระกูล ถือว่าได้เปรียบทางการเมืองที่มี ประชาชน และนักการเมืองท้องถิ่นรู้จัก ตลอดจนการเป็น นักธุรกิจด้านเครื่องเขียนที่มีฐานครู/อาจารย์ และผู้บริหาร สถานศึกษาให้การสนับสนุน จึงเป็นโอกาสทางการเมืองในการ หาเสียงกับกลุ่มที่มีความสัมพันธ์ทั้งทางการเมืองและธุรกิจที่จะ เชื่อมโยงสู่การเป็นฐานอันสำคัญในเวทีการเมืองระดับชาติของ นายกนก นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมือง กรณกี ารเลอื กตง้ั ครง้ั ท่ี 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) ทน่ี ายกนก ลิ้มตระกูล ได้ย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทยภายหลังพรรค พลังประชาชนถูกยุบ และพรรคได้ส่งนางสาวกฤษณา สีหะลักษณ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อแทนในนาม 195
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พรรคเดียวกัน ซึ่งเป็นวางกลยุทธ์สนับสนุนทางการเมือง โดยพรรคการเมือง ซึ่งการเลือกตั้งคราวนั้นนายกนก ได้รับ การสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดียวกัน คือ นางสาวกฤษณา สีหะลักษณ์ ที่ขณะนั้นได้รับการเลือกตั้งต่อ เนื่องมาถึง 3 สมัยแล้ว จึงถือได้ว่ามีฐานผู้สนับสนุนกระจายอยู่ ทั่วทั้งจังหวัด โดยข้อมูลที่อธิบายปรากฏการณ์การสนับสนุน จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดียวกัน ดังนี้ “สำหรับ การเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 3 ก.ค.นี้ นายกนก แชมป์เก่ายังได้ ทีมงานระดับพระกาฬ คือ น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ อดีต ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 3 สมัย เจ้าของธุรกิจโรงแรมใหญ่ และ นายชัยศิริ ศุภรักษ์จินดา อดีตนายก อบจ.อุตรดิตถ์ เข้ามาช่วย เสริมทัพ ปรับกลยุทธ์ในการหาเสียง เนื่องจาก น.ส.กฤษณา และ นายชัยศิริ มีประสบการณ์และหัวคะแนนกระจายอยู่ทั่ว อุตรดิตถ์ ช่วยให้ นายกนก มีความได้เปรียบคู่แข่งจากพรรค ภูมิใจไทยพอสมควร….” (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์, 2554, ออนไลน์) ขณะเดียวกันนายกนกก็ได้ให้การสนับสนุนทาง การเมืองแก่นายชัยศิริ ศุภรักษ์จินดา ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ใน พ.ศ. 2555 โดยเห็นได้จาก “…ศาลาประชาคม จ.อุตรดิตถ์ มีการเปิดรับ สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุตรดิตถ์ แทนนายพีระศักดิ์ พอจิต ที่ลาออกจากตำแหน่ง โดย จะเปิดรับสมัครถึงวันที่ 4 มิถุนายน และเลือกตั้งในวันที่ 8 กรกฎาคม ปรากฏว่ามีผู้สมัคร 2 ราย ประกอบด้วย หมายเลข 1 นายชัยศิริ ศุภรักษ์จินดา อดีตนายก อบจ.อุตรดิตถ์ และ ที่ปรึกษานายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง 196
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 การคลัง โดยมี น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ อดีตรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี และนายกนก ลิ้มตระกูล สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อุตรดิตถ์ เขต 1 พรรคเพื่อไทย ให้การ สนับสนุน …” (มติชนรายวัน, 2555, ออนไลน์) จากกรณีนี้ จะเห็นได้ว่านายกนก ได้รับการสนับสนุนทางการเมืองทั้งจาก นักการเมืองระดับชาติ และนักการเมืองระดับท้องถิ่น โดยมี พรรคการเมืองเป็นองค์กรที่กำหนดกลไกการสนับสนุนการเมือง ทั้งสองระดับ 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตงั้ ในส่วนของรูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตั้ง ของนายกนก ลิ้มตระกูลนั้นได้ใช้ได้หาเสียงผ่านเครือข่ายผู้นำ ชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภาจังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจน เครือข่ายกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กลุ่ม เกษตรกร กลุ่มสตรี/แม่บ้าน และกลุ่มครู/อาจารย์ โดยรูปแบบ การหาเสียงนั้นใช้ 3 รูปแบบหลัก คือ § การพบปะเยี่ยมเยียนตามบ้านและชุมชน § การใช้แผ่นป้ายโฆษณาหาเสียง § การปราศรัยบนเวทีที่พรรคการเมืองสนับสนุน โดยกระบวนการหาเสียงนั้นนายกนก ลิ้มตระกูล ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองที่ส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ท ี ่ เ ร ิ ่ ม ห า เ ส ี ย ง ด ้ ว ย ก า ร แ จ ก เ อ ก ส า ร แ ผ ่ น พ ั บ แ น ะ น ำ ต ั ว การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และการเชิญชวนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง 197
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนั้นพรรคการเมืองกำหนดแนวทางใน การหาเสียงไว้ให้อย่างเป็นระบบ ซึ่งนายกนก ลิ้มตระกูล อธิบายว่า พรรคการเมืองมีส่วนสนับสนุนการเข้าสู่ตำแหน่ง ทางการเมืองอย่างยิ่ง ซึ่งพรรคที่ตนสังกัดในการลงสมัครรับ เลือกตั้งแต่ละครั้งมีนโยบายพรรคที่ตอบสนองต่อประชาชน ส่วนใหญ่ และสามารถนำนโยบายที่หาเสียงไว้ไปสู่การปฏิบัติ จริงได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ส่งผลให้ประสบ ความสำเร็จในการเลือกตั้งทุกสมัยในทัศนะของนายกนก ลิ้มตระกูล คือ (กนก ลิ้มตระกูล. สัมภาษณ์. 15 กันยายน 2558) § ความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับทุกกลุ่ม § ร่วมกิจกรรมทางสังคมและทางการเมืองอย่าง ต่อเนื่อง § ช่วยแก้ปัญหาจากหนักเป็นเบา นอกจากนี้นายกนก ลิ้มตระกูล ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ด้วยบทบาทในฐานะสมาชิกสภาจังหวัดและสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ได้ผลักดันงบประมาณด้าน สาธารณูปโภคอย่างต่อเนื่องจึงส่งผลให้สามารถดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองได้อย่างยาวนานที่ได้รับความไว้วางใจจาก ประชาชน แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนทางการเมืองที่กระทบต่อ การรักษาฐานคะแนนเสียง แต่นายกนก ลิ้มตระกูล ยังยึด กลยุทธ์ในการหาเสียงโดยไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ยังคง กลยุทธ์หลัก คือ 198
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 § การพบปะประชาชนมากที่สุด § การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำท้องถิ่นทุกระดับ § การปราศรัยตามหมู่บ้าน/ตำบล โดยชี้แจง นโยบายของพรรคและเสนอแนวทางในการ พัฒนาระดับจังหวัดอุตรดิตถ์ของตนเองที่ สอดคล้องกับนโยบายของพรรค โดยสรุปแล้วนายกนก ลิ้มตระกูล ถือว่าเป็น นักการเมืองที่มีรูปแบบการหาเสียงโดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี กับนักการเมืองท้องถิ่นทุกระดับที่จะเป็นฐานเสียงหลัก ในการสนับสนุนการเข้าสู่การเป็นนักการเมืองระดับชาติ ซึ่งนักการเมืองท้องถิ่นจะเป็นแกนกลางในการนำสารของ พรรคการเมืองและนักการเมืองไปยังประชาชนระดับครัวเรือน และระดับชุมชน โดยเมื่อสารดังกล่าวสื่อสารไปยังประชาชน แล้ว นายกนก ลิ้มตระกูลได้ใช้การเข้าพื้นที่พบปะและ การปราศรัยเพื่อเป็นการสื่อสารทางตรงไปยังประชาชนอีกครั้ง นายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร 1. ประวตั สิ ว่ นตัว นายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร เกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2481 ภูมิลำเนาเดิม คือ อำเภอมหาราช จังหวัดอยุธยา แต่ได้ ย้ายมาทำงานประจำกับบริษัทเอกชน ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2509 และอาศัยอยู่จนจึงปัจจุบันนี้ เป็นบุตรของ นายอยชู่ นิ และนางเฉลมิ บรรจงศภุ มติ ร ภรรยา ชอื นางฐานดิ า จติ รทอง มบี ตุ รชาย 2 คน คอื นายประธาน และนายปรชี าชาญ 199
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ บรรจงศุภมิตร ในด้านการศึกษานั้นนายอนุชาติ สำเร็จ การศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พาณิชยการ ราชดำเนิน ปริญญาตรีศิลปศาสตร์ สาขาการจัดการ สถาบัน ราชภัฏอุตรดิตถ์ และหลักสูตรการเมืองการปกครอง รุ่นที่ 7 สถาบันพระปกเกล้า นายอนุชาติเป็นนักธุรกิจเจ้าของบริษัท มอเตอร์เวิร์ค ที่มีรถแบคโฮสำหรับขุดและถมดิน และรถบรรทุก ขนาดใหญ่ ซึ่งถือเป็นธุรกิจถมที่แห่งแรกของจังหวัดอุตรดิตถ ์ ที่มีรถแบคโฮคันแรกของจังหวัด ซึ่งเดิมใน พ.ศ. 2520 นั้น ได้ออกจากการเป็นพนักงานบริษัทและรวบรวมเงินซื้อดาว์นรถ แบคโคเพื่อรับจ้างประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ขุดดิน และใน พ.ศ. 2528 ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด ซึ่งพื้นที่รับจ้างใน การขุดและถมดินครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัด ใกล้เคียง และเมื่อสามารถผ่อนรถแบคโฮหมดภายใน 2 ปี นายอนุชาติ เริ่มที่จะทำงานช่วยเหลือโรงเรียนและวัดต่างๆ เช่น ปรับที่วัดและโรงเรียนในจังหวัดอุตรดิตถ์ฟรี โดยเฉพาะ โรงเรียนที่จะเข้าไปช่วยปรับตอไม้เพื่อปรับเป็นสนามฟุตบอล ซึ่งได้ทำอย่างต่อเนื่องขณะที่รับจ้างเอกชนทั่วไป โดยช่วงเริ่มต้น ธุรกิจนั้น อนุชาติ กล่าวว่า “ตอนที่ผ่อนรถอยู่ผมเคยถาม พระท่านว่าหากคนเราจะทำบุญผู้ทำจะต้องไม่เดือดร้อนใช่ไหม ครับ และพระท่านตอบว่าใช่ หากทำบุญแล้วผู้ทำเดือนร้อน จะไม่ถือว่าได้บุญจะเป็นบาป ผมเลยตอบท่านว่า ถ้าอย่างนั้น วันนี้ที่ผมมาขุดดินให้วัด ผมขอคิดเงินจากวัด…” อนุชาติ บอกว่าช่วงที่ผ่อนรถทำให้จำเป็นต้องคิดเงินขุดดินให้กับวัด หลังจากที่ผ่อนรถเสร็จเขาตั้งใจไว้ว่าจะช่วยเหลืองานวัดและ ได้เริ่มทำจึงรู้สึกภาคภูมิใจ และเห็นว่าอาจเป็นเพราะการที่ตน 200
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 ได้เริ่มช่วยเหลือหน่วยงานต่างๆจึงทำให้มีคนรู้จักและเริ่มที่ สนใจทำงานเพื่อสาธารณะ ผนวกกับมีบุคคลรอบข้างจำนวน หนึ่งสนับสนุนและส่งเสริมให้ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การ บริหารจังหวัดอุตรดิตถ์ใน พ.ศ. 2533 มีชื่อเสียงและมีคน รอบข้างที่เป็นนักธุรกิจด้วยกัน (อนุชาติ บรรจงศุภมิตร, สัมภาษณ์, 4 ธันวาคม 2558) 2. ประวตั กิ ารดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่าก่อนดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรนั้น นายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร นั้นเคยทำ หน้าที่เป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2533 - 2537) โดยมีแรงบันดาลใจ ที่อยากทำบุญให้กับวัด แต่ด้วยภาระด้านการเงินจึงทำให้ไม่ สามารถช่วยเหลือวัดได้ แต่เมื่อฐานะทางเศรษฐกิจเริ่มจะดีขึ้น มาจึงต้องการช่วยเหลือสาธารณะอย่างจริงจัง และเมื่อมีคนมา ชักชวนให้เข้าสู่ถนนการเมือง จึงตอบรับโดยการชักชวนของ นายกนก ลิ้มตระกูล ซึ่งเป็นนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและ เครื่องเขียนของจังหวัดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ และก้าวสู่การเป็น นักการเมืองระดับชาติในตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งครั้ง ครั้งที่ 20 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) สังกัด พรรคความหวังใหม่ โดยมีผู้แทนสมัยเดียวกันของจังหวัด อุตรดิตถ์อีก 2 คน คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ สังกัดพรรค ประชากรไทย และนายกนก ลิ้มตระกูล สังกัดพรรคชาติพัฒนา และในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ทำ 201
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ หนา้ ทใ่ี นคณะกรรมาธกิ ารงบประมาณ และประธานอนกุ รรมการ เกษตรและสหกรณ์ ในปีต่อมาได้ลงสมัครอีกครั้งในนาม พรรคเดิม คือ ครั้งที่ 21 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) แต่ไม่ได้ รับเลือก ในคราวนั้นมีนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย สังกัดพรรค ประชากรไทย ได้รับเลือกตั้งแทนเขา โดยมีนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ และ นายกนก ลิ้มตระกูล ยังคงได้รับการเลือกตั้ง พรรค ความหวังใหม่จึงให้นายอนุชาติ ได้รับตำแหน่งเป็นประธาน ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายสุขวิช รังสิตพล) ต่อมาใน พ.ศ. 2543 นายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร ได้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุตรดิตถ์ และได้รับการเลือกตั้ง ซึ่งในคราวที่ดำรงตำแหน่งเป็นวุฒิสมาชิกเขาได้ทำหน้าที่เป็น เลขานุการคณะกรรมาธิการงบประมาณวุฒิสภาตลอดระยะ เวลา 6 ปี ในขณะดำรงตำแหน่ง โดยได้เป็นส่วนหนึ่งของการให้ ความเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบ การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดแรกที่มีนายโอภาส อรุณินท์ เป็นประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ และคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ชุดแรกที่มี พลเอก ชูชาติ พรหมพระสิทธิ์ เป็นประธาน และใน พ.ศ. 2549 ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา อกี ครง้ั แตไ่ ดไ้ มไ่ ดร้ บั เลอื กตง้ั (อนชุ าต ิ บรรจงศภุ มติ ร, สมั ภาษณ,์ 4 ธันวาคม 2558) ในครั้งนั้นนายพีระศักดิ์ พอจิต ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกวุฒิสภา โดยปัจจุบัน (พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา) นายพีระศักดิ์ พอจิตได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ สำหรับตำแหน่งทางการเมืองของ นายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร สามารถสรุปได้ ดังนี้ 202
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 2.1 พ.ศ. 2533 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ 2.2 พ.ศ. 2538 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิถต์ 2.3 พ.ศ. 2539 – 2540 ประธานที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี 2.4 พ.ศ. 2543 สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุตรดิตถ์ 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมือง สำหรับเครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและ พรรคการเมืองนี้ถือได้ว่า นายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร มีผู้สนับสนุนทุกระดับทั้งระดับจังหวัดและระดับประเทศ กล่าวคือ การดำรงตำแหน่งนักการเมืองระดับท้องถิ่น คือ เป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนั้นมีทั้งประชาชน และผู้นำชุมชนที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่เคยได้รับความ ช่วยเหลือในการขุดดินหรือถมที่จากนายนายอนุชาติ เป็น ฐานใหญ่ในการสนับสนุนและทำให้เขาตัดสินใจเข้าสู่การทำ หน้าที่ทางการเมืองระดับจังหวัด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากครู ผู้บริหารโรงเรียน และเจ้าอาวาสวัดที่เคยได้รับความช่วยเหลือ งานกิจการของโรงเรียนและวัดอีกด้วย ทำให้เขากล้าตัดสินใจ ลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดจนนายกนก ลิ้มตระกูล ที่เป็น นักธุรกิจได้ชักชวนให้ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหาร 203
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ สว่ นจงั หวดั พรอ้ มกนั จงึ ไดต้ ดั สนิ ใจลงสมคั รและไดร้ บั การเลอื กตง้ั ตลอดระยะของการเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ก็ได้ช่วยสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในทุกๆ เขตของ จังหวัดอุตรดิตถ์ช่วยเหลือประชาชนในแต่ละเขต เนื่องจาก ประชาชนมีปัญหาโดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยแล้วจำเป็นต้องใช้ รถแบคโฮและรถบรรทุกขุดดินและขนดินออกจากถนนที่ได้รับ ผลกระทบ แต่สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในพื้นที่นั้นๆ ไม่สามารถประสานด้วยช่วยเหลือได้ จึงร้องขอมาที่นายอนุชาติ ซึ่งก็ได้ให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง เนื่องจากเป็นบริษัทเอกชน รายเดยี วทม่ี รี ถขนาดใหญ่ การชว่ ยเหลอื ดงั กลา่ วเปน็ การชว่ ยเหลอื ให้เปล่า จนเขาคิดว่าด้วยเหตุนี้จึงทำให้สมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดทุกเขตให้ความเคารพ เนื่องจากสมาชิก เหล่านั้นก็ได้รับความชื่นชมจากประชาชนที่เลือกสมาชิกแต่ละ เขตว่าสามารถตอบสนองความต้องการและปัญหาของ ประชาชนได้ และใน พ.ศ. 2538 จึงได้รับเลือกเป็นประธานสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยในช่วงที่ทำหน้าที่ใน สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีผลงานที่เป็นที่จดจำของ ประชาชนและพรรคการเมือง คือระหว่าง พ.ศ. 2534 - 2535 ได้ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาการเดินทางสัญจรไปใน เส้นทางไปน้ำตกแม่พูล อำเภอลับแล ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ของประชาชนบนพื้นที่สูงเขตเชื่อมต่ออำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งขณะนั้นเป็นได้ร่วมกับสมาชิกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์และนำรถแบคโฮของตนเองไปขุดดิน ทำถนนในเส้นดังกล่าว จนทำให้ประชาชนในเขตอำเภอลับแล สามารถสัญจรไปยังพื้นที่เกษตรกรรมและยังสามารถเดินทาง 204
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 ไปอำเภอศรีสัชนาลัยได้เป็นเส้นทางแรก นอกจากนั้นเกิด เหตุการณ์น้ำท่วมตำบลบ้านโคน อำเภอพิชัย นายอนุชาติ ทำให้มีดินถมบนถนนสัญจรจึงได้นำรถแบคโฮไปตัดดินที่ถม ถนนในพื้นที่ดังกล่าว เขาเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างทุ่มเท ทำงานซึ่งเขาเองต้องจ้างคนและบางครั้งต้องขับรถเอง แม้ว่า ค่อนข้างเหนื่อยแต่เป็นการทำงานที่รู้สึกภาคภูมิใจ จากการ ทำงานดังกล่าวทำให้นายพรชัย เอื้อประเสริฐ ซึ่งขณะนั้นดำรง ตำแหน่งเป็นรองนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้เชิญชวนให้นายอนุชาติลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร โดยนำไปพบเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์มาแล้ว 4 สมัย ซึ่งเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ได้ทราบถึงการทำงาน ที่ผ่านมาจึงทำให้สนใจเป็นอย่างยิ่ง และได้พานายอนุชาติ ไปพบ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. 2539 ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้ตัดสินใจส่งนายอนุชาติ ลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่เข้าพบให้เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ เป็นผู้ค่อยสนับสนุนและวางแผนการหาเสียงในพื้นที่ ในนามของพรรคความหวังใหม่ จึงทำให้ใน พ.ศ. 2538 สามารถ ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเขาให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าการที่เขาได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นผลจาก การทำงานช่วยเหลือทุกกลุ่มในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เช่น กลุ่มอาชีพและกลุ่ม แม่บ้าน ที่มีการรวมตัวกันพัฒนาอาชีพขึ้นในชุมชน เช่น ได้ให้เงินช่วยเหลือกลุ่มอาชีพเป็นกองทุนพัฒนา กองทุนละ 205
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 50,000 บาท โดยให้แต่ละกลุ่มนำไปบริหารจัดการพัฒนาอาชีพ แก่สมาชิกของกลุ่ม การให้ดังกล่าวเป็นทุนเริ่มต้น และเมื่อมี ผลกำไรค่อยทยอยคืน แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคืน เพียงต้องการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งขณะนั้นธุรกิจส่วนตัวค่อน ข้างมีผลประกอบการดี ซึ่งตั้งแต่ให้ทุนสนับสนุนมีเพียงกลุ่ม อาชีพเดียวที่อยู่ในอำเภอลับแลทยอยคืนเดือนละ 1,000 บาท ส่วนกลุ่มอื่นไม่สามารถคืนได้ เขาไม่เคยขอเงินคืนถือว่าเป็น เงินช่วยเหลือ ซึ่งมีกลุ่มอาชีพประสบผลสำเร็จ คือ กลุ่มวิเชียร ผ้าทอ ที่ได้นำเงินกองทุน 50,000 ไปช่วยสมาชิกทอผ้า และ เมื่อจำหน่ายผ้าได้จะนำเงินมอบให้สมาชิกตามสัดส่วน แต่จะ หักเข้ากองทุนทอผ้าไว้ เพื่อเป็นทุนสำรองต่อยอดการพัฒนา กิจการของกลุ่ม ซึ่งปัจจุบันนี้กลุ่มวิเชียรผ้าทอ เป็นกลุ่มที่มี ชื่อเสียงของจังหวัด และเทศกาลปีใหม่คุณวิเชียรที่เป็น หัวหน้ากลุ่มจะนำผ้าทอมามอบให้เพื่อขอบคุณเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ยังได้ช่วยตัดชุดของกลุ่มแม่บ้านที่ร้องขอมาซึ่งไม่เคย ปฏิเสธทุกกลุ่ม ตลอดจนได้มอบรถสำหรับช่วยเหลือประชาชน ให้แก่มูลนิธิวัดหมอนไม้จำนวน 2 คัน เขาเชื่อว่า “ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งมี” “ผมมี พี่น้องต้องมี ผมมีแต่พี่น้องจนไม่ได้ แต่พี่น้อง ต้องขยันเท่าผม” (อนุชาติ บรรจงศุภมิตร, สัมภาษณ์, 4 ธันวาคม 2558) ฉะนั้น สรุปได้ว่าเครือข่ายที่สนับสนุน นายอนุชาติ ครอบคลุมทั้งประชาชนทั่วไป กลุ่มแม่บ้าน สมาชิกกลุ่มอาชีพ ครูและผู้บริหารสถานศึกษา พระ ผู้นำชุมชน สมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ผนู้ ำ นกั ธรุ กจิ นกั การเมอื ง ระดับชาติ และพรรคการเมือง ซึ่งเขาเองได้กล่าวว่าพรรค การเมืองมีส่วนสนับประมาณร้อยละ 40 ส่วนอีกร้อยละ 60 เป็นเพราะผลงานในอดีตของเขาที่กระทำอย่างต่อเนื่อง 206
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสยี งเลอื กตัง้ จากข้อมูลที่ได้กล่าวมาในเครือข่ายผู้สนับสนุน ทางการเมืองจะเห็นได้ว่า นายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร เป็นที่รู้จัก และมีผู้สนับสนุนในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า การทำงานในขณะนั้นน่าจะช่วยทำให้เขาเองแทบไม่ต้อง หาเสียง เพราะสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทุกเขต ของจังหวัด ซึ่งยกย่องและเรียกตนเองว่า “พี่” ได้ทำหน้าที ่ ทางอ้อมในการหาเสียงให้ และจากการที่ตนเองทำกิจการที่กับ ขุดและถมดินจึงต้องเดินทางไปทำงานยังทุกอำเภอของจังหวัด อุตรดิตถ์ ซึ่งการไปรับจ้างทำงานแต่ละพื้นที่นั้นใช้เวลาค่อนข้าง นานและต่อเนื่อง จึงทำให้รู้จักและมีความคุ้นเคยกับประชาชน ในทุกพื้นที่ ตลอดจนการได้ทำงานช่วยเหลือประชาชนเป็น พื้นฐานเดิมด้วย ฉะนั้น เมื่อมาลงสมัครรับเลือกตั้งตัวเขาเอง ทำหน้าที่หาเสียงตามรูปแบบที่พรรคความหวังใหม่กำหนดคู่กับ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ซึ่งมีทั้งการเข้าพบปะเยี่ยมเยียน ประชาชนให้ทั่วถึงมากขึ้น การโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น การเข้าถึงผู้นำสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ตลอดจนกำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ส่วนในรูปแบบอื่นๆ ไม่ได้ใช้ เขากล่าวว่า เขาค่อนข้างได้เปรียบ เนื่องจากการเข้าพื้นที่เหมือนมีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 4 สมัย คือ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ให้การรับรองและทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้น 207
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นายทนุศักด์ิ เล็กอุทัย 1. ประวตั สิ ่วนตวั นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2500 เป็นบุตรของนายไทยธชา เล็กอุทัย และนางอัมพร ปลั่งเปรือง มีพี่น้องจำนวน 1 คน คือ นางภัทรพันธ์ ทัศนราพันธ์ สมรสกับนางวิภาดา เล็กอุทัย ผู้จัดการบริษัทศึกษาภัณฑ์ จำกัด แต่ปัจจุบันได้หย่าร้างแล้วโดยมีบุตรจำนวน 2 คน คือ นางสาวตะวัน เล็กอุทัย และนายรวี เล็กอุทัย (สำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ, 2558, น. 1-2) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และระดับปริญญาโท รัฐประศาสน- ศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยศรีปทุม และ สาขาไทยศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง (สภาผู้แทนราษฎร, 2557, ออนไลน์) โดยก่อนได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรนั้นนายทนุศักดิ์เป็นนักธุรกิจประกอบกิจการ เกี่ยวกับหนังสือและเครื่องเขียน ชื่อบริษัท ศึกษาภัณฑ์ ตั้งอยู่ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ และเคยดำรงตำแหน่งเป็น นักการเมืองท้องถิ่นในฐานะนายกเทศมนตรีเทศบาลศรีพนม มาศมาก่อน 2. ประวตั ิการดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง สำหรับการดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นถือได้ว่า นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย มีประสบการในเวทีการเมืองระดับ ทอ้ งถน่ิ โดยไดร้ บั เลอื กตง้ั เปน็ นายกเทศมนตรตี ำบลศรพี นมมาศ จังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งการเป็นผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 208
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 ส่งผลให้มีทักษะและประสบการณ์ในกระบวนการเลือกตั้ง จึงทำให้นายทนุศักดิ์ตัดสินใจสู่เวทีการเลือกตั้งระดับชาติใน พ.ศ. 2539 เป็นครั้งแรกโดยลงสมัครและได้รับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคประชากรไทย ในการเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งที่ 21 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) ต่อมา พ.ศ. 2544 ในการเลือกตั้งครั้งที่ 21 ได้ย้ายมาลงสมัครในนามพรรค ไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยตามลำดับ ซึ่งเป็นพรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนภายใต้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 โดยมี พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ยศในขณะนั้นแยกตัวออกจาก พรรคพลังธรรม มาก่อตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นใน พ.ศ. 2541 และเป็นครั้งแรกที่พรรคไทยรักไทยได้ส่งผู้สมัครของพรรค ลงแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) และสามารถชนะการเลือกตั้งโดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 376 คนจากจำนวนทั้งหมด 500 คน ซึ่งการเลือกตั้ง ครั้งที่ 22 นี้เป็นครั้งแรกของจังหวัดอุตรดิตถ์ที่แบ่งเขตเลือกตั้ง ออกเป็น 3 เขต ซึ่งเป็นครั้งแรกเช่นกันที่พรรคไทยรักไทยส่ง ผู้สมัครครบทั้ง 3 เขตและชนะการเลือกตั้งครบทุกเขต จึงส่งผล ให้จังหวัดอุตรดิตถ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากพรรค เดียวกัน คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 นายศรัณย์ ศรัณย์เกตุ และเขตเลือกตั้งที่ 3 นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย แต่ต่อมาเขตเลือกตั้งที่ 2 มีการเลือกตั้ง ใหม่เนื่องจาก นายศรัณย์ ศรัณย์เกตุถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เพราะมีผู้ฟ้องว่ากระทำการ ฝ่าฝืนกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ 209
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ สมาชิกวุฒิสภา (ศาลปกครองสูงสุด, 2558, ออนไลน์) และมี นายวารุจ ศิริวัฒน์ สังกัดพรรคชาติพัฒนาลงสมัครในเขตนี้ แ ล ะ ไ ด ้ ร ั บ เ ล ื อ ก ต ั ้ ง เ ป ็ น ส ม า ช ิ ก ส ภ า ผู ้ แ ท น ร า ษ ฎ ร แ ท น ปรากฏการณ์นี้ทำให้พรรคไทยรักไทยสามารถวางรากฐาน การเมืองในจังหวัดอุตรดิตถ์ได้อย่างมั่นคง โดยนายทนุศักดิ์ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย/พลังประชาชน/ เพื่อไทย ในการเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้งต่อมา และชนะคู่แข่ง จากพรรคอื่นในเขตเลือกตั้งที่ 3 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากรวม การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 21 ที่สังกัดพรรคประชากรไทยแล้ว นายทนุศักดิ์ได้รับความนิยมจากประชาชน 5 สมัย นับตั้งแต่ การเลือกตั้งครั้งที่ 21 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) ครั้งที่ 22 ครั้งที่ 23 (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) ครั้งที่ 24 (2 เมษายน พ.ศ. 2549) ครั้งที่ 25 (23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) และครั้งที่ 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) นายทนุศักดิ์จึงเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฏรที่ได้รับเลือกตั้งสูงสุดของจังหวัดเช่นเดียวกับ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ และนายกนก ลิ้มตระกูล จึงถือว่าเป็นนักการเมืองถิ่นที่มีเครือข่ายสนับสนุน การเมืองอย่างแน่นแฟ้น นอกจากนี้เขายังได้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองที่สำคัญ อาทิ 2.1 ผู้ช่วยเลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แรงงานและสวัสดิการสังคม (นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์) โดยมี นายเดช บุญ-หลง เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2544 (ราชกิจจานุเบกษา, 2544, น. 127) 210
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 2.2 ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งแต่ 14 สิงหาคม 2545 (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) (ราชกิจจา- นุเบกษา, 2545, น. 131) 2.3 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศ และการสื่อสาร (นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) ตั้งแต่ 2 ธันวาคม 2546 (ราชกิจจานุเบกษา, 2546, น. 146) 2.4 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง ในรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งแต่ 18 มกราคม 2555 (ราชกิจจานุเบกษา, 2555, น. 3) นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญอื่น เช่น ได้รับ แต่งตั้งเป็นกรรมการและที่ปรึกษาในคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน พ.ศ. 2555 ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่ 19 ธันวาคม 2555 (ราชกิจจานุเบกษา, 2556, น. 11) 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมือง จากการที่นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย เคยดำรงตำแหน่ง ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนสมัยสูงสุดคนหนึ่งของ จังหวัดอุตรดิตถ์ และดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงการคลังซึ่งเป็นกระทรวงหลักในการกำหนดและกำกับ นโยบายการคลังของประเทศ จึงย่อมมีเครือข่ายและ พรรคการเมืองให้การสนับสนุนการเมืองอย่างกว้างขวาง โดย จากฐานการเป็นนักการเมืองท้องถิ่นจึงมีฐานของผู้ใหญ่บ้าน และกำนัน สมาชิกสภาแลผู้บริหารท้องถิ่นให้การสนับสนุน 211
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ สำหรับการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในสมัยแรก พ.ศ. 2539 โดยการชักชวนจากนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ลงสมัครสังกัดพรรคประชากรไทยแทนที่นายชัยภักดิ์ ที่การเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าใน พ.ศ. 2538 ได้เคยลงสมัครและ ชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรค ประชากรไทย แต่ในการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2539 นายชัยภักดิ ์ ลงสมัครในนามพรรคพรรคชาติพัฒนา ซึ่งการเลือกตั้งในป ี ดังกล่าวนี้ทั้งนายทนุศักดิ์สังกัดพรรคประชากรไทย และ นายชัยภักดิ์ที่ย้ายไปอยู่พรรคชาติพัฒนาก็ได้รับเลือกตั้งทั้งคู่ (อดีตข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำ จังหวัดอุตรดิตถ์, สัมภาษณ์, 19 พฤศจิกายน 2558) จากการ สนับสนุนนายชัยภักดิ์ซึ่งเดิมเคยเป็นหัวหน้าพรรคราษฎร แต่ ภายหลังยุบพรรคราษฎรและนายชัยภักดิ์ได้ไปรวมกับพรรค ประชากรไทย และได้รับตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรค จึงย่อม บ่งชี้ว่านายทนุศักดิ์ได้รับการสนับสนุนจากนักการเมืองที่มี บทบาทบริหารพรรคเช่นนายชัยภักดิ์เป็นอย่างดี ซึ่งมีทั้ง บทบาทกำหนดนโนบายพรรคและการคัดเลือกผู้สมัคร ของพรรค และนายชัยภักดิ์มีฐานทั้งนักการเมืองท้องถิ่น และ ข้าราชการทุกระดับ ครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัดอุตรดิตถ์ในฐานะ ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนต่อเนื่องมาแล้ว 4 สมัย จึงย่อมสามารถ รักษาฐานคะแนนและส่งผ่านฐานดังกล่าวนี้มายังนายทนุศักดิ์ ในฐานะตัวแทนของตนเองได้ จากการสนับสนุนดังกล่าวนี้ จึงยังเป็นการชี้ให้เห็นว่าพรรคประชากรไทยที่มีนายชัยภักดิ์ มีบทบาทในการกำหนดทิศทางของพรรคย่อมให้การสนับสนุน ทุกด้านแก่นายทนุศักดิ์โดยเฉพาะด้านงบประมาณในการ 212
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 รณรงค์หาเสียง แต่การเลือกตั้งตั้งแต่สมัยที่ 2 – 5 นายทนุศักดิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยสังกัดพรรคไทยรักไทย/พลังประชาชน/ เพื่อไทย ตามลำดับ จึงมีเครือข่ายนักการเมืองภายในพรรค ให้การสนับสนุน โดยข้อมูลจากศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย (Thailand Democracy Watch) คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย (ออนไลน์, 2558) ได้กล่าวถึงสายสัมพันธ์ทาง การเมืองของนายทนุศักดิ์ว่า อยู่ในรายชื่อรัฐมนตรีโควตาของ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายทนุศักดิ์เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย สังกัดกลุ่มชากังราว ซึ่งเรียกตาม ชื่อในอดีตของจังหวัดกำแพงเพชรในสมัยสุโขทัย ที่มี นายวราเทพ รัตนากร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย รับผิดชอบพื้นที่ ซึ่งนายทนุศักดิ์ได้รับการผลักดันเป็นรัฐมนตรี แทนนางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก- รัฐมนตรี ที่มีชื่อถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี ต่อเมื่อพรรค ไ ท ย ร ั ก ไ ท ย ถู ก ย ุ บ น า ย ท น ุ ศ ั ก ด ิ ์ ไ ด ้ ย ้ า ย ม า ส ั ง ก ั ด พ ร ร ค พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยภายหลังพรรคพลังประชาชน ถูกยุบ ในกลุ่ม “กลุ่มวังบัวบาน” ที่ถูกขนานชื่อตามน้ำตก วังบัวบาน จังหวัดเชียงใหม่ของตระกูลชินวัตร ภายใต้ การบริหารกลุ่มนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือ เจ๊แดง ที่เป็น ชื่อเล่นของนางเยาวภาภรรยาของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีต นายกรัฐมนตรี และน้องสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีต ผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยและอดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งเป็น พี่สาวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดย นางเยาวภาได้เข้ามาช่วยผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยจังหวัด อุตรดิตถ์ที่ส่งลงสมัครครอบทั้ง 3 เขต และยังได้รับ 213
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ การสนับสนุนจากแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผดจ็ การแหง่ ชาติ (นปช.) อตุ รดติ ถ์ คอื นายปณั ณวฒั น ์ นาคมลู ที่ได้เคลื่อนไหวสนับสนุนทางการเมืองควบคู่กับพรรคเพื่อไทย ในการที่จะระดมประชาชนที่มีอุดมการณ์เดียวกันสนับสนุน นายทนุศักดิ์และผู้สมัครพรรคเพื่อไทยจังหวัดอุตรดิตถ์ทุกคนที่ พรรคส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเครือข่าย ที่สนับสนุนนายทนุศักดิ์มีครอบคลุมทั้งนักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับชาติ และพรรคการเมือง ตลอดจนผู้นำกลุ่ม ในพรรคเช่น กลุ่มชากังราว และกลุ่มวังบัวบาน 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสียงเลอื กต้ัง สำหรับรูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตั้งนั้น หากพิจารณาจากปรากฏการณ์ในกระบวนการหาเสียงแล้ว จะปรากฏในรูปแบบหลักเช่นเดียวกับนักการเมืองคนอื่นที่ม ี รูปแบบการหาเสียงโดยพรรคการเมืองเข้ามามีบทบาทใน การดำเนินการทั้งกระบวนการ เช่น การติดป้ายประชาสัมพันธ์ การเดินพบปะประชาชนในสถานที่ที่ประชาชนชุมชนจำนวน มาก เช่น ตลาดการค้าสำคัญของจังหวัด การใช้รถแห่ และ การขึ้นเวทีปราศรัย แต่จากการสังเกตการเลือกตั้งโดยนักวิจัย เองซึ่งเริ่มสังเกตปรากฏการณ์การหาเสียงของผู้สมัครรับ เลือกตั้ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 – 2557 พบว่าพรรคการเมือง (ไทยรักไทย/พลังประชาชน/เพื่อไทย) จะใช้รถประชาสัมพันธ์ หาเสียงที่ติดภาพของผู้สมัครในนามพรรคทั้งหมด โดยมี จำนวนรถค่อนข้างมากและระยะเวลาในการหาเสียงค่อนข้าง ยาวนานเมื่อเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองอื่น ทั้งนี้พรรค 214
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 มุ่งสื่อสารเกี่ยวกับผู้สมัครของพรรคและนโยบายพรรค ซึ่งใน การรณรงค์หาเสียงนี้พรรคจะพยายามเน้นย้ำผลงานของ นายทนุศักดิ์และประสบการณ์ทางการเมืองที่มีมาอย่าง ยาวนาน อย่างไรก็ตามพรรคจะมีการสื่อสารควบคู่กับนโยบาย ของพรรค และนักการเมืองที่พรรคส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ในจังหวัดอุตรดิตถ์ทั้งทุกเขต เพื่อชี้ให้เห็นถึงผลดีที่ประชาชน จังหวัดอุตรดิตถ์จะได้รับจากการที่เลือกผู้สมัครของพรรคครบ ทุกเขตในจังหวัดอุตรดิตถ์ เช่น การสามารถช่วยเหลือปัญหา ของประชาชนได้อย่างเสมอภาคทุกคน หรือการกำหนด ทิศทางการพัฒนาจังหวัดในแนวทางเดียวกันได้ เป็นต้น และถอื ได้ว่าพรรคมีการส่งแกนนำสำคัญของพรรคลง ทั้งนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเฉพาะในช่วง โค้งสุดท้ายของการหาเสียงพรรคจะมอบหมายให้แกนนำหลัก ของพรรคลงพื้นที่เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนอย่างใกล้ชิด และพรรคได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายและสถานที่หรือพื้นที่ที่เป็น สัญลักษณ์ของจังหวัด เช่น การเดินทางไปสักการะอนุสาวรีย์ พระยาพิชัยดาบหักที่เป็นสัญญะของจังหวัด และแกนนำ เหล่านั้นจะขึ้นเวทีปราศรัยกับประชาชนพร้อมผู้สมัครของพรรค ทุกคนที่ปรากฏให้เห็นอย่างเป็นทางการ คือ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย นายกนก ลิ้มตระกูล นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ และนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ เมื่อคราวที่ยังสังกัดพรรค เพื่อไทย 215
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ 1. ประวัติสว่ นตวั นางสาวกฤษณา สหี ลกั ษณ์ เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 15 มถิ นุ ายน 2505 เป็นบุตรสาวของนายสุนันท์ และนางถนอมขวัญ สหี ลกั ษณ ์ มพี น่ี อ้ งจำนวน 3 คน คอื นางสธุ าทพิ ย์ สวา่ งเดชารกั ษ์ นางสาวสุวัฒนา สีหลักษณ์ และนายพงษ์ธร สีหลักษณ์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการบัญชี มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ และระดับปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ สาขา บริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ศูนย์ติดตาม ประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558, ออนไลน์) นางสาวกฤษณาประกอบธุรกิจส่วนตัวใน จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเป็นหุ้นส่วนใน 2 กิจการ คือ ห้างหุ้นส่วน จำกัด โรงเลื่อยจักรท่าเสา และห้างหุ้นส่วนจำกัด บรมอาสน์ ค้าไม้ และได้ดำรงตำแหน่งในธุรกิจครอบครัวโดยเป็นกรรมการ บริษัท 8 แห่ง (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ, 2558, น. 2) ได้แก่ 1. บริษัท สวนสัก จำกัด 2. บริษัท สีหลักษณ์ จำกัด 3. บริษัท อุตรดิตถ์ เอส.ที.เทรดดิ้ง จำกัด 4. บริษัท เอส.ฟอลคอน จำกัด 5. บริษัท เอส.ที.รีเทลลิ่ง จำกัด 6. บริษัท โปรเฟสชั่นแนล เดนทัล คลิกนิก จำกัด 216
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 7. บริษัท โรงเลื่อยท่าสัก จำกัด 8. บริษัท เอจี ไมนิ่ง จำกัด โดยทุกบริษัทตั้งอยู่ภายในจังหวัดอุตรดิตถ์ ยกเว้น บริษัทลำดับที่ 7 ที่ตั้งอยู่กรุงเทพมหานคร ซึ่งลักษณะกิจการ พื้นฐานของตระกูลสีหลักษณ์เป็นกิจการเกี่ยวกับไม้ที่ครบวงจร ทั้งการปลูก และการแปรรูป และมีกิจการโรงแรมขนาดใหญ่ ของจังหวัดอุตรดิตถ์ คือ โรงแรมฟรายเดย์ และสีหราช นอกจากนี้ข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักที่เป็นสมาชิกหอการค้า จังหวัดอุตรดิตถ์ในปีปัจจุบัน (พ.ศ.2558) จำนวน 2 คนที่เคย ร่วมงานทั้งธุรกิจส่วนตัวและการทำกิจกรรมเชิงสาธารณะ ประโยชน์ของจังหวัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นางสาวกฤษณา เคยเปน็ กรรมการมลู นธิ เิ พอ่ื พฒั นาการกฬี า กรรมการมลู นธิ ิ ร. 5 และสมาชิกสโมสรโรตารี่ จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ได้ช่วยเหลือ กิจกรรมทางสังคมของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง (สมาชิกหอการค้า จังหวัดอุตรดิตถ์สองคน, สัมภาษณ์, 28 พฤศจิกายน 2558) 2. ประวัตกิ ารดำรงตำแหน่งทางการเมือง การนำเสนอข้อมูลประวัติการดำรงตำแหน่งทาง การเมืองนี้นักวิจัยศึกษาจากปรากฏการณ์และบริบทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองของนางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ นั้นมีบิดา คือ นายสุนันท์ สีหลักษณ์ เป็นผู้สนับสนุน โดยมีฐานเสียงของบิดาที่ทำให้การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ของนางสาวกฤษณา ประสบความสำเร็จ เนื่องจากบิดา เคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญทั้งสมาคมธุรกิจ และตำแหน่ง ทางการเมืองมาก่อน โดยเป็นผู้ร่วมก่อนตั้งหอการค้าจังหวัด 217
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ อุตรดิตถ์กับผู้ร่วมก่อตั้งอื่นๆ รวม 11 คน และเคยได้รับเลือกตั้ง ให้เป็นประธานหอการค้าจังหวัดอุตรดิตถ์คนแรก ซึ่งดำรง ตำแหน่งระหว่าง พ.ศ. 2527 – 2529 (หอการค้าจังหวัด อุตรดิตถ์, 2558, ออนไลน์) และเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายก เทศมนตรีเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ต่อเนื่องถึง 3 วาระ โดยวาระ ที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2528 - 27 กรกฎาคม 2533, วาระที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2533 – 22 สิงหาคม 2538 และ วาระที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2538 – 25 ธันวาคม 2542 (เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์, 2558, ออนไลน์) นางสาวกฤษณา ได้เข้าสู่ตำแหน่งการเมืองระดับท้องถิ่นก่อนเข้าสู่การเมืองระดับ ชาติในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ถือว่าเป็นสตรีคนแรก เพียงคนเดียวของจังหวัดที่เป็นนักการเมืองระดับชาติ โดยได้ รับเลือกตั้ง 4 สมัย จากการเลือกตั้งครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) ครั้งที่ 23 (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) ครั้งที่ 25 (23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) และครั้งที่ 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) โดยมีตำแหน่งทางการเมือง ดังนี้ 2.1. พ.ศ. 2538 สมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ 2.2 พ.ศ. 2544 สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร แบบแบง่ เขต สังกัดพรรคไทยรักไทย 2.3. พ.ศ. 2548 สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร แบบแบง่ เขต สังกัดพรรคไทยรักไทย 2.3. พ.ศ. 2550 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคพลังประชาชน 218
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 2.4. พ.ศ. 2554 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย โดยใน พ.ศ.2548 ได้รับแต่งตั้งในดำรงตำแหน่ง เป็นโฆษกกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และวันที่ 9 สิงหาคม 2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ราชกิจจานุเบกษา, 2554, น. 2) โดยทำหน้าที่กำกับดูแลงาน กรมประชาสัมพันธ์ และบริษัท อสมท. จำกัด แต่ต่อมาได้ถูก ปรับออกจากตำแหน่งในการปรับคณะรัฐมนตรีในเดือน มกราคม 2555 (ราชกิจจานุเบกษา, 2555, น. 2) การเลือกตั้ง ทั่วไป 2 ครั้งสุดท้ายพรรคได้กำหนดให้ลงเลือกตั้งแบบบัญชี รายชื่อเพื่อพรรคสามารถส่งสมาชิกพรรคได้ครอบคลุมทุกเขต จำนวน 3 เขตของจังหวัด และแทบนับได้ว่าตั้งแต่การเลือกตั้ง ครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) เป็นต้นมาพรรคไทยรักไทย (หรืออีกใน 2 ชื่อเมื่อพรรคในชื่อเดิมถูกยุบ คือ พรรค พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย) นั้นสามารถครองเสียง ประชาชนจังหวัดอุตรดิตถ์ครบทั้ง 3 เขต ยกเว้นการเลือกตั้ง ครั้งที่ 25 (23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) ที่นายวารุจ ศิริวัฒน ์ น้องชายของนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ 5 สมัยที่เดิมเคยสังกัดพรรคพลังประชาชน แต่ เมื่อพรรคถูกยุบย้ายมาสังกัดพรรคพรรคกิจสังคมได้รับเลือกตั้ง ในเขต 2 จาก 3 เขต และในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 27 เมื่อ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งในเวลาต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นางสาว กฤษณาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบ 219
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ แบ่งเขต โดยลงสมัครในเขต 2 ซึ่งนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ เป็นเจ้าของพื้นที่ที่เคยลงสมัครในเขตนี้ในนามพรรคเพื่อไทย แต่การเลือกตั้งครั้งดังกล่าวพรรคเพื่อไทยได้ส่งนางสาวกฤษณา ลงแทน จึงทำให้นายศรัณย์วุฒิลาออกจากพรรคและลงสมัคร ในเขต 2 แข่งกันนางสาวกฤษณาในนามพรรคชาติไทยพัฒนา ผลปรากฏว่า นายศรัณวุฒิชนะการเลือกตั้ง แม้ว่าภายหลัง การเลือกตั้งในคราวนี้จะไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใดเลย ได้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็บ่งชี้ถึงความเป็นเจ้าของฐานเสียงของ นักการเมืองประจำถิ่น (เขต 2) ของนายศรัณย์วุฒิที่แม้ว่าไม่ได้ สังกัดพรรคการเมืองขนาดใหญ่เช่นพรรคเพื่อไทยที่เคยชนะ การเลือกตั้งครบทั้ง 3 เขตของจังหวัดอุตรดิตถ์ การเลือกตั้ง ในครั้งสุดท้ายนี้เป็นการยุติบทบาททางการเมืองของนางสาว กฤษณา ตลอดจนนักการเมืองและพรรคการเมืองไทยอันสืบ เนื่องจากการรัฐประหารในเดือนพฤษภาคม 2557 ในเวลา ต่อมา 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมือง จากการที่นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์เป็นบุตรสาว ของนายสุนันท์ สีหลักษณ์ นักธุรกิจที่มีกิจการในเครือ ครอบคลุมกิจการหลายประเภทและเป็นกิจการขนาดใหญ่ ของจังหวัด อีกทั้งยังเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่นในฐานะ นายกเทศมนตรียาวนาน 12 ปี ตลอดจนการที่นางสาวกฤษณา เคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด อีกทั้งมีบทบาท ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจที่บริหารกิจการในเครือของตระกูล 220
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 สีหลักษณ์ จึงย่อมส่งผลดีต่อการได้รับการสนับสนุนการ เครือข่ายทั้งด้านการเมืองและธุรกิจ ซึ่งนักวิจัยนำเสนอข้อมูล จากปรากฏการณ์และบริบทเช่นเดียวกัน กล่าวคือ เครือข่าย สนับสนุนทางการเมืองของนางสาวกฤษณามาจากเครือข่าย ผู้สนับสนุนบิดาที่เป็นทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ โดยเฉพาะที่มาจากกลุ่มหอการค้าที่ได้กันก่อนตั้งและ สนับสนุนนายสุนันท์เป็นประธานหอการค้า โดยข้อมูลจากผู้ให้ ข้อมูลหลักที่เป็นอดีตข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้งประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ ให้ไว้ว่านายสุนันท์ เป็นบุคคลที่พรรคการเมืองจำนวนหลายพรรคที่ขอให ้ นายสุนันท์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากเห็นว่าเป็นผู้ที่มีฐานคะแนนสนับสนุนจากการที่ดำรง ตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี แต่นายสุนันท์ปฏิเสธทุกพรรค แต่ก็ได้ตัดสินใจส่งนางสาวกฤษณาบุตรสาวลงสมัคร (อดีต ข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด อุตรดิตถ์, สัมภาษณ์, 26 พฤศจิกายน 2558) ซึ่งการส่งบุตรสาว ลงสมัครรับเลือกตั้งนี้ถือว่าไปในนามของนายสุนันท์ ในฐานะ คนในตระกูลสีหลักษณ์โดยแท้ ฉะนั้น เครือข่ายสนับสนุนของ นายสุนันท์ทั้งหมดจึงถูกเสมือนถ่ายโอนมายังบุตรสาว จึงได้รับ การสนับสนุนจากพรรคการเมืองไม่แตกต่างกัน ซึ่งการลง สมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกนั้นนางสาวกฤษณาถือได้ว่าเป็น สมาชิกในกลุ่มการเมืองในพรรคไทยรักไทยภายใต้การบริหาร ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสุโขทัยและอดีตรัฐมนตรีหลายสมัย ที่ถูกขานนามว่า “กลุ่มวังน้ำยม” ตามชื่อแม่น้ำที่ไหลผ่านจังหวัดสุโขทัย แต่เมื่อ 221
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวกฤษณาลงสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อในการ เลือกตั้งสมัยที่ 4 นางสาวกฤษณาได้เป็นสมาชิกในเครือข่าย ของกลุ่มการเมืองภายในพรรคเพื่อไทยและพรรคเพื่อไทย ที่พัฒนามาจากพรรคไทยรักไทย คือ “กลุ่มวังบัวบาน” ภายใต้ การบริหารกลุ่มนางเยาวภา วงศส์ วัสดิ์ เชน่ เดยี วกับนายทนุศกั ดิ์ เล็กอุทัย และยังได้รับการสนับสนุนจากแกนนำกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อุตรดิตถ์ คือ นายปัณณวัฒน์ นาคมูลเช่นกัน ซึ่งนายปัณณวัน์เป็นแกนนำ เคลื่อนไหวสนับสนุนทางการเมืองควบคู่กับพรรคเพื่อไทย ให้แก่ผู้สมัครของพรรคในจังหวัดอุตรดิตถ์ เราจึงเห็นภาพ การเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยและ นปช.อุตรดิตถ์ที่ให้ การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเครือข่าย ที่สนับสนุนนางสาวกฤษณามีครอบคลุมทุกกลุ่ม ส่วนพรรค การเมืองนั้นก็ให้การสนับสนุนโดยแกนนำของกลุ่มต่างๆ ทั้ง กลุ่มวังน้ำยม และกลุ่มวังบัวบาน ตลอดจนมวลชนที่สนับสนุน พรรคทำหน้าที่ทางการเมืองเพื่อสนับสนุนผู้สมัครของพรรค คู่ขนานกับพรรคการเมือง 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสียงเลอื กตง้ั สำหรับรูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตั้งนั้น หากพิจารณาแล้วจะไม่แตกต่างจากนักการเมืองที่กลุ่ม การเมือง และพรรคการเมืองที่คณะทำงานของกลุ่ม/พรรค ในการวางแผนตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้นหาเสียงและภายหลัง จากการเลือกตั้ง ทั้งนี้รูปแบบที่เป็นไปได้ คือ วิธีการเชิงรุกโดย กลุ่ม/พรรค ที่ถือว่ามีทักษะและประสบการณ์ทางการเมือง 222
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 ระดับชาติเข้ามากำหนดแนวทางในการหาเสียงของนางสาว กฤษณา โดยใช้ทุกรูปแบบในการเข้าถึงฐานคะแนนเสียง แม้ว่า จะมีโอกาสทางการเมืองจากฐานผู้สนับสนุนบิดาก็ตาม แต่จาก การสังเกตการเลือกตั้งโดยนักวิจัยเองซึ่งเริ่มสังเกต ปรากฏการณ์การหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 – 2557 พบว่าพรรคการเมือง (ไทยรักไทย/ พลังประชาชน/เพื่อไทย) จะใช้รถประชาสัมพันธ์หาเสียง ที่ติดภาพของผู้สมัครในนามพรรคทั้งหมด โดยมีจำนวนรถ ค่อนข้างมากและระยะเวลาในการหาเสียงค่อนข้างยาวนาน เมื่อเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองอื่น ทั้งนี้พรรคมุ่งสื่อสาร เกี่ยวกับผู้สมัครของพรรคและนโยบายพรรค ซึ่งในการรณรงค์ หาเสียงนี้พรรคการเมืองที่นางสาวกฤษณาสังกัดพยายาม สื่อสารเพื่อเน้นย้ำให้เลือกผู้สมัครของพรรคทุกคนครอบคลุมทั้ง 3 เขตเลือกตั้งของจังหวัดอุตรดิตถ์โดย “การเลือกยกทีม” เพื่อ พัฒนาจังหวัดอุตรดิตถ์ในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้พรรคได้ จัดเวทีเพื่อให้ผู้สมัครของพรรคได้ปราศรัยกับประชาชน โดยอาศัยกลไกของแกนนำประชาชนที่สนับสนุนการเมืองของ พรรคทำหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์เชิญชวนเข้าร่วมกับฟัง การปราศรัย โดยจะจัดขึ้นครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 3 เขต และให ้ ผู้สมัครของพรรคทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อพบประชาชน พร้อมกัน และในระยะเวลาที่ใกล้เลือกตั้งพรรคจะมอบหมาย ให้แกนนำพรรคคนสำคัญที่สร้างความมั่นใจให้เห็นว่าพรรค ให้ความสำคัญกับจังหวัดอุตรดิตถ์โดยได้มาพบปะประชาชน ในลักษณะของการไปเยือนสถานที่สำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์ และการขึ้นเวทีปราศรัย อาทิ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และ 223
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้มาพบประชาชนและช่วยผู้สมัคร ของพรรคหาเสียงใน พ.ศ. 2554 นายศรัณย์วุฒิ ศรัณเกตุ 1. ประวัติสว่ นตวั นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ เดิมมีชื่อว่านายปรีดา และนายศรัณย์ ศรัณย์เกตุ เกิดวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 เปน็ บตุ รของนายสกล และนางพรรณ ี ศรัณย์เกตุ ภมู ิลำเนาเดมิ คือ กรุงเทพมหานคร แต่มีภรรยาซึ่งอาศัยอยู่ตำบลหาดงิ้ว อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จึงได้ย้ายมาอาศัยและลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ เป็นนักธุรกิจโดยเป็นเจ้าของบริษัท ฟูจิเอเชีย จำกัด มีพี่น้อง จำนวน 4 คน คือ นายกมลภพ ศรัณย์เกตุ นายชัย ศรัณย์เกตุ นางสาวสุภรณ์ ศรัณย์เกตุ และนางสาวมณัฐภรณ์ ศรัณย์เกตุ โดยนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี ศิลปศาสตร์ สถาบันราชภัฎเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ และระดับ ปริญญาโท การจัดการภาครัฐและภาคเอกชน สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์ มีบุตรชายและบุตรสาวจำนวน 5 คน คือ นางสาวรสรินทร์ ศรัณย์เกตุ ประกอบอาชีพเป็นนักบัญชี และ อีก 4 คนเป็นนักธุรกิจประกอบด้วย นางสาวดาริกา ศรัณย์เกตุ นายเดโชชัย ศรัณย์เกตุ นางสาวจารุวรรณ ศรัณย์เกตุ และ นายธนภัทร ศรัณย์เกตุ (บุตรชายคนหนึ่งของนายศรัณย์วุฒิ, สัมภาษณ์, 23 พฤศจิกายน 2558) 224
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 2. ประวตั กิ ารดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ถือว่าเป็นนักการเมือง ถิ่นที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนจังหวัดอุตรดิตถ์ให้เข้า มาทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดจำนวน 2 สมัย โดยไม่นับรวมการได้รับเลือกตั้ง แต่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) และครั้งที่ 24 (2 เมษายน พ.ศ. 2549) ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ โดยการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 นี้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามเห็นว่า รัฐบาลเอาเปรียบยุบสภาแล้วรีบกำหนดวันเลือกตั้งแบบกระชั้น ชิดเลย ดังนั้น จึงเกิดการประท้วงไม่เข้าร่วมลงเลือกตั้ง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กรณีการดำเนินการของ คณะกรรมการเลือกตั้งที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 มีปัญหา เกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญต่อมาศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ พิจารณาและวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นการเลือกตั้งที่มิชอบ จึงต้องมีการเลือกตั้ง ฉะนั้น นายศรัณย์วุฒิ ถือว่าเป็นผู้ที่มี บุคลิกภาพและเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีทักษะในการ อภิปรายเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี เช่น งบสวัสดิการสังคม (เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและคนพิการ) ที่ถือว่า เป็นที่จดจำของผู้ที่สนใจในวงกว้าง นายศรัณย์วุฒิ จึงมีความ โดดเด่นในวงการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น ซึ่งได้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองดังรายละเอียดเกตุ (บุตรชายคนหนึ่งของ นายศรัณย์วุฒิ, สัมภาษณ์, 23 พฤศจิกายน 2558) ต่อไปนี้ 225
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ 2.1 พ.ศ. 2548 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคไทยรักไทย 2.2 พ.ศ. 2550 กรรมการบริหาร พรรครวมใจชาติพัฒนา 2.3 พ.ศ. 2554 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคเพื่อไทย ในขณะที่นายศรัณย์วุฒิดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการใน คณะกรรมาธิการหลายชุด อาทิ พ.ศ. 2548 เป็นกรรมาธิการ ติดตามการบริหารงบประมาณ พ.ศ.2555 เป็นกรรมาธิการ การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด โดยเป็น รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่ 3 (คณะกรรมาธิการการ ปอ้ งกนั ปราบปรามการฟอกเงนิ และยาเสพตดิ สภาผแู้ ทนราษฎร, 2556, ออนไลน์) ดังที่กล่าวข้างต้นว่านายศรัณย์วุฒิ เคยลงสมัครรับ เลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) สังกัด พรรคไทยรักไทย ซึ่งการเลือกตั้งครั้งดังกล่าวจังหวัดอุตรดิตถ์ แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 3 เขตครั้งแรกภายหลังการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 โดยพรรคไทยรักไทยส่งสมาชิกพรรค ลงสมัครรับเลือกตั้งทั้ง 3 เขต โดยเขตเลือกตั้งที่ 1 คือ นางสาว กฤษณา สีหลักษณ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 คือ นายศรัณย์ (ชื่อใน ปีนั้น) ศรัณย์เกตุ และเขตเลือกตั้งที่ 3 คือ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย และทั้งสามคนได้รับเลือกตั้ง แต่เขต 2 มีการเลือกตั้ง ใหม่เนื่องจาก นาย นายศรัณย์ ศรัณย์เกตุ ถูกเพิกถอนสิทธิ 226
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 เลือกตั้ง (ใบแดง) เนื่องจากมีผู้ฟ้องว่ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา (ศาลปกครองสูงสุด, 2558, ออนไลน์) และมีนายวารุจ ศิริวัฒน์ สังกัดพรรคชาติพัฒนา เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรแทน ต่อมาในการเลือกตั้งครั้งที่ 23 (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) นายศรัณย์วุฒิ ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในเขตเดิม คือ เขตเลือกตั้งที่ 2 และได้รับการเลือกตั้ง ในนาม พรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้ง ครั้งที่ 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) ในนามพรรคเดิมและเขตเลือกตั้ง เดิม จุดที่เปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญของศรัณย์วุฒิ คือ ในการเลือกตั้งครั้งที่ 27 (2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557) ซึ่งแม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) สรุปได้ว่า การที่พระรากฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฏร พ.ศ. 2556 กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นั้นไม่ชอบด้วย รัฐธรรมนูญ (มติชน, 2557, ออนไลน์) แต่ในกระบวนการวางตัว ผู ้ ส ม ั ค ร ข อ ง พ ร ร ค เ พ ื ่ อ ไ ท ย ใ น จ ั ง ห ว ั ด อ ุ ต ร ด ิ ต ถ ์ น ี ้ ม ี ก า ร เปลี่ยนแปลง โดยมีการปรับนายศรัณย์วุฒิออกและวางตัว ผู้สมัครใหม่แทนที่ คือ นางสาวกฤษณา สีหะลักษณ์ ลงสมัคร รับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตในเขตเลือกตั้งที่ 2 แทนแบบบัญช ี รายชื่อ ซึ่งเขตดังกล่าวเป็นพื้นที่ฐานคะแนนเสียงของพรรค เพื่อไทยที่มีนายศรัณย์วุฒิ เคยได้รับการส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง และได้รับการเลือกตั้งมาแล้ว 2 สมัย กรณีนี้จึงทำให้ นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ได้ลาออกและเป็นสมาชิกพรรคใหม่ คือ พรรคชาตไิ ทยพฒั นา (ชทพ.) โดยนายศรณั ย์วฒุ ิ ศรณั ยเ์ กตุ 227
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้กล่าวว่า “…ตนทำงานอยู่กับพรรคเพื่อไทยมานาน แต่ไม่ได้ รับการตอบรับจากพรรคเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องนโยบาย ที่ตั้งใจจะดูแลผู้สูงอายุและผู้พิการ และเห็นว่า ชทพ.มีนโยบาย ตรงกับตัวเอง จึงตัดสินใจเปลี่ยนพรรคมาลงสมัครรับเลือกตั้ง อีกทั้ง ชทพ.เป็นพรรคขนาดเล็ก ไม่เป็นพรรคที่ขัดแย้งทาง การเมืองอยู่เวลานี้…” ขณะเดียวกันนายนิกร จำนง ประธาน ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาได้กล่าวว่า “นายบรรหาร ได้ติดตามการทำงานของนายศรัณย์วุฒิมานานแล้ว เพราะ นอกจากจะเป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ทำหน้าที่ในสภาฯ แล้ว ยังดูแลปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ซึ่งเป็นผู้ที่เลือกนายศรัณย์วุฒิเข้าไปเป็น ส.ส.และตรงกับนโยบายของพรรคที่เน้นไปที่ผู้สูงอายุและ ผู้พิการ ชทพ.จึงเลือกนายศรัณย์วุฒิให้ลงสมัครในนามของ พรรค…” (ผู้จัดการ, 2556, ออนไลน์) การเลือกตั้งในครั้งนี้ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่ ก็บ่งชี้ถึงฐานความนิยมของประชาชนที่มีต่อนายศรัณย์วุฒิ ซึ่งผลการเลือกตั้งของจังหวัดอุตรดิตถ์ที่แบ่งออกเป็น 3 เขต เลือกตั้ง ในเขตที่ 1 และ 3 ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยได้รับ การเลือกตั้ง ยกเว้นเขตเลือกตั้งที่ 2 ที่นายศรัณย์จากพรรค ชาติไทยพัฒนาได้รับการเลือกตั้ง โดยได้ 22,182 คะแนน ส่วน นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ พรรคเพื่อไทย ได้ 21,427 คะแนน แมว้ า่ ผลคะแนนแตกตา่ งกนั เพยี ง 755 คะแนนเทา่ นน้ั แตถ่ อื ไดว้ า่ เป็นการเลือกตั้งครั้งนี้บ่งชี้ถึงมิติการเป็นนักการเมืองประจำถิ่น ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีความเชื่อมโยงไปยังฐาน คะแนนสนับสนุนเดิมได้เป็นอย่างดี 228
นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมอื ง นายศรณั ยว์ ฒุ ิ ศรณั ยเ์ กตุ เขา้ สตู่ ำแหนง่ ทางการเมอื ง โดยมีอดีตนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องยาวนานถึง 8 สมัยเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งก็คือ นายประเทือง วิจารณ์ปรีชา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก 5 สมัย และจังหวัดสิงห์บุรี 3 สมัย แต่สำหรับผู้ที่มีส่วนผลักดันให ้ เข้าสู่เวทีทางการเมือง คือ นายสุธรรม แสงประทุม (บุตรชาย คนหนึ่งของนายศรัณย์วุฒิ, สัมภาษณ์, 23 พฤศจิกายน 2558) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัด พรรคก้าวหน้า และได้ย้ายมาสังกัดพรรคพลังธรรม ซึ่งต่อมา ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมือง แรกที่นายศรัณย์วุฒิ สังกัดและได้รับการเลือกตั้งในสมัยแรก นอกจากนี้บุตรชายได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเหตุผลที่บิดาเข้าสู่เวที การเมือง เนื่องด้วยบิดาเห็นว่าในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ ์ โดยเฉพาะเขตเลือกตั้งที่ 2 ที่มารดาอาศัยอยู่มีความจำเป็นต้อง ได้รับการพัฒนาอีกหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ใน พื้นที่สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีผลการผลิตดีแต่ยังไม่ได้รับ การประชาสัมพันธ์และส่งเสริมให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับใน ระดับประเทศ เพื่อนำมาสู่การพัฒนารายได้ของประชาชน นายศรัณย์วุฒิจึงเข้าสู่การเป็นนักการเมืองโดยหาเสียงกับ ประชาชนที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของเกษตรกรเป็นหลัก และ เมื่อสามารถเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้แล้ว นายศรัณย์วุฒิ มีเทคนิคในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนแตกต่างจาก นักการเมืองท่านอื่นๆ เช่น แม้ว่าในปีที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง 229
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ยังให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง เช่น ใน พ.ศ. 2552 ได้ช่วยประสานงานขออนุมัติงบประมาณจัดทำ ถนนลาดยางในพื้นที่จำนวน 5 กิโลเมตร ระหว่างหมู่ที่ 10 และ 11 ในอำเภอท่าปลา ไปยังนายถาวร เสนเนียม ที่ดำรงตำแหน่ง เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยที่แม้จะอยู่คนละ พรรคการเมือง แต่ก็ได้รับการตอบสนองให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ในทัศนะผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเห็นว่า นายศรัณย์วุฒิ ยังให้ความช่วยเหลือปัญหาภัยแล้ง เช่น กรณี การผลักดันโครงการเขื่อนน้ำรี ตำบลจริม อำเภอท่าปลา และ การผลักดันการสร้างอ้างห้วยค้อเหนือ อำเภอบ้านโคก จังหวัด อุตรดิตถ์ และการเรียกร้องเอกสารสิทธิ์ที่ทำกินแก่ประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ เป็นต้น จากความ ช่วยเหลือดังกล่าวจึงทำให้ประชาชนและผู้นำชุมชนที่เป็น ทางการของตำบลต่างๆ ในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดอุตรดิตถ์ เห็นว่าเป็นผู้ที่กล้าจะแสวงหาวิธีการช่วยเหลือแบบใหม่ๆ ไม่เหมือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนอื่นๆ ที่ผ่านมา ผู้นำ ชุมชนจำนวนมากจึงให้การยอมรับนายศรัณย์วุฒิ (นายกและ รองนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบลแหง่ หนง่ึ ในเขตอำเภอทา่ ปลา, สมั ภาษณ,์ 22 พฤศจกิ ายน 2558) นอกจากนายศรณั ยว์ ฒุ ิ ยังได้ รับการสนับสนุนทางการเมืองจากผู้ปกครองของนักเรียน ครู และผู้บริหารโรงเรียนที่ได้รับความช่วยเหลือด้านทุนการศึกษา และการบริจาคคอมพิวเตอร์ โดยงบประมาณส่วนตัวของตนเอง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุนการศึกษานั้นนายศรัณย์วุฒิ ในบางราย จะมอบให้ต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เช่น นักเรียนที่มีผลการเรียนดีมากและมีพฤติกรรมดีแต่ยากจน 230
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 ในส่วนพรรคการเมืองมีส่วนอย่างยิ่งในการสนับสนุนโดยด้าน งบประมาณการหาเสียง และการที่ผู้นำพรรคการเมืองลงพื้นที่ พบปะประชาชนและปราศรัยช่วยลูกพรรคหาเสียง (บุตรชาย คนหนึ่งของนายศรัณย์วุฒิ, สัมภาษณ์, 23 พฤศจิกายน 2558) เช่น การหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่ 26 นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ ช่วยผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ของ พรรคเพื่อไทยหาเสียง ประกอบด้วยนายกนก ลิ้มตระกูล นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย การลง พื้นที่ของผู้นำพรรคดังกล่าวช่วยสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ในการที่จะได้รับความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้กล่าวถึงบทบาทของพี่ชายในฐานะ นายกรัฐมนตรีที่ได้พื้นที่ตรวจสอบจังหวัดที่ได้ผลกระทบจาก เหตุอุทกภัย ซึ่งพรรคเพื่อไทยจักได้สานต่อความช่วยเหลือ ต่อไป และในกรณีการเลือกตั้งครั้งที่ 27 ที่นายศรัณย์วุฒิ ไดล้ าออกจากการเปน็ สมาชกิ พรรคเพอ่ื ไทย กไ็ ดร้ บั การสนบั สนนุ จากนายบรรหาร ศลิ ปอาชา และในกระบวนการหาเสยี งเลอื กตง้ั ได้มอบหมายนายนิกร จำนง ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทย- พัฒนาลงพื้นที่หาเสียงช่วยเช่นกัน นอกจากนี้นายศรัณย์วุฒิ ยังได้สร้างความร่วมมือโดยให้คำปรึกษาแก่กรรมการบริหาร หอการค้าจังหวัดอุตรดิตถ์และภาคเอกชนจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยให้เข้าพบเมื่อวันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2554 ณ ห้องประชุม จัสมิน โรงแรมฟรายเดย์ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์เพื่อ 231
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ผลักดันการยกระดับจุดผ่อนปรนภูดู่ อำเภอบ้านโคก ซึ่งอยู่ใน เขตเลือกตั้งที่ 2 ของนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ เป็นจุดผ่านแดน ถาวร (สพุ ตั ตรา ตนั ตจิ รยิ าพนั ธ,์ 2557, น. 120) ฉะนน้ั กลา่ วไดว้ า่ เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองของนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ จึงมีทั้งประชาชน ครู ผู้นำชุมชน (สมาชิกสภาท้องถิ่นและ ผู้บริหารท้องถิ่น) นักการเมือง และพรรคการเมืองที่สังกัด และ กลุ่มผลประโยชน์ เช่น หอการค้าจังหวัดที่อาจถือได้ว่าเป็น เครือข่ายสนับสนุนทางอ้อม 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสยี งเลือกตง้ั สำหรับการหาเสียงนั้นนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ มีเทคนิคในการหาเสียงที่เน้นการลงพื้นที่ด้วยตนเองเป็นหลัก โดยให้เข้าถึงประชาชนในระดับครัวเรือนมากที่สุด ซึ่งได้มอบ แผ่นบันทึกผลงานของตนเองขณะที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร เช่น ผลงานขณะอภิปรายงบประมาณสวัสดิการ สงั คม กรณเี บย้ี ยงั ชพี ผสู้ งู อายแุ ละผพู้ กิ าร และผลงานการชว่ ยเหลอื ด้านทุนการศึกษา และใช้รูปแบบการหาเสียงเช่นเดียวกับ นักการเมืองอื่น เช่น การแจกเอกสารแผ่นปลิวแนะนำตัว การใช้ แผ่นป้ายโฆษณาหาเสียง และการใช้พาหนะในการตระเวน หาเสียง แต่รูปแบบที่เน้นมากที่สุด คือ การใช้วิธีการพบปะ เยี่ยมเยียนตามบ้านของประชาชน และชุมชนต่างๆที่ผู้นำชุมชน ที่ได้สนับสนุนนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ได้นัดหมายให้พบ เปน็ กลมุ่ ขนาดใหญต่ าม ซง่ึ สว่ นใหญใ่ ชศ้ าลาวดั เปน็ จดุ นดั หมาย ซึ่งบุตรชายได้ให้ข้อมูลว่าบิดามีทักษะในการสื่อสารกับ ประชาชน จึงนิยมเข้าถึงเพื่อพูดคุยสอบถามปัญหาและ 232
นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 บ่อยครั้งที่ระหว่างการหาเสียงได้รับเรื่องเพื่อประสานความ ช่วยเหลือประชาชน และมักจะช่วยเหลือจนเห็นผลเป็นรูปธรรม ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และเห็นว่าการที่บิดาประสบความสำเร็จ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์เนื่องจาก สามารถเข้าถึงประชาชนโดยตรง และเน้นการเข้าพื้นที่ต่อเนื่อง แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และยังสามารถเข้าถึง ผู้นำทางจิตใจของประชาชน เช่น ผู้อาวุโสของหมู่บ้าน โดยให้ ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าในช่วงเวลาที่ไม่มีบทบาททาง การเมือง (บุตรชายคนหนึ่งของนายศรัณย์วุฒิ, สัมภาษณ์, 23 พฤศจิกายน 2558) และจากการสังเกตของนักวิจัยเห็นได้ว่า นายศรัณย์วุฒิ ได้วางระบบการประสานช่วยเหลือผ่าน ศูนย์ประสานงานพรรคชาติไทยพัฒนา ในอำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ศูนย์และบุตรชายเป็น ผู้ประสานงานหลัก ซึ่งศูนย์ดังกล่าวประชาชนและผู้นำชุมชน สามารถประสานงานขอความช่วยเหลือและเข้าร่วมกิจกรรม ของท้องถิ่น เช่น การช่วยเหลือในการแข่งขันกีฬาขององค์การ บริหารส่วนตำบลโดยบุตรชาย ซึ่งการมีศูนย์ประสานของ พรรคการเมืองถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างฐาน ความนิยมที่มีต่อนักการเมือง ซึ่งหากปราศจากศูนย์ฯ ดังกล่าว การสอ่ื สารจากประชาชนไปยงั นกั การเมอื ง และจากนกั การเมอื ง ไปยังประชาชนจะกระทำได้ไม่ต่อเนื่อง และเป็นการดำเนิน กิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ ประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งว่าแม้พรรคการเมืองและนักการเมือง ไม่สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ แต่นักการเมืองยังทำ หน้าทางการเมืองตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทาง 233
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333