Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์

นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์

Description: นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์
เล่มที่ 61

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ สนับสนุนนักการเมือง และช่วยพิจารณาให้เห็นชัดว่าการจะ เข้าสู่อำนาจทางการเมืองได้นั้นมีปัจจัยพื้นฐานที่ผลักดันก็คือ การมีอำนาจครอบครองปัจจัยการผลิตในระบบเศรษฐกิจที่ช่วย เลื่อนสถานะทางสังคมของบุคคลเพื่อเข้าสู่การครอบครอง อำนาจทางการเมือง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทรัพยากรทาง เศรษฐกิจที่ชนชั้นนายทุนเป็นเจ้าของเป็นเงื่อนไขสำคัญของ บุคคลในการเลื่อนสถานะและบทบาทของบุคคลให้กลายเป็น ชนชั้นที่มีอำนาจ แต่แนวคิดของ Marx ก็มีข้อจำกัด โดยแนวคิด นี้มุ่งอธิบายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเท่านั้นที่ทำให้เกิดชนชั้น ขึ้นมา 2 ชนชั้น ซึ่งหากพิจารณาแล้วเห็นได้ว่ามีปัจจัยอื่นๆ ที่เป็นเงื่อนไขให้เกิดชนชั้น ดังแนวคิดของนักวิชาการต่อจากนี้ ในงานของ C. Wright Mills ได้อธิบาย ในงานเขียน เรื่อง “The Power Elite” ใน ค.ศ. 1957 ที่อธิบายเกี่ยวกับชนชั้นนำ ที่ทรงอิทธิพลในสังคมอุตสาหกรรม คือ ผู้นำทางการเมือง กลุ่มทหาร และนักธุรกิจ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ไม่อธิบายได้อย่าง ชัดเจนแต่ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลครอบงำการตัดสินใจในด้าน ต่างๆในระดับชาติได้อย่างยิ่งโดย Mills ได้อธิบายไว้ว่าสมาชิก ของกลุ่มผู้นำเหล่านี้จะมีตำแหน่งที่น่าเคารพนับถือในวงสังคม พวกเขายอมรับและให้ความสนิทสนมกับบุคคลใดๆ เนื่องด้วย เหตุผลด้านอาชีพ ด้านการศึกษา ซึ่งสมาชิกของกลุ่มจะศึกษา ในมัธยมศึกษาสำหรับกลุ่มชนชั้นสูง และมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น Harvard, Yale และ Princeton เพื่อเปิดโอกาสเข้าสู่สโมสร ชั้นสูงที่ตั้งอยู่ในเมืองหลักทางด้านธุรกิจเพื่อที่จะสามารถติดต่อ ในด้านธุรกิจกับบุคคลที่เป็นสมาชิกในสโมสรเหล่านั้น ฉะนั้น การได้รับการศึกษาจึงจำเป็นสำหรับชนชั้นนำที่เรียกได้ว่าเป็น 34

การทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง เอกสิทธิ์ในการก้าวเข้าสู่การเป็นกลุ่ม 3 กลุ่มที่เป็นชนชั้นนำที่มี อำนาจในสังคม โดยผู้นำทางการเมืองนั้น Mills ให้ข้อมูล ยืนยันว่าตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้นำทางการเมือง มีบทบาทที่เด่นชัดในกระบวนทางการเมืองโดยสามารถลด บทบาทในการตัดสินใจทางการเมืองที่เดิมถูกควบคุมโดย ผู้เชี่ยวชาญทางการเมือง ในส่วนของทหารได้มีบทบาททาง การเมืองในการพิจารณางบประมาณด้านการป้องกันประเทศ และด้านกำลังพล ซึ่งผู้นำทางทหารและนักการเมืองมีอำนาจ ที่เข้มแข็งในการพิจารณาร่วมกัน ในส่วนของนักธุรกิจ อธิบาย ว่าเมื่อกิจการทางการทหารถูกครอบงำอย่างชัดเจน จึงทำให้ ผู้นำทางการทหารเข้ามามีอิทธิพลในการพัฒนาเชิงนโยบาย ของรัฐบาลด้วย กลุ่มธุรกิจและทหารจึงมีแนวโน้มที่จะ สนับสนุนซึ่งกันและกันในเชิงเอื้อผลประโยชน์ระหว่าง (Christopher Doob, 2013, p. 18, 38) จากการฉายภาพชนชั้นนำเบื้องต้นนั้น เราจะเห็นได้ว่า “ชนชั้นนำ” นั้นมีความหมายและแบ่งกลุ่มได้หลากหลาย อาทิ Robert Putnam ได้อธิบายว่าชนชั้นนำที่เน้นไปยังกลุ่ม ผบู้ รหิ ารในภาครฐั และกลมุ่ ผเู้ ชย่ี วชาญทม่ี กั ใชอ้ ำนาจทป่ี ราศจาก กระบวนการประชาธิปไตยและใช้อำนาจนอกเหนือคำแนะนำ ของที่ปรึกษาในการมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในนโยบายต่างๆ โดยกลุ่มที่เคยมีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของรัฐเมื่อร้อยกว่า ปีที่ผ่านมาคือ นักอุตสาหกรรม และนักธุรกิจ แต่ในปัจจุบัน ผู้ที่เป็นชนชั้นที่มีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของรัฐ คือ 35

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ และวิศวกร ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี (Robert Putnam, 1977, p. 385) ส่วน Ralf Dahrendorf ได้อธิบายชนชั้นนำเชื่อมโยงกับ การดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยกล่าวถึงชนชั้นที่มีอำนาจ บัญญัติกฎหมาย ซึ่งก็คือ สมาชิกของพรรคการเมืองที่มีหน้าที่ เสนอบริการสาธารณะไปยังประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยใน ช่วงเวลาของการรณรงค์หาเสียงแต่ละพรรคการเมืองจะต้อง เชื่อมั่นว่ามีประชาชนที่ตัดสินใจเลือกพรรคตนอย่างแน่นอนเป็น จำนวนเท่าไหร่เพื่อที่จะเสนอบริการสาธารณะไปยังกลุ่มคนนั้นๆ ได้อย่างเหมาะสม ฉะนั้น พรรคการเมืองเปรียบเสมือนบริษัท ที่ทำหน้าที่เสนอบริการไปยังประชาชน ในวิถีเลือกตั้งเช่นนี้ จึงเป็นที่มาของชนชั้นที่มีอำนาจบัญญัติกฎหมาย ซึ่งบุคคล เหล่านั้นรวมถึงสมาชิกของสมาคมที่สนับสนุนบริษัทต่างๆ และ ต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ที่ลงตัว (Ralf Dahrendorf, 1990) นอกจากนี้ Thomas R. Dye. อธิบายชนชั้นโดยยกกรณี นโยบายสาธารณะของสหรัฐอเมริกาว่า นโยบายสาธารณะนั้น ไม่ได้เป็นผลมาจากความต้องการที่แท้จริงของประชาชน และ มักมาผลประโยชน์ร่วมของกลุ่มชนชั้นนำที่ตั้งอยู่วอชิงตัน ดีซี ทั้งองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร คณะที่ปรึกษาของประธานาธิบดี กลุ่มผลประโยชน์ ลอบบี้ยิสต์ (Lobbyist) และบริษัทที่ปรึกษา ด้านกฎหมาย (Thomas R. Dye, 2000) จากการอธิบายถึงชนชั้นนำของนักวิชาการข้างต้น เห็นได้ว่าแม้มีความแตกต่างกันแต่มีจุดร่วมที่น่าสนใจ กล่าวคือ ชนชั้นนำ คือ กลุ่มคนที่มีบทบาทในกระบวนการทางการเมือง 36

การทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง เช่น Ralf Dahrendorf ที่ชี้ให้เห็นว่าสมาชิกของพรรคการเมือง คือ ชนชั้นสูงที่มาจากวิถีเลือกตั้ง แล้วเข้าไปมีอำนาจบัญญัติ กฎหมาย และกลุ่มชนชั้นนำที่มีลักษณะพิเศษบางประการ เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ และวิศวกร ที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ตามความคิดของ Putnam และ อีกกลุ่มที่ถือว่ามีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ กลุ่มนักธุรกิจที่มี บทบาทชี้นำทางการเมือง เช่นที่ Dye ได้ชี้ให้เห็นว่านโยบาย ส า ธ า ร ณ ะ ข อ ง ส ห ร ั ฐ อ เ ม ร ิ ก า ม ี ท ี ่ ม า จ า ก ก ล ุ ่ ม ช น ช ั ้ น น ำ โดยเฉพาะกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ถือว่าเป็นกลุ่ม ชนชั้นสูงที่มีพื้นฐานด้านการศึกษาและฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี เช่นการอธิบายของ Mills ซึ่งได้ระบุให้เห็นถึงกลุ่มชนชั้นนำที่เข้า ศึกษายังมหาวิทยาลัยชั้นนำในสังคมอเมริกาและการเข้าสังกัด สโมสรที่จะสามารถสนับสนุนโอกาสในเชิงธุรกิจและเชิงสังคม กับบุคคลที่เข้าร่วมในสโมสรเช่นกันซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะกลาย เป็น big three หรือ 3 กลุ่มที่ทรงอิทธิพลในการเมืองของอเมริกา จากการกลา่ วถงึ ชนชน้ั นำขา้ งตน้ เราจะเหน็ ไดว้ า่ ชนชน้ั นำ มีฐานอำนาจมากจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมเป็น หลักที่ผลักดันให้บุคคลเข้าสู่การเป็นชนชั้นนำในสังคม ซึ่งใน สังคมใดๆมักประกอบไปด้วยชนชั้นนำ คือ กลุ่มที่มีบทบาท ทางการเมืองและกลุ่มที่สนับสนุนทางการเมือง และชนชั้นที่อยู่ ระดับต่ำกว่าชนชั้นนำ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ในทางการเมือง ก็คือ กลุ่มคนที่เป็นผู้เลือกชนชั้นนำเข้าสู่อำนาจทางการเมืองอย่างถูก ต้องตามกฎหมาย ดังนั้น หากจะแบ่งประเภทของชนชั้นนำให้ ชัดเจน ก็มีหลากแนวคิดดังที่ได้อธิบายมาข้างต้น คือ แนวคิด เศรษฐศาสตร์ของ Marx ก็ได้แบ่งชนชั้นออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 37

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ชนชั้นที่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น (exploiters)หรือนายทุน และ ชนชั้นที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ (exploited) หรือแรงงาน/กรรมกร และในสังคมอเมริกาตามแนวคิดของ Mills ก็แบ่งออกเป็น 3 กลุม่ คือ ผ้นู ำทางการเมือง ทหาร และนกั ธรุ กจิ สว่ น Thomas Burton Bottomore (1964, p. 96) ได้แบ่งประเภทของชนชั้นนำ ออกเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย ชนชั้นนำที่มาจากราชวงศ์ ชนชั้นนำที่เป็นทหาร ชนชั้นนำที่เป็นข้าราชการพลเรือน ชนชน้ั นำทเ่ี ปน็ ผนู้ ำทางศาสนา ชนชน้ั นำทเ่ี ปน็ นกั ธรุ กจิ ชนชน้ั นำ ที่เป็นปัญญาชน และชนชั้นนำที่เป็นผู้นำทางการเมือง ดังนั้น หากพิจารณาในสังคมไทยภายหลัง พ.ศ. 2475- 2535, 2549 - ปัจจุบัน ชนชั้นนำที่มีบทบาททางการเมือง ประกอบด้วย กลุ่มข้าราชการประจำระดับสูง โดยเฉพาะจาก กองทัพที่มีบทบาทชี้นำและเข้ามามีอำนาจในฐานะผู้กำหนด นโยบายสาธารณะเอง และหลัง พ.ศ. 2540 (แม้ว่าข้าราชการ ประจำระดับสูงจากกองทัพจะเข้ามามีบทบาททางการเมือง) แต่เราจะยังเห็นชนชั้นนำที่เป็นนายทุนจากภาคธุรกิจที่มีบทบาท ในฐานะนักการเมือง และมีบทบาทในฐานะกลุ่มผลประโยชน์ ที่ค่อยสนับสนุนการเมืองในด้านนโยบายใดๆ ที่เอื้ออำนวย ในด้านผลประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจตนไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจาก กระบวนการเลือกตั้งหรือโดยวิธีอื่น ซึ่งหากพิจารณารัฐแบบ ทุนนิยม (capitalism) จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลก็ทำหน้าที่ ในเชิงเศรษฐกิจ กล่าวคือ รัฐมีการตัดสินใจในด้านการจัด สาธารณูปโภคร่วม (collective consumption) โดยการสนับสนุน ของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นไปในลักษณะไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งการสนับสนุนจากกลุ่มทุนนั้นก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ 38

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง ระหว่างกลุ่มชนต่างๆ และเป็นต้นตอทำให้มีการแบ่งชั้นมากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าการยอมรับกลุ่มทุนของรัฐเป็นเงื่อนไข ประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดการแบ่งชนชั้น แต่รัฐจำเป็นอย่างยิ่งใน การอาศัยฐานธุรกิจสนับสนุน ฉะนั้น ภาคธุรกิจจึงมีอิทธิพลทาง เศรษฐกิจร่วมกับรัฐเป็นกลไกขับเคลื่อนชี้นำสังคมในรูปของ นโยบายต่างๆ ซึ่งในทัศนะของผู้วิจัยเห็นว่าในยุคเปลี่ยนผ่าน ทางการเมอื ง ชนชน้ั นำทม่ี บี ทบาทสงู สดุ คอื นกั ธรุ กจิ ทม่ี บี ทบาท ทางอ้อมมาโดยตลอดในฐานะผ้สู นบั สนนุ พรรคการเมืองแต่ภาค ธรุ กจิ ไดพ้ ฒั นาบทบาทโดยแสดงตนในกระบวนการทางการเมอื ง ในฐานะคู่แข่งขันทางการเมือง และเข้ามามีบทบาทในฐานะ ผู้กำหนดนโยบายเอง โดยปรากฏชัดเจนในยุคของพรรค ไทยรักไทยจวบจนปัจจุบันที่มิได้หมายรวมถึงชนชั้นนำทาง ทหารที่เข้ามามีบทบาททางการเมืองโดยการรัฐประหาร เพราะ อย่างไรก็ตามการเมืองไทยยังเป็น จุดรวมของกลุ่มทุนหรือ นักธุรกิจในฐานะชนชั้นนำที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทาง การเมือง นอกจากนี้แล้วการศึกษาเกี่ยวกับชนชั้นที่ได้ทบทวน ข้างต้นมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ การใช้อิทธิพลของชนชั้นนำ ทางการเมือง ซึ่งชนชั้นนั้นมีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยโน้มน้าวจิตใจของบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งให้เป็นไปตามที่ตน ต้องการทั้งโดยสมัครใจ หรือใช้กำลังบังคับ สำหรับชนชั้นนำ กลุ่มใดจะมีอำนาจมากกว่ากันในกระบวนการทางการเมืองนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยในด้านการครอบครองปัจจัยการผลิต ด้าน ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ หรือด้านอื่นๆ อันเป็น ฐานของการเป็นชนชั้นนำที่มีลักษณะโดดเด่นและแตกต่างจาก 39

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ บุคคลอื่น อาทิ ทรัพยากรทางการเมืองที่ครอบครองมากกว่า บุคคลอื่นๆ การใช้ทรัพยากรทางการเมืองได้มากกว่าคนอื่น และการใช้ทรัพยากรทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าคนอื่นๆ (Robert A. Dahl, 1975, p. 28) ซึ่งการศึกษา เกี่ยวกับนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ในครั้งนี้จักได้พิจารณา การเข้าสู่ตำแหน่งของนักการเมืองโดยมุ่งวิเคราะห์ความเป็น ชนชั้นนำในสังคมและการใช้อิทธิพลทางการเมืองของชนชั้นนำ ที่มีต่อการตัดเลือกใจของประชาชนในจังหวัดอุตรดิตถ์ พรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ ในสังคมประชาธิปไตยแบบตัวแทนนั้น การขับเคลื่อน กระบวนการทางการเมืองนั้นมีสถาบันทางการเมืองเข้ามามี บทบาทตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละสถาบันทางการเมือง อย่างไรก็ตามในกระบวนการทางการเมืองมีทั้งการดำเนินโดย วิถีแห่งปกติและไม่ปกติ กล่าวคือ เป็นกระบวนการแข่งขันตาม กติกาที่แต่ละสังคมกำหนด และมิได้ดำเนินตามกติกา แต่ใช้ กลวิธีอื่นที่ขัดหรือแย้งต่อกติกาทางการเมืองที่กำหนด แต่นั่น ก็คือวิถีแห่งการต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งหากพิจารณากระบวนการ เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองของนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ก็ถือว่าเป็นการแข่งขันเพื่อช่วงชิงพื้นที่อำนาจทางการเมือง โดยใช้กลไกระดับบุคคลและกลไกของพรรคการเมืองและกลุ่ม ผลประโยชน์ที่สนับสนุนเพื่อสามารถให้ได้รับสนับสนุนดำรง ตำแหน่งทางการเมือง ฉะนั้น พรรคการเมืองและผลประโยชน์ จึงมีบทบาทอย่างโดดเด่นในฐานะเป็นกลไกหลักที่บ่งชี้ว่าบุคคล จะได้รับเลือกเข้าสู่ตำแหน่งหรือไม่ผนวกกับฐานของบุคคล 40

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ที่เป็นชนชั้นนำในจังหวัดและการทำหน้าที่ของระบบอุปถัมภ์ ที่ยังดำรงอยู่ในสังคมระดับจังหวัด แต่อย่างไรก็ตามในยุคที่ เปลี่ยนผ่านกลยุทธ์ทางการเมืองผ่านสองสถาบันทางการเมือง ดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองอย่างยิ่ง ซึ่งในเนื้อหาลำดับถัดไปจะได้อธิบายเกี่ยวกับพรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ โดยเฉพาะหน้าที่ทางการเมืองตามลำดับ ต่อไปนี้ พรรคการเมือง (Political Party) ในระบบการเมืองสมัยใหม่พรรคการเมืองถือว่าเป็น กลไกที่มีความสำคัญในการประคับประคองการเข้าไปม ี ส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนให้มีแบบแผ่นมากยิ่งขึ้น และพรรคการเมืองยังทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยง หรือเป็น สื่อกลางทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ซึ่งสรุป ความหมาย องค์ประกอบ และหน้าที่ของพรรคการเมืองได้ดังนี้ 1. ความหมายของพรรคการเมอื ง ดงั ทท่ี ราบวา่ พรรคการเมอื ง (political party) มรี ากศพั ท์ เดิมมาจากภาษาละตินว่า “Pars” ซึ่งหมายถึง “ส่วน” ดังนั้น พรรคการเมือง จึงหมายถึงส่วนของราษฎรทั้งหมดในประเทศ กล่าวคือ การที่ราษฎรแบ่งแยกออกไปเป็นส่วนๆ ตามความ คิดเห็น และประโยชน์ได้เสียทางการเมือง ซึ่งในปัจจุบันนี ้ จะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองเป็นกลุ่มของคนที่รวมตัวกันเพื่อทำ กิจกรรมทางการเมืองในลักษณะที่มุ่งเข้าไปมีอำนาจรัฐ หรือ มสี ว่ นในการมอี ำนาจรฐั สำหรบั ความหมายของ “พรรคการเมอื ง” จะครอบคลุมถึงสภาพโครงสร้างและองค์ประกอบ ภารกิจและ 41

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ เป้าหมายของพรรคการเมือง สรุปได้ว่า “พรรคการเมือง” คือ กลุ่มของคนที่มีแนวความคิดหรืออุดมการณ์ทางการเมืองอย่าง เดียวกัน รวมกันจัดตั้งเป็นสถาบันที่มีการจัดองค์กรที่แน่นอน ชัดเจน มีการกำหนดทางเลือกเกี่ยวกับนโยบายที่สำคัญใน การปกครองและบริหารประเทศในด้านต่างๆ มีการคัดเลือก บุคคลเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง พยายามเข้าไปมีหรือ มีส่วนในอำนาจรัฐจนสามารถจัดตั้งหรือร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพื่อบริหารประเทศพรรคการเมืองจึงเป็นสถาบันการเมืองที่มี ความหมาย และเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองนั้นมีส่วน สำคัญในการพัฒนาประเทศ ซึ่งการพัฒนาประเทศนั้นจะต้อง พัฒนาทุกด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้าน สังคม และด้านอื่นๆ แต่เนื่องจากพรรคการเมืองเกี่ยวข้อง โดยตรงกับการเมือง บทบาทสำคัญของพรรคการเมืองในการ พัฒนาการเมืองจึงมีอยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งการที่พรรคการเมืองจะมี บทบาทดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพได้นั้น พรรคการเมืองต้องมี โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบทเ่ี หมาะสม สามารถทำหนา้ ทอ่ี นั เปน็ ภารกิจที่จำเป็นได้อย่างต่อเนื่อง 2. องคป์ ระกอบของพรรคการเมือง การที่พรรคการเมืองจะสามารถดำเนินกิจกรรม ทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องมีองค์ประกอบ ที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำหน้าที่ที่จำเป็นต่อการ พัฒนาการเมืองไทย จะต้องมีองค์ประกอบ (วิสุทธิ์ โพธิแท่น, 2542, น. 148-150) ต่อไปนี้ 42

การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 2.1. ความคิดความเชื่อหรืออุดมการณ์คล้ายคลึงกัน ของกลุ่มคนที่มาร่วมกันเป็นพรรคการเมืองอันเป็นสิ่งที่ผูกพัน คนเข้าด้วยกัน ในหลายกรณีอาจเรียกอาจเรียกได้ว่าเป็น “ผลประโยชน์” (interests or benefit) ซึ่งเป็นคำที่กว้างที่ Robert Salisbury เคยขยายความว่ามีทั้งสิ่งที่เป็นนามธรรม และเป็น รปู ธรรม คอื ผลประโยชนท์ างวตั ถุ (material benefits) ผลประโยชน์ ทางความผกู พนั แนน่ เหนยี ว (solidarity benefits) และผลประโยชน์ ทางอุดมการณ์ (expressive or purposive benefits) ความเชื่อ หรืออุดมการณ์ของพรรค์การเมืองนั้นจะปรากฏอยู่ในนโยบาย และข้อบังคับพรรค ซึ่งแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบและวิธีการ ดำเนินการของพรรค ตลอดจนวินัยและจรรยาบรรณของ สมาชิกพรรค 2.2. บุคลากร ประกอบด้วย คณะผู้นำพรรคในระดับ ต่างๆ สมาชิกพรรค และเจ้าหน้าที่พรรค ซึ่งถือว่าเป็น “คนของ พรรค” โดยตรง แต่ในขณะเดียวกันโดยหลักการนั้นทุกพรรค การเมืองในโลกนี้ต้องการการสนับสนุนจากประชาชนเป็น จำนวนมาก เพราะการคงอยู่และอนาคตของพรรค ตลอดจน ความเข้มแข็งของพรรคต้องอาศัยการสนับสนุนจากประชาชน เป็นจำนวนมากยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี ฉะนั้น นอกจากพรรคจะได้รับ การสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมากยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี ฉะนั้น นอกจากพรรคจะได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกของ พรรคแล้ว พรรคยังต้องการการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไป ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกด้วย 43

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 2.3. สำนักงานใหญ่และสำนักงานสาขา ตลอดจน เครื่องมือเครื่องใช้อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งการจัดแบ่งส่วนองค์กร สำนักงานของพรรคการเมืองที่พัฒนาหรือต้องการพัฒนาจะมี ลักษณะเปรียบเทียบได้กับบริษัทใหญ่ๆ หรือกระทรวง ทบวง กรม คือ มีลักษณะการจำแนกแจกแจงโครงสร้างและบรรจุ บุคลากรในโครงสร้างเหล่านน้ั (มี differention and specialization) และมีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน 2.4. องค์ประกอบขององค์กรภายในพื้นฐาน (Basic Elements) ซึ่งโดยปกติจะประกอบด้วยที่ประชุมใหญ่ คณะ กรรมการบริหาร สาขาหน่วยปฏิบัติการ และอาจมีหน่วยย่อย ต่างๆ ส่วนการจัดองค์กรที่แท้จริงอาจมีความซับซ้อนและ รายละเอียดมากมายแล้วแต่เหตุผลและความจำเป็นของแต่ละ พรรค จากองค์ประกอบของพรรคการเมืองข้างต้น จะเห็นได้ว่า จุดเน้นของการเป็นพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคการเมือง ไทยนอกเหนือจากองค์ประกอบพื้นฐานเชิงกายภาพแล้ว พรรคการเมืองจำเป็นเป็นต้องเป็นสถาบันทางการเมืองที่เป็น ศูนย์รวมของคณะบุคคลที่มีผลประโยชน์ (interests/benefits) ร่วมกัน ซึ่งหากขาดผลประโยชน์ร่วมกันทั้งผลประโยชน์เชิง นามธรรมและรูปธรรมก็ย่อมไม่สามารถทำให้คณะบุคคลมีจุด ยึดโยงร่วมกันที่จะช่วยผูกคณะบุคคลให้มีเป้าหมายดำเนิน กิจกรรมร่วมกันอย่างมีทิศทาง ฉะนั้น การเป็นพรรคการเมือง ที่จะสามารถตอบสนองต่อระบบการเมืองแบบตัวแทนได ้ มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองว่าจะสามารถ 44

การทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง ตอบสนองผลประโยชน์ต่อสมาชิกพรรคการเมืองได้เพียงใด ซึ่งหากพรรคการเมืองไม่สามารถตอบสนองความต้องการและ ผลประโยชน์แก่สมาชิกพรรคการเมืองไทย ย่อมส่งผลต่อความ แขง่ แกรง่ และการเสนอผลประโยชนใ์ นรปู ของนโยบายสาธารณะ ไปยังประชาชนที่ทำหน้าที่เลือกสมาชิกพรรคการเมือง เนื่องจากการดำรงอยู่ของพรรคการเมืองไม่เพียงแต่อาศัยปัจจัย ภายในพรรคการเมืองเท่านั้น แต่พรรคการเมืองต้องการ การสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมาก 3. หน้าทขี่ องพรรคการเมือง การทำหน้าที่ของพรรคการเมืองไทยในอดีตและ ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันในวิธีการ แต่โดยสาระ สำคัญหลักแล้วพรรคการเมืองยังคงทำหน้าที่ที่มีลักษณะร่วม โดยขอสรุปดังนี้ วิสุทธิ์ โพธิแท่น (2542, น. 150-151) ดังนี้ 1. การรวบรวมความเรียกร้องต้องการของประชาชน มากำหนดเป็นนโยบายหรือทางเลือกแห่งนโยบายที่เรียกว่า “interest aggregation” 2. การเสนอข้อเรียกร้องแทนประชาชน ต่อผู้มี อำนาจตัดสินใจทางการเมืองให้มีการสนองตอบที่ เรียกว่า “interest articulation” 3. การคัดเลือกหรือเลือกสรรผู้นำทางการเมือง ทั้งในองค์การภายในของพรรคเอง ทั้งในการส่งผู้รับเลือกตั้ง ในระดับต่างๆ ทั้งในการให้เข้าไปดำรงตำแหน่งบริหารต่างๆ ของประเทศในระดับท้องถิ่นและระดับรัฐ 45

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ 4. การควบคุมตรวจสอบรัฐบาลหากเป็นฝ่ายค้าน 5. การเชื่อมประสานระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ระหวา่ งประชาชนและกลมุ่ ประชาชน และระหวา่ งกลมุ่ ประชาชน กับกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ตลอดจนการปลุกเร้า (Mobilize) ประชาชนให้เกิดความตื่นตัวทางการเมือง และเป็นช่องทางให้ ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเป็นระบบ 6. การให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน ขณะที่จุมพล หนิมพานิช. (2547, น. 18) อธิบายถึง หน้าที่ของพรรคการเมืองว่า พรรคการเมืองมีหน้าที่ฝึกฝน ผู้นำทางการเมือง ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้กับ กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และมีหน้าที่สรรหา และคัดเลือกบุคคล ผู้มีความรู้ความสามารถ และคุณธรรมในการเป็นตัวแทนของ ประชาชนซง่ึ สอดคลอ้ งกบั วสิ ทุ ธ์ิ โพธแ์ิ ทน่ ทเ่ี หน็ วา่ พรรคการเมอื ง ต้องสรรหาบุคคลทั้งภายในและภายนอกพรรคเข้าสมัคร รับเลือกตั้ง ประเทศประชาธิปไตยหรือประเทศที่พัฒนา ในแนวทางประชาธิปไตยแบบตะวันตกแต่ละประเทศจะมี พรรคการเมืองอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะถือเป็นเสรีภาพของ ประชาชนที่จะรวมกลุ่มกันเป็นพรรคการเมือง หากพิจารณาการทำหน้าที่ของพรรคการเมืองไทย ในสถานการณ์ที่เป็นจริงแล้ว เราจะเห็นได้ว่าพรรคการเมือง ทำหน้าที่ได้ชัดเจนที่สุด คือ การคัดเลือกหรือเลือกสรรผู้นำ ทางการเมืองเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยบุคคลที่จะมี โอกาสเข้ามาสู่การเป็นสมาชิกพรรคมักเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่จะกลายเป็นฐานสำคัญสนับสนุนพรรคการเมืองอีกด้วย 46

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันพรรคการเมืองที่เป็นพรรคขนาดใหญ่ก็เป็นที่ ต้องการของบุคคลในการจะได้รับโอกาสทางการเมืองเมื่อสังกัด พรรคการเมืองใหญ่นั้นๆ พรรคการเมืองขนาดใหญ่จึงเป็น เหมือนตราสัญลักษณ์ทางตลาดการเมืองที่รับรองตัวบุคคล ที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น ฉะนั้น บทบาทของพรรคการเมือง ในแง่นี้จึงเปลี่ยนแปลง โดยพรรคการเมืองมิได้ทำหน้าที่แสวงหา บุคคลเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคฝ่ายเดียว แต่บุคคลทำหน้าที่ เสนอตนเองต่อพรรคการเมือง ซึ่งพรรคการเมืองจะพิจารณา บุคคลนั้นๆ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ในเชิงการเมืองและ เชิงเศรษฐกิจ เช่น การบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ในยุคของการแข่งขันทางการเมือง และการทำหน้าที่ของ พรรคการเมืองที่เสนอข้างต้นในประเด็นการรวบรวมความ ต้องการของประชาชนมากำหนดเป็นนโยบายหรือทางเลือกแห่ง นโยบาย ตลอดจนทำหน้าที่เสนอข้อเรียกร้องแทนประชาชน ต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจทางการเมืองให้มีการสนองตอบนั้น ก็จะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองมิได้มุ่งทำหน้าที่อย่างชัดเจนเมื่อ เปรียบเทียบกับหน้าที่การคัดบุคคลเข้าสู่การเป็นสมาชิกพรรค ทั้งนี้เนื่องจากกลไกการจัดการพรรคการเมืองถ่ายโอนไปยัง นักกลยุทธ์ทางการตลาด หรือที่ปรึกษาพรรคการเมือง ในการ ทำหน้าที่เสนอผลประโยชน์ในรูปนโยบายสาธารณะ ตลอดจน พรรคการเมืองยังทำหน้าที่ในการผลักดันการตัดสินใจทาง การเมืองเพื่อตอบสนองต่อกลุ่มผลประโยชน์ที่สนับสนุน พรรคการเมืองหากพรรคการเมืองนั้นเข้าสู่อำนาจทางการเมือง ในฐานะรัฐบาล ฉะนั้น การทำหน้าที่ของพรรคการเมืองจึงมี เงื่อนไขเชิงผลประโยชน์เป็นเครื่องชี้นำในการกำหนดนโยบาย 47

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ของพรรค มากกว่าการนำสภาพปัญหาหรือความต้องการ สาธารณะเข้าสู่การกำหนดเป็นนโยบายของพรรคอย่างที่ควรจะ เป็นตามหลักการ 4. กลุม่ ผลประโยชน์ (interest group) ระบบการเมืองทุกระบบจะมีวิธีการจัดการกับ ข้อเรียกร้องหรือความต้องการของประชาชน การตัดสินใจ ทางการเมืองทุกอย่างย่อมมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของ บางกลุ่มทั้งในทางบวกและทางลบ กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบ ในทางลบจะแสดงออกโดยการรวมตัวเป็นกลุ่มเพื่อประท้วงหรือ โต้ตอบนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ขจัดภาวะที่ไม่พึงประสงค์นั้น หมดไป ซง่ึ การรวมกลมุ่ นน้ั อาจเรยี กไดว้ า่ เปน็ “กลมุ่ ผลประโยชน”์ (interest group) โดยกลุ่มผลประโยชน์ในความหมายของ Almond and Powell (อ้างใน พฤทธิสาณ ชุมพล, 2540, น. 115) หมายถึง กลุ่มคนที่เชื่อมโยงกันโดยมีความสนใจหรือห่วงใยใน สิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือมีผลประโยชน์ร่วมกันและโดยมีความสำนึกอยู่ ไม่มากก็น้อยว่าเขามีความเชื่อมโยงดังกล่าวกันอยู่ ซึ่งนัยยะนี้ แสดงให้เห็นว่ากลุ่มผลประโยชน์ที่รวมตัวกันนั้นมีเป้าหมาย ร่วมกัน ซึ่ง Almond and Powell แบ่งกลุ่มผลประโยชน์ออกเป็น 4 ประเภท 1. กลุ่มผลประโยชน์และบุคคลที่เคว้งคว้าง ไร้บรรทัดฐาน (anomic interest groups) เป็นกลุ่มที่ปะทุขึ้นอย่าง ค่อนข้างจะกะทันหันตามอารมณ์ เช่น การจลาจล การลอบ สงั หาร ตลอดจนการเดนิ ขบวนประทว้ งการเรยี กรอ้ งผลประโยชน์ ในรูปลักษณ์นี้มักจะเกิดขึ้นในสภาพที่ไม่มีกลุ่มที่ได้รับการจัดตั้ง 48

การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง อยู่ในสังคม หรือว่าหากมีก็มีบางกลุ่มที่ถูกปิดกั้นมิให้แสดงออก ซึ่งความต้องการ ดังนั้น ความไม่พึงพอใจที่ถูกปิดอยู่กดดันไว้ จะปะทุออกมาถ้ามีเหตุการณ์เอื้ออำนวยหรือมีผู้ชักนำหรือ “ปลุกระดม” ให้เกิดขึ้น การชักนำนี้อาจกระทำโดยผู้ที่อยู่ใน อำนาจทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของเขาเองก็ได้ แต่ ข้อสำคัญไม่มีการจัดตั้งเป็นองค์กรแต่อย่างใด 2. กลมุ่ ผลประโยชนท์ ไ่ี มม่ กี ารจดั ตง้ั (non-associational interest groups) หมายถึงกลุ่มถึงเครือญาติ กลุ่มเชื้อชาติ กลุ่ม ภูมิภาค กลุ่มสถานภาพ กลุ่มชนชั้น (กล่าวคือกลุ่มคนที่อาจไม่ ได้พบปะกันอย่างสม่ำเสมอ แต่มีความรู้สึกร่วมกัน มีความ เชื่อมโยงกันทางจิตทางวัฒนธรรมอย่างรู้ใจกันพอสมควร ซึ่ง อาจจะเรียกร้องผลประโยชน์ของเขาเป็นครั้งคราว โดยผ่าน บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือผู้นำเช่นผู้นำทางศาสนา จะเห็นได้ว่า กลุ่ม 2 ประเภทดังกล่าวไปแล้ว มีการเรียกร้องผลประโยชน์ แต่เพียงครั้งเดียว ไม่มีขั้นตอนหรือการจัดตั้งที่แน่นอนในการ เรียกร้องและไม่มีความต่อเนื่องในการเรียกร้อง กลุ่มดังกล่าว จะมีอิทธิพลน้อย 3. กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นสถาบัน (institutional interest groups) กล่าวคือ องค์กรที่เป็นทางการ (formal organizations) เช่น พรรคการเมือง สถาบันนิติบัญญัติ กองทัพ ศาสนา หน่วยราชการและสถาบันอื่นๆ ซึ่งมีหน้าที่เฉพาะ อย่างอื่นที่ไม่ใช่การเรียกร้องผลประโยชน์ กลุ่มเหล่านี้อาจเรียก ร้องผลประโยชน์ของกลุ่มเอง หรือทำหน้าที่เป็นตัวแทน ผลประโยชน์ของกลุ่มอื่นในสังคม นอกจากนั้นกลุ่มย่อยภายใน 49

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ สถาบันสำคัญๆ เหล่านี้อาจทำหน้าที่เรียกร้องผลประโยชน์ เฉพาะกลุ่มของตนก็ได้ โดยอาศัยความยอมรับนับถือในสถาบัน ที่สังกัดอยู่เป็นทรัพยากรในการที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ของ กลุ่มตนเอง 4. กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นทางการ (associational interest groups) “ทางการ” ในที่นี้ หมายถึง มีการจัดตั้ง มีสมาชิกเป็นการแน่นอน ไม่ได้หมายความถึงที่เป็น “ทาง ราชการ” ตัวอย่างกลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นทางการ คือ สหภาพแรงงาน สมาคมนักธุรกิจ สมาคมชาติพันธุ์ และ กลุ่มประชาชนประจำท้องถิ่นต่างๆ เหล่านี้ เป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นปากเสียงแทนผลประโยชน์ของกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด โดยเฉพาะ กลุ่มเหล่านี้มักจะมีระเบียบวิธีการที่จะเรียกร้อง ผลประโยชน์และนำข้อเรียกร้องเสนอต่อระบบการเมือง ในสังคมที่พัฒนาแล้วกลุ่มเหล่านี้จะได้เปรียบกลุ่มที่ไม่เป็น ทางการ (non-associational interest groups) จะได้รับการ ยอมรับว่าชอบธรรมและจะมีมากมายหลายกลุ่มครอบคลุมถึง กลุ่มชนต่างๆ ในสังคม โดยกลุ่มที่ไม่เป็นจะลดน้อยถอยลงไป โดยปริยาย สำหรับกรณีประเทศไทยเราจะเห็นได้ว่ากลุ่ม ผลประโยชน์ที่มีอิทธิพลต่อระบบการเมืองของไทยคือกลุ่มที่ 4 ที่ปรากฏในรูปของสมาคมธุรกิจต่างๆ ที่มีพลังทางด้าน เศรษฐกิจในการเจรจาต่อรอง หรือสนับสนุนนโยบายทาง การเมือง อย่างไรก็ตามก็ย่อมขึ้นอยู่กับโครงสร้างอำนาจ ทางการเมืองในแต่ละยุคสมัย และสถานการณ์ทางการเมือง 50

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งหากสถานการณ์การเมืองในวิถีปกติกลุ่มผลประโยชน์ทาง ธุรกิจจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐอย่างยิ่งหรือแทบเรียก ได้ว่าแสดงบทบาทชี้นำทางการเมืองแทนรัฐ แต่ในสถานการณ์ การเมืองไม่ปกติ เช่น กรณีการเปลี่ยนผู้นำทางการเมืองที่มา จากกองทัพ กลุ่มผลประโยชน์จะแสดงบทบาทในเชิงที่ปรึกษา หรือเชิงวิชาการต่อผู้นำของรัฐ โดยกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอิทธิพล ต่อรัฐไม่ว่าในทางใดทางหนึ่ง เช่น สมาคมหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารแห่งประเทศ ไทย และที่เห็นบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ที่เข้ามีมีอิทธิพลต่อ การชี้นำการตัดสินใจของรัฐ คือ การจัดตั้งคณะกรรมการร่วม ภาครฐั และเอกชน (กรอ.) ทท่ี ำหนา้ ทเ่ี สนอและเจรจาผลประโยชน์ ในรูปบริการสาธารณะด้านต่างๆ ระหว่างรัฐในฐานะให้บริการ สาธารณะ และเอกชนในฐานะผู้จัดทำบริการสาธารณะแทนรัฐ นอกจากนี้กลุ่มผลประโยชน์ที่ยังคงมีบทบาทในกระบวนการ ทางการเมืองแต่ถือว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐค่อนข้าง น้อย เช่น สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ที่แสดงบทบาททั้งในเชิง ต่อต้านหรือสนับสนุนนโยบายของรัฐที่กระทบต่อความมั่นคง พนักงานในรัฐวิสาหกิจที่อิงผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ เช่นกัน แต่สิ่งที่ไม่สามารถละเลยในการพิจารณาได้ คือ กลุ่มผลประโยชน์ที่เป็นสถาบัน โดยเฉพาะกองทัพที่ทหารถือว่า เป็นกลุ่มผลประโยชน์ในระบบราชการที่ในกระบวนการ เปลี่ยนผ่านการเมืองไทยสู่สังคมประชาธิปไตยมีกลุ่ม ผลประโยชน์นี้เข้ามามีบทบาทสำคัญทางการเมืองในฐานะที่ เป็นกลุ่มข้าราชการระดับสูงที่ผ่านกระบวนการศึกษาและ ขัดเกลาจากสังคมตะวันตก ฉะนั้น เนื่องด้วยสถานภาพ 51

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ เชิงสังคมกลุ่มผลประโยชน์นี้จึงมีบทบาททางการเมืองอย่าง ต่อเนื่อง สำหรับหน้าที่ของกลุ่มผลประโยชน์มีหลากหลายขึ้น อยู่กับประเภทหรือลักษณะการรวมกลุ่มของกลุ่มผลประโยชน์ นั้นๆ ดังที่ได้กล่าวมีแล้ว แต่หน้าที่ของกลุ่มผลประโยชน์ใน กระบวนการทางการเมอื ง (political process) จมุ พล หนมิ พานชิ . (2554, น. 18) คือ มีหน้าที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง ประชาชนกับพรรคการเมือง นอกจากนี้ในเชิงหลักการแล้ว กลุ่มผลประโยชน์จะช่วยระดมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทางการเมอื งอยา่ งเปน็ ระบบ โดยเขา้ มาเปน็ สมาชกิ พรรคการเมอื ง หรือเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับรัฐบาลโดยผ่านการทำหน้าที่ ของพรรคการเมือง ดังนั้น จากการทำหน้าที่ของพรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์จะเห็นได้ว่าเป้าหมายของการมารวมตัว กันพรรคการเมือง คือ ต้องการเป็นรัฐบาลหรือ ส่วนกลุ่ม ผลประโยชน์มีเป้าหมาย คือ การใช้อำนาจอิทธิพลต่อการวาง การกำหนดนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตามไม่สามารถ ปฏิเสธได้ว่าในสภาพความเป็นจริงกลุ่มผลประโยชน์แม้ว่า ไม่ต้องการเข้าสู่การมีอำนาจรัฐ แต่เมื่อมีโอกาสและได้รับ สนับสนุนจากพรรคการเมืองกลุ่มผลประโยชน์มักจะส่งตัวแทน ของกลุ่มผลประโยชน์เข้าสู่อำนาจทางการเมืองเช่นกัน ในการ ศึกษานักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์นี้ พรรคการเมืองและกลุ่ม ผลประโยชน์มีบทบาทอย่างยิ่งในฐานะกลไกสนับสนุน ให้สมาชิกของพรรคดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะ พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ในเชิงตลาด ทางการเมืองที่ได้รับการยอมรับอันส่งผลให้นักการเมืองได้ 52

การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง รับเลือกตั้งเข้าสู่อำนาจทางนิติบัญญัติและตำแหน่งสำคัญ ทางการบริหารด้วย แนวคิดการเลือกต้ัง การเลือกตั้งเป็นในสังคมประชาธิปไตยนั้นเป็นเครื่อง บ่งชี้ถึงการได้มาซึ่งผู้แทนทางการเมืองที่มีความชอบธรรมในเชิง ระบอบประชาธิปไตยที่ให้อำนาจของประชาชนในการตัดสินใจ เลอื กผแู้ ทนของตน แต่ตามนยั ยะนม้ี ิไดห้ มายรวมถึงการเลอื กตั้ง ที่ไม่ได้ดำเนินตามหลักกฏหมายที่ทำให้เกิดความความชอบ ธรรมแต่ประการใด การเลือกตั้งในสังคมประชาธิปไตยอย่าง แท้จริงจักดำเนินภายใต้หลักการสากลที่เป็นที่ยอมรับและ ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงด้วย ในการวิจัยนี้ได้นำแนวคิด การเลือกตั้งมาอธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาโดยจะได้กล่าวถึง รูปแบบการหาเสียงเลือกตั้ง และการตลาดทางการเมืองในการ เลือกตั้ง ดังรายละเอียดต่อไปนี้ รูปแบบการหาเสียงเลือกตั้ง ในด้านรูปแบบการหาเสียงเลือกตั้ง หากพิจารณาโดย ยึดหลักกฎหมายก็จะสามารถแบ่งออกเป็นการหาเสียงเลือกตั้ง ที่ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นการดำเนินอย่างเปิดเผย และการหาเสียง เลือกตั้งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งไม่สามารถดำเนินได้อย่างเปิดเผย นั่นเอง โดย นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. (2553, ออนไลน์) ได้อธิบาย ประเภทของรูปแบบการหาเสียงเลือกตั้งไว้ ดังนี้ 1. การหาเสยี งเลอื กตงั้ อยา่ งเปดิ เผยหรอื เปน็ ทางการ เป็นการหาเสียงเลือกตั้งด้วยวิธีการที่เป็นไปตามบทบัญญัติของ 53

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และพระราช บัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองรวมทั้ง ประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้งด้วยวิธีการ ได้แก่ 1.1 การแจกเอกสารแผ่นปลิวโฆษณาหาเสียง ในเขตชุมชน สถานที่ต่างๆ หรืองานพิธีการต่างๆ โดยเอกสาร เกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้งสามารถมีรูปถ่ายหรือข้อความ เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร 1.2 ใช้พาหนะในการตระเวนหาเสียงเลือกตั้งหรือ จัดสถานที่หรือเวทีเพื่อโฆษณาหาเสียง 1.3 การปราศรัยหาเสียงบนเวทีโดยใช้เครื่องขยาย เสียง 1.4 จัดทำแผ่นป้ายโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีชื่อ รูปถ่าย หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร รูปถ่ายที่เกี่ยวกับ ตัวผู้สมัคร 1.5 การโฆษณาหาสียงเลือกตั้งผ่านเว็บไซต์ จดหมาย สิ่งสื่อพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 1.6 การพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนถึงบ้านหรือ ชุมชน 2. การหาเสียงเลือกตั้งอย่างไม่เปิดเผย เป็นการ หาเสียง เลือกตั้งด้วยวิธีการที่มิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรและการสรรหาวุฒิสภา และพระราชบัญญัติ 54

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองรวมทั้งข้อควรปฏิบัติ ในการหาเสียงเลือกตั้งที่ได้ระบุไว้เป็นประกาศของคณะ กรรมการการเลือกตั้ง ได้แก่ 2.1 จัดทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้หรือจัด เตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณ เป็นเงิน เช่น งานวันเกิด งานบวช งานโกนจุก งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานบุญ งานเทศกาล งานขึ้นปีใหม่หรือ งานศพ เป็นต้น 2.2 ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมแก่ชุมชน สมาคมมูลนิธิ หรือสถาบันอื่นใดหรือการช่วยเหลืองาน สาธารณประโยชน์เป็นการเฉพาะ 2.3 โฆษณาหาเสียงเลือกตั้งด้วยการจัดให้มีมหรสพ หรือการรื่นเริงต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงและการละเล่นอื่น ๆ 2.4 การจัดเลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยง การประชุม อบรม สัมมนา หรือดงู าน เป็นต้น 2.5 หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ จูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของ ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดหรือใช้กลวิธีทำลายคู่แข่งขัน 2.6 รับเชิญไปออกรายการวิทยุโทรทัศน์หรือ วิทยุกระจายเสียงในช่วงที่มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนถึงวันเลือกตั้ง 55

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นอกจากนี้แล้ว พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต (2537, น. 98-99) ยังได้สรุปแนวทางการทุจริตที่เกี่ยวกับกรรมวิธี กลไก และกระบวนการทุจริตหาเสียง โดยอธิบายว่าการทุจริตหาเสียง หมายถึง การที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และทีมงาน ดำเนินกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง ในห้วงเวลาของการเลือกตั้งเพื่อให้เป็นที่จูงใจประชาชนในเขต เลือกตั้งได้รู้จักชื่อเสียงอันจะนำไปสู่ความโน้มน้าวใจและ ความประทับใจ ส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ของประชาชน ซึ่งกิจกรรมที่ดำเนินการไปนั้นอาจถูกกฎหมาย เลือกตั้งก็ได้ จนกระทั่งผู้สมัครใช้จ่ายเงินงบประมาณเลือกตั้ง เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ เมื่อนั้นกิจกรรมนี้ถือเป็นเรื่อง ผิดกฎหมาย ซึ่งรูปแบบหรือกลวิธีในการทุจริตหาเสียงเลือกตั้ง ได้แก่ 1. การแจกจ่ายส่ิงของเคร่ืองใช้ก่อนการเลือกต้ัง การแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้ก่อนการเลือกตั้ง หมายถึง การที ่ ผู้สมัครกระทำพฤติกรรม “แจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้ ทั้งต่อ ตัวปัจเจกบุคคลและ /หรือต่อชุมชน” โดยการกระทำนี้ผู้สมัคร มิได้ไปบีบบังคับหรือสัญญาชัดเจนกับชาวบ้านว่า เมื่อตนเองให้ แล้วชาวบ้านจะต้องเลือกตนเอง ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ จึงทำให้ ชาวบ้านส่วนใหญ่เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เพราะในมุมมอง ของชาวบ้านนั้น บุคคลผู้ให้สิ่งของแจกจ่ายแก่ผู้อื่นโดยไม่หวัง สิ่งตอบแทนนั้น ถือได้ว่าเป็นคนดีที่ แท้จริง และผู้ซึ่งรับสิ่งของที่ แจกจ่ายแล้วก็ถือว่าตนเองเป็นหนี้บุญคุณต่อผู้ให้และหากมี โอกาส ก็ต้องหาทางตอบแทน สิ่งของที่ผู้สมัครนิยมแจกจ่ายนั้น มีอยู่ด้วยกันหลายประเภท ทั้งที่แจกจ่ายต่อชุมชนและต่อ 56

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ตัวบุคคล ซึ่งตัวอย่าง ได้แก่ การให้ทุนการศึกษาแก่เด็ก นักเรียน ซึ่งรวมไปถึงการแจกจ่ายอุปกรณ์การเรียนการสอนแก่ เด็กและโรงเรียนด้วย ซึ่งการให้สิ่งของแก่เด็กนักเรียนนั้นมีผล ต่อจิตใจของ ผู้ปกครองไม่น้อย หรือการทำบุญกับวัด เป็นอีก แนวทางหนึ่งที่ใช้กันมาก ผู้สมัครคนใดที่มีเงินมากก็จะบริจาค สร้างโบสถ์หรือถาวรวัตถุกับวัด ซึ่งถ้าทำมากวัดก็จะทำให้ ชื่อเสียงร่ำลือใน ฐานะคนใจบุญมากขึ้น เป็นต้น 2. การจัดงานเล้ียงเลือกตั้ง ในสังคมไทยนั้นงานเลี้ยง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นคู่กันกับการเลือกตั้งเสมอ งานเลี้ยงที่เข้ามามี บทบาทในฐานะที่เป็นกลไกส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งนั้น หน้าที่หลักทางการเมืองของงานเลี้ยง คือ เป็นเครื่องมือในการ สร้างภาพลักษณ์ของผู้สมัครรับเลือกตั้งประการหนึ่งกับ เป็นเครื่องมือในการ ดึงดูดคนให้มารวมกันเป็นกลุ่มก้อน อีกประการหนึ่ง สถานที่จัดเลี้ยงนั้นโดยมากใช้บ้านของ หัวคะแนน เมื่อมีกฎหมายห้ามผู้สมัครจัดงานเลี้ยง วิธีการ จัดเลี้ยงจึงได้มีการปรับเปลี่ยนไป เช่น ไปเลี้ยงที่ร้านอาหาร หรือเปิดร้านอาหารบริการฟรีแก่ชาวบ้าน โดยเป็นที่รู้กันว่าใคร เป็นผู้เลี้ยงแต่ผู้ที่ออกหน้าจะเป็นหัวคะแนนหรือตัวแทนของ ผู้สมัคร ดังนั้นกฎหมายจึงเอาผิดกับตัวผู้สมัครไม่ได้ นอกจากนี้ แล้ว ยังมีงานเลี้ยงอีกประเภทหนึ่งที่นิยมใช้ คือการประชุม สังสรรค์กลุ่มย่อย กล่าวคือ ผู้สมัครและตัวแทนหัวคะแนน ในแต่ละชุมชน ได้นัดชาวบ้านมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยน ทัศนะ ความเห็น ตลอดจนความเป็นอยู่และปัญหาต่างๆ ของชาวบ้าน หลังจากนั้นมักจะมีการเลี้ยง อาหารร่วมกัน วิธีการอย่างนี้ทำให้ ชาวบ้านเห็นความตั้งใจของผู้สมัคร ผลที่ตามมาก็คือชาวบ้าน 57

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ จะรู้สึกภูมิใจและนำสิ่งที่ตนเองพูดคุยไปถ่ายทอดต่อผู้อื่น การขยายผลจึงเกิดขึ้นในลักษณะที่มี ประสิทธิภาพและหวัง คะแนนเสียงได้ 3. ผนู้ ำทางศาสนากบั การหาเสยี ง ผนู้ ำทางศาสนานน้ั มกั จะมบี ทบาทเปน็ ผนู้ ำแบบไมเ่ ปน็ ทางการของชาวบา้ น เปน็ ผมู้ ี อิทธิพลทางความคิดและจิตวิญญาณต่อชาวบ้านในระดับสูง โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียง ก็ยิ่งจะทำให้กลายเป็นสถาบัน อันศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองได้เลย ชาวบ้านจำนวนมากจะให้ความ นับถือและเลื่อมใสอย่างจริงจัง จนกลายเป็นศรัทธาที่แฝงด้วย ความงมงาย ดังนั้นเมื่อพระสงฆ์แนะนำว่าสิ่ง ไหนดี ก็มักจะทำ ตามทันทีโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ นักการเมืองนั้นรู้ดีว่า ศาสนากับชาวบ้านนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ภายใต้ เงื่อนไขนี้พวกเขาจึงค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปมีส่วน เกี่ยวข้อง และทำตัวให้กลมกลืนกับวิถีปฏิบัติ เช่นนี้ โดยเข้าไป ร่วมงานบุญที่ชาวบ้านจัดขึ้น จากนั้นก็เข้าตีสนิทกับพระที่เป็นที่ เป็นเลื่อมใส เพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีแก่พระที่ตนได้วิเคราะห์ แล้วว่ามีอิทธิพลทางความคิดต่อชาวบ้าน ซึ่งโดยมากแล้วพระ ที่นักการเมืองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนั้นจะเป็นพระระดับ เจ้าอาวาสหรือไม่ก็เป็น เกจิอาจารย์ชื่อดัง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะมอบปัจจัยทั้งที่เป็นเงินและสิ่งของแก่วัดหรือพระ ซึ่งพระสงฆ์ เมื่อมีผู้ถวายสิ่งของถวายปัจจัย ก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกพึงพอใจ ดังนั้นผู้สมัครจึงใช้เงื่อนไขการเป็นผู้นำทางศาสนาของพระสงฆ์ ในการจงู ใจให้ชาวบ้านเห็นว่าตน เป็นคนดี 4. การแจกเงินและส่ิงของแก่ครอบครัวและราย บุคคล การหาเสียงโดยการแจกสิ่งของนั้นมีพัฒนาการมา 58

การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ยาวนานและเกิดขึ้นในการเลือกตั้งมา หลายสมัยแล้ว สิ่งของ ประเภทอาหารกระป๋องเป็นสินค้าหลักประเภทหนึ่งที่ผู้สมัคร นยิ มนำไปแจก เชน่ ปลากระปอ๋ ง ผกั กระปอ๋ ง เปน็ ตน้ ซง่ึ นอกจาก จะแจกสิ่งของกันตรงๆ แล้ว การแจกจ่าย ทางอ้อมก็มีอีกหลาย วิธี เช่น ผู้สมัครบางคนเป็นเจ้าของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ก็จะขาย สินค้าแก่ ชาวบ้านในราคาถูก หรือแจกวัสดุแก่ชาวบ้านให้นำไป สรา้ งศาลาประชาคม ขดุ บอ่ นำ้ หรอื อน่ื ๆ การแจกจา่ ยสง่ิ ของนน้ั จะแตกต่างกันออกไป ตามกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เป้าหมาย ที่ผู้สมัคร กำหนด ซึ่งสิ่งของที่แจกจะมีความสอดคล้องกับ วิถีชีวิตของชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่น แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สามารถ ใช้ได้ทั้งเขตเมืองและชนบทคือ “เงิน” ซึ่งสามารถใช้ได้โดย ไม่ต้องใส่ใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น เงินจึงเป็นเครื่องมือแสวงหา คะแนนนิยมที่มีบทบาทสำคัญต่อการเลือกตั้งในปัจจุบัน จากรูปแบบการหาเสียงเลือกตั้งจะเห็นได้ว่าการเลือกตั้ง ทุกระดับมักปรากฏการใช้รูปแบบการหาเสียงแบบไม่เปิดเผย ร่วมกับรูปแบบการเสียงเลือกตั้งแบบเปิดเผยคู่ขนานกัน เช่น กรณีจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บางท่านได้หาเสียงกับผู้บริหารโรงเรียนในรูปแบบของ การสัญญาว่าจะส่งเสริมและพัฒนาสวัสดิการครูด้านต่างๆ ภายใต้เงื่อนไขผู้บริหารโรงเรียนจะต้องช่วย โน้มน้าวไปยัง คณะครู ซึ่งกลวิธีเช่นนี้เป็นการหาเสียงเลือกตั้งที่มีประสิทธิผล ต่อองค์กรครูเนื่องจากยังประสบปัญหาด้านสวัสดิการ และเมื่อ ผู้สมัครได้รับการเลือกตั้งก็สามารถสนับสนุนงบประมาณและ สวัสดิการที่สัญญาว่าจะให้ได้จริง ซึ่งถือว่าเป็นการหาเสียง โดยกระทำอย่างเป็นระบบ (การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลคนหนึ่ง, 59

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 17 พฤษภาคม 2558) ลักษณะดังกล่าวก็ย่อมส่งผลต่อความ เชื่อมั่นและไว้วางใจและยังคงเลือกนักการเมืองนั้นอย่าง ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่ามีความ คาบเกี่ยวระหว่างการหาเสียงโดยวิธีปกติที่ถูกกฎหมายและ ผิดกฎหมาย ซึ่งมีความไม่ชัดเจนเช่นดังการแลกเปลี่ยน การสนับสนุนทางการเมืองที่เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ฉะนั้น แนวโน้มรูปแบบการหาเสียงโดยวิธีเปิดเผยเป็นวิธีการหลักที่ ผู้สมัครเลือกใช้แต่ก็ยังปรากฏวิธีการที่ไม่เปิดเผยแต่มีความยาก ที่จะบ่งชี้ว่ามีความผิดชัดเจนดังเช่นอดีต การตลาดทางการเมืองในการเลือกตั้ง ในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตการใช้กลยุทธ์ทาง การตลาดมีความจำเป็นในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งวิธีการ ดงั กลา่ วเปน็ การผนวกแนวคดิ ทางการตลาดมาใชใ้ นทางการเมอื ง โดยเรยี กวา่ “การตลาดทางการเมอื ง” (political marketing) เป็นวิธีการในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งประสบความสำเร็จ ในการหาเสียงของพรรคการเมืองอย่างยิ่ง โดยวิธีการทำการ ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านกระบวนการวิจัยทางการตลาด การสร้างภาพลักษณ์ของนักการเมืองและพรรคการเมือง การใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยเน้นให้ความสำคัญกับ เครือข่ายสังคมออนไลน์ (social network) ที่สามารถเข้าถึง ประชาชนมากขึ้น ส่งผลให้นักการเมืองและพรรคการเมือง สามารถติดต่อสื่อสาร 2 ทางทำโดยสะดวกและเป็นปัจจุบัน มากขึ้น ซึ่งวิธีการใหม่ดังกล่าวนี้จะทำให้ทั้งนักการเมืองและ ประชาชนมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงมากกว่าการรณรงค์หาเสียงแบบ 60

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง เก่าที่เป็นลักษณะการสื่อสารทางเดียว ทำให้นักการเมืองและ พรรคการเมืองไม่สามารถทราบถึงพฤติกรรมตลอดจนความ ต้องการในของประชาชนได้ง่ายนัก โดย Bruce Newman ได้ให้คำนิยามว่า เป็นการประยุกต์ ใช้หลักการทางการตลาดร่วมกับกระบวนการรณรงค์หาเสียง เลือกตั้งโดยบุคคลหรือองค์กร โดยกระบวนการดังกล่าว เป็นการวิเคราะห์ พัฒนา การดำเนินการ และการบริหาร จัดการเชิงกลยุทธ์ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งโดยผู้สมัคร พรรคการเมอื ง รฐั บาล ลอบบย้ี สิ ต์ และกลมุ่ ผลประโยชนร์ ว่ มกนั เพื่อที่จะขับเคลื่อนเสียงประชามติ อุดมการณ์ทางการเมือง ชัยชนะในการเลือกตั้ง และร่วมถึงในกระบวนการนิติบัญญัติใน รัฐสภาเพื่อให้สมาชิกรับรองร่างกฎหมายต่างๆ โดยการพุ่ง การรณรงค์ไปยังประชาชนและกลุ่มเป้าหมายในสังคมที่ได้วาง กลยุทธ์ไว้ (Newman, 1999, p. xiii) ซึ่ง Newman ได้อธิบายว่า สูตรทางการตลาดที่นำมาใช้ทางการเมืองจักต้องดำเนินโดยยึด กฎพื้นฐาน 4 ประการ (Newman, 1999, p. 8) ได้แก่ 1. บริษัทที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ใช้เวลาศึกษา ความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและรวบรวมข้อมูลและ ข้อเสนอแนะของลูกค้าไปต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ 2. บริษัทที่ประสบความสำเร็จให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยถือว่าลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3. บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะให้การสนับสนุน พนักงานบริษัทระดับสงู และผู้ให้การสนับสนุนบริษัท 61

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 4. บริษัทที่ประสบความสำเร็จจะให้เวลากับการสื่อสาร ผลิตใหม่ไปยังผู้บริโภคโดยไม่ละเลยเวลาดังกล่าวนี้ โดย Newman เห็นว่าการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็คล้ายคลึงกับกฎดังกล่าว ข้างต้น แต่ใช้เวลามากกว่า ซึ่งสามารถสะท้อนได้จาก การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีล่าสุดที่ประสบ ความสำเร็จหรือความล้มเหลว โดยพิจารณาจากกลยุทธ์ ทางการตลาดที่ซึ่งช่วยให้ชนะหรือแพ้ในการเลือกตั้งใน 2 ทศวรรษย้อนหลังแต่ในที่นี้ขอเสนอเพียงกลยุทธ์การหาเสียง เลือกตั้งของประธานาธิบดี Barack Obama ของสหรัฐอเมริกา ที่ถือได้ว่ามีการเลือกกลุ่มตลาดเป้าหมาย การวางตําแหน่ง ตราสินค้า การสร้างภาพลักษณ์ รวมถึงการใช้การโฆษณาและ ประชาสัมพันธ์เพื่อให้นโยบายสามารถเข้าถึงและตอบสนอง ความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยการตลาดเข้ามา มีบทบาทมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับ ผู้บริโภคในตลาดที่ปรากฏภาวะการแข่งขันสูงอันเนื่องมาจาก การมีผู้ผลิตมากราย และเพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวและ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้บริโภคจะได้รับสิ่งที่ต้องการผู้ผลิตยิ่ง จำเป็น ต้องหาแนวทางในการระบุความต้องการของผู้บริโภคให้ได้ เหนือคู่แข่งรายอื่น ซึ่งก็เป็นกรณีเดียวกันกับการแข่งขันในสนาม เลือกตั้ง ที่การตลาดเข้ามามีบทบาทในการวางกลยุทธ์เพื่อช่วย ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรค การเมืองสามารถหลีกเลี่ยง ความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นได้และเพื่อหวังผลชัยชนะในการ เลือกตั้ง (Newman, 1994 อ้างอิงใน บุรฉัตร พานธงรักษ์, 2556) 62

การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยสมาคมการตลาดของอเมริกาได้ให้คําจํากัดความ ของตราสินค้าหรือ “แบรนด์” (Brand) ไว้ว่า จําเป็นต้องมี สง่ิ ตา่ งๆ ดงั น้ี คอื ชอ่ื (name) ระยะเวลาหนง่ึ (term) การออกแบบ (design) และสัญลักษณ์ (Symbol) หรือลักษณะเด่นอย่างใด อย่างหนึ่งของเจ้าของสินค้า หรือบริการ ที่แตกต่างจากเจ้าอื่นๆ ซึ่งคําว่าตราสินค้าหรือ “แบรนด์” (brand) มีความหมาย มากกว่าชื่อ โดยแนวคิดของคําว่าแบรนด์นั้นมีหลายๆ องค์ประกอบ ทั้งจับต้องได้ อาทิ รูปแบบที่เป็นสัญลัษณ์ หรือ โลโก้ (logo) และสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่าง หรือการนําอารมณ ์ เข้ามามีส่วนร่วม Emotional Attachments ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด สําหรับการสร้างแบรนด์ทางการเมือง คือ แคมเปญการหาเสียง ของ Barack Obama ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากการ เลือกตั้งแต่ละครั้งจะเห็นได้ว่า มีการสร้างภาพลักษณ์ (image) การใช้รูปแบบที่เป็นสัญลักษณ์ (logo) คําขวัญ (slogan) สัญลักษณ์ต่างๆ (symbol) ที่ชัดเจน มีความหมาย กระชับ จดจําง่ายโดยในการรณรงค์แต่ละครั้งนั้นสื่อให้เห็นถึง ภาพลักษณ์ของ Obama ที่มีความเป็นกันเอง โอบอ้อมอารี เห็นอกเห็นใจในขณะเดียวกันก็มีความเป็นผู้นํา โดยใช้รูปแบบ สัญลักษณ์ (logo) เป็นตัวอักษร “O” ซึ่งสื่อถึง Obama และ ภาพพระอาทิตย์ขึ้นภายในวงกลม ซึ่งมีนัยว่า “change and hope” หรือ ความหวังที่จะนําพาประเทศให้ดีขึ้นสอดคล้อง ไปกับประเด็นหลัก (theme) ของแคมเปญ “change” บวกกับ การใช้สีแดงขาวน้ำเงินซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรักชาต ิ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Newman, 2001 อ้างอิงใน รติมา ศารทะประภา, 2557, น. 3) 63

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ในการเมืองของสหราชอาณาจักร การสร้างภาพ สัญลักษณ์ในระดับบุคคลเพื่อประโยชน์ทางการเมืองเป็นสิ่งที่ สำคัญและจะต้องมีลักษณะเฉพาะตัวของนักการเมืองคนนั้นๆ ซึ่งพรรคการเมืองและนักการเมืองของ สหราชอาณาจักรได้ใช้ การตลาดสื่อสารทางการเมืองไปยังประชาชน และมีผู้ที่ศึกษา brand personality ของนักการเมืองสหราชอาณาจักรที่ม ี การสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นที่รับรู้ถึงความเป็นตัวตนของ นักการเมือง โดย Gareth Smith ได้ศึกษาและทดสอบ ความสมั พนั ธเ์ กย่ี วกบั ภาพลกั ษณ์ (brand personality) ของบคุ คล (นักการเมือง) ที่ประชาชนจดจำ กับพฤติกรรมที่แสดงออกจริง ของนักการเมืองสหราชอาณาจักรสังกัดพรรคแรงงานและ พรรคอนุรักษ์นิยม โดยภาพลักษณ์ของบุคคล ประกอบด้วย 6 ลักษณะ คือ ความซื่อสัตย์ (ความน่าเชื่อถือ ความจริงใจ ฯลฯ) ความมีจิตวิญญาณ (Spirited) (กล้าหาญ ทันสมัย ร่าเริง ฯลฯ) ภาพลักษณ์ภายนอก (เรียบง่าย ดูดี นำสมัย ฯลฯ) ภาวะ ผู้นำ (มั่นใจ ฉลาด ประสบความสำเร็จ ฯลฯ) ความอดทน (มีพลัง ทนทาน ฯลฯ) และ ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ (มีอิสระ มีลักษณะเป็นคนต้นแบบ) โดย Smith ได้นำค่าเฉลี่ย 2 ค่า ที่สูงสุดและต่ำสุดของทั้ง 6 ลักษณะภาพลักษณ์ของ นักการเมืองมาศึกษาความสัมพันธ์กับพฤติกรรมที่แสดงออก จริง ปรากฏว่าภาพลักษณ์ทุกลักษณะที่มีค่าเฉลี่ยระดับต่ำของ นักการเมืองสังกัดพรรคอนุรักษ์นิยมมีความสัมพันธ์อย่างม ี นัยยะสำคัญกับพฤติกรรมที่แสดงออกจริงในการรับรู้ของ กลุ่มตัวอย่างที่ Smith ได้ศึกษา ส่วนพรรคแรงงานมีเพียงภาพ ลักษณ์ของนักการเมืองด้านความซื่อสัตย์ที่มีค่าเฉลี่ยระดับต่ำ 64

การทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้อง สัมพันธ์กับพฤติกรรมที่แสดงออกจริง (Gareth Smith, 2009, p. 221) ทั้งนี้ ในทัศนะของผู้ศึกษาเห็นว่า การศึกษานี้อาจเป็น เพียงบางส่วนที่เสนอการรับรู้ภาพลักษณ์ของบุคคลที่เป็น นักการเมืองที่ประชาชนมีการรับรู้ในแต่ละช่วงระยะเวลาต่างกัน จึงอาจจะต้องมีข้อมูลในระยะเวลาอื่นมาเปรียบเทียบ แต่อย่างไรก็ตามผลการศึกษาครั้งนี้เป็นการยืนยันระดับหนึ่ง ที่การตลาดสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างภาพลักษณ์ ของนักการเมืองที่พรรคการเมืองต้องการสื่อไปยังประชาชน กลุ่มเป้าหมายให้รับรู้ดังเช่น 6 ลักษณะข้างต้น ขณะเดียวกัน การสื่อสารทางการตลาดกับพฤติกรรมที่แสดงออกจริงนั้น มีความสำคัญยิ่งกว่าเนื่องจากการรับรู้ของประชาชนจะเป็นที่ จดจำในระยะยาว อันย่อมส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของ นักการเมืองที่ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดสื่อสารไป และใน ข้อเท็จจริงพฤติกรรมที่แสดงออกสวนทางกันดังผลการศึกษา ที่กล่าวข้างต้น สำหรับประเทศไทยกรณีการรณรงค์หาเสียงทั่วไปของ ไทยที่เริ่มให้ความสนใจ และเห็นความสําคัญของการตลาด ทางการเมืองเพื่อการรณรงค์หาเสียงอย่างจริงจังนั้นน่าจะเริ่ม จากการที่ พล.ต. จําลอง ศรีเมือง ได้มีการใช้บริษัทโฆษณา เพื่อช่วยในการวางแผนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ.2532 โดยบรรดานักธุรกิจที่ให้การ สนับสนุนพรรคพลังธรรมได้จัดหาบริษัทโฆษณาที่เคยใช้บริการ ทางธุรกิจมาวางแผนการโฆษณา ซึ่งครั้งนั้น ได้มีการใช้กลยุทธ์ การสร้างภาพลักษณ์ให้กับ พล.ต. จําลอง ศรีเมือง ว่าเป็น คนซื่อสัตย์สุจริต มีความน่าเชื่อถือ สมถะ และอยู่ในศีลในธรรม 65

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คือ พล.ต. จําลอง ศรีเมือง ได้รับ คะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ในตอนนั้น ซึ่งถือว่าเป็น คะแนนเสียงที่สูงมากที่สุดของการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา นับตั้งแต่นั้นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้พรรคการเมืองใหญ่ๆ อีกหลายพรรค หันมาใช้บริษัทโฆษณาในการวางแผนรณรงค์ หาเสียง โดยผลการวิจัยจากหลายงานวิจัยได้แสดงให้เห็นความ สอดคล้องถึงการที่พรรคการเมืองและนักการเมืองไทยเริ่มเห็น ถึงความสําคัญของการโฆษณาการเมืองเพื่อการรณรงค ์ หาเสียงเลือกตั้ง (รติมา ศารทะประภา, 2557, น. 6-7) โดยผลจากการวิจัยของ ดวงทิพย์ วรพันธ์ และคณะ. (2542) เรื่อง “พรรคการเมืองและพฤติกรรมการสื่อสารระหว่าง การรณรงค์เลือกตั้งหาเสียงทั่วไปปี 2535” ระบุว่าในระยะหลัง นับตั้งแต่ปี 2535 พรรคการเมืองของไทยมีพฤติกรรมการใช้เงิน ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้น และพบว่าเงินที่ใช้ใน การโฆษณาหาเสียงนั้นมีส่วนสัมพันธ์กับจํานวนที่นั่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับ และเพื่อยันยืนถึงการใช้การตลาด ทางการเมืองในการเลือกตั้งที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น สามารถ พิจารณาจากผลการดุษฎีนิพนธ์ของนันทนา นันทวโรภาส เรื่อง “การสื่อสารทางการเมือง ศึกษากรณีการรณรงค์หาเสียง เลือกตั้งทั่วไปของพรรคไทยรักไทย” ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าในพ.ศ. 2541 ประเทศไทยได้มีการใช้โฆษณาทางการเมือง รูปแบบใหม่ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โดยมี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค ภายใต้คําขวัญ “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน” โดยในการเลือกตั้งปี 2544 พรรค ไทยรักไทยได้นําการตลาดและการโฆษณาทางการเมืองมาใช้ 66

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทุกขั้นตอน อีกทั้ง ได้นํารูปแบบ การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งจากของต่างประเทศมาประยุกต์ใช้ โดยได้มีการสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง มีความเป็น เอกลักษณ์และโดดเด่น และมีการสร้างชื่อตราสินค้า หรือ ชื่อพรรค โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมากกว่า 15,000 คน มีส่วนร่วมในการตั้งชื่อ สุดท้ายทางพรรคได้เลือก “ไทยรักไทย” เพราะเป็นชื่อที่ง่ายต่อการจดจํา มีเอกลักษณ์สร้างความรู้สึก เชิงบวกให้กับกลุ่มเป้าหมายและยังช่วยปลุกกระแสชาตินิยม ให้เกิดขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย มีการสร้างตราสัญลักษณ์จากการที่ สื่อมวลชนได้แสดงความคิดเห็นว่าตัว “ท” ที่ปรากฏในตรา สัญลักษณ์มีความคลุมเครือที่ตีความได้ทั้ง “ไทยรักไทย” หรือ “ทักษิณ” ก็ได้ขณะเดียวกัน คําขวัญของพรรค “คิดใหม่ ทําใหม่ เพื่อไทยทุกคน” สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ที่ประชาชน จะได้รับเพราะประชาชนอาจเบื่อหน่ายวิธีการคิดและวิธีการ ปกครองประเทศรูปแบบเก่าๆ นอกจากนี้ความหมายในเชิงบวก ของคําว่า “ใหม่” ทั้ง “คิดใหม่” “ทําใหม่” ก็อาจสร้างความ รู้สึกที่มีความหวังให้เกิดขึ้นได้อีกทั้งยังสะท้อนถึงการเป็นผู้นํา ที่กล้าคิดกล้าตัดสินใจ นอกจากนั้นพรรคไทยรักไทยยังได้นํา กลยุทธ์การตลาดและการโฆษณาทางการเมืองมาใช้อีกแทบทุก ขั้นตอน เริ่มจากทําการวิจัยแบบเจาะลึกความต้องการของกลุ่ม เป้าหมายทั้งเป้าหมายหลักและเป้าหมายย่อย ก่อนกําหนด นโยบาย เหมือนกับการทําการศึกษาข้อมูลลูกค้าเชิงลึกทาง การตลาด ทําให้นโยบายพรรคตอบโจทย์ความต้องการของ ประชาชน และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่ม ได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาวนา คนชั้นกลาง นักธุรกิจรายย่อย เยาวชน 67

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ จากนั้นจึงนําไปสู่การจัดทําแผนงานโฆษณาโดยทีมงานมือ อาชีพด้านโฆษณาโดยตรงจากบริษัท เอส ซีแมทช์บอกซ์จํากัด มหาชน ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มธุรกิจชินคอร์ปอเรชั่น ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ทําให้รูปแบบการนําเสนอ อีกทั้ง แผ่นป้ายหาเสียงมีความทันสมัยและดึงดูใจ ขณะเดียวกัน การใช้ถ้อยคําในนโยบายมีความชัดเจน กระชับ จดจําง่าย นอกจากนั้น ยังได้นํากระบวนการสื่อสารการตลาดแบบ บูรณาการ หรือ IMC (Integrated Marketing Communication) มาใช้อย่างครบวงจรและเป็นระบบ อีกทั้ง พรรคไทยรักไทย ยังได้นําระบบความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ การสื่อสารมาใช้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย (นันทนา นันทวโรภาส, น. 2547) อย่างไรก็ตามแม้การตลาดทางการเมืองในการเลือกตั้ง จะประสบผลสำเร็จในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในปัจจุบัน ทั้งของต่างประเทศและประเทศไทย แต่การตลาดทางการเมือง ก็ย่อมมีข้อจำกัด เช่น โอกาสในการเข้าถึงการสื่อสารทาง การตลาดของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นกลุ่มช่วงวัยที่ไม่นิยมการใช้ สื่อสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวางเช่นกลุ่มวัยอื่น เช่น กลุ่ม ผู้สูงอายุ ประชาชนในเขตชนบท หรือแม้กระทั้งข้อจำกัดของ เทคโนโลยี อกี ทง้ั ปจั จยั ดา้ นคา่ นยิ ม ความเชอ่ื และวฒั นธรรมของ ประชาชนที่แต่ละภูมิภาคหรือแต่ละกลุ่มคนมีความแตกต่างกัน ฉะนั้นแม้กลยุทธ์ทางการตลาดก็ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรม การเลือกตั้งได้ เช่นในการศึกษา “การสื่อสารทางการเมืองของ พรรคประชาธิปัตย์: ศึกษาเฉพาะกรณีการหาเสียงเลือกตั้งใน 68

การทบทวนวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง จังหวัดนครศรีธรรมราช” ของกิตติศักดิ์ ถิรวิศิษฎ์. ม.ป.ป., ออนไลน์) ที่ชี้ให้เห็นกรณีพรรคไทยรักไทยที่ไม่ประสบความ สำเร็จในพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากกำแพงวัฒนธรรมทางการเมือง ของคนใต้ แม้ว่าพรรคไทยรักไทยจะประสบความสำเร็จจาก การนำเอาแนวทางการตลาดทางการเมืองเข้ามาใช้ในทุกภาค แต่ไม่สามารถทำได้สำเร็จในภาคใต้ ทั้งนี้ เป็นผลมาจาก วัฒนธรรมทางการเมืองของคนใต้ที่เน้นเรื่องพวกพ้องและ ความมีศักดิ์ศรีที่ไม่อาจใช้ประเด็นทางเศรษฐกิจเข้ามาสร้าง คะแนนนิยมได้ ในทางตรงกันข้ามพรรคประชาธิปัตย์สามารถ ชนะการเลือกตั้งในภาคใต้ได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจาก กลยุทธ์การหาเสียงเลือกตั้งเป็นการประสานวัฒนธรรมโดย การอาศัยวิธีการปราศรัยพบปะประชาชนโดยตรง และที่สำคัญ คือความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของคนในพื้นที่ที่มีประวัติการต่อสู้ ร่วมกับประชาชนมาอย่างยาวนานร่วมกับภูมิหลังของ นักการเมือง (เช่น ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ / คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์) ที่ส่งผลให้ประชาชนในภาคใต้เลือกภาคประชาธิปัตย์ มากว่าการใช้วิธีการทางการตลาดในการหาเสียงเลือกตั้ง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นกรอบแนวคิดในการศึกษาสำหรับรวบรวมข้อมูลและ การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่ออธิบาย ตีความ และคาดการณ์ ปรากฏการณ์การเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ซึ่งสัมพันธ์กับ การเมืองระดับชาติ โดยอาศัยแนวคิดทั้ง 4 แนวคิด มาเป็น กรอบแนวคิดพื้นฐานในการศึกษา ที่ประกอบด้วย แนวคิด ระบบอุปถัมภ์ แนวคิดชนชั้นนำนิยม แนวคิดพรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ และแนวคิดการเลือกตั้ง ซึ่งในแนวคิด 69

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ การเลือกตั้งนี้ให้ความสำคัญในประเด็นเกี่ยวกับการตลาด ทางการเมืองในการเลือกตั้ง ที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนใน กระบวนการทางการเมืองในแบบตัวแทนทั้งระดับประเทศและ ระดับจังหวัดอุตรดิตถ์ที่มีปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงกันตั้งแต่ กระบวนการสรรหาบุคคลเข้ามาสังกัดพรรคโดยที่พรรคคำนึงถึง ฐานระบบอุปถัมภ์ที่บุคคลในพื้นถิ่นมีอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่บุคคล เหล่านั้นมักเป็นชนชั้นนำระดับจังหวัดที่มีฐานทั้งความรู้ ความสามารถ และการครอบครัวทรัพยากรมากกว่าบุคคลอื่น อย่างไรก็ตามการจะสื่อสารว่าบุคคลกลุ่มนี้จะสามารถเป็น นักการเมืองของประชาชนในระดับจังหวัดได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องอาศัยกระบวนการหาเสียงที่นำองค์ความรู้ทางการตลาด เข้ามาหนุนนำด้วย ซึ่งผู้ศึกษาจะได้นำเสนอในบทที่ 3 ต่อไป 70

บ3ทท ่ี พัฒนาการทางการเมือง และนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2476 – พ.ศ. 2530 (ยุคพัฒนาการเลือกตั้ง) ในบทนี้เป็นการนำเสนอผลการวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการ ทางการเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ ครอบคลุมในประเด็น ดังต่อไปนี้ 1. บริบททางการเมืองระดับจังหวัดอุตรดิตถ์ มีเนื้อหา เกี่ยวกับพัฒนาการทางเมืองระดับจังหวัด และนักการเมืองถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ในภาพรวม 2. นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ประวัตินักการเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ได้รับการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งการเลือกตั้งทางตรงและทางอ้อม จำนวน 26 ครั้ง ตั้งแต่

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 15 พฤศจิกายน 2476 –3 กรกฎาคม 2554 โดยศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับ ประวัติครอบครัว การศึกษา อาชีพ การดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองระดับท้องถิ่นทั้งในส่วนของสมาชิกสภาและ ฝ่ายบริหาร สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม การเป็น สมาชิกกลุ่มทางสังคม การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองระดับ ชาติ การสังกัด และการย้ายพรรคการเมือง ฯลฯ 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง อาทิ กลุ่ม ผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีอิทธิพลและ/ หรือสนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองที่เคยได้รับ การเลือกตั้งในจังหวัดอุตรดิตถ์ทั่วไป ทั้งที่เป็นเครือข่าย ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองระดับท้องถิ่น (องค์การบริหาร ส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล) เครือข่าย ความสัมพันธ์กับข้าราชการระดับสูงและหัวหน้าส่วนราชการ ภายในจังหวัดอุตรดิตถ์ และเครือข่ายความสัมพันธ์กับสมาคม ธุรกิจในจังหวัดอุตรดิตถ์ (สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคาร ฯลฯ) 4. บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ นักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งในจังหวัดอุตรดิตถ์ 5. รูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตั้งของ นักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งในจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเนื้อหาในหัวข้อลำดับที่ 2 – 5 จะนำเสนอเนื้อหา ผนวกในข้อมูลนักการเมืองถิ่นเป็นรายบุคคล ซึ่งจะนำเสนอ ออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 นำเสนอในบทที่ 3 โดยจะปรากฏ เนื้อหาเกี่ยวกับนักการเมืองที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 72

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 1 – 16 ยุคนี้นักวิจัยเรียกว่า ยุคการพัฒนาการเลือกตั้งของจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นระยะ เวลาเปลี่ยนผ่านการเมืองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มี กระบวนการเลือกตั้งเป็นกลไกให้ได้มาซึ่งบุคคลที่เป็นตัวแทน ในการปกครอง ในยุคนี้ถือว่าเป็นการเรียนรู้การจัดเลือกตั้ง ของนักการเมืองและประชาชนในจังหวัดอุตรดิตถ์ โดย พรรคการเมืองยังไม่มีบทบาทต่อนักการเมืองมากนักเมื่อ เปรียบเทียบกับช่วงที่ 2 ที่นักวิจัยเรียกว่า ยุคการจัดการ เลือกตั้งโดยพรรคการเมือง อันบ่งชี้ว่าพรรคการเมืองเริ่มเข้ามา มีบทบาทในการจัดการเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้น นักการเมืองจังหวัด อุตรดิตถ์จึงถือได้ว่าอยู่ภายใต้การบริหารการเลือกตั้งโดยพรรค ซึ่งเห็นได้เป็นรูปธรรมตั้งแต่การเลือกทั่วไป ครั้งที่ 17 - 25 โดยขอนำเสนอเนื้อหาตามลำดับดังต่อไปนี้ บริบททางการเมืองระดับจังหวัดอุตรดิตถ์ หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 จังหวัดอุตรดิตถ์มีพัฒนาการทางการเมืองมาโดยลำดับ ซึ่งระบบการเมืองของจังหวัดได้ผลิตนักการเมืองถิ่นจังหวัด อุตรดิตถ์ที่เข้าสู่การทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารโดย การเลือกตั้งทั่วไป ทั้งการเลือกตั้งทางตรงและทางอ้อม จำนวน 26 ครั้ง ตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2476 – 3 กรกฎาคม 2554 ซึ่งการเลือกตั้งแต่ละครั้งเป็นเวทีของการดำเนินกิจกรรม ทางการเมืองที่มีปฏิสัมพันธ์ร่วมทั้งในระดับจังหวัดและระดับ ประเทศ การเลือกตั้งทั่วไปที่ดำเนินมาในแต่ละครั้งนั้น จังหวัด อุตรดิตถ์ถูกแบ่งเขตเลือกตั้งโดยมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วง 73

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ เวลาตามลำดับ คือ พ.ศ. 2476 - 2539 จังหวัดอุตรดิตถ์มีเขต เลือกตั้งเดียว คือ ทั้งจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งที่ 1 ซึ่งใน พ.ศ. 2476 - 2495 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพียง 1 คน แต่ใน พ.ศ. 2500 - 2512 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 2 คน และ ใน พ.ศ. 2518 - 2539 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 คน แต่ยังคงมีเขตเลือกตั้งเดียว ส่วนใน พ.ศ. 2544 - 2549 จังหวัดอุตรดิตถ์แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 3 เขต ประกอบเขต เลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ อำเภอเมือง เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ อำเภอ ทองแสนขัน อำเภอท่าปลา อำเภอน้ำปาด อำเภอฟากท่า อำเภอบ้านโคก อำเภอพิชัย (ตำบลนาอินและตำบลนายาง) และเขตเลือกตั้งที่ 3 อำเภอลับแล อำเภอตรอน และอำเภอ พิชัย (ยกเว้นตำบลนาอิน และตำบลนายาง) ใน พ.ศ. 2550 จังหวัดอุตรดิตถ์การเลือกตั้งทั่วไปใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เพียง 1 เขต มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ 1 คน รวม จำนวน 3 คน และใน พ.ศ. 2554 ย้อนกับไปใช้การเลือกตั้งแบบ แบ่งเขตออกเป็น 3 เขต ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ อำเภอเมือง เขตเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ อำเภอทองแสนขัน อำเภอ ท่าปลา อำเภอน้ำปาด อำเภอฟากท่า อำเภอบ้านโคก และ เขตเลือกตั้งที่ 3 อำเภอลับแล อำเภอตรอน และอำเภอพิชัย โดยเขตเลือกตั้งมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม คือ เขตเลือกตั้งที่ 2 คือ อำเภอพิชัย ที่เดิมแบ่ง 2 ตำบลอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 2 โดย ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 อยู่เขตเลือกตั้งที่ 3 ทั้งหมด (สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอุตรดิตถ์, 2554, ถ่ายเอกสาร) 74

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยหลังจากประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2475 ประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้งสมาชิก ผู้แทนราษฎร 2 ประเภท ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม ครั้งแรกและครั้งเดียวของไทย ประกอบด้วย สมาชิกประเภท ที่ 1 มาจากผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้น โดยถือจำนวนราษฎร 200,000 คนต่อผู้แทน 1 คน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 78 คน สมาชิกประเภทที่ 2 มาจากผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงตั้งขึ้น จำนวนทั้งสิ้น 78 คน (ราชกิจจานุเบกษา, 2475, น. 554) รวมมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 156 คน สำหรับจังหวัด อุตรดิตถ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรก คือ นายฟัก ณ สงขลา ซึ่งเป็นอดีตทนายความจำเลยในคดีประทุษร้ายในหลวง รัชกาลที่ 8 (สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558, ออนไลน์) และอดีตที่ปรึกษาสำนกั งานทนายความธรรมรงั สีของ นายไขแสง สุกใส อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด นครพนม และเปน็ ทนายความใหน้ ายไขแสง ทถ่ี กู จบั กมุ ในขอ้ หา วา่ อย่เู บอื้ งหลังกลุ่มเรยี กรอ้ งรฐั ธรรมนญู ภายหลังการรฐั ประหาร ตนเองของจอมพล ถนอม กิตติขจรในเหตุการณ์เรียกร้อง รฐั ธรรมนญู ในวนั ท่ี 8 ตลุ าคม 2516 (14 tula.com, 2558, ออนไลน)์ นายฟัก ณ สงขลา จึงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 1 คน แรกของจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีบทบาทในฐานะทนายความและ สนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนระดับชาติ ก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง หลังจากนั้นมีการเลือกตั้งทั่วไปอีก 25 ครั้ง และรวม การเลือกตั้งครั้งที่ 1 ประเทศไทยมีการเลือกตั้งทั้งหมด 26 ครั้ง โดยจังหวัดอุตรดิตถ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามลำดับ ทั้งนี้ 75

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ การเลือกตั้งครั้งที่ 1 – 21, 25 จังหวัดอุตรดิตถ์มีจำนวน 1 เขต เลือกตั้ง และครั้งที่ 22 - 24, 26 มีจำนวน 3 เขตเลือกตั้ง โดยข้อมูลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 1 - 19 ดำเนินการรวบรวม จากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และ ครั้งที่ 20 – 26 ดำเนินการรวบรวมจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ครั้งที่ 1 (15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือ นายฟัก ณ สงขลา ครั้งที่ 2 (7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือ นายพึ่ง ศรีจันทร์ ครั้งที่ 3 (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือ นายพึ่ง ศรีจันทร์ ครง้ั ท่ี 4 (6 มกราคม พ.ศ. 2489) สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร คือ นายสุ่ม ตันติพลาผล ครง้ั ท่ี 5 (5 สงิ หาคม พ.ศ. 2489) สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร คือ นายพึ่ง ศรีจันทร์ สังกัดพรรคสหชีพ ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมตามบทเฉพาะกาลของ รัฐธรรมนญู ใหม่ ฉบับที่ 3 พุทธศักราช 2489 (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2558, ออนไลน์) ครง้ั ท่ี 6 (29 มกราคม พ.ศ. 2491) สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร คือ นายเทพ เกตุพันธ์ ครั้งที่ 7 (5 มิถุนายน พ.ศ. 2492) เป็นการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติมตามจำนวนพลเมืองตาม 76

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ บ ท เ ฉ พ า ะ ก า ล ข อ ง ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห ่ ง ร า ช อ า ณ า จ ั ก ร ไ ท ย พุทธศกั ราช 2492 เนื่องจากการเลอื กต้งั ในคร้งั น้ีเปน็ การเลอื กต้งั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม จึงมีการจัดการเลือกตั้ง เฉพาะใน 19 จังหวัด ในส่วนของหวัดอุตรดิตถ์ไม่มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม (ชาย ไชยชิต, 2558, ออนไลน์) ครั้งที่ 8 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือ นายชื้น อยู่ถาวร และเสียชีวิต จึงเลือกตั้ง ใหม่ นายเทพ เกตุพันธุ์ ได้รับการเลือกตั้งแทนนายชื้น อยู่ถาวร ครั้งที่ 9 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมีจำนวน 2 คน คือ นายเทพ เกตุพันธุ์ สังกัดพรรค เสรีมนังคศิลา และนายพึ่ง ศรีจันทร์ ไม่สังกัดพรรค ครั้งที่ 10 (15 ธันวาคม พ.ศ. 2500) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 2 คน คือ นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ ไม่สังกัดพรรค และ นายส่ง ศัลยพงษ์ ไม่สังกัดพรรค ครั้งที่ 11 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 2 คน คือ นายเสริม โลกเลื่อง สังกัด พรรคสหประชาไทย และเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ไม่สังกัดพรรค ครั้งที่ 12 (26 มกราคม พ.ศ. 2518) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายบรรลือ น้อยมณี สังกัด พรรคชาตินิยม เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ สังกัดพรรค ธรรมสังคม และนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา สังกัดพรรค สยามใหม่ 77

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ครง้ั ท่ี 13 (4 เมษายน พ.ศ. 2519) สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ สิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท สังกัดพรรค กิจสังคม เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ สังกัดพรรค ธรรมสังคม และนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา สังกัดพรรค สยามใหม่ ครั้งที่ 14 (22 เมษายน พ.ศ. 2522) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายบรรลือ น้อยมณี สังกัด พรรคชาติไทย เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ สังกัดพรรค ชาติประชาชน และนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา สังกัด พรรคสยามปฏิรูป ครั้งที่ 15 (18 เมษายน พ.ศ. 2526) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายบรรลือ น้อยมณี สังกัด พรรคชาติประชาธิปไตย นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ สังกัดพรรค สยามประชาธิปไตย และนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา สังกัด พรรคชาติไทย ครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ สังกัดพรรคกิจประชาคม นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ สังกัดพรรค ชาติไทย และนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา สังกัดพรรค สยามประชาธิปไตย ครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ สังกัดพรรคราษฎร เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ สังกัด พรรคปวงชนชาวไทย และนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ สังกัดพรรค 78

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ชาติไทย ครั้งที่ 18 (22 มีนาคม พ.ศ. 2535) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ สังกัด พรรคราษฎร นายสุรพล เลี้ยงบำรุง สังกัดพรรคราษฎร และ นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ สังกัดพรรคชาติไทย ครั้งที่ 19 (13 กันยายน พ.ศ. 2535) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ สังกัด พรรคราษฎร นายกนก ลิ้มตระกูล สังกัดพรรคชาติพัฒนา และนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ สังกัดพรรคชาติไทย ครั้งที่ 20 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ สังกัด พรรคประชากรไทย นายกนก ลิ้มตระกูล สังกัดพรรค ชาติพัฒนา และนายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร สังกัดพรรค ความหวังใหม่ ครั้งที่ 21 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นายกนก ลิ้มตระกูล สังกัดพรรคชาติพัฒนา และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย สังกัดพรรคประชากรไทย การเลือกตั้งตั้งแต่ครั้งที่ 22 – 24 และ 26 จังหวัด อุตรดิตถ์แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 3 เขต ดังข้อมูลที่เสนอ ข้างต้นในหน้า 40 ครง้ั ท่ี 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ 79

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ สังกัดพรรคไทยรักไทย เขตเลือกตั้งที่ 2 นายศรัณย์ ศรัณย์เกตุ สังกัดพรรคไทยรักไทย และเขตเลือกตั้งที่ 3 นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย สังกัดพรรคไทยรักไทย และเขต 2 มีการเลือกตั้งใหม่ เนื่องจาก นายศรัณย์ ศรัณย์เกตุถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) เนื่องจากมีผู้ฟ้องว่า กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ประกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา (ศาลปกครองสูงสุด, 2558, ออนไลน์) และ มีนายวารุจ ศิริวัฒน์ สังกัดพรรคชาติพัฒนา เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรแทน ครั้งที่ 23 (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 นางสาว กฤษณา สีหลักษณ์ เขตเลือกตั้งที่ 2 นายศรัณย์ ศรัณย์เกตุ และเขตเลือกตั้งที่ 3 นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย โดยสังกัดพรรค ไทยรักไทยทุกคน ครั้งที่ 24 (2 เมษายน พ.ศ. 2549) การเลือกตั้งครั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ โดยการ เลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 นี้พรรคการเมือง ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่ารัฐบาลเอาเปรียบยุบสภาแล้วรีบกำหนด วันเลือกตั้งแบบกระชั้นชิดเลย ดังนั้น จึงเกิดการประท้วง ไม่เข้าร่วมลงเลือกตั้ง พรรคฝ่ายค้านเดิม 3 พรรค คือ พรรค ประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ไม่ยอมเข้าร่วม ในการเลือกตั้ง ไม่ส่งผู้สมัครเข้ารับเลือกตั้งเลย แต่รัฐบาลก็ยัง เดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กรณีการดำเนินการของ 80

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ คณะกรรมการเลือกตั้งที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 มีปัญหา เกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญต่อมาศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ พิจารณาและวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 เป็นการเลือกตั้งที่มิชอบ จึงต้องมีการเลือกตั้งใหม่ (นรนิติ เศรษฐบุตร, 2558, ออนไลน์) สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 25 เป็นการเลือกตั้ง ครั้งแรกภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จังหวัดอุตรดิตถ์มีเขตเลือกตั้งเดียว และมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจำนวน 3 คน ครั้งที่ 25 (23 ธันวาคม พ.ศ. 2550) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย สังกัด พ ร ร ค พ ล ั ง ป ร ะ ช า ช น แ ล ะ เ ม ื ่ อ พ ร ร ค พ ล ั ง ป ร ะ ช า ช น ย ุ บ ย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย นายวารุจ ศิริวัฒน์ สังกัดพรรค พลังประชาชน และเมื่อพรรคพลังประชาชนยุบย้ายมาสังกัด พรรคกิจสังคม และนายกนก ลิ้มตระกูล สังกัดพรรค พลังประชาชนและเมื่อพรรคพลังประชาชนยุบย้ายมาสังกัด พรรคเพื่อไทย ครั้งที่ 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน คือ นายกนก ลิ้มตระกูล นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย โดย สังกัดพรรคเพื่อไทยทุกคน จากการผลการเลือกตั้งทั่วไปจำนวน 26 ครั้ง จังหวัด อุตรดิตถ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกจำนวนครั้ง 81

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ มากที่สุด คือ 5 วาระ ได้แก่ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์, นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นายกนก ลิ้มตระกูล และ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย และในการศึกษาครั้งนี้จะทำการศึกษาจำนวน 22 คน เนื่องจากมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้ง ซ้ำ โดยมีรายชื่อของนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ที่ได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้ราษฎรดังต่อไปนี้ 1. นายฟัก ณ สงขลา 2. นายพึ่ง ศรีจันทร์ 3. นายสุ่ม ตันติพลาผล 4. นายชื้น อยู่ถาวร  5. นายเทพ เกตุพันธ์ 6. นายสมพงษ์ หาญประเสริฐ 7. นายส่ง ศัลยพงษ์ 8. นายเสริม โลกเลื่อง 9. เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ 10. นายบรรลือ น้อยมณี 11. นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา 12. สิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท 13. นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ 14. นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ 15. นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ 16. นายสุรพล เลี้ยงบำรุง 17. นายกนก ลิ้มตระกูล 18. นายอนุชาติ บรรจงศุภมิตร 82

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 19. นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย 20. นางสาวกฤษณา สีหลักษณ์ 21. นายศรัณย์ ศรัณย์เกตุ 22. นายวารุจ ศิริวัฒน์ นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ น ายฟัก ณ สงขลา 1. ประวัตสิ ่วนตวั นายฟัก ณ สงขลา ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว สมรสกับ นางสะอาด ณ สงขลา มีบุตรสาว 3 คน คือ นางสาวจารุ ณ สงขลา พญ.กนก ณ สงขลา (บุญยะรัตเวช) และนางสาว สมทรัพย์ ณ สงขลา โดย พญ.กนก บุตรสาวซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูล หลักเกี่ยวกับนายฟัก ซึ่งได้ให้ข้อมูลว่าขณะที่บิดายังอยู่ใน วัยเด็กได้รับอุปการะจากหลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ (แสง ณ สงขลา) ซึ่งได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ (อุตรดิตถ์) หลวงอนุรักษ์ ภูเบศร์เห็นบิดาซึ่งขณะนั้นยังเป็นเด็กเล็ก จึงเกิดเอ็นดูและได้ ขอบิดาไปเป็นบุตรบุญธรรม และให้ใช้นามสกุล ณ สงขลา โดยบิดาเป็นคนอุตรดิตถ์ตั้งแต่กำเนิด ได้มีโอกาสศึกษาจน สำเร็จเป็นนิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และได้รับเนติบัณฑิต จากสำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติ บัณฑิตยสภา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วได้ประกอบอาชีพเป็น ทนายความด้วยวัยเพียง 20 กว่าปีเท่านั้น ซึ่งบิดาถือว่าเป็น ทนายความหนุ่มที่มีชื่อเสียง โดยคดีความใหญ่ในขณะนั้น คือ 83