Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์

นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์

Published by Meng Krub, 2021-06-04 02:02:04

Description: นักการเมืองถิ่นอุตรดิตถ์
เล่มที่ 61

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ มากนัก ส่วนใหญ่การหาเสียงไม่ได้ดำเนินอย่างเป็นระบบ มักเป็นการเดินทักทายหรือที่บุตรชายเรียกว่า “คุยเล่น” กับ ชาวบ้าน ซึ่งท่านทำอย่างต่อเนื่องไม่ใช่เฉพาะช่วงใกล้เลือกตั้ง เท่านั้น และในทุกๆ โอกาสตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าสู่การลงสมัครรับ เลือกตั้ง หรือแม้ไม่ใช่ช่วงเวลาเลือกตั้ง และขณะท่านไม่ได้รับ เลือกตั้งที่พักอำเภอลับแล จะมีชาวบ้านเข้ามาร้องเรียนปัญหา และขอให้ช่วยเหลือตลอด แม้ว่าเป็นเวลากลางคืนก็จะให้ คำปรึกษาและช่วยเหลือ โดยให้ลูกสะใภ้ทำอาหารให้ชาวบ้าน ที่มาพบทาน ดังนั้น การช่วงเวลาหาเสียงเลือกตั้งทั้งบุตรชาย และลูกสะใภ้กล่าวว่าแทบไม่ต้องแนะนำตัวเพราะชาวบ้านรู้จัก ในนาม “ปลัดบุญยง” และแม้ว่าท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ชาวบ้านก็ยังคงเรียก “ปลัดบุญยง” จนถึงปัจจุบันแม้ท่านเสีย ชีวิตไปแล้วก็คงเรียกอยู่ อยา่ งไรกต็ ามทา่ นกม็ เี ทคนคิ ในการหาเสยี งทน่ี า่ สนใจ กล่าวคือ การเช่าหนังโดยการเหมาจ่าย 1 ครั้ง ราคาประมาณ 5,000 บาท แล้วนำไปฉายทุกอำเภอ ซึ่งค่าหนังนี้เป็นงบส่วนตัว ที่ออกเอง พรรคไม่ได้สนับสนุนแต่อย่างใด แล้วกำหนดพื้นที ่ ที่เป็นศูนย์กลางของแต่ละอำเภอ โดยผู้ใหญ่บ้านและกำนัน จะเป็นผู้ที่ค่อยแจ้งพื้นที่และประชาสัมพันธ์โดยวิธีปากต่อปาก ให้เข้ามาชมหนังกลางแปลงและพบกับเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ โดยก่อนฉายภาพยนตร์ และระหว่างการฉายท่าน ก็จะหาเสียง วิธีการนี้ค่อนข้างจะดึงดูดให้ประชาชนเข้ามา พบท่าน เนื่องจากภาพยนตร์ที่นำมามีดาราที่มีชื่อเสียง เช่น มิตรชัย บัญชา และสมบัติ เมทะนี เป็นต้น ส่วนกลยุทธ์ในการ หาเสียงอื่นๆ ท่านไม่ได้ใช้ (นายบุญญวัฒน์ วัฒนพงศ์ และ 134

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นางกัญญารัตน์ วัฒนพงศ์, สัมภาษณ์, 18 พฤษภาคม 2558) แต่มีสิ่งหนึ่งที่บุตรชายท่านได้กล่าวว่า เป็นเหมือนคำพูดเฉพาะ ตัวท่านที่ทำให้ชาวบ้านชื่นชอบ คือ “หากไม่เลือกผม ก็ขอฝาก เชาวลิตด้วย” (นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ อดีตสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ 5 สมัย) ซึ่งเหมือนคำพูด ขอคะแนนเสียง ซึ่งเป็นลักษณะการพูดที่แฝงด้วยอารมณ์ขัน ของท่าน โดยสรุปแล้วในกระบวนการหาเสียงของเรืออากาศตรี บุญยง วัฒนพงศ์ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ 5 สมัย ไม่ได้ใช้วิธีการเชิงซ้อนใดๆ เป็นการแนะนำตัว และเทคนิคในการดึงความสนใจของประชาชนโดยการใช้ ภาพยนตร์เป็นสื่อกลาง และอาศัยฐานจากการดำรงตำแหน่ง ปลัดและผู้ตรวจราชการท้องถิ่นที่เป็นที่รู้จักของประชาชน ในวงกว้างที่นำมาสู่การได้รับความเคารพและไว้วางใจมาดำรง ตำแหน่งดังที่กล่าวมาทั้งหมด นายบรรลือ น้อยมณี 1. ประวัติสว่ นตัว นายบรรลือ น้อยมณี (เดิมชื่อ บันลือ) ปัจจุบัน เสียชีวิตแล้ว เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2455 ณ จังหวัด อุตรดิตถ์ เป็นบุตรของหมื่นมณีมโนปการ (ตาด น้อยมณี) อดตี นายอำเภอภายในจงั หวดั อตุ รดติ ถ์ และนางตะขาบ นอ้ ยมณ ี มีพี่น้องรวมจำนวน 6 คน ตามลำดับ คือ นางละเอียด กมลงาม นายบรรลือ น้อยมณี นายบันเลื่อง (ดำริ) น้อยมณี นายสำรวม น้อยมณี นางสำรี สมบูรณ์ยิ่ง และนางอรุณ ศิริวัฒน์ โดย นายบันเลื่อง (ดำริ) น้อยมณี ซึ่งเป็นน้องชายเคยดำรงตำแหน่ง 135

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ สำคัญทางการเมือง อาทิ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ในคณะ รัฐมนตรีสมัยที่ 41 โดยมีพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็น นายกรัฐมนตรี นายบรรลือสำเร็จ การศึกษาระดับอนุปริญญา สาขานิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมรสกับ นางวนดิ า เสรมิ มา มบี ตุ ร-ธดิ า จำนวน 5 คน คอื นายเกยี รตพิ นั ธ์ (หนู) น้อยมณี นายวีระศักดิ์ (โหนก) น้อยมณี นายจิตณรงค์ (เหนง่ ) นอ้ ยมณี นายพงษฤ์ ทธ์ิ (อดุ๊ ) นอ้ ยมณี และนางรชั นวี รรณ (แดง) น้อยมณี และเมื่อสมรสได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น คล้ำชื่น) ซึ่งในการศึกษาครั้งนี้นักวิจัยได้สัมภาษณ์ บุตรสาวคนที่ 5 คือ นางรัชนีวรรณ คล้ำชื่น ซึ่งสมรสกับนายปกรณ์ คล้ำชื่น ที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นเร่งรัดพัฒนาชนบท จังหวัดอุตรดิตถ์ นางรัชนีวรรณ เคยดำรงตำแหน่งเป็นประสภาวัฒนธรรมจังหวัด อุตรดิตถ์ และเคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งที่ 17 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 ในนามพรรคกิจสังคมแต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง สำหรับ ข้อมูลด้านการทำงานนายบรรลือนั้นได้ดำรงตำแหน่งต่างๆ (นางรัชนีวรรณ คล้ำชื่น, สัมภาษณ์, 1 กรกฎาคม 2558) ดังนี้ 1.1. ครูโรงเรียนบ้านแก่งใต้ อำเภอตรอน จังหวัด อุตรดิตถ์ พ.ศ. 2476 1.2. ปลัดอำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2476 1.3. ปลัดกิ่งอำเภอพรมพิราม, อำเภอบางกระทุ่ม, อำเภอชาติตระการ และตำแหน่งอักษรเลข จังหวัดพิษณุโลก (ไม่มีข้อมลู ปี) 136

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 1.4. นายอำเภอฮอด, อำเภอจอมทอง จังหวัด เชียงใหม่ (ไม่มีข้อมลู ปี) 1.5. นายอำเภอสงู เม่น จังหวัดแพร่ (ไม่มีข้อมูลปี) 1.6. นายอำเภอลบั แล จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ (ไมม่ ขี อ้ มลู ป)ี 1.7 นายอำเภอหาดเสี้ยว (อำเภอศรีสัชนาลัย ในปัจจุบัน) จังหวัดสุโขทัย (ไม่มีข้อมูลปี) ซึ่งเป็นตำแหน่ง สุดท้ายก่อนเข้าสู่การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยบุตรสาวของนายบรรลือได้กล่าวว่าในขณะที่ บิดาดำรงตำแหน่งนายอำเภอ ท่านได้รับฉายาว่าเป็น นายอำเภอนักพัฒนา และนายอำเภอกระดูกเหล็ก เนื่องจาก การที่ท่านมีผลงานด้านการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ที่เคยดำรงตำแหน่งเป็น ปลัดอำเภอ และนายอำเภอ จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นนายอำเภอ ที่มีผลงานด้านการปราบโจรในคดีลักทรัพย์ เช่น โคและกระบือ โดยใช้ “หลักโจรเลี้ยงโจร” และไม่ใช้วิธีการรุนแรงถึงแก่ชีวิต ในการปราบโจร ซึ่งหลักโจรเลี้ยงโจรหมายถึง ท่านติดตามโจร และสอบสวนคดีการลักทรัพย์ จนสามารถเกลี้ยกล่อมโจรให้ ยอมกลับใจมาช่วยเหลือราชการในการติดตามและให้ข้อมูลโจร คนหรือกลุ่มอื่นๆ จึงทำให้ติดตามคดีการลักทรัพย์ได้ง่ายและ ปราบปรามโจรได้อย่างรวดเร็วจนเป็นที่ยอมรับของประชาชน และได้รับการยกย่อง อย่างไรก็ตามในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็น นายอำเภอก็เคยได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงหลายครั้งในขณะ ปฏิบัติหน้าที่ แต่ก็สามารถรอดชีวิตมาได้จึงถูกเรียกว่า 137

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นายอำเภอกระดูกเหล็ก นายบรรลือ เป็นผู้ที่มีความจริงจัง ในการปฏิบัติตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นปลัดอำเภอ โดย ในบันทึกประวัติที่บุตรหลานได้รวบรวมไว้ยังบ้านพักของ หมน่ื มณมี โนปการ ณ อำเภอตรอน จงั หวดั อตุ รดติ ถท์ บ่ี ตุ รหลาน ได้ริเริ่มจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยได้ร่วมกันบันทึกเพื่อให้ผู้ที่ สนใจเข้ามาศึกษาค้นคว้า ซึ่งข้อมูลที่ได้จัดแสดงในบ้านแห่งนี้ ได้ระบุอุปนิสัยที่โดนเด่นของนายบรรลือว่า “พูดน้อย เสียงดุ ดังแต่ไม่หยาบคาย ทำจริง ใจนักเลง ไม่ยอมให้ใครถูกรังแก หนักแน่น ทรหดอดทน บุกป่าผ่าดง ปรายโจรผู้ร้ายแบบนำหน้า ลูกน้อง ค่ำไหนนอนนั้น เป็นคนที่ระวังตัวทุกฝีก้าว ช่างสังเกต เป็นที่รักของคนที่เดือดร้อน ละเป็นที่พึ่งสำหรับญาติพี่น้อง” (บุตรหลาน, ม.ป.ป., ถ่ายเอกสาร) จากคุณลักษณะดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่านายบรรลือ น้อยมณี เป็นผู้ที่มีคุณลักษณะผู้นำ ขณะเดียวกันเป็นผู้ที่มีโอนอ่อน และมีความรอบคอบ 2. ประวัตกิ ารดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง ด้านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองนายบรรลือ น้อยมณี เคยได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร 3 สมัย (นางรัชนีวรรณ คล้ำชื่น, สัมภาษณ์, 1 กรกฎาคม 2558) ดังนี้ 2.1 พ.ศ. 2518 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ เป็นผู้สมัครอิสระแต่ต่อมาได้เข้ามาสังกัดพรรคสังคม ชาตินิยม โดยมีนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค 2.2 พ.ศ.2522 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ สังกัดพรรคชาติไทย โดยมีพลเอกประมาณ อดิเรกสาร เป็นหัวหน้าพรรค 138

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 2.3 พ.ศ. 2526 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ สังกัดพรรคชาติประชาธิปไตย โดยมีพลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นหัวหน้าพรรค โดยในสมัยของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท ์ เป็นนายกรัฐมนตรี นายบรรลือ ได้รับโควต้าเป็นรัฐมนตรีใน คณะรัฐมนตรี คณะที่ 41 แต่นายนายบรรลือได้ขอโควตานี้ให้ น้องชาย คือ นายดำริ น้อยมณี ดำรงตำแหน่งแทน จึงทำให้ นายดำริได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทย ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2522 ซึ่งต่อมามีการปรับ คณะรัฐมนตรีในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2523 นายดำริ ได้รับ การแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนัก เลขาธิการคณะรัฐมนตรี, 2558, ออนไลน์) ซึ่งนายบรรลือ เห็นว่าน้องชายมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่า เนื่องจากเคยเป็น ขา้ ราชการประจำระดบั สงู กวา่ คอื ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั สมทุ รสาคร อธิบดีกรมแรงงาน และผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงย่อมมี ประสบการณ์ด้านการบริหารอันจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร ราชการแผ่นดินได้ดีกว่าตนเอง (นางรัชนีวรรณ คล้ำชื่น, สัมภาษณ์, 1 กรกฎาคม 2558) 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมอื ง การเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองของนายบรรลือ น้อยมณี นั้นถือได้ว่ามีฐานของการเป็นข้าราชการ คือ ปลดั อำเภอ และนายอำเภอ ตลอดจนมบี ดิ า คอื หมน่ื มณมี โนปการ (ตาด น้อยมณี)เป็นนายอำเภอจึงทำให้นามสกุล “น้อยมณี” 139

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นที่รู้จักของประชาชนจังหวัดอุตรดิตถ์ ตลอดจนได้รับการ สนับสนุนจากบุตรหลานที่พิจารณาแล้วเห็นว่าบิดามีคุณสมบัติ ที่เหมาะสม ซึ่งบุตรหลานก็ทำหน้าที่ช่วยเหลือนายบรรลือ ในการหาเสียงในพื้นที่อำเภอต่างๆ อีกทั้ง นายบรรลือเอง ต้องการพิสูจน์ตนเองในด้านของการเป็นตัวแทนของประชาชน จึงประสงค์ลงแข่งขันกับผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในคราวเดียวกัน ซึ่งการลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัครแรกนั้นไม่ได้สังกัดพรรคใด แต่ก็สามารถชนะการเลือกตั้ง ฉะนั้น พรรคการเมืองพิจารณา เห็นว่านายบรรลือสามารถเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองโดยเป็น เพียงผู้สมัครอิสระ แต่ยังเข้าสู่เวทีทางการเมืองระดับชาติได้ จึงได้ขอให้นายบรรลือเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคการเมือง คือ พรรคสังคมชาตินิยม ซึ่งก่อตั้งโดยนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค ในด้านเครือข่ายที่เป็นเครือญาติที่จะช่วย สนับสนุนการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองนั้นนางรัชนีวรรณ คล้ำชื่น ได้ให้ข้อมูลว่าเครือญาติของบิดาไม่มีบทบาทในการ ผลักดันให้บิดาเข้าสู่ตำแหน่งทางเมือง การประสบความสำเร็จ ในบทบาททางการเมืองนั้นล้วนมาจากฐานของการเป็น ข้าราชการประจำที่มีตำแหน่งสัมพันธ์กับประชาชนเป็น ส่วนใหญ่ ฉะนั้น ฐานในการสนับสนุนการเข้าสู่ตำแหน่ง ทางการเมืองจึงมีประชาชนผู้ให้การสนับสนุนเป็นฐานหลักและ พลังสนับสนุนที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนเส้นทางจาก ข้าราชการประจำสู่ข้าราชการการเมืองได้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งมีเหตุการณ์ที่นางรัชนีวรรณ ได้เล่าไว้ว่าบิดาเป็นผู้ที่เข้ามาสู่ ตำแหน่งโดยประชาชนอย่างแท้จริงคือ เวลาที่บิดาเข้าไป หาเสียงกับชาวบ้านจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี โดยการทำ 140

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ อาหารเลี้ยงบิดาโดยอาหารสำหรับต้อนรับแขก เช่น การฆ่าไก่ ของชาวบ้านแล้วนำมาประกอบอาหารเลี้ยงบิดา ซึ่งเป็น ลักษณะเช่นนี้ทุกหมู่บ้านที่บิดาได้เข้าไปหาเสียง และนางรัชนี วรรณได้เล่าเพิ่มเติมว่าตระกูลน้อยมณีมีความสัมพันธ์กับ ตระกูล “ศิริวัฒน์” ซึ่งเป็นตระกูลนักการเมืองที่สำคัญของ จังหวัดอุตรดิตถ์ คือ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ และนายวารุจ ศิริวัฒน ์ โดยลุงของนักการเมืองทั้งสอง คือ นายกี่ (ทวี) ศิริวัฒน์ ได้สมรสกับนางอรุณ น้อยมณี ซึ่งเป็นน้องสาวของ นายบรรลือ และนายดำริ น้อยมณี แต่อย่างไรก็ตามในส่วน ของตระกูล ศิริวัฒน์ ได้เข้าสู่ถนนทางการเมืองภายหลัง จึงเห็นว่าเครือญาติยังไม่มีบทบาทสนับสนุนในการเข้าสู่การเมือง นกั การเมอื งของนายบรรลือ (นางรัชนีวรรณ คล้ำชื่น, สัมภาษณ์, 1 กรกฎาคม 2558) 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลอื กต้ัง สำหรับรูปแบบการหาเสียงนั้นนายบรรลือ น้อยมณี ทำตารางหาเสียงโดยวางพื้นที่หาเสียงในอำเภอที่มีระยะทาง ไกลจากเขตอำเภอเมืองมากที่สุดก่อนแล้วค่อยหาเสียงในพื้นที่ ใกล้ ซึ่งทุกครั้งของการหาเสียงในการเลือกตั้งจะวางแผน เส้นทางโดยเริ่มจากอำเภอบ้านโคกซึ่งมีระยะทางห่างจาก อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์มากที่สุดประมาณ 162 กิโลเมตร และอำเภอน้ำปาด ฟากท่า และท่าปลา ตามลำดับ ต่อจากนั้น จะหาเสียงในเขตอำเภอพิชัย ทองแสนขัน ตรอน ลับแล และ อำเภอเมืองเป็นอำเภอสุดท้าย ซึ่งในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ทุกครั้งจักดำเนินการหาเสียงตามอำเภอต่างๆ ดังที่ระบุข้างต้น 141

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยนางรัชนีวรรณได้กล่าวว่าบิดาจะเดินทางไปพบชาวบ้าน ทุกเดือนจนกว่าจะก่อนถึงวันเลือกตั้ง โดยท่านจะเดินทาง พร้อมกับบุตรชาย และบุตรสาว คือ นางรัชนีวรรณ ซึ่งบุตรชาย จะเป็นผู้ขับรถให้หรือบางครั้งท่านก็จะขับเอง โดยอาจออกไป หาเสียงในช่วงเช้าแล้วกลับช่วงเย็น หรือบางครั้งไปช่วงบ่ายแล้ว นอนยังหมู่บ้านปลายทางยังบ้านผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน แต่ถือว่ามีการพักค้างคืนค่อนข้างน้อย โดยการหาเสียงทุกครั้ง ท่านจะนำใบปลิวแนะนำตัวที่จัดทำโดยสุรชัยการพิมพ์ ซึ่งเป็น โรงพิมพ์ที่รับจัดทำใบปลิวให้ทุกครั้งที่หาเสียง ดังนั้น รูปแบบ การหาเสียงของนายบรรลือจึงเน้นการเดินสายหาเสียงไปยัง ครัวเรือนและชุมชนที่อยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งนางรัชนีวรรณ เห็นว่าการที่นายบรรลือได้รับความไว้วางให้เป็นผู้แทนก็เพราะ ความใกล้ชิดหรือการเข้าถึงประชาชนเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่ช่วยให้บิดาได้รับความไว้ใจจากประชาชน หรือเรียกได้ว่า “ใช้ใจซื้อใจ” โดยสังเกตได้จากคำพูดของประชาชนที่พูดกับ บิดาว่า “นายอำเภอไม่ถือตัว” ซึ่งเป็นจุดแข็งของท่านที่ ชาวบ้านสามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น ในการหาเสียงนายบรรลือ จะเข้าไปทอผ้ากับชาวบ้านอำเภอบ้านโลกที่กำลังทอผ้าใต้ถุน บ้าน แต่รูปแบบที่นายบรรลือไม่นิยมใช้ คือ การเข้าไปร่วม ในงานบุญ หรืองานศพ ทั้งนี้เพราะเห็นว่าไม่สามารถเข้าถึง วิถีชีวิตของชาวบ้านได้อย่างแท้จริง การเข้าไปแต่ละครัวเรือน เปรียบเสมือนกับร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวัน ของชาวบ้านได้มากกว่า (นางรัชนีวรรณ คล้ำชื่น, สัมภาษณ์, 1 กรกฎาคม 2558) 142

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา 1. ประวัตสิ ว่ นตัว นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา ปัจจุบันเสียชีวิต แล้ว เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2480 เป็นบุตรของหม่อมหลวง ประวัติ มาลากุล และนางบุญมา มาลากุล ณ อยุธยา สำเร็จ การศกึ ษานติ ศิ าสตรบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ สมรสกบั นางสันทนา มาลากุล ณ อยุธยา นามสกุลเดิม ลิมปิสวัสดิ์ ซึ่งเป็นบุตรของนายเทียม ลิมปิสวัสดิ์ และนางสะอิ้ง ณ ระนอง นางสะอิ้งเป็นบุตรของ หลวงสโมสรราชกิจ เจ้าเมืองชุมพร และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัดชุมพร นายเปรมมบี ตุ ร 5 คน คอื นางสาวปทั นารงั สี มาลากลุ ณ อยธุ ยา รบั ราชการเปน็ อาจารย์ ทพญ.ปฏมิ ารงั สรรค์ มาลากลุ ณ อยธุ ยา ทันตแพทย์คลินิกท่าเรือการแพทย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายปรม มาลากุล ณ อยุธยา และนายปิญช์ มาลากุล ณ อยุธยา เป็นนักธุรกิจ และทั้งสอง เคยเป็นอดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชากรไทย และนางสาวนรจันทร ์ มาลากุล ณ อยุธยา พนักงานฝ่ายการต่างประเทศ โรงพยาบาลพญาไท 2 โดยก่อน ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นนายเปรม ประกอบอาชีพเป็นทนายความ (ทพญ.ปฏิมารังสรรค์ มาลากุล ณ อยุธยา, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) 2. ประวัตกิ ารดำรงตำแหนง่ ทางการเมือง ในด้านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองนายเปรม มาลากลุ ณ อยธุ ยา นน้ั เคยดำรงตำแหนง่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 143

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ 5 สมัย ติดต่อกันเป็นคนแรกของจังหวัดอุตรดิตถ์ ตั้งแต่ การเลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่ครั้งที่ 12 – 16 ซึ่งก่อนหน้านี้มีเรือตรี บุญยง วัฒนพงศ์ ที่ได้รับการเลือกตั้ง 5 สมัยเช่นกันแต่ไม่ ต่อเนื่องเช่นเดียวกับนายเปรม คือ ได้รับเลือกตั้ง ครั้งที่ 11 - 14 และได้รับเลือกตั้งอีกครั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 17 ต่อมามีอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งติดต่อกัน 5 สมัยเช่นเดียวกับนายเปรม คือ นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ (การเลือกตั้งครั้งที่ 15 - 19) และนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ (การเลือกตั้งครั้งที่ 17 - 21) การเป็นนักการเมืองต่อเนื่องถึง 5 สมัย จึงทำให้นายเปรมมีบทบาทและผลงานจำนวนมาก โดยสามารถสรุปตำแหน่งทางการเมือง (ทพญ.ปฏิมารังสรรค์ มาลากุล ณ อยุธยา, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) 2.1 พ.ศ. 2518 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคสยามใหม่ 2.2. พ.ศ. 2519 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคสยามใหม่ 2.3. พ.ศ. 2522 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคสยามปฏิรูป 2.4 พ.ศ. 2526 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคชาติไทย 2.5 พ.ศ. 2529 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคสยามประชาธิปไตย 144

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยการลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งสุดท้ายในนาม พรรคสยามประชาธิปไตยนี้ นายเปรมถือว่ามีบทบาทเป็น กรรมการบริหารพรรคด้วย ซึ่งพรรคสยามประชาธิปไตยได้จด ทะเบียนจัดตั้งตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 โดยได้ยื่นจดทะเบียนต่อปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะ นายทะเบียนพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2526 หัวหน้าพรรค คือ พันเอก พล เริงประเสริฐวิทย์ เลขาธิการ พรรคการเมือง คือ ดร.มั่น พัธโนทัย โดยนายเปรมเป็นหนึ่งใน คณะกรรมการบริหารพรรคสยามประชาธิปไตย (ราชกิจจา นุเบกษา, 2526, น. 5) และก้าวขึ้นมาเป็นรองเลขาธิการพรรค ในคราวที่มีการจัดประชุมใหญ่สมัยสามัญประจำปี โดย ที่ประชุมใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรค ชุดใหม่ โดยมีนายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ เป็นหัวหน้าพรรคสยาม ประชาธิปไตย นายตามใจ ขำภโต เป็นเลขาธิการพรรค และ นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา เป็นรองเลขาธิการพรรคคนที่ 2 (ราชกิจจานุเบกษา, 2529, น. 6) นอกจากนี้ยังมีบทบาทใน คณะกรรมาธิการสามัญและวิสามัญหลายชุดในขณะที่ดำรง ตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อาทิ คณะกรรมาธิการ การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน แต่งตั้งเมื่อวันที่ 5 ตลุ าคม 2524 (ราชกจิ จานเุ บกษา, 2524, น. 3560) คณะกรรมาธกิ าร วิสามัญ อาทิ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราช บัญญัติป่าไม้ (ฉบับ..) พ.ศ. …. ซึ่งนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา ได้เป็นผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวนี้พร้อม กับนายไพฑูรย์ โมกขมรรคกุล ได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2524 เป็นต้น 145

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมือง สำหรับเครือข่ายสนับสนุนทางการเมืองนั้นข้อมูล จากการสัมภาษณ์บุตรสาว คือ ทพญ.ปฏิมารังสรรค์ มาลากุล ณ อยุธยา ทำให้ทราบว่านายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา นั้นได้ รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นหลักจากการที่ประกอบ อาชีพเป็นทนายความ จึงทำให้มีความใกล้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่เดือดร้อนในคดีความต่างๆ ที่บิดาให้คำปรึกษา และช่วยเหลือ และเนื่องด้วยบิดาเป็นทนายความที่มีความรู้ ด้านกฎหมายจึงถือว่าเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ การลงสมัคร รับเลือกตั้งในครั้งแรกจึงเชื่อว่าบิดาอาศัยเครือข่ายประชาชน กลุ่มที่เคยได้รู้จักและให้ความช่วยเหลือเป็นฐานสนับสนุนให้ สามารถได้รับการเลือกตั้ง และคิดเห็นว่าเครือญาติในฝั่งของ บิดาและมารดาไม่มีส่วนช่วยให้บิดาได้รับการเลือกตั้ง แต่เชื่อว่า การที่บิดาเป็นนักกฎหมายที่มีหลักการในการพูด และช่วย อนุเคราะห์ลูกความที่มีฐานะยากจนจึงทำให้ได้รับการยอมรับ (ทพญ.ปฏิมารังสรรค์ มาลากุล ณ อยุธยา, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) ซึ่งการเข้าสู่การเป็นนักการเมืองระดับชาติ ในสมัยแรกของนายเปรมนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของจังหวัด อุตรดิตถ์ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 3 คน ในการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า (การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 1 - 8 จังหวัดอุตรดิตถ์มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจำนวน 1 คน ครั้งที่ 9 – 11 มีจำนวน 2 คน) โดย การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ เข้ามา 2 คน คือ นายบรรลือ น้อยมณี และนายเปรม มาลากุล 146

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ณ อยุธยา โดยมีเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ เข้ามาเป็น ผู้แทนต่อเนื่องเป็นสมัยที่ 2 ซึ่งทั้งนายบรรลือ น้อยมณี และ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ถือว่ามีความได้เปรียบในเชิง พื้นที่ คือ ทั้ง 2 เป็นอดีตข้าราชการประจำที่มีฐานประชาชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และข้าราชการประจำเป็นฐานคะแนน โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอต่างๆ ที่เคยดำรงตำแหน่ง ในส่วนของ พรรคการเมืองจะเห็นนายเปรมเป็นผู้ที่มีบทบาทในพรรค โดยเฉพาะในการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายที่สังกัดพรรคสยาม- ประชาธิปไตย ซึ่งพัฒนามาจากพรรคสยามใหม่และพรรค สยามปฏิรูป ทั้งนี้นายเปรมได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและ รองเลขาธิการพรรค จึงย่อมใช้กลไกลของพรรคในการส่งเสริม และสนับสนุนตนเพื่อผลักดันให้ได้รับการเลือกตั้งเป็นลำดับ สำคัญของพรรค อีกทั้งจากการที่นายเปรมดำรงตำแหน่งผู้แทน มาจำนวนหลายสมัยมาก่อนหน้านั้นจึงย่อมมีเครือข่าย นักการเมืองระดับชาติ และระดับท้องถิ่นภายในจังหวัด อุตรดิตถ์ที่เคยร่วมงานและได้รับความช่วยเหลือจากนายเปรม เข้ามาเป็นเครือข่ายที่ขยายเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งในสมัยที่ 1 ที่มีเครือข่ายประชาชนที่เคยได้รับความช่วยเหลือทางด้าน กฎหมายจากนายเปรมเป็นหลัก โดยจากคำสัมภาษณ์ของ ทพญ.ปฏิมารังสรรค์ มาลากุล ณ อยุธยา บุตรสาวที่กล่าวถึง นายเปรมในฐานะผู้แทน ซึ่งได้กล่าวว่า “ตั้งแต่เด็กหมอจำภาพ คุณพ่อที่ทำงานหนัก ช่วยชาวบ้านอย่างจริงจังมาก ทุกข์ร้อน ชาวบ้านคือทุกข์ของท่าน คนมักจะบอกว่าเล่นการเมืองเป็น สส. น่าจะรวย แต่ตรงกันข้ามกับคุณพ่อ ท่านเป็น สส.ที่จนลง เชื่อไหมว่าตอนที่ท่านเป็น สส. เคยขอคุณแม่เอาทรัพย์สิน 147

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ในบ้านไปขายเพื่อช่วยชาวบ้าน แต่สิ่งที่ท่านทำท่านไม่ได้หวัง ผลตอบแทนจริงๆ ท่านจึงเป็นที่รักของคนอุตรดิตถ์ …” (หนังสือพิมพ์แนวหน้า, ออนไลน์, 2557) จากคำกล่าวนี้ อาจชี้ให้เห็นว่าการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่าง ต่อเนื่องหลายสมัยจึงทำให้นายเปรมสามารถทำหน้าที่ให้ความ ช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มได้เพิ่มขึ้นและมีระยะเวลาติดต่อกัน หลายปี จึงย่อมมีเครือข่ายผู้สนับสนุนที่หลากกลุ่มผู้สนับสนุน มากยิ่งขึ้นตาม 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสยี งเลือกตงั้ สำหรับรูปแบบการหาเสียงนั้นพิจารณาได้ว่า นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา ใช้วิธีการเดินทางไปพบปะ พูดคุยกับประชาชนโดยตรง และการปราศรัยตามสถานที่ต่างๆ เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้น (ทพญ.ปฏิมา รังสรรค์ มาลากุล ณ อยุธยา, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) ซึ่งข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ อาทิ บุตร ภรรยา และหลานของ อดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และอดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ที่นักวิจัยได้สัมภาษณ์ให้ข้อมูลตรงกันว่า นายเปรมเป็นผ้สู มัครคนแรกของจังหวัดอุตรดิตถ์ที่มีการหาเสียง ผา่ นตวั แทน หรอื ผแู้ ทน (Agent) โดยไดเ้ ขยี นชอ่ื และเบอรป์ ระจำตวั ผู้สมัครของตนลงในวัสดุหรือสิ่งของต่างๆ ให้กับตัวแทนของตน ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำไปมอบให้กับประชาชนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งตัวแทนก็จะทำหน้าที่เชิญชวนประชาชนให้เลือกตั้ง จึงทำให้ การหาเสียงนั้นมีความใกล้ชิดกับประชาชนโดยตรง 148

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ สิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท 1. ประวัติสว่ นตวั สิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2479 ณ จังหวัดสุรินทร์ เป็นบุตร ของนายสมุทร มุกดาสนิท และนางพงษ์ล้วน อักษรศรี อดีต ข้าราชการครู สิบเอกสนิทพงษ์สำเร็จการศึกษาโรงเรียนนายสิบ ทหารจังหวัดลพบุรี และรับราชการสังกัดกองพันทหารม้าที่ 7 จังหวัดทหารบกอุตรดิตถ์ สมรสกับนางสุวรรณา มุกดาสนิท ซึ่งมีอาชีพรับราชการครูโรงเรียนประถมลับแล (ปัจจุบันโรงเรียน ลบั แลพทิ ยาคม) และศกึ ษานเิ ทศก์ สำนกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษา ประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ปัจจุบันข้าราชการบำนาญ มีบุตร-ธิดา จำนวน 3 คน คือ นางสลักจิตร ลอป ปัจจุบันอาศัย อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา สิบโทชัยรัตน์ มุกดาสนิท รับราชการ และนายวรรณพงษ์ มุกดาสนิท นอกจากรับราชการแล้ว สิบเอกสนิทพงษ์ ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุที่สถานี วปถ. 14 ซึ่งเป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงของกองทัพภาคที่ 3 อุตรดิตถ์ด้วย จึงถือได้ว่าเป็นผู้ที่ประชาชนรู้จักและติดตาม รายการวิทยุทั่วทั้งจังหวัด และเนื่องจากเป็นผู้ดำเนินรายการ วิทยุจึงมีทักษะในการพูดสื่อสารที่ดี และได้ใช้ทักษะนี้เป็นโฆษก ให้กับงานประจำปีของวัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอุตรดิตถ ์ ขณะที่รับราชการทหารอยู่ เช่น วัดพระแท่นศิลาอาส์น วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง และวัดท่าถนน เป็นต้น ซึ่งการทำหน้าที่ โฆษกโดยไมค่ ดิ คา่ ตอบแทนใดๆ ใหก้ บั งานวดั นเ้ี องเปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ที่ทำให้ประชาชนเห็นถึงความสามารถของสิบเอกสนิทพงษ์ 149

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ และเป็นที่รู้จักและยอมรับในตัวเนื่องจากทำกิจกรรมเพื่อศาสนา โดยมิได้รับค่าจ้างใด (นางสุวรรณา มุกดาสนิท, สัมภาษณ์, 27 พฤศจิกายน 2558) 2. ประวตั ิการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองสิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท เคยดำรงตำแหน่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น คือ เป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลศรีพนมมาศ และเคยลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 สมัย แต่ได้รับ การเลือกตั้งสมัยเดียว คือ การเลือกตั้งครั้งที่ 13 (4 เมษายน พ.ศ. 2519) ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดอุตรดิตถ์มีเพียง เขตเลือกตั้งเดียว และมีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 4 คน คือ นายบรรลือ น้อยมณี เป็นผู้สมัครอิสระแต่ต่อมาได้เข้ามาสังกัด พรรคสังคมชาตินิยม เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ สังกัด ธรรมสังคม และนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา สังกัดพรรค สยามใหม่ และสิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท สังกัดพรรค กิจสังคม โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้จังหวัดอุตรดิตถ์มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร มีจำนวน 3 คน ซึ่งมีนายบรรลือ น้อยมณี ที่ไม่ได้ รับการเลือกตั้ง โดยสิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท ได้รับ การเลือกตั้งแทน จึงถือว่าเป็นนักการเมืองหน้าใหม่ที่ไม่ได้ คาดหวังว่าประชาชาจะให้ความไว้วางใจเลือกตั้งเข้ามาเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากยังไม่เคยได้รับการเลือกตั้ง มาก่อน ซึ่งผู้สมัครทั้ง 4 คนข้างต้นนั้นเคยได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาก่อนจากการเลือกตั้งครั้งที่ 12 มาก่อน (วรรณพงษ์ มุกดาสนิท, สัมภาษณ์, 27 พฤศจิกายน 150

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 2558) แต่ สิบเอกสนิทพงษ์ ทำหน้าที่ได้เพียง 6 เดือนก็เกิด รัฐประหารพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า ซึ่งผลจาก การเลือกตั้งในครั้งนั้นพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการเลือกตั้ง มากที่สุดถึง 114 ที่นั่ง (ชาย ไชยชิต, 2558, ออนไลน์) ได้เป็น แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยรวมตัวกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น โดยมีหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวมีเหตุการณ์ทาง การเมือง โดยเฉพาะการกลับเข้าเมืองไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งถูกขับไล่จากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หรือ วันมหาวิปโยค การกลับเข้ามานั้นนำไปการสู่การชุมชนต่อต้าน ของกลุ่มต่างๆ และมีการใช้กำลังตำรวจเข้าระงับและกวาดล้าง การชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต เหตุการณ์นี้ยุติลงโดยการ ยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาลหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช ในวนั ท่ี 6 ตลุ าคม พ.ศ. 2519 โดยคณะปฏริ ปู การปกครองแผน่ ดนิ ซึ่งมีพลเรือเอก สงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้า และมีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็น นายกรัฐมนตรี เหตุการณ์รัฐประหารนี้จึงทำให้พรรคการเมือง และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหมดสภาพไป ฉะนั้น เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จึงเป็นการยุติบทบาททางการเมืองของสิบเอก สนิทพงษ์ มุกดาสนิท 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมือง สิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท ในฐานะที่เคยดำรง ตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่นจึงถือได้ว่ามีเครือข่าย 151

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ประชาชนและผู้นำท้องถิ่นสนับสนุนระดับหนึ่ง แต่การเข้าสู่ ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งสมัยแรกนั้น เป็นผลจากการที่เป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุที่สถานี วปถ. 14 ซึ่งเป็นคลื่นที่มีประชาชนนิยมรับฟัง และบทบาทในฐานะ โฆษกงานวัดที่มีประชาชนกล่าวถึง จึงทำให้นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ชักชวนให้เข้าสู่เวทีการเมืองในนามพรรคกิจสังคมซึ่งมี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้าพรรค และจากฐาน ที่เป็นครูฝึกทหารกองประจำการจึงมีฐานของทหารและ ครอบครัวทหารที่รักและเคารพเป็นฐานสำคัญในการสนับสนุน ซึ่งทหารกองประจำการและลูกน้องใต้บังคับบัญชาของสิบเอก สนทิ พงษ ์ จำนวนมากทภ่ี รรยาเคยไดม้ โี อกาสพบปะ ไดก้ ลา่ วถงึ สิบเอกสนิทพงษ์ว่าเป็นครูฝึกที่เอาใจใส่ทหารกองประจำการ เป็นอย่างดี ทำให้ทหารและผู้ปกครองจำนวนมากรักใคร่ ตลอดจนภรรยาที่รับราชการครูประจำอำเภอลับแล จังหวัด อุตรดิตถ์ จึงมีผู้ปกครองของนักเรียน และผู้นำชุมชน เช่น ผู้ใหญ่บ้าน และกำนันให้ความนับถือ ซึ่งเป็นอีกฐานคะแนน เสียงฐานหนึ่งอันส่งผลให้สิบเอกสนิทพงษ์ ได้รับชัยชนะใน การเลือกตั้งครั้งแรก (นางสุวรรณา มุกดาสนิท, สัมภาษณ์, 27 พฤศจิกายน 2558) นอกจากนี้บุตรชายของสิบเอกสนิทพงษ์ ได้กล่าวว่าจากการที่บิดาเคยดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภา เทศบาลตำบลศรีพนมมาศ จึงช่วยให้มีเครือข่ายประชาชนและ ผู้นำชุมชนให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถบ่งชี้ได้ อย่างชัดเจน แต่ถือได้ว่าเป็นที่รู้จักในกลุ่มของประชาชนและ ผู้นำชุมชนระดับหนึ่ง และในทัศนะของภรรยาเห็นว่าเครือข่าย ที่สำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนสามีของตนเอง คือ 152

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มสื่อสารมวลชน ซึ่งการทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการวิทยุ ทำให้มีเครือข่ายสื่อสารมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และ วิทยุที่ความช่วยเหลือในการหาเสียงทั้งทางตรงและทางอ้อม ประกอบกับคณะครูที่เป็นเพื่อนร่วมงานของตนเองก็ถือได้ว่า มีส่วนสนับสนุนในการหาเสียงเช่นเดียวกัน ในด้านของ พรรคการเมืองนั้นทั้งภรรยากล่าวว่าไม่ค่อยทราบข้อมูล การสนับสนุนจากพรรคการเมือง แต่ถือว่ามีบทบาทให้การ สนับสนุนค่อนข้างน้อย เนื่องจากสามีและตนเองได้ใช้เงิน สำหรับการหาเสียงหาเงินเดือนข้าราชการทั้งสองคนในการ หาเสียง แต่การหาเสียงในสมัยก่อนสิบเอกสนิทพงษ์ก็ไม่ได้ใช้ มาก ซึ่งสามีเน้นการประชาสัมพันธ์โดยใช้รถหาเสียงเป็นหลัก โดยสรุปแล้วเครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองของสิบเอก สนิทพงษ์ เป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับตนเองและภรรยาเป็นหลัก ตลอดจนประชาชนที่ผู้ติดตามรายการผ่านสถานีวิทยุที่สิบเอก สนิทพงษ์เป็นผู้ดำเนินรายการ จึงทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างของ จังหวัดอุตรดิตถ์ 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสียงเลอื กตั้ง ในส่วนของรูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตั้ง ของสิบเอกสนิทพงษ์ มุกดาสนิท ดังที่กล่าวข้างต้นว่าด้วย การมีทักษะในการสื่อสารของสิบเอกสนิทพงษ์ที่เป็นทั้งผู้ดำเนิน รายการวิทยุและครูฝึกทหารกองประจำการ จึงนำมาใช้รูปแบบ การหาเสียงด้วยการสื่อสารผ่านการใช้พาหนะในการตระเวนหา เสียงเป็นหลัก โดยบุตรชายเล่าว่า “คุณพ่อขับรถมาสด้า 1300 แล้วเปิดเพลงของคาราบาว เพลงที่ท่านเปิดบ่อยคือเพลง Made 153

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ in Thailand จนผมร้องเพลงนี้ได้จนจบเพลง ซึ่งตอนนั้นยังเล็กๆ อยู่ แต่คุณพ่อพาผมนั่งในรถตลอดเวลาไปหาเสียงที่พิชัยและ ตรอน” (วรรณพงษ์ มุกดาสนิท, สัมภาษณ์, 27 พฤศจิกายน 2558) ซึ่งภรรยาของสิบเอกสนิทพงษ์ กล่าวว่าขณะนั้น ประชาชนมีฐานะยากจนมากและเพลงดังกล่าวเป็นการสะท้อน สังคมที่สามีรณรงค์หาเสียงให้กินของไทยใช้ของไทย และเน้น แก้ไขปัญหาความยากจนแก่ประชาชน ซึ่งสามีจะเปิดเพลงให้ ประชาชนฟังแล้วพูดแทรกเนื้อหาของเพลงตลอดระยะเวลา หาเสียง และเน้นการพูดแบบตรงประเด็น ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน และสามารถชี้ปมประเด็นปัญหาความยากจนได้ชัดเจน เช่นเดียวกัน ซึ่งการพูดหาเสียงลักษณะเช่นนี้ภรรยาเชื่อว่าทำให้ ประชาชนมั่นใจในตัวของสามีหากเลือกเข้าไปทำหน้าที่เป็น ผู้แทนของประชาชน นอกจากนี้สิบเอกสนิทพงษ์ ยังใช้รูปแบบ การแจกเอกสารแผ่นปลิวแนะนำตัว การปราศรัยบนเวที และ การพบปะเยี่ยมเยียนตามบ้านและชุมชนด้วย อีกทั้งภรรยา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสามีได้นำภาพยนตร์ไปฉายยังวัดต่างๆ และ มีการแนะนำตนเองในช่วงพักการฉายภาพยนตร์ (นางสุวรรณา มุกดาสนิท, สัมภาษณ์, 27 พฤศจิกายน 2558) จากรูปแบบ การเสยี งดงั กลา่ วเหน็ ไดว้ า่ สบิ เอกสนทิ พงษ ์ มกุ ดาสนทิ ใชร้ ปู แบบ ที่ไม่แตกต่างจากนักการเมืองอื่นๆ แต่ที่มีความโดดเด่น คือ การมีฐานของการเป็นผู้ดำเนินรายงานวิทยุ จึงเน้นการหาเสียง โดยการสื่อสารข้อมูลทางตรงไปยังประชาชนในรูปแบบของ การพดู สื่อสารด้วยตนเองเป็นหลัก 154

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นายเชาวลิต สุขสวัสด์ิ 1. ประวัตสิ ่วนตัว นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2490 ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นบุตรของนายสังวาล นางตุ่ย สุขสวัสดิ์ อาชีพเกษตรกร สมรสกับนางลัดดา สุขสวัสดิ์ ซึ่งนางลัดดามีบิดารับราชการคร ู มีบุตรจำนวน 3 คือ คือ นายชัยยุทธ สุขสวัสดิ์ นายวุฒิชัย สุขสวัสดิ์ และนางสาว ชลิตดา สุขสวัสดิ์ ซึ่งทั้งหมดปัจจุบันเป็นนักธุรกิจที่ทำกิจการ ท่าทรายต่อจากนายเชาวลิต ด้านการศึกษานายเชาวลิตสำเร็จ การศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายจากการศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยก่อนเข้าสู่การเป็นนักการเมืองนั้น ได้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง และกิจการท่าทราย ซึ่งการรับเหมาก่อสร้างทำให้ได้เดินทางทั่วทั้ง 9 อำเภอของ จังหวัดอุตรดิตถ์ จึงทำให้ได้รู้จักผู้นำของแต่ละพื้นที่ที่ได้รับงาน สร้างก่อสร้าง ซึ่งมีทั้งสถานที่ราชการและของเอกชน ด้วยเป็น คนที่มีบุคลิกภาพที่จริงจังในการทำงาน จึงทำให้ได้รับความ เชื่อถือ และการที่รู้จักผู้คนจำนวนมากทั้งประชาชนทั่วไป ตลอดจนผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนักธุรกิจ จึงนำมาสู่การสนใจ ที่จะทำงานด้านการเมือง (นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์, สัมภาษณ์, 7 ธันวาคม 2558) 2. ประวตั ิการดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง ด้านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น คือ เป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ และได้รับ 155

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ เลือกให้เป็นรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วย จากนั้นได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน 6 สมัย แต่ได้รับเลือกตั้งจำนวน 5 สมัย โดยไม่ได้รับเลือกตั้งในครั้ง สุดท้ายที่ลงสมัคร คือ ครั้งที่ 20 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) สำหรับการเลือกตั้งที่ได้รับเลือกตั้ง คือ ตั้งแต่การเลือกตั้ง ครั้งที่ 15 (18 เมษายน พ.ศ. 2526) ครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) ครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) ครั้งที่ 18 (22 มีนาคม พ.ศ. 2535) ครั้งที่ 19 (13 กันยายน พ.ศ. 2535) ถือว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งสูงสุด 5 สมัย เช่นเดียวกับเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ นายกนก ลิ้มตระกูล และนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย การเข้าสู่เวทีการเมืองระดับชาต ิ ในสมัยที่ 1 นั้นนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ กล่าวว่าได้รบั การชักชวน โดยนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา ที่ในขณะนั้นเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรมาแล้วถึง 3 สมัย ซึ่งญาติสนิทของนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา ได้แจ้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับนายเชาวลิตว่าเป็น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ได้รับคะแนนเลือกตั้ง สูงที่สุดในจังหวัดและในเขตจังหวัดภาคเหนือ และสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดคนอื่นๆให้ความเคารพ หากลงสมัคร เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรน่าจะได้รับการเลือกตั้ง จากนั้น นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา จึงเชิญให้ตนเองเข้าพบ และ นำตนเองไปพบกับเรืออากาศตรี บุญยง วัฒนพงศ์ ซึ่งขณะนั้น เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้วถึง 4 สมัย เขาจึงได้รับ การสนับสนุนทางการเมืองจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 2 คน ในการเลือกตั้งครั้งแรก โดนสังกัดพรรคสยาม- 156

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ประชาธปิ ไตยทน่ี ายเปรม มาลากลุ ณ อยธุ ยา เคยเปน็ กรรมการ บริหารพรรคด้วย (นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์, สัมภาษณ์, 7 ธันวาคม 2558) จากนั้นก็ประสบความสำเร็จการดำรง ตำแหน่งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก 4 สมัยต่อมา มีเพียงสมัยแรกเท่านั้นที่สังกัดพรรคสยามประชาธิปไตยที่เหลือ สังกัดพรรคชาติไทยตามการแนะนำของนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา โดยในปสี ดุ ทา้ ยทล่ี งสมคั รรบั เลอื กตง้ั คอื การเลอื กตง้ั ครั้งที่ 15 ซึ่งนายเชาวลิต กล่าวว่า เนื่องด้วยความนิยมของ พรรคการเมือง และการแข่งขันทางการเมืองสูง ซึ่งเริ่มแข่งขั้น รุนแรงในการเลือกตั้งครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) ที่มี ผู้สมัครที่มีโอกาสทางการเมืองมากกว่า เช่น นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็น เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ จึงย่อมมีโอกาส ทางการเมืองโดยเฉพาะการเข้าถึงฐานคะแนนกลุ่มคร ู ผู้บริหาร สถานศึกษา และผู้ปกครองของนักเรียนได้สูง ตลอดจน ความนิยมต่อพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีกลยุทธ์ใน การหาเสียงที่เข้าถึงประชาชนได้มากกว่า เขาจึงยุติบทบาท ทางการเมือง และมาทำธุรกิจเดิม คือ กิจการท่าทรายถึง ปัจจุบันนี้ โดยในขณะที่ดำรงตำแหน่งในฐานสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเขาได้ทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการสามัญสภา ผู้แทนราษฎร อาทิ พ.ศ. 2526 เป็นกรรมาธิการการศึกษา พ.ศ. 2529 เป็นกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ พลังงาน พ.ศ. 2535 ครั้งที่ 1 เป็นกรรมาธิการการเกษตรและ สหกรณ์ ฯลฯ และ พ.ศ. 2534 เคยเป็นกรรมาธิการวิสามัญ 157

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดิน พ.ศ. 2535 นอกจากนั้นยังเคยดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี คือ นายสุชน ชามพูนท เป็นทำหน้าที่ ได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น (นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์, สัมภาษณ์, 7 ธันวาคม 2558) นายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดการเลือกตั้งใหม่ใน 13 กันยายน พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในปีเดียวกัน โดย สามารถสรุปตำแหน่งทางการเมืองของนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ ได้ดังนี้ 2.1 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2523 – 2526 (ลาออกใน พ.ศ. 2526 เพอ่ื ลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) 2.2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2526 สมัยที่ 1 สังกัดพรรคสยามประชาธิปไตย 2.3 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2529 สมัยที่ 2 สังกัดพรรคชาติไทย 2.4 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2531 สมัยที่ 3 สังกัดพรรคชาติไทย 2.5 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2535/1 สมัยที่ 4 สังกัดพรรคชาติไทย 2.6 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2535/2 สมัยที่ 5 สังกัดพรรคชาติไทย 158

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ ดังที่กล่าวข้างต้นว่านายเชาวลิต ลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน 6 สมัย แต่เมื่อการเลือกตั้งครั้งที่ 20 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) ไม่ได้รับเลือก แต่พรรคชาติไทย ได้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงสาธารณสุข (นายสรอรรถ กลิ่นประทุม) ซึ่งมี นายเสนาะ เทียนทอง เป็นว่าการกระทรวงสาธารณสุข (ราชกิจจานุเบกษา, 2538, น. 91) 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมือง เครือข่ายที่สนับสนุนทางการเมืองและพรรคการเมือง ในคราวที่ลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยแรกนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ ยังไม่มีเครือข่ายที่สนับสนุนมากนักเหมือนกับการลงสมัครรับ เลือกตั้งในครั้งถัดมา โดยมีเพียงสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดที่เคยร่วมงานกันมาให้การสนับสนุนให้ลงสมัครรับ เลือกตั้ง แต่มีประชาชนตลอดจนผู้นำชุมชนบางส่วนที่คุ้นเคย ในขณะที่ได้รับเหมาก่อสร้าง เมื่อตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นายเชาวลิต กล่าวว่า “น้องๆ ที่เป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ในอำเภอ ต่างๆ รับปากว่าจะช่วยหาเสียงให้ พี่ไม่ต้องห่วง…” เขาจึง เชื่อว่านักการเมืองท้องถิ่นที่เคยทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย ช่วยหาเสียงได้เป็นอย่างดี เพราะในขณะที่ตนเองทำหน้าที่เป็น รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตนเคยเดินทางไป ช่วยสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ทุกเขต เพื่อพบและให้ความช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของประชาชน 159

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ จึงรู้จักทั้งประชาชนและผู้นำชุมชนในทุกอำเภอที่เคยร่วมงาน ในการแก้ไขปัญหาของหมู่บ้านต่างๆ (นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์, สัมภาษณ์, 7 ธันวาคม 2558) ฉะนั้น เมื่อกลุ่มบุคคลเหล่านี ้ ได้เห็นภาพในโปสเตอร์หาเสียงก็จำได้และเหมือนมีความผูกพัน กันมาระดับหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการสนับสนุนจาก ประชาชนมากยิ่งขึ้น และยังมีกลุ่มเครือข่ายที่สนับสนุนเพิ่ม อย่างเป็นรูปธรรม คือ กลุ่มแม่บ้านและกลุ่มเกษตรกรด้วย แต่ การสนับสนุนจากสองกลุ่มนี้เกิดขึ้นในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 เป็นต้นไป ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อได้รับการเลือกตั้งในสมัยแรก นายเชาวลิตได้เดินทางไปขอบคุณประชาชนทุกอำเภอ และทุก ครั้งที่เดินทางกลับจากประชุมที่กรุงเทพฯ จะเข้าชุมชนอย่างต่อ เนื่อง เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนประชาชนขณะเดียวกันได้ไป สอบถามและรับฟังปัญหาของประชาชนพร้อมด้วย ทำให้มี ความใกล้ชิดจึงส่งผลให้การเลือกตั้งในสมัยที่ 2 เขาได้รับ คะแนนเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ของจังหวัด ซึ่งมากกว่านายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 สมัย ซึ่งได้คะแนนเป็นลำดับที่ 3 โดยนายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ สังกัดพรรคกิจประชาคม ได้คะแนนเป็นลำดับที่ 2 ซึ่งถือว่าเป็น ผู้แทนหน้าใหม่ในการเลือกตั้งครั้งที่ 16 สำหรับเครือข่าย กลุ่มแม่บ้านและกลุ่มเกษตรกรนั้น ในปี พ.ศ. 2530 เขาได้ริเริ่ม ช่วยเหลือกลุ่มแม่บ้านของหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งในปีนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ คือ นายธวัช มกรพงศ์ ได้มี โครงการเลี้ยงอาหารแก่นักเรียนในโรงเรียนต่างๆ ที่ตั้งอยู่ภายใน แต่ละหมู่บ้าน แต่กลุ่มแม่บ้านไม่มีหม้อ ถ้วย ชาม ช้อน และ อุปกรณ์ในการทำหารและเลี้ยงอาหารที่จำเป็นอื่นๆ จะต้องไป 160

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ยืมวัด ซึ่งกลุ่มแม่บ้านจึงได้มาแจ้งยังตนเองในฐานะที่เป็น ผู้แทน เขาจึงได้พิจารณาการช่วยเหลือ ซึ่งสมาชิกสภา ผแู้ ทนราษฎรแตล่ ะคนจะไดว้ งเงนิ งบประมาณคนละ 1 ลา้ นบาท จากสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดทำโครงการพัฒนาภายใน จังหวัด แต่งบประมาณนั้นจะต้องโอนไปยังหน่วยงานของรัฐ เท่านั้น เขาจึงได้ปรึกษาพัฒนาการจังหวัด และได้รับความ ช่วยเหลือโดยสำนักงานพัฒนาชุมชนได้จัดโครงการพัฒนา อบรมกลุ่มแม่บ้าน โดยใช้ชื่อว่า กลุ่มสตรีแม่บ้านพัฒนา เพื่อ รองรับการนำงบประมาณอบรมกลุ่มสตรีโดยได้ซื้ออุปกรณ์และ วัสดุสำหรับเลี้ยงอาหารให้นักเรียนประจำหมู่บ้าน โดยกลุ่มสตรี แม่บ้านพัฒนาจะทำหน้าที่บริหารอุปกรณ์และวัสดุดังกล่าว ซึ่งทุกกลุ่มจะได้รับเหมือนกันครอบคลุมจำนวน 500 หมู่บ้าน ตั้งแต่ พ.ศ. 2530 -2535 งบประมาณทั้งหมดได้รับการจัดสรร มายังสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและมอบให้กลับกลุ่มสตรี พัฒนาโดยตรง เช่นเดียวกับกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรที่ได้รับ การสนับสนุนจากสำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ในการจัดตั้ง และให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณสนับสนุนการพัฒนา อาชีพเกษตรของครอบครัวแม่บ้านที่ทำการเกษตร (นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์, สัมภาษณ์, 7 ธันวาคม 2558) จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่านายเชาวลิต ได้รับการสนับสนุนในการทำหน้าที่ ทางการเมอื ง คอื กลมุ่ ขา้ ราชการประจำ แมว้ า่ จะเปน็ การปฏบิ ตั ิ หน้าที่ทางอ้อม แต่ถือได้ว่ามีส่วนโดยทางอ้อมในการทำหน้าที่ ทางการเมืองให้ประสบผลสำเร็จ นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า จากการที่นายนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา จึงนำนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ เข้าพบเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ เพื่อสนับสนุน 161

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ เข้าสู่การลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ก็ถือว่ามีส่วนสนับสนุนโดยตรงเนื่องจากทั้งสองท่านเป็นได้เป็น นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง เสมือนเป็นการให ้ การรับรองโดยทั้งสองท่านเป็นทุนทางการเมืองในการเข้าสู่เวที การเมืองระดับได้ง่ายมากขึ้น สำหรับพรรคการเมืองที่สังกัด มีบทบาทอย่างยิ่งโดยเฉพาะพรรคชาติไทย ซึ่งนายเชาวลิต ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ดำรง ตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในปี 2531 ได้มอบหมายให้นายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยลงมาพื้นที่จังหวัด อุตรดิตถ์พื้นพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามที่สภาตำบลต่างๆ ในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์ได้ทำหนังสือขอความช่วยเหลือในการ สรา้ งถนนและสะพานมายงั ตนในฐานะสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร และตนได้ทำหนังสือไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งให้นายเสนาะ เทียนทองมาพิจารณาแทน อีกทั้งได้สั่งการให้ อธิบดีทุกกรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ได้ส่งไปลงพื้นที่พร้อมกับ รัฐมนตรีทุกครั้ง ซึ่งมีจำนวนหลายโครงการที่ได้รับอนุมัติจาก การลงพื้นที่ของนายเสนาะ และข้าราชการประจำ อาทิ การก่อสร้างถนนลาดยางเส้นหนองผา – ลับแล อำเภอเมือง ไปอำเภอลับแล เส้นบ้านดารา - บ้านอ้อย อำเภอพิชัย และ สะพานข้ามแม่น้ำน่านบ้านปักสิงห์ – แสนตอ อำเภอเมือง เป็นต้น นายเชาวลิตกล่าวว่าพรรคการเมืองมีส่วนสำคัญ อย่างยิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จทางการเมือง เพราะ แทบทุกโครงการที่ประชาชนเสนอผ่านตนแล้วตนเสนอไปยัง พรรคชาติไทย จะได้รับการตอบสนอง โดยเฉพาะพรรคมักจะได้ 162

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ รับโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญเช่นกระทรวง มหาดไทย (นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์, สัมภาษณ์, 7 ธันวาคม 2558) 4. รปู แบบและกระบวนการหาเสยี งเลือกตั้ง ในส่วนของรูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตั้ง ของนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ ในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรก ที่สังกัดพรรคสยามประชาธิปไตยนั้น กระบวนการหาเสียง เลือกตั้งจะถูกกำหนดโดยพรรค ซึ่งพรรคได้จ้างร้านในกรุงเทพฯ จัดทำโปสเตอร์ เพื่อติดตั้งตามจุดสำคัญต่างๆ ครอบคลุม ทุกอำเภอของจังหวัด และพรรคกำหนดให้ขึ้นรถเพื่อแห่ที่มี รูป ชื่อ และเบอร์ผู้สมัครไปพร้อมกับนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา และเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ แม้ว่าจะอยู่ คนพรรคก็ตาม ซึ่งสมัยนั้นนายเชาวลิต กล่าวว่าไม่มีการแข่งขัน กันเหมือนในสมัยนี้ การหาเสียงเป็นการให้ประชาชนได้รู้จัก มากยง่ิ ขน้ึ และเวลาไปปราศรยั หาเสยี งตามจดุ ตา่ งๆ ซง่ึ สว่ นใหญ่ เป็นวัดและโรงเรียน ก็จะไปพร้อมกัน โดยนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา และเรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ ได้อาศัย เครือข่ายผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่ช่วยแจ้งข่าวไปยังประชาชน เพื่อเข้าฟังการปราศรัย ซึ่งผู้นำชุมชนเหล่านั้นก็จะช่วยผู้สมัคร ทุกคนเวลามาขอให้เป็นคนกลางในการสื่อสารไปยังลูกบ้าน นอกจากนย้ี งั ไดใ้ ชเ้ อกสารแผน่ ปลวิ แนะนำตวั ดว้ ย (นายเชาวลติ สุขสวัสดิ์, สัมภาษณ์, 7 ธันวาคม 2558) ฉะนั้น การหาเสียง เลือกตั้งของนายเชาวลิต นั้นเริ่มเห็นได้ว่าพรรคการเมืองเริ่มมี บทบาทในการวางแผนในกระบวนการหาเสียง ตัวผู้สมัคร 163

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ มีหน้าที่ดำเนินตามที่พรรคและนักการเมืองที่พรรคได้มอบหมาย ให้ดูแลผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใหม่ในเวทีการเมืองระดับประเทศ แต่เมื่อสามารถเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้แล้ว นักการเมือง ก็สามารถวางแผนการเลือกตั้งร่วมกับพรรคได้มากขึ้น ซึ่งถือ ได้ว่านักการเมืองยังมีอิสระมากพอสมควรในการวางแผน เลือกตั้ง ทั้งนี้เพราะนักการเมืองเริ่มมีทักษะทางการเมืองใน การกำหนดบทบาทที่เหมาะสมเพื่อสร้างคะแนนความนิยมได้ดี ยิ่งขึ้นเช่นกรณีของนายเชาวลิต นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ 1. ประวตั ิสว่ นตวั นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2479 ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นบุตรของนายสายบัว และนางรำจวน พุ่มพิริยพฤนท์ มีพี่น้องรวม 6 คน โดยบิดา เคยเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็น ผู้ช่วยแพทย์ทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสงคราม ในเวลาต่อมาได้ บิดาได้เดินทางไปอาศัยอยู่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ นายอารมณ์ ศกึ ษามธั ยมตน้ ทโ่ี รงเรยี นอตุ รดติ ถ์ และมธั ยมปลาย ที่โรงเรียนบูรณศักดิ์วิทยา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นการย้ายตาม บิดา และประกาศนียบัตรวิชาชีพที่วิทยาลัยพาณิชการธนบุรี กรุงเทพมหานคร เคยสมรส 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 สมรสกับ นางสวุ มิ ล พมุ่ พริ ยิ พฤนท ์ มบี ตุ รชาย 1 คน คอื เดก็ ชายบญุ ฤทธ์ิ พุ่มพิริยพฤนท์ เคยประกอบธุรกิจโดยเปิดบริษัทแม็คเซ็นเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นกิจการรับจ้างซ่อมเตาหลอม และ ห้างหุ้นส่วนจำกัดอาร์เทอร์ กรุ๊ฟ จำกัด เป็นกิจการเกี่ยวกับ 164

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ รับขนส่งสินค้า ซึ่งกิจการค่อนข้างดำเนินได้ด้วยดีโดยเฉพาะ กิจการรับจ้างซ่อมเตาหลอม แต่เนื่องด้วยมีปัญหาด้าน ครอบครัวตัวเขาเองจึงไม่ประสงค์ทำกิจการต่อ โดยมอบให้ ผู้จัดการบริหารต่อ หลังจากนั้นนายอารมณ์ได้เดินทางกลับไป ยังจังหวัดเชียงใหม่ใน พ.ศ. 2529 ได้นำเสื้อผ้าและอุปกรณ์ กีฬาไปให้นักเรียนที่โรงเรียนเชียงใหม่เทคโนโลยีที่ได้ซื้อกิจการ ต่อจากญาติ แต่ด้วยของที่นำมาจากบ้านพักที่กรุงเทพฯ เสื้อผ้า และอุปกรณ์กีฬาที่ซื้อเพื่อแจกนักเรียนมีจำนวนมากจึงได ้ เดินทางมายังจังหวัดอุตรดิตถ์เพื่อมาดูที่บ้านที่ไม่ได้อาศัยอยู่ ประมาณ 13 ปี แต่กลับมาไม่พบที่บ้านจึงไปหาลุงยิ้มที่เคยรู้จัก ขณะที่อาศัยอยู่ตอนศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น ลุงยิ้มได้เห็น อุปกรณ์กีฬาจึงได้กล่าวกับเขาว่า อยากให้นำอุปกรณ์เหล่านี้ มาบริจาคให้กับนักเรียนโรงเรียนที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เขาจึงแจ้ง กับลุงยิ้มให้ไปแจ้งกับครูยังโรงเรียนต่างๆ ที่ประสงค์อยากได้ อุปกรณ์กีฬาและอุปกรณ์สำหรับนักเรียนต่างๆ ซึ่งขณะนั้น เขากล่าวว่าหลังจากมอบบริษัทให้ผู้จัดการดำเนินการต่อแล้ว เขามีเงินจำนวนค่อนข้างมากที่สามารถช่วยเหลือนักเรียนใน โรงเรียนบ้านเกิด จึงได้กลับมายังกรุงเทพฯ เพื่อเก็บเสื้อผ้า หนังสือ และของเล่น ของบุตรกับภรรยาคนแรกที่มีของจำนวน มาก และซื้อเพิ่มเติมใส่รถบรรทุกไปมอบให้กับเด็กนักเรียน ซึ่งจุดนี้จึงเป็นที่รู้จักของประชาชนในจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเฉพาะคณะครูและผู้บริหารโรงเรียนที่ได้ทำหนังสือ ขออุดหนุนอุปกรณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางโรงเรียนขอชุด กลองและเครื่องดนตรีอื่นๆ หรือแม้กระทั้งขนมที่บรรจุปี๊บ และ ชุดนักเรียนทุกชั้นปี เขากล่าวว่าที่บริจาคของเพราะในขณะนั้น 165

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ มูลค่าสิ่งของที่บริจาคไม่แพงมากนักสำหรับนักธุรกิจเช่นเขา เขาจึงต้องการช่วยเหลือโรงเรียนต่างๆ ซึ่งได้ช่วยเหลือมากกว่า 100 โรง อีกทั้งยังได้มอบไปยังกำนันและผู้ใหญ่บ้านเพื่อมอบ ให้กับประชาชนที่ยากจนตามหมู่บ้านต่างๆ ด้วย (นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์, สัมภาษณ์, 8 ธันวาคม 2558) 2. ประวตั กิ ารดำรงตำแหนง่ ทางการเมือง นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ในการเลือกตั้งครั้งที่ 15 (18 เมษายน พ.ศ. 2526 พ.ศ. 2526) สังกัดพรรคกิจสังคมที่มี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นหัวหน้า พรรค แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง การลงในครั้งนั้นเป็นมีเพื่อนที่เป็น นักธุรกิจด้วยกันสนับสนุนให้ไปสมัครกับพรรค และพรรค ได้ตัดสินใจส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่มาประสบความสำเร็จ ในการเลือกตั้งครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) นายอารมณ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ และได้ลงสมัครรับเลือกตั้งอีก 2 สมัยถัดมาแต่ก็ไม่ได้รับเลือก จากนั้นจึงได้เดินทางไปอาศัยอยู่ประเทศออสเตรเลียระหว่าง พ.ศ. 2531 - 2543 และใน พ.ศ. 2544 ได้กลับมาอาศัยอยู่ จังหวัดอุตรดิตถ์อีกครั้ง และได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้ง ครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) ในนามพรรคไทเป็นไทย ซึ่งหัวหน้าพรรค คือ นายโกศล หมีเทศ ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุโขทัย และมีสำนักงานใหญ่ที่จังหวัดสุโขทัย ซึ่งถือว่าเป็นพรรค การเมืองขนาดเล็กที่จัดตั้งในท้องถิ่น โดยเขาได้รับเป็นที่ปรึกษา 166

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พรรคด้วย แต่การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ได้รับเลือก เนื่องจาก การเกิดขึ้นของพรรคไทยรักไทยที่ได้ส่งผู้สมัครของพรรค เขตเลือกตั้งที่ 1 เขตเดียวกับเขา คือ นางสาวกฤษณา ส ี ห ล ั ก ษ ณ ์ ส ั ง ก ั ด พ ร ร ค ไ ท ย ร ั ก ไ ท ย ซ ึ ่ ง ไ ด ้ ร ั บ เ ล ื อ ก ต ั ้ ง (นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์, สัมภาษณ์, 8 ธันวาคม 2558) และตำแหน่งทางการเมืองที่เขายังให้ความสนใจก็คือ สมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ใน พ.ศ. 2556 อำเภอเมืองเขต 4 ซึ่งมี ผู้สมัคร 2 คน คือ นายชลาวุธ บุญเกตุ และนายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ โดนายชลาวุธ บุญเกตุ ได้รับเลือกตั้ง การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นครั้งนี้ถือว่าเป็นเวทีทางการเมือง สุดท้ายของนายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ (องค์การบริหาร ส่วนจังหวัดอุตรดิตถ์, 2555, ออนไลน์) 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง และพรรค การเมือง จากข้อมูลการทำกิจกรรมต่อสาธารณะแก่นักเรียน ยังโรงเรียนต่างๆ และช่วยเหลือประชาชนผ่านกำนันและ ผู้ใหญ่บ้านจึงถือได้ว่าเหมือนมีฐานเครือข่ายสนับสนุนเป็น ทุนเดิม ทั้งครู และผู้ปกครองนักเรียน และผู้นำชุมชน ซึ่งได้ ดำเนนิ มาตง้ั แต่ พ.ศ. 2526-2529 สว่ นการเขา้ สงั กดั พรรคการเมอื ง ในการเลือกตั้งครั้งที่ 16 นั้น ก็ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อ นักธุรกิจที่รู้จักกันในขณะที่อยู่กรุงเทพฯ และตัวเขาเองพอจะได้ รู้จักนักการเมืองอยู่บ้าง จึงได้รับคำชักชวนให้สมัครเป็นสมาชิก พรรคพรรคกิจประชาคม ซึ่งมีนายบุญชู โรจนเสถียร เป็น 167

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ หัวหน้าพรรคและเป็นผู้ก่อพรรคตั้งร่วมกับ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ซึ่งพรรคกิจประชาคมเป็นพรรคการเมืองที่ นายบุญชู โรจนเสถียร ซึ่งเคยร่วมก่อตั้งพรรคกิจสังคมกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แต่ต่อมาได้ย้ายออกมาก่อตั้งพรรคกิจประชาคม นายอารมณ์เองก็เคยลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคกิจสังคม มาก่อน จึงได้มีโอกาสรู้จักกับนักการเมืองในพรรคที่ย้ายออก มาตั้งพรรคใหม่ในนามกิจประชาคม การลงสมัครรับเลือกตั้ง ในนามพรรคใหม่นี้ นายอารมณ์ได้รับการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2529 โดยเขาเห็นว่าการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ในครั้งนั้นอาจเนื่องด้วยภาพลักษณ์ของการเป็นนักธุรกิจจาก กรุงเทพฯ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีฐานะยากจน แล้วประชาชนเชื่อว่าจะสามารถพึ่งพาได้ และจากฐานที่มี ประชาชนรู้จักว่าเป็นผู้มอบสิ่งขอบช่วยเหลือนักเรียนและ ประชาชนอยู่แล้ว จึงทำให้เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งมีคน สามารถจดจำได้เพราะเวลาไปบริจาคสิ่งของจำนวนหลายครั้งที่ เดินทางไปด้วยตนเอง จึงเห็นว่ากลุ่มประชาชนที่เคยพบเจอกัน มาก็จะช่วยประชาสัมพันธ์ให้ตนเป็นลักษณะปากต่อปาก (นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์, สัมภาษณ์, 8 ธันวาคม 2558) ฉะนั้น เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองที่ส่งผลให้นายอารมณ์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้ง ครั้งที่ 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) ก็คือ กลุ่มเครือข่ายที่เคย ได้รับความช่วยเหลือจากนายอารมณ์ ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจ ที่ประสบความสำเร็จมาก่อน ซึ่งในคราวเดียวกันนั้นจังหวัด อุตรดิตถ์มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 3 คน คือ นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ สังกัดพรรคกิจประชาคม 168

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ สังกัดพรรคสหประชาธิปไตย และ นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยาสังกัดพรรคสหประชาธิปไตย 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสยี งเลือกตั้ง ในส่วนของรูปแบบการหาเสียงเลือกตั้งนั้นถือว่า ไม่ค่อยมีหลากรูปแบบ เนื่องจากการตัดสินใจลงสมัครนั้น กระชั้นชิด จึงทำได้เพียงการปราศรัยบนเวทีที่พรรคการเมือง ได้กำหนดให้ขึ้นปราศรัย โดยก่อนไปยังเวทีต่างๆ นั้นจะจ้าง รถแห่ที่มีป้ายโปสเตอร์ภาพตนเองที่ทำจากไม้กระดานติดบน รถแห่เพื่อเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมรับฟังการปราศรัยยังเวที ซึ่งส่วนใหญ่จัดในวัดและโรงเรียนต่างๆ และการแจกใบปลิว แนะนำตัวเท่านั้น แต่ด้วยการเป็นนักธุรกิจ จึงวางกลยุทธ ์ ในการหาเสียงเพื่อสามารถเข้าถึงประชาชน โดยการสวมใส่ เสื้อหม้อฮ่อมพร้อมกับทำพนมมือไหว้ และก้มศีรษะแล้ว ถ่ายเป็นโปสเตอร์ ซึ่งนายอารมณ์ กล่าวว่าภาพนี้ถือเป็น ภาพแรกของการใช้หาเสียงที่แตกต่างจากเหล่าบรรดาผู้สมัคร ทุกคนที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะส่วนใหญ่มักเป็นภาพ ที่สวมใส่เสื้อสากล ซึ่งการนำภาพที่สวมใส่เสื้อหม้อฮ่อม ช่วยทำให้เกิดความจดจำแก่ประชาชน และเขาจะวิธีการเดิน และใช้รถจักรยานยนต์ในการพบปะเพื่อหาเสียงกับประชาชน เพื่อสามารถทักทายประชาชนได้อย่างใกล้ชิด ตลอดจน พยายามจำชื่อประชาชนที่เคยพบปะเพื่อในขณะที่ขึ้นปราศรัย บนเวทีที่มีประชาชนมาชุมนุม ก็จะเอ่ยชื่อประชาชนท่านที่เคย ได้พูดคุยมาก่อน แล้วขอให้เขายกมือเมื่อเอ่ยชื่อ วิธีการนี้ทำให้ ประชาชนท่านนั้นๆ เกิดความประทับใจว่ามีคนให้ความสำคัญ 169

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าในช่วงเวลาหาเสียงเป็นเพียงช่วงเวลา นั้นๆ การที่เขาได้รับเลือกตั้งนั้นอาจเป็นผลจากการที่เคย บริจาคและช่วยเหลือประชาชนมาก่อน ซึ่งเขาได้ให้ข้อมูล เพิ่มเติมว่าในคราวที่นำสิ่งของไปบริจาคนักเรียน และประชาชน นั้นก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งนั้นได้ให้ภรรยาซึ่งเป็นช่างตัดผม ไปตัดผมให้นักเรียนและประชาชนฟรี และขณะนั้นกลุ่มแม่บ้าน หลายหมู่บ้านที่เห็นจึงได้เข้ามาขอรับความช่วยเหลือให้เขาช่วย ในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ทำเสื้อกีฬาสำหรับแข่งกีฬาของหมู่บ้าน ซึ่งเขาได้ไปตัดที่ร้านจิมสปอร์ท ซึ่งปัจจุบันนี้เวลาเจ้าของร้าน ได้พบเขา มักจะกล่าวขอบคุณที่เคยสั่งตัดชุดกีฬาจำนวนมาก (นายอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ และสุวิมล พุ่มพิริยพฤนท์, สัมภาษณ์, 8 ธันวาคม 2558) นางสุวิมล พุ่มพิริยพฤนท์ ได้ให้ ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการที่สามีได้รับเลือกตั้งนั้นอาจเป็นเพราะมี เทคนิคที่แตกต่างจากผู้สมัครท่านอื่นๆ เช่น มีการทำกล่อง รูปทรงคล้ายๆไม้ขีดไฟขนาดเล็กโดยบนกล่องจะมีชื่อและ หมายเลขของอารมณ์ พุ่มพิริยพฤนท์ ติดไว้ นอกจากนี้ยังทำ เป็นกล่องขนาดใหญ่ด้วยเพื่อติดตามร้านค้าในชุมชน ซึ่งทุกวัน นี้ยังมีอยู่ที่ร้านในตำบล จากรูปแบบการหาเสียงดังกล่าว เห็นได้ว่าในกระบวนการหาเสียงถือได้ว่าไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน เป็นการดำเนินตามวิถีปกติที่จะสามารถกระทำได้ในขณะนั้น และในขั้นตอนของการหาเสียงนั้นพรรคการเมืองยังไม่แนวทาง ที่กำหนดจากพรรคเพื่อให้ผู้สมัครที่สังกัดพรรคนั้นดำเนินตาม อย่างเป็นรูปธรรมเป็นเพียงกำหนดแนวทางกว้างๆ เท่านั้น และ ยังคงเน้นวิธีการหลัก คือ การปราศรัยบนเวที 170

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยสรุปแล้วในบทที่ 3 นี้เป็นการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ พัฒนาการการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งทั่วไปทั้งการเลือกตั้งทางตรง และทางอ้อม จำนวน 26 ครั้ง ตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2476 – 3 กรกฎาคม 2554 และมีเนื้อหาเกี่ยวกับนักการเมืองที่เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 1 (15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476) – 16 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) โดยภาพรวมจะเห็นได้ว่านักการเมืองที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ นายพึ่ง ศรีจันทร์ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ นายบรรลือ น้อยมณี นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา และนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ เนื่องจาก เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งตั้งแต่ 3 สมัยขึ้นไป แสดงให้เห็นว่า นักการเมืองทั้งหมดดังกล่าวมีคุณลักษณะส่วนตัว ทักษะ และประสบการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลให้สามารถได้รับ การสนับสนุนทางการเมืองจากประชาชนในระดับบุคคล กลุ่มบุคคล และพรรคการเมืองให้สามารถดำรงตำแหน่ง ได้อย่างต่อเนื่อง แต่หากพิจารณาแล้วพรรคการเมืองถือว่า มีบทบาทในการสนับสนุนการเข้าสู่ตำแหน่งและการรักษาฐาน คะแนนนิยมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจากผู้สนับสนุนทาง การเมืองในระดับจังหวัด ทั้งนี้จากข้อมูลสามารถอธิบายได้ว่า ปัจจัยส่วนบุคคลของนักการเมืองถิ่นนั้นส่งผลต่อการเข้าสู่และ การรักษาฐานคะแนนของนักการเมืองมากกว่าการใช้กลไกของ พรรคการเมืองในการให้ผู้สมัครของพรรค เช่น นายพึ่ง ศรีจันทร์ และนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา ที่มีภูมิหลังด้านการศึกษา และอาชีพทนายความ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงษ์ และ 171

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ นายบรรลือ น้อยมณี ที่รับราชการในตำแหน่งปลัดอำเภอและ นายอำเภอที่มีความสัมพันธ์ทางตรงกับประชาชน และ นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ ที่มีผลงานจากการดำรงตำแหน่ง ในฐานะนักการเมืองท้องถิ่นระดับจังหวัดและการเป็นนักธุรกิจ ที่มีเครือข่ายสนับสนุน เป็นฐานคะแนนสำคัญให้ประสบ ความสำเร็จระดับชาติอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพรรคการเมืองจะมี บทบาทในการกำหนดแนวทางในการหาเสียงที่เห็นชัดเจน เช่น กรณีนายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ ที่พรรคการเมืองที่สังกัดให้ เรืออากาศตรีบุญยง วัฒนพงศ์ และนายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา ซึ่งสังกัดคนละพรรคการเมืองทำหน้าที่เปรียบเสมือน ผู้ค่อยแนะนำทางการเมืองแก่นายเชาวลิตในคราวที่ลงสมัคร รับเลือกตั้งสมัยแรก จึงถือว่าพรรคมิได้มุ่งมีบทบาทต่อผู้สมัคร ข อ ง พ ร ร ค ใ ห ้ ด ำ เ น ิ น ต า ม แ น ว ท า ง ข อ ง พ ร ร ค เ พ ื ่ อ น ำ ไ ป สู ่ ชัยชนะในการแข่งขัน แต่การให้บุคคลที่เคยที่เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์คนละพรรคการเมืองเข้ามาทำ หน้าที่ค่อยให้คำแนะนำทางการเมืองแก่นายเชาวลิตก็เพื่อ เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ทางการเมืองระหว่างกันแก่ผู้ที่ ลงสมัครรับเลือกตั้งหน้าใหม่ในเวทีระดับชาติเท่านั้น ฉะนั้น พรรคการเมืองในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 1 – 16 จึงยังคงให้ อิสระแก่ผู้สมัครของพรรคในการวางแผนเพื่อออกแบบวิธีการหา เสียงได้ด้วยตนเองเป็นหลัก แต่เมื่อเลือกตั้งประสบผลสำเร็จ พรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรครัฐบาลจะคอยทำหน้าที่ สนับสนุนโครงการพัฒนาที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ของพรรคเสนอเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจของรัฐบาล ซึ่งเป็นรูปแบบการสนับสนุนทางการเมืองของพรรคการเมือง 172

พัฒนาการทางการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ แก่นักการเมืองในจังหวัดที่เริ่มปรากฏเห็นชัดเจนในสมัยของ นายเชาวลิต สุขสวัสดิ์ ขณะที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 – 5 ที่พรรคชาติไทยให้การสนับสนุน โครงการพัฒนาแก่จังหวัดอุตรดิตถ์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในยุคของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 1 – 16 นี้ที่พรรคการเมือง ยังไม่มีบทบาททางการเมืองมากนักก็อาจเนื่องด้วยเป็นระยะ เวลาเปลี่ยนผ่านและการเรียนรู้การเมืองแบบประชาธิปไตยผ่าน การเลือกตั้ง ทั้งนักการเมือง ประชาชนและพรรคการเมืองยังอยู่ ในกระบวนการเรียนรู้ทางการเมือง แต่นับตั้งแต่การเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งที่ 17 เป็นต้นมาจะเห็นบทบาทของพรรคการเมืองที่มี ต่อนักการเมืองชัดเจน โดยเริ่มต้นตั้งแต่การคัดเลือกผู้สมัครและ การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมดโดยแกนนำสำคัญของ พรรคการเมือง 173

บ4ทท ี่ นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 (ยุคการจัดการเลือกต้ังโดยพรรคการเมือง) ในบทที่ 4 นี้จะเป็นการนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับ นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์เช่นเดียวกับบทที่ 3 ที่ครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับ 1. ข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติครอบครัว การศึกษา อาชีพ การดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่นทั้งในส่วนของ สมาชิกสภาและฝ่ายบริหาร สถานภาพทางเศรษฐกิจและ สังคม การเป็นสมาชิกกลุ่มทางสังคม การเข้าสู่ตำแหน่งทาง การเมืองระดับชาติ การสังกัด และการย้ายพรรคการเมือง ฯลฯ

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 2. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมือง อาทิ กลุ่ม ผลประโยชน์และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการที่มีอิทธิพลและ/ หรือสนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองที่เคยได้รับการ เ ล ื อ ก ต ั ้ ง ใ น จ ั ง ห ว ั ด อ ุ ต ร ด ิ ต ถ ์ ท ั ่ ว ไ ป ท ั ้ ง ท ี ่ เ ป ็ น เ ค ร ื อ ข ่ า ย ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองระดับท้องถิ่น (องค์การบริหาร ส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล) เครือข่าย ความสัมพันธ์กับข้าราชการระดับสูงและหัวหน้าส่วนราชการ ภายในจังหวัดอุตรดิตถ์ และเครือข่ายความสัมพันธ์กับสมาคม ธุรกิจในจังหวัดอุตรดิตถ์ (สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคาร ฯลฯ) 3. บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ นักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งในจังหวัดอุตรดิตถ์ 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตั้งของ นักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งในจังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเนื้อหาให้ 4 ประเด็นนี้จักได้นำเสนอเนื้อหา ผนวกในข้อมูลนักการเมืองถิ่นเป็นรายบุคคลนับตั้งแต ่ การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 17 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) - 26 (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554) ซึ่งนักวิจัยเรียกว่า ยุคการจัดการ เลือกตั้งโดยพรรคการเมือง โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ ดังต่อไปนี้ 175

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ 1. ประวตั สิ ว่ นตัว นายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2499 เป็นบุตรของพลเรือตรีชอบ ศิริวัฒน์ อดีตรองเสนาธิการ กองเรือยุทธการ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่อำเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเป็นบุตรของนายคำ และนางเทศ ศิริวัฒน์ แต่ได้ศึกษาที่ โรงเรียนอำนวยศิลป์ กรุงเทพฯ และโรงเรียนนายเรือในเวลา ตอ่ มา (ทองหยก เลยี งพบิ ลู ย,์ 2518, น. 2) มารดาชอ่ื นางสพุ ตั รา ศิริวัฒน์ นามสกุลเดิม คือ วิจิตรานนท์ ซึ่งเป็นธิดาของ พระยานิพนธ์พจนาตถ์  วิจิตรานนท์ นายชัยภักดิ์มีพี่น้องที่เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ 1 คน คือ นายวารุจ ศิริวัฒน์ ซึ่งได้รับเลือกตั้ง 2 สมัยในการเลือกตั้งครั้งที่ 22 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) นายชัยภักดิ์ได้อาศัยอยู่และศึกษาที่ กรุงเทพฯ โดยได้ศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนมัธยม สาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และระดับ ปรญิ ญาตรสี าขาวชิ าการตำรวจ จาก Oklahoma Baptist University ประเทศสหรัฐอเมริกา และศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมรสกับนางนฤมล ศิริวัฒน์ อดีต สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเคยได้รับแต่งตั้งเป็น ประธานคณะกรรมาธิการการกีฬาวุฒิสภา และอดีตผู้จัดการ ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ปัจจุบันเป็นผู้บริหารสมาคม ฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายชัยภักดิ์นั้น เป็นนักธุรกิจเจ้าของหนังสือพิมพ์ซันเดย์นิวส์ และบริษัท แนต แซ็ฟ เมมเบอร์การ์ด (ไทยรัฐออนไลน์, 2558, ออนไลน์) 176

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 และได้เข้าสู่ถนนนักการเมืองในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ และมีโอกาสทางการเมืองเป็นเลขานุการ รัฐมนตรีและรัฐมนตรี และเคยดำรงตำแหน่งทั้งหัวหน้าพรรค และรองหัวหน้าพรรค แต่ก็ได้ลาออกและอยู่ในวงกีฬาเป็นหลัก อาทิ อุปนายกลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย และนายกสมาคม ฮอกกี้แห่งประเทศไทย 2. ประวตั กิ ารดำรงตำแหน่งทางการเมือง จากที่บิดาของนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ มีภูมิลำเนาอยู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ จึงทำให้นายชัยภักดิ์ได้สนใจสมัครเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของจังหวัด โดยได้รับการเลือกตั้งสมัยแรก ในการเลือกตั้งทั่วไปใน พ.ศ. 2531 ซึ่งการได้รับเลือกตั้งใน สมัยแรกนี้นายชัยภักดิ์ได้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คือ พลเอกมานะ รัตนโกเศศ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่อีกหลายตำแหน่งในรัฐบาล นายชัยภักดิ์นั้นถือว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุตรดิตถ์ที่ได้รับเลือกตั้งต่อเนื่อง 5 สมัยเช่นเดียวกับสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุตรดิตถ์ที่เคยได้รับเลือกตั้งก่อนหน้านี้ คือ นายเปรม มาลากุล ณ อยุธยา และเรือตรีบุญยง วัฒนพงศ์ โดยสามารถสรุปตำแหน่งทางการเมืองได้ดังนี้ 2.1 พ.ศ. 2531 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคราษฎร 2.2 พ.ศ. 2535/1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคราษฎร 177

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ 2.3 พ.ศ. 2535/2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคราษฎร 2.4 พ.ศ. 2538 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคประชากรไทย 2.5 พ.ศ. 2539 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคชาติพัฒนา สำหรับตำแหน่งในรัฐบาลที่นายชัยภักดิ์เคยดำรง ได้แก่ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมัย พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี สมัยพลเอก สุจินดา คราประยูร เป็น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมมนาคม สมัย นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี (ราชกิจจานุเบกษา, 2539, น. 2) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังเคย เป็นหัวหน้าพรรคราษฎรในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2536 (ราชกิจจานุเบกษา, 2536, น. 22) เนื่องจากพลเอกมานะ รัตนโกเศศ หัวหน้าพรรคราษฎรคนก่อนหน้าลาออกในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2535 (ราชกิจจานุเบกษา, 2535, น. 12) และ รองหัวหน้าพรรคประชากรไทย ภายหลังยุบพรรคราษฎร โดยไป รวมเข้ากับพรรคประชากรไทย และการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายของ นายชัยภักดิ์ได้ลงสมัครโดยสังกัดพรรคชาติพัฒนา และ เป็นหนึ่งในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคชาติพัฒนา ที่สนับสนุนให้นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีแทน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดภายหลังการลาออก 178

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ชวลิต ในปลายปี 2540 และพรรคร่วมรัฐบาลเดิมมีมติจะสนับสนุนให้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ขึ้นดำรงตำแหน่งนายก- รัฐมนตรีแทน แต่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรค ประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านได้รวบรวมสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจากพรรคประชากรไทยซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล กลุ่มของนายวัฒนา อัศวเหม เพื่อให้มาสนับสนุนนายชวน กับ พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม จึงส่งผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมในสมัยพล.อ.ชวลิตมีน้อยกว่าฝ่ายค้าน เดิมที่สามารถดึงกลุ่มของนายวัฒนาเข้ามาร่วมกัน โดย เหตุการณ์นี้สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย เรียกกลุ่มนายวัฒนาว่า กลุ่มงูเห่า ซึ่งนายชัยภักดิ์ เป็นหนึ่งใน กลุ่มของนายวัฒนาเช่นกัน หลังจากนายชวนขึ้นเป็นนายก- รัฐมนตรีแล้วนายชัยภักดิ์ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทันที และไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกเลย ซึ่งภายหลังจากการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายนายชัยภักดิ์ได้เข้า ไปมีบทบาททางกีฬาในสมาคมกีฬาต่างๆ โดยนายชัยภักดิ์และ ภรรยาได้จัดตั้งมูลนิธิ ชื่อ “มูลนิธีชัยภักดิ์ – นฤมล ศิริวัฒน์” ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมกิจกรรมการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และ การกีฬา และไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด (ราชกิจจานุเบกษา, 2541, น. 124) อย่างไรก็ตามนายชัยภักดิ ์ ยงั คงอยใู่ นแวดวงการเมอื ง อาทิ เปน็ ทป่ี รกึ ษารองนายกรฐั มนตรี คือ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ในสมัยพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี (ราชกิจจานุเบกษา, 2548, น. 309) และ คณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจ อาทิ กรรมการในคณะกรรมการ 179

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ราชกิจจานุเบกษา, 2552, น. 22) และประธานกรรมการในคณะกรรมการองคก์ ารสวนพฤกษศาสตร์ (ราชกิจจานุเบกษา, 2554, น. 5) เป็นต้น 3. เครือข่ายผู้สนับสนุนทางการเมืองและพรรค การเมอื ง ในด้านเครือข่ายสนับสนุนทางการเมืองและ พรรคการเมืองนี้เป็นเนื้อหาที่นักวิจัยดำเนินการวิเคราะห์จาก ปรากฏการณ์และบริบทที่เกี่ยวข้องกับนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ซึ่งจากการที่เขาได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองทั้งในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี ชุดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีเครือข่ายและพรรคการเมือง สนับสนุนอย่างกว้างขวาง เชื่อมโยงทั้งระดับประเทศและระดับ ท้องถิ่นที่มีกลไกสนับสนุนกระบวนการเลือกตั้งอย่างเป็นระบบ อีกทั้งมีบทบาทโดยตรงในการพัฒนาเครือข่ายการเลือกตั้ง ในพื้นที่เป้าหมายของพรรคในขณะที่นายชัยภักดิ์ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าพรรคด้วย เช่น กรณีการวางตัวผู้สมัครพรรคราษฎร จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่นายชัยภักดิ์ใช้กลไกคณะทำงานของพรรค หรือทีมงาน (นางปัทมา จันนะ, สัมภาษณ์, 11 ธันวาคม 2558) ในการพิจารณาคุณสมบัติของบุคคลที่มีฐานคะแนนและ มีแนวโน้มจะชนะการเลือกตั้ง เช่น การคัดเลือกนายสุรพล เลี้ยงบำรุง (สามีของนางปัทมา) อาชีพนักจัดรายการวิทยุสมัคร เป็นสมาชิกพรรคและส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจาก นายสุรพลมีฐานผู้ฟังรายการวิทยุเป็นฐานที่จะช่วยสนับสนุน ทางการเมืองหากเข้าสู่การเลือกตั้ง และก็ประสบผลสำเร็จ 180

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 เป็นอย่างดีในการส่งผู้สมัครหน้าใหม่ในเวทีการเมืองระดับชาติ ของพรรคในการเลือกตั้งสมัยแรกจากการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 18 (22 มีนาคม พ.ศ. 2535) ฉะนั้น เครือข่ายทางการเมือง ของนายชัยภักดิ์จึงอาจเป็นทั้งเครือข่ายนักการเมืองท้องถิ่น ที่เป็นกลไกสนับสนุนเครือข่ายพรรคการเมือง ที่ทำงานภายใต้ คณะทำงานหรือทีมงานพรรคการเมืองที่มีทักษะทางการเมือง เป็นแกนหลัก และจากการที่นายชัยภักดิ์มีโอกาสทางการเมือง สูงกว่านักการเมืองคนอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อได้รับเลือกตั้ง สมัยแรกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ คือ พลเอกมานะ รัตนโกเศศ สมัยพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี  ฉะนั้น การลงพื้นที่ จังหวัดอุตรดิตถ์จึงมาในฐานะตัวแทนของรัฐมนตรีกระทรวง ศึกษา จึงย่อมมีโอกาสที่ดีทางการเมืองในการที่จะได้รับ การสนับสนุนจากคณะครู อาจารย์ และผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งโรงเรียนระดับปฐมศึกษามีครอบคลุมทุกตำบลในจังหวัด อุตรดิตถ์ นั่นย่อมหมายถึงมีเครือข่ายที่กว้างขวางในกลุ่ม ข้าราชการครูที่ถือว่าเป็นกลุ่มที่สามารถเข้าถึงประชาชน ในระดับครัวเรือนได้อย่างใกล้ชิด (ผู้ให้ข้อมูลหลัก, สัมภาษณ์, 6 ธันวาคม 2558) อีกทั้งจากการที่นายชัยภักดิ์เคยดำรง ตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ถือว่า สามารถที่จะสร้างเครือข่ายทางการเมืองข้าราชการประจำทั้งใน ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ได้ครอบคลุมทุก จังหวัด ที่จะช่วยเสริมหนุนเครือข่ายการเลือกตั้งให้มีความ แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น 181

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ 4. รูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลอื กตั้ง ในด้านรูปแบบและกระบวนการหาเสียงเลือกตั้งนี้ เป็นเนื้อหาที่นักวิจัยดำเนินการวิเคราะห์จากปรากฏการณ์และ บริบทที่เกี่ยวข้องกับนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ โดยรูปแบบและ กระบวนการหาเสียงนั้นถือได้ว่ามีการวางแผนเพื่อนำไปสู่การ ปฏิบัติตามแผนในระดับพื้นที่อย่างเป็นระบบผ่านคณะทำงาน หรือทีมงานโดยมีการกำกับจากนายชัยภักดิ์ ทั้งนี้เพื่อให้ สามารถคาดการณ์ผลการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น รูปแบบการเสียงจึงอาจเป็นในลักษณะเชิงรุกและใช้ หลากวิธี อาทิ แจกเอกสารแผ่นปลิวแนะนำตัวโดยเฉพาะในการ ลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยแรก การติดตั้งแผ่นป้ายโฆษณา หาเสียง ใช้พาหนะในการตระเวนหาเสียง ปราศรัยบนเวที และ พบปะเยย่ี มเยยี นตามบา้ น/ชมุ ชน เปน็ ต้น แม้วา่ จะเป็นรปู แบบท่ี นกั การเมอื งนยิ มใชใ้ นการหาเสยี งกต็ าม แตเ่ ชอ่ื ไดว้ า่ นายชยั ภกั ด์ิ ในฐานะที่ได้รับเลือกตั้งต่อเนื่องถึง 5 สมัยจะมีรูปแบบการ บริหารการหาเสียงเลือกตั้งที่แตกต่างจากผู้สมัครรายอื่น ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่คาดการณ์ว่าจะเป็นฐาน คะแนนเสียงได้อย่างแท้จริง และเมื่อได้รับเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง หลายสมัย จึงยิ่งสามารถวางแผนหาเสียงในแต่ละพื้นที่ให้ สอดคล้องกับผลคะแนนที่ออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยใช้ ข้อมูลเชิงสถิติในการกำหนดรูปแบบการหาเสียงได้แม่นยำ มากขึ้น อีกทั้งจากการดำรงตำแหน่งในกระทรวงสำคัญที่มี บุคลากรครอบคลุมทั่วทั้งประเทศอย่างเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทย จึงอาจทำให้รูปแบบและกระบวนการ หาเสียงนั้นดำเนินผ่านตัวบุคคลซึ่งก็คือข้าราชการที่ปฏิบัติงาน 182

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2554 ในระบบราชการ ในที่นี้มิได้หมายถึงการหาเสียงโดยให้ ข้าราชการเป็นผู้กระทำ แต่หมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ รัฐมนตรีย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของนักการเมือง ซึ่งอาจ ได้รับการยอมรับจากข้าราชการประจำที่อาจนำไปสู่การยกย่อง และสนับสนุนทางการเมืองของข้าราชการ ฉะนั้น ข้าราชการ ก็จะทำหน้าที่ในการสื่อสารทางการเมืองไปยังกลุ่มข้าราชการ และประชาชน นายสุรพล เล้ียงบำรุง 1. ประวัตสิ ่วนตวั นายสุรพล เลี้ยงบำรุง ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เกิดเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2490 ภูมิลำเนาเป็นคนอำเภอ มหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ได้ย้ายมาอยู่หมู่ที่ 9 บ้านปากฝาง ตำบลงิ้วงาม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็น บุตรของนายศรี และนางพลอย เลี้ยงบำรุง สำเร็จการศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเปี่ยมเมธีวิทยาคาร จังหวัดอุตรดิตถ์ และปริญญาตรีจากคณะวิทยาการการจัดการ สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ สมรสกับ นางปัทมา จันนะ ซึ่งเคยเป็นสมาชิกสภาตำบลงิ้วงาม 1 สมัย มีบุตร 2 คน คือ นายเอกลักษณ์ และนางสาวอินทิรา เลี้ยงบำรุง ซึ่งปัจจุบันทั้งนางปัทมาและบุตรทั้ง 2 เป็นเจ้าของ ธุรกิจและนักจัดรายการวิทยุ เดิมนายสุรพล หรือรู้จักกันในชื่อ ต๋อย มหาราษฎร์ ซึ่งเป็นชื่อเรียกในการจัดรายการวิทยุ ซึ่ง ต๋อย คือ ชื่อเล่น ส่วนคำว่า มหาราษฏร์ นั้นมาจากอำเภอ มหาราชที่เป็นภูมิลำเนา แต่นางปัทมาเห็นว่าคำว่ามหาราช 183


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook