Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 58นักการเมืองถิ่นภูเก็ต

58นักการเมืองถิ่นภูเก็ต

Published by Meng Krub, 2021-05-11 06:19:52

Description: 58นักการเมืองถิ่นภูเก็ต

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ในการเลือกตั้งครั้งต่อมาใน พ.ศ. 2519 นายเอี่ยมศักดิ์ได้ลงรับสมัครเลือกตั้งอีก โดยนายชิตได้วางมือ จากการลงสมัครเลือกตั้งแล้ว ครั้งนี้นายเอี่ยมศักดิ์ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่อยู่ในตำแหน่งได ้ ไม่นานก็สิ้นสุดลง เนื่องจากมีการยึดอำนาจ และหลังจากนั้น ไม่นาน นายเอี่ยมศักดิ์ก็เสียชีวิตจากการถูกลอบยิงอันกล่าวกัน ว่า สืบเนื่องมาจากการมีบทบาทในการตรวจสอบความไม่เป็น ธรรมต่าง ๆ (สกุล ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) โดยเฉพาะในเรื่องการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินโดยมิชอบให้กับ กลุ่มนายทุนจังหวัดภเู ก็ต 4.3.1.8.2 ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นายเอ่ยี มศกั ด ิ์ นายเอี่ยมศักดิ์มีฐานเสียงที่สำคัญ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ใช้แรงงาน และพรรคการเมือง ดังนี้ 1) กลุ่มผู้ใช้แรงงาน การที่นายเอี่ยมศักดิ์ เคยชว่ ยเหลอื นายชติ ในการหาเสยี ง และในกจิ กรรมทางการเมอื ง มาก่อน ทำให้นายเอี่ยมศักดิ์เริ่มมีความสัมพันธ์กับกลุ่มแรงงาน ในจังหวัดภูเก็ตที่เป็นเครือข่ายสนับสนุนนายชิตมาก่อน (สกุล ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557 และ ชวลิต ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ขณะนั้นแรงงานในจังหวัดภูเก็ต มีจำนวนมากโดยเฉพาะในกิจการทำเหมืองแร่ แต่คนงาน เหล่านั้นยังไม่มีการรวมตัวกัน หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ได้มีการผลักดันโดยกลุ่มคนหัวก้าวหน้า ให้คนงานรวมตัว กันจัดตั้งสหภาพแรงงานจนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากทั้งใน 136

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต กรงุ เทพฯ และตา่ งจงั หวดั สำหรบั ในจงั หวดั ภเู กต็ นายเอย่ี มศกั ด์ิ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการหนุนให้ผู้ใช้แรงงานรวมตัวกัน ตั้งเป็นสหภาพแรงงานขึ้น เช่น สหภาพแรงงานบริษัท ทุ่งคาฮาร์เบอร์ ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานแรกที่เกิดขึ้น สหภาพแรงงานของไทยซาโก เป็นต้น นายเอี่ยมศักดิ์เปิดเผย บทบาทตัวเองในการหนุนสหภาพเต็มที่พร้อมทั้งดำรงตำแหน่ง ประธานทป่ี รกึ ษาสหภาพแรงงานดว้ ย จงึ จะเหน็ วา่ นายเอย่ี มศกั ด์ิ ได้วางฐานเสียงของตนไว้ 3-4 ปี ก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ในการหาเสียงของนายเอี่ยมศักดิ์จึงมีสายผู้ใช้แรงงานเหล่านี้ สนับสนุน 2) พรรคการเมือง พรรคพลังใหม่ ที่นาย เอี่ยมศักดิ์สังกัดเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดสังคมนิยม ตั้งขึ้น หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในขณะนั้นยังมีพรรคการเมือง ในแนวทางสังคมนิยมอีก 2 พรรค คือ พรรคสังคมนิยมแห่ง ประเทศไทย และพรรคแนวร่วมสังคมนิยม ในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2518 ที่กระแสแนวคิดสังคมนิยมขึ้นสูงทั้ง 3 พรรค การเมืองที่มีแนวคิดสังคมนิยมจึงได้รับการเลือกตั้งถึง 37 ที่นั่ง โดยมาจากพรรคพลังใหม่ 12 ที่นั่ง แต่ทั้งสามพรรคได้ตกเป็น เป้าโจมตีและถูกคุกคามอย่างหนักจนถึงขั้นเสียชีวิต เช่น การลอบปาระเบิด การลอบสังหาร ดร.บุญสนอง บุญโยทยาน เป็นต้น ทำให้การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2519 ทั้งสามพรรคที่มี แนวคิดแบบสังคมนิยมได้รับเลือกลดลงเหลือเพียง 6 คน เทา่ นน้ั โดยมาจากพรรคพลงั ใหม่ 3 คน อนั รวมทง้ั นายเอย่ี มศกั ด์ิ หลิมสมบูรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ตด้วย (ประจวบ อัมพะเศวต, 2546, น. 34-36) 137

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต กล่าวได้ว่า ในขณะนั้นพรรคการเมืองยังไม่มี การหนุนช่วยผู้สมัครอย่างเป็นระบบนัก แม้แต่พรรค ประชาธิปัตย์ก็ยังไม่มีระบบพรรคที่เข้มแข็งเหมือนช่วงหลัง (สกุล ณ นคร, วินิจ หงส์อติกุล และ ชวลิต ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) แต่การเลือกตั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2518 เป็นต้นมา กฎหมายได้ระบุให้ผู้สมัครต้องสังกัดพรรคการเมือง ผู้สมัคร จึงต้องสังกัดพรรคแต่ก็ยังคงต้องช่วยเหลือตนเอง โดยมักใช้ จุดเด่นของตนในการหาเสียงเป็นหลักมากกว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับพรรคในแนวทางสังคมนิยม ซึ่งเป็นกลุ่มกระแสความคิด ที่เป็นรองในสังคมนั้น การที่ผู้สมัครสังกัดพรรคเหล่านี้ก็จะมี ภาพของผู้ที่มีแนวคิดสังคมนิยมติดตัวมาด้วย ซึ่งก็ส่งผลทั้งด้าน บวกและด้านลบต่อการที่ชาวบ้านจะสนับสนุนตนเองหรือไม่ ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2519 แนวคิดแบบ สงั คมนยิ มกำลงั ไดร้ บั ความนยิ มแตก่ ถ็ กู โจมตมี าก นายเอย่ี มศกั ด์ิ ซึ่งเป็นนักการเมืองในสายสังคมนิยมพยายามขยายฐานเสียง โดยการจัดตั้งและสร้างความเข้มแข็งให้กับการรวมตัวของคน งานเพื่อเป็นทั้งฐานทางการเมืองและเป็นเครือข่ายคอยดูแล ป้องกันกันและกันจนสำเร็จในระดับหนึ่ง จนสามารถหนุนให้ นายเอย่ี มศกั ดไ์ิ ดร้ บั การเลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรได ้ อย่างไรก็ตาม การรวมตัวของสหภาพแรงงาน นายเอี่ยมศักดิ์มีส่วนในการผลักดันก็ยังหลวมๆ ไม่เข้มแข็ง มากพอ เพราะเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มก่อตัว ทั้งยังถูกขัดขวางทำลาย อยู่เสมอ นอกจากนี้หลังจากชนะการเลือกตั้ง นายเอี่ยมศักดิ ์ มีภารกิจมากขึ้นจึงทำให้เหินห่างจากกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่เคยต่อสู้ หรือหนุนช่วยกันตั้งแต่ในระยะแรก จึงไม่สามารถพัฒนาความ 138

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต เข้มแข็งของการรวมตัวของผู้สนับสนุนให้มาเป็นหูเป็นตาหรือ ปกป้องดูแล อีกทั้งนายเอี่ยมศักดิ์ไม่ได้มีฐานสนับสนุนทั้งจาก นายทุนหรือราชการ และยังอาจเป็นปฏิปักษ์กันอยู่เสมอ จึงเป็น สาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายเอี่ยมศักดิ์ถูกลอบสังหารหลังจากนั้น ไม่นาน 4.3.1.8.3 รูปแบบและกลวิธีการหาเสียงของ นายเอยี่ มศกั ด ์ิ เนื่องจากนายเอี่ยมศักดิ์มีฐานของผู้ใช้ แรงงานสนับสนุน ในการหาเสียงจึงได้มีคนเหล่านี้มาช่วย รณรงค์หาเสียงให้ด้วยวิธีการที่ทำกันทั่วไป เช่น การลงพื้นที่ ตามบ้าน การใช้รถขยายเสียง การปราศรัย เป็นต้น โดยเน้น การนำเสนอเนื้อหาที่ปรับจากแนวคิดสังคมนิยมมาให้ สอดคล้องกับคนทั่วไปที่จะสามารถรับได้ และดังที่กล่าวแล้วว่า หลังจากพ้นสภาพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่นาน นายเอี่ยมศักดิ์ก็เสียชีวิตจาก การถูกลอบยิง กล่าวกันว่า การเสียชีวิตของท่านเนื่องมาจาก การที่นายเอี่ยมศักดิ์พยายามตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ ที่ดินให้กับนายทุนที่เคยได้รับประทานบัตรการทำเหมืองแร่ ที่ตามกฎหมายนายเหมืองจะต้องคืนที่ดินแก่รัฐ เมื่อหมดอายุ ประทานบัตร แต่นายเหมืองแทบทั้งหมดจะยึดที่ดินที่ได้รับ ประทานบัตรเป็นของตนเองมาโดยตลอด เมื่อนายเอี่ยมศักดิ์ เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อขุดคุ้ยเปิดโปงในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ จึงเป็นสาเหตุทำให้ท่านถูกลอบยิงอย่างอุกอาจจนเสียชีวิตใน คอฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่ง 139

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต 4.3.1.9 สรุปภาพรวมการเมืองจังหวัดภูเก็ตในยุคท่ี 1 นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ตยุคที่ 1 ที่เป็นมีการประลอง กำลังหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในระหว่าง พ.ศ. 2475-2521 นั้น จะเห็นความหลากหลายของแนวคิดและสถานะพื้นหลัง ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยระยะแรกผู้ที่เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจะอยู่ในกลุ่มของเจ้าเมือง ชนชั้นสูง แต่ก็มีผู้ที่มี แนวคิดสอดคล้องกับคณะราษฎร และสังคมนิยมอย่างนายชิต เวชประสิทธิ์ ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สลับกับผู้ที่มี ความสัมพันธ์กับคนหลายกลุ่มอย่างคุณหญิงแร่ม พรหโมบล บุณยประสพ ตามด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีแนวคิด สังคมนิยม โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรค ประชาธิปัตย์แทรก แต่ก็เป็นในช่วงไม่นานนัก จนหลัง พ.ศ. 2521 ฝ่ายที่มีแนวคิดสังคมนิยมจึงหมดบทบาทลง 4.3.2 ยุคที่ 2 การค้นหาแนวทางหลังยุคเหมืองแร่ (พ.ศ. 2522 ถึง 2534) ในยคุ นผ้ี ทู้ ไ่ี ดร้ บั การเลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ในชว่ งนม้ี ี 2 ทา่ น คอื นายจรญู เสรถี วลั ย์ และนายเรวฒุ ิ จนิ ดาพล สำหรับการเมือง ภูมิหลังเครือข่ายทางการเมือง และกลวิธี หาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ตยุคที่ 2 มีรายละเอียด ต่อไปนี้ 4.3.2.1 นายจรูญ เสรีถวัลย์ นายจรูญ เสรีถวัลย์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 ครั้ง สังกัดพรรคประชา- ธิปัตย์ ครั้งที่ 1 ดำรงตำแหน่งในช่วงวันที่ 22 เมษายน 2522 ถึง 140

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 19 มีนาคม 2526 และครั้งที่ 2 ดำรงตำแหน่งในช่วงวันที่ 18 เมษายน 2526 ถึง 2 พฤศจิกายน 2529 4.3.2.1.1 ภมู หิ ลังของนายจรญู เสรีถวลั ย ์ นายจรูญเป็นชาวภูเก็ตโดยกำเนิด มีฐานะ ปานกลาง สำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์จนได้เป็น ทนายความ ขณะเดียวกันก็ประกอบอาชีพทำร้านอาหาร ไปดว้ ย นายจรญู เรม่ิ เขา้ สวู่ งการเมอื งโดยเขา้ มาเปน็ ทมี สนบั สนนุ นายอมรศักดิ์ องค์สรณะคม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดภูเก็ต (ชวลิต ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) แต่ต่อมาก็เกิดการขัดแย้งกัน เมื่อนายนายอมรศักดิ์ได้เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่ได้เกาะติดพื้นที่เหมือนเดิม ขณะที่ นายจรูญเกาะติดพื้นที่ทำให้นายจรูญสามารถขยายฐานเสียง จนได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อมาถึง 2 สมัย 4.3.2.1.2 ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นายจรูญ นายจรูญมีฐานเสียงกว้างเนื่องจากจุดเด่น ของท่านที่เป็นคนเปิดเผย ท่านสามารถเข้าได้กับคนทุกวงการ ทั้งท่านยังเป็นทนายความ จึงเป็นคนที่มีเพื่อนมาก ท่านไม่ ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับนายทุน ฐานเสียงของท่านครอบคลุมถึง คนรุ่นหนุ่มสาวไปจนถึงนายทุนที่นายจรูญมักไปคลุกคลี ขณะที่ บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ยังมีน้อย (ชวลิต ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) นายจรูญจึงได้รับเลือกตั้ง เพราะ คุณลักษณะและความสามารถส่วนตัวมากกว่าจากการหนุน ของพรรคจนได้รับเลือกตั้งถึงสองสมัย 141

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.3.2.1.3 รปู แบบและกลวธิ กี ารหาเสยี งของนายจรญู นายจรูญใช้วิธีการหาเสียงตามปกติทั่วไป เชน่ การลงพน้ื ทต่ี ามบา้ นเรอื น การจดั ขบวนแหด่ ว้ ยรถขยายเสยี ง และการปราศรัย สิ่งที่ชูในการหาเสียง คือ การเน้นให้คนรู้จัก ตัวผู้สมัครคือนายจรูญ และเชิญชวนให้เลือกตน นายจรูญ เสรีถวัลย์ จะชูภาพของการเป็นคนง่าย ๆ ชาวบ้านจะเรียกท่าน ด้วยชื่อเล่นจนติดปากว่า “โกโช้ง” (ชวลิต ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557 และ พเิ ชษฐ์ ปานดำ และ รตั นาภรณ์ แจง้ ใจด,ี สัมภาษณ์, 17 มกราคม 2557) นายจรูญจึงสามารถเข้าถึง ประชาชนทั่วไป ช่วงที่นายจรูญ เสรีถวัลย์ ได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การแข่งขันกันหาเสียงไม่มีมากนัก เนื่องจากประเด็นทางสังคมในจังหวัดภูเก็ตไม่เข้มข้นเหมือน ในอดีต เนื่องจากการทำเหมืองแร่เริ่มซบเซา ส่วนธุรกิจการ ท่องเที่ยวในเกาะภูเก็ตก็ยังเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้น กลุ่มที่มี แนวคิดสังคมนิยมก็ถูกโจมตีจนกลายเป็นภาพลบในสายตาของ ชาวบ้านทั่วไป ประเด็นสำคัญที่ชาวภูเก็ตสนใจในช่วงนี้ คือ การทำเหมืองแร่ การครอบครองที่ดิน นายจรูญมักให้สัมภาษณ์ เรื่องเหมืองแร่ เรื่องมือปืนคอยปองร้ายท่านอยู่เสมอ (ชวลิต ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557 และ พิเชษฐ์ ปานดำ และ รัตนาภรณ์ แจ้งใจดี, สัมภาษณ์, 17 มกราคม 2557) จนเป็นที่สนใจและถกู จับตาของชาวบ้านอยู่เสมอ หลังจากได้รับการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2522 และ 2526 แล้ว นายจรูญก็ลงสมัครรับการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2529 อีก 142

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต แต่ไม่ได้รับเลือก โดยผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง คือ นายเรวุฒิ จินดาพล 4.3.2.2 นายเรวุฒิ จินดาพล นายเรวุฒิ จินดาพล ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ต จำนวน 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 สังกัด พรรคพลังใหม่ ดำรงตำแหน่งในช่วงวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 ถึง 29 เมษายน 2531 ครั้งที่ 2 สังกัดพรรคชาติไทย ดำรง ตำแหน่งในช่วงวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2534 และครั้งที่ 3 สังกัดพรรคชาติไทย ดำรงตำแหน่งในช่วง วันที่ 22 มีนาคม 2535 ถึง 22 พฤษภาคม 2535 4.3.2.2.1 ภมู ิหลงั ของนายเรวุฒิ จินดาพล นายเรวุฒิเป็นชาวภูเก็ตโดยกำเนิด ท่านเกิด เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2501 ในตระกูลผู้มีฐานะดีของจังหวัด ภูเก็ต ที่ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ด้าน การศึกษานายเรวุฒิสำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ (ปวช.) จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต ก่อนเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรนายเรวุฒิได้ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว อุปนิสัยของนายเรวุฒิเป็นคนที่มีความเป็นตัว ของตัวเองสูง ทำอะไรทำจริง กล้าได้กล้าเสีย ถึงลูกถึงคน เรียบง่าย ติดดิน ทำให้ท่านเข้ากับชาวบ้านได้ง่าย แต่ก็ทำให้ นายเรวุฒิแปลกแยกกับกลุ่มที่มีฐานะดี ซึ่งมีวิถีชีวิตแตกต่าง ออกไป ทั้งที่โดยพื้นฐานแล้วครอบครัวและเครือญาติของ นายเรวุฒิเป็นผู้มีฐานะดี ประกอบกับนายเรวุฒิจบการศึกษา ไม่สูงนัก คือ ระดับ ปวช. ก็เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ท่าน 143

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ต้องการเอาชนะ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) รวมทั้งเป็นแรงผลักหนึ่งในการลงสมัครเลือกตั้ง ใน พ.ศ. 2529 ที่นายเรวุฒิลงสมัครครั้งแรก นั้น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจการเมืองในจังหวัดภูเก็ต คือ เป็นช่วงที่การทำเหมืองแร่หมดบทบาทลง ขณะที่ธุรกิจ การท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาแทนที่ โดยมีการเผาโรงงานแทนทาลั่ม เป็นเหตุการณ์สำคัญ ซึ่งนายเรวุฒิได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2529 นายเรวุฒิมีคู่แข่ง คนสำคัญ เช่น นายจรูญ เสรีวัลย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรสองสมัยจากพรรคประชาธิปัตย์ นายบันลือ ตันติวิท ผู้ซึ่งเคยขอสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้จึงต้องลง ในนามพรรคราษฎร นายเกษม สุทธางกูร จากพรรคกิจสังคม นายเสริมศักดิ์ ปิยะธรรม จากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น สำหรับนายเรวุฒิในขณะนั้นถูกมองว่า เป็นผู้สมัครหน้าใหม่ ที่ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีคุณสมบัติที่จะเทียบได้กับผู้สมัครคนอื่นๆ เลย จึงเป็นแรงผลักให้นายเรวุฒิต้องการเอาชนะโดยการ ลงสมัครรับเลือกตั้งให้ได้ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ในที่สุดนายเรวุฒิก็ได้ลงสมัครสังกัดพรรค พลังใหม่ที่มีนายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค พรรคพลังใหม่ขณะนั้น เป็นพรรคแนวสังคมนิยมที่ไม่โดดเด่น เหมือนก่อน เป็นพรรคขนาดเล็ก ผู้สมัครจะต้องช่วยเหลือตัวเอง เปน็ หลกั ในการหาเสยี ง แมน้ ายเรวฒุ จิ ะลงสมคั รแลว้ แตช่ ว่ งแรก นายจรัญ จินดาพล ผู้เป็นบิดาของเขาก็ยังสนับสนุนการ หาเสียงของนายบันลือ ตันติวิท เนื่องจากได้รับปากกันไว้กับ นายบันลือก่อนแล้ว 144

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่า นายเรวุฒิตัดสินใจ ลงสมัครแล้วก็ทำให้นางเบญญา มารดา ของนายเรวุฒิ พร้อมด้วยเครือญาติได้ร่วมกันหารือ และหาทางช่วยเหลือ นายเรวุฒิโดยการหา “ทีมงาน” มาหนุน การหาทีมงานจะต้อง เป็นผู้ที่สามารถทำให้นายเรวุฒิหันมายอมรับฟังและเชื่อถือ หรือ “เอาเรวุฒิอยู่” ได้ เพราะญาติต่างมองกันว่า นายเรวุฒิ มีนิสัยหัวดื้อ ทีมงานที่สำคัญที่ถูกดึงมาช่วยนายเรวุฒิ เช่น โกนิจ และหลายคนก็เป็นญาติของนายเรวุฒิ จนทำให้เกิดเป็น การทำงานการเมืองรูปแบบใหม่ คือ การที่ไม่ได้อาศัยความ โดดเด่นของผู้ลงสมัครเป็นหลัก แต่จะเน้นการทำงานเป็นทีม เพื่อใช้ทีมไปสร้างให้ผู้สมัครโดดเด่นขึ้นมา เป็นการทำงานเป็น ทีมอย่างมีแนวคิด มีการวางยุทธศาสตร์ วิธีการอย่างชัดเจน ทั้งในขั้นตอนการหาเสียง และขั้นตอนการดำเนินงานในช่วงที่ ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ต่อมาการเมืองในภูเก็ตได้นำ วิธีการนี้ไปใช้อย่างกว้างขวาง การดำเนินงานเป็นทีมอย่างมีการวางแผน ของนายเรวุฒิและทีมงานได้เริ่มส่งผลทำให้นายเรวุฒิสามารถ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่เขาเป็น เหมือนม้านอกสายตามาตลอด โดยเหตุการณ์ที่ทำให้นายเรวุฒิ พลิกมาเป็นผู้ชนะ คือ เหตุการณ์เผาโรงงานแทนทาลั่ม สำหรับคนทั่วไปภาพพจน์ของนายเรวุฒิใน การเลือกตั้ง พ.ศ. 2529 เป็นคนหนุ่มที่ก้าวหน้า กล้าต่อสู้กับ ความไม่ถูกต้อง เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เหตุการณ์ 145

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต การเผาโรงงานของบริษัทไทยแลนด์แทนทาลัม เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2529 ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของจังหวัดภูเก็ตที่ เคยเป็นเมืองแห่งการทำเหมืองแร่ และกำลังเปลี่ยนมาสู่การ เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว การจลาจลเกิดขึ้นท่ามกลางการ หาเสียงอย่างเข้มข้นก่อนวันเลือกตั้งประมาณ 1 เดือน การคัดค้านโรงงานบริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัมอิน ดัสทรีย์ (ทีทีไอซี) เริ่มจากการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาในนามชมรม อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 14 สถาบัน (คอสท.) และ นักวิชาการทางด้านสิ่งแวดล้อมกลุ่มหนึ่งที่กังวลว่า จะเกิด ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ขณะนั้นเกิดกระแสต่อต้าน แทนทาลั่มขึ้นในหมู่คนภูเก็ตอย่างกว้างขวาง ในช่วงแรกผู้เข้า ร่วมชุมนุมคัดค้านเป็นไปโดยสันติวิธี มีการจัดระเบียบการ ชุมนุมอย่างดี แต่เมื่อการชุมนุมขยายตัวออก ทำให้การชุมนุม ไม่สามารถควบคุมฝูงชนให้อยู่ในระเบียบได้ ทั้งยังขาดการ เตรียมพร้อมในการเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงไว้ล่วงหน้า ทำให้ มีกลุ่มอื่นเข้ามาแทรกและนำเหตุการณ์ดังกล่าวมาเป็น ประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจของตน (ชาติชาย มุกสง) ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดขึ้นใกล้วันลงคะแนน เสียงเลือกตั้ง ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากพรรคต่าง ๆ ในจังหวัดภูเก็ตจึงเฝ้าติดตามเหตุการณ์อย่าง ใกล้ชิดและเข้าร่วม เช่น นายเสริมศักดิ์ ปิยะธรรม ที่เป็นผู้สมัคร ของพรรคประชาธิปัตย์ก็ขึ้นปราศรัยบนเวทีของผู้ต่อต้านโรงงาน แทนทาลั่มตลอด มีการพูดกันว่า ได้มีคนบางกลุ่มเตรียมการ จะให้นายบันลือ ตันติวิท ผู้สมัครสังกัดพรรคราษฎรได้เป็น ขวัญใจประชาชนจากเหตุการณ์นี้ มีการจัดเตรียมพวงมาลัยไว้ 146

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต คล้องคอ และเตรียมคนชุดหนึ่งเพื่อแบกนายบันลือขึ้นบ่าแห่ไป รอบเมืองในฐานะผู้นำการต่อสู้จนเรียกร้องให้ปิดโรงงานได้ สำเร็จ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง อันจะทำให้นายบันลือได้รับ การเลือกตั้งอย่างแน่นอน จึงมีการวิจารณ์กันว่า สิ่งนี้เป็นแรง ผลักให้คู่แข่งต้องปรับตัวตาม รวมทั้งอาจรวมถึงทีมงานของ นายเรวุฒิที่พลิกเกม โดยกำหนดให้นายเรวุฒิประกาศยอมตาย เพื่อตัดหน้าก็อาจเป็นได้ (คณะกรรมการกฤษฎีกา, มีนาคม 2535, ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์, 2549, ชาติชาย มุกสง) ดังนั้น ในเหตุการณ์นี้กลุ่มของนายเรวุฒ ิ ได้เข้าร่วมการคัดค้านโรงงานแทนทาลั่ม เช่นกัน โดยนายเรวุฒิ ถึงกับประกาศว่า ถ้าเขาได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขาจะ ไม่ยอมให้โรงงานแทนทาลั่มเกิดขึ้น ถ้าหากทำไม่สำเร็จเขาจะ ยิงตัวตายที่หน้ารัฐสภาทันที พร้อมกันนั้นทีมงานต่อต้าน โรงงานแทนทาลั่มของนายเรวุฒิได้แยกตัวออกมาเคลื่อนไหว ต่างหากจากกลุ่มอื่น เช่น ช่วงนั้นทีมของนายเรวุฒิได้ประสาน ขอให้คนขับรถตุ๊กตุ๊กทุกคันเขียนป้ายว่า “ชมรมตุ๊กตุ๊กขอต่อ ต้านโรงงานแทนทาลั่ม” ขณะที่ผู้สมัครคู่แข่งก็พยายามเข้าไป ประสานกับกลุ่มคนขับตุ๊กตุ๊กเช่นกัน โดยให้พวกขับรถสามล้อ ตุ๊กตุ๊กไปรับเงินคันละ 100-150 บาท ตอนที่ไปรับเงินพวกขับ ตุ๊กตุ๊กก็ปลดป้ายต่อต้านโรงงานแทนทาลั่มออกเพื่อไปรับเงิน ก่อน (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) เมื่อ กลับมาก็กลับมาติดป้ายใหม่ กิจกรรมการต่อต้านโรงงานแทนทาลั่มของ กลุ่มนายเรวุฒิยังทำโดยการไปยืมโลงมาจากมูลนิธิมาแห่ วันที่ 147

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา มาเจรจานายเรวุฒิกับพรรค พวกก็เอาโลงแห่ไปรับนายจิรายุที่สนามบิน แล้วแห่เคลื่อนไป ทั่วเมืองผ่านศาลาประชาคม วกเข้ามาในตลาด แล้วเคลื่อนแห่ ตามนายจิรายุไปที่สะพานหิน ผ่านไปที่หน้าโรงแรมเพิร์ล แต่ นายจิรายุได้กลับไปโรงแรมภูเก็ต เมอร์ลิน แล้วหลบผู้ชุมนุม ออกไปทางหลังโรงแรมไปทางสถานีตำรวจแล้วขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ไปโคกกลอยทันที ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ในวันที่เกิด เหตุการณ์ที่โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน ฝ่ายผู้ชุมนุมได้ถกเถียงกับ เจ้าของโรงแรมภูเก็ต เมอร์ลิน (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) จากนั้นเหตุการณ์ก็เกิดความวุ่นวายตาม มาจนบานปลายจนกลายเป็นจลาจลเผาโรงงาน ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คนหนึ่งเล่าว่า การเผา โรงงานแทนทาลั่ม ในวันที่ 23 มิถุนายน 2529 เหมือนมีการ เตรียมการไว้ล่วงหน้า โดยผู้ชุมนุมทั่วไปไม่รู้เรื่องมาก่อน เพราะ มีการเจาะเป็นรูใหญ่เป็นช่องข้างฝาให้คนเข้าไปได้ พอถึงเวลา ก็เห็นคนพวกหนึ่งบุกเข้าไป พวกหนึ่งไปเอาน้ำมัน อีกพวกหนึ่ง จุดไฟ ทำเหมือนยุทธการการรบอย่างเป็นระบบ สุดท้ายแกนนำ ส่วนมากที่เคยประกาศจุดยืนก็หนีออกจากพื้นที่ โดยส่วนมาก ไปอยู่ที่กระบี่ เช่น ทีมของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บางคนไดล้ งเรอื ทห่ี วั ทา่ แถวรษั ฎาไปขน้ึ ฝง่ั ทก่ี ระบ่ี (วนิ จิ หงสอ์ ตกิ ลุ , สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้ที่ถูกจับจำนวน มาก ซึ่งมีการวิจารณ์กันว่า ผู้ที่ถูกจับกุมบางคนเพียงแค่ไปยืนดู ส่วนคนอื่นๆ ที่ลงมือทำจริงกลับหลบหนีไปได้ ต่อมาได้มีการ 148

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต จบั กมุ นายเรวฒุ ิ จนิ ดาพล และนอ้ งชาย คอื นายรณชยั จนิ ดาพล ทำให้มีผู้ที่ถูกจับกุมทั้งสิ้น จำนวน 37 คน การจับกุมนายเรวุฒิ เกิดขึ้นในวันที่ 27 มิถุนายน 2529 เริ่มจากการที่ตำรวจได้เรียก นายรณชัยไปสอบสวนที่สถานีตำรวจแล้วจับกุมตัว นายเรวุฒิ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่จึงได้ เข้าไปถามว่า น้องชายถูกจับทำไม ตำรวจจึงจับกุมนายเรวุฒิ ไปด้วย ทั้งหมดถูกนำไปขังไว้ในเรือนจำรวมกับนักโทษอื่นๆ มีการกำหนดเวลาเยี่ยม มีการตีตรวนเหมือนนักโทษอุกฉกรรจ์ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ทุกคนถูกตั้ง ข้อหาในคดีความผิดเกี่ยวกับการก่อการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง การก่อให้เกิดเพลิงไหม้ทำให้เสียทรัพย์ ผู้ที่ใกล้ชิดกับนายเรวุฒิคนหนึ่งเล่าว่า เมื่อ นายเรวุฒิถูกจับกุม พ่อแม่และญาติพี่น้องก็พยายามหาทาง ช่วยเหลือ พยายามมีการหาวีดีโอบันทึกภาพมาตรวจสอบ และเห็นว่า ในวันที่เกิดเหตุนายรณชัยน้องชายของนายเรวุฒ ิ ได้ขับรถไปจอดใกล้ ๆ โรงแรมภูเก็ต เมอร์ลิน ต่อมาได้มีคนยก พวกเข้าไปทุบทำลายในโรงแรม แล้วกลับออกมาเอาไม้โยนใส่ รถของนายรณชัย (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) เมื่อนายเรวุฒิถูกจับกุม จึงไม่มีโอกาสลง พื้นที่หาเสียงด้วยตัวเองอีก แต่นายเรวุฒิกลับได้รับความสนใจ และความศรัทธาจากการต่อสู้จนถูกจับกุม ขณะที่แกนนำอื่นๆ หลบหนีไป ประกอบกับปรากฏภาพการถูกจองจำทำให้เกิด กระแสความสงสารเห็นใจนายเรวุฒิขึ้น นายเรวุฒิจึงกลายเป็น 149

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ขวัญใจของชาวบ้าน ญาติพี่น้องของนายเรวุฒิรวมถึงนายอรัญ ผู้เป็นพ่อที่เคยหนุนนายบรรลือในช่วงแรกก็มาช่วยเดินหาเสียง ให้นายเรวุฒิตามตลาด เพราะเหลือเวลาอีกไม่มากก็จะถึง วันเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายฝ่ายเข้ามาช่วยหาเสียง จนในที่สุดนายเรวุฒิก็สามารถพลิกจากการเป็นม้านอกสายตา มาเป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งครั้งนั้นอย่างเหนือชั้นด้วยคะแนน ท่วมท้น หลังจากได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว นายเรวุฒิก็ยังถูกดำเนินคดีที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ใน พ.ศ. 2529 เรื่อยมา ขณะเดียวกันนายเรวุฒิและทีมงานก็ได้เริ่มวาง ฐาน ขยายฐาน และพัฒนาความเข็มแข็งของฐานทางการเมือง ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ได้รับการเลือกตั้งอีกสองสมัย โดยการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2531 นายเรวุฒิได้ลงสมัครในนาม พรรคชาติไทย และได้รับการเลือกตั้งได้เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเป็นสมัยที่สอง และได้รับการเลือกตั้งจากการ ลงสมัครโดยสังกัดพรรคชาติไทยในวันที่ 22 มีนาคม 2535 เป็น สมัยที่สาม แต่ในขณะที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งนี้ ศาลฎีกาก็ได้ตัดสินให้นายเรวุฒิต้องโทษจำคุก ทำให้ นายเรวุฒิต้องพ้นสภาพจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่มีการเลือกตั้งทดแทน เพราะใกล้ถึงจะการเลือกตั้งใหม่ ในปีเดียวกันนั้นเอง หลังจากพ้นโทษนายเรวุฒิได้ลงสมัครรับ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 โดยนายเรวุฒิได้ลงสมัครในนามพรรค 150

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ชาติพัฒนา เขต 2 แต่ก็พ่ายแพ้แก่นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ จากพรรคประชาธิปัตย์ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) หลังจากนั้น นายเรวุฒิก็ไม่ได้ลงสมัครอีก ต่อมาวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ก่อนเหตุการณ์สึนามิหนึ่งวัน นายเรวุฒิก็เสียชีวิตจากโรคลมปัจจุบัน 4.3.2.2.2 ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นายเรวฒุ ิ นายเรวุฒิมีฐานเสียงและเครือข่ายทาง การเมืองที่สำคัญแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม คือ ประชาชนในพื้นที่ ครอบครัวและเครือญาติ บุคคลใกล้ชิด บุคคลระดับสูง และ พรรคการเมือง ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1) ประชาชนในพ้ืนที่ นายเรวุฒิเป็นที่รัก ของประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะชาวบ้านยากจนและคนทั่วไป ทีมงานของนายเรวุฒิได้พยายามจัดตั้งกลุ่มชาวบ้านที่เป็น ฐานคะแนนเสียงของนายเรวุฒิเป็นแบบไม่เป็นทางการ จนทำให้แม้คู่แข่งจะมีเงินมาให้มากกว่า แต่ชาวบ้านจะรักเอ็นดู นายเรวุฒิมากกว่า ทั้ง ๆ ที่เรวุฒิก็มีฐานะมีเงินมากพอที่จะจ่าย ได้พอๆ กับคู่แข่ง แต่นายเรวุฒิกลับเอาชนะคู่แข่งได้ด้วยการ ได้ใจชาวบ้านแทน ซึ่งเกิดจากความสามารถของนายเรวุฒิที่มี บุคลิกน่ารัก จริงใจ เป็นที่ประทับใจชาวบ้าน ทีมงานก็ได้นำ บุคลิกที่เข้าถึงชาวบ้านได้ดีนี้มาขยายให้เด่นชัดขึ้น (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) 2) ครอบครัวและเครือญาติ นายเรวุฒิ เป็นทายาทของสองตระกูลฐานะดีของจังหวัดภูเก็ต โดยบิดา 151

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต คอื นายอรญั จนิ ดาพล มาจากตระกลู ทโ่ี ดดเดน่ ดา้ นเกษตรกรรม มีที่ดินมาก มารดา คือ นางเบญญา แห่งตระกูล อุปัติศฤงค์ ธิดาของนายฮั่นก๋วน แซ่หงอ ผู้เป็นต้นตระกูลกับภรรยาคนที่ สอง นางเบญญากับนายอรัญได้ดูแลกิจการของตระกูล คือ บริษัท สหการอุตสาหกรรมและสวนยาง นายเรวุฒิมีพี่น้อง 5 คน ในส่วนญาติฝ่ายแม่ของนายเรวุฒิ ตระกูล อุปัติศฤงค์ได้สร้างเครือข่ายสัมพันธ์กับตระกูลอื่นอย่าง กว้างขวาง เช่น นายจเร (ซันเหล) อุปัติศฤงค์ ลูกชายคนเดียว ที่ติดตามมาจากเมืองจีนของนายฮั่นก๋วนได้แต่งงานกับ นางเรวดี จากตระกูลหงษ์หยก มีบุตรชาย คือ นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ นักพัฒนาที่ดินที่มีชื่อเสียงบนเกาะภูเก็ต อดีต ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต ปัจจุบัน (พ.ศ. 2557) เป็นนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต นายสุริยะ อุปัติศฤงค ์ บุตรของนายฮั่นก๋วนกับภรรยาคนที่สองแต่งงานกับนางสันทนา จากตระกูลตันติวิท นายวิจิตร อุปัติศฤงค์ น้องชายของ นายสุริยะแต่งงานกับนางเกษมศรีแห่งตระกูลหงษ์หยก นายวิสันต์ อุปัติศฤงค์ น้องชายถัดจากนายวิจิตรแต่งงานกับ นางสุวรรณีพี่สาวของนางเกษมศรีแห่งตระกูลหงษ์หยก (หนึ่งฤทัย อินทขันตี, 2554, น.140) และยังมีการทำธุรกิจร่วมกัน ด้วย เช่น การทำเหมืองแร่ร่วมกับตระกูลตันติวิท ที่มีสมาชิก มีบทบาททางการเมือง คือ นายบันลือ ตันติวิท อดีตนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต และอดีตผู้สมัครเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร หรือการร่วมมือของตระกูลอุปัติศฤงค์ กับ ตระกูลจินดาพล และนายทุนต่างประเทศจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ 152

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต เกาหลี ทำโครงการบลู แคนยอน ในพื้นที่ 1,830 ไร่ ทำบ้าน คอนโดมิเนียม และสนามกอล์ฟขนาดมาตรฐานพร้อม สปอร์ตคลับ (ศึกชองอำนาจบริหารบลูแคนยอนยืดเยื้อ, 2549) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การบริหารทรัพย์สินร่วม หรือกงสีของ ตระกูลอุปัติศฤงค์ยังไม่ลงตัวนัก (จันจิรา แก้วประกอบ และ ประเสริฐ เฟื่องฟุ้ง, 2542ค) นายเรวุฒิจึงมีเครือข่ายของครอบครัวและ เครือญาติอย่างกว้างขวาง โดยคนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญทาง เศรษฐกิจการเมืองของจังหวัดภูเก็ตอย่างมาก 3) บุคคลใกล้ชิด ฐานเสียงของนายเรวุฒิ อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ บุคคลที่เคยใกล้ชิดของนายเรวุฒิและญาต ิ พี่น้อง เช่น กลุ่มคนที่เคยสนับสนุนนายอรัญผู้เป็นพ่อ ซึ่งเคย เป็นสมาชิกสภาจังหวัดภูเก็ต (สจ.) มาก่อน (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) นายอรัญจึงมีพรรคพวกอยู่มาก พอสมควร ดังจะเห็นจากการลงสมัครครั้งแรกของนายเรวุฒิ ใน พ.ศ. 2529 ที่แม้ว่า นายเรวุฒิมักทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ พ่อแม่ต้องการ หรือขัดใจพ่อแม่อยู่เสมอ แต่ครั้งนั้น นายอรัญ ก็มาเดินหาเสียงช่วยนายเรวุฒิ ในช่วงที่นายเรวุฒิถูกคุมขังอยู่ จนมีส่วนทำให้นายเรวุฒิได้รับคะแนนเสียงอย่างถล่มทะลาย นอกจากนี้บรรดาญาตินายเรวุฒิก็คบคนมาก ทั้งญาติฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ ได้ทำบุญตามวัดต่าง ๆ ไว้มาก ทำให้นายเรวุฒิก็มีพรรคพวกในสายนี้มากไปด้วย (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) 153

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต 4) บุคคลระดับสูง คนที่เคยใกล้ชิดของ นายเรวุฒิเล่าว่า แม้โดยทั่วไปนายเรวุฒิจะมีบุคลิกเป็นตัวของ ตัวเองสูง แต่นายเรวุฒิก็เป็นที่รัก และเมตตาของคนสำคัญ เช่น คุณหญิงบุญเรือน ชุนหะวัน ผู้ใกล้ชิดเล่าว่า แม้กระทั่งผู้ที่เป็น อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่นายเรวุฒิดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก ๆ อยู่นั้น นายเรวุฒิก็มักจะโทรศัพท์ ไปหาอยู่เสมอโดยเรียกแทนตัวเองว่า “ลูกวุฒิ” บางครั้ง นายเรวุฒิก็สามารถใช้สายสัมพันธ์ในการอำนวยความสะดวก ในการดำเนินงานได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต แม้นายเรวุฒิจะมีสายสัมพันธ์จากการเป็นเครือญาติกับ คนระดับสูง หรือมีฐานะดีในจังหวัดมากดังที่กล่าวแล้ว แต่ นอกเหนือจากนั้นกล่าวได้ว่า นายเรวุฒิจะไม่มีความใกล้ชิดกับ พวกพ่อค้า หอการค้า หรือนายทุนในจังหวัดภูเก็ตเลย หรือเป็น คนที่เข้ากับคนรวยไม่ติด และมีบทบาทสวนทางกับคนรวยเสมอ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) นอกจากนี ้ ผู้เสียประโยชน์ คู่แข่ง หรือฝ่ายตรงข้ามของนายเรวุฒิก็ยังหา ช่องทางโจมตีนายเรวุฒิอยู่ตลอดเวลา การแปลกแยกจากคน ระดับบนของนายเรวุฒิอาจจะมาจากข้อด้อยหลายอย่าง ของนายเรวุฒิ เช่น เรื่องระดับการศึกษา ตลอดจนบุคลิกของ นายเรวุฒิก็ถูกมองว่า เป็นแบบ “เด็กอาชีวะ” ซึ่งทำให้เข้ากับ คนระดับบน หรือนายทุนไม่ได้ แต่ความแปลกแยกนี้ก็ถูกลด ความเขม้ ขน้ ลงไดบ้ า้ ง จากการทน่ี ายเรวฒุ มิ ฐี านทบ่ี า้ นมฐี านะดี และพ่อเป็นเคยนักการเมือง 154

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต นายเรวุฒิและทีมงานรู้ถึงจุดอ่อนของการไม่ สามารถเข้ากับกลุ่มนายทุน และคนระดับสูงของนายเรวุฒิได้ดี ดังนั้นจึงพยายามหลีกเลี่ยงการเกิดความขัดแย้งกับกลุ่มอื่น โดยเฉพาะหลีกการกระทบกระทั่งกับผู้ที่มีบารมีมากๆ เพราะ เห็นว่า จะสู้ได้ยาก เช่น นายเอกพจน์ วานิช เนื่องจากเห็นว่า นายเอกพจน์ขณะนั้นเป็นวุฒิสมาชิก และมีเครือข่าย ความสัมพันธ์กับคนระดับสูงอย่างกว้างขวาง โดยในขณะนั้น นายเอกพจน์อยู่ในสายของพลตำรวจเอก สล้าง บุนนาค และ นายวรี ะ มสุ กิ พงษ์ สายพรรคประชาธปิ ตั ย์ ทง้ั น้ี กอ่ นทน่ี ายเรวฒุ ิ จะลงรับสมัครครั้งแรกใน พ.ศ. 2529 ทีมนายเรวุฒิยังไม่ทราบ รายละเอียดเหล่านี้มากนัก รู้เพียงว่า ตนเองมีสิทธิลงสมัครก็ไป สมัครเท่านั้น แต่ตั้งแต่ พ.ศ. 2531เมื่อตัดสินใจลงต่อสู้ในการ เลือกตั้งกับนางอัญชลี ซึ่งเป็นลูกสาวของนายเอกพจน์ ทีมงาน นายเรวุฒิจึงรับรู้สภาพการณ์ที่แท้จริงทางการเมืองมากขึ้น และต้องทำอย่างรอบคอบ จริงจัง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ จนนายเรวุฒิชนะการเลือกตั้งและชนะนางอัญชลีถึง 2 ครั้ง ผู้ที่เคยใกล้ชิดกับนายเรวุฒิบางคนยังกล่าว ว่า การที่มีบุคลิกตรงไปตรงมาของนายเรวุฒิยังทำให้นักข่าว บางคนไม่ชอบนายเรวุฒิ โดยมักเขียนวิจารณ์ว่า นายเรวุฒิไม่มี จุดยืนที่ดี และนักข่าวคนบางคนอาจมีอคติจากที่ไม่ได้เงินจาก นายเรวุฒิ ขณะที่นายเรวุฒิก็ไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจกับ นักข่าวเหล่านั้นเช่นกัน ทีมงานของนายเรวุฒิจึงต้องพยายาม หาทางเชื่อมช่องว่างเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด 155

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต 5) พรรคการเมือง กล่าวได้ว่า โดยรวมแล้ว การได้รับการเลือกตั้งของนายเรวุฒิแต่ละครั้ง พรรคการเมือง ที่สังกัดไม่ได้เป็นเงื่อนไขสำคัญที่มีผลต่อการได้รับเลือกตั้ง มากนัก แต่มาจากบทบาทการปรับตัวของนายเรวุฒิและ ทีมงานเป็นหลัก ซึ่งบางครั้งทีมงานก็อาศัยพรรคการเมืองเป็น ปัจจัยหนึ่งในการผลักดันนายเรวุฒิเท่าที่จะทำได้เท่านั้น (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ในการลงสมัครครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2529 ที่นายเรวุฒิเป็นสมาชิกพรรคพลังใหม่นั้น บรรยากาศทาง การเมืองในช่วงที่เป็นช่วงที่กระแสแนวคิดสังคมนิยมในไทย ตกต่ำ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา ในการ เลือกตั้ง พ.ศ. 2529 มีเพียงพรรคพลังใหม่ ซึ่งเป็นพรรคใน แนวทางสังคมนิยมพรรคเดียวเท่านั้น ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งประเทศ และได้รับเลือกเพียง 1 ที่นั่ง ได้แก่นายเรวุฒิ จินดาพล นี้เอง สำหรับในพรรคพลังใหม่ มีการกล่าวกันว่า นายเรวุฒิเป็นสมาชิกที่กรรมการพรรคไม่อาจควบคุมได้ เห็นว่า เรวุฒิไม่ยอมรับการจัดตั้งหรือแนวทางที่ตกลงร่วมกัน เป็นลักษณะวีรชนเอกชน จนที่สุดได้มีมติขับนายเรวุฒิออกจาก พรรคใน พ.ศ. 2530 (ประจวบ อัมพะเศวต, 2546, น. 36-37) นอกจากนี้ยังเห็นว่า ที่นายเรวุฒิได้รับเลือกตั้งไม่ใช่เพราะมี อุดมการณ์ หรือความสังคมนิยมแต่อย่างใด แต่ได้รับเลือก เนื่องจากนายเรวุฒิเป็นผู้ฉวยโอกาสเก่ง มีการหาเสียงเชิงรุก ดุเดือด และแสดงได้อย่างถึงบทบาท ส่วนนายเรวุฒิก็เห็นว่า 156

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต พรรคไม่ได้หนุนช่วยอย่างจริงจัง แม้ขณะที่สมัคร พรรคพลังใหม่ ยังไม่จ่ายเงินค่าสมัคร 5,000 บาท ให้นายเรวุฒิเลย ทีมงานของ นายเรวุฒิก็เห็นว่า พรรคพลังใหม่เล็กเกินไป และไม่มี ภูมิต้านทานที่ดีให้แก่สมาชิก เห็นว่า พรรคพลังใหม่มีจุดยืนที่ดี แต่ระบบอย่างอื่นของพรรคไม่มีอะไรเลย เป็นพรรคที่ไม่มีอะไร ให้ไต่เต้า การเล่นการเมืองจะต้องเปิดโอกาสให้สามารถไต่เต้า ทางการเมืองให้สูงขึ้นได้ ไม่ใช่อยู่ที่เดิมตลอด ทีมงาน จึงต้องการให้นายเรวุฒิย้ายพรรค ในการเลือกตั้งครั้งที่สองของนายเรวุฒ ิ ใน พ.ศ. 2531 นายเรวุฒิจึงได้ย้ายจากพรรคพลังใหม่ไปสังกัด พรรคชาติไทยและรับการเลือกตั้ง ต่อมาในการเลือกตั้งครั้งที่ สาม ในวันที่ 22 มีนาคม 2535 นายเรวุฒิ ซึ่งสมัครในนามพรรค ชาติไทยก็ได้รับการเลือกตั้งอีก แต่นายเรวุฒิต้องขึ้นศาลในวัน ประกาศผลการนับคะแนน และศาลได้ออกหมายจับนายเรวุฒิ ในวันนั้นเลย ทำให้นายเรวุฒิ ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรอีก ต้องหมดสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรลงทันที และจะเลื่อนผู้ที่ได้คะแนนอันดับสองขึ้น มารับตำแหน่งแทน ได้แก่ นายบัญญัติ จริยเลอพงศ์ จากพรรค ความหวังใหม่ แต่ขณะที่นายบัญญัติกำลังเดินทางไปรัฐสภา ก็เกิดการทำรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อย แห่งชาติ (รสช.) พอดี ต่อมาในการเลือกตั้ง ในวันที่ 13 กันยายน 2535 นายเรวุฒิจะลงสมัครอีก แต่ทีมงานทราบมาก่อนแล้วว่า นายเรวุฒิจะถูกออกหมายจับก่อนจะถึงวันรับสมัคร 2-3 วัน 157

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากถูกพรรคคู่แข่งบีบ ทีมงานจึงได้วางแผนให้นายเรวุฒิ พดู ใสเ่ ครอ่ื งบนั ทกึ เสยี งเอาไว้ แลว้ ใหห้ ลบไปกอ่ น โดยใหไ้ ปทำที เป็นการเข้าโรงพยาบาลเดชา แล้วให้คนของนักการเมือง ภาคตะวันออกมารับออกไปหลบอยู่ที่จังหวัดสระแก้ว เมื่อ ตำรวจตามไปจับนายเรวุฒิที่โรงแรมศิริ ซึ่งขณะนั้นถูกใช้เป็น ศูนย์การทำงาน จึงไม่สามารถจับนายเรวุฒิได้ ทีมงานก็นำเสียง ที่บันทึกเสียงไปเปิดให้ชาวบ้านฟังบนเวทีซึ่งจัดที่สนามกีฬา สุระกุล โดยจัดขบวนแห่ไปจากสะพานหิน (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) นายเรวุฒิได้กล่าวกับชาวบ้าน ในเครื่องบันทึกเสียงว่า ขออภัยที่มาปราศรัยไม่ได้เนื่องจาก ไม่ปลอดภัยและขอความยุติธรรมจากชาวบ้าน จากนั้นนายเรวุฒิก็ได้เดินทางจากจังหวัด สระแก้วไปจังหวัดสงขลา และเข้ามอบตัว โดยทีมงานคิดว่า จะยืดระยะเวลาให้นายเรวุฒิสามารถต่อสู้ต่อได้ แต่มีการกดดัน ทางการเมืองโดยการดึงเกมและพยายามไม่ให้นายเรวุฒิได้รับ อภัยโทษได้ทัน เพื่อไม่ให้นายเรวุฒิสามารถสมัครได้ทัน ทำให้ ทีมงานตัดสินใจส่งนายเรวัตร จินดาพล ซึ่งเป็นน้องชาย นายเรวุฒิลงสมัครแทนในนามพรรคพลังธรรม ในการเลือกตั้งครั้งนั้น แม้นายเรวุฒิจะไม่ สามารถลงสมัครได้ แต่ก็มีเหตุการณ์สำคัญในการต่อสู้เพื่อ หาเสียง ที่ควรกล่าวถึง คือ ได้มีการจัดเวทีหาเสียงพร้อมกันของ พรรคประชาธิปัตย์ที่สะพานหิน และเวทีของพรรคพลังธรรม ที่สนามกีฬาสุระกุล ทั้งสองพรรคเป็นคู่แข่งที่สำคัญในการ เลือกตั้งของภูเก็ตครั้งนั้น เวทีของพรรคพลังธรรมมีความ 158

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ได้เปรียบที่มีพลตรี จำลอง ศรีเมือง ผู้เป็นหัวหน้าพรรค และ มีความโดดเด่นหลังการยึดอำนาจของ รสช. และเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬมาร่วม แต่กลับไม่สามารถตรึงคนไว้ได้ เนื่องจาก พลตรี จำลอง ศรีเมือง ต้องการเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก่อน โดยไม่ยอมอยู่เพื่อปราศรัยต่อในตอนกลางคืนทำให้คนที่อยู่ใน สนามกีฬาสุระกุลจำนวนมากย้ายไปไปฟังการปราศรัยที่เวที สะพานหินของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตอนแรกจำนวนคนฟัง น้อยกว่า และปราศรัยด้วยเนื้อหาหลักของเวที คือ การตอกย้ำ ว่า “จำลองพาคนไปตาย” ทีมงานของนายเรวุฒิกล่าวว่า นี้เป็นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้นายเรวัตรไม่ได้รับเลือกตั้ง (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) และ นางอัญชลีได้รับเลือกตั้งเป็นครั้งแรก ในการลงสมัครรับเลือกตั้งใน พ.ศ. 2544 นับเป็นการลงสมัครเป็นครั้งที่สี่ของนายเรวุฒิ ครั้งนั้นนายเรวุฒิ ได้ย้ายไปสังกัดพรรคชาติพัฒนา การวางแนวการหาเสียงของ นายเรวุฒิมีกลุ่มญาติพี่น้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ขณะที่ ทีมงานเดิมที่เคยช่วยงานกลับมีบทบาทน้อยลง และบางคน ก็ไม่ได้มาช่วยเหลืออีก การเลือกตั้งครั้งที่สี่ นายเรวุฒิไม่ได้รับ การเลือกตั้ง กลา่ วไดว้ า่ บทบาทของพรรคทห่ี นนุ นายเรวฒุ ิ อนั ถอื เปน็ จดุ สงู สดุ ในชวี ติ ทางการเมอื งของนายเรวฒุ ิ คอื ชว่ งท่ี เป็นสมาชิกพรรคชาติไทย เพราะสามารถสร้างผลงานได้มาก นายเรวุฒิสามารถผลักดันโครงการที่เป็นประโยชน์ในท้องถิ่น หลายอย่าง เช่น ได้ตัดถนนสายกมลา-ป่าตอง, ถนนสาย 159

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ป่าตอง-กะรน, ถนนสายรอบเกาะภูเก็ต, สร้างท่าเรือน้ำลึก, สร้างสนามบินภูเก็ต, สร้างเขื่อนบางวาด, สร้างสะพานสารสิน 2 และ สร้างศาลาริมทาง เป็นต้น ซึ่งโครงการเหล่านี้จำนวนมาก ดำเนินการในช่วงที่นายเรวุฒิเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคชาติไทยที่นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นรัฐมนตรี กระทรวงคมนาคม ช่วงนั้น ถ้ามีผู้มาเยี่ยมนายเรวุฒิที่บ้านพัก ก็ให้เซ็นชื่อไว้ในสมุดและถือว่า เป็นสมาชิกพรรคเลย (วินิจ หงส์ อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ปรากฏว่า มีผู้เซ็นชื่อถึง ประมาณ 16,000 คน ซึ่งมากกว่าสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ เสียอีก แต่หลังจากนั้นรายชื่อเหล่านั้นไม่ได้นำมาพัฒนาต่อไป 4.3.2.2.3 รปู แบบและกลวธิ กี ารหาเสยี งของนายเรวฒุ ิ การได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายเรวุฒิครั้งแรกใน พ.ศ. 2529 เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงยังมี หลายอย่างที่ไม่สมบูรณ์ หลังจากได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแล้ว นายเรวุฒิและทีมงานจึงหาทางสร้างความพร้อม สมบูรณ์ให้มากขึ้นตามมาทีหลัง ทีมงานของนายเรวุฒิในช่วง แรกมีจำนวนไม่มาก ทีมงานได้พยายามหาวิธีการในการขยาย ฐานเสียงของนายเรวุฒิให้มั่นคงในระยะยาวในรูปแบบต่าง ๆ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) นอกจากวิธี การทั่วไปอย่างการทำแผ่นปลิว การปราศรัย แล้ว ยังมีวิธีการ เด่น ๆ คือ การสร้างทีมงาน การชูลักษณะเด่นของผู้สมัคร การจัดพวงหรีดไปร่วมงานศพ การเข้าร่วมงานประเพณีของ ชาวบ้าน การใช้เพลง การจัดขบวนแห่ การหนุนกลุ่มแม่บ้าน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 160

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต 1) การสร้างทีมงาน ในระยะแรกทีมงาน ของนายเรวุฒิมีอยู่ไม่มากนัก จึงต้องทำงานกันอย่างหนัก โดยเฉพาะเมื่อนายเรวุฒิไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ภาระต่าง ๆ ทั้งหมด ก็จะตกอยู่กับทีมงาน ต่อมาหลังจากที่ทีมงานได้สร้างฐาน ทางการเมืองให้นายเรวุฒิในระยะแรกจนมั่นคงแล้ว ก็มีผู้เข้ามา ช่วยเหลือเป็นทีมงานของนายเรวุฒิมากขึ้น (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) เช่น มีตำรวจติดตาม มีทีม จัดการรับส่งพวงหรีด มีคนขับรถ นายเรวุฒิมีทีมงานทาง การเมืองเพิ่มขึ้น เช่น นายชวิศ ตุ้งกู ที่เป็นเลขานุการของ นายเรวุฒิสองสมัย (รวมใจไทยชาติพัฒนา, 2556) 2 ) ก า ร ชู ลั ก ษ ณ ะ เ ด่ น ข อ ง ผู้ ส มั ค ร นายเรวุฒิเป็นคนที่พูดไม่เก่ง เหตุที่นายเรวุฒิลงรับสมัคร เลือกตั้งเนื่องจากนายเรวุฒิเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีพื้นฐานความคิดแบบอยากเอาเงินจากคนรวยไปช่วยคนจน จะมองว่า คนจนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ นายเรวุฒิเป็นคนที่ทำอะไรทำ จริง ถึงลูกถึงคน เช่น อยากเป็นทหารก็สมัครเข้าไปเลย แล้วไป เป็นทหารอยู่ที่จังหวัดชลบุรี เวลาไปเจอวงเหล้าก็จะร่วมวง กินเหล้ากับชาวบ้าน เป็นต้น (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) บุคลิกเช่นนี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน ทั่วไป แต่ระยะแรกของการรับสมัครและดำรงตำแหน่งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรนายเรวุฒิถกู มองว่า การทำงานของนายเรวุฒิ เป็นแบบเชยๆ บ้านๆ ทีมงานของนายเรวุฒิประเมินว่า กระแส ของคนภูเก็ตจะเห็นว่า “ไปเลือกเรวุฒิทำไม ไม่มีความรู้ เหมือน เอาควายเข้าสภา เป็นตัวตลก คนภูเก็ตก็เอาไปหัวเราะกัน ข้อเขียนตามหนังสือพิมพ์ที่มีคนเขียนถึงเกี่ยวกับเรวุฒิก็เป็น แบบนี้” 161

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต จากเสียงสะท้อนดังกล่าว ได้ทำให้ทีมงาน ของนายเรวฒุ พิ ยายามปรับตวั โดยเห็นวา่ จุดเด่นของนายเรวุฒิ คือ การเป็นผู้ที่ถนัดการดำเนินงานที่ต้องร่วมกับคนธรรมดา ทั่วไป ทีมงานจึงมุ่งให้นายเรวุฒิยึดถือแต่คนระดับล่าง หรือ คนทั่วไปตามที่ถนัดเป็นหลัก ให้นายเรวุฒิแสดงความเป็น ตัวแทนของคนข้างล่างที่คนอื่นไม่เห็น เช่น การไปเยี่ยมชาวเล เมื่อนายเรวุฒิไปถึงก็ตักข้าวกินเลย กินน้ำขันเดียวกับชาวเล นายเรวุฒิเห็นว่า คนรวยจะไม่เคยมองเห็นข้างล่าง นายเรวุฒิ จึงพยายามช่วยคนจน เช่น ผู้ที่เคยเป็นทีมงานเล่าว่า นายเรวุฒิ เคยเห็นชาวบ้านนอนป่วยอยู่ที่หลังโรงเรียนกะรนไม่มีเงินค่า รกั ษา นายเรวฒุ จิ งึ ไดฝ้ ากเงนิ กบั ทมี งานไปใหก้ บั คนไข้ 8,000 บาท ให้เขาเหมารถพาคนไข้ไปรักษาที่โรงพยาบาล มอ.หาดใหญ่ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) บางทีไปเจอ บ้านของชาวเลหลังคาไม่ดีก็ให้เงินไปซื้อสังกะสีให้ซ่อมแซมเลย หลักคิดสำคัญในการดำเนินการใด ๆ ของ นายเรวุฒิและทีมงาน คือ “อย่าโกหกชาวบ้าน เพราะถ้าเรา โกหก สักวันหนึ่งเขาจะทราบความจริง เหมือนฟ้ามีตา แล้วเรา จะสูญเสียทุกอย่าง” และผลที่เกิดขึ้น คือ มีคนจำนวนมากได้ มาเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือนายเรวุฒิ คนเหล่านั้นเสียค่าใช้ จ่ายเอง มาทำกิจกรรม เช่น ช่วยทำป้ายหาเสียงเขียนด้วย กระดาษลังด้วยมือโยเย (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) เป็นต้น 3) การจดั พวงหรดี ไปรว่ มงานศพ นายเรวฒุ ิ ถูกโจมตีจากคู่แข่งว่า ส.ส. งานศพ เนื่องจากเขาพยายามไป 162

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ร่วมงานศพ ซึ่งมีจำนวนมาก ต่อมาหลังจากได้เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ประมาณ 6 เดือน ทีมงานก็ได้คิดรูปแบบในการ ขยายฐานเสียงโดยการนำพวงหรีดส่งไปตามงานศพต่าง ๆ พวงหรีดที่ซื้อตามร้านค้าทั่วไปจะมีราคาแพงเป็น 300-400 บาท ด้านเงินทองของนายเรวุฒิก็มีไม่มาก นายเรวุฒิได้ปรับโดยการ สั่งซื้อพวงหรีดจากที่โรงเรียนไทหัวได้ประดิษฐ์ขึ้นด้วยวัสดุที่นำ ของเก่ามาใช้ แล้วขายในราคาถูกประมาณพวงละ 60 บาท (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ทั้งยังเป็นการ ส่งเสริมรายได้ให้กับชาวบ้านผู้ผลิตด้วย 4) การเข้าร่วมงานประเพณีของชาวบ้าน การเข้าร่วมงานประเพณีของชาวบ้าน เนื่องจากทีมงานเห็นกัน ว่า นายเรวุฒิเป็นคนไม่ค่อยมีจุดเด่น การศึกษาก็เรียนมาแค่ ระดับอาชีวะศึกษา จึงพยายามขยายภาพของการเป็นคน ธรรมดาติดดินเอามาเป็นจุดแข็ง จึงวางแนวทางให้เข้าถึง ชาวบ้านได้โดยการให้นายเรวุฒิไปร่วมงานบวช งานศพ งานแต่งงานให้มากขึ้น โดยเฉพาะการไปร่วมงานศพ เพราะ ชาวบ้านถือกันว่า งานประเพณีอื่นๆ อาจฝากซองไปร่วมทำบุญ ได้บ้าง แต่งานศพมีได้เพียงครั้งเดียวจึงมีความสำคัญ ในการร่วมงานศพนายเรวุฒิจะต้องไปร่วม แบกศพด้วย ชาวบ้านเห็นก็ชอบใจที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาแบกศพ นอกจากนี้ การไปร่วมงานต่างๆ โดยเฉพาะงานที่ เจ้าภาพเป็นคนจนๆ นายเรวุฒิต้องหาโอกาสเข้าถึงก้นครัว ของงาน ไปนั่งกินกันในครัว และต้องไปล้างจานด้วย เมื่อเห็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาช่วยล้างจานในงานศพเหมือน 163

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต คนทั่วไป ก็รู้สึกเป็นพวกเดียวกันมากขึ้น คนเฒ่าคนแก่ก็ชอบ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ชาวบ้าน จะเรียกนายเรวุฒิว่า “ลูก” 5) การใช้เพลง หลังจากทีมงานทำไปได้ สักพักก็เห็นว่า เหนื่อยมาก เพราะมีงานเข้ามามาก ขณะที ่ ทีมงานมีน้อย ต้องไปร่วมงานต่าง ๆ ทั้งงานบวช งานศพ งานแต่งงาน ทีมงานก็หันมาใช้วิธีการแต่งเพลงเกี่ยวกับเรวุฒิ ออกเผยแพร่ เนื้อหาของเพลงจะกล่าวถึงคนทั่วไป เช่น คนขับ ตุ๊กตุ๊ก แม่ค้า ช่างทำผม แล้วเชื่อมโยงมาถึงเรวุฒิ กล่าวถึง ชื่อชุมชนต่าง ๆ ในภูเก็ตว่า ต่างก็เลือกเรวุฒิ หรือกล่าวถึง ตัวของเรวุฒิโดยตรง เช่น เพลง “ทรชนคนคุก” การแต่งเพลง ลูกทุ่งสะท้อนชีวิตตัวเอง “เด็กหนุ่มใจซื่อมือสะอาด ขอประกาศ เคียงข้างประชาชน...” เป็นต้น (พิเชษฐ์ ปานดำ และ รัตนาภรณ์ แจ้งใจดี, สัมภาษณ์, 17 มกราคม 2557) ทีมงาน ที่ช่วยแต่งเพลงมีหลายคน เช่น บังหล้า บังพง บังหมัก โกใช่ แล้วเผยแพร่โดยการจัดรถแห่ไปตามที่ต่างๆ ทำให้ใกล้ชิดกับ ชาวบ้าน ชาวบ้านเกิดความสงสารเห็นใจ มีคนนำไปร้องต่อ จนจำเนื้อเพลงได้ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) นับว่า เป็นการผูกใจและสร้างความทรงจำที่ดีให้ แก่นายเรวุฒิอย่างลึกซึ้งเพราะจนถึงปัจจุบันก็ยังมีคนจดจำ เนื้อเพลงเหล่านั้นได้ 6) การจัดขบวนแห่ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ ทีมงานให้ความสำคัญ ซึ่งเคยทำมาตั้งแต่แรก เช่น การจัดฉาก ให้ตนเองติดคุกแล้วแห่ไปตามถนนเพียง 4 วัน ก็ชนะใจ 164

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ชาวบ้านในการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2529 (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) 7) การหนุนกลุ่มแม่บ้าน กลุ่มแม่บ้าน นับว่า เป็นฐานเสียงที่สำคัญและเข้มแข็งของนายเรวุฒิ นายเรวุฒิและทีมงานเริ่มสัมพันธ์กับกลุ่มแม่บ้านตั้งแต่ช่วงปี แรก ๆ ของการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเช่นกัน โดยได้พา กลุ่มแม่บ้านไปดูงานภาคเหนือด้วยรถบัสแบบพัดลม (ไม่ใช่ รถปรับอากาศ) ตามเส้นทางพิษณุโลก เชียงใหม่ เชียงราย จำนวน 5 คัน รถบัส นายเรวุฒิก็ไปด้วยทำให้มีความสนิทสนม กัน เนื่องจากนายเรวุฒิชอบพูดเล่น หน้าตาดี มีเสน่ห์ ในขณะที่ ทีมงานก็ได้ถือโอกาสทำความรู้จักคุ้นเคยกับกลุ่มแม่บ้าน ได้ดูแลเอาใจใส่กลุ่มแม่บ้านตลอดเส้นทางด้วยการให้เกียรติ เช่น ดูแลให้แม่บ้านเข้าพักก่อน ให้กินข้าวให้เสร็จก่อน แล้ว นายเรวุฒิและทีมงานกินทีหลัง (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ดูแลให้แม่บ้านเข้าห้องพักทั้งหมดก่อนที ่ ทีมงานจะกลับมานอน นอกจากนี้ ทีมงานของนายเรวุฒิยังพยายาม คิดค้นกิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อหนุนช่วยการทำงานของนายเรวุฒิ ทั้งในช่วงหาเสียงและช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร เช่น ติดต่อพลตรี จำลอง ศรีเมือง มาเพื่อพยายาม เปรียบเทียบเรื่องการจัดงานกินผัก กับงานกินเจว่าควรทำ อย่างไร โดยมีศาลเจ้าต่าง ๆ เข้าร่วม (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) แต่ไม่ประสบผลสำเร็จนัก 165

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต นายเรวุฒิ จึงเป็นนักการเมืองถิ่นจังหวัด ภูเก็ตคนหนึ่ง ที่ชาวบ้านเลือกด้วยความศรัทธา และอยู่ในความ ทรงจำของชาวบ้านมาจนปัจจุบัน ชาวบ้านยังคงคิดถึงด้วย ความชื่นชม และจดจำถึงเกร็ดชีวิตที่น่าสนใจของนายเรวุฒ ิ อันแสดงถึงความรู้สึกใกล้ชิดที่มีต่อนักการเมือง เช่น จดจำถึง การที่นายเรวุฒิเกิดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์ ต่อมาได้แต่งงานมีภรรยาแต่ไม่มีลูก และเสียชีวิตในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคริสต์มาส นอกจากนี้ขณะที่นายเรวุฒ ิ เข้าร่วมต่อต้านกรณีที่คลับเมท ซึ่งเป็นกรณีพิพาทเรื่องการใช้ ที่ดินกับชาวบ้านไม่ให้เข้าใช้ประโยชน์ ครั้งนั้นนายเรวุฒ ิ ได้ปราศรัยว่า ถ้าวันไหนเขาเสียชีวิตเขาจะกวาดมันให้หมด และต่อมาหลังจากเขาเสียชีวิตได้ 1 วัน ก็เกิดเหตุการณ์สึนามิ ในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) เป็นต้น 4.3.2.3 สรุปภาพรวมการเมืองจังหวัดภูเก็ตในยุคท่ี 2 นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ตยุคที่ 2 ที่เป็นยุคของ การค้นหาแนวทางหลังยุคเหมืองแร่ในช่วง พ.ศ. 2522 ถึง 2534 มีความหลากหลายหลังจากแนวคิดสังคมนิยมหมดบทบาทลง พรรคประชาธิปัตย์ครองตำแหน่งนานขึ้น แต่ก็มีนักการเมือง จากพรรคในแนวสังคมนิยมอย่างนายเรวุฒิ จินดาพล ที่ช ู การรักษาสิ่งแวดล้อมได้รับเลือกตั้งเข้ามา แต่ก็ไม่มีแนวคิดที่ เด่นชัดว่า ยึดมั่นกับแนวคิดเหล่านั้นเพียงใด และอีกด้านหนึ่ง ก็มาจากตระกูลที่มีฐานะดีของภูเก็ต แต่ก็ไม่ได้ชูจุดนี้ให้เด่น ยุคนี้จึงเหมือนกับความค้นหาแนวทางที่ยังไม่มีความชัดเจน 166

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ซึ่งสอดคล้องกับสภาพการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ และ การเมืองบนเกาะภูเก็ตในช่วงนั้น ที่เริ่มมีกระแสอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และการเริ่มเติบโตของกระแสการเติบโต ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 4.3.3 ยุคท่ี 3 การกุมอำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางทุนโลกาภิวัตน์ (พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน 2557) ในช่วงนี้ ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรมี 5 ท่าน คือ นางอัญชลี วานิช เทพบุตร, นายสุวิทย์ เสงย่ี มกลุ , นางสาวเฉลมิ ลกั ษณ์ เกบ็ ทรพั ย,์ นายทศพร เทพบตุ ร และนายเรวัต อารีรอบ สำหรับการเมือง ภูมิหลังเครือข่าย ทางการเมือง และกลวิธีหาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัด ภูเก็ตยุคที่ 3 มีรายละเอียดต่อไปนี้ 4.3.3.1 นางอัญชลี วานิช เทพบุตร นางอัญชลี วานิช เทพบุตร ได้รับการเลือกตั้ง จำนวน 4 ครั้ง สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่ 1 ดำรงตำแหน่งในช่วง วันที่ 13 กันยายน 2535 ถึง 19 พฤษภาคม 2538 ครั้งที่ 2 ดำรง ตำแหน่งในช่วงวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ถึง 28 กันยายน 2539 ครั้งที่ 3 ดำรงตำแหน่งในช่วงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ถึง 9 พฤศจิกายน 2543 และครั้งที่ 4 ดำรงตำแหน่งในช่วงวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ถึง 9 ธันวาคม 2556 นอกจากนี้ นางอัญชลียังได้รับการเลือกตั้งด้วยระบบ บัญชีรายชื่อในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 ด้วย 167

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.3.3.1.1 ภมู ิหลังของนางอญั ชลี วานิช เทพบุตร นางอัญชลี เดิมนามสกุล วานิช เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 เป็นชาวภูเก็ตโดยกำเนิด โดยอยู่ที่ ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ด้านการ ศึกษานางอัญชลีจบการศึกษาระดับประถมศึกษา และ มัธยมศึกษาที่โรงเรียนราชินี จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2524 เมื่อครั้งเป็นนัก ศึกษานางอัญชลีได้เคยทำกิจกรรมในองค์การนักศึกษา และ สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักศึกษาร่วมรุ่น กับบุคคลที่มีบทบาทมากในเวลาต่อมา เช่น นายสมคิด เลิศไพฑูรย์, นายอภิชาติ ดำดี, นายวสันต์ ภัยหลีกลี้, นายวิฑรู ย์ นามบตุ ร, นายนพดล ปัทมะ, นายสุรพล นิตไิ กรพจน์ และ นายบุญสม อัครธรรมกุล เป็นต้น (อัญชลี วานิช เทพบุตร, 2556) จากนั้น นางอัญชลีก็ได้ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ด้านกฎหมายพานิชย์นาวี และกฎหมายระหว่างประเทศ จาก มหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังสำเร็จ เนตบิ ณั ฑติ ไทย สำนกั อบรมศกึ ษากฎหมายแหง่ เนตบิ ณั ฑติ ยสภา สำหรบั การเขา้ สวู่ งการเมอื งของนางอญั ชลนี น้ั นางอัญชลีมีความใกล้ชิดกับการเมืองมาก่อนแล้ว เนื่องมาจาก นายเอกพจน์ผู้เป็นบิดาเป็นนักธุรกิจและนักการเมืองมาก่อน นางอัญชลีเคยเล่าว่า “เราเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวที่เรียนอยู่เมืองไทย คนอื่นไปเรียนต่างประเทศ เลยมีโอกาสตามคุณพ่อไป 168

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ทุกแห่ง พ่อมีเพื่อนเป็นนักการเมืองอยู่มาก พอเข้าไปถึง นักการเมืองนั่งอยู่ นั่งคุยนั่งพูดกัน มันก็เลยพลอยรู้เรื่อง สนใจการเมืองไปด้วย... อาจจะเป็นลูกที่ติดพ่อ แล้วก็ไป กับเค้าทุกแห่งจนเราเข้าใจการเมือง เข้าใจว่า การเมือง เป็นเรื่องของเรา เป็นภารกิจที่เราต้องรับผิดชอบที่มันเข้า มาโดยอัตโนมัติ... รู้สึกเข้าถึงความรู้สึกเกี่ยวกับการเมือง มาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะนักการเมืองของ พรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสพบท่านชวน ตั้งแต่ยังเป็น นกั ศกึ ษาอยู่ ระดบั มธั ยมกเ็ จอทา่ นสเุ ทพแลว้ …” (ปถมาภรณ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต และ พันชุดา สุขศิริสัมพันธ์, 2547 อ้างถึงใน หนึ่งฤทัย อินทขันตี, 2554, น. 122.) ห ล ั ง จ า ก เ ร ี ย น จ บ จ า ก ส ห ร ั ฐ อ เ ม ร ิ ก า นางอัญชลีได้ทำงานบริหารอยู่ที่ บริษัท เจียรวานิช จำกัด ระยะหนึ่ง เมื่อมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 จึงได้ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก ในนาม พรรคประชาชนของนายวีระ มุสิกพงษ์ โดยการชักนำของ นายวีระ เพราะนายเอกพจน์ วานิช ผู้เป็นบิดาของนางอัญชล ี มีความสนิทสนมกับนายวีระมาก การเลือกตั้งครั้งนั้น มีผู้สมัคร 9 คน เช่น นายเรวุฒิ จินดาพล จากพรรคชาติไทย, นายบันลือ ตันติวิท, นายชูแรง เวชประสิทธิ์ จากพรรคพลังธรรมของ พลตรี จำลอง ศรีเมือง โดยนายชูแรงเป็นบุตรชายของนายชิต เวชประสิทธิ์ และเคยเป็นสมาชิกสภาเทศบาลมาก่อน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ได้ส่งนายเสริมศักดิ์ ปิยะธรรม ซึ่งเคย เป็นแกนนำของยุวประชาธิปัตย์มาก่อนลงสมัคร ขณะนั้นพรรค 169

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ประชาธิปัตย์ยังไม่อยู่ในหัวใจของประชาชนภูเก็ตเหมือน สมัยต่อมา และพรรคต่าง ๆ หาคนลงสมัครรับเลือกตั้งยาก เนื่องจากไม่มีใครอยากลงแข่งขันกับนายเรวุฒิ ซึ่งมีความ โดดเด่นอย่างมาก ในขณะที่นายเอกพจน์ วานิช นั้น แม้ นางสาวอัญชลี ซึ่งเป็นบุตรสาวลงสมัครด้วย แต่นายเอกพจน ์ ก็สนับสนุนนักการเมืองทุกคน ท่านจึงไม่เป็นศัตรูกับใคร การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2531 กล่าวได้ว่า เป็นการแข่งขันระหว่าง นายเรวุฒิกับนางสาวอัญชลีเป็นหลัก (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ซึ่งผลปรากฏว่า นายเรวุฒิได้รับ การเลือกตั้ง ส่วนนางสาวอัญชลีได้คะแนนเสียงเป็นอันดับสอง ในการเลือกตั้งครั้งต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม 2535 นางอัญชลีก็ลงสมัครเป็นครั้งที่สองในนามพรรคประชาชน แต่ก็พ่ายแพ้แก่นายเรวุฒิ จินดาพล ที่ลงสมัครในนามพรรค ชาติไทยอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นนางอัญชลีก็ได้ย้ายจากพรรค ประชาชนมาสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และลงสมัครในการ เลือกตั้ง ในวันที่ 13 กันยายน 2535 ซึ่งนายเรวุฒิถูกดำเนินคดี ไม่สามารถลงสมัครได้ จึงได้ส่งนายเรวัตรลงสมัครในนามพรรค พลังธรรม การเลือกตั้งครั้งนี้ นางอัญชลีได้รับเลือกตั้งเป็น ครั้งแรก และหลังจากนั้นก็ได้รับเลือกตั้งทุกครั้งที่ลงสมัคร จนเป็นคนที่มีบทบาทหลักของพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัด ภูเก็ต ในการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 นางอัญชลีได้รับการเลือกตั้งด้วยระบบบัญชีรายชื่อ โดยหนุนให้ ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ 2 คน สมัครเป็นสมาชิกสภา 170

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ผู้แทนราษฎรแทนจนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาทั้งหมด คือ นายสุวิทย์ เสงี่ยมกุล และนางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ ต่อมาในการเลือกตั้งอีก 2 ครั้ง นางอัญชลี ไม่ได้ลงรับสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่กล่าวกันว่า นางอัญชลีก็มีบทบาทหลักในการกำหนดตัวผู้สมัครของพรรค ประชาธิปัตย์ จนได้รับเลือกเข้ามาทุกคนทุกครั้ง คือ ในการ เลือกตั้ง วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ยังคงส่งนายสุวิทย์ เสงี่ยมกุล และนางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ ลงสมัคร ต่อมาในการ เลือกตั้ง วันที่ 23 ธันวาคม 2550 นายสุวิทย์ถอนตัว นางอัญชลี จึงส่งสามี คือ นายทศพร เทพบุตร ลงสมัครกับนายเรวัต อารีรอบ และดันนางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ ขึ้นเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อแทน ส่วนนางอัญชลี ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชี รายชื่อในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547 แล้วเปลี่ยนมาลงรับสมัคร เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตแทน ในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2547 ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ และ สามารถเอาชนะทีมของนายแพทย์ประสิทธิ์ โกยศิริพงศ์ อดีต นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตคนเดิม ต่อมาเมื่อใกล้จะ หมดวาระ ในวันที่ 13 มีนาคม 2551 และใกล้จะถึงการเลือกตั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในเดือน เมษายน 2551 ก็ได้มีผู้สมัครจากพรรคชาติไทยยื่นหนังสือร้อง เรียนนางอัญชลีว่า เข้าไปมีผลประโยชน์ในบริษัท เจียรวานิช ที่เช่าที่ดิน อบจ.ภูเก็ต พัฒนาเป็นท่าเทียบเรือ ซึ่งเรื่องดังกล่าว คณะกรรมการในระดับจังหวัดได้ตัดสินแล้วว่า ไม่ขัดกับ กฎหมาย ขณะที่เรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนให้กฤษฎีกาตีความ 171

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต นางอัญชลีก็ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 โดยมีผล ในวันถัดมา หรือก่อนครบวาระเพียง 13 วัน เพราะหาก กฤษฎีกาตีความว่าผิดตามที่ร้องเรียน นางอัญชลีจะต้องเว้น วรรคทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี (“อัญชลี” ทิ้งเก้าอี้นายกฯ อบจ.ภเู ก็ต-ปัดเอี่ยวที่ดินเช่า อบจ., 2551) ในการเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.ภูเก็ต เมื่อ เดือนเมษายน 2551 นางอัญชลีได้ลงสมัครด้วย แต่ได้แพ้แก่ นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ ที่มีนายจิรายุส ทรงยศ และทีมงานของ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเรวุฒิ จินดาพล ผู้ล่วงลับเป็นทีม งานสนับสนุน (ฝุ่นตลบการเมืองภูเก็ต จับตาการเมืองพลิกขั้ว, 2556) นางอัญชลีจึงได้กลับเข้ามามีบทบาทในการเมืองระดับ ชาติอีกครั้งหนึ่ง โดยดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการนายก รัฐมนตรีฝ่ายการเมืองใน พ.ศ. 2552 และได้รับแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นับเป็นสตรีคนแรกที่ได้ดำรง ตำแหน่งนี้ ต่อมาในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นายทศพรถอนตัวไม่ลงสมัคร มีกระแสข่าวว่า นางอัญชลี พยายามหนุนให้นายบุญศุภภะ ตัณฑัยย์ ซึ่งเป็นญาติฝ่าย มารดาลงรับสมัคร (ปัญญา ไกรทัศน์, 2554) ส่วนนางอัญชลี จะลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ แต่เมื่อพบว่า นายบุญศุภภะมี คุณสมบัติไม่ครบ จึงทำให้นางอัญชลีลงสมัครกับนายเรวัต อารีรอบ และได้รับเลือกตั้งทั้ง 2 คน ส่วนนางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ ไม่ได้ลงสมัคร นางอัญชลีได้รับเลือกในการประชุม 172

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ใหญ่วิสามัญของพรรคประชาธิปัตย์ ให้ดำรงตำแหน่ง นายทะเบียนพรรค ปัจจุบัน (พ.ศ. 2557) นางอัญชลี วานิช เทพบุตร เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำพรรค ประชาธิปัตย์ที่ถือว่า เป็น 1 ใน 4 กล่าวกันว่า ท่านเป็นผู้ทรง อิทธิพลที่สุดของพรรคในสายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ 4.3.3.1.2 ฐานเสียงและเครือข่ายทางการเมืองของ นางอญั ชล ี นางอัญชลีมีฐานเสียงและเครือข่ายทาง การเมอื งทส่ี ำคญั แบง่ เปน็ 4 กลมุ่ คอื ประชาชนในพน้ื ท่ี ครอบครวั และเครือญาติ เครือข่ายทางธุรกิจการเมือง และพรรคการเมือง ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1) ประชาชนในพน้ื ที่ การทผ่ี ทู้ ด่ี ำรงตำแหนง่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดภูเก็ตพยายามเข้าไปรวม กลุ่มชาวบ้านเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับตนเองไว้ เริ่มทำอย่าง จริงจังในสมัยนายเรวุฒิ จินดาพล ใน พ.ศ. 2529 เป็นต้นมา ที่เห็นได้ชัด คือ การประสานงานกับกลุ่มแม่บ้าน เมื่อถึงสมัย ของนางอัญชลีก็ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงกลุ่มแม่บ้าน เช่นกัน แต่แนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มแม่บ้านของ นางอัญชลีต่างจากแนวทางของทีมงานนายเรวุฒิ คือ ขณะที่ นายเรวุฒิดำเนินการด้วยทีมงานของตนเอง แต่นางอัญชลี ได้สร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มแม่บ้านโดยผ่านการใช้กลไกของ ราชการ โดยเฉพาะฝ่ายพัฒนาชุมชนในการดำเนินการ ซึ่งจะ ได้ทำให้นางอัญชลีได้มีโอกาสทำงานร่วมและใกล้ชิดกับ 173

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ส่วนราชการ และอาจขยายไปสู่การหนุนช่วยผู้สมัครของพรรค ประชาธิปัตย์อื่นๆ ด้วย ต่อมาปัจจุบันก็อาศัยการทำงานร่วม กับหน่วยงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) มีอาสา สมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกลไกพื้นฐาน โดย อสม. มีการเลือกประธานขึ้นมาซึ่งสามารถประสานกับ ทีมงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) อันสามารถประสานบทบาทของ หน่วยงานราชการมาเอื้ออำนวยในการสร้างฐานเสียงให้ได้ อย่างกว้างขวาง 2) ครอบครัวและเครือญาติ นางอัญชลี มาจากครอบครัวและเครือญาติที่มีฐานะดี และมีบทบาททาง เศรษฐกิจการเมืองในจังหวัดภูเก็ตอย่างมาก บิดาของนาง อัญชลี คือ นายเอกพจน์ วานิช ซึ่งเป็นบุตรของนายเจียร วานิช มารดา คือ นางบุญรอด นามสกุลเดิมคือ ตัณฑัยย์ นางอัญชลี จึงเป็นทายาทของสองตระกูลคหบดีบนเกาะภูเก็ต ต่อมา นางอัญชลีได้แต่งงานกับนายทศพร เทพบุตร เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2534 นางอัญชลีจึงได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น วานิช เทพบุตร นางอัญชลีมีพี่น้อง 8 คน เป็นผู้หญิง 7 คน ผู้ชาย 1 คน คือ นายอภิรักษ์ วานิช ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ดูแลกิจการ หลักของตระกูลได้แก่บริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของตระกลู วานิช นอกจากนี้ใน พ.ศ. 2539 ยังได้ก่อตั้ง มูลนิธิ บุญรอด-เอกพจน์ วานิชเพื่อการศึกษา เพื่อส่งเสริมสนับสนุน การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ 174

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต 3) เครอื ขา่ ยทางธรุ กจิ การเมอื ง กลา่ วไดว้ า่ พื้นฐานทางการเมืองของนางอัญชลีมีความเข้มแข็ง และ กว้างขวางสามารถสืบย้อนไปถึงนายเจียร วานิช ผู้เป็นต้น ตระกูลวานิช และเชื่อมโยงกับการขยายตัวของเครือข่ายทาง ด้านธุรกิจของตระกูลวานิชอย่างใกล้ชิด นายเจียรมีความ สัมพันธ์กับนักการเมืองและบุคคลสำคัญในกรุงเทพฯ ทั้งด้าน การค้า และการเมือง เช่น นายชิน โสภณพานิช, นายโอสถ โกศิน, จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์, จอมพล ประภาส จารุเสถียร, พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์, พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร และ พลตรี ศิริ สิริโยธิน เป็นต้น (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ดิลก วุฒิพาณิชย์ และ ประสิทธิ์ ชิณการณ์, 2544, น. 199) นายเจียร เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเป็นคนแรกที่อำเภอ อ่าวลึก จังหวัดกระบี่ โดยมีจอมพล ประภาส จารุเสถียร ถือหุ้น อยู่ด้วย การบุกเบิกมีนายเอกพจน์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ โดยการจัดตั้งบริษัท ไทยอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม และ สวนปาล์ม จำกัด ขึ้น ส่วนนายเอกพจน์ วานิช บิดานางอัญชลี ก็เป็นคนที่ใจกว้าง มีความสัมพันธ์กับคนหลายกลุ่มอย่าง กว้างขวางหลายวงการ หลังจากที่เข้ามาดูแลกิจการของ ครอบครัว เอกพจน์ได้ขยายกิจการออกไปอีกมากมาย ทั้งใน จังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ และขยายออกไปยังจังหวัดอื่นทั้งใน ภาคใต้ และภาคอื่น ๆ เช่น บริษัท ภูเก็ตโรงงานยาง บริษัท ภูเก็ตชิปปิ้งปักษ์ใต้ขนส่งทางทะเล กิจการเหมืองแร่ที่ สุราษฎร์ธานี บริษัท เจียรวานิช บริษัท วานิชยิปซั่ม รวมทั้ง กิจการธุรกิจตัวแทนขายแร่ยิปซัมที่ปีนังในนามบริษัท ฮับยิปซั่ม 175

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต เอเยนซี และนอกจากนี้ได้มีการขยายการลงทุนที่นอกเหนือจาก ธุรกิจแนวเดิมด้วยการลงทุนสร้างโรงพยาบาลเอกชล ซึ่งเป็น โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในจังหวัดชลบุรี เป็นอาคาร 6 ชั้น บนพื้นที่ 10 ไร่ ขนาด 300 เตียง (จันจิรา แก้วประกอบ และ ประเสริฐ เฟื่องฟุ้ง, 2542ข, น.58) และมีกิจการค้าที่สิงคโปร์ด้วย การพยายามค้นหาช่องทางเพื่อพัฒนาการทำ ธุรกิจท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ที่เข้ามาของตระกูล วานิช อาจพิจารณาจากการทำสวนปาล์ม โดยเมื่อนายเจียร เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมการทำสวนปาล์มแล้ว นายเอกพจน์ ผู้เป็นบุตรก็ได้ขยายกิจการด้วยการจัดตั้ง บริษัท สยามน้ำมัน ปาล์ม จำกัด และบริษัท เจียรวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด ส่วนใหญเ่ มอื่ ไดน้ ้ำมนั ปาล์มมากจ็ ะส่งขายตลาดภายในประเทศ โดยเฉพาะบริษัท ลีเวอร์บราเธอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ กรุงเทพฯ ที่เป็นบริษัทใหญ่ในวงการสบู่จำเป็นต้องใช้น้ำมัน ปาล์มมาก ต่อมาบริษัทแม่ของลีเวอร์บราเธอร์ฯ ที่ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ คือ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ลอนดอน ซึ่งที่ มีสวนปาล์มและโรงงานปาล์มเป็นของตัวเองมากที่สุดบริษัท หนึ่งของโลก เช่น โคลัมเบีย อเมริกาใต้ เคนยา แอฟริกา เซาต์ ไอร์แลนด์ ไนจีเรีย และมาเลเซีย ได้ติดต่อเพื่อขอร่วมทุน ใน ที่สุดจึงตกลงร่วมหุ้นกันภายใต้เงื่อนไขการร่วมทุน คือ ลีเวอร์ฯ ถือหุ้น 51% วานิชถือหุ้น 49% ตามนโยบายของบริษัทแม่ที่ อังกฤษ ที่ต้องให้ลีเวอร์ฯ ถือหุ้นมากกว่า 50% และสัญญาจะ นำเทคโนโลยีทางด้านการจัดการสวนปาล์ม โรงงาน และระบบ 176

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต การจัดการมาปรับปรุงอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในประเทศไทย และยอมให้ตำแหน่งประธานต้องมาจากฝั่งวานิช หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการจัดองค์กรบริหาร และรวมบริษัทต่างๆ เป็นบริษัท เดียวภายใต้บริษัท ยูนิวานิช จำกัด (จันจิรา แก้วประกอบ และ ประเสริฐ เฟื่องฟุ้ง, 2542ข, น. 60) หลังจากนั้นการทำสวนปาล์มจึงได้ปรับปรุง คุณภาพผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์ม และลดการสูญเสียในการผลิต ต่าง ๆ ได้ปีละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เทคโนโลยีทันสมัยที่เกิด จากบริษัท เช่น การใช้แมลงฮีโลเปเปียส ซึ่งบริษัทนำมาจาก แอฟริกาช่วยผสมเกสรแทนแรงงานคนอันเป็นผลวิจัยของ ยูนิลีเวอร์ที่ลอนดอน ทำให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายในการ เตรียมเกสรถึงปีละ 6-7 ล้านบาท มีการนำระบบฉีดยากำจัด วัชพืชด้วยเครื่องอัลตราโลโบรุ่นสเปรย์เยอร์ทำให้ลดการสูญเสีย ยาเคมีได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มผลผลิตจากการใช้แรงงาน ปกติหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เป็นต้น (นิตยสารผู้จัดการ, ธันวาคม 2542) ต่อมาในช่วงวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ยูนิลิเวอร์ได้ขายหุ้นทั้งหมดให้ตระกูลวานิช ตระกูลวานิช ได้นำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อ บริษัท ยูนิ วานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) โดยปัจจุบันเป็นกิจการ หลักของตระกูล มีสวนปาล์มทั้งจากการสัมปทานแล้วเช่าที่อยู่ที่ จังหวัดกระบี่ประมาณ 30,000 ไร่ ในด้านการเมือง นายเอกพจน์มีความ สัมพันธ์กับนักการเมืองอย่างกว้างขวางเช่นกัน โดยเฉพาะกับ 177

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ นายเอกพจน์เคยได้รับการแต่งตั้งเป็น วุฒิสมาชิกใน พ.ศ. 2528 แต่นายเอกพจน์เสียชีวิตเมื่อปลาย เดือนพฤษภาคม 2535 ก่อนที่นางอัญชลีจะได้เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยแรก 4) พรรคการเมอื ง บทบาทของพรรคการเมอื ง ที่นางอัญชลีสังกัดมีผลต่อการได้รับเลือกตั้ง หรือไม่ได้รับ เลือกตั้ง รวมทั้งการขยายตัวหรือหดตัวของนางอัญชลีในพรรค ที่สังกัดและในพื้นที่อย่างมาก ก่อนที่นางอัญชลีจะได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ. 2535 นางอัญชลี สังกัดพรรคประชาชน ซึ่งมีความขัดแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ถึง 2 สมัย โดยนางอัญชลีไม่ได้รับเลือกตั้งทั้ง 2 สมัย แม้ว่า ช่วงก่อน พ.ศ. 2535 กล่าวได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่โดดเด่น จนครองใจชาวบ้านโดยเฉพาะในภาคใต้รวมทั้งในจังหวัดภูเก็ต มากเหมือนช่วงหลัง บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็น ระบบน่าสนใจในขณะนั้น คือ มีการสร้างคนรุ่นใหม่ผ่าน กิจกรรมยุวประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงสมัครในนามพรรค ประชาธิปัตย์ขณะนั้นยังต้องช่วยเหลือตนเอง โดยอาศัย คุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครนั่นเองเป็นเงื่อนไขหลัก (วินิจ หงส์อติกุล และ ชวลิต ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) การหนุนช่วยจากการเป็นสมาชิกพรรคเป็นเงื่อนไขรอง แตห่ ลงั จาก พ.ศ. 2535 ซง่ึ เปน็ ชว่ งทน่ี างอญั ชลี ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์มีบทบาท เพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะในภาคใต้รวมถึงจังหวัดภูเก็ต ดังนั้น ผู้ที่ลงสมัครในนามของพรรคประชาธิปัตย์จึงได้รับการหนุนช่วย 178

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต จากกลไกของพรรค บุคลากรของพรรค และภาพลักษณ์ของ พรรคอย่างมาก ในช่วงนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้นำระบบที่ด ี ที่เคยมีกลับมาทำให้เป็นประโยชน์จริงมากขึ้น (วินิจ หงส์อติกุล และ ชวลิต ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) โดยเฉพาะ การมีระบบสมาชิกอันเป็นจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์มาแต่ เดิม แม้ว่า กิจกรรมเด่นอย่างยุวประชาธิปัตย์กลับอ่อนลงกว่า เดิมก็ตาม ตั้งแต่เริ่มดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรใน พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา นางอัญชลีก็ได้รับการเลือกตั้ง ทุกครั้งที่ลงรับสมัคร โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรค รวมทั้ง ท่านได้รับตำแหน่งสำคัญในระดับชาติหลายตำแหน่ง และ บทบาทของนางอัญชลีก็เพิ่มมากขึ้นจนกล่าวได้ว่า นางอัญชลี เป็นบุคคลหลักในการควบคุมทิศทางการดำเนินงานของพรรค ประชาธิปัตย์ในจังหวัดภูเก็ต เช่น เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการ กำหนดตัวผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งมีผู้ต้องการมาลงรับสมัคร ในนามพรรคประชาธิปัตย์มาก เพราะจะทำให้บุคคลเหล่านั้น มั่นใจว่า มีโอกาสได้รับเลือกตั้งสูง โดยผู้ลงรับสมัครก็พร้อมที่ จะต้องช่วยเหลือตนเอง ซึ่งอาจต้องใช้เงินส่วนตัวจำนวนมาก ด้วย ผลก็คือ ตั้งแต่การเลือกตั้ง ในวันที่ 13 กันยายน 2535 จน ปัจจุบันผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้สมัครที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งสิ้น คือ นายสุวิทย์ เสงี่ยมกุล, นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์, นายทศพร เทพบุตร และ นายเรวัต อารีรอบ และ กลา่ วกนั วา่ หลงั จากน้ี นางอญั ชลพี ยายามผลกั ดนั นายบญุ ศภุ ภะ ตัณฑัยย์ ซึ่งเป็นญาติมาสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป (ปัญญา ไกรทัศน์, 2554.) 179

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต รวมทง้ั พยายามขยายบทบาทไปสกู่ ารเมอื งทอ้ งถน่ิ เชน่ เทศบาล ดังกรณีนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา ซึ่งเดิมเป็นกลุ่มที่ สนับสนุนนายชิต เวชประสิทธิ์ (สกุล ณ นคร, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ต่อมาก็เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรค ประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครภูเก็ต การขยายบทบาทมากขึ้นของนางอัญชลี ทำให้ฐานทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์กว้างขึ้น อัญชลี สามารถขยายฐานเสียงหลักโดยผ่านกลไกราชการ โดยเฉพาะ เจา้ หนา้ ทพ่ี ฒั นาชมุ ชน อสม. ของ สสจ.เปน็ หลกั ใชง้ บประมาณ จากราชการมาทำร่วมกัน สามารถชักชวนผู้ที่เป็นกลุ่มแม่บ้าน มาเป็นสมาชิกพรรค ผลก็คือ ทำให้ชาวบ้านซึ่งเป็นฐานเสียง มีความผูกพันและศรัทธาต่อพรรคประชาธิปัตย์มากอย่างไม่เคย เกิดขึ้นมาก่อน แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดผลลบ อันเนื่อง มาจากการมีบทบาทมากเกินไปของนางอัญชลีอันนำมาสู่ ปัญหาการยึดติดเก้าอี้หรือตำแหน่ง ทำให้ไม่มีการระดม ความคิดเห็นมากพอ ส่งผลให้กลไกการสร้างคนรุ่นใหม่อันได้แก่ กิจกรรมยุวประชาธิปัตย์ ที่เคยเข้มแข็งโดยเฉพาะในรุ่นของ นายเสริมศักดิ์ ปิยะธรรม แต่กลับอ่อนแอลงในช่วงนี้ ทั้งที่ เป็นการวางแผนระยะยาวที่ดี นอกจากนี้ ยังทำให้มีผู้ที่เข้ามา แข่งขันทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ในจังหวัดภูเก็ต เข้มข้นมากขึ้น ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ หรือกลุ่มของ นางอัญชลีต้องปรับตัว และหลายครั้งก็พ่ายแพ้แก่คู่แข่ง โดยเฉพาะในเวทีการเมืองท้องถิ่น 180

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต การปรับตัวเพื่อขยายฐานการสนับสนุนจาก ชาวบ้านของพรรคประชาธิปัตย์ และการถูกตอบโต้จาก คู่แข่งขันทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น หลังการ เลือกตั้ง ในเดือนกันยายน 2535 นางอัญชลีได้พยายามขยาย ฐานโดยการสนับสนุนให้นายชัยวัฒน์ หรือ เฮียคุ้ง แห่งแพปลา ป.พิชัย เจ้าของอวนลาก หันลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิก แต่นายชัยวัฒน์ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยผู้ที่ได้เป็นวุฒิสมาชิก คือ นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ ที่มีอดีตทีมงานของนายเรวุฒิ ซึ่งเป็น คู่แข่งของนางอัญชลีให้การสนับสนุน (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) ต่อมานางอัญชลีได้เปลี่ยนจากการเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาลงรับสมัครเป็นนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตแทน ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2547 ในนามของพรรคประชาธิปัตย์ การที่นางอัญชลี หันมาเล่นการเมืองในระดับ อบจ. ในขณะนั้น นอกจาก เพราะต้องการพยายามขยายบทบาทไปยังการเมืองระดับ ท้องถิ่นแล้ว ยังมาจากช่วงนั้นมีกระแสมาจากการผลักดันให้มี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง คือ การกระจายอำนาจทำให้ การเมืองท้องถิ่นในระดับ อบจ. มีบทบาทสูง ในขณะที่พรรค ยังไม่มีกลไกที่จะมาคุมอย่างใกล้ชิดได้มากนัก หลายพรรค จึงหันมาเน้นการเล่นการเมืองในระดับ อบจ. มาก เช่น นายไพร พัฒโน รวมทั้งนางอัญชลี (พิเชษฐ์ ปานดำ และ รัตนาภรณ์ แจ้งใจดี, สัมภาษณ์, 17 มกราคม 2557) และนางอัญชล ี ก็สามารถเอาชนะทีมของนายแพทย์ประสิทธิ์ โกยศิริพงศ์ อดีต นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ตคนเดิมได้ หลังจากนั้น 181

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต นางอัญชลีก็ลงสมัครในตำแหน่งนายก อบจ. ด้วยตัวเองอีกเป็น ครั้งที่ 2 โดยมีคู่แข่ง คือ นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ ที่มีอดีตทีม งานของนายเรวุฒิ ซึ่งเป็นคู่แข่งของนางอัญชลีให้การสนับสนุน ทั้งที่มีแกนนำคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ได้ร่วมใจกันมา ช่วยอัญชลีอย่างเต็มที่ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และ นายชวน หลีกภัย เป็นต้น แต่ครั้งนั้น นางอัญชลีก็แพ้แก่นายไพบูลย์ หลังจากนั้น นางอัญชลีก็กลับ ไปลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และได้รับการเลือกตั้ง ต่อมานางธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย9 ลงสมัคร รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) นางธันยรัศม์เป็นคู่แข่ง ของกลุ่มนางอัญชลี และมีอดีตทีมงานของนายเรวุฒิ ซึ่งเป็น คู่แข่งของนางอัญชลีให้การสนับสนุน (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) โดยแข่งขันกับนายแพทย์ ประสิทธิ์ โกยศิริพงศ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มนางอัญชลี ผลก็คือ นางธันยรัศม์เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ว. ส่วนในการ แข่งขันชิงตำแหน่งนายก อบจ. ครั้งต่อมาใน พ.ศ. 2555 นายไพบูลย์ อุปัติศฤงค์ ได้ลงสมัครเป็นนายก อบจ. โดยมีอดีต ทีมงานของนายเรวุฒิ ซึ่งเป็นคู่แข่งของนางอัญชลีให้การ สนับสนุนอีกเช่นเคย กลุ่มนางอัญชลีได้ส่งผู้อื่นมาแข่งขัน แต่ก็ แพ้แก่นายไพบูลย์อีกครั้งหนึ่ง 9 นางธันยรัศม์ นามสกุลเดิม “ถาวรว่องวงศ์” นางธันยรัศม ์ เป็นภรรยานายประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย นักธุรกิจในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมี ภมู ิลำเนาเดิมมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช 182

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 เป็นต้น มาพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนในการหนุนสมาชิกที่ลงสมัครรับ เลือกตั้งมาก ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ที่สามารถครองใจชาวบ้าน และแกนนำของพรรคที่ลงมาช่วยหาเสียง แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องแข่งกับคู่แข่งทางการเมืองมากขึ้น ทั้งการเมืองในระดับ ท้องถิ่นและในการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ กลุ่มของนางอัญชลีต้องปรับตัวมาสนใจระดับพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากการแพ้ของผู้นำกลุ่มอย่างอัญชลีในสนาม นายก อบจ. โดยสังเกตได้ว่า ในการหาเสียงจะมีนักการเมือง ที่เด่นๆ ของพรรคลงมาช่วยหาเสียงมากขึ้น ในขณะที่คู่แข่ง อื่นๆ ก็พยายามทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้านเช่นกัน เช่น กลุ่ม แม่บ้าน หรือกับชุมชนต่าง ๆ นอกจากนี้ ผู้ที่ติดตามการเมืองของจังหวัด ภูเก็ตบางคนกล่าวว่า สิ่งที่น่าพิจารณาอีกอย่างหนึ่ง คือ การเป็นผู้สนับสนุนของนางอัญชลีในอนาคต เนื่องจากฐาน ทางเศรษฐกิจของนางอัญชลีมีแนวโน้มจะน้อยลง เพราะหลัง จากนายเอกพจน์เสียชีวิตนางอัญชลีและพี่น้องที่เป็นผู้หญิงก็ได้ รับการจัดสรรหุ้นของตระกูลอันได้แก่บริษัทเจียรวานิชน้อย เนื่องจากมีการกำหนดให้นายอภิรักษ์ วานิช ลูกชายเพียง คนเดียวของนายเอกพจน์เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของตระกูล วานิชเป็นหลัก 183

นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.3.3.1.3 รูปแบบและกลวิธีการหาเสียงของ นางอญั ชล ี นางอัญชลีมีรูปแบบและกลวิธีการหาเสียง ที่สำคัญ 5 วิธี ได้แก่ การใช้วิธีการหาเสียงทั่วไป การจัดเวที ปราศรัยหาเสียง การสร้างเครือข่ายชาวบ้านผู้สนับสนุน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองระดับพื้นที่กับระดับ ชาติ และการสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1) การใช้วิธีการหาเสียงทั่วไป นางอัญชลี มีการใช้วิธีการหาเสียงทั่วไป เช่น การใช้แผ่นปลิว โปสเตอร์ การใช้ขบวนรถแห่ การเดินหาเสียงตามบ้านเรือน การร่วมงาน บุญ งานศพ เป็นต้น 2) การจัดเวทีปราศรัยหาเสียง การจัดเวที ปราศรัยหาเสียง เป็นวิธีการสำคัญในการหาเสียงของ นางอัญชล ี โดยจะมีบุคคลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวภูเก็ต และมีฝีปากในการปราศรัยอย่าง คมคายจำนวนมากมาร่วมปราศรัย โดยการประกาศล่วงหน้า หลายวัน อาจจัดเวทีปราศรัยย่อยหลายครั้ง และมักจัดเวทีใหญ่ ในวันที่ใกล้จะถึงวันเลือกตั้ง มักจะมีการกำหนดเนื้อหาหลัก ของการปราศรัยเน้นไปในทางเดียวกัน มีการระดมผู้ฟังมาร่วม ฟังคำปราศรัยจำนวนมาก เป็นการสร้างความตื่นตัวให้คนสนใจ และหันมาเลือกผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ 3) การสร้างเครือข่ายชาวบ้านผู้สนับสนุน ในจังหวัดภูเก็ต การสร้างเครือข่ายชาวบ้านผู้สนับสนุนผู้ดำรง 184

นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างชัดเจน เริ่มมาแต่สมัย นายเรวุฒิ จินดาพล สำหรับผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย ์ ในจังหวัดภูเก็ต ในสมัยก่อนที่นางอัญชลีได้เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร แม้จะมีบ้าง แต่ยังไม่ใช่กิจกรรมการสร้าง เครือข่ายชาวบ้านผู้ที่สนับสนุนเด่น เช่น สมัยนายจรูญ เสรีถวัลย์ ก็มีบ้างแล้ว แต่ยังไม่ชัดเจน ไม่ต่อเนื่อง มีเพียงการ จัดกิจกรรมเป็นครั้งเป็นคราว เมื่อถึงสมัยของนางอัญชลีจึงมี การสร้างเครือข่ายการรวมตัวของผู้สนับสนุนอย่างจริงจัง โดยพยายามหนุนให้เกิดกลุ่มอย่างกว้างขวาง และกับหลาย กลุ่มมากที่สุด เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ อย่างชัดเจน ปัจจุบันการสร้างการรวมตัวจะจัดตั้งผ่านหน่วยงานรัฐมากขึ้น เช่น กองทุนต่าง ๆ ผู้สูงอายุ อสม. (วินิจ หงส์อติกุล, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2557) เป็นต้น 4 ) ก า ร ส ร้ า ง ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง การเมืองระดับพ้ืนท่ีกับระดับชาติ นางอัญชลีได้พยายาม สร้างความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองระดับชาติกับระดับพื้นที่ เช่น เทศบาล หรือ อบจ. แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความเป็น เนอ้ื เดยี วกนั ไดท้ ง้ั หมด ดงั ทก่ี ลา่ วแลว้ ดงั นน้ั ในระดบั พน้ื ทบ่ี างแหง่ ปัจจุบันอัญชลีก็ยังไม่สามารถเข้าถึงไปได้ บางพื้นที่ก็เข้าได้ จึงยังอยู่ในสภาพของการต่อสู้กับคู่แข่งทางการเมือง โดยยังไม่ สามารถควบคุมให้เป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างเบ็ดเสร็จ 5) การสร้างผลงานให้เป็นท่ีประจักษ์ ในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล และนางอัญชลีได้ทำ หน้าที่ต่าง ๆ ได้มีผลงานปรากฏชัดเจน จนสามารถทำให ้ 185


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook