นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต บ้างก็ตาม ดังนั้นแม้ว่า รัฐส่วนกลางจะส่งเจ้าหน้าที่มากำกับ ดูแลแต่ก็ต้องโอนอ่อนผ่อนตามกลุ่มเจ้าเมือง เจ้าหน้าที่คนใด ไม่ปรับตัวมาสัมพันธ์กับกลุ่มเจ้าเมืองก็มักถูกกลุ่มเจ้าเมือง กดดัน ดังที่พบในกรณีของพระยาธรรมไตรโลก การขยายบทบาทของกลุ่มเจ้าเมืองมีทั้ง การขยายในกลุ่มเดิมและเชื่อมความสัมพันธ์ไปยังกลุ่มอื่น ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่รัฐจากส่วนกลาง ที่เข้ามากำกับดูแลก็มักจะมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มเจ้าเมืองทั้งที่ เป็นความสัมพันธ์ซึ่งมีอยู่แต่เดิม ดังกรณีของพระยาสุรินทราชา (จนั ทร์ จนั ทโรจนว์ งศ)์ ขา้ หลวงสำเรจ็ ราชการหวั เมอื งฝง่ั ตะวนั ตก ระหว่าง พ.ศ. 2329 ถึง 2350 ก็เป็นหลานของจอมเฒ่า ส่วนความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นใหม่ซึ่งมักจะทำโดยการแต่งงาน เช่น คุณหญิงจัน (ธิดาของจอมร้าง) ได้แต่งงานครั้งที่ 1 กับ หม่อมศรีภักดี ลูกของจอมนายกองเมืองตะกั่วทุ่ง ซึ่งเป็น ข้าราชการจากนครศรีธรรมราช ต่อมาคุณหญิงจันได้แต่งงาน ครั้งที่ 2 กับพระพิมลขัน ข้าราชการจากนครศรีธรรมราชเช่นกัน ต่อมาลูกหลานของคุณหญิงจันได้แต่งงานกับผู้ที่มีบทบาททั้งใน ท้องถิ่นและในส่วนกลางจนเป็นเครือข่ายความสัมพันธ์ ที่กว้างขวาง นอกจากนี้กลุ่มเจ้าเมืองยังใช้วิธีการวิ่งเต้น (Lobby) กับข้าราชการระดับสูงเพื่อให้ลูกหลานได้ดำรงตำแหน่ง สำคัญ รวมทั้งได้สร้างสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจอื่น ๆ เช่น เอกชนชาวอังกฤษ คือ ฟรานซิส ไลท์ ตลอดจนสายสัมพันธ์กับ เมืองไทรบุรีที่มีอยู่แต่เดิม เป็นต้น จนทำให้เครือข่ายมั่นคงและ ขยายตัวมากขึ้น 36
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของกลุ่มเจ้าเมือง คือ แร่ดีบุก เมื่อทุนนิยมขยายตัวทำให้ตลาดโลกต้องการดีบุก มากขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดที่ยังคงทำเหมืองแร่ด้วยวิธีการร่อนแร่ ด้วย เลียง ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต่ำเมื่อเปรียบกับการทำแร่ในเมือง อื่นที่เป็นอาณานิคมในขณะนั้น และยังมีแรงงานน้อย ชาวบ้าน จะถกู เจ้าเมืองเกณฑ์มาหาแร่ดีบุกเพื่อให้ได้มากขึ้น ในช่วงแรกที่กลุ่มเจ้าเมือง ตั้งแต่จอมเฒ่า ปกครองเมืองถลางสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่ตั้งของเมืองอยู่ที่ ตอนบนของเกาะโดยย้ายไปหลายแห่ง เช่น ที่บ้านบางคลี บ้านตะเคียน บ้านลิพอน บ้านท่าเรือ บ้านดอน บ้านบางโรง เป็นต้น ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2314-2319 ลูกชายคนหนึ่งของ คุณหญิงจัน คือ นายเทียน (ต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาเพชรคีรี เจ้าเมืองถลาง) ได้ค้นพบแหล่งแร่ขนาดใหญ่บริเวณตอนล่าง ของเกาะที่บ้านสะปำติดต่อไปถึงบ้านสาคู บ้านสามกอง และ บ้านเก็ตโฮ (กระทู้) จึงได้รวบรวมชาวบ้านซึ่งเดิมเป็นชุมชน ชาวประมงเล็ก ๆ (ปัญญา ศรีนาค, 2546, น. 182) และข้าทาส บริวารตั้งขึ้นเป็นเมืองภูเก็จขึ้นกับเมืองถลาง จากนั้นการทำ แร่ดีบุกที่เมืองภูเก็ตก็ขยายตัวมาก เช่น ใน พ.ศ. 2394 พระภูเก็ต (ทัต) เจ้าเมืองภูเก็จได้บุกเบิกพื้นที่ทำเหมืองแร่ แห่งใหม่ที่ตำบลหล่อยูง ท่าแครง และทุ่งคา (พวงทิพย์ เกียรติสหกุล, 2534, น. 15) ใน พ.ศ. 2396 รัฐส่วนกลางได้ยก ระดับเมืองภูเก็จให้มีฐานะเทียบเท่าเมืองถลาง พร้อมกับเลื่อน ยศเจ้าเมืองภูเก็จจาก “พระ” เป็น “พระยา” เลื่อนพระภูเก็จ (ทัต) เป็น “พระยาภูเก็จโลหะเกษตรารักษ์ (ทัต)” (สุรีย์ เลียงแสงทอง, 2524, น. 227) ต่อมาใน พ.ศ. 2404 เมืองถลาง 37
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ก็ขึ้นกับเมืองภูเก็จ (ปัญญา ศรีนาค, 2546, น. 243) ศูนย์กลาง การทำเหมืองแร่จึงย้ายจากด้านบนของเกาะมาอยู่ด้านใต้ ขณะนั้นการทำเหมืองแร่ดีบุกรายใหญ่บนเกาะ ภูเก็ตมักจะเป็นเจ้าเมืองโดยนำเงินที่เป็นผลประโยชน์จาก การผูกขาดภาษีอากรมาเป็นทุน แต่หลังจากการทำสนธิสัญญา เบาริงใน พ.ศ. 2398 ทำให้เจ้าเมืองไม่สามารถผูกขาดได้อีก มีการปรับการเก็บภาษีอากรทำให้เจ้าเมืองต้องร่วมแข่งขัน ประมูลเป็นเจ้าภาษีนายอากรกับคนอื่น ซึ่งแม้เจ้าเมืองจะยัง สามารถประมูลได้แต่ก็ต้องส่งภาษีให้ส่วนกลางสูงกว่าเดิม พระยาภูเก็จโลหะเกษตรารักษ์ (ทัต) จึงได้ขยายการทำเหมือง แร่ออกไปมากขึ้น มีการพัฒนาเทคนิคให้ดีขึ้นเป็นการทำแบบ เหมืองหาบ เหมืองปล่อง เหมืองสูบ และเหมืองฉีด ในด้าน แรงงานที่เดิมใช้แรงงานของไพร่ทาส ซึ่งไม่ชำนาญการทำแร่ และไม่มีแรงกระตุ้นในการทำงาน เนื่องจากผลประโยชน์ที่ได้จะ ตกเป็นของเจ้าเมืองที่ผูกขาดตามระบบศักดินา เจ้าเมืองจึงเริ่ม นำชาวจีนเข้ามาและทวีจำนวนมากขึ้น ในส่วนของรัฐส่วนกลางก็กำลังปรับตัวเพื่อดึง อำนาจการปกครองและภาษีอากรเข้าสู่ส่วนกลาง ขณะที่ เจ้าเมืองเริ่มปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขแบบใหม่ได้ยากขึ้นเห็นได้จาก การที่ไม่สามารถส่งภาษีให้กับส่วนกลางตามที่กำหนดไว้ จนต่อมาใน พ.ศ. 2424 พระยาภูเก็จ (ลำดวน) เจ้าเมืองได้ถูก รัฐส่วนกลางยึดทรัพย์สินเพื่อทดแทนภาษีอากรที่คั่งค้างอยู่ หลังจากนั้นตั้งแต่ พ.ศ. 2425 เป็นต้นมาอำนาจ ของเจ้าเมืองก็น้อยลงจนแทบหมดสิ้น เจ้าเมืองไม่สามารถ 38
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ผูกขาดภาษีอากรได้อีกโดยมีบทบาทเป็นเพียงผู้เก็บรวบรวม ภาษีส่งให้ส่วนกลาง ทำให้อำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและทาง การเมืองของกลุ่มเจ้าเมืองลดลงเรื่อย ๆ เจ้าเมืองในกลุ่มนี้ คนสุดท้าย คือ พระยาถลาง (หนู) ซึ่งเป็นข้าราชจากส่วนกลาง แต่ก็มีเชื้อสายจอมร้าง จนพระยาถลาง (หนู) ถึงอนิจกรรม ประมาณ พ.ศ. 2538 ทางการจึงยุบเมืองถลางเป็นอำเภอถลาง ขึ้นกับเมืองภูเก็ต (ปัญญา ศรีนาค, 2546, น. 185) ถือได้ว่ากลุ่ม เจ้าเมืองที่เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2253 ได้สิ้นสุดบทบาทลงอย่าง แท้จริง ตระกูลหลัก ๆ ของผู้ที่สืบทอดมาจากกลุ่ม เจ้าเมืองมาจนถึงปัจจุบันมีหลายสายและใช้นามสกุลต่างกัน เช่น ณ ถลาง, ประทปี ณ ถลาง, รัตนดิลก ณ ภเู ก็ต, ฤกษ์ถลาง, เกษถลาง เป็นต้น 4.1.1.2 ยุคที่ 2 การกุมอำนาจโดยรัฐส่วนกลางและ การเร่มิ สะสมทนุ ของชาวจีน (พ.ศ. 2425 ถงึ 2474) ลักษณะทางเศรษฐกิจการเมืองของจังหวัด ภูเก็ตในปัจจุบันมีความต่อเนื่องมาจากการเข้ามากุมอำนาจ โดยรัฐส่วนกลางและการเริ่มสะสมทุนของชาวจีนในช่วง พ.ศ. 2425 ถึง 2474 นี้อย่างมาก โดย พ.ศ. 2425 ถือว่า เป็นปีที่กลุ่ม เจ้าเมืองภูเก็ตเริ่มมีบทบาทลดลง พร้อมกับการมีบทบาท มากขึ้นของรัฐสยามที่พยายามดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางและ กลุ่มชาวจีนที่เข้ามาทำเหมืองแร่ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2300 การเติบโตของเศรษฐกิจบนเกาะภูเก็ตซึ่งอยู่บนฐานของการทำ เหมืองแร่ดีบุกเป็นผลมาจากการขยายตัวของทุนนิยมในระดับ 39
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต สากลโดยเฉพาะหลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม การที่ประเทศ ตะวันตกเข้ามาล่าอาณานิคมทำให้เกิดศูนย์กลางเศรษฐกิจ สำคัญในภูมิภาคนี้ที่ภูเก็ตต้องติดต่อสัมพันธ์ด้วย คือ ปีนัง สิงคโปร์ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้สยามต้องเร่งผลักให้ เกิดรัฐสมัยใหม่ขึ้น เพื่อให้การเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นจากการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจถูกส่งเข้าสู่ส่วนกลางเต็มเม็ดเต็มหน่วย และเพื่อให้รัฐส่วนกลางมีอำนาจเหนือท้องถิ่นอย่างแท้จริง จึงได้ใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ซึ่งมักเริ่ม ด้วยการสลายอำนาจของเจ้าเมืองเดิมลง การพยายามสลายอำนาจทางการเมืองของ เจ้าเมืองภูเก็ตได้ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป วิธีการสำคัญ อย่างหนึ่ง คือ การเข้าไปแทรกแซงการควบคุมคนของเจ้าเมือง ซึ่งเดิมเป็นไปตามโครงสร้างแบบศักดินา ต่อมาเมื่อการผลิต แร่ดีบุกขยายตัวขึ้นทำให้เจ้าเมืองต้องใช้แรงงานไพร่ทาส มากขึ้น จนสร้างความไม่พอใจแก่ชาวบ้าน เจ้าเมืองจึงต้องนำ แรงงานชาวจีนเข้ามาจำนวนมาก ดังใน พ.ศ. 2389 มีคนจีน ทถ่ี ลาง 88 คน ภเู กต็ 98 คน รวมเปน็ 186 คน (สธุ วิ งศ์ พงศไ์ พบลู ย,์ ดิลก วุฒิพาณิชย์ และ ประสิทธิ์ ชิณการณ์, 2544, น. 50) ต่อมาใน พ.ศ. 2407 มีชาวจีนมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะภูเก็ต เพิ่มขึ้นเป็น 7,201 คน โดยส่วนใหญ่เป็นจีนฮกเกี้ยน คือ ร้อยละ 81.34 (นวลศรี พงศ์ภัทรวัต, 2543, น. 34-35) แม้เจ้าเมืองจะเป็น ผู้นำชาวจีนเข้ามาแต่ก็ไม่สามารถควบคุมชาวจีนเหล่านี้ได้ จึงเป็นช่องทางให้รัฐส่วนกลางเข้ามาแทรกแซง ขณะเดียวกัน ชาวจีนเหล่านี้ก็เริ่มสั่งสมฐานะทางเศรษฐกิจและการเมือง จนกลายมาเปน็ ฐานอำนาจใหก้ บั รฐั สว่ นกลางแทนกลมุ่ เจา้ เมอื ง 40
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต การไหลทะลักเข้ามายังจังหวัดภูเก็ตของคนจีน ในช่วงนี้เริ่มจากในระยะแรกเจ้าเมืองภูเก็ตจะนำแรงงานชาวจีน มาจากปีนัง และสิงคโปร์ ต่อมาก็นำมาจากจีนโดยตรงจาก มณฑลฮกเกี้ยน หรือฟูเกี้ยน ซึ่งอยู่ชายฝั่งทะเลด้านใต้ของจีน ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นของจีนแล้ว ชาวจีนในมณฑล ฮกเกี้ยนจะมีความเป็นอยู่แร้นแค้นและด้อยการศึกษาจึงมัก อพยพออกไปหากินที่อื่นกันมาก ประกอบกับขณะนั้นมีความ ต้องการแรงงานเพื่อทำงานในประเทศอาณานิคมจำนวนมาก จึงเกิดระบบการค้ากุลีจีน ขึ้นคล้ายกับการค้าทาสจากแอฟริกา ในอเมริกา บางครั้งเพื่อให้ได้แรงงานตามจำนวนที่ต้องการ ต้องใช้วิธีการลักพาตัวเพื่อให้ได้ครบจำนวนภายในเวลาที่ กำหนด (ภวู ดล ทรงประเสริฐ, 2542, น. 17.) แรงงานชาวจีนมีทั้งกลุ่มที่เป็นแรงงานอิสระ ที่เดินทางมาโดยเสียค่าเดินทางเองจึงสามารถรับจ้างที่ไหนก็ได้ ซึ่งเป็นแรงงานชาวจีนส่วนมาก กับอีกพวกหนึ่งที่นายหน้าออก ค่าใช้จ่ายให้ก่อนแล้วทำงานชดใช้หนี้ภายหลัง ซึ่งกำหนดว่า ต้องทำงานถึง 3 ปี จึงจะมีอิสระ เมื่อเก็บเงินได้แล้วก็หวังว่า จะกลับไปยังบ้านเกิด แรงงานชาวจีนเหล่านี้มีการรวมกลุ่มของ ตน โดยมีที่มาทั้งจากการที่มีผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือตั้งแต่ อยู่ที่บ้านเกิดแล้ว ซึ่งมักจะเป็นผู้อาวุโสในเครือญาติ เป็น หัวหน้าต้นตระกูลแซ่ บางคนประสบความสำเร็จในการสร้าง ฐานะ คนเหล่านี้จะกลายเป็นหัวหน้าที่ผู้อื่นยอมรับ กลุ่มคนจีนที่มีฐานะจะร่วมหุ้นกับเจ้าเมือง ที่ขณะนั้นยังผูกขาดภาษีอากรอยู่ บางครั้งเจ้าเมืองจะเพิ่ม 41
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต รายได้ของตนโดยการให้หัวหน้าชาวจีนยืมเงินไปทำเหมืองแร่ เพอ่ื ใหไ้ ดเ้ งนิ มาเปน็ กำไรและเสยี ภาษใี หส้ ว่ นกลาง ซง่ึ อกี ดา้ นหนง่ึ ก็ทำให้หัวหน้าชาวจีนเริ่มสะสมฐานะขึ้นมาด้วย ในขณะนั้น กิจการเหมืองแร่บนเกาะภูเก็ตจึงก่อประโยชน์ให้กับคน 3 กลุ่ม ได้แก่ เจ้าเมือง ราชสำนักส่วนกลาง และหุ้นส่วนชาวจีน โดยมี ตลาดปีนังเป็นแหล่งระบายสินค้า (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ดิลก วุฒิพาณิชย์ และ ประสิทธิ์ ชิณการณ์, 2544, น. 49) นอกจากนี้ ยังมีการรวมตัวของชาวจีนอยู่ในรูป ของสมาคมที่เรียกว่า อั้งยี่ ผู้ที่เป็นสมาชิกอั้งยี่จะมีการ สงเคราะห์ช่วยเหลือกันและได้รับการคุ้มครองโดยต้องยอมรับ กฎกติกาอย่างเข้มงวด ขณะนั้นเครือข่ายของอั้งยี่มีอยู่อย่าง กว้างขวาง มีศูนย์กลางหลักกระจายอยู่ทั่วภูมิภาคที่มีชาวจีน อาศัยอยู่ เช่น ที่ปีนัง สิงคโปร์ จาการ์ต้า กรุงเทพฯ และมี เครือข่ายย่อยอยู่ทั่วไป เช่น นครศรีธรรมราช ระนอง กระบี่ ตะกั่วป่า รวมทั้งบนเกาะภูเก็ต สมาคมอั้งยี่ย่อย ๆ จะสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับอั้งยี่สมาคมเดียวกันในจังหวัดอื่นตลอดถึงใน ภูมิภาครวมถึงปีนัง บางครั้งก็มีการขัดแย้งกันระหว่างกลุ่ม ดังกรณีที่เกิดการแย่งน้ำในการทำเหมืองแร่ ในขณะนั้น บนเกาะภูเก็ตมีอั้งยี่ 2 กลุ่ม มีสมาชิกกระจายอยู่ในตลาดทุ่งคา และกะทู้ คือ กลุ่มที่ 1 ยี่หินกงสี มีศูนย์อยู่ที่กะทู้ ทางตอน เหนือของเกาะมีสมาชิกประมาณ 3,500 คน เป็นกลุ่มที่มี ความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าเมืองภูเก็ต ต่อมากลุ่มนี้สนับสนุน ราชวงศ์หมิง กล่าวกันว่า เจ้าเมืองระนองเป็นหัวหน้าที่แท้จริง ของกลุ่มนี้ 42
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต กลุ่มที่ 2 บุนเถ้าก๋งกงสี หรือ เกียนเต็กกงสี มีศูนย์อยู่ที่ตลาดภูเก็ต ทางตอนใต้ของเกาะ มีสมาชิกใน พ.ศ. 2410 ประมาณ 4,000 คน และใน พ.ศ. 2418 เพิ่มเป็น 20,000 คน กลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลที่สุดบนเกาะภูเก็ต ต่อมากลุ่มนี้ สนับสนุน ดร.ซุน ยัดเซ็น กลุ่มนี้มักขัดแย้งกับเจ้าเมืองเสมอ เนื่องจากเห็นว่า เจ้าเมืองมักจะเข้าข้างกลุ่มยี่หินกงสี ประกอบ กับกลุ่มนี้เห็นว่า บุนเถ้าก๋งกงสีในจังหวัดระนองมักถูกเจ้าเมือง ระนองข่มเหงและใช้เครือข่ายของยี่หินกงสีในจังหวัดใกล้เคียง เพื่อผูกขาดภาษีอากรและเหมืองแร่จนได้อภิสิทธิ์จากราชสำนัก เพิ่มมากขึ้น อันจะกระทบต่อฐานะทางเศรษฐกิจของเครือข่าย บุนเถ้าก๋งในระยะยาว (นวลศรี พงศ์ภัทรวัต, 2543, น. 182) ทั้งสองกลุ่มมักจะวิวาทเนื่องจากแย่งน้ำในการ ทำเหมืองแร่อยู่เสมอโดยเฉพาะใน พ.ศ. 2410 เจ้าเมืองมักจะ แก้ปัญหาไม่ได้จนเป็นเหตุให้ส่วนกลางต้องยื่นมือเข้ามา มีการ ดึงหัวหน้าชาวจีนจากอั้งยี่ทั้ง 2 กลุ่มเป็นตัวแทนเข้ามาร่วม แก้ไข เรียกว่า วิธีการเลี้ยงอั้งยี่โดยเลือกหัวหน้าต้นแซ่ขึ้นมาเป็น หัวหน้าปกครองดูแลสมาชิกแซ่เดียวกัน โดยหัวหน้าต้นแซ่ฝ่าย ยี่หินกงสีมี 10 คน ฝ่ายบุนเท่าก๋งกงสีมี 53 คน (นวลศรี พงศ์ภัทรวัต, 2543, น. 187-188) ถ้าหัวหน้าคนไหนทำงานดีก็จะ ให้ยศหรือบรรดาศักดิ์ จนใน พ.ศ. 2413 เป็นต้นมา ทางการก็ได้ ตั้งเป็นกรมการจีนขึ้น ประกอบด้วยปลัดจีน และนายอำเภอจีน (สุรีย์ เลียงแสงทอง, 2524, น. 150 และ นวลศรี พงศ์ภัทรวัต, 2543, น. 189) คนเหล่านี้และลูกหลานต่อมาส่วนใหญ่ก็มี บทบาททางเศรษฐกิจการเมืองในจังหวัดภูเก็ตจนถึงปัจจุบัน ชาวจีนหัวหน้าต้นแซ่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางการหรือ 43
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ส่วนกลางเพื่อดำรงตำแหน่งกรมการจีนในขณะนั้นมีหลายคน ได้แก่ กรมการจีนจากฝ่ายยี่หินกงสี เช่น หลวงอำนาจ เขตสิงขร (จีนโอกีฉวน)3 หลวงบำรุงจีนชาติ (จีนลิมบุน) หลวง ขจรจีนสกล (จีนก่อช่อง/เอียวฉอง) กรมการจีนฝ่ายบุนเท่าก๋งกงสี เช่น หลวงอร่าม สาครเขตร (จีนตันต๋ำ บิดาของหลวงขจรจีนสกล หรือตันเลี่ยนกี่ ต้นตระกูล วงศ์ขจร) หลวงพิทักษ์จีนประชา (จีนตันเค/ตันเจา) หลวงประเทศจินารักษ์ (จีนอองผิว) หลวงบำรุงจีนประเทศ (จีนตันเนียวยี บิดาของพระพิทักษ์ชินประชา หรือตันม้าเสียง ต้นตระกูล ตัณฑวณิช) หลวงสุนทรจีนประชา (จีนตันข่ายหวุน) ขณะเดียวกันรัฐส่วนกลางก็หาทางควบคุม อำนาจทางเศรษฐกิจของกลุ่มเจ้าเมืองภูเก็ต กรณีที่เห็นได้ชัด เริ่มขึ้นใน พ.ศ. 2415 เมื่อพระยาอัษฎงคตทิศรักษา (ตันกิมเจ๋ง) คนใกล้ชิดของราชสำนักได้เข้ามาแข่งขันประมูลภาษีกับ เจ้าเมืองภูเก็จ (อุษณีย์ ฉวีกุลรัตน์, 2550, น. 362, 378) ทำให้ เจ้าเมืองต้องประมูลภาษีสูงขึ้น ต้องกดค่าแรงกรรมกรให้ต่ำลง ประกอบกับราคาแร่ดีบุกต่ำลงทำให้ไม่มีเงินหมุน เจ้าเมืองไม่มี เงินให้นายเหมืองชาวจีนยืมไปจ่ายค่าแรงให้กับกรรมกร ต้องขึ้น ค่าผูกปี้จีนจากคนละ 40 เซ็นต์เป็นคนละ 2 เหรียญ 60 เซ็นต์ สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวจีนจนลุกลามกลายเป็นจลาจล 3 ข้อมูลบางแห่งว่า จีนโอกีฉวน อยู่ฝ่ายบุนเท่าก๋งกงสี ดู สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์, ดิลก วุฒิพาณิชย์ และประสิทธิ์ ชิณการณ์, 2544, น. 76 (เชิงอรรถที่ 184) 44
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ใน พ.ศ. 2419 จนเจ้าเมืองควบคุมไม่ได้ ในที่สุดส่วนกลางก็ได้ ส่งเรือปืนเข้ามาช่วยจนเหตุการณ์คลี่คลายลง พร้อมๆ กับ อำนาจทางการปกครองของเจ้าเมืองก็ได้ลดลงมาก ต่อมาเมื่อเจ้าเมืองไม่สามารถชำระเงินค้างค่า ภาษีได้จนถูกทางการยึดทรัพย์สิน ใน พ.ศ. 2425 เจ้าเมือง จึงขอส่งคืนภาษีให้รัฐบาลทำเอง ทำให้เจ้าเมืองมีหน้าที่เพียงจัด เก็บภาษีที่ทำรายได้สูง 5 ประเภท ส่งให้รัฐบาลเท่านั้น คือ อากรดีบุก อากรฝิ่น อากรสุราในเมือง ภาษีร้อยชักสาม และ ภาษีรถเกวียนเรือจ้าง ส่วนอากรที่เหลืออีก 16 ประเภท ให้มี การประมูลผูกขาดเป็นเจ้าภาษีนายอากรได้อย่างเสรี4 ผู้ที่ ประมูลได้ส่วนมากมักจะเป็นชาวจีนทีมีฐานะถึงกับเรียกกันว่า จีนเจ้าภาษี ทำให้ชาวจีนเหล่านี้มีฐานะเป็นกึ่งราชการ และได้ รับสิทธิพิเศษมากมาย รวมทั้งการทำเหมืองแร่ บางครั้งยังนำ เงินภาษีมาเป็นทุนหมุนเวียนทำการค้าของตนโดยไม่ต้องเสีย ดอกเบี้ยอีกด้วย ตั้งแต่ พ.ศ. 2425 เป็นต้นมา จนถึงช่วงการ เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 จึงเป็นการขยายฐาน ทางเศรษฐกิจของชาวจีนกลุ่มนี้จนเริ่มปักหลักอย่างมั่นคง พร้อมกับที่ส่วนกลางสามารถสลายอำนาจของเจ้าเมืองเดิม ลงไปได้ ข้าราชการจากส่วนกลางเข้ามาทำหน้าที่ได้เต็มที่ 4 ได้แก่ อากรสุรานอกเมือง ภาษีข้าวเหนียว อากรค่าน้ำ อากร บ่อนเบี้ย ภาษีไม้กระดาน ภาษีปลิงทะเล อากรดีบุกบางตำบล ภาษีเหลือ ภาษีขนดีบุกในเมือง ภาษีหอยไข่มุก ภาษีโรงจำนำ ภาษีฟองไข่จาระเม็ด ภาษีสุกร ภาษีหญิงบำรุงถนน ภาษีรับซื้อแร่บางตำบล และภาษีปลาสด 45
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต โดยมีคนจีนเป็นกลไกสำคัญในการสร้างและขยายฐานภาษีให้ กับส่วนกลาง ท่ามกลางการทำเหมืองแร่ที่มีเทคนิคก้าวหน้า มากขึ้น และการปรับปรุงกลไกและกฎระเบียบของรัฐเกี่ยวกับ การทำเหมืองแร่ให้เป็นระบบมากขึ้น ทำให้มีชาวตะวันตก เข้ามาทำเหมืองแร่ด้วยเทคนิคที่ดีกว่าและใช้ทุนสูง แต่ชาว ตะวันตก ก็ไม่สามารถทำเหมืองแร่ได้อย่างต่อเนื่อง สาเหตุ สำคัญอย่างหนึ่งคือชาวตะวันตกไม่สามารถควบคุมแรงงาน ชาวจีนได้เหมือนนายทุนชาวจีน กล่าวได้ว่า รัฐส่วนกลางสามารถกุมอำนาจบน เกาะภูเก็ตได้เต็มที่ใน พ.ศ. 2444 เมื่อพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต เนื่องจากพระยารัษฎานุประดิษฐ์มีเชื้อสายมาจากชาวจีนอพยพ ที่เข้ามาและเริ่มยกระดับฐานะก่อนชาวจีนคนอื่น จนสามารถ ขึ้นมาเป็นผู้ปกครองโดยที่อีกด้านหนึ่งยังคงทำการผลิตและ การคา้ เหมอื นคนจนี ทส่ี รา้ งฐานะคนอน่ื โดยพยายามหาประโยชน์ จากช่องว่างที่มีอยู่บ้าง แต่บทบาทหลักของพระยารัษฎา- นุประดิษฐ์ คือ การเป็นนักปกครองที่สามารถผลักดันให้เกิด รัฐสมัยใหม่ขึ้นมา ไม่ใช่เป็นนักลงทุนหรือผู้ที่พยายามสร้าง ฐานะเหมือนชาวจีนทั่วไปในขณะนั้น ลูกหลานที่สืบต่อมา อนั ไดแ้ ก่ ตระกลู ณ ระนอง จงึ มกั ไมม่ บี ทบาททางดา้ นเศรษฐกจิ ที่โดดเด่นเท่าตระกลู อื่น ในฐานะนักปกครอง พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ได้ให้ความสำคัญกับชาวจีนที่มีฐานะร่ำรวย ดังเช่น หลังจาก การปฏิรูปการปกครองส่วนภูมิภาครัฐบาลได้ตั้งตำแหน่ง กรมการพิเศษ ซึ่งแต่งตั้งโดยเจ้าเมืองขึ้นแทนกรมการจีน โดยมี 46
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ฐานะต่ำกว่าและมีอำนาจต่ำกว่ากรมการจีน ซึ่งได้รับการโปรด เกล้าฯ แต่งตั้ง พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ได้แต่งตั้งกรมการพิเศษ จากบรรดาหัวหน้าอั้งยี่ หัวหน้าต้นแซ่ และชาวจีนผู้มีฐานะ ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้มีบทบาททางเศรษฐกิจสืบทอดมาจนปัจจุบัน (นวลศรี พงศ์ภัทรวัต, 2543, น. 190-191) เช่น พระพทิ กั ษช์ นิ ประชา (ตนั มา้ เสยี ง บตุ รตนั เนยี วย)ี ต้นตระกูล ตัณฑวณิช พระอรา่ มสาครเขตร (ตนั เพก็ ฮวด บตุ รตนั หงมิ จา้ ว) ต้นตระกูล ตัณฑัยย์ หลวงอำนาจนรารักษ์ (ตันควด) ต้นตระกูล ตัณฑเวทย์ หลวงขจรจีนสกล (ตันเลี่ยนกี่ บุตรตันต๋ำ) ต้นตระกูล วงศ์ขจร ห ล ว ง อ น ุ ภ า ษ ภู เ ก ็ ต ก า ร ( ต ั น จ ิ น ห ง ว น ) ต้นตระกูล หงษ์หยก โดยภาพรวมแล้วถ้าจะแบ่งฐานะทางสังคม ของชาวจีนบนเกาะภูเก็ตในขณะนั้นจะแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ ชาวจนี ระดบั สงู ระดบั กลาง และระดบั ลา่ ง (นวลศรี พงศภ์ ทั รวตั , 2543, น. 74) คือ ชาวจีนระดับสูง ได้แก่ กลุ่มที่มีฐานะทางสังคม สูงสุด เป็นเจ้าภาษีนายอากร เป็นหัวหน้าต้นตระกูลแซ่ บางคน ได้รับบรรดาศักดิ์ และจะเป็นนายเหมือง มีอำนาจทางการ เศรษฐกิจและการปกครองสูง ได้แก่กลุ่มที่กล่าวไปแล้วข้างต้น 47
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ชาวจีนระดับกลาง ได้แก่ พวกพ่อค้าทั่วไป ไม่ได้ทำกิจการใหญ่โตนัก อาจเป็นช่างฝีมือ เสมียน ลูกจ้าง ของเจ้าภาษีนายอากร มีทุนทรัพย์น้อยกว่าพวกแรก แต่มักมี ความรู้ความสามารถและสามารถยกฐานะขึ้นมาเป็นเจ้าของ กิจการได้ในที่สุด ชาวจีนระดับล่าง ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้แรงงานทั่วไป หรือทำอาชีพที่ไม่ต้องลงทุนมากนัก เช่น พ่อค้าหาบเร่ พายเรือ จ้าง เป็นต้น กลุ่มนี้มีจำนวนมาก แต่ก็มีบางคนที่สามารถ ยกระดับฐานะจนเป็นเป็นนายเหมืองได้เช่นกัน ดังนั้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2425 เป็นต้นมาที่รัฐยกเลิก ผูกขาดภาษีโดยเจ้าเมืองได้ทำให้ชาวบ้านทั้งชาวไทยและ ชาวจีนมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพมากขึ้นกว่าเดิม ชาวจีน จะหาช่องทางขยายการทำเหมือง ดังจะเห็นว่า จำนวนเหมือง แร่บนเกาะภูเก็ตใน พ.ศ. 2433 มีถึง 131 เหมือง แบ่งเป็นเหมือง เล็ก 69 เหมือง และเหมืองใหญ่ 62 เหมือง คนเหล่านี้สามารถ สะสมทุนได้กว้างขวาง โดยเฉพาะชาวจีนระดับสูงที่มักใช้เงิน จากการเป็นเจ้าภาษีนายอากรและใช้สิทธิพิเศษมาเป็นทุนใน การทำเหมืองแร่ เช่น พบว่า หลวงสาครอร่ามเขตร (ตันเพ็กฮวด ต้นตระกูล ตัณฑัยย์)สามารถครอบครองพื้นที่ทำเหมืองบนเกาะ ภูเก็ตในช่วง พ.ศ. 2436-2464 รวม 3,417 ไร่ 1 งาน 74 ตารางวา หลวงขจรจีนสกล (ตันเลียนกี่ต้นตระกูล วงศ์ขจร) ครอบครอง พื้นที่ทำเหมืองบนเกาะภูเก็ตในช่วง พ.ศ. 2436-2457 รวม 1,412 ไร่ 71 ตารางวา (พวงทิพย์ เกียรติสหกุล, 2534, น. 209) เป็นต้น 48
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ต่อมาเมื่อมีการยกเลิกระบบเจ้าภาษีนายอากร ไปใน พ.ศ. 2462 ได้ทำให้นายเหมืองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นชาวจีน ระดับสูงไม่สามารถทำเหมืองแร่ได้เหมือนเดิมเพราะไม่มีเงิน จากการประมูลภาษีมาเป็นทุนได้อีก จึงเปิดโอกาสให้คนอื่น สามารถแทรกเข้ามาสะสมทุนได้มากขึ้น หลัง พ.ศ. 2462 เป็นต้นมา จึงมีนายเหมืองขนาดกลางและขนาดเล็กหลายราย สามารถขยายกิจการยกฐานะกลายเป็นนายเหมืองขนาดใหญ่ ได้หลายคน จึงจะพบว่า ชาวจีนที่เป็นต้นตระกูลสำคัญทาง เศรษฐกิจบนเกาะภูเก็ตปรากฏขึ้นในช่วงนี้ (พ.ศ. 2425-2475) เป็นจำนวนมาก นอกจากที่กล่าวไปแล้ว เช่น จีนอู๋ก้ามเหงียม ต้นตระกูล เสงี่ยม (สะสมทุน มาตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2425) ขนุ ชนานเิ ทศ (ตนั เซยี วเซอะ) ตน้ ตระกลู ทองตนั ขนุ เลศิ โภคารกั ษ์ (ตนั เคหลมิ ) ตน้ ตระกลู ตนั บญุ แป๊ะหยกเตี่ยว ต้นตระกลู ธารสิริโรจน์ ตันเคกิ๋ว ต้นตระกูล ตันติวิท ขนุ วเิ ศษนกุ ลู กจิ (ตนั เองก)่ี ตน้ ตระกลู อดุ มทรพั ย ์ ตันตัวโถ้ ต้นตระกลู เอกวานิช โกยลิก้อ ต้นตระกูล โกยสมบรู ณ์ อ๋องซิ่มผ่าย ต้นตระกลู ถาวรว่องวงศ์ 49
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต หงานจูเปี่ยน ต้นตระกูล งานทวี นายฮั่นก๋วน แซ่หงอ ต้นตระกลู อุปัติศฤงศ์ นายเจียะออ แซ่เจี่ย ต้นตระกลู จิรายุส เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงนี้แม้ว่า บนเกาะภูเก็ต จะมีชาวจีนหลายตระกูลประสบความสำเร็จในการสร้างฐานะ แต่มักไม่มีความขัดแย้งกันรุนแรงเหมือนก่อนโดยเฉพาะเมื่อ หลวงอำนาจนรารักษ์ (ตันควด ต้นตระกูล ตัณฑเวทย์) ได้เป็น หัวหน้ากลุ่มยี่หินกงสีก็ได้ใช้ความสามารถประสานกับกลุ่ม บุนเถ้าก๋งกงสีจนแก้ไขปัญหาความขัดแย้งลงได้ (นวลศรี พงศ์ภัทรวัต, 2543, น. 253) รวมทั้งความขัดแย้งได้ลดลงเนื่อง จากต่อมาได้มีการแต่งงานกันระหว่างตระกูลของชาวจีน เช่น อุปัติศฤงค์ กับหงษ์หยก อุปัติศฤงค์ กับจินดาพล อุปัติศฤงค์ กับตันติวิท และวานิชกับตัณฑัยย์ ตันบุญกับ ณ ระนอง เป็นต้น 4.1.2 การเมืองของจังหวัดภูเก็ตช่วงหลังการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2557) ถ้าพิจารณาจากลักษณะทางด้าน เศรษฐกิจการเมืองแล้ว อาจแบ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใน จังหวัดภูเก็ตออกไปเป็น 3 ยุค คือ ยุคที่ 1 การประลองกำลัง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2475-2521) ยุคที่ 2 การ ค้นหาแนวทางหลังยุคเหมืองแร่ (พ.ศ. 2522-2534) และยุคที่ 3 การกุมอำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ท่ามกลางทุนโลกาภิวัตน์ (พ.ศ. 2535 ถึงปัจจุบัน 2557) ดังนี้ 50
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.1.2.1 ยุคที่ 1 การประลองกำลังหลังเปล่ียนแปลง การปกครอง (พ.ศ. 2475 ถึง 2521) ถ้าพิจารณาจากผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกในช่วงนี้จะเห็นว่า เป็นภาพสะท้อน การประลองกำลังหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งยัง สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้ ส่งผลต่อการปรับตัวของคนกลุ่มต่าง ๆ บนเกาะภูเก็ต ในที่นี้จะ แยกกล่าวเป็นสองด้าน คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 4.1.2.1.1 การเปลยี่ นแปลงทางดา้ นเศรษฐกจิ ในช่วงนี้มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่าง คือ หลังเปลี่ยนแปลง การปกครอง รัฐบาลมีนโยบายกีดกันนายทุนต่างชาติ ซึ่งกลับ เป็นผลดีกับนายทุนชาวจีนเดิมเพราะบางส่วนก็ได้เป็นคนไทย แล้ว บางส่วนได้โอนให้ญาติชาวไทยถือครองในนามแทน ในขณะที่นายทุนตะวันตกถูกกีดกันออกไป เหตุการณ์สำคัญ ต่อมา คือ การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ราคาดีบุกผันผวน เพราะผลิตได้มากแต่ราคาต่ำจนรัฐบาลต้องกำหนดโควตา การขาย ทำให้เกิดการลักลอบค้าแร่ดีบุก รวมถึงสินค้าอื่น เช่น ข้าวสาร น้ำตาล ทองคำ อย่างผิดกฎหมาย นายทุนบางคนได้ ประโยชน์จากการลักลอบค้าขายจนได้ชื่อว่า เป็นพ่อค้าสงคราม ภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นในช่างนี้จึงกลับกลายเป็นโอกาสในการ ขยายทุนของชาวจีนบนเกาะภูเก็ต รวมทั้งนายทุนชาวจีนที่เริ่ม สะสมทุนมาจากพื้นที่อื่นแล้วย้ายมา เช่น 51
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต นายเจียร วานิช (เอียบกิ้มเจี้ยน) ต้นตระกูล วานิช นายจุติ บุญสูง ต้นตระกลู บุญสูง นอกจากนี้ จากราคาดีบุกที่ไม่แน่นอนทำให้ รัฐบาลสนับสนุนให้มีการหาทางสร้างรายได้ทางอื่น จึงมีการทำ สวนยางพารากันมากขึ้น ดังที่ตระกูลตัณฑวณิชได้ทำสวนยาง มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว แต่เนื่องจากบนเกาะ ภูเก็ตมีพื้นที่น้อยจึงมีการขยายไปหาที่ดินทำสวนยางในจังหวัด อื่น เช่น ตระกูลถาวรว่องวงศ์ ตระกูลงานทวี ตระกูลอุปัติศฤงค์ ที่มีสวนจำนวนมาก หรือตระกูลวานิชที่เป็นผู้บุกเบิกการทำสวน ปาล์มเมื่อ พ.ศ. 2513 โดยขอเช่าที่ดินในจังหวัดกระบี่ 16,266 ไร่ นายทุนบางคนทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ เป็นต้น ที่ดินจึงมี ความสำคัญมากขึ้น แม้ว่า กฎหมายจะกำหนดว่า เมื่อหมด อายุประทานบัตรการทำเหมืองแล้วต้องคืนที่ดินกลับเป็นของรัฐ แต่ในความเป็นจริง นายทุนจะหาช่องทางเปลี่ยนที่ดินเหล่านั้น เป็นของตนเอง ทำให้ตระกูลของนายเหมืองกลายเป็น ผู้ครอบครองที่ดินรายใหญ่และทำเลดีบนเกาะภูเก็ต ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึง พ.ศ. 2522 การทำเหมืองแร่บนเกาะภูเก็ตทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะ แรท่ ข่ี ดุ ไดเ้ รม่ิ มปี รมิ าณนอ้ ยลง ตอ้ งลงทนุ มากขน้ึ ราคาไมแ่ นน่ อน แต่ก็ยังมีการทำกันมาก ขณะเดียวกันเริ่มมีกิจกรรมทาง เศรษฐกิจแบบใหม่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษ 2500 และขยายตัว ประมาณ พ.ศ. 2515 ได้แก่การท่องเที่ยว เริ่มมีนายทุนในภูเก็ต หันมาลงทุนด้านการท่องเที่ยวบ้างแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่นิยมนัก 52
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ในด้านสังคมก็มีการขยายตัวของแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย เกิดกระแสแนวคิดด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งแน่นอนว่า เป็นอุปสรรคต่อการทำเหมืองแร่ แต่ช่วงนี้นายทุน ก็ยังทำเหมืองแร่เป็นหลัก 4.1.2.1.2 การเปล่ียนแปลงทางการเมือง การเคลื่อนไหวทางการเมือง แม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง การปกครองโดยคณะราษฎร์แล้ว ซึ่งทำให้มีการแบ่งอำนาจ การปกครองออกเป็นฝ่ายบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ มีการปรับโครงสร้างของระบบราชการ ให้ลงตัวเป็นสมัยใหม่ แต่ก็ยังมีความขัดแย้งกันหลายกลุ่ม เช่น คณะราษฎร์กับกลุ่ม นิยมเจ้า หรือความขัดแย้งภายในคณะราษฎร์เอง ประกอบกับ มีเหตุการณ์ทางการเมืองอื่น ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น การเกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 การเกิดขบวนการเสรีไทย การเกิดกลุ่มที่มี แนวคิดสังคมนิยม เป็นต้น บนเกาะภูเก็ตก็มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มเหล่านี้ เช่นกัน เช่น ขุนชนาทรนิเทศ (ตันเฉ่งห้อ ทองตัน) บุตรของขุน ชนานิเทศ (ตันเซียวเซอะ ต้นตระกูล ทองตัน) ได้สมัครเป็น สมาชิกขบวนการเสรีไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีบทบาท ต่อต้านญี่ปุ่นบนเกาะภูเก็ต หรือนายชิต เวชประสิทธิ์ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดภูเก็ตในช่วงนี้ก็เป็นคนใกล้ชิดของ นายปรีดี พนมยงค์ และมีความคิดสังคมนิยม นายอุดม บุณยประสพ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. 2492-2494 สามี ของคุณหญิงแร่ม พรหโมบล บุญยประสพ สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดภูเก็ตในช่วงนี้ก็เคยให้ความช่วยเหลือขบวนการ เสรีไทยมาก่อน ส่วนนายเจียร วานิชก็สัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุคคล 53
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต สำคัญที่มีบทบาททางการเมืองในกรุงเทพฯ หลายคน เช่น นายโอสถ โกศิน, จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์, จอมพล ประภาส จารุเสถียร และนายชิน โสภณพานิช เป็นต้น หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองยังมีการตั้ง องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอัน ได้แก่ เทศบาล สภาจังหวัด เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงนี้นายทุนบนเกาะภูเก็ตไม่ได้เข้ามาเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนัก แต่จะเข้าไปบริหารระดับองค์การ ปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่า เช่น นายกเทศมนตรีเมืองภูเก็ต ตั้งแต่ พ.ศ. 2483 เป็นต้นมา มักเป็นคนในตระกูลเชื้อสาย ชาวจีนที่สำคัญ เช่น ตัณฑัยย์, หงส์หยก, ตัณฑวณิช, บุญสูง และธารสิริโรจน์ เป็นต้น 4.1.2.2 ยุคท่ี 2 การค้นหาแนวทางหลังยุคเหมืองแร่ (พ.ศ. 2522 ถงึ 2534) ใน พ.ศ. 2522 กระแสการท่องเที่ยวเริ่มได้รับ ความสนใจมากขึ้น สวนทางกับการทำเหมืองแร่บนเกาะภูเก็ต ที่เริ่มซบเซาและจบสิ้นลงอย่างแท้จริงเมื่อเกิดการเผาโรงงาน แทนทาลั่มใน พ.ศ. 2529 หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น นายทุน ต้องหาช่องทางลงทุนทำกิจการด้านอื่น ในด้านสังคมการเมือง ช่วงนี้ แนวคิดสังคมนิยมเริ่มหมดบทบาทลง ภาคประชาสังคม มีบทบาทมากขึ้น ในขณะที่พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี (23 มีนาคม 2523 ถึง 4 สิงหาคม 2531) เป็นช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เริ่มวางฐานทางการเมืองอย่าง แนน่ หนาในภาคใตใ้ นชว่ งหลงั จากน้ี ในชว่ งนจ้ี งึ เปน็ ชว่ งเปลย่ี นผา่ น เป็นการค้นหาแนวทางใหม่ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง 54
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.1.2.3 ยคุ ที่ 3 การกมุ อำนาจของพรรคประชาธปิ ตั ย์ ท่ามกลางทนุ โลกาภิวัตน์ (พ.ศ. 2535 ถึงปจั จุบนั 2557) การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจในช่วงนี้ ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2535 ที่การท่องเที่ยวได้เป็นกิจกรรมทาง เศรษฐกิจหลักของเกาะภูเก็ตแทนที่การทำเหมืองแร่ในอดีตแล้ว พบว่า กลุ่มนายทุนเดิมสามารถปรับตัวมาหาประโยชน์จากการ ท่องเที่ยวได้น้อยมากเนื่องจากลูกหลานของแต่ละตระกูลมักจะ ประกอบอาชีพด้านอื่น และธุรกิจการท่องเที่ยวต้องใช้ทักษะที่ ต่างไปจากเดิม ทั้งยังต้องใช้ทุนและเครือข่ายธุรกิจที่กว้างขวาง มาก ดังนั้น ในช่วงนี้จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่าง เกิดขึ้นในจังหวัดภูเก็ต เช่น มีกลุ่มทุนจากภายนอกเข้ามามี บทบาทมากขึ้น ตระกูลเดิมบางตระกูลที่เคยครอบครองที่ดินบน เกาะภูเก็ตจำนวนมากได้ขายที่ดินทำเลดีให้กับนายทุนภายนอก บางตระกูลต้องร่วมทุนกับกลุ่มทุนภายนอก บางตระกูลต้อง ปรับไปทำสวนยางพารา สวนปาล์ม อันทำให้เห็นว่า การลงทุน ยังให้ความสำคัญกับการถือครองที่ดิน มีการขยายกิจการ และ พยายามปรับการบริหารงานจากระบบครอบครัวให้เป็นสากล มากขึ้น เป็นต้น กลุ่มนายทุนเดิมของภูเก็ตที่ปรับมาทำธุรกิจ ท่องเที่ยวเป็นรุ่นบุกเบิก เริ่มจากตระกูลถาวรว่องวงศ์ได้ตั้ง โรงแรมถาวรเมื่อ พ.ศ. 2506 อีกประมาณ 5 ปีต่อมา ตระกูล ถาวรว่องวงศ์ก็ได้ตั้งโรงแรม พี.เอส. อินน์ จนถึงยุคที่การ ท่องเที่ยวขยายตัว จึงได้สร้างโรงแรมระดับห้าดาวขึ้นที่หาด กะรน อ่าวนาคาเล กับในตัวเมืองอีก 3 โรงแรมตามลำดับ 55
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ปัจจุบันได้แตกแขนงธุรกิจไปอีกหลากหลาย โดยใช้ที่ดินที่ผ่าน การทำเหมืองแร่ และเงินทุนของตนเอง ตระกูลต่อมา คือ ณ ระนอง (ตันบุญ) ที่ได้ทำโครงการศูนย์การค้าเพิร์ล เมื่อ พ.ศ. 2519 ประกอบด้วยโรงแรมเพิร์ล โบว์ลิ่ง และภาพยนตร์ ตระกลู ต่อมา คือ หงษ์หยก ที่ได้สร้างสนามกอล์ฟ มาตรฐานชื่อ ภูเก็ต คันทรีคลับ บนที่ดินที่เป็นเหมืองเก่ากว่า 1,000 ไร่ ที่บ้านทุ่งทอง อ.กะทู้ เมื่อ พ.ศ. 2532 หลังจากนั้นก็มีนายทุนเดิมตระกูลอื่นหันมาทำ ธุรกิจท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เช่น งานทวี, ตันติวิท, อุปัติศฤงค์, ตัณฑวนิช, เอกวานิช และโกยสมบูรณ์ เป็นต้น กิจการที่ทำมีทั้ง โรงแรม ภัตตาคาร สนามกอล์ฟ มีทั้งลงทุนในที่ดินเองและร่วม ลงทุนกับนักลงทุนต่างถิ่น มีเพียงตระกูลวานิช เท่านั้นที่ไม่ทำ ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว โดยยังคงยึดติดกับเกษตรกรรม ทำสวนปาล์ม และอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่จังหวัดกระบี ่ เป็นหลัก (จันจิรา แก้วประกอบ และ ประเสริฐ เฟื่องฟุ้ง, 2542) ในช่วงนี้กลุ่มทุนภายนอกระดับชาติจาก ส่วนกลางได้เข้ามาลงทุนในภูเก็ตเช่นกัน เช่น กลุ่มชาญอิสสระ ได้ทำโครงการศรีพันวา ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศบนพื้นที่ ประมาณ 80 ไร่ โดยเริ่มเมื่อ พ.ศ. 2547 หากเฟสสุดท้ายแล้ว เสร็จจะมีมูลค่ารวมสูงถึง 6 พันล้านบาท (สุภัทธา สุขชู, 2552) แต่ก็เป็นจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับทุนจากต่างประเทศที่มักเข้า มาเป็นทุนก้อนใหญ่ที่มาเช่าหรือซื้อที่ดินจากนายทุนในท้องถิ่น เช่น กลุ่มทุนสิงคโปร์ได้แก่บริษัท ลากูน่า บีช รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล จำกัด (เดิมชื่อบริษัทไทยวารีสอร์ท ดีเวลลอปเม้นท์) 56
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ได้เข้ามาลงทุนพัฒนาที่ดินเหมืองแร่ร้างของตระกูลอุดมทรัพย์ อยู่ที่ริมหาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต มาตั้งแต่ ประมาณ พ.ศ. 2530 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวระดับสูง โดยมี โรงแรมระดับห้าดาวถึง 5 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมลากูน่า บีช รีสอร์ท, โรงแรมดุสิต ลากูน่า บีช รีสอร์ท, โรงแรมดิอลัมมันดา, โรงแรมเชอราตัน, โรงแรมบันยันทรี และสนามกอล์ฟบันยันทรี กอล์ฟ คลับ (ทุนสิงคโปร์ฮุบเกาะภูเก็ต ทั้ง รร.-สนามกอล์ฟ มูลค่าหลายหมื่น ล., 22 มกราคม 2550) จนใน พ.ศ. 2552 คาดกันว่า ทุนสิงคโปร์ที่เข้ามาลงทุนในภูเก็ตไม่น่าจะต่ำกว่า 1 ใน 4 ของการลงทุนในภูเก็ตทั้งหมด ซึ่งมูลค่าการลงทุนไม่ต่ำ กว่าหมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะลงทุนในธุรกิจโรงแรม ที่มีทั้ง การเข้ามาลงทุนใหม่ และควบรวมกิจการโรงแรมที่ลงทุน โดยทุนท้องถิ่นและทุนส่วนกลาง สนามกอล์ฟ เรียลเอสเตท อุตสาหกรรมทางทะเลที่เป็นโรงงานแปรรูปอาหารทะเล เป็นต้น (ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์, 2552) นอกจากนี้ ยังมีการเข้ามาของเครือข่ายโรงแรม ระดับโลกหลายราย เช่น Four Seasons หรือ Jumeirah ในเครือ ดูไบ โฮลดิ้งของรัฐบาลดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ได้เข้ามา สำรวจพื้นที่เพื่อก่อสร้างโรงแรมระดับ 6 ดาวในภูเก็ต หรือ กลุ่มทาทา กรุ๊ป จากอินเดียได้เข้ามาลงทุนโครงการ TAJ Exotic เกาะโหลน โดยซื้อที่ดินทั้งเกาะรวม 125 ไร่ พัฒนาเป็นโรงแรม และวิลล่า มูลค่าไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งการพัฒนา เป็นเฟส โดยในส่วนวิลล่ามี 19 ยูนิต กำหนดราคาขายประมาณ 128-384 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่ารวมกว่า 7,000 ล้านบาท (ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์, 2552) หรือโครงการประเภทมาริน่า 57
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต พร้อมบ้านพักอาศัยระดับราคาหลังละ 1-3 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งท่าเรือยอร์ชหรูหราราคาลำละหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ ของมหาเศรษฐีระดับโลกที่มีการก่อสร้างในพื้นที่ฝั่งตะวันออก ของเกาะภเู ก็ตแล้วถึง 4 แห่ง เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่า ปัจจุบันธุรกิจการท่องเที่ยวบน เกาะภูเก็ตเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่สามารถเคลื่อนย้ายใน ระดับโลกอย่างรวดเร็ว โดยนายทุนเดิมในท้องถิ่นไม่มีความ ถนัดและเข้าหาประโยชน์จากการท่องเที่ยวได้น้อยกว่าในเชิง เปรียบเทียบ นายทุนท้องถิ่นจึงต้องร่วมมือกับทุนจากภายนอก หรือหันไปทำธุรกิจด้านอื่น ในด้านการเมือง พ.ศ. 2535 เป็นปีที่พรรค ประชาธิปัตย์สามารถกวาดที่นั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน ภาคใต้เกือบทั้งหมดเป็นครั้งแรกและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2557) รวมทั้งในจังหวัดภูเก็ตที่ไม่มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจากพรรคอื่นได้รับเลือกตั้งเลย โดยผู้ที่เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรอย่างต่อเนื่องมาจากตระกลู วานิชเป็นหลัก 4.2 การเลือกตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดภูเก็ตต้ังแต่ พ.ศ. 2476 ถึงปัจจุบัน (2557) หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา จังหวัดภูเก็ตได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรมาตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2476 จนถึงการเลือกตั้ง ครั้งล่าสุดในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 และมีการยุบสภาไปเมื่อ วันที่ 9 ธันวาคม 2556 นับเป็นสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 24 ชุด ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 58
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.2.1 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 1 (15 พฤศจิกายน 2476 ถึง 9 ธันวาคม 2480) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกของไทย ได้มาจาก การแต่งตั้งและเลือกตั้งโดยอ้อม เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ได้กำหนดให้สภา ผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกผู้แทนราษฎร 2 ประเภท คือ สมาชิกประเภทที่ 1 มาจากผู้ที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้น เป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก ได้กระทำระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-15 พฤศจิกายน 2476 เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม โดย เลือกตั้งผู้แทนตำบลก่อน แล้วผู้แทนตำบลเป็นผู้เลือกสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรอีกต่อหนึ่ง เป็นการเลือกตั้งแบบรวมเขต โดยถือจำนวนราษฎร 200,000 คนต่อผู้แทน 1 คน ได้สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 78 คน สมาชกิ ประเภทท่ี 2 มาจากผทู้ พ่ี ระมหากษตั รยิ ท์ รงตง้ั ขน้ึ จำนวนทั้งสิ้น 78 คนเช่นกัน สภาชุดนี้มีประธานรัฐสภามาจากประธานสภาผู้แทน ราษฎรรวม 3 คน ด้วยกัน คือ 1) พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี (กระแส ประวาหะนาวิน) (26 ก.พ. 2476 ถึง 22 ก.ย. 2477), 2) เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) (22 ก.ย. 2477 ถึง 31 ก.ค. 2479) และ 3) พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) (3 ส.ค. 2479 ถึง 10 ธ.ค. 2480) สำหรับจังหวัดภูเก็ต ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 คือ พระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 59
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ประเภทที่ 1 ทำหน้าที่จนครบ 4 ปี จึงพ้นจากตำแหน่งเนื่องจาก ครบตามวาระที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ5 โดยสิ้นสุดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2480 4.2.2 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 2 (10 ธันวาคม 2480 ถึง 11 กันยายน 2481) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 182 คน โดยสมาชิกประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบแบ่งเขต เขตละ 1 คน หรือเขตเดียวเบอร์เดียวเป็นครั้งแรก ถือเกณฑ์ราษฎร 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จำนวน 78 คน และมีการแต่งตั้งเพิ่ม 13 คน สภาชุดนี้มีพระยามานวราชเสวี (พ.ศ. 2480-2481) เป็น ประธานรัฐสภา และพระยาพหลพลพยุหเสนา ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 5 ซึ่งเป็นสมัยสุดท้ายสำหรับจังหวัด ภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ ขุนชิน สถานพิทักษ์ (ตันยู่อี่ ตันทวณิช) สมาชิกภาพของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2481 เนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพราะรัฐบาลแพ้การลงมติ ในสภากรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอญัตติขอแก้ไขข้อ บังคับการประประชุมของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับวิธีการ เสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 5 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่อยู่จนครบวาระโดยไม่ถูกยุบสภา หรือ รัฐประหาร คือ สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 1, 7 และ 21 60
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.2.3 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 3 (12 พฤศจิกายน 2481 ถึง 15 กรกฎาคม 2488) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 178 คน โดยสมาชิกประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้ง ทางตรง แบบแบ่งเขต เขตละ 1 คน หรือเขตเดียวเบอร์เดียว เช่นเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 2 ถือ เกณฑ์ราษฎร 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจำนวน 91 คน สภาชุดนี้มีการเปลี่ยนประธานรัฐสภา 5 ครั้ง คือ 1) พระยามานราชเสวี (พ.ศ. 2481-2485), 2) นายปลอด วิเชียร ณ สงขลา (พ.ศ. 2485-2486), 3) พลเรือตรี กระแส ประวาหะ นาวิน (พ.ศ. 2486-2487), 4) นายปลอด วิเชียร ณ สงขลา (พ.ศ. 2487-2488) และ 5) พระยามานราชเสวี (พ.ศ. 2488) และม ี พลเอก หลวงพิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยแรก (16 ธันวาคม 2481 ถึง 6 มีนาคม 2485) สำหรับ จังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายชิต เวชประสิทธิ์ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้ สิ้นสุดลงเนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2488 เพราะสภามีมติไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราช บัญญัติอาชญากรสงครามที่รัฐบาลเสนอ เพื่อให้ลงโทษผู้ก่อให้ เกิดการปกครองตามลัทธิคอมมิวนิสต์ 61
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.2.4 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 4 (6 มกราคม 2489 ถึง 8 พฤศจิกายน 2490) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มาจากการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 6 มกราคม 2489 ถือเกณฑ์ราษฎร 200,000 คน ตอ่ ผแู้ ทนราษฎร 1 คน รวมทง้ั หมด 96 คน และครง้ั ทส่ี อง ในวนั ท่ี 5 สิงหาคม 2489 ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทน ราษฎร 1 คน รวมทั้งหมด 82 คน รูปแบบการเลือกตั้งเป็นการ เลือกตั้งทางตรงแบบแบ่งเขต เขตละ 1 คน หรือเขตเดียวเบอร์ เดียวเช่นเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 2 และ 3 รวมเลือกตั้ง 2 ครั้งได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 178 คน สภาชุดนี้มีพลตรี วิลาศ โอสถานนท์ เป็นประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2489-2490) พลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวินศรยุทธเสนี ประธานพฤติสภา เป็นประธานรัฐสภาสมาชิกประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้ง และมีนายควง อภัยวงศ์ ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สอง (31 มกราคม 2489) สำหรับ จังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือ นายชิต เวชประสิทธิ์ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้สิ้นสุดลงเนื่องจากพลเอก ผิน ชุณหะวัณ เข้ายึดอำนาจ การปกครอง เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 4.2.5 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 5 (29 มกราคม 2491 ถึง 29 พฤศจิกายน 2494) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 246 คน การเลือกตั้งครั้งนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2491 62
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขตจังหวัด หรือจังหวัดละ 1 เขต ถือเกณฑ์ราษฎร 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 99 คน สภาชุดนี้มี 2 ส่วน ประกอบด้วย 1) สภาผู้แทนราษฎร 2) วุฒิสภา มีเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ประธานวุฒิสภา เป็น ประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2490-2494) และมีนายควง อภัยวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ ขุนประเทศจีนนิกร (กวนฮก ตัณฑัยย์) สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดนี้สิ้นสุดลง เนื่องจากพลเอก ผิน ชุณหะวัณ เข้ายึดอำนาจ การปกครอง เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 4.2.6 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 6 (5 มิถุนายน 2492 ถึง 29 พฤศจิกายน 2494) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มาจากการเลือกตั้งแบบ ประเภทที่ 1 เพิ่มเติมจากสภาผู้แทนราษฎรไทยชุดที่ 5 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขตหรือ จังหวัดละ 1 เขตเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2492 ถือเกณฑ์ราษฎร 200,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพิ่มเติม จำนวน 21 คน สำหรับจังหวัดภูเก็ตไม่มีการเลือกตั้งเพิ่มเติม สมาชิก ภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดลงเนื่องจาก พลเอก ผิน ชุณหะวัณ เข้ายึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 พร้อมกับสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 5 63
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต 4.2.7 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 7 (26 กุมภาพันธ์ 2495 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2500) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 246 คน แบ่งเป็น จากแบบประเภทที่ 1 หรือจากการเลือกตั้งจำนวน 123 คน และ แบบประเภทที่ 2 หรือจากการแต่งตั้ง 123 คน การเลือกตั้ง (แบบประเภทที่ 1) ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต จังหวัด หรือจังหวัดละ 1 เขต ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน สภาชุดนี้มีพลเอก พระประจนปัจจนึก เป็นประธาน รัฐสภา และมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายก- รัฐมนตรีเป็นสมัยที่เจ็ด (24 มีนาคม 2495-21 มีนาคม 2500) สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือ คุณหญิงแร่ม พรหโมบล บุณยประสพ สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ชุดนี้ พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากครบตามวาระ 4 ปี ที่กำหนดไว้ใน รัฐธรรมนญู 4.2.8 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 8 (26 กุมภาพันธ์ 2500 ถึง 16 กันยายน 2500) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 283 คน โดยมา จากการเลือกตั้งแบบประเภทที่ 1 ซึ่งแบ่งเขตทั้งหมด 160 คน และแบบประเภทที่ 2 ซึ่งเป็นการแต่งตั้ง 123 คน การเลือกตั้ง ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขตจังหวัด หรือจังหวัด 64
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ละ 1 เขต ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นที่กล่าวขานกันว่า มีการทุจริตมากเพื่อให้ ประโยชน์แก่พรรคเสรีมนังคศิลาที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็น หัวหน้าพรรค สภาชุดนี้มีพลเอก พระประจนปัจจนึก เป็นประธาน รัฐสภา มีผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ จอมพล ป. พิบูล สงคราม ซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่แปด (21 มีนาคม-16 กันยายน 2500) และนายพจน์ สารสิน (21 กันยายน 2500-1 มกราคม 2501) สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายสตางค์ พุทธรักษา พรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกภาพของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดโดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้ายึด อำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 4.2.9 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 9 (15 ธันวาคม 2500 ถึง 20 ตุลาคม 2501) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้มีจัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2500 จำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 283 คน โดยมาจาก การเลือกตั้งแบบประเภทที่ 1 ซึ่งแบ่งเขตทั้งหมด 160 คน และ แบบประเภทที่ 2 ซึ่งเป็นการแต่งตั้ง 123 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต หรือจังหวัดละ 1 เขต ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน สภาชุดนี้มีพลโท ถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งนายก- รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2501 สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้ รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ คุณหญิงแร่ม 65
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต พรหโมบล บุณยประสพ สมาชิกภาพของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรชุดนี้ สิ้นสุดโดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เข้ายึด อำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 4.2.10 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 10 (10 กุมภาพันธ์ 2512 ถึง 17 พฤศจิกายน 2514) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 219 คน จากการ เลือกตั้งทางตรง แบบรวมเขต หรือจังหวัดละ 1 เขต ถือเกณฑ์ ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน สภาชุดนี้มีพลเอก วรการบัญชา ประธานวุฒิสภา เป็น ประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2511-2514) และมีจอมพล ถนอม กิตติขจร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สาม (7 มีนาคม 2512) สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายชิต เวชประสิทธิ์ สมาชิกภาพ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้สิ้นสุดโดยจอมพล ถนอม กิตติขจร ปฏิวัติยึดอำนาจตัวเองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 หลังจากนั้นจอมพล ถนอมกิตติขจรได้เข้าปกครองประเทศ จนเกิดการต่อต้านและเกิดความปั่นป่วนจนจอมพล ถนอม กิตติขจร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เว้นว่างไปหลายปี 4.2.11 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 11 (26 มกราคม 2518 ถึง 12 มกราคม 2519) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2518 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 269 คน โดยมาจาก 66
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต การเลือกตั้งแบบทางตรงแบบผสมระหว่างการรวมเขตกับ การแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็น เขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้ง ถ้ามีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่งเขตเลือกตั้ง ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วนจังหวัดใดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่งออกเป็น 2 เขตๆ ละ 2 คน โดยถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ได้กำหนดให้ผู้สมัครทุกคนต้องสังกัด พรรคการเมือง สภาชุดนี้มีนายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ประธานสภา ผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา และมีผู้ดำรงตำแหน่งนายก- รัฐมนตรี คือ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช (15 กุมภาพันธ์ ถึง 14 มีนาคม 2518) และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช (14 มีนาคม 2518 ถึง 20 เมษายน 2519) สำหรับจังหวัดภูเก็ต ผ้ทู ไี่ ดร้ บั เลอื กต้งั เปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร คือ นายอมรศักดิ์ องค์สรณะคม พรรคประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพ ลงเนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2519 โดยมสี าเหตมุ าจากพรรคการเมอื งรว่ มรฐั บาลขาดเอกภาพ ทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน 67
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 4.2.12 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 12 (4 เมษายน 2519 ถึง 6 ตุลาคม 2519) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 279 คน โดยเป็นระบบ และวิธีการเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 11 คือ มาจากการเลือกตั้งแบบทางตรงแบบผสมระหว่าง การรวมเขตกับการแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขต จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัด เลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวน สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้ง ถ้ามี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่ง เขตเลือกตั้งให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขต ที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วนจังหวัดใดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่ง ออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 2 คน โดยถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน สภาชุดนี้มีหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่สาม สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายเอี่ยมศักดิ์ หลิมสมบูรณ์ พรรคพลังใหม่ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพลง เนื่องจากคณะปฏิรปู การปกครองแผ่นดินนำโดยพลเรือเอก สงัด 68
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ชะลออยู่ เข้ายึดอำนาจการปกครองในประเทศในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 4.2.13 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 13 (22 เมษายน 2522 ถึง 19 มีนาคม 2526) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 301 คน โดยเป็น ระบบและวิธีการเดียวกับการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 11 และ 12 คือ มาจากการเลือกตั้งแบบทางตรงแบบผสม ระหว่างการรวมเขตกับการแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้มีการ เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใด มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือ เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการ เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขต จังหวัดเลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการแบ่งเขต เลือกตั้งถ้ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ ให้แบ่งเขตเลือกตั้งให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วนจังหวัดใดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่ง ออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 2 คน โดยถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีกฎหมายอนุญาต ให้จัดตั้งพรรคการเมือง แต่ในทางปฏิบัติได้มีการจัดตั้งองค์กร และการหาเสียงในนามพรรคการเมือง 69
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต สภาชุดนี้มีพลอากาศเอก หะริน หงสกุล ประธาน วุฒิสภา เป็นประธานรัฐสภา และมีผู้ดำรงตำแหน่งนายก- รัฐมนตรี คือ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ (12 พฤษภาคม 2522 ถึง 3 มีนาคม 2523) และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (3 มีนาคม 2523 ถึง 30 เมษายน 2526) สำหรับจังหวัดภูเก็ต ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายจรูญ เสรีถวัลย์ พรรคประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพลง เนื่องจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2526 โดยมีสาเหตุมาจากสภาผู้แทนราษฎรมีความคิดเห็นที่แตกต่าง กันเกี่ยวกับวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตาม บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 4.2.14 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 14 (18 เมษายน 2526 ถึง 1 พฤษภาคม 2529) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2526 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 324 คน โดยเป็น ระบบและวิธีการเดียวกับการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 11, 12 และ 13 คือ มาจากการเลือกตั้งแบบทางตรงแบบ ผสมระหว่างการรวมเขตกับการแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้มี การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใด มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้ง มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการ แบ่งเขตเลือกตั้งถ้ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน 70
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่งเขตเลือกตั้งให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วนจังหวัดใดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ 4 คน ให้แบ่งออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 2 คน โดยถือเกณฑ์ ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ กฎหมายได้บังคับให้พรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกสมัครรับ เลือกตั้งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมด แต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค การเมืองก็ได้ สภาชุดนี้มีประธานวุฒิสภา เป็นประธานรัฐสภา คือ นายจารุบุตร เรืองสุวรรณ (พ.ศ. 2526-2527) นายอุกฤษ มงคลนาวิน (พ.ศ. 2527-2529) และมีพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (ระหว่าง 30 เมษายน 2526 ถึง 5 สิงหาคม 2529) สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายจรูญ เสรีถวัลย์ พรรค ประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพลงเนื่องจากการ ยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2529 โดยมีสาเหตุ มาจากสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่อนุมัติพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติม พระราชกำหนดขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 (ฉบับแก้ไข พ.ศ. 2529) ที่รัฐบาลเป็นผู้เสนอ 4.2.15 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 15 (27 กรกฎาคม 2529 ถึง 29 เมษายน 2531) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 347 คน โดยเป็น 71
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ระบบและวิธีการเดียวกับการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 11, 12, 13 และ 14 คือ มาจากการเลือกตั้งแบบทางตรง แบบผสมระหว่างการรวมเขตกับการแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้ มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใด มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้ง มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการ แบ่งเขตเลือกตั้งถ้ามี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่งเขตเลือกตั้งให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วนจังหวัดใดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ 4 คน ให้แบ่งออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 2 คน โดยถือเกณฑ์ ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ กฎหมายได้บังคับให้พรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกสมัครรับ เลือกตั้งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมด และผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสมัครในนามพรรคการเมือง สภาชุดนี้มีพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร คือ นายเรวุฒิ จินดาพล พรรคพลังใหม่ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพเนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2531 72
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต 4.2.16 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 16 (24 กรกฎาคม 2531 ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2534) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2531 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 357 คน โดยเป็น ระบบและวิธีการเดียวกับการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 11, 12, 13, 14 และ 15 คือ มาจากการเลือกตั้งแบบทาง ตรงแบบผสมระหว่างการรวมเขตกับการแบ่งเขต คือ จังหวัด หนึ่งให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เกิน กว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละ เขตเลือกตั้งมีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งถ้ามี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่งเขตเลือกตั้งให้มี สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่เหลือต้องมี สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วนจังหวัดใดที่มี สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่งออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 2 คน โดยถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้กฎหมายได้บังคับให้พรรคการเมืองต้องส่ง สมาชิกสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด และผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสมัคร ในนามพรรคการเมือง 73
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต สภาชุดนี้มีประธานวุฒิสภา เป็นประธานรัฐสภา คือ นายอุกฤษ มงคลนาวิน (พ.ศ. 2531-2532) ร้อยตำรวจตรี วรรณ ชันซื่อ (พ.ศ. 2532-2534) และมีพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ดำรงตำแหนง่ นายกรฐั มนตรี (4 สงิ หาคม 2531 ถงึ 23 กมุ ภาพนั ธ์ 2534) สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือ นายเรวุฒิ จินดาพล พรรคชาติไทย สภาชุดนี้ สิ้นสุดสมาชิกภาพลง เนื่องจากการยึดอำนาจจากการปกครอง แผ่นดินของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 4.2.17 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 17 (22 มีนาคม 2535 ถึง 30 มิถุนายน 2535) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือก ตั้ง เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 โดยใช้ระบบและวิธีการเดียวกับ การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 11, 12, 13, 14, 15 และ 16 คือ มาจากการเลือกตั้งแบบทางตรงแบบผสมระหว่าง การรวมเขตกับการแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการ เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขต จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัด เลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวน สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้ง ถ้ามี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่ง เขตเลือกตั้งให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่ เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน 74
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ส่วนจังหวัดใดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่ง ออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 2 คน แต่แตกต่างจากเดิม คือ ให้ถือ เกณฑ์ราษฎร 158,225 คน (เดิมใช้จำนวน 150,000 คน) ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน มีจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมด 360 คน สภาชุดนี้มีนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานวุฒิสภา เป็นประธานรัฐสภา สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายเรวุฒิ จินดาพล พรรค ชาติไทย ต่อมาได้ถูกศาลตัดสินและพ้นสมาชิกภาพ แต่ไม่มี เลือกตั้งใหม่ทดแทน เนื่องจากใกล้วันเลือกตั้งครั้งต่อไป สภา ชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพ เนื่องจากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2535 เนื่องจากเกิดเหตุการณ์พฤษภา ทมิฬ 4.2.18 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 18 (13 กันยายน 2535 ถึง 19 พฤษภาคม 2538) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการ เลือกตั้งเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 โดยใช้ระบบและวิธีการ เดียวกับการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 17 คือ มาจากการเลือกตั้งแบบทางตรงแบบผสมระหว่างการรวมเขต กับการแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็น เขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเลือกตั้ง 75
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวน สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งถ้ามี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่งเขต เลือกตั้งให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่เหลือ ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วนจังหวัดใด ที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่งออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 2 คน โดยให้ถือเกณฑ์ราษฎร 158,225 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 360 คน สภาชดุ นีม้ นี ายมารุต บนุ นาค ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา และมีนายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี (23กันยายน 2535 ถึง 19 พฤษภาคม 2538) สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร คือ นางอัญชลี วานิช เทพบุตร พรรคประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพเนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2538 4.2.19 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 19 (2 กรกฎาคม 2538 ถึง 27 กันยายน 2539) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 391 คน โดยใช้ระบบ และวิธีการเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 11-18 คือ มาจากการเลือกตั้งแบบทางตรงแบบผสมระหว่าง การรวมเขตกับการแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการ เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขต 76
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัด เลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งถ้ามี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่งเขต เลือกตั้งให้มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่ เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วน จังหวัดใดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่งออกเปน็ 2 เขตๆ ละ 2 คน แต่ให้กลับไปถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน อีกครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้กฎหมาย ได้บังคับให้พรรคการเมืองต้องส่งสมาชิกสมัครรับเลือกตั้ง ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งหมด และผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสมัครในนามพรรคการเมือง สภาชุดนี้มีนายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ ประธานสภา ผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2538-2539) และม ี นายบรรหาร ศิลปอาชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (13 กรกฎาคม 2538 ถึง 25 พฤศจิกายน 2539) สำหรับจังหวัด ภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นางอัญชลี วานิช เทพบุตร พรรคประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุด สมาชิกภาพ เนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2539 77
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต 4.2.20 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 20 (17 พฤศจิกายน 2539 ถึง 9 พฤศจิกายน 2543) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 393 คน มีจำนวน สมาชิกทั้งสิ้น 391 คน โดยใช้ระบบและวิธีการเดียวกับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 19 คือ มาจาก การเลือกตั้งแบบทางตรงแบบผสมระหว่างการรวมเขตกับ การแบ่งเขต คือ จังหวัดหนึ่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรได้อย่างน้อย 1 คน จังหวัดใดมีการเลือกตั้ง สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขต เลือกตั้ง (รวมเขต) ถ้าจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ได้เกินกว่า 3 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเลือกตั้ง (แบ่งเขต) โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเขตละ 3 คน ในกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งถ้ามี สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ครบ 3 คน ทุกเขตไม่ได้ให้แบ่งเขตเลือกตั้งให้ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 3 คนก่อน แต่เขตที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 2 คน ส่วนจังหวัดใดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน ให้แบ่งออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 2 คน ถือเกณฑ์ราษฎร 150,000 คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งนี้กฎหมายได้บังคับให้พรรคการเมืองต้องส่ง สมาชิกสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด และผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสมัคร ในนามพรรคการเมือง สภาชุดนี้มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา (พ.ศ. 2539-2543) และม ี 78
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (25 พฤศจิกายน 2539 ถึง 9 พฤศจิกายน 2540) สำหรับจังหวัด ภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นางอัญชลี วานิช เทพบุตร พรรคประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุด สมาชิกภาพ เนื่องจากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 4.2.21 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 21 (6 มกราคม 2544 ถึง 5 มกราคม 2548) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 มีสมาชิกจำนวน 500 คน แบ่งเป็นแบบแบ่งเขต เลือกตั้ง 400 คน แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน 1) การเลือกตั้งแบบ แบ่งเขตเลือกตั้ง กำหนดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้เพียง 1 คน 2) การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ กำหนดให้พรรคการเมืองจัดบัญชีรายชื่อผู้สมัคร รับเลือกตั้งขึ้นพรรคละ 1 บัญชี บัญชีละไม่เกิน 100 คน โดยมี การเรียงลำดับหมายเลขผู้สมัคร ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง แต่ละคนจะเลือกได้เพียงบัญชีรายชื่อใดเพียง 1 บัญชีรายชื่อ เท่านั้น สภาชุดนี้มีนายอุทัย พิมพ์ใจชน ดำรงตำแหน่งประธาน รัฐสภา และมีพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี (9 กุมภาพันธ์ 2544 ถึง 5 มกราคม 2548) สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือ 1) นายสุวิทย์ เสงี่ยมกุล เขต 1 พรรค ประชาธิปัตย์ 2) นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ เขต 2 79
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต พรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่นางอัญชลี วานิช เทพบุตร ได้เป็น ส ม า ช ิ ก ส ภ า ผู ้ แ ท น ร า ษ ฎ ร แ บ บ บ ั ญ ช ี ร า ย ช ื ่ อ ข อ ง พ ร ร ค ประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพ เนื่องจากพ้นจาก ครบตามวาระ 4 ปี ตามวาระที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนญู 4.2.22 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 22 (6 กุมภาพันธ์ 2548 ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2549) เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการจัดการ เลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 การเลือกตั้งเป็นระบบ และวิธีการเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 21 คือ มีสมาชิกจำนวน 500 คน แบ่งเป็นแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน 1) การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต เลอื กตัง้ กำหนดใหแ้ ต่ละเขตเลือกตงั้ มสี มาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร ได้เพียง 1 คน 2) การเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ กำหนดให้พรรคการเมืองจัดบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งขึ้น พรรคละ 1 บัญชี บัญชีละไม่เกิน 100 คน โดยมีการเรียงลำดับ หมายเลขผู้สมัคร ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งแต่ละคนจะเลือกได้ เพียงบัญชีรายชื่อใดเพียง 1 บัญชีรายชื่อเท่านั้น สภาชุดนี้มีนายโภคิน พลกุล ดำรงตำแหน่งประธาน รัฐสภา และมีพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร คือ 1) นายสุวิทย์ เสงี่ยมกุล เขต 1 พรรค ประชาธิปัตย์ 2) นางสาวเฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์ เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพ เนื่องจาก 80
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 ห ล ั ง จ า ก น ั ้ น ไ ด ้ จ ั ด ใ ห ้ ม ี ก า ร เ ล ื อ ก ต ั ้ ง ส ม า ช ิ ก ส ภ า ผู้แทนราษฎรขึ้น ในวัน 2 เมษายน 2549 การเลือกตั้งเป็น ระบบและวิธีการเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 22 แต่เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ จึงกำหนดจะเลือกตั้งใหม่ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2549 แต่ได้เกิดการทำรัฐประหารขึ้น ในวันที่ 19 กันยายน 2549 โดยพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ทำให้ การเลือกตั้งถกู ยกเลิกไปอีก 4.2.23 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 23 (23 ธันวาคม 2550 ถึง 10 พฤษภาคม 2554) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 480 คน ประกอบด้วย สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทม่ี าจากการเลอื กตง้ั แบบแบง่ เขต 400 คน และการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 80 คน โดยการเลือกตั้งแบบ สัดส่วนนั้นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้แบ่งเขตเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด แต่ละกลุ่มจังหวัดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 10 คน สภาชุดนี้มีนายยงยุทธ ติยะไพรัชต์ ดำรงตำแหน่ง ประธานรัฐสภา ซึ่งต่อมาได้ลาออกไป มีนายชัย ชิตชอบ ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาแทน และมีผู้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีถึง 3 คน คือ นายสมัคร สุนทรเวช, นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สำหรับจังหวัดภูเก็ต ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ 81
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต 1) นายทศพร เทพบุตร เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ 2) นายเรวัต อารรี อบ เขต 1 พรรคประชาธปิ ตั ย์ ในขณะทน่ี างสาวเฉลมิ ลกั ษณ์ เก็บทรัพย์ ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ของพรรคประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพ เนื่องจาก การยุบสภา ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 4.2.24 สภาผู้แทนราษฎรชุดท่ี 24 (3 กรกฎาคม 2554 ถึง 9 ธันวาคม 2556) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จัดการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 500 คน โดยมาจาก การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 375 คน และการเลือกตั้งแบบบัญชี รายชื่อ 125 คน สภาชุดนี้มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรานนท์ เป็นประธาน รัฐสภา และมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี สำหรับจังหวัดภูเก็ตผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ 1) นางอัญชลี วานิช เทพบุตร เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ 2) นายเรวัต อารีรอบ เขต 2 พรรค ประชาธิปัตย์ สภาชุดนี้สิ้นสุดสมาชิกภาพเนื่องจากการยุบสภา ในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 4.3 การเมือง ภูมิหลังเครือข่ายทางการเมือง และ กลวิธีหาเสียงของนักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ตตั้งแต่ ยุคแรกจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 จนถึง ปัจจุบันสามารถแบ่งพัฒนาการของการเมือง ภูมิหลังเครือข่าย ทางการเมือง และกลวิธีหาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัด 82
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ภเู กต็ ไดเ้ ปน็ 3 ยคุ คอื ยคุ ท่ี 1 การประลองกำลงั หลงั เปลย่ี นแปลง การปกครอง (พ.ศ. 2475-2521) ยุคที่ 2 การค้นหาแนวทางหลัง ยุคเหมืองแร่ (พ.ศ. 2522-2534) และยุคที่ 3 การกุมอำนาจของ พรรคประชาธิปัตย์ท่ามกลางทุนโลกาภิวัตน์ (พ.ศ. 2535 ถึง ปัจจุบัน 2556) 4.3.1 ยุคที่ 1 การประลองกำลังหลังเปลี่ยนแปลง การปกครอง (พ.ศ. 2475 ถึง 2521) ในยคุ นผ้ี ทู้ ไ่ี ดร้ บั การเลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ในช่วงนี้มี 8 ท่าน คือ พระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง), ขุนชินสถานพิทักษ์ (ตันยู่อี๋ ตันฑวณิช), นายชิต เวชประสิทธิ์, ขุนประเทศจีนนิกร (กวนฮก ตัณฑัยย์), นางแร่ม พรหโมบล บณุ ยประสพ, นายสตางค์ พทุ ธรกั ษา, นายอมรศกั ด์ิ องคส์ รณะคม และนายเอี่ยมศักดิ์ หลิมสมบูรณ์ สำหรับการเมือง ภูมิหลัง เครือข่ายทางการเมือง และกลวิธีหาเสียงของนักการเมืองถิ่น จังหวัดภเู ก็ตยุคที่ 1 มีรายละเอียดต่อไปนี้ 4.3.1.1 พระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) พระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) ได้รับการเลือกตั้ง จำนวน 1 ครั้ง โดยไม่สังกัดพรรคใด ดำรงตำแหน่งในช่วงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 ถึง 9 ธันวาคม 2480 ซึ่งเป็นการเลือกตั้ง ครั้งแรกของไทย 4.3.1.1.1 ภูมิหลังของพระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) พระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) เป็น 83
นักการเมืองถ่ินจังหวัดภูเก็ต ทายาทที่สืบเชื้อสายเป็นลำดับชั้นที่ 7 ของตระกูลเจ้าเมืองถลาง คนแรก คือ จอมร้างกับวันหม่าเรี้ย หรือหม่าเสี้ย (ปัญญา ศรีนาค, 2546 และ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ, 2524) เรียงตาม ลำดับเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) ได้ดังนี้ จอมร้าง เป็นผู้สำเร็จราชการหัวเมือง ชายทะเลตะวันตกช่วง พ.ศ. 2276-2287 และเป็นเจ้าเมืองถลาง คนแรกช่วง พ.ศ. 2277-2287 สมัยกรุงศรีอยุธยา ทายาทชั้นที่ 1 พระยาถลาง (อาด) บุตรของ จอมร้าง เป็นเจ้าเมืองถลางช่วง พ.ศ. 2309-2310 ทายาทชั้นที่ 2 พระยาถลาง (บุญคง) บุตร ของพระยาถลาง (อาด) เป็นต้นตระกูล ณ ถลาง เป็นผู้สำเร็จ ราชการหัวเมืองชายทะเลตะวันตกช่วง พ.ศ. 2352-2380 และ เป็นเจ้าเมืองถลางช่วง พ.ศ. 2352-2368 ทายาทชั้นที่ 3 นายช้าง บุตรของพระยาถลาง (บุญคง) ทายาทชั้นที่ 4 พระยาพิพิธสมบัติ (แดง) บุตร ของนายช้าง ทายาทชั้นที่ 5 พระยาณรงค์เรืองฤทธิ์สิทธิ สงคราม หรือพระยาถลาง (หนู) บุตรของพระยาพิพิธสมบัติ (แดง) เป็นเจ้าเมืองถลางคนสุดท้ายช่วง พ.ศ. 2433 ถึง 2448 ทายาทชั้นที่ 6 พระยาสถาวรถลางกูล (อ้น) บุตรของพระยาถลาง (หน)ู 84
นักการเมืองถิ่นจังหวัดภูเก็ต ทายาทชั้นที่ 7 พระพิไสยสุนทรการ (แปลง) บุตรของพระยาสถาวรถลางกลู (อ้น) พระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) เคย เป็นข้าหลวงตรวจการกรมสรรพากรนอก ต่อมาพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานนามสกุล ณ ถลาง ให้กับพระพิไสยสุนทรการ (แปลง), พระยาสุนทราทร ธรุ กจิ (หม)ี และพระอาณาจกั รบรบิ าล (อน้ ) (นามสกลุ พระราชทาน, 2556) พระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) คงจะมี ความใกล้ชิดกับเมืองนครศรีธรรมราชเนื่องจากพบว่า ท่านเป็น ผู้รับเหมาก่อสร้างศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อ พ.ศ. 2449 (ประวัติศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช, 2556) นอกจากนี้ท่านยังมี ความสัมพันธ์กับตระกูล ณ นคร เนื่องจากมีภรรยาคนหนึ่ง ชื่อลิ้นจี่เป็นธิดา (บุตรลำดับที่ 8) ของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี ศรีธรรมราช (หนู) ผู้เป็นบุตรเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อยกลาง) โดยพี่น้องของภรรยามีบทบาทฐานะหลายคน เช่น นุ้ยใหญ่ เป็นภรรยาของพระยาสุนทราทรธุรกิจปรีชา (หมี ณ ถลาง) พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต เป็นเสนาบดี กระทรวงกลาโหมในรัชกาลที่ 6 พระยาสุรเทพภักดี ศรีพิจิตร- บุรินทร์ (พร้อม) เป็นปลัดมณฑลพิษณุโลก เป็นต้น (มูลนิธิสกุล ณ นคร และสายสัมพันธ์, 2556) พระพิไสยสุนทรการ (แปลง ณ ถลาง) จึงมี เครือข่าย มีเครือญาติทั้งของตนเอง ของภรรยา รวมทั้งที่ สามารถสบื ยอ้ นไปถงึ ตน้ ตระกลู นบั ตง้ั แตจ่ อมรา้ งและวนั หมา่ เรย้ี 85
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293