Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 36นักการเมืองถิ่นจันทบุรี

36นักการเมืองถิ่นจันทบุรี

Description: เล่มที่36นักการเมืองถิ่นจันทบุรี

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี โดย คะนอง พิลุน ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data คะนอง พิลนุ . นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั จนั ทบรุ -ี - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2557. 256 หน้า. -- (นักการเมืองถิ่น). 1. นักการเมือง 2. นักการเมือง--จันทบุรี. 3. ไทย--การเมืองและการปกครอง. l. ชื่อเรื่อง. 324.2092 ISBN : 978-974-449-770-3 รหสั สิง่ พิมพข์ องสถาบนั พระปกเกลา้ สวพ.57-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสอื 978-974-449-770-3 ราคา พมิ พค์ รัง้ ที่ 1 2557 จำนวนพมิ พ ์ 500 เล่ม ลิขสทิ ธ ์ิ สถาบันพระปกเกล้า ท่ีปรึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผแู้ ตง่ คะนอง พิลุน ผู้พมิ พผ์ โู้ ฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จดั พิมพ์โดย สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พิมพท์ ี่ บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225

นักการเมืองถิ่น จังหวัดจันทบุรี คะนอง พิลุน สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ

คำนำ เรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี เป็นการศึกษาวิจัย เพื่อทำความเข้าใจและสำรวจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ การเมืองจังหวัดจันทบุรี อันเป็นการนำเสนอถึงกระบวนการ ทำงานของนักการเมืองซึ่งเป็นผู้อาสาเข้ามาทำงานรับใช้ ประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งและประเทศ ซึ่งการศึกษาพฤติกรรม ของนักการเมืองและการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ถือเป็น ส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะผู้สนับสนุนทุนการวิจัย และขอขอบพระคุณกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน และขอขอบพระคุณนักการเมืองจังหวัดจันทบุรี และผู้ให้ข้อมูล ทุกท่านอันนำมาสู่ความสำเร็จในการจัดทำการวิจัยชิ้นนี้ ผวู้ ิจัย

บทคัดย่อ โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น จังหวัดจันทบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลนักการเมือง ที่เคยได้รับเลือกตั้งในจังหวัดจังหวัดจันทบุรี เครือข่ายความ สัมพันธ์ของนักการเมืองในจังหวัดจันทบุรี บทบาทของเครือข่าย และกลุ่มผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมืองถิ่นจังหวัด จันทบุรี กลยุทธ์และวิธีการหาเสียงของนักการเมืองถิ่นจังหวัด จนั ทบรุ ี โดยการศกึ ษาขอ้ มลู จากเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตการณ์ในพื้นที่ของผู้วิจัย ข้อมูลที่ได้ถูกรวบรวมและจัดระบบ แล้วนำมา วิเคราะห์ และ นำเสนอโดยวิธีการเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า นักการเมืองถิ่นจันทบุรี จำแนกได้ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มนักกฎหมายและนักสื่อสารมวลชน กลุ่ม ครูและพนักงานในองค์กร กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นและกลุ่ม นักธุรกิจ โดยกลุ่มอดีตข้าราชการได้รับเลือกเป็น ส.ส. มากที่สุด

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี และปัจจัยที่เป็นเหตุผลให้ได้รับการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ศักยภาพของนักการเมืองและอิทธิพลของพรรคการเมืองที่ สังกัด นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งส่วนใหญ่เป็นนักการเมือง ชาย มีนักการเมืองหญิงเพียงคนเดียวที่ได้รับการเลือกตั้งคือ นางคมคาย พลบุตร เครอื ขา่ ยสายสมั พนั ธท์ พ่ี บจะเปน็ บดิ า–บตุ ร 1 คู่ นอกนน้ั จะเป็นเครือญาติและองค์กรต่างๆ และกลุ่มผลประโยชน์ ทางการเมืองในระดับท้องถิ่น กลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกลุ่มผลประโยชน์ทางสังคม และที่สำคัญ พรรคการเมือง คือกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่มีบทบาทอย่างมาก ต่อนักการเมืองถิ่นจันทบุรี โดยมีผลต่อการย้ายพรรคของ นักการเมืองเพื่อหวังยึดกระแสของพรรคให้ตนเองชนะการ เลือกตั้ง โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาล วิธีการ และกลวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของ นักการเมืองถิ่นในจังหวัดจันทบุรีมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การใช้ ความสามารถเฉพาะตัว การหาเสียงแบบเข้าถึงชาวบ้าน การลงพื้นที่พบปะประชาชน การร่วมงานพิธีต่างๆ เป็นวิธีที ่ ได้รับความนิยมมาก ส่วนการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบ ต่างๆ การปราศรัยและวิธีอื่นๆ เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยม ตามลำดับ VI

Abstract The survey project for compilation of data on locally based politicians: Chanthaburi Province aimed to understand the politicians who had been elected in Chanthaburi Province with references to their networks and the roles of interest groups, as well as their vote-gaining techniques. To the purposes of this project, related documents and literatures were examined. The data in the field were collected with in-depth interviewing and observation by the researcher. Then the obtained data were complied, systematized, and analyzed. The research report was presented by means of analytical description. The study were finding as follows: Classified by background, the Chanthaburi politicians comprised of three categories: lawyers and mass media men, teachers or ex-government officials, local administrative organization

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี officers or businessmen. And the ex-government officials mostly elected as the representatives. The elemental factors for them to be elected are the conditions of their potentials, and the influence of the political parties are under. Most of Chanthaburi politicians were male. Mrs.Khomkay Ponlaboot was the only elected female politician. By kinship network and relationship, there were a father-child pair, network of relatives and organizations, the local politicians’ interest groups, social groups which had been connected and the other interest groups were economic. Political Parties played the major roles to support the election winning in Chanthaburi province. Usually, the dominant ones were the government parties. The politician in Chanthaburi had a variety of campaign strategies and methods such as using the outstanding ability, people directly campaign, local visitation to meet people, speech making and patronage of various forms and participation in any social activities in communities. VIII

สารบัญ หน้า คำนำ IV บทคดั ย่อ V Abstract VII บทที่ 1 บทนำ: การศึกษา “การเมอื งถน่ิ ” และ“นักการเมืองถ่ิน” 1 จังหวัดจันทบุรี การศึกษา “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” 3 จังหวัดจันทบุรี บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง 7 ข้อมลู จังหวัดจันทบุรี 7 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 13 แนวคิดเกี่ยวกับนักการเมือง 13 แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมือง 17 แนวคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 19 แนวคิดเกี่ยวกับการหาเสียง 25 แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมการออกเสียงเลือกตั้ง 48 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 74

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี หนา้ 83 84 บทที่ 3 ข้อมูลนกั การเมอื งท้องถน่ิ จังหวัดจันทบรุ ี 132 การเลือกตั้งของไทยตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน 201 ประวัติความเป็นมานักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี 201 บทที่ 4 สรปุ อภปิ รายผล ข้อค้นพบ และข้อเสนอแนะ 207 ภมู ิหลังของนักการเมืองในจังหวัดจันทบุรี เครือข่ายความสัมพันธ์และเครือญาติของ 209 นักการเมืองจันทบุรี 213 บทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ บทบาทพรรคการเมืองในการสนับสนุนกับ 215 นักการเมืองถิ่นจันทบุรี 218 กลวิธีที่ใช้ในการหาเสียง 219 ข้อเสนอแนะ 225 บรรณานุกรม 225 ภาคผนวก 228 ภาคผนวก ก แบบสัมภาษณ์ 231 ภาคผนวก ข รายชื่อผู้ให้สัมภาษณ์ 240 ภาคผนวก ค ภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดจันทบุรี ภาคผนวก ง ภาพผู้วิจัยกับนักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี สารบัญภาพ หนา้ 9 ภาพที่ 1 แผนที่แสดงที่ตั้งและอาณาเขต XI

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี หน้า 126 สารบัญตาราง 128 ตารางที่ 1 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จากอดีตจนถึงปัจจุบัน 2 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่การเลือกตั้ง พ.ศ. 2476-2550 XII

บ1ทท ี่ บทนำ 1.1 แบลทะนำ“:นกักากราศรึกเมษือาง“ถก่ินา”รเจมังือหงวถัดิ่นจ”ันท บุรี โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสำรวจเพื่อ ประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ที่สำนักวิจัย และพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดสรรทุนสนับสนุนให้ นักวิชาการในพื้นที่ดำเนินการจัดเก็บรวบรวมข้อมูลทำการวิจัย โดยมีฐานคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ ประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ได้สร้างระบบ การเมืองในรูปแบบที่ให้ประชาชนเลือกผู้แทนของตนเข้าไป ทำหน้าที่กำหนดนโยบายสาธารณะทั้งในระดับชาติและระดับ ท้องถิ่น สำหรับการเมืองระดับชาติที่ผ่านมา ได้จัดให้มีการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 23 ครั้ง โดยมีเพียงการเลือกตั้ง

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ครั้งแรกที่เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 หลังจากนั้นเป็นการเลือกตั้งทางตรงมาโดยตลอด จนกระทั่งการเลือกตั้งครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ส่วนการเลือกตั้งวุฒิสภามีการเลือกตั้งทางอ้อมหนึ่งครั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2489 และเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยตรงครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 ขณะเดียวกันการเลือกตั้ง ตวั แทนระดบั ทอ้ งถน่ิ เพอ่ื ทำหนา้ ทใ่ี นองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ก็ได้ดำเนินการมาหลายรปู แบบและพัฒนาขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตามคงมิอาจปฏิเสธได้ว่า การศึกษาการเมือง การปกครองไทยที่ผ่านมายังคงมุ่งเน้นไปที่การเมืองระดับชาติ เป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่ขาดหายไปของภาคการเมืองที่ศึกษากันอยู่ ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า “การเมืองถิ่น” ที่เป็นการศึกษาเรื่องราวของ การเมืองที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณของท้องถิ่นจังหวัดต่างๆ ใน ประเทศไทย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นภาพคู่ขนานไปกับ การเมืองระดับชาติอีกระนาบหนึ่ง เพราะในขณะที่เวทีการเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศกำลังเข้มข้นไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ ของนักการเมืองในสภาและพรรคการเมืองต่างๆ การเมือง อีกด้านหนึ่งในพื้นที่จังหวัด บรรดาสมัครพรรคพวกและ ผสู้ นบั สนนุ ทง้ั หลายตา่ งกำลงั ดำเนนิ กจิ กรรมเพอ่ื รกั ษาฐานเสยี ง ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน และทันทีที่ภารกิจในส่วนกลางสิ้นสุดลง การลงพื้นที่พบประชาชนตามสถานที่ต่างๆ และการร่วมงาน บุญงานประเพณี เป็นสิ่งที่นักการเมืองผู้หวังชัยชนะในการ เลือกตั้งจะต้องปฏิบัติให้ได้อย่างทั่วถึงมิให้ขาดตกบกพร่อง

บทนำ ภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจังหวัด ได้สะท้อนให้เห็นถึง หลายสิ่งหลายอย่างของการเมืองไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาอันยาวนาน ในแง่มุมที่อาจถูกมองข้ามไปในการศึกษา การเมืองระดับชาติ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจทำการศึกษา เพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ ที่ขาดหายไป และสิ่งที่ได้ทำการศึกษาค้นพบน่าจะสามารถช่วย ให้เข้าใจการเมืองไทยได้ชัดเจนมากขึ้น 1 .2 “กนาัรกศกึการษเามือ“งกถาิ่นรเ”มือจงังถหิ่นวัด”จแันลทะบุร ี งานวิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี จัดทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ทำความรู้จักและศึกษาถึงภูมิหลังของนักการเมือง ที่เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 2. เพื่อทราบถึงความเป็นมา บทบาท เครือข่ายของ นักการเมืองในจังหวัดจันทบุรี และความ สัมพันธ์ ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ เครือข่ายอาชีพ เป็นต้น ทม่ี สี ว่ นสนบั สนนุ ทางการเมอื งแกน่ กั การเมอื ง รวมถงึ ความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับนักการเมือง ตลอดทง้ั วธิ กี ารหาเสยี งในการเลอื กตง้ั ของนกั การเมอื ง ในจังหวัดจันทบุรี 3. เพื่อเชื่อมโยงภาพการเมืองระดับชาติในจังหวัด จันทบุรีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี โดยผลที่คาดว่าจะได้รับจากงานวิจัยนี้ ได้แก่ ทำให้รู้ถึง ความเป็นมา บทบาท และเครือข่ายของนักการเมือง รวมถึง วิธีการหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมือง และสามารถเชื่อมโยง ภาพการเมืองระดับชาติในจังหวัดจันทบุรีได้อย่างเป็นระบบ งานวิจัยเรื่อง “นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี” มุ่งทำการศึกษาถึงเรื่องราวต่างๆ ของนักการเมืองของจังหวัด จันทบุรีที่เคยได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในอดีต ตั้งแต่มีการเลือกตั้งจนถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรครั้งล่าสุด คือ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ตาม ประเด็น ต่อไปนี้ 1) ประวัติส่วนบุคคล รวมถึงภูมิหลัง 2) มูลเหตุจูงใจใน การสมัครรับเลือกตั้ง 3) เครือข่าย ความสัมพันธ์กับบุคคล ในท้องถิ่นและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยกัน 4) กลวิธีใน การหาเสียง 5) บทบาท ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จังหวัดจันทบุรี ทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติ การวิจัยนี้ใช้เทคนิควิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งประกอบด้วยการศึกษาวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Non Structure Interview) และการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structure Interview) สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลนั้น ผู้วิจัยได้อาศัยการศึกษา จากเอกสารที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้แก่ หนังสือ งานวิจัย และ วิทยานิพนธ์ รวมทั้งการสัมภาษณ์นักการเมือง ทั้งในอดีต และปัจจุบัน ญาติหรือบุคคลที่สามารถให้ข้อมูลโยงใยไปถึง นักการเมืองคนต่างๆ ในพื้นที่ได้ในประเด็นที่ต้องการศึกษา โดยเจาะจงเฉพาะนักการเมืองถิ่นระดับชาติของจังหวัดจันทบุรี

บทนำ ผู้วิจัยมีความคิดว่างานวิจัยนี้น่าจะเป็นประโยชน์แก่ การเมืองการปกครองไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งจะทำให้ผู้ศึกษา เข้าใจถึงกลไกทางการเมืองในจังหวัดจันทบุรี ตั้งแต่มีการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ว่ามีนักการเมืองคนใด ในจังหวัดจันทบุรีได้รับการเลือกตั้งบ้าง และชัยชนะของ นักการเมืองเหล่านี้มีสาเหตุและปัจจัยอะไรสนับสนุน รวมทั้ง ทำใหท้ ราบถงึ ความสำคญั ของกลมุ่ ผลประโยชนแ์ ละกลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีต่อการเมือง ท้องถิ่นจันทบุรี ความสำคัญของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัด รวมไปถึงรูปแบบ วิธีการ และกลวิธีต่างๆ ที่นักการเมืองใช้ในการเลือกตั้ง นอกจากนั้น ยงั ไดท้ ราบขอ้ มลู เกย่ี วกบั “การเมอื งถน่ิ ” และ “นกั การเมอื งถน่ิ ” สำหรับเป็นองค์ความรู้ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเมือง การปกครองไทยต่อไป

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี

บ2ทท ่ี ข้อมูลทั่วไป และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง 2.1 ข้อมูลจังหวัดจันทบุรี 2.1.1 ข้อมลู ทั่วไป 1) ท่ตี ้ังและอาณาเขต จังหวัดจันทบุรี ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออก ของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 245 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 6,338 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 3,961,250 ไร่ แยกเป็นรายอำเภอ (สำนักงาน ปลัดจังหวัดจันทบุรี:ออนไลน์) ดังนี้ อำเภอเมืองจันทบุรี 253 ตารางกิโลเมตร อำเภอขลุง 756 ตารางกิโลเมตร อำเภอท่าใหม่ 613 ตารางกิโลเมตร อำเภอแหลมสิงห์ 191 ตารางกิโลเมตร อำเภอโป่งน้ำร้อน 927 ตารางกิโลเมตร

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี อำเภอมะขาม 480 ตารางกิโลเมตร อำเภอสอยดาว 734 ตารางกิโลเมตร อำเภอแก่งหางแมว 1,254 ตารางกิโลเมตร อำเภอนายายอาม 300 ตารางกิโลเมตร อำเภอเขาคิชฌกฏู 830 ตารางกิโลเมตร 2) เขตติดต่อกับจงั หวัดใกล้เคยี ง ด้านทิศเหนือ ติดกับ จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และจังหวัด สระแก้ว ด้านทิศใต้ ติดกับ จังหวัดตราดและอ่าวไทย ด้านทิศตะวันออก ติดกับ จังหวัดตราด และประเทศกัมพชู า ด้านทิศตะวันตก ติดกับ จังหวัดระยองและอ่าวไทย

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ภาพท่ี 1 แผนทีแ่ สดงทีต่ งั้ และอาณาเขต 2.1.2 สภาพทางการเมอื ง การปกครอง 1) การปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งออกเป็น 10 อำเภอ 76 ตำบล 728 หมู่บ้าน 33 ชุมชน การปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ประกอบด้วย 1. องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี 2. เทศบาล 30 แห่ง (เทศบาลเมือง 3 แห่ง , เทศบาลตำบล 27 แห่ง) 3. องค์การบริหารส่วนตำบล 51 แห่ง 2.1.3 สภาพประชากรโดยท่วั ไป ประชากรจังหวัดจันทบุรี ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2554 รวมทั้งสิ้น 515,842 คน เป็นชาย 254,314 คน เป็นหญิง 261,528 คน อำเภอที่มีประชากรมากที่สุด คือ อำเภอเมือง จันทบุรี มีจำนวน 123,339 คน รองลงมาได้แก่ อำเภอท่าใหม่ จำนวน 69,403 คน และอำเภอสอยดาว จำนวน 62,858 คน อำเภอที่มีความหนาแน่นของประชากรมากที่สุดคือ อำเภอ เมืองจันทบุรี โดยมีอัตราเฉลี่ย 487 คน ต่อตารางกิโลเมตร รองลงมาได้แก่ อำเภอแหลมสิงห์ 161 คน ต่อตารางกิโลเมตร อำเภอท่าใหม่ 113 คน ต่อตารางกิโลเมตร ส่วนอำเภอที่มีความ หนาแน่นของประชากรน้อยที่สุดคือ อำเภอแก่งหางแมว มีอัตรา เฉลี่ย 30 คน ต่อตารางกิโลเมตร (สำนักงานปลัดจังหวัด จันทบุรี:ออนไลน์) 2.1.4 สภาพทางเศรษฐกจิ 1) อาชพี ทีส่ ำคญั - เกษตรกรรม (ทำสวนผลไม้ สวนยางพารา ประมง ทำไร่ ทำนา) - อุตสาหกรรม (การเจียระไนพลอย ทอเสื่อ กระเบื้องดินเผา 10

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง - อุตสาหกรรมแปรรูปจากสินค้าเกษตร (ผลไม้แปรรูป อาหารทะเลแช่แข็ง ) - บริการ (ธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว) 2) ดา้ นการท่องเทยี่ ว จังหวัดจันทบุรี มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งท่องเที่ยวทางด้านประวัติศาสตร์ และศาสนสถาน แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและหัตถกรรม และแหล่ง ท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ดังนี้ แหล่งท่องเที่ยวทางด้านประวัติศาสตร์ และ ศาสนสถาน ได้แก่ รอยพระพุทธบาทบนเขาคิชฌกูฏ วัดโยธา นิมิตร วัดเขาสุกิม วัดพลับบางกะจะ วัดมังกรบุปผาราม วัดไผ่ ล้อม วัดทองทั่ว ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อู่ต่อเรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โบราณสถานค่ายเนินวง คุกขี้ไก่ ตึกแดง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพาณิชย์นาวี แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและหัตถกรรม ได้แก่ บ่อพลอย ที่เขาพลอยแหวน ทอเสื่อกกหมู่บ้านเสม็ดงาม และบางสระเก้า ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดจันทบุรี แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ได้แก่ เขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ น้ำตกตรอกนอง น้ำตก คลองนารายณ์ ถ้ำเขาวง หาดแหลมเสด็จ หาดอ่าวกระทิง หาด อ่าวยาง หาดเจ้าหลาว หาดคุ้งวิมาน หาดแหลมสิงห์ ฟาร์ม ปลาโลมา โอเอซีสซีเวิลด์ 11

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ป่าชายเลน ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่อง มาจาก พระราชดำริ ป่าชายเลนบ้านท่าสอน (สำนักงานปลัดจังหวัด จันทบุรี:ออนไลน์) 3) ด้านอัญมณี สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับปี 2550 ส่งออกของประเทศ 185,150.72 ล้านบาท เป็นอันดับที่ 5 ของ รายการสินค้าส่งออกของประเทศ ในส่วนของจังหวัดทำรายได้ 17,090 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.23ประเทศที่ส่งออกไป จำหน่าย ฮ่องกง/ออสเตรเลีย/สหรัฐอเมริกา/ สวิสเซอร์แลนด์/ เบลเยียม 4) ด้านเกษตร จังหวัดจันทบุรีมีพื้นที่ทั้งหมด 3,961,250 ไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตร 2,309,839 ไร่ คิดเป็น ร้อยละ 58.31 ของ พื้นที่ทั้งหมด ครัวเรือนจังหวัดจันทบุรี 157,150 ครัวเรือน ครัวเรือนเกษตรกร 73,428 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 46.72 พืชที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ - ผลไม้ ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง ลำไย (พื้นที่เพาะปลูกรวม 6 แสนไร่เศษ) - พริกไทย (พื้นที่เพาะปลูก 1 หมื่นไร่เศษ) - ยางพารา (พื้นที่เพาะปลกู 6 แสนไร่เศษ) 12

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง มูลค่าการผลิตสินค้าเกษตร - ด้านพืช 24,817 ล้านบาท - ด้านประมง 4,881 ล้านบาท - ด้านปศุสัตว์ 553 ล้านบาท 2.2 เ อกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.2.1 แนวคิดเกี่ยวนักการเมอื ง ในบรรดาอาชีพต่างๆ ที่ถูกเหน็บแนบ ดูถูก ดูแคลน ไม่ให้ความเชื่อมั่นศรัทธามากที่สุด ปรากฏว่า อาชีพ “นักการเมือง” ติดหนึ่งในอาชีพที่มีคนกล่าวถึง ในเชิงเสียดสี เย้ยหยัน ดูถูกดูแคลน มาโดยตลอด นับตั้งแต่อดีต มีคำกล่าว จำนวนมาก ทค่ี อ่ นขอด เหนบ็ แนม นกั การเมอื ง อาทิ อรสิ โตเตลิ กล่าวไว้ว่า “ความดีของมนุษย์ต้องสิ้นสุด เมื่อเริ่มเล่นการเมือง” จอร์จ ปอมปิโด อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส กล่าวไว้ว่า “รัฐบุรุษ คือ นักการเมืองที่อุทิศตัวเพื่อรับใช้ประเทศชาติ ส่วน นักเมืองนั้น คือ รัฐบุรุษ ที่เอาประเทศชาติมารับใช้ตนเอง” แม้แต่บุคคลที่อยู่ในแวดวงการเมืองระดับสูง ผู้นำประเทศที่ มีชื่อเสียง ก็ยังมีคำพูดที่แสดงถึงความ “หมดศรัทธา” ในตัว นักการเมือง แฮรี่ เอส ทรูแมน ประธานาธิบดี คนที่ 33 ของ สหรัฐ เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการมากที่สุดในทาง การเมือง คือ อยากรู้วิธีเลิกเล่นการเมือง” ในประเทศไทย นักการเมืองเป็นกลุ่มคนที่ยัง ไมไ่ ดร้ บั ความเชอ่ื มน่ั และไวว้ างใจเทา่ ทค่ี วร คำเรยี ก นกั การเมอื ง 13

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี น้ำเน่า พวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด เป็นคำกล่าวที่มักคุ้นชินว่า หมายถึงใคร ถึงกระนั้น ไม่ว่า นักการเมือง จะถูกกำหนดนิยาม เช่นไร แต่แท้จริงแล้วนักการเมืองเป็นกลุ่มคนที่สำคัญยิ่งในการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นผู้ได้รับสิทธิโดยชอบ ธรรมจากการเลือกของประชาชนให้ เข้ามาบริหารประเทศ พวกเขาเป็นกลุ่มบุคคลที่จะชี้อนาคต ชี้ความเป็นความตายของ ประเทศชาติ และประชาชน แท้จริงแล้ว นักการเมือง โดยตัว มันเองแล้วมีความเป็นกลาง และในความเป็นจริงนักการเมือง จำนวนมากในโลกนี้ เป็นคนดี มีอุดมการณ์ มีจิตสาธารณะ ปรารถนาทำสิ่งดีเพื่อประชาชน เพื่อสังคม เพื่อชาติ อาจเป็น กลุ่มที่เรียกว่า นักการเมืองน้ำดี ซึ่งถ้าเรารวมกลุ่ม นักการเมือง น้ำดี ให้มีจำนวนที่มากขึ้น และรวมพลังกันอย่างเข้มแข็ง อนาคตของประเทศ ย่อมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แน่นอน แต่นักการเมืองน้ำดีมีโอกาสมากน้อยเพียงใดนั้น เมื่อ มองอนาคตประชาธิปไตยไทย หากดำเนินต่อไปในสภาพที่เป็น อยู่ แม้ว่าเราจะสามารถแก้ไขระบบให้ดี แก้รัฐธรรมนูญที่มั่นใจ ได้ว่าเป็นของประชาชนมากที่สุด แต่อนาคตประชาธิปไตย คงเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไร้รากแก้ว ย่อมไม่สามารถต้านทาน ลมพายุที่พัดผ่านมาได้ (ลิขิต ธีรเวคิน, 2546, หน้า 122-129) 2.2.1.1 ปจั จยั ทน่ี ำไปสคู่ วามเปน็ นกั การเมอื ง “การเมือง มีความหมายกว้างขวาง คำว่าการเมืองนี้ย่อมใช้กันอยู่แพร่หลาย แต่ต่างคนต่างก็ใช้โดย นัยต่างๆ กัน บางคนใช้ในนัยหนึ่ง และอีกคนใช้โดยอีกนัยหนึ่ง บางทีผู้กล่าวใช้โดยอีกนัยหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้เข้าใจผิดขึ้น 14

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มิใช่น้อย เราจึงพยายามพิจารณาดูว่าตามที่ใช้กันอยู่นั้นมีความ หมาย ไปกี่ทาง” (กรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์ อ้างใน ใหม่ รักหมู่ และธวัชชัย ไพจิตร. 2522 : 142) “การเมือง ศิลปะการปกครอง ซึ่งมุ่งให้ เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐกับบุคคลในรัฐระหว่างรัฐกับ หัวบ้านหัวเมืองต่าง ๆ และระหว่างรัฐกับรัฐ การเมืองจึงเป็น ทั้งการภายในประเทศ การของชาติ การของสหพันธรัฐ การของ เทศบาล การต่างประเทศและการจักรพรรดินิยม การเมือง เป็นฝ่ายกำหนดนโยบาย และการปกครองเป็นฝ่ายดำเนินการ นโยบายนั้น “นักการเมือง (Politician) คือผู้ดำเนินการ เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งมักจะเพ่งประโยชน์เฉพาะหน้าให้ ตนเอง ให้เป็นที่นิยมของประชาชนและอยู่ในตำแหน่งได้ตลอด ไป ตรงกันข้ามกับรัฐบุรุษ (Statesman) ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ ความ สามารถ เห็นการณ์ไกลและมักมีความเสียสละเพื่อประโยชน์ ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง” (สังข์ พัฒโนทัย อ้างใน ใหม่ รักหมู่ และธวัชชัย ไพจิตร.2522 : 143) 2.2.1.2. ความเป็นนักการเมือง เมื่อเอ่ยถึงการเมืองส่วนใหญ่กลับมอง ว่าการเข้ามาสู่การเมือง มักนำไปสู่ความร่ำรวย มีอำนาจ วาสนาบารมีมากมาย และอาจเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ คนส่วน ใหญ่เข้าใจและมีทัศนคติต่อการเมืองหรือนักการเมืองว่าเป็น เรื่องที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์เฉพาะหน้าให้ตนเองหรือ ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น อย่างไรก็ดีมีนักการเมืองจำนวน ไมน่ อ้ ย ตอ้ งเสย่ี งตาย เสย่ี งภยั เสย่ี งชวี ติ เสย่ี งตอ่ ความยากจนลง 15

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ถูกจับกุมคุมขัง และบางรายถึงกับลี้ภัยไปต่างประเทศ และ อีกไม่น้อยต้องยอมถูกเยาะเย้ย ถูกเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว อย่างที่เราได้รับทราบข้อมูลข่าวสารกันอยู่ตลอดเวลา บางคน ได้รับฉายาทั้งในด้านดีและไม่ดีตามแต่สื่อมวลชนหรือประชาชน ที่จะได้ตั้งขึ้น ซึ่งหมายถึงความเป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องได้รับ การตรวจสอบจากสังคมตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อต้องดำเนิน วิถีแห่งการเมืองแล้ว นักการเมืองทุกคนจึงต้องตกอยู่กับความ สุ่มเสี่ยงต่อความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ นักการเมือง จึงต้องจำเป็นที่จะต้องกระทำตนให้ดีเป็นที่ยอมรับและปฏิบัติให้ ถูกต้องตาม ครรลองครองธรรม ในการดำเนินชีวิตและการทำ หน้าที่นักการเมืองที่ดีเป็นสำคัญ (ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง, 2550, หน้า 26-27) นักการเมืองหรือผู้ปฏิบัติงานทาง การเมือง เป็นส่วนประกอบสำคัญของการพัฒนาระบอบ การปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีความสำคัญพอๆ กับ ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่ส่วนที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง ก็คือกติกาที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อน กว่ากันก็คือ ในสังคมมีการพัฒนาวัฒนธรรมการเมือง การปกครองแบบประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับครอบครัว โรงเรียน ในที่ทำงาน จนถึงสังคมโดยรวม ในกรณีของผู้ปฏิบัติงาน ทางการเมอื งนน้ั มคี ำกลา่ วซง่ึ เปน็ ทท่ี ราบกนั ทว่ั ไปวา่ นกั การเมอื ง แตกต่างจากรัฐบุรุษในแง่ที่ว่า นักการเมืองคือบุคคลที่คำนึงถึง ผลการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ส่วนรัฐบุรุษคือบุคคล ซึ่งคิดถึงอนาคตของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนาคตเยาวชน รุ่นหลัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐบุรุษนั้นถูกมองว่าจะต้องเป็นบุคคล 16

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่มีวิสัยทัศน์ และมีอุดมการณ์อย่างเหนียวแน่นต่อผลประโยชน์ ของชาติและแผ่นดิน 2.2.2 แนวคดิ เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมือง พฤติกรรมทางการเมือง (Political Behavior) หมายถึง อาการหรือการกระทำ รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของ บุคคลที่มีต่อการเมืองการปกครองภายใต้ระบบการปกครอง ที่ตนสังกัดอยู่ ซึ่งการแสดงออกในแง่ของพฤติกรรมการเมืองนั้น อาจสังเกตไม่เห็นเพราะเป็นความรู้สึกภายใน เช่น การมี ทัศนคติทางการเมืองว่าตนนั้นชอบหรือไม่ชอบต่อกระบวนการ ทางการเมือง ความเชื่อทางการเมือง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการเมืองที่แสดงออกมาภายนอกสามารถสังเกต เห็นได้ เช่น การมีส่วนร่วมในการลงคะแนนเสียง การลงสมัคร รับเลือกตั้ง การรวมกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เป็นต้น ปัจจัยทางจิตวิทยาที่สามารถกำหนดพฤติกรรม ทางการเมือง (ไพบูลย์ ช่างเรียน, 2522 หน้า 101-105) ได้แก่ 1. ความเชื่อ หรือระบบความเชื่อ หมายถึง ความ คิดที่เป็นที่ยอมรับและยึดถือ ซึ่งอาจเป็นความคิดที่เป็นสากล หรือเป็นที่ยอมรับของบางกลุ่มหรือเป็นความ จริงทั้งมวลที่อยู่ รอบๆ ตัวเรา ความเชื่อจะช่วยอธิบายและติดตามเรื่องต่างๆ ต่อสภาพของโลกทางกายภาพ ทางสังคมและต่อตัวเอง ความ เชื่อมีรากฐานมาจากข้อเท็จจริง ที่มนุษย์พบเห็นหรือได้ ประจักษ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าความเชื่อ ทั้งหลายนั้นจะต้อง ถูกต้องเสมอไปซึ่งขึ้นอยู่ กับว่าบุคคลนั้นจะสามารถค้นพบ ความจริงได้มากน้อยเพียงใด 17

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี 2. ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่า อะไรก็ตามที่คนในสังคมส่วนใหญ่ชอบ ปรารถนาหรือต้องการ ให้เป็น หรือกลับกลายเป็นสิ่งที่ตนถือว่า ต้องทำต้องปฏิบัติเป็น สิ่งที่ตนบชู า 3. อำนาจและการสืบทอดอำนาจ อำนาจนิยม คือ การใช้อำนาจในการปกครองการบริหาร มีการกล่าวชื่นชม ความเด็ดขาด ความเด็ดเดี่ยว เช่น มีการพูดถึงการแก้ไขปัญหา อย่างเด็ดขาดของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อำนาจนิยมจึงเป็น ลักษณะประจำระบบความคิดและค่านิยมของผู้ปกครอง วัฒนธรรมทางการเมืองในส่วนนี้จึงขัดกับประชาธิปไตย ซึ่งเน้น การออมชอม การเจรจาต่อรอง การตัดสินข้อขัดแย้งโดยการ ถกเถียงหาข้อยุติ อำนาจนิยมต้องการความรวดเร็วและเด็ดขาด วัฒนธรรมทางการเมืองในแง่อำนาจนิยมนี้ มาจากมรดกของการปกครองในระบบอำนาจเด็ดขาดของ กษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัย อยุธยา กษัตริย์คือเจ้าชีวิต เป็นจักรพรรดิ และเป็นสมมุติเทพ ปกครองด้วยธรรมะและอำนาจในเวลาเดียวกัน กฎหมาย ที่ลงโทษผู้กระทำความผิดกระทำอย่างรุนแรงเด็ดขาด เพื่อให้ ผู้เกิดความเกรงกลัว หนักที่สุด คือการประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตร ลักษณะอำนาจนิยมอันนี้ยังสืบต่อมาถึงปัจจุบันบ้าง แต่ เนื่องจากสภาวะทางสังคมได้เปลี่ยนไป จึงไม่ปรากฏออกมา ในทางปฏิบัติ แต่ในแง่ของค่านิยมยังมีผู้อยากเห็นผู้นำที่มีความ เด็ดขาดอยู่มาก แม้ในการบริหารงานก็ต้องประกอบด้วย พระเดช (อำนาจ) และพระคุณ (ธรรมมะ) ซึ่งเป็นหลักการที่ยัง 18

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ใช้กันมาอยู่อย่างสัมฤทธิผล การสืบทอดอำนาจของผู้นำไทย ในประวัติศาสตร์เป็นปัญหาทางการเมืองที่เรื้อรัง เริ่มตั้งแต่การ แย่งอำนาจกันในระบบเมืองลูกหลวง และระหว่างวังหลวงกับ วังหน้า ระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง ปัญหาข้อขัดแย้งเรื่อง การสืบทอดอำนาจมีมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัย รัชกาลที่ 5 ก็มีข้อขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวังหน้า และหลัง 2475 เป็นต้นมา ปัญหาการสืบทอดก็ยังคงมีอยู่เป็นแต่ว่า เปลี่ยนจากกษัตริย์กับขุนนางมากลุ่มทหารด้วยกันเอง ปัญหา การสืบทอดอำนาจนี้เป็นปัญหาการขาดการพัฒนาการเมือง แต่ที่แน่ชัดคือ มิได้เกิดขึ้นจากสุญญากาศ ทั้งนี้เพราะมีพื้นฐาน จากประวัติศาสตร์อย่างเห็นได้ชัด การใช้กำลังเข้ายึดอำนาจ ทางการเมืองนั้นเกิดขึ้นในสมัยอยุธยาหลายครั้ง ซึ่งทำให้เกิด ความคิดขึ้นว่าการปฏิวัติยึดอำนาจในสมัยใหม่นี้ก็ไม่ได้ แตกต่างจากแบบกระสวนเดิมมากนัก (ไพบูลย์ ช่างเรียน, 2522, หน้า 106-109) 2.2.3 แนวคดิ เกี่ยวกับการเลือกตง้ั 2.2.3.1 ระบบการเลอื กตงั้ การต่อสู้เพื่ออำนาจการเมืองเป็นสิ่งปกติ ของการเมืองทุกระบบ ในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์จะทำการต่อสู้ตามครรลองของระบบการ เลือกตั้ง กฎเกณฑ์ของการแข่งขันจะมีทั้งที่ชัดแจ้งและที่เป็นนัย กฎเกณฑ์บางอย่างจะบัญญัติไว้ในกฎหมาย บางอย่างเป็นเรื่อง ของประเพณีที่เกิดขึ้นจากระบบแต่ความขัดแย้งกันนี้จะถูก จำกัดให้อยู่ภายในขอบเขตอันหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกัน และ 19

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี จะไม่มีการหลั่งเลือดหรือความรุนแรง สังคมที่เป็นเผด็จการนั้น เป็นสังคมที่ไม่มีระบบการเลือกตั้ง การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่ง อำนาจทางการเมืองมีหลายรูปแบบ ซึ่งก็มักจะอยู่ในรูปของ ความรุนแรงและการใช้กำลังบังคับเป็นสำคัญ ระบบเผด็จการ อาจมีระบบการเลือกตั้ง แต่ก็เป็นเพียงรูปแบบ ไม่ได้ทำหน้าที่ เช่นระบบการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือ การเลือกตั้งไม่ได้มีผลต่อการเปลี่ยนผู้ใช้อำนาจและการใช้ อำนาจ จะมุ่งเน้นเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งในระบอบ ประชาธิปไตย เพราะระบบการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่มีความหมาย และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงผู้ใช้อำนาจและการใช้อำนาจ ระบอบประชาธิปไตยมีเครื่องมือและ วิธีการควบคุมการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมือง หลายอย่างการควบคุมดังกล่าวมุ่งไปที่ช่องทางที่เป็นต้นกำเนิด ของการกระทำการในทางการเมือง กฎเกณฑ์บางอย่างเป็น ลักษณะสากล ไม่ว่าประเทศนั้นจะอยู่ในระบอบประชาธิปไตย หรือไม่ กฎเกณฑ์บางอย่างจะพบแต่ในประเทศที่เป็น ประชาธิปไตย และมีกฎเกณฑ์อีกมากที่เป็นลักษณะที่เฉพาะ ของประเทศหนง่ึ ๆ จะเนน้ ระบบการเลอื กตง้ั ของประเทศตะวนั ตก เป็นสำคัญ นอกจากนั้นก็จะนำระบบการเลือกตั้งของประเทศ อื่นๆ มาเปรียบเทียบด้วย จุดประสงค์เพื่อกล่าวถึงกฎเกณฑ ์ ที่เป็นคุณลักษณะของกระบวนการเมืองประชาธิปไตย ที่มี ลักษณะแตกต่างไปจากระบอบเผด็จการ โดยพิจารณาเรื่องของ การแบ่งสันปันส่วน ที่นั่งในสภานิติบัญญัติ วิธีการในการลง คะแนนเสียง กฎเกณฑ์ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง และเขต เลือกตั้งแบบต่างๆ ข้อที่พึงระลึกก็คือไม่มีระบบการเลือกตั้ง 20

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แบบใดที่สมบูรณ์ ระบบการเลือกตั้งทุกแบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ต่างก็มีข้อบกพร่องไม่ประการใดก็ประการหนึ่ง และความ ไม่สมบูรณ์ไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงจนต้องทำการแก้ไขอย่างเฉียบ ขาดหรือโดยฉับพลัน ในหลายๆ กรณี ค่าของการเปลี่ยนแปลง อย่างฉับพลันอาจจะสูงกว่าคุณค่าที่จะได้รับจากการ เปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ (สนธิ เตชานันท์, 2543, หน้า 23-24) การเข้าสู่อำนาจทางการเมืองของ พรรคการเมืองโดยส่วนใหญ่จะดำเนินการผ่านการเลือกตั้ง ซึ่ง จัดเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ในการ เปิดโอกาสให้บุคคลเสนอตัวเข้ามารับใช้ส่วนร่วม และ เปิดโอกาสให้พลเมืองใช้สิทธิเลือกบุคคลที่ตนต้องการเป็น ผู้ปกครอง หรือเป็นปากเป็นเสียงแทน หรือไปใช้อำนาจอธิปไตย แทนตน การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นการ แสดงออกถึงเจตจำนงของประชาชน ต่อวิธีกำหนดนโยบาย ในการปกครองของประเทศ ซึ่งการแสดงเจตจำนงนี้จะมีความ หมายหรือมีผลดีตามระบอบประชาธิปไตย นั้น จะขึ้นอยู่กับ ความสนใจและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยการเลือกตั้งมีหลักเกณฑ์ที่สำคัญ (สนธิ เตชานันท์, 2543, หน้า 24-25) คือ หลักความอิสระแห่งการเลือกตั้ง (freedom of election) หลักการเลือกตั้งตามกำหนดเวลา (periodic election) 21

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี หลักการเลือกตั้งอย่างแท้จริง หรือการเลือกตั้งที่ยุติธรรม (genuine election) หลักการออกเสียงทั่วไป (universal surface) หลักการเลือกตั้งอย่างเสมอภาค (equal surface) วิธีการเลือกตั้ง แบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ การเลือกตั้งโดยตรง คือ การเลือกจาก ประชาชนโดยตรง เช่น การปกครองนครรัฐกรีกในอดีต เป็นต้น การเลือกตั้งโดยอ้อม คือ ประชาชนใช้ สิทธิเลือกบุคคลเป็นผู้แทนตน เช่น การเลือกตั้ง ส.ส. เป็นต้น การเลือกต้งั มีความสำคัญและมปี ระโยชน์ เพราะการเลือกตั้งเป็นการเลือกผู้ปกครอง เป็นกลไกเชื่อมโยง ระหว่างผู้มีอำนาจรัฐกับประชาชน เป็นการสร้างความ ชอบธรรมให้ผู้ปกครอง เป็นการลดความขัดแย้งทางการเมือง และเป็นการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนทั้งในการ ปกครองระดับชาติและการปกครองระดับท้องถิ่นอย่างสันติวิธี (สันสิทธิ์ ชวลิตธำรง, 2546, หน้า 36-37) 2.2.3.2 หลกั เกณฑ์พื้นฐานของการเลือกตงั้ การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ประกอบด้วยหลักเกณฑ์พื้นฐานบางประการอัน ได้แก่ หลักการ 22

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ให้สิทธิเลือกตั้งทั่วไป (universal suffrage) หลักการเลือกตั้ง โดยตรง หลักการเลือกตั้งโดยเสรี หลักการเลือกตั้งโดย เสมอภาคและหลักการเลือกตั้งโดยลับ หลักการใช้สิทธิเลือกตั้งโดยทั่วไป หมายถึง การที่พลเมืองทุกคนในรัฐนั้นมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ไม่อาจจำกัดหรือกีดกันไม่สิทธิการเลือกตั้งโดยใช้ข้อพิจารณา ทางการเมือง เศรษฐกิจหรือสังคม ไม่ว่าจะเป็นเพศ ภาษา ศาสนา เผ่าพันธุ์ ฐานะทางเศรษฐกิจ รายได้ จำนวนภาษีที่เสีย ลักษณะทางการศึกษาหรืออาชีพ ความคิดทางการเมือง ฯลฯ กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทุกคนสามารถที่ จะใช้สิทธิของตน หากมีความประสงค์ที่ใช้สิทธิ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี การจำกัดสิทธิใดๆ เลย เพียงแต่ว่าการจำกัดสิทธิซึ่งขัดต่อการ ให้สิทธิเลือกตั้งโดยทั่วไป จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น ที่อธิบายได้โดยชอบด้วยเหตุผล หลักการเลือกตั้งโดยตรง หมายถึง การลง คะแนนเสียงของผู้ออกเสียงเลือกตั้งเท่านั้นที่กำหนดว่าผู้ใดจะ เข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกตั้งโดยวิธีนี้เท่านั้น ที่จะกล่าวได้ว่า การเลือกตั้งเป็นไปตามเจตจำนงของประชาชน หลักการเลือกตั้งโดยเสรี หลักการนี้เป็น เงื่อนไขสำคัญของการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าหากการเลือกตั้งมิได้เป็น ไปตามเกณฑ์นี้แล้ว หลักเกณฑ์พื้นฐานของการเลือกตั้งข้ออื่นๆ ก็จะหมดความหมายไปโดยปริยาย และการเลือกตั้งนั้นก็ไม่ อาจเรียกได้ว่าเป็นการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย 23

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี หลักการเลือกตั้งโดยเสรีนั้นหมายความว่าผู้มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้งทุกคนย่อมสามารถใช้สิทธิของตนได้โดยปราศจากการ ใช้กำลังบังคับ หรือความกดดันทางจิตใจหรือการใช้อิทธิพลใดๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจ ไม่ว่าการใช้อิทธิพลเหล่านี้จะมาจาก ฝ่ายใด กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้ออกเสียงเลือกตั้งจะต้องสามารถ ใช้วิจารณญาณลงคะแนนเสียงได้อย่างอิสระ ในกระบวนการ สร้างความคิดเห็นทางการเมืองที่เสรีและเปิดเผย หลักการเลือกตั้งโดยเสมอภาคเป็นหลัก เกณฑ์ที่มีความสำคัญในทางปฏิบัติมากที่สุด ทำให้หลักสิทธิ การออกเสียงเลือกตั้งโดยทั่วไปมีความสมบูรณ์ขึ้นในแง่ที่ว่า จะทำให้คะแนนเสียงของแต่ละคะแนนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้มี โอกาสส่งผลต่อการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ นอกจากนี้แล้วหลักการ เลือกตั้ง โดยเสมอภาคยังเสริมหลักการเลือกตั้งโดยเสรีอีกด้วย หลักการเลือกตั้งโดยเสมอภาค มิได้ หมายถึงเฉพาะการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น หากแต่ยัง รวมถึงการเลือกตั้งทุกขั้นตอนด้วย กล่าวคือ การสมัครรับ เลือกตั้ง การเตรียมการเลือกตั้ง การรณรงค์หาเสียง การนับ คะแนน ตลอดจนการแบ่งสรรที่นั่งในรัฐสภาให้แก่พรรค การเมืองต่างๆ ในบางประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เยอรมัน ได้คำนึงถึงหลักความเท่าเทียมกันในแง่ของโอกาส โดยถือว่าเป็นหลักที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากหลักการเลือกตั้ง โดยเสมอภาค เพราะฉะนน้ั เพอ่ื ใหพ้ รรคการเมอื งตา่ งๆ ตลอดจน ผู้สมัครอิสระทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการหาเสียงเลือกตั้ง 24

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ในทุกขั้นตอน เพื่อที่จะมีโอกาสที่เท่าเทียมกันในการแข่งขันได้ รับคะแนนเสียงจากประชาชน จึงมีหลักเกณฑ์ในเรื่องของการ แบ่งสรรเวลาหาเสียงทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ของรัฐ การอนุญาตให้ใช้ห้องประชุมหรือสถานที่สาธารณะใน การหาเสียง การปิดประกาศหาเสียงตามท้องถนน ตลอดจน การชดเชยค่าใช้จ่ายการหาเสียงเลือกตั้งให้กับพรรคการเมือง และผู้สมัครอิสระ หลักการเลือกตั้งโดยลับเป็นสิ่งสำคัญของ การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย และเป็นหลักที่คุ้มครอง หลักการเลือกตั้งโดยเสรี เพราะถ้าหากการเลือกตั้งไม่เป็นไป โดยลับแล้ว การเลือกตั้งนั้นไม่อาจที่จะเป็นการเลือกตั้งโดยเสรี ตามหลักการในข้อนี้จะต้องดำเนินการเลือกตั้งโดยไม่ให้ผู้ใด ทราบได้ว่า ผู้ลงคะแนนออกเสียงเลือกตั้งแต่ละคนตัดสินใจ เลือกใคร แม้ว่าตัวผู้เลือกตั้งเองจะไม่ประสงค์ให้การเลือกตั้ง ของตนเป็นความลับ ก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธหลักนี้ และจะต้อง ดำเนินการเลือกตั้งทุกประการ ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เลือกตั้ง จะปลอดจากการข่มขู่ ซึ่งอาจมีขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง (สนธิ เตชานันท์, 2543, หน้า 24-27) 2.2.4 แนวคิดเก่ยี วกับการหาเสียง 2.2.4.1 การหาเสียงทีไ่ ม่เปิดเผย อัมมาร สยามวาลา และคณะ (2535, หน้า 92-101) ได้ศึกษาวิธีการหาเสียงที่ไม่เปิดเผยไว้หลายวิธี สรุปได้ดังนี้ 25

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี 1) ผู้มีอิทธพิ ล “ผู้มีอิทธิพล” ในเรื่องการเลือกตั้ง หมายถึง เฉพาะตัวบุคคลที่จะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลขึ้นมาเฉพาะ ในช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะผู้มีอิทธิพลตามความ หมายโดยทั่วไป ได้แก่ บุคคลที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ก่อนแล้วว่า เป็นผู้ที่กว้างขวาง มีบุญบารมี เป็นที่นับหน้าถือตาในจังหวัด หรือในภาคนั้น ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากอุปนิสัยแบบ “นักเลง” (ในความหมายเดิม) ความสามารถหรือคุณงามความ ดีของบุคคลในการช่วยเหลืออนุเคราะห์ เป็นที่พึ่งพาแก่ ประชาชนในชุมชน รวมถึงการให้ความร่วมมือแก่หน่วยงาน ราชการต่างๆ ในเขตจังหวัดหรือภูมิภาคนั้นๆ การช่วยเหลือ งานราชการเป็นบันไดขั้นสำคัญที่ผู้มีอิทธิใช้ไปสู่ความเป็นผู้มี อิทธิพลที่ข้าราชการต้องเกรงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่มี ช่องว่างที่สำคัญเกิดขึ้นระหว่างบริการหรือความช่วยเหลือ ที่ประชาชนสามารถจะได้รับจากหน่วยงานของรัฐ เมื่อเปรียบ กับที่ได้รับจากผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ในหลายกรณีชื่อเสียงของผู้มี อิทธิพลบางคน อาจขึ้นถึงระดับเป็น “คนดัง” ของประเทศได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักที่เอื้อให้ผู้มีอิทธิพลสามารถมีบทบาท ดังกล่าวได้นั้นจะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ มักจะเป็นเจ้าของกิจการทางธุรกิจขนาดธุรกิจขนาดใหญ่ใน จังหวัดหลายๆ อย่างหรือมีสาขาครอบคลุมไปหลายจังหวัด โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกิจการเหล่านี้มักจะมีลักษณะผูกขาดหรือ เป็นกิจการประเภทอภิสิทธิ์ เช่น การค้าสุรา บุหรี่ กิจการป่าไม้ เหมือนแร่ ซึ่งล้วนต้องอาศัยสายสัมพันธ์ที่ดีกับอำนาจการเมือง ระดับชาติ ในระดับเล็กลงมาก็อาจเป็นเรื่องของการทำโรงงาน 26

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ฆ่าสัตว์ การส่งสัตว์ออกจำหน่ายต่างประเทศ เป็นต้น มีอยู่บ้าง ที่กิจการที่ดูเหมือนสุจริตแต่จำเป็นต้องมีการกระทำที่ละเมิด กฎหมายแฝงอยู่ และก็มีเหมือนกันที่ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ มีกิจการนอกกฎหมายโดยตรง เช่น เป็นเจ้ามือหวยใต้ดิน กล่าวกันว่า ในการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมาเงินนอกระบบ ประเภทนี้ได้เข้ามามีบทบาทอย่างสูงในการรณรงค์หาเสียงด้วย การที่มีฐานทางเศรษฐกิจที่มั่งคง (คือ มีอิทธิพลทางการเมือง มีบุญบารมี คอยแจกจ่ายช่วยเหลือผู้อื่น ป ร ะ ก อ บ ก ั บ ม ี ก ิ จ ก า ร ธ ุ ร ก ิ จ ท ั ้ ง ท ี ่ ถู ก ต ้ อ ง ก ฎ ห ม า ย แ ล ะ นอกกฎหมายที่เข้าถึงมวลชนได้อย่างกว้างขวาง) ทำให้ผู้มี อิทธิพลเหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอิทธิพลในระดับภาคหรือ ระดับจังหวัด หากประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็จะอยู่ใน ฐานะ “ตัวเต็ง” มาตั้งแต่ก่อนจะมีการเลือกตั้ง เพราะมีบทบาท ใกล้ชิดกับมวลชนมาโดยตลอด ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้บางราย ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ เพราะถูกจำกัดโดยเงื่อนไข ตามกฎหมาย เช่น มีบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือขาดคุณสมบัติ ด้านคุณวุฒิการศึกษาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด กระนั้นก็ยัง สามารถจะให้การสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งในระดับ ท้องถิ่น เช่น สจ. หรือ สท. และ ส.ส. ให้ได้รับเลือกตั้งได้ สำหรับเหตุผลในการที่ผู้มีอิทธิพลกลายเป็น “ตัวแปร” ที่สำคัญ ในการเลือกตั้ง อาจกล่าวได้ว่าส่วนหนึ่งเป็นเรื่องที่สืบเนื่อง มาจากระบบการเลือกตั้งแบบพวงเล็กเรียงเบอร์ คือ มีพื้นที่ ใหญ่มาก ทำให้เป็นไปได้ยากมากที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะได้รับ เลือกตั้งด้วยลำพังความสามารถของตนเอง ดังที่ปรากฏว่าเขต มีหน่วยเลือกตั้งอยู่ถึง 900 กว่าหน่วย มีอาณาบริเวณห่างไกล 27

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี กันถึง 50-60 กิโลมเมตร ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะ ออกปราศรัยเยี่ยมเยียนประชาชนได้อย่างทั่วถึง ภายในระยะ เวลาที่มีจำกัดเพียง 30-40 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจัยเรื่อง อุปกรณ์ กำลังคน และเงินทุนในการหาเสียง หากสามารถได้รับ ความช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลอย่างเต็มที่ โอกาสที่จะ ได้รับเลือกตั้งนั้นจะอยู่แค่เอื้อม การที่ผู้มีอิทธิพลจะเข้ามามีบทบาทใน การเลือกตั้ง มักเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัว ไม่ใช่เรื่อง ของของพรรคการเมือง ดังนั้น ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้จึงสามารถให้ สนับสนุนแก่ผู้สมัครในเขตอิทธิพลของตนทีละหลายคน โดยบุคคลเหล่านี้อาจสังกัดพรรคการเมืองต่างกัน หรือในการ เลือกตั้งครั้งหนึ่งผู้มีอิทธิพล อาจสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของพรรคหนึ่ง แต่ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผู้มีอิทธิพล คนเดียวกันก็อาจหันไปสนับสนุนผู้สมัครจากอีกพรรคหนึ่งก็ได้ ผู้มีอิทธิพลที่หลายคนพยายามที่จะขยาย ฐานเสียงทางการเมืองออกไปให้กว้างขวางขึ้นโดยการเข้าไป สนับสนุนผู้สมัครข้ามจังหวัดหรือเขตอิทธิพลเดิมของตน เป็นที่ น่าสังเกตว่าเขตอิทธิพลดังกล่าวเลือกขยายฐานทางการเมือง ออกไป มักเป็นเขตเดียวกันกับผู้มีอิทธิพลนั้นๆ ได้เริ่มเข้าไปมี ผลประโยชน์หรือกิจการธุรกิจขนาดใหญ่ไว้ เพราะฉะนั้น นอกจากการเป็นผู้มีอิทธิพลในทางสังคม การเมืองและ เศรษฐกิจควบคู่กันไปในจังหวัดหรือภูมิภาค ซึ่งดูเหมือนจะเป็น ลักษณะของบุคคลชั้นนำสมัยใหม่ของสังคมไทย บทบาททาง เศรษฐกิจของผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ในระดับชาติมีผ่านทาง 28

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พรรคการเมือง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล ผู้มีอิทธิพลบางคน สามารถผลักดันให้ ส.ส. ในสังกัดของตนก้าวหน้าทางการเมือง จนเป็นรัฐมนตรีได้มากกว่าหนึ่งสมัย นอกจากนั้นผู้มีอิทธิพล ยังถือว่าผลงานสำคัญของตนคือการผลักดันให้พรรคการเมือง ที่ตนสนับสนุน ประคับประคองโครงการใหญ่ระดับพันๆ ล้าน ของรัฐบาลซึ่งจะล้มไปแล้วให้กลับมาดำเนินการใหม่อีก 2) หัวคะแนน หัวคะแนนอาจเป็นคนเดียวกันกับผู้มี อทิ ธพิ ล กลา่ วคอื ผมู้ อี ทิ ธพิ ลอาจลงมาแสดงบทของหวั คะแนนได้ แต่หัวคะแนนอาจไม่เป็นผู้มีอิทธิพลเสมอไป เพราะฉะนั้น ในขณะที่กิตติศัพท์ชื่อเสียงของผู้มีอิทธิพลบางคนอาจเป็นที่รู้จัก ไปทั่วประเทศ ไม่รู้ว่าใครเป็นหัวคะแนนให้แก่ผู้สมัครคนไหน ทั้งที่หัวคะแนนจะมีจำนวนมากกว่าผู้มีอิทธิพลมาก นอกจากนั้น บทบาทของผู้มีอิทธิพลอาจไม่ปรากฏในบางพื้นที่ แต่ความ สำคัญของหัวคะแนนจะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในทุกเขต เลือกตั้ง หัวคะแนนมีความสัมพันธ์กับชาวบ้านในหลายหลาย ลักษณะ อาจจะเพยี งรจู้ ักกันธรรมดาไปจนถึงเป็นญาติพ่นี อ้ งกัน หรือหัวคะแนนอาจเป็นผู้กว้างขวาง หรือเป็นนักเลงโตในท้องถิ่น หัวคะแนนเป็นเสมือนตัวกลางระหว่างชาวบ้านผู้มีสิทธ ิ ออกเสียงเลือกตั้งกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้สมัครจะยอมรับว่า หัวคะแนนเป็นสิ่งจำเป็น เพราะว่าหัวคะแนนเป็นผู้ที่มีความ สมั พนั ธส์ ว่ นตวั ใกลช้ ดิ หรอื เปน็ ผนู้ ำของชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ทช่ี าวบา้ น ให้ความนิยมนับถือ ในขณะที่ชาวบ้านอาจจะไม่เคยรู้จักไม่เคย มีความสัมพันธ์หรือไม่เคยเห็นผู้สมัครรับเลือกตั้งมาก่อน 29

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี บทบาทของหัวคะแนนจึงได้แก่การเชื่อมประสานระหว่าง ชาวบ้านกับผู้สมัครด้วยการพบปะชวนชาวบ้านให้ลงคะแนน สนับสนุนผู้สมัครคนนั้นคนนี้ได้ ส่วนหนึ่งของความสำเร็จของหัวคะแนน ในการชักจูงให้ชาวบ้านลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครที่ตน สนับสนุนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่ตนมีกับชาวบ้านนั้น แน่นแฟ้นลึกซึ้งขนาดไหน เช่น เคยมีบุญคุณกันมาหรือไม่ หรือ ตนเองเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านมากแค่ไหน ซึ่งถ้าหากว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหัวคะแนนกับชาวบ้านไม่ถึงกับลึกซึ้ง หรือ แน่นแฟ้นมาก หัวคะแนนอาจจะต้องอาศัยปัจจัยอย่างอื่น เช่น เงิน เป็นเครื่องช่วยโน้มน้าวจิตใจชาวบ้านให้สนับสนุนผู้สมัคร ของตน หรือในบางกรณีหัวคะแนนก็อาจจะทำหน้าที่เป็นแค่ กลไกประสานระหว่างการ “ซื้อ–ขาย” คะแนนระหว่างผู้สมัคร รับเลือกตั้งกับชาวบ้านผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งเท่านั้น แม้แต่ ในกรณีของการซื้อเสียง ถ้าผู้สมัครไม่ใช้วิธีเป็นผู้ไปแจกเอง โดยมหี วั คะแนนเปน็ ผแู้ จกแทน กต็ อ้ งใหต้ วั ผจู้ า่ ยเงนิ แกช่ าวบา้ น เป็นบุคคลที่ชาวบ้านนิยมนับถือด้วยการแจกเงินจึงจะได้ผล มิฉะนั้นก็อาจจะพบกับกรณีของการ “แจกไม่ออก” หรือ เป็นการสูญเสียเงินไปเปล่าๆ โดยไม่ได้คะแนนเสียงอะไร ตอบแทนคืนมา ที่สำคัญ คือจะมีผู้สมัครน้อยรายที่คิดว่าจะ ชนะการเลือกตั้งด้วยการซื้อคะแนนเสียงเพียงอย่างเดียวโดยไม่ หาเสียงด้วยวิธีอื่นเลย เพราะฉะนั้นบทบาทของหัวคะแนน โดยปกติแล้วจึงมีอยู่ทุกขั้นตอน (อัมมาร สยามวาลา และคณะ, 2535, หน้า 92-101) 30

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ความสัมพันธ์ระหว่างหัวคะแนนกับ ชาวบ้านอาจเป็นได้ตั้งแต่เรื่องของความสัมพันธ์ส่วนตัว ความผูกพันที่มีกันมาแต่เดิม การยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ไปจนถึงการว่าจ้าง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตัวหัวคะแนนกับ ผู้สมัคร ก็อาจเป็นเรื่องของความผูกพันสนิทสนมกันเป็นส่วนตัว หรือเป็นเรื่องของการว่าจ้างที่มีค่าตองแทนเป็นลักษณะของ ธุรกิจแท้ๆ ก็ได้ อยู่ที่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหัวคะแนนกับ ชาวบ้าน แม้ว่าจะเป็นกรณีของการจ้างงานหรือซื้อเสียง ต้องมี ความสัมพันธ์สนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจหรือการรู้จักกันมาก่อน เป็นฐานสำหรับการทำข้อตกลงกัน แต่ระหว่างหัวคะแนนกับ ตัวผู้สมัคร อาจเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องของการจ้างล้วนๆ โดยที่ ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องรู้จักสนิทสนมกันมาก่อนเลย การแยก หัวคะแนนอย่างคร่าวๆ ตามลักษณะของความสัมพันธ์ที่ หัวคะแนนมีกับผู้สมัคร และตามบทบาทหน้าที่ของหัวคะแนน เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ หัวคะแนนหลัก กับหัวคะแนนรอง หัวคะแนนหลักหรือหัวคะแนนระดับหนึ่ง ได้แก่ บุคคลที่มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับตัวผู้สมัครในทางใด ทางหนึ่งมาก่อนการเลือกตั้ง เช่น อาจเป็นญาติพี่น้อง เคยม ี บุญคุณอุปถัมภ์กันมาก่อนฯลฯ กล่าวคือ เป็นบุคคลที่ผู้สมัครไว้ เนื้อเชื่อใจได้ว่าให้ความสนับสนุนแก่ตนโดยสุจริต ไม่ได้หวัง อามิสสินจ้างตอบแทนในรูปหนึ่งรูปใดในทันทีทันใด นอกจากนี้ หัวคะแนนหลักต้องเป็นบุคคลที่กว้างขวาง มีสมัครพรรคพวก หรอื คนรจู้ กั ในทอ้ งถน่ิ และรตู้ น้ื ลกึ หนาบางของการเมอื งในทอ้ งถน่ิ รู้จักคุ้นเคยกับผู้นำในท้องถิ่นเป็นอย่างดี สามารถช่วยกลั่นกรอง คัดเลือกคนที่จะเข้ามาช่วยงานหาเสียงของผู้สมัครได้อย่าง 31

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี ถูกต้อง เพราะหัวคะแนนหลักปกติจะไม่ลงไปสัมผัสกับชาวบ้าน ระดับทางการ “แปรเปลี่ยนให้เป็นคะแนน” โดยตรง แต่จะเป็น ตัวการติดต่อและควบคุมหัวคะแนนระดับล่างๆ ให้กับผู้สมัคร อีกทีหนึ่ง นอกจากหัวคะแนนหลักจะเป็นบุคคลสำคัญอยู่ใน ระดับของผู้ร่วมวางแผนหรือยุทธศาสตร์การเลือกตั้งให้แก่ ตัวผู้สมัครแล้ว บางครั้งก็อาจมีบทบาทช่วยเหลือด้านการเงิน แก่ตัวผู้สมัครอีกด้วย เช่น จัดเลี้ยงให้ผู้สมัคร ลงขันช่วยเหลือ ผู้สมัครทางการเงิน หรือให้กู้ยืมเงินไปใช้ในการรณรงค์หาเสียง เป็นต้น เนื่องจากการหาเสียงเป็นทีมของผู้สมัคร เป็นทีมของผู้สมัครพรรคเดียวกันมักประสบความล้มเหลว หัวคะแนนมักจะจำกัดความช่วยเหลือแก่ผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะเท่านั้น หัวคะแนนหลักของผู้สมัครอาจเป็นได้ตั้งแต่ ผู้นำท้องถิ่นระดับต่างๆ ในจังหวัด อำเภอ ลงไปจนถึงตำบล ตั้งแต่พ่อค้านักธุรกิจใหญ่ สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภา จังหวัด หรือครูใหญ่ จนถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนสำคัญๆ ที่ชาวบ้านหลายๆ หมู่บ้านรู้จักและเคารพนับถือ ในกรณีที่ ผู้สมัครเป็น ส.ส. เดิม จะเห็นว่า ส.ส.และหัวคะแนนหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นผู้นำท้องถิ่นมักจะมีความสัมพันธ ์ ที่เกื้อหนุนกันมาโดยตลอด เช่น ผู้นำท้องถิ่นอาจเสนอโครงการ พัฒนาท้องถิ่นของตนไปยัง ส.ส. ซึ่งอาศัยงบพัฒนาจังหวัดเป็น เครื่องมือตอบสนองให้ เท่ากับเป็นการช่วยสร้างคะแนนนิยมให้ แก่กันและกัน หรืออาจช่วยเหลือเกื้อกูลกันในรูปแบบอื่นๆ และ ถ้าหากหัวคะแนนระดับนี้เกิดสนใจที่จะลงสมัครรับเลือดตั้ง เสียเอง โอกาสที่จะได้รับเลือกตั้งก็มีอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 32

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ถ้าได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองอย่างเต็มที่ หัวคะแนนรองและหัวคะแนนระดับล่างๆ ได้แก่ บุคคลที่มิได้ผูกพันสนิทสนมกับตัวผู้สมัครในทางใดทาง หนึ่งมาก่อนการเลือกตั้ง หรือถ้ามีก็เป็นเพียงความสัมพันธ์แบบ ผิวเผิน แต่หัวคะแนนรองอาจมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมหรือ เคยเกื้อหนุนอุปถัมภ์กันมาก่อนกับหัวคะแนนหลักของผู้สมัคร รับเลือกตั้ง และเข้ามาทำงานให้แก่ผู้สมัครโดยการร้องขอหรือ สั่งงานจากหัวคะแนนหลัก โดยที่ผู้สมัครและหัวคะแนนระดับ ล่างๆ (ซึ่งมีความสำคัญลดหลั่นลงไปอีกหลายระดับ) อาจจะ ไม่เคยพบปะกันเลย ในกรณีของข้าราชการระดับล่างๆ ที่หน่วย เหนือระดมมาช่วยหาเสียงให้แก่นักการเมือง อาจนับว่าเป็น กลุ่มหัวคะแนนได้เหมือนกัน ปกติแล้วหัวคะแนนระดับรองๆ ลงไปนี้จะคาดหวังค่าจ้างหรือค่าตอบแทนที่ชัดเจนและเป็น คราวๆ ไปตามแต่จะตกลงกัน โดยหัวคะแนนหลักอาจช่วยกลั่น กรองและกำหนดอัตราค่าจ้างให้แทนผู้สมัคร และถ้าเป็นกรณีที่ ผู้สมัครเป็นผู้สมัครประเภทตัวจริงคนเดียว ก็ไม่จำเป็นว่า หัวคะแนนระดับล่างจะรับทำงานให้แก่ผู้สมัครดังกล่าวเพียง ผู้เดียว คือหัวคะแนนพวกนี้จะไม่รับช่วยผูกขาดเฉพาะราย ในทางตรงกันข้าม หัวคะแนนรองอาจจะรับทำงานให้แก่ผู้สมัคร หลายๆ คน พร้อมกัน คือรับทำงานให้แก่ผู้สมัครเท่ากับจำนวน ส.ส. ที่อาจมีได้ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ เช่น ถ้าเขตเลือกตั้งนี้มี ส.ส. ได้ 3 คน หัวคะแนนรองจะรับทำงานให้กับผู้สมัครเต็ม 3 คน เพราะนั่นย่อมหมายถึงค่าตอบแทนที่มากขึ้น หัวคะแนนในระดับนี้จะปฏิบัติงานได้มาก น้อย ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่มีกับหัวคะแนนหลักว่ามีมากน้อย 33

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี แค่ไหน ยังขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากหัวคะแนนหลัก หรือจากตัวผู้สมัครแต่ละคน จะไม่มีข้อผูกพันอันใดระหว่าง ตัวผู้สมัครกับหัวคะแนนรองเกินไปกว่าการเลือกตั้งเฉพาะครั้ง ในสมัยหน้าหัวคะแนนระดับรองอาจทำงานให้กับผู้สมัคร รายอื่นแทนได้ถ้าหากว่าเงื่อนไขดีกว่า ความซื่อสัตย์ของ หัวคะแนนระดับนี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้สมัครและหัวคะแนนหลักไม่อาจ จะวางใจได้ และการจัดตั้งระบบหัวคะแนนที่มีเครือข่ายถาวรลง ไปจนถึงหมู่บ้านจึงเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะถ้าผูกพันกัน เป็นการถาวรก็จำเป็นที่จะต้องมีระบบอะไรบางอย่างที่จะ หล่อเลี้ยงความสัมพันธ์นี้ไว้ให้อยู่ในระดับดีตลอดไป อย่างไร ก็ตาม เนื่องจากการระดมคะแนนเสียงหรือแม้แต่การแจกเงิน ซื้อเสียงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นพื้นฐาน หัวคะแนนระดับรองจึงเป็นตัวจักรกลอันสำคัญที่สามารถแปร เสียงให้เป็นคะแนน ซึ่งผู้สมัครและหัวคะแนนหลักไม่อาจมอง ข้ามไป โดยทั่วไปแล้ว หัวคะแนนระดับล่างๆ ได้แก่ พระ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หรือประธานคุ้มต่างๆ ภายในหมู่บ้าน แล้วแต่ลักษณะ ความเชื่อถือของชุมชน ใน ชุมชนชาวไทยมุสลิมหัวคะแนนที่สำคัญได้แก่ผู้นำทางศาสนา ไม่ใช่กำนันหรือผู้ใหญ่บ้านหรือถ้าเป็นชุมชนไทยพุทธ ต้อง พิจารณาว่าในหมู่บ้านหรือในตำบลนั้นๆ ใครเป็นผู้ที่มีบทบาท มีความสำคัญในการชักนำชาวบ้านได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะ ข้อกำหนดให้ข้าราชการทุกระดับวางตัวเป็นกลางอย่างเป็น เคร่งครัด เพราะฉะนั้นหัวคะแนนระดับล่างจึงแปรเปลี่ยนจาก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปเป็นผู้นำของมวลชนจัดตั้งระดับหมู่บ้าน ที่ราชการเป็นผู้จัดตั้งเอง เช่น หัวหน้า กลุ่มแม่บ้าน และกลุ่ม 34

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง อาสาสมัครอื่นๆ ฯลฯ แต่กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน อาจจัด หัวคะแนนประเภทนี้ให้ทำหน้าที่แทนตนในหลายพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะได้รับค่าตอบแทนเพื่อให้วางตัวเฉยๆ ไม่ต้อง สนับสนุนแต่ไม่ต้องจับกุมกวดขันผู้กระทำผิดด้วยหัวคะแนนกับ การรณรงค์หาเสียง จะเห็นได้ว่า การจัดตั้งเครือข่ายของระบบ หัวคะแนนที่โยงใยระหว่างผู้ที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในระดับ หมู่บ้านขึ้นมาถึงหัวคะแนน และระหว่างหัวคะแนนระดับรอง ขึ้นมาถึงหัวคะแนนหลัก และต่อไปขั้นตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้สมัคร จริงทุกคนกระทำเหมือนกันหมด จึงอาจมีความจำเป็นที่จะต้อง ประมาณการให้แน่นอนพอสมควรว่า ความรับผิดชอบหรือ ความสามารถของหัวคะแนนมีมากน้อยแค่ไหน วิธีการคือ เมื่อเริ่มดำเนินงานมาถึงขั้นที่ได้หัวคะแนนระดับรองผ่านทาง หัวคะแนนหลักมาแล้ว ก็จะมีการเรียกประชุมหัวคะแนนทั้งหมด เพื่อตรวจสอบว่าแต่ละคน จะสามารถระดมคนในชุมชนของตน ออกมาลงคะแนนเสียงได้เท่าไร หัวคะแนนแต่ละคนก็จะตั้ง เป้าหมายคะแนนออกมาให้ ซึ่งเป้าหมายคะแนนเหล่านี้จะต้อง รวมกันแล้วได้ไม่น้อยกว่าตัวเลขที่ผู้สมัคร และคณะผู้วางแผน (หัวคะแนน) ได้กำหนดไว้เป็นหลักเกณฑ์จากผลการเลือกตั้งที่ ผ่านมา เพื่อความแน่ใจบางครั้งหัวคะแนนระดับล่างๆ ต้องลอง เข้าไปทาบทามกับชาวบ้านว่าจะสามารถชักจูงให้มาลงคะแนน เสียงสนับสนุนผู้สมัครได้สักกี่คน (ปกติหัวคะแนนจะต้องมี รายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในหมู่บ้านของตนอยู่แล้ว) รายงานที่ได้รับจากหัวคะแนนรองหลังจากปฏิบัติการ คือ เป้าหมายคะแนนที่อาจจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด 35

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี และตัวเลขที่ได้มาครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างหัวคะแนน กับผู้สมัครหรือตัวแทน ถ้าตัวเลขออกมาต่ำกว่าหรือใกล้เคียง กับตัวเลขประมาณการที่ได้กำหนดไว้แต่เดิม หัวคะแนนหลัก หรือผู้สมัครก็จำเป็นต้องพิจารณาเพิ่มพูนพื้นที่ (หมู่บ้าน) ที่จะ เข้าไปหาคะแนนเสียงหรือเพิ่มจำนวนคะแนนให้มากขึ้นไปอีก (อัมมาร สยามวาลา และคณะ,2535,หน้า 96-100) สำหรับจำนวนคะแนนเสียงที่หัวคะแนน ระดับล่าง สามารถจะคุมได้นั้นย่อมแตกต่างกันออกไปตาม คุณสมบัติของหัวคะแนนแต่ละคน ในหมู่บ้านหนึ่งๆ อาจให้ หัวคะแนนหนึ่งคนรับผิดชอบระดมคะแนนเสียงไม่เกิน 10-20 หลังคาเรือน คือ หัวคะแนนหนึ่งคนคุมเสียงของคน 30-40 คน แต่ถ้าหัวคะแนนเป็นผู้นำ เช่น ผู้นำกลุ่มเกษตรกร กลุ่มชาวไร่ ฯลฯ ก็อาจระดมเสียงได้มากกว่าหัวคะแนนในหมู่บ้าน ส่วนใน แต่ละหมู่บ้านจะใช้หัวคะแนนระดับนี้กี่คน แล้วแต่ความใหญ่ เล็กของหมู่บ้าน และในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ส.ส. บางคนมี “ผู้ปฏิบัติงาน” ในหมู่บ้าน 537 หมู่บ้าน ในเขตเลือกตั้งของตน หมู่บ้านละ 10 คน โดยในช่วงนี้หัวคะแนนยังต้องรับผิดชอบ เรื่องรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในหมู่บ้าน ว่าจะมีอะไร บกพร่องต้องแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไรหรือไม่ รวมทั้งบัตรประจำตัว ประชาชน ผู้ใดยังไม่มีบัตรหรือบัตรหมดอายุ จะต้องรีบไป จัดการให้ถกู ต้องด้วย เงื่อนไขการตรวจสอบในการเลือกตั้ง เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2535 ทำให้มีการปรับเปลี่ยนสำหรับ การทำงานของหัวคะแนน คือ มีการเพิ่มจำนวนช่วงที่ติดต่อ 36

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ระหว่างหัวคะแนนหลักไปถึงชาวบ้าน มากขึ้นเพื่อป้องกันการ ตรวจสอบจากทางราชการ และในขณะเดียวกันก็มีการย่อย จำนวนผู้คนที่อยู่ในความรับผิดชอบของหัวคะแนนย่อยลงไป ทำให้มีหัวคะแนนย่อยจำนวนมากขึ้น แต่ละคนรับผิดชอบดูแล การจ่ายค่าตอบแทนและควบคุมคนไปเลือกตั้งจำนวนคน ไม่มาก ในบางพื้นที่หัวคะแนนย่อยอาจรับผิดชอบเพียง 2-3 ครอบครัวในแต่ละหมู่บ้านเท่านั้น อย่างที่เรียกกันว่าเป็น ระบบ “ไดเร็คเซล” เช่น ในหมู่บ้านหนึ่งๆ จะจัดให้มีหัวคะแนน ระดับ ก ประมาณ 3-12 คน ตามความเหมาะสม จากนั้น หัวคะแนนระดับ ก ก็จะไปหาหัวคะแนน หรือสมาชิกระดับ ข อีกคนละ 3-5 คน สมาชิกระดับ ข ก็จะไปหาสมาชิก (ชาวบ้าน) เพิ่มอีกคนละ 5 คน เป็นต้น บทบาทของหัวคะแนน เริ่มจากการ ประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านได้รู้จักว่าผู้สมัครของฝ่ายตน คือใคร อาจเริ่มขั้นตอนของการชักชวน และโน้มน้าวจิตใจชาวบ้าน ให้ลงคะแนนให้ผู้สมัครที่ตนสนับสนุนได้ด้วยการติดแผ่นปลิว ป้ายโฆษณาตามบ้านต่างๆ ภายในหมู่บ้าน ในบางพื้นที่ผู้สมัคร หรือหัวคะแนนหลักอาจใช้วิธีจัดงานเลี้ยง เพื่อเปิดโอกาสให้ ผู้สมัครได้พบปะกับหัวคะแนนในระดับความสัมพันธ์ของตนกับ ชาวบ้านเป็นการปูทางก่อนที่จะมีการขอความสนับสนุนให้กับ ผู้สมัครของตนต่อไป (ลิขิต ธีรเวคิน, 2543, หน้า 450-467) นอกจากการทำงานด้านประชาสัมพันธ์ หัวคะแนนยังทำหน้าที่สำคัญในการรับฟังข่าวคราวความ คิดเห็นของชาวบ้านหรือความเคลื่อนไหวต่างๆ ในท้องถิ่นของ 37