นกั การเมอื งถนิ่ จังหวัดยะลา โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บูฆอรี ยีหมะ ขN้อaมtioลู nทaาlงLบibรรraณryานoุกf รTมhขaiอlaงnสd�ำนCักaหtaอlสogมiดุnแgหin่งชPาuตbิ lication Data บูฆอร2นี 0ยกั 0หีกมาหระนเ.ม้า.ืองถ่ินจังหวดั ยะลา.-- กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2555. 1. นักการเมือง--ยะลา. I. ชอ่ื เรื่อง. I9S2B3N.2599738-974-449-666-9 รหัสสง่ิ พมิ พข์ องสถาบนั พระปกเกลา้ สวพ.55-54-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำ� หนงั สอื 978-974-449-666-9 ราคา 240 บาท พิมพ์คร้งั ท่ี 1 กันยายน 2555 จ�ำนวนพมิ พ์ 500 เลม่ ลิขสทิ ธ์ิ สถาบนั พระปกเกล้า ทปี่ รกึ ษา ศาสตราจารย์ นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร. ปรีชา หงษ์ไกรเลศิ รองศาสตราจารย์ พรชัย เทพปัญญา ดร. ถวิลวดี บุรกี ุล ผ้แู ต่ง ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.บูฆอรี ยีหมะ ผู้ประสานงาน ณัฏฐกาญจน์ ศกุ ลรัตนเมธี จัดพิมพโ์ ดย สถาบนั พระปกเกล้า ศนู ยร์ าชการเฉลิมพระเกยี รติ 80 พรรษาฯ อาคารบี ชั้น 5 (โซนทศิ ใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองหอ้ ง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พิมพ์ที่ บรษิ ัท ไบรท์ แอนด์ พรน้ิ จำ� กัด เลขที่ 12 ซ.ลาดพร้าววังหนิ 43 ถ.ลาดพร้าว แขวง/เขตลาดพรา้ ว กรุงเทพฯ 10230 โทรศพั ท์ 0-2539-5008, 0-2539-5021 โทรสาร 0-2931-7020
นจักังกหาวรัดเมยอื ะงลถาน่ิ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.บฆู อรี ยีหมะ สถาบนั พระปกเกล้า อภนิ นั ทนาการ
กติ ิกรรม ประกาศ งานวจิ ยั เรอ่ื ง นกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั ยะลา บรรลผุ ลส�ำ เรจ็ ลลุ ว่ งไปได้ ดว้ ยดจี ากความอนเุ คราะหข์ อ้ มลู และใหส้ มั ภาษณข์ องสมาชกิ สภา ผแู้ ทนราษฎรจงั หวัดยะลา และผู้ใหข้ อ้ มลู จำ�นวนหลายท่าน ซง่ึ ไม่อาจ เอย่ นามไดใ้ นทนี่ ี้ แตป่ รากฏชอื่ ในบคุ ลานุกรมทา้ ยเล่ม ผวู้ จิ ยั ขอขอบคณุ เปน็ พเิ ศษตอ่ นายหมะ ยหี มะ ผชู้ ่วยวจิ ยั ที่ท�ำ หน้าท่ชี ่วยสมั ภาษณแ์ ละรวบรวมขอ้ มูลท่ีจ�ำ เป็นจ�ำ นวนไม่นอ้ ย สุดท้ายผู้วิจัยขอขอบคุณเป็นอย่างสูงต่อสำ�นักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ทใี่ ห้การสนบั สนนุ เงนิ ทนุ ในการวิจัยคร้งั นี้ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.บฆู อรี ยีหมะ สาขารฐั ประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร ์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสงขลา IV
บทคดั ย่อ งานวจิ ยั เรอ่ื ง นกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั ยะลา เปน็ สว่ นหนงึ่ ของโครงการ สำ�รวจเพ่ือประมวลข้อมูลนักการเมืองถ่ินทั่วประเทศ ท่ีสำ�นัก วิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้าดำ�เนินการเพื่อให้เป็นฐานข้อมูล ท่ีสำ�คัญในการทำ�ความเข้าใจกับพัฒนาการของการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของไทย โดยศึกษาตั้งแต่การเลือกตั้งคร้ังแรกคือ พ.ศ. 2476 จนถงึ พ.ศ. 2554 ในประเดน็ ตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั นกั การเมอื งถน่ิ ได้แก่ ชาตพิ ันธ์ อัตลักษณ์ ศาสนา เครอื ขา่ ยทางการเมอื ง บทบาทของ กลมุ่ ผลประโยชน์ กลยทุ ธ์ วธิ กี ารหาเสยี ง ปจั จยั ทท่ี �ำ ใหไ้ ดร้ บั การเลอื กตงั้ การวจิ ยั นใี้ ชเ้ ทคนคิ วธิ วี จิ ยั เชงิ คณุ ภาพ (Qualitative Research) ซง่ึ ประกอบดว้ ยการศกึ ษาเอกสาร การสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสรา้ งและไมม่ ี โครงสรา้ งจากบคุ คลผใู้ ห้ข้อมลู ส�ำ คญั ได้แก่ ส.ส. อดตี ส.ส. หวั คะแนน เครอื ญาติ บคุ คลทสี่ นใจตดิ ตามความเคลอื่ นไหวทางการเมอื ง ซงึ่ บคุ คล เหลา่ นถ้ี กู คดั เลอื กดว้ ยวธิ กี ารสมุ่ ตวั อยา่ งแบบเจาะจง จากนน้ั จงึ น�ำ มาสู่ การวิเคราะหข์ อ้ มูลโดยใช้วิธีการตีความ (Interpretative Analysis) แลว้ นำ�เสนอขอ้ มลู การวิจยั ด้วยการพรรณาความ (Descriptive Approach) ผู้วิจัยได้สร้างกรอบแนวคิดการวิจัยจากการประมวลแนวคิด ทฤษฎีและการทบทวนวรรณกรรมว่า “การเมืองถิ่นและนักการเมือง V
ถิ่นจังหวัดยะลาเป็นผลมาจากการมีปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกัน กับบริบทเชิงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ของจงั หวดั ยะลาและบรบิ ทเชงิ โครงสรา้ งทางการเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรมในระดบั ชาตใิ นแตล่ ะชว่ งเวลา ซง่ึ เปน็ กรอบหรอื เงอ่ื นไข ในการก�ำ หนดพฤตกิ รรมทางการเมอื ง เชน่ รปู แบบการลงคะแนนเสยี ง เลอื กตงั้ ของประชาชน รปู แบบการหาเสยี งเลอื กตง้ั ของผสู้ มคั ร กลมุ่ ผล ประโยชนท์ ่ีสนับสนนุ ตัวผสู้ มัคร ทัง้ หมดนมี้ ีผลต่อการก้าวขึ้นสกู่ ารเปน็ นักการเมืองถ่ินของจงั หวัดยะลา” ผลการวจิ ยั เปน็ ไปตามกรอบแนวคดิ ทไ่ี ดส้ รา้ งไวก้ ลา่ วคอื ปจั จยั เรื่องชาติพันธ์ อัตลักษณ์ ศาสนา มีผลต่อความสำ�เร็จทางการเมือง ส.ส.ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม 10 คน มีเครือข่ายทางการเมืองและวิธี การหาเสยี งสอดคลอ้ งกับปัจจัยน้ี ส.ส.อกี 5 คนซ่ึงเปน็ ชาวไทยพทุ ธก็ สามารถปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั ปจั จยั นเ้ี ชน่ เดยี วกนั เชน่ การสรา้ งเครอื ขา่ ยกบั กลมุ่ ผูน้ �ำ ทางศาสนา การหาเสียงด้วยการสนบั สนนุ องคก์ รทางศาสนา และกิจกรรมต่างๆ ทางศาสนา เครือข่ายทางการเมืองมีท้ังหมด 6 ประเภท ส.ส.หลายคนมี เครอื ข่ายทางการเมอื งมากกวา่ 1 ประเภท ไดแ้ ก่ เครือข่ายข้าราชการ เครือข่ายพ่อค้า นักธุรกิจ เครือข่ายผู้นำ�ศาสนา โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม เครือข่ายครอบครัว/เครือญาติ เครือข่ายคนหนุ่มสาว และเครือข่าย อดตี นกั การเมือง/นักการเมืองท้องถิน่ /ก�ำ นนั ผูใ้ หญ่บ้าน กลยุทธ์ วิธีการหาเสียงพบว่ามี 4 รูปแบบ ส.ส.หลายคนใช้ มากกวา่ 1 รปู แบบ ไดแ้ ก่ การสนบั สนนุ องคก์ รและกจิ กรรมทางศาสนา การอ�ำ นวยความสะดวกหรอื ช่วยเหลอื ในการด�ำ รงชวี ิตประจำ�วนั การ จดั เวทีปราศรยั และการหาเสียงในงานบุญ ประเพณตี า่ งๆ VI
Abstract Research paper in “Politician of Yala Province” is a partial of surveying project for collecting information of nationwide politicians in which operated by Research and Development Office, King Prajadhipok’s Institute, to be important database for understanding in development of political of Thai democracy. This study was began in 1933 to 2011 on any issues related to politician of Yala Province including ethnics, identities, religious, political networks, role of interest groups, strategies, electioneering, and factors affected to elected, etc. Qualitative research technique has been used to this research, includes document research, structured and unstructured interview to key informants, as Member of the House of Representatives, former Member of the House of Representatives, election campaigner, canvasser, and political interested persons, in which has been selected by purposive sampling and analyzed by interpretative analysis then presented this research by descriptive approach. VII
Researcher has generated conceptual framework by determining and reviewing concepts, theories, and literatures in “politics and politicians of Yala province resulted from occasional interaction between structural political, economic, social, and cultural contexts of Yala province and national. This is scopes or conditions to designate political behaviors such as voting scheme, campaign, and candidate’s supporter, etc. All of these have affected to becoming politician of Yala province.” Results of the research was in line with designed conceptual framework, namely, factor of ethnics and religion has affected to political achievement, 10 Members of the House of Representatives who are Muslim and 5 Members who are Buddhism have political networks and electioneering correspondence with this factor, for example, networking with religious leaders and electioneering supported by religious corporation and any religious activities. Political network has separated into 6 types, as government officer network, merchant-businessman network, religious leader network, interest group network, youth network, and former politician/local politician/sub-district or village headman. A Member of the House of Representatives may be categorized into more than 1 type. For electioneering strategic, found that, there were 4 schemes that several Members of the House of Representatives might use more than 1 scheme, includes supporting religious corporation VIII
and activities, facilitation or assistance in daily life, election campaign speech, and canvassing to any religious ceremonies and festivals. IX
สารบญั กติ ติกรรมประกาศ หนา้ บทคัดยอ่ IV Abstract V สารบัญ VII สารบัญตาราง X XII บทท่ี 1 ความเปน็ มาและสภาพปญั หา 1 เกรน่ิ น�ำ 1 วตั ถปุ ระสงค์ 3 ขอบเขตของการศึกษา 4 วธิ กี ารศกึ ษา 4 ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะไดร้ บั 5 การนำ�เสนอผลการวจิ ยั 5 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม แนวคิด ทฤษฎีและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วขอ้ ง 9 แนวคิด ทฤษฎีและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวขอ้ ง 10 กรอบในการวเิ คราะห์ 21 บทที่ 3 ขอ้ มลู พืน้ ฐานของจงั หวัดยะลา 23 พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร ์ 23 X
สภาพภูมิศาสตร์และโครงสรา้ งประชากร 28 ภาพรวมดา้ นการเมอื งจากอดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน 32 บทที่ 4 การเมอื งถ่ินและนกั การเมอื งถ่นิ จังหวดั ยะลา 39 ยคุ แรก การเลอื กต้ังครั้งแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง - 41 การเลอื กตงั้ พ.ศ. 2488 นายสงา่ สายศลิ ป์ (พ.ศ. 2476) 41 นายวิไล เบญจลักษณ์ หรือนายแวและ เบญอาบัชร์ 44 (พ.ศ. 2480, 2481) ยคุ ทส่ี อง การเลอื กตง้ั พ.ศ 2489 - 55 เหตกุ ารณ์เดือนตุลาคม 2516 นายประสาท ไชยะโท 56 (พ.ศ. 2489, 2495 ,2500/1 ,2518) นายสาล่ี กลู ณรงค์ (พ.ศ. 2491) 67 นายอดลุ ภูมิณรงค์ 71 (พ.ศ.2500/2, 2512 , 2522, 2526, 2529) ยคุ ท่สี าม การเลอื กตั้ง พ.ศ. 2518 - 83 ถงึ การเลอื กตง้ั พ.ศ. 2522 นายอุสมาน อุเซง็ (พ.ศ. 2519) 84 นายวนั มูหะมัดนอร์ มะทา 89 (พ.ศ. 2522, 2529, 2531, 2535/1, 2535/2 , 2538, 2539, 2544, 2548) ยคุ ทส่ี ่ี การเลอื กตง้ั พ.ศ. 2526-การเลอื กตั้ง พ.ศ. 2531 128 นายเฉลิม เบ็ญหาวนั (พ.ศ.2526) 128 นายไพโรจน์ เฉลยี วศักดิ์ (พ.ศ.2531) 131 ยคุ ทหี่ ้า การเลอื กตงั้ พ.ศ. 2535-การเลอื กต้งั ยุคปัจจุบนั 136 นายไพศาล ย่งิ สมาน 136 (พ.ศ. 2535/1, 2535/2, 2539, 2544) XI
นายประเสริฐ พงษส์ ุวรรณศิริ 149 (พ.ศ.2538, 2539, 2544, 2548, 2550, 2554) นายบูราฮานดู ิน อุเซ็ง (พ.ศ. 2539, 2544) 155 นายอับดุลการีม เดง็ ระกีนา 168 (พ.ศ. 2548, 2550, 2554) นายณรงค์ ดดู งิ (พ.ศ. 2548, 2554) 172 นายซกู าร์โน มะทา (พ.ศ. 2550) 175 สรปุ 182 บทท่ี 5 สรุปและอภปิ รายผล 183 สรุป 183 อภปิ รายผล 199 บรรณานุกรม 203 บุคลานกุ รม 205 ภาคผนวก 207 ประวตั ผิ วู้ จิ ยั 209 สารบัญตาราง 22 แผนภาพท่ี 2.1 ปฏิสมั พนั ธ์ทางการเมือง 33 ตารางท่ี 3.1 สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจังหวัดยะลา ตง้ั แต่พ.ศ. 2476-2554 XII
บ1ทท่ีความเป็นมาและสภาพปญั หา ความเปน็ มา และสภาพปญั หา เกรน่ิ น�ำ โครงการสำ� รวจเพอื่ ประมวลขอ้ มลู นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ยะลา เปน็ สว่ นหนง่ึ ของโครงการสำ� รวจเพอื่ ประมวลขอ้ มลู นกั การเมอื งถนิ่ ทว่ั ประเทศ ทส่ี ำ� นกั วจิ ยั และพฒั นา สถาบนั พระปกเกลา้ ดำ� เนนิ การเพอื่ ให้ เปน็ ฐานขอ้ มลู ทสี่ ำ� คญั ในการทำ� ความเขา้ ใจกบั พฒั นาการของการเมอื ง ในระบอบประชาธปิ ไตยของไทย เนอ่ื งจากเหน็ วา่ การเปลย่ี นแปลงการ ปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยม์ าเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย ตง้ั แตป่ ี พ.ศ.2475 ไดส้ ร้างระบบการเมอื งแบบทปี่ ระชาชนเลอื กผแู้ ทน ของตนเข้าไปท�ำหน้าที่ก�ำหนดนโยบายสาธารณะแทนตน ทั้งในระดับ ชาติและระดับท้องถ่ิน ที่ผ่านมาในระดับชาติประเทศไทยจัดให้มีการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมรวม 23 ครง้ั มกี ารเลอื กต้งั สมาชิกพฤฒสิ ภาทางอ้อม 1 ครั้ง ในปี พ.ศ.2489 1
นักการเมอื งถ่ินจงั หวดั ยะลา และมกี ารเลอื กตง้ั สมาชกิ วฒุ สิ ภาโดยตรงครงั้ แรกไปเมอ่ื วนั ท่ี 4 มนี าคม พ.ศ.2543 ในขณะท่ีในระดับท้องถ่ินก็ได้จัดให้มีการเลือกตั้งตัวแทน เพ่ือท�ำหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายรูปแบบพัฒนา ข้ึนตามลำ� ดับ อย่างไรก็ตาม คงมิอาจปฏิเสธได้ว่าการศึกษาการเมืองการ ปกครองไทยทผี่ า่ นมายงั มงุ่ เนน้ ไปทกี่ ารเมอื งระดบั ชาตเิ ปน็ สว่ นใหญ่ สง่ิ ทขี่ าดหายไปของภาคการเมอื งทศ่ี กึ ษากนั อยกู่ ค็ อื สง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ “การเมอื ง ถน่ิ ” ทเี่ ปน็ การศกึ ษาเรอ่ื งราวของการเมอื งทเ่ี กดิ ขน้ึ ในอาณาบรเิ วณของ ทอ้ งถ่นิ ที่เปน็ จังหวัดตา่ ง ๆ ในประเทศไทยซง่ึ เปน็ ปรากฏการณ์ทเี่ ป็น ภาพคู่ขนานไปกับการเมืองระดับชาติอีกระนาบหน่ึง เพราะในขณะ ท่ีเวทีการเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศก�ำลังเข้มข้นด้วยการชิงไหว ชงิ พริบของนกั การเมอื งในสภา และพรรคการเมืองต่างๆ อีกด้านหนึ่ง ในพ้ืนที่จังหวัดต่างๆ บรรดาสมัครพรรคพวกและผู้สนับสนุนท้ังหลาย ก็ก�ำลังด�ำเนินกิจกรรมเพื่อรักษาฐานเสียงในพื้นที่ด้วยเช่นกัน และ ทันทีที่ภารกิจท่ีส่วนกลางสิ้นสุดลง การลงพ้ืนท่ีพบปะประชาชนตาม สถานท่ีและงานบุญ งานประเพณีต่าง ๆ เป็นสิ่งที่นักการเมืองผู้หวัง ชัยชนะในการเลือกต้งั มิอาจขาดตกบกพร่องได้ โครงการส�ำรวจเพ่ือประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัด ยะลา จงึ ดำ� เนนิ การศึกษารวบรวมข้อมูลของนักการเมอื งจังหวดั ยะลา นับต้ังแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เพื่อให้ผู้สนใจได้มองเห็นความ เคล่ือนไหวทางการเมืองท่ีเกิดข้ึนในจังหวัดยะลานับต้ังแต่อดีตจน กระทง่ั ถึงปจั จุบนั โดยผ่านตัวนกั การเมือง ซ่ึงเมอ่ื นำ� ไปประมวลเขา้ กบั การศึกษาในจงั หวัดอื่น ๆ อาจจะช่วยท�ำให้เราสามารถทำ� ความเข้าใจ กบั การเมอื งไทยได้ดขี ึน้ 2
ความเปน็ มาและสภาพปัญหา อีกทั้งโครงการน้ียังอาจถือได้ว่าเป็นโครงการสืบเนื่องและ เช่ือมโยงกับโครงการส�ำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัด ปัตตานีของผู้วิจัย ซ่ึงได้ด�ำเนินการเสร็จสิ้นและตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว เม่ือกลางปี พ.ศ. 2549 เพ่ือให้การท�ำความเข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิด ทางการเมืองของประชาชนที่อาศัยอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มี ความแจม่ ชดั มากยง่ิ ขนึ้ เนอื่ งจากประชาชนทอี่ าศยั อยใู่ นพน้ื ทน่ี มี้ คี วาม สมั พนั ธต์ ่อกนั อยา่ งแนบแนน่ ทัง้ ทางดา้ นชาตพิ ันธ์ อัตลกั ษณ์ ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีต่าง ๆ ซ่ึงไม่เพียงมีผลต่อการด�ำเนินชีวิต ประจ�ำวันเท่าน้ัน แต่ยังท�ำหน้าที่ในการหล่อหลอมบุคลิกภาพ ความคิดทางการเมือง วัฒนธรรมทางการเมือง ซ่ึงน�ำมาสู่พฤติกรรม ทางการเมอื ง ดงั นน้ั โครงการสำ� รวจเพอ่ื ประมวลขอ้ มลู นกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั ยะลา จึงไม่เพียงให้ความรู้ ความเข้าใจทางการเมืองในพื้นที่จังหวัด ยะลาเท่าน้ัน แต่ยังจะช่วยถักทอสร้างความรู้ ความเข้าใจครอบคลุม พืน้ ท่ี 3 จังหวดั ชายแดนภาคใต้อีกดว้ ย วัตถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ รู้จกั นักการเมอื งทเี่ คยได้รบั การเลือกตง้ั ในจงั หวัดยะลา 2. เพอื่ ทราบถึงเครือขา่ ยและความสัมพนั ธข์ องนักการเมอื งใน จังหวัดยะลา 3. เพื่อทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ กลมุ่ พอ่ คา้ องคก์ รประชาชน ครอบครวั วงศาคณาญาติ ฯลฯ ท่ีมีส่วนในการสนับสนุนทางการเมืองแก่นัก การเมืองในจังหวัดยะลา 3
นักการเมืองถิ่นจงั หวัดยะลา 4. เพ่ือทราบบทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ นักการเมืองในจงั หวดั ยะลา 5. เพื่อทราบถึงวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมือง ในจังหวดั ยะลา ขอบเขตของการศกึ ษา ศึกษาการเมืองของนักการเมืองระดับชาติของจังหวัดยะลา ตง้ั แตก่ ารเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรครงั้ แรก เมอ่ื วนั ท่ี 15 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2476 จนถึงการเลือกต้ังเม่ือวันท่ี 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 โดยให้ความส�ำคัญกับเครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมือง บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มท่ีไมเ่ ป็นทางการตา่ งๆ บทบาท และความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับนักการเมืองตลอดจนรูปแบบ วิธีการ และกลวิธตี า่ งๆ ที่นกั การเมอื งใชใ้ นการเลอื กต้ังแต่ละครัง้ วธิ ีการศึกษา วิธีการศึกษาวิจัยอาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นเครอ่ื งมือสำ� คัญในการศกึ ษา ซึง่ ประกอบด้วย 1. การศกึ ษาวเิ คราะหจ์ ากเอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งตา่ งๆ เชน่ หนงั สอื นติ ยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ 2. การสมั ภาษณ์บุคคลผใู้ ห้ข้อมูลสำ� คัญ (Key Informant) ซ่ึงมี ทั้งนักการเมืองและบุคคลที่สามารถให้ข้อมูลโยงใยไปถึงนักการเมือง โดยใช้ทั้งการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและการสัมภาษณ์แบบไม่มี โครงสรา้ ง ในขณะเดยี วกนั เพอ่ื ตรวจสอบความนา่ เชอ่ื ถอื ของขอ้ มลู จะ ตรวจสอบขอ้ มลู เดยี วกนั จากผใู้ หข้ อ้ มลู สำ� คญั หลายคน เพอื่ ใหม้ น่ั ใจวา่ 4
ความเปน็ มาและสภาพปญั หา เป็นข้อมลู ท่ีถกู ตอ้ ง น่าเช่ือถือ 3. การสังเกตการณ์ถึงพฤติกรรมทางการเมืองและประเด็น อ่ืน ๆ ในพ้นื ท่ี ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ บั 1. เข้าใจถงึ กลไกทางการเมืองในจังหวัดยะลาตงั้ แตม่ กี ารเลือก ตัง้ ทัว่ ไปคร้ังแรกจนถึงปัจจบุ นั 2. ไดท้ ราบวา่ ตงั้ แตก่ ารเลอื กตงั้ ครง้ั แรกเปน็ ตน้ มามนี กั การเมอื ง คนใดในจังหวัดยะลาท่ีได้รับการเลือกตั้งบ้างและชัยชนะของนักการ เมืองเหลา่ นม้ี ีสาเหตุและปจั จัยอะไรสนับสนนุ 3. ได้ทราบถึงความส�ำคัญของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มท่ีไม่ เปน็ ทางการ เช่น ครอบครัว วงศาคณาญาติ ฯลฯ ท่ีมตี ่อการเมืองใน จังหวัดยะลา 4. ได้ทราบถึงความส�ำคัญของพรรคการเมืองในการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรในจังหวดั ยะลา 5. ได้ทราบรูปแบบ วิธีการ และกลวิธีต่างๆ ที่นักการเมืองใช้ ในการเลอื กต้งั 6. ไดท้ ราบขอ้ มลู เกยี่ วกบั “การเมอื งถนิ่ ” และ “นกั การเมอื งถน่ิ ” ส�ำหรบั เปน็ องค์ความรู้ ในการศึกษาวจิ ยั เก่ยี วกบั การเมอื งการปกครองไทยต่อไป การนำ�เสนอผลการวจิ ยั การนำ� เสนอผลการวจิ ยั เปน็ แบบพรรณนาวเิ คราะห์ (Descriptive analysis) โดยใช้กรอบการน�ำเสนอเชิงประวัติศาสตร์ (Historical 5
นกั การเมอื งถ่นิ จังหวดั ยะลา Approach) ตามล�ำดับเวลา เพ่ือช้ีให้เห็นถึงพัฒนาการทางการเมือง ในพ้ืนท่ีที่สัมพันธ์กับบริบทเชิงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สงั คม และวัฒนธรรม ในช่วงเวลาหนึง่ ๆ ทีม่ ผี ลตอ่ ตวั นกั การเมอื งและ ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกต้ัง รายละเอียดของแต่ละบทมดี ังนี้ บทที่ 1 ความเปน็ มาและสภาพปญั หา บทน้ีจะกล่าวถึงความเป็นมาและสภาพของปัญหาที่น�ำมาสู่ การศกึ ษาวิจัย โดยอธิบายถึงวตั ถุประสงค์ ขอบเขตของการศึกษาวิจัย วิธกี ารศกึ ษาวจิ ัย และประโยชนท์ ีค่ าดว่าจะไดร้ บั จากการศกึ ษาวิจยั ใน คร้งั น้ี บทท่ี 2 การทบทวนวรรณกรรม กรอบแนวคดิ ทฤษฎใี นการวจิ ยั บทน้ีผู้ศึกษาวิจัยด�ำเนินการทบทวนวรรณกรรมเพื่อค้นหาว่า มีงานศึกษาในลักษณะเดียวกันน้ีมากน้อยเพียงใด พร้อมท้ังพิจารณา ค้นหาแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างกรอบแนวคิด ทฤษฎใี นการศกึ ษาวิจัยในครงั้ นี้ บทท่ี 3 ข้อมลู พื้นฐานของจงั หวัดยะลา บทน้ีผู้ศึกษาวิจัยจะกล่าวถึงข้อมูลพ้ืนฐานของจังหวัดยะลา ที่ส�ำคัญได้แก่ พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ สภาพภูมิศาสตร์และ โครงสร้างของประชากร และภาพรวมทางด้านการเมืองต้ังแต่อดีตจน กระท่ังถึงปัจจุบัน เพ่ือเป็นการปูพ้ืนฐานให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูล เบ้ืองต้น และเป็นปัจจยั ทสี่ ่งผลตอ่ พัฒนาการทางการเมืองของจงั หวดั ยะลา ซง่ึ จะกล่าวถึงโดยละเอยี ดในบทท่ี 4 บทที่ 4 การเมืองถิน่ และนักการเมืองถ่นิ จังหวัดยะลา บทน้ีผู้ศึกษาวิจัยจะพรรณนาให้ผู้อ่านเห็นถึงการเมืองถ่ินและ นกั การเมอื งถนิ่ ของจงั หวดั ยะลา โดยนำ� เสนอดว้ ยกรอบพฒั นาการเชงิ 6
ความเปน็ มาและสภาพปญั หา ประวตั ศิ าสตร์ (Historical Approach) แบง่ พฒั นาการออกเปน็ 5 ยคุ คอื ยุคแรก พ.ศ. 2476-การเลอื กต้งั พ.ศ. 2488 ยคุ ท่สี อง การเลือกต้ัง พ.ศ. 2489-เหตกุ ารณ์เดือนตลุ าคม พ.ศ. 2516 ยุคท่สี าม การเลอื กตั้ง พ.ศ. 2518-การเลือกต้ัง พ.ศ. 2522 ยคุ ทีส่ ี่ การเลือกตัง้ พ.ศ. 2526-การ เลอื กตัง้ พ.ศ. 2531 และยุคที่ 5 การเลอื กตั้ง 2535-การเลือกตัง้ ยคุ ปัจจุบัน โดยเกณฑใ์ นการแบง่ ยคุ นจ้ี ะกล่าวถึงโดยละเอยี ดในบทนี้ บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลขอ้ ค้นพบและข้อเสนอแนะ บทน้ีผู้ศึกษาวจิ ยั จะสรุป อภปิ รายขอ้ ค้นพบวา่ การเมืองถิ่นและ นกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั ยะลามลี กั ษณะอยา่ งไรตามประเดน็ ทไี่ ดก้ ำ� หนด ไวไ้ ด้แก่ ชาติพันธ์ อตั ลกั ษณ์ ศาสนา เครอื ขา่ ยทางการเมือง กลมุ่ ผล ประโยชน์ กลยทุ ธ์ วิธกี ารหาเสยี ง 7
บ2ทที่ทบทวนวรรณกรรม แนวคิดทฤษฎแี ละงานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง ทบทวนวรรณกรรม แนวคิดทฤษฎี และงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพ้ืนท่ีสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ เมือ่ ตน้ ปี 2547 เป็นตน้ มา ขอ้ มูลขา่ วสารในด้านต่างๆ ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงทางด้าน การศกึ ษา เศรษฐกจิ สงั คม ศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรม การเมอื ง แมก้ ระทง่ั สภาพทางภูมิศาสตรก์ ต็ าม ล้วนเป็นทสี่ นใจอย่างใกล้ชิดของประชาชน คนไทยทว่ั ประเทศ เพราะวนั นี้ พนื้ ที่ 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใตถ้ กู มองวา่ เปน็ พนื้ ทที่ ม่ี ปี ญั หาทางดา้ นความมน่ั คง ขอ้ มลู ทกุ ดา้ นจงึ เปน็ ทกี่ ระหาย สนใจของสังคมอย่างจริงจัง ท�ำให้มีการค้นคว้า วิจัย เรียบเรียง หรือ แปล เรอ่ื งราวทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั จังหวดั ชายแดนภาคใต้ มาตพี ิมพ์น�ำเสนอ ขึ้นสู่เวทีสาธารณะอย่างมากมาย ถือเป็นยุคแห่งการเปิด “พรมแดน แหง่ ความรู้” ในเรอ่ื ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใตส้ �ำหรับสังคมไทยขนึ้ มา ใหม่ หลังจากอดตี ท่ผี ่านมา สังคมไทยมอี งค์ความรเู้ ก่ียวกับ 3 จงั หวัด ชายแดนภาคใต้ ทจี่ ะนำ� มาใชป้ ระโยชนเ์ พอื่ เปน็ ฐานขอ้ มลู ประกอบการ 9
นักการเมืองถ่ินจังหวัดยะลา วางแผนตดั สนิ ใจคอ่ นขา้ งนอ้ ย ในรอบ 26 ปที ผี่ า่ นมา มงี านวจิ ยั เกย่ี วกบั การเมอื งการปกครองและสงั คมวฒั นธรรมทเี่ กยี่ วกบั 3 จงั หวดั ชายแดน ภาคใต้ เพียง 245 เรอื่ ง มปี ระเด็นศกึ ษาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ด้านการเมือง สังคม วฒั นธรรม อย่ใู นสาขาวชิ ารัฐศาสตร์ สงั คมวทิ ยา สงั คมศาสตร์ และมนษุ ยศาสตร์ ไทยคดศี กึ ษา พฒั นาสงั คม และพฒั นาชมุ ชน รวมถงึ การศึกษาศาสนาและศาสนาเปรยี บเทยี บ จากสถาบนั การศกึ ษาต่างๆ 13 สถาบนั หลกั (แพร ศิรศิ กั ดด์ิ ำ� เกงิ , 2551:129) ในจำ� นวน 245 เร่อื ง ท่สี ถาบนั ต่างๆ ศกึ ษาข้ึนมา มเี พยี ง “นกั การเมืองถ่ินจังหวดั ปตั ตานี” (บูฆอรี ยีหมะ: 2549) เพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่เป็นการศึกษาเก่ียวกับ การเมอื งและนกั การเมอื งถน่ิ ซงึ่ เปน็ นกั การเมอื งระดบั ชาตแิ ตม่ บี ทบาท สำ� คัญในระดบั ทอ้ งถิ่นในพื้นท่ี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังน้ัน การศึกษาเรื่อง “นักการเมืองถิ่นจังหวัดยะลา” จะเป็น เครื่องมือหนึ่งในการที่จะใช้มองภาพรวมทางการเมืองใน 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ ให้ไดส้ มบูรณย์ ิ่งข้นึ ซง่ึ จะนำ� ไปสกู่ ารมองเหน็ ภาพทาง ความคดิ ความรสู้ กึ ทศั นคตขิ องประชาชนในพน้ื ทสี่ ามจงั หวดั ชายแดน ภาคใต้ ทม่ี ีตอ่ สงั คมไทยโดยรวมได้ แนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง 1. แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ัยว่าด้วยการเลอื กตงั้ และการ ศึกษาพฤติกรรมการเลือกตงั้ การเลือกต้ังนับเป็นหน่ึงในกระบวนการท่ีส�ำคัญของการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยตามรปู แบบประชาธปิ ไตยแบบตวั แทน 10
ทบทวนวรรณกรรม แนวคิดทฤษฎแี ละงานวิจัยท่เี ก่ียวข้อง หรอื ผแู้ ทน (Representative Democracy) เพราะเปน็ การมอบอำ� นาจให้ ประชาชนได้คัดเลือกคนเพื่อเป็นตัวแทนของตนเข้าไปท�ำหน้าที่ในการ บญั ญัติกฎหมาย ระเบียบ ข้อบงั คบั ต่าง ๆ และนำ� กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ เหล่าน้ันไปปฏิบัติ อีกทั้ง การเลือกตั้งยังเป็น กระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ส�ำคัญของประชาชนในการ ควบคุมตัวแทนของประชาชนที่ตนเองเลือกว่าจะได้รับฉันทานุมัติจาก ประชาชนให้เป็นตัวแทนในสมัยต่อไปอีกหรือไม่ การเลือกตั้งจึงเป็น กระบวนการทางการเมืองท่ีประชาชนควบคุมตัวแทนของตนและการ เปลีย่ นแปลงทางอำ� นาจหรอื การสืบทอดอำ� นาจอย่างสันติ นอกจากน้ี การเลือกต้ังยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ทาง การเมอื งของประชาชนทส่ี ำ� คญั เพราะขอ้ มลู ขา่ วสารทง้ั จากตวั ผสู้ มคั ร พรรคการเมือง องค์กรทางสังคมต่าง ๆ หน่วยงานราชการ และ สื่อมวลชนแขนงตา่ งๆ จะเผยแพรใ่ หป้ ระชาชนได้รบั ร้ขู ้อมลู ความ เคลื่อนไหวในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพ่ือน�ำไปสู่การตัดสินใจของ ประชาชนว่าจะตดั สินใจเลือกทางออกใหแ้ กส่ ังคมอยา่ งไร อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งจะมีความหมายและสมตาม เจตนารมณ์ตามที่ได้กล่าวถึงข้างต้นได้จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ท่ีได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายท่ัวโลกดังต่อไปน้ี (กระมล ทอง ธรรมชาติ สมบูรณ์ สุขสำ� ราญ และปรชี า หงสไ์ กรเลิศ, 2531: 2-3) (1) ความเปน็ อสิ ระของการเลอื กตง้ั กลา่ วคอื ประชาชนผใู้ ชส้ ทิ ธิ เลือกตั้งมีอิสระ เสรีในการตัดสินใจเลือกตัวแทนของตนโดยปราศจาก ภัยคุกคามใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซ้ือเสียง หรือการให้ผลตอบแทนใน รูปแบบต่าง ๆ ท้ังเพื่อแก่ผลประโยชน์ของผู้ใช้สิทธิเลือกต้ังโดยตรง หรือผลประโยชน์แก่ชุมชนที่ผู้ใช้สิทธิเลือกต้ังด�ำรงอยู่ การใช้อิทธิพล 11
นกั การเมอื งถน่ิ จังหวดั ยะลา ข่มขู่ คกุ คามในรปู แบบต่าง ๆ ทง้ั น้ไี มว่ า่ จะมาจากฝ่ายใดกต็ าม ซึง่ รวม ถงึ หน่วยงานของรฐั ด้วย (2) หลักการเลือกตั้งตามก�ำหนดระยะเวลา กล่าวคือ การ จัดการเลือกตั้งตามก�ำหนดระยะเวลาท่ีกฎหมายของประเทศน้ัน ๆ กำ� หนด เช่น 3 ปี 4 ปี 5 ปี เพอ่ื ใหป้ ระชาชนมีโอกาสตรวจสอบการ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องตวั แทนของตนวา่ เปน็ ไปตามเจตนารมณข์ องประชาชน หรือไม่ ซึ่งเป็นเง่ือนไขที่ส�ำคัญเพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ตัวผู้ใช้อ�ำนาจหรือผู้ปกครองได้อย่างสันติวิธีในกรณีท่ีไม่เป็นไปตาม เจตนารมณ์ หรือได้รับการเลือกตั้งใหม่ หากได้รับความไว้วางใจจาก ประชาชน (3) การเลือกต้ังท่ยี ตุ ธิ รรม กลา่ วคือ การเลอื กตัง้ ทบ่ี ริสทุ ธิ์เปน็ ไปตามตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมาย ปราศจากการ ครอบงำ� และเลห่ ท์ างการเมอื ง ทางเศรษฐกจิ และสถานภาพทางสงั คม เชน่ การวางตัวเปน็ กลางของข้าราชการ ไมใ่ ชต้ ำ� แหนง่ อำ� นาจหนา้ ท่ี เพอ่ื สนบั สนนุ ใหไ้ ดม้ าซงึ่ คะแนนของผสู้ มคั รผหู้ นงึ่ ผใู้ ด หรอื ผมู้ ฐี านะทาง เศรษฐกจิ ใชเ้ งนิ ซอ้ื เสยี งทงั้ เพอ่ื แกต่ นเองหรอื ผสู้ มคั รอน่ื ทตี่ นสนบั สนนุ หรือการแข่งขันระหว่างผู้สมัครรับเลือกต้ัง พรรคการเมืองอย่างอิสระ เสรี ภายในขอบเขตของกฎหมายบนพ้ืนฐานของความยุติธรรมและ ความเสมอภาค (4) หลักการให้สิทธิเลือกตั้งเป็นการท่ัวไป กล่าวคือ การให้ สทิ ธเิ ลอื กตงั้ แกป่ ระชาชนทว่ั ไป โดยไมจ่ ำ� กดั สทิ ธหิ รอื กดี กนั บคุ คลหนงึ่ บุคคลใดเปน็ พิเศษเนื่องจากเพศ สีผิว ระดบั การศกึ ษา สถานภาพทาง เศรษฐกิจและสังคม (5) หลักความเสมอภาค กล่าวคือ การมีสิทธิเลือกต้ังของ 12
ทบทวนวรรณกรรม แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ัยท่เี กย่ี วข้อง ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนต�ำบลใดต้องมี ความส�ำคัญเสมอภาคกัน ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งแต่ละคนมีเสียง เพียง 1 เสยี งเท่าเทยี มกนั หรอื หลัก 1 คน ตอ่ 1 เสียง (One Man, One Vote) หลกั การนน้ี ำ� ไปใชอ้ ยา่ งชดั เจนตามรฐั ธรรมนญู ฉบบั ปี 2540 และ ปี 2550 แกไ้ ขเพิ่มเตมิ ปี 2554 (6) หลักการลงคะแนนลบั กลา่ วคอื การออกเสียงเลอื กต้งั ของ ประชาชนเป็นเอกสิทธิโดยเด็ดขาด เป็นความลับท่ีไม่ให้ผู้อ่ืนล่วงรู้ว่า ตนเองเลือกใคร เพ่ือให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธิ์ปราศจากการ ข่มขู่บีบค้นั จากอิทธพิ ลใด ๆ ที่จะมผี ลตอ่ หลักการข้อที่ 1 คือ อสิ รภาพ และเสรีภาพของผ้เู ลอื กตงั้ จากหลักเกณฑ์การเลือกตั้งที่ได้กล่าวมา เมื่อพิจารณาถึงการ เลอื กตั้งในคร้ังท่ีผ่าน ๆ มาของไทย มแี งม่ มุ ทนี่ า่ สนใจทม่ี ีผลทำ� ให้การ เลือกต้ังยงั คงถกู ตง้ั ค�ำถาม ถูกวิพากษ์วจิ ารณ์ว่าไมเ่ ปน็ ไปตามหลักการ สากลหลายประการ พฤตกิ รรมเบยี่ งเบนในการเลอื กตงั้ มที ง้ั มาจากผใู้ ช้ สิทธเิ ลือกตงั้ ซ่งึ ทีเ่ ปน็ ปญั หามากทีส่ ุดก็คือ การรบั เงินซ้อื เสยี งหรอื การ ขายเสียง และผู้สมัครรับเลือกต้ังท่ีไม่เพียงมีปัญหาในเรื่องของการซื้อ เสยี งเทา่ นน้ั แตย่ งั รวมถงึ พฤตกิ รรมเบย่ี งเบนในการเลอื กตง้ั รปู แบบอนื่ ซง่ึ ไมผ่ ิดกฎหมายเลอื กต้งั แต่ไม่เปน็ ไปตามหลักการสากล เชน่ การฮัว้ กนั ระหวา่ งผสู้ มคั รตา่ งพรรค ทำ� ใหก้ ารแขง่ ขนั ทางการเมอื งไมเ่ กดิ ขน้ึ จรงิ ปัญหาที่เกิดขึ้นน้ีส่วนหนึ่งมาจากเง่ือนไขของกฎหมายเลือกต้ังว่าด้วย รูปแบบการเลือกตั้ง เช่น ระบบการเลือกต้ังแบบแบ่งเขต เรียงเบอร์ เปน็ ต้น การเลือกตั้งของไทยในอดีต นับเฉพาะตั้งแต่ปี 2519 จนถึงปี 2539 ใชร้ ะบบแบง่ เขต เรยี งเบอร์ ตามจำ� นวนของส.ส. ทพ่ี งึ มไี ดข้ องเขต 13
นกั การเมืองถิ่นจังหวดั ยะลา เลอื กต้งั น้นั ท�ำให้เขตเลือกตงั้ มขี นาดใหญ่ พ้ืนท่ใี นการหาเสียงกวา้ ง ผู้ สมคั รเปน็ ทร่ี จู้ กั ของคนทง้ั เขตอยา่ งไมท่ ว่ั ถงึ โดยเฉพาะผสู้ มคั รหนา้ ใหม่ ในขณะทีก่ ารเลอื กตั้งปี 2544 และ 2548 ภายใต้กฎหมายรฐั ธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ใช้ระบบเขตละ 1 คน ซ่ึงท�ำให้เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็ก ลง ผู้สมัครเป็นที่รู้จักของประชาชนในเขตเลือกต้ังอย่างท่ัวถึงมากกว่า ระบบแบง่ เขต เรยี งเบอร์ แตเ่ ม่อื มาถึงการเลือกตัง้ ปี พ.ศ. 2550 ภาย ใตร้ ัฐธรรมนญู พ.ศ. 2550 ซงึ่ เกดิ ขน้ึ ภายหลังการรัฐประหารของคณะ ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เปน็ ประมขุ (คปค.) กห็ วนกลบั ไปใชร้ ะบบการเลอื กตง้ั แบบแบง่ เขต เรยี ง เบอร์อกี คร้ัง ล่าสดุ ในการเลือกตง้ั เม่อื วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 มี การแกไ้ ขรฐั ธรรมนญู ทำ� ใหก้ ารเลอื กตง้ั ในระบบเขตหวนกลบั ไปใชร้ ะบบ เขตละ 1 คนอีกครงั้ อยา่ งไรก็ตามโดยสรุปแลว้ การเลือกต้ังของไทยใช้ ระบบแบง่ เขต เรยี งเบอร์ มากกวา่ ระบบเขตละ 1 คน กระมล ทองธรรมชาติ สมบูรณ์ สุขสำ� ราญ และปรีชา หงษ์ไกร เลศิ (2531: 14-17) ช้ใี ห้เหน็ ถึงข้อดแี ละขอ้ เสยี ของระบบการเลอื กตั้ง ทั้งสอง ดงั ตอ่ ไปนี้ (1) ระบบเขตละ 1 คน ท�ำใหเ้ ขตเลอื กต้งั มีขนาดเล็ก ผูส้ มคั ร หาเสียงง่ายและทั่วถึง สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อย ประชาชนกับผู้สมัคร มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น และเม่ือได้รับการเลือกต้ังแล้วก็สามารถดูแล ประชาชนไดอ้ ยา่ งทว่ั ถึง เขา้ ใจปัญหาและความต้องการของประชาชน สามารถเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนได้เป็นอย่างดี ขณะท่ีระบบ แบ่งเขต เรยี งเบอร์ มีลักษณะทต่ี รงกันข้าม (2) ระบบเขตละ 1 คน ส่งเสริมให้บุคคลที่มีความรู้ ความ สามารถและปรารถนามีอาชีพทางการเมือง แต่ไม่มีฐานอ�ำนาจทาง 14
ทบทวนวรรณกรรม แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง เศรษฐกิจ หรืออิทธิพลทางการเมืองและอิทธิพลในด้านลบ สามารถ ลงสมัครรับเลือกตั้งและมีโอกาสชนะเลือกตั้งได้มากกว่าระบบแบ่งเขต เรยี งเบอร์ เพราะระบบเขตละ 1 คน หากผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ มคี ณุ สมบตั ิ ดี มคี ณุ ภาพ เปน็ ทร่ี จู้ กั มานาน กไ็ มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งใชท้ นุ ในการเลอื กตงั้ มาก หรือต้องอาศัยอิทธิพลอื่น ๆ (3) ระบบเขตละ 1 คน เป็นการสนับสนุน หลกั การ 1 คน มี 1 เสียง (One Man, One Vote) ทำ� ใหท้ กุ คนไมว่ า่ จะอยทู่ ใี่ ดกต็ ามมีเสียงท่ี เท่าเทยี มกัน ต่างจากระบบแบ่งเขต เรียงเบอร์ ทเ่ี ขตเลอื กตงั้ แตล่ ะเขต มีจ�ำนวนส.ส. ต่างกัน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตหน่ึงมีสิทธิทางการเมือง มากกว่าผู้มสี ทิ ธิเลอื กตง้ั อกี เขตเลอื กตงั้ หนงึ่ (4) ระบบเขตละ 1 คน ซึ่งเปน็ เขตเลอื กตง้ั ขนาดเลก็ อาจเปดิ โอกาสใหผ้ สู้ มคั รทม่ี อี ทิ ธพิ ลในดา้ นใดกต็ าม สามารถใชอ้ ทิ ธพิ ลของตน ทำ� ใหก้ ารเลอื กตงั้ ขาดความยตุ ธิ รรมไดง้ า่ ยกวา่ ระบบแบง่ เขต เรยี งเบอร์ เชน่ ใชอ้ ทิ ธพิ ลต่อเจ้าหนา้ ท่ีจัดการเลือกต้งั ซื้อเสยี งได้โดยง่าย (5) ระบบเขตละ 1 คน เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบ พรรคการเมือง เพราะประชาชนตัดสินใจเลือกส.ส. ท่ีคุณสมบัติของ ตัวบุคคลมากกว่าให้การสนับสนุนท่ีอุดมการณ์และนโยบายของ พรรคการเมือง เพราะพิจารณาลงคะแนนให้จากความรู้จักมักคุ้น มากกว่าการพจิ ารณาท่ตี วั พรรคการเมืองที่สงั กดั (6) ระบบแบ่งเขต เรียงเบอร์ การซ้ือเสียงกระท�ำได้ยากกว่า ระบบเขตละ 1 คน เพราะเขตเลือกต้ังที่กว้าง ต้องใช้เงินเป็นจ�ำนวน มาก อีกท้ังผู้เป็นส.ส. จะมีความรู้สึกและส�ำนึกว่าเป็นผู้แทนของ ปวงชนมากกว่าทีจ่ ะผกู พนั เฉพาะทอ้ งถ่นิ แคบ ๆ จากประเด็นปัญหาท่ีมาจากระบบการเลือกต้ังดังกล่าว สมบัติ 15
นกั การเมืองถิน่ จงั หวัดยะลา จันทรวงศ์ ได้ท�ำการศึกษาวิจัยเร่ือง การเลือกต้ังไทยกับพฤติกรรม เบี่ยงเบนในการหาเสียง: ปัญหาพ้ืนฐานและแนวทางแก้ไข ซ่ึงต่อมา ตีพิมพ์เป็นหนังสือช่ือ เลือกต้ังวิกฤต: ปัญหาและทางออก (สมบัติ จนั ทรวงศ,์ 2536) โดยศกึ ษาการเลอื กตง้ั ในปี 2535 ซงึ่ เปน็ การเลอื กตง้ั ตามรฐั ธรรมนญู ฉบบั ปี พ.ศ. 2534 การเลอื กตง้ั ครง้ั นร้ี ะบบการเลอื กตง้ั เป็นแบบแบ่งเขต เรียงเบอร์ ซึ่งเขตเลือกต้ังมีขนาดใหญ่ แต่ละเขตมี ผู้แทนไม่เทา่ เทียมกนั ตง้ั แตเ่ ขตละ 3 คน ไปจนถึงบางจังหวัดทมี่ ผี แู้ ทน เพียง 1 คน เท่าน้ัน งานวจิ ยั ของสมบตั ชิ ใ้ี หเ้ หน็ ถงึ พฤตกิ รรมเบย่ี งเบนในการเลอื กตง้ั ทง้ั จากตวั ผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั และประชาชนผใู้ ชส้ ทิ ธเิ ลอื กตงั้ เชน่ การจดั ทมี ผสู้ มคั รในกรณีทเ่ี ขตเลือกตั้งนั้นมีผู้แทนไดม้ ากกวา่ 1 คน วธิ ีการ หาเสยี งของผสู้ มคั รแตล่ ะพรรค ซง่ึ สมั พนั ธก์ บั ระบบการเลอื กตง้ั ดงั กลา่ ว อาทิ ผู้สมัครบางพรรคหาเสียงเพยี งคนเดียว แทนทีจ่ ะหาเสยี งในนาม ทีมท้ังหมด หรือที่เรียกว่า “ยิงลูกโดด” หรือผู้สมัครที่เป็นตัวเต็งของ พรรคหนงึ่ ฮวั้ กบั ผสู้ มคั รทเี่ ปน็ ตวั เตง็ ของอกี พรรคหนงึ่ เพอ่ื ชนะเลอื กตงั้ รว่ มกนั โดยสลดั ลกู ทมี ของตนออกไปดว้ ยการมหี มายเลขผสู้ มคั รตดิ กนั เชน่ ตัวเต็งของพรรค ก. เลอื กหมายเลข 3 แทนทจ่ี ะเป็นหมายเลข 1 ในฐานะหัวหน้าทมี แตเ่ นือ่ งจากต้องการใหห้ มายเลขตอ่ กับหมายเลข 4 ซ่ึงเป็นตวั เตง็ ของพรรค ข. จากนัน้ จงึ หาเสียงในลกั ษณะร่วมมอื กัน บางกรณีถึงขนาดออกโปสเตอร์ร่วมกัน โดยไม่ระบุชื่อพรรค ส่วนผู้ใช้ สิทธิเลือกต้ังรับอามิสสนิ จ้างในรปู แบบต่าง ๆ จากผสู้ มคั ร โดยเฉพาะ ในรปู ของตัวเงนิ เป็นตน้ นอกจากนั้น ยังมีแนวคิดอ่ืน ๆ ที่ใช้อธิบายพฤติกรรม เบ่ียงเบนในการเลือกตั้งว่ามาจากปัจจัยอะไรได้อีกบ้าง เช่น แนวคิด 16
ทบทวนวรรณกรรม แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ัยที่เกีย่ วข้อง เรื่องระบบความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ (Kinship Relations System) (ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ภาวิณี ไชยภาคและจินดา เล่งซ้าย, 2545: 444-445) ซ่ึงใช้อธิบายสังคมในประเทศด้อยพัฒนาและก�ำลังพัฒนา เปน็ สงั คมเกษตรกรรม ทปี่ ระชาชนสว่ นใหญป่ ระกอบอาชพี ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง กับการเกษตร ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวได้ไม่มากนัก มีผลท�ำให้วิธีคิดของคนส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นแบบสังคมชนบท มากกว่าสังคมเมอื งในประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก ระบบความสมั พนั ธเ์ ชงิ เครอื ญาติ ซง่ึ มรี ากฐานจากความสมั พนั ธ์ ในการผลติ ทางดา้ นเกษตรกรรมทตี่ อ้ งอาศยั แรงงานคนจำ� นวนมากเขา้ มาชว่ ยในการท�ำงาน เชน่ ประเพณีการลงแขก หรือการเอาแรงในชว่ ง ปักด�ำและเก็บเกี่ยว อีกทั้งในสังคมเกษตร ซึ่งต้องพ่ึงพาอาศัยดินฟ้า อากาศ ในแต่ละปี ซึ่งขาดความแน่นอนย่อมมีผลต่อผลผลิตในการ ด�ำรงชีพ อันส่งผลต่อความมั่นคงในชีวิตตามมา จึงจ�ำเป็นต้องพึ่งพา อาศัยเครือญาติในการให้ความช่วยเหลือเพ่ือความอยู่รอด นอกจาก หลักประกันในเรื่องของการบริโภคแล้ว ระบบเครือญาติยังท�ำหน้าท่ี ในด้านอ่ืน ๆ อีก เช่น การให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันใน ด้านของความมั่นคงปลอดภัย ด้วยการร่วมป้องกันหมู่บ้าน การดูแล เยย่ี มเยยี นใหค้ วามชว่ ยเหลอื ในยามเจบ็ ปว่ ย การดแู ลและเออื้ เฟอ้ื เผอ่ื แผ่แกเ่ ด็กและคนชรา เป็นตน้ อย่างไรก็ตาม ระบบความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ ถูกท้าทาย จากสภาพแวดลอ้ มดา้ นตา่ ง ๆ ทเี่ ปลย่ี นแปลงไปมากขน้ึ เรอื่ ย ๆ เปน็ การ เปลย่ี นแปลงทีเ่ ป็นผลมาจากการขยายตัวของสงั คมอุตสาหกรรม หรอื ความเป็นเมอื งท่นี �ำเอาวิถชี วี ิต ความรสู้ ึกนกึ คิดแบบสังคมเมอื งเขา้ มา เป็นผลทำ� ใหร้ ะบบความสัมพนั ธเ์ ชงิ เครือญาติเริม่ เปลย่ี นแปลง เช่น มี 17
นกั การเมืองถนิ่ จังหวัดยะลา ขนาดเลก็ ลงจากการนบั ญาติเฉพาะคนทใ่ี กล้ชิดกันมากเท่านั้น ในด้านการเมือง ระบบความสัมพันธ์เชิงเครือญาติมีผลต่อ พฤติกรรมทางการเมืองและการเลือกต้ังเป็นอย่างย่ิง ผู้สมัครที่มี เครือญาติเป็นจ�ำนวนมากมีความได้เปรียบทางการเมืองสูงมากกว่า ผู้สมัครท่ีมีญาติน้อยหรือไร้ญาติ ดังสุภาษิตท่ีกล่าวว่า “หัวเดียว กระเทียมลีบ” โอกาสท่ีจะชนะเลือกตั้งย่อมยากล�ำบากกว่าผู้สมัคร ที่มีเครือญาติมาก เพราะผ้ใู ช้สทิ ธิเลอื กต้งั ตดั สนิ ใจเลอื กจากปัจจัยของ ความเป็นญาติมากกว่าคุณสมบัติของตัวผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ทส่ี ังกดั ซ่งึ ถือวา่ ไม่สอดคล้องกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย นอกจากแนวคิดระบบความสัมพันธ์เชิงเครือญาติแล้ว ยังมี แนวคิดเรื่องระบบอุปถัมภ์ (Patron-Client System) หรอื ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งผอู้ ุปถมั ภแ์ ละผูร้ ับอปุ ถัมภ์ (Patron-Client Relations) ทีม่ ักถูก นำ� มาใชอ้ ธบิ ายพฤตกิ รรมทางการเมอื งและการเลอื กตง้ั ในประเทศดอ้ ย พัฒนาและก�ำลังพัฒนา โดยอธิบายด้วยการแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม และมี 2 สถานภาพแตกต่างกันระหว่างฝ่ายหน่ึงซึ่งมีสถานภาพทาง เศรษฐกิจสังคมสูงกว่าเป็น “เจ้านาย” หรือ “ลูกพ่ี” จะใช้อ�ำนาจและ ปจั จยั ตา่ ง ๆ ทมี่ อี ยใู่ นการใหค้ วามชว่ ยเหลอื คมุ้ ครองในดา้ นตา่ ง ๆ ให้ กบั อกี ฝา่ ยหนงึ่ ซงึ่ มสี ถานภาพทางเศรษฐกจิ สงั คมตำ�่ กวา่ เปน็ “ลกู นอ้ ง” ซึ่งจะตอบแทนด้วยการช่วยเหลือในเร่ืองท่ัว ๆ ไป และอุทิศตัวรับใช้ เจ้านายหรอื ลูกพผี่ ู้ใหก้ ารอุปถมั ภ์ ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ฝ่ายจึงเป็นความสัมพันธ์ท่ีมีลักษณะ เปน็ การแลกเปลย่ี นทไี่ มเ่ ทา่ เทยี มกนั เจา้ นายหรอื ลกู พผี่ ใู้ หก้ ารอปุ ถมั ภ์ ให้ผลประโยชน์ในรูปต่าง ๆ แก่ลูกน้องผู้รับการอุปถัมภ์ในลักษณะ “ประทานมาด้วยความกรุณา” ในขณะที่ลูกน้องผู้รับการอุปถัมภ์ต้อง 18
ทบทวนวรรณกรรม แนวคิดทฤษฎแี ละงานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ ง ใหผ้ ลตอบแทนเปน็ การแลกเปลย่ี นในรปู ของความภกั ดี การสนบั สนนุ ทางการเมอื ง และการบริการในรูปแบบต่าง ๆ แกเ่ จ้านายหรอื ลูกพี่ ซง่ึ มีลักษณะเป็นการตอบแทนบุญคุณ ระบบอุปถัมภ์จึงส่งผลกระทบต่อ พฤตกิ รรมทางการเมอื งและการเลอื กตง้ั เชน่ การจดั ตง้ั ระบบหวั คะแนน ซงึ่ มกั จะเปน็ ผนู้ ำ� ในชมุ ชนซง่ึ มสี ถานภาพทางเศรษฐกจิ สงั คมสงู กวา่ คน อ่ืน ๆ ในชุมชน ย่อมมีผลท�ำให้เกิดพฤติกรรมท่ีเบ่ียงเบนในการ เลอื กตัง้ (ศรสี มภพ จิตรภ์ ิรมย์ศรี ภาวิณี ไชยภาคและจนิ ดา เล่งซ้าย, 2545: 445-446; สริ พิ รรณ นกสวนและเอก ตง้ั ทรพั ยว์ ฒั นา, 2546: 227) งานวจิ ัยหลายช้ินท่ศี ึกษาเก่ียวกบั พฤติกรรมการเลือกต้งั การมี สว่ นรว่ มทางการเมอื งและกระบวนการเลอื กตง้ั สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ปญั หา ของการเลือกตั้งไทยที่สัมพันธ์กับแนวคิดระบบความสัมพันธ์เชิง เครือญาติและแนวคดิ ระบบอปุ ถัมภ์ อาทิเช่น “การเลอื กตงั้ ปตั ตานี ปี 2529 : ศกึ ษากรณกี ระบวนการหาเสยี ง เลอื กตง้ั และระบบหวั คะแนน” โดยพชิ ยั เกา้ สำ� ราญ สมเจตน์ นาคเสวี และวรวิทย์ บารู (2531) พบว่า คุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครเป็น ปัจจยั หลกั ในการตัดสนิ ใจเลอื กของผู้ใชส้ ิทธิเลอื กต้ัง ขณะท่ีปจั จัยเร่ือง พรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นนโยบาย หรือความมีชื่อเสียงของพรรค มผี ลตอ่ ความสนใจของผใู้ ชส้ ทิ ธเิ ลอื กตงั้ นอ้ ย ทงั้ น้ี คณุ สมบตั สิ ว่ นตวั ของ ผู้สมัครยังมีลักษณะช้ีให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ระหว่างตัว ผสู้ มคั รกบั ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั เชน่ ชาตติ ระกลู ของผสู้ มคั ร ฐานะ ทางเศรษฐกจิ สงั คม ความสามารถในการสรา้ งความสมั พนั ธส์ ว่ นตวั กบั ประชาชนและชนชน้ั นำ� ในชมุ ชน ซง่ึ ตอ่ มากลายเปน็ หวั คะแนนทส่ี ำ� คญั ความสัมพันธ์ของผู้สมคั รกบั ระบบราชการและข้าราชการ “ระบบการทจุ รติ เลอื กตงั้ ” โดย พชิ าย รตั นดลิ ก ณ ภเู กต็ (2537) 19
นกั การเมืองถ่ินจงั หวดั ยะลา ดำ� เนนิ การศกึ ษาเพอื่ คน้ หาสาเหตวุ า่ เหตใุ ดการเลอื กตง้ั ในประเทศไทย จึงมีปัญหาการทุจริต ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น พิชายพบว่า ปัญหา การซ้ือ-ขายเสียง เป็นเพียงส่วนหน่ึงของระบบการทุจริตเลือกต้ัง เทา่ นนั้ หากจะทำ� ความเขา้ ใจการทจุ รติ เลอื กตงั้ จำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ ง พจิ ารณาอย่างรอบดา้ น โดยเสนอว่าระบบการทุจริตเลอื กตัง้ ประกอบ ดว้ ย การทจุ รติ การหาเสยี ง การทจุ รติ การซอ้ื -ขายเสยี ง และการทจุ รติ ลง คะแนน ทั้งน้ีระบบการทจุ ริตเลอื กตั้งท้ัง 3 องค์ประกอบ จ�ำเปน็ ตอ้ ง พจิ ารณาผา่ นมติ ติ า่ ง ๆ 4 มติ คิ อื มติ ดิ า้ นผสู้ มคั ร เชน่ ลงสมคั รเพอ่ื อะไร มีประวัติความเปน็ มาอย่างไร มติ ิด้านประชาชน เชน่ โครงสรา้ งชมุ ชน เป็นอย่างไร ผู้นำ� ในชุมชนและชาวบา้ นมีลกั ษณะอยา่ งไร มติ ดิ า้ นการ รณรงค์หาเสียงของผู้สมัครแต่ละคนเป็นอย่างไร และมิติด้านแนวทาง ทุจริต วา่ มลี ักษณะอยา่ งไร 2. แนวคิดวา่ ดว้ ยความสมั พนั ธ์ระหว่างบรบิ ทเชงิ โครงสร้าง (Structure) กบั ผกู้ ระทำ� (Actor) แนวคิดน้ีเสนอว่า การพิจารณาบริบทเชิงโครงสร้างก็คือ การ ศึกษาแบบฉบับของความสัมพันธ์ทางสังคม (Patterns of Social Relations) หรือรูปแบบของการกระท�ำต่อกันในทางสังคม (Social Interactions) ซึ่งด�ำรงอยู่อย่างต่อเน่ืองยาวนานและสามารถสืบทอด รปู แบบความสมั พนั ธต์ อ่ ไปไดเ้ รอื่ ย ๆ แตก่ ส็ ามารถเกดิ การเปลย่ี นแปลง ได้เช่นเดียวกัน (อนุสรณ์ ลิ่มมณี, 2539: 18) ในแง่น้ีโครงสร้างจึงท�ำ หน้าท่ีในการก�ำหนดขอบเขตความเป็นไปได้ในการกระท�ำต่อผู้กระท�ำ (Actor) หรอื กำ� หนดพฤตกิ รรมของคนในสังคมวา่ สง่ิ ใดกระท�ำได้ สิ่งใด 20
ทบทวนวรรณกรรม แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยทเี่ ก่ียวขอ้ ง ไมส่ ามารถกระทำ� ได้ หรอื กระทำ� แลว้ ยากทจ่ี ะบรรลผุ ลสำ� เรจ็ โครงสรา้ ง จงึ เป็นไดท้ งั้ กรอบจ�ำกดั (Constraint) และโอกาส (Opportunity) ในการ กระท�ำหรือแสดงพฤตกิ รรมของคนในสงั คม (Hay, 1995: 200) นักการเมืองก็เช่นเดียวกัน การก่อตัวทางการเมืองและ พฤติกรรมทางการเมืองที่แสดงออกมานั้นมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกับ บรบิ ทเชงิ โครงสรา้ งทางการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คมในพนื้ ทท่ี พี่ วกเขา ดำ� รงอยู่ เชน่ สงั คมนน้ั มคี า่ นยิ มทางการเมอื งอยา่ งไร ใหค้ ณุ คา่ แกบ่ คุ คล ประเภทใด หรือบุคคลที่มีสถานภาพทางสังคมอย่างไร เศรษฐกิจใน พื้นท่ีเปน็ อยา่ งไร ส่งผลต่อชวี ิตความเปน็ อยู่ของผู้คนมากน้อยเพียงใด บรบิ ทเชงิ โครงสรา้ งเหลา่ นเี้ ปน็ เงอ่ื นไขสำ� คญั ทก่ี ำ� หนดวา่ บคุ คล ใดจะสามารถถบี ตวั เองขน้ึ มาเปน็ นกั การเมอื งไดห้ รอื ไม่ ในขณะเดยี วกนั กเ็ ปน็ ตวั กำ� หนดพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ทางการเมอื ง เชน่ กลยทุ ธห์ รอื วธิ กี าร หาเสยี ง การแสดงบทบาททางการเมอื ง เป็นต้น กรอบในการวเิ คราะห์ จากแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วขอ้ งที่ไดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ ผู้วิจัยได้สร้างกรอบในการวิเคราะห์ “การเมืองถ่ินและนักการเมืองถ่ิน จังหวดั ยะลา” ดงั นี้ “การเมืองถ่ินและนักการเมืองถ่ินจังหวัดยะลาเป็นผลมาจาก การมีปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างกันกับบริบทเชิงโครงสร้างทาง การเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของจังหวัดยะลาและบริบท เชิงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในระดับ ชาตใิ นแตล่ ะชว่ งเวลา ซง่ึ เปน็ กรอบหรอื เงอ่ื นไขในการกำ� หนดพฤตกิ รรม ทางการเมือง เช่น รูปแบบการลงคะแนนเสียงเลือกต้ังของประชาชน 21
นกั การเมอื งถนิ่ จังหวดั ยะลา รูปแบบการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัคร กลุ่มผลประโยชน์ที่สนับสนุน ตัวผู้สมัคร ทั้งหมดน้ีมีผลต่อการก้าวขึ้นสู่การเป็นนักการเมืองถ่ินของ จงั หวัดยะลา” ทัง้ น้ี สามารถสรปุ ออกมาตามแผนภาพท่ี 2.1 แผนภาพท่ี 2.1 ปฏิสมั พันธท์ างการเมือง บริบทเชิงโครงสร้างทางการเมอื ง เศรษฐกจิ สังคมและวฒั นธรรมในระดบั ชาติ บรบิ ทเชงิ โครงสร้าง การเมืองถ่ิน ทางการเมือง เศรษฐกจิ และนักการเมืองถิ่น สังคมและวัฒนธรรม จงั หวดั ยะลา จงั หวดั ยะลา สง่ ผลโดยตรง สง่ ผลโดยอ้อม 22
บ3ทท่ีขอ้ มูลพนื้ ฐานของจังหวัดยะลา ขอ้ มูลพนื้ ฐาน ของจังหวัดยะลา พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ เมืองยะลาในอดีตเป็นส่วนหน่ึงของปัตตานี (รุ่ง แก้วแดง, 2548: 40) ปัตตานีหรือปาตานีเป็นอาณาจักรอิสระในคาบสมุทรมลายู ท่ีมีวัฒนธรรมและการปกครองของตัวเองมานานหลายศตวรรษ แต่ เม่ือมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หลังจาก พระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์ของราชวงศ์จักรีแห่ง อาณาจักรกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ในปีพ.ศ.2359 ได้โปรดให้พระยา กลาโหมราชเสนา พระยาเสนห่ าภธู ร (ทองอนิ ) พระพัทลงุ (ทองขาว) และหลวงสุวรรณคีรี (บุญหุ้ย) ยกทัพมาตีเมืองปัตตานี เม่ือตีได้เมือง ปัตตานีแล้ว พระองค์จึงโปรดให้ พระพลเทพ พระวิเศษโกษา และ หลวงฤทธ์ิ จดั การแยกเมอื งปตั ตานอี อกเปน็ 7 หวั เมอื งคอื เมอื งปตั ตานี เมืองหนองจิก เมืองยะหร่ิง เมืองสายบุรี เมืองยะลา เมืองรามันห์ และเมืองระแงะ (พลาดิสัย สิทธิธัญกิจ, 2547: 59) โดยใหแ้ ต่ละเมอื ง 23
นกั การเมอื งถิ่นจังหวัดยะลา มีฐานะเป็นเมืองระดับสามซึ่งต้องข้ึนกับเมืองสงขลา เจ้าเมืองแต่ละ เมืองเหล่าน้ี ตอ้ งได้รับการแต่งตัง้ โดยตรงจากรัฐบาลสยามทีก่ รงุ เทพฯ (รัตตยิ า สาและ, 2547: 250) จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในจังหวัดยะลา เป็นท่ีตั้งเมือง ใหญ่ในอาณาจักรปาตานีมาแต่โบราณ ในคร้ังน้ัน ต่วนมาโซร์ ได้รับ การแตง่ ตงั้ ให้เป็นเจา้ เมอื งรามนั ห์ ตว่ นยาลอเป็นเจา้ เมอื งยาลอ (หรือ ยะลาในภาษาปจั จบุ นั ) อยทู่ บี่ า้ นยาลอ โดยการกราบบงั คมทลู เสนอของ พระยาสงขลา (อารฟี นิ บนิ จิและคณะ, 2550: 166) ในสมยั พระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 ซึ่งอาณาจักรไทยเร่ิม ปรับตัว เพ่ือเปล่ียนแปลงประเทศจากรัฐราชวงศ์ มาเป็นรัฐประเทศ หรือรัฐชาติ (Nation-State) ที่มีเขตแดนอย่างชัดเจนข้ึนเป็นคร้ังแรก ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีแนวคิดว่าด้วยความเป็นชาติไทยครั้งแรกด้วย (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ.บรรณาธิการ, 2551: 29) จึงมีการปฏิรูปการ ปกครองประเทศอย่างขนานใหญ่แบบ “พลิกแผ่นดิน” การปฏิรูป ดังกล่าวน้ี ก่อให้เกิดการต่อต้านจากหัวเมืองต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ในชว่ งปี พ.ศ. 2444- 2445 หรือทเ่ี รียกว่า “ขบถ รศ.121” ในหวั เมือง ภาคอีสานเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “ขบถผู้มีบุญภาคอีสาน” ในหัวเมือง ภาคใต้เรียกว่า “พระยาแขกเจ็ดหัวเมืองคบคิดขบถ” (เตช บุญนาค, 2551: 65) การเปลย่ี นแปลงในลักษณะการรวบอำ�นาจเข้าสู่สว่ นกลาง อย่างเบ็ดเสร็จในครงั้ น้นั ทำ�ให้ 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใตม้ ปี ญั หาตอ่ เน่อื งสืบมาจนถึงปจั จบุ ัน ในปี พ.ศ. 2451 ช่วงปฏิรูปการปกครองสมัยน้ัน มีเหตุการณ์ หนึ่งท่ียังเป็นที่บอกเล่ากันในบางหมู่ของประชาชนในจังหวัดยะลาคือ เหตุการณ์ที่พระยาสุขุม ผู้สำ�เร็จราชการมณฑลนครศรีธรรมราชได้ 24
ขอ้ มลู พ้นื ฐานของจงั หวัดยะลา รบั คำ�สั่งให้ไปจบั กมุ ต่วนลอื เบะห์ลงรายา เจ้าเมืองรามนั ห์ ด้วยข้อหา ฆ่าคนตาย แล้วนำ�ไปควบคุมที่สงขลา แม้จะมีประชาชนประท้วงและ คัดค้าน ต่อมาถกู ควบคุมตวั ลงเรอื ทม่ี ีชือ่ ว่า “จำ�เริญ” เพอ่ื นำ�ไปคุมขงั ท่ีกรุงเทพฯ แต่ระหว่างเดินทางได้สูญหายไปโดยไม่ทราบชะตากรรม สาเหตุของการถูกจับกุม ชาวเมืองเช่ือกันว่า เน่ืองมาจากการคัดค้าน ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินใหม่ที่จะยกเลิกตำ�แหน่งเจ้าเมืองมลายู (อาริฟีน บินจแิ ละคณะ, 2550) อย่างไรก็ตาม เจ้าเมืองยาลอ (ยะลา-ผู้วิจัย) ในความทรงจำ� ของชาวเมืองยะลาถูกเล่าลือต่อๆ กันมาว่า อยู่ในตำ�แหน่งอย่างไม่มี อำ�นาจ ไม่มีบทบาทและไม่มีศักด์ิศรี ที่จะถือว่าเป็นผู้ปกครอง และ เป็นท่ีพ่ึงของประชาชน ในสถานะเจ้าเมืองที่เป็นรายอหรือราชา และ ส้ินสุดยคุ ที่เปน็ เจา้ เมืองเสมอื นสามญั ชนธรรมดาเทา่ นน้ั หลังจากท่ีได้ใช้นโยบายเน้นการรวมศูนย์เข้ามาที่ส่วนกลาง มากย่ิงขึ้น ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เพราะการเปลี่ยนแปลง ส่วนใหญก่ ระทบกระเทือนตอ่ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีและวัฒนธรรมของท้องถิ่นซึ่งเป็นเร่ืองจิตใจ ในท่ีสุดจึงเกิด ปฏิกิริยาต่อต้าน ทำ�ให้ปี พ.ศ. 2466 รัฐไทยได้นำ�นโยบายผ่อนปรน มาใชก้ บั พนื้ ทีส่ ว่ นน้ีโดยเฉพาะ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้า อยหู่ วั รัชกาลที่ 6 ได้ทรงวางหลกั รฐั ประศาสโนบาย ตามราชหัตถเลขา เลขท่ี 3/78 ลงวันท่ี 6 กรกฎาคม โดยมีสาระและข้อท่ีต้องปฏิบัติ คอื ขอ้ หนงึ่ ระเบยี บหรอื ปฏบิ ตั อิ ยา่ งใดเปน็ ทางใหพ้ ลเมอื งรสู้ กึ เหน็ ไปวา่ เปน็ การเบยี ดเบียน กดข่ีศาสนาอสิ ลาม ต้องยกเลิกหรือแกไ้ ขเสีย ทนั ที การใดจะจดั ขน้ึ ใหมต่ อ้ งอยา่ ใหข้ ดั กบั ลทั ธนิ ยิ มของศาสนาอสิ ลาม 25
นักการเมืองถนิ่ จงั หวดั ยะลา หรอื ย่ิงทำ�ใหเ้ หน็ เป็นการอุดหนนุ ศาสดามฮู ัมมดั ไดย้ ิง่ ดี ขอ้ สอง การกะเกณฑอ์ ยา่ งใดๆ กด็ ี การเกบ็ ภาษอี ากรหรอื อยา่ ง ใดๆ กด็ ี เมอ่ื พจิ าณาโดยสว่ นรวมเทยี บกนั ตอ้ งอยา่ ใหย้ ง่ิ กวา่ ทพี่ ลเมอื ง ในแว่นแคว้นของต่างประเทศ ซง่ึ อยู่ใกลเ้ คยี งติดตอ่ กันน้ัน ตอ้ งเกณฑ์ ต้องเสียอยู่เป็นธรรมดา เม่ือพิจารณาเทียบกันแต่เฉพาะอย่าง ต้อง อย่าให้ย่ิงหย่อนกวา่ กัน จนถึงเหตุเสียหายในการปกครองได้ ขอ้ สาม การกดข่ีบีบคนั้ แต่เจ้าพนักงานของรฐั บาล เนือ่ งแต่การ หมน่ิ ดแู คลนพลเมอื งชาตแิ ขกโดยฐานะเปน็ คนตา่ งชาตกิ ด็ ี เนอ่ื งแตก่ าร หน่วงเหนี่ยวชักช้าในกิจการตามหน้าท่ี เป็นเหตุให้ราษฎรเสียความ สะดวกในทางหาเลยี้ งชพี กด็ ี พงึ ตอ้ งแกไ้ ขระมดั ระวงั มใิ หม้ ขี น้ึ เมอ่ื เกดิ ข้ึนแล้วต้องให้ผู้ทำ�ผิดรองรับผลความผิดโดยยุติธรรม ไม่ใช่สักแต่ว่า จดั การกลบเกลอื่ นใหเ้ งยี บไปเสยี เพอื่ จะไวห้ นา้ สงวนศกั ดข์ิ องขา้ ราชการ ข้อสี่ กิจการใดท้ังหมดอันเจ้าพนักงานต้องบังคับแก่ราษฎร ตอ้ งระวงั อยา่ ใหร้ าษฎรตอ้ งขดั ขอ้ งเสยี เวลา เสยี การในทางหาเลยี้ งชพี ของเขาเกนิ สมควร แมจ้ ะเปน็ การจำ�เปน็ โดยระเบยี บการกด็ ี เจา้ หนา้ ที่ พึงสอดส่องแกไ้ ขอยูเ่ สมอเท่าท่สี ดุ จะทำ�ได้ ขอ้ ห้า ข้าราชการท่ีจะแต่งต้ังออกไปประจำ�ตำ�แหน่งในมณฑล ปัตตานี พึงเลอื กเฟ้นแตค่ นมีนิสยั ซือ่ สัตย์ สจุ ริต สงบเสงย่ี มเยือกเยน็ ไม่ใช่สักแต่ว่าส่งไปบรรจุให้ตำ�แหน่งหรือส่งไปเป็นการลงโทษเพราะ เลว เมื่อจะส่งไปต้องส่ังสอนชี้แจงให้รู้ลักษณะทางการอันพึงประสงค์ ระมดั ระวงั โดยหลกั ทไี่ ดก้ ลา่ วในขอ้ หนงึ่ และขอ้ สข่ี า้ งบนนน้ั แลว้ ผใู้ หญ่ ในทอ้ งทพี่ งึ สอดสอ่ งฝกึ ฝนอบรมกนั ตอ่ ๆ ไปในคณุ ธรรมเหลา่ นน้ั ไมใ่ ช่ คอยใหพ้ ลาดพล้งั ลงไปก่อนแลว้ จึงวา่ กลา่ วลงโทษ ขอ้ หก เจา้ กระทรวงทง้ั หลายจะจดั การวางระเบยี บการอยา่ งใด 26
ขอ้ มลู พ้นื ฐานของจังหวัดยะลา ขนึ้ ใหมห่ รอื บงั คบั การอยา่ งใดในมณฑลปตั ตานี อนั จะเปน็ ทางพากพาน ถงึ สขุ ทกุ ขร์ าษฎรกค็ วรพจิ ารณาเหตผุ ลแกไ้ ขหรอื ยบั ยง้ั ถา้ ไมเ่ หน็ ดว้ ยวา่ มขี อ้ มลู ขดั ขอ้ งกค็ วรหารอื กระทรวงมหาดไทย ยงั ไมต่ กลงกนั ไดร้ ะหวา่ ง กระทรวง ก็พึงนำ�ความกราบบังคลทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทขอ พระราชทานพระบรมราชวนิ จิ ฉัย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ 7 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหา กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ในวัน ที่ 24 มิถุนายน 2475 โดยการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของ คณะราษฎร ด้วยเหตุนี้ การเมืองสมัยใหม่ของจังหวัดยะลาจะเริ่มนับ ตั้งแต่ช่วงน้ีเป็นต้นไปเช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ท่ัวประเทศ นอกจาก นัน้ ในปีถัดไปคอื พ.ศ. 2476 รฐั บาลในระบอบใหม่ไดป้ ระกาศพระราช บัญญัติยกเลิกการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล มีผลทำ�ให้มณฑล ปตั ตานตี อ้ งถกู ยบุ แลว้ แบง่ มณฑลปตั ตานอี อกเปน็ 3 จงั หวดั อยา่ งทเ่ี ปน็ อยใู่ นปจั จบุ นั คอื ปตั ตานี ยะลา และนราธิวาส โดยใหแ้ ต่ละจงั หวดั อยู่ ภายใต้การดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดตามรูปแบบการบริหารราชการ สว่ นภูมิภาค (ปยิ นาถ บุนนาค: 2546: 31) การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดย คณะราษฎร มหี ลักการท่ีสำ�คัญๆ คอื (ชาญวิทย์ เกษตรศริ ,ิ 2543: 42) 1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชท้ังหลาย เช่น เอกราชใน ทางการเมอื ง ศาล เศรษฐกจิ ฯลฯ ของประเทศให้มน่ั คง 2. จะตอ้ งรกั ษาความสงบ ปลอดภยั ในประเทศใหก้ ารประทษุ รา้ ย ต่อกนั ใหน้ ้อยลง 27
นกั การเมืองถิน่ จังหวัดยะลา 3.จะตอ้ งทำ�นบุ ำ�รงุ ความสขุ สมบรู ณข์ องราษฎรในทางเศรษฐกจิ โดยรฐั บาลจะหางานใหร้ าษฎรทกุ คนมงี านทำ� จะวางโครงการเศรษฐกจิ แหง่ ชาติเพ่ือไมใ่ หร้ าษฎรอดยาก 4.จะต้องให้ราษฎรทุกคนมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามี สทิ ธย์ิ ่งิ กวา่ ราษฎรเชน่ ที่เปน็ อยู่ในปจั จุบัน) 5.จะตอ้ งใหร้ าษฎรมีเสรภี าพ มีความเป็นอิสระ เมอื่ เสรีภาพไม่ ขัดต่อหลกั ๔ ประการดงั กลา่ วข้างต้น 6. จะต้องใหก้ ารศกึ ษาใหเ้ ต็มท่แี กร่ าษฎร คณะราษฎร ผู้นำ�ในการเปลี่ยนแปลงในคร้ังนั้น ได้จัดให้มีการ เลอื กตง้ั เปน็ ครงั้ แรกในปี 2476 ชาวจงั หวดั ยะลากม็ สี ทิ ธใิ นการเลอื กตง้ั เช่นเดียวกับคนไทยท้ังหลาย ทำ�ให้มีการคาดหวังว่าจะได้รับความ เทา่ เทยี มกนั ในฐานะท่เี ปน็ พลเมอื งของประเทศไทย “การเมืองถนิ่ ” และ “นักการเมืองถิ่นจังหวดั ยะลา” ในระบอบ ใหมท่ ่ีมเี วทีการเลือกต้งั เป็นทีแ่ สดงออกถึงอำ�นาจของประชาชนจึงเรมิ่ ขึน้ สภาพภูมศิ าสตร์และโครงสรา้ งประชากร จังหวัดยะลามีพื้นที่รวม 4,521,078 ตารางกิโลเมตร โดยมีท่ี ตั้งห่างจากกรุงเทพฯตามทางหลวงแผ่นดิน 1,084 กิโลเมตร มีพรม แดนติดต่อกับรัฐเคดาห์และรัฐเปรัค ของประเทศมาเลเซียทางด้าน ทิศตะวันตกและทิศใต้ จังหวัดยะลาเป็นจังหวัดที่ไม่มีพรมแดนติด ทะเล แต่เป็นทางผ่านของแม่นำ้ �สายสำ�คัญท่ีมีต้นนำ้ �จากรัฐเปรัคของ ประเทศมาเลเซียที่ไหลรวมกันกับแม่นำ้ �ปัตตานี และไหลลงสู่ปากอ่าว 28
ขอ้ มูลพน้ื ฐานของจงั หวดั ยะลา ปตั ตานี ซึ่งเมือ่ ผ่านจงั หวัดยะลาจะเรียกวา่ แม่นำ้ �ทา่ สาป มภี มู ปิ ระเทศ โดยท่ัวไปเป็นภูเขาเป็นส่วนใหญ่ โดยมีที่ราบลุ่มอยู่ประปราย ทำ�ให้ ประชาชนมีอาชพี ทำ�สวนท้ังสวนผลไมแ้ ละสวนยางพาราเปน็ หลัก โดย มกี ารทำ�นาขา้ วเพยี งเลก็ นอ้ ย ในสว่ นทเี่ ปน็ ภเู ขายงั มแี หลง่ แรท่ ส่ี ำ�คญั ๆ เปน็ จำ�นวนมาก จังหวัดยะลาในปัจจุบัน แบ่งการปกครองออกเป็น 8 อำ�เภอ 58 ตำ�บล 372 หม่บู ้าน 8 เทศบาล โดยมปี ระชากรท้งั หมด 470,690 คน แบ่งเปน็ ชาย 234,166 คน หญิง 236,525 คน มผี นู้ ับถือศาสนา อิสลาม 70.1 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาพุทธ 29.6 เปอร์เซ็นต์ และ อน่ื ๆ 0.3เปอรเ์ ซ็นต์ มีมัสยดิ 446 แห่ง มวี ดั 43 แห่ง ( กองทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย: 2549) เทียบกบั จงั หวดั ปัตตานี มผี ้นู บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม 81.26 เปอรเ์ ซ็นต์ นบั ถือศาสนาพทุ ธ 17.83 เปอร์เซน็ ต์ ศาสนาอืน่ ๆ 1 เปอรเ์ ซ็นต์ และจังหวดั นราธวิ าสมผี นู้ ับถอื ศาสนาอสิ ลามสงู ถงึ 82 เปอรเ์ ซน็ ต์ ศาสนาพทุ ธ 17.9 เปอรเ์ ซน็ ต์ ศาสนา อืน่ ๆ 0.1 เปอรเ์ ซ็นต์ จากโครงสร้างประชากรท่ีเป็นอยู่ นอกจากประชาชนที่เป็น เจ้าของพื้นที่ด้ังเดิมตั้งแต่อดีตท่ีไม่ได้อพยพหรือเคล่ือนย้ายมาจาก ไหน แต่เปน็ คนไทยทอ่ี ยูท่ นี่ ่ีมาไม่นอ้ ยกว่า 3,000 ปโี ดยในยคุ โบราณ มีการนับถือผี ศาสนาฮินดู ต่อมานับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน และท้ายท่ีสุดก็นับถือศาสนาพุทธนิกายหินยาน (รุ่ง แก้วแดง, 2548: 39) ต่อมาประชาชนส่วนใหญ่ในบริเวณน้ีได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนา อิสลามประมาณปี พ.ศ. 2045 เป็นต้นมา หลังจากท่ีราชาอินทิรา ผู้ปกครองเมืองปัตตานีได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม (ครองชัย หัตถา, 2541: 136) ประชาชนกลุม่ น้ไี ม่ว่าจะนับถือศาสนาอิสลามหรือ 29
นักการเมืองถิ่นจังหวัดยะลา พุทธเป็นคนด้ังเดิมของพื้นที่ แต่อีกส่วนหน่ึงเป็นประชาชนที่เคล่ือน ย้ายมาจากพืน้ ท่ีอ่ืน ซึ่งเร่มิ เกดิ ขึ้นต้ังแต่สมัยพ.ศ. 2351 หลังจากแยก ปัตตานีเป็นเจ็ดหัวเมือง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลก ในสมัยนี้ฝ่ายสยามได้เร่ิมย้ายชาวไทยพุทธ เข้าไปอยู่ในเจ็ด หัวเมืองเหล่านี้ เพื่อสร้างความสมดุลแห่งอำ�นาจ และป้องกันการ คุกคามของชาวพ้ืนเมืองซึ่งไม่พอใจรัฐบาล ความขัดแย้งระหว่าง ประชาชนเจ็ดหัวเมืองกับรัฐบาลสยามเกิดข้ึนบ่อย (รัตติยา สาและ, 2547: 250) ในสมยั รชั กาลที่ 5 มกี ารอพยพคนจนี จากหวั เมอื งระนอง เปน็ จำ�นวนมากเพอื่ มาทำ�เหมืองดีบุกถึง 5 แห่งในเขตแดนอำ�นาจของ เจา้ เมืองรามนั ห์ มาในสมัยจอมพลป. พบิ ูลสงคราม ในปี พ.ศ. 2482 ซึ่งเปน็ ปที ท่ี างการเรมิ่ เรยี กประชาชนในละแวกนว้ี ่ามุสลมิ ใน 3 จงั หวัด ชายแดนภาคใต้ ไดม้ กี ารโยกยา้ ยคนไทยจากสว่ นอน่ื ของประเทศมายงั พน้ื ทนี่ ้ี และตอ่ มารฐั บาลไดเ้ รง่ รดั ใหป้ ระชาชนมวี ฒั นธรรม และศลี ธรรม ดว้ ยการสง่ เสรมิ พทุ ธศาสนา มพี .ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ใหป้ ระชาชน มานบั ถอื ศาสนาพทุ ธ จอมพลป. ถึงกบั กล่าวว่า “เมอื งไทยเปน็ ของคน ไทย” มคิ วรให้ศาสนาอ่นื อยู่ (รายงานการประชุมครม.ครัง้ ท่ี 24/2484 ในสิริรตั น์ เรอื งวงษว์ าร 2521: 74) การโยกย้ายประชาชนโดยการสนับสนุนของรัฐมีอยู่อย่าง ต่อเนื่องในสมัยต่อมาคือ ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีนโยบายดุล ประชากรจึงมีการสร้างนิคมสร้างตนเองในจังหวัดยะลาหลายแห่งใน เขตอำ�เภอธารโต อำ�เภอบันนังสตา นอกจากน้ัน ยังมีการย้ายถ่ินอีก ประเภทหนึง่ ทีเ่ ป็นการย้ายทีป่ ระชาชนทั่วไปไมร่ ูส้ ึกในทางลบ คอื การ ย้ายเพราะมาทำ�หน้าที่ในหน่วยราชการซึ่งมีหน่วยงานมากมายใน จังหวดั ยะลา การเคล่ือนยา้ ยประชากรท่ีมมี าในอดตี ตัง้ แต่สมยั รัชกาล 30
ข้อมูลพืน้ ฐานของจังหวัดยะลา ที่ 1 จวบจนถงึ ปจั จุบัน ทำ�ให้มพี ืน้ ทีท่ ี่มีประชากรทีไ่ ม่ใชม่ ุสลมิ เปน็ ชน ส่วนใหญเ่ ป็นพนื้ ทห่ี ลักอยู่ในจังหวัดยะลาหลายแหง่ เชน่ อำ�เภอเบตง อำ�เภอธารโต อำ�เภอบันนังสตา และอำ�เภอเมอื ง เขตทมี่ ปี ระชากรทไี่ มใ่ ชม่ สุ ลมิ เปน็ เขตพนื้ ทท่ี น่ี กั การเมอื งมสุ ลมิ ทไ่ี มไ่ ดล้ งสมคั รในนามพรรคประชาธปิ ตั ย์ มคี วามรสู้ กึ วา่ เปน็ เขตทต่ี วั เอง ไดค้ ะแนนนอ้ ยหรอื ไมไ่ ดค้ ะแนนเลย ซง่ึ เปน็ ประสบการณท์ นี่ กั การเมอื ง ทกุ คนทราบเปน็ การดี อดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 4 สมยั ของจงั หวดั ยะลาอย่างนายไพศาล ยิ่งสมาน ผู้ซ่ึงไม่เคยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนักธุรกิจที่มีกิจการหลายอย่างในจังหวัด เคยพูดในวงสนทนาครั้ง หนง่ึ หลงั การเลือกต้งั ในปี พ.ศ. 2535 ว่า “กนิ กาแฟดว้ ยกนั ทุกเช้า เป็นกรรมการหอการคา้ ยะลาด้วยกัน ทำ�งานส่วนรวมดว้ ยกนั แต่พวกนี้ไมเ่ ลือกผมเลย” พฤติกรรมการใช้สิทธิเลือกต้ังและการตัดสินใจเลือกตั้งของ ผไู้ มใ่ ชม่ สุ ลมิ ในจงั หวดั ยะลา บวกกบั โครงสรา้ งของประชากรทแ่ี ตกตา่ ง จากอกี 2 จังหวดั ทำ�ให้จงั หวดั ยะลาเปน็ เพยี งจงั หวดั เดยี วใน 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ที่ยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ใช่มุสลิมมาอย่าง ต่อเน่อื งหลายสมยั จวบจนกระทงั่ ถึงปัจจุบัน ตามที่ได้กล่าวมาในเบื้องต้น เราจะเห็นได้ว่าประชาชนส่วน ใหญ่ของจงั หวัดยะลา ถอื ได้ว่าเป็นทายาทผสู้ ืบทอด ความหลากหลาย ทางด้านวัฒนธรรม ชาตพิ นั ธ์ ภาษา และศาสนา ท่ีถูกหลอมรวมเปน็ ตะกอนผลึกสะสม อันเป็นผลผลิตที่ได้รับจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ผคู้ นในพื้นทแี่ ละนอกพ้นื ท่ีมาอยา่ งยาวนาน (รัตตยิ า ,2551: 355) แต่ 31
นกั การเมืองถน่ิ จังหวัดยะลา หากจะพจิ ารณาจากสภาพทปี่ รากฏทางกายภาพทมี่ องเหน็ ดว้ ยสายตา ท่ัวๆ ไป อาจจะกล่าวไดว้ า่ ในบรรดาจงั หวัดใน 3 จงั หวดั ชายแดนภาค ใต้ อันมี ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เราจะเห็นได้ว่า จงั หวัดยะลา มีลักษณะทางวัฒนธรรมท่ีแตกต่างจากจังหวัดเพ่ือนบ้าน แม้จะถูก หล่อหลอม ด้วยลักษณะทางวัฒนธรรมของชาติพันธ์มลายู ไทย จีน อาหรับ อินเดีย และรวมท้ังลักษณะทางวัฒนธรรมอันเน่ืองมาจาก ศาสนาฮนิ ดู พราหมณม์ ากอ่ น แลว้ มาเปน็ พทุ ธ และอสิ ลามในภายหลงั ซึ่งส่งผลให้มีการปฏิสัมพันธ์ในหมู่ประชาชน ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในลักษณะเดยี วกันกับจังหวดั เพอื่ นบา้ นอีก 2 จังหวัด แต่จงั หวดั ยะลา จะมีลักษณะวัฒนธรรมโดยรวมแตกต่างอยู่บ้าง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ มีประชากรจากท่ีอื่นอพยพโยกย้ายถิ่น เพื่อมาต้ังรกรากท่ีน่ีมากกว่า อีก 2 จังหวัดซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ด้ังเดิมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ประกอบกบั ในเวลาตอ่ มาจงั หวดั ยะลา เปน็ จงั หวดั ทมี่ สี ถาบนั การศกึ ษา ระดับสูง ที่รองรับคนในพืน้ ที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียนได้กอ่ นจังหวดั เพอื่ น บ้านอนื่ ๆ ทำ�ให้ชาวพน้ื เมืองสามารถเรยี นรู้ แลกเปลย่ี นประสบการณ์ จากนอกชมุ ชน มีวสิ ยั ทัศน์ หตู ากว้างไกล จึงเปน็ ปจั จัยหน่ึงทม่ี ผี ลตอ่ การเปล่ียนแปลงสังคมในดา้ นต่างๆ ภาพรวมดา้ นการเมืองจากอดตี จนถึงปจั จุบนั จังหวัดยะลา ต้ังแต่เร่ิมการเลือกตั้งคร้ังแรกในปีพ.ศ. 2476 จนถงึ ปัจจบุ นั (พ.ศ. 2554) มีสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรมาแล้วรวม 15 คน จากการเลอื กตงั้ ทง้ั หมด 23 ครั้ง มีพรรคการเมอื งที่สมาชิกได้รบั เลอื กตัง้ 12 พรรค โดยมสี มาชกิ จากพรรคเสรมี นงั คศลิ า และพรรค 32
ขอ้ มลู พ้นื ฐานของจังหวัดยะลา สหภูมิเป็นสองพรรคการเมืองแรก ได้รับการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2500 และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวในจังหวัดยะลา ที่ยังคงดำ�เนินงานทางการเมืองอย่างต่อเน่ืองต้ังแต่สมาชิกพรรคได้รับ การเลอื กตง้ั ครัง้ แรกในปี พ.ศ. 2519 จนถึงปัจจุบัน และสมาชกิ พรรค ยงั คงไดร้ บั การเลือกตั้งเปน็ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร อยา่ งคอ่ นขา้ งจะ ต่อเนื่อง โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซ่ึงรวมกลุ่มกันในนาม “กลมุ่ วะหด์ ะฮ”์ โดยแรกเรม่ิ สงั กดั พรรคความหวงั ใหมเ่ ปน็ คแู่ ขง่ ทส่ี ำ�คญั ตราบจนกระท่ังถึงปจั จบุ นั ตารางท่ี 3.1 สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรจงั หวัดยะลา ตง้ั แต่พ.ศ. 2476-2554 ครง้ั ที่ วนั /เดอื น/ปี ลำ�ดบั /ชอื่ -สกุล เขต พรรค หมายเหตุ - 1 15 พ.ย. 2476 1. นายสงา่ สายศิลป์ - 2 7 พ.ย.2480 1. นายแวและ เบญอาบัชร์ (วไิ ล เบญจลักษณ์) - 3 12 พ.ย. 2481 1. นายวิไล เบญจลกั ษณ์ - (แวและ เบญอาบชั ร์) - - 4 6 ม.ค. 2489 1. นายประสาท ไชยะโท เสรีนงั คศสิ า สหภูมิ 5 29 ม.ค.2491 1. นายสาล่ี กูลณรงค์ 6 26 ก.พ. 2495 1. นายประสาท ไชยะโท 7 26 ก.พ. 2500 1. นายประสาท ไชยะโท 8 15 ธ.ค. 2500 1. นายอดลุ ภมู ิณรงค์ 33
นักการเมืองถน่ิ จงั หวัดยะลา ครั้งท่ี วัน/เดือน/ปี ลำ�ดบั /ชอื่ -สกุล เขต พรรค หมายเหตุ 9 10 ก.พ. 2512 1. นายอดุล ภูมณิ รงค์ ไม่มีสงั กดั 10 26 ม.ค. 2518 1. นายประสาท ไชยะโท ธรรมสังคม 11 4 เม.ย. 2519 1.นายอุสมาน อุเซง็ ประชาธปิ ัตย์ 12 22 เม.ย. 1.นายวนั มูหะมดั นอร์ มะทา กิจสงั คม 2522 2.นายอดลุ ภูมิณรงค์ ชาติไทย 13 18 เม.ย. 1.นายเฉลิม เบญ็ หาวัน กจิ สังคม 2526 2.นายอดลุ ภูมณิ รงค์ ชาตไิ ทย 14 27 ก.ค. 2529 1.นายวนั มูหะมดั นอร์ มะทา ประชาธปิ ัตย์ 2.นายอดุล ภูมณิ รงค์ สหประชาธิปไตย 15 24 ก.ค. 2531 1. นายไพโรจน์ เฉลียวศกั ดิ์ ประชาธิปตั ย์ 2. นายวนั มูหะมัดนอร์ มะทา ประชาชน/เอกภาพ 16 22 มี.ค. 2535 1. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ความหวงั ใหม่ 2. นายไพศาล ยิง่ สมาน ความหวงั ใหม่ 17 13 ก.ย.2535 1. นายวันมูหะมดั นอร์ มะทา ความหวงั ใหม่ 2. นายไพศาล ยิ่งสมาน ความหวังใหม่ 1. นายประเสรฐิ พงษ์สุวรรณศิริ ประชาธปิ ตั ย์ 18 2 ก.ค.2538 2. นายบูราฮานูดิน อเู ซง็ ความหวังใหม่ ความหวังใหม่ 3. นายวนั มหู ะมดั นอร์ มะทา ความหวังใหม่ 1. นาย ไพศาล ยง่ิ สมาน ความหวังใหม่ 19 17พ.ย.2539 2. นาย วันมหู ะมัดนอร์ มะทา ประชาธปิ ตั ย์ 3. นาย ประเสรฐิ พงษ์สวุ รรณศริ ิ 20 6 ม.ค.2544 1.นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศริ ิ 1 ประชาธปิ ัตย์ มไ2ทีนไ25ทยา24ยคร5กั ม 2.นายไพศาล ยิง่ สมาน 2 ความหวังใหม่ 3.นาย บรู าฮานดู ิน อูเซง็ 3 ความหวังใหม่ 34
ข้อมลู พ้ืนฐานของจงั หวัดยะลา ครงั้ ที่ วัน/เดือน/ปี ลำ�ดับ/ชื่อ-สกลุ เขต พรรค หมายเหตุ ประชาธปิ ตั ย์ 1. นายประเสรฐิ พงษ์สุวรรณศิริ 1 ประชาธิปตั ย์ 21 6 ม.ค. 2548 2. นายอับดลุ การิม เด็งระกีนา 2 ประชาธิปัตย์ 3. นายณรงค์ ดดู งิ 3 1.นายประเสริฐ พงษส์ วุ รรณศริ ิ 1 ประชาธปิ ตั ย์ 22 23 ธ.ค.2550 2.นายอับดุลการมิ เดง็ ระกีนา 2 ประชาธิปัตย์ 3 พลังประชาชน 3.นายซกู ารโ์ น มะทา 23 3 ก.ค.2554 1.นายประเสรฐิ พงษ์สุวรรณศริ ิ ประชาธิปตั ย์ 2.นายอับดลุ การิม เดง็ ระกีนา ประชาธปิ ตั ย์ 3. นายณรงค์ ดดู งิ ประชาธปิ ตั ย์ ทีม่ า : หอ้ งสมุดรัฐสภา จากตารางที่ 3.1 หากพิจารณารายช่ือและพรรคที่สังกัดของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดยะลา ต้ังแต่มีการเลือกต้ังครั้งแรก เมือ่ วันท่ี 15 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2476 จนถงึ การเลือกต้ังคร้ังท่ี 23 เม่ือ วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 จากจำ�นวนสมาชิสภาผู้แทนราษฎร 15 คน และพรรคการเมอื ง 12 พรรคเราจะพบวา่ จากสมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรทงั้ หมด 15 คน ทีเ่ คยได้รบั การเลอื กต้งั มีผทู้ ่นี บั ถือศาสนาพุทธ จำ�นวน 5 คน คอื 1. นายสงา่ สายศลิ ป์ (1 สมัย) 2. นายประสาท ไชยะโท (4 สมัย ) 3. สาลี่ กลุ ณรงค์ (1 สมยั ) 4. นายไพโรจน์ เฉลยี วศักด์ิ (1 สมัย) 35
นักการเมืองถ่ินจังหวดั ยะลา 5. นายประเสรฐิ พงษส์ วุ รรณศิริ (6 สมยั ) อกี 10 คนทเี่ หลอื เปน็ ผทู้ น่ี บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม ในจำ�นวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรของจงั หวดั ยะลา ผทู้ ไี่ มใ่ ชม่ สุ ลมิ 5 คน มี 3 คน ทเี่ รา ควรจะพจิ ารณาศกึ ษาอยา่ งละเอยี ด เพราะนกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ยะลา ทงั้ 3 คน มสี ว่ นในการวางพนื้ ฐาน ความเปน็ มาและความเปลยี่ นแปลง ทางการเมืองของจังหวัดยะลา ในอีกมิติหน่ึงที่นอกเหนือจากนักการ เมืองมสุ ลมิ ซงึ่ เปน็ นักการเมืองสว่ นใหญ่และมีความผูกพันโดยตรงกับ ประชาชนสว่ นใหญข่ องจงั หวดั ยะลา นักการเมืองทัง้ สามคอื 1. นายสงา่ สายศลิ ป์ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรคนแรก แมว้ า่ จะ มาจากการเลอื กตง้ั ทางออ้ ม เพราะนายสงา่ นา่ จะมสี ว่ นในการกำ�หนด ความรสู้ กึ แรกเรม่ิ ของประชาชนในทางการเมอื ง หลงั จากทปี่ ระเทศไทย เปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็น ระบอบประชาธิปไตยท่มี พี ระมหากษตั รยิ อ์ ยู่ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู 2. นายประสาท ไชยะโท เปน็ นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ยะลาทไี่ มใ่ ช่ มุสลิม แต่สามารถเอาชนะ ส.ส. 2 สมยั แรกของการเลอื กต้งั ทางตรงท่ี เปน็ ชาวมสุ ลมิ จนตอ้ งยา้ ยจงั หวดั กลบั ไปสมคั รทจี่ งั หวดั ปตั ตานคี อื นาย วไิ ล เบญ็ จลกั ษณ์ นายประสาท ไชยะโท นอกจากจะเปน็ ส.ส.จงั หวดั ยะลาถงึ 4 สมัย แล้ว ยงั เคยดำ�รงตำ�แหน่งเลขานุการรฐั มนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศอกี ดว้ ย 3. นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 6 สมยั จากพรรคประชาธปิ ตั ย์ ผสู้ ามารถเอาชนะกระแสมสุ ลมิ ทจ่ี ะเลอื ก แตม่ สุ ลมิ ใน 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใตม้ าอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ในขณะทผ่ี สู้ มคั ร ทไ่ี มใ่ ชม่ สุ ลมิ ในอกี สองจงั หวดั ของ 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใตไ้ มส่ ามารถ ชนะเลือกตั้งอกี เลยนบั ตัง้ แต่การเลอื กต้ังปี พ.ศ. 2538 36
ขอ้ มลู พื้นฐานของจงั หวัดยะลา ในขณะเดียวกันมีนกั การเมืองมสุ ลมิ ถ่นิ จังหวัดยะลา หลายคน ท่ีโดดเด่นและน่าสนใจ ทั้งในแง่ท่ีมาและบทบาททางการเมือง นัก การเมืองบางคนอาจจะโดดเด่นท้ังในระดับชาติและระดับพ้ืนที่ แต่นักการเมืองบางคนอาจจะเป็นท่ีชื่นชม รู้จัก แค่เฉพาะในพื้นท่ี แตท่ ุกคนในกล่มุ นค้ี วรทีจ่ ะบันทกึ ไวเ้ ป็นอกี หน่งึ กรณี ในจำ�นวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมุสลิมท้ังหมด 10 คนของ จังหวัดยะลา มที นี่ ่าสนใจ ควรศกึ ษาเป็นกรณีพิเศษ 5 คน คือ 1. นายวไิ ล เบญจลักษณ์ (นายแวและ เบญอาบัชร์) ผู้มพี ้ืนเพ เดมิ เป็นชาวจงั หวัดปัตตานี แตเ่ ปน็ ส.ส.มุสลมิ คนแรกของจังหวดั ยะลา ถึง 2 สมัยติดต่อกันในยุคแรกของการเลือกต้ัง เป็นนักปราศรัยภาษา มลายู ฝีปากกล้า ที่มีฐานมวลชนเป็นผู้ที่เคยได้รับการบริการจากเขา ในฐานะผู้ประกอบกิจการฮัจย์ หรือ “โต๊ะแซะห์” ที่ทำ�หน้าที่นำ�ชาว มุสลิมไปประกอบพิธที างศาสนาท่นี ครเมกกะ ประเทศซาอดุ อี าระเบยี 2. นายอดลุ ย์ ภูมณิ รงค์ ลกู หลานคหบดี เจา้ ทด่ี ินมสุ ลิม กลาง เมอื งยะลา ผยู้ อมทง้ิ หนา้ ทก่ี ารงานทมี่ อี นาคตและสงั คมหรใู นกรงุ เทพฯ เพอื่ กลบั มาทำ�หนา้ ทผ่ี แู้ ทนประชาชนในบา้ นเกดิ ในยคุ ทมี่ สุ ลมิ ในพนื้ ที่ ยงั มคี วามรเู้ กย่ี วกบั สงั คมไทยคอ่ นขา้ งนอ้ ย ดว้ ยความเปน็ ผมู้ นี ้ำ�ใจไมตรี เต็มเปีย่ ม ต้อนรบั ทุกคนทีม่ าเย่ยี มเยยี น ขอคำ�ปรกึ ษาหารือ หรือชว่ ย เหลือยามเดือดรอ้ นทำ�ให้เขาไดร้ บั เลือกตงั้ ถึง 5 สมัย 3. นายวันมหะมัดนอร์ มะทา นักการเมืองมุสลมิ ท่เี ป็นปัญญา ชนยุคใหม่ ผู้มีความรู้ทางสังคมไทยมากที่สุดคนหน่ึงท่ีเสนอตัวเข้ามา เลน่ การเมอื ง เปน็ ผทู้ ่ีเปล่ยี นแปลงเวทกี ารเมอื งถิ่นจงั หวัดยะลาซงึ่ เป็น เวทที แ่ี ทบจะไมม่ ใี ครสนใจ ใหเ้ ปน็ พนื้ ทกี่ ารเมอื งระดบั ชาตทิ เี่ ปน็ ทส่ี นใจ ของทุกคน เขาเป็นนักการเมืองถ่ินจังหวัดยะลาคนแรกท่ีมีตำ�แหน่ง 37
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226