Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการสอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ

แผนการสอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ

Published by me.arunee, 2020-07-14 04:13:28

Description: แผนการสอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้มงุ่ เนน้ สมรรถนะ ประกาศนียบตั รวชิ าชีพช้นั สงู (ปวส.) พุทธศกั ราช 2557 ประเภทวชิ า บริหารธรุ กจิ สาขาวชิ าคอมพวิ เตอร์ธุรกิจ สาขางานคอมพิวเตอร์ธุรกิจ รหสั 3001 – 2001 วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื การจัดการอาชีพ จดั ทำโดย นางอรุณี มีสจั สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกจิ วทิ ยาลยั เทคนคิ ปทมุ ธานี สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร

2 คำนำ แผนการสอนวิชา “เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจดั การอาชพี ” รหสั วิชา 3001 - 2001 จัดทำข้ึน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ ตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2557 ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดย จัดการเรียนการสอนทั้งหมด 18 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง เนื้อหาภายในแบ่งออกเป็น 5 บท ประกอบด้วย คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายและสารสนเทศ การสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ การ ประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสำเรจ็ รูป และการนำเสนอและการสอ่ื สารขอ้ มูลสารสนเทศ สำหรับแผนการสอนรายวชิ านี้ ผจู้ ัดทำได้ทุ่มเทกำลงั กาย กำลงั ใจและเวลาในการศกึ ษาค้นคว้า ทดลอง เพ่ือให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพต่อการเรยี นการสอน และการจัดการเรยี นการสอนตามแนวทางหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจแบบพอเพยี ง ท้ายที่สุดนี้ ผู้จัดทำขอขอบคุณผู้ที่สร้างแหล่งความรู้ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วน สำคัญที่ทำใหแ้ ผนการสอนวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจดั การอาชีพเล่มน้ีเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย และ หากผู้ใชพ้ บข้อบกพร่องหรือมีขอ้ เสนอแนะประการใด ขอไดโ้ ปรดแจ้งผจู้ ดั ทำทราบด้วย จกั ขอบคุณยง่ิ ลงชอื่ นางอรุณี มีสัจ

สารบญั 3 หนว่ ยท่ี หนา้ คำนำ สารบัญ ก หลกั สตู รรายวชิ า ข หนว่ ยการเรียนรู้ 7 หนว่ ยการเรียนรู้และสมรรถนะประจำหน่วย 9 28 1 คอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณโ์ ทรคมนาคม 49 2 ระบบเครือข่ายและสารสนเทศ 66 3 การสืบคน้ ข้อมูลสารสนเทศ 103 4 การประยกุ ต์ใชโ้ ปรแกรมสำเรจ็ รูป 5 การนำเสนอและการสอ่ื สารขอ้ มลู สารสนเทศ ภาคผนวก เฉลยกจิ กรรมการเรยี นรู้ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน - หลังเรยี น เฉลยแบบฝึกหัด

4 แผนการจัดการเรยี นร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ ชื่อวชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การจัดการอาชีพ รหสั วิชา 3001 – 2001 ทฤษฎี 2 ปฏิบตั ิ 2 หนว่ ยกิต 3  หลกั สตู รประกาศนียบัตรวชิ าชีพ  หลักสูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ช้ันสงู ประเภทวิชา บริหารธรุ กจิ สาขาวชิ าคอมพิวเตอรธ์ ุรกิจ สาขางานคอมพิวเตอร์ธรุ กจิ จัดทำโดย นางอรุณี มสี ัจ สาขาวชิ าคอมพิวเตอรธ์ รุ กิจ วิทยาลยั เทคนิคปทมุ ธานี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ

5 ก หลกั สูตรรายวชิ า ชื่อวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การจัดการอาชีพ รหัสวิชา 3001 – 2001 ทฤษฎี 2 ปฏิบตั ิ 2 หน่วยกติ 3  หลกั สตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี  หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชีพชั้นสงู ประเภทวชิ า บรหิ ารธรุ กจิ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธรุ กจิ สาขางานคอมพิวเตอร์ธรุ กจิ จุดประสงค์รายวชิ า 1. เข้าใจเกย่ี วกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์และสารสนเทศการ สบื คน้ และสือ่ สารข้อมูลสารสนเทศในงานอาชีพ 2. สามารถสืบค้น จัดเก็บ ค้นคืน ส่งผ่าน จัดดำเนินการข้อมูลสารสนเทศนำเสนอและสื่อสารข้อมูล สารสนเทศในงานอาชพี โดยใชค้ อมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม และโปรแกรมสำเร็จรปู ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 3. มคี ุณธรรม จรยิ ธรรมและความรับผดิ ชอบในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจดั การอาชพี สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการและกระบวนการสืบค้น จัดดำเนินการและสื่อสารข้อมูลสารสนเทศใน งานอาชีพ โดยใช้คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และสารสนเทศและโปรแกรม สำเร็จรูปทเ่ี กี่ยวข้อง 2. ใช้คอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคมในการสืบคน้ และสือ่ สารข้อมลู สารสนเทศผา่ นระบบเครอื ขา่ ย คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ 3. จัดเก็บ คน้ คนื ส่งผ่านและจัดดำเนินการขอ้ มูลสารสนเทศตามลักษณะงานอาชีพ 4. นำเสนอและสอื่ สารข้อมลู สารสนเทศในงานอาชพี โดยประยกุ ต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรูป คำอธิบายรายวชิ า ศึกษาและปฏิบัติเกยี่ วกับคอมพวิ เตอร์และอุปกรณโ์ ทรคมนาคม ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรแ์ ละ สารสนเทศ การสืบค้นขอ้ มูลสารสนเทศ การจัดเก็บ ค้นคืน ส่งผ่านและจัดดำเนินการขอ้ มูลสารสนเทศ การ ประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสำเร็จรปู ในการนำเสนอและส่อื สารขอ้ มูลสารสนเทศตามลกั ษณะงานอาชีพ

ข6 หนว่ ยการเรยี นรู้ หน่วยท่ี ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ จำนวน สปั ดาห์ที่ ชว่ั โมง 1 คอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณ์โทรคมนาคม 1-4 2 ระบบเครือขา่ ยและสารสนเทศ 16 5-8 3 การสืบค้นขอ้ มูลสารสนเทศ 9-12 4 การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรมสำเร็จรปู 16 13-15 5 การนำเสนอและการสอ่ื สารขอ้ มลู สารสนเทศ 16-18 16 12 12

หนว่ ยการเรยี นร้แู ชือ่ หนว่ ย ควา หน่วยท่ีหนว่ ยท่ี 1 คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม 1.บอกความหมายขอ โทรคมนาคมได้ 2.อธิบายองค์ประกอ คอมพวิ เตอร์และองค พนื้ ฐานของการส่ือสา 3.บรรยายหลกั การท คอมพิวเตอร์ได้ 4.จำแนกประเภทขอ 5.วิเคราะหช์ นิดของก หนว่ ยท่ี 2 ระบบเครือข่ายและสารสนเทศ 1.อธิบายระบบเครือข เครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต 2.บอกความเปน็ ของอ 3.บอกบทบาทของระ 4.จำแนกประเภทขอ 5.วเิ คราะห์ผลกระทบ สารสนเทศได้ หน่วยที่ 3 การสบื คน้ ข้อมูลสารสนเทศ 1.อธบิ ายความหมาย ค้นคนื สารสนเทศได้ 2.ให้คำจำกดั ความสำ และคน้ คนื สารสนเทศ

และสมรรถนะประจำหนว่ ย ามรู้ สมรรถนะ คุณลักษณะท่ีพงึ่ ประสงค์ องคอมพิวเตอรแ์ ละ ทักษะ 2.ประยุกตใ์ ชห้ น้าท่ขี องระบบ อบหลกั ของระบบ 1.ใชง้ านอปุ กรณโ์ ทรคมนาคมกับ โทรคมนาคมกับชีวิตประจำวัน คป์ ระกอบขั้น ระบบสอ่ื สารโทรคมนาคมและระบบ ได้ ารขอ้ มูลได้ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้ 3.นำประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์ ทำงานของ ไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้ องคอมพิวเตอร์ได้ การเช่อื มตอ่ ได้ ข่ายและระบบ 1.เชอ่ื มตอ่ ระบบเครือข่ายได้ทกุ 1.ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยี ตได้ รปู แบบ สารสนเทศได้ อินเทอร์เน็ตได้ 2.ใช้งานระบบสารสนเทศท่ใี ช้ 2.ประยกุ ต์ใช้ระบบเครือข่ายใน ะบบสารสนเทศได้ คอมพวิ เตอรไ์ ด้ หน่วยงานรฐั ได้ องระบบเครอื ข่ายได้ บของเทคโนโลยี ยของการจัดเกบ็ และ 1.สบื ค้นข้อมูลสารสนเทศได้ 1.ประยกุ ต์ใช้เครื่องมอื การ 2.สืบคน้ ขอ้ มูลสารสนเทศจาก สบื คน้ ขอ้ มูลสารสนเทศได้ ำคัญของการจดั เก็บ อนิ เทอรเ์ นต็ ได้ ศได้

หน่วยการเรยี นรู้และ ช่อื หนว่ ย ควา หน่วยท่ี 3 การสบื ค้นข้อมูลสารสนเทศ (ตอ่ ) 3.แยกส่วนประกอบของ สืบคน้ ขอ้ มูลสารสนเทศ 4.วเิ คราะห์เทคโนโลยีสา มาตรฐานในการจดั เก็บแ ได้ 5.เลือกทฤษฎพี ืน้ ฐานแล จัดเก็บและการคน้ คนื สา หน่วยที่ 4 การประยกุ ตใ์ ช้โปรแกรมสำเรจ็ รูป 1.อธิบายความหมายขอ ได้ 2.จำแนกประเภทของซ 3.วิเคราะห์ลักษณะสำค ประยกุ ต์ได้ หน่วยที่ 5 การนำเสนอและการสอ่ื สารขอ้ มลู สารสนเทศ 1.บอกความหมายของโป 2.อธบิ ายข้นั ตอนการสร 3.จำแนกประเภทของงา

ะสมรรถนะประจำหนว่ ย (ต่อ) 8 ามรู้ สมรรถนะ คณุ ลกั ษณะทพี่ ่ึงประสงค์ ทกั ษะ 2.ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของ งเคร่ืองมือในการ อนิ เทอร์เนต็ และนำไปปรับใช้ใน ศได้ การทำงานได้ ารสนเทศและ และคน้ ค้นสารสนเทศ ละการประเมนิ ระบบ 1.ใช้งานโปรแกรมสำเรจ็ รูปและ 1.ประยกุ ต์ใช้โปรแกรมสำเร็จรปู ารสนเทศได้ โปรแกรมประยุกตไ์ ด้ ในการทำงานได้ องโปรแกรมสำเร็จรปู ซอฟต์แวรป์ ระยกุ ต์ได้ คัญของซอฟตแ์ วร์ ปรแกรมนำเสนอได้ 1.สรา้ งงานนำเสนอได้ 1.ประยุกตใ์ ชก้ ารนำเสนอดว้ ย รา้ งงานพรีเซนเตชน่ั ได้ 2.นำเสนอขอ้ มูลได้ วาจาได้ านนำเสนอได้

แผนการจดั การเรยี นร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยที่ 1 ช่ือหน่วย คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม สอนสัปดาหท์ ่ี 1-4 คาบรวม 16 จำนวนช่วั โมง 16 1. สาระสำคัญ เทคโนโลยีโทรคมนาคมมีแนวโน้มวา่ จะเจริญเตบิ โตอยา่ งรวดเร็วยงิ่ ข้ึนเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการนำอปุ กรณ์ ระบบดจิ ิตอลมาใชง้ าน ระบบโทรคมนาคมมีแนวโนม้ วา่ จะรวมกบั ระบบคอมพวิ เตอรใ์ นท่ีสดุ พัฒนาการ โทรคมนาคมกำลังก้าวหนา้ ไปอยา่ งรวดเรว็ มากยิง่ ขึ้นองคก์ รระหว่างประเทศทีม่ ีหนา้ ท่กี ำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ ในระบบโทรคมนาคมประสบปัญหาเป็นอย่างมากในการตดิ ตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1. ใชง้ านอุปกรณโ์ ทรคมนาคมในระบบต่าง ๆ 2. มีความรแู้ ละความเข้าใจเก่ยี วกบั คอมพวิ เตอรแ์ ละอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 3. มีทกั ษะในการใชอ้ ปุ กรณโ์ ทรคมนาคมกับระบบต่าง ๆ 4. เห็นประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์ และระบบโทรคมนาคม 3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 3.1 ด้านความรู้ 3.1.1 บอกความหมายของคอมพวิ เตอร์และโทรคมนาคมได้ 3.1.2 อธบิ ายองค์ประกอบหลักของระบบคอมพวิ เตอร์และองค์ประกอบขั้นพื้นฐานของการสื่อสาร ขอ้ มลู ได้ 3.1.3 บรรยายหลักการทำงานของคอมพิวเตอรไ์ ด้ 3.1.4 จำแนกประเภทของคอมพิวเตอร์ได้ 3.1.5 วิเคราะห์ชนดิ ของการเชื่อมต่อได้ 3.2 ดา้ นทักษะ 3.2.1ใชง้ านอุปกรณ์โทรคมนาคมกับระบบสอื่ สารโทรคมนาคมและระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรไ์ ด้ 3.3 คุณลักษณะท่พี ่ึงประสงค์ 3.3.1 ประยุกตใ์ ช้หนา้ ทข่ี องระบบโทรคมนาคมกับชีวิตประจำวันได้ 3.3.2 นำประโยชนข์ องคอมพวิ เตอรไ์ ปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวันได้

10 แผนการจดั การเรยี นรูม้ ่งุ เน้นสมรรถนะ หนว่ ยที่ 1 ชอ่ื หน่วย คอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม สอนสัปดาห์ท่ี 1-4 คาบรวม 16 จำนวนช่ัวโมง 16 4. เน้ือหาสาระการเรยี นรู้ ความหมายของคอมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอร์ หมายถึง เครอ่ื งจักรอิเลก็ ทรอนิกส์ทถ่ี ูกสร้างขึน้ เพอ่ื ใช้ทำงานแทนมนษุ ย์ ในดา้ นการคิด คำนวณและสามารถจำข้อมูลท้ังตวั เลข และตัวอกั ษรได้เพือ่ การเรยี กใชง้ านใน คร้งั ตอ่ ไป นอกจากนยี้ ังสามารถ จัดการกับสัญลกั ษณ์ไดด้ ว้ ยความเร็วสงู โดยปฏบิ ัติตามขนั้ ตอน ของโปรแกรม คอมพิวเตอรย์ ังมคี วามสามารถใน ดา้ นตา่ ง ๆ อีกมาก เช่น การเปรยี บเทียบทาง ตรรกศาสตร์ การรบั ส่งข้อมลู การจัดเก็บขอ้ มูลในตัวเคร่อื งและ สามารถประมวลผลจากขอ้ มลู ต่าง ๆ ได้ ระบบคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ คอื องคป์ ระกอบหลักที่จะทำใหเ้ ครอื่ งคอมพิวเตอรส์ ามารถทำงาน ไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ ถา้ ขาด องค์ประกอบสว่ นใดส่วนหนงึ่ คอมพิวเตอร์กไ็ มส่ ามารถท่ีจะทำงานได้ ระบบของคอมพวิ เตอร์นีป้ ระกอบไปด้วย องคป์ ระกอบหลักทีส่ ำคญั 3 ส่วน คือ 1) ฮารด์ แวร์ (Hardware) คอื อุปกรณ์หรือชิน้ ส่วนของคอมพวิ เตอร์ ทม่ี วี งจรไฟฟา้ อยภู่ ายในเปน็ สว่ นใหญ่ สามารถจับต้องได้ เชน่ กล่องซีพียู (Case) จอภาพ (Monitor) แปน้ พิมพ(์ Keyboard) เมาส์ (Mouse) เครือ่ งพมิ พ์ (Printer) เครือ่ งสแกนภาพ (Scanner) เป็นตน้ 2) ซอฟต์แวร์ (Software) คือ โปรแกรมหรอื ชุดคำส่ังทำหนา้ ที่ควบคมุ ให้ฮาร์ดแวร์ และเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ ทำงานตามผู้ใชต้ ้องการ ซอฟตแ์ วร์จะถูกบรรจอุ ย่ใู นสอ่ื หรอื วัสดทุ ใ่ี ช้ใน การเก็บข้อมูล เชน่ ฮาร์ดดสิ ก์ ซดี รี อม ดี วีดรี อม แฮนดีไ้ ดรฟ์ เป็นตน้ 3) พีเพิลแวร์ (People ware) คอื บคุ คลทม่ี ีสว่ นเก่ียวขอ้ งกบั การทำงานของเครอื่ ง คอมพวิ เตอร์ เช่น ผู้จดั การ ระบบ (System Manager) นกั วเิ คราะห์ระบบ (System Analysis) ผูเ้ ขยี นโปรแกรม (Programmer) ผู้ใช้ โปรแกรม(User) เปน็ ตน้ องค์ประกอบคอมพวิ เตอร์ องคป์ ระกอบคอมพวิ เตอร์ คือ อปุ กรณค์ อมพวิ เตอรท์ นี่ ำมาประกอบกันแลว้ จะได้ คอมพวิ เตอร์ที่สมบรู ณ์ 1 เคร่ือง ประกอบดว้ ยองค์ประกอบทสี่ ำคัญหลายส่วนดงั น้ี 1. กล่องซีพียู (Case) เปน็ องคป์ ระกอบคอมพวิ เตอรท์ ีส่ ำคัญมาก ภายในบรรจแุ ผง เมนบอร์ดแหล่งจ่ายไฟ และ หน่วยความจำต่างๆ เชน่ รอม แรม ฮาร์ดดิสก์ ดิสก์ไดร์ฟ และ ซดี รี อม เปน็ ตน้ ที่เรียกว่ากลอ่ งซีพยี ูเพราะภายใน เครือ่ ง บรเิ วณแผงเมนบอรด์ เปน็ ที่ติดต้งั ซพี ยี ู (CPU) ซึง่ ถอื ว่าเป็นมนั สมองของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ 2. แปน้ พมิ พ์ (Keyboard) คืออุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการพมิ พข์ ้อมลู เข้าสู่เครือ่ งคอมพิวเตอร์ เพือ่ สง่ ให้หน่วยประมวลผล ข้อมลู กลาง (CPU) ทำการประมวลผล แป้นพิมพ์จดั เปน็ อุปกรณ์ ด้านหนว่ ยปอ้ นข้อมลู (Input Unit) ทที่ ำหน้าท่ี ในการปอ้ นข้อมลู เข้าสเู่ คร่ืองคอมพวิ เตอร์

11 3. เมาส์ (Mouse) คืออุปกรณ์ท่ใี ช้ในการคลิก ดับเบ้ิลคลิก และเลอื่ นตำแหน่งเพอื่ สั่งงานให้คอมพิวเตอรท์ ำงาน ในกรณที ี่ไม่สามารถส่งั งานทางแปน้ พิมพ์ได้ เมาส์จัดเปน็ อุปกรณ์ ดา้ นหน่วยปอ้ นขอ้ มลู เชน่ เดียวกับแป้นพมิ พแ์ ต่ ใช้งานในลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกนั 4. จอภาพ (Monitor) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล ของซีพียูเพื่อทำให้ผู้ใช้ มองเห็นผลลัพธ์และสามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ จอภาพจัด เป็นอุปกรณ์ด้านหน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าท่ใี นการแสดงผลขอ้ มูล 5. ลำโพง (Speaker) คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณเสียง และแสดงเสียงออกทาง ลำโพงทำให้ผู้ใช้ไดย้ ินสญั ญาณเสยี งในแบบต่าง ๆ เชน่ เสียงเพลง และ เสยี งพูดตา่ ง ๆ ลำโพงจัดเปน็ อุปกรณ์ดา้ น หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่ในการแสดง ผลขอ้ มลู หนว่ ยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) และหน่วยความจำ (Memory Unit) เป็นส่วนที่สำคัญทสี่ ุดของเครื่องคอมพวิ เตอร์ ควบคมุ การทำงานของระบบท้งั หมดเปน็ สว่ นที่เรียกโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อสั่งการให้หน่วยประมวลผลกลางทำงานตามลำดับ ปัจจุบันหน่วย ประมวลผลกลางถูกออกแบบให้มี มากกว่า 1 core หรือเรียกว่า Multi core นั่งเอง ส่วนหน่วย ความจำจะทำหน้าที่เก็บคำสั่งที่ต้องใช้ในการ ประมวลผล หน่วยความจำมี 2 ชนดิ คอื หนว่ ยความจำอ่านอยา่ งเดียว ROM (Read Only Memory) เปน็ หน่วยความจำลกั ษณะหนง่ึ ทำหน้าทอี่ า่ นข้อมูลเพียงอา่ นเดยี ว ถูกกำหนดไวอ้ ย่าง ถาวรในหน่วยความจำคง อยู่ในเครอ่ื งตลอดถงึ แม้ปิดเครอ่ื งไป หนว่ ยความจำเขา้ ถงึ โดยการสมุ่ (Random Access Memory) เป็นหนว่ ยความจำประเภทหนึ่งที่สามารถเข้าถงึ โดยการสุม่ แรม (Ram) เป็นหนว่ ย ความจำทอี่ ย่ใู นคอมพิวเตอร์ วดั ขนาดเปน็ กโิ ลไบตห์ รือ เมกะไบต์ ทำงานไดเ้ รว็ มาก แต่เมื่อ ปิดเครือ่ งไปแล้วขอ้ มลู ในแรมจะหายไปหมด การ์ดแสดงผล (Graphic Card) เปน็ อปุ กรณท์ ี่ประมวลผลสัญญาณดจิ ิตอล ให้เปน็ สัญญาณทีต่ ้องการแสดงผล เชน่ การใช้ โปรแกรมสร้างงาน 3 มติ ิ หรือเลน่ เกม 3 มิติ ที่ ตอ้ งการความละเอยี ดท่ีใช้ในการแสดงผลสูง การด์ เสียง (Sound Card) เป็นอปุ กรณท์ ป่ี ระมวลผลทางดา้ นเสยี ง เพือ่ เสียงทไี่ ด้ออกมานัน้ มีความไพเราะมากขน้ึ กวา่ เดมิ การ์ดแลน (LAN Card) เปน็ อุปกรณ์ท่ใี ชใ้ นระบบเครือข่าย (Network) ทำให้เครอ่ื งแต่ละเครอื่ งสามารถสอ่ื สาร และแลกเปลี่ยนขอ้ มลู กนั ได้ ฮาร์ดดสิ ก์ (Hard Disk) ฮาร์ดดิสก์เปน็ สือ่ บันทึกขอ้ มูลทีใ่ ช้จานแม่เหล็กในการเก็บข้อมูล สามารถจุข้อมูลไดส้ ูง ที่สุดในบรรดาสื่อบนั ทกึ ข้อมูล ใช้เป็นหน่วยข้อมูลหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์เลยก็ได้ เพราะ จะต้องติดตั้งระบบปฏิบัติการลงใน ฮารด์ ดสิ ก์ ทสี่ ำคัญคอื สามารถเข้าถงึ ข้อมูลดว้ ยความเรว็ สงู ประเภทของคอมพิวเตอร์ แบง่ ตามความสามารถของระบบ 1.ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ (Super Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผล ข้อมูลที่มีความสามารถในการ ประมวลผล สูงที่สุดโดยทั่วไปสร้างขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่องานด้านวิทยาศาสตร์ที่ต้องการ การประมวลผล ซับซ้อนและต้องการ ความเร็วสูง เช่น งานวิจัยขีปนาวุธ งานโครงการอวกาศสหรัฐฯ (NASA) งานสื่อสาร ดาวเทียม หรืองานพยากรณ์ อากาศ เป็นตน้

12 2.เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) หมายถึง เครื่องประมวลผล ข้อมูลที่มีส่วนความจำและ ความเรว็ น้อยลงสามารถใช้ข้อมูลและคำส่ังของเคร่ืองร่นุ อ่ืนในตระกูล (Family) เดียวกนั ได้โดยไม่ต้องดัดแปลง แก้ไขใดๆ นอกจากนนั้ ยังสามารถทำงานในระบบเครอื ข่าย (Network) ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเชื่อมต่อไปยัง อุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องปลายทาง (Terminal) จำนวนมากได้ สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน (Multi Tasking) และใช้งานได้พร้อมกันหลายคน (Multi User) ปกติเครื่องชนิดนี้ นิยมใช้ในธุรกิจขนาดใหญ่มีราคา ตั้งแต่สิบล้านบาทไปจนถึงหลายรอ้ ยล้านบาทตัวอย่างของเครื่องเมนเฟรมที่ใช้กันแพร่หลายก็คอื คอมพิวเตอร์ ของธนาคารทเี่ ช่ือมตอ่ ไปยงั ตู้ ATM และสาขาของธนาคารทัว่ ประเทศ 3.มินิคอมพิวเตอร์ (Mini Computer) ธุรกิจและหน่วยงานที่มีขนาดเล็กไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาด เมนเฟรมซง่ึ มีราคาแพง ผผู้ ลิตคอมพวิ เตอร์จึงพัฒนาคอมพวิ เตอร์ให้มีขนาดเล็กและมรี าคาถูกลง เรียกว่าเคร่ือง มนิ คิ อมพวิ เตอรโ์ ดยมีลักษณะพิเศษในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ประกอบรอบข้างท่มี ีความเรว็ สงู ได้มีการใช้แผ่น จานแม่เหล็กความจุสูงชนิดแข็ง (Harddisk) ในการเก็บรักษาข้อมูลสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว หน่วยงานและบริษัทที่ใช้คอมพิวเตอร์ขนาดนี้ ได้แก่ กรม กอง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล และโรงงานอตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ 4.ไมโครคอมพวิ เตอร์ (Micro Computer) หมายถงึ เคร่ืองประมวลผลขอ้ มูลขนาดเลก็ มีสว่ นของหนว่ ยความจำ และความเร็วในการประมวลผลน้อยที่สุดสามารถใช้งานได้ด้วย คนเดียว จึงมักถูกเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วน บุคคล (Personal Computer : PC) ปัจจุบัน ไมโครคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่าในสมัยก่อนมากอาจ เท่ากับหรอื มากกว่าเคร่อื ง เมนเฟรมในยคุ กอ่ น นอกจากนนั้ ยังราคาถูกลงมากดังน้นั จงึ เปน็ ที่นยิ มใช้มาก ท้ังตาม หน่วย งานและบริษัทหา้ งรา้ น ตลอดจนตามโรงเรยี นสถานศกึ ษา และบ้านเรอื นบรษิ ทั ทผ่ี ลิตไมโครคอมพิวเตอร์ ออกจำหน่ายจนประสบความสำเร็จเป็นบริษัทแรก คือบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ จำแนกออกไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ แบบติดต้ังใช้งานอยู่กบั ที่ บนโตะ๊ ทำงาน (Desktop Computer) และ แบบเคลื่อนย้ายได้ (Portable Computer) สามารถ พกพาติดตัวอาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่จาก ภายนอก สว่ นใหญ่มักเรยี กตามลักษณะของ การใช้งานวา่ Laptop Computer หรือ Notebook Computer แบ่งตามหลกั การประมวลผล 1.คอมพิวเตอร์แบบอนาล็อก (Analog Computer) หมายถึง เครื่องมือประมวล ผลข้อมูลที่อาศัยหลักการวัด (Measuring Principle) ทำงานโดยใช้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลง แบบต่อเนื่อง (Continuous Data) แสดง ออกมาในลักษณะสัญญาณที่เรียกว่า Analog Signal เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักแสดงผลด้วยสเกล หน้าปัทม์ และเข็มชี้ เช่น การวัดค่าความยาว โดยเปรียบเทียบกับสเกลบนไม้บรรทัด การวัดค่าความร้อนจาก การขยายตวั ของปรอทเปรียบ เทียบกับสเกลข้างหลอดแกว้ นอกจากนยี้ ังมตี ัวอยา่ งของ Analog Computer ที่ ใชก้ ารประมวล ผลแบบเปน็ ขั้นตอน เช่น เครอื่ งวัด ปรมิ าณการใช้น้ำด้วยมาตรวัดนำ้ ที่ เปล่ียนการไหลของน้ำให้ เป็นตัวเลข แสดงปริมาณ อุปกรณ์วัดความเร็ว ของรถยนต์ในลักษณะเข็มชี้ หรือ เครื่องตรวจคลื่นสมองท่ี แสดงผล เปน็ รปู กราฟ เป็นต้น 2. คอมพิวเตอรแ์ บบดิจิทัล (Digital Computer) ซง่ึ กค็ อื คอมพวิ เตอร์ท่ีใชใ้ นการ ทำงานทว่ั ๆ ไปนัน่ เอง เป็น เครื่องมือประมวลผลข้อมูลที่อาศัยหลักการนบั ทำงานกบั ขอ้ มูลทม่ี ี ลักษณะการเปล่ยี นแปลงแบบไม่ต่อเนือ่ ง (Discrete Data) ในลักษณะของสัญญาณไฟฟา้ หรือ Digital Signal อาศัยการนบั สัญญาณข้อมูลที่เป็นจงั หวะ ดว้ ยตวั นบั (Counter) ภายใตร้ ะบบ ฐานเวลามาตรฐาน ทำให้ผลลัพธ์เปน็ ที่นา่ เชื่อถือ ทง้ั สามารถนับข้อมลู ให้ค่า ความละเอียดสูง เชน่ แสดงผลลพั ธ์เป็นทศนยิ มไดห้ ลายตำแหนง่ เป็นต้น เน่อื งจาก Digital Computer ต้อง อาศัย ขอ้ มูลที่เปน็ สญั ญาณไฟฟ้า (มนุษย์สมั ผสั ไม่ได)้ ทำให้ไมส่ ามารถรบั ขอ้ มูลจากแหล่งข้อมลู ตน้ ทางได้ โดยตรง จงึ จำเป็นต้องเปลีย่ นขอ้ มูล ต้นทางทร่ี บั เข้า (Analog Signal) เป็นสญั ญาณ ไฟฟา้ (Digital Signal)

13 เสยี ก่อน เมอื่ ประมวลผล เรียบร้อยแลว้ จงึ เปลยี่ นสัญญาณไฟฟา้ กลับไปเป็น Analog Signal เพอื่ สื่อความหมาย กบั มนุษยต์ ่อไป โดยส่วนประกอบสำคญั ทเ่ี รยี กวา่ ตวั เปล่ียน สัญญาณข้อมูล (Converter) คอยทำหน้าที่ในการ เปลี่ยนรปู แบบของสญั ญาณขอ้ มูล ระหวา่ ง Digital Signal กับ Analog Signal 3.คอมพิวเตอรแ์ บบลกู ผสม (Hybrid Computer) เคร่ืองประมวลผลขอ้ มูลท่อี าศัย เทคนิคการทำงานแบบ ผสมผสาน ระหว่าง Analog Computer และ Digital Computer โดยท่วั ไปมกั ใช้ใน งานเฉพาะกิจ โดย เฉพาะงานด้าน วทิ ยาศาสตร์ เช่น เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ ในยานอวกาศ ที่ใช้ Analog Com ¬ puter ควบคุมการ หมนุ ของ ตัวยาน และใช้ Digital Computer ในการ คำนวณระยะทาง เป็นต้น การทำงาน แบบผสมผสานของ คอมพิวเตอรช์ นิดน้ี ยังคงจำเป็นตอ้ งอาศยั ตัวเปลี่ยน สัญญาณ (Converter) เชน่ เดิม แบ่งตามวตั ถุประสงค์ของการใช้งาน 1.เครือ่ งคอมพิวเตอร์เพ่อื งานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer) หมายถงึ เคร่ืองประมวลผลข้อมูลท่ีถูก ออกแบบตัวเครอื่ งและโปรแกรมควบคุมใหท้ ำงานอย่าง ใดอย่างหนึ่งเปน็ การเฉพาะ (Inflexible) โดยทว่ั ไปมักใช้ ในงานควบคุมหรืองานอุตสาหกรรม ที่เน้นการประมวลผลแบบรวดเร็วเช่นเครื่องคอมพวิ เตอร์ควบคุมสัญญาณ ไฟจราจร คอมพวิ เตอร์ ควบคุมลฟิ ท์หรือคอมพิวเตอร์ควบคมุ ระบบอตั โนมัติในรถยนต์ เป็นตน้ 2.เครอ่ื งคอมพิวเตอร์เพอื่ งานอเนกประสงค์ (General Purpose Computer) หมายถึงเครือ่ งประมวลผลข้อมูล ที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน (Flexible) โดยได้รับการ ออกแบบให้สามารถประยุกต์ใชใ้ นงานประเภทต่าง ๆ ได้โดยสะดวกโดยระบบจะทำงานตาม คำสั่งในโปรแกรมท่ีเขยี นข้นึ มาและเมอื่ ผใู้ ชต้ ้องการให้เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ ทำงานอะไรก็เพียงแต่ ออกคำสั่งเรียกโปรแกรมที่เหมาะสมเข้ามาใช้งานโดยเราสามารถเก็บโปรแกรมไว้หลาย โปรแกรมในเคร่ืองเดียวกันได้ เช่นในขณะหนึ่งเราอาจใช้เครือ่ งนี้ในงานประมวลผลเกีย่ วกบั ระบบบัญชีและใน ขณะหนึง่ กส็ ามารถใช้ในการออกเชค็ เงนิ เดือนได้ เปน็ ต้น หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ การทำงานของคอมพิวเตอร์ เริ่มจากการป้อนข้อมูลเข้าทางหน่วยป้อนข้อมูล (Input Unit) ผ่านไปยังหน่วย ประมวลผลข้อมูล (CPU: Central Processing Unit) โดยหน่วยประมวล ผลข้อมูลกลางจะทำงานร่วมกับ หน่วยความจำ(Memory Unit) เมื่อไดผ้ ลลพั ธ์ท่ีตอ้ งการ จะสง่ ขอ้ มลู ไปยังหนว่ ยแสดงผล (Output Unit) ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์ คอมพวิ เตอรถ์ กู นำมาใชป้ ระโยชนต์ ่อการดำเนนิ ชีวิตประจำวนั ในสังคมเปน็ อย่างมาก ท่พี บเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การใช้ในการพมิ พ์เอกสารต่าง ๆ เชน่ พมิ พ์จดหมาย รายงาน เอกสาร ต่าง ๆ ซง่ึ เรยี กว่างานประมวลผล (word processing) นอกจากน้ยี ังมกี ารประยุกต์ใช้ คอมพวิ เตอรใ์ นด้านต่าง ๆ อกี หลายดา้ น ดังต่อไปนี้ 1.งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่าง ๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี งาน ประมวลคำและตดิ ต่อกับหน่วยงานภายนอกผา่ นระบบ โทรคมนาคม นอกจากนี้งานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่กใ็ ช้ คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุม การผลิต และการประกอบช้ินส่วนของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โรงงานประกอบ รถยนต์ ซึ่งทำให้ การผลิตมีคุณภาพดีขึ้น หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และใช้คอมพิวเตอร์คิดดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อม โยงกันเป็นระบบ เครือข่าย 2.งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนำคอมพิวเตอร์มาใช้ ในส่วนของการคำนวณท่ี ค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของการ ส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สำหรับการตรวจรักษา โรคได้ ซึ่งจะให้ผลที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยวิธีเคมี แบบเดมิ และใหก้ ารรักษาได้รวดเรว็ ขึ้น 3.งานคมนาคมและสื่อสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดนิ ทาง จะใช้คอมพิวเตอร์ในการ จองวันเวลา ที่นั่ง ซึ่งมีการ เชื่อมโยงไปยังทุกสถานีหรอื ทุกสายการบินได้ ทำใหส้ ะดวกตอ่ ผเู้ ดินทางท่ีไม่ตอ้ งเสยี เวลารอ อีกทั้งยังใช้ในการ

14 ควบคุมระบบการจราจร เช่น ไฟสัญญาณ จราจร และการจราจรทางอากาศ หรือในการสื่อสารก็ใช้ควบคุมวง โคจรของดาวเทียมเพ่ือให้ อยใู่ นวงโคจร ซง่ึ จะชว่ ยสง่ ผลตอ่ การสง่ สัญญาณให้ระบบการสื่อสารมคี วามชดั เจน 4.งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกรสามารถใช้คอมพิวเตอร์ใน การออกแบบ หรือจำลอง สภาวการณ์ต่าง ๆ เชน่ การรับแรงสนั่ สะเทือนของอาคารเม่ือเกิด แผ่นดนิ ไหว โดยคอมพวิ เตอร์จะคำนวณและ แสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมทั้ง การใช้ควบคุมและติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่าง ๆ เชน่ คนงาน เครื่องมอื ผลการ ทำงาน 5.งานราชการ เปน็ หนว่ ยงานท่ีมกี ารใช้คอมพวิ เตอร์มากท่ีสุด โดยมกี ารใชห้ ลายรูป แบบ ทงั้ นี้ข้ึนอยู่กับบทบาท และหน้าที่ของหน่วยงานนั้น ๆ เช่น กระทรวงศึกษาธิการมีการใช้ ระบบประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้จัดระบบ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่าง ๆ, กรมสรรพากร ใชจ้ ดั ในการจดั เกบ็ ภาษี บันทกึ การเสยี ภาษี เปน็ ตน้ 6.การศึกษาได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซึ่งมีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนใน ลักษณะบทเรียน CAI หรอื งานดา้ นทะเบียน ซง่ึ ทำให้สะดวก ต่อการคน้ หาข้อมูลนักเรียน การเก็บข้อมูลยืมและ การส่งคืนหนงั สือห้องสมดุ ความหมายของโทรคมนาคม โทรคมนาคม (Telecommunications) เป็นการสง่ สารสนเทศในรปู แบบของตัวอกั ษร ภาพและเสยี งโดยใช้คลื่น แมเ่ หล็กไฟฟา้ หรอื การติดต่อสารจากทห่ี น่ึงไปยงั อีก ทห่ี นึง่ ไปยังอกี ที่ หนึ่งโดยใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ ใหไ้ หลไปตามสาย เคเบิลทองแดง เคเบิลเส้นใยแก้วนำแสง หรือโดย อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งสัญญาณไปในบรรยากาศ เช่น การส่งวทิ ยุ โทรทัศน์ การสง่ คล่นื ไมโครเวฟ และการส่งสัญญาณผ่านดาวเทยี ม โดยจดุ ทีส่ ่งข่าวสารกับจุดรับ จะอยู่ ห่างไกลกนั และข่าวสารท่ีสง่ จะเฉพาะเจาะจงผ้รู ับคนใดคนหนึ่งหรือสง่ ให้ผู้รบั ทัว่ ไปก็ได้ โทรคมนาคมเป็นการใช้สื่ออุปกรณ์รับไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร และโทรพิมพ์ เพื่อการสื่อสารในระยะไกล โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะแปลงข้อมูลรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น เสียงและภาพไปเป็น สัญญาณไฟฟ้า สัญญาณเหล่านี้จะถูกส่งไปโดยสื่อ เช่น สาย โทรศัพท์ หรือคลื่น วิทยุเมื่อสัญญาณไปถึงจุด ปลายทาง อุปกรณ์ด้านผู้รับจะรบั และแปลงกลับ สญั ญาณไฟฟ้าเหล่าน้ใี หเ้ ปน็ ขอ้ มูลที่สามารถเข้าใจได้ เช่น เป็น เสียงทางโทรศัพท์ หรือภาพบน จอโทรทัศน์ หรือข้อความและภาพบนจอคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมจะช่วยให้ บคุ คลสามารถ ตดิ ตอ่ สารกันไดไ้ ม่ว่าจะอยู่ที่ใด ๆ ในโลกในรูปแบบของข่าวสาร ความรู้ และความบันเทงิ การติดตอ่ เพ่อื การสือ่ ความหมายระหวา่ งผูส้ ง่ ข่าวสาร และผู้รบั ขา่ วสาร แต่ผู้สง่ ข่าวสาร และผู้รบั ขา่ วสารอาจจะ อยู่ในสถานทเ่ี ดยี วกนั หรืออยู่ต่างสถานท่ีกันก็ได้ หากอยู่ตา่ งสถานทีก่ นั อาจจะตอ้ งใชร้ ะบบการสือ่ สาร เช่น โทร เลข โทรศพั ท์ หรือโทรสาร เพือ่ การตดิ ตอ่ สือ่ สาร ระหวา่ งผู้ส่งขา่ วสารและผรู้ บั ขา่ วสาร คำว่า“Tele” เป็นรากศัพท์ที่มาจากภาษากรีก หมายความว่า“ไกล” หรือ “อยู่ไกลออกไป” Telecommunications สามารถให้ความหมายอย่างกวา้ ง ๆ ตามรปู ศัพท์ได้ วา่ หมายถงึ “การสอื่ สารไปยังผู้รับ ปลายทางทอี่ ยไู่ กลออกไป” สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunications Union:ITU) ได้ให้คำ จำกัดความว่า “Telecommunications” หมายถึง “การส่งข่าวสารทุก รูปแบบไม่ว่าจะเป็นเสยี งพูด ตัวอักษร สัญลักษณ์ ภาพถ่าย graphics ภาพเคล่ือนไหว (Video) ฯลฯ ไปยังปลายทาง โดยอาศัยสัญญาณไฟฟ้าหรือ สัญญาณแม่เหล็กไฟฟา้ ไมว่ า่ รปู แบบใดและ ไม่จำกัดวา่ จะไปใช้ส่ือชนดิ ใด (เช่น ระบบวิทยุ คู่สายทองแดง หรือ optical fiber ฯลฯ)” อปุ กรณโ์ ทรคมนาคม (Telecommunication Device) อุปกรณโ์ ทรคมนาคม (Telecommunication Device) จะหมายถงึ อุปกรณ์ คอมพิวเตอรท์ ี่ทำใหเ้ กดิ การ สอื่ สารแบบอิเลก็ ทรอนิกส์เกิดขึ้นได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ

15 หน่วยความเร็วในการรับส่งข่าวสารของอปุ กรณ์โทรคมนาคม มีการวดั ท่ีใช้หน่วยทเี่ รียกวา่ bit per second (bps) คอื ข่าวสาร 1 bit ต่อการส่งใน 1 วินาที thousand of bits per second (Kbps) คอื ข่าวสาร 1,000 bits ต่อการสง่ ใน 1 วินาที million of bits per second (Mbps) คือ ข่าวสาร 1,000,000 bits ตอ่ การสง่ ใน 1 วนิ าที giga of bits per second (Gbps) คือ ข่าวสาร 1,000,000,000 bits ต่อการสง่ ใน 1 วนิ าที อุปกรณ์โทรคมนาคม ประกอบดว้ ย ปจั จบุ ันมรี ะบบสือ่ สารโทรคมนาคมหลายประเภท ตัง้ แต่โทรเลข โทรศพั ท์ โทรสาร วิทยุ โทรทศั น์ และเครือข่าย คอมพวิ เตอร์ทีม่ ีรูปแบบของส่อื หลายอย่าง เช่น สายโทรศัพท์ เส้นใยแก้วนำแสง เคเบิลใตน้ ้ำคลืน่ วิทยุ ไมโครเวฟ และดาวเทยี ม อุปกรณโ์ ทรคมนาคมระบบส่ือสารโทรคมนาคม 1.โทรศัพท์มอื ถือ หรือ โทรศพั ทเ์ คลื่อนที่ (และมีการเรียก วิทยโุ ทรศพั ท์) คือ อปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการ ส่อื สารสองทางผ่าน โทรศพั ทม์ ือถือใช้คล่นื วิทยุในการติดตอ่ กบั เครือข่ายโทรศพั ท์มือถือโดยผ่านสถานฐี าน โดย เครือข่ายของโทรศัพท์มือถือแต่ละผู้ให้ บริการจะเชื่อมต่อกับเครือข่ายของ โทรศัพท์บ้านและเครือข่าย โทรศัพทม์ อื ถือของผู้ให้บริการ อื่น โทรศพั ท์มือถือทมี่ ีความสามารถเพม่ิ ขนึ้ ในลกั ษณะคอมพิวเตอร์พกพาจะถูก กลา่ ว ถึงในชือ่ สมารต์ โฟน โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันนอกจากจากความสามารถพื้นฐานของโทรศัพท์แล้ว ยังมี คุณสมบัติพ้ื นฐานของ โทรศพั ทม์ ือถอื ทเี่ พ่ิมข้ึนมา เชน่ การสง่ ขอ้ ความ ปฏิทิน นาฬิกาปลกุ ตารางนดั หมาย เกม การใช้งานอินเทอร์เนต็ บลูทูธ อินฟราเรด กล้องถา่ ยภาพ SMS วิทยุ เคร่อื งเล่นเพลง และ GPS 2.โทรสาร หรือแฟกซ์ (Fax) เป็นสื่อคมนาคมประเภทหนึ่ง ราชบัณฑิตยสถาน บัญญัติศัพท์ใช้คำว่าโทรภาพ เพราะเดิมหมายถึงภาพหรือรูปที่ส่งมาโดยทางไกล ตลอดจนหมาย ถึงกรรมวิธีในการถอดแบบเอกสารตีพิมพ์ หรือรูปภาพ โดยทางคลื่นวิทยหุ รอื ทางสาย เช่นสาย โทรศัพท์ ในสังคมสารนิเทศปัจจุบันนิยมใช้คำว่า โทรสาร แทนโทรภาพ เพราะครอบคลุม ประเภทของการส่งสารสนเทศได้มากกว่าภาพ เครื่องโทรสารมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Facsimile หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆว่า Fax (แฟกซ์) หมายถึง อุปกรณก์ ารถ่ายเอกสาร ภาพ และวัสดกุ ราฟิกดว้ ยคลืน่ อากาศความถ่ีสูง ผา่ นระบบโทรศพั ทท์ ำให้ผู้ส่งและผู้รับ ที่แม้อยหู่ า่ งกนั แคไ่ หนก็ตาม เป็นการส่งสัญญาณด้วย แสงที่มาแปลงเป็นเสียงแล้วยอ้ นกลับไปเป็นกระแสไฟฟ้า แลว้ แปลงกลับมาเปน็ เสียงและแสง อกี ครงั้ หนึง่ การส่งเอกสารผ่านทางโทรสารต้องมีหมายเลขของเครื่องรับ (เบอร์โทรศัพท์) และ ต้นฉบับท่ีเป็นเอกสาร และ การส่งแฟกซ์แต่ละคร้ัง คิดคา่ บรกิ ารตามอัตราค่าใชโ้ ทรศัพท์ ถ้าใน พ้นื ท่ีเดียวกนั กค็ รัง้ ละ 3 บาท ต่างจังหวัดคิด ตามอัตราค่าบริการโทรศัพท์ทางไกล แต่ในความ จริงสถานที่รับบริการส่งแฟกซ์จะคิดค่าบริการแพงกว่า คา่ ใช้จา่ ยจรงิ หลายเท่าตัว ปัจจบุ ันเครือ่ งโทรสารไดร้ ับความนิยมใช้ในสำนักงานกันอย่างแพร่หลาย เน่ืองจากให้ ความสะดวก รวดเร็ว และ ใหค้ วามแมน่ ยำในการสง่ ขอ้ มูลข่าวสารด้วยสที ี่เหมอื นกบั ต้นฉบับ ใช้ถ่ายเอกสารนำไปพว่ งต่อกบั เครื่อง คอมพวิ เตอร์ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ พรินเตอร์ (Printer) ชว่ ยลดปญั หา การสอ่ื สารข้อความผิดพลาด และชว่ ยใหก้ าร ติดตอ่ ส่ือสารระหว่างกนั สะดวกและรวดเรว็ ยง่ิ ขน้ึ 3.วทิ ยุ–โทรทัศน์ วิทยุ-โทรทัศน์ ดิจิตอล (Digital Broadcasting) หมายถึง การสง่ ผ่านภาพและเสียง โดยสญั ญาณดจิ ิตอลที่มี ประสิทธภิ าพสงู ภาพและเสยี งคมชดั สามารถส่งขอ้ มูลได้มากกว่าแบบ อนาล็อกในหน่งึ ช่องสญั ญาณ และทำให้ ได้คุณภาพของภาพและเสียงดกี วา่ การเปลย่ี นระบบจากอนาล็อกเปน็ ดิจติ อล เป็นกระแสของโลก ทั้งในกิจการวทิ ยุ- โทรทศั น์ตา่ งๆ ดงั นี้

16 1.ระบบแพรภ่ าพดจิ ิตอลผ่านดาวเทยี ม (The Digital Video Broadcasting - Satel lite System) หรือ DVB-S 2.ระบบแพรภ่ าพดิจติ อลผ่านสายเคเบิ้ล (The Digital Video Broadcasting - Cable System) หรอื DVB-C 3.ระบบแพร่ภาพดจิ ติ อลภาคพ้นื ดิน (The Digital Video Broadcasting - Terres trial System) หรอื DVB-T จุดใหญท่ ่จี ะทำให้ดิจิตอลทวี ีต่างจากอนาล็อกทีวมี ากคือเทคนิคในด้านนี้ ซ่ึงก็จะเริ่มเห็น จากตัวอย่างของระบบ โทรศพั ท์ที่เปลยี่ นจากอนาล็อกมา เปน็ ดจิ ิตอล ในทำนองคลา้ ยกัน โทรทัศนด์ ิจติ อลจะกลายเป็นส่อื ผสมชนิดหนึ่ง (Multimedia) โดยเปน็ สื่อผสมทม่ี ีความเรว็ สงู สดุ ส่อื ผสมในที่นจ้ี ะประกอบดว้ ยภาพ เสียงและข้อมูลภาพจะเห็น ไดจ้ าก ดิจิตอลทวี ีกจ็ ะขน้ึ เปน็ ระดบั ความคมชัดสงู (HDTV) ภาพทีร่ บั ชมกส็ ามารถโต้ตอบ (Interactive) ได้ 4.จีพีเอส (GPS) Global Positioning System หมายถึง ระบบกำหนดตำแหน่ง บนโลก โดยใช้วิธีการคำนวณ ตำแหนง่ พกิ ัดภมู ศิ าสตร์ของอุปกรณ์รับสัญญาณ จากค่าตำแหน่ง พกิ ัดจากดาวเทียมทโี่ คจรอยรู่ อบโลก ท่สี ่งผ่าน สญั ญาณนาฬิกามายังโลก จพี ี เอส เปน็ ระบบนำรอ่ งโดยอาศยั คลื่นวิทยุ และรหัสทีส่ ง่ มาจากดาวเทยี ม NAVSTAR (NAVigation Satellite Timing and Ranging) จำนวน 24 ดวงท่โี คจรอยู่เหนือพน้ื โลก สามารถ ใช้ในการหาตำแหน่งบนพ้นื โลกได้ ตลอด 24 ช่วั โมงทกุ ๆ จุดบนผิวโลก GPS (Global Positioning System) เปน็ ระบบดาวเทยี ม NAVSTAR ท่อี อกแบบและ จัดสร้างโดยกองทพั สหรัฐอเมริกา เพอื่ ใช้ในการนำทาง (Navigation) มวี ัตถุประสงค์ในการ ออกแบบคือ 1)เพอื่ ใหม้ ผี ู้ใช้ประโยชนท์ ้งั ฝ่ายทหารและพลเรือนไดเ้ ปน็ จำนวนมาก 2)เพอื่ เครื่องรับและอุปกรณ์ใช้งานไดง้ า่ ยและมรี าคาต่ำ 3)เพื่อใชไ้ ด้สะดวกไม่มขี ้อจำกดั นัน่ คือ ใช้ไดต้ ลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ขน้ึ กบั สภาพ ภูมิอากาศและสถานท่ี 4)ใหค้ วามถกู ต้องทางตำแหน่งตามเงื่อนไขท่ีฝา่ ยทหารกำหนด GPS เปน็ เพียงระบบหนง่ึ ของสหรัฐอเมริกา ที่ เรียกระบบนีว้ า่ GNSS หรอื Global Navigation Satellite System ซง่ึ ยังมอี กี หลายระบบทอ่ี ยใู่ นกลุม่ นี้ เช่น GPS เปน็ เพยี งระบบหนึง่ ของสหรัฐอเมรกิ า ที่เรียกระบบนีว้ า่ GNSS หรือ Global Navigation Satellite System ซง่ึ ยังมีอีกหลายระบบทอี่ ยูใ่ นกลุ่มนี้ เชน่ NAVSTAR - USA นิยมเรยี กว่าGPS GLONASS - Russia Galileo - European Union Beidou - China QZSS - Japanese IRNSS - Indian Regional Navigational Satellite System – India องคป์ ระกอบของ GPS จีพเี อส (GPS) มีหลกั การทำงานโดยอาศยั คล่ืนวิทยุ และรหัสทีส่ ง่ มาจากดาวเทียม NAVSTAR จำนวน 24 ดวง ท่ี โคจรอยูร่ อบโลกวนั ละ 2 รอบและมีตำแหนง่ อยู่เหนือพ้ืนโลกท่ี ความสูง 20,200 กโิ ลเมตร สามารถใช้ในการหา ตำแหน่งบนพื้นโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกๆ จุดบนผิวโลก ใช้นำร่องจากทีห่ นึ่งไปที่อืน่ ตามตอ้ งการ ใช้ติดตาม การเคลื่อนที่ของคนและ สิ่งของต่างๆ การทำแผนที่ การทำงานรังวัด (Surveying) ตลอดจนใช้อ้างอิงการวัด เวลาทเี่ ท่ยี ง ตรงทสี่ ุดในโลก องคป์ ระกอบของระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (GPS) ประกอบด้วย 3 ส่วนหลกั คอื 1.ส่วนอวกาศ (Space segment ) 2.ส่วนสถานีควบคุม (Control segment) 3.สว่ นผู้ใช้ (User segment)

17 อุปกรณ์โทรคมนาคมเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ 1.สายโทรศพั ท์ ทำหน้าทเี่ ชอ่ื มผู้เชา่ เข้ากับชมุ สายเป็นตวั นำสญั ญาณเสยี งของคู่สนทนา ใหถ้ ึงกนั สายเคเบิลที่จะ นำมาใชง้ านในกิจการโทรศพั ท์ ตอ้ งคำนึงถงึ คุณสมบัตหิ ลายประการ เชน่ ขนาดลวดทองแดง ความต้านทานของ ฉนวน ค่าคาปาซิเตอร์ในคู่สาย การทนความร้อน ของฉนวน ค่าความต้านทานและการลดทอนของลวดตัวนำ เหล่านี้ตอ้ งคำนึงถงึ ซึ่งจะมีคา่ ท่ี กำหนดไว้ ให้ พิจารณากอ่ นการนำไปใช้ งาน นอกจากนั้นเคเบิลท่ี จะนำไปใช้ งานตอ้ งมกี ารฟอรม์ เพอื่ ลดคา่ CROSS TALK และทำใหแ้ ยกคไู่ ด้ชัดเจน สายโทรศัพท์แบ่งได้สองประเภท คือวางในอากาศและวางใต้ดิน ชนิดที่วางในอากาศ ยังแบ่งออกได้เปน็ วางใน อาคารและวางนอก อาคาร ส่วนวางใต้ดินนั้นก็แบ่งออกเป็นวาง ใต้ดินและวางใต้น้ำซึ่งเคเบิลแต่ละชนิดจะทำ โครงสร้างแตกตา่ งกนั และราคาก็แตกตา่ งกนั ด้วยนอกจากนน้ั เพอื่ ความสะดวกในการใช้ งานของเคเบิลโทรศัพท์ ยงั เคลือบสีหมุ้ คู่สาย ไวอ้ กี เรยี กวา่ รหสั สขี องคู่สายโทรศัพท์ ซง่ึ สะดวกในการแยกค่สู ายใช้งานมากยิ่งขนึ้ 2.สายใยแกว้ นำแสง หรอื ออปตกิ ไฟเบอร์ หรือ ไฟเบอร์ออปตกิ เปน็ แกว้ หรือ พลาสตกิ คุณภาพสงู ยืดหยุ่นโค้ง งอได้ เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 8-10 ไมครอน (10 ไมครอน = 10 ในล้านส่วนของเมตร =10x10^-6=0.00001 เมตร = 0.01 มม.) เล็กกว่าเส้นผมที่มีขนาด 40-120 ไมครอน, กระดาษ 100 ไมครอน ใยแก้วนำแสงทำหนา้ ท่ี เป็นตัวกลางในการสง่ แสง จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ด้วยความเร็วเกอื บเท่า แสง เมื่อนำมาใช้ในการสื่อสาร โทรคมนาคม ทำให้ สามารถส่ง-รับข้อมูลได้เร็วมาก ไดร้ ะยะทางเกิน 100 กม.ในหน่ึงช่วง และเนือ่ งจากแสงเป็น ตัวนำส่ง ข้อมูล ทำให้สัญญาณแม่เหลก็ ไฟฟ้าภายนอก ไม่ สามารถรบกวนความชัดเจนของข้อมูลได้ ใยแก้วนำ แสงจงึ ถกู นำมาใช้แทนตวั กลางอ่ืนๆในการสง่ ข้อมูล 3.เคเบิลใต้น้ำ (submarine communications cable) เป็นสื่ออีกอย่างหนึ่งที่มี การใช้ในการสื่อสาร โทรคมนาคมระหว่างประเทศ มีการรับส่งสัญญาณทุกชนิดได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี เรื่อยๆ มาเป็นลำดับตั้งแต่ยุคของเคเบิลใต้น้ำชนิดแกน (coaxial cable) มาจนถึง สายเคเบิลชนิดใยแก้ว (optical fiber cable) ซึ่งมีใช้แพร่หลายทั่ว โลกเพราะเหมาะกับสภาวการณ์ปัจจุบัน และมีการพัฒนา ความสามารถให้ทันสมัย โครงข่าย เคเบิลใต้น้ำ(submarine cable networks) มีประวัติที่น่าสนใจ นับตั้งแต่ พ.ศ. 2393 มกี าร วางสายเคเบิลใต้นำ้ ท่ชี ่องแคบอังกฤษ ในขณะท่ีสายเคเบิลโทรเลขทางทรานสแอตแลนติค เสน้ แรกวางใน พ.ศ. 2410 ปัจจุบันสายเคเบิลใต้น้ำสามารถวางได้เร็วกว่าในอดีตเนื่องจาก ความ ก้าวหน้าของ เทคโนโลยี ทำใหม้ ีการวางสายเคเบิลใต้ นำ้ ในภูมภิ าคเอเชยี -แปซฟิ กิ นานกวา่ 10 ปีแล้ว และมปี ริมาณทราฟฟิก โทรศัพท์ระหวา่ งประเทศเพิ่ม ขึ้นถึง 10 เท่าตัว ทั่วโลกจะมีการลงทุนทางด้าน เคเบิลใต้น้ำใยแก้วมากกว่า 15 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐ ใน จำนวนหนึ่งกว่าครึ่งเป็นของภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิกเนื่องจากมีความเจริญเติบโต ทางดา้ น เศรษฐกจิ ทำให้ความต้องการเพม่ิ ขน้ึ อย่างรวดเร็ว 4.คลื่นวิทยุ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง ซึ่งมีคุณสมบัติกระจายไปได้เป็นระยะ ทางไกล ด้วยความเร็ว เท่ากับแสงคือ 300 ล้านเมตรต่อวินาที เครื่องส่งวิทยุจะทำหน้าที่สร้าง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงหรือ คลื่นวิทยุ (RF) ผสมกับคลื่นเสียง (Audio Frequency -AF) แล้วส่งกระจายออกไป ลำพังคลื่นเสียงซึ่งมคี วามถี่ ต่ำไม่สามารถส่งไปไกลๆ ได้ ต้องอาศัย คลื่นวิทยุเป็นพาหะจึงเรียกคลื่นวิทยุว่า คลื่นพาหะ (Carier Wave) เครื่องรบั วิทยุ จะทำหน้าท่ี รับคลนื่ วิทยแุ ละแยกคลืน่ เสยี งออกจากคล่นื วิทยใุ ห้รบั ฟงั เป็นเสยี งปกติได้ ความถ่ขี องคลืน่ หมายถงึ จำนวนรอบของการเปล่ียนแปลงของคลน่ื ในเวลา 1 นาที คล่นื เสยี งมีความถี่ช่วงท่ีหู ของคนรับฟังได้ คือ ตั้งแต่ 20 เฮิรตซ์ถึง 20 กิโลเฮิรตซ์ (1 KHz =1,000 Hz) ส่วนคลื่นวิทยุเป็นคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูง อาจมีตั้งแต่ 3 KHz ไปจนถึง 300 GHz( 1 GHz = พันล้าน Hz) คลื่นวิทยุแต่ละช่วง ความถี่จะถกู กำหนดใหใ้ ช้งานด้านตา่ งๆ ตาม ความเหมาะสม

18 5.คลื่นไมโครเวฟ เป็นคลื่นความถี่วิทยุชนิดหนึ่งที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 0.3 GHz - 300 GHz การใช้งานนั้น ส่วนมากนิยมใช้ความถี่ระหว่าง 1 GHz - 60 GHz เพราะเป็น ย่านความถี่ที่สามารถผลิตขึ้นได้ด้วยอุปกรณ์ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ 6. ดาวเทียม คือ สิ่งประดิษฐ์ที่มนุษยค์ ิดค้นขึ้น ที่สามารถโคจรรอบโลก โดยอาศัย แรงดึงดูดของโลก ส่งผลให้ สามารถโคจรรอบโลกได้ในลักษณะเดียวกันกับที่ดวงจันทร์โคจรรอบ โลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ วัตถุประสงค์ของสิ่งประดิษฐ์นี้เพื่อใช้ทางการทหาร การ สื่อสาร การรายงานสภาพอากาศ การวิจัยทาง วทิ ยาศาสตร์ เช่น การสำรวจทางธรณวี ิทยา สังเกตการณส์ ภาพของอวกาศ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดาว อืน่ ๆ รวมถึงการสงั เกต วตั ถุ และดวงดาว กาแล็กซตี า่ งๆ ส่วนประกอบของโทรคมนาคม Transmission Media หมายถงึ ตัวกลางในการสง่ สัญญาณ มีลักษณะขอ้ ดีและขอ้ เสีย แตกต่างกันไป ในการ พฒั นาระบบโทรคมนาคม การเลือกใช้ตัวกลาง ควรเลอื กให้เหมาะกับ จุดประสงค์ของการสร้างระบบสารสนเทศ ขององคก์ ร และจุดประสงคโ์ ดยรวมของการดำเนิน ธรุ กรรมขององค์กร ดว้ ยตน้ ทุนท่ีต่ำทส่ี ุด แต่สามารถ ปรบั เปล่ียนระบบดังกลา่ วให้ทนั สมยั ได้ เป็นระยะๆ ด้วย ชนดิ ของตัวกลาง คำอธบิ าย ขอ้ ดี ขอ้ เสีย Twisted-pair wire เสน้ ทองแดง 2 เสน้ มาบิด ใ ช ้ ใ น ก า ร ใ ห ้ บ ร ิ ก า ร ความเร็วและระยะทาง cable (สายทองแดงบิด เป็นเกลียวๆ มีทั้งแบบ โ ทร ศัพ ท์ มีอ ยู่ม า ก ในการส่งมีจำกดั ค)ู่ หุ้มฉนวนและแบบไม่หุ้ม (เพราะราคาไม่แพง) ฉนวน Coaxial Cable (สาย สายไฟทม่ี ีการห้มุ ฉนวน การส่งสัญญาณชัดเกว่า ราคาแพงกว่า Twisted- เคเบิลหมุ้ ฉนวน) และเร็วกว่า Twisted- pair wire cable. pair wire cable Fiber-optic cable เส้นใยแก้วขนาดเล็ก ขนาดเล็กกว่า ส่งข้อมูล มรี าคาแพงในการซื้อและ (สายใยแกว้ นาแสง) มากๆ นำมามดั รวมกนั ได้ดีกว่า มีสัญญ าณ ติดตั้ง ร บ ก ว น ไ ด ้ น ้ อ ย ก ว่ า Coaxial Cable Microwave สัญญาณของคลื่นวิทยุ ไม่ต้องเสียต้นทุนในการ ต้องไม่มีสิ่งกีดขวางใน Transmission ความถี่สูงส่งผ่านใน วางสายไฟให้ยุ่งยาก และ การส่งสญั ญาณระหว่างผู้ (สัญญาณไมโครเวฟ) บรรยากาศและอวกาศ สามาร ถส่ง สั ญ ญ า ณ สง่ และผรู้ ับ ความเรว็ สงู ได้ Cellular Transmission มีการแบ่งอาณาเขตใน ใช้ในโทรศัพท์มือถือ สัญญาณสามารถมีคลื่น (สญั ญาณเซลลูลา่ ร์) การส่ง แต่ละอาณาเขต ราคาต่ำลงเร่อื ยๆ รบกวนได้ ข้นึ อยู่ในความรับผิดชอบ ของแต่ละบริษัทเจ้าของ มือถอื Infrared Transmission สัญญาณส่งผ่านอากาศ สามาร ถเคลื่อ น ย้าย ต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง (สญั ญาณอินฟาเรด) เป็นลำแสง อุปกรณ์ที่ใช้ได้ง่าย ไม่ ระหว่างอุปกรณ์ส่งและ ต้องมีการต่อสายไฟให้ อปุ กรณ์รับเลย ยงุ่ ยาก

19 ประเภทของข้อมูล ข้อมูลในการสื่อสารโทรคมนาคมสามารถแยกไดเ้ ป็น 4 ประเภท คอื 1. ประเภทเสยี ง เชน่ เสยี งพูด เสียงดนตรี 2. ประเภทตัวอกั ษร เชน่ อักษร ตวั เลข สญั ลกั ษณ์ 3. ประเภทภาพ ทัง้ ภาพน่งิ และภาพเคล่อื นไหว 4. ประเภทรวม เป็นการสอื่ สารท้งั ตัวอักขระ ภาพและเสียง องค์ประกอบของการสอ่ื สารในระบบโทรคมนาคม องค์ประกอบของการส่ือสารในระบบโทรคมนาคม แบ่งได้ 2 สว่ น ซ่ึงทำหนา้ ท่ีดงั น้ี 1.ส่ือ หรอื พาหะ เพือ่ นำข่าวสารนนั้ ไปถึงกนั โดยใช้เคล่อื นวิทยุที่มีความถี่สงู เป็น คล่ืนพาห์ ช่วยนำสัญญาณทาง ไฟฟา้ ทสี่ ง่ มาน้นั แพรก่ ระจายไปในบรรยากาศไปยงั เครื่องรบั ได้โดยสะดวก 2.เครื่องส่งและเคร่ืองรับ จุดส่งและจดุ แต่ละจุดจะต้องมีเครื่องเข้ารหัส เพื่อเปลี่ยน ข่าวสารนั้นให้เป็นสัญญาณ ทางไฟฟ้าเสียก่อน เพื่อฝากสัญญาณไปกับคลื่นพาห์ ด้วยการกล้ำสัญญาณ โดยเคร่ืองมือที่เรียกว่า มอดูเลเตอร์ เมื่อสัญญาณนั้น เสมือนเครื่องถ่ายสำเนาเอกสาร เพียงแต่ต้นฉบับที่ส่งมานั้นอยู่ห่างไกลจากผู้รับโทรสารเป็น อุปกรณ์ที่นำมา ใช้แทนเครื่อง โทรสาร (photo telegraph) ที่เคยใช้ในการส่งภาพนิ่งมาแต่เดิม ซึ่งล้าสมัยไป แล้ว อปุ กรณโ์ ทรคมนาคมโดยท่วั ไป อปุ กรณ์ หน้าทีก่ ารใช้งาน อุปกรณ์ หน้าทีก่ ารใช้งาน Model (โมเด็ม) เปลี่ยนขอ้ มลู จากรูปแบบดจิ ิตอลให้เป็นรปู แบบ อนาลอ็ ก ข้ันนี้เรียกวา่ Mudulation (โมดูเรชน่ั ) แลว้ ส่งผา่ น สายโทรศัพท์ จากนน้ั เมื่อถงึ จุดหมายก็แปลง ข้อมูลในรปู แบบอนาลอ็ กใหก้ ลบั เป็นรปู แบบดิจติ อล ขนั้ นเ้ี รยี กวา่ Demulation (ดีโมดูเรชนั่ ) Fax Modem (แฟกซ์ โมเด็ม) สามารถสง่ เอกสาร รูปภาพ แผนภมู ติ ่างๆ ผ่าน สายโทรศพั ทไ์ ด้ Multiplexer สามารถใหส้ ัญญาณโทรคมนาคมรูปแบบตา่ งๆ สง่ ผา่ น ชอ่ งทางการส่ือสารช่องทางเดยี วกนั ในเวลา เดยี วกันได้ PBX เป็นระบบสื่อสารที่จดั การการส่งขอ้ มูลและเสยี ง ภายใน อาคารขององคก์ ร และการสง่ ข้อมูลและเสยี ง จากองคก์ ร ไปยงั สถานที่อืน่ ๆ ภายนอกองคก์ ร Dedicated Line (สายเช่ือมตอ่ ทางกายภาพ) หรือบางครั้งเรยี กวา่ leased line (สายให้เชา่ ) คือ การเชื่อมต่อ สัญญาณระหวา่ ง 2 สถานที่ทางกายภาพ โดยไมต่ ้องมีการใช้ โทรศัพท์ในการหมุนเขา้ เพื่อตอ่ เหมอื นการใชโ้ มเดม็ เลย อปุ กรณ์ ณ 2 สถานท่จี ะเชอ่ื มตอ่ กนั เสมอ ส่วนใหญม่ กั ใชก้ ับการเชือ่ มตอ่ ระหวา่ งสำนกั งานใหญข่ ององค์กร ใดองค์กรหน่ึง Digital Subscriber Line (DSL) (ผู้เช่าสายสัญญาณแบบดจิ ติ อล) เชอ่ื มต่อโดย การใช้สายโทรศพั ท์ที่มอี ยู่ใน ปจั จุบัน ให้ความเรว็ ในการสง่ สัญญาณถึง 500 Kbps ในราคา ประมาณ 20 เหรยี ญสหรฐั ฯ

20 Computer Network หมายถงึ การเชอื่ มต่อโดยใช้ ตัวกลาง อุปกรณ์ และโปรแกรม คอมพวิ เตอร์ ในการ เชื่อมตอ่ เคร่ืองคอมพวิ เตอร์มากกว่า 2 เครื่องเข้าด้วยกนั เมอ่ื เครอ่ื ง คอมพิวเตอร์เชื่อมตอ่ กนั แล้ว แต่ละเครอ่ื ง สามารถแบ่งปันการใชง้ านต่าง ๆ ได้ เชน่ การแบ่ง ปนั การใช้ข้อมลู ระหว่างกนั และกนั ได้ องคป์ ระกอบขน้ั พน้ื ฐานของการสือ่ สารข้อมูล 1. ผู้สง่ สาร (Transmitter) คือ สง่ิ ที่ทำหน้าที่ส่งข้อมลู ในการสือ่ สาร เชน่ ผูพ้ ดู คอมพิวเตอร์ เครือ่ งสง่ รหัสมอส เป็นต้น 2. ผรู้ บั สาร (Receiver) คอื ส่งิ ทีท่ ำหนา้ ท่ีรับขอ้ มูลท่ีถกู ส่งมา เชน่ ผู้ฟัง เครอ่ื งรบั วิทยุ เปน็ ต้น 3. ขอ้ มูล (Message) คอื ส่ิงท่ีผู้สง่ สารตอ้ งการส่งใหผ้ ู้รบั สาร รบั ทราบ เชน่ ข้อความ ประกาศ รหสั ลบั เป็นตน้ 4. สัญญาณรบกวน (Noise) คือ สงิ่ ทท่ี ำให้เกิดการรบกวน ตอ่ ระบบและขา่ วสาร 5. สอ่ื (Medium) คือ ตัวกลางท่ีใช้ในการส่งข้อมลู ระหวา่ งผ้สู ่งสารและผรู้ บั สาร เช่น อากาศ สายไฟฟา้ สายโทรศัพท์ เปน็ ต้น 6. โปรโตคอล (Protocol) คอื กระบวนการ วิธีการ ประเภท หรือข้อกำหนดตา่ ง ๆ ท่ีตกลงกนั ระหว่างผู้ส่งและ ผรู้ ับสารเพอื่ ใช้ในการ ส่อื สารขอ้ มลู เช่น การเขียนจ่าหน้าซองจดหมาย การเข้ารหัสและการถอดรหัสข้อมลู การ ใช้ภาษา เดียวกนั ในท่ีทำงานร่วมกนั เชน่ โทรสาร วิทยุ ตดิ ตามตัว โทรศัพทเ์ คลอ่ื นท่ี อนิ เทอรเ์ นต็ วทิ ยุ กระจาย และโทรทัศน์ Remote Control เป็นตน้ กลยทุ ธ์พนื้ ฐานในการประมวลผลมี 3 กลยทุ ธ์หลกั ๆ ดงั นี้ 1. Centralized Processing (การประมวลผลแบบมีศูนย์กลาง) หมายถึง อุปกรณ์ ที่ใช้ในการประมวลผลมีอยู่ ณ สถานที่เพียงแห่งเดียว เพื่อให้มีลักษณะการควบคุมได้ดีที่สุด เช่น สถาบันการเงินต่าง ๆ มักจะใช้การ ประมวลผลวิธนี ีเ้ พราะสามารถรักษาความปลอดภัย ณ สถานทเ่ี ดยี วได้ 2. Decentralized Processing (การประมวลผลแบบกระจาย) หมายถึง อุปกรณ์ ที่ใช้ในการประมวลผลมีอยู่ หลายสถานท่ี และระบบคอมพิวเตอรแ์ ตล่ ะที่ไม่มีการเชอ่ื มตอ่ เพ่อื ติดตอ่ ส่อื สารกนั เชน่ ร้านวิดีโอซึทายา่ 3. Distributed Processing (การประมวลแบบแบง่ ปัน) อุปกรณ์ที่ใช้ในการประมวล ผลมีอยู่หลายสถานที่ แต่ ระบบคอมพิวเตอรแ์ ตล่ ะทม่ี กี ารเชือ่ มต่อเพ่อื ตดิ ต่อสอ่ื สารกัน เช่น ศูนย์โทรศัพท์มือถือ AIS ชนดิ ของการเช่อื มต่อ (Network Types) 1. LAN (Local Area Network) หมายถึง การเชือ่ มต่อคอมพิวเตอร์ภายใน สำนกั งานหรอื โรงงาน การเช่ือมต่อ แบบนี้มักใชส้ ายไฟแบบสายทองแดงบิดคู่แบบไม่มีฉนวน (Unshielded twisted-pair – UTP) เปน็ ส่วนมาก แต่ การเชื่อมต่อด้วยสายใยแก้วนำแสง ก็มีการนำมาใช้ดว้ ย การเชื่อมต่อแบบนีต้ ้องใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Network Interface Card (NIC) 2. Wide Area Network (WAN) เป็นการเชื่อมต่อในพื้นที่ที่กว้างกว่า LAN มักครอบคลุมประเทศใดประเทศ หน่ึง สามารถเช่ือมตอ่ โดยใชส้ ัญญาณไมโครเวฟ ดาวเทยี ม หรือสายโทรศัพท์ก็ได้ 3. International Networks เปน็ การเชอ่ื มตอ่ ระหวา่ งประเทศตา่ ง ๆ ซง่ึ ต้องใช้ อุปกรณ์ และโปรแกรมที่มคี วาม สลับซับซ้อนเพือ่ ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ของแตล่ ะประเทศท่ีตอ้ งการเช่ือมต่อกนั ถา้ ประเทศ ใดประเทศหนึ่งมีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของประเทศตนเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ โทรคมนาคม และ ฐานข้อมูลแบบเข้มงวดจะ เรียกการเชื่อมต่อว่ามีอุปสรรค คือ Trans border Data Flow แต่ถ้าไม่เข้มงวดจะ เรียกว่าประเทศ นั้นเป็น Data Havens หรือสวรรค์ของข้อมูล ข่าวสารเทคโนโลยีโทรคมนาคม ใช้เพื่อ ตดิ ตอ่ สอื่ สารรับ/ส่งขอ้ มลู จากทีไ่ กลออกไป เป็นการส่งของขอ้ มูลระหวา่ ง คอมพิวเตอร์ หรอื อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ที่อยู่ ห่างไกลกนั ซึง่ จะช่วยใหก้ ารเผยแพรข่ ้อมลู หรอื สารสนเทศไปยงั ผ้ใู ช้ในแหล่งตา่ ง ๆ เปน็ ไปอย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วนและทัน เหตุการณ์ (Up-to-Date) ซึ่งรูปแบบของข้อมูลที่รับ/ส่งอาจเป็นตัวเลข (Numeric Data) ตัวอกั ษร (Text) ภาพ (Image) และเสียง (Voice) ตัวอย่างเชน่ การสง่ ข้อมูลต่าง ๆ ของยานอวกาศที่อยู่

21 นอกโลกมายังเครื่องคอมพวิ เตอร์บนโลก เพื่อทำการคำนวณ และ ประมวลผล ทำให้ทราบปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว หน้าทีข่ องระบบโทรคมนาคม ทำหน้าที่ในการส่งและรับข้อมูลระหว่างจุดสองจุด ได้แก่ ผู้ส่งข่าวสาร (Sender) และ ผู้รับข่าวสาร(Receiver) จะดำเนินการจดั การลำเลยี งข้อมูลผ่านเส้นทางที่มีประสิทธิภาพท่ีสุด จดั การตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมูลที่ จะส่งและรับเข้ามา สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบข้อมูล ให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าใจได้ตรงกัน ส่วนใหญ่ใช้ คอมพิวเตอร์เปน็ ตวั จัดการ ในระบบ โทรคมนาคมส่วนใหญ่ใชอ้ ุปกรณใ์ นการรับส่งข้อมูลข่าวสารต่างชนดิ ต่าง ย่ีหอ้ กัน แต่สามารถ แลกเปลยี่ นขอ้ มูลระหว่างกันไดเ้ พราะใช้ชดุ คำส่งั มาตรฐานชุดเดียวกัน กฎเกณฑ์มาตรฐาน ใน การสื่อสารนี้เรียกว่า “โปรโตคอล (Protocol)” อุปกรณ์แต่ละชนิดในเครือข่ายเดียวกันต้องใช้ โปรโตคอล อย่างเดียวกัน จึงจะสามารถสื่อสารถึงกันและกันได้ หน้าที่พื้นฐานของโปรโตคอล คือ การทำความรู้จักกับ อุปกรณ์ตัวอื่นที่อยู่ในเส้นทางการถ่ายทอดข้อมูล การตกลงเงื่อนไขใน การรับส่งข้อมูล การตรวจสอบความ ถูกต้องของข้อมูล การแก้ไขปัญหาข้อมูลที่เกิดการผิดพลาด ในขณะที่ส่งออกไปและการแก้ปัญหาการสื่อสาร ขัดข้องที่อาจเกิดขึ้นโปรโตคอลที่รู้จักกันมาก ได้แก่ โปรโตคอลในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น Internet Protocol ; TCP/IP, IP Address ทใ่ี ชก้ ันอยู่ องคป์ ระกอบและหน้าที่ของระบบโทรคมนาคม ดงั ต่อไปนี้ ตน้ กำเนดิ ขา่ วสาร (Source of Information) ส่วนนีเ้ ป็นส่วนแรกในระบบการส่ือสารโทรคมนาคม เป็นแหล่งท่ีมาของขา่ วสารต่าง ๆ ที่ผู้ส่งต้องการที่จะส่งไป ยังผรู้ ับท่ีปลายทาง ตวั อยา่ งในระบบโทรศัพทห์ รอื ระบบวิทยุกระจาย เสยี ง สว่ นนีก้ ็คือเสยี งพดู ของผูพ้ ูดท่ีต้นทาง ซึ่งจะถูกไมโครโฟนเปลยี่ นใหเ้ ป็นสญั ญาณไฟฟา้ ที่ เหมาะสม และส่งเข้าไปในระบบ หรอื ในกรณีระบบการสือ่ สาร ขอ้ มูล (Data Communication) ส่วนนอี้ าจจะเปน็ เครือ่ งคอมพิวเตอร์หรอื Data Terminal ประเภทต่าง ๆ เครอื่ งส่ง (Transmitter) เคร่ืองส่งหรือตัวส่งน้ีทำหนา้ ท่ใี นการแปลงหรอื เปลี่ยนสญั ญาณไฟฟ้าทีใ่ ชแ้ ทนขา่ วสาร จากตน้ กำเนิดข่าวสาร ให้ เป็นสัญญาณหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เหมาะสมในการส่งต่อไปยัง ปลายทาง เช่น ระบบโทรศัพท์ตัว เครอ่ื งโทรศพั ท์จะแปลงสัญญาณไฟฟ้าท่ีใชแ้ ทนเสียงพูด ให้ เปน็ สญั ญาณแม่เหล็กไฟฟ้าทเี่ หมาะสมและส่งต่อไป ยงั ปลายทาง หรอื ในระบบวทิ ยกุ ระจายเสียง สว่ นนี้ ได้แก่ เครื่องส่งวทิ ยุ สำหรับในระบบการสื่อสารข้อมลู สว่ นนี้ จะเป็น MODEM หรือ อุปกรณ์อื่นที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณไฟฟ้าที่มาจากคอมพิวเตอร์หรือ Data Terminal เพื่อให้เป็นสัญญาณแม่เหล็กไฟฟา้ ที่เหมาะสมในการผ่านระบบสื่อสญั ญาณ (Transmissions) ไปยัง ปลายทาง ระบบการส่งผา่ นสัญญาณ (Transmissions) เม่ือเครอ่ื งส่งไดเ้ ปลย่ี นหรือแปลงสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนขา่ วสารต่าง ๆ ใหเ้ ปน็ สญั ญาณ หรอื คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้า ที่เหมาะสมแล้ว สัญญาณก็จะถูกส่งผ่านระบบระบบการส่งผ่านสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับและผู้รับที่ ปลายทาง ดังนั้นระบบการส่งผ่านสัญญาณจึงถอื ได้ว่านับ เป็นส่วนที่สำคัญและจำเปน็ มากในระบบการสื่อสาร โทรคมนาคม เนอื่ งจากหากปราศจากระบบ การส่งผ่านสัญญาณหรือมีระบบการส่งผา่ นสัญญาณที่คุณภาพไม่ดี แล้ว ระบบการส่อื สาร โทรคมนาคมทีม่ ปี ระสิทธิภาพกไ็ มส่ ามารถจะเกิดขนึ้ ได้ เครื่องรับ (Receiver) สว่ นน้ีเป็นสว่ นทที่ ำการแปลงหรือเปลย่ี นสญั ญาณหรอื คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ท่ถี กู ส่งผา่ น ระบบการสง่ ผา่ นสญั ญาณ จากต้นทาง เพื่อให้กลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้แทนข่าวสารที่ถูก ส่งมาจากต้นทางทั้งนี้เพื่อส่งให้อุปกรณ์ ปลายทางทำการแปลงหรือเปล่ียนสญั ญาณไฟฟ้าน้ัน ให้ กลับมาเป็นข่าวสารที่ผรู้ ับสามารถเข้าใจความหมายได้ ในระบบโทรศัพท์ส่วนนี้ก็คอื ตัวเครื่อง รับเครื่องโทรศัพท์ ที่จะทำการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีรับได้นั้น

22 ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ที่เหมาะสมสำหรับการส่งต่อให้หฟู ัง หรือในระบบวิทยุกระจายเสียงส่วนนี้ก็คือเคร่อื งรับ วิทยุที่ จะแยกสัญญาณเสียงออกจากคลื่นวิทยุเพื่อส่งต่อให้ลำโพงสำหรับระบบการสื่อสารขอ้ มูล ส่วนนี้จะเปน็ MODEM หรืออุปกรณ์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่รับมานั้น ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ใช้ ข้อมลู ในรูปแบบทถี่ กู ต้อง และเหมาะสมสำหรบั การสง่ ต่อให้เคร่ือง คอมพวิ เตอร์หรอื Data Terminal อุปกรณ์ปลายทางและผู้รบั ทปี่ ลายทาง (Destination) ระบบการสื่อสารโทรคมนาคม เช่นในระบบโทรศัพท์ ก็คือหูฟังที่จะเปลี่ยนสัญญาณ ไฟฟ้าให้เป็นเสียงพูดท่ี เหมือนต้นทาง และผู้รับที่ปลายทางก็คือผูใ้ ช้โทรศัพท์ทีป่ ลายทาง ใน ระบบวิทยุกระจายเสียงส่วนนี้ คือลำโพง และผู้รับฟงั การรายการวิทยกุ ระจายเสยี งนนั้ สว่ น ระบบการสอ่ื สารขอ้ มูลนน้ั ในส่วนนไ้ี ดแ้ ก่เคร่ืองคอมพิวเตอร์ หรือ Data terminal ประเภท ต่าง ๆ

23 แผนการจดั การเรยี นร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยที่ 1 ช่อื หน่วย คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม สอนสัปดาหท์ ี่ 1-4 คาบรวม 16 จำนวนชั่วโมง 16 5.1 การนำเขา้ ส่บู ทเรียน 1.ผู้สอนจัดเตรยี มเอกสาร พร้อมกับแนะนำรายวิชา วิธกี ารใหค้ ะแนนและการประเมินผลที่ใชก้ ับวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการอาชีพ 2.ผู้สอนชแ้ี จงเร่อื งที่จะศกึ ษาและจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมประจำหน่วยท่ี 1 เร่อื งคอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณ์ โทรคมนาคม 3.ผู้สอนให้ผู้เรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรียนหนว่ ยท่ี 1 4.ผเู้ รยี นเตรยี มหนงั สือและฟังผู้สอนแนะนำรายวชิ า วธิ กี ารให้คะแนนและการประเมินผลทีใ่ ชก้ บั วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การจดั การอาชีพ 5.ผเู้ รียนฟังผสู้ อนชี้แจงเรอื่ งทีจ่ ะศกึ ษาและจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมประจำหนว่ ยที่ 1 เรื่องคอมพิวเตอร์และ อปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 6.ผูเ้ รยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยท่ี 1 5.2 การเรียนรู้ 1.ผสู้ อนเปดิ PowerPoint หน่วยท่ี 1 เรื่องคอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม 2.ผสู้ อนอธิบายเน้อื หาในหน่วยเรียนท่ี 1 เร่ือง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม 3.ผู้สอนให้ผู้เรียนทำแบบฝึกหัด หน่วยที่ 1 4.ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนทำกิจกรรมนำสอู่ าเซยี น หนว่ ยท่ี 1 5.ผู้สอนให้ผู้เรยี นทำกจิ กรรมเสนอแนะ 6.ผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นทำกิจกรรมบูรณาการจิตอาสา หน่วยท่ี 1 5.3 การสรปุ 1.ผูส้ อนและผเู้ รยี นร่วมกนั สรุปเน้อื ในหนว่ ยเรียนท่ี 1 เรอื่ ง คอมพิวเตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 2.ผสู้ อนใหผ้ ู้เรยี นทำแบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยท่ี 1 5.4 การวัดผลและประเมนิ ผล 1.แบบทดสอบก่อนเรยี น หนว่ ยที่ 1 2.แบบฝึกหัด หน่วยที่ 1 3.กจิ กรรมนำสอู่ าเซียน หนว่ ยที่ 1 4.กิจกรรมเสนอแนะ 5.กจิ กรรมบูรณาการจิตอาสา หน่วยที่ 1 6.แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยที่

24 แผนการจดั การเรยี นรมู้ ุ่งเน้นสมรรถนะ หนว่ ยท่ี 1 ช่อื หน่วย คอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม สอนสปั ดาหท์ ่ี 1-4 คาบรวม 16 จำนวนชว่ั โมง 16 6. สื่อการเรยี นรู้/แหล่งการเรยี นรู้ 6.1 สือ่ ส่ิงพิมพ์ 1.เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการจัดการอาชพี (ใช้ประกอบการเรยี นการ สอนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 1-8) 2.แบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยที่ 1 ใช้ขน้ั นำเข้าสู่บทเรียนข้อ 3 3.แบบฝึกหัด หนว่ ยที่ 1 ใชข้ นั้ ประยกุ ตใ์ ชข้ อ้ 1 4.กจิ กรรมนำสู่อาเซียน หนว่ ยที่ 1 ใช้ขนั้ ประยกุ ตใ์ ชข้ ้อ 2 5.กจิ กรรมเสนอแนะ ใช้ขน้ั ประยุกตใ์ ชข้ ้อ 3 6.กิจกรรมบรู ณาการจิตอาสา หนว่ ยที่ 1ใช้ขัน้ ประยุกตใ์ ช้ข้อ 4 7.แบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยที่ 1 ใช้ขน้ั สรุปผลและประเมินผลข้อ 2 6.2 สือ่ โสตทัสน์ (ถา้ มี) 1.เครอื่ งไมโครคอมพวิ เตอร์ 2.งานนำเสนอ 6.3 หุน่ จำลองหรือของจริง (ถ้ามี) - 6.4 อื่นๆ (ถ้ามี) - 7. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ) 1.เอกสารหน่วยที่ 1 คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม 8. การบูรณาการ/ความสมั พันธ์กับวิชาอ่ืน 1.บูรณาการกับวิชาภาษาไทย เร่อื ง การบอกความหมายของคอมพวิ เตอรแ์ ละโทรคมนาม การอธิบาย องคป์ ระกอบหลักของระบบคอมพวิ เตอร์และองคป์ ระกอบขน้ั พ้ืนฐานของการสอ่ื สารข้อมลู การบรรยายหลกั การ ทำงานของคอมพิวเตอรไ์ ด้ 2.บูรณาการกับวิชาวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง การจำแนกประเภทของคอมพวิ เตอร์ และการวิเคราะห์ชนิดของการ เช่ือมตอ่ 3.บรู ณาการกับวชิ าความรเู้ กี่ยวกับงานอาชพี เรอ่ื ง การใชง้ านอุปกรณโ์ ทรคมนาคมกับระบบสื่อสาร โทรคมนาคมและระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ แผนการจัดการเรยี นร้มู ุ่งเน้นสมรรถนะ หน่วยที่ 1

ชือ่ หนว่ ย คอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม 25 9. การวดั ผลและประเมนิ ผล สอนสัปดาหท์ ่ี 1-4 9.1 ก่อนเรยี น คาบรวม 16 1. เอกสารหน่วยท่ี 1 คอมพิวเตอรแ์ ละอปุ กรณ์โทรคมนาคม 2. แบบทดสอบกอ่ นเรียน หนว่ ยที่ 1 จำนวนชัว่ โมง 16 9.2 ขณะเรียน 1. เอกสารหน่วยท่ี 1 คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณโ์ ทรคมนาคม 2. แบบทดสอบกอ่ นเรียน หนว่ ยท่ี 1 9.3 หลงั เรยี น 1.แบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยท่ี 1

26 แผนการจัดการเรยี นรมู้ งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยท่ี 1 ชอ่ื หน่วย คอมพวิ เตอร์และอปุ กรณ์โทรคมนาคม สอนสัปดาห์ท่ี 1-4 คาบรวม 16 จำนวนช่วั โมง 16 10. บันทึกหลงั สอน 10.1 ผลการใช้แผนการจัดการเรยี นรู้ ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 10.2 ผลการเรยี นรู้ของนกั เรียน นกั ศกึ ษา ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 10.3 แนวทางการพัฒนาคณุ ภาพการเรยี นรู้ ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................

27 กรอบการจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการเป็นเรือ่ ง/ช้นิ งาน/โครงการ และบรู ณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง หลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ กิจกรรมนกั เรียน พอเพียง 1. นกั เรยี นใชเ้ วลาปฏบิ ัติกจิ กรรมไดเ้ หมาะสมตามลำดับข้นั ตอน ความพอประมาณ 2. นกั เรยี นแบง่ หน้าที่การทำงานภายในกลุ่มไดเ้ หมาะสมกับความสามารถ ของแตล่ ะคน 3. นักเรยี นใช้วัสดอุ ปุ กรณ์ในการปฏบิ ัติงานที่มอี ยู่อยา่ งประหยดั และ คมุ้ คา่ ความมีเหตุผล 1. ปฏิบัติกจิ กรรมได้ครบถ้วนตามขนั้ ตอนสำเร็จตามเปา้ หมาย 2. แก้ปญั หาในการทำงานให้สำเรจ็ ตามเปา้ หมาย 3. นักเรียนมคี วามรู้ความเข้าใจในเน้ือหาวชิ าเรยี นของหน่วยการเรียน 4. นักเรียนเกดิ ทักษะและกระบวนการการเรยี นรู้ 5. เลือกใช้วสั ดอุ ปุ กรณ์เหมาะสม ประหยัด ปลอดภัย การมีภูมิคุ้มกัน 1. รจู้ ักการเตรียมตัวใหพ้ รอ้ มรับผลกระทบหรอื การเปลีย่ นแปลงด้านต่าง ๆท่ีจะเกดิ ขนึ้ 2. ปรับตวั ในการทำงานกบั เพ่อื นเพื่อพรอ้ มรับการเปลี่ยนแปลงในสังคม 4. ร้คู ณุ ค่าของทรพั ยกร และรู้จักใช้อย่างคมุ้ ค่าและยง่ั ยืน 5. สรา้ งความเขม้ แข็งในห้องเรยี น เงอื่ นไขด้านความรู้และทกั ษะ จากการเรียนสัปดาห์ที่ 1-4 เรื่อง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ โทรคมนาคม ทำใหผ้ ู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับ ความหมายของคอมพิวเตอร์ ระบบคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ ประเภทของ คอมพิวเตอร์ หลกั การทำงานของคอมพวิ เตอร์ ประโยชน์ของคอมพวิ เตอร์ ความหมายของโทรคมนาคม อุปกรณ์โทรคมนาคม ส่วนประกอบของ โทรคมนาคม ชนิดของการเชื่อมต่อ เทคโนโลยีการโทรคมนาคม และ หน้าที่ของระบบโทรคมนาคม ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ สามารถใช้งานอุปกรณ์โทรคมนาคมกับ ระบบต่างๆ ได้ เง่ือนไขด้านคุณธรรม มีความตระหนกั ในคณุ ธรรม ซ่ือสตั ยส์ ุจริต และอดทนใช้สตปิ ัญญาในการ ดำเนนิ ชีวติ ความอดทน ขยัน หมน่ั เพยี ร คอื ใชค้ วามอดทนท่ีจะทำงาน และมคี วามขยนั ท่จี ะทำงานใหอ้ อกมาได้ดที ่ีสุด

28 ผลกระทบเพอ่ื ความสมดุล พรอ้ มรับการเปล่ียนแปลง ดา้ นสังคม ดา้ นเศรษฐกจิ ดา้ นวัฒนธรรม ดา้ นส่ิงแวดล้อม มคี วามรูใ้ นการวาง มีความร้ใู นการ นักเรียนรู้จกั ปฏบิ ตั ิ มีความรใู้ นการรกั ษา แผนการทำงาน เลอื กใช้วัสดอุ ุปกรณ์ ตนและกิจกรรมท่ี สง่ิ แวดล้อม และความ ความรู้ ร่วมกันเป็นกลมุ่ รู้จกั ระบบคอมพิวเตอร์ ช่วยอนรุ ักษ์ สะอาดของชั้นเรียน รบั ผิดชอบร่วมกนั ใน และเทคโนโลยี ส่ิงแวดล้อม ช้นั เรียน สารสนเทศ มีทกั ษะการเตรยี มตวั มีทักษะในการ การปฏิบัติตนและ มที ักษะปฏิบัตงิ านใน ใหพ้ ร้อมรับผลกระทบ เลือกใชว้ ัสดอุ ปุ กรณ์ กจิ กรรมที่ชว่ ย รายวชิ าอย่างรอบดา้ น หรอื การเปล่ียนแปลง ระบบคอมพวิ เตอร์ อนรุ ักษ์สิ่งแวดลอ้ ม และรอบคอบ ด้านตา่ ง ๆทจ่ี ะเกดิ ขึน้ และเทคโนโลยี ทักษะ ปรับตัวในการทำงาน สารสนเทศ กบั เพ่อื นเพอ่ื พรอ้ มรบั การเปลี่ยนแปลงใน สงั คม มีคุณธรรม ซ่ือสตั ย์ รจู้ ักการเตรยี มตวั ให้ ร้คู ณุ คา่ ของทรพั ยกร มีระเบยี บ รู้จักหน้าที่ สุจริต และอดทนใช้ สติปญั ญาในการ พร้อมรบั ผลกระทบ และรู้จกั ใชอ้ ยา่ ง สนใจใฝเ่ รยี นรู้ ดำเนนิ ชวี ติ มคี วาม หรอื การเปล่ยี นแปลง ค้มุ ค่าและยงั่ ยนื เกิดความภาคภมู ใิ นใน อดทน ขยนั หมั่น ด้านต่าง ๆที่จะ การมีส่วนรว่ ม พฤตกิ รรม เพยี ร คือใช้ความ อดทนท่ีจะทำงาน เกดิ ข้นึ ปรบั ตวั ในการ และมีความขยนั ทีจ่ ะ ทำงานกับเพือ่ นเพ่อื ทำงานใหอ้ อกมาได้ดี ทีส่ ดุ พร้อมรับการ เปลีย่ นแปลงในสงั คม สร้างความเข้มแขง็ ใน ห้องเรียน

28 แผนการจดั การเรยี นรมู้ งุ่ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยท่ี 2 ช่ือหน่วย ระบบเครอื ข่ายและสารสนเทศ สอนสปั ดาห์ท่ี 5-8 คาบรวม 32 จำนวนช่ัวโมง 16 1. สาระสำคัญ เมอื่ เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ส่วนบุคคลถูกนำมาใช้งาน ซอฟต์แวรต์ ่าง ๆ ถูกออกแบบมาสำหรับผ้ใู ชง้ าน และมี โปรแกรมส่วนน้อยท่ใี ช้ในการเชอ่ื มตอ่ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ส่วนบคุ คลหลายๆเครอ่ื ง ประกอบกับเทคโนโลยีมใี น ขณะน้ันไม่สนับสนนุ การเช่อื มต่อ เมอ่ื คอมพวิ เตอรม์ ีการใชง้ านมากข้ึนและนกั พัฒนาโปรแกรมได้พฒั นา ซอฟต์แวร์ท่ีมคี วามซบั ซ้อนมากข้ึนและรองรบั การทำงานแบบผู้ใช้หลายคน จงึ เป็นสาเหตุให้บริษัทต่าง ๆ เห็น ความสำคญั ในการเช่ือมต่อเครอื่ งคอมพวิ เตอรห์ ลายเครอ่ื งเขา้ ดว้ ยกันเป็นระบบเครือขา่ ย การตดิ ต่อสื่อสาร ขอ้ มูลหรอื การรบั ส่งสารสนเทศระหวา่ งเครื่องคอมพิวเตอรจ์ งึ กลายมาเปน็ ส่งิ ท่อี ุตสาหกรรมคอมพวิ เตอรต์ ้องให้ ความสำคญั เทคโนโลยรี ะบบเครอื ข่ายจึงเปน็ เทคโนโลยที มี่ กี ารเจรญิ เตบิ โตมากท่ีสุดในอุตสาหกรรม คอมพิวเตอร์ จึงเกิดความต้องการระบบเครือข่ายทใี่ หญข่ ึน้ เร็วขึ้น มคี วามปลอดภยั มากขึ้น และมีประสทิ ธิภาพ มากขึน้ 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.เพอ่ื ให้มคี วามรูแ้ ละความเขา้ ใจเกยี่ วกับระบบเครือข่ายและสารสนเทศ (ดา้ นพทุ ธิพิสยั ) 2.เพื่อให้มีทักษะในการเชอื่ มต่อเครือขา่ ยและใชง้ านระบบสารสนเทศท่ีใช้คอมพวิ เตอร์ (ด้านทกั ษะพสิ ยั ) 3.เพอ่ื ให้มีเจตคติท่ีดใี นการนำเทคโนโลยสี ารสนเทศและระบบเครอื ข่ายไปประยกุ ต์ใช้ (ดา้ นจติ พิสัย) 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ดา้ นความรู้ 1.อธบิ ายระบบเครือขา่ ยและระบบเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตได้ (ดา้ นความเข้าใจ) 2.บอกความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตได้ (ด้านความร)ู้ 3.บอกบทบาทของระบบสารสนเทศได้ (ด้านความร)ู้ 3.2 ด้านทักษะ 1.จำแนกประเภทของระบบเครอื ขา่ ยได้ (ด้านการวิเคราะห์) 2.วเิ คราะหผ์ ลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศได้ (ด้านการวิเคราะห)์ 3.เชอ่ื มต่อระบบเครอื ขา่ ยได้ทกุ รูปแบบ (ด้านทกั ษะ) 4.ใช้งานระบบสารสนเทศที่ใชค้ อมพวิ เตอรไ์ ด้ (ด้านทักษะ) 3.3 คณุ ลักษณะทพี่ ่งึ ประสงค์ 1.ประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ (ด้านจติ พิสัย) 2.ประยกุ ตใ์ ชร้ ะบบเครือขา่ ยในหน่วยงานรฐั ได้ (ด้านจติ พิสัย)

29 แผนการจัดการเรยี นรมู้ ุ่งเน้นสมรรถนะ หนว่ ยท่ี 2 ช่อื หน่วย ระบบเครอื ขา่ ยและสารสนเทศ สอนสปั ดาหท์ ี่ 5-8 คาบรวม 32 จำนวนชั่วโมง 16 เนอ้ื หาสาระการสอน/การเรียนรู้ ระบบเครือข่าย ระบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ อินเทอร์เนต็ เป็นระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ทมี่ ีขนาดใหญ่สามารถทำการเช่ือมตอ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ หลาย ๆเครื่องเข้าด้วยกันจนได้ชื่อว่า อินเทอร์เน็ต ซึ่งในการเชือ่ มต่อเข้ากันภายในมาตรฐานการสื่อสารของ (Protocol) เดียวกัน ซึง่ เคร่อื งคอมพิวเตอรท์ ่ีเขา้ สู่ระบบเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตสามารถรับส่งข้อมูลถึงกันได้ทั่ว โลก เช่น ข้อความ รูปแบบภาพ รูปแบบเสียง ส่งทั้งภาพและเสียง ฯลฯ ทั้งนี้ยังสามารถคน้ หาข้อมูลผ่าน ระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตได้ดว้ ยความรวดเร็ว เพยี งไมก่ น่ี าทีกส็ ามารถทำการคน้ หาข้อมลู ท่ีตอ้ งการได้ ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต อนิ เทอร์เน็ตเริ่มต้นมาจากผลทางสงครามทางการเมอื งในยุคสงครามเยน็ เมอื่ พ.ศ. 2510 โดยมีฝ่าย คอมมวิ นสิ ตแ์ ละฝา่ ยเสรีประชาธิปไตย ซงึ่ มีสหรัฐอเมรกิ าเป็นประเทศผ้นู ำ กลุ่มเสรีประชาธิปไตย และรัสเซีย เป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ ทั้งสองประเทศต่างคดิ กลัวในเรื่องของขีปนาวุธนิวเคลยี ร์ท่ีเข้ามาถล่มจุดยุทธศาสตร์ของ ทั้งสองประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันนั้นเกิดความเสียหาย กระทรวงกลาโหมของ สหรัฐอเมริกาจึงได้เริ่มโครงการวิจับและพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2512 โดยให้ช่ือ โครงการว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ซ่ึงมีจดุ มุง่ หมายในการวิจัย และพัฒนาใหเ้ กิดระบบเครือข่ายข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซึง่ จะทำให้ไดร้ ับความเสียหายน้อยที่สุดจากสงคราม นิวเคลียร์ในระหว่างการติดต่อสื่อสาร โดยระบบเครือข่ายนี้แตกต่างจากระบบทั่วไป ในด้านการสื่อสารน้ัน สามารถรับสง่ ข้อมูลระหว่างคอมพวิ เตอร์ได้โดยมีขอ้ ผิดพลาดน้อยท่ีสดุ ถึงแมว้ า่ คอมพิวเตอร์ หรือสัญญาณใน การส่ง ในแตล่ ะจดุ จะเกดิ ความเสียหายหรอื ถกู ทำลายไปบางสว่ น ซึง่ ในโครงการนี้เครอื่ งคอมพิวเตอร์ในแต่ละ เครื่องนั้นจะเชือ่ มโยงกันด้วยสายส่งข้อมูลที่แยกออกเป็นหลาย ๆ เส้น เปรียบเสมือนกับการประสานกันของ ร่างแห และเมื่อคอมพิวเตอร์เครือ่ งหนึง่ ตอ้ งสง่ สัญญาณไปยังเครื่องคอมพิวเตอรอ์ กี เคร่ืองหนงึ่ ข้อมูลที่สง่ ไปน้ัน จะถูกแบ่งออกเปน็ สว่ นย่อย ๆ ที่เรยี กวา่ Packet แลว้ ข้อมูลจะถูกทยอยส่งไปให้ปลายทางตามที่กำหนด โดย แต่ละชิ้นสว่ นของข้อมูลน้ัน อาจจะไปคนละเส้นทางแต่จะไปรวมกันท่ีปลายทางตามลำดับที่ถูกตอ้ ง แต่หากเกิด ข้อผิดพลาดระหว่างการเดินทางของข้อมูล ส่วนใดส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดจากข้อผิดพลาดทางด้านสัญญาณ รบกวน สายส่งสัญญาณเกิดความเสียหาย หรือแม้กระทั้งเครือ่ งคอมพิวเตอร์ถูกทำสายระหว่างการส่งข้อมลู เครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางจะส่งสญั ญาณกลบั มาแจ้งเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ต้นทางให้รบั รู้ และจัดการส่งข้อมูล เฉพาะส่วนทขี่ าดไปได้ใหมโ่ ดยใช้เสน้ ทางอื่นแทน ทำให้ม่นั ใจได้วา่ ขอ้ มูลนนั้ ไปถงึ ปลายทางอย่างแน่นอน เม่ือวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ไดม้ ีการทดลองเช่อื มโยง IMP (Interface Message Process) ซ่ึงเป็นการตอ่ เชื่อมถึงกนั ทางสายโทรศพั ท์ เพือ่ ทำการส่อื สารกนั โดยเฉพาะระหว่างมหาวทิ ยาลยั 4 แหง่ โดย มโี ฮลต์ต่างชนิดกนั ที่ใช้ในระบบปฏบิ ัติการต่างกนั คอื 1. มหาวิทยาลัยยทู าห์ ทซี่ อลต์เลคซิต้ี ใชเ้ คร่อื ง DEC PDP-10 ภายใตร้ ะบบปฏบิ ตั กิ าร Tenex

30 2. สถาบันวิจยั สแตนฟอร์ด ใชเ้ ครื่อง SDS 940 และระบบปฏบิ ัติการ Genie 3. มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่ง ซานตา บาร์บารา มีเครื่อง IMB 360/75 ทำงานภายใต้ ระบบปฏบิ ัติการ OS/MVT 4. มหาวทิ ยาลัยแคลิฟอร์เนีย แหง่ แอนเจลสิ ใชเ้ คร่อื ง SDS Sigma 7 ภายใตร้ ะบบปฏิบัติการ SEX (Sigma Executive) เมื่อมีการเชื่อมต่อจากท้ัง 4 มหาวิทยาลัยข้างตน้ นีจ้ ะเห็นได้ว่าแต่ละมหาวิทยาลยั มรี ะบบปฏิบัติการ และโฮสตท์ แ่ี ตกต่างกัน ดงั นนั้ จงึ ต้องมกี ารใชซ้ อฟตแ์ วรเ์ พ่ือเชือ่ มโยงระบบปฏิบัตกิ ารและโฮสต์ให้ติดต่อสื่อสาร กนั ได้ ซ่ึงทำใหเ้ กดิ การพัฒนาเทคโนโลยสี ำหรับใช้ในการติดตอ่ สอื่ สารในครั้งนี้ เรยี กวา่ “Packet Switching” จากการทดลองให้งานเครือข่าย ARPANET จนเป็นที่พอใจแล้ว ในปี พ.ศ. 2515 กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกาได้ทำการเชื่อมตอ่ คอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยและสถาบันวจิ ัยต่าง ๆ เข้าด้วยกันถึง 50 แห่ง โดยเครือข่าย ARPANET จะใช้เพื่อการค้นหาและวิจัยทางด้านการทหารเป็นส่วนใหญ่ ในการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอรท์ ั้งหมดนี้ ARPANET ได้มีการกำหนดมาตรฐานในการรับสง่ ขอ้ มูลที่เรียกว่า Network Control Protocol หรือ NCP เพื่อเป็นการควบคุมการรับส่งข้อมูล การตรวจสอบ และการเป็นตัวกลางในการ เช่ือมตอ่ เครื่องคอมพวิ เตอร์ทกุ เครอื่ งทีต่ ่อเข้าด้วยกัน แต่มาตรฐาน NCP ยังมีขอ้ จำกัดและขอ้ ผดิ พลาดในด้าน ของจำนวนเคร่ืองที่ต่อเข้ากัน อันเป็นผลทำให้ ARPANET ไม่สามารถทีจ่ ะขยายจำนวนเคร่ืองเพื่อรองรับการ สือ่ สารออกไปได้มากนกั จนกระทง่ั ปี พ.ศ. 2525 ARPANET ได้มกี ารพฒั นาระบบการรบั สง่ ข้อมูลแบบใหม่ โดยใชช้ อื่ มาตรฐานใหมน่ ้วี า่ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet/Protocol) ซ่ึงมาตรฐาน การสื่อสารน้ีไดร้ องรับเครือ่ งคอมพวิ เตอร์ท่ตี ่างชนดิ กันใหส้ ามารถรบั ส่งข้อมลู หรือส่ือสารระหวา่ งกันได้ ซึ่งถอื ว่า เป็นสง่ิ สำคญั สำหรับอนิ เทอร์เน็ต ในปี พ.ศ. 2526 โพรโทคอล TCP/IP ไดม้ ีการยอมรับกันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2526 อาร์พาเน็ตถูกแบ่งแยกเป็น 2 เครือข่าย คือ เครือข่ายด้านการวจิ ยั และเครอื ขา่ ยของกองทพั เครือข่ายดา้ นงานวิจัยโดยใช้ชื่อว่า ARPANET สว่ นทางดา้ นเครือข่ายของกองทัพมี ชือ่ มชี ่อื เรียกใหม่วา่ “มลิ เน็ต” (MILNET) ARPANET ใหบ้ รกิ ารจนกระทง่ั ถึงจดุ ท่ีสมรรถนะของเครือข่ายไมพ่ อเพียงที่จะรับภาระการส่ือสารหลัก ของอินเทอร์เน็ตอีกต่อไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2529 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ NSF (National Science Foundation) ไดร้ ับเป็นเส้นทางหลักของการส่ือสารแทน การเติบโตของอินเทอรเ์ น็ต ในชว่ งหน่ึงปี ให้หลังของการเปลี่ยนแปลงมาใช้ TCP/IP มีจำนวนโฮสต์ในอนิ เทอรเ์ น็ต รวมกัน 213 IP โฮสต์ ในเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2529 จำนวนโฮสต์ในอินเทอรเ์ นต็ เพมิ่ ข้นึ เปน็ 1,024 โฮสต์ และในเดอื นมกราคมปี พ.ศ. 2536 จำนวนโฮสต์ในอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 1,000,000 โฮสต์ แต่ละวันจะมีโฮสต์เพ่ิมเข้าสู่ระบบและมีผู้ใช้ รายใหม่เกดิ ข้นึ อย่างต่อเนือ่ ง จำนวนโฮสตโ์ ดยประมาณภายในอนิ เทอร์เน็ตนับจากปี พ.ศ. 2524 ถึง 2537 มี การขยายตัวเพม่ิ ขึ้นแบบเอ็กโปรเนนเซียล นบั ต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2529 จำนวนโฮสต์ได้เพ่ิมขึ้นมากกวา่ 2 เท่าตวั ในทุก ๆ ปี และยังคงเพิ่มขึน้ อยา่ งไมห่ ยุดย้ัง จำนวนโฮสต์โดยประมาณใน พ.ศ. 2538 คาดว่ามีราวหกล้าน เครื่อง หากประเมินว่าโฮสต์หนึ่งมีผู้ใช้เฉลี่ย 5-8 ราย จะประมาณว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทัว่ โลกอยูก่ ว่า 30 ล้านคน การขยายตัวของอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันอยู่ในอัตรา 10-15 % ต่อเดือน ปัจจุบันนี้ได้เป็นผู้วาง มาตรฐานการเช่ือมตอ่ ระหวา่ ง เครือข่ายทำหน้าท่ีคน้ ควา้ วิจัยสิง่ ใหม่ เพอ่ื รองรบั อนิ เทอรเ์ นต็ ในอนาคต ความเปน็ มาของอนิ เทอรเ์ น็ตในประเทศไทย นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ประเทศไทยได้ติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในลักษณะการใช้บริการจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์ สถาบันที่ติดต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในลักษณะดังกล่าวคือ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ วทิ ยาเขตหาดใหญ่ (PSU) และสถาบันเทคโนโลยีแหง่ เอเชยี หรอื สถาบนั เอไอที (AIT) การติดต่ออินเทอร์เน็ตของทั้งสองสถาบันเป็นการใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์โดยความร่วมมือกับ

31 ประเทศออสเตรเลียตามโครงการ IDP ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงเครือข่ายด้วยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่นั้น ได้ยื่นขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกใน ประเทศไทยโดยไดร้ ับที่อยู่อินเทอร์เน็ต sritrang.psu.th ซึ่งนับว่าเป็นที่อยู่อินเทอรเ์ น็ตแห่งแรกของประเทศ ไทย ตอ่ มาปี พ.ศ. 2534 บรษิ ัท DEC (Thailand) จำกัด ได้ขอท่ีอยู่อินเทอรเ์ น็ตเพอื่ ใช้ในกจิ การของบริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เนต็ เป็น dect.co.th โดยที่คำ “th” เป็นส่วนที่เรียกว่า โดเมน (Domain) ซึ่งเป็น ส่วนแสดงโซนของเครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ ในประเทศไทยโดยคำว่า “th” เปน็ รหัสทย่ี อ่ มาจากคำว่า Thailand ปี พ.ศ. 2535 นับว่าเป็นปีที่อินเทอร์เน็ตเข้ามาในประเทศไทยอย่างเต็มตัว โดยจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยไดจ้ ัดตั้งเครอื ข่ายและไดเ้ ชา่ สาย “ลสี ไลน”์ (Leased Line) ซึ่งเปน็ สายความเรว็ สูงเพื่อเช่ือมต่อ กับอินเทอร์เน็ต โดยเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย “ยูยูเน็ต” (UUNET) ของบริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี จำกัด (UUNET Technologies Co.,Ltd.) ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐเวอร์จีเนีย ประเทศสหรัฐอเมริการ การเชื่อมต่อใน ระยะแรกโดยลสี ไลน์ความเรว็ 9600 bps (bps : bit per second) ปจั จุบนั จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัยไดข้ ยาย เครอื ข่ายโดยต้งั ชือ่ ว่า “จุฬาเนต็ ” (ChulaNet) และได้ปรับปรงุ ความเรว็ ของลีสไลน์จาก 9600 bps ไปเป็น ความเร็ว 64 Kbps และ 128 Kbps ตามลำดับ ในปีเดียวกันได้มีสถาบันการศึกษาหลายแห่งขอเชื่อมต่อ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาเหล่านี้คือ สถาบันเอไอที (AIT) มหาวิทยาลยั มหิดล (MU) มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ (CMU) สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ วิทยาเขตเจ้าคุณ ทหารลาดกระบงั (KMITL) และมหาวทิ ยาลัยอัสสัมชัญบรหิ ารธุรกิจ (AU) โดยเรยี กเครอื ข่ายนีว้ ่า เครือข่าย “ไทยเน็ต” (THATNET) ในปัจจุบันเครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษาเพียง 4 แห่งเท่าน้ัน ส่วนใหญ่ย้ายการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตโดยผ่านเนตเทค (NECTEC) หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และ คอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดังนั้น เครือข่ายไทยเน็ตจึงมีขนาดเล็ก จึงนับว่าเครือข่ายไทยเน็ตเป็นเครือข่ายที่มี “เกตเวย์” (Gateway) หรือประตสู ่เู ครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตเป็นแหง่ แรกของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2535 เปน็ ปีเริ่มต้นของการจดั ตงั้ กลุม่ จดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์ เพอื่ การศกึ ษาและวจิ ยั โดยมี ชอื่ ว่า “เอ็นดบั เบลิ ยูจ”ี (NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยหน่วยงานของรัฐท่มี ีชอื่ ว่า “ศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ” หรือ “เนคเทค” (NECTEC : National Electronic and Computer Technology Centre) สังกดั กระทรวงวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยใี นสมยั กลุม่ เอ็นดับเบลิ ยูจี ได้จัดต้งั เครอื ขา่ ยชื่อวา่ “ไทยสาร” (ThaiSarn : Thai Social scientific and Research Network) สำหรับเครอื ข่ายไทยสารได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 โดยสถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้า วทิ ยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) ซึ่งไดร้ ับการสนบั สนุนทุนวิจัยเก่ยี วกับระบบเครอื ข่ายจากเนคเทค โดยมีจุดประสงค์ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ระหว่างมหาวิทยาลัยและองค์กรสำคัญ ๆ ในประเทศไทยเข้า ด้วยกัน โดยจะมีเนคเทคเป็นศูนย์กลางการดำเนินงาน การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ระหว่างกันเช่นนี้เพื่อการ ติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ซึ่งเนคเทคได้สนับสนุนการจัดตั้งกลุ่ม NEWgroup (NECTEC E-mail Group) ในปี พ.ศ. 2534 โดยมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดย วธิ ี “จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส”์ (Electronic mail หรือ E-mail) ในตอนแรกกลุ่ม NEWgroup ประกอบดว้ ย สมาชิกสถาบันการศึกษา จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU) สถาบันเอไอที (AIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU) สถาบันพัฒนาบริหารศาสตร์ (NIDA) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CMU) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (PSU) และสถาบัน เทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) เป็นต้น ซึ่งต่อมากลุ่ม Newsgroup ได้เปลี่ยนชื่อย่อเป็น “เอ็นดับเบิลยูจี” ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ในตอนเริ่มแรกของการพัฒนาระบบ เครือข่ายของไทยสารเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยอุปกรณ์เชื่อมต่อชนิดที่เรียกว่า “โมเด็ม” (Modem) โดย เชื่อมต่อด้วยระบบ “ยูยูชีพี” (UUCP : Unix to Unix Copy) ซึ่งต่อมาได้เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

32 ผ่านเกตเวยข์ องจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั เมื่อปี พ.ศ. 2536 และปจั จบุ ันเครือข่ายไทยสารไดเ้ ช่ือมต่อเข้ากับ เครือข่ายอินเทอร์โดยเชื่อมโยงกับเครือข่าย “ยูยูเน็ต” ของบริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี จำกัด ปัจจุบัน เครือขา่ ยไทยสารเชื่อมโยงกับสถาบนั ต่าง ๆ มากว่า 30 แห่ง โดยมสี ถาบนั การศกึ ษาและองค์กรของรัฐเป็น สมาชิกเครือข่ายไทยเน็ตกับ ไทยสาร ซึ่งเป็นผลดีต่อการสื่อสารระหว่างสมาชิกในเครือข่ายไทยเน็ตและ ไทยสาร โดยมีผลทำให้การสื่อสารระหว่างเครือข่ายเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น มาเช่นนั้นแล้ว การสื่อสาร ระหว่างเครอื ขา่ ยท้ังสองตอ้ งผ่านอนิ เทอรเ์ นต็ ไปท่ีประเทศสหรัฐอเมรกิ าแล้ววกกลับมาประเทศไทย ซ่ึงเปน็ การ เสยี เวลาโดยใชเ่ หตุ ความหมายของระบบเครอื ขา่ ย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครอื่ งขนึ้ ไปเข้าด้วยกันดว้ ยสายเคเบลิ หรือสื่ออ่ืนๆ ทำใหค้ อมพิวเตอร์สามารถรับส่งขอ้ มลู แก่กันและกันได้ ในกรณีที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาด ใหญ่ทีเ่ ปน็ ศนู ย์กลาง เรียกคอมพิวเตอรท์ เี่ ปน็ ศนู ย์กลางนวี้ ่า โฮสต์ (Host) และเรยี กคอมพวิ เตอร์ขนาดเล็กที่เข้า มาเชื่อมตอ่ ว่า ไคลเอนต์ (Client) ลกั ษณะการเชือ่ มต่อของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จุดปลายทางของการรับ-ส่งข้อมูล เรียกว่าโหนด (Node) ซึ่งการที่จะทำให้แต่ละโหนดติดต่อรับ-ส่ง ขอ้ มูลถงึ กนั ไดน้ ั้นต้องมกี ารเชอื่ มต่อที่เป็นระบบ ในระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์นี้ สามารถแบ่งลักษณะของการ เช่ือมโยงออกเปน็ 4 ลกั ษณะ คอื 1.เครือข่ายแบบดาว (Star Network) จะมีคอมพิวเตอร์หลักที่เป็นโฮสต์ (Host) ต่อสายสื่อสารกับ คอมพิวเตอร์ย่อยที่เป็นไคลเอนต์ (Client) คอมพิวเตอร์ที่เป็นไคลเอนต์แต่ละเครื่องไม่สามารถติดต่อกันได้ โดยตรง การติดต่อจะตอ้ งผ่านคอมพิวเตอร์โฮสตท์ เี่ ปน็ ศนู ย์กลาง ขอ้ ดีของเครอื ข่ายแบบดาว 1) มีความคงทนสูง คอื หากสายเคเบิลของบางโหนดเกิดขาดกจ็ ะไม่ส่งผลกระทบตอ่ ระบบโดยรวม โดย โหนดอืน่ ๆ ก็ยงั สามารถใชง้ านไดต้ ามปกติ 2) เนอ่ื งจากมจี ดุ ศูนยก์ ลางอยทู่ ี่ฮบั (Hub) ดงั น้ันการจดั การและการบริการจะง่ายและสะดวก ขอ้ เสียของเครอื ข่ายแบบดาว 1) ใช้สายเคเบลิ มากเท่ากบั จำนวนเครอ่ื งที่เชือ่ มต่อ ซ่งึ หมายถึงค่าใช้จ่ายทส่ี งู ขึ้นดว้ ย แต่กใ็ ช้สาย เคเบิลมากกวา่ แบบ BUS กับแบบ RING 2) การเพิ่มโหนดใดๆ จะต้องมีพอร์ตเพียงพอต่อการเช่อื มโหนดใหม่ และจะตอ้ งโยงสายจากพอร์ตของ ฮบั (Hub) มายังสถานที่ท่ีต้ังเครอื่ ง 3) เนื่องจากมจี ดุ ศนู ยก์ ลางอยูท่ ี่ฮบั (Hub) หากฮบั เกิดข้อขดั ขอ้ งหรือเสียหายใช้งานไม่ไดค้ อมพวิ เตอร์ ต่างๆ ทีเ่ ช่ือมต่อเข้ากับฮับ (Hub) ดงั กล่าวกจ็ ะใช้งานไมไ่ ดท้ ้ังหมด 2. เครือขา่ ยแบบวงแหวน (Ring Network) เป็นเครือขา่ ยที่เช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ด้วยสายเคเบิลเดียว ในลักษณะวงแหวนไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นศูนย์กลาง ข้อมูลจะต้องผ่านไปยังคอมพิวเตอรร์ อบๆ วงแหวน และผา่ นเครื่องคอมพวิ เตอรท์ ุกเครื่องเพื่อไปยังสถานีทีต่ ้องการ ซึง่ ขอ้ มลู ทส่ี ง่ ไปจะไปในทศิ ทางเดยี วกัน การว่ิง ของข้อมูลในเครือข่ายวงแหวนจะใช้ทิศทางเดียวเท่านั้นเมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งส่งข้อมูล มันจะส่งไปยัง เครื่องคอมพิวเตอร์ตัวถัดไป ถ้าข้อมูลที่รับมาไม่ตรงตามที่คอมพิวเตอร์ต้นทางระบุมันก็จะส่งผ่านไปให้ คอมพวิ เตอรเ์ คร่อื งถัดไป ซ่ึงจะเป็นขัน้ ตอนแบบนไ้ี ปเร่อื ยๆ จนกวา่ จะถงึ คอมพิวเตอร์ปลายทาง ท่ีถูกระบุตามที่ อยจู่ ากเครอ่ื งต้นทาง ข้อดีของเครอื ขา่ ยแบบวงแหวน

33 1) แตล่ ะโหนดในวงแหวนมโี อกาสทจี่ ะส่งขอ้ มลู ได้เท่าเทยี มกนั 2) ประหยดั สายสัญญาณ โดยจะใช้สายสญั ญาณเท่ากับจำนวนโหนดทเ่ี ชอื่ มตอ่ 3) งา่ ยตอ่ การตดิ ตัง้ และการเพม่ิ /ลบจำนวนโหนด ข้อเสียของเครอื ข่ายแบบวงแหวน 1) หากวงแหวนเกดิ ขาดหรือเสยี หาย จะส่งผลตอ่ ระบบทัง้ หมด 2) ยากตอ่ การตรวจสอบ ในกรณีท่ีมีโหนดใดโหนดหนงึ่ เกิดขดั ขอ้ ง เนอื่ งจากตอ้ งตรวจสอบทีละจุดวา่ เกิดขอ้ ขัดขอ้ งอย่างไร 3. เครือข่ายแบบบัส (Bus Network) จะมีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์บนสายเคเบิล ซึ่งเรียกว่าบัส คอมพิวเตอรเ์ ครือ่ งหนึ่งๆ สามารถส่งถ่ายข้อมูลได้เป็นอิสระ ในการส่งข้อมลู นั้นจะมีเพียงคอมพวิ เตอรต์ ัวเดียว เท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ จากนั้นข้อมูลจะวิ่งไปตลอดความยาวของสายเคเบิล แล้ว คอมพิวเตอร์ปลายทางจะรบั ข้อมลู ทว่ี ่ิงผา่ นมา ข้อดีของเครือข่ายแบบบัส 1) เปน็ โครงสรา้ งทไี่ ม่ซับซอ้ น และตดิ ต้ังง่าย 2) งา่ ยต่อการเพิม่ จำนวนโหนด โดยสามารถเชือ่ มต่อเข้ากับสายแกนหลักไดท้ ันที 3) ประหยัดสายสง่ ขอ้ มูล เนอื่ งจากใช้สายแกนหลักเพียงเส้นเดยี ว ขอ้ เสยี ของเครือข่ายแบบบัส 1) หากสายเคเบิลท่เี ปน็ สายแกนหลักขาดจะส่งผลให้เครอื ขา่ ยตอ้ งหยุดชะงักในทันที 2) กรณีระบบเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดใดๆ จะหาขอ้ ผิดพลาดได้ยาก 3) ระหว่างโหนดแต่ละโหนดจะตอ้ งมีระยะห่างตามข้อกำหนด 4. เครือข่ายแบบผสม (Hybrid Network) เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ผสมผสานระหว่างรูปแบบ ต่างๆ หลายๆ แบบเข้าด้วยกัน คือจะมีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ย่อยหลายๆ เครือข่ายเพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพ สูงสดุ ในการทำงานเครอื ข่ายบริเวณกว้าง ซึ่งเครอื ข่ายทีถ่ ูกเช่ือมต่ออาจจะอยหู่ ่างกันคนละจังหวัด หรือ อาจจะ อยคู่ นละประเทศกเ็ ปน็ ได้ ประเภทของระบบเครือขา่ ย ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แบ่งตามลักษณะการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์ หรือระยะทางการเชื่อมต่อ สามารถแบง่ ได้เป็น 3 ประเภท คอื 1.1 เครอื ข่ายเฉพาะบรเิ วณหรือแลน LAN (Local Area Network) คือ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เป็น Network โดยท่ีคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องอยู่ในอาณาเขต เดยี วกันหรอื ไม่ไกลกนั นกั เช่น ภายในอาคารเดียวกนั หรืออาคารท่ีอยตู่ ิดกันโดยใช้สายเคเบ้ิลเปน็ ตัวกลางในการ เชื่อมโยง ซึ่งจะเป็นสายเคเบิ้ลทีใ่ ช้ต่อ LAN โดยเฉพาะ เช่น อาจจะเป็นสายโคแอกเชียวหรอื สาย UTP เป็นต้น ระบบ LAN นี้จะเป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของแต่ละแผนกในบริษัท เพื่อให้แต่ละแผนกสามารถทำงาน รว่ มกันได้อย่างสะดวก การทำงานท่ัวไปของเครือข่ายเฉพาะบริเวณ 3 อย่างคือ การใชฮ้ ารด์ แวรร์ ่วมกัน การใช้ แหลง่ สารสนเทศรว่ มกัน และการใช้โปรแกรมรว่ มกัน การใช้ฮาร์ดแวรร์ ่วมกนั ชว่ ยใหค้ อมพวิ เตอรส์ ่วนบุคคลแต่ละเครอ่ื งที่อยูใ่ นเครือข่ายสามารถเขา้ ถึงและใชอ้ ปุ กรณ์ซ่ึงมีราคา แพงเกินกวา่ จะสามารถจัดซ้ือหรือไมค่ ้มุ คา่ ท่จี ะจดั ซ้อื ให้กับผใู้ ช้คอมพวิ เตอร์แต่ละคน เนื่องจากมีการใชง้ านเพียง บางโอกาสเท่านน้ั เชน่ เมือ่ ผู้ใช้คอมพิวเตอรส์ ว่ นบคุ คลที่อยู่รว่ มในเครือขา่ ยแต่ละคนตอ้ งการใช้เคร่ืองพิมพ์ชนิด เลเซอร์หากใช้เครือข่ายเฉพาะบริเวณ จะใช้วิธีจัดซื้อเครื่องพิมพ์เลเซอร์มาเป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือข่าย เมื่อใดที่ผูใ้ ช้คอมพวิ เตอรส์ ่วนบุคคลทีอ่ ยู่ในระบบเครือขา่ ยต้องการใชเ้ ครื่องพิมพ์เลเซอร์สามารถขอเข้าไปใช้ใน

34 เครือข่ายได้ แสดงเครือข่ายเฉพาะบรเิ วณอย่างง่ายๆ ที่ประกอบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล 4 ชุดเชื่อมต่อกันด้วย สายตวั นำ มคี อมพวิ เตอร์ 3 ชดุ ( ชุดท่ี 1 ตงั้ อยทู่ ฝ่ี า่ ยขายและตลาด ชดุ ที่ 2 อยทู่ ี่ฝ่ายบัญชี และชดุ ที่ 3 อยทู่ ่ีฝ่าย บุคคล ) ไว้พร้อมให้ใช้ตลอดเวลา ส่วนคอมพิวเตอร์ชุดที่ 4 เรียกว่าผู้ให้บริการหรือเซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือ เรียกว่าหน่วยควบคุมเครือข่าย (network control unit) เป็นชุดที่เตรียมไว้เพื่อให้บริการและทำหน้าที่ ควบคุมดูแลและสนองความต้องการในการติดต่อสื่อสารของคอมพิวเตอร์ชุดต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ทีเ่ ปน็ ชุดสำหรับให้บรกิ ารในระบบเครือข่ายเฉพาะบริเวณดังตวั อย่าง มกี ารเช่อื มต่อกับเคร่ืองพิมพ์ เลเซอร์ ทำใหค้ อมพิวเตอรท์ ุกชดุ ในระบบเครอื ขา่ ยนีส้ ามารถใชเ้ ครอื่ งพมิ พ์เลเซอรไ์ ด้ การใชข้ ้อมูลสารสนเทศร่วมกนั ช่วยให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่ในระบบเครือข่ายทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เก็บอยู่ใน คอมพิวเตอร์เครื่องใดๆ ก็ได้ที่อยู่ในระบบเครือข่ายเดียวกัน ในทางปฏิบัติมักจะมีการใช้ร่วมกันทั้งอปุ กรณ์และ ข้อมูลสารสนเทศ ตัวอย่างในรูปแสดงให้เห็นว่ามีการเก็บบันทึกเกี่ยวกบั ยอดขายประจำวันไว้ในฮาร์ดดิสก์ของ คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าท่ีเป็นไฟล์เซิร์ฟเวอร์ ถ้าผู้ใดที่อยู่ในระบบเครือข่ายต้องการขอเข้าถึงข้อมูลชุดนี้ได้ ความสามารถในการบนั ทกึ และเข้าถงึ ข้อมูลชดุ น้ีได้ ความสามารถในการบนั ทกึ และเข้าถงึ ข้อมลู ร่วมกนั ไดน้ ี้ เป็น ลักษณะสำคญั ของระบบเครอื ข่ายเฉพาะบริเวณ การใชข้ ้อมูลสารสนเทศรว่ มกัน สว่ นใหญ่จะใชว้ ิธใี ห้บริการไฟล์ หรือวิธีบริการลูกค้าวิธีให้บริการไฟล์ (file-server) จะมีการส่งไฟล์ให้แก่ผู้ขอที่อยู่ในเครือข่ายทีละไฟล์โดย คอมพิวเตอรผ์ ้ขู อจะไปประมวลผลข้อมลู สว่ นวิธีบริการลกู คา้ (client-server) น้นั คอมพิวเตอรท์ ่เี ปน็ ผู้ใหบ้ รกิ าร จะประมวลผลขอ้ มูลใหม้ ากที่สุดเทา่ ท่จี ะทำได้กอ่ นท่ีจะส่งตอ่ ไป วิธกี ารบรกิ ารลูกคา้ น้ี จะชว่ ยลดจำนวนข้อมูลท่ี ต้องสง่ ตอ่ ไปตามเครือข่ายไดม้ าก แต่ต้องใชค้ อมพิวเตอร์ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพสงู เปน็ ผใู้ หบ้ ริการ การใชโ้ ปรแกรมรว่ มกัน ผู้ทเ่ี ปน็ สมาชิกของเครอื ขา่ ยเฉพาะบรเิ วณ สามารถใช้โปรแกรมทต่ี ้องการใช้บ่อย ๆ รว่ มกันได้ เช่น ถ้าผู้ใช้ต้องการใช้โปรแกรมประมวลคำเสมอ ๆ ก็สามารถนำโปรแกรมดังกล่าวไปตดิ ตั้งเขา้ ในเครื่องทีใ่ ห้บรกิ าร ผใู้ ช้ทุกคนก็จะสามารถเขา้ ไปทำงานในโปรแกรมประมวลคำได้ตามตอ้ งการ ซึ่งนับว่าเปน็ วิธีท่สี ะดวกรวดเร็วกว่า การที่จะบันทึกโปรแกรมไวใ้ นดิสก์และเตรียมแผ่นสำรองไว้ที่คอมพิวเตอร์ทุกเครือ่ ง เนื่องจากการใช้โปรแกรม รว่ มกนั เปน็ ส่ิงทท่ี ำกนั อยูเ่ สมอ ทั้งโปรแกรมท่ีจัดทำไว้ใชเ้ องภายในและโปรแกรมทผี่ ลิตข้นึ เพือ่ การค้า ในปัจจุบัน ผู้ผลิตโปรแกรมหลายแห่งได้ขายโปรแกรมสำหรับใช้ในระบบเครือข่าย เมื่อมีผู้ใช้โปรแกรมที่ผลิตขึ้นมาเป็น จำนวนมาก ผู้ผลติ จึงต้องกำหนดเง่อื นไขเร่อื งลิขสิทธิ์ในสถานท่ีปฏบิ ัตงิ าน (Site License) ขึ้น การคิดค่าลิขสิทธ์ิ ปกติจะนับตามจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในระบบเครือข่าย ซึ่งจะถูกกว่าการซื้อโปรแกรมตามจำนวน คอมพวิ เตอร์ทีใ่ ช้แต่ละเครื่อง 1.2 เครือขา่ ยระดับเมือง (Metropolitan Area Network : MAN) การเชื่อมต่อ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นเครือข่ายขนาดกลาง ที่มีระยะทางการเชือ่ มต่อไกลกว่า ระบบเครอื ขา่ ยทอ้ งถน่ิ (LAN) แตร่ ะยะทางยงั คงใกล้กวา่ ระบบ WAN (Wide Area Network) 1.3 เครอื ข่ายบรเิ วณกวา้ งหรอื แวน WAN (Wide Area Network) มีขอบเขตเชิงภูมิศาสตร์กว้างขวาง สามารถผสมผสานช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เช่น การใช้ สายโทรศพั ท์ไมโครเวฟดาวเทยี มเข้าดว้ ยกันได้ บริษัทท่มี ีเครอื ข่ายบรเิ วณกว้างจะรวมถึง บรษิ ัทที่ให้บริการทาง โทรศัพท์ด้วย การยกเลกิ กฎระเบยี บดา้ นโทรศัพท์ช่วยสนับสนุนใหห้ ลายบริษัทสนใจสร้างระบบเครอื ข่ายบริเวณ กวา้ งของตนเองมากขึ้น หน่วยงานท่ที ำงานดา้ นการสอ่ื สาร เชน่ เอ็มซไี อ (MCI) ได้สร้างเครอื ข่ายบริเวณกว้างข้ึน เพื่อแข่งขันกับบริษัทที่ทำงานด้านการสื่อสารอื่น ๆ บริษัทรับส่งข่าวสารบางแห่งมีบริการให้เช่าช่องทางการ ส่อื สารที่เพม่ิ การทำงานพเิ ศษข้นึ กว่าปกติท่ีเรียกว่า เครือข่ายเพิม่ คุณค่า (Value-Added Network) เช่นบริษัท ทมิ เนต และบรษิ ทั เทเลเนต มีบรกิ ารการสวทิ ช์กลุม่ ขอ้ มูล ซึ่งจะมีการรวมขอ้ มูลจากผู้ใชห้ ลาย ๆ คนเข้าด้วยกัน

35 และส่งไปตามช่องทางการสื่อสารที่มีความเร็วสูง ข้อมูลดังกล่าวจะถูกแยกและแจกจ่ายไปตามช่องทางการ สือ่ สารที่มีความเร็วตำ่ กวา่ ท่อี ยทู่ างดา้ นของผู้รับข้อมูล การใช้ช่องทางการส่อื สารความเร็วสงู ร่วมกันในลักษณะนี้ เปน็ วิธีการทปี่ ระหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการท่ผี ู้ใช้แต่ละคนจะมีช่องทางการส่อื สารความเร็วสงู ไว้เป็นของตนเอง ปัจจุบันมีการให้บริการส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายส่งข้อมูลดิจิตอลแบบรวมหรือไอเอสดีเอ็น ( Integrated Service Digital Network หรอื ISDN) ไอเอสดีเอ็น เปน็ มาตรฐานสากลสำหรบั การสง่ สัญญาณในระบบดิจิตอล ของท้ังเสยี งและข้อมูลโดยการส่งคนละชอ่ งทางและใชผ้ ู้สง่ คนละกล่มุ การเช่ือมโยงระหว่างเครือขา่ ย ในกรณีทตี่ อ้ งการเชอ่ื มโยงเครอื ข่ายต่างชดุ เข้าด้วยกัน สามารถทำได้โดยการใช้ประตูทางออกและ สะพาน ประตทู างออก (gateway) เป็นการประสมประสานอุปกรณแ์ ละโปรแกรมเข้าด้วยกนั ซ่งึ ช่วยใหผ้ ้ใู ช้ที่อยู่ ในเครือข่ายชุดหนึ่งสามารถเข้าไปยังเครือขายชุดอื่นที่แตกต่างกันได้ ตัวอย่างเช่น ใช้ประตูทางออกในการ เช่ือมตอ่ เครอื ข่ายเฉพาะบริเวณของคอมพวิ เตอร์ส่วนบุคคลไปยังเครือข่ายของเมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ได้ สะพาน (bridge) เป็นการประสมประสานอุปกรณ์และโปรแกรมที่ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายกัน ตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งมีเครือข่ายเฉพาะบริเวณ (LAN) ของฝ่ายการเงินชุดหนึ่งและของฝ่ายการตลาดอีกชุด หนงึ่ เครอื ข่ายทัง้ สองชุดมีลักษณะคล้ายกัน ในกรณีนอี้ าจใช้สะพานเชอ่ื มโยงเครือข่ายสองชุดเข้าด้วยกันมีความ เหมาะสมกว่าการเช่ือมต่อคอมพวิ เตอร์ทงั้ หมดเข้าเป็นเครือขา่ ยชุดใหญช่ ุดเดียว เพราะแต่ละฝา่ ยตอ้ งการเข้าถึง ขอ้ มูลที่อยใู่ นหนว่ ยความจำของอีกฝ่ายหนงึ่ เพียงบางโอกาสเทา่ น้ัน ประโยชนท์ ไี่ ด้รบั จากระบบเครอื ข่ายอินเทอรเ์ น็ต ระบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต เปน็ ระบบเครอื ขา่ ยที่โยงใยกันท่วั โลก ซงึ่ มบี ริการในด้านตา่ ง ๆ มากมาย ไว้บริการสำหรับผู้ที่ต้องการในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้ ระบบเครือข่าย รปู แบบตา่ ง ๆ ซ่งึ มอี ย่างหลากหลายดังน้ี ประโยชน์ด้านการอ่าน บนอินเทอร์เน็ตนั้นมีบริการที่ทำให้สามารถทำการอ่านหนงั สอื วารสารและ นิตยสาร ผ่านระบบเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ตได้มบี ริการทงั้ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ฯลฯ เช่น ComSaving เป็น ตน้ ประโยชน์ดา้ นการคน้ ควา้ ข้อมูล บนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต มบี ริการสามารถทจี่ ะเขา้ ไปใช้บริการ ค้นหาข้อมูล ผา่ นระบบเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ ได้ สามารถท่จี ะเขา้ ไปค้นหาขอ้ มลู ทสี่ นใจใน World Wide Web หรือ WWW เช่น เข้าไปค้นหาขอ้ มลู อาจเปน็ ข้อมลู ภาพและเสียง และอืน่ ๆ อีกมากมาย ประโยชน์ด้านการประชาสัมพันธ์ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น มีบริการติดต่อโฆษณา ประชาสมั พนั ธผ์ า่ นระบบเครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ ได้ องคก์ ารหรอื หน่วยงานตา่ ง ๆ นยิ มสรา้ งเวบ็ ไซต์ (Web Site) บนอนิ เตอร์เนต็ เพ่ือให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับองค์การและบริการต่าง ๆ เพอื่ ใช้ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลของ บริษทั ประโยชน์ด้านการส่งคำอวยพร ในเทศกาลต่าง ๆ บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นมีบริการส่ง การ์ดอวยพรและข้อมูลให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ มีบริการส่งการ์ดอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่าย อินเทอร์เนต็ ซง่ึ ไมม่ คี า่ ใชจ้ า่ ย หรือ บริการฝากข้อความบริการส่งเพลงทต่ี อ้ งการส่งให้คนทีไ่ ด้รบั ข้อมูล ประโยชน์ด้านข้อมูลข่าวสาร บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น มีบริการอ่านข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ จากมมุ ต่าง ๆ ไดท้ ่วั โลกโดยผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ ทใ่ี ห้บริการข้อมลู ข่าวสาร เช่น CNN ตลอดจนหนงั สอื พมิ พ์ตา่ ง ๆ ทั้งในประเทศไทยและตา่ งประเทศท่ีมีบริการข้อมลู ขา่ วสารท่ีรวดเรว็ ประโยชนด์ ้านการสำรองข้อมูลจากอินเทอรเ์ นต็ บนเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตน้ันมีการดาวนโ์ หลด ซอฟต์แวรต์ า่ ง ๆ (Software Download) ผ่านระบบเครือข่ายอนิ เทอรเ์ น็ต ซึง่ บรษิ ทั ผู้ผลิตมไี วบ้ ริการ เช่น

36 Microsoft ฯลฯ ซึ่งในระบบเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ตมีไว้บริการ ผู้ที่ต้องการดาวน์โหลดโปรแกรมเพื่อไปใช้งาน สามารถเขา้ ไปดาวน์โหลดเพอื่ ทำการศกึ ษาหาความรู้ทท่ี นั สมยั อยูเ่ สมอ ประโยชน์ดา้ นการคน้ คว้าข้อมูลจากหอ้ งสมุด บนเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ตมบี ริการคน้ หาขอ้ มูลจาก ห้องสมุด (Explorer Libraries) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซง่ึ ในบริการเครือข่ายมีหอ้ งสมุดออนไลน์ต่าง ๆ ไว้บริการเพ่อื ใหผ้ ทู้ ่ตี อ้ งการค้นหาข้อมลู และบริการอ่านหนงั สอื ใหม่ ๆ ท่มี ใี นห้องสมุดต่าง ๆ ประโยชน์ด้านการผ่อนคลาย บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น มีบริการเล่นเกม (Play Games) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต็ ทำให้สามารถใช้บรกิ ารเกมออนไลน์ เพื่อให้ความบันเทิง และการฝึกทักษะ ทางสมอง ซง่ึ เกมออนไลนม์ ีออยูห่ ลายประเภทด้วยกัน เชน่ เกมเพือ่ การศึกษา ฯลฯ เกมเหลา่ น้ีจะมีส่วนช่วย กระตุ้นการพัฒนาสมองของเด็กให้เรว็ ขึ้น และช่วยเสรมิ ทักษะความคิดในเรือ่ งของการแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้า ได้ดว้ ย ประโยชน์ด้านการซื้อสินค้า บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นมีบริการซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ (Shopping) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งจะมรี ะบบการซื้อขายสินค้าผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผู้ที่ ต้องการเข้าไปซ้ือสินค้าในระบบเครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ตนนั้ ทำการเลือกรายการสินค้าท่ีมีไวบ้ รกิ ารแล้วทำการส่ัง จา่ ยโดยใช้บัตรเครดติ ไดท้ นั ที ซง่ึ จะทำใหก้ ารซ้ือขายสินคา้ ไดต้ ลอด 24 ชว่ั โมง ประโยชน์ด้านความบันเทิง บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นมีบริการดูโทรทัศน์และฟังเพลง (Watch TV And Listen Music) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถดูโทรทศั น์ ฟังวิทยุ หรอื ดูรายการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศนต์ ่าง ๆ ประโยชนด์ า้ นการแลกเปล่ยี นขอ้ มูล มีบรกิ ารแลกเปล่ียนข้อมลู ขา่ วสาร (Exchange Message) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สามารถรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Mail กับผู้ใช้บริการ อนิ เทอรเ์ น็ตคนอืน่ ๆ ไดท้ ว่ั โลกในเวลาอันรวดเรว็ ประโยชน์ด้านการสนทนา บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นมีบริการสนทนาออนไลน์ (Chat) ผ่าน ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรวมทั้งบริการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือ E-Mail จะได้รับความนิยมมากใน ขณะนี้ จะทำให้ผูท้ ่ีใชบ้ รกิ าร Chat สามารถทจ่ี ะพูดคุยกนั ไดโ้ ดยตรง เหมาะสำหรบั การติดตอ่ สื่อสารทร่ี วดเร็ว ประโยชน์ด้านการเรียนทางไกล บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น มีบริการเรียนทางไกลบน อินเทอร์เน็ต (Distance Learning) ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ใน ประเทศ และต่างประเทศมีการใช้หลักสูตรการเรียนการสอนทางไกลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทั้งในระดบั ประกาศนยี บตั ร ปริญญาตรี ปรญิ ญาโท และปรญิ ญาเอก โดยทผ่ี เู้ รียนไม่จำเปน็ ตอ้ งเรียนทีม่ หาวทิ ยาลัย แต่ สามารถทำการเรียนผ่านระบบการเรียนการสอนทางไกลผ่านระบบออนไลนเ์ ขา้ สู่อินเทอร์เน็ตโดยเข้าเรียนตาม วนั และเวลาท่ีกำหนดการเรียนการสอน ประโยชนด์ ้านค้นหาท่อี ยู่และเบอรโ์ ทรศพั ท์ บนเครือขา่ ยอนิ เทอร์เน็ต มีบรกิ ารค้นหาท่ีอยู่และ เบอร์โทรศพั ท์ ผ่านระบบเครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ ซึ่งบนอนิ เทอรเ์ น็ตมเี วบ็ ไซต์จำนวนมากท่ีใหบ้ ริการค้นหาท่ีอยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของบุคคล องค์การ บริษัทต่าง ๆ เพียงแค่ป้อนข้อมูลของบุคคลที่ต้องการค้นหา เช่น ชื่อ และนามสกุล ชื่อเมอื ง ชือ่ รัฐ และประเทศ ลงในช่องท่กี รอกข้อมูลกส็ ามารถทจี่ ะทำการค้นหาได้ การประยุกต์ใชร้ ะบบเครอื ขา่ ยในหน่วยงานของรัฐ ผู้ใช้อีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้ระบบเครือข่ายอย่างมาก คือ หน่วยงานของรัฐ ตัวอย่างเช่นกรมสรรพากรเป็นอีก หนว่ ยงานหนึ่งที่ใชร้ ะบบเครอื ขา่ ยในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกบั ผู้เสียภาษี ระบบการเสียภาษีแบบใหม่ได้รับ การพัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียภาษีโดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ เรียกว่าระบบการกรอก ขอ้ มลู อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic filling) ซงึ่ จะชว่ ยให้ผู้เสียภาษีสามารถปอ้ นขอ้ มูลการเสียภาษีของตนเองผ่าน ระบบกรอกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยผู้เสียภาษีอาจนั่งอยู่ที่บา้ นหรอื ที่ทำงาน ซึ่งข้อมูลที่ป้อนจะส่งผ่านระบบ

37 เครือข่ายไปประมวลผลที่เคร่ืองคอมพิวเตอร์ของกรมสรรพากร การทำงานในระบบนี้ช่วยประหยัดเวลาในการ ทำงานของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรได้อย่างมาก เนื่องจากข้อมูลนั้นถูกป้อนเข้ามาโดยผู้เสียภาษีเอง จึงอยู่ใน รูปแบบอิเล็กทรอนกิ ส์ทพี่ ร้อมสำหรบั ประมวลผลได้ทนั ที และยงั มคี วามถกู ตอ้ งสงู มากด้วย นอกจากน้ีผู้เสียภาษี และกรมสรรพากรเองก็สามารถนำระบบการโอนเงนิ อเิ ล็กทรอนิกส์ มาใช้ร่วมกับระบบทำให้การชำระภาษีและ การคนื เงินภาษีส่วนเกินทำได้อยา่ งสมบรู ณแ์ บบ อุปกรณท์ ีใ่ ช้ในระบบเครือข่าย 1.โมเด็ม (Modem) โมเด็มเปน็ ฮารด์ แวร์ท่ีทำหนา้ ทีแ่ ปลงสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิ ตล เมอ่ื ขอ้ มูลถูกส่งมายังผู้รับละ แปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นแอนะล็อก เมื่อต้องการส่งข้อมูลไปบนช่องสื่อสาร กระบวนการที่โมเด็มแปลง สัญญาณดิจิตัลให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก เรียกว่า มอดูเลชัน (Modulation) โมเด็มทำหน้าที่ มอดูเลเตอร์ (Modulator) กระบวนการที่โมเดม็ แปลงสัญญาณแอนะลอ็ ก ให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก ให้เป็นสัญญาณดิจิตัล เรียกว่า ดีมอดูเลชัน (Demodulation) โมเด็มหน้าท่ี ดีมอดูเลเตอร์ (Demodulator)โมเด็มที่ใช้กันอย่าง แพร่หลายในปัจจุบันมี 2 ประเภทโมเด็กในปัจจุบันทำงานเป็นทั้งโมเด็มและ เครื่องโทรสาร เราเรียกว่า Faxmodem 2. การด์ เครอื ข่าย (Network Adapter) หรือ การ์ด LAN เป็นอุปกรณท์ ำหนา้ ที่สอ่ื สารระหว่างเครือ่ งต่างกนั ได้ไม่จำเปน็ ตอ้ งเปน็ รนุ่ หรอื ยหี่ อ้ เดยี วกนั แตห่ ากซื้อ พร้อมๆกันก็แนะนำใหซ้ อ้ื รุ่นและยหี ้อเดยี วกัน จะดกี ว่าและควรเป็น การ์ดแบบ PCI เพราะสามารถสง่ ขอ้ มูลได้ เรว็ กวา่ แบบ ISAและเมนบอรด์ รุ่นใหม่ๆมกั จะไม่มี Slot ISA ควรเป็นการด์ ทมี่ ีความเรว็ เป็น 100 Mbpsซึง่ จะมี ราคามากกว่าการ์ดแบบ 10 Mbps ไมม่ ากนกั แต่สง่ ขอมูลไดเ้ รว็ กว่า นอกจากน้ีคณุ ควรคำหนึงถงึ ขัว้ ตอ่ หรือคอน เนก็ เตอรข์ องการด์ ด้วยโดยท่ัวไปคอน เน็กเตอร์ ของการด์ LAN จะมหี ลายแบบ เชน่ BNC , RJ-45 เป็นตน้ ซึง่ คอนเนก็ เตอรแ์ ตล่ ะแบบก็จะใชส้ ายทแ่ี ตกต่างกัน 3. เกตเวย์ (Gateway) เกตเวย์ เปน็ อปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนิกสอ์ ีกอย่างหน่ึงที่ชว่ ยในการส่ือสารขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์หนา้ ทหี่ ลักคือช่วยให้ เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 2 เครอื ขา่ ยหรอื มากกว่า ซงึ่ มลี กั ษณะไมเ่ หมอื นกันสามารถตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั ไดเ้ หมือน เปน็ เครอื ข่าย เดียวกนั 4. เราท์เตอร์ (Router) เราท์เตอรเ์ ปน็ อุปกรณ์ในระบบเครอื ขา่ ยทท่ี ำหน้าทเี่ ป็นตัวเชื่อมโยงให้เครอื ขา่ ยท่ีมขี นาดหรอื มาตรฐานใน การสง่ ขอ้ มูลต่างกนั สามารถติดตอ่ แลกเปลยี่ นขอ้ มลู ระหว่างกันได้ เราท์เตอร์จะทำงานอยชู่ นั้ Network หน้าที่ ของเราเตอร์ก็คอื ปรับโปรโตคอล (Protocol) (โปรโตคอลเป็นมาตรฐานในการส่ือสารขอ้ มูล บนเครือขา่ ย คอมพวิ เตอร์) ที่ต่างกันใหส้ ามารถสื่อสารกนั ได้ 5. บรดิ จ์ (Bridge) บริดจ์มีลักษณะคล้ายเครื่องขยายสัญญาณ บริดจ์จะทำงานอยู่ในชั้น Data Link บริดจ์ทำงานคล้าย เครื่องตรวจตำแหนง่ ของขอ้ มูล โดยบริดจ์จะรบั ขอ้ มูล จากตน้ ทางและสง่ ให้กับปลายทาง โดยท่บี ริดจ์จะไม่มีการ แก้ไขหรอื เปลี่ยนแปลงใดๆแกข่ อ้ มูล บริดจ์ทำใหก้ ารเชื่อมตอ่ ระหว่างเครือขา่ ยมปี ระสิทธภิ าพลดการชนกนั ของ ข้อมูลลง บริดจ์จึงเปน็ สะพานสำหรับขอ้ มูลสองเครอื ขา่ ย 6. รีพตี เตอร์ (Repeater) รีพีตเตอร์ เป็นเครือ่ งทบทวนสญั ญาณข้อมลู ในการส่งสญั ญาณขอ้ มูลในระยะทางไกลๆสำหรับ สัญญาณ แอนะล็อกจะต้องมีการขยายสัญญาณข้อมูลที่เริ่มเบาบางลงเนื่องจากระยะทาง และสำหรับสัญญาณดิจิตัลก็

38 จะตอ้ งมกี ารทบทวนสัญญาณเพอื่ ป้องกนั การขาดหายของ สัญญาณเนอ่ื งจากการสง่ ระยะทางไกลๆเชน่ กัน รีพีต เตอรจ์ ะทำงานอย่ใู นชัน้ Physical 7. สายสญั ญาณ เป็นสายสำหรับเชอื่ มตอ่ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ต่างๆในระบบเข้าด้วยกัน หากเป็นระบบที่มีจำนวนเครื่อง มากกวา่ 2 เคร่ืองก็จะตอ้ งต่อผา่ นฮบั อีกทีหนง่ึ โดยสายสัญญาณสำหรบั เชื่อมตอ่ เครื่องในระบบเครอื ข่าย จะมอี ยู่ 2 ประเภท คือ - สาย Coax มีลักษณะเปน็ สายกลม คลา้ ยสายโทรทศั น์ สว่ นมากจะเป็นสีดำสายชนิดน้ีจะใช้กับ การ์ด LAN ท่ีใชค้ อนเน็กเตอรแ์ บบ BNC สามารถส่งสัญญาณได้ไกลประมาณ 200 เมตร สายประเภทนี้จะต้อง ใช้ตัว T Connector สำหรับเชื่อมต่อสายสัญญาณกับการ์ด LAN ต่างๆในระบบ และต้องใช้ตัว Terminator ขนาด 50 โอหม์ สำหรบั ปิดหัวและทา้ ยของสาย - สาย UTP (Unshied Twisted Pair) เปน็ สายสำหรบั การด์ LAN ที่ใช้คอนเน็กเตอร์แบบ RJ- 45 สามารถส่งสัญญาณได้ไกลประมาณ 100 เมตร หากคุณใข้สายแบบนี้จะต้องเลือกประเภทของสายอีก โดยทั่วไปนิยมใช้กัน 2 รุ่น คือ CAT 3 กับ CAT5 ซึ่งแบบ CAT3 จะมีความเร็วในการส่งสัญญาณ10 Mbps และแบบ CAT 5 จะมีความเรว็ ในการส่งข้อมลู ที่ 100 Mbps แนะนำว่าควรเลือกแบบ CAT 5 เพื่อการอัพเกรด ในภายหลังจะได้ไม่ต้องเดินสายใหม่ ในการใช้งานสายน้ี สาย 1 เสน้ จะต้องใชต้ ัว RJ - 45 Connector จำนวน 2 ตวั เพ่อื เปน็ ตัวเชอื่ มตอ่ ระหวา่ งสายสัญญาณจากการ์ด LAN ไปยังฮับหรือเคร่ืองอน่ื เช่นเดยี วกบั สายโทรศัพท์ ในกรณีเป็นการเชื่อมต่อเครื่อง 2 เคร่ืองสามารถใช้ต่อผ่านสายเพียงเส้นเดียได้แต่ถ้ามากกว่า 2 เครื่อง ก็ จำเป็นต้องตอ่ ผา่ น 8. ฮับ (HUB) เป็นอปุ กรณ์ช่วยกระจ่ายสญั ญาณไปยงั เครือ่ งต่างๆท่อี ยู่ในระบบ หากเปน็ ระบบเครือข่ายที่มี 2 เครื่อง กไ็ มจ่ ำเปน็ ต้องใช้ฮับสามารถใช้สายสัญญาณเชื่อมต่อ ถงึ กนั ได้โดยตรง แตห่ ากเป็นระบบท่ีมีมากกว่า 2 เครื่อง จำเปน็ ต้องมฮี ับเพอ่ื ทำหน้าที่เปน็ ตวั กลาง ในการเลือกซ้ือฮับควรเลือกฮับทม่ี ีความเรว็ เทา่ กับความเรว็ ของการ์ด เช่น การ์ดมีความเร็ว 100 Mbps ก็ควรเลือกใช้ฮับที่มีความเร็วเป็น 100 Mbps ด้วย ควรเป็นฮับที่มีจำนวน พอร์ตสำหรับต่อสายที่เพียงพอกับ เครื่องใช้ในระบบ หากจำนวนพอร์ตต่อสายไม่เพียงพอก็สามารถต่อพ่วง ได้ แนะนำว่าควรเลอื กซื้อฮับทส่ี ามารถตอ่ พว่ งได้ เพอ่ื รองรบั การขยายตัวในอนาคต เทคโนโลยสี ารสนเทศ ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง วิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลำดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอน เพ่ือที่จะทำให้เกดิ ประสทิ ธิภาพในเร่อื งของความรวดเร็ว ความน่าเช่อื ถอื ความถกู ตอ้ งเปน็ ตน้ สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลดิบที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวหรือ เสียงต่าง ๆ โดยผ่านการประมวลผลจากคอมพิวเตอร์ คือ ได้ผ่านการคำนวณ การจัดเรียง การเทคโนโลยี สารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีเดียวที่มีบทบาทสำคัญในทุกวงการ ดังนั้น จึงมีผลต่อลองนึกดูว่าขณะนี้นักเรียน สามารถรับข่าวสารผ่านดาวเทียมของประเทศต่าง ๆได้ทั่วโลก รับรู้ข่าวสารได้ทันที และใช้อินเทอร์เน็ต ติดต่อสื่อสารได้ทั่วโลกการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม ศีลธรรม การศึกษาและการเมืองเป็นอย่างมาก เปรยี บเทียบ เปน็ ตน้ ผลลพั ธ์ที่ได้สามารถนำไปใชป้ ระโยชนต์ ่อผทู้ ีเ่ ก่ียวข้องได้ เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology) หมายถึง วิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลำดับอย่างมรี ปู แบบและขั้นตอน เพื่อที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพใน เรื่องของความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีการนำคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร

39 โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสำหรบั การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมาทำงานรว่ มกันเพ่ือใหเ้ กดิ การแลกเปลี่ยน สารสนเทศ โดยนำขอ้ มลู ป้อนเข้าสเู่ ครือ่ งคอมพวิ เตอร์แล้วทำการประมวลผลเพ่ือใหไ้ ด้ผลลพั ธต์ ามต้องการ บทบาทของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศ (Information System: IS) คือระบบเฉพาะเจาะจงชนดิ หนึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นกลมุ่ ของส่วนประกอบพื้นฐานต่าง ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกันในการจัดเก็บจัดการประมวลผล และเผยแพร่แสดงผล ข้อมูลสารสนเทศและสนับสนุนกลไกของผลสะท้อนกลับ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ โดยทั่วไประบบ สารสนเทศประกอบดว้ ยสว่ นประกอบหลกั ๆ 3 ส่วนดว้ ยกนั คอื 1) สว่ นนำเขา้ (Input) คือ การรวบรวมและจัดเตรยี มข้อมูลดิบ เช่น การเกบ็ ขอ้ มูลจากแบบสอบถาม การขอขอ้ มลู ในระบบสอบถามเบอรโ์ ทรศัพท์ ขน้ึ อย่กู ับส่วนแสดงผลท่ตี อ้ งการสว่ นทนี่ ำเขา้ น้อี าจเปน็ ขบวนการที่ ทำด้วยตัวเองหรอื เป็นแบบอัตโนมัติ 2) การประมวลผล (Processing) เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของส่วน แสดงผลที่มีประโยชน์ เช่น ระบบคดิ เกรดเฉลี่ยสะสมของนักเรียน โดยนำเกรดเฉลี่ยของนักเรียนในแต่ละเทอม มาบวกกนั แล้วหารดว้ ยจำนวนเทอม จะได้มาเปน็ เกรดเฉลี่ยสะสมลา่ สดุ ในปีการศึกษานนั้ ๆ 3) ส่วนแสดงผล (Output) เกี่ยวขอ้ งกบั การผลิตสารสนเทศที่มีประโยชนม์ กั จะอยูใ่ นรปู ของเอกสาร หรือรายงาน เช่น งานทะเบียนเก็บผลการเรียนของนักเรียนแล้วนำมาผ่านการประมวลผลเพือ่ สรุปออกมาเป็น ใบรบั รองผลการศกึ ษาของนกั เรยี นทเี่ รียกวา่ “ใบ รบ.” ระบบสารสนเทศทีใ่ ชค้ อมพิวเตอร์ ระบบสารสนเทศทีใ่ ช้คอมพิวเตอรป์ ระกอบด้วยฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซอฟตแ์ วร์ (Software) ข้อมูล (Data) บคุ คล (People) ขบวนการ (Procedure) และการส่อื สารขอ้ มลู (Telecommunication) ซึ่งถกู กำหนด ขึน้ เพอ่ื ทำการรวบรวม จัดเกบ็ และประมวลผลขอ้ มลู ให้เปน็ สารสนเทศ 1) ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คอื อปุ กรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการรวบรวม นำเขา้ การจดั เก็บการ ประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ และแสดงสารสนเทศที่เป็นผลลัพธอ์ อกมา 2) ซอฟตแ์ วร์ (Software) คอื โปรแกรมหรือชดุ คำสั่งทีใ่ ชใ้ นการปฏบิ ัติงานร่วมกับฮาร์ดแวร์และใชใ้ น การประมวลผลข้อมลู เปน็ สารสนเทศตามที่ตอ้ งการ 3) ขอ้ มูล (Data) คอื ข้อมูลและสารสนเทศทถ่ี ูกเก็บอย่ใู นฐานข้อมลู โดยฐานข้อมูล คอื กล่มุ ของค่า ความจรงิ และสารสนเทศท่มี ีความเก่ียวข้องกนั 4) บุคคล (People) คือ ผู้ทีม่ ีสว่ นเก่ียวขอ้ งกบั การทำงานและปฏบิ ัตงิ านร่วมกับสารสนเทศ 5) ขบวนการ (Procedure) คอื กล่มุ ของคำส่ังหรือกฎท่ีแนะนำวิธีการปฏบิ ตั ิงานกับคอมพวิ เตอรใ์ น ระบบสารสนเทศ อาจไดแ้ ก่ การแนะนำการควบคุมการเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ วธิ กี ารสำรองขอ้ มลู สารสนเทศใน ระบบ และวธิ ีจัดการกบั ปัญหาที่อาจเกิดขน้ึ ได้ เป็นต้น 6) การสื่อสารข้อมูล (Telecommunication) การส่งสัญญาณอิเลก็ ทรอนิกส์เพ่อื ติดตอ่ ส่ือสาร และ สามารถเชอื่ มระบบคอมพิวเตอรเ์ ขา้ กับระบบเครือขา่ ย (Network) ทีม่ ปี ระสิทธิภาพได้ การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยกุ ต์ใช้เกือบทุกองค์กรเพื่ออำนวยความสะดวกให้กบั ผบู้ รโิ ภคและตวั ผผู้ ลติ เอง การนำเทคโนโลยสี ารสนเทศมาประยกุ ต์ใชใ้ นแต่ละสาขาวชิ าชพี น้ันจะทำประโยชน์ได้ มากหรือนอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั ความสามารถในการใช้งานของแต่ละองคก์ รเชน่ 1) งานด้านการศกึ ษา เทคโนโลยสี ารสนเทศทน่ี ำมาใช้สำหรบั การเรยี นการสอนเปน็ การใช้เทคโนโลยสี มยั ใหม่ สอนดว้ ยอุปกรณ์ที่ทันสมยั รปู แบบของสื่อทน่ี ำมาใช้ในด้านการเรยี นการสอนมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับ ความเหมาะสมในการนำมาใช้ ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี

40 1.1) คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (ComputerAssisted Instruction : CAI) การจัดโปรแกรมการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในรูปแบบของสื่อประสม หมายถึงนำเสนอได้ทั้งภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น เหมาะกับการศกึ ษาด้วยตนเอง และเปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นสามารถโต้ตอบกบั บทเรยี นได้ตลอด 1.2) การเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-based Instruction) เป็นการจัดการเรียนที่เป็นการนำเอา สื่อการเรียนการสอนที่เป็นเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนการเรียนการสอนให้เกิดการเรียนรู้สืบค้นข้อมูลและ เชือ่ มโยงเครือขา่ ยทำใหผ้ เู้ รยี นสามารถเรยี นไดท้ ุกสถานทแ่ี ละทกุ เวลา 1.3) อิเล็กทรอนิกส์บุ๊ก (E-book) หนังสือหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ผู้อ่านสามารถอ่านผ่านทาง อินเทอร์เน็ต หรืออุปกรณอ์ ิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่น ๆ ได้หนังสือหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มีความหมายรวมถึง เนอื้ หาทีถ่ ูกดดั แปลง อย่ใู นรปู แบบทส่ี ามารถแสดงผลออกมาไดโ้ ดยเคร่อื งมอื อิเลก็ ทรอนิกส์ 1.4) วดิ โี อเทเลคอนเฟอเรนซ์ หมายถึง การประชมุ ทางจอภาพระหว่างบุคคลหรือคณะบคุ คลที่อยู่ต่าง สถานทแ่ี ละห่างไกลกนั โดยใช้สือ่ ทางด้านมัลติมีเดยี ที่ใหท้ ้ังภาพเคล่ือนไหวภาพน่ิง เสียง และข้อมูลตัวอักษรใน การประชุมเวลาเดียวกัน ในด้านการเรียนการสอนทำให้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ผ่านทาง จอภาพ โทรทศั นแ์ ละเสยี ง ผ้เู รียนทีอ่ ยูห่ า่ งไกลสามารถเหน็ ภาพและเสยี งของผู้สอน สามารถเหน็ อากัปกริ ยิ าของ ผู้สอน 1.5) ระบบวิดีโอออนดีมานด์ (Video on Demand) สื่อประเภทนี้อาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ความเรว็ สูง เปน็ ระบบทม่ี ศี นู ย์กลางการเกบ็ ข้อมูลวดี ิทัศนไ์ ว้จำนวนมาก โดยจดั เก็บในรูปแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ (Video Server) เมื่อผู้ใช้ต้องการเลือกชมรายการใดก็เลือกได้จากฐานข้อมูลที่ต้องการ ระบบวิดีโอออนดีมานด์ เป็นระบบทีน่ ำมาใช้ในเร่ืองการเรยี นการสอนทางไกลได้โดยไมม่ ีข้อจำกัดด้านเวลา ผ้เู รยี นสามารถเลือกเรียนใน สิ่งทต่ี นเองต้องการเรียนหรือสนใจได้ 1.6) การสืบค้นข้อมูล (SearchEngine) การค้นหาข้อมูลผ่าน เวิลด์ ไวด์ เว็บ(World Wide Web : www) ซึ่งมีการเก็บรวบรวมไว้เป็นฐานข้อมูล ในอินเทอร์เน็ต เวิลด์ ไวด์ เว็บ มีลักษณะเป็นแบบมัลติมีเดีย สามารถสรา้ งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บได้ทงั้ ภาพ เสียง และตัวอกั ษร มีระบบการเรยี กคน้ ทีม่ ีประสิทธิภาพ โดยใช้โครงสร้างดัชนีแบบลำดับชั้นภูมิ และบันทึกร่องรอยของการสืบค้นไว้ ปัจจุบันมักใช้วิธีการสืบค้นข้อมูล เพ่ือนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประกอบในการทำเอกสารรายงานตา่ ง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว 1.7) อินเทอรเ์ น็ต(Internet) คือ เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรซ์ ง่ึ ประกอบดว้ ยเครือขา่ ย่อยและเครือข่ายใหญ่ สลับซับซ้อนมากมายเชื่อมต่อกัน โดยใช้ในการติดต่อสื่อสาร ข้อความ รูปภาพเสียงและอื่น ๆ โดยผ่านระบบ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีผู้ใช้งานกระจายกันอยู่ทั่วโลก ปัจจุบันได้มีการนำระบบอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้วง การศกึ ษากันทวั่ โลก ซงึ่ มีประโยชน์ในดา้ นการเรียนการสอนเปน็ อยา่ งมาก 2) งานทะเบยี นของสถานศึกษา 2.1) งานรับมอบตัว ทำหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานที่นักเรียนมารายงานตัว จากนั้นก็จัดเก็บประวัติ นักเรยี น เช่น ภมู ลิ ำเนา บิดามารดา ประวตั ิการศึกษาไวใ้ นแฟ้มเอกสารข้อมลู ประวัตินักเรียน 2.2) งานทะเบียนเรียนรายวิชา ทำหน้าที่จัดรายวชิ าที่ต้องเรยี นให้กบั นักเรียน ในแต่ละภาคเรียนทุก ช้ันปี ตามแผนการเรยี นของแต่ละแผนก แลว้ จัดเก็บไวใ้ นแฟม้ ข้อมลู ผลการเรียน 2.3) งานประมวลผลการเรียน ทำหน้าที่นำผลการเรียนจากครูผู้สอนมาประมวลในแต่ละภาคเรียน จากนัน้ กจ็ ัดเก็บไวใ้ นแฟ้มเอกสารข้อมลู ผลการเรยี น และแจง้ ผลการเรียนใหผ้ ู้ทีเ่ กย่ี วข้องทราบ 2.4) งานตรวจสอบผู้จบการศกึ ษาทำหนา้ ที่ตรวจสอบรายวิชา และผลการเรียนท่ีนักเรียนเรียนต้งั แต่ เร่มิ ตน้ จนกระทงั่ จบหลักสูตรจากแฟม้ เอกสารขอ้ มลู ผลการเรยี นว่าผ่านเกณฑก์ ารจบหรอื ไม่ 3) ห้างสรรพสินคา้

41 เนือ่ งจากห้างสรรพสินคา้ เปน็ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มีหลายสาขาที่จัดจำหน่ายอยู่ท่ัวประเทศ มีตัวแทน จำหน่ายและพนกั งานอยู่หลายพันคน ดงั นนั้ ข้อมลู ทเี่ กีย่ วข้องและการตัดสินใจตอ้ งทำอย่างรวดเร็วเพ่ือให้ทันต่อ เหตุการณ์ การใช้เทคโนโลยีจึงเปน็ ส่งิ ทหี่ ลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ จัดเกบ็ ฐานขอ้ มูลเก่ยี วกับสินค้าต่าง ๆ การใช้เครอ่ื งอ่านบาร์โค้ด การเช่ือมต่อเครือข่ายห้างสรรพสินค้าโดยผ่าน การเช่อื มตอ่ แบบออนไลนแ์ ละผ่านดาวเทยี ม 4) งานสาธารณสุขและการแพทย์ 4.1) ด้านการลงทะเบยี นผู้ปว่ ย ตั้งแต่เรมิ่ ทำบัตร จา่ ยยา เป็นต้น 4.2) การสนบั สนุนการรกั ษาพยาบาล โดยการเชือ่ มโยงระบบคอมพิวเตอร์ของโรงพยาบาลต่าง ๆ เข้า ด้วยกันสามารถสร้างเครอื ขา่ ยข้อมลู ทางการแพทย์ แลกเปลย่ี นขอ้ มลู ผู้ปว่ ย 4.3) สามารถให้คำปรึกษาทางไกลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีสารสนเทศจะช่วยให้แพทย์ สามารถเห็นหน้าหรือท่าทางของผปู้ ่วยได้ ชว่ ยใหส้ ่งข้อมลู ทเี่ ป็นเอกสาร หรอื ภาพเพอื่ ประกอบการพิจารณาของ แพทยไ์ ด้ 4.4) ให้ความรหู้ รอื การเรยี นการสอนทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะดาวเทยี มจะชว่ ยให้การ เรียนการสอนทางไกลด้านการแพทย์และสาธารณสุขเป็นไปได้มากขึ้นประชาชนสามารถเรียนรู้พร้อมกันได้ทั่ว ประเทศและยังสามารถโตต้ อบหรอื ซักถามได้ด้วย 4.5) การกำหนดนโยบายในการบริหารงาน อาจใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวเก็บข้อมูลต่าง ๆ ทำให้การ บริหารเป็นไปไดด้ ้วยความรวดเร็ว ถกู ตอ้ งมากย่ิงขึ้น 5) งานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศึกษาการกระจายถิ่นที่อยู่ของนก การกระจายของแบคทีเรีย การ สร้างอาณาจักรของมด ผึ้ง ชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ปา่ การพึ่งพาอาศัยกันและกนั ตลอดจนระบบนเิ วศวทิ ยา โดยใช้เครือ่ งจกั รทำงานโดยอัตโนมัตภิ ายใต้โปรแกรม 6) งานด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมการพัฒนาโทรศัพท์มือถือที่ปัจจุบันไม่ได้มีไว้สื่อสารเพียงอย่างเดียว การตดิ ต่อสือ่ สารผา่ นดาวเทียมทั้งภาพและเสยี ง 7) งานด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ ได้มีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ออกแบบสินค้า และ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยควบคุมกระบวนการผลิต เช่น ควบคุมอุณหภูมิควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ลด แรงงาน โดยใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมหุ่นยนต์ทำงาน 8) ใชใ้ นสำนกั งานภาครฐั และเอกชน การทำบัตรประจำตวั ประชาชน การเกดิ การตาย การเสยี ภาษีอากร การ ทำใบอนญุ าตขบั รถยนต์ การจ่ายค่าสาธารณปู โภคต่าง ๆ การประมวลผลคะแนนเลอื กตั้งเป็นตน้ งานเหลา่ นี้ได้มี การนำระบบสำนกั งานอัตโนมตั ิเขา้ มาใช้ เพือ่ ทำใหไ้ ดข้ อ้ มลู ข่าวสารท่ีรวดเร็ว ผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศจนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ซึ่งก่อใหเ้ กิดประโยชน์ ต่อมวลมนุษย์อย่างมหาศาลและเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงย่อมมีผลกระทบต่อบุคคล องค์กร หรอื สงั คม โดยสามารถจำแนกผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศออกเปน็ 2 ดา้ น คอื 1) ผลกระทบด้านบวก 1.1) การสรา้ งเสริมคุณภาพชวี ติ เทคโนโลยสี ารสนเทศชว่ ยให้ความเปน็ อยู่ของมนุษย์ดีขน้ึ ชว่ ยส่งเสริม ให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมีเครื่องมือและอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เช่น ลฟิ ต์ เคร่อื งซกั ผา้ เคร่อื งปรับอากาศ วทิ ยุ โทรทศั น์ มีรายการให้เลือกชมไดม้ ากมาย มกี ารแพร่กระจายสัญญาณ โทรทัศน์ผา่ นดาวเทียม ทำให้ผู้ชมสามารถรับรขู้ า่ วสารตา่ ง ๆ จากทั่วทกุ มุมโลกได้อย่างรวดเร็ว 1.2) การเสริมสร้างความเสมอภาคในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีช่วยให้การกระจาย ข่าวสารไปได้ท่ัวทุกแห่ง แม้แต่ในถิน่ ทุรกันดาร มีการใช้ระบบการเรียนการสอนทางไกล ทำให้เป็นการกระจาย

42 โอกาสการเรียนร้ไู ปยงั ถ่นิ ห่างไกล มกี ารพฒั นาระบบการรักษาพยาบาลผา่ นเครือข่ายสอื่ สารทำใหผ้ ู้ป่วยมีโอกาส ไดร้ ับการรักษาอย่างเท่าเทียมกนั 1.3) การเรยี นการสอนและส่งเสริมการค้นควา้ วิจัย ในสถานศกึ ษามีการนำคอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์มาสร้างสื่ออิเล็กทรอนิกส์ประกอบการเรียนการสอน นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโปรแกรม คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา เช่น การจัดตารางสอน จัดชั้นเรียน เทคโนโลยีช่วยให้งาน ค้นควา้ วิจัยในห้องปฏิบัติการวิจัยต่าง ๆ มีความกา้ วหนา้ ย่งิ ข้ึนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยงานคำนวณที่ซับซ้อน เช่น งาน สำรวจทางด้านอวกาศ งานพัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์และสารเคมีต่าง ๆ ทำให้ได้สูตรยารักษาโรคใหม่ ๆ เกิดขึ้น มากมาย 1.4) การรักษาสิ่งแวดล้อม ได้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การอนุรักษ์ป่าไม้ มีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม การติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจำลอง รปู แบบสภาวะสงิ่ แวดลอ้ มเพ่อื ปรบั ปรงุ แก้ไข การเก็บรวบรวมขอ้ มูลคุณภาพนํ้าในแหลง่ นาํ้ การตรวจวัด มลภาวะ ตลอดจนการใชร้ ะบบการตรวจวดั ระยะไกลมาชว่ ย 1.5) การรักษาความปลอดภัย มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการรักษาความมั่นคง และความ ปลอดภัยในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การตรวจสอบสัมภาระในการเดินทาง การตรวจสอบอาวุธและวตั ถุ ระเบดิ 1.6) การผลิตในอุตสาหกรรมและการพาณิชยกรรม ในปัจจุบันใช้เครื่องจักรทำงานอย่างอัตโนมัติ สามารถทำงานได้ตลอด 24ชั่วโมง สินค้าที่มีคุณภาพและปรมิ าณพอเพยี งกับความต้องการของผู้บริโภคมีความ สะดวกและรวดเรว็ ขึน้ 1.7) การสร้างสรรคผ์ ลงานและพัฒนาความคิด เทคโนโลยสี ารสนเทศมีแนวโน้มที่จะมบี ทบาทมากข้ึน ต่อชีวิตประจำวัน งานบางอย่างถ้าให้มนุษย์ทำอาจตอ้ งเสียเวลาคิดคำนวณตลอดชีวิต แต่คอมพิวเตอร์สามารถ ทำงานเสร็จภายในเวลาไม่กี่วินาที ดังนั้น จึงมีการนำคอมพิวเตอร์ มาจำลองเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้มนุษย์ หาทางศึกษาหรอื แก้ไขปัญหา เช่น การควบคมุ ระบบการจราจรการจำลองการเดนิ เรือ เป็นต้น 1.8) การสง่ เสริมประชาธปิ ไตย มีการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื กระจายข่าวสารใหป้ ระชาชนได้เห็น ความสำคัญของระบอบประชาธิปไตย แม้แต่การเลือกตั้งก็มีการใช้คอมพิวเตอร์รวมผลคะแนน ใช้สื่อโทรทัศน์ วิทยุ และอินเทอรเ์ น็ตรายงานผลการนับคะแนนท่ีทำให้ทราบผลไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ 2) ผลกระทบดา้ นลบ 2.1) ทำให้เกดิ อาชญากรรม เทคโนโลยสี ารสนเทศเป็นหนทางในการก่ออาชญากรรมได้ อาชญากรอาจ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการวางแผนโจรกรรม มกี ารลักลอบใช้ขอ้ มูลข่าวสารหรือเข้าไปแก้ไขข้อมูล เช่น การ แก้ไขระดบั คะแนนของนักศึกษา แกไ้ ขจำนวนเงนิ ในบัตรเติมเงนิ โทรศพั ทเ์ คลื่อนที่ รวมไปถงึ การใช้คอมพิวเตอร์ และอนิ เทอร์เน็ตเพอ่ื ล่อลวงผูอ้ นื่ ไปในทางท่ไี มด่ ี 2.2) ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเสื่อมถอย การใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร ทำให้ สามารถตดิ ต่อสือ่ สารกันได้โดยไมต่ อ้ งพบหน้ากัน การใชง้ านคอมพิวเตอรห์ รอื แมแ้ ตก่ ารเล่นเกมมลี ักษณะการใช้ งานเพยี งคนเดียว ทำให้ความสัมพันธ์กับผู้อ่ืนลดลง ทำให้มีความเช่ือวา่ มนษุ ยสมั พันธข์ องบุคคลจะน้อยลง สังคม ใหมจ่ ะเปน็ สังคมที่ไม่ตอ้ งพง่ึ พาอาศัยกันมาก 2.3) ทำให้เกดิ ความวติ กกงั วล เป็นผลกระทบทางดา้ นจิตใจของกลุม่ บคุ คลบางกล่มุ ทีม่ ีความวิตกกังวล ว่าคอมพิวเตอร์อาจทำให้เกิดการจ้างงานน้อยลงมีการนำเอาหุ่นยนต์มาใช้ในงานมากขึ้น มีระบบการผลิตท่ี อตั โนมตั ิมากข้นึ ทำให้ผใู้ ช้แรงงานอาจวา่ งงานมากขนึ้ ซึ่งความคิดเหล่าน้ีจะเกิดกับบุคคลบางกลุ่มเท่าน้ัน แต่ถ้า บุคคลเหลา่ น้ันสามารถปรับตัวเขา้ กับเทคโนโลยี หรือมีการพฒั นาให้มีความร้คู วามสามารถสงู ขนึ้ แล้วปัญหาน้ีจะ ไม่เกิดขนึ้

43 2.4) ทำให้เกิดความเสี่ยงภัยในการดำเนินงาน การดำเนินงานในปัจจุบันจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัย เทคโนโลยีมากขึ้น ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดของธุรกิจฝากไวใ้ นศูนย์ข้อมูล หากเกิดการสูญหายของขอ้ มูลอันเน่ือง มากจากอุบัติภัย เช่น ไฟไหม้ นํ้าท่วม หรือถูกทำลายจากไวรัสคอมพิวเตอร์ จะทำให้ไม่สามารถนำข้อมูลนั้นมา ใชไ้ ด้ นอกจากนอี้ าจมผี ู้ประสงค์รา้ ยเขา้ ไปขโมยขอ้ มลู มาใช้ในทางท่ีไม่ดไี ด้ง่ายข้นึ 2.5) ทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธไปใช้ในทางที่ผิด ประเทศที่มีการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการพัฒนา อาวุธทมี่ ีอานุภาพการทำลายสูงทำให้สง่ ผลตอ่ การเกดิ ลงครามและมีการสูญเสียมากข้นึ 2.6) ทำให้เกิดการแพร่กระจายข่าวสารที่ไม่เหมาะสม คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานตามคำสั่ง การนำมาใช้ในทางใดจึงขึ้นอยู่กับผู้ใช้ จริยธรรมการใช้คอมพิวเตอร์จึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ในการใช้งาน อนิ เทอรเ์ นต็ อาจมีผู้สรา้ งโฮมเพจ หรือสร้างข้อมูลขา่ วสารที่มเี นื้อหาหรือภาพทไ่ี ม่เหมาะสม ภาพลามกอนาจาร มี การปลอมแปลงอีเมลถึงผู้อน่ื โดยมเี จตนากระจายข่าวท่ีเปน็ เท็จ จริยธรรมการใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็น เรอื่ งสำคญั ทีท่ กุ คนต้องใส่ใจและคำนึงถึงการใชง้ านทมี่ ผี ลกระทบต่อผูอ้ ่นื 2.7) ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้มีปัญหาต่อ สุขภาพ เชน่ การเพ่งท่จี อคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อาจทำให้ปวดตา การนง่ั ในท่าเดิมนาน ๆ ทำให้เกิดอาการ ปวดหลงั ปวดคอ การเกรง็ ข้อมือขณะพิมพ์งาน หรอื ใชเ้ มาสจ์ ะทำใหเ้ กิดการปวดขอ้ มือและนิว้ ได้ 2.8) ทำให้ติดคอมพิวเตอรแ์ ละอนิ เทอรเ์ นต็ การติดคอมพิวเตอร์และอนิ เทอรเ์ น็ตมหี ลายลกั ษณะ เช่น ตดิ การเล่นเกม ติดการแชท ตดิ การพนนั หรือประมลู สินค้า ผู้ท่ตี ดิ ส่งิ เหลา่ นี้จะต้องการเวลาในการทำกจิ กรรมนั้น มากข้ึนเรื่อย ๆ จนไม่สามารถเลกิ ได้ ทำใหม้ ีปญั หาทงั้ ทางร่างกายและจิตใจ เชน่ ซึมเศรา้ ไม่อยากนอน เช่ืองช้า ก้าวร้าว ขาดวินัย ไม่มีความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นครอบครัวมีส่วนสำคัญในการดูแลเอาใจใส่ควรฝึกให้บุตร หลาน ตระหนักถงึ ส่งิ ท่ใี หป้ ระโยชน์หรอื โทษ ควรปลกู ฝงั จติ สำนึก ความรับผดิ ชอบทมี่ ตี ่อครอบครัวและสังคม

44 แผนการจดั การเรยี นร้มู งุ่ เน้นสมรรถนะ หน่วยท่ี 2 ชอ่ื หนว่ ย ระบบเครือขา่ ยและสารสนเทศ สอนสัปดาหท์ ี่ 5-8 คาบรวม 32 จำนวนชว่ั โมง 16 5.1 การนำเข้าสู่บทเรยี น 1.ผสู้ อนช้ีแจงเรอ่ื งท่ีจะศึกษาและจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมประจำหนว่ ยท่ี 2 เรอ่ื งระบบเครือข่ายและ สารสนเทศ 2.ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยท่ี 2 5.2 การเรยี นรู้ 1. ผู้สอนเปดิ PowerPoint หน่วยที่ 2 เร่อื งระบบเครอื ขา่ ยและสารสนเทศ 2. ผู้สอนอธิบายเนือ้ หาในหน่วยเรยี นท่ี 2 เร่ือง ระบบเครอื ข่ายและสารสนเทศ 3. ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นทำแบบฝกึ หัด หนว่ ยท่ี 2 4. ผสู้ อนให้ผู้เรยี นทำกจิ กรรมนำสูอ่ าเซียน หนว่ ยท่ี 2 5. ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนทำกิจกรรมบรู ณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง 6. ผู้สอนให้ผเู้ รยี นทำกิจกรรมบูรณาการจติ อาสา หน่วยท่ี 2 5.3 การสรุป 1. ผู้สอนและผเู้ รยี นร่วมกนั สรปุ เนอื้ ในหน่วยเรียนท่ี 2 เรอ่ื ง ระบบเครอื ข่ายและสารสนเทศ 2. ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนทำแบบทดสอบหลงั เรยี น หนว่ ยที่ 2 5.4 การวัดผลและประเมนิ ผล 1. แบบทดสอบก่อนเรียน หนว่ ยท่ี 2 2. แบบฝกึ หดั หนว่ ยที่ 2 3. กิจกรรมนำสู่อาเซียน หน่วยท่ี 2 4. กจิ กรรมบรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียง 5. กิจกรรมบูรณาการจิตอาสา หนว่ ยที่ 2 6. แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยท่ี 2

45 แผนการจัดการเรยี นร้มู งุ่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยท่ี 2 ชอื่ หนว่ ย ระบบเครือข่ายและสารสนเทศ สอนสัปดาห์ที่ 5-8 คาบรวม 32 จำนวนชว่ั โมง 16 6. สื่อการเรียนรู้/แหลง่ การเรียนรู้ 6.1 ส่ือสิง่ พิมพ์ 1. เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการจัดการอาชีพ (ใช้ประกอบการเรียน การสอนจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมขอ้ ที่ 1-9) 2. แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยท่ี 2 ใชข้ ัน้ นำเขา้ สู่บทเรยี นข้อ 2 3. แบบฝกึ หดั หน่วยท่ี 2 ใชข้ ั้นประยกุ ต์ใช้ข้อ 1 4. กจิ กรรมนำส่อู าเซยี น หนว่ ยท่ี 2 ใช้ข้ันประยกุ ต์ใชข้ อ้ 2 5. กิจกรรมบูรณาการเศรษฐกิจพอเพยี ง ใชข้ ้นั ประยุกตใ์ ชข้ ้อ 3 6. กิจกรรมบูรณาการจติ อาสา หนว่ ยท่ี 2ใช้ขนั้ ประยกุ ตใ์ ช้ข้อ 4 7. แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยที่ 2 ใช้ขั้นสรุปผลและประเมนิ ผลขอ้ 2 6.2 สือ่ โสตทัสน์ (ถ้าม)ี 1.เครือ่ งไมโครคอมพิวเตอร์ 2.งานนำเสนอ 6.3 ห่นุ จำลองหรือของจริง (ถ้ามี) - 6.4 อ่ืนๆ (ถา้ ม)ี - 7. เอกสารประกอบการจดั การเรยี นรู้ (ใบความรู้ ใบงาน ใบมอบหมายงาน ฯลฯ) 1.เอกสารหนว่ ยที่ 2 8. การบรู ณาการ/ความสมั พนั ธ์กบั วิชาอน่ื 1. บรู ณาการกับวิชาภาษาไทย เร่ือง การอธิบายระบบเครอื ขา่ ยและระบบเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ การ บอกความเป็นมาของอินเทอรเ์ น็ต การบอกบทบาทของระบบสารสนเทศ 2. บรู ณาการกบั วชิ าวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง การจำแนกประเภทของระบบเครือขา่ ย การวิเคราะห์ ผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 3. บรู ณาการกับวชิ าความรเู้ ก่ียวกบั งานอาชีพ เร่อื ง การเชื่อมต่อระบบเครือข่าย การใชง้ านระบบ สารสนเทศท่ใี ช้คอมพิวเตอร์

46 แผนการจัดการเรยี นรู้ม่งุ เนน้ สมรรถนะ หนว่ ยที่ 2 สอนสัปดาหท์ ี่ 5-8 ชือ่ หนว่ ย ระบบเครือขา่ ยและสารสนเทศ คาบรวม 32 9. การวัดผลและประเมินผล จำนวนช่วั โมง 16 9.1 ก่อนเรียน 1. เอกสารหนว่ ยที่ 2 ระบบเครือข่ายและสารสนเทศ 2. แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยท่ี 2 9.2 ขณะเรียน 1. แบบฝกึ หัด หน่วยที่ 2 2. กจิ กรรมนำสอู่ าเซยี น หนว่ ยท่ี 2 3. กจิ กรรมบรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง 4. กจิ กรรมบรู ณาการจติ อาสา หน่วยที่ 2 9.3 หลังเรยี น 1. แบบทดสอบก่อนเรยี น หนว่ ยท่ี 2 2. แบบฝึกหดั หนว่ ยท่ี 2 3. กจิ กรรมนำส่อู าเซียน หนว่ ยท่ี 2 4. กจิ กรรมบรู ณาการเศรษฐกจิ พอเพียง 5. กจิ กรรมบรู ณาการจติ อาสา หน่วยท่ี 2 6. แบบทดสอบหลงั เรียน หนว่ ยท่ี 2

47 แผนการจัดการเรยี นร้มู ุง่ เนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ 2 ชอ่ื หน่วย ระบบเครอื ข่ายและสารสนเทศ สอนสัปดาห์ที่ 5-8 คาบรวม 32 จำนวนชัว่ โมง 16 10. บนั ทกึ หลงั สอน 10.1 ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 10.2 ผลการเรียนรูข้ องนักเรยี น นักศึกษา ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. 10.3 แนวทางการพฒั นาคุณภาพการเรียนรู้ ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook