Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสตร์และศิลป์แห่งความเป็นครู

ศาสตร์และศิลป์แห่งความเป็นครู

Description: ศาสตร์และศิลป์แห่งความเป็นครู

Search

Read the Text Version

ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ ความเปน็ ครู พระภาวนาวิริยคณุ (เผดจ็ ทตฺตชโี ว) หา้ มจำหน่าย

ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู ผเู้ ทศน์ : พระภาวนาวริ ยิ คุณ (เผด็จ ทตฺตชโี ว) ผ้เู รียบเรียง : สุวณีย์ ศรีโสภา ผศ.ดร. สมสุดา ผูพ้ ฒั น์ พิมพค์ ร้งั ท่ี ๑ จำนวน ๑๓๐,๐๐๐ เลม่ พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ ISBN : 978-616-202-230-2 สงวนลขิ สิทธติ์ ามพระราชบัญญัติลิขสทิ ธ์ิ พ.ศ. ๒๕๓๗ สอบถามขอ้ มลู เพิ่มเตมิ ไดท้ ี่ E-mail : [email protected] ไมส่ งวนลขิ สิทธิ์สำหรบั การพมิ พ์แจกใหส้ ถานศึกษา ถา้ จะนำเน้อื หาไปพิมพแ์ จกเป็นการกุศล หรือเพื่อการศึกษา โดยไมเ่ ปน็ เชงิ ธุรกจิ อนุญาตใหพ้ ิมพ์ได้ โดยแจง้ ให้ผู้เขียน และเจ้าของลิขสทิ ธ์ริ บั ทราบเปน็ ลายลักษณอ์ ักษร จดั พมิ พโ์ ดย กลมุ่ งานโรงเรียนอาชวี ศกึ ษา พิมพ์ท่ี โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว ๒๒๔๙ ถนนลาดพรา้ ว แขวงสะพานสอง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ ๑๐๓๑๐ Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน

ที่ปรึกษาฝา่ ยศลี ธรรม คุณธรรม จริยธรรม โครงการพฒั นาคุณธรรมในสถานศกึ ษา พระธรรมกิตตวิ งศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวดั ราชโอรสาราม เขตจอมทอง กรงุ เทพมหานคร พระธรรมกติ ติเมธี (จำนงค์ ธมฺมจาร)ี กรรมการมหาเถรสมาคม เจา้ คณะภาค ๔-๕-๖-๗ (ธ) ผู้ช่วยแมก่ องธรรมสนามหลวง ผชู้ ่วยเจา้ อาวาสวัดสัมพนั ธวงศาราม เขตสมั พันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร พระธรรมปิฎก (ชวลิต อภวิ ฑฒฺ โน ป.ธ. ๙) เจา้ คณะจงั หวดั สระบุรี เจ้าอาวาสวดั พระพทุ ธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบรุ ี พระราชวรนายก (สำรวม ปยิ ธมโฺ ม ป.ธ. ๖) เจ้าคณะจังหวดั นครนายก เจ้าอาวาสวดั อดุ มธานี อ.เมือง จ.นครนายก พระภาวนาวริ ิยคุณ (เผด็จ ทตฺตชีโว) รองเจ้าอาวาสวดั พระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทมุ ธานี รองประธานมูลนิธธิ รรมกาย President of Dhammakaya International Society of North America and Europe รองหวั หน้าพระธรรมทตู สาย ๘ พระอธกิ ารไมตรี ฐติ ปญโฺ ญ เจ้าอาวาสวดั ทางสาย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรขี นั ธ์ ประธานชมรมสถานวี ิทยเุ พอื่ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา



คำนำ การศกึ ษานบั เปน็ ปจั จยั สำคญั ตอ่ การพฒั นาคนซง่ึ เปน็ รากฐานของ การพฒั นาประเทศ การจดั การศกึ ษาเพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายในการพฒั นา กำลังคนในประเทศให้เจริญงอกงามได้โดยบุคคลที่ประกอบอาชีพครู แตจ่ ะหาครทู ม่ี จี ติ วญิ ญาณความเปน็ ครอู ยา่ งแทจ้ รงิ เปน็ ไปไดย้ าก จำเปน็ ตอ้ งอาศยั ระยะเวลาในการพฒั นาและการรว่ มมอื กนั หลายภาคสว่ นเพอื่ พฒั นาใหบ้ คุ คลมีความรู้ มีจติ วญิ ญาณแหง่ ความเปน็ ครูอยา่ งแทจ้ ริง สำนกั บรหิ ารงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชนไดต้ ระหนกั และเขา้ ใจปญั หาเหลา่ นี้ จงึ ประสานความรว่ มมอื กบั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ จดั ทำหนงั สอื ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครฉู บบั นใ้ี หค้ รไู ดศ้ กึ ษาและ พฒั นาตนเอง เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจในหนา้ ทข่ี องครแู ละมจี ติ สำนกึ ในความเปน็ ครู อยา่ งแทจ้ รงิ สามารถนำไปประกอบการสง่ั สอนนกั เรยี นใหม้ พี ฤตกิ รรมตาม ทพ่ี ึงประสงค์ สำนกั บรหิ ารงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชน ขอกราบ ขอบพระคณุ พระภาวนาวิรยิ คณุ (เผด็จ ทตตฺ ชโี ว) ที่กรุณาเรยี บเรยี ง หนงั สอื ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครู ขอขอบคณุ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สมสุดา ผู้พัฒน์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ท่ีช่วยประสานงาน การจัดทำหนังสือให้สำเร็จเรียบร้อย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ ศาสตร์และศิลป์แห่งความเป็นครูเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหาร โรงเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษา ในการนำไปพฒั นาความเปน็ ครู อย่างมืออาชีพสบื ไป (นายชาญวิทย์ ทับสพุ รรณ) ผู้อำนวยการสำนกั บรหิ ารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศกึ ษาเอกชน ปฏบิ ัตหิ นา้ ทเี่ ลขาธกิ ารคณะกรรมการสง่ เสริมการศกึ ษาเอกชน

คำปรารภ ปัจจุบันน้ีมีปัญหาที่ทำให้ผู้คนต่างประสบความทุกข์และความ เดือดร้อนกันทุกประเทศท่ัวโลก รวมทั้งประเทศไทยซ่ึงเคยสงบร่มเย็น มายาวนาน ผู้คนโดยทั่วไปต่างมองว่าต้นเหตุรากเหงา้ แหง่ ปัญหาความ เดือดร้อนท้ังปวงก็คือ ปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง ดังนั้นผู้มีส่วน เกี่ยวขอ้ งในการบรหิ ารบา้ นเมืองจงึ พงุ่ เป้าไปท่ีการแกป้ ญั หาทัง้ สองนี้ จรงิ อยเู่ รอื่ งเศรษฐกจิ และการเมอื งเปน็ ปญั หาทท่ี ำใหผ้ คู้ นในสงั คม ต่างเดือดร้อนไปตามๆ กัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงผู้คนในระดับรากหญ้า แตท่ วา่ ปญั หาทง้ั สองนเ้ี ปน็ ผลพวงสบื เนอ่ื งมาจากปญั หารากเหงา้ ทแ่ี ทจ้ รงิ อกี ตอ่ หนงึ่ ซงึ่ ผคู้ นสว่ นใหญย่ งั มองไมเ่ หน็ วา่ ปญั หารากเหงา้ ทแ่ี ทจ้ รงิ กค็ อื ปญั หาอันเกดิ จากกิเลสในจิตใจผคู้ น ซ่งึ นยิ มเรยี กกนั ว่าปัญหาศลี ธรรม ปัญหาศีลธรรมเกิดขึ้นก็เพราะรัฐจัดการศึกษาให้แก่ประชากร โดยขาดดุลยภาพระหว่างความรู้ด้านวิชาการทางโลกและทางธรรม เนอื่ งจากเนน้ ความสำคญั ดา้ นศาสตรห์ รอื ดา้ นวชิ าการทางโลกจนมองขา้ ม ความสำคัญดา้ นศีลธรรมไป ยังผลใหผ้ ู้คนสว่ นใหญไ่ มว่ ่าจะมกี ารศกึ ษา ระดับใด ตา่ งมีความคิดเหน็ เป็นมิจฉาทิฐิ ประพฤติผิดศลี ผิดธรรม คือ ทำชั่วทำบาปไดท้ กุ เรือ่ งเมือ่ มโี อกาส เพราะเหตุนี้ผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการบริหารบ้านเมืองจึงจำเป็น จะต้องร่วมมือกันจัดการศึกษาให้ประชากรมีความรู้ด้านวิชาการทาง โลกสมดลุ กบั ทางธรรมอยา่ งรบี ดว่ น แทนทจี่ ะมวั มะงุมมะงาหราอยู่กับ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเมอื งอยู่ นบั เปน็ สง่ิ ทนี่ า่ ชนื่ ชมเปน็ อยา่ งยง่ิ ทส่ี ำนกั บรหิ ารงานคณะกรรมการ สง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชนมวี สิ ยั ทศั นก์ วา้ งไกลรอบดา้ นสามารถเลง็ เหน็ วา่ การจดั การศกึ ษาทมี่ เี ปา้ หมายเพอื่ การพฒั นาผคู้ นในสงั คมใหม้ คี วาม เคารพ วินัย และอดทน สมบูรณ์พร้อมด้วยศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม ในระดับท่ีต้ังมั่นอยู่ในสัมมาทิฐิจนเป็นนิสัยเท่านั้น

จึงจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและปัญหา สง่ิ แวดล้อมโลก ตลอดจนปญั หาอน่ื ๆ ไดส้ ำเร็จ คณะผู้จัดทำหวังอย่างยิ่งว่าหนังสือศาสตร์และศิลป์แห่งความ เปน็ ครูเลม่ นี้ จะสามารถสนองเจตนารมณ์ของสำนักบริหารงานคณะ- กรรมการสง่ เสรมิ การศกึ ษาเอกชนในการจดั การศกึ ษาใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย ได้อยา่ งแทจ้ ริง ท้ายที่สุดนี้คณะผู้จัดทำขอกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณ พระภาวนาวริ ยิ คณุ (พระเผดจ็ ทตตฺ ชโี ว) อยา่ งสูงสุด ที่กรุณาอนญุ าต ให้คณะผู้จัดทำนำพระธรรมเทศนาของท่านมาเรียบเรียงเป็นหนังสือ ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเป็นครเู ล่มน้ี คณะผู้จัดทำขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระเดช พระคณุ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สรุ เตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) พระเดช พระคุณพระธรรมกิตติเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) พระเดชพระคุณ พระธรรมปฎิ ก (ชวลิต อภวิ ฑฺฒโน ป.ธ.๙) พระเดชพระคณุ พระราช- วรนายก (สำรวม ปยิ ธมโฺ ม ป.ธ.๖) และพระเดชพระคณุ พระอธกิ ารไมตรี ฐติ ปญโญ ทใ่ี หค้ วามเมตตาแกค่ ณะผจู้ ดั ทำในการใหแ้ นวทางการเรยี บเรยี ง ตลอดจนคำปรึกษาที่มีคุณค่ายิ่ง และท่ีสำคัญย่ิงคือ สำนักบริหารงาน คณะกรรมการสง่ เสริมการศกึ ษาเอกชน สงั กัดสำนักงานปลัดกระทรวง ศกึ ษาธกิ าร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ดำเนินโครงการพฒั นา คุณธรรมในสถานศึกษา ที่มองเห็นความสำคัญและมุ่งม่ัน ผลักดัน ใหง้ านการศกึ ษาของชาตไิ ทยสรา้ งคนไทยใหม้ คี ณุ ภาพทง้ั ดา้ นคณุ ธรรม และความรู้ คณะผ้จู ัดทำ กองวชิ าการ อาศรมบณั ฑติ มนี าคม ๒๕๕๓

สารบญั หนา้ ๑ บทที่ ๑ ธรรมพื้นฐานแห่งความเป็นครู ๑ ความสำคญั ของมนษุ ย์ ๒ องค์ประกอบของมนุษย์ ๒ ๑. กาย ๔ ๒. ใจ ๕ ศัตรูแทจ้ ริงของมนุษย์ ๗ ๑. กิเลสตระกลู โลภะ ๙ ๒. กิเลสตระกูลโทสะ ๑๐ ๓. กิเลสตระกลู โมหะ ๑๒ มิตรแทจ้ รงิ ของมนษุ ย์ ๑๔ ๑. บุญจากการใหท้ าน ๑๖ ๒. บญุ จากการรักษาศลี ๑๘ ๓. บุญจากการเจริญภาวนา ๒๐ การสู้รบระหวา่ งบุญ-บาป ๒๑ กฎแห่งกรรม ๒๑ ความหมายของกรรม ๒๒ เส้นทางในการสร้างกรรม ๒๓ ระดบั การให้ผลของกรรม ๒๔ ระยะเวลาท่ีกรรมให้ผล หลักการตดั สนิ กรรมด-ี กรรมชัว่ ๒๗ ลกั ษณะของครูแบง่ ตามกรรม ๒๘ บทท่ี ๒ การศึกษาที่แทจ้ ริง ๓๐ ความจำเปน็ ในการจดั การศึกษา ๓๐ เป้าหมายที่แทจ้ รงิ ของการศึกษา ๓๕

สารบญั (ต่อ) ความผดิ พลาดในการจัดการศกึ ษาท่วั ทัง้ โลก หน้า มติ รเทียม ผลของการจดั การศกึ ษาที่ผิดพลาด ๔๑ การศกึ ษาทส่ี มบูรณ์ ๔๓ หลกั ในการปฏิบัตหิ นา้ ทขี่ องตนเองต่อทิศ ๖ ๔๔ มติ รแทผ้ ลของการจัดการศกึ ษาที่ถกู ต้อง ๕๓ แมพ่ มิ พ์ต้นแบบ ๕๗ คณุ สมบตั แิ ม่พมิ พข์ องชาติ ๕๙ ความรว่ มมอื ของครปู ระจำโลก ๓ ประเภท ๕๙ ความสำคญั ของศาสตร์ และศลิ ป์ ๖๒ ความแตกตา่ งระหวา่ งศลิ ปข์ องครกู บั อาชพี อน่ื ๆ ๖๕ เสน้ ทางการพัฒนาครูดี ๖๖ ครทู ่มี ที ้งั ศาสตรแ์ ละศลิ ป์ ๖๗ ๖๘ บทที่ ๓ ธรรมแม่บทแห่งความเปน็ ครู ๗๑ อรยิ มรรคมีองค์ ๘ ๗๑ มรรคมีองค์ ๘ สำหรับครู ๗๖ หลักการปฏบิ ตั มิ รรคมอี งค์ ๘ ๘๔ กระบวนการฆา่ กเิ ลสของมรรคมอี งค์ ๘ ๙๐ การปฏบิ ัติมรรคมีองค์ ๘ สำหรับเด็กเลก็ ๙๑ ความทรงจำของเด็กอนบุ าลอาจตราตรึงตลอดไป ๙๓ สทิ ธัตถะราชกุมารบรรลปุ ฐมฌาน ๙๔ จิตของวยั รุน่ เป็นสมาธิช้ากวา่ เดก็ เลก็ ๙๕ สมั มาทิฐิ ๑๐ แม่บทการสร้างกำลังใจในการทำความดี ๙๗ บทบาทของครูตามหลกั สมั มาทิฐิ ๑๐ ๑๐๓ คณุ ค่าและความจำเป็นในการปลูกฝังสมั มาทิฐิ ๑๐ ๑๐๙

สารบัญ (ตอ่ ) หน้า บทที่ ๔ การศกึ ษาและการสอน ๑๑๔ ความหมายของการศึกษา ๑๑๔ วัตถุประสงค์ของการศึกษา ๑๑๖ ธรรมชาตกิ ารอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมกบั การปลกู ฝงั คณุ ธรรม ๑๑๗ ขอ้ ควรระวังในการจัดการศึกษา ๑๒๒ การฝึกนสิ ัยให้รักการปฏิบัติมรรคมอี งค์ ๘ ๑๒๔ สถานทฝี่ กึ นิสัย ๑๒๕ หน้าที่หลักของ ๕ หอ้ งชีวติ ๑๒๕ องคป์ ระกอบการเรยี นการสอนเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ นสิ ยั ๓ ๑๒๘ บทท่ี ๕ บทฝึกนิสัย ๑๓๖ ความหมายของนสิ ยั ๑๓๖ ตัวอย่างนิสัยดี-ไมด่ ี ๑๓๗ สรุปความสมั พนั ธร์ ะหว่างนิสัยกับความรู้ ๑๓๘ ความยากในการแกไ้ ขนิสัย ๑๓๙ ข้อเตือนใจในการสร้างนสิ ัย ๑๔๐ พฤติกรรมทีก่ ลายเปน็ นิสยั ของมนุษย์ ๑๔๓ การพฒั นานสิ ยั ด้วย ๕ ห้องชวี ติ ๑๔๔ ๑. ห้องนอน (หอ้ งมหาสิรมิ งคล) ๑๔๔ ๒. หอ้ งน้ำ (ห้องมหาพิจารณา) ๑๔๕ ๓. หอ้ งอาหาร (ห้องมหาประมาณ) ๑๔๗ ๔. ห้องแต่งตัว (หอ้ งมหาสต)ิ ๑๔๙ ๕. ห้องทำงาน (ห้องมหาสมบัต)ิ ๑๕๑ กระบวนการเนรมติ นสิ ยั จาก ๕ หอ้ งชวี ติ ในบคุ คลทวั่ ไป ๑๕๓

สารบญั (ตอ่ ) ศีลธรรมพนื้ ฐานทีไ่ ดจ้ าก ๕ หอ้ งชวี ติ หนา้ บูรณาการ ๕ หอ้ งชีวิตกับทศิ เบือ้ งหน้า ๑๖๔ ๑๖๙ บทท่ี ๖ กระบวนการเรียนการสอน ๑๗๑ วุฒธิ รรม ๔ ๑๗๑ คณุ สมบตั ขิ องครูดี ๑๗๓ หลักการฟงั คำบรรยาย ๑๗๔ หลกั การเจาะลึกคำสอน ๑๗๕ หลักการถ่ายทอดความรคู้ วามสามารถและความดี ๑๗๖ เทคนคิ การฝึกตนตามวุฒธิ รรม ๔ ๑๗๗ กระบวนการศกึ ษาตามหลักวฒุ ิธรรม ๔ ๑๗๘ บทที่ ๗ บทส่งท้าย ๑๘๑ เหตุปัจจยั ใหป้ ระสบความสำเรจ็ ในทกุ อาชีพ ๑๘๑ ครูผ้สู มบูรณ์พร้อมดว้ ยศาสตร์และศลิ ป์ ๑๘๒ การถ่ายทอดความรูข้ องพระบรมครู ๑๘๖ ครูพงึ ดำเนินรอยตามพระบรมครู ๑๘๗ มรรคมีองค์ ๘ คอื หนทางอันเกษม ๑๘๘ แนวคิดสำหรับการฟนื้ ฟูการศึกษา ๑๙๑ ความสำเรจ็ ของผู้ฟืน้ ฟกู ารศึกษา ๑๙๒ สรุป ๑๙๖ บรรณานกุ รม ๑๙๙

สารบญั ภาพ หน้า ๒๐ ภาพที่ ๑-๑ การส้รู บในใจระหวา่ งกรรมด-ี กรรมชว่ั ๒๖ ภาพท่ี ๑-๒ กาลเวลาท่ใี หผ้ ลของกรรมวาระหนึง่ ๆ แบง่ เปน็ ๓ ระยะ ภาพที่ ๒-๑ ปัญหาทกุ ขป์ ระจำชีวติ ของมนุษย์ ๓๒ ภาพท่ี ๒-๒ กล่มุ คนในทิศท้ัง ๖ ๔๙ ภาพที่ ๒-๓ กรอบมาตรฐานศีลธรรมข้นั พืน้ ฐาน ๕๒ ภาพท่ี ๒-๔ คณุ สมบัติของครดู ีทีโ่ ลกต้องการ ๖๐ ภาพท่ี ๓-๑ หลักการปฏบิ ัติมรรคมอี งค์ ๘ ๘๔ ภาพท่ี ๓-๒ การปฏิบัตมิ รรคมอี งค์ ๘ รอบแรก ๘๘ ภาพที่ ๓-๓ การปฏบิ ตั มิ รรคมอี งค์ ๘ อยา่ งต่อเนื่อง ๘๙ ภาพท่ี ๓-๔ มรรคมอี งค์ ๘ เพ่ือการปลูกฝังนสิ ยั ตามวยั ๙๗ ภาพท่ี ๔-๑ การศกึ ษา ๑๑๔ ภาพที่ ๔-๒ การจดั การศึกษา ๑๑๕ ภาพท่ี ๔-๓ มรรคมอี งค์ ๘ เพ่ือการศึกษาและพัฒนานสิ ัย ๑๑๘ ภาพที่ ๔-๔ หน้าท่หี ลกั ของ ๕ หอ้ งชวี ติ ในการปลกู ฝงั นิสยั ๑๒๖ ภาพท่ี ๔-๕ องคป์ ระกอบการเรียนการสอนเพอื่ ให้ผเู้ รียน ๑๓๔ เกดิ นสิ ัย ๓ ๑๓๕ ภาพท่ี ๔-๖ หลกั การจดั การศึกษาท่สี มบรู ณ์แบบ

สารบญั ภาพ (ตอ่ ) หน้า ๑๓๖ ภาพที่ ๕-๑ กำเนดิ ของนสิ ัย ๑๓๗ ภาพที่ ๕-๒ กำเนดิ ของนิสัยด-ี ไมด่ ี ๑๓๙ ภาพท่ี ๕-๓ การเปรยี บเทยี บความสัมพนั ธร์ ะหว่าง ๑๔๑ นสิ ัยกับความรู้ ๑๔๑ ภาพที่ ๕-๔ สถานทเี่ กิดของนิสยั ๑๔๒ ภาพที่ ๕-๕ แมบ่ ทในการฝึกนิสัย ๑๔๒ ภาพท่ี ๕-๖ วตั ถุประสงค์ของ ๕ ห้องชวี ิต ๑๗๐ ภาพท่ี ๕-๗ ปจั จยั แหง่ ความสำเร็จในการสร้างนิสยั ภาพท่ี ๕-๘ การบูรณาการ ๕ หอ้ งชวี ติ กับทิศเบ้ืองหนา้ ๑๗๒ ๑๗๓ ภาพท่ี ๖-๑ ลำดบั วธิ กี ารศกึ ษาดว้ ยวฒุ ิธรรม ๔ ๑๗๔ ภาพที่ ๖-๒ คุณสมบัติของครูดี ๑๗๕ ภาพที่ ๖-๓ หลกั การฟงั คำบรรยาย ๑๗๖ ภาพท่ี ๖-๔ หลักการเจาะลกึ คำสอน ภาพท่ี ๖-๕ หลกั การถา่ ยทอดความรูค้ วามสามารถ ๑๗๘ ๑๗๙ และความดี ภาพที่ ๖-๖ เทคนคิ การฝกึ ตนตามวุฒธิ รรม ๔ ภาพท่ี ๖-๗ กระบวนการศกึ ษาตามหลักวุฒธิ รรม ๔

สารบญั ตาราง ุ หน้า ตารางท่ี ๑-๑ การสรา้ งกุศลกรรมและอกศุ ลกรรม ๒๓ จำแนกตามเส้นทางการสร้างกรรม ตารางที่ ๑-๒ หลกั การตดั สนิ กรรมด-ี กรรมชั่ว ๒๗ ตารางที่ ๑-๓ ลักษณะของครูแบ่งตามกรรมท่คี รทู ำไว้ดว้ ยตนเอง ๒๘ ตารางที่ ๒-๑ หนา้ ทข่ี องบุคคลท้ัง ๖ กลมุ่ ท่ีพึงปฏิบัติต่อกนั ๕๐ ในแต่ละกลมุ่ ตารางท่ี ๓-๑ การเปรยี บเทยี บมรรคมอี งค์ ๘ ทั้ง ๒ ระดบั ๗๒ ตารางท่ี ๓-๒ บทบาทของครูตามหลักสัมมาทฐิ ิ ๑๐ ๑๐๓ ตารางท่ี ๗-๑ ความแตกตา่ งระหวา่ งศาสตร์และศลิ ปข์ องครู ๑๘๕ กบั อาชีพอ่ืนๆ

บทท่ี ๑ ธรรมพน้ื ฐานแห่งความเปน็ ครู ในฐานะท่ีครูบาอาจารย์ทั้งหลายต่างมีหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับผู้คน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ นกั เรยี นนกั ศกึ ษา ตลอดจนผปู้ กครองของบรรดาศษิ ย์ ทงั้ หลาย กลา่ วอกี อยา่ งหนง่ึ กค็ อื คณาจารยท์ งั้ หลายตา่ งมหี นา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบ โดยตรงเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของศิษย์ของตน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะ ต้องมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกบั ธรรมชาตขิ องมนษุ ยอ์ ยา่ งถกู ต้องลกึ ซ้งึ พอสมควร เพ่ือประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าท่ีให้เกิดประสิทธิผลอย่าง แท้จริง มิฉะน้ันถึงแม้จะทุ่มเทแรงกายแรงใจปฏิบัติหน้าท่ีด้วยความ ปรารถนาดตี อ่ ศษิ ย์เพยี งใดก็อาจจะไมบ่ รรลุวตั ถปุ ระสงค์ ความร้คู วาม เข้าใจเกีย่ วกับธรรมชาตทิ ่สี ำคญั ของมนษุ ย์มดี งั นี้ ความสำคญั ของมนุษย์ มนุษย์ แปลวา่ ผมู้ ีใจสูง หมายถงึ - มใี จสูงกวา่ สตั ว์โลกชนิดอื่นๆ - หากฝึกดีแล้ว ใจย่อมสูงส่งเกินกว่ากิเลส ชวั่ รา้ ยใดๆ จะครอบงำทำลายได้ สงู จนสามารถ บรรลถุ ึงพระนพิ พานได้ มนุษย์ มีใจสงู เพราะบำเพ็ญมนุษยธรรม คือรักษาศีล ๕ และ กุศลกรรมบถ ๑๐ มาอย่างมั่นคงแลว้ ในอดตี ชาติ มนษุ ย์ มีใจใสสะอาดเป็นปกติ แม้ยังไม่หมดกิเลสก็สามารถ เลือกคิด พดู ทำ เฉพาะแต่ส่งิ ทด่ี งี ามเปน็ บญุ กศุ ล เปน็ ประโยชน์ทง้ั แกต่ นเองและผู้อื่นได้ หากไดร้ ับการศกึ ษา ศาสตร์และศิลป์แห่งความเปน็ ครู 1

อยา่ งถกู วธิ ตี งั้ แตว่ ยั เยาว์ ยอ่ มเปน็ การสนบั สนนุ ใหป้ ระกอบ คณุ ประโยชน์แกต่ นและเพื่อนร่วมโลกได้ไมม่ ีท่ีสน้ิ สดุ มนษุ ย์ ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๒ ส่วน คอื ๑. ร่างกาย หรอื เรียกสนั้ ๆ วา่ กาย ๒. ใจ หรือบางครัง้ เรียกวา่ จิต๑ องค์ประกอบของมนุษย์ องค์ประกอบสำคญั ของมนษุ ย์มอี ยู่ ๒ ประการ คอื กายและใจ ๑. กาย กาย - ทงั้ หญงิ และชายตา่ งประกอบดว้ ยธาตุ ๔ ชนดิ ไดแ้ ก่ ธาตุดนิ ธาตุนำ้ ธาตุไฟ และธาตุลม มาประชมุ กนั อย่างได้สดั ส่วนเหมาะสมแล้วเกิดเปน็ เซลล์เลก็ ๆ กลุ่ม เซลล์เล็กๆ เหล่านี้ประกอบกันเกิดเป็นอวัยวะต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก เชน่ ผม ขน เล็บ ฯลฯ ภายใน เชน่ ตับ ไต หัวใจ ฯลฯ กาย - ประกอบขนึ้ จากธาตุ ๔ ซงึ่ ยงั ไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ เซลลแ์ ตล่ ะเซลล์ ในอวัยวะต่างๆ จึงอ่อนแอ มีอายุไม่นานก็แตกทำลาย มขี อ้ มลู ปรากฏวา่ ในเวลาเพยี ง ๑ นาทมี กี ารแตกทำลาย ของเซลลเ์ กา่ และการเกดิ ขน้ึ ของเซลลใ์ หมข่ น้ึ มาทดแทน ____________________________________ ๑ ว.ิ มหาวิ. ๒/๒๖๖, สงั .นิ. ๒๖/๒๙๒ (มมร.) คำว่า ใจ มาจากภาษาบาลวี า่ มโน แปลเปน็ ภาษาไทยวา่ ใจ และนิยมพดู กนั โดยทัว่ ไป นอกจากน้ยี งั มีคำแทนท่ีปรากฏในบาลีคอื คำว่า จิต หรอื วญิ ญาณ เชน่ ธรรมชาติอันใดเป็นจิต ธรรมชาติอนั น้นั ชอ่ื ว่าใจ ธรรมชาติ อนั ใดเป็นใจ ธรรมชาติอนั นั้นช่อื ว่า จติ ศาสตร์และศลิ ป์แห่งความเปน็ ครู 2

ประมาณ ๓๐๐ ล้านเซลลอ์ ยา่ งตอ่ เนือ่ งนับตงั้ แตอ่ ยู่ใน ครรภ์มารดา กาย - เกดิ ขน้ึ เองไมไ่ ด้ แตต่ อ้ งมบี ดิ าและมารดาเปน็ ผใู้ หก้ ำเนดิ คอื ท่านทัง้ สองใหธ้ าตุ ๔ เพ่อื ประกอบขึน้ เป็นเซลล์ใน อวยั วะตา่ งๆ ของรา่ งกายเราอยา่ งครบถ้วน จึงถือได้วา่ บดิ าและมารดาเปน็ ผู้ให้ทุนชวี ิตแก่เรา กาย - จะเจรญิ เตบิ โตขน้ึ และดำรงชวี ติ อยตู่ อ่ ไปไดภ้ ายหลงั คลอด ก็ต่อเมอื่ มธี าตุ ๔ จากภายนอก เชน่ ข้าวปลาอาหาร น้ำ อากาศและแสงแดด ฯลฯ เข้ามาหล่อเลี้ยงอย่าง เหมาะสมทง้ั ปรมิ าณและคุณภาพตลอดเวลา กาย - หากได้ธาตุ ๔ จากภายนอกท่ีมีคุณภาพไม่เหมาะสม และมีปรมิ าณไม่พอเหมาะกบั เพศและวัย จะทำใหเ้ ซลล์ ในอวยั วะตา่ งๆ ออ่ นแออยา่ งรวดเรว็ ซง่ึ จะยงั ผลใหอ้ ตั รา การตายของเซลลม์ ีปริมาณสูงขึ้นอีก ในทีส่ ุดก็จะกลาย เปน็ รังแหง่ โรคภยั ไขเ้ จบ็ ทัง้ หลายไปโดยปรยิ าย กาย - แม้จะได้รับการดูแลปกป้องรักษาเป็นอย่างดีเพียงใด กต็ าม แตเ่ พราะเหตทุ ธี่ าตุ ๔ ทงั้ ทไี่ ดม้ าจากบดิ ามารดา ตง้ั แต่ถือกำเนดิ และธาตุ ๔ จากภายนอกซึ่งแสวงหามา หล่อเล้ียงอยูต่ ลอดเวลาไมบ่ รสิ ุทธ์พิ อ จึงต้องแตกสลาย เปน็ ธรรมดา คอื ตายในทสี่ ุด กาย - ของมนษุ ย์ทไี่ มพ่ กิ ลพิการ มลี ักษณะพิเศษคอื ๑. กระดกู สนั หลงั ต้งั ฉากกับพน้ื โลก ยามยนื -เดิน-นง่ั จงึ ต้งั ตรง คล่องแคลว่ ว่องไว ศาสตร์และศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 3

๒. ยามนอนก็นอนได้ราบทั้งหงาย ควำ่ ตะแคง จึง พักผอ่ นได้เต็มที่ ๓. รปู รา่ ง ขนาด สดั สว่ น อวยั วะเหมาะแกก่ ารประกอบ คณุ งามความดที กุ รปู แบบ เพราะเกดิ จากอำนาจบญุ ท่ีส่ังสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงไม่สมควรใช้ กายนี้ไปถล่มทลายทำความช่ัว แต่สมควรอย่างยิ่ง ทจี่ ะใชท้ ำเฉพาะความดใี หส้ มกบั ทไี่ ดโ้ อกาสครอบครอง กายอนั แสนประเสรฐิ น้ี กาย - หลังจากตายกลายเป็นศพแล้วก็จะถูกนำไปฝังหรือเผา ธาตทุ งั้ ๔ ทป่ี ระกอบเป็นกายกค็ ืนกลบั สูส่ ภาพเดมิ คือ ธาตดุ นิ กก็ ลบั ทบั ถมจมดนิ ไป ธาตนุ ้ำกส็ ลายกลายเปน็ น้ำ ธาตุไฟกก็ ลายเป็นไฟ ธาตลุ มก็กลายเป็นลม แม้เช้ือโรค ต่างๆ ในกายกต็ อ้ งตายตามไปดว้ ย ๒. ใจ ใจ - เป็นธาตุชนิดหน่ึงที่เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของมนุษย์ สถิตอยู่ภายในกายตั้งแต่ถือกำเนิด ทำให้กายมนุษย์ซึ่ง ประกอบด้วยธาตุ ๔ มีชวี ติ ข้นึ มาได้ ใจ - เป็นธาตุละเอียดจึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่สามารถจบั ต้องได้ แตเ่ ห็นได้ด้วยตาทพิ ย์ ใจ - เปน็ ธาตุร้จู งึ ทำให้เรารเู้ รอ่ื งราวต่างๆ ได้ เช่น รู้ธรรม รูห้ นงั สอื รู้จักเพอื่ น รูจ้ ักดแี ละช่ัว รู้จักดใี จและเสยี ใจ รจู้ ัก เหตุและผล ฯลฯ ใจ - ทำงานร่วมกับประสาทสมั ผัสทง้ั ๕ คอื ตา หู จมกู ลน้ิ ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเปน็ ครู 4

และกาย จงึ ทำใหเ้ หน็ รูปผา่ นตา ฟังเสียงผา่ นหู สูดดม กลน่ิ ผา่ นจมูก ลมิ้ รสผา่ นลิ้นและสัมผัสผ่านกายได้ ใจ - ปกติจะผ่องใส ไม่ขุ่นมัว และมีความสว่างภายใน๑ ทำให้บุคคลสามารถรู้เห็นสภาวการณ์ต่างๆ รอบตัวผ่าน ประสาทสมั ผสั ทั้ง ๕ ได้อย่างถกู ต้องชดั เจน จึงรักทีจ่ ะคดิ ดีๆ แลว้ สง่ั กายให้พดู และทำส่ิงดๆี ตามมา ใจ - หากถกู กเิ ลสเขา้ ครอบงำ ยอ่ มเศรา้ หมอง ขนุ่ มวั การรบั รู้ ผ่านประสาทสมั ผัสทัง้ ๕ จงึ ผดิ พลาดคลาดเคลื่อนไมต่ รง ตามความเป็นจริง ก่อให้เกิดความคิดวิปริต จึงพูดร้าย ทำรา้ ยได้ตา่ งๆ นานา ทำใหผ้ ้นู น้ั กลายเป็นคนชัว่ คนรา้ ย ไปทนั ที ศัตรแู ทจ้ รงิ ของมนุษย์ ได้แก่ กเิ ลสท่แี อบแฝงอยู่ในใจซ่งึ มอี ยู่ ๓ ตระกูลด้วยกนั กิเลส - หรือกิเลสมารเป็นธาตุชนิดหนึ่งซ่ึงสกปรกมาก เปรอะเปื้อนมาก เหนียวแน่นมาก มีอำนาจในการ ทำลายทำร้ายใจให้เดือดร้อนเป็นทุกข์ได้มากไม่มีสิ่งใด มาเทียบเทียมได้ ขณะเดยี วกันกเ็ ปน็ ธาตุท่ีละเอียดมาก จึงไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อแต่จะเห็นได้ด้วย ตาธรรมหรือธรรมจักษุเทา่ น้ัน ____________________________________ ๑ ข.ุ มหาน.ิ กามสตุ ตนทิ เทศท่ี ๑ ๖๕/๖๗ (มมร.) หมายถงึ ภวงั คจติ ทอ่ี ยภู่ ายในกายตน ขณะท่ี ยงั ไมไ่ ดข้ น้ึ สวู่ ถิ กี ารรบั อารมณ์ จะมธี รรมชาตทิ ปี่ ระภสั สร สะอาด เพราะยงั ไมถ่ กู อปุ กเิ ลส ครอบงำ ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเปน็ ครู 5

กิเลส - ฝังตัวเกาะติดอยู่ในใจมนุษย์ ตั้งแต่แรกถือกำเนิด ในครรภ์มารดา เช่นเดียวกับเชื้อโรคท้ังหลายท่ีฝังตัว อยูใ่ นยีนและโครโมโซม เพ่ือรอจังหวะทำความเจบ็ ป่วย ให้ร่างกายขณะท่ีสุขภาพอ่อนแอฉันใด กิเลสก็จ้องหา โอกาสครอบงำเราขณะท่ใี จเผลอสตฉิ ันนน้ั กเิ ลส - ทแี่ ฝงอยใู่ นใจของผตู้ ายนน้ั ไมต่ ายตามรา่ งกายไปดว้ ย๑ แต่ทำหน้าท่ีบังคับบัญชาให้กายละเอียดของผู้น้ันไป เกิดใหม่ในภพภูมิท่ีพอเหมาะกับความเลวร้ายของเขา หากได้โอกาสก็บังคับผู้น้ันให้คิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ต่อไปอีก จึงต้องเป็นทุกข์และได้บาปต่อไปอีกชาติแล้ว ชาติเล่า เช่นเดียวกบั ผู้คุม ยา้ ยนักโทษจากท่คี มุ ขังหนึง่ ไปอีกที่คุมขังหน่ึงให้พอเหมาะกับความประพฤติของ นักโทษนั้น หากนักโทษก่อเหตุร้ายอีกก็ลงโทษให้ย่ิงๆ ข้นึ อกี กเิ ลส - หากเขา้ ครอบงำใจไดเ้ ม่ือไร ก็ย้อม เคลือบ ห่อ หมุ้ ใจ ใหเ้ ศรา้ หมอง ข่นุ มัว มืดมิด สกปรก มสี ภาพไมต่ ่างกบั ถ้ำมืดท่ีทั้งสกปรกทั้งอันตราย หรือเหมือนกับคนใส่ แว่นสีดำแถมเป้ือนโคลนเหนอะหนะอีกด้วย ทำให้เสีย คณุ ภาพในการรบั รทู้ างประสาทสัมผัสทั้ง ๕ คือ การได้ ____________________________________ ๑ กเิ ลสคอื อวชิ ชา ทำใหเ้ กดิ สงั ขารคอื เจตนากรรม ปรงุ แตง่ ใหเ้ ปน็ วบิ ากจติ ไว้ เมอื่ จตุ คิ อื ตาย จากภพเก่า ปฏิสนธิจติ (ปฏิสนธวิ ิญญาณ) ยอ่ มพาเอานามรปู ไปปฏิสนธใิ นภพใหม่ และ กอ่ เกดิ อายตนะคอื ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ ตามควรแก่ภมู ินั้นๆ เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ผสั สะ เวทนา ให้ได้รับวิบาก (ปวัตติวญิ ญาณ) ทางตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ดบี ้าง ไม่ดบี ้าง ตามควร แก่กรรมในอดีต อันจะก่อให้เกิดกิเลสในภพใหม่คือตัณหา อุปาทาน อันเป็นเหตุให้ ทำกรรม (กัมมภพ) ในภพใหมต่ อ่ ไปไม่รู้จบ ศาสตร์และศิลป์แหง่ ความเป็นครู 6

เหน็ ไดย้ นิ ได้กล่นิ ไดล้ ิม้ รส ไดส้ ัมผสั ไม่ตรงตามความ เป็นจริง แลว้ บบี คน้ั ใจให้กลา้ คิดร้าย พดู ร้าย ทำร้าย ตามการรบั รทู้ ผ่ี ิดๆ บิดเบอื นไปแลว้ นั้น เป็นผลให้ ต้องได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนต่างๆ จากคนดี จงึ ต้องกลายมาเป็นคนชัว่ ร้าย ตามความคดิ คำพูดและ การกระทำร้ายๆ น้ัน หากเผลอสติปล่อยกิเลสเข้า ครอบงำใจไดเ้ มือ่ ไร ย่อมสรา้ งความสลบั ซับซ้อนเช่นน้ี ให้บังเกิดข้ึน ไม่ว่างเว้นแม้แต่วินาทีเดียวกับสัตว์โลก ทกุ ชวี ิต ตัง้ แต่เกิดจนกระทง่ั ตาย กิเลส - จึงเป็นต้นเหตุหรือตัวการแท้จริงท่ีทำให้เกิดความ ทุกข์ ความชว่ั ร้าย ความบาปทุกชนิดในโลก โดย มีสัตว์โลกแต่ละชีวิตเป็นหุ่นหรือนักโทษที่ถูกบังคับ ให้ทำการต่างๆ ก่อนจะถูกประหารซ้ำให้ตายอย่าง ทรมาน กิเลส - แบ่งออกเป็น ๓ กองทพั แต่ละกองทพั มีลักษณะเลวรา้ ย โดยเฉพาะ แล้วร่วมกันกลุ้มรุมโจมตีใจให้เดือดร้อน เป็นทุกข์ กองทพั เหลา่ น้นั ได้แก่ กองทัพท่ี ๑ โลภะ ทำใหใ้ จอดอยากหวิ โหยและไมร่ จู้ กั พอ กองทพั ท่ี ๒ โทสะ ทำให้ใจพลุ่งพล่าน เดือดดาล คิด ทำรา้ ย กองทัพที่ ๓ โมหะ ทำใหใ้ จมดื บอด ขาดเหตผุ ล มกั งา่ ย เอาแต่ใจตัว ๑. กิเลสตระกูลโลภะ โลภะ - เป็นกิเลสประเภทที่บีบบังคับใจให้รู้สึกหิวโหยอยาก ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเปน็ ครู 7

ได้มากผิดปกติ ใจจงึ ดิน้ รนอยไู่ มเ่ ป็นสุข ต้องคิดหา ทางเอามาเปน็ ของตนในทางทุจริตต่างๆ เช่น คดิ ลัก ขโมย โกง จ้ี ปลน้ ฯลฯ จนถงึ คิดฆา่ คนตาย รวมเรยี กว่า ความโลภ โลภะ - มลี กั ษณะยดึ อารมณไ์ วอ้ ยา่ งเหนยี วแนน่ คอื เมอื่ พอใจ ในรปู เสียง กลนิ่ รส สมั ผัส และธรรมารมณใ์ ดซึง่ เป็น อายตนะภายนอก ใจก็แล่นออกจากศูนย์กลางกายไป ยึดติดอารมณ์น้ันค้างไว้ในใจ จากความอยากได้อย่าง สามัญก็ขยายตัวออกกลายเป็นความอยากได้ที่เกินเหตุ ซ่ึงเป็นพิษยากจะสลัดท้ิงหรือแกะออกเหมือนลิงติดตัง หรอื ตดิ กาวเหนยี วๆ แลว้ แกะไมอ่ อก จงึ ถกู นายพราน จับตัวเอาไปทำอย่างไรก็ไดต้ ามชอบใจ โลภะ - มีเหตใุ กลช้ ดิ คอื นิสยั ไมด่ ีเป็นตน้ เหตุ กลา่ วคอื มีความ ชอบใจในธรรมฝ่ายต่ำที่ทำให้เกิดกิเลสเป็นเชื้ออยู่แล้ว เชน่ ความฟมุ่ เฟือย ความเอาเปรียบ ความเหน็ แก่ได้ ความอยากได้ อยากมี ฯลฯ โลภะ - จงึ เปรยี บเสมอื นชะลอมใสน่ ำ้ ไมร่ จู้ กั เตม็ มกั กอ่ ใหเ้ กดิ ความเรา่ รอ้ นคดิ ทจี่ ะทำทจุ รติ ตา่ งๆ เพอ่ื ใหไ้ ดส้ งิ่ นนั้ ๆ มาครอบครอง เรอ่ื งใดท่ไี มเ่ คยคิดจะพูดกพ็ ดู ไมเ่ คย คดิ จะทำกท็ ำ ทเี่ คยคดิ บา้ งแลว้ กก็ ำเรบิ รุนแรงยิง่ ขึน้ การละโลภะ ๑. ด้วยการใช้สติยับย้ังไว้ก่อน อย่าลุแก่อำนาจความ อยากนัน้ ๆ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 8

๒. ด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาผลได้ผลเสียให้เกิด หิริโอตตปั ปะ ๓. ดว้ ยการบำเพญ็ ธรรมทตี่ รงขา้ มกบั โลภะ คอื บรจิ าค ทานเปน็ นิจ ๒. กเิ ลสตระกูลโทสะ โทสะ - เป็นกิเลสประเภทที่บีบบังคับใจให้ร้อนรน หงุดหงิด ขัดเคือง ชิงชังได้ง่ายผิดปกติ เป็นผลให้คิดอยาก ทำลายล้างผลาญคนอ่ืน ส่ิงอ่ืนให้ได้รับอันตราย เสียหาย เช่น ทำให้เขาบาดเจ็บ อับอาย เสียหน้า เสยี ทรัพย์ รวมเรียกว่า คิดประทษุ ร้ายหรอื ความโกรธ ความคิดประทุษร้ายอันเนื่องมาจากความไม่พอใจ ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ที่จัดว่าเป็นโทสะ เช่น ยิงนก ฆ่าหนู เพราะโกรธที่มันลงมากินข้าวในนา แต่ถ้าคิด ประทษุ ร้ายด้วยเหตุอนื่ เช่น คิดยิงนก ตกปลา ล่าสตั ว์ เพราะเหน็ ว่าเป็นกีฬาสนุกๆ จดั ว่าเป็น โมหะ โทสะ - มีลกั ษณะดรุ า้ ยเหมอื นอสรพิษทถี่ กู ตแี ลว้ ไมต่ าย คอื เมื่อบุคคลเผลอสติ เกิดความมานะถือตัวว่า ตนเด่น กว่าเขา ตนดอ้ ยกว่าเขา หรือตนเสมอกบั เขาก็ดี ครัน้ ถูกกระทบด้วยรปู เสยี ง กล่ิน รส สัมผสั ธรรมารมณ์ใด ซ่ึงไมน่ ่าพอใจ ก็เกดิ ความคดิ ขดั เคอื ง หงุดหงิด หาก ระงับไม่ได้ ก็จะขยายตัวเป็นเหตุให้เกิดความคิดช่ัวถึง กับทะเลาะวิวาท กล่ันแกล้ง ทำรา้ ย ฆา่ กนั อันเปน็ เหตุ ให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน เหมือนคนท่ีเป็นศัตรูได้ โอกาสล้างแคน้ กนั เร็วขึ้นฉะนัน้ ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 9

โทสะ - เม่ือเกิดกับผู้ใดย่อมทำให้ผู้นั้นคิดทำลายทุกส่ิงทุกอย่าง แมต้ นเอง นบั ตง้ั แต่ ๑) ทำลายระบบความคดิ ๒) ทำลาย สขุ ภาพรา่ งกายและจติ ใจ ๓) ทำลายทรพั ยส์ นิ ๔) ทำลาย สงั คม เข้าทำนองใครขอความดีก็ไมใ่ ห้ ใครใหก้ ไ็ ม่รับ ทัง้ ยังเอาไฟเผาความดีภายในตนอีกด้วย โทสะ - จงึ เปรยี บเสมอื นลกู ระเบดิ ในใจ พอมนั ระเบดิ กท็ ำลาย ตนเองเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ทำลายทั้งคนและ ส่งิ ของข้างเคยี งตอ่ ไป การละโทสะ ๑. ด้วยการใชส้ ตยิ ับยงั้ ไวก้ อ่ น ๒. ดว้ ยการใชป้ ญั ญาพิจารณาใหเ้ หน็ โทษ ๓. ด้วยการตั้งใจรักษาศีล ๕ ป้องกนั ไว้กอ่ น ๔. ดว้ ยการบำเพญ็ ธรรมทตี่ รงขา้ มกบั โทสะ คอื แผเ่ มตตา เปน็ นิจ ๓. กิเลสตระกลู โมหะ โมหะ - เป็นกิเลสประเภทบีบบังคับใจใหง้ นุ งง หลงใหล งมงาย มวั เมา มดื บอด ขาดเหตผุ ล เมือ่ เกิดขนึ้ แลว้ ยอ่ มปดิ บัง ใจของผนู้ นั้ ไมใ่ หร้ ถู้ งึ ความจรงิ ของสงิ่ ทต่ี นไดเ้ หน็ ไดย้ นิ ไดก้ ลน่ิ ได้ล้มิ รส ได้สมั ผสั แลว้ คิดลุ่มหลงตา่ งๆ นานา ดว้ ยความเขลาเบาปญั ญา ทำใหไ้ มร่ จู้ กั บาปบญุ คณุ โทษ ผิดชอบ ชว่ั ดี เชน่ ลุ่มหลงในสุรา นารี พาชี กีฬาบตั ร เปน็ ตน้ รวมเรยี กว่า ความหลง สำหรับความไมร่ ู้วชิ าการตา่ งๆ ในทางโลก เช่น ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 10

ไมร่ เู้ รอื่ งคณติ ศาสตร์ คอมพวิ เตอร์ การประกอบอาหาร การตัดเยบ็ เส้อื ผา้ การคา้ ขาย ฯลฯ ไม่จดั ว่าเป็นโมหะ เป็นเพยี งความไมร่ ูท้ ่ัวไปเท่านนั้ โมหะ - มลี กั ษณะปกปิดสถานะจริงของอารมณ์ คือ รปู เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั ไวอ้ ยา่ งแนน่ หนา ทำใหใ้ จมดื มดิ ไมพ่ ยายาม ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องนั้นๆ ให้ประจักษ์ถ่องแท้ แต่ทำตนเป็นปฏิปักษ์กับเหตุผล แม้มีความรู้ก็ไม่ชอบ ใชค้ วามรู้ ไมช่ อบใช้ความคดิ กลายเป็นคนดเู บา หเู บา ฯลฯ ของมอมเมา เชน่ สุรา เป็นโทษแทๆ้ กลับดูเบา เหน็ วา่ เปน็ คุณ ใช้สำหรับกระชับมิตร การพนันเปน็ ของ ทำลายเศรษฐกิจแท้ๆ กลับดูเบาเห็นเป็นสิ่งที่กระตุ้น เศรษฐกิจ ฯลฯ ในท่ีสุดก็กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่รจู้ กั ผดิ ชอบ ชั่ว ดี ไมร่ ูจ้ กั บาป บญุ คณุ โทษ ประโยชน์ มใิ ช่ประโยชน์ มสี ภาพเหมือนคนตาดีท่ีตก อยู่ในที่มืด กลา่ วคือมตี าแต่ไม่พยายามมอง ตาก็หมด สภาพกลายเป็นมองไม่เหน็ หรือไมก่ เ็ หน็ ผิดๆ โมหะ - มีเหตุใกล้ท่ีทำให้เกิดโมหะ คือ ขาดการคิดอย่างเป็น ระบบ๑ ท่ีเรียกว่า โยนโิ สมนสกิ าร๒ ____________________________________ ๑ ม.มู.อ.สัพพาสวสงั วรสตู ร ๑๗/๑๕๗ (มมร.) โยนโิ สมนสกิ าร ไดแ้ ก่ การทำไว้ในใจโดยถูก อุบาย = การทำไวใ้ นใจโดยถูกทาง = การนึก = การนอ้ มนึก = การผูกใจ = การใฝ่ใจ = การ ทำไว้ในใจโดยอนุโลมตามสภาวะเปน็ จริง (สจั จะ) โดยความหมายขนั้ พน้ื ฐานกค็ อื ความคิด สบื สาวหาเหตผุ ลอยา่ งเป็นขน้ั ตอน ๒ ที.ปา.อ.ทสุตตรสตู ร ๑๖/๔๖๓ (มมร.) การคดิ ทปี่ ระกอบดว้ ยโยนโิ สมนสิการ เปน็ การคดิ การพิจารณาที่ทำให้อกุศลเสื่อม กุศลเจริญ เป็นเหตุและเป็นปัจจัย เพื่อความบริสุทธ์ิ แห่งสตั วท์ ัง้ หลาย ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 11

โมหะ - จึงเปรียบเสมือนความมืดภายในใจ ความมืดนั้น ทำให้ผู้ถูกครอบงำชอบเส่ียง ชอบเดา เชื่อโชคลาง เช่ือพรหมลขิ ติ ชอบทำความผิดทุกชนิด ตง้ั แตท่ ะเลาะ ววิ าทกนั ฆ่ากนั ทำสงครามกัน ไมเ่ วน้ แม้การทำร้าย หรือฆา่ พอ่ แม่ของตนเอง การละโมหะ ๑. ต้งั ใจฟัง อ่าน เรยี นธรรม เพื่อเพ่ิมพูนสุตมยปญั ญา ๒. ตง้ั ใจคน้ คดิ ทดลอง ทำวจิ ยั ธรรม เพอื่ เพม่ิ พนู จนิ ตามย- ปัญญา ๓. ต้งั ใจทำใจใหส้ งบ และเจริญสมาธภิ าวนา เพอื่ เพม่ิ พูน ภาวนามยปญั ญา หากเผลอสติปล่อยให้กิเลสเข้ายึดครองใจ ใจจะถูกบังคับให้ คิดรา้ ยๆ แล้วพูดและทำแตเ่ รื่องร้ายๆ ตามแต่กเิ ลสจะชักนำ ผู้นน้ั ยอ่ มได้บาป ไมว่ า่ จะยืน เดิน นงั่ หรอื นอน ทำให้เปน็ คนไร้ความสขุ ฉะนัน้ ผ้ทู หี่ วงั ความสขุ ความเจริญจำเปน็ ตอ้ งกำจดั กเิ ลสเสยี แตต่ ้น แต่กิเลสไม่สามารถใช้น้ำล้างได้ ใช้ไฟเผาก็ไม่ได้ มีบุญเท่าน้ันที่ สามารถกำจัดกิเลสได้โดยสิ้นเชงิ มิตรแทจ้ ริงของมนุษย์ ได้แก่ บุญซง่ึ มนุษยส์ ร้างข้ึนด้วยตนเอง บญุ - เป็นพลังงานชนิดหนึ่งซ่ึงบริสุทธิ์มาก เพราะไม่ว่า ปรมิ าณจะมาก น้อยหรอื ปานกลาง นอกจากไม่มโี ทษ ใดๆ แลว้ ยังนำแต่ความสุขความเจรญิ ความสมหวงั ใน ศาสตร์และศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 12

สงิ่ ทดี่ งี ามทงั้ หลายมาใหผ้ มู้ บี ญุ นน้ั ทง้ั ในชวี ติ นแี้ ละชวี ติ ในโลกเบอื้ งหนา้ เชน่ ทำให้อายยุ ืน สขุ ภาพพลานามยั แขง็ แรง ผวิ พรรณงาม มีศักดามาก มีทรัพยส์ มบัติมาก เกดิ ในตระกลู สูง และมีปัญญามาก ฯลฯ บุญ๑ - เป็นพลังงานซึ่งมีอานุภาพมาก เพราะเป็นส่ิงเดียว ทมี่ ฤี ทธฆ์ิ า่ กเิ ลสทกุ ชนดิ ได้ จงึ สามารถชำระจติ สนั ดาน ทเี่ ศรา้ หมองตลอดจนความเหน็ ผดิ ความคดิ ชวั่ รา้ ยทงั้ หลาย ให้หมดสิ้นไปจากใจ ทำให้ใจกลับมาบริสุทธ์ิผ่องใสได้ เป็นอัศจรรย์ บญุ - ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเน้ือของมนุษย์แต่เห็นได้ด้วย ตาทพิ ย์ (ทพิ ยจกั ษ)ุ ตาธรรม (ธรรมจกั ษ)ุ และรู้ได้ ดว้ ยอาการทีป่ รากฏ เชน่ รู้สึกเปน็ สุขสดช่ืน หนา้ ตา ผอ่ งใส มกี ำลงั ใจทำความดี มีความสำรวมระวงั ฯลฯ เช่นเดียวกับที่รู้ว่ามีพลังงานไฟฟ้าด้วยอาการที่ทำให้ หลอดไฟสว่าง เตารีดร้อน พัดลมหมุน กล้ามเนื้อ กระตุก ฯลฯ บุญ - มีคุณสมบตั วิ เิ ศษมากมาย เชน่ ๑. เป็นของเฉพาะตน จึงต้องทำด้วยตวั เอง ๒. ตดิ ตามตนเองไปไดท้ กุ ฝกี า้ ว แมต้ ายไปเกดิ ในภพใหม่ กย็ ังติดตามไปได้ ๓. ใครแยง่ ใครลกั ไปก็ไมไ่ ด้ ____________________________________ ๑ ขุ.อติ ิ. ๔๕/๑๕๐ (มมร.) ช่อื วา่ บญุ เพราะใหเ้ กดิ ผลน่าบชู า และเพราะชำระสันดานของตน ใหห้ มดจด ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ หง่ ความเป็นครู 13

๔. เปน็ เครอื่ งปอ้ งกนั ภยั ในวฏั สงสาร เชน่ ไมใ่ หต้ กนรก กไ็ ด้ ๕. สามารถสง่ ไปไดไ้ กลๆ แมข้ า้ มโลก ขา้ มจกั รวาลกไ็ ปได้ ๖. ให้มนุษยส์ มบตั ิ ทิพย์สมบัติ นพิ พานสมบตั กิ ไ็ ด้ ฯลฯ บุญ - ท้งั น้อยและใหญ่ล้วนเกดิ ทใี่ จของผทู้ ำบญุ เทา่ นนั้ โดย ย่อเราสามารถทำบญุ ได้ ๓ วิธดี ้วยกนั คือ ๑. ทาน คือ การใหส้ งิ่ ของทคี่ วรแก่ผทู้ ค่ี วรให้ ๒. ศีล คือ การควบคุมกาย วาจา ใหเ้ รยี บร้อยดว้ ยการ ไมท่ ำผดิ และพูดผดิ ๓. ภาวนา คอื การทำใจใหส้ งบและทำปญั ญาใหเ้ กดิ ขน้ึ ๑. บญุ จากการให้ทาน ทาน - แปลว่า การให้ ถ้าให้เพื่อมุ่งฟอกกิเลสในใจของผู้ให้ เชน่ ถวายพระสงฆ์ เรานยิ มเรยี กวา่ ทำบญุ ถ้าให้เพอ่ื มงุ่ สงเคราะหผ์ รู้ บั เชน่ ใหส้ งิ่ ของแกค่ นยากจน คนทวั่ ไป เรยี กวา่ ทำทาน ทาน - เป็นการให้ส่ิงของท่ีควรแก่ผู้ที่ควรให้ ส่ิงของท่ีควรให้ เรียกว่าทานวตั ถุ หรือไทยทาน หรอื ไทยธรรม มี ๑๐ อยา่ งคือ อาหาร น้ำ เครอ่ื งนงุ่ ห่ม ยานพาหนะ มาลยั และดอกไม้ ของหอม (ธปู เทยี น) เครอื่ งลบู ไล้ (สบู่ เปน็ ตน้ ) ทนี่ อน ทอ่ี ยอู่ าศยั และประทปี (ไฟฟา้ ) ทานวตั ถเุ หลา่ นี้ ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเปน็ ครู 14

มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษภัยแก่ผู้รับจึงมีอานิสงส์มาก โดยท่วั ไปเรยี กผใู้ ห้ทานวตั ถวุ ่า ทานบดี ทาน - ทำให้เกดิ บุญได้ เพราะในทนั ทที ใี่ จได้สติ เกิดกำลงั มาก พอถึงกับสละทานวัตถุได้๑ ใจก็กลับเข้ามาบรรจบกับ ธรรม ซ่ึงเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ภายในของตนเอง จึง เกิดเปน็ ดวงบุญสว่างขน้ึ โดยอัตโนมัติ ณ ศนู ยก์ ลางใจ เชน่ เดยี วกบั ไฟฟา้ ขว้ั บวกกบั ขว้ั ลบทม่ี าบรรจบกนั ยอ่ มเกดิ ประกายสวา่ งขึ้นฉะนนั้ และบุญท่เี กิดข้นึ นี้กท็ ำหนา้ ที่ ฆ่าโลภะกิเลสทันทีเหมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ หรือดวงประทปี เมอื่ ปรากฏข้ึน ย่อมฆา่ ความมดื ให้ หมดไปฉะนั้น ทาน - จะบังเกดิ ผลเป็นบญุ มากหรอื นอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั ๑. วตั ถุ คอื ของทจี่ ะใหต้ อ้ งเปน็ ของทต่ี นไดม้ าโดยสจุ รติ ๒. เจตนา คอื ความตงั้ ใจในการใหว้ า่ มงุ่ ชำระกเิ ลสหรอื ปรบั ปรุงจติ ใหส้ ะอาดเปน็ หลัก ๓. บคุ คล คือผู้ใหต้ อ้ งบรสิ ทุ ธิ์ มีศลี ๕ เปน็ อย่างน้อย สว่ นผูร้ ับกย็ ่ิงตอ้ งมีศลี บรสิ ุทธิต์ ามเพศภาวะของตน ทาน - มีผลแก่ผู้ให้โดยตรงคือ ฆ่าความตระหนี่ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว และทำให้ทานบดีน้ันกลายเป็นคน โอบอ้อมอารีตามไปดว้ ย ____________________________________ ๑ ขุ.จรยิ า.อ. ๗๔/๕๗๘ (มมร.) ทานบารมี มีการบริจาคเปน็ ลกั ษณะ มีการกำจัดความโลภ ในไทยธรรมเปน็ รส (หนา้ ท่ี) ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 15

ทาน - มีผลน่าชื่นใจหรืออานิสงส์ท้ังโลกนี้ โลกหน้าต่อไปอีก แกท่ านบดี ๗ ประการคือ ๑. พระอรหันต์ท้ังหลายเมื่อได้โอกาสย่อมอนุเคราะห์ ทานบดีก่อนคนทั้งหลาย ๒. พระอรหันต์ท้ังหลายเมื่อได้โอกาสย่อมเข้าไปหา ทานบดกี ่อนคนท้งั หลาย ๓. พระอรหันต์ทั้งหลายเม่ือได้โอกาสย่อมรับทานของ ทานบดีกอ่ นของคนทั้งหลาย ๔. พระอรหันต์ท้ังหลายเมื่อได้โอกาสย่อมแสดงธรรม แกท่ านบดีกอ่ นคนท้งั หลาย ๕. กติ ตศิ ัพทอ์ นั งามของทานบดียอ่ มฟุง้ กระจาย ๖. ทานบดเี ขา้ ไปในบรษิ ทั ใดๆ ยอ่ มแกลว้ กลา้ ไมเ่ กอ้ เขนิ ๗. ทานบดตี ายแลว้ ยอ่ มไปเกิดในสวรรค์ ๒. บุญจากการรักษาศลี ศลี - แปลวา่ ปกติ สงบเยน็ ในทางปฏบิ ตั ิ หมายถงึ การงดเวน้ จากการประพฤติผิดทางกายและวาจา การควบคุมกาย วาจาให้เรียบร้อย งดงามปราศจากความมัวหมองเป็น ปกติ รวมแล้ว คอื การไมท่ ำผดิ และไมพ่ ดู ผดิ ศลี - ระดับตน้ คอื ศีล ๕ ของคนท่ัวไป ระดับกลาง คอื ศีล ๘ ของอบุ าสก อบุ าสิกา และศลี ๑๐ ของสามเณร ระดับสูง คอื ศลี ๒๒๗ ของพระภิกษุ และศีล ๓๑๑ ของ ภกิ ษุณี ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 16

ศลี - เมื่อรักษาได้ย่อมเกิดบุญ เพราะในทันทีท่ีหักห้ามใจได้ ย่อมตระหนักแก่ใจตนว่า บุคคลและสิ่งของภายนอก ไม่สำคัญเท่าความดี ใจจึงได้สติ เกิดกำลังใจ ควบคุม การพดู การทำ ไม่ใหว้ ิปริตผิดปกตธิ รรมดา ใจกก็ ลับ เขา้ มาบรรจบกบั ธรรม ซงึ่ เปน็ ธรรมชาตบิ รสิ ทุ ธภิ์ ายในตน เกิดเป็นดวงบุญสว่างขึ้นโดยอัตโนมัติ ณ ศูนย์กลางใจ ทนั ทที บี่ ญุ นเ้ี กดิ ขน้ึ กจ็ ะทำหนา้ ทฆ่ี า่ โทสะกเิ ลส เหมอื น แสงสวา่ งของดวงอาทติ ยห์ รอื ดวงประทปี เมอ่ื ปรากฏขน้ึ ย่อมฆา่ ความมดื ให้หมดไปฉะนนั้ ศลี - เป็นเหตุให้คนอยู่ร่วมกันเป็นปกติ ไม่เบียดเบียนกัน ไมฆ่ ่ากนั ไมล่ กั ขโมยของกนั และกัน ส่งผลเป็นความสงบ แก่ผู้รักษา และทำหน้าท่ีควบคุมพลโลกให้เรียบรอ้ ย จงึ เปน็ ทางมาแห่งความสงบสขุ ศีล - มีผลแก่ผู้รักษาโดยตรงคือ ทำให้เป็นคนมีกายและวาจา บริสุทธิ์สะอาด เปน็ การตดั เวรตดั ภยั ควบคุมกำกบั โทสะ ไวไ้ มใ่ หม้ ีโอกาสกำเรบิ ได้ ศลี - มีผลน่าช่ืนใจ และมีอานิสงส์ต่อไปอีกท้ังโลกน้ีและโลก หนา้ แก่ผรู้ ักษาศีล คือ ๑. ย่อมมโี ภคทรพั ยม์ าก ๒. กติ ติศัพทอ์ ันงามยอ่ มขจรไป ๓. เขา้ ไปในบรษิ ทั ใดๆ ยอ่ มแกลว้ กล้าไม่เก้อเขิน ๔. ย่อมไมห่ ลงลมื สตติ าย ๕. ตายแล้วย่อมไปเกดิ ในสวรรค์ ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งความเป็นครู 17

๓. บญุ จากการเจริญภาวนา ภาวนา - แปลวา่ การเจรญิ การอบรม การทำใหม้ ี ให้เปน็ ขึ้น หมายถงึ การทำใจใหส้ งบและทำปญั ญาใหเ้ กดิ ขน้ึ ดว้ ยการฝกึ ฝนอบรมจติ ไปตามแบบทที่ า่ นผรู้ กู้ ำหนดไว้ ซ่ึงเรียกชื่อต่างๆ กันไป เช่น การบำเพญ็ กรรมฐาน การทำสมาธิ การเจรญิ ภาวนา การเจรญิ จติ ตภาวนา การบรหิ ารจิต ฯลฯ ภาวนา - ในทางปฏิบัตทิ ่านแบง่ ไว้ ๒ แบบใหญๆ่ คอื ๑. สมถภาวนา การอบรมใจใหส้ งบ เรยี กวา่ สมถ- กรรมฐาน หรอื จิตตภาวนา หรอื สมาธภิ าวนา กไ็ ด้ ๒. วปิ สั สนาภาวนา การอบรมใจใหเ้ กดิ ปญั ญา เรยี กวา่ วิปสั สนากรรมฐาน หรือ ปัญญาภาวนา ก็ได้ เปน็ ขน้ั ตอนตอ่ จากสมาธขิ องผทู้ เ่ี ขา้ ถงึ ธรรมกายแลว้ ภาวนา - เมื่ออบรมอย่างจริงจังย่อมเกิดบุญข้ึนอย่างมากมาย เพราะเป็นการอบรมใจให้กลับมาสงบหยุดน่ิง ณ ศูนยก์ ลางกายอย่างต่อเน่ืองจริงจัง ใจจงึ มสี ตกิ ำกบั อยา่ งตอ่ เนอ่ื งและมกี ำลงั มากพอทจ่ี ะประคบั ประคอง ใจใหเ้ ขา้ ถงึ เขา้ ไปอยแู่ ละเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกบั ธรรม ครง้ั ละนานๆ เปน็ ชว่ั โมงๆ เปน็ วนั ๆ เสมอื นนำไขแ่ ดง คอื ใจ สอดเขา้ ไปไวใ้ นไขข่ าวคอื ธรรม ซง่ึ เปน็ ธรรมชาติ บริสทุ ธภ์ิ ายในตน เกิดเปน็ ดวงบุญสว่างไสวต่อเนอ่ื ง กนั โดยอตั โนมัติ ณ ศนู ยก์ ลางใจ เชน่ เดยี วกบั ไฟฟ้า ขั้วบวกกับขั้วลบหากมาบรรจบกันก็เกิดประกาย ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเป็นครู 18

สว่างขึ้นฉะนน้ั เนอ่ื งจากใจเข้าไปอยูก่ ลางดวงธรรม อยา่ งตอ่ เนอ่ื งนานเปน็ ชว่ั โมง เปน็ วนั ๆ สำหรบั ผเู้ จรญิ สมถภาวนา และเปน็ สปั ดาห์ เปน็ เดอื น เปน็ ปี สำหรบั ผู้เจริญวิปัสสนาอันเน่ืองจากเข้าถึงธรรมกายแล้ว บุญอันมหาศาลเหล่านี้เองจะทำหน้าที่กำจัดโมหะ กิเลส ซ่ึงเป็นกิเลสที่ร้ายแรงที่สุดตลอดจนกิเลส ต่างๆ ทุกชนิดอย่างไม่ลดละ ภาวนา - การจะบงั เกดิ บญุ มากหรอื นอ้ ยขน้ึ อยกู่ บั ความสามารถ ในการทำใจให้หยุดนิ่งสนิทเป็นอันหน่ึงอันเดียวกับ ธรรมไดน้ านเทา่ ใด หากนงิ่ สนทิ เปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี ว ได้ถาวรตลอดไป กิเลสทุกชนิดย่อมถูกกำจัดจน หมดส้นิ ไปดว้ ย ใจผ้นู ้ันยอ่ มบรรลพุ ระนพิ พานเสวย แตบ่ รมสขุ ตลอดไป ทา่ นผนู้ นั้ จงึ ไดช้ อื่ วา่ พระอรหนั ต์ ภาวนา - จึงไม่ใช่งานของคนแก่ แต่เป็นงานของทุกๆ คนที่ ต้องการปัญญา ความพ้นทุกข์ และความสุขสงบ อยา่ งถาวรแท้จริง การทำบุญทุกชนิดไม่ว่าน้อยหรือใหญ่ ล้วนเป็นการต่อต้าน ทำลาย กำจดั กเิ ลสดว้ ยกนั ทง้ั นนั้ เมอ่ื ฝา่ ยบาปจดั ทพั กเิ ลสมารกุ ราน โจมตใี จถงึ ๓ ทพั พระสมั มาสัมพุทธเจา้ จึงทรงสอนใหช้ าวโลกจัด กองทพั ธรรมขน้ึ ๓ ทพั เพอื่ ตอ่ ตา้ น ทำลายลา้ งผลาญกเิ ลสใหส้ นิ้ ซาก โดยกำหนดให้กองทัพทานทำลายล้างโลภะ กองทัพศีลทำลายล้าง โทสะ กองทพั ภาวนาทำลายล้างโมหะ โดยมพี ้นื ที่ในใจของตนเอง เปน็ สนามรบ ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 19

ทาน กำจัด เห็นแก่ได้ โลภะ กองทพั ผลติ บญุ ผลิตบาป กองทพั ศลี กำจดั พลงุ่ พลา่ น โทสะ ธรรม กเิ ลส ภาวนา กำจัด งมงาย โมหะ กรรมดี กรรมชั่ว บญุ บาป กองทพั ธรรม กองทพั กิเลส ภาพท่ี ๑-๑ การสรู้ บในใจระหวา่ งกรรมดี-กรรมชว่ั การสู้รบระหว่างบญุ -บาป บญุ ทเ่ี ราทำอปุ มาเหมอื นความสวา่ งทส่ี ามารถฆา่ กเิ ลส ซ่งึ อุปมา เหมอื นความมดื ท่ปี กคลุมจิตใจของคนเรา บุญอนั เกดิ จากการทำทานน้นั อปุ มาเหมอื นความสวา่ งจากเทียน บุญอันเกิดจากการรักษาศีลน้ัน อุปมาเหมือนความสว่างจาก หลอดไฟฟา้ บุญอันเกิดจากการทำภาวนาน้ัน อุปมาเหมือนความสว่างจาก ดวงอาทิตย์ ดังน้ันผู้ไม่ประมาทจึงต้องหมั่นทำให้แหล่งแห่งความสว่างเหล่านี้ โชตชิ ว่ งอยเู่ สมอ ทง้ั ตอ้ งคอยระมดั ระวงั มใิ หค้ วามสวา่ งเหลา่ นส้ี ญู สลายไป เพราะหากความสวา่ งหมดไปเมอ่ื ใด ความมดื กย็ อ้ นกลบั เขา้ ปกคลมุ ทนั ที เมื่อน้ัน นั่นคือกิเลสได้โอกาสออกฤทธิ์บงการคนเราให้ทำบาปทำช่ัว ได้อกี ศาสตรแ์ ละศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 20

กฎแหง่ กรรม มนุษยท์ ้งั หญงิ และชายตา่ งตอ้ งเวยี นว่ายตายเกดิ อยู่ในโลกน้ี ไม่มี ใครหนรี อดจากวงจรนไี้ ปได้ หากใครทำบญุ หรอื ทำกรรมดี ครน้ั ละโลก ยอ่ มไปเกดิ ในสคุ ตภิ มู ิ คอื เกดิ เปน็ มนษุ ยบ์ า้ ง เปน็ เทวดาบา้ ง เปน็ พรหมบา้ ง คร้ันได้เสวยสุขในสวรรค์ตามสมควรแก่กรรมดีแล้ว ก็กลับมาเกิดเป็น มนุษยอ์ ีก ในทางตรงข้าม หากประมาทพลาดพลัง้ ไปทำกรรมชั่วกต็ ้อง ไปเกดิ ในทุคตภิ มู ิ คือไปเกดิ เป็นสตั ว์ดริ ัจฉานบ้าง สตั วน์ รกบ้าง เปรต หรอื อสรุ กายบา้ ง กวา่ จะไดโ้ อกาสกลบั มาเกดิ เปน็ มนษุ ยอ์ กี กน็ านแสนนาน สภาพของสัตว์โลกที่ต่างเวียนว่ายตายเกิดให้ต้องเป็นทุกข์อย่าง ไมร่ จู้ บ ในสภาพเปน็ มนษุ ยบ์ า้ ง สตั วด์ ริ จั ฉานบา้ ง สตั วน์ รกบา้ ง เทวดาบา้ ง พรหมบ้าง ฯลฯ เช่นนี้ จึงไม่ต่างกับนักโทษท่ีถูกทรมานอยู่ในคุกคือ โลก โดยที่นักโทษเหล่าน้ันไม่เคยทราบเลยว่า ตนล้วนตกอยู่ภายใต้ “กฎแหง่ กรรม” กรรม แปลว่า การกระทำ เปน็ คำกลางๆ หมายถึง การกระทำดี ก็ได้ หรอื การกระทำชว่ั กไ็ ด้ กรรมดี คือ การกระทำโดยไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไมม่ คี วามหลงเป็นเหตุ เรียกว่า กุศลกรรม กรรมช่ัว คือ การกระทำโดยมีความโลภ มีความโกรธ มี ความหลงเปน็ เหตุ เรียกวา่ อกุศลกรรม ความหมายของกรรม ๑. กรรม คอื การกระทำทเี่ กดิ มาจากเจตนา (ความตง้ั ใจ ความ จงใจ) ถา้ ทำดว้ ยเจตนาดปี ราศจากความโลภ ความโกรธ และความหลง ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 21

ก็เป็นกรรมดี ถ้าทำด้วยเจตนาช่ัวโดยมีความโลภ ความโกรธ และ ความหลงเป็นเหตกุ เ็ ป็นกรรมช่วั ๒. กรรมเป็นการกระทำของคนท่ียังมีกิเลส การกระทำของ พระอรหนั ตไ์ มจ่ ดั วา่ เปน็ กรรม เพราะทา่ นหมดกเิ ลสแลว้ การคดิ การพดู การทำทุกลมหายใจของท่านมีแต่ความบริสุทธ์ิ ไม่มีอะไรแอบแฝงจึง พ้นไปจากกฎแห่งกรรม ๓. กรรม คอื การกระทำทย่ี งั จะต้องมกี ารใหผ้ ลตอ่ ไปอีก โดย มีกฎตายตัวชัดเจนว่า ใครทำกรรมดีผู้น้ันย่อมได้รับผลดีคือความสุข ใครทำกรรมชวั่ ผนู้ น้ั ยอ่ มไดร้ บั ผลชวั่ คอื ความทกุ ขใ์ นรปู แบบตา่ งๆโดยยอ่ กค็ อื ทำดไี ดด้ ีทำชวั่ ไดช้ ว่ั กฎนเ้ี ปน็ กฎคโู่ ลก และพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงเปน็ ผคู้ น้ พบในวนั ตรสั รู้ แลว้ ทรงนำมาเปดิ เผยแกช่ าวโลก เส้นทางในการสร้างกรรม คนเราไม่วา่ เด็กหรอื ผใู้ หญ่ หญิงหรือชาย สามารถสรา้ งกรรมทั้ง ดแี ละไมด่ ีได้ ๓ ทางด้วยกนั คอื กรรมทางกาย เรยี กวา่ กายกรรม กรรมทางวาจา เรยี กว่า วจีกรรม กรรมทางใจ เรียกว่า มโนกรรม ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 22

ตารางที่ ๑-๑ การสรา้ งกศุ ลกรรมและอกศุ ลกรรมจำแนกตามเสน้ ทาง การสร้างกรรม เสน้ ทางสรา้ งกรรม กุศลกรรมบถ อกศุ ลกรรมบถ ทางแห่งความดี ทางแห่งความชั่ว ๑. งดเว้นจากการฆา่ สัตว์ ๑. การจงใจทำลายชีวิตผู้อ่ืน ทีย่ งั มชี ีวิต ๒. การจงใจลักขโมยของผู้อ่นื กรรมทางกาย ๒. งดเวน้ จากการลักขโมย ๓. การจงใจประพฤติผิด กายกรรม ของผูอ้ น่ื ในกาม ๓. งดเวน้ จากการประพฤติ ผิดในกาม ๑. งดเว้นจากการพดู เท็จ ๑. การจงใจพดู เท็จ ๒. งดเวน้ จากการพดู ๒. การจงใจพูดส่อเสียด กรรมทางวาจา ส่อเสียด ๓. การจงใจพดู คำหยาบ วจกี รรม ๓. งดเวน้ จากการพดู คำหยาบ ๔. การจงใจพดู เพอ้ เจ้อ ๔. งดเวน้ จากการพดู เพอ้ เจอ้ ๑. ไม่คิดเพง่ เลง็ อยากได้ ๑. คิดเพ่งเล็งอยากได้ สง่ิ ของของผอู้ ืน่ ส่ิงของของผอู้ ่นื กรรมทางใจ ๒. ไมค่ ดิ ปองรา้ ยเบยี ดเบยี น ๒. คดิ ปองรา้ ยเบยี ดเบยี นผอู้ นื่ มโนกรรม ผู้อืน่ ๓. คดิ ผดิ เหน็ ผดิ เปน็ มจิ ฉาทฐิ ิ ๓. คดิ ถกู เหน็ ถกู เปน็ สมั มาทิฐิ ระดับการให้ผลของกรรม กรรมที่ทำแล้วไม่ว่าดีหรือไม่ดีไม่ได้ส้ินสุดที่การกระทำเท่าน้ัน แตม่ วี บิ ากคอื ผลเกิดขึน้ กับผทู้ ำกรรมน้ันด้วย ผลของกรรมมี ๒ ระดับ ช้นั ดว้ ยกัน คือ ศาสตร์และศิลปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 23

๑. ผลกรรมระดบั ชั้นนอก จะส่งผลให้ผูท้ ำกรรมนั้นไดร้ ับสงิ่ ท่ดี ี หรือส่งิ ทไี่ ม่ดีตามมา ส่งิ ท่ดี ี เช่น การเกิดในสุคติภมู ิ และการได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สขุ ฯลฯ ส่ิงทีไ่ ม่ดี เชน่ การเกิดในทุคติภมู ิ และการเสอ่ื มลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ฯลฯ ๒. ผลกรรมระดบั ชนั้ ใน จะใหผ้ ลเปน็ ความรสู้ กึ นกึ คดิ หากใคร ทำดี กใ็ หผ้ ลเปน็ ความสขุ ความอมิ่ เอบิ ใจ พรอ้ มกบั ความรสู้ กึ นกึ คดิ ทด่ี ี ใครทำช่ัวก็ให้ผลเป็นความทุกข์ ความเดือดรอ้ นใจ พร้อมกับ ความรู้สึกนึกคิดที่ช่ัวตามมา ความรู้สึกไม่ว่าดีหรือช่ัวท่ีทำแต่ละครั้ง จะเปน็ ผลตกคา้ งอยใู่ นใจของผนู้ นั้ ครน้ั ผนู้ น้ั ทำบอ่ ยๆ กเ็ กดิ ความคนุ้ เคย แล้วแสดงผลออกมาเป็นนิสัยในท่ีสุด นิสยั ที่ฝังลึกนี้สามารถติดตามไป ในภพชาติเบือ้ งหนา้ ได้ เรียกว่า สนั ดาน ซงึ่ มที ั้งสันดานดีและเลว คนส่วนมากมักสนใจเฉพาะผลกรรมระดับช้ันนอก ทำให้ขาด ความระมัดระวังตัวเก่ียวกับผลกรรมระดับช้ันใน ซ่ึงนับว่าเป็นความ ประมาทอย่างยิ่ง ระยะเวลาทีก่ รรมให้ผล กรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตามท่ีบุคคลทำในวาระหน่ึงสำเร็จแล้ว จะรอกาลเวลาให้ผลต่อไป กาลเวลาที่ให้ผลของกรรมแต่ละวาระน้ัน แบง่ ออกเปน็ ๓ ระยะ คือ ๑. ให้ผลในชาติน้ี (ทิฎฐธรรมเวทนยี กรรม) คือ กรรมทท่ี ำใน ชาตนิ แ้ี ละจะใหผ้ ลในชาตนิ เ้ี ทา่ นน้ั หากชาตนิ ไ้ี มม่ โี อกาสใหผ้ ล กก็ ลายเปน็ อโหสกิ รรมไป ลักษณะการให้ผลคือ ถา้ เป็นกรรมดกี จ็ ะทำให้ได้รบั รปู รส กล่นิ เสียง สัมผสั ทด่ี ๆี เช่น ไดล้ าภ ยศ สรรเสรญิ สุข ไดโ้ ภคทรัพย์ บริวาร หนา้ ตาผิวพรรณผ่องใส หายจากโรค เปน็ ต้น ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเป็นครู 24

ถา้ เป็นกรรมชั่ว กท็ ำใหไ้ ดร้ บั รปู รส กลนิ่ เสยี ง สมั ผสั ทไ่ี มด่ ี เชน่ เสอ่ื มจาก ลาภ ยศ ถกู นนิ ทา ไดร้ บั ทกุ ข์ เสอื่ มจากโภคทรพั ย์ บรวิ าร หน้าตาผิวพรรณเศรา้ หมอง เกดิ โรครา้ ย ประสบอบุ ัตเิ หตุ เปน็ ต้น ๒. ใหผ้ ลในชาติหน้า (อปุ ปชั ชเวทนยี กรรม) คอื กรรมทีท่ ำใน ชาตินี้แต่จะให้ผลในลำดับถัดไปจากชาติน้ีชาติเดียวเท่าน้ัน หากไม่ได้ โอกาสให้ผลก็กลายเป็นอโหสิกรรมไป ลักษณะการให้ผลยังแบ่งเป็น ๒ กาล คือ ๒.๑ ใหผ้ ลในปฏสิ นธกิ าล คอื ใหผ้ ลเปน็ ปฏสิ นธิ (พาไปเกดิ ) ได้แก่ กรรมดีพาไปเกิดในสคุ ตภิ มู ิ เปน็ มนษุ ย์ เทวดา พรหม กรรมช่ัว ก็พาไปเกิดในทุคตภิ มู ิ เป็นสัตวน์ รก เปรต อสรุ กาย สัตว์ดริ จั ฉาน ๒.๒ ให้ผลในปวัตติกาล คือ ให้ผลหลังเกิดแล้ว ถ้าเป็น กรรมดี กจ็ ะทำให้ได้รบั รปู รส กล่นิ เสียง สัมผัสทีด่ ีๆ เช่น ไดล้ าภ ยศ สรรเสริญ สุข ได้โภคทรัพย์ บริวาร หน้าตาผิวพรรณผ่องใส หายจากโรค เป็นตน้ ถ้าเป็นกรรมชั่ว ก็ทำใหไ้ ดร้ บั รูป รส กลน่ิ เสียง สมั ผัสที่ไม่ดี เชน่ เสอ่ื มจาก ลาภ ยศ ถกู นนิ ทา ไดร้ บั ทกุ ข์ เสอ่ื มจากโภคทรพั ย์ บรวิ าร หน้าตาผวิ พรรณเศร้าหมอง เกิดโรคร้าย ประสบอุบตั ิเหตุ เปน็ ตน้ การให้ผลในชาติหน้าถัดไปจากชาติน้ี บางกรรมก็ให้ผลคือ พาไปเกิดอยา่ งเดียว บางกรรมกใ็ หผ้ ลหลงั เกดิ ดังกลา่ วแล้ว บางกรรม ก็ใหผ้ ลทั้ง ๒ กาล หากไม่มีโอกาสให้ผลเพราะถูกกรรมอื่นในชาตินี้ หรือ กรรมอ่ืนในอดีตชาติมาตดั รอน กรรมนก้ี จ็ ะเป็นอโหสิกรรมไป ๓. ใหผ้ ลในชาตทิ สี่ ามเปน็ ตน้ ไป (อปรปรยิ ายเวทนยี กรรม) คอื กรรมทที่ ำในชาตนิ ้ี หรอื ชาตไิ หนๆ ทผ่ี า่ นมาทง้ั หมด แตก่ รรมประเภทนี้ จะรอใหผ้ ลแนน่ อนในอนาคตเมอื่ มโี อกาส เมอ่ื ความเปน็ ไปแหง่ สงั สารวฏั ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเป็นครู 25

ยงั มีอยู่ กรรมนน้ั จะช่ือวา่ เป็นอโหสิกรรมย่อมไม่มี เพราะมีจำนวนนบั ไม่ถ้วน แต่จะเป็นอโหสิกรรมเฉพาะกรรมที่อ่อนกำลังหรือให้ผลหมด แล้ว หรอื ถูกตดั ขาดด้วยมรรค ส่วนลกั ษณะการใหผ้ ลแบ่งเป็น ๒ กาล เชน่ เดียวกับกรรมท่ใี ห้ผลในชาติหนา้ ระยะท่ี ระยะท่ี ระยะที่ ระยะท่ี ระยะที่ ระยะท่ี ๑ ๓.๒ ๓.๓ ๓.๔ ระยะท่ี ๒ ๓.๑ ๓.๕ ภาพท่ี ๑-๒ กาลเวลาทีใ่ ห้ผลของกรรมวาระหน่ึงๆ แบง่ เปน็ ๓ ระยะ หมายเหตุ กรรมวาระหนึง่ ๆ หรอื อภธิ รรมเรียกว่า วถิ ีหนึง่ จะมเี จตนากรรม ๗ ขณะ เชน่ เห็นรปู จะเกดิ ความคดิ ดีหรอื ไม่ดีท่จี ดั ว่าเปน็ กรรม (ชวนะ) ๗ ขณะ ในกรรม ๗ ขณะนัน้ จะใหผ้ ล ๓ ระยะ คือ - ระยะที่ ๑ ใหผ้ ลในชาตทิ ่ีทำ เรียกวา่ กรรมทันตาเห็น หาก ไมใ่ หผ้ ลกเ็ ปน็ อโหสิกรรม (ดวงที่ ๑) - ระยะท่ี ๒ ให้ผลในชาติท่ี ๒ ถัดไปชาติเดียว หากไม่ให้ผล กเ็ ปน็ อโหสิกรรมไป (ดวงที่ ๗) - ระยะท่ี ๓ ใหผ้ ลในชาตทิ ี่ ๓ จนกว่าจะเขา้ สูน่ ิพพาน จงึ หยดุ การใหผ้ ล (ดวงท่ี ๒-๖) ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 26

หลกั การตดั สินกรรมด-ี กรรมชัว่ ตารางท่ี ๑-๒ หลักการตดั สินกรรมดี-กรรมชว่ั หลกั ในการตดั สนิ กรรมดี กรรมชว่ั ๑. พจิ ารณาผลทจ่ี ะ เยน็ เขา เยน็ เรา รอ้ นเขา เยน็ เรา เกดิ ตอ่ สงั คม ไมร่ อ้ นเขา ไมร่ อ้ นเรา เยน็ เขา รอ้ นเรา รอ้ นเขา รอ้ นเรา ๒. พจิ ารณาที่ เมตตากรณุ า สมั มาอาชวี ะ ฆา่ สตั ว์ ลกั ทรพั ย์ เบญจศลี และ สำรวมในกาม ซอ่ื สตั ย์ มสี ติ ประพฤตผิ ดิ ในกาม พดู เทจ็ เบญจธรรม ดมื่ นำ้ เมา ๓. พจิ ารณาทเี่ หตุ ผทู้ ำกระทำโดยไมม่ คี วามโลภ ผทู้ ำกระทำเพราะความโลภ ผทู้ ำกระทำโดยไมม่ คี วามโกรธ ผทู้ ำกระทำเพราะความโกรธ ผทู้ ำกระทำโดยไมม่ คี วามหลง ผทู้ ำกระทำเพราะความหลง ๔. พจิ ารณาทผี่ ล ทำสง่ิ ใดแลว้ ผทู้ ำไมต่ อ้ ง ทำสงิ่ ใดแลว้ ผทู้ ำตอ้ ง เดอื ดรอ้ นใจในภายหลงั เดอื ดรอ้ นใจในภายหลงั ๕. พจิ ารณาท่ี ดที างกาย ๓ : ไมฆ่ า่ สตั ว์ ชวั่ ทางกาย ๓ : ฆา่ สตั ว์ เสน้ ทางการ ไมล่ กั ทรพั ย์ ไมป่ ระพฤตผิ ดิ ลกั ทรพั ย์ ประพฤตผิ ดิ ในกาม ทำกรรม ในกาม ดที างวาจา ๔ : ไมพ่ ดู เทจ็ ชวั่ ทางวาจา ๔ : พดู เทจ็ ไมพ่ ดู หยาบ ไมพ่ ดู เพอ้ เจอ้ พดู คำหยาบ พดู เพอ้ เจอ้ ไมพ่ ดู สอ่ เสยี ด พดู สอ่ เสยี ด ดที างใจ ๓ : ไมค่ ดิ โลภ ชว่ั ทางใจ ๓ : คดิ โลภ ไมค่ ดิ พยาบาท เปน็ คดิ พยาบาท เป็นมจิ ฉาทิฐิ สมั มาทฐิ ิ เหน็ ถกู ตอ้ งตาม เห็นผดิ เปน็ ชอบ ทำนองคลองธรรม ศาสตรแ์ ละศิลป์แหง่ ความเป็นครู 27

ลกั ษณะของครูแบง่ ตามกรรม พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงแสดงลักษณะคนพาลและบณั ฑติ โดย แบ่งตามประเภทของกรรมท่ตี นเป็นผูท้ ำไว้ ดงั แสดงในตารางตอ่ ไปน้ี ตารางที่ ๑-๓ ลกั ษณะของครแู บง่ ตามกรรมที่ครูทำไว้ดว้ ยตนเอง ลักษณะของครูพาล ลักษณะของครบู ัณฑิต ๑. ชอบคิดแต่เรอื่ งชวั่ ๆ ๑. ชอบคิดแตเ่ ร่ืองดๆี - คิดโลภ - คิดใหท้ าน - คิดพยาบาท - คิดรักษาศีล - คดิ เห็นผดิ เป็นมิจฉาทิฐิ - คดิ เห็นถูก เป็นสัมมาทฐิ ิ ๒. ชอบพดู แตเ่ รอ่ื งช่วั ๆ ๒. ชอบพดู แต่เร่ืองดี - พูดเทจ็ - ไมพ่ ดู เทจ็ - พูดส่อเสยี ด - ไม่พดู ส่อเสียด - พูดคำหยาบ - ไม่พดู คำหยาบ - พูดเพ้อเจอ้ - ไม่พดู เพอ้ เจอ้ ๓. ชอบทำแตก่ รรมชั่ว ๓. ชอบทำแต่กรรมดี - ฆา่ สัตว์ - ไม่ฆา่ สตั ว์ มแี ตเ่ มตตากรุณา - ลกั ทรพั ย์ - ไมล่ ักทรพั ย์ มีแตใ่ ห้ทาน - ประพฤติผิดในกาม - ไมป่ ระพฤตผิ ิดในกาม มแี ต่ - เสพสิ่งเสพตดิ ความสำรวมในกาม - จมอยใู่ นอบายมุข - ไม่เสพสงิ่ เสพติด - เวน้ ขาดจากอบายมุข ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ ความเปน็ ครู 28

นอกจากนี้ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ยังได้ตรสั เตือนไวด้ ้วยว่า ความดี คนดีทำง่าย คนพาลทำยาก ความช่วั คนพาลทำงา่ ย คนดที ำยาก คำถามจึงเกิดตามมาว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้ทั้งครูดี ศิษย์ดี และประชาชนดใี หเ้ ต็มบ้าน เตม็ เมอื ง เต็มโลก ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แหง่ ความเปน็ ครู 29

บทท่ี ๒ การศกึ ษาท่แี ท้จริง ความจำเป็นในการจัดการศึกษา จากบทท่ี ๑ เราได้ทราบแล้วว่ามนุษย์ประกอบด้วยกายกับใจ แต่ธาตุ ๔ อนั เป็นองคป์ ระกอบของเซลล์ ซึ่งประกอบกนั เปน็ กายของ มนุษย์น้ันไม่บริสุทธ์ิ จึงมีการแตกสลายอยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าใน แต่ละนาทนี นั้ มเี ซลลต์ ายมากถึง ๓๐๐ ลา้ นเซลล์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเติมธาตุ ๔ ในรูปของอาหาร นำ้ อากาศ เครือ่ งนุง่ ห่ม และยารกั ษาโรคเขา้ ไปสรา้ งเซลล์ใหม่ เพอื่ ทดแทนเซลล์ท่ี ตายไป แตเ่ พราะเหตทุ ธี่ าตุ ๔ จากภายนอกทน่ี ำมาเตมิ นน้ั กไ็ มบ่ รสิ ทุ ธนิ์ กั เมื่อเตมิ เข้าไปแล้วย่อมมกี ารแตกสลายอกี จึงจำเป็นตอ้ งทดแทนกนั ไป ตลอดชีวิต ด้วยเหตดุ งั กลา่ ว มนษุ ย์จึงถูกบงั คับใหต้ อ้ งแสวงหาธาตุ ๔ จาก ภายนอกอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ พร้อมกันน้ัน มนุษย์กถ็ ูกบงั คับให้ หา เก็บ ใช้ปัจจัย ๔ เพ่ือเล้ียงชีวติ โดยปรยิ าย เพอ่ื เลยี้ งชวี ติ เพ่ือการมีชีวติ อยู่อยา่ งเป็นสขุ หรือบางทา่ นอาจจะ กล่าวว่าเพื่อให้ชีวิตรอดก็ตาม มนุษย์จึงถูกบังคับให้ทำกรรมตลอดวัน ตลอดเดอื น ตลอดปีและตลอดชีวติ ตราบเท่าทยี่ ังมีลมหายใจอยู่ ขณะท่ที ำกรรม หากเผลอสติ หรอื อาจเพราะอวชิ ชา (ความไม่ร)ู้ กเิ ลสท่แี อบแฝงอยู่ในใจของมนุษย์ต้ังแต่เกดิ มา กจ็ ะฉวยโอกาสครอบงำ ใจทันที ศาสตร์และศลิ ปแ์ ห่งความเป็นครู 30

กเิ ลสทค่ี รอบงำใจของมนษุ ยน์ เี้ อง ทบี่ บี คน้ั บงการ บงั คบั ใหม้ นษุ ย์ ดำเนินชีวิตในทางท่ผี ิด ตอ้ งทำกรรมชั่ว ดว้ ยการคิดร้าย พดู รา้ ย และ ทำรา้ ย ซง่ึ เป็นการกอ่ บาป และเปน็ ทางมาแหง่ ความทุกขใ์ นทสี่ ุด อยา่ งไรกต็ าม หากไดร้ บั คำแนะนำทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสมจากกลั ยาณมติ ร เชน่ พ่อ แม่ พระภิกษุ และครบู าอาจารย์ ฯลฯ มนุษย์เราก็จะดำเนินชีวติ ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ม่งุ ทำแต่กรรมดี อันเป็นทางมาแห่งบญุ และความสุข การทำกรรมดีหรอื กรรมชัว่ นอกจากกอ่ ใหเ้ กิดบุญหรอื บาปอย่าง ตอ่ เนอื่ งแลว้ ยงั จะกอ่ ใหเ้ กดิ นสิ ยั ดหี รอื ชวั่ แกผ่ กู้ ระทำอกี ดว้ ย แตก่ วา่ การ ที่คนเราแตล่ ะคนจะรวู้ ่า ส่ิงใดดี สงิ่ ใดชัว่ สิ่งใดถกู ส่งิ ใดผิด สง่ิ ใดควร สิ่งใดไม่ควร อย่างถูกต้องชัดเจน แต่ละคนต่างกร็ ้ผู ดิ ๆ คิดผิดๆ ทำผดิ ๆ จนเกดิ เปน็ นสิ ยั ชว่ั ตดิ ตวั และกอ่ บาปไวม้ ากมาย โดยทไ่ี มม่ โี อกาสกลบั ไป แกไ้ ขไดเ้ ลย มแี ตจ่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ข์ และกลายเปน็ ปญั หาทกุ ขใ์ นการ ดำรงชีวติ ของตนไปเสียแล้ว สำหรับผทู้ ี่รสู้ ำนึกว่าตนประพฤติผิด จงึ หยุดยงั้ การประพฤติช่วั ชา้ สามานยท์ ง้ั หลาย แลว้ พยายามปรบั ปรงุ ตนเองใหม้ คี วามประพฤตดิ งี าม อยู่เสมอ ในที่สุดก็จะสามารถพัฒนานิสัยดีๆ ขึ้นในตนได้ และจะส่ง ผลให้ดำเนินชีวิตผิดพลาดน้อยลง แต่ดำเนินชีวิตในทิศทางท่ีถูกต้อง เพิ่มมากข้นึ ทว่าโดยท่ัวไปแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ที่ติดนิสัยชั่ว ชอบทำแต่ บาปกรรมนั้น ยากท่ีจะปรับเปลี่ยนให้เป็นคนมีนิสัยดีได้ ท่ีเห็นง่ายๆ ก็คือ คนท่ตี ดิ เหลา้ ตดิ บุหร่ี ติดการพนัน เปน็ นสิ ัยนนั้ ยากท่ีจะตัดใจ หักดิบจากนิสัยเลวๆ เหล่านั้นได้ จนกว่าจะสิ้นชีวิตไป นั่นคือมนุษย์ ส่วนใหญ่ล้วนแต่ประสบปัญหาทกุ ขใ์ นการดำรงชวี ิต ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งความเปน็ ครู 31

เพราะเหตทุ ม่ี นษุ ยต์ า่ งถกู บงั คบั ใหต้ อ้ งแสวงหา เกบ็ และใชป้ จั จยั ๔ รว่ มกบั ผู้อ่นื ทง้ั โดยธรรมชาติและสภาพของสงั คม นสิ ยั ช่วั ของแต่ละคน ยอ่ มกระทบกระทงั่ กบั คนรอบขา้ ง ยอ่ มเกดิ เปน็ ความทกุ ข์ ความเดอื ดรอ้ น ไมร่ ูจ้ บ กลายเปน็ ปญั หาเร้อื รังของสงั คม และส่งผลเปน็ ปัญหาทกุ ขจ์ าก การอยรู่ ว่ มกัน ในทส่ี ุด จากทกี่ ลา่ วมาทง้ั หมดน้ี จะเหน็ ไดว้ า่ ตน้ เหตสุ ำคญั ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หา ทุกข์ของมนษุ ย์ กค็ อื ปญั หาทกุ ข์จากกเิ ลสครอบงำ แล้วสง่ ผลมาเป็น ปัญหาทุกข์จากการดำรงชีวิต และปัญหาทุกข์จากการอยู่ร่วมกัน ดังแสดงดว้ ยภาพตอ่ ไปนี้ ดำเนินชวี ติ เกดิ ปญั หา ในทางทผี่ ดิ ทุกขจ์ ากการ ดำรงชวี ติ เกิดปัญหา คดิ ไม่ดี ทกุ ข์จากกิเลส พดู ไมด่ ี เกิดปัญหา ทำไม่ดี ทกุ ข์จากการ ครอบงำ อยูร่ ่วมกัน กระทบกระท่งั กบั ผอู้ ่นื ภาพที่ ๒-๑ ปัญหาทกุ ขป์ ระจำชีวิตของมนษุ ย์ ดังนั้นหากมนษุ ย์ไดร้ ับการศกึ ษา คือได้รับการแนะนำและเลย้ี งดู อย่างถกู ต้องมาตัง้ แตถ่ อื กำเนดิ มนษุ ยย์ ่อมคดิ ดี พดู ดี ทำดี เปน็ ปกติ และจะกอ่ ใหเ้ กดิ นสิ ยั ดๆี ไปตลอดชวี ติ ซง่ึ จะทำใหป้ ญั หาทกุ ขท์ ง้ั ๓ ประการ ดงั กลา่ วหมดไป มีชวี ติ อยอู่ ย่างมีความสขุ ตามอัตภาพ ในขณะเดียวกนั ก็ได้โอกาสสั่งสมบุญบารมีให้ย่ิงๆ ข้ึน เพ่ือการบรรลุความหลุดพ้นหรือ มรรค ผล นพิ พาน อันเปน็ เป้าหมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา ศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ ความเป็นครู 32

ท้ังหมดนี้คือความจำเป็นที่ทำให้ต้องรีบจัดการศึกษาทั้งใน ส่วนตน และส่วนรวม อน่งึ การจัดการศึกษาเปน็ เร่อื งทจ่ี ำเป็นต่อชวี ิตของทกุ คน เพราะ ในทนั ทที ถี่ อื กำเนิดมา ย่อมต้องประสบปญั หาโดยอัตโนมัติคือ ทารกถกู บังคับใหต้ ้องกินอาหาร เปน็ การเติมธาตุ ๔ เขา้ ไปใน รา่ งกาย เพ่อื ใหด้ ำรงชีวติ อยู่ได้ เพราะตอ้ งกินจึงเป็นเหตุบงั คับใหค้ นเรา ต้องแสวงหา เกบ็ และใชธ้ าตุ ๔ และปัจจัย ๔ เพ่ือการดำรงชวี ติ ขณะ เดียวกัน ก็ตอ้ งตกอยูภ่ ายใต้กฎแหง่ กรรม ดงั นน้ั ถา้ พอ่ แมไ่ มม่ คี วามรหู้ รอื ไมร่ ะมดั ระวงั เรอื่ งการเกบ็ การหา และการใชธ้ าตุ ๔ และปจั จยั ๔ แลว้ รบี สอนใหเ้ ดก็ รตู้ ง้ั แตเ่ ลก็ กจ็ ะมปี ญั หา เกดิ ขึ้นตามมา ๓ ประการ คือ ก. สุขภาพเสีย ข. นิสยั เสีย ค. ก่อบาปกรรมเพิม่ อยา่ งไรกต็ าม ในเรอ่ื งสขุ ภาพเสยี เรามที างแกไ้ ขได้ แตน่ สิ ยั เสยี เปน็ เรือ่ งยากท่จี ะแกไ้ ข สว่ นบาปกรรมนั้น เม่ือเกดิ ข้นึ แลว้ ยอ่ มไม่ สามารถลบลา้ งใหส้ นิ้ ไปได้ ในทางกลบั กนั เดก็ ทพ่ี อ่ แมม่ สี มั มาทฐิ ิ มคี วามรเู้ กยี่ วกบั เรอ่ื งการหา การเกบ็ และการใชป้ จั จยั ๔ บตุ รทเี่ กดิ มายอ่ มจะมสี ภาพตรงกนั ขา้ มกบั ท่ีกล่าวแล้ว คอื ก. มสี ขุ ภาพดี ข. มนี สิ ยั ดี ค. สร้างบุญเป็น ศาสตรแ์ ละศลิ ป์แห่งความเป็นครู 33

สิ่งท่ีผู้ใหญ่ต้องไม่ดูเบาคือ เด็กทารกก็สามารถก่อบาปได้ เช่น เมอ่ื หวิ และไมไ่ ดร้ บั การตอบสนองในทนั ทกี จ็ ะโกรธ นนั่ คอื เกดิ ความคดิ ไม่ดีต่อบิดามารดาหรือผู้ที่ทำหน้าท่ีดูแลเล้ียงดูตน เช่นนี้บาปก็เกิดกับ เดก็ ทารกน้อยน้นั แล้ว ดว้ ยเหตผุ ลดงั กลา่ ว จงึ เปน็ ความจำเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งเรง่ จดั การการศกึ ษา ยง่ิ จดั การศกึ ษาใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รว็ เทา่ ไรยงิ่ ดี หมายความวา่ การใหก้ ารศกึ ษา และการปลกู ฝังอบรมเดก็ ตง้ั แต่ยังเยาวว์ ยั นั้นเปน็ เร่ืองแสนวเิ ศษ เพราะ ก. มสี ขุ ภาพดี เพราะร้จู กั ดแู ลสขุ ภาพตน ข. มจี ิตใจและอารมณด์ ี ค. พฒั นานิสัยดีๆ ได้รวดเรว็ ง. รับความรไู้ ดร้ วดเร็ว ไมโ่ ง่เขลาเบาปัญญา จ. ไดส้ รา้ งบญุ แต่เยาวว์ ยั ฉ. ยงั ไม่สรา้ งบาป โดยสรุป คณุ ค่าและความจำเป็นท่ที ำให้ตอ้ งจดั การศึกษา คือ ๑. เพื่อป้องกันรักษาท้ังสุขภาพกายและใจของผู้เรียน และ คนในชาติ ๒. เพื่อป้องกันรักษาทรัพย์สินและชีวิตของผู้เรียน และคน ในชาติ ๓. เพื่อป้องกันรักษาผู้เรียนและคนในชาติให้พ้นจากความ ไมร่ ู้ ความโง่ ความบาป ความทุกข์ และนิสยั ช่วั รา้ ยต่างๆ ๔. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนผู้เรียนและคนในชาติให้มีความรู้ ความเฉลยี วฉลาด เป็นผมู้ ีบุญ มคี วามสขุ มคี วามเจรญิ และมีนิสัย รักการสร้างบญุ บารมี ศาสตร์และศลิ ป์แหง่ ความเปน็ ครู 34

เปา้ หมายท่แี ทจ้ ริงของการศกึ ษา จากปัญหาประจำชีวิตของมนุษย์ท่ีทุกคนไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ท้ัง ๓ ประการดังกล่าวมาแล้วน้ี ย่อมเป็นเหตุผลสำคัญท่ีมนุษย์ต้องได้รับ การศกึ ษา โดยมเี ปา้ หมายทแี่ ทจ้ รงิ ของการศกึ ษาคอื เพอ่ื ความพน้ ทกุ ข์ น่นั เอง เพราะหากดับความทกุ ขไ์ ด้ส้นิ เชิงแล้ว ก็ย่อมจะประสบความสขุ ทีแ่ ท้จรงิ อย่างแนน่ อน เปา้ หมายการศกึ ษาทแี่ ท้จริงของชาวโลก จงึ เป็น ไปเพื่อความพ้นทุกข์ ซง่ึ มี ๓ ระดบั ดังนี้ ๑. ความพน้ ทุกข์จากปญั หาการดำรงชวี ิต ๒. ความพน้ ทุกข์จากปัญหาการอยู่รว่ มกนั ๓. ความพ้นทกุ ข์จากปญั หากิเลสครอบงำ ๑. ความพน้ ทกุ ขจ์ ากปญั หาการดำรงชวี ติ ซง่ึ เปน็ ปญั หาสว่ นตน สาเหตุสำคัญอันดับแรกของความทุกข์ประเภทนี้คือ มนุษย์เกิดมา พรอ้ มกับความไม่รอู้ ะไรเลย ทกุ ๆ อยา่ งต้องมาเรียนรใู้ นภายหลังทง้ั สนิ้ สงิ่ ทค่ี ดิ วา่ รแู้ ลว้ บางครง้ั กร็ ผู้ ดิ ๆ แมร้ ไู้ มผ่ ดิ แตก่ ย็ งั รตู้ น้ื ๆ ความรสู้ ำคญั ยงิ่ ท่ีขาดไปคอื ความรเู้ ก่ียวกับสงั ขารโลก ไดแ้ ก่ รา่ งกายของตนเอง และ ความรูเ้ กย่ี วกับภาชนโลกหรือโอกาสโลก ไดแ้ ก่ โลกท่ีเราอยอู่ าศัย เกย่ี วกบั สงั ขารโลก กลา่ วไดว้ า่ ผคู้ นสว่ นใหญไ่ มร่ วู้ า่ ธาตสุ ำคญั ๔ ชนดิ ทีป่ ระกอบขึน้ เปน็ รา่ งกายของตนนนั้ ไมบ่ ริสุทธิ์ ต้องแตกสลาย อยู่ตลอดเวลา ทำให้อวัยวะต่างๆ เสื่อมโทรมเพราะการตายของเซลล์ (ซ่ึงประกอบด้วยธาตุ ๔) ในรา่ งกายจำนวนมหาศาลทกุ ๆ นาที มนษุ ย์ ไมร่ วู้ า่ การกนิ อาหารกเ็ พอ่ื เขา้ ไปผลติ เซลลใ์ หมท่ ดแทนเซลลเ์ กา่ ทตี่ ายไป จงึ คดิ กันเพียงแตว่ ่ากนิ เพอื่ อ่ิม เพ่ืออร่อย เพอ่ื สนองกเิ ลส เพอ่ื อวดม่ัง อวดมี และที่น่าเวทนาอย่างย่ิงก็คือ กินเพื่อแสดงความเป็นลูกผู้ชาย ศาสตรแ์ ละศิลปแ์ ห่งความเปน็ ครู 35

หรือเป็นผู้ทีม่ ีนำ้ ใจหา้ วหาญ จึงสรรหาสรุ านานายห่ี ้อราคาแพงลบิ ลว่ิ มา ด่ืมกินกัน เนอ่ื งจากไมร่ วู้ ตั ถปุ ระสงคท์ แี่ ทจ้ รงิ ของการกนิ คนเราจงึ ไมใ่ คร่ ได้ศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของสิ่งท่ีกินเข้าไป ผลที่ตามมาก็คือกิน สงิ่ ที่เปน็ โทษต่อสขุ ภาพร่างกาย เพราะบางอย่างทีก่ ินกเ็ ขา้ ไปเพิ่มความ ไม่บริสทุ ธิ์ของธาตุ ๔ ในตัวให้สกปรกยง่ิ ขึน้ บางอยา่ งกเ็ ขา้ ไปทำลาย อวยั วะภายในใหเ้ สอื่ มโทรม บางอย่างก็เขา้ ไปทำลายสมองและประสาท ให้ทำหน้าทผี่ ิดปกติ ย่งิ กินโดยไม่รจู้ ักประมาณ ก็มแี ตจ่ ะนำมาซึ่งทุกข์ และโทษต่อสขุ ภาพตลอดเวลา กลายเปน็ นิสยั เสียๆ เกยี่ วกับการบรโิ ภค ไปตลอดชวี ิต นิสัยเสียๆ เกี่ยวกับการบริโภคน้ีเอง จะเป็นเหตุให้คนเรามี รายจ่ายสงู ซึ่งนอกจากรายจา่ ยสำหรับเรอ่ื งการบริโภคปจั จยั ๔ แลว้ ยังจะต้องมรี ายจ่ายสำหรับการดแู ลรักษาสขุ ภาพอกี ดว้ ย และถ้าไม่รจู้ ัก ประมาณในการใชท้ รพั ย์ กจ็ ะมปี ญั หารายไดไ้ มพ่ อกบั รายจา่ ย ทำใหต้ อ้ ง หารายได้เพ่ิมเติม เมื่อหาด้วยวิธีสุจริตแล้ว แต่รายได้ก็ยังไม่เพียงพอ เพ่ือความอยู่รอดในการดำรงชีวิต ในที่สุดก็จะถูกกิเลสบีบคั้นให้ต้อง หารายได้ดว้ ยมจิ ฉาอาชีวะต่อไป เก่ียวกบั เร่ืองภาชนโลกหรอื โอกาสโลก ซ่ึงกค็ อื โลกท่เี ราอาศัย อยู่นี้ ผู้คนส่วนใหญ่ เพ่งเล็งแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรต่างๆ มากมาย ทม่ี อี ยตู่ ามธรรมชาตใิ นโลก แตม่ นี อ้ ยคนทร่ี ว่ มมอื กนั อนรุ กั ษโ์ ลก ตลอดจนทรัพยากรต่างๆ ตามธรรมชาติ ดังจะเห็นจากการตัดต้นไม้ ทำลายป่า เพื่อผลประโยชน์ของตน การทำลายตน้ น้ำบนภเู ขาสูงเพือ่ ทำ เกษตรกรรม การปล่อยควันพิษเข้าไปในอากาศ การท้ิงส่ิงปฏิกูลและ สารเคมลี งในแม่น้ำลำคลองดว้ ยความมกั งา่ ย ฯลฯ เหล่านีล้ ้วนเปน็ การ ศาสตร์และศลิ ปแ์ หง่ ความเปน็ ครู 36