Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การจัดการซัพพลายเชนในเชิงธุรกิจ

การจัดการซัพพลายเชนในเชิงธุรกิจ

Published by มะหัมดี หวังกะจิ, 2021-07-13 03:21:56

Description: การจัดการซัพพลายเชนในเชิงธุรกิจ

Search

Read the Text Version

ชอ่ื หนังสือ การจดั การโลจิสติกสแ ละซพั พลายเชน จาํ นวนหนา 244 หนา เจา ของลขิ สิทธิ์ สาํ นักโลจิสตกิ ส กรมอตุ สาหกรรมพน้ื ฐานและการเหมืองแร 75/10 ถนนพระรามท่ี 6 แขวงทงุ พญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 จดั ทําโดย บณั ฑติ วทิ ยาลยั การจัดการและนวตั กรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี 126 ถ.ประชาอทุ ศิ แขวงบางมด เขตทุง ครุ กทม. 10140 พิมพค รง้ั ท่ี 3 (สิงหาคม 2559) จาํ นวน 1,500 เลม พมิ พท ่ี บรษิ ัท เอ-พรนิ้ ท แอนด แพ็ค จาํ กดั 189/4-5 ซอยจินดาถวิล มหาพฤฒาราม บางรัก กรงุ เทพฯ 10500 โทร. 02-633-0077, 02-633-0359, 02-633-2647 แฟก ซ : 02-633-3390 E-mail : [email protected] Website : aprintandpack.co.th

คำนำ หนังสือเล่มนี้ถูกรวบรวมข้ึนเป็นส่วนหน่ึงของโครงการสร้างนักจัดการโลจิสติกส์ และซัพพลายเชนมืออาชีพระดับสากล ประจาปี 2559 ภายใต้การสนับสนุนของสานัก โลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพ้ืนฐานและการเหมอื งแร่ กระทรวงอตุ สาหกรรม ดาเนินงานโดย บัณฑิตวิทยาลยั การจัดการและนวัตกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการเรียนของหลักสูตร Fundamental Logistics and Supply Chain Management (การจดั การโลจสิ ตกิ ส์และซพั พลายเชนระดบั ปฏบิ ตั กิ าร) โดยหลักสูตรน้ีได้ถูกออกแบบเพ่ือสร้างความรู้ความเข้ าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดการ โลจิสติกส์และซัพพลายเชน พัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ท้ังในภาครัฐและเอกชน และยก ระดับการจัดการโลจิสติกส์ใหม้ ีประสิทธิภาพและทันสมัย ซึ่งสอดคลอ้ งกับสภาวะการแขง่ ขัน ขององค์กรและซัพพลายเชนในปัจจุบัน อันจะส่งผลต่อระดับการให้บริการลูกค้าที่ดีภายใต้ ต้นทุนการจัดการที่เหมาะสม เน้ือหาหลักของหนังสือเล่มน้ี ประกอบด้วย การจัดการ โลจิสติกส์ การจัดการซัพพลายเชน การวางแผนดาเนินการผลิต การบริหารความสัมพันธ์ ลกู คา้ การบริหารความสัมพนั ธก์ ับซัพพลายเออร์ และการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ในโลจสิ ติกส์ ผู้รับผิดชอบโครงการหวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อบรม ผู้อ่าน และผูส้ นใจ ซง่ึ สามารถใช้อา้ งองิ ในการปฏิบัติงานหรอื กจิ กรรมอ่นื ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ งต่อไป บัณฑติ วทิ ยาลยั การจดั การและนวัตกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบรุ ี

สารบัญ หนา บทท่ี 1 การจดั การโลจสิ ตกิ ส 1 1.1 ความหมายของโลจิสติกส 1 1.2 บทบาทของโลจิสตกิ ส 2 1.3 การจัดการโลจิสตกิ ส 3 1.4 การจัดการสินคาคงคลงั 6 1.5 การจัดการการขนสง 19 1.6 การจัดการคลงั สินคา 37 1.7 การจดั การโลจสิ ติกสไ ทยกับประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น 51 แบบทดสอบทายบท 57 บทท่ี 2 การจดั การซพั พลายเชน 59 2.1 ความหมายของซัพพลายเชน 59 2.2 การจดั การซัพพลายเชน 61 2.3 การจัดการผูสงมอบ 62 2.4 การตัดสินใจเลอื กทีต่ ง้ั 67 2.5 การวางแผนพยากรณร ว มกัน.และการเติมเต็ม 86 2.6 การวางแผนการขาย และปฏบิ ัตกิ าร 90 2.7 เทคโนโลยีสารสนเทศกบั ซัพพลายเชน 96 2.8 การวดั สมรรถนะของซพั พลายเชน 99 2.9 ปจ จยั สําคัญทจี่ ะทําใหเกิดประโยชนส งู สุดในซพั พลายเชน 107 2.10 การจดั การซัพพลายเชนยุคใหม 111 2.11 การตัดสนิ ใจสําหรบั การจัดการซัพพลายเชน 114 2.12 การบรหิ ารความเสีย่ งในซพั พลายเชน 119 แบบทดสอบทายบท 121

สารบัญ หนา บทท่ี 3 การวางแผนการดาํ เนนิ การผลติ 123 3.1 การวางแผนดาํ เนนิ งาน 123 3.2 การวางแผน และการควบคมุ การผลิต 125 3.3 การพยากรณอปุ สงค 131 3.4 การวางแผนผลติ รวม 152 3.5 การปรบั แผนการผลิต 157 3.6 การควบคุมสนิ คา คงคลงั 158 3.7 การวางแผนความตองการวัสดุ 164 3.8 การสั่งซอื้ ขนาดประหยดั 179 3.9 การวางแผนกําลังการผลิต 186 แบบทดสอบทายบท 193 บทที่ 4 การบรหิ ารความสมั พนั ธก ับลกู คา 195 4.1 ความหมายของการบรหิ ารความสมั พันธก บั ลูกคา 195 4.2 วตั ถปุ ระสงคข องการบรหิ ารความสมั พนั ธก บั ลกู คา 198 4.3 กระบวนการบริหารความสมั พนั ธกบั ลูกคา (IDIC Model) 199 4.4 กจิ กรรมการบรหิ ารความสัมพนั ธกบั ลูกคา 201 4.5 องคประกอบหลักทั่วไปของการบริหารความสัมพันธ 202 กับลกู คา 4.6 ประโยชนข องการบรหิ ารความสมั พันธกบั ลกู คา 203 4.7 การบรหิ ารความสมั พันธก บั ลกู คาในทางธรุ กจิ 204 4.8 ปจจยั ในการบริหารความสัมพนั ธก ับลูกคา 205 4.9 เทคโนโลยีที่จําเปนในการบริหารความสมั พันธก บั ลกู คา 206 แบบทดสอบทา ยบท 208 บทที่ 5 การบรหิ ารความสมั พนั ธกับซพั พลายเออร 210 5.1 ความหมายของการบรหิ ารความสัมพันธก บั ซัพพลายเออร 210 5.2 เปา หมายของการบริหารความสัมพนั ธกับผูสง มอบ 212

สารบญั หนา 5.3 กรอบในการทาํ งานการบริหารความสัมพนั ธก ับผสู งมอบ 212 5.4 การวางแผนในการสรา งความสัมพนั ธก ับผสู ง มอบ 213 5.5 การพฒั นาการบริหารความสัมพนั ธก ับผูสง มอบ 214 5.6 ปจจยั สาํ คัญทท่ี ําใหก ารบริหารความสัมพันธก ับผูสงมอบ 215 ประสบผลสาํ เร็จ 216 5.7 ประโยชนของการบริหารความสัมพันธกบั ผูส ง มอบ 217 5.8 อุปสรรคของการบรหิ ารความสมั พนั ธกบั ผูสงมอบ 218 แบบทดสอบทา ยบท 220 บทที่ 6 การประยุกตใชเทคโนโลยีสารสนเทศในโลจสิ ตกิ ส 220 6.1 Microsoft..Excel..เพื่ อ ก ารตั ด สิ น ใจใน ก ระบ วน ก าร โลจิสติกส 232 6.2 การใช Pivot Table เพื่อชวยในการจัดกลุมสินคา ABC Analysis 237 แบบทดสอบทา ยบท 239 เฉลยแบบทดสอบทายบท 240 บรรณานุกรม

1 บทที่ 1 การจัดการโลจิสตกิ ส์ Logistics Management 1.1 ความหมายของโลจสิ ติกส์ (Logistics) ปัจจุบัน “โลจิสติกส์” (Logistics) เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ซึ่งโดยทั่วไปบุคคล ส่วนใหญ่ยังคงเข้าใจว่า โลจิสติกส์ คือ การขนส่งในทางทหาร โลจิสติกส์ หมายถึง การส่ง กาลังบารุง หรือพลาธิการ แต่ความหมายของโลจิสติกส์ท่ีใช้กันอย่างแพร่หลายตามคา นิยามของ The.Council.of.Logistics.Management คอื กระบวนการวางแผนการดาเนนิ งาน การควบคุมการเคล่ือนยา้ ยทั้งไปและกลับ การเกบ็ รักษาสินค้า บริการ และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง อย่างมีประสทิ ธิภาพและมีประสิทธิผล ตั้งแต่จดุ เริ่มต้นของการผลิตไปสู่จุดสุดท้ายของการ บรโิ ภคเพ่อื ตอบสนองความตอ้ งการของลกู ค้า สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้จาแนกระดับ การพัฒนาระบบโลจิสติกสข์ องประเทศตา่ งๆ ไว้ 4 ระดับ ดังน้ี 1. การกระจายสินค้า (Physical Distribution) เป็นระดับการพัฒนาที่มุ่งเน้นเพื่อ เพ่ิมประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าสาเร็จรูปจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ซึ่งจะครอบคลุมในกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การขนส่ง.(Transportation).การจัดเก็บสินค้า (Warehousing) การจัดการวัสดุ (Supply Management) และการบรรจุภัณฑ์ (Packaging) โดยในระดับนี้จะยังไม่มุ่งเน้นการพัฒนาในส่วนท่ีเป็นสินค้าคงคลังท่ีเป็นวัตถุดิบ.(Raw Material) และสนิ คา้ ระหว่างผลติ (Work in Process) 2. การบูรณาการโลจิสติกส์ภายใน (Internally.Integrated.Logistics) เป็นระดับ การพัฒ นาท่ีบูรณาการกิจกรรมโลจิสติกส์ที่เกิดข้ึน ต้ังแต่ก่อนกระบวนการผลิต (Production) โดยจะบูรณาการการจัดการภายในบริษัทตั้งแต่กิจกรรมการวางแผนผลิต การจดั ซ้ือวัตถดุ ิบ จนถึงการกระจายสินคา้ สง่ ถงึ ผู้บริโภคเพอื่ เพ่มิ ความถ่ีหรือความสามารถ ในการระบายสินค้าอันจะส่งผลทาให้ปริมาณสินค้าคงคลังลดลงได้ การพัฒนาในระดับนี้ จาเป็นต้องใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบซอฟต์แวร์ช่วยในการบริหารจัดการ กิจกรรมท้ังระบบด้วย 3. การบูรณาการโลจสิ ติกสภ์ ายนอก (Externally.Integrated.Logistics) เป็นระดับ การพัฒนาที่มีการบูรณาการการขนส่งทุกรูปแบบ (Mode) อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การ กาหนดให้มีจุดขนถ่ายสินค้าที่ได้มาตรฐาน รวมถึงนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ใน การบูรณาการข้อมูลระหว่างบริษัทคู่ค้า.(Partner).นอกจากนี้ยังมีการใช้บริการจากผู้ให้ บรกิ ารโลจิสติกส์ (Third.Party.Logistics.Provider).เฉพาะดา้ นด้วย

2 4. การจัดการโลจสิ ตกิ สข์ า้ มชาติ (Global.Logistics.Management).เปน็ ระดบั การ พัฒนาท่ีเกิดจากบริษัทข้ามชาติซ่ึงหาทางแก้ปัญหาเร่ืองต้นทุนในประเทศ ดังนั้นจงึ เริม่ หา แหล่งวัตถุดิบ หรือแรงงานที่มีต้นทุนต่ากว่าในต่างประเทศ ลกั ษณะของการพัฒนาระดับนี้ ไดแ้ ก่ การจัดหาแหล่งวตั ถุดิบ และแรงงานรวมถงึ จดั สง่ สินค้าครอบคลุมไปทกุ แหลง่ ท่ัวโลก ดา้ นการขนส่งจะมีการเช่ือมโยงการขนส่งระหว่างประเทศที่มีประสิทธิภาพด้วยการบริการ จัดการ การขนส่งในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงการส่งเสริมการส่งสินค้าผ่านแดน นอกจากนี้ ยังมีการให้ความสาคัญกับผลกระทบของการขนส่งต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยด้าน การขนส่ง ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศจะมีการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายภายในและระหว่าง ประเทศ และมีการพ่ึงพาผูใ้ ห้บรกิ ารโลจสิ ตกิ สร์ ะหว่างประเทศดว้ ย กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ นับว่าเป็นกิจกรรมสนับสนุนการดาเนินการภายในทุก องค์กร ซึ่งเช่ือมโยงทุกหน่วยงานภายในและภายนอกองค์กรทั้งด้านอุปสงค์ และอุปทาน โดยกิจกรรมหลักด้านโลจิสติกส์ (Key.Logistics.Activities) สามารถจาแนกได้.9.กิจกรรม ตามขอ้ มูลจาก สานกั โลจิสตกิ ส์ กรมอตุ สาหกรรมพืน้ ฐานและการเหมืองแร่ ดังนี้ 1. การใหบ้ รกิ ารลูกค้าและกจิ กรรมสนบั สนุนต่างๆ 2. การวางแผนจดั ซื้อ จดั หาวัตถุดบิ อุปกรณ์ต่างๆ 3. การสือ่ สารดา้ นโลจิสตกิ สแ์ ละกระบวนการสงั่ ซือ้ 4. การดาเนนิ การ ผลติ บรรจุ และขนส่ง 5. การเลือกสถานท่ีตงั้ ของโรงงานและคลังสินคา้ 6. การวางแผนกาลังการผลิต และการคาดการณ์ปรมิ าณความต้องการของลูกคา้ 7. การบริหารจัดการสินค้าคงคลงั 8. การบริหารการจัดเก็บ การรวบรวม การกระจายสินค้า และบรรจหุ บี หอ่ 9. กระบวนการโลจิสติกสย์ อ้ นกลับ 1.2 บทบาทของโลจิสติกสท์ มี่ ตี อ่ องคก์ ร โลจสิ ติกส์มีบทบาทสาคัญต่อการดาเนินการของแตล่ ะองค์กรในด้านต่างๆ ดังนี้ 1. ด้านการผลติ และปฏิบัติการ (Manufacturing.and.Operation) โลจิสติกส์มีบทบาทสาคัญต่อการผลติ และการปฏิบัติการ โดยเฉพาะในด้าน การจัดหา (Procurement) วัตถุดิบป้อนสายการผลิต การควบคุมสินค้าคงคลัง (Inventory Control) ทั้งวัตถุดิบ (Raw Material) และสินค้าสาเรจ็ รูป (Finished Goods) รวมถึงการขน ถ่ายวัตถุดิบ และเคล่ือนย้ายสินค้าภายใน (Materials Handling) เพ่ือสนับสนุนการผลิตให้ เป็นไปอย่างราบร่ืนและต่อเน่ือง ซึ่งถือเป็นส่วนสาคัญอย่างย่ิงท่ีจะช่วยให้การผลิตเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้กิจกรรมโลจิสติกส์ เช่น การวางแผนผลิต/ตารางการผลิต

3 (Production Planning/Scheduling) การพยากรณ์ความต้องการ (Demand Forecasting) วตั ถุดบิ และการจดั เก็บวัตถดุ ิบยงั มบี ทบาทสาคญั ช่วยสนบั สนนุ การผลติ สนิ คา้ ดว้ ย 2. ดา้ นการตลาด (Marketing) โลจิสติกส์เป็นกิจกรรมทีม่ ีบทบาทเกยี่ วขอ้ งกับการตลาด โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในเร่ืองของการพยากรณ์ความต้องการ (Demand Forecasting) สินค้า การเติมเต็มคา ส่ังซื้อ (Order Fulfillment) และการขนส่งสินค้า (Transportation) กิจกรรมโลจิสติกส์ท่ีมี ประสิทธิภาพจะทาให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเวลา และสถานท่ี ท่ีลกู คา้ ต้องการ ทาให้ลูกคา้ มีความพึงพอใจสูงสุด 3. ด้านการเงิน (Financial) โลจิสติกส์มีผลกระทบโดยตรงต่อการเงินขององค์กร เช่น รายได้และการ ลงทุน โดยการมีสินค้าคงคลังที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าจะเป็นตัวผลักดันทาให้ องค์กรสามารถเพิ่มรายได้ไดม้ ากข้นึ ขณะท่กี ารปฏบิ ตั งิ านโลจสิ ติกส์อ่ืนๆ ท่ีมปี ระสิทธภิ าพ ยังจะช่วยลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการดาเนนิ งานขององค์กรไดอ้ ย่างมาก นอกจากน้ีระยะเวลาในการ ส่งมอบวัตถุดิบและสินค้าสาเร็จรูปที่ส้ันลงยังมีส่วนช่วยลดปริมาณสินค้าคงคลัง และลด ต้นทุนจมทีเ่ กิดจากการจัดเก็บสินค้าคงคลงั ทีม่ ากเกินความจาเปน็ อกี ดว้ ย 1.3 การจัดการโลจิสตกิ ส์ (Logistics Management) ความสาคญั ของการจัดการโลจิสตกิ ส์ การจัดการโลจิสติกส์ เป็นเป้าหมายสาคัญท่ีทุกองค์กรใชเ้ ป็นแหล่งที่มาของความ ได้เปรียบในการแข่งขัน โดยให้ความสาคญั กบั ต้นทุนการดาเนินการต่างๆ โดยพยายามหา วิธลี ดต้นทนุ ให้ต่าลงเพื่อเพ่มิ ความสามารถทางการแข่งขนั ในตลาด เนอ่ื งจากการเพ่ิมราคา สินค้าเพ่ือรักษาระดับรายได้ให้เท่าเดิมน้ันเป็นไปได้ยากในสภาวะทางการแข่งขันทางการ ตลาดในปัจจบุ นั เมอื่ ต้นทุนต่างๆ ท่ีเกดิ ข้นึ ภายในองคก์ รเป็นตัวแปรสาคญั ท่มี ีผลตอ่ ความสามารถ ในการแข่งขันทางธุรกิจ ทุกองค์กรจึงหันมาให้ความสาคัญ โดยเฉพาะต้นทุนโลจิสติกส์ซึ่ง เกิดจากกิจกรรมที่รองรับกระบวนการโลจิสติกส์ เช่น การให้บริการลูกค้า การขนส่ง กระบวนการส่งั ซอื้ และข้อมูลการสัง่ ซือ้ ปรมิ าณการสั่งซื้อ และการจดั เก็บสินค้าคงคลงั จงึ ทา ให้แนวคิดเร่ืองต้นทุนรวมโดยการมุ่งเน้นการลดต้นทุนรวมของทุกกิจกรรมโลจิสติกส์ เป็น ประเด็นสาคญั เพื่อทาให้การบรหิ ารกระบวนการทางด้านโลจสิ ตกิ ส์มปี ระสทิ ธภิ าพ การจัดการโลจิสติกส์มีความสาคัญทั้งในระดับจุลภาค (ภายในองค์กร) และระดับ มหภาค (ระดับชาติ) โดยเฉพาะด้านการเงินซ่ึงเป็นด้านที่ทุกองค์กรหรอื ทุกประเทศสามารถ

4 เห็นภาพของความสาคัญของการจัดการโลจสิ ติกสท์ มี่ ีประสิทธิภาพต่อตวั แปรต่างๆ ทางด้าน การเงิน ดงั นี้ 1. ระดบั จุลภาค การจัดการโลจิสตกิ สท์ มี่ ีประสิทธิภาพตอ่ ตวั แปรต่างๆ ทางดา้ นการเงินภายใน องคก์ รมีดงั น้ี 1.1) ผลกระทบทีม่ ตี ่ออัตราสว่ นอัตราการทากาไรจากการลงทุน (Return of Investment: ROI) การใหบ้ ริการ รายไดจ้ ากการขาย กาไร กบั ลกู คา้ + - ประสทิ ธภิ าพของ A/R ระบบโลจสิ ตกิ ส์ ตน้ ทนุ อน่ื ๆ สนิ คา้ คงคลงั ผลตอบแทน จากการลงทุน + การใชส้ ินทรัพย์ ลูกหนี้ทางการคา้ + เงินสด + สนิ ทรพั ย์คงท่ี รูปที่ 1.1 ความสัมพันธข์ องการจัดการโลจิสติกสท์ มี่ ีผลต่ออัตราส่วนการทากาไร จากการลงทุน (Return of Investment: ROI)

5 1.2) ผลกระทบท่ีมตี ่องบดลุ ขององคก์ ร งบดลุ ตัวแปรโลจิสติกส์ สนิ ทรพั ย์ สัง่ ซ้ือ เงินสด ความเรว็ การส่งั ซือ้ สินค้าตามใบสง่ั ซือ้ ลูกหนที้ างการคา้ ความถูกต้องของใบแจง้ หนี้ สินค้าคงคลัง นโยบายของสนิ คา้ คงคลังและระดับ ของการใหบ้ รกิ าร ทรัพย์สนิ โรงงาน และอปุ กรณ์ อุปกรณท์ ใี่ ชใ้ นการกระจายสินค้า อุปกรณต์ า่ งๆ ทีเ่ กยี่ วกบั การขนสง่ หนี้สนิ หนี้สนิ หมนุ เวียน นโยบายการจดั ซ้ือ หน้ี ทางเลือกต่างๆ ทเี่ กิดกบั สนิ คา้ คงคลัง สว่ นของเจ้าของ โรงงาน และอุปกรณ์ รปู ที่ 1.2 แสดงความสัมพันธข์ องตัวแปรทางดา้ นโลจิสตกิ ส์กับองคป์ ระกอบในงบดลุ 2. ระดบั มหภาค นอกจากในระดับจุลภาคแล้ว โลจิสติกส์ยังเป็นกลไกสาคัญในการพัฒนา เศรษฐกิจและขับเคลื่อนภาคธุรกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศใน ระดับมหภาคได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบโครงสร้างพ้ืนฐานด้านการคมนาคม การ สื่อสาร สิ่งอานวยความสะดวกทางการค้า และระบบโลจิสติกส์ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ กระบวนการเคล่ือนย้าย จัดเก็บ รวบรวม และกระจายสินค้าจากจดุ เริ่มต้นไปสู่ผู้บริโภคขั้น สดุ ท้ายซ่ึงส่ิงต่างๆ เหล่าน้ีเป็นตัวแปรสาคัญที่มีผลต่อประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลในด้าน ของต้นทนุ การผลติ สนิ ค้าและตน้ ทุนโลจสิ ตกิ ส์ จากข้อมูลต้นทุนโลจิสติกส์ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย ซ่ึง จัดทาโดยสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้มีการ ปรับปรุงข้อมูลล่าสุดพบว่าต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศไทยในปี พ.ศ.2556 อยู่ท่ี ร้อยละ 14.0 ในปี พ.ศ.2555 อยู่ที่ ร้อยละ 14.40 และร้อยละ 14.7 ในปี พ.ศ.2554 ซ่ึงแม้จะมีแนวโน้ม

6 ทล่ี ดลง แต่ยังสงู เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ต้นทนุ โลจิสตกิ สก์ บั ประเทศอ่ืน เชน่ ประเทศแถบยโุ รป สหรัฐอเมริกา หรือญ่ีปุ่น หรือเมื่อพิจารณาดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของแต่ละ ประเทศ (LPI: Logistics Performance Index) ซึ่งจัดทาโดยธนาคารโลก (World Bank) ด้านต่างๆ 6 ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพของพิธีการศุลกากร (Customs) โครงสร้างพื้นฐาน ด้านการค้าและการขนส่ง (Infrastructure) การจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (International Shipments) ความสามารถและคุณภาพของบริการโลจิสติกส์ในประเทศ (Logistics Competence) การติดตามสถานะการจัดส่ง (Tracking & Tracing) และความ ตรงต่อเวลาในการจัดส่ง (Timeliness) ในปี พ.ศ.2557 ประเทศท่ีมีดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพ ด้านโลจิสติกส์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี (ค่าดัชนี 4.12) เนเธอร์แลนด์ (ค่าดัชนี 4.05) เบลเย่ียม (ค่าดัชนี 4.04) สหราชอณาจักร (ค่าดัชนี 4.01) และสิงคโปร์ (ค่าดัชนี 4.00) ตามลาดับ แต่สาหรับประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับท่ี 35 (ค่าดัชนี 3.43) ซ่ึงตาม หลักประเทศในภูมิภาคอาเชียน 2 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ (อันดับที่ 5) และมาเลเซีย (อนั ดบั ท่ี 25) ดงั นนั้ นอกจากปจั จัยทางดา้ นเศรษฐกจิ การศึกษา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และ ปัจจัยทางด้านสังคมแล้วจาเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยต้องมีการพัฒนาระบบโครงสร้าง พ้ืนฐานคมนาคมขนส่ง และโลจิสติกส์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศ ตา่ งๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเชียนต่อไป 1.4 การจดั การสินคา้ คงคลงั (Inventory Management) 1.4.1 ความหมายของสนิ คา้ คงคลงั (Inventory) สินค้าคงคลัง (Inventory) คือ ทรัพยากรหน่ึงขององค์กรที่รอการเปล่ียนจาก สภาวะหน่ึงไปอีกสภาวะหนึ่ง เช่น วัตถุดิบที่รอการผลิตเป็นสินค้าสาเร็จรูป หรือสินค้า สาเร็จรูปที่รอการจาหน่าย หรือสินค้าท่ีอยใู่ นกระบวนการผลิตที่รอการผลิตในกระบวนการ ต่อไป หรืออะไหล่ของเครื่องจักรท่ีรอการเบิกไปซ่อมแซม สินค้าคงคลังถือได้ว่าเปน็ ต้นทุน ส่วนหนึ่งขององค์กรซึ่งมีมูลค่าโดยประมาณ 40-50% ของมูลค่าสินทรัพย์รวมขององค์กร การถือครองสินค้าคงคลังไว้มากมีท้ังข้อดีและข้อเสีย ซ่ึงข้อดีคือทาให้การผลิตดาเนินไปได้ อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก และมีสินค้าเพียงพอสาหรับการจาหน่ายให้กับลูกค้าอยู่เสมอ ส่วนข้อเสียคือระบบเงินทุนหมุนเวียนขององค์กรอาจติดขัด หรืออาจขาดทุน ถ้าสินค้า เหลา่ นั้นหมดอายุหรือตกรุ่นเป็นเหตุให้ไมส่ ามารถนาไปจาหน่ายต่อไปได้ ดังนนั้ การจัดการ สนิ ค้า คงคลงั ทด่ี ีจะสง่ ผลทาใหธ้ รุ กิจประสบความสาเร็จ ซึ่งการวางแผนการจัดการสินค้าคงคลังจะพิจารณาถึงการกาหนดระดับสินค้า คงคลังสารองปลอดภยั (Safety.Stock) ปรมิ าณการสั่งซือ้ ขนาดประหยดั (Economic Order

7 Quantity) จุดสั่งซ้ือใหม่ (Reorder Point) รอบในการเติมเต็มสินค้าคงคลัง (Cycle Stock) และการจัดการสินค้าคงคลังท่ีมีมากเกิน ทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ โรงเรียน โรงงาน ธนาคาร อุตสาหกรรม หรือหน่วยงานต่างๆ จาเป็นต้องทาการออกแบบและ วางแผนควบคุมสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ โดยอาจจะนาแนวคิดในการบริหารจัดการ เช่น Just in time (JIT) การตอบสนองอย่างรวดเรว็ (Quick Response) มาใชใ้ นการจัดการ สินค้าคงคลัง ร่วมกับหลักการพยากรณ์ เพื่อลดความเส่ียงการจัดเก็บสินค้าคงคลังที่น้อย หรือมากเกินไป เพ่อื ทาให้การดาเนินงานขององค์กรเกดิ ประสทิ ธภิ าพมากที่สุด 1.4.2 ประเภทของสินค้าคงคลงั สินค้าคงคลังสามารถแบง่ ประเภทตามหลกั เกณฑ์ตา่ งๆ ดงั น้ี 1. ประเภทของสินค้าคงคลงั ตามลักษณะของสนิ คา้ จาแนกเปน็ 4 ประเภท ดงั นี้ 1.1) สนิ ค้าคงคลงั ทีเ่ ปน็ วัตถดุ บิ (Raw Material) คอื สินค้าที่เป็นวตั ถุดิบ รองรบั การผลติ สนิ คา้ สาเร็จรปู 1.2) สินค้าคงคลังระหว่างการผลิต (Work-in-Process: WIP) คือ สินคา้ ที่ผ่าน กระบวนการผลิตมาบา้ งแล้ว แต่ยังไม่เสรจ็ สน้ิ ครบตามกระบวนการผลิต 1.3) สินค้าคงคลังประเภทอะไหล่สาหรับการซ่อมบารุง (Maintenance./ Repair./.Operating:.MROs) คือ.กลุ่มสนิ ค้าประเภทอะไหล่และอุปกรณ์ที่จาเป็นต้องมีสารอง ไว้เพื่องานซอ่ มบารงุ 1.4) สินค้าคงคลังประเภทสินค้าสาเร็จรูป (Finished Goods) คือ กลุ่มสินค้าท่ี ผา่ น กระบวนการผลติ ขัน้ สดุ ทา้ ยแล้ว และพร้อมท่จี ะสง่ จาหน่ายใหก้ ับลูกคา้ ไดท้ ันที 2. ประเภทของสินค้าคงคลังในเส้นทางของระบบโลจิสติกส์ (Logistics Pipeline) จาแนกเป็น 5 ประเภท ดังนี้ 2.1) สินค้าคงคลังเพื่อรองรับความต้องการตามวัฎจักร และความต้องการใน ช่วงเวลาปกติ (Cycle / Regular Stock) 2.2) สินค้าคงคลังสารองระดับปลอดภัย (Safety Stock) เป็นสินค้าคงคลัง สารองที่มีไว้ เพื่อป้องกันความเส่ียงจากความไม่แน่นอนที่เกิดจากการจัดส่งของผู้ส่งมอบ วัตถดุ ิบ (Supplier) ความต้องการของลกู คา้ หรอื ความไมแ่ นน่ อนในขนั้ ตอนการผลิตสินคา้ 2.3) สินค้าคงคลังที่ถูกจัดเก็บตามช่วงฤดูกาล (Seasonal Stock) มีไว้เพื่อทา ใหก้ ระบวนการผลิตเป็นไปอยา่ งตอ่ เน่ืองตลอดฤดกู าล 2.4) สินค้าคงคลังระหว่างการจัดส่ง (Pipeline Stock) เป็นสินค้าที่อยู่ในระยะ ทางการขนสง่ จากผู้จาหนา่ ยไปยังลูกค้า

8 2.5) สินค้าคงคลังสารองเพิ่มเติมเพื่อเหตุผลอ่ืนๆ (Other Stock) เช่น สินค้า คงคลังสารองในกรณีท่ผี ลิตไมท่ ัน หรอื สนิ ค้าท่เี กดิ จากความจาเป็นที่ต้องผลิตอยา่ งตอ่ เนอื่ ง เกนิ ความต้องการทีแ่ ท้จรงิ 1.4.3 วตั ถุประสงค์ของสินคา้ คงคลงั สินค้าคงคลังมีบทบาทสาคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่นสาหรับการดาเนินการของ องค์กร ซงึ่ มวี ตั ถุประสงค์ของการถือครองสินค้าคงคลงั ดงั น้ี 1. เพ่อื ใชจ้ าแนกประเภทสนิ ค้าออกเปน็ หมวดหมู่ และการถอื ครองสินคา้ คงคลังจะ ชว่ ยทาใหอ้ งคก์ รสามารถจดั สง่ สนิ คา้ ให้แกล่ กู ค้าได้ทันเวลา 2. เพือ่ ลดปัญหาจากความตอ้ งการสินค้าท่ไี มแ่ น่นอนของลกู คา้ 3. เพ่อื ทาให้ได้รบั ประโยชนจ์ ากสว่ นลดเนือ่ งจากการส่งั ซื้อสนิ คา้ ทมี่ ีจานวนมากขน้ึ 4. เพื่อป้องกันปัญหาจากสภาวะทางเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ และการขึ้น ราคาของสินค้า 5. เพ่ือป้องกันปัญหาท่ีเกิดจากความไม่แน่นอนจากการส่งมอบของผู้ส่งมอบ เนือ่ งมาจากสภาพดนิ ฟ้าอากาศ ปญั หาด้านคุณภาพของสนิ ค้า หรอื ปญั หาจากคณุ ภาพของ สินค้า เป็นตน้ 6. เพ่ือช่วยทาให้งานผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ติดขัด ไม่มีปัญหาการขาด แคลนวตั ถดุ ิบหรือไมม่ ีสนิ ค้าคงเหลือระหวา่ งการผลติ 1.4.4 การจดั กลมุ่ สนิ ค้าคงคลงั ด้วยระบบ ABC (ABC Analysis) การจัดกลุ่มสินค้าคงคลังด้วยระบบ ABC (ABC.Analysis).เป็นแนวคิดท่ีให้ ความสาคัญกับสินค้าตามกลุ่มสินค้าโดยการจัดลาดับสินค้าตามมูลค่าสินค้าคงคลังท่ีถือ ครองรวมต่อปีของแต่ละรายการ หรือมูลค่าขายสินค้าแต่ละรายการ หรือส่วนแบ่งกาไรของ สนิ ค้าน้ัน ซ่งึ สินค้าคงคลังทจ่ี ัดอยใู่ นกลุม่ A จะประกอบดว้ ยสินคา้ เพียงไม่ก่ีรายการ หรือมี จานวน SKU (Stock Keeping Unit) นอ้ ยแต่เป็นรายการสินค้าคงคลังท่ีมีมูลค่าการถอื ครอง หรือมีมูลค่าการขาย หรือส่วนแบ่งกาไรมากที่สุด ส่วนสินค้าท่ีมีมูลค่าการถือครอง หรือมี มูลค่าการขาย หรือส่วนแบ่งกาไรรองลงไปจะได้รับความสาคัญน้อยลงเป็น.B.และ.C ตามลาดบั ดงั แสดงตามตารางท่ี 1.1 นอกจากน้ี ABC Analysis ยังสามารถนาไปประยุกต์ใช้ ในเรื่องการจดั ตาแหน่งการวางสินค้า โดยจะจัดกลุ่มตามการเคลื่อนไหว (Movement) ของ สนิ คา้ แตล่ ะรายการไดอ้ กี ดว้ ย

9 ตารางท่ี 1.1 การแบ่งกลมุ่ สนิ ค้าด้วยระบบ ABC กลุ่มสินค้า % ของจานวนรายการสินคา้ % ของมูลคา่ สนิ คา้ คงคลงั จาก คงคลงั (SKU) จากรายการ มูลคา่ สินค้าคงคลงั ท้ังหมด A B สนิ คา้ คงคลังท้งั หมด 60% - 80% C 15% - 20% 10% - 20% 5% - 10% 30% - 50% 30% - 50% Percentage of total sales100% 90 80 AB C 70 60 50 40 30 20 10 10 20 30 40 50 60 70 80 90 100% Percentage of items in product line รปู ท่ี 1.3 การจัดกลมุ่ สนิ คา้ ดว้ ยระบบ ABC ที่มา Jonn J. Coyle (2013) ร า ย ก า ร สิ น ค้ า ค ง ค ลั ง ที่ จั ด อ ยู่ ใน ก ลุ่ ม .A.เป็ น ร า ย ก า ร สิ น ค้ า ท่ี อ ง ค์ ก ร ค ว ร ใ ห้ ความสาคัญ และควรมีการติดตาม (Monitor) หรือการจัดการดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเป็น รายการสินค้าที่มียอดจาหน่ายสูง และควรจัดตาแหน่งในการจัดเก็บให้อยู่ในตาแหน่งที่ สะดวกตอ่ การจดั เก็บและสะดวกต่อการหยบิ สินค้ามากกวา่ สนิ คา้ คงคลงั กลุ่ม.B.และ C.ทงั้ นี้ ในการจดั กลุม่ สินค้าคงคลังอาจมีการแบง่ กลมุ่ สินคา้ คงคลังได้มากกว่า 3 กลมุ่ ได้

10 การวเิ คราะหส์ ินคา้ คงคลังด้วยระบบ ABC Inventory Matrix ABC Inventory Matrix เป็นการวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมในการถือครองสินค้า คงคลังว่ามีความเหมาะสมกับยอดการจาหน่ายสินค้าในแต่ละรายการหรือไม่ ซึ่งจะเทียบ ระหวา่ งมูลค่าการใช้หรือความต้องการสินคา้ คงคลังในหน่ึงปี (Annual.Usage) กับมูลค่าใน การจัดเก็บสินค้าคงคลังในหน่ึงปี (Annual.Physical.Inventory) ซึ่งสรุปข้ันตอนการ วเิ คราะห์ ดงั นี้ ขั้นตอนท่ี 1 แบ่งกลุ่มสินค้าโดยใช้วิธี ABC Analysis โดยเร่ิมจากการแบ่งกลุ่ม สินค้าตามยอดจาหน่ายสินค้า หรือมูลค่าความต้องการใช้งานสินค้าคงคลัง (Inventory Usage) เป็นกลมุ่ A, B และ C จากนน้ั จึงทาการแบง่ กลุม่ สินคา้ ตามมลู ค่าการถือครองสนิ ค้า คงคลงั (Physical.Inventory) เป็นกล่มุ A, B และ C ตามตัวอย่างแสดงในตาราง ดังนี้ แบ่งกล่มุ สินค้าตามยอดจาหนา่ ยสินค้า หรอื มูลค่าความตอ้ งการใชง้ านสนิ คา้ คงคลัง (Inventory Usage) รายการ ราคาต่อ ปริมาณการ มลู คา่ การ % มลู คา่ การ การจัดกลุ่ม หน่วย ใชง้ านตอ่ ปี ใชง้ านต่อปี ใชส้ ินค้าคง ABC ของ ($) (Annual (Annual คลงั ตอ่ ปี Annual dollar Usage) Dollar เปรียบเทยี บ usage (Units) Usage) กับทุกรายการ ($) (% of Total Annual Usage) A246 1.00 22,000 22,000 35.2 A N376 0.50 40,000 20,000 32.0 A C024 4.25 1,468 6,239 10.0 B R221 12.00 410 4,920 7.8 B P112 2.25 1,600 3,600 5.8 B R116 0.12 25,000 3,000 4.8 B T049 8.50 124 1,054 1.7 C B615 0.25 3,500 875 1.4 C L227 1.25 440 550 0.9 C T519 26.00 10 260 0.4 C Total Annual Dollar Usage $62,498 100%

11 แบ่งกล่มุ สนิ ค้าตามมลู คา่ การถอื ครองสนิ ค้าคงคลงั (Physical Inventory) รายการ ราคาตอ่ ปริมาณการ มูลค่าการ % มลู คา่ การ การจัด หนว่ ย จดั เกบ็ สนิ ค้า จดั เก็บสินค้า จัดเก็บสนิ ค้า กลมุ่ ($) คงคลงั ตอ่ ปี คงคลังตอ่ ปี คงคลังต่อปี ABC ของ (Annual (Annual เปรียบเทยี บ Physical Physical Physical กับทุกรายการ Inventory Inventory) Inventory) (% of Total (Units) ($) Physical Inventory) T519 26.00 300 7,800 40.5 A A246 1.00 5,600 5,600 29.1 A L227 1.25 1,200 1,500 7.8 B C024 4.25 348 1,479 7.7 B R221 12.00 80 960 5.0 B P112 2.25 352 792 4.1 B T049 8.50 50 425 2.2 C N376 0.50 800 400 2.1 C R116 0.12 2,100 252 1.3 C B615 0.25 120 30 0.2 C Total Physical Inventory $19,238 100% ขั้นตอนที่ 2 จดั ทา ABC inventory matrix โดยใช้ข้อมูลจากการจดั กลมุ่ สนิ ค้าดว้ ย ABC Analysis ทั้ง 2 ส่วน ได้แก่ Annual.inventory.usage และ Physical.inventory แล้ว นามาพลอ็ ตตาแหน่งของรายการสนิ คา้ ใน ABC inventory matrix เพ่อื แสดงความเหมาะสม ในการจัดการสินค้าคงคลังของแต่ละรายการ (สินค้ามีการจัดเก็บเกินความจาเป็น หรือ สนิ ค้าจัดเกบ็ น้อยเกนิ ไป)

12 ถา้ สนิ คา้ มีมูลค่าการ จาหน่ายตา่ มากจัดอยูใ่ น ถ้าสินค้ามีมูลค่าการ กลุม่ C แตก่ ารเก็บสต็อก จาหน่ายสงู จดั อยู่ในกลุ่ม สินค้ามากเกนิ ไป เป็น A แตม่ ีการเกบ็ สตอ็ ก กลมุ่ A หรอื B จะทาให้ สนิ คา้ นอ้ ยเกนิ ไป เป็น สนิ คา้ มปี ริมาณเกินความ กลุ่ม B หรือ C จะทาให้ จาเปน็ (Overstocking) สนิ ค้าขาดสตอ็ ก จงึ สรปุ ได้วา่ จานวนการจัดเก็บ มีความไมเ่ หมาะสม (Understocking) รูปท่ี 1.4 ABC inventory matrix รูปท่ี 1.5 การทาแผนผงั ขอ้ มูลจากการจดั กล่มุ สินคา้ คงคลังลงใน ABC inventory matrix

13 จากรูปท่ี 1.5 จะเห็นได้ว่ารายการสินค้า T519 เป็นสินค้ากลุ่ม C ซึ่งมีมูลค่าการ จาหน่ายสินค้าต่า แต่มีการจัดเก็บสต๊อกสินค้าไว้มากเกินความจาเป็น รองลงมา คือ รายการสนิ ค้า L227 มีปริมาณการจัดเก็บสตอ๊ กสินค้ามากเกนิ ความจาเป็นเป็นอนั ดบั 2 รายการสินค้า N376 และ R116 เป็นสินค้าที่มีความสาคัญเน่ืองจากมีมูลค่าการ จาหน่ายสูง จัดอยู่ในกลุ่ม A แต่มีการจัดเก็บสต๊อกสินคา้ ตา่ จัดอยู่ในกลมุ่ C ซงึ่ ไม่เพยี งพอ และอาจทาใหเ้ กิดสนิ ค้าขาดสตอ๊ ก (Understocking) ได้ สาหรับรายการสินค้า A246, C024, R221, P112, T049 และ B615 เป็นรายการ สินค้าที่มีการจัดการสินค้าคงคลงั เหมาะสมแลว้ เนื่องจากการจัดเก็บสต๊อกสินค้าสอดคล้อง กับมูลค่าการจาหน่ายสนิ คา้ 1.4.5 การลดตน้ ทนุ สินค้าคงคลัง 1. การหาปริมาณการสัง่ ซือ้ ขนาดประหยัด (Economic Order Quantity) การคานวณหาปริมาณการส่ังซ้ือท่ีประหยัดที่สุด (Economic Order Quantities) หรือ EOQ เป็นวิธีที่รู้จักกันแพร่หลายมานาน ช่วยในการกาหนดปริมาณสินค้าท่ีต้องการ ส่ังซื้อในแต่ละครั้ง ว่าเป็นคร้ังละเท่าไรจึงจะเหมาะสม และก่อให้เกิดต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย ต่าสดุ โดยในการคานวณ EOQ มีต้นทุนหรือค่าใช้จา่ ยทีส่ าคัญอยู่ 2 ต้นทนุ คอื 1. ต้นทุนการเก็บรักษา (Holding Cost or Carrying Cost) คือ ต้นทุนท่ีเกิดขึ้น จากการทีก่ จิ การมสี ินคา้ สารองอยู่ในโกดัง หรือคลงั สนิ คา้ 2. ต้นทนุ การสั่งซื้อ (Ordering Cost) คือ ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายทเี่ กดิ จากการส่ังซื้อ สนิ คา้ หรือส่ังผลิตสนิ ค้า ไดแ้ ก่ ตน้ ทุนออกใบส่งั ซือ้ สินค้า ค่าโทรศพั ท์ ค่าขนสง่ เป็นตน้ ถ้าส่ังซ้ือคร้ังละน้อยๆ ต้นทุนการส่ังซ้ือจะมาก เพราะต้องส่ังซ้ือหลายครง้ั และถ้า สั่งซื้อครั้งละมากๆ จะต้องมีสินค้าเก็บไว้ในโกดังหรือคลังสินค้าจานวนมาก ต้นทุนหรือ ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก็จะมาก ดังนั้นถ้านามาวาดเป็นกราฟหาความสัมพันธ์ระหว่าง ต้นทนุ การส่งั ซอื้ ตน้ ทนุ การเกบ็ รักษา กับจานวนสนิ ค้า จะไดค้ วามสัมพนั ธ์ ดงั รูปที่ 1.6

14 Holding Cost (CH) รูปที่ 1.6 จดุ ท่เี หมาะสมทส่ี ดุ ทท่ี าใหต้ ้นทุนในการจดั ใหม้ สี ินคา้ คงคลงั ทัง้ หมด (Total Inventory Cost หรอื TIC) ต่าสุด คอื ตรงจดุ ตัดของกราฟระหวา่ งตน้ ทุนการเกบ็ รกั ษากบั ต้นทนุ การสั่งซื้อ จากจดุ ตดั กราฟ ต้นทุนการเกบ็ รกั ษา เทา่ กับ ต้นทนุ การสั่งซ้อื สูตร EOQ = ปริมาณการส่ังซอื้ ท่ปี ระหยัดหรอื เหมาะสมทส่ี ดุ โดย Q หรอื EOQ = จานวนครัง้ ของการส่งั ซอื้ ต่อปี N = ความตอ้ งการสินคา้ ตอ่ ปี D = ต้นทนุ การส่งั ซือ้ ตอ่ ครัง้ (บาท/ครงั้ ) Co = ตน้ ทนุ การเก็บรกั ษา (บาท/หน่วย/ป)ี CH ตน้ ทนุ ในการจัดให้มีสินค้าคงคลงั ทั้งหมด = ตน้ ทุนการเก็บรกั ษา + ตน้ ทนุ ในการสงั่ ซื้อ (Total Inventory Cost or TIC)

15 ความเหมาะสมในการนา EOQ ไปใช้ 1. ปรมิ าณการใช้ของสินค้าคงคลงั ตอ้ งเป็นไปอยา่ งสม่าเสมอ 2. ระยะเวลาในการสงั่ ซอ้ื จนกระท่ังไดร้ ับสนิ คา้ (Lead Time) ต้องคงที่ 3. สนิ ค้าท่สี ่งั ซอ้ื ไปจะตอ้ งได้รบั พรอ้ มกันท้ังหมด ตวั อยา่ งประกอบ บรษิ ัทผลิตช้ินส่วนเคร่ืองยนตร์จากัด มีความต้องการใช้วัตถุดิบรายการหน่ึงปีละ 10,000 หน่วย โดยจะมีต้นทุนในการส่ังซื้อของเข้าคลังรายการนี้เท่ากับ 20 บาท/คร้ัง รายการวัตถุดิบนี้มีต้นทุนในการเก็บรักษาเท่ากับ 20% ของมูลค่าของคงคลังถัวเฉล่ียโดย วัตถุดิบรายการนี้มีราคาเท่ากับ 5 บาท/หน่วย จงคานวณหาปริมาณการสั่งซ้ือที่ประหยัด หรือเหมาะสมท่ีสุด (EOQ) และตน้ ทนุ ในการจดั ใหม้ ีสนิ ค้าคงคลังทงั้ หมด (TIC) กาหนด D = 10,000 หน่วย ต่อ ปี Co = 20 บาท ตอ่ ครงั้ I = 20% ของมูลคา่ สนิ ค้าคงคลงั ถวั เฉลย่ี P = 5 บาท ตอ่ หนว่ ย 1..สูตร.Q = = 633 หน่วย = 2..สูตร.TIC = = = 316.25 + 316.25 = 632.50 บาท 2. การกาหนดจุดส่ังซ้ือใหม่ (Re-order Point) ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจให้ได้ว่าควรทาการส่ังซื้อสินค้าใหม่เม่ือไหร่ เพราะถ้า ส่ังซื้อช้าเกินไป หากสินค้าหมดก่อนก็จะทาให้การผลิตหยุดชะงัก หรือถ้าซื้อสินค้าเร็ว เกนิ ไป ก็จะทาให้สนิ ค้าอยใู่ นโกดังหรือคลงั สนิ ค้ามากเกินไป นอกจากนี้สนิ ค้าโดยสว่ นใหญ่ ต้องใช้ระยะเวลาในการนาส่ง อาจเป็นวัน สัปดาห์ หรือเป็นปีก็ได้ ดังน้ันเพ่ือขจัดปัญหา

16 เหล่านี้ ผบู้ ริหารจะต้องทราบจุดทจี่ ะทาการส่งั ซอ้ื เพม่ิ หรอื ส่ังซือ้ ใหม่ (Reorder Point) ซ่ึงจะ สามารถหาได้จาก วธิ ีที่ 1 จุดสั่งซอ้ื ใหม่ในอัตราความต้องการสินค้าคงคลังคงท่ีและรอบเวลาคงที่ เป็นสภาวะที่ ไม่เสย่ี งที่จะเกดิ สินคา้ ขาดมอื เลย เพราะทุกส่ิงทุกอยา่ งแน่นอน จุดสั่งซื้อใหม่ R = d x L โดยท่ี d = อตั ราความตอ้ งการสนิ ค้าคงคลงั L = เวลารอคอย ตวั อย่าง รา้ นทาขนมปงั ต้องการใช้ไข่ไกท่ าขนม วนั ละ 10 ถาด การสั่งซอ้ื ไข่ไก่จากร้านค้าส่ง จะใช้เวลา 3 วนั กวา่ ของจะมาถงึ จดุ สง่ั ซอ้ื ใหมจ่ ะเปน็ เทา่ ใด จุดสัง่ ซ้ือใหม่ = dxL = 10 x 3 = 30 ถาด เม่ือไขไ่ ก่เหลอื 30 ถาด ตอ้ งทาการสัง่ ซอ้ื ใหมม่ าเพม่ิ เตมิ วิธีที่ 2 จุดสั่งซ้ือใหม่ในอัตราความต้องการสินค้าคงคลังท่ีแปรผันและรอบเวลาคงท่ี เป็น สภาวะที่อาจเกิดของขาดมือได้เพราะว่าอัตราการใช้หรือความต้องการสินค้าคงคลังไม่ สม่าเสมอ จึงต้องมีการเก็บสินค้าคงคลังเผ่ือขาดมือ (Cycle-Service Level) ซ่ึงจะเป็น โอกาสท่ไี ม่มีของขาดมือ จุดสั่งซอื้ ใหม่ = (อัตราความต้องการ x รอบเวลา) + สนิ คา้ คงคลังเพ่อื ความปลอดภยั = (d x L) + z √L(S&) โดยที่ d = อตั ราความตอ้ งการสินคา้ โดยเฉลี่ย L = รอบเวลาคงที่ Z = ค่าระดับความเชื่อมั่นว่ามสี นิ ค้าเพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการ ** S& = ความเบยี่ งเบนมาตรฐานของอัตราความ ตอ้ งการสนิ ค้า ** ระดบั วงจรของการบริการ = 100% - โอกาสทเี่ กดิ ของขาดมอื

17 วธิ ที ่ี 3 จดุ สั่งซ้ือในอัตราความตอ้ งการสินค้าคงคลังคงที่และรอบเวลาแปรผนั เป็นสภาวะที่ รอบเวลามีลกั ษณะการกระจายของขอ้ มูลแบบปกติ จดุ สง่ั ซ้ือใหม่ = (d x L) + zd SL โดยท่ี d = อตั ราความต้องการสนิ ค้าคงคลังซึ่งคงที่ L = รอบเวลาเฉลีย่ Z = ค่าระดับความเช่อื ม่นั วา่ มีสินค้าเพยี งพอตอ่ ความต้องการ ** SL = ความเบย่ี งเบนมาตรฐานของรอบเวลา S& = ความเบย่ี งเบนมาตรฐานของอัตราความ ตอ้ งการสนิ คา้ วิธีท่ี 4 จุดสั่งซื้อใหม่ในอัตราความต้องการสินค้าแปรผันและรอบเวลาแปรผัน โดยที่ท้ัง อตั ราความต้องการสินค้าและรอบเวลามลี ักษณะการกระจายของข้อมูลแบบปกติทง้ั สองตัว แปร จดุ ส่ังซ้อื ใหม่ = (d x L) + z(√LS2d + d2) โดยท่ี d = อัตราความตอ้ งการสินคา้ คงคลังซึง่ คงท่ี L = รอบเวลาเฉลีย่ Z = ค่าระดับความเชื่อม่ันวา่ มสี ินคา้ เพยี งพอต่อ ความตอ้ งการ ** SL = ความเบย่ี งเบนมาตรฐานของเวลารอคอย ** หมายเหตุ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และค่าระดับความ เช่อื ม่นั สามารถหาได้จากตารางมาตรฐาน ส่วนการพิจารณาจุดสั่งซื้อใหม่ในกรณีที่การตรวจสอบสินค้าคงคลังเป็นแบบ สิน้ งวดเวลาทก่ี าหนดไว้ (Fixed Time Period System) จะแตกต่างกับการตรวจสอบสนิ ค้า คงคลังแบบต่อเน่ืองตรงท่ีปริมาณการส่ังซ้ือแต่ละครั้งจะไม่คงท่ี และข้ึนอยู่กับว่าสินค้ามี จานวนลดลงไปเทา่ ใดก็จดั ซือ้ เตมิ ให้เต็มระดับเดมิ 3. การกาหนดระดับสินค้าคงคลังปลอดภัย (Safety Stock) การกาหนดระดับสินค้าค้าคงคลังปลอดภัย คือ การกาหนดจานวนสินค้าท่ีควรมี สารองไว้เพ่ือไม่ให้เสียโอกาสต่อไป หรืออาจเรียกว่าสินค้ากันชน (Buffer Stock) ซ่ึงเป็น วัสดุคงคลังท่ีต้องสารองไว้กันวัสดุหรือสินค้าขาดเมื่อวัสดุหรือสินค้าถูกใช้มากกว่าท่ี

18 คาดการณ์ไวว้ ัสดุคงคลงั ท่ีเก็บสารองไว้โดยปริมาณของ Safety Stock จะมากหรือน้อยนั้น จะขึ้นกับความไม่แน่นอนของปริมาณความต้องการ ถ้าปริมาณความต้องการวัสดุหรือ สินค้าในแต่ละช่วงเวลาไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแน่นอน อาจทาให้ต้องเก็บ Safety Stock ในปริมาณมากข้นึ การกาหนดปริมาณ Safety Stock  ความถูกต้องในการพยากรณ์ (Forecast Accuracy) ถ้าความถูกต้องในการ พยากรณ์มากจะชว่ ยใหป้ ริมาณ Safety Stock น้อยลง  เป้าหมายการบริการลูกค้า (Target Service Level) ถ้าเราต้ังเป้าหมายในการ บรกิ ารลูกค้าไว้สูง เราจะเก็บ Safety Stock ในปรมิ าณมากขน้ึ  ความถี่ในการเติมเต็ม (Replenishment Frequency) ถ้าเราสามารถเติมเต็มวัสดุ คงคลังได้บ่อย ๆ เราจะสามารถลดปริมาณ Safety Stock ลงได้ เนื่องจากเรามี โอกาสถี่ขึน้ ที่จะสัง่ วสั ดหุ รือสนิ ค้ามาเพม่ิ  เวลานาและความแปรปรวนของเวลานา (Lead Time & Its’ Variability) ถ้าเวลา นาในการเติมเต็มวัสดุคงคลังลดลง เราจะสามารถลดปริมาณ Safety Stock ลงได้ เนอื่ งจากเราสามารถส่ังวัสดุหรอื สินค้ามาเพ่มิ ได้โดยใช้เวลาไม่นาน นอกจากน้ีถ้า เวลานามีความแน่นอนหรือมีความแปรปรวนต่า ก็อาจไม่จาเป็นท่ีจะต้องเก็บ Safety Stock ประกายเพชร อานวยพร และวัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ (2557) ได้ทาการศึกษา รปู แบบการทาปฏสิ มั พันธ์ในสื่อสังคมออนไลน์ประเภท เฟซบุ๊ก (Facebook) ท่ีสง่ ผลต่อการ วางแผนสินค้าคงคลังของธุรกิจค้าปลีกแฟชั่นที่จาหน่ายสินค้าผ่าน เฟซบุ๊ก โดยเลือก ผู้ประกอบการที่ดาเนินกิจการค้าปลีกแฟช่ันบนเฟซบุ๊กเป็นกรณีศึกษา เน่ืองจากปัจจุบัน เกิดธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านทางสอ่ื สังคมออนไลน์ เช่น เส้ือผ้า นาฬิกา ยาบารุงหรอื วิตามิน และอุปกรณ์เคร่ืองใช้ แต่ท่ไี ดร้ บั ความสนใจมากที่สุด คอื ธรุ กจิ ค้าปลีก แฟชั่น ซ่ึงธุรกิจกรณีศึกษาใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางในการส่ือสารกับลูกค้าเพียง อยา่ งเดยี ว โดยใชก้ ารวเิ คราะห์จาแนกประเภท (Discriminant Analysis) เป็นเคร่อื งมือทท่ี า ให้ทราบถึงรูปแบบการทาปฏิสัมพันธ์ท่ีทาให้สินค้าสามารถจาหน่ายได้ หมดตามปริมาณ สนิ ค้าคงคลัง โดยวิเคราะห์จากค่านยั สาคัญของรูปแบบการทาปฏสิ ัมพนั ธ์แต่ละรูปแบบ ผล การศึกษาพบว่าการทาปฏิสัมพันธ์ในส่ือสังคมออนไลน์ที่เป็น การ กดถูกใจ (Like) น้ันส่งผลกับปริมาณการจาหน่ายสินค้า ดังน้ันธุรกิจค้าปลีกแฟชั่นสามารถนาข้อมูลน้ีไปใช้ ประโยชน์ในการวางแผนสนิ คา้ คงคลงั ด้วยการนาขอ้ มูลการทาปฏสิ ัมพนั ธ์มาประมาณการ

19 ส่ังสินค้าแทนการใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่น เพ่ือให้ธุรกิจค้าปลีกแฟชั่นเพ่ิมความแม่นยาใน การวางแผนสินค้าคงคลัง ลดค่าใช้จ่ายในการวางแผนสินค้าคงคลัง และทาให้มีสินค้า ตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ได้อยา่ งเพยี งพอ 1.5 การจดั การการขนสง่ (Transportation Management) การขนส่ง (Transportation).หมายถึง.การเคลื่อนย้ายคน.(People).สินค้า (Goods) หรอื บริการ (Services) จากตาแหน่งหนึ่งไปยังอีกตาแหน่งหน่ึง ในกรณีของการเคลื่อนยา้ ย คนนั้นจะเป็นเรื่องของการขนส่งผู้โดยสารเสียเป็นส่วนใหญ่ ในบริบทของหลักสูตรการ จดั การการขนส่งนี้จะเนน้ ทีก่ ารขนส่งสนิ ค้าหรอื บริการเป็นสาคญั การขนส่งถูกจัดความสาคัญไว้เป็นลาดับต้นๆ ท่ีช่วยสนับสนุนกิจการด้านต่างๆ ใหป้ ระสบผลสาเร็จ ทั้งยงั มีบทบาทเป็นดัชนชี ี้วัดความเจริญกา้ วหนา้ ของประเทศไดอ้ ีกทาง หนึ่ง ดังนั้นการขนส่งจึงมิใช่เรื่องของการพัฒนายานพาหนะ หรือการแข่งขันทางด้าน ยนตกรรมเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังต้องคานึงถึงระบบกระบวนวิธีการ ที่เรียกว่า ระบบการ ขนสง่ หรือกระบวนการบรหิ ารจดั การทางดา้ นการขนส่งอย่างเปน็ ระบบ อาทิเชน่ ในแงก่ าร ขนส่งบุคคล ก็จาเป็นต้องมีระบบขนส่งมวลชน ที่มปี ระสิทธภิ าพ ในแง่การขนส่งสินคา้ ก็ย่ิง ตอ้ งใชว้ ิธกี ารทางโลจิสติกสเ์ ข้ามาบูรณาการอยา่ งเป็นระบบ การขนส่งนัน้ ถอื เป็นกิจกรรมหลักในการจัดการโลจิสติกส์ และต้นทนุ ในการขนส่ง นั้นก็มักจะเป็นต้นทุนหลักของกระบวนการโลจิสติกส์ท้ังหมด โดยอยู่ท่ีประมาณ 4 ใน 10 ส่วนของต้นทุนด้านโลจิสติกส์ท้ังหมด นอกจากน้ีการขนส่งก็ยังมีความสาคัญอย่างยิ่งใน กระบวนการดา้ นโลจิสติกส์ เพราะการขนสง่ ทาให้เกิดการไหลของสนิ คา้ และทรัพยากรเพ่ือ การบริการตา่ งๆ ในซัพพลายเชน ดังนั้นการบริหารการขนสง่ ที่ดีจึงมีความสาคัญเป็นอยา่ ง ยง่ิ ตอ่ การลดตน้ ทุนดา้ นโลจิสติกส์ และทาใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพกบั กระบวนการโลจิสตกิ ส์ ยิ่ง ไปกว่านั้นการบริหารการขนส่งอย่างมีคุณภาพ ทั้งในด้านการจัดส่งที่ตรงต่อเวลา สภาพ ของสินคา้ ทีไ่ มบ่ ุบสลาย และการจัดส่งสนิ คา้ ได้อย่างครบถ้วนไม่สูญหาย ก็จะทาใหเ้ กดิ การ บรกิ ารลูกค้าท่ีดีข้ึน ซ่ึงก็จะส่งผลให้เกิดการพัฒนาของธุรกิจท่ีดีย่ิงข้ึน การท่ีเราดาเนินการ ให้เกิดต้นทุนที่ต่าที่สุดในด้านการขนส่งนั้น อาจจะส่งผลให้เกิดต้นทุนที่สูงขึ้นในส่วนอื่น ดงั นัน้ การตดั สินใจในการดาเนินการด้านการขนสง่ ใดๆ กต็ ามจงึ ตอ้ งคานึงถึงผลกระทบทจ่ี ะ มีตอ่ การบรหิ ารจดั การในสว่ นต่างๆ ดังกล่าว

20 1.5.1 รปู แบบของการขนส่ง (Mode of Transportation) รูปแบบของการขนส่ง (Mode of Transportation) สามารถแบง่ ได้เป็น 5 รปู แบบ 1. การขนส่งทางน้า หรอื ทางเรอื (Water/Ship Transportation) คอื การขนสง่ ทาง นา้ ซง่ึ เป็นวธิ ีการขนสง่ ที่มมี าตั้งแต่สมยั โบราณ โดยมากใช้ขนส่งในประเทศ ต่อมาได้ขยาย รวมถงึ การขนส่งระหวา่ งประเทศทางทะเล ซึ่งการขนสง่ ทางน้าเป็นวิธกี ารขนส่งเก่าแก่มีมา ตง้ั แต่สมัยโบราณ โดยการใช้แมน่ า้ ลาคลองเปน็ เส้นทางลาเลียงสนิ ค้า รวมถึงการขนส่งทาง ทะเล ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สาหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การขนส่งทางน้าน้ีเหมาะสม กับสินคา้ ท่ีมีขนาดใหญ่ ขนส่งได้ปริมาณมากเป็นสินคา้ ท่ียากแก่การเสียหาย เช่น ทราย แร่ ข้าวเปลือก เคร่ืองจักร ยางพารา เป็นต้น ส่วนประกอบของการขนส่งทางน้า เป็นการ พฒั นาการขนส่งอกี ข้ันหนึ่ง โดยการบรรจุสนิ คา้ ที่จะขนส่งลงในตคู้ อนเทนเนอร์ แล้วทาการ ขนส่งโดยรถบรรทุก รถไฟ หรือเครื่องบิน ไปยังจุดหมายปลายทางโดยไม่มีการขนถ่าย สินค้าออกจากตรู้ ะหว่างทาการขนสง่ เทยี่ วน้ัน ชนิดของตู้คอนเทนเนอร์หรือตู้สินค้าท่ีใช้ในการขนส่งสินค้า เป็นตู้สี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 8 ฟุต สูง 8 ฟุต ยาว 20, 25, 40, 45 ฟุต ทาจากเหล็กหรืออะลูมิเนียมท่ีได้รับการ ผนกึ อยา่ งดเี พือ่ กันไมใ่ หน้ ้าเขา้ ในตู้ได้ ใชส้ าหรับบรรทกุ สินคา้ ซ่ึงสามารถแบง่ ได้ 3 ชนิด 1.1) ตู้แห้งหรอื ตู้สินคา้ ท่วั ไป เปน็ ตทู้ ึบไม่มีแผ่นฉนวนอยู่ดา้ นใน ไม่มเี ครือ่ งทา ความเย็นตดิ ต้ังหนา้ ตู้ ใช้บรรทกุ สนิ คา้ แหง้ หรอื สนิ ค้าท่ัวไป 1.2) ตคู้ วบคมุ อณุ หภูมิ แบ่งไดด้ งั นี้ - ตู้ห้องเย็น จะมีเคร่ืองทาความเย็นในตู้ ภายในบุฉนวนทุกด้าน เพื่อ ปอ้ งกนั ความร้อนจากภายนอกเข้าสดู้ า้ นใน นิยมเกบ็ ผักสด ผลไม้ - ตู้ฉนวน ภายในจะบุฉนวนด้วยโฟมทุกด้านเพื่อป้องกันความร้อนแผ่ เข้าตู้ นิยมบรรทุกผักแม้ต้รู ะบายอากาศจะเหมือนกับตูเ้ ย็น แต่มีพัดลมแทนเครื่องทาความ เยน็ โดยพดั ลมจะดูดกา๊ ซอีเทอรล์ ีนท่รี ะเหยออกจากตวั สนิ ค้า 1.3) ตพู้ ิเศษ ไดแ้ ก่ - ตู้แทง็ กเ์ กอร์หรือตูบ้ รรจขุ องเหลว - ตู้เปิดหลงั คา - ตู้แพลตฟอรม์ - ตเู้ ปดิ ข้าง - ตู้บรรทกุ รถยนต์ - ตบู้ รรทกุ หนงั เคม็ - ตสู้ งู หรือจมั โบ้

21 2. การขนส่งทางอากาศ (Air Transportation) เป็นรูปแบบการขนส่งที่เหมาะกับ การขนส่งสินค้าที่มีความเร่งด่วน โดยการคานวณค่าใช้จ่ายจะคานวณด้วยปริมาตรของ สินค้า หรอื น้าหนกั โดยคานึงถึงสง่ิ ท่มี ากกวา่ เป็นหลัก อุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ นับเป็นสาขาท่ีมีความสาคัญต่อกิจกรรมทาง เศรษฐกิจของโลก โดย IATA (International.Air.Transport.Association) ระบุว่าสัดส่วน ประมาณร้อยละ 40 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของโลกพ่ึงพาการขนส่งทาง อากาศ ด้านการขนส่งสินคา้ ทางอากาศของโลกในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมามกี ารขยายตัว ในอัตราประมาณร้อยละ 6.2 ตอ่ ปี โดยเข้าสภู่ าวะชะลอตัวลงในชว่ งเกิดวกิ ฤตเศรษฐกิจทมี่ า จากเอเชียในช่วงปี พ.ศ. 2540-2541.จากน้ันจึงได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนนับตั้งแต่คร่ึง หลังของปี พ.ศ.2542 เป็นต้นมา ท้ังนี้ บริษัท โบอ้ิง จากัด ได้คาดหมายว่าแนวโน้มการ ขยายตัวของการขนสง่ สินค้าทางอากาศในระยะยาวจะอย่ใู นอตั ราเฉลีย่ ประมาณร้อยละ 6.4 ต่อปี และตลาดที่เช่ือมโยงกับเอเชียจะยังคงเป็นผู้นาโดยขยายตัวในอัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างชาติเอเชียด้วยกันจะมีอัตราการเติบโตท่ี รวดเร็วท่ีสุดเมื่อเทียบกับทุกตลาดด้วยอัตราประมาณร้อยละ 8.6.ต่อปี และเมื่อถึงปี.พ.ศ. 2562.ตลาดเอเชยี จะมสี ว่ นแบง่ ในการขนส่งสินค้าทางอากาศกว่ารอ้ ยละ 50 ของตลาดโลก 3. การขนส่งทางรถยนต์หรือทางรถบรรทุก (Truck Transportation) เป็นรปู แบบ ท่ีมีความนิยมขนส่งมากเพราะสามารถขนส่งได้ถึงจุดหมายปลายทาง มีความยืดหยุ่นและ คล่องตัวมากกว่ารูปแบบการขนส่งอ่ืนๆ ประเภทของการขนส่งด้วยรถบรรทุก (Truck Transportation) อาจแบ่งได้เป็น การขนส่งท่ีใช้ประเภทรถหัวลากท่ีเรียกว่า Hauler ซึ่งมี คุณสมบัติในการลาก ประเภทรถพ่วงท่ีเรียกว่า Trailer ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ในการ ขนส่งสินค้าท่ีเป็นคอนเทนเนอร์ (Containers) การขนส่งท่ีใช้รถหัวลากท่ีใช้ในการลากรถ พ่วงที่บรรทุกสินคา้ ที่เป็นของเหลวบรรจใุ นถังขนาดใหญ่ (Liquid.Tank) ซึ่งสินค้าที่บรรทุก จะเปน็ พวก Liquid ของเหลว กา๊ ซ รวมถึงผลิตภัณฑท์ างเคมีดว้ ยรถหัวลากที่ใช้ลากรถพว่ ง ประเภทที่เป็นแบบเปิดประทุน ซ่ึงเหมาะกับสินค้าท่ีเป็น.Bulk.Cargoes.สินค้าทาง การเกษตรและสินค้าอื่นๆ ที่เป็นลักษณะบรรจุใน Packaging ต่างๆ นอกจากนี้รถสินค้า ประเภทตทู้ ึบทเี่ รียกวา่ Van เป็นลักษณะของรถบรรทุกท่ีมีการทาเปน็ ตทู้ บึ ซง่ึ สว่ นใหญ่ทา ด้วยเหล็กหรอื อลูมิเนยี ม ซึ่งอาจมีได้ท้ังรถขนาดเล็ก และรถขนาดใหญ่ โดยตูท้ ึบน้ันอาจจะ เปิดตู้ได้ทั้งด้านหลังและด้านข้างซ่ึงอาจมีการดัดแปลงให้สามารถเปิดออกเป็นสะพานให้มี การเคล่ือนย้ายสินค้าข้ึนและลงได้สะดวก หรือมีการติดตั้งเครื่องทาความเย็น ที่เรียกว่า Refrigerator หรือท่ีเรียกว่า เจนเซท (Genset) เพ่ือใช้สาหรับการขนส่งสินค้าท่ีต้องรักษา อุณหภมู ิ

22 การขนส่งทางบกจัดเปน็ การขนสง่ ที่มีความสาคัญอย่างมาก โดยการขนส่งทางบก จะเป็นการขนส่งท่ีสาคัญของไทย โดยจะคิดเปน็ 84-88% ของการขนส่งทง้ั หมด ซึ่งเหตุผล ท่ีการขนส่งทางบกนั้นจัดเป็นการขนส่งที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นรูปแบบการขนส่งท่ี สะดวกสามารถรบั -ส่งสินค้าจาก Point.to.Point คอื ตงั้ แต่ Upstream.Suppliers จนถงึ End Customers และอัตราค่าขนส่งก็ยงั ไมส่ ูงหากเทียบกับการขนส่งทางอากาศ โดยค่าขนสง่ จะ แปรผันกับปริมาณที่บรรทุกและระยะทางของการขนส่ง แต่อย่างไรก็ดี การขนส่งด้วย รูปแบบน้ีจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าทางรถไฟ แต่การขนส่งทางรถไฟมีข้อเสียในการใช้เวลาใน การขนส่งมากกว่าทางบก และสินค้าท่ีบรรทุกไม่สามารถรับ-ส่งได้ แบบท่ีเป็น Point To Point อย่างไรก็ตามการขนส่งด้วยรถบรรทุกมักจะพบกับปัญหาที่เป็นปัญหาหลัก คือการ สูญเสยี เวลาและค่าใช้จา่ ยในช่วงเที่ยวกลบั ท่ีมักจะไมม่ ีสนิ ค้า ซึ่งข้อดขี องการขนสง่ ทางบกทสี่ ามารถรับ-ส่งสินค้าจาก Point to Point ยังสามารถ นาไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับการขนส่งท่ีเป็นระบบ DC (Distribution.Center) โดย สามารถนาสินค้าท่ีได้รวบรวมเก็บไว้ในคลังที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าและจัดหารถบรรทุก ตามขนาดและประเภทท่ีเหมาะสมสาหรับสินค้าและสถานที่จัดส่งปลายทางโดยการขนส่ง ทางบก และทั้งนี้ในปัจจุบัน Logistics ไดพ้ ัฒนาจนสามารถจัดส่งสินคา้ ให้กับลูกค้าได้ ตาม เวลาทต่ี อ้ งการที่เรียกว่า Real Time Delivery 4. การขนสง่ ทางทางรถไฟ หรือระบบราง (Rail Transportation) เป็นรูปแบบการ ขนส่งทมี่ ีประสิทธภิ าพสาหรับบางประเทศท่ีสามารถชว่ ยทาให้ตน้ ทุนการขนส่งลดลงได้มาก และยังมีความปลอดภัยในการขนสง่ ทส่ี งู อีกดว้ ย การขนสง่ ทางรางประกอบด้วยเส้นทางหลักหรอื สายประธาน 5 เส้นทาง กระจายไป ตามภมู ภิ าคตา่ งๆ ของประเทศ ครอบคลมุ ในพ้นื ที่ 47.จงั หวัด ระยะทางรวม 4,043 กิโลเมตร เป็นทางเดี่ยว ระยะทาง 3,763 กิโลเมตร ทางคู่ ระยะทาง 173.กิโลเมตร และทางสาม ระยะทาง 107.กิโลเมตร สภาพรางท่ีมีอายุมากกว่า 30.ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 67 ส่งผลต่อ ความเร็วในการเดินรถและรถจักรที่มีอายุการใช้งานระหว่าง 12-44.ปี โดยเฉพาะรถจักรที่มี อายุ 30.ปีขึ้นไป ส่งผลต่อสมรรถนะในการลากจูง โดยเฉพาะเส้นทางขนส่งตู้ คอนเทนเนอร์ ระหว่างไอซดี ี ลาดกระบัง-ท่าเรอื แหลมฉบังที่ไอซดี ี ลาดกระบัง สามารถรองรบั ตู้สินค้าได้ถึง ปลี ะ 1.4.ล้าน ทีอียู โดยร้อยละ 95 ที่ผา่ นไอซดี ี ลาดกระบัง มีจดุ ตน้ ทางและปลายทางทท่ี ่าเรือ แหลมฉบัง และมีย่านกองเก็บตู้สินค้า (Container Yard) เป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งสินค้า ทางรถไฟ รถไฟมีการให้บริการผู้โดยสารเชิงสังคมมากกว่า 30.ล้านคนต่อปี และผู้โดยสาร เชิงพาณิชย์ประมาณ 15.ล้านคนต่อปี อย่างไรก็ตามการขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟมี แนวโน้มลดลง สาหรับการขนส่งสินค้าทางรถไฟมีสัดส่วนต่ามาก ส่วนใหญ่สินค้าที่ขนส่ง

23 ทางรถไฟแบบเหมาคันเป็นคอนเทนเนอร์รองลงมาเป็นการขนส่งพลังงาน และซีเมนต์ ตามลาดบั แผนฟื้นฟูทางการเงินของรถไฟไทย ได้ประมาณการณ์การขนส่งผู้โดยสาร ระหวา่ งปงี บประมาณ 2552-2561.พบวา่ จานวนผูโ้ ดยสารเพิม่ มาจาก 45 ลา้ นคนต่อปี ในปี พ.ศ. 2550.เป็น 50.ล้านคนต่อปี ในปี พ.ศ. 2561.สาหรบั การขนส่งทางรางคาดว่า ปรมิ าณ การขนส่งสินค้าเหมาคันเพิ่มข้ึนจาก 11.9.ล้านตัน ในปี พ.ศ.2550.เป็น 27.4.ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2561.สินค้าท่ีมีอัตราการเติบโตมากที่สุด ได้แก่ สินค้าคอนเทนเนอร์ รองลงมา ได้แก่ ผลติ ภณั ฑ์นา้ มนั เชือ้ เพลงิ และก๊าซ LPG ตามลาดบั 5. การขนส่งทางระบบท่อ (Pipeline Transportation) คือ การขนส่งสินค้าท่ีเป็น ของเหลวและก๊าซเท่าน้ัน เพ่ือความสะดวกในการขนส่งด้วยระบบปิดเป็นการขนส่งใน ลักษณะเฉพาะ โดยท่อผ่านต้องไม่ชันมากเกินไป ซึ่งสินค้าท่ีได้รับความนิยมในการขนส่ง ดว้ ยทอ่ คอื ผลิตภัณฑป์ โิ ตรเลยี ม และกา๊ ซธรรมชาติ 1.5.2 การเปรยี บเทียบระหวา่ งรปู แบบการขนส่ง ขอ้ ดี ข้อเสยี การขนส่งทางนา้ 1.ระยะเวลาการขนส่งล่าชา้ 2.การเทยี บท่าทช่ี ายฝังI ในหน้าน้าลด 1.อตั ราคา่ ขนสง่ ถกู เมอ่ื เปรยี บเทยี บต่อหน่วย 3.มีความผันผวนของตารางเวลาเดินเรือ 2.ขนสง่ ไดใ้ นปรมิ าณทม่ี าก 3.มีความปลอดภัยในการขนส่งสูง 1.ไมส่ ามารถส่งสินค้าไปถึงปลายทางเลยได้ 4.สามารถส่งไดใ้ นระยะทางไกล 2.ความยืดหยุ่นมนี อ้ ย เพราะเส้นทางทแี่ น่นอน 5.มีความหลากหลายของผใู้ หบ้ รกิ าร 3.กฏระเบียบการขนสง่ มาก 6.มีความเส่ยี งของการเกิดอุบตั ิเหตุน้อย 4.ไม่เหมาะกบั การขนส่งในปรมิ าณนอ้ ย การขนสง่ ทางราง 1.อตั ราค่าขนสง่ ถกู เมอื่ เปรียบเทยี บต่อหนว่ ย 2.มคี วามรวดเร็ว 3.สามารถคาดเดาระยะเวลาได้ 4.มคี วามปลอดภยั ในการขนส่งสูง 5.ไมม่ ขี ้อจากัดของสภาพอากาศ

24 ขอ้ ดี ขอ้ เสยี การขนสง่ ทางถนน 1.ค่าขนส่งสูงเมื่อเทยี บกับทางรถไฟ 2.มคี วามปลอดภัยตา่ 1.บริการถึงทโ่ี ดยไม่ต้องมกี ารขนถา่ ย 3.ขนสง่ ได้ในปรมิ าณทจี่ ากัด 2.ขนส่งไดต้ ลอดเวลา 4.จากดั รปู แบบของสนิ ค้าที่จดั สง่ 3.สะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องรอรอบการขนส่ง 4.เป็นตัวเชอื่ มของรูปแบบอนื่ ๆ 1.ค่าใช้จ่ายตอ่ หน่วยสงู การขนสง่ ทางอากาศ 2.จากดั เร่อื งของปริมาตรและน้าหนกั 3.ขนส่งได้เฉพาะเมืองทม่ี ีทา่ อากาศยาน 1.สะดวก รวดเร็ว 4.มีความเสี่ยงสูง 2.กระจายสนิ คา้ ไดห้ ลากหลาย 5.การลงทนุ สูง 3.ขนสง่ ไปยงั ประเทศท่ไี มม่ ที ะเลได้ 4.เหมาะกับสินค้าทเี่ สยี หายง่าย มอี ายุการใช้ 1.ข้อจากัดเร่ืองประเภทของสินคา้ ท่ีเปน็ งานสน้ั ของเหลว และก๊าซเท่านัน้ 5.เหมาะกบั การขนส่งสนิ ค้าระยะไกล 2.สามารถสง่ ไดแ้ ต่ขาไปเท่าน้นั 6.ขนส่งไดห้ ลายเทยี่ วต่อวัน 3.ข้อจากัดเรือ่ งความปลอดภัย การขนส่งทางท่อ 4.มีการตอ่ ตา้ นจากชุมชน และมขี ้อจากัดด้านส่งิ แวดลอ้ มอยมู่ าก 1.เหมาะกบั สินค้าประเภทของเหลวและกา๊ ซ 5.คา่ ใชจ้ ่ายในการลงทุนสูง 2.กาหนดจุดการขนสง่ ทัง้ ต้นทางและปลายทาง 6.ตรวจสอบข้อบกพร่องยาก แน่นอน 7.เคลอื่ นยา้ ยลาบาก 3.กาหนดระยะเวลาการขนส่งได้ 4.ประหยัดต้นทนุ การขนส่ง 5.สามารถขนสง่ ไดท้ กุ สภาพอากาศ 6.ขนสง่ ไดไ้ มจ่ ากดั ปรมิ าณและเวลา 7.ปลอดภยั จากการลกั ขโมยและสญู หาย 8.ประหยัดคา่ แรง เพราะใช้แรงงานคนน้อย 1.5.3 ต้นทุนในการขนสง่ กิจกรรมการขนส่งมีความสาคัญต่อธุรกิจในปัจจุบันมาก เพราะทุกกระบวนการ ต้งั แต่ต้นน้า กลางน้า และปลายน้า จาเป็นต้องมีการส่งต่อวัตถดุ ิบ สินค้าและบริการ ดงั นั้น การขนส่งจึงมีความสาคัญในการทาให้ซัพพลายเชนมีความสมดุล ดังนั้นทุกธุรกิจจึงไม่ สามารถหลีกเล่ียงต้นทุนของกจิ กรรมการขนส่งได้ หากพิจารณาถึงตน้ ทุนของการขนส่งจะ ประกอบด้วย

25 1. ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) เป็นต้นทุนหรือค่าใช้จา่ ยทีไ่ ม่มกี ารเปลี่ยนแปลงตาม ปรมิ าณการขนส่ง เชน่ คา่ เช่าสถานท่จี อดรถ เงนิ เดือนพนักงานขบั รถ เปน็ ต้น 2. ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) เป็นต้นทุนหรือ ค่าใช้จ่ายที่มีการเปล่ียนแปลง ตามปริมาณการให้บริการการขนสง่ เช่น คา่ น้ามันเชื้อเพลิง ค่าซ่อมแซม ค่าน้ามันหล่อลื่น เป็นตน้ 3. ต้นทุนรวม (Total Cost) เป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายท่ีรวมเอาต้นทุนคงที่และ ต้นทุนผนั แปรเขา้ ไวด้ ว้ ยกัน ถือเปน็ ต้นทุนการบริการขนสง่ ท้ังหมด ทัง้ นรี้ วมถงึ ต้นทนุ เท่ียว กลับ (Backhauling Cost) ด้วย ในการลดต้นทุนการขนส่งไม่เพียงแต่เป็นการบริหารหรือตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนท่ี ไม่เกี่ยวข้องออกไปเท่านั้น แต่ยังมีวิธีอื่นท่ีสามารถลดต้นทุนการขนส่งได้ เช่น การใช้ พลังงานทางเลือกจากน้ามันเป็นพลังงานทางเลือกอ่ืนๆ การปรับกลยุทธ์ในการขนส่งหรือ การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) ท่เี ป็นการผนวกรปู แบบการ ขนส่งมากกวา่ 2 รูปแบบข้นึ ไปมารวมกัน หรืออาจเลือกใช้กลยุทธ์ศูนย์กระจายสินคา้ ท่ีเป็น การรวมศูนย์ท่ีจุดยุทธศาตร์ตา่ งๆ ที่สะดวกในการกระจายสินคา้ ธุรกิจยังสามารถนาระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อทาให้การขนส่งมีประสิทธิภาพ คือ ระบบ บริหารจัดการการขนส่งสินค้า (TMS: Transportation.Management.System) ซ่ึงเป็น เคร่อื งมอื ในการวางแผนการขนส่ง เพอ่ื ให้บรรลุเป้าหมายของธรุ กจิ การขนส่ง ซ่ึงก็คือ ความ รวดเร็วและต้นทุนที่ประหยัดที่สดุ องค์ประกอบของระบบ TMS คือ การบริหารการจัดการ ด้านขนส่ง (Transportation.Manager) ซ่ึงมีหนา้ ท่ีในการวางแผนการดาเนินงานขนสง่ และ อีกองค์ประกอบหน่ึง คือ การเพ่ิมประสิทธิภาพในการขนส่ง (Transportation.Optimizer) เพื่อช่วยตัดสินใจในเรื่องการบรรทุกสินค้าและการจัดวางเส้นทางให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใตข้ อ้ จากัดตา่ งๆ 1.5.4 การจดั เส้นทาง และตารางเวลาในการขนส่ง การจัดเส้นทางในการเดินรถท่ีดีและมีประสิทธิภาพนั้น จะส่งผลให้สามารถลด ระยะทางในการขนสง่ ได้ และในบางครัง้ ยังสามารถลดจานวนยานพาหนะท่ีใช้ในการขนส่ง ได้อีกด้วย เม่ือระยะทางและจานวนยานพาหนะท่ีใช้ในการขนส่งลดลง ส่งผลให้มลพิษท่ี เกิดข้ึนจากการขนส่งลดลงและยังทาให้ต้นทุนในการขนส่งของบริษัทลดลงอีกด้วย ซ่ึง รปู แบบในการจัดเส้นทางการขนส่งสามารถแบ่งได้เป็น 13 รูปแบบ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1. การหาเส้นทางทีส่ น้ั ทีส่ ุด (Shortest Path) เปน็ การจดั เสน้ ทางการขนสง่ โดยให้ มกี ารขนส่งสินคา้ จากบรษิ ัทไปยงั ลูกค้าทุกๆ รายใหม้ ีระยะทางรวมในการขนส่งท่ีนอ้ ยท่ีสุด โดยหาเส้นทางท่มี รี ะยะทางสั้นสดุ ระหวา่ งจุดเริ่มต้นกบั จดุ หมาย

26 2. Traveling.Salesman.Problem: STP เป็นการจดั เส้นทางการขนส่งโดยให้มีการ ขนส่งสินค้าจากบริษัทไปยังลูกค้าทุกๆ รายให้มีระยะทางรวมในการขนส่งที่น้อยที่สุด โดยรวมระยะทางการเดนิ ทางของพาหนะทีใ่ ช้ในการขนส่งสนิ คา้ กลบั มายังบรษิ ทั ด้วย 3. Vehicle.Routing.Problem: VRP เป็นการจัดเสน้ ทางในการขนส่งสินคา้ โดยหา จานวนพาหนะท่ใี ช้ในการขนสง่ สนิ คา้ ใหเ้ หมาะสมกับปรมิ าณสินค้า พร้อมทง้ั หาเส้นทางใน การขนส่งสินค้าที่เหมาะสม ภายใต้ข้อกาหนดในเรือ่ งของคา่ ใช้จ่ายทนี่ อ้ ยท่สี ุด 4. Transportation.Problem เป็นการจัดเส้นทางในการขนส่งสนิ ค้าจากคลังสินค้า หลายแห่งไปยังลูกค้าหลายราย โดยปริมาณสินค้าในการขนส่งสินค้าต้องเท่ากับปริมาณ ความตอ้ งการของลกู ค้าทีส่ ่ังไวแ้ ละเสยี ค่าใช้จา่ ยในการขนส่งนอ้ ยที่สดุ 5. Minimum.Cost.Flow เป็นการจัดเส้นทางในการขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าไป ยังลูกค้าแตล่ ะราย ตามปริมาณและจานวนท่ีลูกค้าต้องการโดยให้มีมีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ตา่ ท่ีสุด 6. Minimum.Spanning.Tree เป็นการจดั เส้นทางการขนส่งสนิ ค้าโดยพิจารณาถึง ความเชื่อมโยงของเสน้ ทางที่ใช้ในการขนส่ง โดยระยะทางรวมในการขนสง่ นอ้ ยท่สี ุด ซึ่งวิธี นีถ้ ูกนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นงานวิจยั หลายๆ ดา้ น 7. การเลือกทาเลที่ต้ัง (Facility.Location) เป็นการหาตาแหน่งที่ตั้งท่ีเหมาะสม ของจดุ กระจายสนิ ค้า เพื่อใหก้ ารขนส่งสินคา้ จากบริษัทไปยงั ลูกค้ามีระยะทางและคา่ ใช้จ่าย ในการขนส่งนอ้ ยทีส่ ุด 8. การบรรจุส่ิงของลงกล่อง (Bin.Packing) เป็นวิธีการจัดจานวนพาหนะที่น้อย ทีส่ ดุ ทีใ่ ชใ้ นการขนสง่ สนิ คา้ ให้เพยี งพอกับปริมาณสินค้าทต่ี อ้ งสง่ ไปใหล้ กู ค้า 9. การจดั ตารางเครอ่ื งจักรโหลดบรรจุภณั ฑ์ (Parallel.Machine.Scheduling) เป็น การจัดเส้นทางในการขนส่งสินค้าโดยคานึงถึงลาดับขั้นตอนในการดาเนิน การโหลดสินค้า ไปยังพาหนะที่ใช้ในการขนส่งเพือ่ ให้พาหนะทเ่ี สรจ็ เปน็ ลาดบั สุดทา้ ยใช้เวลาน้อยท่ีสดุ 10. การจดั ตารางงานของพนักงาน (Crew.Scheduling) เปน็ วธิ ีการจดั ตารางทางาน ของพนักงานท่ีดาเนนิ งานเกย่ี วกบั การขนสง่ เช่น พนกั งานขบั รถ พนกั งานโหลดสนิ คา้ 11. การวางแผนขนสินค้าบนเครื่องบิน (Aircraft.Load.Planning) เป็นวิธีการจัด แผนการวางสัมภาระในทอ้ งเครอ่ื งบินใหส้ มดุล เพ่ือความปลอดภยั และประหยัดน้ามัน 12. การจัดแผนการเคล่ือนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ในท่าเรือ (Container.Handling.at Ports) การวางแผนการเคล่ือนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ไปมาระหว่างเรือกับท่าเรือ และท่าเรือ กับรถบรรทกุ 13. Heuristics เป็นวิธีการแก้ปัญหาท่ีใช้ในการค้นหาคาตอบที่ใกล้เคียงคาตอบท่ี เหมาะสมที่สุด ซ่ึงรูปแบบการแก้ปัญหาและการค้นหาคาตอบ จะเป็นวิธีการคิดอย่างมี เหตุผลซ่ึงอาศัยการกาหนดกฎเกณฑ์บางประการข้ึนมา เพอ่ื หาคาตอบที่ดแี ละเหมาะสมใน

27 ระดับหน่ึง ถึงแม้อาจไม่ใช่คาตอบที่ดีที่สุดแต่จะได้คาตอบท่ีรวดเร็ว โดยคาตอบท่ีได้น้ัน จะต้องเป็นคาตอบที่ดีเพียงพอและยอมรับได้ และวิธีการแก้ปัญหาจะพัฒนาขึ้นตามระดับ ความยากง่ายของปญั หาซึ่งจะนาความคิด สามัญสานึกของมนุษย์ผนวกเขา้ กับแบบจาลอง ทางคณติ ศาสตร์เพือ่ ใช้ในการแก้ปัญหา โดยใชว้ ิธีการแบ่งพื้นท่อี อกเปน็ กลมุ่ (Cluster.First – Route.Second) แล้วทาการจัดเส้นทางเดินรถโดยใช้วิธีเลือกจุดท่ีใกล้ที่สุด (Nearest Neighbor.Approach) 1.5.5 การวัดผลการดาเนินงานการขนส่ง ในการปฏิบัติการขนส่งให้เกิดประสิทธิภาพน้ัน เราจะต้องอาศัยการวัดผลการ ดาเนินงาน เพ่ือให้เราสามารถทราบถึงสมรรถนะของการปฏิบัติการและใช้ในการปรบั ปรุง ประสิทธิภาพการปฏิบัติการอย่างต่อเน่ือง โดยดัชนีช้ีวัดผลการดาเนินงาน (KPI) จะแสดง สมรรถนะขององค์ประกอบต่างๆ ของการบริหารการขนส่งในแต่ละแง่มุม ได้แก่ การเงิน ประสิทธิภาพในการปฏิบัติการ สินค้า บริการ และความปลอดภัย ซ่ึงดัชนีช้ีวัดผลการ ดาเนินงานในการบรหิ ารการขนส่งอาจจะประกอบไปด้วย - ตน้ ทนุ ตอ่ ระยะทาง - ต้นทุนตอ่ หนว่ ยสนิ ค้า - ต้นทนุ ต่อพาหนะหนึ่งคนั - ต้นทนุ ต่อหนึง่ เท่ียวการเดินทาง - การใชป้ ระโยชนจ์ ากพาหนะ (Utilization) เช่น จานวนชว่ั โมงและระยะทางท่ี พาหนะถกู ใช้งานต่อปี - จานวนหนว่ ยสินค้าทส่ี ามารถขนส่งไดต้ ่อหนง่ึ เท่ยี วการเดินทาง - จานวนกโิ ลเมตรทมี่ ีสินค้าเทยี บกับจานวนกโิ ลเมตรที่วงิ่ เที่ยวเปล่า - จานวนเที่ยวการเดนิ ทางต่อพาหนะหน่ึงคนั ต่อเดือน - อตั ราการสน้ิ เปลืองเชอ้ื เพลงิ เชน่ กโิ ลเมตรต่อลิตร - ความเสยี หายจากการขนสง่ ตอ่ จานวนสินคา้ ที่ขนส่งทัง้ หมด - รอ้ ยละของจานวนเทยี่ วการเดนิ ทางที่ไม่ตรงตามเวลา - ค่าซอ่ มแซม และบารงุ รกั ษาตอ่ ระยะทาง - อตั ราการเกดิ อบุ ตั เิ หตุ เชน่ จานวนคร้งั ต่อ 100,000 กิโลเมตร ท้ังน้ีความเหมาะสมของการใช้ดัชนีชี้วัดตัวใดบ้างน้ัน ก็จะมีความแตกต่างกัน ออกไปตามแต่ละบริษทั ข้ึนอยู่กบั ลกั ษณะของธรุ กิจน้ันๆ

28 1.5.6 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการขนส่ง เทคโนโลยีเกี่ยวกับการขนส่งที่สาคัญท่ีนามาใช้ในการบริหารจัดการโลจิกติกส์ และซัพพลายเชน หรือท่เี รยี กวา่ ระบบบริหารจัดการงานขนสง่ ซงึ่ จะกลา่ วในท่นี ี้ ไดแ้ ก่ 1. ระบบบรหิ ารจัดการขนสง่ (TMS:.Transportation.Management.System) เป็น โปรแกรมท่ีใช้ในการบริหารธุรกิจขนส่ง โดยช่วยในการจัดการระบบงานและเก็บข้อมูล ตา่ งๆ ให้อยู่ในรูปแบบอเิ ล็กทรอนิกส์ อกี ทงั้ ครอบคลุมระบบงานต่างๆ ในธุรกิจขนส่งต้ังแต่ การรับสินค้าจากลูกค้า รายละเอียดของผู้ส่ง-ผู้รับสินค้า การคุมรถและพนักงานประจารถ การกระจายสนิ คา้ และการวางบลิ ประวัติของรถและระบบงานซ่อมบารุง รวมถึงฟงั ก์ชน่ั การ ออกรายงาน สาหรับระบบจัดการงานขนส่ง ในท้องตลาดยังเรียกแตกต่างกันไป องค์กรท่ี ใหบ้ รกิ ารด้านการตรวจสอบสถานะสนิ คา้ หรือรถขนส่งสินค้าโดยใช้ระบบ GPS เรียกบรกิ าร ของตนเองว่า Fleet.Management.System ในขณะที่องค์กรที่สนใจเร่ืองการจับคู่ความ ตอ้ งการขนสง่ สนิ คา้ กับรถว่งิ เที่ยวเปลา่ ในเสน้ ทางทส่ี อดคล้องกัน เพ่อื หาโอกาสในการใช้รถ วิ่งรถเปล่า ซ่ึงคิดค่าขนส่งที่ต่ากว่ามาก เรียกบริการของตนเองซึ่งเป็นบริการ Web Service น้ีว่า Transport.Management.System หรือ Fleet.Management.System ส่วนซอฟต์แวร์ พ้ืนฐาน ที่ผู้ประกอบการขนส่งหรือผู้ให้บริการขนส่งจะใช้เป็นเคร่ืองมือในการบรหิ ารจัดส่ง โดยเฉพาะ หน้าท่ีหลักสาคัญคือ การจัดสรรรถบรรทุก หรือ Fleet Optimization และการจัด เส้ น ท า ง เดิ น ร ถ ..ห รื อ ..Route..Optimization..ซึ่ ง มี ชื่ อ เรี ย ก โ ด ย ร ว ม ว่ า ..TMS..(Transport Management System) 2. ระบบบริหารจดั การกองรถขนส่ง (Fleet.Management.System) ระบบนีค้ งเปน็ ระบบเดียวท่ีมักจะดาเนินการโดยหน่วยงานภายในขององค์กรเอง วัตถุประสงค์หลักของ การติดตง้ั ระบบนี้กเ็ พ่อื ใชใ้ นการบริหารจัดการรถบรรทกุ ท่มี ีจานวนมากเกินกว่าทจ่ี ะบริหาร จัดการด้วยคนโดยไม่มีเทคโนโลยเี ข้ามาช่วย โดยเฉพาะในเรือ่ งตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.1) การจัดทาตารางการบารุงรักษา (Maintenance Scheduling) โดยเฉพาะ รถบรรทุกซึ่งมักมีกลไกท่ีต้องมีการกาหนดการบารุงรักษาเป็นระยะๆ เป็นการดูแลรักษา แบบป้องกัน เพื่อให้มั่นใจในสภาพท่ีพร้อมต่อการใช้งาน เช่น ระบบไฮดรอลิก และระบบ ความเย็น เป็นต้น นอกเหนอื จากระบบเคร่อื งยนตซ์ ง่ึ ตอ้ งดูแลเปน็ ปกตอิ ยู่แลว้ 2.2) การควบคุมปริมาณอะไหล่รถบรรทุกเพ่ือการซ่อมบารุง (Vehicle.Parts Control,.Stock.Re-ordering.and.Inventory.Control) หากมีปรมิ าณรถเป็นจานวนมากและ มีศนู ยซ์ ่อมบารุงเปน็ ของตนเอง จาเปน็ ต้องมฟี งั ก์ชันทีช่ ่วยใหก้ ารควบคุมปริมาณอะไหลค่ ง คลัง และปริมาณการสั่งซื้อสินค้าให้เป็นไปอย่างเหมาะสม พอดี และสอดคล้องกับความ ตอ้ งการใชง้ าน

29 2.3) Fleet.Administration.เป็นฟังก์ช่ันในการบันทึกช่วยจาเก่ียวกับงาน ทะเบียนรถ การเสยี ภาษี การขึ้นแผ่นทะเบียนรถ รวมท้ังการบันทึกเก็บประวัติซ่ึงเป็นงาน ประจาทีห่ ลีกเหล่ียงไมไ่ ด้เชน่ กัน 2.4) การควบคุมดแู ลระหวา่ งการใชง้ าน (Operation Monitoring) การดูแลยาง รถบรรทุก การใช้น้ามันของรถและ เปน็ ค่าใช้จ่ายสาคัญซึ่งมีรายการประเภททรานแซกชั่น ค่อนขา้ งมาก การมีฟังก์ช่ันนี้ช่วยให้เกิดการควบคมุ ดแู ลทเ่ี ปน็ ระบบมากขึน้ 3. ระบบการวางแผนและเส้นทางการเดินรถ (Vehicle Routing & Planning) เป็น อีกระบบหนึ่งของการบริหารจัดการการขนส่งที่มีความสาคัญไม่น้อย ซึ่งมีผลต่อเน่ืองกับ การลดค่าใชจ้ ่ายของคา่ ขนสง่ กลา่ วคอื ช่วยให้การควบคมุ การวงิ่ ของรถและจานวนเทยี่ วรถ เป็นไปอย่างมีระบบ ลดจานวนเที่ยวรถที่ไม่จาเป็น และการจัดเส้นทางการเดินรถที่ ประหยัดและคมุ้ ค่าท่สี ดุ ซอฟต์แวร์ประเภทนีส้ ามารถช่วยงานใน 2 ดา้ นหลกั คือ 3.1) การวางแผนระดับกลยุทธ์ ซอฟต์แวร์ประเภทนี้ถูกนามาประยุกต์ใช้เพื่อ การวางแผนและออกแบบโครงการ การคานวณ จานวนรถบรรทุกท่ีจาเป็นสาหรับโครงการ นั้นๆ การวางแผนเสน้ ทางและกาหนดการเดนิ รถ และการวิเคราะห์ต้นทุนคา่ ขนสง่ 3.2) การวางแผนและอานวยความสะดวกด้านปฏิบตั ิการ ซอฟต์แวร์ประเภทน้ี ถกู นามาประยุกตใ์ ช้เพอ่ื ชว่ ยอานวยความสะดวกในระดบั ปฏบิ ตั ิการ 4. ระบบตรวจหาตาแหน่ง และควบคุมการเดินรถ (Vehicle.Based.System) ระบบนี้ครั้งหน่ึงเคยอาศัยสัญญาณดาวเทียมในการจับทิศทางของตาแหน่งรถในท้องถนน แตใ่ นปัจจบุ ันเทคโนโลยี GPRS เขา้ มามีบทบาทและมีเครอื ข่ายที่เกือบจะครอบคลุม อีกทั้ง งา่ ยต่อการนามาประยุกต์ใช้ได้อยา่ งกว้างขวาง ซึ่งนอกเหนือจากการควบคุมคนขับรถและ ตัวรถทว่ี ่ิงอยู่ในทอ้ งถนนแล้ว ยังสามารถนามาใชป้ ระโยชน์หลายๆ ด้าน เช่น - ควบคุมดแู ลการใช้น้ามนั รถ - การล็อกตู้คอนเทนเนอร์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพ่ือป้องกันการถูกเปิด ระหวา่ งทาง - ตรวจสอบความผิดปกตขิ องตวั รถและประสทิ ธภิ าพของรถไปในตวั - ควบคมุ พฤตกิ รรมคนขับรถ - ดแู ลการเดนิ รถให้อยใู่ นเสน้ ทางท่คี วรจะเปน็ และสภาพของทอ้ งถนน - สามารถรู้ความคบื หนา้ ของเส้นทางการเดนิ รถและตรวจสอบได้ - สามารถควบคมุ อุณหภูมิ หากมีการตดิ ตงั้ กลอ่ งวดั อณุ หภมู ิในหอ้ งบรรทุก - การดักฟงั การสนทนามีส่งิ บอกเหตผุ ดิ ปกติ 5. GPS Tracking System : GPS (Global Positioning System) คือ ระบบที่บอก พิกดั ผ่านทางดาวเทียม ซึ่งโคจรสูงจากพนื้ โลกประมาณ 20,000 กโิ ลเมตร โดยจะทาหน้าที่ ส่งสัญญาณให้กับอุปกรณ์ลูกข่ายเพ่ือคานวณ ตรวจสอบ และถอดรหัสสัญญาณที่ได้จาก

30 ดาวเทยี ม เพ่อื ให้ไดพ้ ิกัดตาแหน่งและข้อมลู การเคล่ือนทข่ี องยานพาหนะทถี่ กู ต้องตลอด 24 ชว่ั โมง ดงั นัน้ การนาระบบ GPS Tracking System มาใช้เพ่ือช่วยสนับสนุนงานบริหารการ ใช้ยานพาหนะได้เต็มประสิทธิภาพสามารถนาข้อมูลที่ไดร้ ับมาใชใ้ นการวเิ คราะห์ต้นทนุ การ ใช้ยานพาหนะตามจริงได้ จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ยานพาหนะที่ไม่จาเป็น หรือผิด วตั ถปุ ระสงค์ รวมท้งั ลดการสูญเสยี และติดตามแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุหรือปัญหาอนื่ ๆ ที่อาจ เกิดขน้ึ ระหว่างการขนส่ง หรือใช้ยานพาหนะได้อย่างทันท่วงที อาจกลา่ วได้ว่า ระบบน้ีช่วย ให้ทราบ “ทุกพฤติกรรมของรถทุกคัน” เสมือนหนึ่งได้น่ังข้างๆ คนขับรถทุกคัน ฉะน้ันการ ทางานของ GPS จงึ สามารถตอบสนองความตอ้ งการของลกู ค้าได้อย่างมากมาย เช่น - ตรวจสอบตาแหนง่ ปจั จุบนั ของรถ และแสดงพฤตกิ รรมของการใช้งานรถ - ตรวจสอบสถานะปัจจุบันของรถ เช่น จอดรถ ติดเคร่ือง-ดับเครื่อง หรือขับ เร็วเกินกาหนด - แสดงเส้นทางการเดินรถย้อนหลังในแต่ละวัน และแสดงเวลาเมื่อรถผ่าน สถานที่ตา่ งๆ - แสดงเวลาและสถานที่ท่ีมกี ารเร่มิ ใช้งานรถ ขับรถเร็ว จอดรถดับเคร่ือง จอด รถติดเคร่ืองทิ้งไว้ การเขา้ สถานี และการเข้าไปในพน้ื ที่หวงห้าม - สามารถกาหนดตาแหน่งสถานที่สาคัญในแผนที่ และบันทึกเวลาการถึงที่ หมายในแตล่ ะวนั ได้ - สามารถบรหิ ารเวลาการทางานของรถ ทาให้ใช้งานรถไดเ้ ต็มประสิทธิภาพ ประโยชน์ของ GPS Tracking System มีดงั ต่อไปนี้ - ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายจากการเดินรถ โดยการประหยัดค่าน้ามัน และลด ค่าใช้จ่ายจากการซ่อมบารุง อันเนื่องมาจากการออกนอกเส้นทาง การติดเครื่องยนต์ท้ิงไว้ การขบั รถเรว็ ซึ่งอาจทาให้เกดิ อบุ ัตเิ หตุ รวมถึงสามารถตรวจสอบในเรอื่ งของการลักลอบดูด นา้ มันไปขายของพนกั งานขบั รถ - ป้องกันการนารถไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ลดพฤติกรรมการใช้งานรถที่ไม่ เหมาะสม เช่น การหยดุ พกั ทน่ี านเกนิ ควร หรือการจอดรถโดยติดเครื่องเปน็ ระยะเวลานาน - เพิ่มความปลอดภัยในทรัพย์สิน และช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้ ความเรว็ ท่ไี มเ่ หมาะสม - บริหารเวลาการทางานของรถไดด้ ีย่ิงขึ้น ทาให้ใช้งานรถไดเ้ ต็มประสิทธิภาพ และเพม่ิ ประสิทธิภาพในการจดั การเดนิ รถใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สุด - สามารถตรวจสอบคุณภาพการจัดส่งได้ตลอดเวลา (โดยอาศัยอุปกรณ์วัด อุณหภมู ใิ นรถยนต์) สินคา้ ทล่ี ูกคา้ ได้รบั จงึ มคี ุณภาพสงู

31 - สามารถตรวจสอบพฤติกรรมของคนขบั รถแตล่ ะคน (จากหมายเลขประจาตวั คนขบั ) จึงสะดวกในการควบคมุ ดแู ลและขอความรว่ มมอื จากพนักงานขบั รถ - เพมิ่ คุณภาพในการบรกิ ารลกู ค้า และการแขง่ ขันทางธุรกจิ อุปกรณ์ฮารด์แวร์ท่ีจาเป็นซ่ึงเราเรียกกันว่า “กล่องดา” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กท่ีทางานร่วมกับดาวเทียมบอกพิกัด GPS ซึ่งมีความสาคัญโดย สามารถรายงานข้อมูลการใชง้ านรถ เช่น ตาแหน่งของรถในเวลาต่างๆ ทง้ั เสน้ ทางการเดิน รถ เวลาที่มีการเริ่มใช้งานและ/หรือหยุดใช้งาน ความเร็วในการใช้งานรถ และการจอดรถ ติดเคร่ือง โดยข้อมูลการใช้งานต่างๆ จะเก็บไว้ในหน่วยความจาของกล่องดาซึ่งสามารถ ถ่ายทอดขอ้ มูลเขา้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์เพ่ือนามาประมวลผลโดยโปรแกรมใช้งานภาษาไทย เพ่ือให้ผู้ควบคุมสามารถตรวจสอบพฤติกรรมการใช้งานรถ และหาวิธีปรับปรุงเพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานรถโดยสามารถติดตั้งอุปกรณ์เพ่ิมเติมเพื่อควบคุมถึงส่วน ต่างๆ ในรถได้ เช่น - อุปกรณ์วัดระดับน้ามันในถังเชื้อเพลิง (Fuel Level Device) เพ่ือวัดระดับ น้ามนั ในถังน้ามนั - อุปกรณ์วัดระดับอุณหภูมิภายในรถบรรทุก (Temperature) เพื่อวัดระดับ อณุ หภมู ใิ นรถห้องเยน็ - อปุ กรณ์ระบุหมายเลขประจาตวั พนกั งานขบั รถ (Driven ID) - อปุ กรณ์วิเคราะหอ์ ุบตั ิเหตุ (Expedient Analyzer) ประโยชน์ท่ีได้จากอุปกรณก์ ล่องดา ไดแ้ ก่ - การแสดงข้อมูลท้ังแบบเรยี ลไทม์ และแบบยอ้ นหลัง สามารถแจง้ เตือน ไปท่ี สานักงานเม่ือเร่ิมใช้งานรถ ความเร็ว การจอดรถดับเคร่ือง-ติดเคร่ืองท้ิงไว้ การเข้าสถานี หลัก หรอื สถานีย่อย หรอื เข้าพ้ืนทหี่ วงหา้ ม รวมไปถึงสรปุ พฤตกิ รรมการใชร้ ถไดอ้ กี ดว้ ย - ความสามารถกาหนดตาแหน่งสถานที่สาคญั ในแผนที่ และบนั ทึกเวลาการถึง ท่ีหมายในแต่ละวันได้ ด้วยข้อมูลแผนที่ประเทศไทยในระบบ Digital Vector ที่มีความ ละเอียดสูงถงึ 1:4000 และ 1:20000 รปู แบบรายงานสรปุ เพือ่ การวิเคราะห์ ไดแ้ ก่ - รายงานสรุปการใช้รถท่ีละเอียด เช่น รายงานการใช้รถประจาวัน รายงาน การขับรถเร็วเกินกาหนด รายงานการจอดรถติดเคร่ืองทิ้งไว้ ฯลฯ โดยนาเสนอในรูปแบบ ของตาราง และสามารถทาการส่งข้อมูลออกจากระบบ (Export File) โดยแปลงให้อยู่ใน รูปแบบ Excel เพื่อปรับแตง่ เพ่ิม ลดหัวข้อ ตามความตอ้ งการได้ - รายงานสรุปในรูปแบบของกราฟเส้น กราฟแท่งสี และกราฟวงกลมแสดง พฤติกรรมต่างๆ ทาให้สะดวกและง่ายในการพิจารณาพฤติกรรมที่อยู่ในความสนใจ นอกจากนย้ี ังช่วยประหยัดเวลาสาหรบั ผู้บรหิ ารในการตรวจสอบรถจานวนมากๆ

32 - สามารถทาการพักข้อมูลด้วยระบบความจุสารอง ในกรณีออกนอกพ้ืนที่ เครือขา่ ยสัญญาณส่อื สาร - สามารถออกแบบและพัฒนาชุดอุปกรณ์เสริมได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพอ่ื เพ่มิ ประสิทธภิ าพการใชย้ านพาหนะให้ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ขององคก์ ร 1.5.7 การตดั สนิ ใจขนสง่ ดว้ ยตนเองหรอื จัดจ้างบริษทั ขนส่งภายนอก การขนส่งสินค้าเป็นกิจกรรมโลจิสติกส์ท่ีเป็นท่ีรู้จักและมีบทบาทมาก ถงึ กับมีการ เข้าใจผิดว่า การจัดการโลจิสติกส์ก็คือการจัดการระบบขนส่ง ซึ่งความเป็นจริงแล้วการ ขนส่งเป็นเพียงกิจกรรมหน่ึงของโลจิสติกส์เท่าน้ัน ภารกิจสาคัญของกิจกรรมการขนส่งจะ เกี่ยวข้องกับการเคล่ือนย้ายวัตถุดิบ สินค้า พัสดุ ส่ิงของและปัจจัยท่ีเก่ียวข้องกับการผลิต เพื่อให้มีการรับ-ส่งมอบสินค้าและบริการให้แต่ละหน่วยงานในซัพพลายเชนท้ังภายในและ ภายนอกองค์กร ในท่นี ้ีขอกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของการขนส่งภายนอกองค์กรเท่านั้น ซึ่ง จากความสาคัญดังกล่าวจาเป็นอย่างย่ิงท่ีองค์กรต้องให้ความสาคัญกับระบบการจัดการ ขนสง่ เพ่ือพฒั นาสคู่ วามเปน็ เลิศจนก่อให้เกิดมลู ค่าเพม่ิ ให้แกอ่ งคก์ ร ท้ังนก้ี ารบริหารจัดการ การขนส่งส่ิงที่สาคัญคือการเข้าใจธุรกิจท่ีองค์กรดาเนินการอยู่และการพิจารณาต้นทุนใน การขนส่ง สาหรับการพิจารณาเพ่ือตัดสินใจเลือกลักษณะการขนส่งสามารถแบ่งออกเป็น สองกรณี คือ การขนส่งด้วยตัวเอง หรือการว่าจ้างผู้ให้บริการขนส่ง การที่องค์กรจะเลือก กรณีใดนั้นจะต้องทาการวิเคราะห์ข้อมูลตามลาดับความสาคัญจากมากไปน้อย ในหัวข้อ เป้าหมายหลักขององค์กร วเิ คราะห์กจิ กรรมและต้นทนุ การขนสง่ โดยละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี - เปา้ หมายหลกั ขององคก์ รโดยพิจารณากจิ กรรมหลักขององค์กร รวมถงึ ความ ได้เปรียบในการแข่งขันท่ีสาคัญที่สุดขององค์กร เพื่อดาเนินการไปสู่เป้าหมาย และมุ่งเน้น กาลังความสามารถต่างๆ ภายในองค์กรเมื่อเราทราบว่างานหลักขององค์กรคืออะไร เรา ต้องพยายามปฏบิ ัติและพัฒนาสิ่งที่องค์กรมีความชานาญใหม้ ีคุณภาพมากยิ่งขึน้ จึงสมควร ที่จะดาเนินการด้วยตัวเอง ดังนั้นกิจกรรมโลจิสติกสท์ ่ีไมไ่ ด้เป็นสว่ นของงานหลักกส็ ามารถ เลือกปฏิบัติด้วยตัวเองและว่าจ้างผู้ให้บริการก็ได้ เช่น บริษัท โตโยต้า ประเทศไทย จากัด เป็นบริษัทผลิตรถยนต์ กิจกรรมหลักจะเน้นเร่ืองการผลิต ดังนั้นกิจกรรมขนส่งสินค้าก็ สามารถวา่ จ้างผ้ใู หบ้ ริการขนสง่ ได้ - วิเคราะห์กิจกรรม โดยทาการวิเคราะห์กิจกรรมที่ต้องการว่าจ้างผู้ให้บริการ เชน่ กจิ กรรมการขนส่งท่ีบริษทั ทาอยู่ เราต้องการปฏิบัติเองจริงๆ หรือไม่ มีลกั ษณะเฉพาะ หรือซับซ้อนยุ่งยากหรือไม่ การพิจารณาทรัพยากรท่ีบริษัทมีอยู่เพียงพอที่จะสามารถ ดาเนินกิจกรรมขนส่งเองอย่างมีประสทิ ธิภาพสูงสุดหรอื ไม่ และท่ีสาคญั เรามีความรู้ภายใน องค์กรรวมถึงการบริหารจัดการการขนส่งได้ดีกว่าการว่าจ้างผู้ให้บริการขนส่งภายนอก หรอื ไม่

33 - ต้นทุนการขนส่ง ซ่ึงเป็นอีกส่ิงหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะดาเนินการ ขนส่งด้วยตัวเองหรือว่าจ้างผู้ให้บริการขนส่ง กอ่ นอื่นเราต้องทราบต้นทุนการขนส่งภายใน ขององค์กรของเราก่อนแล้วจากน้ันจึงนาไปเปรยี บเทียบกับต้นทุนท่ีเกิดจากการว่าจ้างผใู้ ห้ บริการซึง่ มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี ต้นทุนการขนส่งด้วยตัวเอง จะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ ต้นทุนคงท่ี และต้นทนุ ผันแปร 1. ต้นทุนคงท่ี ต้นทุนการบริหารจัดการและต้นทุนค่าดาเนินการต่างๆ ท่ีไมไ่ ด้ แปรผนั ตามปรมิ าณงานท่ที า ดังน้ี ตน้ ทุนคงท่ี หนว่ ย คา่ บรหิ ารจดั การ เชน่ ระบบซอฟต์แวร์ บาท / เดือน คา่ จ้างพนักงานขับรถรายเดอื น บาท / เดือน ค่าจา้ งผูบ้ รหิ ารในสว่ นการจัดการการขนส่ง บาท / เดอื น ค่าเส่อื มราคาของรถ บาท / คัน / เดือน ค่าเสือ่ มราคาของอปุ กรณ์ บาท / คัน / เดือน คา่ บารงุ รกั ษาตามสภาพ บาท / คัน / เดือน คา่ ประกนั รถ บาท / คนั / เดอื น ค่าสงิ่ อานวยความสะดวกและทจ่ี อดรถ บาท / คนั / เดอื น คา่ ทะเบยี นและใบอนญุ าต บาท / คนั / เดอื น ค่าเสยี โอกาสในการลงทนุ จากเงนิ ซือ้ รถ บาท / คัน / เดือน 2. ต้นทนุ ผนั แปร ต้นทนุ ทีเ่ กิดขน้ึ ตามปรมิ าณงาน ดงั นี้ ตน้ ทุนแปรผนั หนว่ ย ค่าน้ามันเชอ้ื เพลิง บาท / กโิ ลเมตร ค่าบารุงรักษาตามระยะทาง บาท / กโิ ลเมตร ค่ายางรถยนต์ บาท / กิโลเมตร คา่ แรงพนกั งาน บาท / กิโลเมตร ค่าทางพเิ ศษ คา่ เบ้ียเล้ียงพนักงานขบั รถ บาท / เทย่ี ว ค่าโสห้ยุ ระหว่างเดินทาง บาท / เทย่ี ว คา่ สินค้าเสียหายจากการขนส่ง บาท / เทย่ี ว บาท / เท่ียว

34 ตน้ ทุนการว่าจ้างผู้ให้บริการขนส่ง เน่อื งจากโครงการว่าจ้างผู้ให้บรกิ ารขนส่งต้อง อาศัยการดาเนินการเพื่อให้การว่าจ้างประสบความสาเร็จ ดังน้ันนอกเหนือจากต้นทุนใน การจา้ งบรกิ ารขนส่งแล้วยังต้องรวมต้นทุนการดาเนินการโครงการการจัดจ้าง ซงึ่ เรม่ิ ตั้งแต่ การวางแผนไปจนถึงการโอนถ่ายงานให้แก่ผใู้ ห้บรกิ ารขนส่งและต้นทุนในการควบคุมดูแล กิจกรรมท่ีว่าจา้ งผใู้ ห้บริการขนส่งดว้ ย แนวการพิจารณาจุดคุ้มทุนของการขนส่งด้วยตัวเองและการว่าจ้างผู้ให้บริการ ขนสง่ ในทน่ี จี้ ะกล่าวถึงเหตผุ ลท่อี งคก์ รควรตดั สนิ ใจใชผ้ ใู้ หบ้ ริการขนส่งและความเส่ยี งท่ี เกิดจากการว่าจ้างผู้ให้บริการขนส่ง เพ่ิมเติมเพื่อเป็นแนวทางในการช่วยพิจารณาเพื่อ ตัดสินใจ ดงั น้ี 1..ควบคุมบริหารจดั การต้นทุนได้งา่ ย เนื่องจากผู้ว่าจา้ งสามารถรู้ต้นทุนที่ชัดเจน ว่าต้องใช้งบประมาณเท่าไร นอกจากน้ียังไม่มีต้นทุนแฝงที่เกิดข้ึนจากการทากิจกรรม เนื่องจากผู้ให้บริการขนสง่ จะเปน็ ผู้ดาเนินการใหท้ ้ังหมด โดยเฉพาะงานด้านไอทีเป็นงานท่ี ต้องอาศยั ผทู้ ี่มคี วามเชี่ยวชาญเฉพาะเพอื่ มาวางระบบและพัฒนาระบบให้ 2..การพยากรณ์ความต้องการของตลาดล่วงหน้า (Market.Demand.Forecasting) เน่ืองจากผู้ให้บริการขนส่งมีลูกค้าหลากหลายทาให้ทราบความเคลื่อนไหวของตลาดได้ ดีกว่า ส่งผลให้สามารถนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ในการคาดคะเนความต้องการได้แม่นยา มากกวา่ 3..การประหยัดจากขอบข่ายงาน (Economies.of.Scope) ซึ่งเกิดจากการให้ บริการท่ีมีขอบเขตกวา้ งเป็นการผนึกกาลงั ทางธุรกิจก่อให้เกิดมลู ค่าเพ่ิมในการสร้างคุณค่า ให้กับทุกองค์กรท่ีอยู่ในซัพพลายเชนเดียวกัน ทาให้เกิดการบริหารจัดการแบบเครือข่าย ร่วมกันส่งผลให้เพ่ิมประสิทธิภาพต่อการส่งมอบสินค้าโดยไม่มีข้อจากัดเชิงพ้ืนท่ีเป็นการ สนองตอบความต้องการของลูกค้า

35 4..การกระจายต้นทุน (Cost.Sharing) เป็นการลดต้นทุนรวมขององค์กรเพราะมี การใช้อรรถประโยชน์ได้เต็มประสทิ ธิภาพเนอื่ งจากมกี ารใช้งานร่วมกับผ้ใู ช้บริการรายอืน่ 5..การเพ่ิมประสิทธิภาพของการขนสง่ (Transport.Efficiency) เน่ืองจากมีเครือข่าย ซพั พลายเชนของผู้ใหบ้ ริการขนสง่ ส่งผลใหส้ ามารถจัดการขนส่งเทย่ี วเปล่าไดด้ กี ว่า 6..สภาพคล่องทางการเงิน (Working.Capital.Flow) องค์กรสามารถลดเงินลงทุน ส่งผลทาใหม้ ีเงินสดในมอื ทสี่ ามารถนาไปใช้ในกจิ กรรมทจี่ าเป็นมากกวา่ 7..ผู้เชี่ยวชาญ (Specialist.Value) เมื่อองค์กรได้รับการบริการจากผู้เช่ียวชาญ เฉพาะด้านโดยตรงซ่ึงมักจะมีการบริการและทางานได้ดีกว่า เพราะผู้ให้บริการจะต้อง พฒั นาตัวเองอยเู่ สมอเพอื่ แขง่ ขนั กับผใู้ ห้บริการรายอน่ื ทาใหง้ านออกมามีประสิทธภิ าพและ สรา้ งความพึงพอใจสงู สุดใหแ้ ก่ลูกค้าขององค์กร 8..การให้บริการมีความยืดหยุ่น (Services.Flexibility) ผู้ให้บริการภายนอกมี ความสามารถในการปรับเปลี่ยนการให้บริการตามความต้องการได้ดีกว่าเนื่องจากมีความ ชานาญ ซ่ึงหากองคก์ รทาเองต้องใช้เวลามากกว่าในการปรบั ปรงุ งาน 9..ประโยชน์เชิงเวลา (Time.Interest) การว่าจ้างผู้ให้บริการทาให้องค์กรสามารถ ให้เวลาบริหารจัดการงานท่ีสาคัญมากกว่า นอกจากนั้นยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายใน ระยะยาวให้องคก์ รอีกดว้ ย 10..ผนึกกาลังทางธุรกจิ (Business.Synergies)เกิดความร่วมมอื ใน ซัพพลายเชน เดียวกนั ซึ่งเปน็ การดาเนนิ ธุรกจิ แบบบูรณาการส่งผลใหค้ แู่ ขง่ ไม่มชี อ่ งว่างทจ่ี ะเขา้ มาแข่งขัน กบั องคก์ รเราได้ 11..การสนองตอบต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า (Multiple.Needs Responsiveness) ผู้ให้บริการภายนอกสามารถตอบสนองต่อการบริการในรูปแบบต่างๆ ของผู้ว่าจ้างและลูกค้าได้มากกว่า เช่น การกระจายสินค้าแบบอัตโนมัติและการส่งมอบ สนิ คา้ แบบทันเวลา (JIT) ในกระบวนการผลติ แบบลีน 1.5.8 ความเส่ียงท่เี กดิ จากการวา่ จ้างผู้ให้บรกิ ารขนส่ง 1..ความเสี่ยงจากการจดั จ้าง ความเส่ียงท่เี ก่ยี วข้องกบั การบริการลูกค้าต้องมีการ ควบคุมกระบวนการที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์ของบริษัทกับลูกค้าอย่าง ใกล้ชิด ซ่งึ ความสาเรจ็ หรือความลม้ เหลวอยู่ท่ีสง่ิ ทลี่ ูกคา้ สัมผสั ได้ 2..ความเส่ียงที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลความลับ ต้องแน่ใจว่าผู้ให้บริการดาเนินการ ด้านการรักษาความลับของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ท่ีเหมาะสม บริษัทต้องมีการกาหนด มาตรการ ควบคมุ และตรวจสอบอยา่ งสม่าเสมอ 3..คุณภาพในการจัดจ้าง บริษัทต้องรอบคอบและเฉพาะเจาะจงเพ่ือกาหนด ขอ้ ตกลงร่วมกนั กบั ผูใ้ ห้บรกิ ารถงึ คุณภาพการให้บริการตามทีบ่ รษิ ทั คาดหวงั

36 4..การสญู เสียการควบคุมในสิ่งทีเ่ คยควบคุมได้ไม่มากกน็ ้อย เช่น ถา้ เราเคยลงไป คลุกคลีส่ังงานกับพนักงานเอง แต่เม่ือว่าจ้างผู้ให้บริการแล้วก็ทาเหมือนเดิมไม่ได้ อาจเป็น ความเส่ียงต่อการสูญเสียความรู้ความสามารถด้านนั้นไป และอาจนากลับมาทาเองไม่ง่าย เหมอื นเดิม 5..การเจริญ เติบโต ผู้ให้บริการต้องมีความพร้อมท่ีจะสนองตอบต่อการ เจริญเติบโตรวมถึงความต้องการท่ีมากขึ้นของบริษัท ดังนั้นบริษัทต้องมีการประเมิน ความสามารถของผใู้ หบ้ ริการเพอ่ื รับมือกบั เรอื่ งดังกล่าว 6..กาหนดเวลา ผู้ให้บริการไม่สามารถรับมือกับกาหนดเวลา ไม่ทราบ หรือไม่ สนใจ น่ันหมายความว่าเรากาลังประสบปัญหาแล้ว ดังนั้นบริษัทต้องม่ันใจว่าผู้ให้บริการมี ความตระหนกั และเหน็ ความสาคญั เรง่ ดว่ นอย่างไร 7..การขยายขอบเขตของงานออกไปจากท่ีกาหนดไว้ เมื่อบริษัทตกลงกับผู้ให้ บรกิ ารแล้วแต่ขอบเขตที่ตกลงไว้ไม่ไม่ครอบคลุมการปฏิบัติการทุกกรณีบริษัทต้องมีกลไก ในการรองรบั การปรับขอบเขตงาน 8..ความเสี่ยงของการเข้ากันไม่ได้ขององค์กร บางครั้งอาจเกิดปัญหาความ แตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างองค์กรกับผู้ให้บริการขนส่ง ส่ิงสาคัญคือการพยายามทา ความเข้าใจและหาหนทางในการจดั การโดยไม่ให้เกิดความขดั แย้งซึ่งสง่ ผลต่อความสมั พนั ธ์ ระหว่างองค์กร 9..ความเส่ียงที่เกี่ยวกับเรื่องของคน การว่าจ้างผู้ให้บริการอาจส่งผลต่อขวัญ กาลังใจของพนักงานและบางคร้ังอาจเกิดการตอ่ ต้าน ดังนั้นก่อนการปรบั เปล่ียนต้องมีการ เตรียมการอย่างรอบคอบ โดยอาศยั การส่ือสารเพ่อื ใหเ้ กิดความเข้าใจทตี่ รงกัน สรุปแล้วในการพิจารณาว่าองค์กรควรจะดาเนินการขนส่งด้วยตัวเองหรือว่าจา้ งผู้ ให้บริการขนส่ง ต้องทาการวิเคราะห์เป้าหมายหลักขององค์กร ถ้าไม่ใช่กิจกรรมหลักของ องค์กรก็มาพิจารณาต่อว่ากิจกรรมขนส่งเป็นเร่ืองท่ีองค์การมีความรู้ความเช่ียวชาญ มากกว่าผู้ให้บริการหรือไม่ ถ้าไม่ก็ทาการวิเคราะห์ต้นทุนการขนส่งด้วยตัวเองเทียบกับ ต้นทุนการว่าจ้างผู้ให้บริการขนส่งตามลาดับ โดยนาข้อมูลเหตุผลท่ีองค์กรควรตัดสินใจใช้ ผู้ ให้ บ ริก ารข น ส่งแ ละค ว าม เส่ี ย งท่ี เกิ ด จ ากก ารว่ าจ้างผู้ ให้ บ ริก ารข น ส่ งม าช่ วย ใน ก าร วิเคราะห์เพื่อช่วยในการตัดสินใจ แต่มีหลายองค์กรมุ่งเน้นเรื่องต้นทุนการขนส่งในการ พจิ ารณาตัดสนิ ใจเลอื กวา่ จะการขนสง่ ดว้ ยตวั เองหรือการว่าจา้ งผใู้ ห้บริการขนส่งเพียงอยา่ ง เดียว ซ่ึงจากที่กล่าวมาจะเห็นว่าการพิจารณาเรื่องต้นทุนการขนส่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งใน การวิเคราะหเ์ ทา่ น้ัน ณัฏฐนันธ์ อรุณศรีโสภณ, สรวิชญ์ เยาว์ยืนยง และวัชรพจน์ ทรัพย์สงวนบุญ (2555) ได้ทาการศึกษาแบบจาลองสถานการณ์ของกระบวนการใหบ้ ริการนาเข้าชุดชนิ้ สว่ น รถยนต์ของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ว่าการให้บริการโลจิสติกส์ คือ การจัดสมดุลของจานวน

37 ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยอยู่ใน ระดับเดียวหรือสูงกว่าผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายอ่ืนๆ โดยเฉพาะในปัจจุบันท่ีมีการแข่งขัน กันสูงในเรื่องของความรวดเร็วและความถูกต้องตรงเวลา งานวิจัยนี้ได้เลือกทาการศึกษา เวลาของการดาเนินกิจกรรมในกระบวนการให้บริการนาเข้าชุดชิ้นส่วนรถยนต์ท่ีให้ ความสาคัญกับการขนส่งแบบทันเวลา และทาการศึกษากระบวนการให้บริการนาเข้า ชิ้นส่วนรถยนต์ของบริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่ท่ีมีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วโลกซ่ึง ทาการศึกษาเฉพาะกระบวนการท่ีเกิดข้ึนในประเทศไทยเท่านั้นและเป็นการพิจารณาใน เรื่องของเวลาในการดาเนินกิจกรรมเป็นสาคัญ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือทาการประยุกต์ แบบจาลองสถานการณ์ เพ่ือเป็นแนวทางในการศกึ ษาระยะเวลาของกระบวนการนาเข้าชุด ชิ้นส่วนรถยนตท์ ่มี คี วามแปรปรวนของปรมิ าณการนาเขา้ ทีส่ ูงมาก โดยจัดกลุม่ ประเภทวตั ถุ ทีเ่ ข้ามาเป็น 3 กลุ่ม คอื ขอ้ มลู เอกสารการรับสินค้าใบขนสินค้าขาเข้า ตู้คอนเทนเนอร์ และ ข้อมูลเอกสารใบขนสินค้าขาออก โดยทาการจาลองปริมาณการนาเข้าและการเบิกจ่าย สินค้าตามใบสั่งซ้ือของลูกค้า จากผลการจาลองสถานการณ์พบว่ากิจกรรมท่ีส่งผลกระทบ ต่อระยะเวลารวมเฉลี่ยของระบบซ่ึงเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทาใบขนสินค้าขาเข้า ได้แก่ กิจกรรมการทาใบขนสินค้าขาเข้า กิจกรรมการเตรียมข้อมูลสาหรับทาใบขนสินคา้ ขา เข้า และกจิ กรรมการรอคอยการยนื ยันรายละเอียดสนิ ค้าจากลูกคา้ 1.6 การจดั การคลังสินค้า (Warehouse Management) คลงั สนิ คา้ เป็นองค์ประกอบท่สี าคัญหนึ่งในซัพพลายเชน และผู้บริหารของทกุ องคก์ ร ใหค้ วามสาคัญเนือ่ งจากเปน็ สถานที่เกบ็ รกั ษาวตั ถดุ ิบ งานท่อี ยู่ในระหว่างกระบวนการผลิต (Work-in-Process) หรือสินค้าสาเร็จรูป ปัจจบุ ันประเทศไทยเปิดการค้าเสรีภายในภูมิภาค อาเชี่ยนผ่านประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ผู้ประกอบการไทยจึงจาเป็นที่จะต้อง พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้สูงข้ึน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคุณภาพของสินค้า กระบวนการผลิต รวมถึงนาหลักการจัดการซัพพลายเชนมาใช้ ดังน้ันคลังสินค้าซ่ึงเป็น องค์ประกอบหนึ่งของซัพพลายเชนจึงได้รับความสนใจ และเริ่มพัฒนาการทางานใน คลังสนิ คา้ ใหม้ ปี ระสิทธิภาพมากขึ้น คลังสินค้า (Warehouse) เป็นพ้ืนที่ที่ได้วางแผนไว้เพ่อื ใหเ้ กิดประสิทธภิ าพในการ ใช้สอย และการเคล่ือนย้ายสินค้าและวัตถุดิบ โดยคลังสินค้าจะทาหน้าที่ในการเก็บสินค้า ระหว่างการเคลื่อนย้าย เพื่อสนับสนุนการผลิต และการกระจายสินค้า ซึ่งสินค้าที่เก็บใน คลังสินค้า (Warehouse) จะมี 4 ประเภท ได้แก่ วัตถุดิบ (Raw Material) งานระหว่างทา (Work in Process) วัสดซุ ่อมบารุง (Maintenance/Repair/Operating Supplier) และสนิ ค้า สาเรจ็ รูป (Finished Good)

38 การจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management) เป็นการจัดระเบียบในการ เคลื่อนย้าย การวาง และการเก็บรกั ษาสนิ ค้าอย่างเปน็ ระบบมรี ะเบียบแบบแผนเพื่อป้องกัน และรักษาสินค้าให้อยู่ในสภาพที่ดี ด้วยต้นทุนการดาเนินงานที่ต่า การดาเนินงานใน ลกั ษณะน้ีจะเกิดจากการบริหารทรัพยากรท้ังหมดภายในคลังสินค้าใหม้ ีประสิทธิภาพสูงสุด ซ่ึงจะเก่ียวข้องกับโครงสร้างพ้ืนฐานของคลังสินค้า ระบบการตรวจติดตามสถานะ (Tracking System) และการสือ่ สารภายในคลงั สนิ คา้ 1.6.1 วัตถปุ ระสงคข์ องการจัดการคลงั สินคา้ 1..ลดระยะทางในการเคลื่อนยา้ ยสนิ คา้ ภายในคลังสินคา้ ให้มากที่สดุ 2..ใชป้ ระโยชน์จากพนื้ ทีแ่ ละปริมาตรการจัดเกบ็ ภายในคลังสนิ คา้ ใหม้ ากท่ีสุด 3..สร้างความม่ันใจว่าแรงงาน เครอื่ งมือ อุปกรณ์ สาธารณูปโภคตา่ งๆ มีเพียงพอ และสอดคล้องกับเป้าหมายขององคก์ ร 4..สร้างความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของผู้ที่เก่ียวของท้ังหมด เช่น พนักงาน จัดเกบ็ สินค้า พนักงานขนถา่ ย เป็นต้น 1.6.2 ความสาคญั ของคลังสินคา้ 1..ช่วยสนับสนุนการผลิต (Manufacturing Support) โดยคลังสินค้าจะทาหน้าท่ี ในการรวบรวมวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วน และส่วนประกอบต่างๆ จากผู้ส่งมอบสินค้าเพ่ือ ปอ้ นใหก้ ับโรงงานผลติ เปน็ สนิ ค้าสาเร็จรูปต่อไป 2..เป็นท่ีเก็บรวบรวมผลิตภัณฑ์ (Mix Product) ในกรณีท่ีมีการผลิตสินค้าแต่ละ ชนิดจากโรงงานซึ่งต้ังหลายแห่ง คลังสินค้ากลางจะทาหน้าท่ีรวบรวมสินค้าสาเร็จรูปจาก โรงงานต่างๆ เหล่าน้นั ไว้ในท่ีเดียวกัน เพื่อสง่ มอบใหล้ ูกค้าตามต้องการ ขึ้นอยูก่ ับลูกค้าแต่ ละรายวา่ ตอ้ งการสนิ คา้ จากโรงงานใดบา้ ง 3..เปน็ ท่ีรวบรวมสนิ คา้ สาหรบั การขนส่ง (Consolidation Goods) ในกรณที ีล่ ูกค้า ต้องการซ้ือสินค้าจานวนมากจากหลายแห่ง คลังสินค้าจะเป็นสถานที่รวบรวมสินค้าจาก หลายแหล่งเพ่ือจัดส่งในปริมาณมากแบบเต็มคันรถ (Full Truck Load: FTL) ซึ่งจะทาให้ ต้นทุนค่าขนส่งต่อหน่วยลดลง 4..ใช้ในการแบ่งแยกสินค้าให้มขี นาดเลก็ ลง (Break Bulk) ในกรณที ีก่ ารขนสง่ จาก ผูผ้ ลิตมีการบรรจุหีบห่อขนาดใหญ่ คลังสินค้าจะเป็นสถานที่ช่วยในการแบ่งแยกสินค้าให้มี ขนาดเลก็ ลงตามใบสั่งซ้ือจากลกู ค้าและจัดสง่ ให้กับลกู คา้ ตอ่ ไป 5..ช่วยประหยัดต้นทุนการผลิต การผลิตสินค้าเป็นจานวนมากจะช่วยให้ต้นทุน การผลิตต่อหน่วยของสินค้าลดต่าลง และการผลิตสินค้าจานวนมากดังกล่าวย่อมต้องใช้

39 วัตถุดิบในการผลิตจานวนมาก จึงจาเป็นต้องมีคลังสินค้าเพื่อเก็บวัตถุดิบและสินค้า สาเรจ็ รูปท่ผี ลิตเสร็จแล้ว ซงึ่ จะสง่ ผลใหเ้ กิดการประหยัดในต้นทนุ การผลติ ทัง้ หมดได้ 6..ช่วยประหยัดในการจัดซื้อ การสั่งซ้ือปริมาณวัตถุดิบเป็นจานวนมาก เพ่ือเก็บ ไว้ในคลังสินค้าจะทาให้ได้รับส่วนลดตามปริมาณ (Quantity Discount) เมื่อซื้อวัตถุดิบ จานวนมาก ทาให้ราคาซ้ือวัตถุดิบต่อหน่วยตา่ นอกจากน้ีการมีจานวนการซื้อน้อยคร้งั และ แต่ละครง้ั ซอื้ เป็นจานวนมากจะทาให้ประหยัดคา่ ขนส่งและคา่ ระวางสนิ คา้ ดว้ ย 7..ช่วยป้องกันการขาดแคลนสินค้า การมีวัตถุดิบหรือสินค้าสาเร็จรูปไว้ใน คลังสินค้าเป็นปรมิ าณมาก ย่อมป้องกันการขาดแคลนสินค้าเม่อื เกิดเหตุการณ์ฉกุ เฉนิ เช่น การนัดหยุดงานของคนงาน สนิ ค้าสูญหาย หรอื เสียหายระหวา่ งขนสง่ เปน็ ตน้ 8..ช่วยให้บริการลูกค้าได้สะดวกข้ึน การมีคลังสินค้าสามารถขนส่งสินค้าจาก คลังสินค้าที่ใกล้ลูกค้าที่สุด ไปบริการให้แก่ลูกค้าตามคาส่ังซื้อได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ เสียเวลา และทันต่อความต้องการ ทาให้มีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และยังเป็นการ สนบั สนุนการใหบ้ รกิ ารลกู คา้ มปี ระสทิ ธภิ าพมากยิ่งขึน้ 9..ชว่ ยใหก้ ิจการพร้อมทีจ่ ะเผชญิ กบั สถานการณ์การเปล่ียนแปลงของตลาด การมี คลังสินค้าช่วยให้เกบ็ รักษาวตั ถุดบิ หรือสินคา้ ที่มลี กั ษณะตามฤดกู าล ให้มีปรมิ าณเพียงพอ ต่อความตอ้ งการของตลาดหรือเพ่ือป้อนโรงงานท่ีผลิตตามฤดูกาล ซึ่งต้องอาศัยคลังสินค้า เก็บรักษาผลิตผลไว้ในช่วงที่ขาดแคลน นอกจากนี้บางคร้ังกิจการอาจพยากรณ์ความ ต้องการของลูกค้าผิดพลาด การเก็บรักษาสินค้าคงคลังไว้จะช่วยให้กิจการพร้อมที่จะ ตอบสนองความตอ้ งการของลูกคา้ ทเี่ กนิ จานวนคาดหมายได้ 1.6.3 ประเภทของคลงั สินคา้ คลังสินค้า โดยท่วั ไปจะทาหน้าท่ีจัดเก็บวตั ถุดบิ หรือ สินค้าสาเร็จรูป เป็นหลัก แต่ บางครั้งอาจจัดเก็บงานระหว่างการผลิต หรือชิ้นส่วนหรือสินค้าก่ึงสาเร็จรูปบ้าง ซึ่งในการ จัดเก็บสินค้าหรือวตั ถุดิบจาพวกน้ี จาเป็นต้องมีการจัดการท่ีมีประสิทธิภาพเพ่ือให้เกดิ การ ทางานท่ีมีประสิทธิภาพสูงสุด และไม่เกิดความเสียหายต่อสินค้าหรือวัตถุดิบที่เก็บอยู่ ภายในคลังสินค้า การแบ่งประเภทของคลังสินค้าสามารถทาได้โดยแบ่งตามลักษณะธุรกิจ ตามลกั ษณะงาน หรอื แบ่งตามลักษณะสินค้าทเ่ี ก็บรกั ษา ดังตอ่ ไปน้ี การแบง่ ประเภทของคลังสินคา้ ตามลักษณะธุรกจิ คลงั สนิ ค้าตามลักษณะธรุ กจิ มี 2 ประเภท คอื คลังสาธารณะ (Public Warehouse) และคลังส่วนตัว (Private Warehouse) ซ่งึ แต่ละประเภทมขี อ้ ดี ข้อเสีย ดงั ตอ่ ไปน้ี

40 1. คลงั สาธารณะ (Public Warehouse) คลังสาธารณะ.คือ.คลังท่ีเจ้าของธุรกิจเปิดข้ึนเพ่ือรับเก็บสินค้าเป็นหลัก.เป็น โกดังสินค้ามกี ารจัดเก็บค่าเช่าในการจัดเกบ็ สนิ คา้ เชน่ คลังห้องเยน็ ตา่ งๆ ที่รับจดั เกบ็ ปลา แช่แข็งท่มี าจากเมืองนอก โดยที่โรงงานแปรรปู ไม่ต้องการลงทุนสร้างคลงั หอ้ งเย็นเป็นของ ตัวเอง ก็จะจดั จ้างใหค้ ลงั ห้องเยน็ ช่วยจดั เก็บให้ โดยคิดคา่ จัดเกบ็ เป็นต้น ข้อดขี องคลังสาธารณะ - มีการใช้ประโยชนข์ องเงินทุนมากขึ้น เน่ืองจากคลงั ทส่ี รา้ งได้ใหบ้ ริการ แกล่ ูกคา้ หลายราย - มีการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้ดีกว่า เพราะมีการให้บริการแก่ลูกค้า หลายราย - เปน็ การลดความเส่ียงจากการวา่ งของคลงั สนิ ค้า - มีการใชป้ ระโยชน์เชิงเศรษฐศาสตร์ (Economies of Scale) มากกวา่ - มีความยืดหยนุ่ สงู - มีความรแู้ ละความเช่ียวชาญในเรื่องการจดั เก็บและเคลอื่ นยา้ ยมากกวา่ ขอ้ เสยี ของคลังสาธารณะ - อาจมีปัญหาเรอ่ื งการสอ่ื สารข้อมูล เพราะระบบการส่ือสารอาจมีความ แตกตา่ งกนั มาก - อาจไมม่ กี ารบรกิ ารพิเศษบางประเภท ซ่งึ เป็นความตอ้ งการเฉพาะด้าน ของตวั สินค้า - พ้นื ทีอ่ าจไม่เพยี งพอในบางช่วงของความตอ้ งการ 2. คลงั ส่วนตัว (Private Warehouse) คลังส่วนตัวคือคลังโดยทั่วไปของบริษัท ซ่ึงบรษิ ัทหลาย ๆ แห่งได้สร้างคลงั ใน พน้ื ทีข่ องตัวเอง เช่น คลังวัตถุดบิ คลงั สนิ ค้าสาเร็จรูป เป็นต้น และใช้ในการจัดเก็บวัตถุดิบ หรือสินคา้ สาเร็จรูปของบริษัทเทา่ น้นั ขอ้ ดีของคลังสว่ นตวั - มีการควบคมุ ท่ที าไดง้ า่ ย - มคี วามยดื หยุ่นสงู - มตี น้ ทุนต่ากว่าในระยะยาว - มีการใชแ้ รงงานที่มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ข้อเสียของคลงั ส่วนตวั - ขาดความยดื หยุ่น - ขอ้ จากัดทางด้านการเงนิ - ผลตอบแทนตอ่ การลงทนุ ตา่

41 การแบง่ ประเภทของคลังสินคา้ ตามลกั ษณะงาน 1. คลังสินคา้ สาหรบั เกบ็ รักษาสนิ คา้ คลังสินค้าชนิดนีม้ ีหนา้ ที่หลักในการเก็บรกั ษาสินค้าซึง่ อาจจะอยู่ในรปู วัตถุดิบ หรือสินค้าสาเร็จรูป เพ่ือทาหน้าที่ตอบสนองความต้องการของฝ่ายผลิต หรือร้านค้า ตามลาดับ ดงั นั้นการจดั การสินคา้ ประเภทน้ีจะเนน้ ท่ีการรักษาสภาพสินค้า และการป้องกัน การสูญหายของสินค้าเปน็ สาคัญ 2. ศนู ย์กระจายสนิ ค้า (Distribution Center, DC) ศูนย์กระจายสินค้า คือ คลังสินค้าที่ทาหน้าที่ท้ังในฐานะเป็นคลังสินค้า (Warehouse) และเป็นหน่วยเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต (Manufacturer) กับผู้ขายปลีก (Retailers) จะเป็นผู้ให้บริการทางด้านโลจิสติกส์ (Logistics Provider) ในด้านการจัดเก็บ สินค้าและการจัดการขนส่งสินค้าสาเรจ็ รูปให้กับลูกค้าได้อย่างทันเวลาและถูกต้องตรงตาม ความต้องการ DC ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ให้บริการภายนอก (Outsource) หรือ Third Party Logistics Service Providers (3PL) จะทาหน้าที่รับสินค้าจากผู้ผลิตแต่ละรายมาเก็บใน คลงั สินคา้ ของตน โดยดาเนินการบรหิ ารจดั การในการควบคุมปรมิ าณด้วยเทคโนโลยใี นการ กระจายและจัดส่งสินค้าแทนเจ้าของสินค้าห รือผู้ผลิตสินค้าโด ยรับผิดชอบงานขนส่งจน สินค้าไปสู่ผู้รบั ประโยชน์ที่เกิดข้ึนน้ี คือ การลดค่าใช้จา่ ยในการขนส่งของผูผ้ ลิตไปสู่ผู้ขาย ปลีกหรือลูกค้าแต่ละราย ผู้ผลิตสามารถขนส่งมาที่ DC เพียงแห่งเดียว โดย DC จะทาการ กระจายสินค้าสู่ผู้ขายปลีกตามความถี่ที่ผู้ขายปลีกต้องการ ทาให้ไม่จาเป็นต้องมีที่เก็บ สินค้าคงคลังจานวนมากท่ผี ู้ขายปลีกอีกต่อไป คา่ ใชจ้ ่ายส่วนวัสดคุ งคลังของรา้ นขายปลีกก็ ลดลง ทาให้ต้นทุนรวมลดลง และส่งผลให้มีความได้เปรียบในด้านการแขง่ ขันท้ังด้านราคา และความรวดเร็วในการบริการ ในปัจจุบันร้านขายปลีกหลายแห่งจึงสามารถรับประกัน ราคาต่าสดุ แก่ผู้บรโิ ภคได้ 3. ศนู ย์รวบรวมและกระจายสนิ ค้า (Cross Dock) ศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า หมายถึง คลังสินค้าท่ีใช้สาหรับการรับสินค้า และส่งสินค้าในเวลาเดียวกัน หรือเป็นคลังสินค้าซึ่งมีการออกแบบเป็นพิเศษเพ่ือใช้ในการ ขนถ่ายจากพาหนะหนึ่งไปสู่อีกพาหนะหน่ึงโดย Cross Dock ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสถานที่ ซ่ึงมีลักษณะเป็นศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า ทาหน้าท่ีในการบรรจุและคัดแยกสินค้า โดย Cross Dock จะทาหนา้ ทีเ่ ปน็ สถานีเปล่ียนถา่ ยสินค้าระหว่างรปู แบบการขนส่ง ซึ่งอาจ เป็นจากผู้ส่งมอบหลายราย แล้วนามาคัดแยกรวบรวมบรรทุกเพ่ือจัดส่งให้ลูกค้าแต่ละราย เพ่ือจะจัดส่งต่อให้ลูกค้าซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าปลีก หรือร้านสะดวกซื้อ ที่มีความ ตอ้ งการสินคา้ ยอ่ ยที่หลากหลาย

42 Cross Dock จะมีลักษณะคล้ายคลังสินค้าท่ีมี 2 ด้าน โดยด้านหน่ึงสาหรับ ใช้ในการรับสินค้า และอีกด้านหนึ่งใช้ในการจัดส่งสินค้า โดยสินค้าที่นาเข้ามาใน Cross Dock จะมีกระบวนการคัดแยก-บรรจุ และรวบรวมสินค้า เพื่อจัดส่งไปให้กับผู้รับ ซ่ึงโดย ปกติแล้วการนาสินค้าเข้ามาเก็บและจัดส่งมักจะดาเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 24 ช่ัวโมง ภารกจิ สาคัญของ Cross Dock จะเปน็ ตัวกลางในการรวบรวมสนิ คา้ ใหส้ ามารถจดั สง่ ไดเ้ ตม็ คันรถหรือใช้พ้ืนท่ีในคอนเทนเนอร์ให้ได้เต็มพิกัด โดยส่วนใหญ่แล้วศูนย์รวบรวมและ กระจายสินค้าจะกระจายอยู่ตามภาค หรอื จังหวัดซ่ึงเป็นศูนย์กลางของการขนส่ง จงึ มีส่วน ช่วยแก้ปัญหารถบรรทุกที่ไม่มีสินค้าในเท่ียวกลับ ซ่ึงเป็นปัญหาสาคัญของการขนส่งทาง ถนนในประเทศไทย ทัง้ นี้ Cross Dock อาจจะทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ICD (Inland Container Depot) โดยสามารถเชื่อมโยงการขนส่งในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางรถไฟ ทาง รถบรรทุก หรือแม้แต่ขนส่งทางน้าและทางอากาศ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Cross Dock จะมี บทบาทและเป็นปัจจัยสาคัญต่อการสนับสนุนรูปแบบการขนส่ง ที่เรียกว่า Multimodal Transport การแบ่งประเภทของคลังสินคา้ ตามลักษณะสินคา้ 1. คลงั สนิ คา้ ทัว่ ไป คลังสนิ คา้ ทว่ั ไปทาหนา้ ทเ่ี ก็บสินคา้ หลากหลายทไี่ ม่ต้องการการรักษาดแู ลเป็น พเิ ศษ อาทิเช่น สินค้าอปุ โภคและเครือ่ งใชส้ อยทั่วไป เป็นตน้ 2. คลังสินคา้ ของสด คลังสินค้าชนิดนี้ทาหน้าที่เก็บสินค้าท่ีเป็นของสด อาทิเช่น อาหาร ผัก ผลไม้ และเครื่องด่ืม เป็นต้น ซ่ึงสินค้าเหล่านี้ต้องการการรักษาดูแลเป็นพิเศษด้วยการควบคุม อณุ หภูมิใหอ้ ยูใ่ นระดับที่เหมาะสมเพือ่ รักษาความสดใหม่ของสนิ คา้ 3. คลงั สนิ คา้ อนั ตราย คลังสินค้าชนิดน้ีทาหน้าท่ีเก็บสินค้าท่ีเป็นอันตราย อาทิเช่น สารพิษ สารเคมี เชอื้ เพลิง หรอื วตั ถุระเบิด เปน็ ต้น ส่งิ ทส่ี าคัญท่สี ดุ ของคลงั สินคา้ อันตรายคือการจดั การแยก ประเภทของวัตถุอันตรายและการจัดเก็บให้เหมาะสมตามหลักการจัดเก็บของวัตถุน้ันๆ คลังสินค้าชนิดน้ีจะต้องมีผู้ควบคุมดูแลระบบบาบัดมลพิษ ซ่ึงจะต้องได้รับใบอนุญาตโดย กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม บญั ชีรายช่ือวตั ถุอันตราย ขัน้ ตอนการสอบ ข้ึนทะเบียนผู้ควบคุมดูแลระบบบาบัดมลพิษ และพระราชบัญญัติ วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ดรู ายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ จากสมาคมผ้ปู ระกอบวัตถอุ ันตราย (HASLA:.Hazardous Substances Logistics Association) ท่ี www.hasla.or.th 4. คลังสนิ คา้ พิเศษ (ควบคุมอณุ หภูมิ ความชนื้ )

43 คลังสินค้าพิเศษมักจะเป็นคลังสินค้าท่ีมีขนาดเล็ก เพื่อใช้เก็บสินค้าที่มูลค่าสูง ซงึ่ ต้องได้รับการควบคุมอณุ หภูมแิ ละความชนื้ ใหเ้ หมาะสม เพ่อื คงคณุ สมบัตขิ องสนิ ค้าไวใ้ ห้ มีอายุยืนยาว ตัวอย่างสินค้าได้แก่ ยา และเครื่องเวชภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงสารเคมีบางชนิด ด้วย 1.6.4 กจิ กรรมในคลงั สนิ คา้ เม่ือกล่าวถึง การดาเนินงานในคลังสินค้า จาเป็นต้องกล่าวถึงกิจกรรมหลักของ คลังสินค้าก่อน เพื่อจะได้รู้ว่ากิจกรรมหลักสาคัญหรืองานท่ีเกิดข้ึนในคลังสินค้ามีอะไรบ้าง ซึ่งกิจกรรมท่ีสาคัญของคลังสินค้าสามารถจาแนกได้เป็น 2 กิจกรรม ได้แก่\\กิจกรรมที่ เก่ียวกับการเคล่ือนย้าย (Movement Activities) และกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเก็บรักษา (Storage Activities) 1. กิจกรรมท่เี กยี่ วการเคล่อื นย้าย (Movement Activities) การดาเนินงานทั่วไปในคลังสินค้า จะมีงานที่เป็นกระบวนการลักษณะ คลา้ ยคลงึ กันซึง่ สามารถแบง่ งานทเี่ ปน็ กิจกรรมเกยี่ วกับการเคล่ือนยา้ ยสินค้า ออกเปน็ ขั้นๆ ดังน้ี 1.1) กระบวนการรบั สินคา้ (Receiving) 1.2) ระบบการจัดเก็บสินค้าเข้าชั้นวาง หรือการเคล่ือนย้ายสินค้า (Put-away or Transfer/Bulk Storage) โดยมีระบบการเก็บสนิ ค้าเข้าชั้นวางทไ่ี ด้รบั ความนยิ ม 2 ระบบ คือระบบแบบเข้าก่อนออกก่อน (FIFO: First-in-First-out) และระบบแบบเข้าหลังออกก่อน (LIFO: Last-in-First-out) ในระบบของการเก็บสินค้าเข้าชั้นวางได้มีการจัดแบ่งรูปแบบใน การจัดเกบ็ สินคา้ ออกเป็น 6 รปู แบบ ดังนี้ 1.2.1) การจัดเก็บแบบไมเ่ ป็นทางการ (Informal System) 1.2.2) การจัดเก็บแบบตาแหนง่ คงท่ี (Fixed Location System) 1.2.3) การจัดเกบ็ แบบตามเลขสนิ คา้ (Part Number System) 1.2.4) การจดั เก็บตามประเภทสนิ ค้า (Commodity System) 1.2.5) การจดั เก็บแบบสมุ่ (Random Location System) 1.2.6) การจดั เกบ็ แบบผสม (Combination System) 1.3) กระบวนการในการคัดแยกหรือแปลงหน่วย (Selection or Let Down) จะ เป็นช่วงท่ใี ช้เวลามากที่สุดของกระบวนการทางานในคลังสินค้า ท้ังนขี้ ้ึนอยกู่ ับปริมาณของ การเบิกจ่ายสินค้าออกว่ามีจานวนมากน้อยอย่างไร การจัดเก็บต้องมีประสิทธิภาพ ตาแหนง่ ทีอ่ ยูข่ องสินค้าต้องแมน่ ยา บริเวณที่ใช้ในการคัดแยกหรือแปลงเป็นหนว่ ยย่อยตอ้ ง เหมาะสม มีความพร้อมด้วยเทคโนโลยี อุปกรณ์ รวมท้ังประสิทธิภาพของคนท่ีทาการคัด แยกด้วย

44 1.4) การจ่ายสินค้า หรือการหยิบสินค้า (Picking or Order Picking) เป็นข้ันตอน ของการนาสินค้าจากที่จัดเก็บมาทาการจ่ายตามการส่ังสินค้า หรือ Order โดยจะมีการนา ระบบการจัดการในการบริหารคลังสนิ ค้า (WMS: Warehouse Management System) มา ใช้ในการตัดสต็อกสินค้า ควบคู่กับระบบบาร์โค้ด รูปแบบการหยิบสินค้าแบ่งได้ตามขนาด ในการหยิบของสินค้า ซ่ึงแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท 1.4.1) การหยบิ เปน็ พาเลท (Pick Face Palletizing Systems) 1.4.2) การหยบิ เป็นลัง (Case Picking) 1.4.3) การหยบิ ชิน้ ส่วนขนาดเล็ก (Broken Case Picking) รูปแบบการหยิบสินค้าที่นิยมใช้ทั่วไป และสามารถประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม กับสภาพและลักษณะของงานท่ดี าเนนิ การ จะแบ่งออกเป็น 4 รปู แบบ คอื - การหยบิ ทว่ั ไปหรือแบบอสิ ระ (Basic Order Picking) - การหยบิ เป็นชุด (Batch Picking, by Line) - การหยบิ เป็นโซน (Zone Picking) - การหยบิ เป็นคลน่ื (Wave Picking) 1.5) การตรวจนับสินคา้ (Counting) จะเป็นการตรวจสอบจานวนสินค้าที่คงเหลือ อยู่ในคลังสินค้าจริง สามารถตรวจสอบได้ทุกเวลาท่ีต้องการทราบข้อมูล ซ่ึงเรียกว่าระบบ Realtime เป็นระบบโปรแกรมบริหารจัดการคลงั สินค้า (WMS: Warehouse Management System) ควบคไู่ ปกับการจัดสต็อกดว้ ยบารโ์ คด้ หรือ RFID เพ่ือให้ทราบได้ถึงสภาพการณ์ ท่ีแท้จริงของปริมาณสินค้าในคลังให้สอดคล้องกับความต้องการท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นใน อนาคต และวางแผนในการจัดหาสินค้าเข้ามาเติมให้เต็มในระบบเพื่อสนองตอบต่อความ ต้องการอย่างต่อเนื่องตอ่ ไป 2. กิจกรรมท่เี ก่ยี วกบั การเก็บรกั ษา (Storage Activities) 2.1) การเกบ็ รกั ษาสินค้าชัว่ คราว ในปัจจุบันแนวคิดในการนาเก็บสินค้าชั่วคราว หรือในระยะเวลาสั้นๆ เปน็ แนวคดิ ท่ีนยิ มใช้อย่างมาก โดยเฉพาะคลังสินค้าที่อยู่ในรูปแบบของศูนย์กระจายสินค้า (DC: Distribution Center) ทีส่ นิ ค้าจะเขา้ มาพักเพยี งชว่ั คราว รอการคัดแยก ซง่ึ อาจเขา้ เช้า ออกบ่าย ไมต่ ้องนาเก็บ หรอื อาจจะเก็บเพยี งช่วงสนั้ 1-2 วนั ถือว่าเป็นการเก็บรักษาสินค้า ชัว่ คราว ซ่ึงช่วยลดต้นทนุ ด้านการจัดการคลงั สนิ ค้าไดอ้ ยา่ งมาก 2.2) การเก็บรกั ษาสนิ ค้ากึ่งถาวร การเก็บรกั ษาสนิ ค้าก่ึงถาวรอาจเป็นความจาเปน็ ของสนิ ค้าหรือวัตถุดิบ บางประเภทท่ีมีปริมาณสินค้ามากกว่าความต้องการ หรืออาจจะเป็นสินค้าหรือวตั ถุดิบที่มี เฉพาะฤดูกาลจงึ มีความจาเป็นต้องมกี ารเก็บรกั ษาไว้นาน โดยในบางกรณีกิจการอาจได้รับ ส่วนลดการค้าเปน็ พเิ ศษในกรณที ่มี กี ารสัง่ ซือ้ ในปริมาณมาก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook