แผนการจดั การเรยี นรู้แบบฐานสมรรถนะ หลกั สูตร ประกาศนียบตั รวิชาชพี พุทธศกั ราช 2562 หมวดวิชาสมรรถนะวชิ าชีพ กลุ่มสมรรถนะวชิ าชีพพืน้ ฐาน รหสั วชิ า 20001-1002 พลงั งานทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม จดั ทำโดย นางสาวสริ ินันท์ สทิ ธชิ ัย วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาเพชรบรุ ี สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร
2ข คำนำ แผนการจัดการเรยี นรู้รายวิชาพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม ไดจ้ ดั ทำขนึ้ เพอื่ ใช้เป็นแนวทาง ในการจัดการเรยี นรูโ้ ดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกจิ กรรมและกระบวนการเรยี นรู้ สามารถ สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม ทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้กับการเรียนรู้ รายวิชาอื่น ๆ ได้ในเชิงบูรณาการด้วยวิธีการที่หลากหลาย เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ ทำให้ผู้เรียนได้รับการ พัฒนาทั้งด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ ด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และค่านยิ มท่ดี ี นำไปสูก่ ารอยรู่ ่วมกนั ในสังคม อยา่ งสันตสิ ุข การจดั ทำแผนการจดั การเรียนรู้ วชิ าพลังงาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดล้อมฉบับนี้ จดั ทำขึน้ ตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชพี พุทธศักราช 2562 ตรงตามจดุ ประสงคร์ ายวิชาไดแ้ ก่ 1) เข้าใจหลกั การวิธีการป้องกนั แกไ้ ข ปัญหาและการอนุรักษพ์ ลงั งาน ทรพั ยากร และสง่ิ แวดล้อม 2). สามารถประยกุ ตใ์ ช้หลกั การและวธิ ีการเพื่อป้องกัน แก้ไขปญั หาและอนรุ ักษพ์ ลงั งาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อมในงานอาชพี และ 3). มีเจตคตทิ ี่ดตี ่อการอนรุ ักษพ์ ลงั งาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ มในงานอาชพี และครอบคลมุ เนอ้ื หาครบถว้ นตรงตามคำอธิบายรายวชิ า ศกึ ษาเกี่ยวกับ พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ประเภทของพลังงานทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม ความสัมพันธ์ของพลงั งาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดลอ้ มกบั การดำรงชีวติ การใช้ประโยชน์ของพลงั งาน พลงั งานทดแทนและทรัพยากรสถานการณ์ ปัญหาและผลกระทบทีเ่ กดิ จากการใชพ้ ลังงานและทรัพยากร แนวทาง ป้องกนั และแกไ้ ข ปญั หาพลงั งาน ทรพั ยากร และสงิ่ แวดล้อม หลกั การและวิธกี ารอนรุ ักษพ์ ลงั งาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม กฎหมายและนโยบายที่เก่ยี วขอ้ ง แผนการจัดการเรยี นรู้ วิชาพลังงาน ทรพั ยากร และสงิ่ แวดล้อม ผู้จดั ทำไดอ้ อกแบบการเรยี นรู้ดว้ ยเทคนคิ และวธิ ีการ สอนอย่างหลากหลาย เพ่อื การจดั การเรียนรไู้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมสำหรับผเู้ รยี นให้บรรลุเป้าหมายของหลกั สูตร สิรนิ ันท์ สิทธิชัย
ค3 การบูรณาการเศรษฐกจิ พอเพียง วชิ าพลังงาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม 3 หว่ ง 1. พอประมาณ ใชภ้ ูมปิ ัญญาท้องถิน่ ไมเ่ บยี ดเบยี นตนเองและผอู้ ื่น มีความพอดีในการใชท้ รัพยากร 2. มเี หตผุ ล สามารถตดั สนิ ใจไดอ้ ย่างมเี หตุผล มีกระบวนการทำงานอยา่ งมเี หตผุ ลและรอบคอบ 3. มีภูมิคุ้มกนั มีความพร้อมในการรบั การเปล่ียนแปลงหรือผลกระทบดา้ นต่าง ๆ นกั เรียน นักศึกษา เห็นความสำคญั ของการเรยี น และประโยชนต์ อ่ การดำรงชวี ิตของวชิ าน้ี นกั เรียน นักศกึ ษา สามารถวางแผนการทำงาน และคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอยา่ งย่ังยนื ได้ 2 เง่อื นไข 1. ความรแู้ ละทักษะ นักเรียน นกั ศกึ ษา มีความรคู้ วามเข้าใจในวิชาเรียน นำไปใชไ้ ดจ้ ริง นักเรยี น นักศึกษา มที กั ษะในวิชา สามารถปฏบิ ัติงานไดจ้ รงิ 2. คณุ ธรรม นักเรยี น นกั ศกึ ษา มีมนษุ ยสมั พนั ธ์ ความสามคั คี นกั เรียน นกั ศึกษา มีความสนใจใฝร่ ู้ นกั เรยี น นกั ศึกษา มคี วามรบั ผดิ ชอบ นักเรยี น นักศึกษา มคี วามคดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ จากการบูรณาการทำให้ชวี ติ เศรษฐกจิ สงั คม มีความสมดุล มน่ั คง และยัง่ ยนื
4ง การบรู ณาการเศรษฐกิจพอเพียง วชิ าพลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม 3 หว่ ง 1. พอประมาณ การใช้พลงั งานจากทรพั ยากรต่างๆ เทา่ ท่ีจำเป็น สง่ เสรมิ การใชพ้ ลงั งานที่ เศรรษฐกจิ ของประเทศดีขึ้นเพราะลดการนำเขา้ น้ำมนั ดิบ 2. มเี หตผุ ล พลังงานจากน้ำมันปีโตรเลยี มนบั วนั กำลังจะหมดไปจากโลก ควรแสวงหาแหลง่ พลังงานอ่นื ๆ มาทดแทน สง่ิ แวดลอ้ ม มีมลพิษนอ้ ยลง 3. มีภมู คิ มุ้ กัน ใช้พลังงานจากทรัพยากรท่ผี ลติ ได้ในประเทศ ใช้พลงั งานจากทรพั ยากรอยา่ งประหยัด หาแหล่งพลงั งานสำรองเพื่อให้ลกู หลานมไี วใ้ ชใ้ นวันขา้ งหนา้ สังคมดีขึน้ เน่อื งจากมีแหล่งพลังงานราคาถูกและมีสาธารณูปโภคในถ่ินทุรกนั ดาร 2 เงอื่ นไข 1. ความรแู้ ละทักษะ ศกึ ษาคุณสมบัติต่างๆ ของพลังงานทดแทนก่อนการนำพลังงานมาใช้ ศึกษาผลกระทบที่ตามมาใหด้ ีเสยี ก่อนการนำมาใช้ ศกึ ษาความเป็นไปได้ของพลงั งานทดแทนแตล่ ะประเภทกอ่ นการนำพลังงานมาใช้ 2. คุณธรรม ประชาชนควรได้รบั รู้และถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารทเี่ ปน็ ความจริง ไม่ควรมเี ฉพาะชา่ วสารขอ้ มลู ท่ีเออื้ ประ โยชน์ต่อคนเพียงบางกลุม่ เทา่ นัน้ สรา้ งคา่ นยิ มและวฒั นธรรมที่ดใี นการใช้พลังงานที่ผลติ ไดใ้ นประ เทศ. จากการบรู ณาการทำให้ชวี ติ เศรษฐกจิ สังคม มีความสมดุล มน่ั คง และย่ังยนื
สารบญั 5 เร่ือง จ คำนำ หน้า สารบญั 1 ลกั ษณะรายวิชา จุดประสงค์รายวิชา ส 21 มรรถนะ คำอธบิ ายรายวชิ า 35 ตารางวเิ คราะห์หลักสตู รรายวชิ า 51 กำหนดการสอนท่บี รู ณาการคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ 69 แผนการจดั การเรยี นรู้ 94 117 หน่วยที่ ชื่อหน่วยการเรียนและรายการสอน 139 183 1 พลังงานและประเภทของพลังงาน 206 2 ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม 225 3 ความสมั พันธข์ องพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม 245 4 พลังงานกบั การดำรงชีวิต 5 ผลกระทบจากการผลติ และการใชพ้ ลังงาน 6 ปัญหาจากการใช้พลังงาน: สภาวะโลกร้อน 7 สถานการณป์ ญั หาพลงั งาน 8 พลังงานทดแทน 9 นโยบายพลงั งาน 10 กฎหมายการอนุรักษพ์ ลงั งาน 11 หลักการและวธิ กี ารอนุรักษพ์ ลังงาน 12 การจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
ฉ 6 ลักษณะรายวชิ า รหสั 20001-1002 วชิ า พลังงาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม หนว่ ยกิต 2-0-2 เวลาเรยี นตอ่ ภาค 36 ชว่ั โมง จดุ ประสงค์รายวิชา 1.เข้าใจหลกั การวธิ ีการปอ้ งกัน แกไ้ ขปัญหาและการอนุรักษ์พลังงาน ทรพั ยากร และสิ่งแวดล้อม 2.สามารถประยกุ ต์ใช้หลักการและวธิ กี ารเพอ่ื ป้องกนั แก้ไขปญั หาและอนุรักษพ์ ลงั งาน ทรัพยากรและ ส่ิงแวดล้อมในงานอาชีพ 3.มเี จตคตทิ ี่ดตี ่อการอนรุ ักษ์พลังงานทรพั ยากรและส่ิงแวดลอ้ มในงานอาชีพ สมรรถนะรายวิชา 1.แสดงความรู้เก่ยี วกบั พลังงาน ทรัพยากร และสิ่งแวดลอ้ ม หลกั การและวธิ ีการป้องกันแกไ้ ขปญั หาและ อนุรักษพ์ ลงั งาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม 2.วิเคราะหส์ ภาพปัญหาและผลกระทบท่ีเกดิ จากการใช้พลงั งาน ทรพั ยากร และส่ิงแวดล้อม 3.วางแผนปอ้ งกันแกไ้ ขปญั หาและผลกระทบที่เกดิ จากการใชพ้ ลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ มในงานอาชพี 4.วางแผนการอนุรักษ์พลงั งาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อมในงานอาชีพ คำอธิบายรายวชิ า ศกึ ษาเก่ยี วกับพลงั งาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม ประเภทของพลงั งาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อม ความสมั พนั ธ์ของพลงั งานทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ มกบั การดำรงชีวติ การใชป้ ระโยชน์ของพลงั งาน พลังงาน ทดแทนและทรัพยากร สถานการณป์ ัญหาและผลกระทบทเ่ี กดิ จากการใช้พลงั งานและทรพั ยากร แนวทาง ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาพลงั งาน ทรัพยากรและสิง่ แวดลอ้ ม หลกั การและวิธีการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน ทรพั ยากร และส่งิ แวดล้อม กฎหมายและนโยบายทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
ช 7 ตารางวเิ คราะห์หลักสูตร รหสั 20001-1002 วิชา พลังงาน ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม (2-0-2) ชัน้ ระดบั ประกาศนยี บตั รวชิ าชีพ สาขาวิชา/กลุม่ วชิ า ทักษะวชิ าชพี เฉพาะ พุทธิพสิ ยั (40%) ความ ู้ร พฤติกรรม ความเข้าใจ การนำไปใ ้ช ช่ือหน่วย การ ิวเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเ ิมน ทักษะพิ ัสย (30%) ิจตพิ ัสย (30%) รวม ลำ ัดบความสำ ัคญ จำนวน ่ัชวโมง 1.พลงั งานและประเภทของพลงั งาน 1 1 1 - - - 3 3 9 2 2 2.ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม 1 1 1 - - - 3 3 9 2 3.ความสมั พนั ธข์ องพลังงาน 111- - -33 9 ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม 2 4.พลงั งานกับการดำรงชวี ิต 111- - -33 9 2 5.ผลกระทบจากการผลิตและการใช้ 1 1 1 1 - - 3 3 10 4 พลังงาน 2 6.ปญั หาจากการใช้พลงั งาน: สภาวะโลก 1 1 1 1 - - 33 10 6 รอ้ น 2 2 7.สถานการณป์ ัญหาพลังงาน 1 1 1 1 - - 3 3 10 4 8.พลังงานทดแทน 1 1 1 1 - - 3 3 10 4 9.นโยบายพลงั งาน 111- - -33 9 2 36 10.กฎหมายการอนรุ กั ษ์พลังงาน 111- - -33 9 11.หลักการและวิธีการอนุรักษ์พลงั งาน 1 1 1 - - - 3 3 9 12.การจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ 111- - -33 9 สิ่งแวดลอ้ ม สอบปลายภาค รวม 12 12 12 4 30 30 100 ลำดับความสำคัญ
ซ 8 กำหนดการสอนที่บรู ณาการคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ วิชา 20001-1002 วิชา พลงั งาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม 2 ชัว่ โมงต่อสปั ดาห์ สปั ดาห์ท่ี หนว่ ย ช่ัวโมง ช่อื หน่วย/สาระการเรยี นรู้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ คุณธรรม จริยธรรม ท่ี ค่านิยม และคุณลกั ษณะ อนั พึงประสงค์ 1 1 1-2 พลงั งานและประเภทของพลังงาน 1.วเิ คราะหแ์ ละสรุปความหมายของพลงั งานได้ 1.พลงั งานเพอ่ื ชีวิต 2.วิเคราะหร์ ูปของพลงั งาน และการเปลีย่ นรปู 2.ความหมายของพลังงาน พลังงานได้ 3.ประเภทของพลงั งาน 3.วเิ คราะหก์ ารสูญเสียพลงั งานได้ 4.แหลง่ ของพลังงาน 4.อธบิ ายแหลง่ พลงั งานและหน่วยพลงั งานได้ 5.หนว่ ยพลงั งาน 2 2 3-4 ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม 1.บอกความหมายและประเภทของสง่ิ แวดล้อม 1.สงิ่ แวดลอ้ ม และทรพั ยากรธรรมชาติได้2.อธิบายประโยชน์ 2.ทรพั ยากรธรรมชาติ และความสำคัญของสง่ิ แวดล้อมและ ความมมี นษุ ยสมั พันธ์ 3.การทำลายสงิ่ แวดล้อมและ ทรัพยากรธรรมชาตไิ ด้ ความมีวินยั ทรัพยากรธรรมชาติ 3.อธบิ ายทรพั ยากรท่มี นษุ ย์นำมาใชป้ ระโยชน์ ความรบั ผดิ ชอบ ได้ ความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง 3 3 5-6 ความสมั พนั ธข์ องพลังงาน 4.วิเคราะหป์ ญั หาการทำลายสิง่ แวดลอ้ ม และ ความสนใจใฝ่รู้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติได้ ความรกั สามคั คี 1.ระบุกฎของธรรมชาติ และความหมาย ของ ความกตญั ญกู ตเวที ระบบนเิ วศได้ 1.ธรรมชาติของสง่ิ มีชีวิต 2.อธิบายกฎของพลงั งาน กระบวนการ 2.กฎของธรรมชาติ พลงั งานในสง่ิ มีชีวติ และการใชพ้ ลงั งานใน 3.ระบบนิเวศ ระบบนิเวศได้ 4.กฎของพลงั งาน 3.วิเคราะห์ความสำคัญของพลงั งานที่มตี อ่ 5.กระบวนการพลังงานในสิง่ มชี ีวิต ระบบนิเวศได้ 6.การใชพ้ ลงั งานในระบบนิเวศ 4.สำรวจระบบนิเวศและบันทกึ การส่งผา่ น 7.ความสำคญั ของพลงั งานตอ่ ระบบนเิ วศ พลงั งานในระบบนเิ วศได้ 4 4 7-8 พลงั งานกับการดำรงชีวติ 1.เปรียบเทยี บการใชพ้ ลังงานในอดตี กับ 1.การใช้พลงั งานในอดตี ปัจจบุ นั ได้ 2.ววิ ัฒนาการการใช้พลงั งานของมนุษย์ 2 วเิ คราะหค์ วามสำคัญของพลงั งานท่ีมตี อ่ การ 3.ความเป็นมาของการใชพ้ ลังงานในประเทศ ดำรงชวี ติ ได้ ไทย 3.บอกความเปน็ มาของการใช้พลังงาน ใน 4.การนำพลังงานมาใชเ้ พ่อื พัฒนาประเทศ ประเทศไทยได้ 4.วเิ คราะห์ความจำเปน็ ในการใชพ้ ลังงานเพอ่ื พฒั นาประเทศด้านต่างๆ ได้ 5.วิเคราะห์จำนวนเครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ในบา้ น ระยะเวลาการใชง้ าน จำนวนพลงั งานไฟฟา้ ทใ่ี ช้ และคา่ ใชจ้ ่ายได้
ฌ 9 สัปดาห์ที่ หน่วย ชั่วโมง ชือ่ หน่วย/สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ คุณธรรม จรยิ ธรรม ท่ี ค่านิยม และคุณลกั ษณะ อนั พงึ ประสงค์ 5 5 9-10 ผลกระทบจากการผลิตและการใช้พลงั งาน 1 อธิบายปัญหาการผลติ และการใชพ้ ลงั งาน 1.ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มจากภาคผลิตไฟฟ้า จากกรณีตัวอยา่ งได้ 2.ปญั หาสงิ่ แวดล้อมจากภาคอตุ สาหกรรม 2.วิเคราะหส์ าเหตุของปญั หาการผลิต และการ 3.ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ มจากภาคคมนาคมขนสง่ ใชพ้ ลงั งานจากกรณตี ัวอย่างได้ 3.วิเคราะห์ผลกระทบของการผลิตและการใช้ พลังงานจากกรณตี ัวอย่างได้ 4.เสนอแนะแนวทางแกไ้ ขปญั หาการผลติ และ การใชพ้ ลังงานจากกรณตี วั อยา่ งได้ 6.วเิ คราะห์ผลกระทบจากการใชพ้ ลังงาน และ เสนอแนวทางแกไ้ ขปญั หาได้ 7.ตระหนกั ถึงผลกระทบจากการใชพ้ ลังงานใน ชีวิตประจำวัน 6 6 11- ปญั หาจากการใชพ้ ลังงาน: สภาวะโลกรอ้ น 1.บอกความหมายของสภาวะโลก 12 1.ความหมายของสภาวะโลกรอ้ น 2.ก๊าซเรอื นกระจก ร้อนได้ 3.กล่มุ ธรุ กจิ กรรมทท่ีทำให้เกดิ สภาวะโลก 2.อธิบายก๊าซเรอื นกระจกได้ ร้อนในประเทศไทย 3.สรุปกลุ่มกจิ กรรมทีท่ ำใหเ้ กิด 7 6 13- 4.ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน สภาวะโลกร้อนได้ 14 5.การปอ้ งกนั แก้ไขผลกระทบจากสภาวะ 4.วิเคราะหผ์ ลกระทบและเสนอ แนวทางปอ้ งกนั แกไ้ ข ความมีมนษุ ยสัมพันธ์ โลกร้อน ความมวี นิ ัย ความรับผิดชอบ 5.ผลกระทบจากสภาวะโลกรอ้ น ความเชื่อมนั่ ในตนเอง โดยใชว้ ิธคี ิดแบบหมวกหกใบได้ ความสนใจใฝร่ ู้ 5.อธิบายการเกดิ ปรากฏการณ์ ความรักสามัคคี ความกตญั ญกู ตเวที เรอื นกระจกโดยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 6.เปรียบเทียบความแตกต่างของ อุณหภูมภิ ายในและภายนอก เรอื นกระจกได้ 8 7 15- สถานการณป์ ญั หาพลงั งาน 1.วเิ คราะห์ปัญหาพลงั งานของโลกได้ 16 1.ปญั หาพลงั งานของโลก 2.วิเคราะหป์ ัญหาการใชพ้ ลงั งานในประเทศ 2.ปญั หาการใชพ้ ลงั งานในประเทศไทย ไทยได้ 3.ผลกระทบต่อสิง่ แวดลอ้ มจากการผลติ และการ 3.วิเคราะห์ผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มจากการ ใชพ้ ลงั งานในประเทศไทย ผลติ และการใชพ้ ลงั งานในประเทศไทยได้ 9 8 17- พลังงานทดแทน 1.เหน็ ความสำคญั ของวิกฤตการณแ์ ละ ระบุ 20 1.ความหมายของพลังงานทดแทน แนวทางแกไ้ ขปญั หาได้ 2.บอกความหมายของพลังงานทดแทนได้ 2.พลงั งานแสงอาทติ ย์ (Solar Energy) 3.พลงั งานน้ำ (Water Energy) 3.วเิ คราะหเ์ ก่ียวกบั พลังงานทดแทนแต่ละ 4.พลงั งานลม (Wind Energy) ประเภทได้ 4.ทดลองโดยใช้ชุดทดลองพลงั งาน แสงอาทติ ยไ์ ด้
10 สปั ดาห์ที่ หน่วย ชัว่ โมง ช่อื หนว่ ย/สาระการเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ คุณธรรม จรยิ ธรรม ท่ี คา่ นิยม และคณุ ลักษณะ 11 8 21-22 พลงั งานทดแทน (ต่อ) 1.เห็นความสำคัญของวิกฤตการณ์และ ระบุ อันพงึ ประสงค์ 5.พลงั งานความร้อนใต้พภิ พ (Geothermal แนวทางแก้ไขปญั หาได้ ความมีมนุษยสมั พันธ์ ความมวี นิ ัย Energy) 2.บอกความหมายของพลงั งานทดแทนได้ ความรบั ผิดชอบ ความเชอื่ มัน่ ในตนเอง 6.พลังงานชีวมวล (Biomass Energy) 3.วิเคราะหเ์ ก่ียวกับพลังงานทดแทนแตล่ ะ ความสนใจใฝ่รู้ ความรกั สามัคคี ประเภทได้ ความกตญั ญกู ตเวที 4.ทดลองโดยใชช้ ดุ ทดลองพลงั งาน แสงอาทติ ย์ได้ 12 9 23-24 นโยบายพลงั งาน 1.บอกสถานการณ์พลงั งานของประเทศไทย 1.สถานการณ์พลงั งานของประเทศไทย ได้ 2.นโยบายพลังงานของประเทศไทย นโยบาย 2.อธบิ ายนโยบายพลงั งานของประเทศไทย พลังงาน 4.0 ได้ 3.นโยบายประหยดั พลังงาน 3.วิเคราะหน์ โยบายประหยัดพลังงานได้ 4.แผนอนุรกั ษ์พลังงาน 20 ปี 4.ตระหนักในความสำคัญของการอนรุ กั ษ์ (พ.ศ. 2554-2573) พลังงาน 5.แผนบรู ณาการพลงั งาน 21 ปี 5.เสนอแนวทางในการช่วยใหแ้ ผนอนรุ กั ษ์ (พ.ศ. 2558-2579) พลงั งานสมั ฤทธ์ิผลได้ 6.วิเคราะห์แผนบูรณาการพลังงาน 21 ปี (พ.ศ. 2558-2579) ได้ 13 10 25-26 กฎหมายการอนุรักษพ์ ลังงาน 1.บอกความเปน็ มาของกฎหมายอนรุ กั ษ์ 1.ความเปน็ มา พลังงานได้ 2.กฎหมายอนรุ ักษ์พลังงาน 2.อธบิ ายกฎหมายอนุรักษ์พลงั งานได้ 3.ขอ้ กำหนดอาคารควบคุม 3.สรปุ สาระสำคญั เก่ียวกบั กฎหมายอนรุ กั ษ์ 4.หน้าท่ีและขน้ั ตอนการอนุรกั ษพ์ ลังงานของ พลงั งานได้ อาคารควบคมุ 4.วเิ คราะหข์ า่ วเกีย่ วกับกฎหมายอนรุ ักษ์ 5.ค่าธรรมเนียมพเิ ศษการใชไ้ ฟฟ้า พลังงานได้ 6.บทกำหนดโทษสำหรบั ผฝู้ ่าฝนื กฎหมาย อนรุ ักษพ์ ลังงาน 14 11 27-28 หลกั การและวธิ ีการอนุรกั ษพ์ ลังงาน 1.อธบิ ายความหมายและความสำคญั ของ 1.ความหมายของการอนรุ ักษ์พลังงาน (Energy การอนุรักษพ์ ลงั งานได้ Conservation) 2.อธิบายมาตรการ และแนวทางในการ 2.ความสำคญั ของการอนรุ ักษ์พลังงาน อนรุ ักษพ์ ลังงานได้ 3.มาตรการในการอนุรกั ษ์พลังงาน 3.กำหนดแนวทางปฏิบตั ิเพ่ืออนุรกั ษ์พลงั งาน 4.แนวทางการอนุรกั ษพ์ ลังงาน ในบ้านได้ 4.เสนอแนวทางการอนรุ กั ษ์พลังงานในภาคอ ตสุ าหกรรมได้
ญ 11 หน่วย คณุ ธรรม จริยธรรม ท่ี สัปดาห์ที่ ช่ัวโมง ชือ่ หน่วย/สาระการเรยี นรู้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะ อันพึงประสงค์ 15 11 29-30 หลกั การและวธิ ีการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน (ตอ่ ) 5.บันทกึ พฤตกิ รรมตนเองในการอนุรกั ษ์ 5.วธิ กี ารอนุรักษ์พลังงาน 6.การอนุรกั ษพ์ ลงั งานในภาคอตุ สาหกรรม พลังงานและสงิ่ แวดล้อมได้ 6.มเี จตคตทิ ่ีดีต่อการอนรุ ักษพ์ ลงั งาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ มในงานอาชพี 16 12 31-32 การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ 1.บอกความสำคญั ของปัญหาสิง่ แวดลอ้ มได้ สิง่ แวดลอ้ ม 1.การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ 2.บอกความหมายและความเป็นมาของการ ส่งิ แวดล้อม 2.การวเิ คราะหผ์ ลกระทบสงิ่ แวดลอ้ ม วิเคราะห์ 3.การจดั การสง่ิ แวดลอ้ ม 4.การจัดการส่งิ แวดล้อมในระดับสากล 3.ผลกระทบส่ิงแวดลอ้ มได้ 17 12 33- 5.การวางแผนการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ 3.ระบขุ นาดของโครงการที่ตอ้ งประเมินผล 34 และสงิ่ แวดล้อม 6.แนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อ กระทบสง่ิ แวดลอ้ มได้ จดั การคุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม 4.บอกแนวคิดในการจัดการสิ่งแวดลอ้ มได้ ความมีมนษุ ยสัมพันธ์ 5.อธิบายแนวทางการจัดการส่ิงแวดลอ้ มใน ความมวี นิ ยั ระดับสากลได้ ความรบั ผิดชอบ 6.บอกแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัตกิ ารเพื่อ ความเช่อื มั่นในตนเอง จัดการคุณภาพส่ิงแวดลอ้ มได้ ความสนใจใฝร่ ู้ 7.วางแผนป้องกนั แก้ไขปญั หาและ ความรักสามัคคี ผลกระทบท่เี กดิ จากการใช้พลังงาน ความกตญั ญูกตเวที ทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อมในงานอาชีพ ได้ 8 วางแผนการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมในงานอาชพี ได้ 18 - 35- ทบทวน/ สอบปลายภาคเรียน ตามจดุ ประสงค์รายวชิ า และสมรรถนะ 36 รายวชิ า การประเมินผล กำหนดคา่ ระดับคะแนน ตามเกณฑ์ดังน้ี คะแนนรอ้ ยละ 80-100 ไดเ้ กรด 4 ได้เกรด 3.5 คะแนนร้อยละ 75-79 ไดเ้ กรด 3 ได้เกรด 2.5 คะแนนร้อยละ 70-74 ได้เกรด 2 ไดเ้ กรด 1.5 คะแนนรอ้ ยละ 65-69 ไดเ้ กรด 1 ได้เกรด 0 คะแนนร้อยละ 60-64 คะแนนรอ้ ยละ 55-59 คะแนนร้อยละ 50-54 คะแนนร้อยละ 0-49
12 แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยที่ 1 หลกั สูตร ประกาศนียบัตรวิชาชพี สอนครั้งที่ 1 (1-2) รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม ท-ป-น 2-0-2 ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ปฐมนิเทศ/ พลงั งานและประเภทของพลังงาน ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคญั พลงั งานมคี วามสาํ คญั ต่อสิ่งมชี วี ติ มากเพราะสิ่งมีชีวิตจะดํารงอยไู่ ด้ตอ้ งอาศยั พลังงาน เพือ่ ทําให้เกดิ กระบวนการและปฏกิ ิริยาต่างๆ ในเซลลข์ องสิ่งมีชีวติ ทีเ่ รยี กวา่ กระบวนการเมตาบอลิซมึ ถา้ หากไม่ไดร้ ับพลงั งาน เซลล์ท่ีเปน็ สว่ นประกอบของส่ิงมีชวี ิตจะตายทําให้สง่ิ มีชีวิตต้องตายไปด้วย นอกจากส่ิงมีชีวติ จะใช้พลังงานในรปู ของ สารอาหารในการดำรงชวี ติ แล้ว ยังมกี ารใชพ้ ลังงานในรปู แบบอน่ื ๆ เชน่ ความรอ้ น แสงสว่าง เป็นตน้ 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1.นกั เรยี นสามารถวเิ คราะห์และสรุปความหมายของพลงั งานได้ 2.นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์รูปของพลงั งาน และการเปล่ยี นรปู พลังงานได้ 3.นักเรียนสามารถวิเคราะห์การสูญเสยี พลังงานได้ 4.นักเรียนสามารถอธบิ ายแหล่งพลังงานและหน่วยพลงั งานได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ ปฐมนเิ ทศ 1.บอกจดุ ประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคำอธิบายรายวิชาตามหลกั สตู รฯ ได้ 2.บอกแนวทางวัดผลและการประเมินผลการเรยี นร้ไู ด้ พลงั งานและประเภทของพลงั งาน 1.วิเคราะห์และสรปุ ความหมายของพลังงาน 2.วเิ คราะห์รูปของพลงั งาน และการเปล่ียนรูปพลงั งาน 3.วเิ คราะห์การสญู เสยี พลังงาน 4.อธบิ ายแหล่งพลงั งานและหน่วยพลงั งาน 5.มกี ารพัฒนาคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผสู้ ำเร็จการศึกษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ท่ีครูสามารถสงั เกตไดข้ ณะทำการสอนในเรื่อง 5.1 ความมีมนษุ ยสัมพันธ์ 5.2 ความมีวนิ ยั 5.3 ความรบั ผิดชอบ 5.4 ความซ่อื สัตย์สุจริต 5.5 ความเชอ่ื มั่นในตนเอง 5.6 การประหยัด 5.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 5.8 การละเวน้ สงิ่ เสพติดและการพนัน 5.9 ความรกั สามัคคี 5.10 ความกตัญญูกตเวที 5.11 แต่งกายตามขอ้ ตกลง ตรงเวลา รักษาส่ิงแวดลอ้ ม ใจอาสา
13 4. สาระการเรยี นรู้ ปฐมนเิ ทศ 1.จดุ ประสงค์รายวชิ า สมรรถนะรายวิชาและคำอธบิ ายรายวิชา 2. แนวทางวดั ผลและประเมินผลการเรียนรู้ พลังงานและประเภทของพลงั งาน 1.พลังงานเพอื่ ชวี ิต 2.ความหมายของพลงั งาน 3.ประเภทของพลงั งาน 4.แหลง่ ของพลังงาน 5.หนว่ ยพลงั งาน 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาหท์ ่.ี ..1........) ขั้นนำเข้าส่บู ทเรยี น 1.ครผู ู้สอนแนะนำจดุ ประสงค์ท่ีผู้เรยี นจะได้จากหลักสูตร โดยกำหนดให้ผูเ้ รยี นทุกคนตอ้ งเขา้ ใจหลกั การวธิ กี าร ป้องกัน แกไ้ ขปัญหาและการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน ทรพั ยากร และสงิ่ แวดลอ้ ม สามารถประยุกตใ์ ช้หลักการและวิธกี ารเพื่อ ปอ้ งกนั แก้ไขปัญหาและอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน ทรัพยากรและสิง่ แวดลอ้ มในงานอาชีพ มเี จตคติท่ีดีต่อการอนรุ ักษ์พลงั งาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ มในงานอาชีพ 2.ครูสนทนากบั เรียนเรียนถงึ พลังงาน (Energy) เป็นส่งิ จำเป็นสำหรับมนุษยท์ กุ คน นอกจากนพ้ี ลงั งานยงั มี ประโยชนต์ อ่ การดำรงชวี ติ ของมนุษย์หลายๆ ด้าน 3.ครูสนทนากับผู้เรยี นเพ่อื ให้เหน็ ความสำคัญของการเรียนวชิ าพลังงาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม ขัน้ สอน 4.ผู้เรียนรบั ฟังคำช้ีแจงสังเขปรายวชิ าและการวดั ประเมนิ ผล ซกั ถามขอ้ ปัญหารวมทงั้ แสดงความ คดิ เหน็ เก่ียวกับการเรยี นวิชานี้ 5.ครูใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Discussion Method คือการจดั การเรียนรู้แบบอภิปรายพลงั งานเพอื่ ชีวิต ซ่ึงพลงั งานหมายถงึ พลังต่างๆ ที่ทำมาใช้ใหเ้ กิดเป็นงานตามพระราชบญญั ตักาิ รพฒนั าและส่งเสรมิพลงงั าน พ.ศ. 2535 พลังงาน หมายถึง ความสามารถในการทํางานซ่งึ มีอยใู่ นตัวของส่งิ ของ ที่อาจใหง้ านได้ ไดแ้ ก่ พลังานหมุนเวยี น และพลงั านส้นิ เปลือง เชน่ เช้อื เพลงิ ความรอ้ น ไฟฟา้ เปน็ ต้น 6.ครูใช้เทคนคิ การสอนแบบ Small Group Discussion การจัดการเรียนรูโ้ ดยใชก้ ารอภิปรายกลุ่มย่อย คือ กระบวนการเรยี นรูท้ ีผ่ ู้สอนจดั กล่มุ ผู้เรียนออกเป็นกลุ่มยอ่ ยประมาณ 4 – 8 คน ใหผ้ ู้เรียนในกลุ่มมโี อกาสสนทนา แลกเปลย่ี นขอ้ มูลความคดิ เห็น ประสบการณ์ในเร่ือง 6.1.พลงั งานเพ่ือชวี ิต 6.2.ความหมายของพลังงาน 6.3.ประเภทของพลังงาน 6.4.แหลง่ ของพลังงาน 6.5.หนว่ ยพลงั งาน
14 4.ครแู ละผเู้ รียนใช้เทคนคิ การสอนแบบ Lecture Method การจัดการเรยี นร้แู บบบรรยาย คอื กระบวนการ เรยี นรู้ท่ีผสู้ อนเปน็ ผ้ถู ่ายทอดความรู้ใหแ้ ก่ผู้เรียนโดยการพดู บอกเล่า อธิบายเน้อื หาเร่ืองประเภทของพลังงาน ได้แก่ พลังงานศกั ย์ พลงงั านจลน์ และพลงั งานภายใน พลังงานสามารถเปลี่ยนจากรูปแบบหนงึ่ ไปสู่อกี รปู แบบหน่ึง เช่น การหงุ ตม้ อาหาร มีการเปลยี่ นแปลงพลังงานเคมีไปเปน็ พลังงานความร้อน เม่ือมกี ารเปลีย่ นรูปพลังงานมาก จะยิ่งมี การสูญเสยี พลงั งานมาก หลกั การประหยดั พลังงานคือ การทําใหก้ ระบวนการเปลี่ยนรปู พลังงานมกี ารสูญเสยี พลังงาน ในรปู แบบท่ไี ม่ตอ้ งการใหน้ อ้ ยทส่ี ุด 5.ผเู้ รยี นพิจารณารูปภาพทก่ี ําหนดให้ แล้วบอกกจิ กรรมทเ่ี กีย่ วข้องกับการใช้พลงั งาน มาไม่น้อยกวา่ ภาพละ 7 กิจกรรม พร้อมทัง้ ระบุความหมายของพลังงาน 6.ผู้เรยี นพิจารณาภาพตามทกี่ ำหนดใหว้ ่ามพี ลังงานอะไรมาเกี่ยวขอ้ งบ้าง และรปู ภาพใดว่ามีการเปลี่ยนแปลง พลังงานบ้าง 8.ผู้เรยี นวาดภาพกิจกรรมแสดงการเปล่ียนรปู พลงั งานมา 2 ภาพ และระบวุ า่ เปลย่ี นรูปจากพลังงานอะไรเปน็ พลงั งานอะไร 9.ผูเ้ รียนทำกิจกรรมตามท่ีครกู ำหนดเกย่ี วกับพลังงาน ข้นั สรุปและการประยกุ ต์ 10.ผเู้ รยี นวางแผนการเรยี น และนำความร้ทู ่ไี ดจ้ ากรายวชิ าไปประยุกต์ใช้กบั งานในชวี ติ ประจำวันทจ่ี ำเปน็ โดยทวั่ ไป ซึ่งทุกคนจะตอ้ งวางแผนการทำงานตา่ ง ๆ ในอนาคต 11.ครแู ละผ้เู รยี นรว่ มกันสรปุ เนอื้ หาทีเ่ รียนเก่ยี วกบั พลงั งานเพ่อื ชวี ิต ความหมายของพลังงาน ประเภทของ พลงั งาน แหล่งของพลังงาน และหนว่ ยพลังงาน โดยการถามตอบ และจดั กิจกรรมประกอบ 12.ครูแนะนำเพมิ่ เติมใหผ้ ้เู รยี นเขียนบญั ชแี สดงรายรบั -รายจา่ ยในชีวติ ประจำวนั เพอื่ สร้างนสิ ยั ความ พอเพียงใหแ้ ก่ตนเองและครอบครวั 13.ผเู้ รยี นทำกจิ กรรมใบงาน และแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ 14.สรปุ โดยการถาม-ตอบ เพอ่ื ประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจำวนั และประเมนิ ผู้เรียนตามแบบฟอรม์ ต่อไปน้ี ชอ่ื ผู้เรยี น ประสบการณพ์ ้นื ฐานการเรียนรู้ วิธกี ารเรียนรู้ ความรู้ ทักษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5.
15 6. ส่ือและแหลง่ การเรยี นรู้ 1.หนังสือเรียน วิชาพลังงาน ทรพั ยากรและสงิ่ แวดล้อม ของสำนกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ 2.ส่ือ Power Point, วดี ที ัศน์ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมินผลการเรียนรู้ 7.หลกั ฐานการเรียนรู้ 1.บนั ทึกการสอนของผสู้ อน 2.ใบเช็ครายชอื่ 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวดั และประเมนิ ผล 8.1 วิธีการ 1. สังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุม่ 3. สังเกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกิจกรรมส่งเสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรยี นรู้ แบบฝึกปฏบิ ัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 8.2 เครือ่ งมือ 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกล่มุ (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุม่ (โดยผูเ้ รยี น) 4. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏิบัติ 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครูและผู้เรยี นรว่ มกัน ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไมม่ ีช่องปรบั ปรุง 2. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤติกรรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกล่มุ คอื ปานกลาง (50 % ขน้ึ ไป) 3. เกณฑ์ผ่านการสังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกล่มุ คอื ปานกลาง (50% ขน้ึ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรยี นรมู้ ีเกณฑผ์ า่ น และแบบฝึกปฏิบตั ิ 50% 5. แบบประเมนิ กิจกรรมใบงานมีเกณฑ์ผา่ น 50%
16 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ คะแนนขน้ึ อยู่ กับการประเมินตามสภาพจรงิ 9.บันทึกผลหลังการจดั การเรยี นรู้ 9.1 ข้อสรปุ หลังการจดั การเรยี นรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาทพี่ บ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแกป้ ัญหา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................
17 ใบความรทู้ ่ี .....1........... หนว่ ยท่ี....บทท่ี 1 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนคร้งั ท่ี......1 เวลา......2............ชม. รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม ชือ่ เรื่อง พลังงานและประเภทของพลงั งาน 1. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1.วิเคราะหแ์ ละสรุปความหมายของพลังงาน 2.วิเคราะหร์ ูปของพลงั งาน และการเปล่ียนรูปพลงั งาน 3.วิเคราะหก์ ารสญู เสยี พลงั งาน 4.อธบิ ายแหล่งพลังงานและหนว่ ยพลังงาน 2. สมรรถนะ 1.นกั เรียนสามารถวิเคราะห์และสรปุ ความหมายของพลงั งานได้ 2.นักเรียนสามารถวิเคราะห์รูปของพลังงาน และการเปลีย่ นรปู พลังงานได้ 3.นักเรยี นสามารถวิเคราะห์การสูญเสียพลังงานได้ 4.นกั เรียนสามารถอธบิ ายแหล่งพลังงานและหนว่ ยพลงั งานได้ 3. เน้อื หาสาระ 1. ความหมายของพลงั งานและสง่ิ แวดลอ้ ม พลงั งาน หมายถึง ความสามารถของสิ่งใดสง่ิ หน่งึ ท่ีจะทำงานได้ งาน (Work) เป็นผลของการกระทำ ของแรงเปน็ เหตใุ หส้ ง่ิ น้ันเคลือ่ นที่ เช่น เปลวไฟที่เผากาน้ำจะเปล่ียนนำ้ ให้เปน็ ไอน้ำและแรงดันไอน้ำจะดันฝากาน้ำ เผยอขึ้นได้ งานเช่นน้ี เรียกวา่ พลังงาน รถไฟเคลื่อนที่ได้เพราะมีพลังงานมนุษย์เดินได้เพราะพลังงาน พลังงาน สามารถแปรรูปไปเป็นงานได้ เช่น พลังงานความร้อน ทำให้น้ำกลายเป็นไอและไอนี้ไปช่วยให้เครื่องจักรไอน้ำ ทำงานได้ พลงั งานไฟฟา้ ใช้ในการปั่นมอเตอร์ พลังงานอะตอมใช้ในการขับเคลอ่ื นเรือรบและเรอื รบดำน้ำ ประเภทของพลังงาน พลงั งานแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 2.1 พลังงานใช้แลว้ หมด หรือที่นักวิชาการเรียกกนั วา่ พลังงานส้ินเปลือง หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ำมนั รวมทัง้ หินนำ้ มนั ทรายนำ้ มัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ท่เี รียกว่าใชแ้ ลว้ หมดก็เพราะหามาทดแทนไม่ทัน การใช้ พลังงานพวกนี้ปกติแล้วจะอยู่ใต้ดนิ ถ้าไม่ขุดขึน้ มาใชต้ อนนี้ ก็เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ได้ในอนาคต บางทีจึง เรยี กวา่ พลงั งานสำรอง 2.2 พลังงานใช้ไม่หมด หรือ พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ไม้ กระดาษ ฟืน แกลบ กาก (ชาน)อ้อย ชีวมวล (เช่น มูลสตั ว์ และก๊าซชวี ภาพ) น้ำ (จากเขือ่ นไหลมาหมนุ กังหันปนั่ ไฟ) แสงอาทติ ย์ (ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตไฟฟ้าได)้ ลม (หมนุ กังหันลมผลติ ไฟฟา้ ) และคลื่น (กระแทกใหก้ ังหนั หมนุ ปน่ั ไฟ) และที่ว่าใช้ไม่หมดก็เพราะ สามารถหามาทดแทนได้ เช่น ปลูกป่าเอาไม้มาทำฟนื หรือปล่อยน้ำจากเขื่อนมาปั่นไฟ แล้วไหลลงทะเลกลาง เป็นไอและเปน็ ฝนตกลงมาสู่โลกอีก หรอื แสงอาทิตยท์ ่ไี ด้รบั จากดวงอาทิตย์อยา่ งไม่มีวันหมดสิน้ ความสำคัญของพลงั งาน มนุษย์นำพลังงานมาใชใ้ นการดำรงชีวิตตง้ั แต่สมยั โบราณ เริ่มจากการใช้ไฟฟา้ ท่เี กดิ จากการเสียดสี ของไม้หรือหินเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความอบอ่นุ แสงสว่างและการหุงต้มอาหาร มนษุ ย์เรม่ิ รูจ้ กั ทำกังหนั วดิ น้ำ ทำกงั หันลมมา
18 เพื่อยกของหนักและบดเมล็ดธัญพืช พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมสวั สดิภาพและความผาสุกของ ประชาชนแต่ละประเทศทั่วโลก พลังงานมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของประเทศทั้งทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันมีการใช้พลังงานมากขึ้น ในการพัฒนาเศรษฐกิจทุกสาขา เช่น อุตสาหกรรม การคมนาคมขนสง่ การไฟฟ้า เป็นตน้ 2. ความสมั พนั ธ์ของพลงั งานและสิ่งแวดลอ้ มกบั การดำรงชวี ติ ของมนุษย์ พลังงานกบั การดำรงชีวิตของมนษุ ย์ - พลังงานไฟฟา้ ไฟฟ้าคือพลังงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถูกแปรรูปเพื่อจัดส่งไปยังที่ต่าง ๆ โดยใช้สายไฟฟ้าเป็นตัว นำไป พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานทีส่ ำคัญและมนุษย์นำมาใช้มากที่สุด นับแต่ ทอมัส แอลวา เอดิสัน ประดิษฐ์ หลอดไฟสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2422 แล้ว ไฟฟ้าก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตของคนโดยเฉพาะสังคมใน เมอื ง การติดตอ่ สื่อสาร การคมนาคมขนสง่ การใหค้ วามรู้ การศึกษา การขยายตัวทางเศรษฐกจิ การเพมิ่ ผลผลิต การค้นควา้ วิจัยทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แหลง่ บันเทิง การผลิตสินค้าและการขายสนิ ค้า เหล่านี้ต้องอาศัย พลงั งานไฟฟา้ ท้ังสิน้ สิ่งอำนวยความสะดวกที่เราใช้สอยในชีวติ ประจำวัน ล้วนต้องการพลังงานในการทำงาน เชน่ หลอดไฟกต็ อ้ งการไฟฟ้าเพ่อื ส่องสวา่ ง รถยนตก์ ต็ ้องการนำ้ มนั เพื่อการขับเคลื่อน แม้แต่รถจักรยานยังต้องการแรง ถีบ แต่การจะส่งพลังงานต่อไปยังพื้นที่ห่างไกล การจะนำไปส่งให้อย่างง่ายที่สดุ คอื การแปลงพลังงานอื่น ๆ เป็น พลงั งานไฟฟ้า และส่งไปตามสายไฟฟ้า นอกจากนีเ้ ทคโนโลยีด้านเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าได้มกี ารพฒั นาอย่างรวดเร็ว ดังที่ เห็นได้รอบตัวในทุกวันนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ใช้เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานรูปอื่น เพื่อทำกิจกรรมใน ชีวิตประจำวัน การผลติ ไฟฟ้าในปัจจุบันและอนาคต การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันเป็นการผลิตร่วมกันของโรงไฟฟา้ ประเภทตา่ ง ๆ เชื่อมโยงระบบส่งไฟฟา้ ด้วยสายส่งไฟฟ้า โดยมีศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า คอยควบคุมระบบการผลิตและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้า ทำให้ สามารถเสรมิ กำลังผลิตแก่กันได้ โดยในการผลติ พลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทยในปี 2550 จะใชเ้ ชือ้ เพลิงจากก๊าซ ธรรมชาติมากที่สุด รองลงมาคือลิกไนต์ ถ่านหิน พลังน้ำ รับซื้อจากต่างประเทศ น้ำมันเตา และพลังงาน หมนุ เวียน ตามลำดบั สำหรับในอนาคต ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรม ภายในประเทศกำลังเจรญิ ก้าวหน้าประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายแนน่ อนท่ีจะขยายการพัฒนาไฟฟา้ ไปสู่ชนบท กฟผ. จึงต้องมีการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าครอบคลุมระยะเวลา 17 ปี โดยแบ่งออกเป็นแผนหลักและแผน ทางเลือกทดแทน แล้วพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนไปตามสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ นอกจากนี้ กฟผ. ได้ศึกษา และวิจัยพลงั งานตามธรรมชาตอิ ื่น ๆ มาทดแทน เช่น ลม แสงอาทิตย์ ความรอ้ นใต้พิภพ สำหรับการผลิตไฟฟ้า ในอนาคตอีกด้วย - พลังงานเชือ้ เพลิงสำหรับยานพาหนะ พลังงานเชอ้ื เพลงิ ทีไ่ ดใ้ ช้เปน็ น้ำมนั เชอ้ื เพลงิ ชนดิ ต่าง ๆ เติมยานพาหนะได้แตกตา่ งกันไป ดังนี้ 1. กา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลว หรอื แอลพจี ี ใช้สำหรบั รถยนต์
19 2. น้ำมันเบนซิน (ก๊าซโซลีน) น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน เช่น รถยนต์ส่วน บคุ คล รถจกั รยานยนต์ 3. นำ้ มนั เคร่ืองบิน ใชส้ ำหรบั เคร่อื งบินใบพดั เคร่ืองบนิ ไอพ่น 4. น้ำมนั ดีเซล นำ้ มนั เช้อื เพลงิ สำหรับเครอ่ื งยนต์ดีเซล แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื 1) นำ้ มันดเี ซลหมุนเร็ว หรือ น้ำมันโซล่า ใช้สำหรับเคร่อื งยนต์ดีเซลรอบหมุนเร็วที่ใช้กับ ยานยนต์ เชน่ รถยนต์ รถบรรทกุ เรือประมง รถแทรกเตอร์ และเครอ่ื งจกั รกลหนัก 2) นำ้ มันดีเซลหมุนช้า หรือ น้ำมันขโี้ ล้ สำหรบั เครื่องยนต์ดเี ซลรอบหมนุ ปานกลางหรือ รอบหมนุ ช้า เช่น เครอื่ งยนต์ดีเซลขับสง่ กำลงั ติดตงั้ อยู่กับท่ีตามโรงงานต่าง ๆ 5. ไบโอดีเซล เปน็ เช้อื เพลิงดีเซลทางเลอื กท่ีผลิตจากแหลง่ ทรัพยากรหมุนเวียน เช่น น้ำมัน พืช ไขมันสัตว์ หรือสาหร่าย มีคุณสมบัติการเผาไหม้เหมือนกับดีเซลจากปิโตรเลียมมาก สามารถใช้แทนกันได้ สามารถยอยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ และไมเ่ ปน็ พษิ 6. นำ้ มันแกส๊ โซฮอล์ หรอื ทนี่ ิยมเรยี กว่า E10 คือ นำ้ มนั เชอ้ื เพลงิ สำหรบั รถยนต์ ท่ีเกิดจาก การผสมระหว่าง นำ้ มนั เบนซนิ 90% กบั แอลกอฮอล์ 10% 7. น้ำมนั เตา นำมาใชเ้ ปน็ เช้ือเพลิงสำหรับเรอื และอุตสาหกรรม นอกจากน้ียังสามารถใช้กับ เครื่องยนตด์ ีเซลรอบปานกลาง น้ำมันเตาช่วยลดก๊าซซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ จากการเผาไหม้ที่ออกสู่บรรยากาศของ โรงงานอุตสาหกรรม - พลังงานเพื่อการประกอบอาหาร ในการประกอบอาหารจำเป็นต้องทำใหอ้ าหารนน้ั สุกเสียกอ่ น โดยใชพ้ ลังงานความร้อน พลังงาน ความร้อนที่ใช้ในอดีตมักใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฟืน ถ่านไม้ แกลบ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนิยมใช้พลังงาน ความรอ้ นทไ่ี ดม้ ากจากเชือ้ เพลงิ ฟอสซิล น่นั คือ ก๊าซหุงตม้ ในครวั เรือน หรือท่ีเรียกว่า ก๊าซปิโตรเลยี มเหลว หรือ กา๊ ซแอลพจี ี (liquefied Petroleun Gas-LPG) แหล่งของพลังงาน แหล่งกำเนิดพลังงานเป็นต้นกำเนิดที่ก่อให้เกิดพลังงานในการทำงานได้ แหล่งกำเนดิ พลังงาน มี ความหมายถึง สสารหรือวัตถุที่มีพลังงานอยู่ในตัวเอง และจะถ่ายเทหรือปลดปล่อยพลังงานที่มีออกมาเมื่อผ่าน กระบวนการแปรรูป ส่งผลให้ตัวมนั เองมีความสามารถในการทำงานได้ เช่น เชื้อเพลงิ ต่างๆ (ถ่านหิน น้ำมนั เป็นต้น) เมื่อถูกเผาไหม้จะเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีจากนั้นจะให้พลงั งานออกมา ซึ่งพลังงานที่ได้ออกมาเป็นพลังงานความ ร้อน เป็นต้น โดยทั่วไปแหล่งกำเนิดพลังงานจะมีมวล (Mass) มีตัวตน แหล่งกำเนิดพลังงานแบง่ ออกได้หลาย ประเภท ในบทนี้จะกลา่ วถงึ พลังงานทม่ี าจากฟอสซิล (Fossil fuels) ซ่งึ หมายถงึ แหล่งกำเนิดพลังงานทมี่ ตี น้ กำเนดิ มาจากการทับถมของซากพชื ซากสัตว์หรอื ท่ีเรียกกันว่าแร่ฟอสซิล แหล่งกำเนดิ พลงั งานชนิดนี้เมื่อนำมาใช้แล้วจะ หา หรือผลิตทดแทนไม่ได้ หรือต้องใช้เวลานานมากจึงจะผลิตมาทดแทนได้ เป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป แหลง่ กำเนิดพลงั งานประเภทน้ี ได้แก่
20 1. ปิโตรเลียม (Petroleum ปิโตรเลียม (Petroleum) หรอื เรยี กอีกอย่างว่า น้ำมนั ดิบ เกดิ จากการทับถมและสลายตัวของ อินทรียสารจากพืชและสัตว์ที่คลุกเคล้าอยู่กับตะกอนในชัน้ กรดวดทรายและโคลนตมใต้พื้นดิน เมื่อเวลาผ่านไปนบั ลา้ นปี ตะกอนเหลา่ น้จี ะจมตัวลงเร่ือย ๆ เนื่องจากการเปล่ยี นแปลงของผวิ โลก ถูกอัดแน่นดว้ ยความดันและความ ร้อนสูง และมปี รมิ ารออกซิเจนจำกดั จึงสลายตัวเปล่ียนสภาพเป็นแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบแทรกอยู่ระหว่างชั้น หนิ ท่มี ีรพู รนุ ปโิ ตรเลียมจากแหลง่ ต่างกันจะมปี ริมารของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน รวมทง้ั สารประกอบของกำมะถัน ไนโตรเจน และออกซิเจนแตกต่างกัน โดยขน้ึ อย่กู ับชนิดของซากพืชและสัตว์ทีเ่ ป็นต้นกำเนิดของปโิ ตรเลียม และ อิทธพิ ลของแรงท่ที ับถมอยบู่ นตะกอน ปโิ ตรเลยี มท่ีเกดิ อย่ใู นชน้ั หนิ จะมกี ารเคลอ่ื นตัวออกไปตามรอยแตกและรูพรุน ของหินไปสู่ระดับความลึกน้อยกว่า แล้วสะสมตัวอยู่ในโครงสร้างหินที่มีรูพรุนมีโพรงหรือรอยแตกใ นเนื้อหินที่ สามารถให้ปิโตรเลียมสะสมตัวอย่ไู ด้ ด้านบนเป็นหนิ ตะกอนหรือหินดินดานเนือ้ แน่นละเอียดปิดกั้นไม่ให้ปิโตรเลียม ไหลลอดออกไปได้ โครงสร้างปิดก้ันดงั กลา่ วเรียกวา่ แหล่งกกั เก็บปิโตรเลยี ม การใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียม การนำปิโตรเลียมไปใชป้ ระโยชนใ์ นรูปแบบต่าง ๆ สรปุ ได้ดังนี้ - ใช้ในการขนส่ง ประมาณร้อยละ 46 ของปิโตรเลียมได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับ รถยนต์ในระบบเคร่อื งยนต์เผาไหม้ภายใน ซึ่งได้แก่ น้ำมนั เบนซิน น้ำมนั ดีเซล นำ้ มนั เครอ่ื งบินและไอพ่น น้ำมัน เตาสำหรบั รถไฟ และเรอื - ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนมากใช้น้ำมันเตา และแก๊สธรรมชาติในโรงงาน อุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน แก๊สหุงต้ม และในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ซ่ึง สว่ นมากจะใช้น้ำมนั เบา เปน็ เชอ้ื เพลิง - ใช้ในเครื่องกำเนิดความร้อน และให้แสงสวา่ ง น้ำมันหนัก มักจะมีการนำมาใช้ในเครื่องกำเนดิ ความ รอ้ นของประเทศในแถบหนาว สำหรับโรงงาน สำนักงาน และที่พกั อาศยั น้ำมนั เบาก็มคี วามสำคญั เช่นกัน อาทิ น้ำมันก๊าด ใช้เป็นเชื้อเพลงิ ให้แสงสว่าง และหงุ ตม้ ในทอ้ งถิน่ ทย่ี ังไมเ่ จริญหรอื อยู่ห่างไกลแก๊สโพรเพน และบิวเบน ใช้เป็นเชอื้ เพลิงหุงตม้ ในครวั เรือน - ใช้เป็นวัสดุหล่อลื่น ประมาณร้อยละ 1-2 ของน้ำมันดิบที่ผ่านกระบวนการกลั่น จะได้รับการแปร สภาพไปเปน็ น้ำมันหลอ่ ล่นื และจาระบี สำหรับการขนส่งเครื่องยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม - ประโยชน์อ่นื ๆ อาทเิ ช่น แอสฟัลต์ บทิ เู มน นำ้ มันดนิ ใชร้ าดถนน ฉาบหลังคา และใช้เป็นสารกนั นำ้ ขผ้ี ้งึ ใชท้ ำเทียนไข วสั ดกุ นั ซมึ วสั ดขุ ัดมนั และเปน็ เช้อื เพลงิ ให้แสงสว่าง - สารปิโตรเลียม ปิโตรเลียมใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่งจะนำไปสู่การผลิต พลาสติกและสารสังเคราะห์มากมายหลายชนิด เส้นใยสังเคราะห์ และสิ่งทอสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สาร คาร์บอนดำ ฯลฯ 2. ถา่ นหนิ (Coal) ถ่านหนิ (Coal) เปน็ เชื้อเพลงิ ทมี่ ีปรมิ าณมากทส่ี ุดของประเทศไทย คือราว 2 ใน 3 ของเชอ้ื เพลิงทั้งหมด ถ่านหิน เป็นสารประกอบคาร์บอนที่เกดิ จากการสะสมตัวของซากพืซตามธรรมชาติ และเกิดปฏิกิริยาทางชีววทิ ยา
21 และทางเคมี ภายใต้ความกดดันสูงจนทำให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงเป็นสารประกอบคาร์บอน ถา่ นหินท่ีมีคาร์บอนผสม อยู่ในปริมาณสูงถือว่ามีความบริสุทธิ์มาก ซึ่งจะให้ความร้อนสูงเมื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง การนำถ่านหินไปใช้ ประโยชน์ต้องผ่านกระบวนการกลั่นสลายเสียกอ่ น การกล่นั สลายถ่านหิน คอื การนำถ่านหนิ ไปเผาในท่ซี ่งึ มอี ากาศ จำกัด ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ไดนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นมากกว่าการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง ที่ได้จากการกลนั่ สลายคือ ถ่านโค๊ก นำไปใช้เป็นเช้ือเพลงิ ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานถลงุ แรเ่ หล็ก ยางมะตอย เป็นต้น ปัจจุบันสามารถแบง่ ประเภทของถา่ นหนิ ตามลำดบั ชน้ั เปน็ 5 ชนิด ไดด้ งั น้ี 1) พีต (Peat) เป็นถ่านหินที่เกิดในลำดับแรก ๆ ของกระบวนการเกิดถ่านหินยังคงสภาพการ สะสมของซากพชื มักสะสมในกลุ่มที่ช้นื แฉะ มีคารบ์ อนเปน็ องค์ประกอบอยู่ประมาณรอ้ ยละ 60 และมอี อกซิเจน รอ้ ยละ 30 พตี จะถกู แบคทีเรียแปรสภาพเปน็ อนิ ทรียวตั ถุ มีความชน้ื สงู แต่เมื่อแห้งจะติดไฟได้ดี 2) ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินที่พบมากท่ีสุดในประเทศไทย มีคุณภาพต่ำคือให้ความร้อนได้ ต่ำ คือจะให้ความร้อนน้อยกวา่ 8,300 บที ยี /ู ปอนด์ มขี ี้เถา้ จากการเผาไหมม้ าก สีนำ้ ตาลเข้มจนถึงดำ เน้อื แข็ง มีความชืน้ ตำ่ ไม่คอ่ ยมโี ครงสรา้ งของพชื เหลืออยู่ มคี าร์บอนเปน็ องค์ประกอบอยูร่ อ้ ยละ 55-65 แหล่งกำเนิดที่ สำคัญคือ เหมอื งแมเ่ มาะ จังหวดั ลำปาง 3) ซับบิทูมินัส (subbituminous) เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า มีคุณภาพต่ำกว่าบิทูมินัส มีสีดำ มีอายุการสะสมนานกว่าลิกไนต์ มีคาร์บอนร้อยละ 65-80 มีความชื้นต่ำกว่า ลิกไนต์ เมื่อเผาจะให้ค่าความร้อน 8,300-13,000 บีทียู/ปอนด์ แหล่งกำเนิดที่สำคัญ คือจังหวัดลำปางและ จังหวดั ลำพนู 4) บทิ มู ินัส (Bitumionous Coal) เป็นถ่านหินท่ีให้ความร้อนน้อยกว่าแอนทราไซต์ เมื่อติดไฟ จะมีเปลวไฟเป็นสีเหลือง มีสีน้ำตาลถึงดำ มีคาร์บอนประกอบอยู่ร้อยละ 80-90 และมีสารระเหย (Volatile Matter) ประกอบอยดู่ ว้ ย มีความชื้นต่ำ เมอื่ เผาจะใหค้ วามร้อนต้ังแต่ 10,500 บที ีย/ู ปอนด์ขึน้ ไป มีควันมาก แหล่งกำเนิดที่สำคัญได้แก่ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน อำเภอแม่ระมาด จังหวดั ตาก 5) แอนทราไซต์ (Anthracite) เปน็ ถา่ นหินทม่ี คี ุณภาพดีท่ีสุดและใหค้ วามรอ้ นออกมาสงู สุด มี สีดำเนื้อแข็ง มีความวาว มีคาร์บอนประกอบร้อยละ 86 ขึ้นไป ติดไฟยากแต่เมื่อเผาแล้วไม่มีควนั ให้ค่าความ ร้อนสูงท่ีสุดถงึ 15,500 บีทีย/ู ปอนด์ แหลง่ กำเนิดท่ีสำคญั อยู่ทกี่ ิง่ อำเภอนาด้วง จงั หวัดเลย แต่เป็นเซมิแอนทรา ไซต์ (Semiantracite) คือมีคุณภาพไมส่ งู มากนกั ประโยชน์ของพลงั งานจากถา่ นหนิ การใช้ถ่านหินเป็นที่นิยมกันมากเมื่อหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ และยิ่งเพิ่มมากข้ึน หลายเท่าตวั เมอ่ื เกดิ วกิ ฤตราคานำ้ มันในปี พ.ศ. 2516 ทำใหม้ กี ารใชถ้ ่านหินเปน็ เช้อื เพลิงทดแทนน้ำมันมากข้นึ ท้งั การใช้เปน็ เชอื้ เพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าและในอตุ สาหกรรมต่าง ๆ การใช้ประโยชน์จากถ่านหนิ อาจแบ่งได้หลัก ๆ เป็น 2 ประเภท คือ 1. การใชถ้ ่านหนิ เป็นเชอื้ เพลงิ ถ่านหนิ ส่วนใหญ่จะถูกนำมาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์โดยตรงคอื ใชเ้ ปน็ เช้ือเพลิงในการผลติ กระแสไฟฟ้า และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการถลุงโลหะ ผลิตปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น จาก ข้อมลู ของสำนักนโยบายและแผนพนงั งานเมอื่ ปี พ.ศ. 2546 พบวา่ ในประเทศไทยใชถ้ ่านหนิ ลกิ ไนต์ในการผลิตไฟฟ้า ถึงร้อยละ 86 ส่วนที่เหลือร้อยละ 14 ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขณะที่ภาพรวมทั่วโลกพบว่ามีการใช้
22 ถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าประมารร้อยละ 64 ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณของถ่านหินที่ขุดขึ้นมาได้นั้นจะถูกใช้เป็น เชอ้ื เพลงิ ค่อนขา้ งมากโดยเฉพาะการผลิตกระแสไฟฟ้า 2. การใชถ้ ่านหนิ เพื่อวตั ถปุ ระสงค์อ่นื มีการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งวัตถดุ ิบเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑอ์ ื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น การนำมาผลิต เปน็ ถ่านโค้กเทยี ม ถา่ นกัมมันต์ ป๋ยุ ยูเรยี หรือการนำมาสกัดเอานำ้ มันดบิ เปน็ ต้น 3. กา๊ ซธรรมชาติ (Natural Gas) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) คือ เชื้อเพลิงประเภทฟอสซลิ อย่างหนึ่ง ซึ่งพบได้ในแอ่งใต้พืน้ ดินหรือ อาจพบร่วมกับน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาตเิ ป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งประกอบด้วย ธาตุถ่านคาร์บอน (C) กบั ธาตไุ ฮโดรเจน (H) จับตัวกนั เปน็ โมเลกุล โดยเกิดขึ้นเองธรรมชาติ จากการทบั ถมของซากส่ิงมีชีวิตตามชั้นหิน ดิน และในทะเลหลายร้อยล้านปีมาแล้ว เช่นเดยี วกบั น้ำมัน และเน่อื งจากความร้อนและความกดดนั ของผิวโลกจึง แปรสภาพเป็นก๊าซ ก๊าซธรรมชาติ คือส่วนผสมของก๊าซไฮโดรคาร์บอน และสิ่งเจือปนต่าง ๆ ในสภาวะก๊าซสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนทพี่ บ ในธรรมชาติได้แก่ มีเทน อเี ทน โพรเพน บิวเทน เพนเทน เป็นต้น สิง่ เจอื ปนอ่ืน ๆ ท่ีพบ ในกา๊ ซธรรมชาติ ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนไดซัลไฟด์ เปน็ ต้น ก๊าซธรรมชาติจะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น (ยกเว้นกลิ่นที่เติมเพื่อให้รู้เมื่อเกิดการรัว่ ไหล) และไม่มีพิษ ในสถานะ ปกติมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศจึงเบากว่า อากาศ เมือ่ เกดิ การร่ัวไหลจะฟ้งุ กระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเรว็ จึงไมม่ กี ารสะสมลุกไหมบ้ นพน้ื ราบ การแยกก๊าซธรรมชาติ เราสามารถนำก๊าซธรรมชาตมิ าใช้ประโยชนต์ า่ ง ๆ ได้โดยผา่ นกระบวนการแยก หรอื แปรสภาพก๊าซ ธรรมชาติ โรงแยกก๊าซธรรมชาติทำหน้าที่แยกก๊าซธรรมชาติ หรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึง่ ปะปนกนั หลาย ชนิดตามธรรมชาติออกมาเป็นก๊าซชนิดต่าง ๆ เพ่ือนำไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์สูงสดุ ตามคณุ ค่าของกา๊ ซน้นั ภายใต้ กระบวนการแยกกา๊ ซ แตใ่ นการแยกกา๊ ซตอ้ งใช้อณุ หภูมิตำ่ มาก ทำให้สารประกอบเหล่านีแ้ ขง็ ตัวและมีผลทำให้ทอ่ ตนั ดงั นัน้ จงึ ตอ้ งกำจัดโดยผา่ นกระบวนการดงั น้ี 1. หน่วยกำจัดสารปรอทเน่ืองจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีสารปรอทปนอยู่ดว้ ย ดังน้นั โรงแยกกา๊ ซต้อง มีหนว่ ยกำจัดสารปรอท เพือ่ แยกสารประกอบออกจากก๊าซ 2. หนว่ ยกำจัดความชน้ื การขจดั ความชืน้ ออกจากก๊าซธรรมชาตเิ ป็นสง่ิ จำเป็นเพราะความชน้ื หรอื ไอนำ้ จะกลายเปน็ น้ำแข็งเมอ่ื เข้ากระบวนการลดอณุ หภูมซิ ึ่งจะทำให้ท่ออุดตนั ไอน้ำจะถูกกำจัดดว้ ยวธิ ีการทางเคมที ี่ เรียกวา่ กระบวนการกรองโมเลกุล ซง่ึ เป็นสารท่ีมรี พู รนุ สงู สามารถดดู ซับน้ำออกจากก๊าซ 3. หน่วยกำจัดก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ ใช้สารละลายโปตสั เซียมคารบ์ อเนต (K2CO3) ออกจากก๊าซ ธรรมชาติด้วยดว้ ยการลดความดนั เพ่มิ อุณหภมู ิทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ถกู ปล่อยออก การใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาตสิ ามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้ใน 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ใช้เป็นเชื้อเพลิง ใช้ได้โดยตรงด้วย การใชเ้ ปน็ เชอื้ เพลงิ สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า หรอื ในโรงงานอุตสาหกรรม เชน่ อตุ สาหกรรมเซรามิค อตุ สาหกรรม
23 สขุ ภัณฑ์ ฯลฯ และเม่อื นำไปอัดใส่ถงั ด้วยความดนั สูงกส็ ามารถนำไปใชเ้ ปน็ เช้อื เพลิงสำหรับรถยนตไ์ ด้ (NGV) และ นำไปผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกก๊าซ เพราะในตวั เนอ้ื กา๊ ซธรรมชาติ มสี ารประกอบท่ีเปน็ ประโยชนอ์ ยมู่ ากมาย เมอ่ื นำมาผา่ นกระบวนการแยกทโี่ รงแยกกา๊ ซแลว้ ก็จะได้ผลิตภณั ฑ์ต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้ดงั นี้ 1. ก๊าซมีเทน (C1) ใชเ้ ปน็ เช้ือเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟา้ ในโรงงานอุตสาหกรรม และนำไปอัดใส่ถัง ดว้ ยความดนั สูง เรียกวา่ กา๊ ซธรรมชาตอิ ดั สามารถใช้เปน็ เชอ้ื เพลิงในรถยนต์ 2. กา๊ ซอเี ทน (C2) และกา๊ ซโพรเพน (C3) ใชเ้ ปน็ วัตถดุ ิบในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมขี ้ันต้นสามารถนำไปใช้ ผลิตเม็ดพลาสติก เส้นใยพลาสตกิ ชนิดต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้แปรรูปตอ่ ไป 3. ก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) นำเอาก๊าซโพรเพนกบั ก๊าซบิวเทนมาผสมกนั อัดใส่ถังเป็น ก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลว (Liquefied petroleum Gas-LPG) หรือท่ีเรยี กว่า กา๊ ซหุงต้ม สามารถนำไปใช้เปน็ เช้ือเพลิง ในครัวเรอื น ใชเ้ ช่อื มโลหะ และใช้ในอตุ สาหกรรมบางประเภทได้อีกด้วย 4. ไฮโดรคาร์บอนเหลว อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิ และความดันบรรยากาศ เมื่อผลิตข้ึน มาถึงปากบ่อบนแท่นผลติ สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนท่ีมีสถานะเปน็ กา๊ ซบนแทน่ ผลิต เรียกว่า คอนเดนเสท สามารถขนสง่ โดยทางเรือหรือทางท่อ นำไปกล่นั เป็นน้ำมันสำเรจ็ รปู ต่อไป 5. ก๊าซโซลีนธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการแยกคอนเดนเสทออกเมื่อทำการผลิตขึ้นมาถึงปากบ่อบนแท่น ผลผลิตแล้ว แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซ เมื่อผ่าน กระบวนการแยกจากโรงก๊าซธรรมชาติแล้ว ไฮโดรคาร์บอนเหลวเหล่านี้ก็จะถูกแยกออก เรียกว่า ก๊าซโซลีน ธรรมชาติ หรือ NGL (Natural Gasoline) และส่งเข้าไปยังดรงกลั่นน้ำมัน เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำมัน สำเรจ็ รูปได้เช่นเดยี วกับคอนเดนเสท และยังเปน็ ตัวทำละลายซึ่งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภทได้เช่นกัน 6. กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ เมอื่ ผ่านกระบวนการแยกแล้ว จะถกู นำไปทำใหอ้ ยใู่ นสภาพของแขง็ เรยี กว่า น้ำแขง็ แห้ง นำไปใชใ้ นอุตสาหกรรมถนอมอาหาร อตุ สาหกรรมนำ้ อัดลมและเบียร์ ใช้ในการถนอมอาหารระหว่าง การขนส่ง นำไปเปน็ วัตถดุ บิ สำคัญในการทำฝนเทยี มและนำไปใช้สร้างควนั ในอุตสาหกรรมบนั เทงิ อาทิ การแสดง คอนเสิร์ต หรอื การถ่ายทำภาพยนตร์ คุณสมบตั ขิ องก๊าซธรรมชาติ 1. เป็นเชอ้ื เพลงิ ปโิ ตรเลยี มชนดิ หน่ึง เกดิ จากการทับถมของส่ิงมชี วี ิตนบั ล้านปี 2. เปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ประกอบด้วยก๊าซมีเทนเปน็ หลัก 3. ไม่มสี ี ไมม่ กี ลน่ิ ปราศจากพิษ (ส่วนมากกล่ินที่เราคุน้ เคยจากก๊าซธรรมชาตเิ ปน็ ผล มาก จากการเติมสารเคมีบางประเภทลงไป เพื่อให้ผู้ใชร้ ไู้ ดท้ ันท่วงทเี ม่อื เกดิ เหตกุ ารณ์ก๊าซรว่ั ) 4. เบากวา่ อากาศ (ความถว่ งจำเพาะ 0.5-0.8 เท่าของอากาศ) 5. ติดไฟได้ โดยมีช่วงของการติดไฟที่ 5-15% ของปริมาตรในอากาศ และอุณหภูมิที่ สามารถติดไฟไดเ้ องคือ 650 องศาเซลเซียส ขอ้ ดีของกา๊ ซธรรมชาติ 1. เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่นำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีการเผาไหม้สมบูรณ์ และไม่มกี ากของเช้อื เพลงิ หลงั จากการเผาไหม้ 2. กา๊ ซธรรมชาตไิ มท่ ำลายหรือกัดกรอ่ นอุปกรณ์ และวสั ดุในกระบวนการผลิต
24 3. ลดการสร้างก๊าซเรอื นกระจก ซงึ่ เป็นสาเหตขุ องภาวะโลกร้อน เนือ่ งจากปลอ่ ยความร้อน สบู่ รรยากาศโลกนอ้ ยกว่าเชือ้ เพลงิ ชนดิ อ่นื 4. มคี วามปลอดภยั สูงในการใช้งาน เน่ืองจากเบากวา่ อากาศ จึงลอยข้นึ เมื่อเกิดการรัว่ 5. มีราคาถูกกว่าเช้อื เพลิงปิโตรเลยี มอืน่ ๆ เช่น น้ำมัน น้ำมนั เตา และก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลว 6. สามารถสร้างมูลคา่ เพ่มิ ช่วยขบั เคล่ือนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ 7. ไมม่ ฝี ุ่นออกไซด์ของกำมะถันและไนโตรเจนซง่ึ เป็นอันตรายตอ่ สขุ ภาพและส่งิ แวดล้อม 8. ขนสง่ โดยทางทอ่ ทำให้เกดิ ความปลอดภัยตอ่ ชมุ ชนและสิง่ แวดล้อมมากกว่าเชอ้ื เพลิงชนิด อื่น ซึ่งขนสง่ ทางรถยนตห์ รอื ทางเรือ 9. กา๊ ซธรรมชาติสว่ นใหญ่ท่ใี ช้ในประเทศไทยผลติ ได้เองจากแหล่งในประเทศ จงึ ช่วยลดการ นำเขา้ พลงั งานเชอ้ื เพลิงอนื่ ๆ และประหยดั เงินตราต่างประเทศไดม้ าก 4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ จงตอบคำถามต่อไปน้ใี หถ้ ูกต้อง 1.พลงั งานมปี ระโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของมนษุ ย์ในด้านใด 2.จงบอกความหมายของคำวา่ พลังงาน 3.พลังงานมกี ีป่ ระเภท ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง 4.พลังงานภายในไดแ้ ก่อะไรบา้ ง 5.ร่างกายมนษุ ยต์ ้องการพลงั งานอะไร 6.พลงั งานประภทใดใช้แลว้ ไมม่ ีวันหมด 7.พลงั งานทไ่ี ช้ในบนเรอื นเปน็ พลงั งานรูปแบบใด 8.ถ่านหินทพ่ี บในประหไทยส่วนใหญ่เปน็ ถ่นหินประแภทใด 9.แหล่งพลังงานจำแนกตามกระบวนการผลิตไดก้ ปี่ ระเภท อะไรบา้ ง 10.โทรทัศนส์ ี 1 นว้ิ กนิ ไฟ 43วตั ต์ (จากแผน่ ปา้ ยหลงั เครอื่ ง) ใช้ไฟฟา้ อยใู่ นระดับ 200 หน่วp ตอ่ เดอื น เสยี ค่าไฟเฉลี่ยหนว่ ยละ1.6บาท เปิดใช้ 5 ชว่ั โมงตอ่ วัน จะเสยี ค่าไฟเดอื นละเท่าไร ข้อสอบประจำหนว่ ยที่ 1 เร่อื ง พลงั งานและประเภทของพลังงาน วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม รหสั 20001-1002 ระดบั ปวช. คำช้ีแจง: 1 ขอ้ สอบมีจำนวน 10 ขอ้ 2. ใหน้ กั เรียนเขยี นเคร่อื งหมาย X ขอ้ ท่เี ห็นวา่ ถูกตอ้ งทีส่ ุดเพียงขอ้ เดียวลงในกระดาษคำตอบ 1. ขอ้ ใดคอื ความหมายของคำวา่ \"พลังงาน\" ก. สสารหรอื วตั ถุที่มพี ลงั านอยูใ่ นตัว ข. ความสามารถในการทำงาน ค. สงิ่ ที่สามารถปล่อยพลังงานได้เมอ่ื เปลีย่ นรูป ง. ความสามารถที่ก่อใหเ้ กดิ แรงงาน
25 2. ขอ้ ใดไมใ่ ชพ่ ลังงานจากแหล่งฟอสซลิ ก. หนิ นำ้ มนั ข. แรน่ ิวเคลยี ร์ ค. ถ่านหิน ง. พลงั งานความร้อนใตพ้ ภิ พ 3. ถ่านไฟฉายมพี ลังงานรปู แบบใด ก. พลงั งานกล ข. พลงั งานจลน์ ค. พลังงานศกั ย์ ง. พลงั งานเคมี 4. ข้อใดเป็นแหลง่ พลงั งานทตุ ิยภมู ิ ก. ก๊าชธรรมชาติ ข. น้ำมนั ดิบ ค. หนิ น้ำมนั ง. นำ้ มันปโี ตรเลียม 5. พลงั งานประเภทใดทีจ่ ะมีความสำคญั ต่อไปในอนาคต ก. พลงั งานจากฟอสซลิ ข. พลังงานหมนุ เวียน ค. พลงั งานปฐมภูมิ ง. พลังงานทตุ ยิ ภมู ิ 6. ความรู้เร่ืองการเปล่ยี นรปู พลังงนนำไปช้ประโยนในการอนรุ ักษพ์ ลังงานได้อย่างไร ก. คดิ ประดิษฐอ์ ุปกรณ์ที่ประหยดั ไฟฟา้ ข. ตตั แปลงเครอ่ื งใช้ไฟฟใ้ หป้ ระหยดั ไฟ ค. ปรับปรงุ มาตรวดั ไฟฟา้ ให้ประหยัดคไ่ ฟ ง ควบคมุ การเปลย่ี นรูปพลงั งนใหญเสยี พลงั งานนอ้ ยท่ีสดุ 7. พลงั งานหมุนเวยี นประเภทใดทีป่ ระทศไทยจะนำมาใช้ประโยชน์มากข้ึนในอนาคต ก. ลม บ. แสงแดด ค. คลน่ื ง. ความรอ้ นใตพ้ ิภพ 8. การเปล่ยี นรูปพลงั งานทที่ ำให้สญู เสยี พลงั งานนอ้ ย ทำให้เกดิ ผลดีในข้อใด ก. ประหยัดพลังงาน ข. ประหยัดคา่ ใช้จย ค. ลดมลภาวะ ง. เครื่องใช้ไฟฟา้ ทนทาน
26 9. กิจการใดนำพลังานมาไขม้ ากท่ีสดุ ก. การเกษตรกรรม บ. การอตุ สาหกรรม ค. การคมนาคม ง. การบรกิ าร 10. ประเทศท่ีพัฒนาแล้วนยิ มนำพลังงานดมาผลิตกระแสไฟฟ้า ก. พลงั งานน้ำ ข. พลงั งานกา๊ ชธรรมชาติ ค. พลังงานถา่ นหนิ ง. พลงั งานนวิ เคลียร์ 5. เอกสารอ้างองิ หนังสอื เรยี น วชิ า พลังงาน ทรัพยากรและส่งิ แวดลอ้ ม รหัส 20001-1002 สำนักพมิ พ์เอมพนั ธ์ 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝกึ หดั เฉลยแบบทดสอบ ฯ) 1. ขอ้ ใดคือความหมายของคำว่า \"พลงั งาน\" ข. ความสามารถในการทำงาน 2. ข้อใดไม่ใชพ่ ลังงานจากแหลง่ ฟอสซิล ง. พลังงานความรอ้ นใต้พิภพ 3. ถ่านไฟฉายมพี ลังงานรูปแบบใด ค. พลงั งานศกั ย์ 4. ข้อใดเปน็ แหลง่ พลังงานทุตยิ ภูมิ ง. นำ้ มนั ปีโตรเลยี ม 5. พลงั งานประเภทใดทีจ่ ะมีความสำคัญต่อไปในอนาคต ข. พลังงานหมุนเวยี น 6. ความรูเ้ ร่ืองการเปลยี่ นรูปพลงั งนนำไปชป้ ระโยนในการอนุรักษพ์ ลงั งานได้อยา่ งไร ง ควบคุมการเปล่ยี นรูปพลังงานใหญเสียพลังงานนอ้ ยท่ีสดุ 7. พลังงานหมุนเวยี นประเภทใดที่ประทศไทยจะนำมาใช้ประโยชนม์ ากข้นึ ในอนาคต ข. แสงแดด 8. การเปลี่ยนรูปพลังงานทท่ี ำให้สญู เสยี พลงั งานนอ้ ย ทำให้เกิดผลดีในข้อใด ก. ประหยัดพลังงาน 9. กจิ การใดนำพลงั านมาไข้มากท่ีสุด ค. การคมนาคม 10. ประเทศที่พัฒนาแลว้ นิยมนำพลังงานดมาผลิตกระแสไฟฟา้ ง. พลังงานนวิ เคลยี ร์
ใบงาน ท่ี ........ 1........ 27 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี หนว่ ยที.่ .....บทท่ี 1.... รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสิง่ แวดล้อม สอนครง้ั ที่....1...... ชือ่ งาน........พลังงานและประเภทของพลังงาน เวลา.........2.........ชม. 1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ผู้เรียนสามารถแยกแยะชนดิ ของพลงั งาน และการเปลยี่ นรูปจากพลังงานอะไรเป็นพลงั งานอะไรได้ 2. สมรรถนะ ผู้เรยี นสามารถระบุ ชนดิ ของพลงั งาน และการเปล่ียนรูปจากพลงั งานอะไรเป็นพลงั งานอะไรได้ ถูกตอ้ ง 3. เครอื่ งมือ วสั ดุ และอุปกรณ์ ภาพกจิ กรรมการใช้พลังงาน 4. คำแนะนำ - 5. ข้อควรระวัง - 6. ลำดับข้ัน(การทดลอง/การปฏบิ ัตงิ าน) 1.ผเู้ รียนพิจารณารปู ภาพทก่ี าํ หนดให้ แลว้ บอกกิจกรรมทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับการใชพ้ ลงั งาน มาไมน่ อ้ ยกวา่ ภาพละ 7 กจิ กรรม พรอ้ มทัง้ ระบุความหมายของพลังงาน 2.ผู้เรยี นพจิ ารณาภาพตามที่กำหนดให้ว่ามพี ลังงานอะไรมาเกี่ยวขอ้ งบา้ ง และรูปภาพใดวา่ มีการเปลี่ยนแปลง พลังงานบ้าง 3.ผู้เรียนวาดภาพกจิ กรรมแสดงการเปลยี่ นรปู พลังงานมา 2 ภาพ และระบวุ า่ เปลย่ี นรปู จากพลงั งานอะไรเปน็ พลังงานอะไร 7. ผลการศกึ ษา - ดจู ากกิจกรรมทน่ี ักเรียนทำ และสามารถระบพุ ลังงานท่ีเปลยี่ นรปู ได้ถกู ตอ้ ง 8. สรปุ และวิจารณ์ผล ............................................................................................................................. .......................... .................................................................................................................................................................... ........ ............................................................................................................................. ............................... 9. การประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม
28 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลมุ่ 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสริมคณุ ธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏบิ ัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 10. เอกสารอ้างองิ /เอกสารคน้ คว้าเพิม่ เติม หนังสือเรยี นวชิ า พลงั งาน ทรัพยากรและสง่ิ แวดลอ้ มสำนักพมิ พเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อนิ เทอรเ์ นต็
29 แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยที่ 1 หลกั สูตร ประกาศนียบตั รวิชาชพี สอนคร้ังท่ี 1 (1-2) รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม ท-ป-น 2-0-2 ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ปฐมนิเทศ/ พลงั งานและประเภทของพลังงาน ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคญั พลงั งานมคี วามสาํ คญั ต่อสิ่งมชี ีวิตมากเพราะส่งิ มีชีวิตจะดาํ รงอยูไ่ ด้ต้องอาศยั พลงั งาน เพ่ือทําให้เกิด กระบวนการและปฏกิ ิริยาต่างๆ ในเซลลข์ องสิ่งมีชีวติ ทีเ่ รยี กวา่ กระบวนการเมตาบอลซิ มึ ถ้าหากไมไ่ ด้รับพลงั งาน เซลล์ท่ีเปน็ สว่ นประกอบของส่ิงมีชวี ิตจะตายทําให้สง่ิ มีชีวิตต้องตายไปดว้ ย นอกจากสิง่ มีชวี ติ จะใช้พลังงานในรปู ของ สารอาหารในการดำรงชวี ติ แล้ว ยังมกี ารใชพ้ ลังงานในรปู แบบอื่นๆ เช่น ความร้อน แสงสว่าง เปน็ ตน้ 2. สมรรถนะประจำหน่วย 1.นกั เรยี นสามารถวเิ คราะห์และสรุปความหมายของพลังงานได้ 2.นกั เรยี นสามารถวิเคราะห์รูปของพลงั งาน และการเปล่ยี นรูปพลงั งานได้ 3.นักเรียนสามารถวิเคราะห์การสูญเสยี พลังงานได้ 4.นักเรียนสามารถอธบิ ายแหล่งพลังงานและหน่วยพลงั งานได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ ปฐมนเิ ทศ 1.บอกจดุ ประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคำอธิบายรายวิชาตามหลกั สูตรฯ ได้ 2.บอกแนวทางวัดผลและการประเมินผลการเรยี นร้ไู ด้ พลงั งานและประเภทของพลงั งาน 1.วิเคราะห์และสรปุ ความหมายของพลังงาน 2.วเิ คราะห์รูปของพลงั งาน และการเปล่ียนรูปพลงั งาน 3.วเิ คราะห์การสญู เสยี พลังงาน 4.อธบิ ายแหล่งพลงั งานและหนว่ ยพลงั งาน 5.มกี ารพัฒนาคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ของผูส้ ำเรจ็ การศกึ ษา สำนกั งาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ท่ีครูสามารถสงั เกตไดข้ ณะทำการสอนในเรื่อง 5.1 ความมีมนษุ ยสัมพันธ์ 5.2 ความมีวนิ ยั 5.3 ความรบั ผิดชอบ 5.4 ความซ่ือสัตย์สจุ รติ 5.5 ความเชอ่ื มั่นในตนเอง 5.6 การประหยัด 5.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 5.8 การละเว้นสิ่งเสพติดและการพนัน 5.9 ความรกั สามัคคี 5.10 ความกตญั ญูกตเวที 5.11 แต่งกายตามขอ้ ตกลง ตรงเวลา รักษาส่ิงแวดลอ้ ม ใจอาสา
30 4. สาระการเรยี นรู้ ปฐมนเิ ทศ 1.จดุ ประสงค์รายวชิ า สมรรถนะรายวิชาและคำอธบิ ายรายวิชา 2. แนวทางวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียนรู้ พลังงานและประเภทของพลังงาน 1.พลังงานเพอื่ ชวี ิต 2.ความหมายของพลงั งาน 3.ประเภทของพลงั งาน 4.แหลง่ ของพลังงาน 5.หนว่ ยพลังงาน 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ (สัปดาหท์ ่.ี ..1........) ขั้นนำเข้าส่บู ทเรยี น 1.ครผู ู้สอนแนะนำจุดประสงค์ท่ีผู้เรียนจะได้จากหลักสตู ร โดยกำหนดให้ผ้เู รยี นทกุ คนตอ้ งเข้าใจหลักการวิธกี าร ป้องกัน แกไ้ ขปัญหาและการอนรุ กั ษพ์ ลังงาน ทรพั ยากร และส่งิ แวดลอ้ ม สามารถประยุกตใ์ ช้หลักการและวิธกี ารเพื่อ ปอ้ งกนั แก้ไขปัญหาและอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน ทรัพยากรและสิง่ แวดล้อมในงานอาชีพ มเี จตคติท่ีดตี ่อการอนุรักษพ์ ลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในงานอาชีพ 2.ครูสนทนากบั เรียนเรียนถงึ พลงั งาน (Energy) เปน็ ส่งิ จำเป็นสำหรับมนุษย์ทกุ คน นอกจากนี้พลังงานยังมี ประโยชนต์ อ่ การดำรงชีวติ ของมนุษย์หลายๆ ด้าน 3.ครูสนทนากับผเู้ รยี นเพ่อื ให้เหน็ ความสำคัญของการเรยี นวชิ าพลงั งาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม ขัน้ สอน 4.ผู้เรียนรบั ฟังคำชแ้ี จงสังเขปรายวิชาและการวดั ประเมนิ ผล ซกั ถามข้อปัญหารวมทั้งแสดงความ คดิ เหน็ เก่ียวกับการเรยี นวิชานี้ 5.ครูใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Discussion Method คือการจดั การเรียนรู้แบบอภิปรายพลงั งานเพอื่ ชีวิต ซ่ึงพลงั งานหมายถงึ พลงั ตา่ งๆ ทที่ ำมาใช้ใหเ้ กิดเป็นงานตามพระราชบญญั ตักิารพฒนั าและส่งเสรมพิ ลงังาน พ.ศ. 2535 พลังงาน หมายถงึ ความสามารถในการทํางานซ่งึ มอี ยูใ่ นตัวของส่งิ ของ ท่อี าจใหง้ านได้ ไดแ้ ก่ พลงั านหมนุ เวยี น และพลงั านส้นิ เปลือง เชน่ เช้ือเพลิง ความรอ้ น ไฟฟา้ เป็นต้น 6.ครูใช้เทคนคิ การสอนแบบ Small Group Discussion การจดั การเรียนรู้โดยใช้การอภิปรายกลุ่มยอ่ ย คือ กระบวนการเรยี นรูท้ ีผ่ ้สู อนจดั กล่มุ ผู้เรยี นออกเป็นกลมุ่ ย่อยประมาณ 4 – 8 คน ให้ผูเ้ รียนในกลุ่มมีโอกาสสนทนา แลกเปลย่ี นขอ้ มูลความคดิ เห็น ประสบการณใ์ นเร่ือง 6.1.พลงั งานเพ่ือชวี ิต 6.2.ความหมายของพลงั งาน 6.3.ประเภทของพลังงาน 6.4.แหลง่ ของพลังงาน 6.5.หนว่ ยพลงั งาน
31 4.ครูและผ้เู รียนใช้เทคนคิ การสอนแบบ Lecture Method การจัดการเรียนรแู้ บบบรรยาย คอื กระบวนการ เรยี นรู้ท่ีผสู้ อนเปน็ ผถู้ ่ายทอดความรูใ้ ห้แกผ่ ู้เรียนโดยการพูดบอกเลา่ อธิบายเนือ้ หาเร่ืองประเภทของพลังงาน ไดแ้ ก่ พลังงานศักย์ พลงงั านจลน์ และพลังงานภายใน พลังงานสามารถเปลย่ี นจากรปู แบบหนงึ่ ไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง เช่น การหงุ ตม้ อาหาร มีการเปลยี่ นแปลงพลงั งานเคมีไปเปน็ พลงั งานความรอ้ น เม่ือมีการเปล่ยี นรูปพลังงานมาก จะยิ่งมี การสูญเสยี พลังงานมาก หลกั การประหยัดพลังงานคือ การทาํ ให้กระบวนการเปลยี่ นรปู พลังงานมกี ารสูญเสยี พลังงาน ในรปู แบบทไ่ี ม่ต้องการใหน้ อ้ ยทส่ี ดุ 5.ผเู้ รยี นพิจารณารูปภาพทก่ี าํ หนดให้ แล้วบอกกิจกรรมทเ่ี กยี่ วข้องกบั การใชพ้ ลังงาน มาไม่น้อยกวา่ ภาพละ 7 กิจกรรม พรอ้ มทั้งระบุความหมายของพลงั งาน 6.ผู้เรยี นพิจารณาภาพตามที่กำหนดให้วา่ มพี ลังงานอะไรมาเกี่ยวขอ้ งบา้ ง และรูปภาพใดวา่ มกี ารเปล่ียนแปลง พลังงานบ้าง 8.ผู้เรยี นวาดภาพกิจกรรมแสดงการเปล่ียนรปู พลงั งานมา 2 ภาพ และระบวุ า่ เปล่ยี นรปู จากพลงั งานอะไรเป็น พลงั งานอะไร 9.ผูเ้ รยี นทำกจิ กรรมตามท่ีครกู ำหนดเกยี่ วกบั พลงั งาน ข้นั สรุปและการประยกุ ต์ 10.ผู้เรยี นวางแผนการเรยี น และนำความร้ทู ีไ่ ด้จากรายวิชาไปประยกุ ต์ใช้กับงานในชีวิตประจำวนั ทจี่ ำเปน็ โดยทวั่ ไป ซ่ึงทกุ คนจะตอ้ งวางแผนการทำงานตา่ ง ๆ ในอนาคต 11.ครูและผ้เู รียนรว่ มกนั สรปุ เนือ้ หาทเี่ รียนเก่ยี วกบั พลังงานเพือ่ ชวี ิต ความหมายของพลงั งาน ประเภทของ พลงั งาน แหลง่ ของพลังงาน และหน่วยพลงั งาน โดยการถามตอบ และจัดกิจกรรมประกอบ 12.ครแู นะนำเพมิ่ เติมให้ผู้เรยี นเขียนบญั ชแี สดงรายรับ-รายจ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อสรา้ งนสิ ัยความ พอเพียงใหแ้ ก่ตนเองและครอบครวั 13.ผู้เรยี นทำกจิ กรรมใบงาน และแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 14.สรุปโดยการถาม-ตอบ เพื่อประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวันและประเมนิ ผเู้ รียนตามแบบฟอร์มต่อไปนี้ ชอ่ื ผเู้ รียน ประสบการณพ์ ้นื ฐานการเรยี นรู้ วธิ ีการเรียนรู้ ความรู้ ทกั ษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5.
32 6. สื่อและแหลง่ การเรยี นรู้ 1.หนังสอื เรยี น วิชาพลงั งาน ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อม ของสำนักพมิ พเ์ อมพนั ธ์ 2.ส่ือ Power Point, วีดที ัศน์ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.รูปภาพประกอบ 5.แบบประเมินผลการเรยี นรู้ 7.หลกั ฐานการเรียนรู้ 1.บันทกึ การสอนของผ้สู อน 2.ใบเช็ครายช่ือ 3.แผนจดั การเรียนรู้ 4.การตรวจประเมินผลงาน 8.การวัดและประเมินผล 8.1 วธิ ีการ 1. สังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลมุ่ 4 ตรวจกิจกรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรียนรู้ แบบฝกึ ปฏิบัติ 6. ตรวจกิจกรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมนิ พฤติกรรมดา้ นคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 8.2 เครอื่ งมอื 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่ (โดยครู) 3. แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม (โดยผ้เู รยี น) 4. แบบประเมินผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏิบัติ 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงาน 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ โดยครูและผู้เรยี นร่วมกนั ประเมนิ 8.3 เกณฑ์ 1. เกณฑ์ผ่านการสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล ตอ้ งไม่มชี ่องปรบั ปรงุ 2. เกณฑ์ผ่านการประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกล่มุ คอื ปานกลาง (50 % ขึน้ ไป) 3. เกณฑ์ผ่านการสังเกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกล่มุ คอื ปานกลาง (50% ขึน้ ไป) 4. แบบประเมินผลการเรียนรู้มีเกณฑ์ผ่าน และแบบฝึกปฏบิ ัติ 50% 5. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงานมเี กณฑผ์ ่าน 50% 6. แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขึ้นอยู่ กบั การประเมินตามสภาพจริง
33 9.บันทึกผลหลงั การจดั การเรียนรู้ 9.1 ขอ้ สรุปหลังการจดั การเรียนรู้ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.2 ปัญหาที่พบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. 9.3 แนวทางแกป้ ัญหา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................
34 ใบความรทู้ ่ี .....1........... หนว่ ยท่ี....บทท่ี 1 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สอนคร้งั ท่ี......1 เวลา......2............ชม. รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม ชือ่ เรื่อง พลังงานและประเภทของพลังงาน 1. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1.วิเคราะหแ์ ละสรุปความหมายของพลังงาน 2.วิเคราะหร์ ูปของพลงั งาน และการเปล่ียนรูปพลงั งาน 3.วิเคราะหก์ ารสญู เสยี พลังงาน 4.อธบิ ายแหล่งพลังงานและหน่วยพลงั งาน 2. สมรรถนะ 1.นกั เรียนสามารถวิเคราะห์และสรุปความหมายของพลงั งานได้ 2.นักเรียนสามารถวิเคราะห์รูปของพลังงาน และการเปลีย่ นรูปพลังงานได้ 3.นักเรยี นสามารถวิเคราะห์การสญู เสียพลังงานได้ 4.นกั เรียนสามารถอธิบายแหล่งพลังงานและหนว่ ยพลงั งานได้ 3. เน้อื หาสาระ 1. ความหมายของพลงั งานและสง่ิ แวดลอ้ ม พลงั งาน หมายถึง ความสามารถของสิ่งใดสง่ิ หน่งึ ทีจ่ ะทำงานได้ งาน (Work) เป็นผลของการกระทำ ของแรงเปน็ เหตใุ หส้ ง่ิ น้ันเคลือ่ นที่ เช่น เปลวไฟที่เผากาน้ำจะเปลี่ยนนำ้ ให้เปน็ ไอน้ำและแรงดันไอน้ำจะดันฝากาน้ำ เผยอขึ้นได้ งานเช่นน้ี เรียกวา่ พลังงาน รถไฟเคลื่อนที่ไดเ้ พราะมีพลังงานมนุษย์เดินได้เพราะพลังงาน พลังงาน สามารถแปรรูปไปเป็นงานได้ เช่น พลังงานความร้อน ทำให้น้ำกลายเป็นไอและไอนี้ไปช่วยให้เครื่องจักรไอน้ำ ทำงานได้ พลงั งานไฟฟา้ ใช้ในการปั่นมอเตอร์ พลังงานอะตอมใช้ในการขับเคลอ่ื นเรือรบและเรอื รบดำน้ำ ประเภทของพลังงาน พลงั งานแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คอื 2.1 พลังงานใช้แลว้ หมด หรือที่นักวิชาการเรียกกนั วา่ พลังงานส้ินเปลือง หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ำมนั รวมทัง้ หินนำ้ มนั ทรายนำ้ มัน ถา่ นหิน และก๊าซธรรมชาติ ทเ่ี รียกว่าใชแ้ ลว้ หมดก็เพราะหามาทดแทนไม่ทัน การใช้ พลังงานพวกนี้ปกติแล้วจะอยู่ใต้ดนิ ถ้าไม่ขุดขึน้ มาใชต้ อนนี้ ก็เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ได้ในอนาคต บางทีจึง เรยี กวา่ พลงั งานสำรอง 2.2 พลังงานใช้ไม่หมด หรือ พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ไม้ กระดาษ ฟืน แกลบ กาก (ชาน)อ้อย ชีวมวล (เช่น มูลสตั ว์ และก๊าซชวี ภาพ) น้ำ (จากเขือ่ นไหลมาหมนุ กังหันปนั่ ไฟ) แสงอาทติ ย์ (ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ ผลิตไฟฟ้าได)้ ลม (หมนุ กังหันลมผลติ ไฟฟา้ ) และคลื่น (กระแทกใหก้ ังหนั หมนุ ปน่ั ไฟ) และที่ว่าใช้ไม่หมดก็เพราะ สามารถหามาทดแทนได้ เช่น ปลูกป่าเอาไม้มาทำฟนื หรือปล่อยน้ำจากเขื่อนมาปั่นไฟ แล้วไหลลงทะเลกลาง เป็นไอและเปน็ ฝนตกลงมาสู่โลกอีก หรอื แสงอาทิตยท์ ่ไี ดร้ บั จากดวงอาทิตย์อยา่ งไม่มีวันหมดสิน้ ความสำคัญของพลงั งาน มนุษย์นำพลังงานมาใชใ้ นการดำรงชีวิตตง้ั แต่สมัยโบราณ เริ่มจากการใช้ไฟฟา้ ท่เี กดิ จากการเสียดสี ของไม้หรือหินเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความอบอ่นุ แสงสว่างและการหุงตม้ อาหาร มนษุ ย์เรม่ิ รูจ้ กั ทำกังหนั วดิ น้ำ ทำกงั หันลมมา
35 เพื่อยกของหนักและบดเมล็ดธัญพืช พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญ ในการส่งเสริมสวัสดิภาพและความผาสุกของ ประชาชนแต่ละประเทศทั่วโลก พลังงานมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงของประเทศทั้งทางการเมือง การทหาร การเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันมีการใช้พลังงานมากขึ้น ในการพัฒนาเศรษฐกิจทุกสาขา เช่น อุตสาหกรรม การคมนาคมขนส่ง การไฟฟ้า เป็นต้น 2. ความสัมพนั ธ์ของพลงั งานและส่งิ แวดล้อมกบั การดำรงชีวติ ของมนุษย์ พลังงานกบั การดำรงชีวติ ของมนุษย์ - พลงั งานไฟฟา้ ไฟฟ้าคือพลังงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถูกแปรรูปเพื่อจัดส่งไปยังที่ต่าง ๆ โดยใช้สายไฟฟ้าเป็นตัว นำไป พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สำคัญและมนุษย์นำมาใช้มากที่สุด นับแต่ ทอมัส แอลวา เอดิสัน ประดิษฐ์ หลอดไฟสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2422 แล้ว ไฟฟ้าก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตของคนโดยเฉพาะสังคมใน เมือง การตดิ ตอ่ สอื่ สาร การคมนาคมขนสง่ การใหค้ วามรู้ การศึกษา การขยายตัวทางเศรษฐกจิ การเพิ่มผลผลิต การค้นควา้ วิจยั ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แหลง่ บันเทงิ การผลิตสนิ ค้าและการขายสินคา้ เหล่านี้ต้องอาศัย พลงั งานไฟฟ้าท้งั สิ้น สิ่งอำนวยความสะดวกที่เราใช้สอยในชวี ิตประจำวนั ล้วนต้องการพลงั งานในการทำงาน เช่น หลอดไฟกต็ อ้ งการไฟฟ้าเพอ่ื ส่องสวา่ ง รถยนตก์ ็ต้องการน้ำมันเพื่อการขับเคล่ือน แมแ้ ตร่ ถจักรยานยังต้องการแรง ถีบ แต่การจะส่งพลังงานต่อไปยังพ้ืนทีห่ ่างไกล การจะนำไปส่งให้อย่างง่ายที่สุดคอื การแปลงพลังงานอื่น ๆ เป็น พลงั งานไฟฟ้า และส่งไปตามสายไฟฟ้า นอกจากนีเ้ ทคโนโลยีด้านเคร่อื งใช้ไฟฟ้าได้มีการพฒั นาอย่างรวดเร็ว ดังท่ี เห็นได้รอบตัวในทุกวันนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ใช้เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานรูปอื่น เพื่อทำกิจกรรมใน ชวี ิตประจำวัน การผลติ ไฟฟา้ ในปัจจุบันและอนาคต การผลิตไฟฟ้าในปัจจุบันเป็นการผลิตร่วมกันของโรงไฟฟ้าประเภทตา่ ง ๆ เชื่อมโยงระบบส่งไฟฟา้ ด้วยสายส่งไฟฟ้า โดยมีศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า คอยควบคุมระบบการผลิตและส่งจ่ายกระแสไฟฟา้ ทำให้ สามารถเสริมกำลงั ผลิตแกก่ นั ได้ โดยในการผลิตพลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทยในปี 2550 จะใช้เชือ้ เพลิงจากก๊าซ ธรรมชาติมากที่สุด รองลงมาคือลิกไนต์ ถ่านหิน พลังน้ำ รับซื้อจากต่างประเทศ น้ำมันเตา และพลังงาน หมุนเวยี น ตามลำดบั สำหรับในอนาคต ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรม ภายในประเทศกำลังเจรญิ กา้ วหนา้ ประกอบกบั รฐั บาลมีนโยบายแนน่ อนที่จะขยายการพัฒนาไฟฟ้าไปสชู่ นบท กฟผ. จึงต้องมีการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าครอบคลุมระยะเวลา 17 ปี โดยแบ่งออกเป็นแผนหลักและแผน ทางเลือกทดแทน แล้วพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนไปตามสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ นอกจากนี้ กฟผ. ได้ศึกษา และวิจัยพลงั งานตามธรรมชาตอิ ืน่ ๆ มาทดแทน เช่น ลม แสงอาทติ ย์ ความรอ้ นใตพ้ ิภพ สำหรับการผลิตไฟฟ้า ในอนาคตอีกด้วย - พลงั งานเชอ้ื เพลงิ สำหรับยานพาหนะ พลงั งานเชื้อเพลงิ ทไ่ี ดใ้ ชเ้ ปน็ นำ้ มันเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ เตมิ ยานพาหนะได้แตกตา่ งกันไป ดังนี้ 1. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือแอลพีจี ใชส้ ำหรบั รถยนต์
36 2. น้ำมันเบนซิน (ก๊าซโซลีน) น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน เช่น รถยนต์ส่วน บคุ คล รถจกั รยานยนต์ 3. นำ้ มันเครอ่ื งบิน ใชส้ ำหรบั เคร่อื งบนิ ใบพัด เครอ่ื งบนิ ไอพ่น 4. น้ำมนั ดีเซล นำ้ มนั เช้อื เพลงิ สำหรับเครอ่ื งยนต์ดเี ซล แบง่ เปน็ 2 ประเภท คอื 1) นำ้ มันดเี ซลหมุนเร็ว หรือ น้ำมนั โซล่า ใช้สำหรับเคร่อื งยนต์ดีเซลรอบหมุนเร็วที่ใช้กับ ยานยนต์ เชน่ รถยนต์ รถบรรทกุ เรือประมง รถแทรกเตอร์ และเคร่ืองจักรกลหนัก 2) นำ้ มันดเี ซลหมุนช้า หรือ น้ำมันขโี้ ล้ สำหรบั เครื่องยนต์ดเี ซลรอบหมนุ ปานกลางหรือ รอบหมนุ ช้า เช่น เครอื่ งยนต์ดีเซลขบั สง่ กำลงั ติดตงั้ อยู่กับท่ีตามโรงงานตา่ ง ๆ 5. ไบโอดีเซล เปน็ เช้อื เพลิงดีเซลทางเลอื กท่ีผลิตจากแหล่งทรัพยากรหมุนเวียน เชน่ น้ำมัน พืช ไขมันสัตว์ หรือสาหร่าย มีคุณสมบัติการเผาไหม้เหมือนกับดีเซลจากปิโตรเลียมมาก สามารถใช้แทนกันได้ สามารถยอยสลายได้เอง ตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติ และไมเ่ ป็นพษิ 6. นำ้ มนั แกส๊ โซฮอล์ หรือทนี่ ิยมเรยี กว่า E10 คอื นำ้ มนั เชอ้ื เพลงิ สำหรบั รถยนต์ ที่เกิดจาก การผสมระหว่าง นำ้ มนั เบนซนิ 90% กบั แอลกอฮอล์ 10% 7. น้ำมนั เตา นำมาใชเ้ ปน็ เช้ือเพลิงสำหรับเรอื และอุตสาหกรรม นอกจากน้ียังสามารถใช้กับ เครื่องยนตด์ ีเซลรอบปานกลาง น้ำมันเตาช่วยลดก๊าซซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ จากการเผาไหม้ที่ออกสู่บรรยากาศของ โรงงานอุตสาหกรรม - พลังงานเพอื่ การประกอบอาหาร ในการประกอบอาหารจำเป็นต้องทำใหอ้ าหารนน้ั สกุ เสยี ก่อน โดยใชพ้ ลังงานความร้อน พลังงาน ความร้อนที่ใช้ในอดีตมักใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ฟืน ถ่านไม้ แกลบ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันนิยมใช้พลังงาน ความรอ้ นทไ่ี ดม้ ากจากเชือ้ เพลิงฟอสซิล น่นั คือ ก๊าซหุงตม้ ในครวั เรือน หรอื ท่ีเรียกว่า ก๊าซปิโตรเลยี มเหลว หรือ กา๊ ซแอลพจี ี (liquefied Petroleun Gas-LPG) แหล่งของพลังงาน แหล่งกำเนิดพลังงานเป็นต้นกำเนิดที่ก่อให้เกิดพลังงานในการทำงานได้ แหล่งกำเนิดพลังงาน มี ความหมายถึง สสารหรือวัตถุที่มีพลังงานอยู่ในตัวเอง และจะถ่ายเทหรือปลดปล่อยพลังงานที่มีออกมาเมื่อผ่าน กระบวนการแปรรูป ส่งผลให้ตัวมนั เองมีความสามารถในการทำงานได้ เช่น เชื้อเพลงิ ต่างๆ (ถ่านหิน น้ำมนั เป็นต้น) เมื่อถูกเผาไหม้จะเกิดปฏกิ ิริยาเคมีจากนั้นจะให้พลงั งานออกมา ซึ่งพลังงานที่ได้ออกมาเป็นพลังงานความ ร้อน เป็นต้น โดยทั่วไปแหล่งกำเนิดพลังงานจะมีมวล (Mass) มีตัวตน แหล่งกำเนิดพลังงานแบง่ ออกได้หลาย ประเภท ในบทนี้จะกลา่ วถงึ พลังงานทม่ี าจากฟอสซิล (Fossil fuels) ซ่ึงหมายถึง แหล่งกำเนิดพลังงานทมี่ ีต้นกำเนดิ มาจากการทับถมของซากพชื ซากสัตว์หรอื ที่เรียกกันว่าแรฟ่ อสซิล แหล่งกำเนิดพลงั งานชนิดน้เี มื่อนำมาใช้แล้วจะ หา หรือผลิตทดแทนไม่ได้ หรือต้องใช้เวลานานมากจึงจะผลิตมาทดแทนได้ เป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป แหลง่ กำเนิดพลงั งานประเภทน้ี ไดแ้ ก่
37 1. ปโิ ตรเลียม (Petroleum ปโิ ตรเลยี ม (Petroleum) หรือเรยี กอกี อยา่ งว่า นำ้ มนั ดบิ เกดิ จากการทับถมและสลายตัวของ อินทรียสารจากพืชและสัตว์ที่คลกุ เคล้าอยู่กับตะกอนในชั้นกรดวดทรายและโคลนตมใต้พืน้ ดิน เมื่อเวลาผ่านไปนบั ลา้ นปี ตะกอนเหลา่ นจี้ ะจมตัวลงเร่ือย ๆ เน่ืองจากการเปลีย่ นแปลงของผิวโลก ถกู อัดแน่นด้วยความดันและความ รอ้ นสูง และมปี ริมารออกซิเจนจำกัด จงึ สลายตวั เปลยี่ นสภาพเป็นแก๊สธรรมชาติและน้ำมนั ดิบแทรกอยู่ระหว่างชั้น หนิ ที่มีรูพรนุ ปโิ ตรเลียมจากแหลง่ ต่างกันจะมปี รมิ ารของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน รวมทง้ั สารประกอบของกำมะถัน ไนโตรเจน และออกซเิ จนแตกต่างกัน โดยขน้ึ อยู่กบั ชนดิ ของซากพืชและสตั ว์ทเี่ ปน็ ต้นกำเนิดของปิโตรเลียม และ อิทธิพลของแรงท่ีทบั ถมอยู่บนตะกอน ปโิ ตรเลียมที่เกิดอยใู่ นชน้ั หนิ จะมีการเคลือ่ นตวั ออกไปตามรอยแตกและรูพรุน ของหินไปสู่ระดับความลึกน้อยกว่า แล้วสะสมตัวอยู่ในโครงสร้างหินที่มีรูพรุนมีโพรงหรือรอยแตกในเนื้อหินท่ี สามารถใหป้ ิโตรเลียมสะสมตวั อยไู่ ด้ ดา้ นบนเป็นหินตะกอนหรือหินดนิ ดานเนอ้ื แนน่ ละเอียดปิดก้ันไม่ให้ปิโตรเลียม ไหลลอดออกไปได้ โครงสร้างปิดกน้ั ดังกลา่ วเรียกว่า แหล่งกกั เก็บปิโตรเลียม การใช้ประโยชน์จากปิโตรเลียม การนำปิโตรเลียมไปใชป้ ระโยชน์ในรปู แบบต่าง ๆ สรปุ ได้ดงั นี้ - ใช้ในการขนส่ง ประมาณร้อยละ 46 ของปิโตรเลียมได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับ รถยนตใ์ นระบบเคร่อื งยนต์เผาไหม้ภายใน ซึ่งไดแ้ ก่ น้ำมนั เบนซิน นำ้ มันดเี ซล น้ำมันเครือ่ งบนิ และไอพ่น น้ำมัน เตาสำหรับรถไฟ และเรอื - ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนมากใช้น้ำมันเตา และแก๊สธรรมชาติในโรงงาน อุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน แก๊สหุงต้ม และในอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เครื่องสูบน้ำ ฯลฯ ซึ่ง สว่ นมากจะใชน้ ำ้ มนั เบา เป็นเช้ือเพลงิ - ใช้ในเครื่องกำเนิดความร้อน และให้แสงสว่าง น้ำมันหนัก มักจะมีการนำมาใช้ในเครื่องกำเนดิ ความ รอ้ นของประเทศในแถบหนาว สำหรบั โรงงาน สำนกั งาน และทีพ่ กั อาศยั น้ำมนั เบากม็ ีความสำคญั เชน่ กัน อาทิ นำ้ มันก๊าด ใชเ้ ป็นเชือ้ เพลงิ ให้แสงสว่าง และหงุ ตม้ ในทอ้ งถ่นิ ทยี่ งั ไม่เจรญิ หรืออยู่ห่างไกลแก๊สโพรเพน และบิวเบน ใช้เป็นเช้อื เพลงิ หุงตม้ ในครวั เรือน - ใช้เป็นวัสดุหล่อลื่น ประมาณร้อยละ 1-2 ของน้ำมันดิบที่ผ่านกระบวนการกลั่น จะได้รับการแปร สภาพไปเปน็ นำ้ มันหลอ่ ลน่ื และจาระบี สำหรับการขนส่งเครอื่ งยนตแ์ ละโรงงานอุตสาหกรรม - ประโยชนอ์ ื่นๆ อาทิเชน่ แอสฟัลต์ บทิ ูเมน น้ำมนั ดิน ใช้ราดถนน ฉาบหลงั คา และใช้เป็นสารกันน้ำ ขี้ผึ้ง ใช้ทำเทียนไข วัสดุกันซมึ วัสดขุ ดั มนั และเป็นเช้อื เพลงิ ใหแ้ สงสว่าง - สารปิโตรเลียม ปิโตรเลียมใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ซึ่งจะนำไปสู่การผลิต พลาสติกและสารสังเคราะห์มากมายหลายชนิด เส้นใยสังเคราะห์ และสิ่งทอสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สาร คาร์บอนดำ ฯลฯ
38 2. ถ่านหนิ (Coal) ถา่ นหิน (Coal) เป็นเชอ้ื เพลิงทีม่ ปี ริมาณมากที่สุดของประเทศไทย คอื ราว 2 ใน 3 ของเชือ้ เพลิงทั้งหมด ถ่านหิน เป็นสารประกอบคาร์บอนทีเ่ กดิ จากการสะสมตัวของซากพืซตามธรรมชาติ และเกิดปฏิกิริยาทางชีววทิ ยา และทางเคมี ภายใตค้ วามกดดันสูงจนทำใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงเปน็ สารประกอบคารบ์ อน ถ่านหินทมี่ ีคารบ์ อนผสม อยู่ในปริมาณสูงถือว่ามีความบริสุทธิ์มาก ซึ่งจะให้ความร้อนสูงเมื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง การนำถ่านหินไปใช้ ประโยชนต์ อ้ งผ่านกระบวนการกลัน่ สลายเสียกอ่ น การกล่ันสลายถา่ นหนิ คือ การนำถ่านหนิ ไปเผาในท่ซี ง่ึ มอี ากาศ จำกัด ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ไดนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นมากกว่าการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง ที่ได้จากการกลนั่ สลายคอื ถ่านโค๊ก นำไปใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงในงานอุตสาหกรรมต่างๆ เชน่ โรงงานถลุงแรเ่ หล็ก ยางมะตอย เป็นต้น ปจั จบุ ันสามารถแบ่งประเภทของถ่านหนิ ตามลำดับช้นั เปน็ 5 ชนิด ไดด้ ังนี้ 1) พีต (Peat) เป็นถ่านหินที่เกิดในลำดับแรก ๆ ของกระบวนการเกิดถ่านหินยังคงสภาพการ สะสมของซากพืช มักสะสมในกลุ่มที่ชน้ื แฉะ มีคารบ์ อนเป็นองค์ประกอบอยู่ประมาณรอ้ ยละ 60 และมอี อกซิเจน ร้อยละ 30 พตี จะถกู แบคทีเรียแปรสภาพเป็นอินทรียวัตถุ มีความช้นื สงู แต่เมื่อแหง้ จะตดิ ไฟได้ดี 2) ลิกไนต์ (Lignite) เป็นถ่านหินที่พบมากท่ีสดุ ในประเทศไทย มีคุณภาพต่ำคือใหค้ วามร้อนได้ ต่ำ คือจะใหค้ วามรอ้ นน้อยกว่า 8,300 บที ีย/ู ปอนด์ มขี ้ีเถ้าจากการเผาไหมม้ าก สนี ำ้ ตาลเขม้ จนถึงดำ เน้อื แข็ง มคี วามชืน้ ตำ่ ไมค่ ่อยมีโครงสรา้ งของพืชเหลอื อยู่ มคี าร์บอนเปน็ องคป์ ระกอบอยูร่ ้อยละ 55-65 แหล่งกำเนิดท่ี สำคัญคอื เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง 3) ซับบิทูมินัส (subbituminous) เป็นเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพเหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟ้า มีคุณภาพต่ำกว่าบิทูมินัส มีสีดำ มีอายุการสะสมนานกว่าลิกไนต์ มีคาร์บอนร้อยละ 65-80 มีความชื้นต่ำกว่า ลิกไนต์ เมื่อเผาจะให้ค่าความร้อน 8,300-13,000 บีทียู/ปอนด์ แหล่งกำเนิดที่สำคัญ คือจังหวัดลำปางและ จังหวดั ลำพูน 4) บิทูมนิ สั (Bitumionous Coal) เป็นถ่านหินทใ่ี ห้ความร้อนนอ้ ยกว่าแอนทราไซต์ เม่ือติดไฟ จะมีเปลวไฟเป็นสีเหลือง มีสีน้ำตาลถึงดำ มีคาร์บอนประกอบอยู่ร้อยละ 80-90 และมีสารระเหย (Volatile Matter) ประกอบอยูด่ ว้ ย มีความชน้ื ตำ่ เม่ือเผาจะให้ความรอ้ นต้งั แต่ 10,500 บีทยี /ู ปอนด์ขนึ้ ไป มีควันมาก แหลง่ กำเนดิ ทส่ี ำคัญได้แก่ อำเภอล้ี จังหวัดลำพนู อำเภอแมร่ ะมาด จงั หวัดตาก 5) แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็นถ่านหนิ ที่มีคุณภาพดีทส่ี ุดและให้ความรอ้ นออกมาสูงสุด มี สีดำเนื้อแข็ง มีความวาว มีคาร์บอนประกอบร้อยละ 86 ขึ้นไป ติดไฟยากแต่เมื่อเผาแล้วไม่มีควนั ให้ค่าความ รอ้ นสูงที่สดุ ถึง 15,500 บีทยี /ู ปอนด์ แหล่งกำเนิดที่สำคัญอยู่ท่ีกิง่ อำเภอนาด้วง จังหวดั เลย แต่เป็นเซมิแอนทรา ไซต์ (Semiantracite) คอื มีคณุ ภาพไม่สูงมากนัก ประโยชนข์ องพลังงานจากถ่านหนิ การใช้ถ่านหินเป็นที่นิยมกันมากเมื่อหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ และยิ่งเพิ่มมากข้ึน หลายเทา่ ตวั เมื่อเกดิ วิกฤตราคาน้ำมันในปี พ.ศ. 2516 ทำใหม้ กี ารใช้ถ่านหนิ เปน็ เช้อื เพลงิ ทดแทนนำ้ มนั มากขนึ้ ทงั้ การใชเ้ ป็นเชอ้ื เพลงิ ในการผลติ กระแสไฟฟ้าและในอตุ สาหกรรมต่าง ๆ การใช้ประโยชนจ์ ากถ่านหนิ อาจแบ่งได้หลัก ๆ เปน็ 2 ประเภท คือ
39 1. การใชถ้ ่านหนิ เปน็ เช้ือเพลิง ถา่ นหนิ ส่วนใหญจ่ ะถูกนำมาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนโ์ ดยตรงคือ ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า และในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการถลุงโลหะ ผลิตปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมอาหาร เป็นต้น จาก ข้อมูลของสำนกั นโยบายและแผนพนงั งานเมือ่ ปี พ.ศ. 2546 พบว่าในประเทศไทยใช้ถ่านหินลิกไนตใ์ นการผลิตไฟฟ้า ถึงร้อยละ 86 ส่วนที่เหลือรอ้ ยละ 14 ถูกนำไปใชใ้ นอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในขณะที่ภาพรวมทั่วโลกพบว่ามกี ารใช้ ถ่านหินเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าประมารร้อยละ 64 ซึ่งจะเห็นว่าปริมาณของถ่านหินที่ขุดขึ้นมาได้นั้นจะถูกใช้เป็น เชอื้ เพลงิ คอ่ นขา้ งมากโดยเฉพาะการผลิตกระแสไฟฟา้ 2. การใชถ้ ่านหินเพือ่ วตั ถุประสงค์อน่ื มีการใช้ถ่านหินเป็นแหล่งวัตถุดิบเพือ่ ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกหลายอย่างเช่น การนำมาผลิต เป็นถา่ นโค้กเทยี ม ถ่านกัมมันต์ ปยุ๋ ยูเรีย หรอื การนำมาสกดั เอานำ้ มันดิบ เปน็ ต้น 3. กา๊ ซธรรมชาติ (Natural Gas) ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas) คือ เชื้อเพลิงประเภทฟอสซิลอย่างหนึ่ง ซึ่งพบได้ในแอง่ ใต้พืน้ ดินหรือ อาจพบร่วมกับน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาตเิ ป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งประกอบด้วย ธาตุถ่านคาร์บอน (C) กบั ธาตไุ ฮโดรเจน (H) จบั ตวั กันเป็นโมเลกุล โดยเกดิ ขึ้นเองธรรมชาติ จากการทับถมของซากสิ่งมีชีวิตตามช้ันหิน ดิน และในทะเลหลายร้อยล้านปีมาแลว้ เชน่ เดียวกบั น้ำมัน และเนอื่ งจากความรอ้ นและความกดดนั ของผิวโลกจึง แปรสภาพเปน็ กา๊ ซ ก๊าซธรรมชาติ คือส่วนผสมของก๊าซไฮโดรคาร์บอน และสิ่งเจือปนต่าง ๆ ในสภาวะก๊าซสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนทพ่ี บ ในธรรมชาติได้แก่ มเี ทน อเี ทน โพรเพน บวิ เทน เพนเทน เปน็ ตน้ ส่ิงเจือปนอื่น ๆ ท่ีพบ ในกา๊ ซธรรมชาติ ไดแ้ ก่ คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจนไดซลั ไฟด์ เปน็ ต้น ก๊าซธรรมชาติจะไมม่ ีสี ไม่มีกลิ่น (ยกเว้นกล่ินที่เตมิ เพื่อให้รู้เมื่อเกิดการรั่วไหล) และไม่มีพิษ ในสถานะ ปกติมีสภาพเป็นกา๊ ซหรือไอทีอ่ ณุ หภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศจึงเบากวา่ อากาศ เม่อื เกดิ การร่วั ไหลจะฟ้งุ กระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเรว็ จึงไม่มกี ารสะสมลกุ ไหมบ้ นพื้นราบ การแยกกา๊ ซธรรมชาติ เราสามารถนำก๊าซธรรมชาตมิ าใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ไดโ้ ดยผ่านกระบวนการแยก หรือแปรสภาพกา๊ ซ ธรรมชาติ โรงแยกก๊าซธรรมชาตทิ ำหนา้ ที่แยกกา๊ ซธรรมชาติ หรือสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซ่งึ ปะปนกันหลาย ชนดิ ตามธรรมชาตอิ อกมาเปน็ กา๊ ซชนดิ ตา่ ง ๆ เพื่อนำไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สุดตามคณุ ค่าของก๊าซนน้ั ภายใต้ กระบวนการแยกกา๊ ซ แตใ่ นการแยกกา๊ ซตอ้ งใชอ้ ุณหภูมติ ่ำมาก ทำให้สารประกอบเหลา่ นแ้ี ขง็ ตัวและมีผลทำให้ท่อ ตนั ดังนัน้ จึงต้องกำจดั โดยผ่านกระบวนการดงั นี้ 4. หนว่ ยกำจดั สารปรอทเนอื่ งจากกา๊ ซธรรมชาติในอ่าวไทยมสี ารปรอทปนอยดู่ ้วย ดงั น้ันโรงแยกก๊าซต้อง มหี น่วยกำจดั สารปรอท เพื่อแยกสารประกอบออกจากก๊าซ 5. หนว่ ยกำจดั ความชน้ื การขจัดความชน้ื ออกจากก๊าซธรรมชาตเิ ปน็ ส่งิ จำเปน็ เพราะความช้นื หรือไอนำ้ จะกลายเปน็ นำ้ แขง็ เมอื่ เข้ากระบวนการลดอณุ หภูมิซง่ึ จะทำใหท้ ่ออุดตัน ไอนำ้ จะถูกกำจัดดว้ ยวธิ ีการทางเคมีท่ี เรียกว่า กระบวนการกรองโมเลกุล ซึ่งเปน็ สารที่มรี ูพรุนสงู สามารถดูดซับน้ำออกจากก๊าซ 6. หน่วยกำจัดกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ใช้สารละลายโปตสั เซียมคาร์บอเนต (K2CO3) ออกจากก๊าซ ธรรมชาตดิ ว้ ยด้วยการลดความดันเพมิ่ อุณหภมู ิทำใหค้ าร์บอนไดออกไซดถ์ กู ปล่อยออก
40 การใชป้ ระโยชนจ์ ากก๊าซธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ใช้เป็นเชื้อเพลิง ใช้ได้โดยตรงด้วย การใช้เปน็ เช้ือเพลงิ สำหรับผลติ กระแสไฟฟ้า หรือในโรงงานอตุ สาหกรรม เช่น อตุ สาหกรรมเซรามคิ อตุ สาหกรรม สุขภัณฑ์ ฯลฯ และเมอื่ นำไปอดั ใส่ถังด้วยความดันสูงก็สามารถนำไปใชเ้ ป็นเชอื้ เพลิงสำหรบั รถยนต์ได้ (NGV) และ นำไปผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกกา๊ ซ เพราะในตัวเนอื้ กา๊ ซธรรมชาติ มสี ารประกอบทเ่ี ปน็ ประโยชน์อยู่มากมาย เม่ือนำมาผ่านกระบวนการแยกท่โี รงแยกก๊าซแลว้ กจ็ ะได้ผลติ ภัณฑต์ ่างๆ มาใชป้ ระโยชน์ไดด้ งั น้ี 7. กา๊ ซมเี ทน (C1) ใช้เปน็ เชอ้ื เพลิงสำหรบั ผลิตกระแสไฟฟา้ ในโรงงานอตุ สาหกรรม และนำไปอัดใส่ถัง ดว้ ยความดันสงู เรยี กว่า ก๊าซธรรมชาตอิ ัด สามารถใช้เปน็ เช้ือเพลิงในรถยนต์ 8. กา๊ ซอีเทน (C2) และก๊าซโพรเพน (C3) ใชเ้ ป็นวตั ถุดบิ ในอตุ สาหกรรมปิโตรเคมขี ้นั ตน้ สามารถนำไปใช้ ผลติ เมด็ พลาสติก เส้นใยพลาสตกิ ชนิดต่าง ๆ เพือ่ นำไปใช้แปรรปู ต่อไป 9. กา๊ ซโพรเพน (C3) และกา๊ ซบิวเทน (C4) นำเอากา๊ ซโพรเพนกบั ก๊าซบิวเทนมาผสมกัน อัดใส่ถังเป็น กา๊ ซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied petroleum Gas-LPG) หรอื ทเ่ี รยี กว่า ก๊าซหุงต้ม สามารถนำไปใชเ้ ปน็ เชื้อเพลิง ในครัวเรือน ใชเ้ ชอ่ื มโลหะ และใชใ้ นอตุ สาหกรรมบางประเภทไดอ้ ีกดว้ ย 10. ไฮโดรคาร์บอนเหลว อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิ และความดันบรรยากาศ เมื่อผลิตข้ึน มาถึงปากบ่อบนแทน่ ผลิต สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นกา๊ ซบนแทน่ ผลิต เรียกว่า คอนเดนเสท สามารถขนส่งโดยทางเรอื หรอื ทางทอ่ นำไปกลน่ั เปน็ นำ้ มันสำเรจ็ รูปตอ่ ไป 11. ก๊าซโซลีนธรรมชาติ แม้ว่าจะมีการแยกคอนเดนเสทออกเมื่อทำการผลิตขึ้นมาถึงปากบ่อบนแท่น ผลผลิตแล้ว แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซ เมื่อผ่าน กระบวนการแยกจากโรงก๊าซธรรมชาติแล้ว ไฮโดรคาร์บอนเหลวเหล่านี้ก็จะถูกแยกออก เรียกว่า ก๊า ซโซลีน ธรรมชาติ หรือ NGL (Natural Gasoline) และส่งเข้าไปยังดรงกลั่นน้ำมัน เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำมัน สำเรจ็ รปู ได้เช่นเดียวกบั คอนเดนเสท และยังเปน็ ตวั ทำละลายซึง่ นำไปใชใ้ นอุตสาหกรรมบางประเภทไดเ้ ชน่ กนั 12. กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ เมื่อผา่ นกระบวนการแยกแล้ว จะถูกนำไปทำใหอ้ ยู่ในสภาพของแขง็ เรยี กว่า นำ้ แข็งแห้ง นำไปใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร อุตสาหกรรมน้ำอัดลมและเบียร์ ใช้ในการถนอมอาหารระหว่าง การขนส่ง นำไปเป็นวัตถดุ บิ สำคญั ในการทำฝนเทียมและนำไปใช้สร้างควนั ในอตุ สาหกรรมบันเทงิ อาทิ การแสดง คอนเสิร์ต หรือ การถา่ ยทำภาพยนตร์ คุณสมบัตขิ องกา๊ ซธรรมชาติ 6. เปน็ เชื้อเพลงิ ปโิ ตรเลยี มชนิดหนง่ึ เกิดจากการทบั ถมของสงิ่ มชี ีวติ นบั ลา้ นปี 7. เปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ประกอบด้วยกา๊ ซมีเทนเปน็ หลกั 8. ไมม่ สี ี ไมม่ กี ลิ่น ปราศจากพษิ (สว่ นมากกล่ินที่เราคนุ้ เคยจากก๊าซธรรมชาติเป็นผล มากจากการเติม สารเคมีบางประเภทลงไป เพ่ือให้ผู้ใช้ร้ไู ด้ทันทว่ งทเี มื่อเกิดเหตุการณ์กา๊ ซร่วั ) 9. เบากวา่ อากาศ (ความถ่วงจำเพาะ 0.5-0.8 เทา่ ของอากาศ) 10. ตดิ ไฟได้ โดยมีช่วงของการตดิ ไฟท่ี 5-15% ของปรมิ าตรในอากาศ และอุณหภมู ิท่สี ามารถติดไฟไดเ้ อง คอื 650 องศาเซลเซยี ส
41 ขอ้ ดีของก๊าซธรรมชาติ 10. เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่นำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสงู มีการเผาไหม้สมบูรณ์ และไม่มีกาก ของเชือ้ เพลงิ หลังจากการเผาไหม้ 11. กา๊ ซธรรมชาตไิ มท่ ำลายหรือกดั กรอ่ นอปุ กรณ์ และวัสดุในกระบวนการผลิต 12. ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก ซึง่ เปน็ สาเหตุของภาวะโลกร้อน เนือ่ งจากปล่อยความร้อนสู่บรรยากาศ โลกนอ้ ยกว่าเชือ้ เพลิงชนิดอ่นื 13. มคี วามปลอดภยั สงู ในการใชง้ าน เนือ่ งจากเบากว่าอากาศ จงึ ลอยขึ้นเม่ือเกดิ การรว่ั 14. มรี าคาถูกกว่าเชอื้ เพลิงปโิ ตรเลียมอ่นื ๆ เช่น นำ้ มัน นำ้ มนั เตา และกา๊ ซปิโตรเลยี มเหลว 15. สามารถสร้างมลู ค่าเพม่ิ ช่วยขบั เคลอื่ นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ 16. ไมม่ ฝี ุน่ ออกไซด์ของกำมะถนั และไนโตรเจนซึ่งเปน็ อันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดลอ้ ม 17. ขนส่งโดยทางทอ่ ทำให้เกดิ ความปลอดภยั ต่อชุมชนและส่งิ แวดลอ้ มมากกวา่ เชือ้ เพลิงชนิดอ่นื ซงึ่ ขนส่ง ทางรถยนต์หรือทางเรือ 18. ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยผลิตได้เองจากแหล่งในประเทศ จึงช่วยลดการนำเข้า พลงั งานเช้อื เพลิงอื่นๆ และประหยัดเงินตราตา่ งประเทศได้มาก 4. แบบฝึกหดั /แบบทดสอบ จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ีให้ถกู ตอ้ ง 1.พลงั งานมีประโยชนต์ อ่ การดำรงชีวิตของมนุษย์ในด้านใด 2.จงบอกความหมายของคำวา่ พลังงาน 3.พลังงานมกี ป่ี ระเภท ได้แกอ่ ะไรบา้ ง 4.พลังงานภายในได้แกอ่ ะไรบ้าง 5.รา่ งกายมนุษย์ตอ้ งการพลงั งานอะไร 6.พลังงานประภทใดใชแ้ ลว้ ไมม่ วี ันหมด 7.พลังงานทีไ่ ช้ในบนเรือนเปน็ พลังงานรปู แบบใด 8.ถา่ นหินที่พบในประหไทยส่วนใหญเ่ ป็นถน่ หนิ ประแภทใด 9.แหลง่ พลงั งานจำแนกตามกระบวนการผลิตได้กี่ประเภท อะไรบ้าง 10.โทรทัศน์สี 1 นว้ิ กนิ ไฟ 43วตั ต์ (จากแผ่นป้ายหลังเคร่อื ง) ใช้ไฟฟา้ อยใู่ นระดับ 200 หน่วp ตอ่ เดือน เสียคา่ ไฟเฉล่ียหน่วยละ1.6บาท เปิดใช้ 5 ชัว่ โมงตอ่ วนั จะเสยี ค่าไฟเดอื นละเท่าไร
42 ขอ้ สอบประจำหน่วยที่ 1 เรอ่ื ง พลังงานและประเภทของพลงั งาน วิชา พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม รหัส 20001-1002 ระดบั ปวช. คำชแ้ี จง: 1 ขอ้ สอบมีจำนวน 10 ขอ้ 2. ให้นักเรียนเขียนเครือ่ งหมาย X ขอ้ ท่เี หน็ วา่ ถกู ต้องที่สุดเพยี งข้อเดยี วลงในกระดาษคำตอบ 1. ขอ้ ใดคือความหมายของคำวา่ \"พลังงาน\" ก. สสารหรือวัตถุทม่ี พี ลงั านอยใู่ นตวั ข. ความสามารถในการทำงาน ค. สงิ่ ท่ีสามารถปลอ่ ยพลงั งานได้เมื่อเปลย่ี นรูป ง. ความสามารถทกี่ ่อใหเ้ กิดแรงงาน 2. ข้อใดไมใ่ ช่พลงั งานจากแหล่งฟอสซิล ก. หินน้ำมนั ข. แรน่ วิ เคลียร์ ค. ถา่ นหิน ง. พลงั งานความร้อนใต้พิภพ 3. ถา่ นไฟฉายมพี ลังงานรปู แบบใด ก. พลงั งานกล ข. พลงั งานจลน์ ค. พลังงานศักย์ ง. พลังงานเคมี 4. ข้อใดเป็นแหล่งพลงั งานทตุ ยิ ภมู ิ ก. กา๊ ชธรรมชาติ ข. น้ำมันดบิ ค. หนิ นำ้ มนั ง. นำ้ มันปโี ตรเลียม 5. พลังงานประเภทใดทีจ่ ะมคี วามสำคญั ต่อไปในอนาคต ก. พลังงานจากฟอสซลิ ข. พลังงานหมนุ เวียน ค. พลงั งานปฐมภมู ิ ง. พลังงานทุติยภมู ิ 6. ความรู้เรื่องการเปลยี่ นรปู พลังงนนำไปชป้ ระโยนในการอนรุ ักษพ์ ลังงานได้อย่างไร ก. คดิ ประดิษฐ์อุปกรณ์ทปี่ ระหยดั ไฟฟา้ ข. ตัตแปลงเครือ่ งใช้ไฟฟใ้ ห้ประหยัดไฟ ค. ปรับปรุงมาตรวดั ไฟฟา้ ให้ประหยดั ค่ไฟ ง ควบคุมการเปลย่ี นรปู พลงั งนใหญเสยี พลงั งานนอ้ ยท่ีสุด 7. พลงั งานหมนุ เวยี นประเภทใดท่ีประทศไทยจะนำมาใช้ประโยชน์มากข้ึนในอนาคต
43 ก. ลม บ. แสงแดด ค. คลนื่ ง. ความร้อนใตพ้ ภิ พ 8. การเปล่ยี นรปู พลงั งานทีท่ ำให้สูญเสียพลังงานน้อย ทำให้เกดิ ผลดีในขอ้ ใด ก. ประหยดั พลังงาน ข. ประหยดั ค่าใช้จย ค. ลดมลภาวะ ง. เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ทนทาน 9. กจิ การใดนำพลังานมาไขม้ ากที่สุด ก. การเกษตรกรรม บ. การอตุ สาหกรรม ค. การคมนาคม ง. การบริการ 10. ประเทศทพี่ ัฒนาแล้วนยิ มนำพลังงานดมาผลิตกระแสไฟฟา้ ก. พลังงานนำ้ ข. พลังงานก๊าชธรรมชาติ ค. พลงั งานถา่ นหนิ ง. พลงั งานนวิ เคลยี ร์ 5. เอกสารอ้างองิ หนังสือเรียน วิชา พลังงาน ทรพั ยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม รหสั 20001-1002 สำนกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ 6. ภาคผนวก (เฉลยแบบฝึกหัด เฉลยแบบทดสอบ ฯ) 1. ข้อใดคือความหมายของคำว่า \"พลังงาน\" ข. ความสามารถในการทำงาน 2. ข้อใดไม่ใชพ่ ลงั งานจากแหลง่ ฟอสซิล ง. พลงั งานความรอ้ นใต้พภิ พ 3. ถา่ นไฟฉายมพี ลงั งานรปู แบบใด ค. พลงั งานศกั ย์ 4. ข้อใดเป็นแหลง่ พลงั งานทตุ ยิ ภมู ิ ง. น้ำมันปโี ตรเลียม 5. พลังงานประเภทใดทจ่ี ะมีความสำคัญต่อไปในอนาคต ข. พลงั งานหมนุ เวียน
44 6. ความรเู้ ร่ืองการเปลี่ยนรูปพลงั งนนำไปชป้ ระโยนในการอนุรักษพ์ ลงั งานได้อย่างไร ง ควบคมุ การเปลี่ยนรูปพลงั งานใหญเสียพลงั งานน้อยทีส่ ุด 7. พลงั งานหมนุ เวียนประเภทใดที่ประทศไทยจะนำมาใชป้ ระโยชนม์ ากขน้ึ ในอนาคต ข. แสงแดด 8. การเปลี่ยนรูปพลังงานที่ทำให้สูญเสียพลังงานน้อย ทำให้เกิดผลดีในขอ้ ใด ก. ประหยดั พลงั งาน 9. กจิ การใดนำพลังานมาไขม้ ากที่สดุ ค. การคมนาคม 10. ประเทศท่ีพัฒนาแล้วนิยมนำพลงั งานดมาผลิตกระแสไฟฟา้ ง. พลังงานนวิ เคลยี ร์
ใบงาน ที่ ........ 1........ 45 หลกั สตู ร ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี หนว่ ยที่......บทท่ี 1.... รหัส 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ ม สอนครง้ั ท่.ี ...1...... ชือ่ งาน........พลังงานและประเภทของพลังงาน เวลา.........2.........ชม. 1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม ผู้เรียนสามารถแยกแยะชนิดของพลงั งาน และการเปล่ยี นรปู จากพลังงานอะไรเป็นพลงั งานอะไรได้ 2. สมรรถนะ ผู้เรยี นสามารถระบุ ชนดิ ของพลงั งาน และการเปล่ียนรูปจากพลงั งานอะไรเป็นพลงั งานอะไรได้ ถูกต้อง 3. เครอ่ื งมอื วัสดุ และอุปกรณ์ ภาพกิจกรรมการใช้พลงั งาน 4. คำแนะนำ - 5. ขอ้ ควรระวงั - 6. ลำดับขนั้ (การทดลอง/การปฏบิ ตั ิงาน) 1.ผเู้ รียนพิจารณารูปภาพท่กี าํ หนดให้ แลว้ บอกกิจกรรมที่เกีย่ วข้องกบั การใชพ้ ลงั งาน มาไมน่ อ้ ยกวา่ ภาพละ 7 กิจกรรม พรอ้ มทง้ั ระบุความหมายของพลงั งาน 2.ผู้เรียนพจิ ารณาภาพตามท่กี ำหนดใหว้ ่ามพี ลังงานอะไรมาเกีย่ วข้องบ้าง และรูปภาพใดว่ามีการเปล่ียนแปลง พลังงานบา้ ง 3.ผเู้ รยี นวาดภาพกจิ กรรมแสดงการเปลี่ยนรูปพลงั งานมา 2 ภาพ และระบุวา่ เปลี่ยนรูปจากพลงั งานอะไรเปน็ พลังงานอะไร 7. ผลการศกึ ษา - ดูจากกิจกรรมท่นี กั เรียนทำ และสามารถระบุพลังงานทีเ่ ปลี่ยนรปู ได้ถูกตอ้ ง 8. สรปุ และวิจารณผ์ ล ............................................................................................................................. .......................... .................................................................................................................................................................... ........ ............................................................................................................................. ...............................
46 9. การประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมรายบคุ คล 2. ประเมินพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม 4 ตรวจกจิ กรรมสง่ เสรมิ คุณธรรมนำความรู้ 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรียนรู้ แบบฝึกปฏบิ ัติ 6. ตรวจกจิ กรรมใบงาน 7. การสังเกตและประเมินพฤตกิ รรมด้านคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 10. เอกสารอ้างองิ /เอกสารค้นคว้าเพิ่มเตมิ หนังสอื เรียนวชิ า พลังงาน ทรัพยากรและส่ิงแวดล้อมสำนกั พิมพเ์ อมพนั ธ์ รหัส 20001-1002 และ อินเทอรเ์ นต็
47 แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 3 หลกั สูตร ประกาศนียบตั รวชิ าชพี สอนครงั้ ท่ี 3 (5-6) รหสั 20001-1002 พลังงาน ทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ ม ท-ป-น 2-0-2 ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ ความสัมพันธ์ของพลังงาน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม ทฤษฎี 2 ชม. 1. สาระสำคญั ดวงอาทิตย์เปน็ แหลง่ ที่ให้พลังงานกับโลก โดยสง่ พลงั งานในรปู ของการแผร่ งั สี พลังงานจากดวงอาทติ ย์นี้ พชื จะนาํ ไปใช้ในการสร้างสารอาหาร จึงนบั ไดว้ า่ ดวงอาทิตยม์ ีบทบาทสําคญั ท่กี อ่ ให้เกิดกระบวนการสังเคราะหแ์ สง และกระบวนการหายใจ พลังงานจากดวงอาทติ ย์จะถูกส่งต่อไปยังสง่ิ มชี วี ติ อ่นื ๆ คอื มนุษย์ และสตั ว์ การรบั -ส่ง พลังงานจากพืชไปยงั สตั วแ์ ละมนุษยน์ ้จี ะมีพลงั งานสว่ นหนึ่งสญู เสยี ไปกบั สงิ่ แวดลอ้ ม 2. สมรรถนะประจำหนว่ ย 1.นกั เรียนสามารถระบกุ ฎของธรรมชาติ และความหมาย ของระบบนิเวศได้ 2.นกั เรยี นสามารถอธิบายกฎของพลงั งาน กระบวนการ พลังงานในสง่ิ มชี วี ิตและการใช้พลังงานในระบบนเิ วศ ได้ 3.นักเรียนสามารถวเิ คราะหค์ วามสำคญั ของพลังงานทมี่ ีต่อระบบนิเวศได้ 4.นักเรียนสามารถสำรวจระบบนิเวศและบันทกึ การส่งผ่านพลงั งานในระบบนิเวศได้ 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1.ระบกุ ฎของธรรมชาติ และความหมาย ของระบบนิเวศได้ 2.อธิบายกฎของพลงั งาน กระบวนการ พลงั งานในสงิ่ มชี ีวิตและการใช้พลงั งานในระบบนเิ วศได้ 3.วิเคราะหค์ วามสำคัญของพลงั งานที่มีต่อระบบนเิ วศได้ 4.สำรวจระบบนเิ วศและบนั ทกึ การส่งผา่ นพลงั งานในระบบนเิ วศได้ 5.มีการพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงคข์ องผสู้ ำเร็จการศกึ ษา สำนักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ท่ีครสู ามารถสังเกตไดข้ ณะทำการสอนในเร่อื ง 5.1 ความมีมนษุ ยสมั พนั ธ์ 5.2 ความมีวนิ ัย 5.3 ความรับผดิ ชอบ 5.4 ความซ่อื สัตย์สจุ รติ 5.5 ความเชอ่ื มัน่ ในตนเอง 5.6 การประหยัด 5.7 ความสนใจใฝร่ ู้ 5.8 การละเวน้ สง่ิ เสพติดและการพนัน 5.9 ความรักสามัคคี 5.10 ความกตัญญกู ตเวที 5.11 แตง่ กายตามขอ้ ตกลง ตรงเวลา รกั ษาสง่ิ แวดลอ้ ม ใจอาสา
48 4. สาระการเรียนรู้ 1.ธรรมชาตขิ องสิ่งมีชวี ติ 2.กฎของธรรมชาติ 3.ระบบนิเวศ 4.กฎของพลงั งาน 5.กระบวนการพลงั งานในส่งิ มีชวี ติ 6.การใช้พลงั งานในระบบนิเวศ 7.ความสำคัญของพลังงานตอ่ ระบบนเิ วศ 5. กิจกรรมการเรียนรู้ (สปั ดาหท์ ี่...3........) ขนั้ นำเข้าส่บู ทเรยี น 1.ครแู ละผสู้ อนสนทนาเก่ียวกับส่งิ มชี ีวติ ทุกชนดิ เปน็ สว่ นหนง่ึ ของสง่ิ แวดล้อม มีบทบาทหนา้ ท่ีตอ่ สภาพแวดลอ้ ม แตกต่างกนั ออกไป และในที่สุดสงิ่ มชี ีวติ ทุกชนิดก็จะตอ้ งกลับคืนสสู่ ภาพแวดลอ้ มเพ่ือให้พชื นำมาใช้ อกี ตอ่ ไป 2.ครแู ละผเู้ รียนยกตวั อยา่ งส่ิงมชี วี ติ ต่างๆ ท่ีอยรู่ อบตัวผูเ้ รยี น หรอื เคยเหน็ ในชวี ติ ประจำวัน พรอ้ มแสดง รูปภาพการหมุนเวยี นของธาตใุ นสงิ่ มชี วี ติ ประกอบ ข้ันสอน 3. ครใู ช้สื่อ Power Point และรปู ภาพประกอบการเพื่ออธบิ ายเรื่องดังตอ่ ไปน้ี 1.ธรรมชาติของสิ่งมชี ีวิต 2.กฎของธรรมชาติ 3.ระบบนิเวศ 4.กฎของพลังงาน 5.กระบวนการพลงั งานในสิ่งมชี วี ติ 6.การใชพ้ ลงั งานในระบบนิเวศ 7.ความสำคัญของพลังงานต่อระบบนิเวศ 4.ครใู ช้เทคนคิ การสอนแบบ Discussion Method การจดั การเรยี นรู้แบบอภปิ รายถงึ ธรรมชาตขิ อง สงิ่ มชี ีวติ และกฎของธรรมชาติ ซง่ึ การดาํ รงชีวติ ของมนุษย์ กย็ ังตอ้ งอาศยั พลังงาน และธาตอุ าหาร จากธรรมชาติอยู่ ตลอดไป ดงั นั้นธรรมชาติจงึ เปน็ แหล่งที่ใหป้ ัจจัยท่ีสําคญั ที่สดุ ของส่ิงมชี วี ิตทุกชนดิ และธรรมชาติก็มีการควบคุมการ เปลย่ี นแปลงไปตามระบบของธรรมชาตซิ ึ่งเราเรยี กวา่ ระบบนิเวศ (Ecosystem)
49 5.ครูใช้สอื่ วดิ ีทัศน์ ประกอบการอธิบายเรอื่ งระบบนเิ วศ ซงึ่ ส่ิงตา่ งๆ ทมี่ อี ยใู่ นโลกจงึ ต้องมีการพ่งึ พาอาศยั ซึง่ กนั และกัน เรียกวา่ ระบบนเิ วศ หมายถงึ ระบบทม่ี ีความสมั พันธซ์ ่งึ กันและกัน ระหว่างสง่ิ มชี ีวิตดว้ ยกนั และระหวา่ ง สิ่งมชี ีวิตกบั สง่ิ ไมม่ ชี วี ิต ในแหลง่ ท่อี ยู่ ซง่ึ ทาํ ใหเ้ กิดการแลกเปลี่ยนสสาร และพลงั งานเปน็ วฏั จักร อาจสรุปความหมาย ของ ระบบนเิ วศได้ดงั นี้ 6.ครูแสดงรูปภาพความสัมพนั ธข์ องสงิ่ มชี วี ิตในระบบนิเวศให้ผู้เรียนดู 7.ครใู ชเ้ ทคนคิ วิธสี อนแบบ Simulation การจดั การเรียนร้แู บบสถานการณ์จำลอง คือกระบวนการเรียนรทู้ ่ี ผสู้ อนให้ผ้เู รียนเข้าไปอยูใ่ นสถานการณ์ท่สี ร้างขึน้ มาเก่ียวกบั องค์ประกอบ คือ 7.1 องค์ประกอบท่ีไมม่ ชี ีวติ 7.2 สว่ นประกอบทีม่ ีชวี ิต 8.ครูใช้สอื่ วิดีทัศน์ เพื่ออธิบายปจั จัยที่กำหนดลกั ษณะของระบบนิเวศ สิ่งมชี วี ิตในระบบนเิ วศย่อมเกดิ และ เลือกทอ่ี ยู่อาศัยในท่ที ี่เหมาะสมในการดำรงชวี ติ ดังน้นั ปจั จัยทีก่ ำหนดลกั ษณะของระบบนิเวศ ได้แก่ อุณหภมู ิ ภมู อิ ากาศ ความชนื้ แสงสว่าง ดนิ เปน็ ท่ีรวมของธาตุอาหารต่างๆ ไฟปา่ เป็นตน้ 9.ครบู อกประเภทของระบบนิเวศ ระบบนเิ วศอาจมีขนาดใหญ่ระดบั โลกทีเ่ รยี กว่าชีวาลยั ซงึ่ เป็นบรเิ วณท่ี หอ่ หุม้ โลกไว้ สามารถมีกระบวนการต่าง ๆ ของส่งิ มชี ีวติ เกิดขนึ้ ได้ หรอื อาจมีขนาดเลก็ เทา่ บ่อน้ําแห่งหนง่ึ หาก จำแนกระบบนิเวศต่างๆ ในโลกตามลักษณะแหลง่ ทอ่ี ยู่ แบง่ เปน็ ระบบนเิ วศในนำ้ และระบบนิเวศบนบก 10 ครูใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Demonstration Method การจดั การเรยี นรแู้ บบสาธิตเพ่อื การถา่ ยทอด พลงั งานในระบบนเิ วศ โดยการเปิดวดี ีโอ ซ่ึงดวงอาทิตยเ์ ปน็ แหลง่ ท่ีให้พลงั งานกับระบบนเิ วศของโลก โลกไดร้ บั พลงั งานในรปู ของการแผ่รังสี รงั สที ัง้ หมดทสี่ ่งมาจากดวงอาทิตยจ์ ะผ่านช้ันบรรยากาศของโลกเพ่ือใช้ในการ สังเคราะหแ์ สงเพียง 1% เท่านัน้ ผู้ผลิตคือพืชทม่ี ีคลอโรฟิลล์จะเปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นพลงั งานเคมี แล้วนำ พลงั งานเคมไี ปสังเคราะห์ สารประกอบที่มีโครงสร้างงา่ ยๆ คือ คารบ์ อนไดออกไซด์ ให้สารประกอบท่ีมโี ครงสร้าง ซบั ซอ้ นและมีพลังงานสงู คอื คารโ์ บไฮเดรต 11.ครใู ชเ้ ทคนคิ การสอนแบบ Discussion Method การจดั การเรียนรแู้ บบอภิปราย การถ่ายทอดพลังงานใน ระบบนเิ วศ 12. ครูใชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Demonstration Method การจัดการเรียนรู้แบบสาธิตห่วงโซ่อาหาร หมายถึง กระบวนการถา่ ยทอดพลงั งานในรปู สารอาหารจากผู้ผลิตไปสผู่ ู้บรโิ ภค โดยการกนิ กนั เป็นทอดๆ ลกั ษณะ ของหว่ งโซ่อาหาร 13.ครใู ชเ้ ทคนิคการสอนแบบ Discussion Method เพอื่ อภิปรายกฎของพลังงาน ซ่งึ การเปล่ยี นแปลง พลังงานในลกั ษณะต่างๆ จะเป็นไปตามกฎของพลังงานหรือทเี่ รียกว่ากฎของอณุ หพลศาสตร์ดงั น้ี 13.1. กฎแห่งการอนรุ ักษ์พลงั งาน 13.2. กฎแหง่ การสูญเสยี พลังงาน 14.ครใู ชเ้ ทคนคิ การสอนแบบ Demonstration Method การจัดการเรยี นรแู้ บบสาธิตเร่ืองกระบวนการ พลังงานในส่งิ มีชีวติ โดยเปดิ วีดที ัศน์ประกอบ
50 กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง และกระบวนการหายใจเป็นกระบวนการท่ีทําให้เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมตี ่างๆ แตกตา่ งกนั ออกไปมากมาย เปน็ กระบวนการททีเ่ กอ้ื กูลกันในระบบนิเวศ กล่าวคือ การสงั เคราะห์ด้วยแสงให้ ออกซเิ จนแก่ระบบนเิ วศและออกซเิ จนที่เกิดขึ้นนก้ี ็จะถูกนำไปใชใ้ นกระบวนการหายใจ สว่ นคาร์บอนไดออกไซด์ที่ เกิดจากกระบวนการหายใจกจ็ ะถูกนําไปใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 15.ครแู ละผเู้ รยี นใชเ้ ทคนิค Small Group Discussion โดยการอภิปรายกลุ่มย่อยเร่ืองการใชพ้ ลังงานใน ระบบนิเวศ ครูแสดงรูปของระดับการรบั -ส่งพลังงานซึ่งมีพชื เป็นผู้ผลติ อาหารขั้นต้นใหแ้ กร่ ะบบนเิ วศ 16.ครแู ละผู้เรียนอธบิ ายความสำคญั ของพลงั งานตอ่ ระบบนิเวศ โดยเปิดวดี ีทศั น์ให้ดูแต่ละกรณี 17.ผเู้ รียนสาํ รวจการสง่ ผ่านพลงั งานในระบบนิเวศท่ใี กลต้ วั แล้วเขียนภาพประกอบคาํ อธบิ าย 18.ผู้เรยี นแบง่ กลมุ่ กล่มุ ละ 5-7 คน สํารวจระบบนิเวศบริเวณสถานศกึ ษาตามความสนใจของแต่ละกลุม่ โดย กาํ หนดขอบเขตพื้นที่ที่จะศกึ ษาประมาณ 5x5 เมตร แล้วบันทกึ ส่ิงท่ีสำรวจลงในแบบสำรวจ และเขียนแผนภาพ บรเิ วณทสี่ ำรวจแสดงความสัมพนั ธร์ ะหว่างผผู้ ลิต ผู้บริโภคและผยู้ อ่ ยสลาย 19.ครใู หค้ วามรู้เพ่ิมเติมนอกเหนือจากเน้ือหาการเรียนการสอน เกยี่ วกับเงื่อนไขตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ในการตดั สินใจและการปฏิบัติกจิ กรรมต่าง ๆ ใหอ้ ยใู่ นระดับพอเพยี งนน้ั ต้องอาศยั ทง้ั ความรู้ และคุณธรรมเป็น พ้นื ฐาน กล่าวคือ (1) เงอื่ นไขความรู้ เปน็ ความรอบรเู้ ก่ียวกับวชิ าการต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง ความรอบคอบที่จะนำความรเู้ หล่านน้ั มาพจิ ารณาใหเ้ ชอื่ มโยงกัน เพ่ือการวางแผน และความระมดั ระวงั ในขั้นปฏิบตั ิ (2) เง่ือนไขคุณธรรม เป็นส่ิงทตี่ อ้ งเสรมิ สรา้ งให้มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซอื่ สัตย์สุจริตและมคี วาม อดทน มีความเพยี ร ใช้สตปิ ัญญาในการดำเนนิ ชีวติ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249