Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรู้สำหรับการปฏิบัติงานสรรพากร

ความรู้สำหรับการปฏิบัติงานสรรพากร

Published by audamnat.rd, 2020-06-24 04:13:04

Description: ความรู้สำหรับการปฏิบัติงานสรรพากร

Keywords: eRevenue

Search

Read the Text Version

๑๙๘ (๒) ใช๎กฎหมาย ระเบียบทเ่ี กี่ยวกับบทบาทดา๎ นวชิ าชีพของตนอยํางถูกต๎อง ตามเจตนารมณข๑ องกฎหมาย (๓) เคารพสิทธิ เสรีภาพ ศกั ด์ิศรคี วามเป็นมนุษย๑ของตนและบุคคลอนื่ อยํางเทาํ เทยี มกนั การมุง่ ผลสัมฤทธิ์ของงาน ข๎าราชการกรมสรรพากรต๎องปฏิบัตหิ นา๎ ท่ดี ๎วยความมงุํ ม่ันกระตือรอื ร๎นอยาํ ง เต็มความสามารถ เพ่อื ให๎งาน สาํ เร็จสมบูรณ๑อยาํ งมีประสทิ ธภิ าพและประสิทธิผล ดังนี้ (๑) มงุํ มั่นปฏิบัตหิ นา๎ ทใ่ี หบ๎ รรลผุ ลตามเปาู หมาย โดยวธิ ีการกระบวนการทถี่ ูกตอ๎ ง ดว๎ ยความรอบคอบ ใสํใจ ระมัดระวัง รวดเร็ว ทันเวลา มีคณุ ภาพ และเป็นธรรมด๎วยความเป็นมืออาชีพ (๒) ประสานงาน รวมพลังสามคั คีกบั ทกุ ฝุายทีเ่ กี่ยวข๎องเพ่ือปฏิบัตภิ ารกจิ ใหบ๎ รรลผุ ลเป็นประโยชน๑ตอํ สวํ นรวม (๓) พฒั นาตนเองให๎มคี วามรู๎ความสามารถและความชาํ นาญในการปฏบิ ัตงิ าน มีความคิดทีท่ ันสมยั เพอ่ื สรา๎ งสรรค๑ สงิ่ ใหมํ ๆ พรอ๎ มปรับตัวให๎ทันกบั ความเปล่ยี นแปลงทเ่ี กิดขึ้นอยเํู สมอ การดํารงชวี ิตตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง กรมสรรพากร พึงดาํ รงชีวิตโดยยดึ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง เพอ่ื สรา๎ งความเช่อื ถือศรัทธาและเปน็ ตน๎ แบบทีด่ ีแกํ บคุ คลทว่ั ไป ดังน้ี (๑) ดํารงชีวติ เปน็ ต๎นแบบท่ดี ีของประชาชนดว๎ ยความเรยี บงาํ ย ประหยดั เหมาะสมกับ ฐานะของตนและสังคม (๒) ยดึ คาํ นยิ มพงึ่ ตนเอง ไมํเบียดเบยี นผูอ๎ ืน่ รวมท้ังอนุรักษธ๑ รรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ๎ ม (๓) ประพฤติตามวฒั นธรรมประเพณที ่ีดีงามของสังคมไทย เพ่ือสบื ทอดความเปน็ ไทยให๎ ดํารงอยํูอยํางยงั่ ยืน ให๎ขา๎ ราชการ พนักงาน และลูกจา๎ งของกรมสรรพากรปฏบิ ัตติ ามจรรยาขา๎ ราชการ ดงั กลําวขา๎ งตน๎ โดยครบถว๎ น การไมํปฏิบัติตามจรรยาข๎าราชการอนั มใิ ชํเป็นความผดิ วินยั ให๎ผบู๎ งั คบั บญั ชา ตกั เตือน นําไปประกอบการพจิ ารณา แตํงตง้ั เล่ือนเงินเดือน หรือสั่งใหข๎ ๎าราชการผู๎น้นั ได๎รบั การพัฒนา ใหผ้ ู้อํานวยการสาํ นกั บรหิ ารทรัพยากรบคุ คล รกั ษาการตามขอ๎ บังคับน้ี พระราชบญั ญัติขอ้ มูลข่าวสารของราชการ ข๎อมูลขาํ วสารที่ต๎องเปิดเผยเป็นการทว่ั ไป ๑. ขอ๎ มูลขาํ วสารท่ลี งพิมพ๑ในราชกิจจานเุ บกษา (๑) โครงสรา๎ งและการจดั องค๑กรในการดาํ เนนิ งานของหนวํ ยงานของรัฐนัน้ (๒) สรปุ อาํ นาจหนา๎ ที่ทีส่ าํ คัญและวธิ กี ารดําเนนิ งาน (๓) สถานทตี่ ิดตํอเพ่อื ขอรบั ข๎อมูลขําวสาร หรอื คําแนะนําในการตดิ ตํอกบั หนํวยงานของรัฐ (๔) กฎ มติคณะรัฐมนตรี ข๎อบังคบั คาํ ส่ัง หนังสอื เวียน ระเบยี บแบบแผน นโยบายหรือการตีความ ทัง้ นี้ เฉพาะที่ จดั ใหม๎ ีข้นึ โดยมีสภาพอยํางกฎเพ่อื ใหม๎ ีผลเปน็ การทั่วไปตํอเอกชนทีเ่ กย่ี วขอ๎ ง (๕) ขอ๎ มูลขาํ วสารอ่ืนตามท่ีคณะกรรมการกําหนด ๒. ขอ๎ มูลขําวสารท่ีต๎องลงพิมพ๑ตามมาตรา ๗ (๔) แตยํ ังไมํไดล๎ งพมิ พ๑ในราชกจิ จานเุ บกษา จะนํามาใชบ๎ ังคบั ในทางท่ีไมํ เปน็ คุณแกผํ ใู๎ ดไมํได๎เวน๎ แตํผนู๎ ัน้ จะได๎รู๎ถึงข๎อมลู ขาํ วสารนนั้ ตามความเปน็ จรงิ มากํอนแล๎วเปน็ เวลาพอสมควร(ม.๘) ๓. ขอ๎ มลู ขาํ วสารทห่ี นํวยงานของรฐั ต๎องจดั ไวใ๎ หป๎ ระชาชนเข๎าตรวจดู ได๎แกํ (๑) ผลการพิจารณาหรือคําวินิจฉยั ทีม่ ีผลโดยตรงตํอเอกชน รวมท้งั ความเห็นแยง๎ และคําสง่ั ทเ่ี กี่ยวข๎องในการ พิจารณาวินจิ ฉัยดงั กลาํ ว (๒) นโยบายหรือการตีความท่ีไมํเขา๎ ขํายต๎องลงพมิ พ๑ในราชกิจจานเุ บกษาตามมาตรา ๗ (๔) (๓) แผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจาํ ยประจําปีของปที ่ีกําลงั ดําเนนิ การ (๔) คูมํ ือ หรือคําส่ังเกี่ยวกับวิธปี ฏิบัตงิ านของเจ๎าหน๎าทีข่ องรัฐซงึ่ มผี ลกระทบถงึ สทิ ธหิ น๎าทขี่ องเอกชน นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๑๙๙ (๕) สิ่งพิมพ๑ท่ีได๎มีการอ๎างอิงถึงตามมาตรา ๗ วรรคสอง (๖) สัญญาสมั ปทาน สญั ญาท่ีมีลกั ษณะเป็นการผูกขาดตัดตอนหรือสัญญารวํ มทนุ กับเอกชนในการจดั ทาํ บริการ สาธารณะ (๗) มติคณะรฐั มนตรี หรือมติคณะกรรมการท่ีแตํงตง้ั โดยกฎหมายหรือโดยมตคิ ณะรฐั มนตรี ทั้งนี้ให๎ระบรุ ายช่ือ รายงานทางวิชาการ รายงานขอ๎ เทจ็ จริงหรือข๎อมูลขําวสารทีน่ ํามาใช๎ในการพิจารณาไวด๎ ๎วย (๘) ข๎อมลู ขาํ วสารอน่ื ตามที่คณะกรรมการกําหนด (มาตรา ๙) ๔. ข๎อมูลขําวสารอ่นื ใดของราชการนอกเหนือจากขอ๎ มูลขําวสารตามมาตรา ๗ และมาตรา ๘ และมาตรา ๙ (ม.๑๑) ๕. ขอ๎ มูลขําวสารท่คี ัดเลือกไว๎ใหป๎ ระชาชนศกึ ษาคน๎ ควา๎ (เอกสารประวัตศิ าสตร๑) ขอ๎ มลู ขําวสารของราชการท่ีเปิดเผยเปน็ การเฉพาะ เชนํ ข๎อมูลขาํ วสารสวํ นบุคคล หมายความวํา ขอ๎ มลู ขาํ วสาร เกย่ี วกบั สง่ิ เฉพาะตวั บคุ คล เชนํ การศกึ ษา ฐานะการเงนิ ประวัติสุขภาพ ประวตั อิ าชญากรรมหรือประวตั ิการทํางาน บรรดาท่มี ชี อ่ื ของผน๎ู ้นั หรือเลขหมาย รหัส หรอื สิง่ บอกลักษณะอนื่ ท่ที ําให๎หมายความรวมถึงข๎อมลู ขําวสารเก่ยี วกบั สิ่ง เฉพาะตวั ของผ๎ูท่ถี ึงแกํกรรมแลว๎ ด๎วย (มาตรา ๔) ขอ้ มูลขา่ วสารทไี่ ม่ตอ้ งเปิดเผย ๑. ข๎อมูลขาํ วสารของราชการทีอ่ าจกํอให๎เกดิ ความเสียหายตอํ สถาบนั พระมหากษตั ริย๑จะเปิดมไิ ด๎ (มาตรา ๑๔) ๒. ขอ๎ มูลขําวสารของราชการที่เจา๎ หน๎าท่หี รอื หนวํ ยงานของรัฐอาจมคี าํ สัง่ มิใหเ๎ ปิดเผย โดยคํานึงถึง (๑) การเปิดเผยจะกํอใหเ๎ กิดความเสยี หายและความมั่นคงของประเทศความสัมพนั ธร๑ ะหวํางประเทศหรือความ มน่ั คงในทางเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ (๒) การเปดิ เผยจะทําให๎การบังคับใชก๎ ฎหมายเส่ือมประสิทธิภาพหรอื ไมํอาจสาํ เรจ็ ตามประสงค๑ (๓) ความเห็นหรอื คําแนะนาํ ภายในหนํวยงานของรฐั ในการดําเนนิ การเรอื่ งหนง่ึ เรอ่ื งใด แตทํ ั้งนไี้ มรํ วมถงึ รายงาน ทางวิชาการ รายงานข๎อเทจ็ จรงิ หรือข๎อมลู ขําวสารท่นี ํามาใชใ๎ นการทําความเหน็ หรือคําแนะนาํ ภายในดงั กลาํ ว (๔) การเปดิ เผยจะกํอใหเ๎ กิดอันตรายตํอชวี ติ หรือความปลอดภยั ของบุคคลหน่ึงบุคคลใด (๕) รายงานการแพทย๑หรอื ข๎อมลู ขําวสารสํวนบุคคล ซง่ึ การเปิดเผยจะเปน็ การรุกลํ้าสทิ ธิสวํ นบุคคลโดยไมํสมควร (๖) ขอ๎ มลู ขําวสารของราชการทมี่ ีกฎหมายค๎ุมครองมิให๎เปิดเผยหรอื ข๎อมลู ขําวสารท่ีมผี ู๎ให๎มาโดยไมํประสงค๑ให๎ทาง ราชการนาํ ไปเปิดเผยตํอผ๎อู ื่น (๗) กรณีอื่นตามทีก่ าํ หนดในพระราชกฤษฎีกา การบรหิ ารความเสยี่ ง “ความเสย่ี ง” หมายถึง โอกาสทจี่ ะเกิดความผดิ พลาดความเสยี หาย การรัว่ ไหล ความสูญเปลําหรือเหตกุ ารณ๑ซงึ่ ไมํพงึ ประสงค๑ ทท่ี าํ ให๎งานไมํประสบความสาํ เร็จตามวัตถปุ ระสงค๑และเปาู หมายท่ีกําหนด ๑.ป๓จจยั เสยี่ งภายนอก คอื ความเส่ียงทไี่ มสํ ามารถควบคมุ การเกดิ ไดโ๎ ดยองค๑กรเอง เชนํ เศรษฐกจิ / สงั คม / การเมือง / กฎหมาย/ คแูํ ขํง/ เทคโนโลยี/ ภัยธรรมชาติ/ สิง่ แวดลอ๎ ม ๒.ป๓จจัยเส่ยี งภายใน คอื ความเสยี่ งทส่ี ามารถควบคมุ การเกิดไดโ๎ ดยองค๑กรเอง เชนํ วัฒนธรรมองค๑กร/ นโยบาย การบริหารและการจดั การ/ ความร๎ู / ความสามารถทักษะของบุคลากร/ กระบวนการทํางาน/ ขอ๎ มลู / ระบบ สารสนเทศ/ เครื่องมอื อปุ กรณ๑ ทางเลือกในการจัดการความเสีย่ ง การยอมรับ(Take) คอื ความเสย่ี งท่ีหนํวยงานสามารถยอมรับไดภ๎ ายใต๎การควบคมุ ทมี่ ีอยํูในป๓จจุบัน การดแู ลแก๎ไข(Treat) คือความเส่ียงที่ยอมรับได๎แตตํ ๎องมีการแก๎ไขเก่ียวกับการควบคุมที่มีอยํูในปจ๓ จุบนั การโอนความเสย่ี ง(Transfer) คือความเสยี่ งท่ีสามารถโอนไปให๎ผอ๎ู นื่ ๆ ได๎ เชํน การจา๎ งบุคคลภายนอก เป็นต๎น นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๐๐ การยกเลิก(Terminate) คอื ความเสี่ยงทีไ่ มสํ ามารถยอมรับและตอ๎ งจัดการให๎ความเสยี่ งนั้นไปอยูํนอกเง่อื นไขของการ ดาํ เนนิ งาน โดยการหยุดดําเนินงานหรอื กจิ กรรมที่กอํ ให๎เกดิ ความเส่ยี งนั้น การเปลี่ยนแปลงวตั ถปุ ระสงค๑ในการ ดาํ เนนิ งาน การลดขนาดของงานทจ่ี ะดําเนินการหรอื กิจกรรมลง เป็นตน๎ สรปุ ประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรอื่ ง หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารจัดทาํ บช.๑ “คสู่ ัญญา”หมายความวาํ บคุ คลหรอื นิติบุคคลที่เป็นคูสํ ัญญากับหนํวยงานของรัฐ ๑. ให๎คสํู ญั ญาตามสัญญาซึ่งมีมลู คาํ ตั้งแต่หา้ แสนบาทข้ึนไปจดั ทําบญั ชีแสดงรายรับรายจํายตามแบบแนบทา๎ ย ประกาศย่ืนตํอกรมสรรพากรพร๎อมกับการย่ืนแบบเสียภาษีประจําปี โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส๑(ยื่นแบบทาง อินเตอร๑เน็ต)(บังคับใช๎ ๑ มกราคม ๒๕๕๘) แตํกํอนท่ปี ระกาศน้ีจะมผี ลบงั คบั ใช๎ ใหค๎ ํูสัญญาซึ่งมสี ญั ญามลู คาํ ตัง้ แตํ สองล๎านบาทข้ึนไป(รวมภาษมี ูลคําเพ่มิ )ตัง้ แตํวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ ถงึ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ มหี นา๎ ทแี่ สดง บญั ชรี ายการรบั จํายของโครงการ(บช.๑)ตอํ กรมสรรพากรพร้อมกับการย่นื แบบ ภ.ง.ด.๕๐,ภ.ง.ด.๕๑ หรือ ภ.ง.ด.๙๐ แล๎วแตกํ รณี หากการรับจํายเงินตามสัญญาทัง้ หมดเสร็จส้นิ ภายในปภี าษเี ดียวกัน(สําหรับบุคคลธรรมดา)หรือรอบระยะบัญชี เดียวกัน(สําหรับนิติบคุ คล)ใหย๎ ่นื พรอ๎ มกบั การย่นื แบบของปีภาษหี รอื ของรอบระยะบัญชนี ัน้ แตํถา๎ หากการรับจาํ ยเงิน ตามสญั ญาท้งั หมดไมํเสร็จส้ินภายในปภี าษีเดยี วกันหรอื รอบระยะบญั ชีเดยี วกนั ให๎ย่นื บัญชีแสดงรายรับรายจํายที่ เกดิ ขึ้นในแตลํ ะปีภาษหี รือแตํละรอบบญั ชีพร๎อมกับการย่ืนแบบของปภี าษีหรอื ของรอบระยะบญั ชีนน้ั ๒. ในระหวาํ งที่การจัดทาํ ระบบอเิ ลกทรอนิกส๑ยงั ไมํแล๎วเสร็จใหจ๎ ัดทาํ บช.๑ เป็นเอกสารยื่นตํอกรมสรรพากร ๓. การจัดทาํ บช.๑ ใหจ้ ัดทําแยกเป็นรายโครงการตามสญั ญา และนอกจากย่นื ตํอกรมสรรพากรแลว๎ คูสํ ัญญาตอ๎ ง บนั ทึกบญั ชีเป็นรายโครงการตามสญั ญา โดยต๎องเกบ็ และรักษาเอกสารหลักฐานประกอบไว๎ ณ สถานประกอบการ หรอื ทอี่ ยเํู ปน็ เวลาไมนํ ๎อยกวําห๎าปี นับแตรํ ะยะเวลาสิน้ สุดตามสัญญา ๔. ให๎คํสู ัญญายน่ื บช.๑ จนกวําจะสิ้นสดุ ภาระผูกพนั ตามสัญญา ยกเวน๎ คสูํ ัญญาท้ังสองฝุายเปน็ หนํวยงานของรัฐ หรอื เป็นนติ บิ คุ คลทต่ี ้ังข้ึนตามกฎหมายตาํ งประเทศ แตํได๎มีการสํงมอบหรือใหบ๎ ริการในประเทศและหนวํ ยงานของรฐั ไดช๎ ําระเงินตามสญั ญาให๎แกํคูํสัญญาออกไปตํางประเทศโดยตรง ๕. คูสํ ัญญาต้องรับและจา่ ยเงินผา่ นบญั ชีธนาคารเวน๎ แตกํ ารจํายเงินแตํละคร้ังมมี ูลคําไมเํ กนิ สามหมนื่ บาทคสํู ัญญา อาจจํายเปน็ เงินสดกไ็ ด๎ แตํไมํใชบ๎ ังคบั กับการรับเงินของคํูสัญญาในสัญญาสัมปทาน ๖. กรณีคํูสัญญาเปน็ บคุ คลตํางด๎าวหรือเปน็ นิตบิ ุคคลท่ีตง้ั ขึ้นตามกฎหมายตาํ งประเทศซ่ึงไมํมีตวั แทนตามประมวล รษั ฎากร ใหใ๎ ชป๎ ปี ฏิทินเป็นปีภาษีหรือรอบระยะบญั ชแี ลว๎ แตํกรณี หากบคุ คลหรอื นิตบิ ุคคลดังกลําวยงั ไมมํ ีเลข ประจาํ ตวั ผเ๎ู สียภาษตี ามกฎหมายไทย ให๎หนํวยงานของรัฐจัดทาํ คาํ ร๎องตํอกรมสรรพากร เพอ่ื จดั ให๎มีการออกเลข ประจาํ ตวั ผ๎ูเสียภาษีให๎ตํอไป ๗. หา๎ มมใิ ห๎หนํวยงานของรัฐกอํ นิติสัมพันธก๑ ับบุคคลหรือนิติบุคคลซงึ่ ขนึ้ บัญชไี วว๎ าํ ไมํไดแ๎ สดงบัญชีรายรับรายจาํ ย หรือแสดงไว๎ไมถํ ูกต๎องครบถ๎วนในสาระสําคญั เว๎นแตบํ ุคคลหรือนิตบิ คุ คลน้ันจะไดแ๎ สดงบัญชีหรือปรับปรุงแก๎ไขให๎ ถกู ต๎องและมกี ารสัง่ ถอนรายชื่อจากบัญชีดังกลําวแล๎ว ๘. กรณีที่กรมสรรพากรตรวจพบวําคํสู ัญญารายใดไมํย่ืนบัญชีแสดงรายรบั รายจําย ใหร๎ ายงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ เพ่อื ดาํ เนนิ การตามอํานาจหน๎าที่ตํอไป พระราชบัญญัติความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มผี ลใชบ๎ ังคบั ต้งั แตวํ นั ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ เป็นกฎหมายทวี่ างหลักเกณฑ๑เกี่ยวกบั ความรบั ผิดของ หนวํ ยงานของรฐั และเจา๎ หนา๎ ท่ใี นผลแหํงละเมิดท่ีเกิดขน้ึ แกํบคุ คลหนึง่ บคุ คลใดอนั เนือ่ งมาแตํการกระทําในการ นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๐๑ ปฏบิ ตั ิงานในหน๎าทีข่ องเจ๎าหน๎าท่ี ซึง่ ผลของการละเมิดนนั้ อาจจะเกิดแกเํ อกชนหรือเกิดแกํหนวํ ยงานของรัฐเองกไ็ ด๎ โดยพระราชบญั ญตั ิน้ีได๎กําหนดให๎ใชบ๎ ังคบั แกํหนํวยงานของรัฐอันไดแ๎ กํ กระทรวง ทบวง กรม ราชการสวํ น ภูมภิ าค ราชการสํวนท๎องถิน่ และรฐั วสิ าหกจิ ทจ่ี ัดตงั้ ขึ้นโดยพระราชบญั ญตั หิ รือพระราชกฤษฎีกาทุกแหํง สาระสาํ คญั ของพระราชบัญญัตินี้ แบงํ ออกเปน็ หัวข๎อใหญํ ๆ รวม ๒ หัวข๎อ ดงั นี้ ๑. กรณที ่ีเกดิ ละเมิดขน้ึ แกเํ อกชน และ ๒. กรณีที่เกิดละเมดิ ขึ้นแกํหนํวยงานของรัฐ ๑. กรณีทเ่ี กิดละเมดิ ข้ึนแก่เอกชน ในกรณที เี่ จ๎าหนา๎ ท่ีได๎ปฏิบัตกิ ารไปตามหน๎าท่ีแลว๎ เกดิ ละเมดิ ขึ้นแกํเอกชน พระราชบญั ญตั นิ ไ้ี ดก๎ ําหนดใหห๎ นวํ ยงาน ของรฐั ที่เจ๎าหนา๎ ท่นี ้ันสงั กดั อยูํเปน็ ผ๎รู บั ผิดชอบโดยตรงในผลแหํงละเมิดนนั้ และผูเ๎ สียหายสามารถฟูองร๎องใหห๎ นํวยงาน ของรฐั ชดใชค๎ าํ สนิ ไหมทดแทนแกตํ นได๎เทาํ น้นั จะฟูองรอ๎ งเจา๎ หน๎าที่ไมํได๎ (มาตรา ๕ วรรคหนึง่ ) หรอื แมแ๎ ตํในกรณที เ่ี จ๎าหน๎าท่นี น้ั ไมํไดส๎ ังกดั หนวํ ยงานของรฐั แหํงใด ผเ๎ู สียหายกจ็ ะฟอู งเจ๎าหนา๎ ทนี่ ้นั โดยตรงไมไํ ด๎ จะต๎องฟูองกระทรวงการคลงั แทน(มาตรา ๕ วรรคสอง) แตถํ ๎าการละเมิดนัน้ ไมไํ ด๎เกิดจากการกระทําในการปฏิบัติ หนา๎ ทผี่ ู๎เสยี หายกจ็ ะต๎องฟอู งตวั เจา๎ หนา๎ ท่ีผทู๎ าํ ละเมิดเทํานั้น จะฟูองหนํวยงานของรัฐไมํได๎ (มาตรา ๖) อยํางไรกด็ ี ในกรณีที่เกิดการละเมดิ ขึน้ แลว๎ และผ๎ูเสยี หายไดฟ๎ ูองคดตี ํอศาล โดยฟอู งให๎หนํวยงานของรัฐรบั ผิด ชดใชค๎ าํ สนิ ไหมทดแทน หากในกรณนี ้นั หนวํ ยงานของรฐั พิจารณาแลว๎ เหน็ วําเป็นเรื่องท่ีเจ๎าหน๎าท่ีต๎องรบั ผดิ เป็น สวํ นตัวหรอื เจา๎ หน๎าทต่ี อ๎ งรวํ มรับผดิ ในฐานะสํวนตวั ด๎วย หนวํ ยงานของรฐั ก็มสี ิทธขิ อใหศ๎ าลเรียกเจา๎ หน๎าทเ่ี ขา๎ มาเปน็ คูคํ วามในคดไี ด๎ หรอื ถ๎าผู๎เสยี หายฟูองให๎เจ๎าหน๎าท่ชี ดใชค๎ ําสินไหมทดแทน และในกรณนี ั้นเจา๎ หน๎าที่พิจารณาแล๎วเห็น วาํ เปน็ เรื่องที่หนํวยงานของรฐั ตอ๎ งรบั ผิดหรือต๎องรวํ มรับผิดด๎วย เจ๎าหนา๎ กม็ สี ทิ ธิขอใหศ๎ าลเรียกหนวํ ยงานของรัฐเขา๎ มาเป็นคํคู วามในคดีได๎เชนํ เดยี วกัน (มาตรา ๘ วรรคหนึง่ ) สําหรบั การฟูองเรียกคาํ สนิ ไหมทดแทนดังกลําวน้ี ผูเ๎ สียหายกจ็ ะต๎องฟอู งเสียภายในเวลา ๑ ปี นับแตํวนั ท่ี ผ๎ูเสียหายรูถ๎ ึงการละเมดิ และรู๎ตวั ผ๎จู ะตอ๎ งชดใชค๎ าํ สินไหมทดแทน หรอื ภายใน ๑๐ ปี นับแตวํ นั ทีม่ ีการทาํ ละเมิด มิฉะนนั้ ก็จะหมดอายุความฟอู งร๎อง ทั้งนี้ ตามมาตรา ๔๔๘ แหงํ ประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ แตํในคดีที่ ผ๎ูเสียหายฟอู งหนํวยงานของรัฐหรอื เจ๎าหนา๎ ทใี่ ห๎ชดใช๎คําสินไหมทดแทนน้นั ถ๎าหากศาลพิจารณายกฟอู ง เนื่องจาก หนํวยงานของรัฐหรอื เจ๎าหน๎าทซ่ี ึ่งถูกฟูองน้นั ไมํใชผํ ต๎ู อ๎ งรบั ผดิ ชดใชค๎ ําสินไหมทดแทน อายคุ วามในการฟูองร๎องผ๎ทู ี่ ต๎องรบั ผิดแตํไมํไดถ๎ ูกเรียกเขา๎ มาในคดีนั้นจะขยายออกไปอีกจนถงึ ๖ เดอื น นับแตวํ ันทค่ี ําพพิ ากษานนั้ ถึงที่สุด (มาตรา ๘ วรรคสอง) สําหรับการเรยี กรอ๎ งให๎หนวํ ยงานของรัฐชดใช๎คําสนิ ไหมทดแทนนั้น ผเ๎ู สยี หายไมํจาํ ต๎องฟอู งร๎องเป็นคดี ตํอศาลเสมอไป ผเ๎ู สยี หายจะย่นื คําขอตํอหนวํ ยงานนน้ั เองเพอ่ื ให๎พจิ ารณาชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทนกไ็ ด๎ ในกรณีเชํนน้หี นํวยงานของรฐั กจ็ ะต๎องพจิ ารณาคําขอน้นั โดยไมํชกั ช๎า และต๎องให๎แล๎วเสรจ็ ภายใน ๑๘๐ วัน แตํ หากพิจารณาไมํเสร็จภายในกําหนดเวลานัน้ กต็ อ๎ งรายงานป๓ญหาและอุปสรรคให๎รฐั มนตรเี จา๎ สังกดั หรือรัฐมนตรีผ๎ู กํากับดูแลทราบ และอาจขอขยายระยะเวลาออกไปได๎อกี ๑๘๐ วนั เมอ่ื หนํวยงานพิจารณาวินจิ ฉัยเปน็ ประการใดแลว๎ หากผ๎เู สยี หายไมํพอใจ กส็ ามารถร๎องทกุ ข๑ตํอคณะกรรมการวินิจฉยั รอ๎ งทุกขต๑ ํอไปได๎ภายใน ๙๐ วนั นับแตํวนั ทีไ่ ดร๎ ับ แจ๎งคาํ วนิ ิจฉยั ของหนวํ ยงานของรฐั (มาตรา ๑๑) หรอื ผ๎เู สียหายจะนาํ คดีข้นึ สํูศาลปกครองก็มสี ทิ ธนิ าํ คดีไปสํูศาล ปกครองได๎ภายในกาํ หนดเวลาดงั กลาํ วเชํนเดยี วกัน (มาตรา ๑๔) แมว๎ ําเจ๎าหนา๎ ทจ่ี ะไมํต๎องรับผิดโดยตรงตํอผ๎ูเสยี หายในการชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทนก็ตามแตํกไ็ มํไดห๎ มายความวํา เจา๎ หน๎าที่จะหลดุ พ๎นจากความรับผิดทงั้ หมดไปเสียทีเดยี ว กลําวคอื เจา๎ หนา๎ ทีต่ อ๎ งรับผิดชอบในจํานวนคาํ สนิ ไหม ทดแทนนนั้ ดว๎ ย ถ๎าหากตนได๎กระทาํ ใหเ๎ กดิ การละเมดิ ข้ึนด๎วยความจงใจหรอื ประมาทเลนิ เลอํ อยาํ งรา๎ ยแรง ในกรณีเชนํ นเี้ มือ่ หนวํ ยงานของรัฐได๎ชดใชค๎ ําสินไหมทดแทนให๎แกผํ เ๎ู สียหายไปแล๎ว ก็มสี ทิ ธมิ าไลเํ บี้ยเอาแกํ เจ๎าหน๎าท่ไี ด๎(มาตรา ๘ วรรคหน่งึ ) แตหํ นํวยงานของรฐั จะมสี ิทธิไลํเบย้ี ได๎มากน๎อยเพยี งใดนน้ั จะตอ๎ งพิจารณาถึง นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๐๒ ระดับของความร๎ายแรงแหํงการกระทําและความเป็นธรรมในแตลํ ะกรณเี ป็นเกณฑ๑ โดยเจา๎ หนา๎ ทีอ่ าจจะไมตํ ๎องถูกไลํ เบ้ียจนเตม็ จํานวนของความเสียหายก็ได๎ (มาตรา ๘ วรรคสอง) และถา๎ การละเมดิ นัน้ เกิดจากความผดิ หรือความ บกพรํองของหนํวยงานของรัฐหรอื เกดิ จากระบบการดาํ เนินงานสํวนรวม ก็ต๎องหักสํวนแหํงความรับผดิ นัน้ ออกเสีย ดว๎ ย จะให๎เจ๎าหน๎าท่ตี ๎องรบั ผิดชดใชค๎ าํ สนิ ไหมทดแทนในสํวนน้ไี มํได๎ (มาตรา ๘ วรรคสาม) นอกจากนั้น ถ๎าการละเมิดเกิดจากการกระทําของเจ๎าหน๎าท่หี ลายคน เจา๎ หนา๎ ที่แตํละคนกจ็ ะรบั ผดิ ชอบแตํ เฉพาะการละเมิดในสวํ นท่ีตนเปน็ ผูก๎ ระทําเทํานน้ั ไมตํ ๎องรํวมรบั ผิดไปถงึ ในสวํ นทค่ี นอื่นเปน็ ผ๎กู ระทาํ ดว๎ ย คือไมํให๎ถือ วาํ เจา๎ หน๎าทที่ กุ คนเปน็ ลูกหนี้รวํ มกันในมูลละเมิดนั้น (มาตรา ๘ วรรคส)ี่ หรือถา๎ เจ๎าหนา๎ ที่ไดช๎ ดใชค๎ ําสนิ ไหมทดแทน ให๎แกํผ๎ูเสียหายไปกํอน เจา๎ หน๎าทก่ี ็มีสทิ ธิมาไลํเบ้ียเอาจากหนวํ ยงานของรฐั ไดใ๎ นทํานองเดยี วกัน สทิ ธิในการไลํเบ้ยี ใน ทั้งสองกรณนี ี้มีอายุความ ๑ ปี นับแตวํ นั ทหี่ นวํ ยงานของรัฐหรอื เจา๎ หนา๎ ที่ได๎ชดใชค๎ าํ สินไหมทดแทนให๎แกํผเู๎ สียหาย (มาตรา ๙) ในกรณที ่หี นํวยงานของรัฐได๎ชดใชค๎ าํ สินไหมทดแทน ใหแ๎ กํผเู๎ สยี หายไปแล๎ว และเปน็ กรณที เ่ี จา๎ หนา๎ ท่ีต๎องรับ ผดิ ชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทนนน้ั ดว๎ ย หนํวยงานของรฐั ก็มีอาํ นาจออกคาํ สงั่ เรยี กให๎เจ๎าหน๎าท่ีชาํ ระเงินคาํ สินไหมทดแทน ดังกลาํ วภายในเวลาที่กําหนดได๎โดยไมตํ ๎องฟูองคดีตํอศาล (มาตรา ๑๒) ๒. กรณีท่เี กิดละเมิดขน้ึ แกห่ น่วยงานของรฐั ในกรณที เี่ จา๎ หน๎าท่ีได๎กระทําละเมดิ ตอํ หนวํ ยงานของรฐั ไมวํ าํ จะเป็นหนวํ ยงานของรฐั ทีเ่ จา๎ หน๎าทีน่ ้ันสังกัดอยํูหรือ หนวํ ยงานอน่ื ของรัฐก็ตาม ถ๎าการละเมิดนัน้ ไมํได๎เกดิ จากการกระทาํ ในการปฏบิ ัตหิ นา๎ ท่กี รณีกต็ ๎องบงั คับกันไปตาม บทบญั ญตั ิแหํงประมวลกฎหมายแพงํ และพาณิชย๑ อนั เปน็ หลกั ทว่ั ไปในเรื่องละเมิด แตถํ ๎าเกิดจากการกระทาํ ในการ ปฏิบัตหิ น๎าที่แลว๎ การจะเรยี กใหเ๎ จ๎าหน๎าทีน่ ัน้ ต๎องรบั ผดิ ชดใชค๎ ําเสียหายกต็ อ๎ งพจิ ารณาไปตามหลักเกณฑเ๑ ดียวกันกบั กรณที ่เี จ๎าหนา๎ ที่กระทาํ ละเมิดตอํ เอกชนท่กี ลาํ วไว๎แลว๎ ข๎างตน๎ กลาํ วคือ เจา๎ หนา๎ ทจ่ี ะต๎องรบั ผิดชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทน ใหแ๎ กํหนํวยงานของรัฐก็ตํอเม่ือได๎กระทาํ ไปโดยจงใจหรอื ประมาทเลินเลํออยํางร๎ายแรงเทํานนั้ หากไมํได๎จงใจหรือ ไมํไดป๎ ระมาทเลินเลํออยํางร๎ายแรง หรือประมาทเลินเลํอเรอ่ื งเลก็ น๎อยตามปกติธรรมดา เจา๎ หน๎าทก่ี ไ็ มํต๎องรับผิดชดใช๎ คําสนิ ไหมทดแทนให๎แกํหนวํ ยงานของรฐั สาํ หรับกรณที ่ีเจา๎ หนา๎ ทต่ี ๎องรบั ผดิ การจะเรียกให๎เจ๎าหน๎าท่ชี ดใช๎คําสินไหมทดแทนไดเ๎ ทาํ ใด กจ็ ะต๎องพจิ ารณา ถึงระดับความร๎ายแรงแหํงการกระทาํ และความเปน็ ธรรมในแตํละกรณไี ป เจ๎าหนา๎ ท่อี าจไมตํ ๎องชดใชจ๎ นเตม็ จํานวนก็ ได๎ และถ๎าหนํวยงานของรัฐหรือระบบการดําเนินงานสํวนรวมก็มสี ํวนผิดหรือมีความบกพรอํ งอยูดํ ว๎ ย กต็ อ๎ งหักสวํ น แหงํ ความรับผดิ นน้ั ออก จะให๎เจา๎ หน๎าที่ตอ๎ งรับผิดชอบในสวํ นน้ไี มํได๎ รวมทง้ั ในกรณที ี่การละเมดิ น้ันเกิดจากเจ๎าหนา๎ ที่ หลายคน เจา๎ หนา๎ ที่แตํละคนก็รับผดิ เฉพาะสวํ นทีต่ นไดก๎ ระทาํ ละเมิดเทําน้ันไมํตอ๎ งรบั ผิดอยํางลกู หนรี้ วํ ม (มาตรา ๑๐ วรรคหนงึ่ ประกอบกับมาตรา ๘) แตํไมํวําการละเมิดนัน้ จะเกิดจากการกระทําในทางปฏิบัตหิ นา๎ ทห่ี รือไมํก็ตามสทิ ธเิ รยี กร๎องคาํ สินไหมทดแทนใน ท้ัง ๒ กรณนี ้ัน จะมีอายคุ วาม ๒ ปี นบั แตํวันทห่ี นํวยงานของรัฐรถู๎ ึงการละเมิดและรต๎ู วั เจา๎ หนา๎ ที่ผ๎จู ะพึงต๎องชดใช๎คาํ สนิ ไหมทดแทน อยาํ งไรก็ดี ในกรณีหนวํ ยงานของรฐั ท่เี สยี หายเหน็ วาํ เจ๎าหน๎าทไี่ มตํ ๎องรับผิด แตํกระทรวงการคลงั ตรวจสอบแล๎วเห็นวาํ เจ๎าหน๎าท่ตี ๎องรับผดิ อายุความในการใช๎สทิ ธเิ รียกรอ๎ งคําสนิ ไหมทดแทนจะมีกาํ หนด ๑ ปี นบั แตํ วันท่ีหนวํ ยงานของรฐั มีคาํ สงั่ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง (มาตรา ๑๐ วรรคสอง) ในกรณีทเ่ี จา๎ หนา๎ ท่ีกระทําการละเมิดตํอหนํวยงานของรฐั อนั เปน็ การกระทาํ ในการปฏิบัตหิ น๎าที่ หนวํ ยงานของ รฐั กม็ ีอาํ นาจออกคําส่งั ให๎เจ๎าหนา๎ ท่นี น้ั ชาํ ระคําสนิ ไหมทดแทนภายในเวลาท่กี ําหนดไดโ๎ ดยไมตํ ๎องฟูองคดตี ํอศาล ใน ทาํ นองเดียวกับการใช๎สทิ ธไิ ลเํ บ้ียในกรณีที่เกดิ การละเมดิ ขึ้นแกเํ อกชนดงั กลําวข๎างต๎น แตํถ๎าไมํได๎เปน็ การกระทาํ ใน การปฏิบัติหนา๎ ที่หนํวยงานของรฐั ก็ไมํมีอํานาจเชํนน้นั ตอ๎ งฟอู งร๎องเป็นคดไี ปตามปกติ (มาตรา ๑๒) นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๐๓ นอกจากน้ัน พระราชบญั ญัตฉิ บับนี้ยงั กําหนดให๎คณะรัฐมนตรีตอ๎ งจัดให๎มีระเบียบเพื่อให๎เจา๎ หน๎าที่ซึง่ ต๎องรบั ผดิ ชดใชค๎ าํ สนิ ไหมทดแทนน้ันสามารถผอํ นชําระเงนิ ท่ตี ๎องรับผิดน้ันได๎ โดยใหค๎ ํานึงถึงรายได๎ฐานะ ครอบครวั และความ รบั ผิดชอบและพฤติการณ๑อื่น ๆ แหํงกรณนี นั้ ประกอบด๎วย (มาตรา ๑๓) ความรู้เก่ียวกบั กฎหมายปกครอง พ.ร.บ.จัดตงั้ ศาลปกครองและวิธพี ิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ “หนว่ ยงานทางปกครอง” หมายความวาํ กระทรวง ทบวง กรม สวํ นราชการทเี่ รยี กช่ืออยาํ งอนื่ และมฐี านะเปน็ กรม ราชการสวํ นภมู ิภาค ราชการสวํ นท๎องถิ่น รัฐวสิ าหกิจทต่ี งั้ ขึ้นโดยพระราชบัญญัตหิ รือพระราชกฤษฎกี า หรอื หนวํ ยงาน อ่ืนของรัฐ และให๎หมายความรวมถงึ หนํวยงานทไี่ ด๎รบั มอบหมายให๎ใช๎อํานาจทางปกครองหรอื ให๎ดาํ เนินกจิ การทาง ปกครอง “สัญญาทางปกครอง”หมายความรวมถงึ สัญญาที่คสํู ญั ญาอยํางน๎อยฝุายใดฝาุ ยหน่ึงเป็นหนํวยงานทาง ปกครองหรือ เป็นบุคคลซึ่งกระทาํ การแทนรัฐ และมลี ักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สญั ญาท่ใี ห๎จดั ทําบริการสาธารณะ หรือ จัดใหม๎ สี ่ิง สาธารณูปโภคหรอื แสวงประโยชนจ๑ ากทรัพยากรธรรมชาติ มาตรา ๙ ศาลปกครองมีอาํ นาจพจิ ารณาพิพากษาหรอื มีคําส่งั ในเร่อื งดงั ตอํ ไปนี้ (๑) คดีพิพาทเกยี่ วกับการทห่ี นวํ ยงานทางปกครองหรือเจ๎าหนา๎ ที่ของรฐั กระทําการโดยไมชํ อบดว๎ ยกฎหมายไมํ วําจะเป็นการออกกฎ คําส่งั หรือการกระทําอืน่ ใดเน่อื งจากกระทาํ โดยไมํมีอาํ นาจหรือนอกเหนืออาํ นาจหนา๎ ท่หี รือไมํ ถกู ต๎องตามกฎหมาย หรือโดยไมํถูกต๎องตามรปู แบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเปน็ สาระสาํ คัญทกี่ าํ หนดไวส๎ าํ หรบั การ กระทําน้ันหรือโดยไมํสุจรติ หรอื มีลักษณะเปน็ การเลือกปฏิบัติที่ไมํเป็นธรรม หรอื มลี กั ษณะเปน็ การสรา๎ งขน้ั ตอนโดยไมํ จําเป็นหรือสรา๎ งภาระใหเ๎ กดิ กับประชาชนเกนิ สมควร หรอื เป็นการใช๎ดลุ พนิ ิจโดยมิชอบ (๒) คดีพิพาทเกี่ยวกบั การทหี่ นํวยงานทางปกครองหรือเจา๎ หน๎าที่ของรฐั ละเลยตํอหน๎าที่ตามทก่ี ฎหมาย กาํ หนดให๎ต๎องปฏิบตั ิ หรือปฏบิ ัตหิ นา๎ ทีด่ งั กลําวลําช๎าเกนิ สมควร (๓) คดีพิพาทเก่ยี วกบั การกระทําละเมิดหรือความรับผดิ อยาํ งอ่นื ของหนํวยงานทางปกครองหรอื เจ๎าหน๎าทขี่ อง รฐั อนั เกดิ จากการใช๎อํานาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คาํ สัง่ ปกครอง หรือคาํ สั่งอ่ืน หรือจากการละเลยตํอหน๎าทต่ี าม ทีกฎหมายกาํ หนดใหต๎ ๎องปฏิบตั ิหรอื ปฏบิ ัติหน๎าทดี่ งั กลาํ วลาํ ชา๎ เกินสมควร (๔) คดีพิพาทเกย่ี วกับสญั ญาทางปกครอง (๕) คดีที่มีกฎหมายกําหนดให๎หนํวยงานทางปกครองหรือเจ๎าหน๎าทขี่ องรัฐฟูองคดีตอํ ศาลเพ่อื บังคบั ใหบ๎ ุคคล ตอ๎ ง กระทาํ หรือละเว๎นกระทําอยํางหน่ึงอยํางใด (๖) คดีพิพาทเก่ยี วกับเรื่องที่มีกฎหมายกาํ หนดให๎อยํูในเขตอํานาจศาลปกครอง เร่ืองดังตอ่ ไปนี้ไม่อยู่ในอาํ นาจศาลปกครอง (๑) การดาํ เนนิ การเกยี่ วกับวินัยทหาร (๒) การดาํ เนนิ การของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายวาํ ดว๎ ยระเบยี บขา๎ ราชการฝาุ ยตลุ าการ (๓) คดีที่อยํูในอํานาจของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากรศาลทรัพยส๑ ินทางปญ๓ ญาและ การค๎าระหวํางประเทศ ศาลลม๎ ละลาย หรือศาลชํานญั พเิ ศษอ่นื มาตรา ๑๐ ศาลปกครองชน้ั ต๎นมีอาํ นาจพิจารณาพิพากษาคดที ่มี ีอยูํในอาํ นาจศาลปกครอง เวน๎ แตํคดีท่ีอยูํในอาํ นาจ พจิ ารณาพพิ ากษาของศาลปกครองสูงสดุ มาตรา ๑๑ ศาลปกครองสงู สุดมีอาํ นาจพจิ ารณาพิพากษาคดี ดงั ตํอไปนี้ (๑) คดีพิพาทเก่ียวกับคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวนิ จิ ฉยั ข๎อพพิ าทตามท่ีท่ปี ระชมุ ใหญํตลุ าการในศาล ปกครอง สูงสุดประกาศกาํ หนด นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๐๔ (๒) คดพี ิพาทเก่ยี วกบั ความชอบดว๎ ยกฎหมายของพระราชกฤษฎกี าหรือกฎท่ีออก โดยคณะรฐั มนตรี หรอื โดย ความเหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรี (๓) คดที ่ีมกี ฎหมายกําหนดให๎อยใํู นอํานาจศาลปกครองสงู สุด (๔) คดที ่ีอทุ ธรณ๑คําพิพากษาหรอื คําสัง่ ของศาลปกครองชั้นตน๎ มาตรา ๔๒ ผ๎ใู ดไดร๎ บั ความเดือดรอ๎ นหรือเสียหาย หรืออาจจะเดอื ดร๎อนหรอื เสียหายโดยมอิ าจหลกี เลีย่ งได๎ อัน เนอื่ งจากการกระทาํ หรือการงดเว๎นการกระทําของหนวํ ยงานทางปกครองหรือเจา๎ หน๎าที่ของรฐั หรอื มีข๎อโต๎แย๎ง เก่ียวกับ สัญญาทางปกครองหรือกรณีอนื่ ใดที่อยูํในเขตอาํ นาจศาลปกครองตามมาตรา ๙ และการแก๎ไขหรือบรรเทา ความเดอื ดร๎อน หรือความเสียหาย หรอื ยุตขิ ๎อโต๎แย๎งนน้ั ต๎องมีคาํ บังคับตามท่ีกําหนดในมาตรา ๗๒ ผู๎นั้นมีสิทธิฟอู งคดี ตอํ ศาลปกครอง ในกรณที มี่ ีกฎหมายกําหนดข้ันตอนหรือวิธีการสาํ หรบั การแก๎ไขความเดือดรอ๎ นหรอื เสยี หายในเร่ืองใดไวโ๎ ดย เฉพาะ การฟูองคดีปกครองในเรือ่ งน้ันจะกระทาํ ไดต๎ อํ เม่อื มกี ารดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกลาํ ว และได๎มี การส่ังการตามกฎหมายนน้ั หรือมิได๎มกี ารสงั่ การภายในเวลาอนั สมควร หรอื ภายในเวลาทก่ี ฎหมายนน้ั กําหนด มาตรา ๔๓ ในกรณที ผ่ี ตู๎ รวจการแผนํ ดนิ ของรฐั สภาเห็นวํากฎหรอื การกระทําใดของหนวํ ยงานทางปกครอง หรอื เจ๎าหน๎าท่ีของรัฐไมชํ อบดว๎ ยรฐั ธรรมนญู ให๎มสี ิทธเิ สนอเรือ่ งพร๎อมความเหน็ ตํอศาลปกครองได๎ ในการเสนอความเห็น ดงั กลาํ วผ๎ตู รวจการแผนํ ดนิ ของรฐั สภามีสิทธแิ ละหน๎าที่เสมือนหนงึ่ เปน็ ผูม๎ ีสิทธิฟูองคดตี ามมาตรา ๔๒ วธิ ปี ฏบิ ัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๕ ในพระราชบัญญตั ิน้ี คําส่งั ทางปกครอง หมายความวาํ (๑) การใช๎อํานาจตามกฎหมายของเจา๎ หนา๎ ท่ี ที่มผี ลเปน็ การสรา๎ งนิติสัมพนั ธ๑ข้นึ ระหวาํ งบคุ คลในอันทจ่ี ะกํอ เปลีย่ นแปลง โอน สงวน ระงับ หรอื มีผลกระทบตอํ สถานภาพของสิทธิหรือหน๎าที่ของบุคคล ไมํวําจะเป็นการถาวรหรือ ชวั่ คราว เชํน การส่ังการ การอนญุ าต การอนุมัติ การวนิ จิ ฉัยอทุ ธรณ๑ การรบั รอง และการรบั จดทะเบียน แตไํ มํ หมายความรวมถึงการออกกฎ (๒) การอืน่ ท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง “กฎ” หมายความวาํ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ข๎อบญั ญัตทิ ๎องถนิ่ ระเบียบ ขอ๎ บังคับ หรอื บทบญั ญัติอน่ื ที่มีผลบังคับเป็นการทว่ั ไป โดยไมมํ งํุ หมายให๎ใช๎บงั คับแกํกรณใี ดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ “ค่กู รณี” หมายความวํา ผย๎ู นื่ คาํ ขอหรอื ผู๎คัดคา๎ นคําขอ ผอ๎ู ยูํในบังคบั หรอื จะอยูํในบงั คับของคาํ สั่งทางปกครอง และผ๎ู ซง่ึ ได๎เข๎ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเนื่องจากสิทธิของผน๎ู ั้นจะถกู กระทบกระเทอื นจากผลของคาํ สง่ั ทาง ปกครอง มาตรา ๑๒ คาํ สั่งทางปกครองจะตอ๎ งกระทาํ โดยเจ๎าหน๎าท่ีซึ่งมีอํานาจหน๎าทใ่ี นเร่ืองน้ัน มาตรา ๑๓ เจ๎าหน๎าทด่ี งั ตํอไปนี้ จะทาํ การพิจารณาทางปกครองไมํได๎ (๑) เปน็ คูํกรณเี อง (๒) เปน็ คูํหม้ันหรือคูํสมรสของคูกํ รณี (๓) เป็นญาติของคกูํ รณี คอื เปน็ บพุ การี หรือ ผูส๎ บื สนั ดานไมวํ ําชนั้ ใดๆ หรือเปน็ พี่น๎องหรือลกู พล่ี ูกน๎องนับได๎ เพยี งภายในสามชน้ั หรอื เปน็ ญาตเิ กีย่ วพนั ทางแตํงงานนบั ได๎เพยี งสองช้ัน (๔) เป็นหรือเคยเปน็ ผูแ๎ ทนโดยชอบธรรมหรือผ๎ูพทิ ักษห๑ รือผ๎ูแทนหรือตวั แทนของคูกํ รณี (๕) เปน็ เจ๎าหน้ี หรือ ลูกหนี้ หรือ เป็นนายจา๎ งของคํูกรณี (๖) กรณีอืน่ ตามทกี่ าํ หนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๔ เมือ่ กรณตี ามมาตรา ๑๓ หรอื คูํกรณีคดั คา๎ นวําเจ๎าหน๎าทผี่ ใ๎ู ดเป็นบุคคลตามมาตรา ๑๓ ใหเ๎ จ๎าหนา๎ ท่ผี นู๎ ั้น หยดุ การพจิ าณาเร่อื งไว๎กํอน และแจ๎งให๎ผ๎บู งั คับบญั ชาเหนือตนข้นึ ไปช้ันหนึง่ ทราบ เพื่อทีผ่ บู๎ งั คับบัญชาดังกลําวจะได๎มี นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๐๕ คําสั่งตอํ ไป การย่ืนคาํ คดั ค๎าน การพิจารณาคําคัดค๎าน และการส่งั ใหเ๎ จ๎าหน๎าทอี่ ่ืนเขา๎ ปฏิบัตหิ น๎าที่แทนผู๎ที่ถูกคัดคา๎ นให๎ เปน็ ไปตามหลักเกณฑแ๑ ละวธิ กี ารท่ีกําหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๖ ในกรณมี ีเหตอุ นื่ ใดนอกจากท่บี ัญญัติไว๎ในมาตรา ๑๓ เก่ียวกบั เจา๎ หนา๎ ทีห่ รอื กรรมการในคณะกรรมการที่ มอี ํานาจพิจารณาทางปกครอง ซ่ึงมสี ภาพร๎ายแรงอันอาจทําให๎การพิจารณาทางปกครองไมเํ ป็นกลาง เจา๎ หนา๎ ทห่ี รอื กรรมการผูน๎ ้นั จะทาํ การพจิ ารณาทางปกครองในเร่ืองน้นั ไมํได๎ในกรณีตามวรรคหนง่ึ ให๎ดําเนินการดงั นี้ (๑) ถ๎าผู๎น้นั เหน็ เองวําตนมีกรณดี งั กลาํ ว ให๎ผ๎ูน้นั หยุดการพิจารณาเรอ่ื งไวก๎ ํอนและแจง๎ ให๎ผูบ๎ ังคับบัญชาเหนอื ตนขน้ึ ไปชั้นหนึง่ หรือประธานกรรมการทราบแล๎วแตกํ รณี (๒) ถ๎ามีคูํกรณีคดั ค๎านวําผ๎นู ั้นมีเหตุดงั กลาํ ว หากผน๎ู ้นั เห็นวําตนไมมํ ีเหตุตามทค่ี ดั คา๎ นน้นั ผู๎น้นั จะทาํ การ พิจารณาเรื่องตํอไปกไ็ ด๎แตํต๎องแจ๎งให๎ผู๎บังคับบัญชาเหนอื ตนขนึ้ ไปชัน้ หนง่ึ หรือประธานกรรมการทราบ แลว๎ แตํกรณี (๓) ให๎ผบ๎ู งั คบั บัญชาของผ๎ูนั้นหรอื คณะกรรมการที่มีอํานาจพิจารณาทางปกครองซง่ึ ผนู๎ ้ันเปน็ กรรมการอยูํมี คําสง่ั หรือมีมตโิ ดยไมํชักชา๎ แลว๎ แตํกรณี วําผู๎นั้นมีอาํ นาจในการพจิ ารณาทางปกครองในเร่ืองนั้นหรอื ไมํใหน๎ ํา บทบญั ญตั มิ าตรา ๑๔ วรรคสอง และมาตรา ๑๕ วรรคสองวรรคสาม และวรรคสีม่ าใชบ๎ ังคบั โดยอนโุ ลม มาตรา ๑๙ ถ๎าปรากฎภายหลงั วาํ เจ๎าหน๎าที่หรอื กรรมการใน คณะกรรมการท่มี ีอาํ นาจพิจารณาทางปกครองใดขาด คณุ สมบัติหรือมลี ักษณะต๎องห๎ามหรอื การแตงํ ตั้งไมํชอบด๎วยกฎหมาย อันเป็นเหตุให๎ผ๎ูนั้นต๎องพ๎นจากตาํ แหนงํ การพ๎น จากตาํ แหนงํ เชนํ วํานไ้ี มํกระทบกระเทือนถึงการใดทผี่ ๎นู ้นั ได๎ปฏบิ ตั ิไปตามอํานาจหนา๎ ที่ มาตรา ๒๑ บุคคลธรรมดา คณะบุคคล หรอื นิติบุคคล อาจเป็นคูํกรณีในการพิจารณาทางปกครองได๎ตามขอบเขตที่ สิทธิของตนถูกกระทบกระเทือนหรอื อาจถูกกระทบกระเทือนโดยมอิ าจหลีกเล่ียงได๎ มาตรา ๒๒ ผู๎มคี วามสามารถกระทาํ การในกระบวนการพิจารณาทางปกครองได๎ จะต๎องเปน็ (๑) ผ๎ูซึ่งบรรลนุ ติ ิภาวะ (๒) ผู๎ซึ่งมีบทกฎหมายเฉพาะกําหนดใหม๎ ีความสามารถกระทาํ การในเรื่องท่ีกาํ หนดได๎ แมผ๎ ู๎นั้นจะยังไมํบรรลนุ ติ ิ ภาวะหรือความสามารถถูกจํากัดตามประมวลกฎหมายแพงํ และพาณชิ ย๑ (๓) นิติบคุ คลหรือคณะบุคคลตามมาตรา ๒๑ โดยผ๎แู ทนหรอื ตวั แทนแล๎วแตํกรณี (๔) ผซู๎ ง่ึ มีประกาศของนายกรัฐมนตรีหรือผซ๎ู ง่ึ นายกรฐั มนตรมี อบหมายในราชกจิ จานเุ บกษากาํ หนดให๎มี ความสามารถกระทําการในเรื่องท่ีกาํ หนดได๎ แม๎ผ๎ูนนั้ จะยงั ไมํบรรลนุ ิตภิ าวะหรือความสามารถถูกจํากดั ตามประมวล กฎหมายแพํงและพาณิชย๑ มาตรา ๒๓ ในการพิจารณาทางปกครองที่คูํกรณีตอ๎ งมาปรากฏตวั ตอํ หนา๎ เจ๎าหน๎าที่ คํูกรณีมสี ทิ ธนิ ําทนายความหรอื ท่ี ปรกึ ษาของตนเข๎ามาในการพิจารณาทางปกครองได๎ การใดท่ที นายความหรือท่ปี รึกษาได๎ทําลงตํอหนา๎ คูํกรณีใหถ๎ ือวาํ เป็นการกระทําของคํกู รณี เว๎นแตคํ ํูกรณจี ะได๎ คัดคา๎ นเสียแตํในขณะนน้ั มาตรา ๓๐ ในกรณที ี่คําส่งั ทางปกครองอาจกระทบถึงสทิ ธขิ องคกํู รณี เจา๎ หนา๎ ท่ีต๎องให๎คํูกรณีมโี อกาสทีจ่ ะได๎ทราบ ข๎อเท็จจรงิ อยาํ งเพียงพอและมีโอกาสไดโ๎ ต๎แย๎งและแสดงพยานหลกั ฐานของตน ความในวรรคหนึ่งมใิ ห๎นํามาใช๎บังคบั ในกรณีดังตํอไปนี้ เว๎นแตํเจา๎ หนา๎ ทีจ่ ะเห็นสมควรปฏบิ ัติเปน็ อยํางอ่ืน (๑) เมอื่ มคี วามจําเปน็ รีบดวํ นหากปลอํ ยให๎เนนิ่ นานช๎าไปจะกอํ ให๎เกดิ ความเสยี หายอยํางร๎ายแรงแกผํ ูห๎ น่งึ ผ๎ูใด หรอื จะกระทบตอํ ประโยชน๑สาธารณะ (๒) เมอ่ื จะมีผลทําใหร๎ ะยะเวลาทก่ี ฎหมายหรอื กฎกาํ หนดไว๎ในการทาํ คําสั่งทางปกครองต๎องลําชา๎ ออกไป (๓) เมื่อเป็นข๎อเทจ็ จรงิ ที่คํูกรณนี ้ันเองได๎ให๎ไว๎ในคําขอ คําให๎การหรือคําแถลง (๔) เมือ่ โดยสภาพเหน็ ได๎ชัดในตัววาํ การใหโ๎ อกาสดังกลาํ วไมอํ าจกระทําได๎ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๐๖ (๕) เมื่อเป็นมาตรการบังคบั ทางปกครอง (๖) กรณีอืน่ ตามท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง หา๎ มมิให๎เจา๎ หน๎าทีใ่ ห๎โอกาสตามวรรคหนง่ึ ถา๎ จะกํอใหเ๎ กดิ ผลเสียหายอยํางร๎ายแรงตํอประโยชนส๑ าธารณะ มาตรา ๓๑ คูกํ รณีมีสิทธขิ อตรวจดเู อกสารทจี่ ําเป็นต๎องร๎ูเพื่อการโต๎แยง๎ หรือชแี้ จงหรอื ปูองกนั สิทธิของตนได๎ แตํถ๎ายงั ไมํไดท๎ าํ คําส่งั ทางปกครองในเรอื่ งนั้น คกูํ รณไี มมํ ีสิทธขิ อตรวจดเู อกสารอันเป็นตน๎ ราํ งคําวนิ จิ ฉัย การตรวจดูเอกสาร คําใชจ๎ ํายในการตรวจดูเอกสาร หรือการจดั ทําสาํ เนาเอกสารให๎เป็นไปตามหลกั เกณฑ๑ และวธิ กี ารที่กาํ หนดในกฎกระทรวง รปู แบบของคําส่ังทางปกครอง มาตรา ๓๔ คําสั่งทางปกครองอาจทาํ เป็นหนังสอื หรือวาจาหรอื โดยการสื่อความหมายในรปู แบบอ่ืนก็ได๎ แตตํ อ๎ งมี ขอ๎ ความหรือความหมายทชี่ ัดเจนเพียงพอท่ีจะเข๎าใจได๎ มาตรา ๓๕ ในกรณีที่คําส่งั ทางปกครองเปน็ คําส่ังด๎วยวาจา ถ๎าผูร๎ บั คําสั่งน้ันรอ๎ งขอและการร๎องขอได๎กระทําโดยมเี หตุ อนั สมควรภายในเจ็ดวนั นับแตํวนั ทมี่ คี ําสัง่ ดังกลําว เจา๎ หนา๎ ทผี่ อ๎ู อกคาํ ส่งั นั้นต๎องยนื ยนั คําสั่งนั้นเป็นหนังสือ มาตรา ๓๗ คาํ สั่งทางปกครองที่ทําเปน็ หนงั สือและการยืนยันคําสง่ั ทางปกครองเปน็ หนงั สอื ตอ๎ งจัดใหม๎ ีเหตุผลไวด๎ ว๎ ย และเหตุผลนั้นอยาํ งน๎อยต๎องประกอบด๎วย (๑) ข๎อเท็จจรงิ อนั เปน็ สาระสําคญั (๒) ข๎อกฎหมายที่อา๎ งองิ (๓) ขอ๎ พิจารณาและข๎อสนับสนุนในการใชด๎ ลุ พินจิ นายกรฐั มนตรหี รอื ผูซ๎ ง่ึ นายกรัฐมนตรีมอบหมายอาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากําหนดให๎คาํ สง่ั ทางปกครองกรณี หนึ่งกรณีใดต๎องระบุเหตผุ ลไว๎ในคาํ สัง่ น้นั เองหรือในเอกสารแนบทา๎ ยคําสงั่ นัน้ กไ็ ด๎ บทบญั ญัตติ ามวรรคหนงึ่ ไมใํ ชบ๎ งั คับกับกรณีดังตํอไปน้ี (๑) เปน็ กรณีทมี่ ผี ลตรงตามคําขอและไมกํ ระทบสิทธิและหน๎าท่ขี องบคุ คลอนื่ (๒) เหตผุ ลนั้นเป็นทร่ี ๎กู ันอยูแํ ลว๎ โดยไมํจาํ ต๎องระบุอีก (๓) เป็นกรณีท่ตี อ๎ งรักษาไว๎เป็นความลับตามมาตรา ๓๒ (๔) เป็นการออกคาํ ส่ังทางปกครองดว๎ ยวาจาหรอื เป็นกรณเี รงํ ดํวน แตตํ อ๎ งใหเ๎ หตุผลเปน็ ลายลักษณ๑อักษรใน เวลาอนั ควรหากผ๎อู ยํูในบังคบั ของคาํ สัง่ นัน้ รอ๎ งขอ การอุทธรณ์ มาตรา ๔๔ ภายใตบ๎ ังคับมาตรา ๔๘ ในกรณีท่ีคาํ ส่งั ทางปกครองใดไมํได๎ออกโดยรัฐมนตรีและไมมํ ีกฎหมายกําหนด ขั้นตอนอทุ ธรณภ๑ ายในฝุายปกครองเปน็ การเฉพาะ ให๎คํกู รณีอทุ ธรณ๑คาํ ส่งั ทางปกครองน้ันโดยยน่ื ตํอเจ๎าหนา๎ ที่ผท๎ู าํ คําส่ังทางปกครองภายในสิบห้าวนั นับแตวํ ันท่ตี นได๎รับแจ๎งคําสงั่ ดังกลําว คําอุทธรณต๑ ๎องทาํ เปน็ หนงั สือโดยระบุข๎อโตแ๎ ย๎งและขอ๎ เทจ็ จริงหรือข๎อกฎหมายท่ีอา๎ งอิงประกอบด๎วยการ อุทธรณไ๑ มํเปน็ เหตใุ ห๎ทุเลาการบงั คับตามคําสง่ั ทางปกครองเว๎นแตจํ ะมีการส่ังให๎ทุเลาการบงั คบั ตามมาตรา ๕๖ วรรค หนง่ึ มาตรา ๔๕ ให๎เจา๎ หน๎าทตี่ ามมาตรา ๔๔ วรรคหน่งึ พิจารณาคําอทุ ธรณ๑และแจง๎ ผู๎อทุ ธรณโ๑ ดยไมชํ ักชา๎ แตตํ ๎องไมเํ กิน สามสบิ วนั นบั แตํวนั ที่ได๎รับอุทธรณ๑ ในกรณีท่ีเหน็ ด๎วยกบั คําอุทธรณ๑ไมวํ าํ ทัง้ หมดหรือบางสํวนกใ็ ห๎ดําเนนิ การ เปลย่ี นแปลงคาํ สงั่ ทางปกครองตามความเหน็ ของตนภายในกําหนดเวลาดงั กลําวด๎วย ถ๎าเจ๎าหน๎าท่ตี ามมาตรา ๔๔ วรรคหนึ่ง ไมเํ หน็ ด๎วยกับคาํ อุทธรณไ๑ มวํ ําท้ังหมดหรือบางสวํ นก็ใหเ๎ รํงรายงาน ความเห็นพร๎อมเหตผุ ลไปยังผูม๎ ีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณ๑ภายในกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ใหผ๎ มู๎ ีอํานาจพจิ ารณาคํา นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๐๗ อทุ ธรณ๑พิจารณาให๎แลว๎ เสร็จภายในสามสบิ วันนบั แตํวันทต่ี นได๎รบั รายงาน ถ๎ามเี หตุจาํ เป็นไมํอาจพิจารณาให๎แลว๎ เสรจ็ ภายในระยะเวลาดงั กลําว ใหผ๎ ู๎มีอํานาจพิจารณาอทุ ธรณม๑ ีหนังสือแจง๎ ให๎ผู๎อทุ ธรณท๑ ราบกํอนครบกาํ หนดเวลาดังกลําว ในการนี้ ให๎ขยายระยะเวลาพิจารณาอทุ ธรณ๑ออกไปได๎ไมํเกินสามสบิ วนั นบั แตวํ ันท่คี รบกําหนดเวลาดงั กลาํ ว เจา๎ หน๎าที่ผู๎ใดจะเป็นผ๎มู ีอํานาจพิจารณาอทุ ธรณ๑ตามวรรคสองให๎เปน็ ไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง บทบญั ญัติมาตรานไ้ี มํใชก๎ ับกรณที ่ีมีกฎหมายเฉพาะกําหนดไว๎เปน็ อยํางอื่น มาตรา ๔๖ ในการพจิ ารณาอุทธรณ๑ ให๎เจา๎ หนา๎ ที่พจิ ารณาทบทวนคาํ สง่ั ทางปกครองได๎ไมํวําจะเปน็ ป๓ญหาข๎อเท็จจรงิ ข๎อกฎหมาย หรอื ความเหมาะสมของการทําคาํ สง่ั ทางปกครอง และอาจมีคําส่ังเพกิ ถอนคําส่งั ทางปกครองเดิมหรือ เปล่ียนแปลงคาํ สงั่ นั้นไปในทางใด ทง้ั นี้ ไมวํ ําจะเป็นการเพ่ิมภาระหรอื ลดภาระหรือใช๎ดุลพนิ ิจแทนในเรื่องความ เหมาะสมของการทําคําสงั่ ทางปกครองหรือมีข๎อกําหนดเป็นเงอื่ นไขอยํางไรก็ได๎ มาตรการบังคบั ทางปกครอง มาตรา ๕๗ คาํ สัง่ ทางปกครองท่ีกําหนดใหผ๎ ๎ูใดชําระเงนิ ถ๎าถงึ กําหนดแลว๎ ไมํมีการชาํ ระโดยถกู ต๎องครบถ๎วน ให๎ เจา๎ หนา๎ ทม่ี ีหนงั สอื เตือนใหผ๎ น๎ู นั้ ชําระภายในระยะเวลาท่ีกาํ หนดแตํต๎องไมนํ ๎อยกวาํ เจด็ วนั ถา๎ ไมํมกี ารปฏบิ ัติตามคํา เตอื นเจา๎ หน๎าท่ีอาจใช๎มาตรการบังคบั ทางปกครองโดยยึดหรอื อายัดทรัพย๑สินของผูน๎ ั้นและขายทอดตลาดเพื่อชําระเงนิ ให๎ครบถ๎วน วิธีการยึด อายดั และขายทอดตลาดทรพั ย๑สนิ ให๎ปฏิบตั ิตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพํงโดยอนโุ ลม สวํ นผู๎มอี าํ นาจส่ังยดึ หรืออายัดหรอื ขายทอดตลาดให๎เปน็ ไปตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๕๘ คําสง่ั ทางปกครองท่ีกําหนดให๎กระทาํ หรือละเว๎นกระทาํ ถา๎ ผ๎ูอยํูในบังคบั ของคาํ สัง่ ทางปกครองฝาุ ฝืน หรอื ไมปํ ฏิบตั ิตามเจา๎ หนา๎ ท่ีอาจใชม๎ าตรการบงั คับทางปกครองอยํางหนง่ึ อยํางใด ดงั ตํอไปน้ี (๑) เจ๎าหนา๎ ท่ีเข๎าดําเนินการด๎วยตนเองหรอื มอบหมายใหบ๎ ุคคลอื่นกระทาํ การแทน โดยผอ๎ู ยูํในบงั คบั ของคําสัง่ ทางปกครองจะต๎องชดใชค๎ าํ ใช๎จาํ ยและเงินเพ่ิมในอตั รารอ้ ยละย่ีสบิ หา้ ต่อปีของคําใช๎จํายดงั กลําวแกํเจ๎าหน๎าท่ี (๒) ให๎มีการชาํ ระคาํ ปรับทางปกครองตามจํานวนท่ีสมควรแกเํ หตแุ ตตํ ๎องไมเ่ กินสองหม่ืนบาทตอ่ วนั เจ๎าหนา๎ ท่ี ระดบั ใดมีอาํ นาจกาํ หนดคําปรับทางปกครองจาํ นวนเทาํ ใดสําหรบั ในกรณีใด ใหเ๎ ป็นไปตามท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง ในกรณีทมี่ ีความจาํ เปน็ ที่จะต๎องบงั คับการโดยเรํงดํวนเพือ่ ปูองกันมิให๎มกี ารกระทําท่ีขัดตํอกฎหมายทม่ี โี ทษทาง อาญาหรือมิใหเ๎ กดิ ความเสยี หายตอํ ประโยชน๑สาธารณะ เจ๎าหน๎าท่อี าจใชม๎ าตรการบังคับทางปกครองโดยไมํต๎องออก คําสัง่ ทางปกครองให๎กระทําหรอื ละเว๎นกระทาํ กอํ นก็ได๎ แตํทง้ั น้ีต๎องกระทําโดยสมควรแกํเหตแุ ละภายในขอบเขต อาํ นาจหน๎าท่ีของตน สรุป พ.ร.บ.วธิ ปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ๑. ก.ศป. หมายถงึ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ๒. คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองมี๑๓ คน ๓. องค๑คณะของศาลปกครองช้ันต๎นต๎องมีอยาํ งน๎อย ๓ คน ๔. การออกระเบยี บ ไมใํ ชํคําสั่งทางปกครอง ๕. การประกาศเตือน ไมํใชํคําสัง่ ทางปกครอง ๖. การเตรยี มการและดาํ เนินการของเจ๎าหน๎าท่ีเพ่ือจดั ใหม๎ ีคาํ สัง่ ทางปกครอง คือการพิจารณาทางปกครอง ๘. เจา๎ หนา๎ ที่จะทําการพิจารณาทางปกครองไมไํ ด๎ถา๎ เป็นคูํหมัน้ หรือคํสู มรสของคูํกรณี, ญาติของคํูกรณี, นายจา๎ งของ คกํู รณี หรอื เป็นคูํกรณเี องไมํได๎ ๘. ถ๎ากรณีเคยเปน็ ลูกจา๎ งของคกํู รณี เจา๎ หนา๎ ท่ีทาํ การพิจารณาทางปกครองได๎ ๙. คูํกรณีไมํมีสิทธินําทนายความของตนเขา๎ มาในการพิจารณาทางปกครองได๎ นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๐๘ ๑๐. คกํู รณีไมํมสี ทิ ธิแตงํ ตงั้ บุคคลหนึ่งบุคคลใดแทนตนในการพิจารณาทางปกครอง ๑๑. เจา๎ หน๎าทไี่ มมํ ีสทิ ธหิ ๎ามการปฏิบัตหิ นา๎ ท่ขี องผแ๎ู ทนของคํกู รณีทไี่ มํทราบข๎อเท็จจรงิ ในเร่ืองท่ีพจิ ารณาทางปกครอง อยาํ งพยี งพอ ๑๒. เมือ่ มีการแตํงต้ังตวั แทนรํวมของคูกํ รณีๆ จะยกเลิกการใหต๎ วั แทนรวํ มดําเนนิ การแทนตนมไิ ด๎ ๑๓. ในการพจิ ารณาทางปกครองเจา๎ หนา๎ ทจ่ี ะต๎อง แจ๎งสทิ ธิและหน๎าทใี่ นกระบวนการพิจารณาทางปกครองให๎คกํู รณี ทราบ , ใหค๎ กูํ รณมี ีโอกาสทจ่ี ะได๎รับทราบขอ๎ เทจ็ จริงอยํางเพียงพอ , ใหค๎ กํู รณมี โี อกาสไดโ๎ ต๎แย๎งและแสดงหลักฐานของ ตนเอง , ไมํอนญุ าตให๎ตรวจดเู อกสารหรอื พยานหลกั ฐานได๎ ในกรณที ี่ต๎องรักษาไว๎เป็นความลบั ๑๔. คําสง่ั ทางปกครองท่ีอาจอทุ ธรณ๑หรอื โต๎แย๎งตํอไปได๎ ใหร๎ ะบกุ รณีท่ีอาจอุทธรณห๑ รือโตแ๎ ย๎งไวใ๎ นคําสั่งดว๎ ย ๑๕. คาํ สั่งทางปกครองที่ทาํ เป็นหนงั สือ ตอ๎ งจัดให๎มเี หตผุ ลไว๎ดว๎ ย ๑๖. คําสง่ั ทางปกครองที่มขี ๎อผิดพลาดเล็กน๎อย เจ๎าหน๎าท่ีอาจแก๎ไขเพิ่มเตมิ ไดเ๎ สมอ ๑๘. คําส่งั ทางปกครองที่ตอ๎ งใหเ๎ จ๎าหน๎าท่อี ่ืนให๎ความเหน็ ชอบกํอน จะไมเํ สยี ไปถ๎าเจ๎าหน๎าท่ีน้นั ไดใ๎ ห๎ความเห็นชอบใน ภายหลังถือวําใชไ๎ ด๎ ๑๘. การอุทธรณค๑ ําสงั่ ทางปกครองท่ีไมํออกโดยรัฐมนตรี ตอ๎ งย่ืนตํอเจา๎ หนา๎ ท่ผี ๎ทู ําคาํ สง่ั ทางปกครองภายใน ๑๕ วัน ๑๙. ประธานศาลปกครองสงู สุด เปน็ ประธานกรรมการตุลาการศาลปกครองสงู สดุ ๒๐. คําสง่ั ของคณะกรรมการวินิจฉัยขอ๎ พิพาท ไมสํ ามารถอุทธรณ๑ไดแ๎ ตํสามารถฟอู งศาลปกครองได๎ ๒๑. หากไดร๎ ับการวนิ จิ ฉัยความผิดถงึ ที่สดุ และเห็นวาํ คาํ ส่ังทางปกครองทไ่ี ด๎รบั ไมํเป็นธรรม สามารถฟูองศาลปกครอง ภายใน ๙๐ วันนบั แตวํ ันรบั ทราบคําสง่ั ๒๒. เจ๎าหนา๎ ที่ตอ๎ งพจิ ารณาคําอทุ ธรณภ๑ ายใน ๓๐ วัน นบั แตวํ ันทไ่ี ด๎รับอุทธรณ๑ ๒๓. การอุทธรณไ๑ มเํ ป็นเหตุให๎ทุเลาการบงั คับตามคําสั่งทางปกครอง ๒๔. กรณเี ห็นด๎วยกบั อทุ ธรณ๑ใหด๎ าํ เนินการเปล่ยี นแปลงคาํ สงั่ ทางปกครองตามความเหน็ ของตน ๒๕. กรณีไมํเห็นด๎วยกบั อุทธรณ๑ ให๎รายงานความเห็นพร๎อมเหตุผลไปยงั ผม๎ู ีอาํ นาจพจิ ารณาอทุ ธรณ๑ ๒๖. การเพิกถอนคาํ ส่ังทางปกครองทีล่ ักษณะเปน็ การใหป๎ ระโยชน๑ต๎องกระทาํ ภายใน ๙๐ วัน นบั แตรํ ถู๎ งึ เหตุท่ีจะเพกิ ถอนคําสงั่ นั้น ๒๘. ผท๎ู ไี่ มํรู๎ถึงความไมํชอบด๎วยกฎหมายของคาํ สงั่ ทางปกครองในขณะทร่ี บั คาํ สั่งทางปกครอง สามารถอา๎ งความเช่ือ โดยสุจริตไดเ๎ ม่ือถูกเพกิ ถอนคําสัง่ ทางปกครอง ๒๘. ผ๎ูทไี่ ด๎รบั ผลกระทบจากการเพิกถอนคําสงั่ ทางปกครองตอ๎ งรอ๎ งขอคาํ ทดแทนภายใน ๑๘๐ วันนบั แตํไดร๎ บั แจง๎ ให๎ ทราบถึงการเพิกถอนน้ัน ๒๙. การยื่นขอให๎พจิ ารณาใหมํ ต๎องกระทําภายใน ๙๐ วนั นบั แตํวนั ผนู๎ น้ั ได๎ร๎ถู ึงเหตุซึ่งอาจขอให๎พจิ ารณาใหมํ ๓๐. เจ๎าหน๎าท่อี าจยึดอายดั ทรพั ย๑สนิ ของผู๎ทไ่ี มชํ าํ ระเงนิ ตามกาํ หนดของคําส่ังทางปกครอง ๓๑. คาํ ส่ังทางปกครองที่กาํ หนดให๎ละเว๎นกระทํา หากฝุาฝืนต๎องชําระคาํ ปรบั ทางปกครองไมํตํา่ กวาํ ๒๐,๐๐๐ บาท ตํอวัน ๓๒. คําสง่ั ทางปกครองที่กําหนดให๎กระทาํ แล๎วไมํปฏิบตั ติ าม เจ๎าหน๎าทสี่ ามารถเข๎าดาํ เนินการด๎วยตนเองได๎ ๓๓. เจ๎าหน๎าทอ่ี าจใช๎กําลังเข๎าดําเนินการเพือ่ ให๎เป็นไปตามมาตรการบงั คับทางปกครองได๎ หากมีการตํอสู๎ขดั ขวาง ๓๔. การแจง๎ คําสงั่ ทางปกครอง เจ๎าหน๎าทจี่ ะกระทาํ ดว๎ ยวาจาก็ได๎ ๓๕. การแจ๎งทางไปรษณีย๑ต๎องแจง๎ โดยไปรษณยี ๑ตอบรับเทาํ น้นั ๓๖. การแจ๎งภายในประเทศให๎ถือวาํ ไดร๎ ับเมือ่ ครบกาํ หนด ๗ วนั นับตง้ั แตํวนั สงํ ๓๘. การแจง๎ คําสงั่ ทางปกครองจะกระทาํ ได๎โดยการประกาศในหนงั สือพิมพ๑ ในกรณีไมํร๎ูตัวผรู๎ บั กรณีรูต๎ วั แตํไมํรู๎ ภมู ลิ ําเนา กรณีมีผ๎รู ับเกิน ๑๐๐ คนขน้ึ ไป นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๐๙ ๓๘. ในกรณีประกาศหรอื ลงหนังสอื พิมพ๑ให๎ถือวําไดร๎ ับแจง๎ เมื่อพ๎น ๑๕ วันนับแตวํ นั ไดแ๎ จ๎ง ๓๙. ในกรณีทเ่ี จา๎ หนา๎ ที่กระทําการอยํางหนึง่ อยํางใด ให๎นบั วนั สิ้นสดุ ของระยะเวลาน้ันรวมเขา๎ ดว๎ ยกัน แม๎วันสุดทา๎ ย จะเปน็ วันหยุดการทาํ งาน ๔๐. นายกองค๑การบริหารสํวนตําบล ไมสํ ามารถจะเป็นพยานในการสํงหนงั สือเพ่ือแจ๎งคําสั่งทางปกครองในกรณผี ูร๎ บั ไมํยอมรบั หรอื ไมํมผี รู๎ บั ๔๑. คําปรับทางปกครองมี๔ ระดับคือ ๒๐,๐๐๐ บาท สาํ หรับคณะกรรมการและรฐั มนตรี ๑๕,๐๐๐ บาท สาํ หรับปลดั อธบิ ดี ผ๎วู าํ ฯ ๑๐,๐๐๐ บาท สําหรบั นายอําเภอ หัวหนา๎ สํวนราชการประจําจงั หวดั ผูบ๎ รหิ ารทอ๎ งถิ่น ผ๎แู ทนของรฐั วสิ าหกิจ หรือหนํวยงานรฐั อน่ื ๆ ๕,๐๐๐ บาท สาํ หรบั พนกั งานเจ๎าหน๎าที่ตามกฎหมายอื่นๆ สวํ นเอกชนที่ใช๎อํานาจทางปกครองต๎องเสนอใหร๎ ัฐมนตรพี ิจารณาเปน็ รายๆ ไปทั้งน้ีไมเํ กนิ ๑.๐๐๐ บาท ๔๒. ช้นั ศาลปกครองไดแ๎ กํ ศาลปกครองช้ันตน๎ และศาลปกครองสูงสุด ๔๓. ศาลปกครองชั้นต๎นแบํงออกเป็นสองประเภท ได๎แกศํ าลปกครองกลาง และศาลปกครองสวํ นภูมิภาค ๔๔. ในวาระแรกกฎหมายได๎กาํ หนดใหจ๎ ดั ตงั้ ศาลปกครองในรปู ภมู ิภาคจาํ นวน ๑๖ แหงํ ๔๕. การเปิดทําการของศาลปกครองในภมู ภิ าค กฎหมายกําหนดให๎เปิดทําการไมํน๎อยกวําปีละ ๗ ศาล ๔๖. คดีท่ีไมอํ ยํูในอํานาจศาลปกครองมี,การดําเนนิ การเกยี่ วกบั วินัยทหาร , คดที ี่อยใํู นอํานาจศาลแรงงาน , คดีทีอ่ ยํู ในอาํ นาจศาลภาษอี ากร , คดีทอี่ ยูใํ นอํานาจศาลล๎มละลาย ๔๗. การฟูองในคดีโตแ๎ ยง๎ คําส่ังทางปกครองต๎องฟูองภายใน ๙๐ วัน นบั แตํวนั ทราบคาํ ส่ัง ๔๘. การฟูองเกยี่ วกบั สญั ญาทางปกครองต๎องฟูองภายใน ๑ ปนี บั แตํวนั ทรี่ ู๎หรือควรรูถ๎ ึงเหตุแหํงการฟอู งคดี ๔๙. ผู๎ฟูองคดตี ๎องเปน็ ผู๎เดือดรอ๎ นเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทําทางปกครอง ๕๐. ผท๎ู ี่จะได๎แตงํ ตั้งเป็นตุลาการในศาลปกครองชัน้ ตน๎ ตอ๎ งมีอายุอยาํ งตา่ํ ๓๕ ปี ๕๑. สํานักงานศาลปกครองเป็น หนํวยงานอสิ ระ ๕๒. การฟูองคดีทีศ่ าลปกครองในกรณีขอให๎ศาลปกครองสง่ั ใหห๎ นวํ ยงานของรัฐชดใช๎เงนิ ต๎องเสยี คาํ ธรรมเนียมศาล รอ๎ ยละ ๒.๕ ไมเํ กิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ๕๓. การฟูองคดปี กครองเกยี่ วกบั การกระทาํ ละเมดิ หรือสญั ญาทางปกครอง จะตอ๎ งย่นื ฟูองภายในระยะเวลา ๕ ปีนับ แตํวันท่ไี ดร๎ ูห๎ รือควรร๎ถู งึ เหตแุ หงํ การฟูองคดี การสง่ เสริมหลักธรรมาภบิ าลของการบรหิ ารกจิ การบา้ นเมืองที่ดี หลักการบริหารกจิ การบ๎านเมืองและสังคมทีด่ ี ( Good Governance ) ๖ ประการ ได๎แกํ ๑. หลักนติ ธิ รรมการใชก๎ ฎ ระเบียบ ท่ีเป็นธรรม เปน็ ที่ ยอมรบั ได๎ เสมอภาค ๒. หลักคณุ ธรรม การยึดม่นั ในความถูกต๎อง ดงี าม ซ่อื สตั ย๑ จรงิ ใจ ขยัน อดทน ๓. หลกั ความโปรํงใส การทาํ งานอยาํ งโปรํงใส เปิดเผย ตรงไปตรงมา ตรวจสอบได๎ ๔. หลกั ความมสี ํวนรํวม การเปิดโอกาสให๎ประชาชนมสี วํ นรํวม รบั ร๎ู เสนอความเหน็ ๕. หลกั ความรบั ผิดชอบ ตระหนักในสิทธหิ นา๎ ท่ี มคี วามสํานกึ ใน ความรับผดิ ชอบตอํ สังคม มุงํ แกป๎ ญ๓ หากล๎ายอมรับผล การกระทาํ ของตน ๖. หลักความคุ๎มคํา บริหารจดั การและใช๎ทรพั ยากรอยาํ งประหยัด และเกดิ ประโยชนส๑ งู สุด นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๑๐ พระราชกฤษฎีกาวาํ ดว๎ ยหลักเกณฑแ๑ ละวิธีการบริหารกิจการบ๎านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ ได๎กําหนดขอบเขตของคาํ วาํ การบรหิ ารกจิ การบา๎ นเมอื งท่ีดี และวางแนวทางในการปฏบิ ัติราชการเพ่ือใหบ๎ รรลุเปูาหมายดงั ตํอไปน้ี คอื ๑) เกิดประโยชนส๑ ขุ ของประชาชน ๒) เกิดผลสมั ฤทธ์ิตํอภารกจิ ของรฐั ๓) มีประสิทธภิ าพและเกิดความค๎มุ คําในเชิงภารกิจของรัฐ ๔) ไมมํ ีข้นั ตอนการปฏบิ ตั งิ านเกินความจําเป็น ๕) มกี ารปรบั ปรุงภารกิจของสํวนราชการให๎ทนั ตอํ เหตุการณ๑ ๖) ประชาชนได๎รับการอาํ นวยความสะดวกและไดร๎ ับการตอบสนองความต๎องการ และ ๗) มกี ารประเมินผลการปฏิบัตงิ านอยาํ งสม่ําเสมอ การดาํ เนนิ การของสาํ นักงาน ก.พ.ร. ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ สาํ นักงาน ก.พ.ร. ได๎ศึกษาและจัดทําเกณฑส๑ ําหรับใชใ๎ นการสํารวจและประเมินระดบั ธรรมาภิ บาลของสวํ นราชการและจังหวัด ซงึ่ มอี งคป๑ ระกอบรวม ๑๐ ประเด็น ไดแ๎ กํ ประสทิ ธิผล (Effectiveness) ประสิทธภิ าพ (Efficiency) การตอบสนอง (Responsiveness) ภาระรับผดิ ชอบ (Accountability) ความโปรงํ ใส (Transparency) การมสี วํ นรํวม (Participation) การกระจายอํานาจ (Decentralization) นติ ิธรรม (Rule of Law) ความเสมอภาค (Equity) และ มํงุ เน๎นฉนั ทามติ (Consensus Oriented) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สาํ นักงาน ก.พ.ร. ได๎ทบทวนและวิเคราะหห๑ ลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบา๎ นเมอื งที่ ดีใหมํ เพ่ือให๎หลกั ธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบา๎ นเมอื งท่ีดีมคี วามงํายตํอความเข๎าใจ สะดวกตํอการจดจาํ และ การนาํ ไปปฏบิ ัติ รวมทั้งมคี วามเหมาะสมและสอดคล๎องกับสภาพบริบทของประเทศไทย ซ่ึงได๎นําเอาประเดน็ ท่ีมี ความสัมพันธ๑เก่ียวข๎องรวมไว๎ด๎วยกันเปน็ หมวดหมูํ นอกจากน้ยี งั ได๎ให๎ความสําคัญในเร่ืองของทัศนคตแิ ละพฤติกรรม ของตัวบุคคลทง้ั ในระดบั ผ๎ูนาํ และผ๎ูปฏิบัติงาน โดยเห็นควรใหม๎ กี ารเพ่ิมเติมประเดน็ ในเร่ืองการสรา๎ งจิตสาํ นึกด๎าน คุณธรรมและจริยธรรม อนั เป็นไปตามบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนูญแหงํ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๒๗๙ ซงึ่ ได๎กําหนดให๎มีมาตรฐานทางจรยิ ธรรมสําหรบั ผู๎ดาํ รงตาํ แหนํงทางการเมอื ง ขา๎ ราชการ หรือเจา๎ หน๎าทข่ี องรัฐแตลํ ะ ประเภท อันประกอบไปด๎วยคํานิยมหลกั ๙ ประการ ไดแ๎ กํ ๑. การยดึ ม่ันในคุณธรรมและจริยธรรม ๒. การมีจิตสาํ นึกทีด่ ี ซ่ือสัตย๑ สุจรติ และรบั ผดิ ชอบ ๓. การยดึ ถือประโยชน๑ของประเทศชาติเหนือกวําประโยชนส๑ ํวนตน และไมํมผี ลประโยชน๑ทับซอ๎ น ๔. การยนื หยัดทําในสงิ่ ทถี่ ูกต๎อง เปน็ ธรรม และถูกกฎหมาย ๕. การให๎บริการแกํประชาชนด๎วยความรวดเรว็ มีอธั ยาศัย และไมํเลอื กปฏบิ ัติ ๖. การให๎ข๎อมูลขําวสารแกํประชาชนอยํางครบถ๎วน ถูกต๎อง และไมํบิดเบือนข๎อเทจ็ จริง ๗. การมุํงผลสมั ฤทธิ์ของงาน รกั ษามาตรฐาน มคี ุณภาพ โปรงํ ใส และตรวจสอบได๎ ๘. การยดึ ม่นั ในระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั ริย๑ทรงเปน็ ประมุข นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๑๑ ๙. การยึดม่นั ในหลักจรรยาวิชาชพี ขององค๑กร คณะรฐั มนตรใี นการประชุมเม่ือวนั ท่ี ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ไดม๎ ีมตเิ หน็ ชอบกับหลกั ธรรมาภิบาลของการบรหิ าร กิจการบา๎ นเมืองทีด่ ี ตามท่ีสาํ นักงาน ก.พ.ร. เสนอ ประกอบดว๎ ย ๔ หลักการสาํ คัญ และ ๑๐ หลักการยํอย มี รายละเอียดดังตอํ ไปน้ี หลกั ธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบา้ นเมอื งทด่ี ี หลักการสําคัญ ๔ ประการ ไดแ๎ กํ ๑) การบรหิ ารจดั การภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) อันประกอบด๎วย หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) หลกั ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness) และหลกั การตอบสนอง (Responsiveness) ๒) ค่านยิ มประชาธิปไตย (Democratic Value) อันประกอบดว๎ ย หลกั ภาระรับผิดชอบ/ สามารถตรวจสอบได๎ (Accountability) หลักความเปดิ เผย/โปรงํ ใส (Transparency) หลกั นิติธรรม (Rule of Law) และหลกั ความเสมอ ภาค (Equity) ๓) ประชารัฐ (Participatory State) อันประกอบด๎วย หลักการกระจายอาํ นาจ (Decentralization) และหลกั การมี สํวนรํวม/การมงํุ เนน๎ ฉนั ทามติ (Participation/Consensus Oriented) ๔) ความรบั ผดิ ชอบทางการบรหิ าร (Administrative Responsibility) อันประกอบด๎วย หลกั คุณธรรม/จริยธรรม (Morality/Ethics) หลักการย่อย ๑๐ ประการ ได๎แกํ ๑) ประสิทธภิ าพ (Efficiency) หมายถึง ในการปฏิบตั ริ าชการต๎องใชท๎ รพั ยากรอยํางประหยัด เกดิ ผลิตภาพทค่ี ม๎ุ คําตํอ การลงทุนและบังเกิดประโยชน๑สูงสุดตอํ สวํ นรวม ทั้งนี้ ต๎องมกี ารลดขั้นตอนและระยะเวลาในการปฏิบตั ิงานเพื่อ อาํ นวยความสะดวกและลดภาระคําใชจ๎ าํ ย ตลอดจนยกเลกิ ภารกิจทลี่ า๎ สมยั และไมมํ ีความจาํ เป็น ๒) ประสิทธผิ ล (Effectiveness) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต๎องมวี สิ ยั ทัศนเ๑ ชิงยุทธศาสตร๑เพื่อตอบสนองความ ตอ๎ งการของประชาชนและผ๎ูมีสวํ นได๎สํวนเสียทุกฝาุ ย ปฏิบตั หิ นา๎ ที่ตามพันธกจิ ใหบ๎ รรลุวตั ถปุ ระสงค๑ขององคก๑ ารมีการ วางเปูาหมายการปฏิบตั ิงานท่ีชดั เจนและอยํใู นระดบั ที่ตอบสนองตํอความคาดหวังของประชาชน สร๎างกระบวนการ ปฏบิ ัติงานอยาํ งเป็นระบบและมมี าตรฐาน มกี ารจัดการความเสี่ยงและมงํุ เน๎นผลการปฏิบตั งิ านเปน็ เลิศ รวมถงึ มกี าร ติดตามประเมินผลและพฒั นาปรบั ปรุงการปฏบิ ัติงานให๎ดีข้ึนอยํางตํอเนอื่ ง ๓) การตอบสนอง (Responsiveness) หมายถงึ ในการปฏบิ ตั ิราชการต๎องสามารถให๎บริการได๎อยํางมีคณุ ภาพ สามารถดําเนินการแลว๎ เสร็จภายในระยะเวลาท่ีกาํ หนด สร๎างความเชื่อมนั่ ไวว๎ างใจ รวมถึงตอบสนองตามความ คาดหวงั /ความต๎องการของประชาชนผ๎ูรบั บริการ และผูม๎ ีสํวนได๎สวํ นเสียทมี่ คี วามหลากหลายและมีความแตกตํางกนั ไดอ๎ ยํางเหมาะสม ๔) ภาระรับผิดชอบ/สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) หมายถงึ ในการปฏบิ ัติราชการตอ๎ งสามารถตอบ คําถามและช้ีแจงไดเ๎ ม่ือมีขอ๎ สงสยั รวมทงั้ ต๎องมกี ารจดั วางระบบการรายงานความกา๎ วหน๎าและผลสัมฤทธิ์ตาม เปาู หมายท่กี ําหนดไว๎ตํอสาธารณะเพื่อประโยชน๑ในการตรวจสอบและการให๎คุณให๎โทษ ตลอดจนมกี ารจดั เตรียมระบบ การแก๎ไขหรือบรรเทาป๓ญหาและผลกระทบใด ๆ ท่ีอาจจะเกดิ ขน้ึ ๕) เปดิ เผย/โปร่งใส (Transparency) หมายถงึ ในการปฏิบตั ริ าชการต๎องปฏบิ ตั งิ านด๎วยความซอ่ื สัตยส๑ จุ รติ ตรงไปตรงมา รวมทงั้ ต๎องมีการเปดิ เผยข๎อมลู ขาํ วสารทีจ่ าํ เป็นและเชือ่ ถือได๎ให๎ประชาชนไดร๎ บั ทราบอยํางสมํ่าเสมอ ตลอดจนวางระบบใหก๎ ารเข๎าถงึ ข๎อมูลขาํ วสารดงั กลาํ วเปน็ ไปโดยงาํ ย นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๑๒ ๖) หลักนติ ิธรรม (Rule of Law) หมายถงึ ในการปฏบิ ตั ิราชการตอ๎ งใช๎อาํ นาจของกฎหมาย กฎระเบียบ ข๎อบังคับใน การปฏิบัติงานอยํางเครํงครัด ดว๎ ยความเปน็ ธรรม ไมเํ ลือกปฏบิ ตั ิและคาํ นึงถงึ สิทธเิ สรภี าพของประชาชน และผู๎มีสวํ น ได๎สํวนเสียฝุายตําง ๆ ๗) ความเสมอภาค (Equity) หมายถงึ ในการปฏบิ ตั ิราชการต๎องให๎บริการอยํางเทําเทยี มกนั ไมํมี การแบํงแยกดา๎ น ชายหญงิ ถน่ิ กาํ เนิด เชอื้ ชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรอื สุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจและ สงั คม ความเช่อื ทางศาสนา การศึกษาอบรม และอื่น ๆ อีกทงั้ ยงั ต๎องคํานงึ ถงึ โอกาสความเทาํ เทียมกันของการเข๎าถงึ บรกิ ารสาธารณะของกลุํมบุคคลผู๎ดอ๎ ยโอกาสในสังคมดว๎ ย ๘) การมีส่วนร่วม/การพยายามแสวงหาฉันทามติ (Participation/ Consensus Oriented) หมายถึง ในการปฏิบัติ ราชการตอ๎ งรับฟ๓งความคดิ เห็นของประชาชน รวมท้งั เปิดใหป๎ ระชาชนมีสวํ นรวํ มในการรับร๎ู เรียนร๎ู ทาํ ความเขา๎ ใจ รวํ มแสดงทัศนะ รวํ มเสนอป๓ญหา/ประเด็นท่สี ําคัญทีเ่ กยี่ วขอ๎ งรํวมคดิ แก๎ไขป๓ญหา รํวมในกระบวนการตัดสนิ ใจและ การดําเนนิ งานและรวํ มตรวจสอบผลการปฏบิ ัติงาน ท้งั นี้ ต๎องมีความพยายามในการแสวงหาฉนั ทามติหรือข๎อตกลง รํวมกันระหวํางกลุํมผูม๎ ีสวํ นได๎สวํ นเสยี ทีเ่ กีย่ วขอ๎ ง โดยเฉพาะกลุํมทไ่ี ดร๎ ับผลกระทบโดยตรงจะต๎องไมํมขี ๎อคดั คา๎ นทห่ี า ข๎อยตุ ิไมํไดใ๎ นประเดน็ ทส่ี าํ คัญ ๙) การกระจายอาํ นาจ (Decentralization) หมายถงึ ในการปฏิบัติราชการควรมกี ารมอบอาํ นาจและกระจายความ รับผดิ ชอบในการตัดสินใจและการดําเนนิ การให๎แกผํ ปู๎ ฏบิ ัติงานในระดบั ตําง ๆ ได๎อยํางเหมาะสมรวมทั้งมีการโอนถาํ ย บทบาทและภารกจิ ให๎แกํองค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่นหรือภาคสวํ นอ่นื ๆ ในสังคม ๑๐) คุณธรรม/จรยิ ธรรม (Morality/ Ethic) หมายถงึ ในการปฏิบตั ิราชการต๎องมจี ติ สาํ นึกความรับผดิ ชอบในการ ปฏบิ ตั ิหน๎าทใ่ี หเ๎ ปน็ ไปอยาํ งมีศลี ธรรม คุณธรรม และตรงตามความคาดหวังของสังคม รวมทัง้ ยดึ มน่ั ในคํานยิ มหลกั ของ มาตรฐานจรยิ ธรรมสําหรับผดู๎ ํารงตําแหนงํ ทางการเมืองและเจ๎าหน๎าท่ขี องรัฐประมวลจรยิ ธรรมข๎าราชการพลเรือนและ จรรยาบรรณวชิ าชีพ ตลอดจน คณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค๑ของระบบราชการไทย๘ ประการ (I AM READY) ได๎แกํ I - Integrity ซอ่ื สัตยแ๑ ละกลา๎ ยืนหยดั ในส่งิ ที่ถูกตอ๎ ง A - Activeness ทาํ งานเชงิ รุก คดิ เชิงบวกและมีจิตบริการ M - Morality มศี ลี ธรรม คณุ ธรรมและจริยธรรม R - Responsiveness คํานงึ ถงึ ประโยชน๑สุขของประชาชนเป็นท่ีตั้ง E - Efficiency มุงํ เนน๎ ประสิทธิภาพ A - Accountability ตรวจสอบได๎ D - Democracy ยึดมนั่ ในหลกั ประชาธิปไตย Y - Yield มงํุ ผลสมั ฤทธ์ิ สรุประเบียบสาํ นกั นายกรัฐมนตรีวา่ ดว้ ยการลาของข้าราชการ พ.ศ.๒๕๕๕ ๑. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วนั ท่ี ๒๔ มกราคม ๒๕๕๕ มผี ลบงั คบั ใช๎วนั ที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ ปลัดสาํ นักนายกรฐั มนตรีเปน็ ผู๎รักษาการตามระเบยี บน้ี ๒. ผม๎ู ีอาํ นาจการลาไมํอยหํู รือไมสํ ามารถปฏิบตั ริ าชการได๎ หากมีเหตจุ าํ เป็นเรงํ ดํวนให๎เสนอใบลาตอํ ผ๎ูมีอํานาจเหนือ ขน้ึ ไปพจิ ารณา - การลาในชวํ งกอํ นและหลังวันหยดุ ราชการประจาํ สัปดาห๑หรือวนั หยุดราชการประจําปเี พอื่ ให๎มวี นั หยุดตํอเน่ืองกัน ให๎ผ๎ูมีอาํ นาจใชด๎ ลุ พินิจตามความเหมาะสม ๓. การนบั วนั ลานับตามปีงบประมาณ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๑๓ - การนบั วันลาใหน๎ ับตอํ เน่ืองกนั รวมวันหยุดราชการทอ่ี ยํรู ะหวํางวันลาประเภทเดยี วกนั ยกเวน๎ ลาปวุ ย ลาไป ชํวยเหลอื ภริยาท่คี ลอดบตุ ร ลากิจสํวนตัว ลาพักผอํ น นบั เฉพาะวันทาํ การ - การลาปวุ ยหรือลากิจสวํ นตัวตอํ เน่ืองกนั ในปีงบประมาณเดียวกนั หรอื ไมํกต็ าม นับเป็นหนง่ึ ครง้ั - การลาไปชํวยเหลอื ภริยา ลากจิ สํวนตวั (ไมใํ ชํลากิจเลย้ี งดูบุตร) ลาพักผํอน หากมรี าชการจาํ เป็นผู๎บังคบั บัญชามี อํานาจเรยี กกลบั มาปฏบิ ัตริ าชการระหวํางลาได๎ และถือวาํ ใหส๎ ิ้นสุดวนั ลากอํ นวันกลบั มาปฏิบตั ิราชการ แตถํ า๎ ผ๎มู ี อํานาจเหน็ วาํ การเดินทางต๎องใช๎เวลา ใหถ๎ ือวาํ สน้ิ สุดกํอนวันเดินทางกลับ - การลาครงึ่ วันเชา๎ บาํ ย นับเป็นการลาครึ่งวัน - การยกเลิกวนั ลา การลาสิน้ สุดกอํ นวนั มาปฏบิ ตั ริ าชการ ๔. การควบคุมการลา - จดั ทําบญั ชีลงเวลาปฏบิ ตั ิราชการ - เครอื่ งบันทึกเวลาการปฏบิ ตั ิราชการ - แบบอ่นื ตามทเ่ี หน็ สมควรได๎ ๕. การลาต๎องใช๎ใบลาตามแบบทก่ี าํ หนด เวน๎ กรณีเรงํ ดํวนจําเป็นใช๎วธิ ีการอ่นื ได๎ แตตํ ๎องสงํ ใบลาตามแบบในวันแรก ท่ีมาปฏบิ ตั ริ าชการ สํวนราชการอาจนาํ ระบบอิเลก็ ทรอนกิ สม๑ าประยุกต๑ใชใ๎ นการเสนอ อนญุ าต และยกเลิกวนั ลา สาํ หรบั วนั ลา ปุวย ลาพกั ผอํ น ลากจิ สํวนตวั (เวน๎ ลากิจเลีย้ งดูบตุ ร) ๖. การไปตํางประเทศระหวาํ งการลา หรอื วันหยดุ ราชการ ให๎เสนอขออนุญาตตํอผู๎บังคบั บัญชาตามลาํ ดบั จนถึง หัวหน๎าสวํ นราชการ แล๎วรายงานใหป๎ ลดั กระทรวงทราบด๎วย ๗. การขออนุญาตไปตาํ งประเทศซ่งึ อยํูตดิ เขตแดนประเทศไทย ผ๎ูวําราชการจงั หวดั อนุญาตไดไ๎ มํเกิน ๗ วัน นายอาํ เภอทอ๎ งทท่ี ีม่ ีอาณาเขตติดตอํ ประเทศนนั้ อนญุ าตได๎ไมเํ กนิ ๓ วนั ๘. ขา๎ ราชการท่ีไมสํ ามารถมาปฏิบตั ิราชการเพราะพฤตกิ ารณพ๑ เิ ศษ ใหร๎ บี รายงานพฤติการณ๑ ป๓ญหาอปุ สรรคตํอ ผูบ๎ ังคับบัญชาตามลําดับจนถึงหัวหนา๎ สํวนราชการทันทีในวนั แรกท่ีมาปฏิบัติราชการ แล๎วไมํต๎องนับเป็นวนั ลา แตถํ ๎า เหน็ วาํ ไมเํ ปน็ พฤตกิ ารณ๑พเิ ศษ ให๎ถือวนั วนั ทไ่ี มมํ าเป็นวันลากิจสํวนตวั ๙.. การลาแบงํ ออกเป็น ๑๑ ประเภท คอื ๑. การลาปุวย ๒. การลาคลอดบุตร ๓. การลาไปชํวยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ๔ การลากจิ สํวนตัว ๕. การลาพักผํอน ๖. การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพธิ ฮี ัจย๑ ๗. การลาเขา๎ รบั การตรวจเลือกหรอื เข๎ารับการเตรยี มพล ๘. การลาไปศกึ ษา ฝกึ อบรม ปฏิบัตงิ านวิจยั หรือดงู าน ๙. การลาไปปฏบิ ัติงานในองค๑กรระหวํางประเทศ ๑๐. การลาตดิ ตามคํูสมรส ๑๑. การลาไปฟ้นื ฟูสมรรถภาพด๎านอาชีพ ๑๐. การลาปุวย - เสนอใบลากํอนหรือในวันท่ีลาด ยกเว๎นจําเปน็ เสนอวนั แรกที่มาปฏิบตั ิราชการ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๑๔ - ในกรณีทีข่ ๎าราชการผู๎ขอลามอี าการปุวย จนไมสํ ามารถจะลงช่ือในใบลาได๎ให๎ผ๎ูอน่ื ลาแทนไดแ๎ ตเํ ม่อื สามารถลง ชื่อได๎แลว๎ ให๎เสนอใบลาโดยเรว็ - การลาปุวย ๓๐ วนั ข้ึนไป ตอ๎ งมใี บรับรองแพทย๑ - การลาปวุ ยไมํถึง ๓๐ วัน ถ๎าผมู๎ ีอาํ นาจอนญุ าตเห็นสมควรให๎เสนอใบรับรองแพทยป๑ ระกอบการลา หรอื ส่งั ให๎ไป ตรวจรํางกายประกอบการพจิ ารณาอนญุ าตได๎ ๑๑ การลาคลอดบุตร (ไมตํ ๎องมีใบรับรองแพทย๑) - เสนอใบลากอํ นหรือในวันที่ลา ถา๎ ลงช่อื ไมํไดใ๎ หผ๎ ู๎อ่นื ลาแทนได๎ เมอ่ื ลงชอ่ื ได๎ใหส๎ ํงใบลาโดยเรว็ - ลาในวันทคี่ ลอด กอํ นหรือหลงั คลอดก็ได๎ แตํรวมแลว๎ ต๎องไมเํ กนิ ๙๐ วนั - ลาไปแลว๎ ยงั ไมํคลอด ยกเลิกวนั ลาคลอดบุตรได๎ ใหน๎ ับวนั ทหี่ ยุดราชการไปแลว๎ เป็นวนั ลากจิ - การลาคลอดบตุ รคาบเกยี่ วการลาประเภทอืน่ ให๎ถือวําวันลานั้นสิ้นสุดลง และนบั เปน็ วันลาคลอดบตุ รนบั แตํวนั ลาคลอดบตุ ร ๑๒ การลาไปชํวยเหลอื ภริยาที่คลอดบุตร (ทช่ี อบด๎วยกฎหมาย) - เสนอใบลากอํ นหรือในวนั ที่ลา ภายใน ๙๐ วนั นบั แตวํ นั ท่คี ลอดบตุ ร ลาคร้งั หนงึ่ ติดตํอกันไมํเกนิ ๑๕ วนั ทาํ การ - ผ๎มู ีอํานาจอนญุ าตอาจใหแ๎ สดงหลกั ฐานประกอบการพจิ ารณาได๎ ๑๓. การลากิจสวํ นตวั - เสนอใบลาจนถึงผม๎ู ีอํานาจอนญุ าต ได๎รบั อนุญาตแล๎วจงึ จะหยุดราชการได๎ - ถา๎ มเี หตจุ าํ เปน็ เสนอแล๎วระบุสาเหตุ แลว๎ หยดุ ราชการไปกํอนได๎ แตตํ ๎องรีบชีแ้ จงโดยเร็ว - ถ๎าไมสํ ามารถเสนอใบลาได๎ ใหส๎ งํ ใบลาพร๎อมเหตผุ ลความจําเปน็ ในวันแรกที่มาปฏบิ ัตริ าชการ - ลากิจสวํ นตวั ตอํ เนอ่ื งจากลาคลอดบุตรได๎ไมํเกิน ๑๕๐ วนั ทําการ ๑๔. การลาพักผอํ น - เสนอใบลาจนถึงผมู๎ ีอํานาจอนญุ าต ไดร๎ บั อนุญาตแล๎วจงึ จะหยุดราชการได๎ - ลาไดป๎ งี บประมาณละ ๑๐ วันทําการ - ข๎าราชการท่ีบรรจเุ ข๎ารับราชการยงั ไมํถงึ ๖ เดือนไมํมีสิทธลิ าพักผอํ นประจาํ ปีในปีที่บรรจุ - ปีใดทไี่ มํได๎ลา หรือลาแตไํ มํครบ ๑๐ วัน ใหส๎ ะสมวันท่ยี งั ไมํไดล๎ ารวมกับปตี ํอๆ ไปได๎ แตรํ วมกบั วนั ลาพักผํอน ในปปี ๓จจุบนั แล๎วไมเํ กนิ ๒๐ วันทาํ การ ถา๎ รบั ราชการไมนํ ๎อยกวาํ ๑๐ ปี สะสมไมํเกิน ๓๐ วันทําการ ปีแรก ลาพกั ผํอน ๕ วัน เหลือ ๕ วัน ปีทสี่ อง สิทธลิ า ๑๐ วัน สะสม ๕ วัน รวม ๑๕ วัน ลาพกั ผํอน ๔ วัน เหลือ ๑๑ วัน ปีทสี่ าม สทิ ธลิ า ๑๐ วนั สะสม ๑๐ วนั (รบั ราชการไมถํ ึง ๑๐ ปี) รวม ๒๐ วนั สะสม ๑๑ วนั (รับราชการไมํนอ๎ ยกวาํ ๑๐ ป)ี รวม ๒๑ วัน ๑๕. การลาไปอปุ สมบทหรือการลาไปประกอบพธิ ีฮจั ย๑ - เสนอใบลากํอนวันอุปสมบทหรอื วนั เดนิ ทาง ไมํน๎อยกวํา ๖๐ วนั ถา๎ ไมํทันให๎อยํูในดลุ พินิจของผม๎ู ีอํานาจ อนญุ าต - ตอ๎ งอปุ สมบทหรือเดนิ ทาง ภายใน ๑๐ วนั นับแตํวนั เริ่มลา และรายงานตวั ภายใน ๕ วนั นับแตํวนั ท่ลี าสิกขา หรือวันเดนิ ทางกลบั ถึงประเทศไทย ทัง้ นี้ นบั รวมอยํใู นระยะเวลาท่ไี ดร๎ ับอนุญาตการลา - ถ๎ามีอปุ สรรค ยกเลิกวนั ลาและให๎นับวันทห่ี ยดุ ราชการไปแล๎วเปน็ ลากจิ สวํ นตัว ๑๖. การลาเขา๎ รบั การตรวจเลอื กหรือเขา๎ รบั การเตรียมพล - หมายเรียกเขา๎ รบั การตรวจเลอื ก รายงานลาตํอผ๎บู งั คบั บัญชากํอนวนั เขา๎ รับการตรวจเลือกภายใน ๔๘ ชวั่ โมง - หมายเรยี กเขา๎ รับการเตรียมพล รายงานตํอผูบ๎ งั คับบญั ชาภายใน ๔๘ ชม. นับแตเํ วลารับหมายเรยี ก นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๑๕ - รายงานลาแล๎วไปเขา๎ รบั การตรวจเลอื กโดยไมตํ ๎องรออนุญาต ผ๎ูบงั คับบญั ชารายงาน ผวจ.ทราบ - รายงานตวั กลับเข๎ารบั ราชการภายใน ๗ วนั ๑๗. การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ปฏบิ ตั ิการวิจยั และดูงาน (ท้งั ในประเทศและตาํ งประเทศ) - เสนอใบลาตามลาํ ดับจนถึง อธบิ ดี เพอื่ พจิ ารณาอนุญาต แลว๎ รายงานปลัดกระทรวงทราบ ๑๘. การลาไปปฏบิ ัติงานในองคก๑ ารระหวาํ งประเทศ - เสนอใบลาตามลําดับจนถึงรัฐมนตรีเจ๎าสังกัดเพ่อื พจิ ารณาอนุญาต (นบั เวลาเต็มเวลาราชการ) - ลาไมเํ กิน ๑ ปี รายงานตวั ภายใน ๑๕ วันนบั แตํวนั ครบกําหนดเวลา และรายงานผลภายใน ๓๐ วัน นับแตํวันท่ี กลบั มาปฏิบตั ิราชการ ๑๙. การลาตดิ ตามคํสู มรส - เสนอใบลาตามลําดบั จนถึงปลัดกระทรวงเพื่อพิจารณาอนุญาต - ลาได๎ไมํเกนิ ๒ ปี จาํ เปน็ ลาตํอได๎อกี ๒ ปี รวมแลว๎ ต๎องไมํเกิน ๔ ปี ถ๎าเกิน ๔ ปีใหล๎ าออก ๒๐. การลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด๎านอาชพี - ได๎รบั อันตรายหรือเจบ็ ปุวยเหตปุ ฏิบัตหิ นา๎ ทร่ี าชการจนทุพพลภาพหรือพิการ - ลาไปเขา๎ รบั การฝึกอบรมหลักสตู รเก่ยี วกบั การฟื้นฟูสมรรถภาพทจ่ี าํ เป็นตํอการปฏิบัตหิ น๎าท่ีราชการ หรือ จําเป็นตํอการประกอบอาชพี - ลาได๎ครง้ั หนึ่งตามระยะเวลาที่กําหนดไวใ๎ นหลักสตู รที่ประสงคจ๑ ะลา แตไํ มเํ กิน ๑๒ เดอื น - ได๎รบั อันตรายเพราะเหตอุ นื่ จนทุพพลภาพหรอื พิการ ผูม๎ ีอํานาจส่ังบรรจุ (อธิบดี, ผวจ.) เหน็ วํายังรบั ราชการได๎ สามารถลาไปอบรบหลักสตู รท่ีจําเปน็ ตอํ การปฏบิ ตั ิหนา๎ ที่ราชการได๎ แตไํ มเํ กนิ ๑๒ เดือน - ต๎องเป็นหลักสูตท่ีสํวนราชการ หนวํ ยงานอ่ืนของรัฐ องค๑กรการกศุ ลอนั เป็นสาธารณะ สถาบนั ท่ไี ดร๎ บั การ รบั รองจากหนวํ ยงานของทางราชการ เปน็ ผ๎ูจดั หรือรํวมจดั - เสนอใบลา พร๎อมหลกั ฐานเกี่ยวกับหลักสูตรที่จะลา เอกสารท่เี กีย่ วข๎อง ตามลําดบั เมือ่ ไดร๎ ับอนญุ าตแล๎วจึงจะ หยดุ ราชการเพื่อไปฟนื้ ฟูได๎(อธบิ ดี อนญุ าตได๎ไมเํ กิน ๖ เดือน, ปลดั กระทรวง,รมต.ไมํเกิน ๑๒ เดอื น) ระเบยี บกรมสรรพากร ว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑. คาํ จํากัดความ “แบบพิมพ์ทเ่ี ป็นตวั เงิน” หมายถึง ใบเสร็จรบั เงินภาษอี ากรประเภทตําง ๆ รวมท้ังแบบพมิ พ์ท่ีผเู้ สยี ภาษีต้องซือ้ เพื่อ ประกอบการเสยี ภาษีดว๎ ย “สงิ่ สาํ คัญแทนตวั เงนิ ” หมายถึง เช็ค ธนาณตั ิ ใบสําคญั รองจาํ ย สัญญารับรองการยืมเงิน ใบเบิกเงนิ เพอ่ื จํายใน ราชการ สมดุ คํฝู าก บตั รภาษี เป็นต๎น ๒. ใหผ๎ ๎ูอาํ นวยการสาํ นักมาตรฐานการจดั เก็บภาษรี ักษาการตามระเบยี บนี้ ๓. วตั ถปุ ระสงค๑ของการตรวจราชการ (๑) เพ่ือช้ีแจง แนะนํา หรอื ทําความเขา๎ ใจกับหนวํ ยรบั การตรวจ เกยี่ วกบั แนวทางการปฏบิ ตั ิงานตามภารกจิ แผน ยุทธศาสตรห๑ รอื นโยบายของกรมสรรพากรและกระทรวงการคลงั (๒) เพื่อติดตามการปฏิบตั งิ านของหนวํ ยรับการตรวจใหป๎ ฏิบตั ิถูกต๎องตามกฎหมาย กฎ ระเบยี บ ข๎อบังคบั ประกาศ คําส่ัง แนวทางปฏบิ ัติ หนงั สือราชการของกรมสรรพากรและกระทรวงการคลงั ให๎เปน็ ไปตามความมุํงหมาย วัตถปุ ระสงค๑ เปาู หมายและผลสัมฤทธติ์ ามนโยบายหรอื แผนยทุ ธศาสตรข๑ องกรมสรรพากรและกระทรวงการคลงั (๓) เพื่อติดตามความก๎าวหนา๎ ป๓ญหา และอุปสรรค รวมทง้ั ประเมนิ ประสทิ ธิภาพประสิทธผิ ล ความคุ๎มคาํ ในการ ปฏิบตั งิ านของหนํวยรบั การตรวจ นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๑๖ (๔) เพื่อรบั ฟ๓งป๓ญหา ความคิดเห็น และความต๎องการของเจา๎ หน๎าท่ีหนํวยรบั การตรวจ (๕) เพื่อแสวงหาข๎อเทจ็ จริงและสบื สวนสอบสวนเก่ยี วกับเหตุการณ๑ หรอื มกี รณีร๎องเรียนหนวํ ยรับการตรวจ และ หรอื เจ๎าหน๎าที่ในหนํวยรับการตรวจ ๔. ผ๎ตู รวจราชการและหนวํ ยรับการตรวจ (๑) ให๎บคุ คลตํอไปนี้มหี นา๎ ทตี่ รวจราชการและติดตามดแู ลแทนอธบิ ดี (๑.๑) ผ๎ูตรวจราชการกรม มีหน๎าทตี่ รวจราชการ สาํ นัก หนวํ ยงานอืน่ สาํ นักงานสรรพากรภาค สาํ นกั งาน สรรพากรพนื้ ท่ี และสํานกั งานสรรพากรพืน้ ที่สาขา (๑.๒) สรรพากรภาค มหี น๎าทต่ี รวจราชการ สํานักงานสรรพากรพ้ืนท่แี ละสํานักงานสรรพากรพื้นท่สี าขาท่ีอยูํใน ความรบั ผดิ ชอบของสํานักงานสรรพากรภาคนน้ั (๑.๓) สรรพากรพ้นื ที่ มหี น๎าท่ีตรวจราชการสํานักงานสรรพากรพื้นทีส่ าขาท่ีอยใูํ นความรับผดิ ชอบของ สาํ นกั งานสรรพากรพน้ื ทนี่ ั้น ในกรณีท่ผี ู๎ตรวจราชการไมํอาจตรวจราชการได๎ ให๎มอบหมายใหเ๎ จ๎าหนา๎ ทร่ี ะดับรองลงมาเป็นผต๎ู รวจราชการ แทน (๒) อธบิ ดีเห็นสมควรจะส่ังให๎ขา๎ ราชการในตําแหนงํ อื่นทส่ี งั กัดกรมสรรพากรเปน็ ผตู๎ รวจราชการกไ็ ด๎ ๕. แผนการตรวจราชการและกาํ หนดเวลาการตรวจราชการ (๑) แผนการตรวจราชการและการขออนุมัติออกตรวจราชการ ใหผ๎ ๎ูตรวจราชการจัดทาํ แผนการตรวจราชการ ภายในเดือนตุลาคมของปีงบประมาณที่จะทาํ การตรวจโดยไมตํ ๎อง ขออนมุ ัตทิ ุกครัง้ ท่ีออกไปตรวจราชการ เวน๎ แตํมกี ารปรับเปล่ียนแผนการตรวจราชการให๎แจง๎ เหตผุ ลความจําเปน็ ตํอผ๎ู มอี าํ นาจ ดังนี้ (๑.๑) ผูต๎ รวจราชการกรม เสนอขออนุมตั ิตํออธิบดี (๑.๒) สรรพากรภาค เสนอขออนมุ ตั ิตํออธิบดี (ผํานงานตรวจราชการ) (๑.๓) สรรพากรพ้นื ที่ เสนอขออนุมัติตํอสรรพากรภาค (๒) กาํ หนดเวลาการตรวจราชการ ใหผ๎ ๎ูตรวจราชการดําเนินการตรวจราชการหนํวยงานสงั กัดกรมสรรพากรภายในกาํ หนดเวลา ดงั น้ี (๒.๑) ผู๎ตรวจราชการกรม (๒.๑.๑) ใหต๎ รวจราชการสาํ นัก หนวํ ยงานอ่ืน ตามท่อี ธบิ ดเี ห็นสมควร (๒.๑.๒) ใหต๎ รวจราชการสํานักงานสรรพากรภาคทุกแหงํ อยํางนอ๎ ยปลี ะ ๑ ครั้ง (๒.๑.๓) ใหต๎ รวจราชการสํานกั งานสรรพากรพื้นที่ และสํานักงานสรรพากรพน้ื ทีส่ าขาในท๎องที่ของ สาํ นกั งานสรรพากรภาคตามทเ่ี หน็ สมควรในคราวเดยี วกบั การตรวจราชการสํานกั งานสรรพากรภาค (๒.๒) สรรพากรภาค (๒.๒.๑) ให๎ตรวจราชการสํานกั งานสรรพากรพน้ื ทที่ ่ีอยใูํ นความรบั ผดิ ชอบทกุ แหงํ ตามความจาํ เปน็ และ สมควรอยาํ งน๎อยปีละ ๑ คร้ัง (๒.๒.๒) ใหต๎ รวจราชการสํานักงานสรรพากรพ้นื ทีส่ าขาท่ีอยูํในความรับผิดชอบของสาํ นักงาน สรรพากรพนื้ ท่ตี ามท่เี หน็ สมควรในคราวเดียวกบั การตรวจราชการสาํ นักงานสรรพากรพนื้ ที่ (๒.๓) สรรพากรพื้นท่ี (๒.๓.๑) ให๎ตรวจราชการสาํ นกั งานสรรพากรพ้ืนที่สาขาที่อยใํู นความรบั ผดิ ชอบทุกแหํงเป็นรายไตร มาสหรือรายปี และเร่มิ ทําการตรวจได๎ตงั้ แตวํ นั แรกของปีงบประมาณ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๑๗ (๒.๓.๒) สาํ นกั งานสรรพากรพ้ืนทส่ี าขาท่อี ยูํในแผนการตรวจราชการเปน็ รายไตรมาส ให๎ทาํ การตรวจ ใหแ๎ ล๎วเสรจ็ ภายในกําหนดเวลา ดงั นี้ ไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม - ธนั วาคม) ภายในเดือนมกราคม ไตรมาสท่ี ๒ (มกราคม - มนี าคม) ภายในเดือนเมษายน ไตรมาสที่ ๓ (เมษายน - มิถุนายน) ภายในเดือนกรกฎาคม ไตรมาสที่ ๔ (กรกฎาคม - กันยายน) ภายในเดอื นตุลาคม สาํ หรบั การตรวจในเดือนปจ๓ จุบนั ให๎ทาํ การตรวจจนถึงวันกํอนเร่ิมทําการตรวจ (๒.๓.๓) สํานักงานสรรพากรพนื้ ท่ีสาขาที่อยํูในแผนการตรวจราชการเป็นรายปใี หท๎ ําการตรวจใหแ๎ ล๎ว เสร็จภายในปงี บประมาณทีเ่ ข๎าตรวจ ๖. ใหผ๎ ตู๎ รวจราชการ ตรวจการปฏบิ ัติงานของหนํวยรับการตรวจตง้ั แตํกํอนวนั เริ่มทาํ การตรวจยอ๎ นหลงั ไปถงึ วนั สดุ ทา๎ ยของการตรวจราชการคร้ังกํอน แตํไมํเกนิ ๒ ปี เวน๎ แตํ กรณีมีเหตผุ ลและความจําเป็นจะขออนุมัตติ ํออธบิ ดี เพื่อตรวจย๎อนหลงั เกนิ กวาํ ๒ ปีกไ็ ด๎ สํวนการตรวจราชการคร้ังแรกของหนํวยงานท่ตี ้ังขึ้นใหมํ ใหต๎ รวจย๎อนหลังไป จนถงึ วันเร่ิมปฏิบตั ริ าชการคร้ังแรกของหนํวยงานท่ีต้ังขึ้นใหมนํ นั้ ๗. ผ๎ตู รวจราชการมอี ํานาจและหนา๎ ที่ ดังตํอไปน้ี (๑) สง่ั เป็นลายลกั ษณ๑อักษรให๎หนํวยรับการตรวจ ปฏิบัติในเรอื่ งใดเร่ืองหนึ่งให๎ถกู ต๎องตามกฎหมาย กฎ ระเบยี บ ข๎อบังคบั ประกาศ คําสัง่ แนวทางปฏบิ ตั ิ หนังสือราชการของกรมสรรพากรและกระทรวงการคลัง (๒) สั่งเปน็ ลายลกั ษณ๑อักษรใหห๎ นํวยรบั การตรวจ ปฏบิ ัติหรอื งดเว๎นการปฏิบัติในเร่ืองใด ๆ ในระหวาํ งการตรวจ ราชการไว๎กํอน หากเห็นวําจะกํอใหเ๎ กิดความเสยี หายแกํทางราชการอยํางรา๎ ยแรง และเมื่อไดส๎ ่งั การดงั กลําวแลว๎ ให๎ รายงานผ๎บู ังคับบัญชาเพ่อื ทราบหรือพจิ ารณาโดยดํวน (๓) สัง่ ให๎หนํวยรับการตรวจและเจ๎าหน๎าทใ่ี นหนํวยรบั การตรวจ ให๎ถ๎อยคาํ หรือ สํงเอกสารและหลกั ฐานเกีย่ วกบั การปฏบิ ัตงิ านเพื่อประกอบการพิจารณา (๔) เม่ือไดร๎ บั การรอ๎ งเรียนหรือมีเหตุอนั สมควร ใหด๎ าํ เนนิ การสอบข๎อเทจ็ จริง สบื สวนสอบสวนหรือรบั ฟ๓ง เหตกุ ารณ๑ โดยประสานงานกับหนวํ ยงานอนื่ ๆ เพอ่ื แก๎ไขป๓ญหา อปุ สรรคของหนํวยรบั การตรวจหรอื เจ๎าหนา๎ ทีใ่ นหนํวย รบั การตรวจ (๕) ประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านของหนํวยรับการตรวจและรายงานผู๎บังคบั บัญชาเพ่ือทราบ (๖) เรียกประชุมเจ๎าหนา๎ ท่ีในหนวํ ยรับการตรวจเพ่ือชแ้ี จง แนะนาํ หรือปรึกษาหารอื รวํ มกนั ๘. การเตรยี มข๎อมลู หลกั ฐานและการดําเนนิ การตรวจราชการ (๑) ผต๎ู รวจราชการกรม ได๎แกํ (๑.๑) ขอ๎ มลู และรายงานผลการตรวจราชการครง้ั กํอน (๑.๒) ข๎อมลู อนื่ ๆ ซึ่งผ๎ูตรวจราชการกรม เห็นวํามคี วามจาํ เปน็ ตอํ การตรวจราชการ (๒) สรรพากรภาค ไดแ๎ กํ (๒.๑) รายการแบบพิมพ๑ทเ่ี ป็นตัวเงินและแสตมป์อากร ท่ีสาํ นกั งานสรรพากรภาคจาํ ยให๎สํานักงานสรรพากร พืน้ ที่ (๒.๒) รายการเงินคาํ ใช๎สอย และเงินอน่ื ๆ (๒.๓) ขอ๎ มลู และรายงานผลการตรวจราชการครัง้ กํอน (๒.๔) ขอ๎ มูลอนื่ ๆ ซง่ึ สรรพากรภาคเหน็ วาํ มีความจาํ เป็นตํอการตรวจราชการ (๓) สรรพากรพ้นื ที่ ได๎แกํ นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๑๘ (๓.๑) รายการแบบพิมพ๑ท่ีเป็นตวั เงนิ และแสตมป์อากร ทสี่ ํานกั งานสรรพากรพ้ืนท่ีจาํ ยให๎สํานักงานสรรพากร พ้นื ท่สี าขา (๓.๒) รายการขอเบกิ เงนิ เดอื น เงนิ คาํ ใชส๎ อยและเงินอน่ื ๆ ทสี่ าํ นกั งานสรรพากรพ้นื ที่สาขาในเขต กรุงเทพมหานครขอเบิกจากสํานกั งานสรรพากรภาค (๓.๓) รายการจาํ ยเงนิ เดือน เงนิ คําใชส๎ อย และเงนิ อน่ื ๆ ท่ีสาํ นกั งานสรรพากรพ้นื ที่นอกเขตกรุงเทพมหานคร จํายให๎สํานักงานสรรพากรพ้ืนทส่ี าขา (๓.๔) สําเนาแบบแสดงรายการหรอื คัดรายการเสียภาษีอากรจากแบบแสดงรายการ เพื่อสมุํ ตรวจตามจาํ นวน ที่เหน็ สมควร (๓.๕) หนังสอื นาํ ตัวออกสมุํ สอบใบเสร็จรับเงนิ ของผ๎เู สียภาษีกับการสมุํ สาํ รวจพ้นื ทเี่ ปูาหมาย (๓.๖) ข๎อมูล statement จากธนาคารทนี่ าํ สํงเงนิ (ให๎สาํ นักงานสรรพากรพน้ื ทีส่ าขาสําเนาสงํ ใหส๎ าํ นกั งาน สรรพากรพน้ื ทใี่ หเ๎ ปน็ ป๓จจุบนั ) (๓.๗) ข๎อมูลและรายงานผลการตรวจราชการครั้งกํอน (๓.๘) ข๎อมลู อ่นื ๆ ซง่ึ สรรพากรพนื้ ทเ่ี หน็ วํามคี วามจาํ เป็นตํอการตรวจราชการ ๙. การรายงานการตรวจราชการ (๑) ให๎ผ๎ูตรวจราชการจัดทํารายงานการตรวจราชการตามแบบทอ่ี ธิบดีกาํ หนดแยกตามหนํวยรบั การตรวจ ให๎ แลว๎ เสรจ็ ภายใน ๑๕ วนั ทําการนับแตวํ ันท่ีเขา๎ ประจําทาํ งานตามปกติ ดงั นี้ (๑.๑) ผต๎ู รวจราชการกรม ให๎จัดทํารายงานการตรวจราชการแยกตามหนํวยรบั การตรวจ ยกเว๎น การตรวจ สํานกั งานสรรพากรภาค สาํ นักงานสรรพากรพ้ืนที่ และสํานักงานสรรพากรพื้นทสี่ าขาที่ตรวจในคราวเดยี วกนั ให๎ จัดทํารายงานการตรวจราชการรวมอยใูํ นชุดเดยี วกัน โดยแยกเป็นรายสํานักงานสรรพากรภาค และเสนอรายงานการ ตรวจราชการตอํ อธบิ ดี (๑.๒) สรรพากรภาค ให๎จัดทํารายงานการตรวจราชการสํานักงานสรรพากรพื้นที่ และสาํ นักงานสรรพากร พนื้ ทสี่ าขาทตี่ รวจในคราวเดยี วกันรวมอยูํในชุดเดียวกัน โดยแยกเป็นรายสาํ นกั งานสรรพากรพื้นท่ี และเสนอรายงาน การตรวจราชการตํออธิบดี (ผาํ นงานตรวจราชการ) (๑.๓) สรรพากรพน้ื ที่ ใหจ๎ ัดทํารายงานการตรวจราชการแยกตามหนวํ ยรับการตรวจและเสนอรายงานการ ตรวจราชการตํอสรรพากรภาค (๒) เมอ่ื ผูบ๎ ังคับบญั ชาไดพ๎ ิจารณารายงานการตรวจราชการจากผูต๎ รวจราชการแลว๎ หากมคี วามเห็น ข๎อแนะนํา หรอื ขอ๎ สัง่ การประการใด ให๎บนั ทกึ ข๎อสัง่ การลงในรายงานการตรวจราชการแลว๎ สงํ คนื ให๎ผ๎ตู รวจราชการ เมือ่ ผตู๎ รวจราชการได๎รบั รายงานการตรวจราชการคนื มา ถ๎ามีความเหน็ ข๎อแนะนาํ หรอื ข๎อสงั่ การ ให๎สาํ เนา รายงานการตรวจราชการสงํ ไปใหห๎ นํวยรบั การตรวจหรือหนวํ ยงานท่เี กยี่ วข๎องเพื่อทราบและถือเป็นแนวทางปฏบิ ัติ ตอํ ไป (๓) กรณสี ํานักงานสรรพากรภาค ได๎รบั รายงานการตรวจราชการจากสาํ นกั งานสรรพากรพ้นื ที่และพิจารณาสง่ั การในรายงานการตรวจราชการแล๎ว หากไมมํ ีประเด็นต๎องเสนออธิบดีเพ่อื พจิ ารณาส่ังการอีกให๎ถือเปน็ ยุติ เว๎นแตกํ รณี พบข๎อบกพรํองหรือการปฏิบัตงิ านสํอไปในทางทจุ ริตให๎สําเนารายงานการตรวจราชการไปให๎อธบิ ดที ราบโดยผาํ นงาน ตรวจราชการ (๔) ให๎ผู๎ตรวจราชการ จดั ทาํ บัญชีรายชื่อหนํวยรบั การตรวจ เพ่ือควบคมุ ให๎การตรวจราชการเป็นไปตามท่ี กรมสรรพากรกําหนด โดยบันทึกวําผใ๎ู ดตรวจราชการ ณ หนวํ ยงานใด ต้ังแตํเมื่อใด แลว๎ เสรจ็ เม่อื ใด และเสนอรายงาน การตรวจราชการแล๎วโดยหนังสือเลขทใี่ ด ลงวันเดอื นปีใด นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๑๙ (๕) กรณีอธบิ ดีพิจารณารายงานการตรวจราชการแลว๎ เห็นวาํ มปี ญ๓ หาสาํ คญั ใหส๎ รุปรายงานเสนอรองปลดั กระทรวงการคลัง หวั หน๎ากลมุํ ภารกิจดา๎ นรายได๎ เพ่ือทราบหรือพจิ ารณาสง่ั การตํอไป (๖) การรายงานผลการตรวจราชการ ให๎จดั ทําโดยสรปุ ให๎เห็นถงึ สภาพตามวัตถุประสงคข๑ องการตรวจราชการ พรอ๎ มทั้งปญ๓ หาหรืออุปสรรค โดยเสนอแนะแนวทางแก๎ไขด๎วยก็ได๎ ในกรณที ่ีได๎แนะนํา หรอื สัง่ การดว๎ ยวาจาไว๎ ให๎สรุปคาํ แนะนําและการส่งั การน้นั ไว๎ในรายงานด๎วย ๑๐. สมุดตรวจราชการต๎องมีสาระสาํ คญั ดงั ตอํ ไปน้ี (๑) วนั เดอื น ปี ทีต่ รวจ (๒) กิจกรรมหรือวัตถุประสงค๑ทตี่ รวจ โดยจะระบสุ ถานท่ี งาน หรือโครงการที่ตรวจไว๎ดว๎ ยกไ็ ด๎ (๓) ข๎อเสนอแนะหรอื การสง่ั การของผตู๎ รวจราชการท่จี าํ เป็นต๎องดําเนินการโดยรีบดวํ น รวมท้ังทไ่ี ด๎แนะนําหรอื ส่งั การดว๎ ยวาจาไวแ๎ ลว๎ (๔) การดาํ เนนิ การของหนํวยรับการตรวจ ๑๑. การดาํ เนนิ การเมื่อตรวจราชการเสรจ็ ส้ิน (๑) ให๎ผ๎ูตรวจราชการบนั ทกึ ผลการตรวจ ความคดิ เห็น คําแนะนาํ และขอ๎ ส่งั การเกย่ี วกบั งานทีต่ รวจลงในสมุด ตรวจราชการ พรอ๎ มทงั้ ลงลายมอื ชอื่ ตาํ แหนํง และวัน เดอื น ปี ท่ีตรวจไวเ๎ ป็นหลักฐาน (๒) ให๎หนวํ ยรับการตรวจทุกแหํง จัดให๎มสี มดุ ตรวจราชการไวป๎ ระจํา ณ สํานักงาน หรอื ท่ีทาํ การ (๓) ใหผ๎ บู๎ งั คับบญั ชาของหนวํ ยรับการตรวจ รบั ผดิ ชอบ ดแู ล และควบคุมการใช๎ สมดุ ตรวจราชการใหเ๎ ป็นไปดว๎ ย ความเรยี บรอ๎ ย (๔) ให๎หนํวยรบั การตรวจดาํ เนนิ การตามความเหน็ คําแนะนํา และข๎อสั่งการที่ผ๎ูตรวจราชการได๎บนั ทึกไว๎ในสมุด ตรวจราชการ (๔.๑) กรณที ่สี ามารถดําเนินการไดท๎ ันที ให๎รบี ดาํ เนินการให๎แล๎วเสร็จโดยเร็ว แล๎วบันทกึ ไวใ๎ นสมดุ ตรวจ ราชการ (๔.๒) กรณที ไี่ มสํ ามารถดาํ เนินการได๎ทันทีหรือไมสํ ามารถดําเนินการได๎ ใหบ๎ ันทึกชแี้ จงข๎อขัดข๎องพร๎อมแสดง เหตุผลไวใ๎ นสมุดตรวจราชการ แลว๎ รีบดาํ เนินการและรายงานผลให๎ผบ๎ู ังคับบญั ชาทราบภายใน ๒ เดือน หาก ยงั ไมํแลว๎ เสรจ็ ให๎รายงานความคบื หน๎าทุก ๒ เดือน เมอื่ ดําเนนิ การแลว๎ เสรจ็ ให๎รายงานตํอผ๎ูบงั คับบญั ชา ภายใน ๕ วนั ทําการ นบั แตํวันท่ดี าํ เนินการแล๎วเสร็จ (๔.๓) กรณที ี่ผ๎ูตรวจราชการมีความเหน็ คําแนะนําหรือข๎อส่ังการไว๎ในสมุดตรวจราชการ ใหห๎ นวํ ยรับการ ตรวจ รายงานผลการดาํ เนินการตอํ ผ๎ตู รวจราชการตามแบบรายงานของผู๎รับการตรวจภายใน ๒ เดอื น นบั แตํวันที่ได๎ รับทราบขอ๎ สง่ั การในสมุดตรวจราชการ (๕) กรณีผตู๎ รวจราชการกระทรวงการคลัง ตรวจราชการหนวํ ยงานสังกดั กรมสรรพากร ใหห๎ นวํ ยรับการตรวจ จัดทําสาํ เนาผลการตรวจของผ๎ตู รวจราชการกระทรวงการคลงั และผลการดําเนินการเสนอผบ๎ู งั คบั บัญชาภายใน ๕ วนั ทาํ การนบั แตวํ ันทีผ่ ู๎ตรวจราชการกระทรวงการคลงั ไดบ๎ นั ทึกไวใ๎ นสมดุ ตรวจราชการ ขอบเขตการตรวจการปฏิบตั ิงานของผู้ตรวจราชการ(ตรวจสํานักงานสรรพากรภาค) ตรวจนับเงนิ ส่งิ สาํ คญั แทนตัวเงนิ แสตมป์อากร และการเก็บรักษาเงนิ ตรวจการควบคุมการปฏบิ ตั งิ านตามนโยบาย และแผนงานของกรมสรรพากร ตรวจและประเมนิ ประสิทธิภาพการปฏบิ ตั ิงาน ตรวจงานอื่น ๆ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๐ ขอบเขตการตรวจการปฏบิ ตั ิงานของผตู๎ รวจราชการ(ตรวจสํานกั งานสรรพากรพนื้ ท่ีและสํานกั งานสรรพากรพน้ื ที่ สาขา) ตรวจนบั เงิน สงิ่ สําคัญแทนตวั เงนิ แสตมป์อากร และการเก็บรักษาเงิน ตรวจและประเมินประสิทธภิ าพการปฏบิ ัติงาน ตรวจงานอืน่ ๆ ขอบเขตการตรวจการปฏิบตั งิ านของสรรพากรภาค (ตรวจสาํ นกั งานสรรพากรพ้นื ที่) ฝา่ ยบริหารงานทั่วไป ตรวจนบั เงิน สิง่ สาํ คญั แทนตัวเงิน แสตมป์อากร สอบกบั เงนิ คงเหลอื ประจําวนั ตรวจนับเงนิ แบบพิมพ๑เปน็ ตัวเงนิ สอบกบั บญั ชรี ับจาํ ยแบบพิมพ๑(พ.๒) ตรวจการจดั ซ้อื จดั จ๎าง ตรวจการปฏิบตั ิเก่ยี วกบั การใชเ๎ ครือ่ งคอมพิวเตอร๑ และระบบงานไปรษณีย๑อิเล็กทรอนิกส๑(E-mail) ตรวจการปฏิบัติงานเกยี่ วกบั การใชเ๎ ครื่องถํายเอกสาร ตรวจการปฏิบัตงิ านเก่ียวกบั การใช๎เคร่ืองโทรสาร ตรวจการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการใชร๎ ถยนต๑ของทางราชการ ตรวจการจัดทําคําสงั่ แบงํ งาน ตรวจการใหบ๎ รกิ ารเก่ยี วกบั การจดทะเบยี น เลิก โอน ย๎าย เปลี่ยนแปลง แกไ๎ ขภาษีมูลคําเพิ่ม และภาษธี รุ กิจเฉพาะ ตรวจการอนุมัติให๎ใช๎เครอ่ื งบันทึกการเก็บเงนิ เพื่อออกใบกํากบั ภาษีอยํางยํอ ตรวจการอนมุ ตั ิให๎สถานบริการนํา้ มนั เชอื้ เพลิงชาํ ระภาษีจากมิเตอรห๑ ัวจําย ตรวจการใหเ๎ ลขประจาํ ตวั ผ๎เู สียภาษีอากร ตรวจการเก็บแบบฯแสดงรายการภาษี ตรวจการปฏิบัติตามพระราชบัญญตั ิข๎อมูลขําวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ฝ่ายวางแผนและประเมินผล ตรวจงานควบคุมการจัดเกบ็ ภาษอี ากร ตรวจการปรับปรงุ ฐานข๎อมลู บนระบบกํากับดแู ลใหเ๎ ป็นป๓จจบุ ัน การลงบญั ชลี กู หน้คี ําภาษีอากร สว่ นกาํ กบั ดูแลผเู้ สยี ภาษี การตรวจสภาพกจิ การ ตรวจการคดั เลอื กรายออกตรวจสภาพกจิ การบนระบบกํากับดูแล ตรวจการปรับปรงุ ฐานข๎อมลู ให๎เป็นปจ๓ จบุ ันบนระบบกาํ กบั ดแู ล ตรวจสํานวนการตรวจสภาพกจิ การ ตรวจผลการตรวจสภาพกิจการเปรยี บเทียบกับจาํ นวนรายตามแผนการตรวจสภาพกิจการ ตรวจสาํ นวนคืนภาษีมลู คําเพ่ิม การตรวจสอบภาษีอากร ตรวจสํานวนตรวจสอบภาษอี ากร กรณีออกหมายเรียก ตรวจสํานวนตรวจสอบภาษีอากร กรณมี ิได๎ออกหมายเรยี ก นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๑ ฝา่ ยกฎหมายและเร่งรัดภาษีอากรค้าง ตรวจสถานะของลูกหนีภ้ าษีอากร จากการประเมินตรวจสอบ และยนื่ แบบประเมินตนเอง ตรวจผลการเรงํ รัด ลดและจาํ หนํายหนี้ภาษีอากรเทยี บกบั ประมาณการเรํงรัดภาษีอากร ตรวจการจดั ทําทะเบียนการต้ังหน้ี ลดหน้ใี นโปรแกรม Legis ตรวจการผอํ นชาํ ระภาษีอากร ตรวจสาํ นวนการเรํงรัดภาษีอากรคา๎ ง ตรวจผลการดาํ เนนิ งานตามโครงการที่กรมสรรพากรกําหนด ฝา่ ยกรรมวธิ ีและคนื ภาษี ตรวจการบันทกึ ข๎อมลู และประมวลผลภาษีมลู คาํ เพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะ ตรวจการบนั ทึกข๎อมลู แบบแสดงรายการภาษีเงินได๎ หกั ณ ทจ่ี ําย ตรวจงานคนื ภาษี เงนิ ได๎บุคคลธรรมดา ภาษเี งนิ ไดน๎ ิตบิ ุคคล และภาษมี ลู คําเพิ่ม ทีมบริหารงานสํารวจ ตรวจการจัดทาํ แผนการสํารวจพน้ื ทเ่ี ปาู หมาย ตรวจการสํารวจรายเปาู หมาย และนติ บิ คุ คลต้ังใหมํ ตรวจการควบคมุ ผลการสํารวจ ตรวจการวเิ คราะห๑ข๎อมูลจากแบบสํารวจ รายท่พี บความผิดปกตสิ ํงใหท๎ ีมกาํ กับดูแล ตรวจการเก็บรักษา และการทาํ ลายตน๎ ขว้ั หรอื สําเนาใบเสร็จ และเอกสารหลักฐานตําง ๆ วาํ ไดเ๎ กบ็ รกั ษาไว๎ เป็นไปตามระเบยี บหรือไมํ และการขออนญุ าตทําลายเมอ่ื ครบกําหนด ตรวจงานอนื่ ๆ ขอบเขตการตรวจการปฏิบัตงิ านของสรรพากรภาค (ตรวจสาํ นักงานสรรพากรพ้นื ท่ีสาขา) ตรวจเกี่ยวกับเงิน ได๎แกํ ตรวจนับตวั เงิน สงิ่ สาํ คัญแทนตัวเงิน และแสตมป์อากร ตรวจการรบั ชําระภาษอี ากร ตรวจการเก็บรักษาเงนิ และการนําเงินสงํ คลงั ตรวจงบใบเสรจ็ รบั เงนิ การลงบญั ชี ตรวจการคนื เงินภาษีอากร ตรวจการให๎เลขประจําตัวผ๎เู สียภาษอี ากรและการออกบัตรประจําตวั ผเู๎ สยี ภาษีอากร ตรวจการสาํ รวจรายเปูาหมาย และนิตบิ คุ คลต้ังใหมํ ตรวจการจดทะเบียน เปลีย่ นแปลงทะเบียนภาษีมลู คาํ เพิ่มหรอื ภาษธี รุ กิจเฉพาะ ตรวจบญั ชีลูกหนคี้ ําภาษีอากร ตรวจการเรํงรัดภาษีอากรค๎าง ตรวจการปฏิบัตติ ามพระราชบัญญัติข๎อมูลขาํ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ตรวจการเก็บรักษา และการทําลายต๎นขั้ว หรอื สาํ เนาใบเสร็จและเอกสารหลักฐานตําง ๆ วาํ ได๎เกบ็ รักษาไว๎ เป็นไปตามระเบยี บหรือไมํ และการขออนญุ าตทําลายเมื่อครบกาํ หนด งานอ่ืน ๆ ขอบเขตการตรวจการปฏบิ ัติงานของสรรพากรพืน้ ท่ี (ตรวจสาํ นักงานสรรพากรพื้นที่สาขา) ตรวจเชํนเดยี วกับ สรรพากรภาคตรวจสาํ นักงานสรรพากรพ้ืนที่สาขา เวน๎ แตตํ รวจการสํารวจรายเปูาหมาย/รายใหมํและนิติบุคคลต้งั ใหมํ นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๒๒ ปรมิ าณงานทตี่ รวจ ผ๎ตู รวจราชการ ตรวจตามจํานวนทเี่ หน็ สมควร สรรพากรภาค และสรรพากรพ้ืนท่ี ตรวจตามจาํ นวนท่ี เหน็ สมควร ยกเวน๎ การตรวจงบใบเสรจ็ รับเงิน การลงบัญชี ให้ตรวจไม่นอ้ ยกวา่ ๑๐ วนั และสุํมสอบใบเสร็จรบั เงิน ของผูเ๎ สยี ภาษีกบั เทปตรวจสอบ หรอื คัดรายการเสียภาษีอากรจากแบบแสดงรายการไปสอบกับใบเสร็จรบั เงนิ ฉบบั ของผเ๎ู สียภาษีอากร ตามท่ีเห็นสมควร ระเบียบสาํ นกั นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้สมดุ ตรวจราชการ พ.ศ. ๒๕๔๒ สํวนราชการที่ไมใํ ช๎บงั คับตามระเบียบสาํ นักนายกรัฐมนตรีวําดว๎ ยการใชส๎ มุดตรวจราชการ พ.ศ. ๒๕๔๒ คือ สวํ น ราชการสังกัดรฐั สภา สํวนราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม ศาล และองค๑กรที่ใช๎อํานาจตามรฐั ธรรมนูญโดยเฉพาะ ผู๎ตรวจราชการ จะต๎องบนั ทึกรายละเอยี ดลงในสมดุ ตรวจราชการ ดังนี้ - บนั ทกึ การตรวจราชการ - ลงลายมือช่อื ตาํ แหนํง - วนั เดือน ปี ท่ตี รวจ - การปฏบิ ัตติ ามบนั ทึกการตรวจราชการ ของหนํวยงานรบั การตรวจ กรณีทสี่ ามารถดําเนนิ การได๎ทันที ให๎รบี ดาํ เนินการโดยไมชํ กั ชา๎ แลว๎ บันทึกไว๎ในสมุดตรวจราชการ กรณีท่ีไมสํ ามารถดาํ เนนิ การได๎ทันที หรือไมสํ ามารถดําเนินการได๎ ให๎บันทึกแจ๎งข๎อขัดข๎องพรอ๎ มเหตุผลไว๎ในสมุดตรวจ ราชการและต๎องติดตามเพ่ือใหเ๎ กดิ ผลสาํ เร็จ และใหร๎ ายงานความคบื หนา๎ ทุก ๒ เดอื น เมอื่ มีผลสําเรจ็ รายงานให๎ ผู๎บังคบั บัญชาภายใน ๕ วันทาํ การ นับแตวํ นั ดําเนนิ การมผี ลสําเร็จ ผู๎รับการตรวจตอ๎ งจดั ทําสําเนาการตรวจราชการ และนําผลการดําเนินงาน เสนอตํอผบู๎ ังคับบัญชาภายใน ๕ วนั ทาํ การนบั แตวํ นั ท่ผี ตู๎ รวจราชการได๎บนั ทึกการตรวจราชการ ราชการสว่ นกลาง เสนอตามลาํ ดับช้ันจนถงึ อธิบดี ราชการสว่ นภูมิภาค เสนอตามลําดบั ชั้นจนถึงผูว๎ ําราชการจังหวัด ผู๎รกั ษาการตามระเบียบสาํ นกั นายกรฐั มนตรีวําด๎วยสมดุ ตรวจราชการ คอื ปลดั สาํ นักนายกรัฐมนตรี หนา๎ ปกสมุดตรวจราชการประกอบด๎วยคําวํา - สมุดตรวจราชการ - หนํวยงาน - กรม - กระทรวง หลกั เกณฑแ์ ละแนวทางปฏบิ ัตเิ กี่ยวกบั การดําเนนิ การหนังสอื ร้องเรียน หนงั สอื ร้องเรียนกรณีขอคืนเงนิ ภาษีอากรและกรณีอ่ืนๆ (จากสํานักงานเลขานกุ ารกรม) ขอ๎ ๑. แหลํงทีม่ าของหนังสือรอ๎ งเรยี นมี๒ กรณี คือ (๑) จากหนํวยงานสาํ คญั (๒) จากหนวํ ยงานอืน่ และบคุ คลทวั่ ไป ขอ๎ ๒. หนวํ ยงานราชการท่ีกรมสรรพากรกาํ หนดให๎เปน็ หนํวยงานสาํ คญั ม๑ี ๒ หนวํ ยงานไดแ๎ กํ ๒.๑ สํานกั พระราชวัง ๒.๒ สาํ นกั ราชเลขาธกิ าร ๒.๓ สาํ นกั งานปลัดกระทรวงการคลัง ๒.๔ สํานักเลขาธกิ ารนายกรัฐมนตรี นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๓ ๒.๕ สาํ นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๒.๖ สํานกั เลขาธกิ ารวุฒสิ ภา ๒.๗ สาํ นกั เลขาธกิ ารสภาผ๎แู ทนราษฎร ๒.๘ สํานกั งาน กลต. ๒.๙ ธนาคารแหํงประเทศไทย ๒.๑๐ คณะกรรมการปูองกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหงํ ชาติ ๒.๑๑ สาํ นักงานปอู งกันและปราบปรามการฟอกเงนิ และ ๒.๑๒ หนวํ ยงานอ่ืนท่จี ะกําหนดเพิ่มเติม ข๎อ ๓. ประเภทของหนังสือรอ๎ งเรยี น ม๒ี ชนดิ คือ กรณขี อคนื เงินภาษีอากร และ กรณีอื่น ๆ ข๎อ ๔. เม่อื ไดร๎ บั หนังสือร๎องเรียน สาํ นกั งานเลขานุการกรม และสํานักงานสรรพากรภาคต๎องสงํ หนังสอื ร๎องเรียนให๎ หนํวยงานทีร่ ับผดิ ชอบ ภายใน ๓ วันทําการนับแตวํ ันที่ได๎รบั เรื่อง ข๎อ ๕. ระยะเวลาการดาํ เนนิ การหนงั สือร๎องเรยี น กรณขี อคืนเงนิ ภาษอี ากรและกรณีอื่นๆ - เรอ่ื งที่มาจากหนวํ ยงานสาํ คัญ ภายใน ๓๐ วัน - เร่อื งทีม่ าจากหนวํ ยงานอน่ื ภายใน ๔๕ วนั ขอ๎ ๖. การยตุ ิเรอ่ื งหนังสอื ร๎องเรยี นต๎องขออนมุ ตั ติ ํออธิบดี โดยใชแ๎ บบ รร.๒ (แบบรายงานผลการดาํ เนินการหนังสือ รอ๎ งเรียนกรณขี อคนื เงินภาษีอากรและอนื่ ๆ) ขอ๎ ๗.หนังสอื รอ๎ งเรียนกรณีขอคืนเงินภาษีอากรและกรณีอื่นๆ หากดาํ เนินการไมํแลว๎ เสรจ็ ภายในกําหนดเวลา ให๎ ขออนมุ ัติขยายเวลาตอํ อธิบดีได๎๑ คร้ัง ไมเํ กนิ ๓๐ วัน โดยใช๎แบบ รร.๑ (แบบขออนุมัตขิ ยายเวลาการดําเนินการ หนังสอื รอ๎ งเรยี นกรณีขอคนื เงินภาษีอากรและอืน่ ๆ) ข๎อ ๘. การแจง๎ ผลการดําเนินการหนังสือร๎องเรียนให๎หนํวยงานภายนอก หรือบคุ คลภายนอกทราบ - เรอ่ื งทีม่ าจากหนวํ ยงานสําคัญ ใหก๎ รมสรรพากรเปน็ ผู๎ตอบ - เรือ่ งท่ีมาจากหนวํ ยงานอ่ืน ใหส๎ ํานัก กลมํุ งาน กอง หนํวยงานเทยี บเทํา หรือสาํ นกั งานสรรพากรภาคเป็น ผูต๎ อบ หนงั สือร้องเรยี นแหล่งภาษี(จากศนู ย์สํารวจและติดตามธุรกจิ นอกระบบ) ข๎อ ๑. แหลํงทีม่ าของหนงั สือรอ๎ งเรยี นมี ๒ กรณี คือ (๑) จากหนวํ ยงานสาํ คัญ (๒) จากหนวํ ยงานอื่นและบุคคลทัว่ ไป ขอ๎ ๒. หนวํ ยงานราชการทก่ี รมสรรพากรกาํ หนดให๎เป็นหนํวยงานสาํ คญั ม๑ี ๒ หนํวยงานได๎แกํ สํานกั พระราชวัง สาํ นักราชเลขาธกิ าร สาํ นักงานปลดั กระทรวงการคลงั สํานกั เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สาํ นกั เลขาธกิ าร คณะรัฐมนตรี สํานกั เลขาธิการวฒุ ิสภา สํานักเลขาธิการสภาผูแ๎ ทนราษฎร สํานักงาน กลต. ธนาคารแหํงประเทศ ไทย คณะกรรมการปูองกนั และปราบปรามการทุจริตแหํงชาติ สํานกั งานปอู งกนั และปราบปรามการฟอกเงนิ และหนํวยงานอื่นทจ่ี ะกาํ หนดเพิม่ เติม ข๎อ ๓. เมือ่ หนวํ ยปฏิบัติได๎รบั หนงั สอื ร๎องเรยี นแหลงํ ภาษี กรณีผป๎ู ระกอบการถูกตรวจสภาพกจิ การมาแลว๎ ภายใน ๖ เดือน ให๎เสนอขอยุติเร่ืองด๎วยแบบ รร.๒ (แบบรายงานผลการดําเนินการหนังสือรอ๎ งเรียนแหลํงภาษแี ละร๎องเรียน อ่ืน ๆ) โดยไมํต๎องออกตรวจสภาพกิจการ ขอ๎ ๔. ระยะเวลาดําเนินการหนังสอื รอ๎ งเรียนแหลงํ ภาษี ใหด๎ ําเนนิ การใหแ๎ ล๎วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแตํวนั ที่ ศนู ย๑ สาํ รวจและตดิ ตามธุรกิจนอกระบบสํงหนังสือ ถา๎ ไมํแล๎วเสรจ็ ใหข๎ ออนุมัติขยายเวลาตํอผ๎ูอํานวยการสาํ นกั หรอื สรรพากรภาค ได๑๎ ครง้ั ไมเํ กิน ๓๐ วนั ตามแบบ รร.๑ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๔ ขอ๎ ๕. กรณตี ํอไปนี้ใหส๎ ํานักงานสรรพากรภาคพิจารณายุติเร่ือง โดยใชแ๎ บบ รร.๓ (แบบรายงานผลการยตุ ิเรือ่ งหนงั สือ ร๎องเรียน) - ข๎อมูลไมํชัดเจนและเพียงพอท่ีจะดําเนินการตํอไปได๎ - ผ๎ถู กู ร๎องเรยี นที่เป็นนิตบิ คุ คลซึ่งเลิกประกอบกจิ การแล๎วหรือไมํปรากฏตวั ตนอยูํในทะเบียนของนายทะเบยี น หรอื ถูกฟูองลม๎ ละลาย - ผ๎ูถูกร๎องเรียนที่เปน็ บุคคลธรรมดาถึงแกํกรรมหรือเป็นบุคคลล๎มละลาย หรอื ไมํมีสถานประกอบการและ ตดิ ตามตัวไมํพบ - ตรวจสอบข๎อเท็จจรงิ เบ้ืองต๎นแลว๎ พบวาํ หากดาํ เนนิ การตํอไป ผลทไ่ี ดจ๎ ะไมํคุ๎มตํอเวลาและการปฏิบตั ิงานของ เจ๎าหนา๎ ที่ ขอ๎ ๖. เม่อื ศน.ได๎รับแบบ รร.๑ หรือ แบบ รร.๒ ใหเ๎ สนอความเห็นตอํ อธิบดีภายใน ๓ วนั ทาํ การนบั แตํวันทไี่ ดร๎ ับ รายงาน หนงั สือร้องเรียนกรณีผปู้ ระกอบการไมอ่ อกใบกํากับภาษใี ห้ผู้ซ้ือหรอื ผู้รบั บริการ ขอ๎ ๑. หนังสอื ร๎องเรียนกรณผี ๎ูประกอบการไมํออกใบกาํ กบั ภาษใี ห๎ผู๎ซอื้ หรอื ผู๎รับบริการ ให๎ ศน. สงํ เร่ืองทาง e – mail ภายใน ๓ วันทาํ การนบั แตํวนั รบั เรอ่ื ง ให๎ LTO สาํ นกั ตรวจสอบภาษีกลาง หรือ สรรพากรพน้ื ท่ี โดยตรง ข๎อ ๒. กรณที ีต่ รวจพบความผิดกรณผี ๎ปู ระกอบการไมํออกใบกํากบั ภาษีใหผ๎ ๎ซู อื้ หรือผู๎รับบรกิ าร ใหเ๎ ปรยี บเทียบปรับ อาญาตามมาตรา ๙๐/๒(๓) แหงํ ประมวลรษั ฏากร ผดิ ครัง้ ท่ี ๑ ปรับกระทงละ ๑,๐๐๐ บาท คร้ังที่ ๒ กระทงละ ๓,๐๐๐ บาท คร้ังท๓ี่ และตํอ ๆ ไป กระทงละ ๕,๐๐๐ บาท ข๎อ ๓. หนังสอื ร๎องเรยี นกรณีไมอํ อกใบกํากับภาษี ต๎องดําเนินการใหแ๎ ลว๎ เสร็จภายใน ๓๐ วนั นบั แตํวันที่ ศน.สํง หนังสือ พระราชบญั ญัตกิ ารอาํ นวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๒ พระราชบัญญัตนิ ีใ้ ห๎ใช๎บงั คับเม่ือพน๎ กําหนดหนง่ึ ร๎อยแปดสบิ วนั นบั แตวํ นั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็น ต๎นไป เว๎นแตํมาตรา ๑๗ ใหใ๎ ชบ๎ ังคบั ตงั้ แตวํ ันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตน๎ ไป มาตรา ๓ พระราชบัญญตั นิ ใ้ี หใ๎ ชบ๎ งั คบั กับบรรดาการอนุญาต การจดทะเบยี นหรือการแจง๎ ทีม่ ีกฎหมายหรือกฎ กําหนดให๎ต๎องขออนุญาต จดทะเบยี น หรอื แจ๎ง กํอนจะดาํ เนินการใด มาตรา ๔ ในพระราชบญั ญตั ิน้ี “เจ้าหน้าท่ี” หมายความวาํ เจ๎าหน๎าที่ตามกฎหมายวาํ ด๎วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง “อนญุ าต” หมายความวํา การท่เี จา๎ หนา๎ ท่ยี ินยอมใหบ๎ คุ คลใดกระทาํ การใดท่ีมกี ฎหมายกําหนดให๎ต๎องไดร๎ บั ความ ยินยอมกํอนกระทําการนั้น และให๎หมายความรวมถงึ การออกใบอนญุ าต การอนุมตั กิ ารจดทะเบยี น การขึ้นทะเบยี น การรบั แจ๎ง การให๎ประทานบัตรและการให๎อาชญาบตั รดว๎ ย “ผู๎อนญุ าต” หมายความวาํ ผ๎ูซึ่งกฎหมายกําหนดให๎มีอาํ นาจในการอนุญาต “พนกั งานเจา๎ หนา๎ ที่” หมายความวาํ พนกั งานเจ๎าหน๎าทต่ี ามกฎหมายวาํ ด๎วยการอนุญาต “กฎหมายวาํ ดว๎ ยการอนญุ าต” หมายความวํา บรรดากฎหมายทม่ี ีบทบัญญตั ิกาํ หนดให๎การดาํ เนินการใดหรือการ ประกอบกจิ การใดจะต๎องไดร๎ ับอนุญาตกํอนจึงจะดาํ เนนิ การได๎ “คําขอ” หมายความวํา คําขออนุญาต มาตรา ๕ พระราชบัญญัตนิ ี้มิใหใ๎ ช๎บังคบั แกํ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๕ (๑) รฐั สภาและคณะรฐั มนตรี (๒) การพิจารณาพพิ ากษาคดีของศาลและการดําเนนิ งานของเจา๎ หน๎าที่ในกระบวนการพิจารณาคดีการบงั คับ คดี และการวางทรัพย๑ (๓) การดาํ เนินงานตามกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา (๔) การอนุญาตตามกฎหมายวําด๎วยทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ๎ ม (๕) การอนุญาตท่ีเกยี่ วข๎องกับการปฏบิ ัตกิ ารทางทหารด๎านยทุ ธการ รวมทง้ั ตามกฎหมายเกยี่ วกบั การควบคุม ยทุ ธภัณฑ๑ และกฎหมายวาํ ดว๎ ยโรงงานผลติ อาวุธของเอกชน การยกเว๎นไมใํ ห๎นําบทบัญญัตแิ หงํ พระราชบัญญัติน้ีมาใชบ๎ งั คบั แกกํ ารดาํ เนนิ กจิ การใดหรือกบั หนวํ ยงานใด นอกจากท่ีกําหนดไว๎ในวรรคหนง่ึ ให๎ตราเป็นพระราชกฤษฎกี า มาตรา ๖ ทกุ ห้าปีนบั แตวํ นั ท่ีพระราชบัญญตั ินีใ้ ชบ๎ งั คบั ให๎ผ๎ูอนุญาตพิจารณากฎหมายที่ให๎อํานาจในการอนุญาตวาํ สมควรปรบั ปรงุ กฎหมายนน้ั เพ่อื ยกเลกิ การอนุญาตหรือจดั ใหม๎ ีมาตรการอ่ืนแทนการอนุญาตหรือไมํ ท้งั น้ี ในกรณีท่ีมี ความจาํ เป็นผอู๎ นญุ าตจะพจิ ารณาปรบั ปรุงกฎหมายหรือจดั ให๎มีมาตรการอน่ื แทนในกําหนดระยะเวลาทีเ่ รว็ กวาํ นน้ั ก็ได๎ มาตรา ๗ ในกรณีทม่ี กี ฎหมายกาํ หนดให๎การกระทําใดจะต๎องได๎รับอนญุ าต ผ๎ูอนญุ าตจะตอ๎ งจัดทําคมํู ือสาํ หรบั ประชาชน ซึง่ อยาํ งน๎อยต๎องประกอบดว๎ ย หลกั เกณฑ๑ วธิ กี าร และเงือ่ นไข (ถา๎ มี) ในการย่ืนคําขอขั้นตอนและ ระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตและรายการเอกสารหรอื หลักฐานท่ีผู๎ขออนุญาตจะต๎องย่ืนมาพร๎อมกับคําขอ และจะ กาํ หนดให๎ยืน่ คาํ ขอผํานทางสื่ออเิ ล็กทรอนิกสแ๑ ทนการมายื่นคําขอดว๎ ยตนเองกไ็ ด๎ คูํมือสําหรบั ประชาชนตามวรรคหน่ึงให๎ปดิ ประกาศไว๎ ณ สถานที่ท่ีกาํ หนดให๎ย่นื คําขอ และเผยแพรํทางสื่อ อเิ ล็กทรอนกิ ส๑ และเม่ือประชาชนประสงคจ๑ ะได๎สําเนาคูมํ ือดังกลําว ใหพ๎ นักงานเจ๎าหนา๎ ท่จี ัดสําเนาใหโ๎ ดยจะคิด คาํ ใชจ๎ าํ ยตามควรแกํกรณีก็ได๎ ในกรณีเชนํ น้นั ใหร๎ ะบุคาํ ใชจ๎ ํายดงั กลําวไวใ๎ นคูํมอื สาํ หรับประชาชนดว๎ ย ใหเ๎ ปน็ หน๎าที่ของคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการตรวจสอบขั้นตอนและระยะเวลาในการพจิ ารณาอนุญาต ทกี่ ําหนดตามวรรคหนึ่งวาํ เป็นระยะเวลาท่ีเหมาะสมตามหลกั เกณฑแ๑ ละวิธกี ารบรหิ ารกิจการบา๎ นเมืองทีด่ หี รือไมํ ใน กรณที เี่ หน็ วําข้ันตอนและระยะเวลาที่กาํ หนดดังกลําวลาํ ชา๎ เกนิ สมควรใหเ๎ สนอคณะรัฐมนตรีเพ่อื พจิ ารณาและสั่งการ ให๎ผอู๎ นุญาตดาํ เนนิ การแกไ๎ ขใหเ๎ หมาะสมโดยเร็ว เพอ่ื ประโยชนใ๑ นการอํานวยความสะดวกให๎แกปํ ระชาชน ใหส๎ ํวนราชการจดั ให๎มศี ูนย๑บริการรวํ มเพ่ือรบั คาํ ขอ และชแี้ จงรายละเอยี ดเก่ียวกับการอนุญาตตําง ๆ ตามกฎหมายวาํ ดว๎ ยการอนญุ าตไว๎ ณ ทีเ่ ดยี วกันตามแนวทางที่ คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกาํ หนด มาตรา ๘ ใหเ๎ ป็นหน๎าท่ีของพนกั งานเจ๎าหน๎าทผี่ ู๎มหี นา๎ ทใ่ี นการรบั คําขอจะตอ๎ งตรวจสอบคําขอและรายการเอกสาร หรือหลกั ฐานที่ยนื่ พรอ๎ มคาํ ขอให๎ถูกต๎องครบถ๎วน หากเห็นวําคาํ ขอไมํถกู ตอ๎ งหรือยังขาดเอกสารหรอื หลักฐานใดให๎แจ๎ง ใหผ๎ ูย๎ ื่นคําขอทราบทนั ที ถา๎ เป็นกรณที ส่ี ามารถแกไ๎ ขหรือเพิ่มเติมได๎ในขณะนัน้ ให๎แจง๎ ให๎ผู๎ยน่ื คาํ ขอดําเนนิ การแก๎ไข หรอื ยน่ื เอกสารหรือหลักฐานเพมิ่ เติมให๎ครบถ๎วน ถ๎าเปน็ กรณที ี่ไมอํ าจดาํ เนินการได๎ในขณะนน้ั ใหบ๎ ันทกึ ความบกพรํองและรายการเอกสารหรือหลกั ฐานที่ จะตอ๎ งยืน่ เพ่ิมเตมิ พร๎อมทงั้ กําหนดระยะเวลาท่ีผย๎ู ื่นคําขอจะต๎องดาํ เนินการแก๎ไขหรือยื่นเพ่ิมเติมไวใ๎ นบนั ทึกดงั กลาํ ว นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๖ ดว๎ ยและให๎พนักงานเจ๎าหนา๎ ท่ีและผยู๎ นื่ คําขอลงนามไว๎ในบันทกึ นนั้ ให๎พนักงานเจา๎ หนา๎ ทมี่ อบสําเนาบันทึกตามวรรค หนึง่ ใหผ๎ ย๎ู ่ืนคาํ ขอไว๎เปน็ หลกั ฐาน ในกรณีท่ผี ู๎ยืน่ คาํ ขอได๎จัดทําคาํ ขอถกู ต๎องและแนบเอกสารหรอื หลักฐานครบถว๎ นตามท่ีระบใุ นคํูมือสาํ หรับ ประชาชนตามมาตรา ๗ แล๎ว หรือไดแ๎ กไ๎ ขหรอื ยื่นเอกสารหรอื หลักฐานเพิ่มเตมิ ครบถ๎วนตามที่พนักงานเจ๎าหนา๎ ท่ี แนะนาํ หรอื ตามที่ปรากฏในบันทกึ ตามวรรคหน่ึงแล๎ว พนกั งานเจ๎าหน๎าท่ีจะเรียกเอกสารหรือหลักฐานเพ่ิมเตมิ อ่ืนใด อกี ไมํได๎ และจะปฏิเสธการพิจารณาคําขอนน้ั โดยอาศยั เหตุแหงํ ความไมสํ มบรู ณ๑ของคําขอหรอื ความไมํครบถ๎วนของ เอกสารหรือหลักฐานไมํได๎ เว๎นแตเํ ป็นกรณีทีค่ วามไมํสมบรู ณห๑ รือความไมํครบถว๎ นน้นั เกิดจากความประมาทเลนิ เลอํ หรอื ทุจริตของพนกั งานเจา๎ หน๎าที่ และเป็นผลให๎ไมอํ าจอนุญาตได๎ ในกรณนี ้ีใหผ๎ ๎ูอนญุ าตสง่ั การตามที่เหน็ สมควร และให๎ดาํ เนนิ การทางวินยั หรอื ดาํ เนินคดกี ับพนักงานเจ๎าหนา๎ ท่ี ท่ีเกย่ี วข๎องโดยไมชํ ักช๎ามาตรา ๙ ในกรณที ี่ผู๎ยนื่ คาํ ขอไมํแกไ๎ ขเพ่ิมเติมคําขอหรือไมํสํงเอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเตมิ ตามท่ีพนักงานเจ๎าหนา๎ ท่แี จง๎ ใหท๎ ราบหรือตามท่ปี รากฏในบันทกึ ทีจ่ ัดทําตามมาตรา ๘ วรรคหนึง่ ให๎พนักงาน เจา๎ หนา๎ ท่คี นื คาํ ขอให๎แกผํ ย๎ู ่นื คําขอพร๎อมท้ังแจง๎ เป็นหนงั สือถงึ เหตุแหํงการคืนคําขอให๎ทราบด๎วย ผยู๎ น่ื คาํ ขอจะอุทธรณ๑คาํ ส่งั คืนคาํ ขอตามวรรคหน่งึ ตามกฎหมายวาํ ด๎วยวธิ ปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครองหรือจะ ยื่นคําขอใหมํก็ได๎ แตํในกรณีทก่ี ฎหมายกาํ หนดใหต๎ ๎องยนื่ คําขอใดภายในระยะเวลาท่ีกําหนดผยู๎ ่ืนคาํ ขอจะต๎องย่ืนคําขอ นน้ั ใหมํภายในระยะเวลาดงั กลําว มาตรา ๑๐ ผอู๎ นญุ าตต๎องดาํ เนินการใหแ๎ ล๎วเสรจ็ ภายในกําหนดเวลาที่ระบุไว๎ในคูมํ ือสําหรบั ประชาชนตามมาตรา ๗ และแจ๎งให๎ผยู๎ ืน่ คําขอทราบภายในเจด็ วันนบั แตํวนั ที่พิจารณาแลว๎ เสร็จเมื่อครบกําหนดเวลาตามทีร่ ะบุไวใ๎ นคมํู ือ สําหรับประชาชนตามมาตรา ๗ แลว๎ หากผ๎ูอนญุ าตยังพจิ ารณาไมํแล๎วเสร็จ ให๎แจง๎ เปน็ หนงั สอื ให๎ผยู๎ ่นื คาํ ขอทราบถึง เหตแุ หํงความลําชา๎ ทุกเจ็ดวันจนกวาํ จะพิจารณาแล๎วเสรจ็ พร๎อมทง้ั สํงสําเนาการแจง๎ ดงั กลาํ วให๎คณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการทราบทกุ ครั้งในกรณีที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเหน็ วําความลําช๎านน้ั เกินสมควรแกํเหตหุ รอื เกิดจากการขาดประสิทธภิ าพในการปฏิบัตริ าชการของหนวํ ยงานของผ๎อู นญุ าต ให๎คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ รายงานตํอคณะรฐั มนตรีพร๎อมทัง้ เสนอแนะให๎มกี ารพัฒนาหรอื ปรับปรุงหนํวยงานหรือระบบการปฏบิ ัติราชการของ หนํวยงานน้นั ในกรณีไมํแจ๎งตามวรรคหนงึ่ หรือวรรคสอง ใหถ๎ ือวาํ ผอ๎ู นุญาตกระทําการหรือละเว๎นกระทาํ การเพื่อใหเ๎ กดิ ความ เสยี หายแกผํ ูอ๎ ่นื เว๎นแตจํ ะเป็นเพราะมเี หตุสุดวสิ ยั มาตรา ๑๑ ในกรณีท่ีมีกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข๎อบงั คับใดออกใชบ๎ ังคับและมีผลให๎ต๎องเปลยี่ นแปลงหลกั เกณฑ๑ วธิ กี าร เงือ่ นไข หรือรายละเอียดอ่นื ใดที่ปรากฏในคูํมือสําหรับประชาชนตามมาตรา ๗ การเปลีย่ นแปลงเชํนวํานนั้ มิ ใหใ๎ ช๎บังคบั กบั การยนื่ คําขอทไี่ ด๎ยน่ื ไวแ๎ ล๎วโดยชอบกํอนวนั ที่กฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข๎อบังคบั ดังกลําวมผี ลใชบ๎ ังคับ เวน๎ แตํกฎหมายน้นั จะบัญญตั ิไวเ๎ ป็นอยํางอ่ืน แตสํ าํ หรบั ในกรณกี ฎ ระเบยี บ หรือข๎อบงั คับนน้ั จะบัญญตั ไิ ว๎เปน็ อยํางอนื่ ได๎ก็แตเํ ฉพาะในกรณที ี่การ เปลี่ยนแปลงนนั้ จะเปน็ ประโยชน๑ตํอผยู๎ นื่ คาํ ขอ มาตรา ๑๒ ในกรณีที่กฎหมายกําหนดอายุใบอนุญาตไว๎ และกิจการหรือการดาํ เนนิ การที่ไดร๎ บั ใบอนญุ าตนัน้ มีลักษณะ เปน็ กจิ การหรือการดาํ เนินการทเี่ หน็ ไดว๎ าํ ผ๎ูไดร๎ ับใบอนญุ าตจะประกอบกิจการหรือดาํ เนินการน้นั ตอํ เนื่องกนั นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๗ คณะรัฐมนตรีจะกําหนดให๎ผูร๎ ับใบอนุญาตชาํ ระคาํ ธรรมเนียมการตํออายุใบอนุญาตตามที่กาํ หนดไว๎ในกฎหมายน้นั ๆ แทนการยนื่ คาํ ขอตํออายใุ บอนุญาตก็ได๎ และเมือ่ หนวํ ยงาน ซ่ึงมอี าํ นาจออกใบอนญุ าตได๎รบั คําธรรมเนียมดังกลาํ วแล๎ว ใหอ๎ อกหลกั ฐานการตํออายุใบอนญุ าตให๎แกํผรู๎ บั ใบอนญุ าต โดยเร็ว และใหถ๎ ือวําผ๎รู ับใบอนุญาตไดร๎ บั การตํออายใุ บอนุญาตตามกฎหมายนน้ั ๆ แล๎วการกาํ หนดใหผ๎ ๎รู บั ใบอนุญาต ชาํ ระคาํ ธรรมเนยี มตํออายุใบอนุญาตแทนการยืน่ คาํ ขอตํออายุใบอนุญาตตามวรรคหน่งึ ใหต๎ ราเป็นพระราชกฤษฎีกา ในพระราชกฤษฎีกาดงั กลําวใหร๎ ะบุชื่อพระราชบัญญัติและประเภทของใบอนุญาตตามพระราชบญั ญัตดิ งั กลาํ วทีผ่ รู๎ บั ใบอนญุ าตอาจดาํ เนนิ การตามวรรคหน่งึ ไดก๎ ํอนตราพระราชกฤษฎกี าตามวรรคสอง ใหค๎ ณะรัฐมนตรสี งํ รํางพระราช กฤษฎีกาดังกลําวใหส๎ ภาผ๎ูแทนราษฎรและวุฒสิ ภาเป็นเวลาไมนํ อ๎ ยกวาํ สามสบิ วัน เม่อื พ๎นกําหนดเวลาดงั กลําวแลว๎ หากสภาผู๎แทนราษฎรหรอื วุฒิสภามไิ ด๎มีมติทักท๎วง ให๎นาํ ความกราบบงั คมทูลเพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกาดงั กลาํ ว ตอํ ไป ให๎เปน็ หน๎าทข่ี องสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการที่จะหารือกับหนํวยงานท่ีเก่ยี วข๎องกับการออก ใบอนุญาต เพ่อื เสนอแนะตํอคณะรัฐมนตรีในการดาํ เนนิ การตามวรรคหนง่ึ และวรรคสอง มาตรา ๑๓ ใหเ๎ ป็นหนา๎ ท่ขี องผอ๎ู นุญาตทีจ่ ะต๎องกําหนดหลักเกณฑ๑และแนวทางการตรวจสอบการประกอบกิจการหรือ การดาํ เนินกิจการของผูไ๎ ดร๎ ับอนญุ าตใหเ๎ ปน็ ไปตามทก่ี ฎหมายวาํ ด๎วยการอนญุ าตกําหนดและใหเ๎ ปน็ หน๎าท่ีของ พนกั งานเจ๎าหนา๎ ทแี่ ละผูอ๎ นญุ าตทีจ่ ะต๎องตรวจสอบตามหลักเกณฑแ๑ ละแนวทางดังกลาํ วเมอ่ื มีผ๎ูไดร๎ ับความเดือดร๎อน ราํ คาญ หรือเสยี หายจากการประกอบกิจการหรอื การดาํ เนินกจิ การของผ๎ูได๎รบั อนญุ าต ไมวํ ําความจะปรากฏตอํ พนักงานเจ๎าหนา๎ ทีเ่ องหรอื มผี ร๎ู ๎องเรยี น ใหเ๎ ป็นหนา๎ ท่ีของพนกั งานเจ๎าหนา๎ ท่ีท่จี ะดําเนินการตรวจสอบและสง่ั การตาม อํานาจหนา๎ ท่โี ดยเรว็ มาตรา ๑๔ ในกรณจี าํ เป็นและสมควรเพ่ือประโยชนใ๑ นการอาํ นวยความสะดวกแกํประชาชนให๎คณะรฐั มนตรีมมี ติ จดั ตั้งศูนยร๑ ับคาํ ขออนญุ าต เพอ่ื ทําหนา๎ ท่ีเปน็ ศนู ยก๑ ลางในการรับคาํ ขอตามกฎหมายวาํ ดว๎ ยการอนุญาตข้นึ ใหศ๎ ูนย๑ รบั คําขออนุญาตตามวรรคหน่ึงมีฐานะเป็นสํวนราชการตามมาตรา ๑๘ วรรคสี่แหงํ พระราชบัญญัตริ ะเบยี บบรหิ าร ราชการแผนํ ดนิ พ.ศ. ๒๕๓๔ ซ่ึงแก๎ไขเพมิ่ เติมโดยพระราชบญั ญัตริ ะเบียบบริหารราชการแผนํ ดนิ (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยอยํูในสังกัดสาํ นักนายกรัฐมนตรี และจะให๎มสี าขาของศูนยป๑ ระจาํ กระทรวงหรือประจําจงั หวดั ด๎วยก็ได๎การ จัดต้งั ศูนย๑รับคาํ ขออนญุ าตตามวรรคหนงึ่ ใหต๎ ราเปน็ พระราชกฤษฎีกา ในพระราชกฤษฎีกาดังกลําวให๎กาํ หนดรายชือ่ กฎหมายวําดว๎ ยการอนุญาตที่จะให๎อยภูํ ายใตก๎ ารดาํ เนินการของศนู ย๑รับคําขออนญุ าตในการดาํ เนนิ การเกีย่ วกับการ รบั คาํ ขอ จะกําหนดในพระราชกฤษฎีกาให๎ผูย๎ ่ืนคําขอ ยืน่ คําขอผาํ นทางสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส๑ก็ได๎ มาตรา ๑๕ เมอื่ มีการจัดต้งั ศูนย๑รบั คําขออนญุ าตตามมาตรา ๑๔ แลว๎ ให๎ดาํ เนินการและมผี ลดังตํอไปนี้ (๑) ในกรณีท่ีกฎหมายวําดว๎ ยการอนญุ าตหรอื กฎทอ่ี อกตามกฎหมายดงั กลาํ วกาํ หนดให๎ต๎องย่ืนคาํ ขอ หรือสํง เอกสารหรือหลักฐาน หรอื คําธรรมเนียมใด ณ สถานที่ใด ถ๎าได๎มีการยน่ื คาํ ขอ หรือสํงเอกสารหรอื หลักฐาน หรือ คําธรรมเนยี ม ณ ศนู ยร๑ บั คาํ ขออนุญาตแลว๎ ให๎ถือวําได๎มีการยืน่ คาํ ขอ หรือสงํ เอกสารหรือหลกั ฐาน หรือคําธรรมเนียม โดยชอบตามกฎหมายวําด๎วยการอนญุ าตน้นั แล๎ว นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๘ (๒) บรรดาเงนิ คาํ ธรรมเนียมหรือเงินอ่ืนใดท่ีศนู ย๑รับคําขออนุญาตได๎รบั ไว๎ตาม (๑) ให๎ศนู ย๑รบั คาํ ขออนญุ าต นาํ สงํ คลงั เป็นรายได๎แผนํ ดินในนามของหนํวยงานของผูอ๎ นุญาต หรอื สงํ ให๎องค๑กรปกครองสํวนทอ๎ งถ่ิน แล๎วแตํกรณี และแจง๎ ใหห๎ นวํ ยงานของผู๎อนุญาตทราบ (๓) ในกรณีทีห่ นวํ ยงานของผู๎อนญุ าตมีสิทธิหักคําใช๎จํายจากเงินทจ่ี ะตอ๎ งนําสํงคลงั ให๎ศูนยร๑ บั คําขออนญุ าตหกั เงินดงั กลาํ วแทนและสงํ มอบเงนิ ทหี่ ักไวน๎ นั้ ให๎แกหํ นํวยงานของผ๎ูอนญุ าต โดยใหศ๎ นู ยร๑ บั คาํ ขออนญุ าตมสี ิทธหิ ัก คาํ ใช๎จาํ ยของศนู ย๑รบั คาํ ขออนุญาตตามอัตราทจี่ ะได๎ตกลงกับหนวํ ยงานของผู๎อนญุ าต (๔) ระยะเวลาตามมาตรา ๑๐ ให๎นับแตํวันที่ศนู ย๑รับคาํ ขออนุญาตสํงเร่ืองให๎ผอู๎ นุญาตโดยศูนย๑รับคําขออนุญาต จะต๎องสํงเรือ่ งใหผ๎ อ๎ู นญุ าตไมํช๎ากวาํ สามวันทาํ การและให๎นํามาตรา ๑๐ วรรคสม่ี าใช๎บงั คับโดยอนุโลม (๕) ใหเ๎ ป็นหนา๎ ท่ีของผ๎ูอนุญาตทจี่ ะต๎องสงํ คูํมือสาํ หรบั ประชาชนตามมาตรา ๗ ท่ถี กู ต๎องและเปน็ ป๓จจบุ นั ให๎ ศนู ย๑รบั คาํ ขออนญุ าตตามจํานวนท่ีจาํ เป็น และดาํ เนินการใหม๎ กี ารฝึกอบรมหรือชีแ้ จงแกํเจา๎ หน๎าท่ีของศนู ย๑รบั คาํ ขอ อนุญาต เพอื่ ให๎เกิดความชํานาญในการปฏิบัติหน๎าทดี่ ว๎ ย (๖) ใหเ๎ ปน็ หน๎าทข่ี องเจา๎ หน๎าทีข่ องศนู ย๑รับคําขออนญุ าตท่ีจะตอ๎ งดาํ เนินการตามมาตรา ๘ และต๎องรับผดิ ชอบ ในฐานะเชํนเดียวกับพนักงานเจ๎าหน๎าทีต่ ามท่ีบญั ญัติไวใ๎ นมาตรา ๘ มาตรา ๑๖ ให๎ศูนย๑รบั คําขออนุญาตมีหน๎าท่ดี ังตํอไปน้ี (๑) รบั คําขอและคําธรรมเนียม รวมตลอดทงั้ คาํ อุทธรณ๑ ตามกฎหมายวาํ ด๎วยการอนญุ าต (๒) ใหข๎ ๎อมลู ช้ีแจง และแนะนาํ ผ๎ยู น่ื คาํ ขอหรือประชาชนใหท๎ ราบถงึ หลักเกณฑ๑ วธิ ีการและเงอ่ื นไขในการขอ อนญุ าต รวมตลอดทงั้ ความจําเปน็ ในการย่นื คาํ ขออ่นื ใดที่จําเปน็ ตอ๎ งดาํ เนินการตามกฎหมายวําด๎วยการอนุญาตท้ัง ปวง ในการประกอบกิจการหรือดาํ เนินการอยํางหนึ่งอยาํ งใด (๓) สํงคําขอ หรอื คําอุทธรณ๑ ท่ีไดร๎ บั จากผย๎ู ่นื คาํ ขอหรือผูย๎ ่ืนคาํ อทุ ธรณ๑พร๎อมท้ังเอกสารหรอื หลกั ฐานที่ เก่ียวขอ๎ งใหห๎ นํวยงานท่เี กย่ี วข๎อง และคอยติดตามเรํงรดั หนํวยงานดังกลําวเพื่อดาํ เนินการใหถ๎ ูกต๎องภายในระยะเวลา ทก่ี ําหนดตามพระราชบัญญตั ินี้ และคมํู ือสําหรับประชาชนตามมาตรา ๗ หรอื ตามกฎหมายทีใ่ หส๎ ิทธใิ นการอุทธรณ๑ (๔) ในกรณีท่ีเห็นวําหลักเกณฑห๑ รอื วธิ กี ารในการยน่ื คาํ ขอ มีรายละเอยี ดหรอื กาํ หนดใหต๎ ๎องสงํ เอกสารที่ไมํ จาํ เป็น หรอื เป็นภาระเกนิ สมควรแกํประชาชน ใหเ๎ สนอแนะตอํ คณะรัฐมนตรเี พือ่ สั่งการให๎หนํวยงานทเ่ี กี่ยวขอ๎ ง ดาํ เนินการปรบั ปรุงแกไ๎ ขใหเ๎ หมาะสมยง่ิ ข้นึ (๕) รวบรวมป๓ญหาและอปุ สรรคจากการอนญุ าตและการดําเนนิ การของศนู ยร๑ บั คําขออนุญาตเพื่อเสนอตํอ คณะกรรมการพฒั นาระบบราชการเพื่อรายงานตํอคณะรฐั มนตรพี ิจารณาสั่งการใหห๎ นํวยงานทีเ่ กี่ยวข๎องดาํ เนนิ การ ปรบั ปรงุ แก๎ไขใหเ๎ หมาะสมตํอไป (๖) เสนอแนะในการพัฒนาหรือปรบั ปรงุ กระบวนการ ขนั้ ตอน ระยะเวลา เกย่ี วกบั การอนญุ าตตาํ ง ๆ รวมถงึ ข๎อเสนอในการออกกฎหมาย กฎ ระเบยี บ หรือกาํ หนดหลักเกณฑท๑ ี่เกย่ี วกบั การอนุญาตเพ่ือให๎ ประชาชนได๎รบั ความสะดวกมากขึ้น มาตรา ๑๗ ใหผ๎ อ๎ู นุญาตจัดทําคมูํ อื สาํ หรบั ประชาชนตามมาตรา ๗ ใหเ๎ สรจ็ สิ้นภายในหนง่ึ ร๎อยแปดสิบวันนับแตํวนั ท่ี พระราชบัญญตั ินี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา ๑๘ ให๎นายกรัฐมนตรีรกั ษาการตามพระราชบัญญัติน้ี นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๒๙ (ปจ๓ จุบนั กรมสรรพากรไดจ๎ ดั คูํมอื สําหรบั ประชาชนไว๎จํานวน ๑๔ เรอื่ ง) การออกหนังสือรับรองภาษาอังกฤษ ปจ๓ จุบนั สรรพากรไดใ๎ ห๎บริการการออกหนังสอื รับรองการเสยี ภาษี และการมถี น่ิ ท่ีอยูํเป็นภาษาอังกฤษให๎กับผเู๎ สยี ภาษี ผ๎เู สียภาษสี ามารถนาํ หนังสอื รับรองเหลาํ น้ีไปใช๎เพ่อื วัตถุประสงค๑ทางภาษีในตาํ งประเทศได๎ ประเภทหนงั สือรับรองทีอ่ อกใหโ๎ ดยกรมสรรพากร ๑. หนงั สือรับรองการเสียภาษีเงนิ ไดห๎ ัก ณ ที่จําย (Non – Resident Withholding Tax Certificate) ๒. หนังสือรับรองการเสียภาษีเงินไดบ๎ คุ คลธรรมดา และนิติบุคคลเป็นภาษาองั กฤษ (Income Tax Payment Certificate) ๓. หนงั สือรบั รองการมีถิ่นที่อยูํเพื่อการรัษฎากรในประเทศไทย (Certificate of Residence) ๔. หนงั สือรบั รองการมสี ถานภาพเป็นผเ๎ู สียภาษีมูลคําเพมิ่ (Statement on the Tax Status of the Business) ๕. หนงั สอื รับรองการมีสถานภาพเปน็ ผ๎เู สียภาษตี ามกฎหมายไทย (Certificate of Status of Taxable Person) ผอู้ อกหนังสือรบั รอง สํานกั งานสรรพากรทีร่ ับผดิ ชอบในท๎องท่ีของผ๎ูหักภาษี ณ ท่จี ําย หรือผเ๎ู สยี ภาษี ซง่ึ ไดแ๎ กํ - สรรพากรภาค - สาํ นักบริหารผู๎เสยี ภาษขี นาดใหญํ การขอหนงั สือรบั รอง ยื่นคาํ รอ๎ งตํอสาํ นักงานสรรพากรที่ทํานสังกดั ตามข๎างตน๎ พร๎อมเอกสารท่เี กี่ยวข๎อง (ตามประเภทของหนังสอื รบั รองท่ีต๎องการ) นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๓๐ ระบบงานของกรมสรรพากร กรมสรรพากรได๎พฒั นาเพม่ิ ขึน้ เรอ่ื ยๆ ระบบงานหลักทวี่ างไว๎บนหน๎าอินทราเน็ตของกรมฯ ปจ๓ จุบันมี ๑๓ ระบบงาน ระบบทเ่ี ข๎ามาลําสุดคอื ระบบ National e-Payment นอกจากระบบงานหลักแล๎ว ในอินทราเน็ตของกรมสรรพากรยังประกอบด๎วยระบบงานยํอยอีกหลาย ระบบงาน ระบบงานทน่ี าํ สนใจ เชํน ๑. ระบบ e – Taxinfo คือ ระบบการสงํ ขาํ วสารตรงถงึ อเี มลข๑ องผเู๎ สียภาษี ๒. ศนู ย๑สรรพากรบรกิ าร ( RD Service Center) คือ การใหค๎ ําปรกึ ษาดา๎ นภาษีแบบเฉพาะตวั ๓. ระบบ e – Tax Single Window คอื ระบบบริการอิเล็กทรอนิกส๑ของกลุํมภารกจิ ด๎านรายได๎ กระทรวงการคลงั เป็นเว็บไซต๑ทรี่ วมบริการของ ๓ กรมจดั เก็บภาษี (กรมสรรพากร กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต) มาไวท๎ ่เี ดียวกนั ๔. ระบบงานทะเบียนคมุ รายการและจดั ทาํ บญั ชีผเ๎ู สียภาษี (Transaction Contorl Log.TCL) คือ ระบบออก ใบเสรจ็ รับเงนิ คาํ ภาษีอากรคอมพวิ เตอร๑ เป็นระบบที่ใชส๎ าํ หรับควบคุมแบบแสดงรายการแบบคํารอ๎ งคาํ ขอ และโอน รายการทางบัญชีไปยังบญั ชแี ยกประเภททว่ั ไปตามตารางทางการบญั ชีของกรมสรรพากร และยังเปน็ แหลํงข๎อมูล เบ้อื งตน๎ ใหร๎ ะบบภาษีอ่ืนๆ นําไปใช๎ในการประมวลผลและนําขอ๎ มลู ทไ่ี ด๎จากระบบมาจัดทําสารสนเทศตํางๆ ได๎อยําง รวดเร็วและมปี ระสทิ ธภิ าพ ๕. ระบบ High – Speed Service ๓๐ minutes คือ บริการเรํงดวํ นเสร็จทันใจใน ๓๐ นาํ ทโี ดยบรกิ ารในเร่ือง - บริการจดทะเบียนภาษีมูลคําเพ่มิ ภาษีธุรกจิ เฉพาะ - บรกิ ารกฎหมายข๎อมูลขําวสาร นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๓๑ - บริการเลขประจําตวั ผเู๎ สยี ภาษีเงินไดน๎ ิติบุคคล ๖. ระบบ DEBT MANAGEMENT SYSTEM . DMS คอื ระบบควบคุมลกู หนภ้ี าษีอากร ๗. ระบบ LITIGATION MANAGEMENT SYSTEM . LMS คือ ระบบงานคดี ๘. ระบบ DSS คือ ระบบสารสนเทศเพื่อสนบั สนนุ การจดั เก็บภาษี ๙. ระบบ DOC คือ ระบบรายงานสาํ หรับผ๎บู รหิ าร ๑๐. ระบบ Geographic Information System : GIS คือ ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร๑ ๑๑. ระบบ Tax Collection and Supervision Management system (Tax-CSM) คอื ระบบบรหิ ารการ จดั เกบ็ ภาษีอากรและกํากับดูแล ๑๒. ระบบ Income Tax Processing Analysis : ITPA คอื ระบบวิเคราะห๑และตรวจนติ ิบคุ คลท่มี ภี าษชี าํ ระไว๎ เกนิ ๑๓. Compliance Risk Management : CRM คอื การบริหารจัดเกบ็ ภาษีอากรโดยหลกั การบรหิ ารความเสีย่ ง กรมสรรพากรกับสังคม กรมสรรพากรสรา๎ งเครือขํายการทาํ งานกบั ฐานภาษีในอนาคต ซึ่งก็คอื กลมุํ เยาวชน ผํานโครงการตํางๆ คือ - RD Youth Club (สโมสรภาษี เด็กดที วั่ ไทย) เปน็ การจัดกจิ กรรมสําหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา - โครงการสรรพากร On Tour สําหรับนกั เรียนระดบั ประถมศกึ ษา - มธั ยมศกึ ษา - RD Camp (คํายภาษสี นกุ ) - RD go Campus สาํ หรับนิสิต นกั ศึกษาระดบั อุดมศึกษา(สรรพากรสอนภาษที มี่ หาวทิ ยาลัย ) กรมสรรพากรได๎ยกยํองเชิดชูเกยี รตผิ เ๎ู สียภาษที ี่มีการเสียภาษีในระดบั ท่ดี แี ละมคี ุณภาพจากทั่วประเทศ โดย มอบรางวัล รษั ฎากรพพิ ัฒน๑ (Taxpayer Recognition Award) สําหรับผ๎เู สียภาษีท่ีทําหน๎าทเี่ สียภาษใี หแ๎ กปํ ระเทศได๎ ภาคภูมิใจในการเปน็ พลเมืองดีท่ีเต็มใจเสยี ภาษีใหแ๎ กํรัฐ โดยได๎เริ่มดําเนินการในปี พ.ศ.๒๕๕๓ การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของกรมสรรพากรอย่างปลอดภัย ๑. ระเบียบกรมสรรพากรวาํ ด๎วยการใชร๎ ะบบคอมพิวเตอรเ๑ พ่อื รับสงํ หนังสือและขําวสารทางอิเล็กทรอนิกส๑ พ.ศ. ๒๕๕๐ กาํ หนดให๎ผใ๎ู ช๎ระบบงานเปล่ยี นรหสั ผํานของตนเองเป็นประจําครั้งละไมเ่ กนิ ๖๐ วนั หรอื ให๎ทําการเปลยี่ น รหสั ผาํ นของตนเองทันที หากพบวาํ มีผู๎ทราบรหสั ผํานดังกลําว ๒. ผใู๎ ชส๎ ํวนบุคคลทไ่ี มเํ ปดิ ใช๎งาน เป็นระยะเวลาตดิ ตํอกันตั้งแตํ ๑๘๐ วนั ขน้ึ ไป จะถูกระงับการใชง๎ าน หาก ต๎องการใชง๎ านอีกต๎องยน่ื คาํ ร๎องตํอสาํ นักเทคโนโลยีสารสนเทศ ๓. ระเบียบกรมสรรพากรวําด๎วยการใช๎ระบบคอมพิวเตอร๑ของกรมสรรพากรอยํางปลอดภัย พ.ศ.๒๕๕๐ กําหนดไวว๎ ํา “ระบบคอมพิวเตอร๑” หมายความถึง - อุปกรณค๑ อมพิวเตอร๑ (Hardware) - โปรแกรมชดุ คาํ สงั่ (Software) - ระบบเครอื ขํายส่ือสาร (Network and Communication) - ระบบสารสนเทศ (Information) - บุคลากร (People) - สภาพแวดล๎อมทางกายภาพ (Physical and Environment) ๔. เจ๎าหน๎าทบี่ รหิ ารระบบความปลอดภัยสารสนเทศ หมายความถงึ หัวหนา๎ งานหรือเจา๎ หนา๎ ทท่ี ไี่ ดร๎ บั มอบหมาย จากหวั หนา๎ หนํวยงาน ซึง่ ต้องดาํ รงตําแหน่งตัง้ แตร่ ะดับ ๗ ข้นึ ไป ๕. เครอ่ื งคอมพิวเตอรท๑ ุกเครื่องทเ่ี ชื่อมกับเครือขํายฯ ของกรมสรรพากร จะต๎องตดิ ตงั้ โปรแกรมปูองกันและ นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๓๒ กาํ จัดไวรสั คอมพิวเตอร๑ (Antivirus) ทเ่ี ป็นลขิ สทิ ธ์ิของกรมสรรพากร รวมท้ังโปรแกรมปิดชอํ งโหวํ (Patch) หรอื เครอื่ งมอื ด๎านความปลอดภัยอนื่ ๆ เพอื่ ความปลอดภัยในการใช๎งาน ๖. เมอ่ื พบวาํ เครื่องคอมพวิ เตอรต๑ ดิ ไวรสั คอมพวิ เตอร๑ - ใหห๎ ยุดการใชง๎ านโปรแกรมท้งั หมดและให๎กาํ จัดไวรสั รวมทงั้ ปรับปรงุ โปรแกรมปอู งกันไวรัสคอมพวิ เตอร๑ (Virus Definition File) และโปรแกรมการปิดชอํ งโหวํให๎เปน็ ป๓จจุบนั โดยเร็ว - หากไมํสามารถกาํ จัดไวรสั คอมพิวเตอร๑ได๎ใหต๎ ดั การเชือ่ มตอํ เคร่ืองฯ ออกจากระบบเครือขําย (ดงึ สาย UTP ออก จาก Port) และแจ๎งเจ๎าหนา๎ ที่ดแู ลระบบความปลอดภัยสารสนเทศใหด๎ าํ เนินการกาํ จดั ไวรัสคอมพวิ เตอร๑โดยเร็ว ๗. ใหน๎ าํ เคร่ืองคอมพิวเตอร๑ชนดิ พกพา (Note Book) เชอื่ มตํอกบั ระบบเครือขํายฯ ของกรมสรรพากรอยาํ งน๎อย สัปดาห์ละ ๒ ครงั้ เพ่อื การปรบั ปรุงฐานขอ๎ มลู ไวรัส (Update Virus Definition File) และการปรับปรุงโปรแกรมการ ปดิ ชอํ งโหวํ (Patch Update) ๘. Computer Operation Officer : COO หมายถึง เจ๎าหนา๎ ท่ผี ดู๎ ูแลเครือ่ งคอมพวิ เตอร๑และระบบเครอื ขํายสอื่ สาร ๙. Chief Information Officer : CIO หมายถึง ผ๎ูบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสงู RSS (Really Simple Syndication) เป็นบรกิ าร ท่ีอยํบู นอินเทอร๑เน็ต เพ่อื ใหผ๎ ูร๎ ับบริการได๎รบั หวั ขอ๎ ขาํ ว หรอื ข๎อมูลใหมํ ผาํ นหน๎าจอ หรือเครื่องมือ รบั บรกิ าร RSS Feed ของตนเองอัตโนมัติ (มเี ครอื่ งมอื ให๎เลือกหลายชนิด) โดยผ๎ูรับบรกิ ารเพิ่ม URL ของหัวข๎อ RSS ท่สี นใจ ผาํ นเครอ่ื งมอื รบั บริการ เพยี งคร้ังแรกครั้งเดยี ว หลงั จากนนั้ ก็สามารถ เรียกดูข๎อมลู /ขาํ วสาร ท่มี ีการปรบั ปรุง ใหมไํ ด๎ โดยไมํตอ๎ งคอยเข๎าไป ดูตามเว็บไซตผ๑ ูใ๎ ห๎บรกิ าร วาํ มีขอ๎ มูลปรบั ปรุงใหมํ หรือไมํ RSS ชํวยให๎ผู๎ใช๎บริการ ไดร๎ บั ข๎อมูลที่มีการปรบั ปรุงใหมํ โดยไมตํ อ๎ งเข๎าไป ดูตามเว็บไซต๑ตํางๆ วํามขี ๎อมูลใด ปรบั ปรุงใหมหํ รือไมํ และสามารถเรยี กดขู ๎อมูล RSS ทีส่ นใจ จากหลายๆ เวบ็ ไซต๑ ผาํ นหน๎าจอเดียวได๎ การรบั บริการ RSS Feed ผูใ๎ ชจ๎ ะตอ๎ งมเี ครื่องมือสาํ หรับอํานข๎อมลู ซึ่งมใี ห๎เลือกหลากหลาย และมีวิธกี ารใชง๎ าน ท่แี ตกตํางกัน ทงั้ น้ีขน้ึ อยํกู ับความพอใจและวัตถุประสงค๑ของผู๎ใชเ๎ ป็นสําคัญ โดยขอแนะนําการใช๎งานแบบงาํ ยๆ ดังนี้ วิธที ่ี ๑ อาํ นขอ๎ มูลผําน Web Browser ตาํ ง ๆ เชนํ Internet Explorer (ตัง้ แตํ Verion ๗ ขน้ึ ไป), Mozilla Firefox วิธีท่ี ๒ การอาํ นข๎อมลู ผําน Web Based Reader เชนํ MY Yahoo!, MY MSN และ Google วิธที ี่ ๓ การอาํ นข๎อมลู ผํานโปรแกรมตําง ๆ เชํน RSS Reader ซง่ึ มีให๎ Donwload มาตดิ ต้งั ทีเ่ คร่ืองแล๎วใช๎งานตาม คําแนะนําของโปรแกรมทเ่ี ลือกใช๎ กรมสรรพากรเปดิ บรกิ ารเผยแพรํข๎อมลู ในรปู แบบ RSS Feed ในหัวขอ๎ ตอํ ไปน้ี เรอ่ื ง URL ๑. กฎหมายออกใหมํ http://www.rd.go.th/publish/RSS/rss_law.xml ๒. ประกาศประกวดราคา/สอบราคา http://interapp.rd.go.th/TPW/pages/rss_procure.xml ๓. แบบแสดงรายการภาษปี รับปรุงใหมํ http://www.rd.go.th/publish/RSS/rss_taxform.xml การใชเ๎ ลขประจําตวั ผู๎เสยี ภาษีอากร ๑๓ หลัก นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๓๓ RD Smart Tax มติ ิใหมํของการให๎บริการธุรกรรมภาครัฐจากกรมสรรพากร อาํ นวยความสะดวกให๎ผ๎เู สยี ภาษแี ละบุคคลทว่ั ไป เพื่อชวี ิตทงี่ าํ ยข้นึ ในการบริหารจดั การภาษี นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๓๔ RD-NEWS ขําวสรรพากร อัพเดทเรอ่ื งราว กฎหมายใหมจํ าก สรรพากร งาํ ย เพียงปลายนิ้ว E-BOOK สอ่ื ความรู๎ ดาวนโ๑ หลดวารสาร ความรู๎ภาษีสรรพากร งาํ ยตอํ การศึกษา นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๓๕ E-FILINGยนื่ แบบออนไลน๑ ยน่ื ภาษีออนไลน๑ งํายนิดเดียว พร๎อมตวั ชวํ ยบรหิ ารจัดการภาษี RD-MAPแผนทส่ี รรพากร ผ๎ูชํวยค๎นหาตําแหนงํ ทตี่ ั้งสรรพากร และหนวํ ยรับชําระภาษแี บบงาํ ยๆ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๓๖ E-Filing Privilege Card คือ บัตรสทิ ธิพิเศษสาํ หรับผู๎ประกอบการทีย่ ืน่ แบบแสดงรายการภาษีผํานทาง อนิ เทอร๑เน็ตกับกรมสรรพากรเทํานน้ั สัมมนาฟรี ไมํต๎องรอควิ ขําวสารใหมํๆ สทิ ธิประโยชน๑ตาํ งๆ  สิทธิในการเข๎ารบั การอบรม สัมมนา กบั กรมสรรพากรฟรี ตลอดอายุการเป็นสมาชิก จํานวน ๒ ท่นี ั่ง โดยไมํ ต๎องสาํ รองทน่ี ง่ั ซ่งึ จัดโดยสํานกั บริหารการเสยี ภาษที างอิเล็กทรอนิกสป๑ ลี ะ ๔ ครั้ง  สทิ ธิในการคัดแบบแสดงรายการภาษี รบั ได๎ทนั ทโี ดยไมํต๎องรอควิ เพียงแคํโทรศัพทห๑ รือ e-mail แจง๎ ลํวงหน๎า อยํางน๎อย ๑ วัน  สทิ ธิในการรับข๎อมูลขาํ วสารการอบรม สมั มนา และสิทธปิ ระโยชน๑อืน่ ๆ ที่สาํ นกั บรหิ ารการเสยี ภาษีทาง อิเลก็ ทรอนิกส๑จดั ขน้ึ ทาง e-mail  สทิ ธพิ เิ ศษตํางๆ ท่ีกรมสรรพากร และสํานักบริหารการเสียภาษีทางอิเลก็ ทรอนกิ สจ๑ ดั ในโอกาสตํอๆ ไปใน อนาคต  ผู๎ประกอบการท่ีใชบ๎ รกิ ารยืน่ แบบแสดงรายการภาษีผํานอินเทอร๑เนต็ กับกรมสรรพากร แนะนาํ ผูป๎ ระกอบการ ทยี่ งั ไมํได๎สมัครสมาชกิ และใช๎บริการยืน่ แบบฯ ผํานอนิ เทอร๑เนต็ ใหส๎ มาชิก (ภ.อ.๐๑) และ ใชบ๎ รกิ ารยื่นแบบฯ ผาํ นอินเทอร๑เน็ตอยํางนอ๎ ย ๑ แบบ จาํ นวน ๕ รายขน้ึ ไป ภายในระยะเวลา ๑ ปี เพียงแคํนี้ คุณก็ไดร๎ บั สทิ ธิ พิเศษกบั E-Filing Privilege Card ทันที  การสมัครเข๎ารวํ มกิจกรรมเริ่มต้ังแตํ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ เปน็ ต๎นไป  ขอสงวนสิทธ์ิในการเปลยี่ นแปลงเงื่อนไขใดๆ ของโครงการ หรือยกเลกิ บตั รนี้ โดยไมํแจง๎ ใหท๎ ราบลํวงหนา๎ แตํ ทัง้ น้ีจะถือประโยชนส๑ งู สดุ ของสมาชกิ เป็นหลกั นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๓๗ การชาํ ระภาษที างอนิ เตอรเ์ น็ต วตั ถปุ ระสงค์ของบรกิ าร ผ๎ูใช๎บรกิ ารย่ืนแบบฯ และชําระภาษผี ํานอนิ เทอร๑เน็ต เป็นผปู๎ ูอนข๎อมูลท่จี ะตอ๎ งกรอกในแบบแสดงรายการ ท่ไี ดร๎ บั อนุมตั ใิ หย๎ น่ื แบบฯ ผํานอินเทอรเ๑ นต็ แทนการกรอกแบบฯ และยน่ื แบบฯ ด๎วยกระดาษ พร๎อมทง้ั ชาํ ระภาษีโดย ใชค๎ าํ สัง่ ทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส๑ เชํน ให๎ธนาคารโอนเงินคําภาษีใหก๎ รมสรรพากร กรณยี ืน่ แบบฯ โดยไมํมีภาษี ตอ๎ งชําระ ตามแบบฯ หรอื ขอคนื ภาษีไว๎ กส็ ามารถใชบ๎ ริการนี้ได๎ เปน็ ทางเลือกใหมํอีกทางหน่ึงท่ีไมบํ ังคบั แตชํ วํ ยให๎ผู๎เสยี ภาษีทีส่ นใจเลอื กใชบ๎ ริการได๎รับความสะดวกมากยิง่ ขนึ้ ในขณะท่กี ารยนื่ แบบฯ และชาํ ระภาษีท่ีสํานักงานสรรพากรพืน้ ทีส่ าขา ยงั คงมีอยํูตามปกติ ผ๎เู สียภาษที กุ รายมสี ทิ ธิสมัครใชบ๎ รกิ ารยน่ื แบบฯ และชําระภาษีผาํ นอินเทอร๑เน็ตที่กรมสรรพากรใหบ๎ ริการ เว๎นแตํการย่นื แบบฯ และชาํ ระภาษมี ลู คําเพิ่ม หรือภาษีธรุ กิจเฉพาะผาํ นอนิ เทอรเ๑ นต็ จะต๎องเป็นผ๎ูประกอบการจด ทะเบียนภาษีมลู คําเพ่ิม หรอื เป็นผ๎ปู ระกอบการจดทะเบียนภาษีธรุ กิจเฉพาะแล๎ว เทําน้ัน จะต๎องทําความตกลงกบั กรมสรรพากรกํอน โดยลงนามในเอกสารข๎อตกลงในการยนื่ แบบแสดงรายการ และชาํ ระ ภาษผี าํ นเครือขํายอินเทอรเ๑ น็ต และเมือ่ ไดร๎ ับ \"หมายเลขผู๎ใช๎\" และ \"รหสั ผําน\" จากกรมสรรพากรแลว๎ จึงจะสามารถ เขา๎ สํรู ะบบการยืน่ แบบฯ และชําระภาษผี าํ นอินเทอร๑เน็ตได๎ หากเลือกใชบ๎ ริการโอนเงินผาํ นระบบอเิ ล็กทรอนกิ ส๑ ได๎แกํ E-Payment, Internet Banking, Tele/Phone Banking และ Mobile Banking ต๎องทําความตกลงกับธนาคารกํอน จึงจะสามารถใชบ๎ ริการชาํ ระภาษี โดยการโอน เงนิ ผํานระบบอิเล็กทรอนกิ ส๑ได๎ ข้ันตอนการย่ืนแบบฯ และชําระภาษีผา่ นอนิ เทอร์เน็ต หลังจากทก่ี รมสรรพากรได๎แจ๎งใหท๎ ราบทางอีเมลว๑ าํ ผู๎เสียภาษีได๎รับอนุมัติสทิ ธใิ ห๎ใช๎บริการย่ืนแบบฯ และชาํ ระ ภาษีผาํ นอินเทอร๑เนต็ ไดแ๎ ลว๎ การเข๎าสรํู ะบบเพื่อทาํ รายการยื่นแบบฯ และชําระภาษผี ํานอนิ เทอร๑เน็ตให๎ดําเนินการ ตามลําดับข้นั ตอน ดงั นี้ ขัน้ ท่ี ๑ เข๎าเวบ็ ไซตย๑ นื่ แบบฯ และชําระภาษีของกรมสรรพากร http://rdserver.rd.go.th ข้ันที่ ๒ ภายใตห๎ วั ขอ๎ \"บรกิ ารยื่นแบบฯ\" คลิกท่ี \"รายละเอียด\" ขั้นท่ี ๓ เลือกประเภทแบบฯ ทม่ี ีความประสงค๑จะยนื่ ผํานอินเทอรเ๑ น็ต ขั้นท่ี ๔ ปอู น \"หมายเลขผู๎ใช\"๎ และ \"รหสั ผาํ น\" ที่ได๎รับจากกรมสรรพากร หน๎าจอจะแสดงผลเปน็ แบบแสดงรายการ ตามทเี่ ลอื ก โดยในสวํ น ก ของแบบฯ จะปรากฏข๎อมูลเกี่ยวกับสถานะของผู๎เสยี ภาษี ตามทไี่ ดแ๎ จ๎งขอ๎ มูลไวต๎ ํอ กรมสรรพากร และแสดงหน๎าจอให๎กรอกตัวเลขที่เกยี่ วข๎อง เชํนเดยี วกับแบบแสดงรายการภาษที ีเ่ ป็นกระดาษ ข้นั ท่ี ๕ ปอู นข๎อมูลตามแบบฯ ให๎ครบถว๎ น ทาํ นองเดียวกันกับการกรอกแบบแสดงรายการทเี่ ป็นกระดาษ กรณีได๎รับอนมุ ัตใิ ห๎ยืน่ แบบแสดงรายการภาษมี ูลคาํ เพ่ิมรวมกนั จะต๎องดาวน๑โหลด \"โปรแกรมบันทึกข๎อมูลใบแนบ แบบ ภ.พ.๓๐ เพื่อบนั ทึกข๎อมูลเปน็ รายสถานประกอบการ โดยใหป๎ อู นข๎อมูลของแตํละสาขา เชนํ เดยี วกบั ใบแนบ แบบ ภ.พ.๓๐ และเมื่อบนั ทึกรายการข๎อมูลเสร็จแลว๎ ให๎กดปมุ Attach File เพอ่ื สงํ ใบแนบไปพร๎อมกบั รายการข๎อมูล ภ.พ.๓๐ หมายเหตุ หากตัวเลขทปี่ ูอนข๎อมูลไมํสัมพนั ธ๑กนั เชํน จํานวนภาษีขาย เปน็ ตัวเลขท่เี กินกวํา หรือนอ๎ ยกวาํ ร๎อยละ ๗ ท่ีคํานวณไดจ๎ ากยอดขายทป่ี อู นขอ๎ มลู ไว๎ โปรแกรมจะเตือนวาํ การปูอนรายการดงั กลําวไมมํ คี วามสมั พันธ๑กัน โปรด ตรวจสอบข๎อมูลทป่ี อู นรายการอีกครั้งหนงึ่ กรณไี ด๎รับอนุมัตใิ ห๎ย่นื แบบแสดงรายการภาษีธรุ กิจเฉพาะรวมกันจะต๎องดาวนโ๑ หลด \"โปรแกรมบนั ทึกข๎อมลู ใบแนบ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๓๘ แบบ ภ.ธ.๔๐ เพื่อบนั ทึกข๎อมูลเปน็ รายสถานประกอบการ ใหป๎ อู นข๎อมลู แตลํ ะสาขาเชนํ เดยี วกับใบแนบ ภ.ธ.๔๐ และ เม่ือบันทึกรายการข๎อมูลเสร็จแลว๎ ใหก๎ ดปุม Attach File เพอื่ สํงใบแนบไปพร๎อมกบั รายการขอ๎ มลู ภ.ธ.๔๐ หมายเหตุ หากรายรบั ในใบแนบไมเํ ทาํ กับรายรับท่ีปูอนข๎อมูลไว๎ โปรแกรมจะเตือนวํา การปอู นรายการดงั กลําวไมํ ถูกต๎อง โปรดตรวจสอบข๎อมูลทีป่ อู นรายการอีกครัง้ หน่ึง ขัน้ ท่ี ๖ หากตรวจสอบข๎อมลู ตาํ งๆ ตามที่ปูอนไว๎จนเปน็ ท่ีแนํใจแลว๎ วําถูกตอ๎ ง ใหย๎ ืนยนั การยื่นรายการดังกลําวโดย คลิกที่ \"ตกลง\" หากไมแํ นํใจ หรอื ต๎องการทาํ รายการใหมํ โดยยกเลิกรายการที่ทํามาแลว๎ ท้ังหมด ใหค๎ ลิก \"ยกเลกิ \" ข้นั ท่ี ๗ กรณที ี่ยนื ยนั การย่ืนรายการโดยคลิก \"ตกลง\" เรยี บร๎อยแล๎ว หากไมํมภี าษตี ๎องชาํ ระตามแบบฯ หรือ กรณีขอ คนื ภาษีตามแบบ ภ.พ. ๓๐ ระบบจะยืนยันการยื่นแบบฯ โดยมขี อ๎ ความแจง๎ ใหท๎ ราบทนั ทีวํา ได๎รบั แบบ ภ.พ. ๓๐ ท่ี ทํานยืน่ แลว๎ พรอ๎ มกับแสดง \"หมายเลขอา๎ งอิง\" (Reference no.) หากมภี าษีต๎องชาํ ระตามแบบฯ - กรณเี ลือกวิธีการชาํ ระเงนิ ผํานทาง \"E-Payment\" ให๎เลือกธนาคารท่ีได๎ทาํ ความตกลงไว๎ หลังจากเลือก ธนาคารแล๎ว หนา๎ จอจะเปล่ียนเป็นของธนาคาร เม่ือธนาคารตอบรบั การโอนเงินเข๎าบัญชีกรมสรรพากรเรยี บร๎อยแล๎ว ระบบจะยืนยันการย่นื แบบฯ และชาํ ระภาษี โดยมีข๎อความแจ๎งให๎ทราบทนั ทีวาํ ได๎รบั รายการย่ืนแบบฯ และชาํ ระ ภาษีไวแ๎ ล๎ว นอกจากน้ี กรมสรรพากรจะยืนยนั การยนื่ แบบฯ และชําระภาษีให๎ทราบอีกคร้ัง ทางอีเมล๑ ในวนั ถดั ไป นอกจากนี้ ผใู๎ ช๎บริการเข๎าสรํู ะบบ โดยกรอก \"หมายเลขผูใ๎ ช๎\" และ \"รหัสผําน\" ท่ีใชย๎ ่ืนแบบฯ เพ่ือพิมพใ๑ บเสรจ็ รบั เงนิ ได๎ ภายใน ๒ วนั ทําการ ถดั จากวันทีไ่ ดย๎ ่นื แบบฯ และชําระภาษเี สรจ็ สมบรู ณ๑ หมายเหตุ หากการทํารายการโอนเงินชาํ ระคาํ ภาษขี องธนาคารขัดขอ๎ ง หรือจาํ นวนเงนิ ไมเํ พียงพอเพ่ือชาํ ระคําภาษี ที่ทาํ รายการไว๎ จะถือวําการทํารายการท้งั หมดไมํมผี ลสมบรู ณ๑ กรมสรรพากรถือวํายังไมํมีการยืน่ แบบฯ และชําระ ภาษผี าํ นอนิ เทอร๑เน็ตเกิดขน้ึ ให๎ตดิ ตํอกรมสรรพากร หรือธนาคารเพ่ือทาํ การตรวจสอบ หรอื ใช๎บรกิ ารยน่ื แบบฯ และ ชําระภาษีได๎ที่ สํานกั งานสรรพากรพ้นื ทส่ี าขา ท่ีสถานประกอบการตัง้ อยูํ - กรณที เี่ ลอื ก \"ชําระผาํ นทางชํองทางอ่นื \" ระบบจะแสดงวิธีการชําระภาษีใหเ๎ ลอื กตามชํองทางตาํ งๆ - หากเลอื กชาํ ระภาษีผําน ATM, ATM Internet, Internet Banking, Tele / Phone Banking และ Mobile Banking ระบบจะแสดงข๎อมูลทต่ี อ๎ งใช๎ในการชําระภาษี ดังนี้ ๑. เลขประจาํ ตวั ผ๎ูเสียภาษีอากร/ เลขประจาํ ตัวประชาชน ๒. รหสั ควบคุม และ ๓. จาํ นวนภาษีที่ต๎องชาํ ระ โปรดพมิ พ๑ / จดไวเ๎ ปน็ หลกั ฐาน เพ่ือใชช๎ ําระภาษีผํานชอํ งทางท่เี ลอื กตํอไป - หากเลือกชําระภาษผี ําน เคานเ๑ ตอรธ๑ นาคาร จดุ ชําระเงนิ เคาน๑เตอรเ๑ ซอร๑วิส (๗-Eleven) และเคานเ๑ ตอร๑ ไปรษณีย๑ (Pay @ Post) ระบบจะแสดง ชดุ ชาํ ระเงนิ ( Pay–In Slip ) เพ่ือใช๎ในการชาํ ระภาษี โปรดพมิ พ๑ / จดไว๎เพื่อ เปน็ หลักฐานสําหรับใชช๎ าํ ระภาษตี อํ ไป ข้นั ที่ ๘ เพอื่ ประโยชนใ๑ นการอา๎ งอิงการย่ืนแบบฯ และชําระภาษผี าํ นอินเทอรเ๑ น็ต โปรดสั่งพิมพ๑แบบแสดงรายการ ที่ไดท๎ าํ รายการไวส๎ ําหรบั ใช๎ประโยชนใ๑ นโอกาสตํอไป การแจ้งเปลย่ี นแปลงข้อมูล หลังจากได๎รบั สิทธิใ์ ห๎ใช๎บริการย่ืนแบบฯ และชําระภาษที างอนิ เทอร๑เน็ตแล๎ว ตอ๎ งการเปล่ียนแปลงข๎อมูล ได๎แกํ - เพิม่ / ลดประเภทแบบฯ ทยี่ ่ืนทางอินเทอรเ๑ น็ต - เปลี่ยนอีเมล๑ - ขอรหสั ผํานใหมํ แทนรหัสเดมิ - ยกเลิกการย่ืนแบบฯ ผาํ นอนิ เทอร๑เน็ต สามารถกรอกขอ๎ มูลท่ีตอ๎ งการเปลย่ี นแปลงลงในแบบฟอรม๑ ตาํ งๆ ซง่ึ เรียกจากเวบ็ ไซต๑ยนื่ แบบฯ และชําระภาษีของ นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๓๙ กรมสรรพากร http://rdserver.rd.go.th ภายใต๎หวั ขอ๎ \"บรกิ ารสมาชิก\" ไดแ๎ กํ - แบบแจง๎ เพมิ่ /ลดประเภทแบบแสดงรายการ ท่ยี ื่นผํานเครอื ขาํ ยอินเทอร๑เนต็ (ภ.อ.๐๒) - แบบแจง๎ เปลี่ยนแปลง อีเมลแ๑ อดเดรส หรอื ขอรหสั ผาํ นใหมํ (ภ.อ.๐๓) - แบบแจง๎ เลกิ การยนื่ แบบแสดงรายการผํานเครือขาํ ยอินเทอรเ๑ นต็ (ภ.อ.๐๔) การแจง๎ เพิ่ม / ลดประเภทแบบแสดงรายการ ที่ย่นื ผาํ นเครือขํายอนิ เทอรเ๑ น็ต เขา๎ เวบ็ ไซตย๑ นื่ แบบฯ และชําระภาษีของกรมสรรพากร http://rdserver.rd.go.th ภายใต๎หวั ขอ๎ \"บริการสมาชิก\" คลิกท่ี \"รายละเอยี ด\" แลว๎ เลือก \"เพมิ่ -ลด ประเภทแบบ\" จากนั้นใสํ \"หมายเลขผูใ๎ ช\"๎ และ \"รหสั ผําน\" ท่ไี ด๎รบั จาก กรมสรรพากร หน๎าจอจะปรากฏ แบบฟอรม๑ ภ.อ.๐๒ ใหก๎ รอกรายการข๎อมูล กรอกรายการในแบบฟอรม๑ \"คาํ ขอเพิ่ม / ลดประเภทแบบแสดงรายการ ทย่ี นื่ ผํานอินเทอร๑เนต็ \" (ภ.อ.๐๒) ไดแ๎ กํ เลขประจําตัวผ๎ูเสียภาษีอากร เลขที่สาขา ชือ่ ผเ๎ู สยี ภาษี ท่ีตง้ั สถานประกอบการ พร๎อมกบั แจ๎งความประสงค๑ท่จี ะ เพ่ิม / ลดประเภทแบบแสดงรายการ อยํางใดอยํางหนงึ่ เทํานัน้ เมอื่ ปูอนรายการครบถ๎วนแล๎ว ให๎คลิก \"ตกลง\" ข๎อมลู ดังกลาํ วจะถูกบันทึกเข๎าสูรํ ะบบ และปรับฐานข๎อมูลใหโ๎ ดยอัตโนมัติ หลงั จากน้ันระบบจะสํงข๎อความตอบรบั พรอ๎ มกับแจ๎ง \"หมายเลขอา๎ งอิงการทาํ รายการ\" (Reference No.) ใหผ๎ ๎เู สยี ภาษที ราบทางอีเมล๑ ที่ได๎แจง๎ ไวต๎ อํ กรมสรรพากร ผู๎เสียภาษีจะมสี ทิ ธิยนื่ แบบฯ ทีล่ งทะเบียนแจง๎ เพิม่ ไว๎ หรอื จะหมดสิทธยิ ื่นแบบฯ ทล่ี งทะเบียนแจง๎ ลดไว๎ทันทีท่กี าร ลงทะเบียนเพิ่ม / ลดประเภทแบบฯ เสร็จสมบูรณ๑ การแจง้ เปลยี่ นแปลง อีเมล์ แอดเดรส เขา๎ เวบ็ ไซตย๑ ื่นแบบฯ และชําระภาษขี องกรมสรรพากร http://rdserver.rd.go.th ภายใตห๎ ัวข๎อ \"บรกิ ารสมาชิก\" คลิกที่ \"รายละเอยี ด\" แล๎วเลอื ก \"เปลย่ี น อีเมล๑\" จากนน้ั ใสํ \"หมายเลขผ๎ใู ช๎\" และ \"รหสั ผาํ น\" ท่ไี ด๎รบั จาก กรมสรรพากร หนา๎ จอจะปรากฏ แบบฟอร๑ม \"คําขอแจง๎ เปลีย่ นแปลง อเี มล๑ แอดเดรส หรอื ขอรหสั ผาํ น\" (ภ.อ.๐๓) ใหก๎ รอกรายการขอ๎ มลู ผูเ๎ สียภาษกี รอกรายการข๎อมูลตํางๆ ท่เี กย่ี วข๎องลงในแบบฟอรม๑ ภ.อ.๐๓ ได๎แกํ เลขประจาํ ตัวผ๎เู สียภาษอี ากร เลขทส่ี าขา ชื่อผูเ๎ สยี ภาษี ที่ต้ังสถานประกอบการ พร๎อมกับแจง๎ ความประสงค๑ ท่ีจะเปล่ียนแปลง อีเมล๑แอดเดรส เมื่อปูอนรายการครบถว๎ นแล๎ว ให๎คลกิ \"ตกลง\" ขอ๎ มลู ดังกลําวจะถูกบันทึกเข๎าสรํู ะบบ และปรบั ฐานข๎อมลู ให๎โดย อตั โนมตั ิ หลงั จากนัน้ ระบบจะสํงข๎อความตอบรบั พร๎อมกับแจง๎ \"หมายเลขอา๎ งอิงการทํารายการ\" (Reference No.) ใหผ๎ ๎เู สยี ภาษีทราบ ทางอีเมลท๑ ่ีไดแ๎ จง๎ ไวต๎ อํ กรมสรรพากร การขอรหัสผ่านใหม่ เขา๎ เว็บไซตย๑ ่นื แบบฯ และชําระภาษีของกรมสรรพากร http://rdserver.rd.go.th ภายใตห๎ วั ขอ๎ \"บริการ สมาชกิ \" คลกิ ท่ี \"รายละเอยี ด\" แล๎วเลอื ก\"ขอรหัสผาํ นใหม\"ํ จากนั้นใสํ \"หมายเลขผูใ๎ ช๎\" และ\"รหัสผาํ น\" ทไ่ี ด๎รับจาก กรมสรรพากร หนา๎ จอจะปรากฏ แบบฟอรม๑ \"คาํ ขอแจง๎ เปล่ียนแปลง อีเมล๑ แอดเดรส หรือ ขอรหสั ผําน\" (ภ.อ. ๐๓) ให๎กรอกรายการข๎อมลู ผ๎ูเสียภาษกี รอกรายการขอ๎ มูลตํางๆ ที่เกย่ี วข๎องลงในแบบฟอรม๑ ภ.อ.๐๓ ได๎แกํ เลข ประจําตัวผเู๎ สียภาษอี ากร เลขที่สาขา ชือ่ ผเู๎ สยี ภาษี ทตี่ ้งั สถานประกอบการ พร๎อมกับแจ๎งความประสงคท๑ จี่ ะขอ รหสั ผาํ นใหมํ เม่อื ปอู นรายการครบถว๎ นแล๎ว ใหค๎ ลกิ \"ตกลง\" ขอ๎ มลู ดงั กลําวจะถกู บนั ทกึ เข๎าสูํระบบ และปรับ ฐานข๎อมูลให๎โดยอตั โนมตั ิ หลงั จากนั้นระบบจะสงํ ข๎อความตอบรบั พร๎อมกับแจง๎ \"หมายเลขอา๎ งอิงการทาํ รายการ\" (Reference No.) ให๎ผู๎เสียภาษีทราบทางอเี มล๑ท่ี ไดแ๎ จ๎งไว๎ตํอกรมสรรพากร ผ๎เู สียภาษสี ัง่ พิมพ๑แบบ ภ.อ.๐๓ จากระบบอนิ เทอรเ๑ น็ต แล๎วลงช่ือผเู๎ สียภาษี และประทบั ตรานิติบุคคล (ถ๎าม)ี นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๔๐ พรอ๎ มแนบเอกสาร ตามทร่ี ะบุ เอกสารทตี่ ๎องแนบ ภ.อ.๐๓ มีดงั น้ี กรณีผเู้ สียภาษเี ปน็ บุคคลธรรมดา และเปน็ ผูป๎ ระกอบการจดทะเบียนภาษีมูลคาํ เพิม่ ต๎องแนบภาพถํายบตั ร ประจําตัวประชาชนของผเู๎ สยี ภาษี พร๎อมทงั้ รบั รองความถกู ตอ๎ งของเอกสาร กรณีผู้เสียภาษเี ป็นนิตบิ ุคคล ตอ๎ งแนบ ๑. ภาพถํายหนังสอื รับรองของนายทะเบียนหนุ๎ สํวนบริษัทฉบบั ปจ๓ จบุ นั ทม่ี รี ะยะเวลาไมํเกนิ ๖ เดอื นนับแตํวนั ท่ี นายทะเบียนห๎นุ สวํ นบรษิ ัทได๎ลงลายมอื ช่อื ๒. ภาพถาํ ยบัตรประจาํ ตัวประชาชน หรือใบสําคญั คนตาํ งด๎าวของผู๎มีอํานาจลงนามผกู พนั นิติบุคคลนั้น โดยให๎ผ๎ูมี อํานาจรับรองความถูกต๎องของเอกสารดังกลาํ ว กรณีมอบอํานาจให้ผอู้ ่นื ทาํ การแทน ต๎องใชเ๎ อกสารดงั ตํอไปน้ี ๑. หนงั สือมอบอํานาจที่ปดิ อากรแสตมป์ครบถว๎ น (๒๐ บาท) ๒. ภาพถํายบัตรประจาํ ตัวประชาชนของผมู๎ อบอาํ นาจ พร๎อมท้งั รับรองความถูกต๎องของเอกสาร ๓. ภาพถํายบตั รประจาํ ตัวประชาชนของผู๎รบั มอบอํานาจ พร๎อมทั้งรบั รองความถูกต๎องของเอกสาร การแจง้ เลกิ ยื่นแบบแสดงรายการผา่ นเครอื ข่ายอินเทอร์เนต็ เข๎าเว็บไซตย๑ ื่นแบบฯ และชาํ ระภาษขี องกรมสรรพากร http://rdserver.rd.go.th ภายใตห๎ วั ข๎อ \"บรกิ าร สมาชิก\" คลิกที่ \"รายละเอยี ด\" แลว๎ เลอื ก \"แจง๎ ยกเลกิ \" จากนัน้ ใสํ \"หมายเลขผใู๎ ช\"๎ และ \"รหัสผาํ น\" ท่ีไดร๎ ับจาก กรมสรรพากร หน๎าจอจะปรากฏ แบบฟอร๑ม \"คําขอเลิกการยื่นแบบแสดงรายการผาํ นเครอื ขาํ ยอินเทอรเ๑ นต็ \" (ภ.อ.๐๔) ใหก๎ รอกรายการข๎อมูล ผู๎เสยี ภาษกี รอกรายการข๎อมูลตํางๆ ที่เกย่ี วข๎องลงในแบบฟอรม๑ ภ.อ.๐๔ ได๎แกํ เลขประจาํ ตวั ผ๎เู สียภาษีอากร เลขท่สี าขา ช่ือผูเ๎ สียภาษี ที่ตัง้ สถานประกอบการ พร๎อมกบั แจ๎งความประสงคท๑ ีจ่ ะเลิกการยืน่ แบบแสดงรายการ ผํานเครือขํายอินเทอรเ๑ นต็ เมอื่ ปูอนรายการครบถ๎วนแล๎ว ใหค๎ ลกิ \"ตกลง\" ขอ๎ มูลดงั กลาํ วจะถูกบนั ทึกเข๎าสํูระบบ และปรบั ฐานข๎อมูลใหโ๎ ดยอตั โนมัติ หลงั จากนัน้ ระบบจะสํงขอ๎ ความตอบรบั พร๎อมกบั แจ๎ง \"หมายเลขอา๎ งองิ การทํารายการ\" (Reference No.) ใหผ๎ เ๎ู สียภาษีทราบทางอีเมล๑ ทไ่ี ดแ๎ จ๎งไวต๎ ํอกรมสรรพากร ชอ่ งทางการชําระภาษี ๑. แบบออนไลน๑ มี ๑ ชอํ งทาง คือ E-Payment หลงั จากได๎ยืน่ แบบฯ ผํานเว็บไซต๑ของกรมสรรพากร และมีภาษตี ๎องชาํ ระ หน๎าจอจะแสดงวิธีการชําระภาษีให๎ เลอื ก เมื่อเลือก E-Payment ระบบจะแสดงธนาคาร ใหเ๎ ลือกธนาคารท่ีได๎ทาํ ข๎อตกลงไวแ๎ ลว๎ จากนั้นเข๎าสูรํ ะบบสง่ั โอนเงินทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส๑ โปรดปูอน \"หมายเลขผใู๎ ช๎\" และ \"รหสั ผาํ น\" ของธนาคาร โดยปฏบิ ัติตามขน้ั ตอนของ ธนาคารในการสงั่ โอนเงินเพื่อชําระภาษี ธนาคารจะแสดงผลการโอนเงินชําระภาษีให๎ทราบ ซึ่งสามารถพมิ พ๑ผลการ โอนเงินเก็บไว๎เปน็ หลกั ฐาน เมอื่ กดปุมเพ่ือกลับมายงั เว็บไซตข๑ องกรมสรรพากรแล๎ว สามารถพิมพแ๑ บบฯ เพื่อเก็บไว๎ เปน็ หลักฐานได๎ กรณีเงนิ ใบบญั ชมี ีไมํเพยี งพอกบั จาํ นวนเงินภาษีท่ตี ๎องชําระ กรมสรรพากรจะปฏิเสธรายการย่นื แบบฯ ผ๎เู สยี ภาษีจะต๎องไปย่นื แบบฯ ท่ี สํานักงานสรรพากรพ้ืนที่สาขา ท่ีสถานประกอบการตง้ั อยํู ใบเสร็จรบั เงินสามารถพิมพ๑ ได๎ โดยเข๎าสูํระบบ แล๎วใช๎ \"หมายเลขผ๎ูใช\"๎ และ \"รหัสผําน\" ทีใ่ ช๎ในการยน่ื แบบฯ เพื่อพิมพ๑ใบเสรจ็ รับเงนิ ไดภ๎ ายใน ๒ วนั ทําการ ถัดจากวนั ท่ีไดย๎ ื่นแบบฯ และชาํ ระภาษีเสร็จสมบูรณ๑ ๒. แบบออฟไลน๑ มหี ลายชํองทาง ไดแ๎ กํ ATM, ATM Internet, Internet Banking, Tele / Phone Banking, นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๔๑ Mobile Banking, เคานเ๑ ตอร๑ธนาคาร, จุดชาํ ระเงนิ เคาน๑เตอรเ๑ ซอร๑วิส (๗-Eleven) และ เคานเ๑ ตอร๑ไปรษณยี ๑ (Pay @ Post) หลงั จากทไ่ี ด๎ย่ืนแบบฯ ผาํ นเว็บไซต๑ของกรมสรรพากร และมีภาษตี ๎องชาํ ระ หนา๎ จอจะแสดงวิธีการชาํ ระภาษี กรณีท่เี ลอื ก \"ชําระผาํ นทางชอํ งทางอ่นื \" ระบบจะแสดงวิธีการชําระภาษใี ห๎เลอื กตามชอํ งทางตาํ งๆ ดังกลําว ข๎างต๎น - หากเลือกชาํ ระภาษีผาํ น ATM, ATM Internet, Internet Banking, Tele / Phone Banking, และ Mobile Banking ระบบจะแสดงขอ๎ มูลทต่ี ๎องใช๎ในการชําระภาษี ดังนี้ ๑. เลขประจําตวั ผู๎เสียภาษีอากร หรอื เลขประจําตวั ประชาชน ๒. รหัสควบคมุ และ ๓. จํานวนภาษีทต่ี อ๎ งชาํ ระ โปรดพมิ พ๑ / จดไวเ๎ ป็นหลักฐานเพื่อใช๎ชําระภาษีผาํ นชํองทางทีเ่ ลอื กตํอไป - หากเลือกชําระภาษผี ําน เคานเ๑ ตอรธ๑ นาคาร จุดชําระเงนิ เคานเ๑ ตอรเ๑ ซอร๑วิส (๗-Eleven) และเคาน๑เตอร๑ ไปรษณีย๑ (Pay @ Post) ระบบจะแสดง ชุดชําระเงิน ( Pay–In Slip ) เพ่ือใช๎ในการชําระภาษี โปรดพิมพ๑ / จดไว๎ เพือ่ เปน็ หลักฐานสําหรับใชช๎ าํ ระภาษีตอํ ไป ประโยชนท์ ่ีได้รบั จากการยน่ื แบบฯ ผ่านอนิ เทอรเ์ นต็ ๑. กรมสรรพากรไมคํ ิดคําใช๎จาํ ยในการสมัครและการใช๎บริการย่นื แบบฯ กรณยี ื่นแบบฯ แลว๎ มีเงนิ ภาษีตอ๎ งชําระ หนํวยรับชาํ ระภาษแี ละชอํ งทางชําระภาษีมีให๎เลือกใชอ๎ ยาํ งหลากหลาย ซงึ่ มีท้ังฟรีและคิดคําบริการ ๒. ชวํ ยอนุรักษ๑ส่ิงแวดล๎อม ประหยัดพลงั งาน เวลา และคาํ ใชจ๎ าํ ยในการเดนิ ทางไปยน่ื แบบฯ และชาํ ระภาษี ณ สาํ นกั งานสรรพากรพ้ืนทสี่ าขา ๓. สําหรับการยน่ื แบบฯ ในระหวําง ๑ กมุ ภาพนั ธ๑ ๒๕๕๕ - ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙ ผ๎ูใช๎บรกิ ารไดร๎ บั สิทธิพเิ ศษให๎ ขยายเวลายน่ื แบบฯ และชาํ ระภาษี ออกไปอีก ๘ วนั นบั แตวํ ันสุดท๎ายของกําหนดเวลายื่นแบบฯ ทุกประเภท ๔. บรกิ ารยนื่ แบบฯ ภาษเี งินได๎บุคคลธรรมดา เปิดบริการ ๒๔ ช.ม. ของทุกวนั ไมํเว๎นวนั หยุดราชการ สําหรับ บริการยน่ื แบบฯ ประเภทอืน่ ๆ เปิดบริการระหวาํ ง ๖.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ของทกุ วนั ไมํเว๎น วันหยุดราชการ ทง้ั นี้ ตอ๎ งอยํูในระหวํางชํวงกําหนดเวลาย่ืนแบบฯ ประเภทน้นั ๆ และหากวันสดุ ท๎ายของ กาํ หนดเวลายื่นแบบฯ ตรงกับวนั หยุดราชการ จะมสี ิทธิยน่ื แบบฯ ในวนั ทําการถดั ไปได๎อีก ๑ วนั ๕. มโี ปรแกรมทจ่ี ะชํวยตรวจสอบขอ๎ มลู ขั้นต๎น ตามท่ีกรอกไว๎ในแบบฯ และหากพบข๎อมูลทผี่ ดิ พลาด ในบางกรณี ระบบจะสํงรายการเตือนเพ่ือให๎แกไ๎ ขได๎ในทนั ที ๖. เพื่อความม่นั ใจวํากรมสรรพากรไดร๎ ับแบบฯ และเงินภาษที ที่ ํานชําระแลว๎ จะมีหลกั ฐานยนื ยันใน ๓ ระดับ ดังนี้ ยืนยันตอบรับทนั ทเี ม่อื ทํารายการย่ืนแบบฯ สาํ เร็จ ยืนยนั การรับแบบฯ ทางจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส๑ (อเี มล)๑ ในวนั ถัดไป ยืนยนั การรบั ชาํ ระภาษีด๎วยใบเสรจ็ รับเงิน ซง่ึ ผู๎ใช๎บรกิ ารสามารถพิมพ๑ได๎ดว๎ ยตนเองทางเว็บไซต๑ โดยเขา๎ สํู ระบบพิมพใ๑ บเสร็จรับเงินแลว๎ ปูอน \"หมายเลขผใู๎ ช๎\" และ \"รหัสผาํ น\" เดยี วกันกบั ทใ่ี ชย๎ ืน่ แบบฯ ผาํ นอินเทอรเ๑ น็ต กรณยี ่ืนแบบฯ แลว๎ มเี งนิ ภาษีตอ๎ งชําระ พิมพ๑ใบเสรจ็ รับเงินได๎ ถัดจากวันที่ชาํ ระภาษีแล๎วประมาณ ๒ วันทําการ กรณีย่ืนแบบฯ แล๎วไมมํ เี งินภาษีตอ๎ งชาํ ระ / ย่นื แบบฯ แล๎วมเี งนิ ภาษีที่ขอรับคนื พิมพใ๑ บเสร็จรับเงนิ ได๎ ถัดจาก วนั ท่ยี น่ื แบบฯ สาํ เร็จแลว๎ ประมาณ ๒ วันทําการ ๗. ได๎รับคนื เงินภาษีเรว็ ขึ้น เน่อื งจากลดข้นั ตอน อาทิ การบันทึกข๎อมูล และการตรวจสอบการบนั ทึกข๎อมูล นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๔๒ ธนาคารทีเ่ ขา้ ร่วมโครงการ ธนาคารกรงุ ไทย ธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ๑การเกษตร ธนาคารไทยพาณชิ ย๑ ธนาคารออมสนิ ธนาคารยโู อบี ท่ีทาํ การไปรษณยี ๑ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารมิซูโฮ ธนาคารกรงุ เทพ ธนาคารซูมโิ ตโม มติ ซุย แบงก้ิง คอรป๑ อเรชัน่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารดอยซแ๑ บงก๑ ธนาคารแสตนดาร๑ดชาร๑เตอร๑ด ธนาคารทหารไทย ธนาคารทิสโก๎ ธนาคารธนชาต จดุ ชาํ ระเงนิ เคานเ๑ ตอร๑เซอรว๑ ิส ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เทสโก๎ โลตัส ธนาคารซิตแ้ี บงก๑ ธนาคารแหงํ อเมริกา เมอรร๑ ิล ลินซ๑ ธนาคารเอชเอสบซี ี ธนาคารเดอะรอยลั แบงก๑ออ๏ ฟสกอตแลนด๑ พีแอลซี ธนาคารเจพมี อรแ๑ กน เชส ธนาคารบีเอ็นพี พารีบาส๑ บ๊ิกซี ซเู ปอรเ๑ ซ็นเตอร๑ สาขากรุงเทพฯ แจ๐ว การให้บรกิ ารของสํานักบริหารการเสยี ภาษีทางอเิ ลคโทรนิกส์ เป็นบรกิ ารออนไลนใ๑ นการสมัครสมาชกิ แจ๎งเพม่ิ - ลดประเภทแบบทีย่ ่ืนทางอินเทอร๑เน็ต ขอรหัสผาํ น ใหมํ เปล่ียนรหัสผําน แจ๎งยกเลกิ การใชบ๎ ริการ เปลี่ยนอเี มล๑ พมิ พใ๑ บเสรจ็ รบั เงิน คดั แบบและตรวจสอบผลการ ยื่นแบบผาํ นอนิ เทอรเ๑ นต็ รวมท้ังดาวน๑โหลดเอกสารสมั มนา การจดทะเบยี นภาษมี ูลคา่ เพม่ิ ทางอนิ เทอรเ์ น็ต ผม๎ู สี ทิ ธิยืน่ คาํ ขอจดทะเบยี น ๑. ผปู๎ ระกอบการฯ ที่มหี น๎าที่เสยี ภาษมี ูลคาํ เพิ่ม ได๎แกํ ๑.๑ ผูป๎ ระกอบการซึง่ ประกอบกิจการขายสินคา๎ หรอื ให๎บริการท่ีมีรายรบั เกนิ ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาทตอํ ปี ๑.๒ ผป๎ู ระกอบการซงึ่ มีแผนงานท่ีสามารถพสิ จู นไ๑ ดว๎ ําได๎เตรยี มการเพ่อื ประกอบกจิ การขายสินคา๎ หรอื ใหบ๎ ริการ ที่ อยใูํ นบังคบั ต๎องเสียภาษีมูลคําเพ่มิ อนั เปน็ เหตใุ หต๎ ๎องมีการซอื้ สินค๎าหรือรับบรกิ ารท่ีอยใํู นบงั คบั ต๎องเสียภาษีมลู คําเพิ่ม เชํน กอํ สร๎างโรงงาน ติดตัง้ เคร่ืองจกั ร แบบฯ ทใ่ี ช๎ ได๎แกํ แบบ ภ.พ.๐๑ คาํ ขอจดทะเบยี นภาษีมูลคําเพิ่มตามประมวลรัษฎากร - ตอ๎ งระบวุ นั ท่ีประสงค๑จะเป็นผปู๎ ระกอบการจดทะเบยี นภาษมี ูลคําเพิ่มในคาํ ขอ - ย่นื คาํ ขอกํอนวนั ประสงค๑จะเป็นผ๎ปู ระกอบการจดทะเบียนลวํ งหนา๎ ไมํน๎อยกวาํ ๑๕ วนั แตํไมเํ กิน ๓๐ วัน นบั ตัง้ แตํวันถดั จากวนั ทยี่ ่ืนคาํ ขอ ๒. ผ๎ูประกอบการทีไ่ ด๎รับการยกเวน๎ ภาษีมลู คําเพม่ิ ตามทกี่ ําหนดในมาตรา ๘๑/๓ แหํงประมวลรษั ฎากร และประสงค๑ ขอจดทะเบียนภาษีมูลคําเพม่ิ ไดแ๎ กํ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๔๓ ๒.๑ ผ๎ูประกอบการขายสนิ ค๎าตามมาตรา ๘๑(๑) (ก) ถงึ (ฉ) ๒.๒ ผ๎ปู ระกอบการที่มรี ายรับไมเํ กิน ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาทตอํ ปี แบบฯ ท่ใี ช๎ ไดแ๎ กํ (๑) แบบ ภ.พ.๐๑.๑ คําขอแจง๎ ใช๎สทิ ธเิ์ พือ่ ขอจดทะเบียนภาษีมูลคําเพม่ิ ตามประมวลรษั ฎากร (๒) แบบ ภ.พ.๐๑ คําขอจดทะเบียนภาษีมูลคาํ เพิ่มตามประมวลรษั ฎากร - สามารถยื่นจดทะเบียนไดใ๎ นวนั เดียวกันกบั วนั ท่ียน่ื แบบภ.พ.๐๑.๑ - ย่ืนภายใน ๓๐ วัน นบั แตวํ ันท่ไี ด๎ยน่ื ภ.พ.๐๑.๑ การให้บริการ ๑. ยืน่ คาํ ขอจดทะเบียนภาษีมูลคําเพิม่ ไดท๎ กุ วัน ตลอด ๒๔ ช่วั โมง ๒. ย่นื คําขอในเวลาท่ีกฏหมายกาํ หนด โดยไมตํ อ๎ งแนบเอกสารหลกั ฐาน ๓. ตอ๎ งมีเลขประจาํ ตวั ผเ๎ู สียภาษอี ากร - บคุ คลธรรมดาทยี่ ังไมมํ เี ลขประจาํ ตวั ผ๎ูเสยี ภาษีอากร ให๎ระบเุ ลขประจําตัวประชาชน ระบบฯ จะออกเลข ประจาํ ตัวผเ๎ู สียภาษีอากรให๎โดยไมํต๎องย่ืนคาํ ร๎องขอมีเลขประจาํ ตัวผ๎ูเสยี ภาษี - นติ ิบคุ คลทต่ี ง้ั ข้นึ ตามกฏหมายไทย (ไมํรวมนติ บิ ุคคลท่ีเกิดจากการควบกิจการ)ทย่ี งั ไมํมเี ลขประจําตัวผู๎เสยี ภาษอี ากร ให๎ย่ืนคาํ รอ๎ งขอมเี ลขประจําตวั ผูเ๎ สยี ภาษพี ร๎อมกบั การยืน่ คําขอจดทะเบียน ๔. กรมสรรพากรจะแจ๎งผลการพจิ ารณาให๎ทราบทางไปรษณยี อ๑ เิ ล็กทรอนกิ ส๑ (e-mail) และทางอินเทอรเ๑ น็ต ภายใน ๑๕ วนั นับตงั้ แตํวนั ถดั จากวันทีย่ นื่ คาํ ขอ และจะได๎เปน็ ผู๎ประกอบการจดทะเบียนตงั้ แตํวันท่แี จง๎ ความประสงค๑ การจดทะเบียนภาษธี รุ กิจเฉพาะทางอินเทอรเ์ นต็ ผ๎มู สี ิทธิยืน่ คําขอจดทะเบียน - ผ๎ปู ระกอบกจิ การซ่งึ ประกอบกจิ การในราชอาณาจักรท่ีอยใูํ นบังคบั ต๎องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ได๎แกํ * การธนาคาร * การประกอบธุรกิจเงินทนุ * การประกอบธรุ กิจหลักทรัพย๑ * การประกอบธุรกจิ เครดติ ฟองซิเอร๑ * การรับประกันชีวิต * การรบั จาํ นํา * การประกอบกจิ การโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณชิ ย๑ * การขายอสงั หารมิ ทรัพย๑เปน็ ทางคา๎ หรือหากาํ ไร * การซือ้ และขายคนื หลักทรัพย๑ * การประกอบธรุ กจิ แฟ็กเตอรงิ เงอ่ื นไขการใหบ้ รกิ าร ๑. ยื่นคาํ ขอได๎ทุกวนั ตลอด ๒๔ ชว่ั โมง ๒. ย่นื คําขอภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด โดยไมตํ ๎องแนบเอกสารหลกั ฐาน ๓. อนมุ ัตใิ หเ๎ ป็นผปู๎ ระกอบการจดทะเบียนนบั แตํวนั ท่ยี ่ืนคําขอ นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๔๔ การจัดทํา ส่งมอบ และเก็บรักษาใบกํากบั ภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และใบรับอิเลก็ ทรอนกิ ส์ การจดั ทาํ สงํ มอบ และเกบ็ รักษาใบกํากับภาษีอิเล็กทรอนกิ ส๑ และใบรบั อเิ ล็กทรอนิกส๑ เกิดข้นึ จากการร๎องขอ จากผู๎ประกอบการ พาณชิ ยอ๑ เิ ลก็ ทรอนิกส๑ (e-Commerce) และผ๎ูทอ่ี อกใบเสร็จรบั เงินและใบกํากบั ภาษเี ป็นจํานวน มาก ประกอบกบั หนวํ ยงานตํางๆ เชนํ คณะทํางานระบบการชาํ ระเงนิ ทางอิเลก็ ทรอนิกสใ๑ นระดับผป๎ู ระกอบการ (ทอป.) ของธนาคารแหงํ ประเทศไทยมคี วามประสงคจ๑ ะให๎กรมสรรพากร ผลักดันให๎มกี ารใช๎ e-Receipt และ e-Tax Invoice ทดแทนการใช๎กระดาษ และคณะกรรมาธกิ ารวทิ ยาศาสตร๑ เทคโนโลยกี ารสอื่ สาร และโทรคมนาคม วฒุ ิสภา ให๎กรมสรรพากรดาํ เนินการออกแบบ จัดทาํ มาตรฐานเอกสารสําคญั ทางธรุ กรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส๑ เชนํ ใบเสร็จรับเงิน/ ใบกํากบั ภาษอี อนไลน๑ เปน็ ต๎น มาตรา ๘๖ แหงํ ประมวลรัษฎากร กาํ หนดให๎ผปู๎ ระกอบการจดทะเบียนจดั ทาํ ใบกํากบั ภาษแี ละสําเนาใบกํากบั ภาษีสําหรบั การขาย สินค๎า หรือการให๎บริการทุกครั้ง และต๎องจัดทําในทันทีที่ความรบั ผิดในการเสียภาษีมูลคําเพ่ิม เกดิ ขน้ึ พร๎อมทง้ั สงํ มอบใบกาํ กบั ภาษนี ้ันแกผํ ๎ูซื้อ สนิ ค๎าหรือผ๎รู บั บรกิ าร สํวนสาํ เนาใบกาํ กับภาษี ใหเ๎ กบ็ รกั ษาไว๎ ตามมาตรา ๘๗/๓ แหํงประมวลรษั ฎากร ซึ่งเปน็ อปุ สรรคตํอการทําธุรกรรมพาณชิ ย๑อเิ ล็กทรอนกิ ส๑ แบบครบวงจร ท้งั นี้ เพ่ือปูองกนั การใชใ๎ บกํากบั ภาษปี ลอม เนื่องจากในอดีตยงั ไมมํ เี ทคโนโลยที ีส่ ามารถใชย๎ ืนยันตวั บคุ คลผู๎ออกใบกาํ กับภาษี และพสิ ูจน๑ความถูกต๎องสมบรู ณ๑ของใบกํากับภาษีวําไมํมีการแก๎ไข แตปํ ๓จจบุ ันได๎มเี ทคโนโลยี พื้นฐานกญุ แจ สาธารณะ (Public Key Infrastructure : PKI) สามารถใช๎ยืนยันระบตุ วั บุคคล (Authentication) มี ความถกู ตอ๎ งครบถว๎ นของข๎อมลู (Integrity) ไมสํ ามารถปฏิเสธความรบั ผดิ (Non-Repudiation) และรกั ษาความ ปลอดภยั ของข๎อมลู (Confidentially) ซ่งึ เป็นไปตาม พระราชบญั ญัติ วําดว๎ ยธุรกรรมทางอเิ ลก็ ทรอนิกส๑ พ.ศ.๒๕๔๔ มาตรา ๙ กาํ หนดวาํ \"ในกรณีทบ่ี ุคคลพงึ ลงลายมือชื่อในหนังสอื ใหถ๎ ือวํา ข๎อมูลอิเล็กทรอนิกสน๑ ัน้ มีการลงลายมือช่ือ แลว๎ ถา๎ ใชว๎ ิธีการท่ีสามารถระบตุ วั เจ๎าของลายมอื ชือ่ และสามารถแสดงได๎วําเจ๎าของลายมือช่ือ รับรองข๎อความใน ขอ๎ มลู อเิ ล็กทรอนกิ ส๑นน้ั เปน็ ของตน และวธิ ีการดังกลาํ วเปน็ วธิ กี ารที่เชือ่ ถือได๎โดยเหมาะสมกับวตั ถุประสงค๑การสร๎าง หรอื สํงขอ๎ มูลอิเล็กทรอนิกส๑ โดยคํานึงถงึ พฤตกิ ารณ๑แวดลอ๎ มหรือข๎อตกลงของคูํกรณ\"ี ท้ังนี้ วธิ ีการทีเ่ ช่ือถือไดค๎ ือ การ นาํ ระบบใบรับรองอเิ ลก็ ทรอนิกส๑ (Digital Certificate) มาใชใ๎ นการพิสจู นต๑ วั ตนหรอื ยนื ยันตวั บุคคลภายในโลก อเิ ลก็ ทรอนิกส๑ทยี่ อมรบั กนั ในปจ๓ จบุ ัน กรมสรรพากรไดต๎ ง้ั คณะทํางานการใชใ๎ บเสร็จรับเงนิ และใบกํากบั ภาษีอเิ ลก็ ทรอนิกส๑ ประกอบดว๎ ย สํานกั กฎหมาย สาํ นกั มาตรฐาน กํากบั และตรวจสอบภาษี สาํ นักมาตรฐานการจดั เกบ็ ภาษี สาํ นกั เทคโนโลยสี ารสนเทศ และ สํานักบริหารการเสยี ภาษีทางอิเลก็ ทรอนกิ ส๑ ดาํ เนินการศึกษาความเปน็ ไปได๎ในการจดั ทํา สงํ มอบ และเกบ็ รักษา ใบกํากับภาษีอเิ ล็กทรอนิกส๑ และใบรับอเิ ล็กทรอนกิ ส๑ กาํ หนดแนวทางการดําเนนิ งาน และปรบั ปรุงกฎหมายระเบยี บ และแนวปฏิบตั ิทเ่ี ก่ยี วขอ๎ ง โดยการจัดทาํ ใบกาํ กบั ภาษอี เิ ล็กทรอนิกส๑ และ ใบรบั อิเล็กทรอนกิ ส๑จะต๎องนําใบรับรอง อเิ ลก็ ทรอนกิ ส๑มาใช๎ และต๎องออกโดยผ๎ใู ห๎บริการออกใบรบั รองทางอเิ ล็กทรอนิกส๑ (Certification Authority : CA) ท่ี กรมสรรพากร ประโยชนท์ จี่ ะได้รบั ๑.ชํวยใหธ๎ ุรกรรมพาณชิ ยอ๑ ิเล็กทรอนิกส๑ (e-Commerce) ไดร๎ ับความสะดวกย่ิงข้ึน ๒.ลดต๎นทุนคําใชจ๎ าํ ยเกี่ยวกบั การพิมพใ๑ บกํากับภาษแี ละใบรับ ๓.ประหยดั สถานท่ีจดั เก็บเอกสาร ๔.ให๎กําไรนติ บิ คุ คล นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๔๕ ตัวอย่างใบกาํ กบั ภาษีอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และใบรบั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ผใู้ ห้บรกิ ารออกใบรบั รองอิเล็กทรอนกิ สท์ ี่กรมสรรพากรเห็นชอบ เลขประจําตัวผเู้ สียภาษอี ากร : ๐๑๐๕๕๔๓๑๑๒๖๗๙ ชือ่ (ภาษาไทย) : บรษิ ทั ไทยดิจทิ ัล ไอดี จํากัด ชอ่ื (ภาษาอังกฤษ) : THAI DIGITAL ID CO.,LTD นนท์ เศรษฐวิวฒั น์

๒๔๖ โทรศพั ท์ : ๐๒-๒๓๗-๖๓๖๓ แฟกซ์ : ๐๒- ๒๓๗-๖๓๖๔ เว็บไซต์ : http://www.thaidigitalid.com/ ระบบตดิ ตามคาํ ร้องขอคนื ภาษมี ูลค่าเพิม่ กรมสรรพากรได๎พฒั นาระบบตดิ ตามคําร๎องขอคืนภาษมี ูลคําเพ่มิ เพ่ืออํานวยความสะดวกให๎กับ ผปู๎ ระกอบการจดทะเบียนภาษมี ูลคําเพ่ิมท่ี ท่ีย่ืนแบบ ภ.พ.๓๐ ขอคนื เงนิ ภาษีเป็นเงนิ สดหรือโอนเขา๎ บัญชเี งินฝาก ธนาคาร ท้งั รายทย่ี น่ื แบบฯ ผํานทาง Internet และรายท่ีย่ืนแบบฯ ผาํ นสํานักงานสรรพากรพืน้ ทสี่ าขา ใหส๎ ามารถ ติดตามสถานะขนั้ ตอนการดาํ เนนิ งานของเจ๎าหนา๎ ท่ี เพอ่ื สร๎างความโปรํงใสในการปฏิบัตงิ าน ลดภาระผู๎ประกอบการฯ ในการติดตํอประสานงานโดยตรงกับเจ๎าหน๎าที่ และเปน็ ไปตามเจตนารมณข๑ องกรมสรรพากรที่วํา “เต็มที่ เต็มใจ ให๎ ประชาชน” ผูท้ ีป่ ระสงคจ์ ะติดตามคําร้องขอคืนเงินภาษมี ลู ค่าเพิ่ม ให๎ปฏิบัติดังน้ี ๑. ผ๎ทู ปี่ ระสงค๑จะติดตามสถานะคํารอ๎ งขอคืนเงินภาษีมลู คาํ เพ่ิมจะต๎องเปน็ ผป๎ู ระกอบการจดทะเบยี น ภาษีมลู คําเพ่ิมและได๎มีการยื่นแบบแสดงรายการภาษี ภ.พ.๓๐ พร๎อมทงั้ ได๎ลงชอ่ื ขอคืนภาษีเปน็ เงนิ สดหรือโอนเข๎า บญั ชเี งนิ ฝากธนาคารเทําน้นั ๒. ผ๎ทู ย่ี นื่ แบบ ภ.พ.๓๐ ท่ีสาํ นกั งานสรรพากรพ้นื ท่ีสาขา ใหล๎ งทะเบียนท่ีหน๎าแรกของระบบงาน ๓. ผ๎ูท่ีย่ืนแบบ ภ.พ.๓๐ ผาํ นทาง Internet ไมตํ ๎องลงทะเบียนแตใํ ห๎แจง๎ ความประสงค๑ไปท่ีกรมสรรพากร e- Mail : [email protected] โดยขอทราบรายละเอยี ดแยกเป็น ๒ สวํ นดงั นี้ สํวนที่ ๑ สถานประกอบการ: ชอ่ื สถานประกอบการ, เลขประจาํ ตัวผ๎ูเสียภาษีอากร, เลขที่สาขาทีย่ ่นื แบบ, โทรศัพท๑ และ e-Mail สวํ นท่ี ๒ ผู๎ติดตํอ : ชือ่ -สกลุ ,โทรศพั ท๑ และ e-Mail และเม่ือได๎รับแจ๎งความประสงค๑แล๎วกรมสรรพากรจะ ตรวจสอบข๎อมูลการยืน่ แบบฯ กรณีทข่ี ๎อมูลถูกต๎องจะสํง UserId และ Password ให๎ เมื่อผู๎ย่นื ความประสงค๑ได๎รับ UserID และ Password แล๎วจะสามารถเข๎าสํรู ะบบตดิ ตามสถานะคําร๎องขอคืนภาษมี ูลคําเพม่ิ ได๎ทันที ๑. สถานะคาํ ร๎องขอคนื ภาษมี ลู คําเพ่ิม มีสถานะดังนี้ - กรณีได๎หนงั สือแจง๎ เป็น ภ.พ.๗๒ มีสถานะ ดงั นอ้ี ยํูระหวาํ งพิจารณา อยรํู ะหวํางสงํ ตรวจ อนมุ ัตแิ ล๎วใหร๎ อ หนังสือแจ๎ง จํายเงนิ แล๎ว - กรณไี ด๎หนงั สือแจ๎งเปน็ ภ.พ.๗๒.๑ ภ.พ.๗๓.๑ ค.๓๐ ป.ผ.๐๒ มีสถานะดงั น้ี อยรูํ ะหวาํ งพิจารณา อยํู ระหวํางสงํ ตรวจ อนมุ ัติแล๎วใหร๎ อรบั หนงั สอื แจ๎ง ๒. ในการตดิ ตามคําร๎องฯ บน Internet จะสามารถติดตามคําร๎องฯ ท่ีขอคืนภาษขี องเดือนภาษี มิถนุ ายน ๒๕๕๒ เป็นตน๎ ไป การทาํ งานของระบบตดิ ตามคาํ รอ้ งขอคนื ภาษมี ลู ค่าเพิ่ม มีดงั น้ี ๑. การลงทะเบยี น ๒. การเขา๎ สํูระบบงาน ๓. การเปลย่ี นรหัสผําน ๔. การลืมรหสั ผําน นนท์ เศรษฐวิวัฒน์

๒๔๗ ๑. การลงทะเบียน ผทู๎ ป่ี ระสงค๑จะติดติดตามสถานะคําร๎องขอคืนเงินภาษีมลู คาํ เพ่ิมทาง Internet จะตอ๎ งลงทะเบียนเป็นผูใ๎ ช๎ ระบบงาน (สําหรับผทู๎ ี่ยืน่ แบบ ภ.พ.๓๐ ผาํ นสํานักงานสรรพากรพน้ื ทีส่ าขา) โดยมขี น้ั ตอนการลงทะเบียน ดงั นี้ ๑. เขา๎ สํเู วปไซตก๑ รมสรรพาพากร www.rd.go.th ๒. ท่ี Hotเมนู หรอื บรกิ ารอิเลก็ ทรอนิกส๑ ใหเ๎ ลือก ระบบติดตามคําร้องขอคนื ภาษีมูลค่าเพม่ิ ๓. จะปรากฏหนา๎ จอของระบบงานใหเ๎ ลือก ลงทะเบยี น ๔. จะปรากฏหน๎าจอใหบ๎ ันทกึ ข๎อมลู ดังน้ี ๔.๑ เลขประจาํ ตัวผเู้ สียภาษี ให๎บันทกึ เลขประจาํ ตัวผู๎เสยี ภาษที ี่ตอ๎ งการลงทะเบยี นตดิ ตามสถานะคําร๎องขอ คนื เงนิ ภาษมี ูลคําเพิ่ม ๔.๒ เลขที่สาขา ใหบ๎ ันทึกเลขที่สาขาของสถานประกอบการทตี่ อ๎ งการลงทะเบียนติดตามสถานะคาํ ร๎องขอคนื ภาษีมลู คาํ เพิ่ม ๔.๓ เลขระบเุ อกสาร เป็นเลขที่ออกใหโ๎ ดยกรมสรรพากรผู๎ลงทะเบยี นดูได๎จากหนังสือแจง๎ คืนท่ีได๎รบั จาก สาํ นักงานสรรพากรพนื้ ทส่ี าขา กรณที ่ี หนงั สอื แจ๎งคืนมากกวาํ ๑ ฉบับ (สามารถใชห๎ มายเลขเอกสารของเดือน มิถนุ ายน พ.ศ.๒๕๕๒ เปน็ ต๎นไป โดยใช๎ฉบับใดฉบบั หนึ่ง) ๔.๔ เลขที่เอกสาร เปน็ เลขทอ่ี อกให๎โดยกรมสรรพากรผูล๎ งทะเบียนดูไดจ๎ ากหนังสอื แจง๎ คนื ทีไ่ ดร๎ บั จาก สํานกั งานสรรพากรพืน้ ทส่ี าขา กรณีท่ี หนังสอื แจง๎ คนื มากกวํา ๑ ฉบบั (สามารถใชห๎ มายเลขเอกสารของเดอื น มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ เป็นตน๎ ไป โดยใช๎ฉบบั ใดฉบบั หนงึ่ ) หมายเหตุ : ให๎ผ๎ูใช๎เลือกบนั ทึก เลขระบเุ อกสาร ตามข๎อ ๔.๓ หรอื เลขที่เอกสาร ตามข๎อ ๔.๔ อยาํ งใดอยํางหน่งึ ๕. เมือ่ บนั ทกึ ขอ๎ มลู ครบถว๎ นถูกต๎องแล๎วใหค๎ ลกิ ค้นหา ๖. จะปรากฏหนา๎ จอแสดงรายละเอยี ดข๎อมูล ช่ือสถานประกอบการ เลขท่สี าขา และที่ต้งั สถานประกอบการ สาํ นักงานสาขาทลี่ งทะเบียน ดงั จอภาพ นนท์ เศรษฐวิวัฒน์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook