หลักเอกภาพ และการต้งั ภาคี ในทัศนะอัล-กุรอาน
ภาษาอาหรบั
ภาษาอาหรับ จดั ทาํ โดย ศูนยว ฒั นธรรม สถานเอกอัครราชทตู สาธารณรฐั อสิ ลามแหง อหิ รา น ประจาํ กรุงเทพ PUBLISHED BY CULTURAL CENTER EMBASSY OF THE ISLAMIC REPUBLIC OF IRAN IN BANGKOK.
ภาษาอาหรบั ผูเรียบเรยี ง.........อลั ลามะฮ ชัยค ญะอฟ ร ซุบฮานยี ผูแปล.................อัยยูบ ยอมใหญ
สารบัญ หนา เรอื่ ง แรงบนั ดาลใจใหเ รียบเรียงหนงั สอื เลม น้ี หมวดวา ดว ยเรอื่ งหลักเอกภาพ 1- หลกั เอกภาพในสภาวะการดํารงอยู 2- หลักเอกภาพในความเปน ผูทรงสรา ง 3- หลักเอกภาพในฐานะผูท รงอภิบาลและบรหิ าร 4- หลกั เอกภาพในการวางกฎและระเบียบแบบแผน 5- หลกั เอกภาพในการเชอ่ื ฟง ปฏิบตั ิตาม 6- หลกั เอกภาพในความเปนผูปกครอง 7- หลกั เอกภาพในเรอ่ื งของการเคารพภกั ดี ภาคท่หี นึง่ -ส่ิงสําคญั อันดบั แรกสิบประการ 1- การตอ ตา นการต้ังภาคี เปนรากฐานแหง งานเผยแพรของบรรดานบี 2- แหลงทม่ี าของการตง้ั ภาคีและการบชู าเจวด็ 3- วงจาํ กัดของหลักเอกภาพในการเคารพภักดีตออลั ลอฮฺ 4- แรงผลกั ดันท่ีกอ ใหเกิดการตง้ั ภาคีในการเคารพภักดี ก- ความเชือ่ ท่ีวา มีผสู รางหลายองค ข- ทัศนะคติท่วี า “ผสู รา ง” อยูหางจากสง่ิ ถูกสรา ง ค- มอบงานดาน “การบริหาร” ใหเปนหนาท่ขี องพระเจายอย 5- การอธบิ าย “หลกั เอกภาพแหงความเปนพระเจา ” และ “ความเปนผอู ภิบาล” 6- การเคารพภกั ดีหมายถึง “การนบนอบ” และ “การใหเกยี รต”ิ กระนั้นหรือ? 7- การนอนอบมิใชอ ิบาดะฮ (เคารพภกั ดี) 8- แยกความหมายทแ่ี ทจรงิ ออกไปจากความหมายเปรียบปราย 9- คาํ สง่ั ของพระผูเ ปน เจาทาํ ใหก ารตงั้ ภาคีเปน เรื่องท่ีมิใชการตงั้ ภาคีไดหรอื ? 10- ความหมายของคําวา “พระผูเปนเจา” และคําวา “พระผอู ภิบาล” ก- อลั -อิลาฮ หมายถึงรูปเคารพกระนั้น หรอื ? ข- ความหมายของอรั -ร็อบ และอัรรุบบู ียะฮ ค- คําวา “ร็อบ” มีหลายความหมายจริงหรือ? บทสรปุ
ภาคที่สอง-การกาํ จัด ความหมายท่ีแทจรงิ ของ คําวา “อิบาดะฮ” 1- คําจาํ กดั ท้ังสามอยา งของคําวา “อบิ าดะฮ” 2- “การยกอาํ นาจความให” หมายความวา อยา งไร? 3- การแบงพระเจา ออกเปนสว นยอยกบั การปฏเิ สธพระเจาสงู สดุ มใิ ชป ระเด็นเดยี ว 4- เน้อื หาโดยสรุป 5- ทศั นะของเรากับทศั นะของเจา ของตาํ รา อลั -มะนาร 6- ความเช่อื ถอื ของชาวอาหรบั ยคุ งมงายและพวกบูชาเจวด็ 1- พวกตง้ั แทนบูชา 2- พวกจําแนกประเภทของแทน บชู า 3- ความเช่อื ถอื ของชาวอาหรบั ยคุ งมงาย ภาคทส่ี าม-พวกวะฮาบยี ก บั ประเดน็ ตางๆ ที่สําคัญของ หลักเอกภาพและการตง้ั ภาคี 1- ความเช่ือที่มีตออํานาจอันเรนลบั ของผูอ่ืนนอกจากอัลลอฮอ ยูใ นขายของหลักเอกภาพและ การตงั้ ภาคดี วยหรือ? นบยี ซู ุฟกับอํานาจเรน ลบั นบีมูซากับอาํ นาจเรนลับ พวกของนบสี ุลัยมานกับอาํ นาจเรนลับ นบีสุลัยมานกับอาํ นาจในความเปนไปของจกั รวาล อัล-มะซีห (เยซ)ู กบั อาํ นาจเรนลับ คํากลา วอีกตอนหนึง่ ของทา นเมาดูดีย สรุป 2- ความเปนไปโดยปกติวิสัยและเหนือปกติวิสยั ของเหตุการณตา งๆ อยูใ นชว งของหลกั เอกภาพและการต้งั ภาคกี ระนน้ั หรือ? ขอ พิสูจนจ ากอลั -กุรอาน การสัมพนั ธกับปรากฏการณที่อยูเหนือกฏธรรมชาติ 3- การมีชวี ิตและการตาย เขา มาอยใู นขา ยของหลกั เอกภาพและการต้งั ภาคดี วยหรอื
4- การมีสมรรถภาพกบั การไมม ีสมรรถภาพเปนประเดน็ หนึ่งสาํ หรับหลกั เอกภาพและการตง้ั ภาคี ดวยหรอื ? 5- การขอในกจิ การท่ีผิดวสิ ยั ธรรมชาติอยูในขายของการต้ังภาคดี ว ยหรือ? ภาคท่ีสี-่ หลักความเช่อื ถอื ของพวกวะฮาบยี การโนมนา วคนใหเ ขา มารับ อิสลาม 1- การขอใหห ายปวยและการบาํ บดั โรคจากผูอ ่ืนนอกเหนือจากอลั ลอฮ เปนการต้ังภาคีดว ย หรอื ? 2- การขออนเุ คราะหค วามชว ยเหลือจากสิ่งอน่ื นอกเหนอื จากอัลลอฮเปน การตง้ั ภาคหี รอื ? พวกวะฮาบยี ก ับการขออนเุ คราะหค วามชว ยเหลือ 3- การขอความชว ยเหลอื ตอผอู ื่นนอกเหนอื จากอลั ลอฮ เปนการตัง้ ภาคหี รือ? ทัศนะของเจา ของตําราอัล-มะนาร ในการอธิบายเรือ่ งขอบขา ยของการขอความชว ยเหลือ วิพากษทัศนะทสี่ าม 4- การวิงวอนขอตอคนมีคุณธรรม เปนการเคารพภกั ดีตอพวกเขากระน้นั หรือ? ถาม-ตอบ สรปุ คําอธิบาย 5- การเทิดเกยี รติบรรดาเอาลิยาอข องอลั ลอฮและสดดุ ีราํ ลกึ ถึงพวกเขาเปน การต้งั ภาคีกระน้นั หรอื ก- การจดั ใหม ีการราํ ลึกถงึ นบี เทากบั เปน การใหความจงรักภกั ดีและสนบั สนุนทาน ข- การจัดใหมีการราํ ลึกถึงนบี เทากบั เปน การเชิดชูเกยี รติคุณของนบี ค- การประทานอาหารมาจากฟากฟา และการถอื เอาเหตกุ ารณนั้นเปนวันฉลอง 6- การแสวงหาความจาํ เรญิ กับรอ งรอยของทานนบีและบรรดาเอาลิยาอ เปนการต้งั ภาคหี รือ 7- การกอ สรางบนสุสานพวกวะฮาบยี กบั รายงาน อะบี อลั -ฮยั ยาจ 8- การเยือนสุสาน 9- การเศาะลาฮ (นมาซ) ที่สสุ าน 10- การสาบานตอสิ่งอืน่ นอกจากอลั ลอฮและการเอยอา งถงึ ส่ิงถูกสรา งหรือเอยถงึ สิทธิของ บุคคลผนู ั้น
1- การสาบานตอ ส่ิงอ่ืนนอกจากอัลลอฮ ผทู รงมหาบรสิ ุทธ์ยิ ิง่ 2- การเอยอางถึงส่งิ ถูกสรางและสิทธขิ องสง่ิ ถูกสราง
ภาษาอาหรบั ดวยพระนามของอลั ลอฮผทู รงกรุณาปรานี ผทู รงเมตตายง่ิ เสมอ แรงบนั ดาลใจใหเรยี บเรียงหนังสอื เลมน้ี สภาพโดยทว่ั ไปของประชาชาติอสิ ลามยุคปจ จบุ นั น้ี ไดป ระสบกับภาวะทีก่ อ ใหเ กิดความ เสยี หายและความแตกแยกระหวา งกลมุ ตางๆ ของอสิ ลาม ตลอดจนการตงั้ ขอ กลา วหาซ่ึงกันและกัน อยางมากมาย อกี ทงั้ ยงั ไดท ําใหป ระจักษถ ึงกระบวนขอกลาวหา และการแทรกแซงอยางกวา งขวาง ท่ีมตี อ ชีอะฮ อิมามยี ะฮ โดยพวั พันไปถึงหลกั การศรัทธาตออิสลามของพวกเขาตลอดจนเรือ่ งราว ตา งๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ มาจากหลักการอันน้ัน และการโจมตีสิง่ เหลา นนั้ เปนไปอยางไรจ ริยธรรมและเมตตา ธรรม จนกระทัง่ วา ประชาชนสามารถเห็นไดว า ในรอบหาปท ี่ผา นมานี้ ปฏกิ ริ ิยาคัดคา นหลกั ศรทั ธาของกลุมชนอิสลามอันยิ่งใหญกลุมน้ี ซง่ึ เปน กลมุ ชนที่มีปริมาณมากถึงหนึ่งในหา ของ ประเทศอสิ ลามทัง้ หมด และเปนประชาชาตทิ ี่ถกู ยอมรับวา ไดทําหนา ท่รี ับใชอยา งใหญห ลวงตอ อารยธรรมอิสลาม ภายใตก ารนําของบรรดาผูนาํ นกั ปราชญ และมวลชนระดับตางๆ ของคนกลมุ นัน้ เปนปฏกิ ริ ิยาคัดคา นที่ไดรบั การแพรหลายเพมิ่ ขึน้ มากกวาปฏกิ ริ ยิ าคัดคานท่ีเคยแพรหลายใน รอบหนงึ่ รอยท่ีผานมาหลายเทา นัก กลาวคอื ในขณะท่ใี นรอบหน่ึงรอ ยปทป่ี า นมาน้นั ไมค อ ยจะปรากฏวา มปี ฏกิ ิริยาใดตอ หลัก ศรทั ธาของชอี ะฮ อิมามยี ะฮ มากนกั นอกจากปฏิกิริยาคัดคานจากหนังสอื จํานวนหกหรือเจด็ เลม เทาน้นั ซง่ึ ไดแก : 1- มฮุ าเฏาะรอต ฟ ตารคี อลั อมุ ะมุล อสิ ลามยี ะฮ- โดย ค็อฏรี 2- อัซซนุ นะตุ วัชชอี ะฮ- โดย รอชีด ริฎอ 3- อัศศริ ออุ บัยนัล วะษะนียะตุ วัล อสิ ลาม- โดย กุศ็อยมี 4- ฟจรลุ อิสลาม วะฎิฮาฮ วะ เซาะฮรฮิ - โดย อะหม ัด อามีน 5- เญาละฮ ฟ รุบอู ิช ชรั กิล อะอลา-โดย มฮุ มั มัด ษาบิต มิศรี 6- อัลวะชีอะตุ นกั ดิ อะกออิด ชอี ะฮ- โดย มูซา ญาร็อลลอฮ 7- อลั -คฎุ ฎ ล -อะรเี ฎาะฮ- โดย มุฮบิ บุดดีน อลั -คอฏบี 8- ตับดดี อัซซุลาม วะตันบีฮนุ นิยาม-โดย ญับฮาน และอืน่ ๆ อกี ซงึ่ ก็ไมแ ตกตางกันสักเทา ใด และนับเปนเร่ืองธรรมดาของผทู ่ยี งั รเู ทาไมถึงการณก บั หลักความ เชอื่ ถือของพี่นองและแนวทางของเขา... สงิ่ เหลา น้ี เกิดขึ้นโดยประกอบกบั เหตผุ ลท่วี า สว นมากของปฏิกิรยิ าคัดคา นเหลานม้ี ิได อางอิงตาํ ราใด นอกจากตาํ ราของนักบุรพคดแี ละศตั รูของชอี ะฮต ลอดจนบรรดามสุ ลิม เมื่อเปน เชน นี้ จึงทาํ ใหบุคคลเหลา น้ันบางทาน เขยี นเร่อื งราวเก่ียวกับ ชีอะฮ อมิ ามียะฮแ ละเก่ยี วกับหลัก
ศรัทธาของชีอะฮใหผดิ พลาดไปแลว พวกเขากไ็ ดขอขมา(1) และแสดงความเสียใจในสิง่ ท่ีตนเขยี น ไป อีกทั้งยงั ไดแ กไขเร่ืองที่เขาไดกลา วไปแลว ดวย แนน อนทสี่ ดุ บรรดานักปราชญชีอะฮแ ละปญญาชนในหมูพวกเขากไ็ ดม กี ารวพิ ากษ หนงั สือและปฏิกริ ยิ าเหลา น้ี ตลอดจนไดทําการอธิบายถงึ หลักศรัทธาของชอี ะฮ เรอื่ งราวเกี่ยวกบั พื้นฐานและขอปลีกยอยของมันนับเปนจํานวนสบิ ๆ เลม ซึ่งเราจะกลาวถงึ ชอื่ ของบางเลมมาเปน ตวั อยา ง ดังน้ี : 1- อศั ลุชชีอะฮ วะอุศลู ุฮา-โดย อมิ าม ชัยค มุฮมั มัด ฮุเซน กาชิฟ ฆิฏออ 2- อลั มุรอญอิ าต- โดย อมิ าม มุญาฮดิ ซัยยิด ชัรฟุดดีน 3- ตะหต ะ เราะยะตลุ ฮกั -โดยอัลลามะฮ อบั ดลุ ลอฮ อซั ซะบตี ี 4- อลั ฆอดรี เลมทีส่ าม โดย อลั ลามะฮ อัลฮุจญะฮ ชัยค อะมนี ี 5- อะกออิดลุ อิมมามียะฮ- โดย อัลลามะฮ อัลฮจุ ญะฮ มุซ็อฟฟร 6- อจั ญวะบะตุล มูซา ญารลุ ลอฮ-โดย อมิ มา มญุ าฮิด ซยั ยิด ชัรฟุดดีน 7- มะอลั คอฏบี ฟ คฏุ ฏฮิ อะรเี ฏาะฮ โดยอลั ลามะฮ อลั ฮจุ ญะฮ ศอฟย 8- มะอลั คอฏีบ ฟ คฏุ ฏ ฮิ -โดย อลั ลามะฮ ชัยค ซุลยั มาน อัลคอกอนี (๑) ดงั เชนท่ี อะหมดั อามีน เจาของหนงั สอื ฟจ รุล อสิ ลาม ไดกระทําไปแลว ตาท่อี มิ าม ชัยค มุฮัม มดั ฮเุ ซน กาชฟิ อัลฆิฎออ ไดก ลาวไวในหนังสอื ของทาน (อัศลุชชีอะฮว ะอศุ ูลุฮา) : หนา ๘๒ พมิ พ ทไี่ คโร ฮ.ศ. ๑๓๗๗ / ค.ศ. ๑๙๕๘ คร้ังทสี่ ิบวา : นับเปน การพบกันที่ไมน าเชือ่ คอื อะหมดั อามนี ผเจา ของหนงั สือฟจรุลอิสลาม) น้ัน หลงั จากทหี่ นงั สอื ของเขาไดเผยแพรในป ฮ.ศ.๑๓๔๙ ทผี่ านมา และนักปราชญแ หง เมอื งนะญัฟกลมุ หนง่ึ ไดป ระทว งตอเขา แลวเขาไดมาเยือนในฐานะตวั แทน นักเขียนชาวอียิปตอนั ประกอบดว ยคณะครูและนกั ศกึ ษาราวสามสิบคน เขากับคณะไดมาเยย่ี มเรา และพักกบั เราในงานเล้ยี งของคืนหนง่ึ ในเดือนรอมฎอนแลว เราก็ไดกลา วตาํ หนิเขาเกยี่ วกับเรอื่ งราว ทเ่ี กิดข้ึน โดยการตําหนิอยางสุภาพและเราไดยินดีอภยั ใหเ ขาอยางดงี าม... ปรากฏวา เขาไดพรรณา การขอขมาอยา งยืดยาวโดยไมม ีขอ โตแ ยง และขอเสนอใดๆ อีกเลยแมแตนอย แลวเราไดกลา ววา : เรือ่ งน้ยี ังไมจบ ดังนั้นถา ใครตอ งการเขยี นเรื่องใด ก็จําเปน ท่ีเขาจะตอ งเตรยี มพรอ มใหเพียงพอและ ตอ งศึกษากระทัง่ เขาใจอยา งถอ งแทเ สยี กอ น มฉิ ะน้ันจะไมอ นุญาตใหเ ขาลงมอื และเสนอสิ่งดงั กลาว เปน ไฉนทีห่ องสมุดท้งั หลายของชีอะฮ และจากจาํ นวนเหลา น้นั คอื หองสมุดของเราที่เตม็ ไปดว ย หนังสือมากถงึ หา พันเลม สวนมากจะเปน หนงั สือของนักปราชญฝ ายซุนนะฮ และนั่นคือในเมือง อยา งนะญัฟท่ีขาดแคลนทุกส่ิงทุกอยา งนอกจากความรูแ ละการสรางสรรค อนิ ชาอัลลอฮ สว น หอ งสมุดในไคโรอันย่งิ ใหญน นั้ ไมม ีหนังสือชอี ะฮเ ลย มิหนาํ ซาํ้ ยังเปนสงิ่ ที่ไมไดรับการกลา วถึงอีก ดวย ใชแลว พวกท่ไี มมีความรใู ดๆ เกยี่ วกบั ชีอะฮเ ลย แตเ ขียนถงึ ชีอะฮไดไปเสียทุกเรือ่ ง
นอกเหนอื จากน้ีก็ยังมตี าํ ราและหนังสือตา งๆ ในแนวนอี้ กี มาก จึงกลาวไดวาในชวงศตวรรษที่ผา นมา ไมม ปี ฏกิ ิรยิ าคัดคา นใดๆ ตอ หลักศรัทธาของชีอะฮ อิมามยี ะฮ นอกเหนือจากหนงั สอื จาํ นวนเลก็ นอ ยนเ้ี ทานน้ั ในขณะท่ีพอหลงั จากการปฏิวัตอิ ิสลาม ในอหิ รา นไดประสบชยั ชนะแลว จํานวนของปฏกิ ิรยิ าคัดคา นและหนังสอื ตางๆ ที่โจมตีชนอิสลาม กลุมนใ้ี นดานหลกั ศรทั ธาและแนวทางปฏบิ ัตอิ ยางรนุ แรงแข็งขนั มถี งึ สีส่ ิบเลม รวมท้งั หนังสือและ เอกสาร สวนหน่ึงก็เปนหนังสอื ประเภทโจมตหี ลักศรทั ธา อกี สว นหนง่ึ ก็โจมตีนกั ปราชญแ ละบุคคลสาํ คัญ ประเภททสี่ ามก็โจมตรี ายงานฮาดษี และหนงั สอื ท่ีเก่ียวกับฮาดษี ประเภทท่ีส่กี โ็ จมตีทศั นะของนักวิชาการทางศาสนาที่ไดรบั การถา ยทอด มาจากคัมภีรแ ละแบบฉบบั ของทานศาสดา (ซุนนะฮ) บางประเภทกโ็ จมตวี า เปนพวกปฏิเสธ (กาฟร ) ไปเลย อีกบางประเภทก็โจมตรวี าเปนพวกบชู าไฟ (มะซู ี) บางกส็ รปุ ใหวา เปนพวกตั้งภาคี (มชุ รกิ ) มนั เปน เสียอยางนน้ั ... ในขณะทีห่ ลักศรัทธาของกลุมชนชาวมุสลมิ อนั ยง่ิ ใหญกลมุ นี้กด็ ี ทัศนะของนักวชิ าการ ทางศาสนาในหมูชนกลุมน้กี ็ดี ลวนเกิดข้ึนมาจากเนื้อหาของคัมภีรอ ันทรงเกยี รตแิ ละแบบฉบบั ของ ศาสดาอันบริสทุ ธิ์ (ชุนนะฮ) โดยไดร บั การอา งถึงจากนกั รายงานฮาดษี ทดี่ ีเดนและนกั เผยแพรท ่ีดี เย่ยี ม(๑) นักปราชญทง้ั มวลตางยืนยันถงึ ความซอื่ สัตยและความแนนอนในสว นมากของคนเหลานน้ั อีกทั้งยงั ไดยืนยนั ถึงหลักศรัทธาทถี่ ูกตองและสภาพความเปน อยางเท่ียงธรรมของคนเหลา น้นั และ พื้นฐานทางดานวิชาการของคนเหลานั้นคือ บรรดาอะฮลลุ บยั ตข องทานนบีผูบ รสิ ทุ ธิ์ซงึ่ บรรดา บรรพชนของมสุ ลิมตางไดยืนยันถึงความดเี ดน ความสะอาดบริสทุ ธิข์ องพวกเขามาแลว และได บนั ทึกเร่อื งราวเกี่ยวกับพวกเขาไวใ นหนังสือนับจาํ นวนเปนพันๆ เลม... ทา นทราบหรอื ไมวา อาจมอี ะไรซอ นอยูเบื้องหลงั บา ง? มนั มเี บ้ืองหลงั ซอนเบ้อื งหลังอยู หรือไม? ทําไม การโจมตีอยา งขนานใหญเหลา นจี้ งึ มีข้ึนมาในเวลาเดยี วกนั กบั พลงั อันรงุ โรจนของ อิสลามไดสําแดงขน้ึ เปนคร้งั ลาสดุ ในโลกอิสลาม และไดใชว ธิ กี ารแพรโ จมตี ราวกบั ไฟไหมฟาง กับทันทพ่ี ลังอิสลามไดส รา งความหวาดวิตกใหแกพวกจกั รวรรดินิยมและไดชใี้ หเ หน็ วา อาํ นาจของ (๑) หนงั สอื ฮาดษี ตางๆ ทีถ่ ูกยอมรับกันในฝา ยชอี ะฮก เ็ หมอื นกบั รายงานศอฮีฮแ ละสุนขั ตา งๆ ทีถ่ กู ยอมรับกันในฝา ยอะฮลิซซนุ นะฮ กลาวคอื เปน หลักฐานทม่ี นี าํ้ หนักในกรณีทีม่ สี ายสบื และ หลักฐานถูกตองสมบูรณและไมสามารถอทุ ธรณตอความเชอ่ื ม่นั ใดๆ ของเจา ของตาํ ราเหลา นนั้ โดย รายงานปลีกยอยหรือออนหลกั ฐานหรอื ที่ขดั แยงกันได
พวกเขากําลงั อยใู นอันตราย? ทําไม ความพยายามอยา งหนกั หนว งเพอ่ื สรางความแตกแยกและการขัดแยงกันตลอดจนถึง การตอสกู ันระหวา งกลมุ ชนตา งๆ ในประชาชาตนิ ีไ้ ดเกิดข้ึนในเวลาเดยี วกนั กบั ท่ีมวลมสุ ลิมไดเรม่ิ เขา ใจเกี่ยวกับสภาพความเปน จรงิ ของพวกเขาท่ลี า หลงั และนา อดสู อกั ทงั้ ไดรู ปญหาพื้นฐานนั้น ข้นึ อยูกบั ความแตกแยกของพวกเขานั่นเอง แลวเสียงเรียกรอ งหาความเปน เอกภาพและความใกลชดิ กนั ระหวางมวลมุสลมิ ไดประกาศข้ึน และไดประจักษแลววา เสน ทางอนั จาํ เรญิ นั้น มอี ยูใ นวถิ ที าง อนั นี้? ทาํ ไม ความอตุ สาหะในดา นของการโจมตีชนดิ ที่นา บดั สขี องมวลมุสลมิ ดว ยการโจมตีชน กลุมนี้หรือกลุมนนั้ วา เปน พวกปฏเิ สธ(กาฟร) พวกตง้ั ภาค(ี มุชริก) พวกบชู าไฟ(มะูซ)ี และขอห อื่นๆ อีกไดเกิดขนึ้ ในเวลาทพ่ี รอมๆ กันกับการแถลงอยางเปดเผยของตางชาตวิ า กลุมฟนฟอู ิสลาม ในตะวนั ออกกลางและแถบอาวอาหรับนั้นเปน อันตรายอยางยิ่งสําหรับอาํ นาจของโลกตะวันตก? และในที่สุด ทําไมปฏบิ ตั กิ ารจองเวรกบั ชีอะฮ อิมามียะเหลานีจ้ ึงไดเ กิดข้นึ ในเวลาเดยี วกนั กบั มีการประชุมวิเคราะห “ชอี ะฮ” ขน้ึ ในประเทศอิสราเอลหลงั จากทที่ หารของอสิ ราเอลไดถูก บําราบโดยกองกําลงั ของชอี ะฮทางภาคใตข องเลบานอน การประชมุ ในคร้งั น้ี ไดย ุติลงดวยการลง มตใิ หม กี ารลมลางพวกชอี ะฮ ทงั้ แนวความคดิ และการดํารงอยู โดยถือวา พวกเขาคืออันตรายอยา ง ยิ่งยวดสาํ หรับพวกไซออนสิ มจอมโจรแหง อสิ ราเอล ถงึ แมการโจมตีจะมแี ตพวกชอี ะฮ แตน ่คี อื พวกท่อี ะฮล ลุ บยั ตเปนผชู ้ีนาํ อยู “บรรดาผซู ่ึง ความเปน เลศิ ในดา นความเขา ใจศาสนาของพวกเขาน้นั เปนเลศิ ในดา นความยุตธิ รรมและความ ถกู ตอง และดวยความปลอดภัยจากความหลงผดิ และดวยคมั ภรี ของอลั ลอฮท ่ีผกู มดั อยูจนกระทง่ั เขา สสู วนสวรรค” ดงั ที่ทานศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (อัลลอฮทรงประทานความอษั ษะเกาะลยั น) ซ่ึงทง้ั ชอี ะฮแ ละซนุ นะฮตา งก็ไดร ายงานเอาไวดว ยกัน ถึงแมก ารโจมตจี ะมแี กกลมุ ชนแหง ประวตั ิศาสตรดง้ั เดิมของอิสลามเมือ่ วนั ปฐมฤกษ ทานศาสนทตู ก็เคยไดกลาวไวว า : อาลี และชีอะฮของเขา (พวกของเขา) เปนผมู ีชัยชนะ(๑) ถึงแมก ารโจมตจี ะมีตอ กลุมชนแหง อิสลามกลุม น้ีแตในจํานวนคนเหลานกี้ ็มนี ักวชิ าการ และนกั ปราชญเปนจาํ นวนนับลานคน และเปน กลุมชี้นําทางดา นแนวความคิด สติปญ ญา ความ ยุตธิ รรมและวัฒนธรรม นคี่ ือพวกที่มปี ระวตั คิ วามเปน มาทีด่ เี ลิศในการตอสูเพ่ือปองกนั เสถียรภาพของอสิ ลามและ มุสลิม จึงกลาวไดวา ถาการโจมตคี นกลมุ นี้เกิดข้ึนดว ยแรงผลักดนั จากความเครง ศาสนาแลว แนนอน สิง่ แรกทีส่ าํ คญั ยง่ิ ไปกวาก็คือ จะตอ งตอ สูกบั ลัทธมิ ารก และสงั คมนิยม ซง่ึ มนั เปนอันตราย (1) ตัฟลีร ดรุ รุล มนั ษูร ของทานซะยูฏี ในตอนอธิบายโองการ “แทจรงิ บรรดาผูศรัทธาและ ประกอบการดีนน้ั เปนพวกประเสริฐยิง่ ” หนา ๓๗๙ เลม ๖ พมิ พทเ่ี บรุต
แกป ระเทศอิสลามอยา งใหญหลวง ไมวาทั้งภายในและภายนอก จนกระทง่ั วา กบั ผูทไ่ี ดให การชวยเหลือและสนบั สนุนอยูในทุกประเทศแมแ ตร ฐั บาลตา งๆ ในอาณาจกั รอสิ ลาม ไมเคยมใี ครคิดทจ่ี ะกลาโจมตลี ทั ธิบอ นทาํ ลายทเ่ี ปน อันตรายเหลา น้เี ลย ถงึ แมมนั จะตอ ตา น กบั ทกุ สิ่งทุกอยา งนบั ตั้งแตหลกั ศรัทธา ไปจนถึงจริยธรรมสวัสดิภาพ อสริ ภาพและในทสี่ ุดก็คือ เสรภี าพ (อาจเปนสง่ิ แรกดวยซาํ้ ) และเปนลัทธทิ ไ่ี มศรัทธาตอสง่ิ ใดเลยที่ดาํ เนนิ บทบาทไปยงั เรอื่ ง ของศาสนาใชห รือไม? ไมมผี ูกลาหาญคนใดโดยเฉพาะในบรรดาผทู ่ีประกาศตนวาเครง ครดั ศาสนาแลวทมุ เทเงนิ เปน ลานๆ เหรียญดอลลารเพื่อสรางความแตกแยกระหวา งกลุมชนตางๆ ของอสิ ลามและทาํ ลาย ความเปนพ่นี องในอสิ ลามภายใตขอหาท่มี าในรูปตา งๆ คดิ ท่จี ะประชุมบรรดานักปราชญ ผทู รงคณุ วฒุ ิและนกั วชิ าการของมวลมุสลมิ เพอ่ื ดาํ เนินการปรกึ ษาหารอื กนั อยางแทจรงิ เพอ่ื ท่ีจะได เปนงานท่ตี อสูก บั ขบวนการมารกซิสม ซ่งึ มันไดแ พรหลายอยูแมก ระท่งั ในดนิ แดนหะรอมทั้งสอง แหงและมันไดครอบงาํ จิตใจแมแ ตกับคนหนมุ ๆ ในมกั กะฮอนั ทรงเกียรติและนครมะดีนะฮแ ละ ดนิ แดนอันศกั ดิส์ ิทธ์ิสว นอน่ื ๆ ใชห รือไม? ทาํ ไมคนเหลา น้นั ไมคิดบางเลย (ถา เขามีความสจั จริง) วา ในประเทศอสิ ลามบางประเทศ ซง่ึ เคยเปน ทมี่ าของประวัตศิ าสตรอันยาวนานสําหรับอิสลามแตมาบดั น้ีมนั ไดก ลายไปเปน ท่ีต้งั ของ ลทั ธมิ ารก ซไ ปเสียแลว กลาวคอื ในบางประเทศถงึ กับไดประกาศกฎหมายตามระบอบสังคมนิยมไป แลว บา งกย็ อมใหท าํ งานโดยไมต อ งถือศีลอด บางก็ยํา่ ยีแบบฉบับ (สนุ นะฮ) อันบรสิ ุทธขิ์ องทา นน บี ไปจนถงึ เรอ่ื งอ่นื ๆ อกี ทีบ่ อนทําลายอิสลามในรูปตางๆ? บัดน้ีไดมปี ญ หาพ้ืนฐานทีเปนอันตรายสําหรับเสถยี รภาพของมวลมุสลิมและการดาํ รงอยู ของพวกเขาสองประการ คือ : 1- ยวิ ไซออนสิ มและโลกคายตะวนั ตกทสี่ นับสนุนอยูใ นทุกวถิ ีทางของแผนชัว่ ราย 2- ลัทธิคอมมิวนิสมและโลกคา ยตะวนั ออกผูบอ นทาํ ลายทใี่ หการสนับสนุนในทกุ ๆ ดา นอยเู บื้องหลัง ศตั รูตวั ฉกาจทง้ั สองฝายนไ้ี ดยึดหลักการดังตอ ไปน้ี 1- เผยแพรความเสยี หายทางดา นจริยธรรมระหวา งมวลมสุ ลมิ โดยเฉพาะในหมคู นหนุม สาว 2- แพรหลายสภาพจติ ใจที่ตกต่ําใหเ ขา ไปสูจติ ใจของคนเหลานัน้ 3- คงสภาพของพวกเขาไวกบั ความลา หลังทางดา นวชิ าการ อารยธรรม เศรษฐกิจ และ การเกษตร ฯลฯ 4- ลบลา งความศรทั าของพวกเขาที่มีตอศาสนา ตออัลลอฮ ตอวันปรโลก ซ่งึ พวกเขามี ความเช่ือตอสงิ่ ดังกลา วอยุในทุกวนั น้ี และตรึงพวกเขาไวกบั พายุรายท่พี ัดกระหนํ่า ไปจนถงึ เร่อื งอื่นๆ
แลว ทาํ ไมพอหลังจากท่ชี ีอะฮและประชาชนมสุ ลิมชาวอิหรานไดส ําแดงพลังการตอ สอู นั ยิ่งใหญต อประเทศจักรวรรดินิยมและสมุนของมัน พวกเขาเหลาน้นั กไ็ ดล งมอื จัดการโจมตคี นกุลม นี้ อะไรบา งทพี่ วกเขาไดทําไปเพ่อื เปนการตอสกู บั ภัยอันตรายทัง้ สองอยา งนี้ ในขณะทพี่ วกเขามี ความสามารถซ่ึงไมม ใี ครรูซ ้ึงไดนอกจากอัลลอฮ? มบี า งไหมทีพ่ วกเขาไดกระทาํ การใดๆ ทส่ี รา งความลาํ บากใหแ กอิสราเอลในฐานะท่ไี ดยา่ํ ยี มวลมสุ ลมิ และชาวอาหรบั มาหลายคร้ังหลายคราว โดยไมหยุดหยอ น หรอื วาพวกเขาเปนตัวต้ังตวั ตี ในการจดั ประชุมเรยี กรอ งสันตภิ าพกับอสิ ราเอลและดาํ เนินการเพ่อื แกปญ หาดวยการยอมจาํ นน และยอมรับตอ ประเทศอสิ ราเอลใหท าํ สงครามขึน้ อยางยดื เย้ือในโลกอิสลาม? หรอื วาพากเขาเคยแสดงความองอาจตอโลกตะวนั ตก ตอบโต และสรู บตลอดจนตัด สมั พันธไมตรี ใหเ หมอื นกบั ท่ีพวกเขาตอบโตกับโลกตะวันออกและตดั สัมพันธบางส่ิงบางอยา งไป แลว? ทาํ ไมพวกเขาจึงมงุ กันแตจ ะใชเ คร่ืองมอื โจมตีมาตอสกู บั หลักศรทั ธาของชอี ะฮอันสบื ทอด มาจากพน้ื ฐานของอสิ ลาม อนั ไดรับมาจากบรรดาอะฮลุลบัยตข องนบีผูบรสิ ทุ ธ์ิ? ชอี ะฮใชหรอื ไม ทีข่ บั ไลอเมริกาออกจากอิหรา นและโจมตสี มนุ ของมันท่ีสรา งความตกตาํ่ ใหแกอาหรบั และสนนั สนุนอสิ ราเอล? ชีอะฮใ ชหรอื ไม ทีข่ ับไลอิสราเอลออกไปจากภาคใตเ ลบานอนและติดตามไปกระหนํ่าการ โจมตีและสอนบทเรยี นชนิดทพี่ วกมันไมอาจลืมได? การโจมตรีชอี ะฮในทกุ วนั น้ี มิไดม ีสาเหตใุ ดๆ เลยใชห รือไม นอกจากเพราะวา พวกชอี ะฮ ไดโจมตีโลกตะวันตกและโลกตะวันออกใหเกิดความตกต่าํ และเสียหายอยางนนั้ และไดสําแดงถงึ การกระทาํ ท่เี ปนอันตรายอยางยง่ิ สาํ หรับอทิ ธิพลของตางชาติท่มี อี ยูใ นประเทศอิสลาม? ชอี ะฮใชห รือไม ที่สาํ แดงตนวา เปน อันตรายอยางยง่ิ ตออทิ ธพิ ลของอเมรกิ าในซาอดู ี แถบ อา วอาหรับ อียปิ ต เลบานอนและอิรกั และไมวาเมืองใดทช่ี อี ะฮมอี ยู หรอื เมอื งท่มี ผี ูสนับสนนุ แนวทางของชอี ะฮในดานการปฏวิ ัติซง่ึ ปฏเิ สธความตกตา่ํ และการถูกย่ํายอี กี ทง้ั การยอมจาํ นน และ ปฏเิ สธรัฐบาลตางๆ ท่เี ปน สมุนและเปน อาชญากร ตลอดจนไดตอ สูกบั ความอธรรม, การกดขี่ ขม เหงทุกรปู แบบและประกาศคําขวญั วา : ออกไปจากเราเสียเถดิ ความตกตํ่า และ “และจงอยา สนบั สนุนพวกอธรรมไ และ “ทาํ ไมสเู จา จึงไมตอสใู นวถิ ที างของอัลลอฮแฺ ละบรรดาผถู ูกกดข่ี” และ คาํ ขวัญทว่ี า “ชวี ติ อยกู บั หลักศรัทธาและการเสียสละ” และคําขวัญท่วี า “คนตายทัง้ เปน ในหมูพวก ทา นคือคนแพ คนเปนทงั้ ๆ ท่ีตายไปแลวในหมูพวกทานคอื คนชนะ?” ทําไมจึงมหี นงั สอื “วะญาอะ ดูรุล มะูส” ออกมาโจมตพี วกเขาเหลาน้นั ? แลวใครเลา ทถี่ กู หมายถึงวา เปนพวกมะูซี (บชู าไฟ) ? มนั จะหมายถงึ ชาวอิหรา นที่ พยายามนําหลักการอิสลาม เชิดชูธงอิสลาม อรรถาธบิ ายคมั ภรี ข องอิสลามรวบรวมรายงานฮาดีษ
ตางๆ ทถ่ี ูกยอมรับในสายอะฮลซิ ซุนนะฮอ อกมา เชน ทา นอมิ ามบุคอรี อมิ าม มสุ ลมิ ตริ มิซีย นะซาอี และอิบนุมาญะฮ กระนั้นหรือ? หรอื วาพวกเขาใหค วามหมายวามะซู ี คอื ชอี ะฮ (พวก) ของทานอาลี (ความสันติสุขพงึ มี แดท าน) ที่บันทึกรายงานฮาดษี ตางๆ ของทา นรซลู ผูท รงเกียรตแิ ละบรรดาอะฮลุลบยั ตผูบรสิ ทุ ธ์ินับ จํานวนเปนรอ ยๆ เลม อกี ทัง้ ยงั ไดเ ขียนตําราอธบิ ายอัลกุรอาน อนั ทรงเกียรตินับจาํ นวนรอ ยๆ เลม ทงั้ เลมเลก็ เลม ใหญ ตลอดทงั้ ยังไดรวบรวมตาํ ราท่เี ก่ยี วกบั หลักศรทั ธาของอสิ ลามอีกนบั รอยเลม และใหความบรสิ ทุ ธต์ิ อ อัลลอฮจนพนความบกพรอ งในทกุ ๆ อยา ง ใหความบริสทุ ธใิ์ จตอ บรรดานบี วา พน จากขอตาํ หนิในทุกๆ ประการ และยนื ยันถงึ ความยุตธิ รรมของอมิ ามและคอลฟี ะฮตลอด จนถงึ ผูปกครองและผดู ูแลประชาชาตอิ สิ ลามเพือ่ จะไดช น้ี าํ ไปดว ยความซือ่ สตั ยและความเทย่ี ง ธรรม ถา พวกท่ีโจมตชี อี ะฮก บั พวกท่ีเชอ่ื มัน่ โดยจริงใจตามหลกั การของอิสลามวาชอี ะฮค อื พวกที่ หลงผิด พลกิ แพลง ก็ควรจัดใหม กี ารประชมุ โดยเสรีและรวมเองบรรดานกั ปราชญม ุสลิมทงั้ ซนุ นะฮ และชีอฮมาพิจารณา อภปิ รายทางวิชาการของอซั ฮบั และควรจะเสนอกระทูไปยงั นักปราชญชอี ะฮ และนกั วชิ าการในหมูพวกเขาเกยี่ วกับขอ ผิดพลาดท่เี ปน ขอ สงสัยและทีเ่ ปนปญ หา อีกทั้งควรจะ ขอใหช ีอะฮเสนอหลกั ฐานท่ีเปนขอ พิสูจนตามมซั ฮบั ของพวกเขา เชนเดียวกับบรรดาทนี่ กั ปราชญ ทง้ั ของชอี ะฮและซุนนะฮก ระทาํ อยา งน้ันมาแลวในอดตี จนพวกเขาไดประชมุ กนั ในสถานท่ี เดยี วกัน และถกปญหา พิจารณากนั จนไดร ับขอ สรปุ ท่ดี ีหลงั จากไดขจัดเมฆทึบท่บี ดบังอยใู หพ น ไป และยกเลิกขอสงสัยตา งๆ ออกไปอกี ทงั้ ยังไดก ระชับความสมั พนั ธกันอยา งใกลชิด และได รวมกนั ยอมรับในความเปน จริงหลังจากไดถ กเถยี งกนั ดวยวธิ กี ารทดี่ ีงามและสนทนากันในเชงิ วชิ าการแบบพน่ี อ งท่สี ัมพนั ธกนั อยางแนน แฟนในลักษณะอยางนี้ชอี ะฮก ็จะไดใชช ีวติ อยูอยา งพี่ นอ งกับอะฮล ิซซุนนะฮ ในลกั ษณะที่คนกลมุ ใหญไมบ ีบคนั้ คนสวนนอยหรือวา คนสวนนอ ยจะ หวาดผวาคนสวนใหญ แตค วามสมั พันธข องพวกเขาจะเปนไปในลกั ษณะทชี่ วยเหลอื เกื้อกูลกัน จนถึงขนึ้ ท่แี ตละฝา ยไดเขา ใจหนังสอื ของฝายหน่งึ และไดยอมรบั ในทัศนะของฝา ยหนง่ึ ตลอดจน สามารถสนับสนุนความพยายามของอีกฝา ยหน่งึ และภูมใิ จในการท่ฝี า ยหนึ่งประสบความสาํ เรจ็ ใน การกระทาํ อยางใดอยา งหนงึ่ แลว ทาํ ไมการตอสกู ันระหวางชอี ะฮก ับซนุ นะฮซ ง่ึ กอ ใหเกิดความเสยี หายและมแี นวโนม ไปสคู วามแตกแยกระหวางมสุ ลิมนั้น มิไดด ําเนินไปตามลกั ษณะการประชุมรว มกนั อยางท่ีวานี้ซง่ึ เคยกระทาํ ในบรรยากาศของการสนทนาเชงิ วชิ าการท่ีถกู ตองจนประสบความสาํ เรจ็ อยา งดีเลิศ ระหวา งคนสองฝายทง้ั ซนุ นะฮและชีอะฮ ในอดตี นั่นคือ : อมิ าม ซรั ฟดุ ดีน และอิมาม ซะลมี บะชะ รี อดตี อธิการบดีมหาวทิ ยาลยั อลั อัซฮัร เพ่อื สกัดกั้นความมืดมน และขจัดเมหหมอกอนั มืดทึบท่ี ครอบงําสายตาอยู จนทาํ ใหม องมิตรเปนศัตรู และมองพนี่ อ งวาเปนคนแปลกหนาทน่ี ากลวั ?
ไมต องสงสัยวา นกั ปราชญชีอะฮน ้นั มีความพรอ มอยูทุกเมือ่ สาํ หรับการจดั ใหม กี ารประชมุ ในลักษณะน้เี พอ่ื เสนอขอพิสูจนตา งๆ ของพวกเขา ถา อกี ฝายหนึ่งแสดงความปรารถนาดว ย เปา หมายเพอื่ สรา งความเปน เอกภาพของมวลมุสลมิ และผกู มัดความสมั พันธข องพวกเขาใหแ นน แฟน แนนอนทีส่ ดุ เราท้ังหลายมีความจําเปน อยางย่งิ สําหรับการสรา งความใกลชดิ อยางนี้ และ จําเปน อยา งย่ิงทเ่ี ราตองมีความเปน เอกภาพแทนความเปนเอนกภาพ นี่แหละที่ทานรซูลลุ ลอฮ ผทุ รงเกยี รติไดส อนใหร วมตวั กัน และมใิ หแ ตกแยกกัน ทานได รวมคนใหเ ขา กัน มใิ หแ ยกกันอยู ทานสมานสัมพันธไมตรแี ละไมผละหนใี คร ทา นไดก ลา ววา “แทจ ริงอาํ นาจของอลั ลอฮ อยูที่การรวมตวั เปนหมคู ณะ” อิสลามอนญุ าตใหก ระนั้นหรอื ในกรณที เี่ ราจะถอื เอาขอแตกตา งของชอี ะฮทีผ่ ดิ ไปจากฝา ย ผืน่ ๆ ในบางแงมมุ ของทัศนะทางวิชาการศาสนาทีถ่ ือวา ไมถูกตอ งนั้น (แนนอนที่สุดวา เปน ส่ิงท่ี ถกู ตอ งเพราะวา ไดน ํามาจากทางนาํ ของทา นนบีและคําสอนของเชอื้ สายผูบ รสิ ุทธิ)์ มาเปนขออางใน การทําลายพวกเขา หล่งั เลอื ดพวกเขาและตัดสินวา แนวทางของพวกเขาเปน โมฆะ ยินยอม (บางครั้ง ถึงกับคบคิดกัน) เผามสั ยิดของพวกเขาซง่ึ มันกเ็ ปนบานของอลั ลอฮ อยางเชน ทเ่ี กิดขึ้นในประเทศ ปากสี ถาน ในขณะเดียวกันท่ีวา ระหวา งมซั ฮับท้ังสี่น้ันก็ยังมคี วามแตกตางกันในหลายส่งิ หลายอยง มากกวาความแตกตา งท่มี รี ะหวา งมซั ฮับ ของชีอะฮ อิมามยี ะฮ กับระหวา งมซั ฮับตา งๆ ของอิสลาม เสยี ดว ยซํา้ แตพรอมกันนั้นก็ไมมกี ารกลา วหาแกกันและกนั วา เปน พวกปฏิเสธ อกี ท้งั ไมมกี ารเชอื ด เฉอื นเลือดเนอ้ื ของใครกันเลย? มาเถดิ ทา นทั้งหลาย ขอใหเรามาสลัดความโงเ ขลาตา งๆ เหลา น้ีออกไปและเราอยา ได สมยอมไปกบั ความมุงหวงั ของยวิ ไซออนิสมและเจา นายของมันในอเมรกิ าและโลกตะวนั ตก ตลอดจนถึงผูสนับสนุนพวกมนั ทอ่ี ยูในรัสเซียและสมนุ ของมนั ทา นทั้งหลายจงมาสูถอ ยคาํ ทเี่ สมอเหมอื นกันเถิด เพราะวา สิ่งท่ีเรารวมกนั ไดน้นั มีมากกวา สงิ่ ทีเ่ ราแตกตา งกัน ขอใหทา นทงั้ หลายมาตัดสินกนั ดว ยเหตุผลของสติปญญา และมาใชว ิธกี ารสนทนากัน เพอ่ื ท่เี ราจะไดมีเสรีภาพอยางแทจริง อยางนอ ยก็เพอื่ โลก (ดุนยา) น้ีของเราและนคี่ อื ระดบั ของความ ศรทั ธา (อีมาน) ทอี่ อนแอ ยิ่งไปกวา นนั้ ยงั เปน ระดับของสตปิ ญญาท่ีออนแออกี ดวย แนนอนท่ีสดุ ทานอิมาม ฮเุ ซนหลานของทานนบผี ทู รงเกียรติ (ความสนั ตสิ ขุ และความจาํ เริญพงึ ประสบแกพ วก เขา) ไดกลาววา “ถาพวกทา นไมมีศาสนาและไมก ลวั การคืนกลับไปสปู รโลกกนั แลว ก็ขอใหพวก ทา นเปน ผมู ีเสรีภาพในโลกน้ขี องพวกทา นกันเถิด” ขอใหเรามายกยองอะฮลุลบยั ตข องทานนบีผูบ รสิ ทุ ธ์ซิ ง่ึ อัลลอฮไดขจัดความมลทนิ ออกไป จากพวกเขาและชําระขดั เกลาใหพ วกเขาสะอาดบริสุทธแิ์ ละขอใหเรามายกยองบรรดาบคุ คลท่ีได ปฏบิ ัตติ ามพวกเขาดว ยความจรงิ จัง มใิ ชด วยการถอื ทิฐิแบงพรรคแบงพวก หรือถือดีพวกทอี่ ยใู น สมยั งมงาย (ญาฮลิ ียะฮ)
เปน การกระทําที่ถกู ตองแลวหรือ สาํ หรับการตอบแทนคนกลุมน้ีซึง่ ดาํ เนินชวี ติ ตามแบบ ของอะฮล ลุ บยั ตด ว ยการตงั้ ขอ กลา วหาและประนามในลัษณะตา งๆ เพ่อื ท่ีจะใหสิง่ ทเ่ี รากลา วถึงมหี ลกั ฐานยืนยันวา หนังสอื เหลาน้ีกระทําการโจมตชี ีอะฮ อมิ ามี ยะฮใ นยคุ ปจจุบัน เราจะขออา งถึงคาํ พดู ส้งั ๆ จากบคุ คลเหลาน้ัน ดังที่เราจะกลาววา : คนลา สดุ ในหมขู องพวกที่สรางความแตกแยก ตอตานการรวมตวั กันของบรรดามซั ฮับ ตา งๆ ในอสิ ลาม เปน คนโกหกตวั ฉกาจ และเปนคนเลวทอ่ี วดดี น่ันคือผทู ่ถี ูกเรียกวา “อิหซาน อิลาฮี ซอฮีร” ซึ่งเขาตอ งการบงั คบั เอาความเปนศตั รแู หงเอกภาพของอสิ ลามที่สูญหายไปในอดีต คืนกลบั มาโดยพยายามทีจ่ ะยนื ยนั วา หลักศรัทธาของชอี ะฮน ั้นผิดพลาดดว ยการตอบโตห นงั สือ ตา งๆ ของพวกเหลานั้นกลาวคือเขาไดก ลา วเทจ็ และกุเรอื่ งเท็จตา งๆ ขนึ้ มาทกุ วิถที างกับความรทู เี ขา ไดมาจากหลักศรัทธาของชีอะฮและตาํ ราของพวกเขา ในที่นี้เราจะชแี้ จงถงึ การกลา วเท็จของเขา เพียงขเดยี ว คือเขากลาววา : “สําหรบั เรือ่ งอิมามทส่ี บิ สองทถี่ ูกสมมติข้ึนนั้น ในหนังสอื ของพวกเขาเองไดแถลงไวอ ยาง เปด เผยเลยทเี ดียววา ไมย ืนยันและไมเ ชอ่ื ตาม และไมมหี ลักฐานใดๆ ที่มไี วตรวจสอบหรือพสิ ูจนได เลย...” (๑) เราจะขอถามจอมโกหกคนน้ี ในทีน่ วี้ า : เขาไดคาํ พูดนี้มาจากไหน? หนังสอื อะไร? ท่ยี ืนยัน ในคาํ แอบอา งขอ น้ี กลาวคือชีอะฮนัน้ นบั มาตั้งแตสมยั บิดาของพวกเขามาโนนแลว ทยี่ อมรับอยาง สอดคลองเกยี่ วกบั การเกิดของอมิ ามท่สี บิ สอง คืออมิ ามมะฮดี มนุ ตะชริ ซ่ึงทา นประมุขของ มนุษยชาตคิ อื ทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮ (อลั ลอฮทรงประทานความจาํ เริญและความสันตสิ ขุ แด ทา น) ไดบอกเรอ่ื งทเ่ี กี่ยวกบั ทา นไว ทา นเกิดเม่ือวันนศิ ฟู ซะอบ าน ฮ.ศ. ๒๕๕ มีบุคคลตา งๆ ได กลา ววา เคยเห็นทาน ณ บา นของผเู ปนบิดา ในมยั ท่ที านยังเปนเดก็ หลังจากนนั้ ก็ไดกลาวถึงเรือ่ ง ตัวแทนและทตู ของทานในชว งของการหายตัวในระยะสัน้ คอื จากป ฮ.ศ. ๒๖๐ ไปจนถงึ ฮ.ศ. ๓๒๙ ขณะเดียวกัน ผรู กั ษาเอกสาร อาลกั ษณและผทู ่ีไดมโี อกาสเยย่ี มเยียนทานก็ไดกลาวถึง รายละเอียดเก่ียวกับอิมามมะฮด ี โดยเฉพาะไวในตาํ ราของพวกเขา นบั จํานวนมากกวา รอยเลม ไมใ ชช อี ะฮพ วกเดียวเทา น้นั ที่ยดึ หลักศรทั ธาขอ น้ี (หลกั ศรทั ธาทว่ี า ดวยการเกิดของอมา มะฮด ี มนุ ตะซ็อร) แตย งั มีกลุมนักปราชญผ ูอาวโุ สของอะฮลซิ ซุนนะฮอ ีกจํานวนหนง่ึ ท่ียอมรบั อยา ง สอดคลองกับพวกเขาเหลา นนั้ โดยไดแถลงไวอยา งเปดเผยเก่ยี วกับการเกดิ ของอมิ ามะฮด ใี นปนัน้ จาํ นวนของผทู ่ีแถลงอยา งเปด เผยเกย่ี วกบั การเกดิ ของทา นมีมากกวา หนึ่งรอยคนทเี่ ปน นักปราชญ นกั เขียนผมู คี วามสามารถ เราพรอมเสมอท่ีจะแสดงรายชอื่ ของคนเหลา น้ันตลอดถงึ หนงั สอื ตางๆ ไดอ ยางละเอยี ด ในเมอื่ ถอื เอาการยอมรับรวมกนั ของบรรดานักปราชญท ้งั ซุนนะฮและชีอะฮมี พจิ ารณาแลว ก็สามารถตัดสนิ แกนักเขียนผกู เุ ร่ืองเทจ็ คนนีไ้ ดเ ลยวา เปน คนหลอกลวงอิสลามและ บรรดามสุ ลมิ (๑) หนังสอื ชีอะฮแ ละอะฮลลุ บัยต หนา ๒๙๔ และโปรดยอ นไปดูหนา ๒๔๔ ดวย
เรอ่ื งน้ี และเร่ืองทีว่ า ดว ยการปรากฏตัวของอิมาม มะฮด ีทม่ี ีรายงานจากสายสบื ท่สี อดคลอง ตรงกันเปนเอกฉนั ททั้งในตําราฮาดีษและมสุ นัดตางๆ นน้ั เลากไ็ มอาจมใี ครปฏิเสธไดอ กี หลงั จากที่ ยอมรบั ในเร่งื อแบบฉบับตางๆ ของทา นนบีทถ่ี กู รายงานไวในตําราเหลาน้ี ถงึ แมวา จะมกี ารขัดแยง กนั บางในเรื่องการเกิดของทาน นกั เขียนคนนี้รีบดว นสรุปอะไรๆ เรว็ เกนิ ไป เขาจงึ โงเขลาในทกุ สิ่งทุกอยา งแมก ระทัง่ ใน กรณที เ่ี ขาเหน็ วา ตวั เองเปน อาจารย เปนนักเขียนยอดเย่ียมในเร่ืองน้ันแลว กด็ ี ทา นก็เห็นแลววา เขาไดต ั้งขอกลาวหาท่เี ปนเท็จแกประชาชาติอสิ ลามทย่ี ง่ิ ใหญเ พราะมี รายงานฮาดษี ทคี่ ดั คาน กบั สิ่งเหลา นั้นในตําราของพวกเขา ถาพิจารณากันโดยมาตรการแหง ความเปนธรรมกันแลว จะถอื วา มนั เปน เรื่องท่ถี ูกตองหรอื ทีใ่ ครสักคนหนึง่ จะกลา วหาคนกลมุ ใหญทีเ่ ปน มสุ ลมิ วาผดิ พลาด(โมฆะ) ดวย หลักฐานรายงาน แสดงไวอยา งน้ันในตําราของพวกเขาโดยไมมกี ารวิเคราะหถงึ สายสบื ตัวบทหรอื การอถาธบิ าย เกย่ี วกบั เร่อื งที่เขาไดค ดั คา นมัน ถา การกระทาํ เชน นน้ั เปนเร่ืองท่ถี ูกตอ ง (ความจรงิ แลว ไมถูกตองอยางเดด็ ขาด) แนนอน มนั ก็ยอมเปนการกระทาํ ที่ถกู ตอ งสําหรับเราที่จะโจมตอี ะฮล ซิ ซนุ นะฮดวยการตง้ั ขอ หาวา มีการพลิก แพลงรายงานฮาดีษตา งๆ ทแี่ สดงไวในเร่ืองน้ี ในตาํ ราของพวกเขา และเพียงอา งหลกั ฐานเรือ่ งนไี้ ป ยงั ขอ เขยี นของทา นกรุ ฏบีในหนังสือตัฟซรี ของ ทา นก็พอแลว ในตอนทอ่ี ธบิ ายซเู ราะฮอัล-บะเกาะ เราะฮวา มโี องการวา ดว ยการขวา ง (อายะตรุ รอ็ จม ความวา “ชายสงู อายแุ ละหญงิ สูงอายุนั้น ถาทั้ง สองลว งประเวณกี นั ก็จงขวา งเขาทงั้ สองเปนการตอบแทนจากอัลลอฮและอัลลอฮ คือผทู รง อานุภาพ ผูทรงปรชี าญาน” ผกู ลวถึงเรื่องนี้คอื อะบูบักรอนั บารี รายงานมาจาก อบุ ยั บิน กะอับ (๑) ถา การอุทธรณต ออะกีดะฮ (หลกั ศรัทธา) ของคนพวกหนงึ่ ดว ยรายงานฮาดษี บทหน่ึง ถกู ตองมันก็ยอมจะถกู ตอ งดวยสาํ หรบั การอทุ ธรณโดยรายงานบทน้ีและอืน่ ๆ ทม่ี มี ากมายใน หนงั สือตางๆ ทง้ั ฮาดีษและตฟั ซรี วามกี ารพลกิ แพลงกันในหมูอะฮล ิซซุนนะอ เปลา เลย เรามใิ ชบ รรดานกั เขียนรับจา งเหลนั้นที่ขายปรดลกของตนไปเพ่ือความสขุ บนโลก นี้ของคนอน่ื และการกลา วอยา งน้กี ็มไิ ดห มายความวา เราจะถอื เอาหลักฐานตา งๆ เหลา นน้ั มาเปนขอ ยนื ยันวาอะฮล ซิ ซุนนะฮมกี ารพลิกแพลงยง่ิ ไปกวานั้นเราก็ยกใหเ รอ่ื งทั้งหมดท่ีพวกเขากลา วไป เชน น้ัน เปนเรื่งอของลมปากและไมมีสาระใดๆ ท่ีสําคญั เลยสําหรับคาํ พูดพวกเขา มนั มใิ ชเ ร่อื งทจ่ี ะซอ นเรนผูอานไดหรอกวา สว นมากของหนงั สอื ประเภทนลี้ วนเรียบเรยี ง มาจากวิชาการของเพวกวะฮาบยี แ ละความชว ยเหลือทางการเงนิ ของพวกเขาตลอดจนการจดั พมิ พ และแจกจายฟรี เพ่ือผดุงไวซ ่ึงอาํ นาจของพวกขไวทม่ี ันไมส ามารถดํารงอยูไดนอกจากตองอาศยั วิธีการโจมตีของมสุ ลมิ ทีม่ ตี อกันและกัน โดยเหตผุ ลที่วา สว นมากในหนงั สือเหลา นีห้ รือท้ังหมดนน้ั จะตอ งโจมตีชีอะฮ อมิ ามียะฮ วา เปนพวกภาคี (มชุ รกิ ) ในการเคารพภักดตี อ อัลลอฮ และยกเอาบรรดาอิมามขนึ้ เปน พระเจา โดยถอื
วา พวกเขาเองมคี วามลกึ ซ้ึงในเร่ืองหลักเอกภาพของอลั ลอฮ (เตาฮดี ) เหนอื กวามุสลิมท้งั หลาย เราจึง พยายามใหความหมายของเรอื่ งหลักเอกภาพ (เตาฮดี ) และเรื่องการตัง้ ภาคี (ชริ ก) ในหนังสือเลม น้ี และเราจะพยายามแกปญ หาอันนี้ซงึ่ คนกลุมดงั กลาว ไดส ับสนกันอยูนานนบั สองศตวรรษครง่ึ เพื่อ จะเปน ประโยชนแกบ รรดามุสลิม และแกบ รรดาบุคคลผูทไี่ ดร บั ผลกระทบจากแนวความคิดอนั นี้ เราจะไมขอรางวัลใดๆ เลยเวน แตก ารปรับปรุงท่ีดีงามอยางเตม็ ความสามารถ แนน อน อัลลอฮทรง อยเู บ้อื งหลงั ความสาํ เรจ็ ๒๘ ชะอบ าน ๑๔๐๕
หมวดวาดว ยเรอ่ื งหลักเอกภาพ (เตาฮดี ) หลักเอกภาพ (เตาฮีด) พ้ืนฐานแหงงานเผยแพรของ บรรดานบี หลักเอกภาพ (เตาฮดี ) และการปฏิเสธเรอ่ื งต้ังภาคี (ซริ ก) นั้น นบั เปนเร่อื งทส่ี าํ คญั ทีส่ ุดใน บรรดาหลักศรัทธาวา ดว ยเรื่องตา งๆ ซ่งึ ทาํ ใหเกิดความเขา ใจและความรใู นดานตา งๆ เก่ยี วกบั พระผู เปน เจา อยา งถูกตอง และไดถกู จัดวาเปนพ้นื ฐานของความรูและความเขาใจเกี่ยวกบั พระผูเ ปน เจา ผู ทรงสงู สุด ซึง่ บรรดานบีและศาสนทตู ของอลั ลอฮไดนาํ มาส่งั สอนตามที่มีปรากฏอยูใ นคมั ภรี ต างๆ ท่พี วกเขาไดร ับมา เรือ่ งของหลกั เอกภาพ (เตาฮดี ) และการตั้งภาคี (ชิรก ) ก็ยังเปนเรือ่ งท่ีมุสลมิ ทงั้ มวลมีความ เชอ่ื ถอื ตรงกันโดยมิไดม ีใครขัดแยงกันในเรอื่ งนีเ้ ลยแมแ ตค นเดียว กลา วคือนับจากบรรพชนของ พวกเขามา ก็เชื่อในความเปน หนง่ึ ของอัลลอฮมาโดยตลอด ไมว า จะเปน ในแงของสภาวะการดาํ รง อยู, พฤตกิ รรมและการเคารพภักดี (อิบาดะฮ) ในทศั นะของพวกเขาทั้งหมดถอื วา อัลลอฮ ผูทรงความบรสิ ทุ ธยิ์ ิ่งนั้นเปนเอกะในสภาวะ การดาํ รงอยู พระองคไมมภี าคี ไมมผี ใู ดเสมอเหมอื น ขณะเดยี วกนั พระองคคอื ผูท รงใหบงั เกิด ทรง สําแดงพฤตกิ รรมอยา งแทจ รงิ และเปน ผสู รางที่แทจ รงิ ในทกุ ๆ สิ่งท่เี ราเรยี กวา ผูส ราง ผกู ระทาํ กลา วคอื ถึงแมว า จะมผี กู ระทาํ หรอื ผูส รา งนน้ั ๆ แตก เ็ ปน เพียงวาเขาไดกระทําและไดส รางไปตาม อํานาจและเจตนารมณของผูพระองค ผูทรงสงู สดุ ขณะเดยี วกัน พระองคค อื ผูไดรับการเคารพภักดแี ตเพียงผเู ดียว ไมมีผูไดร บั การเคารพภกั ดี อ่นื ใดนอกเหนอื จากพระองคอกี และการเคารพภักดี (อิบาดะฮ) น้ัน ไมเปนท่ีอนุมตั ิใหแ กผูอ น่ื นอกเหนือจากพระองคอยงเด็ดขาด ทุกอยางเหลานี้ ลว นเปน สิง่ ที่ไดร บั มาจากคาํ สอนของคัมภรี อัล- กรุ อาน แบบฉบับ (ซุนนะฮ) ของทา นนบี, เหตผุ ลโดยสติปญญา (อักล) และมติโดยสวนรวม (อลั -อิ มาอ) ของบรรดานักปราชญ ดว ยเหตุผลดงั กลาวนี้ กับกรณที ี่วาหลักเอกภาพ (เตาฮดี ) มหี มวดอธบิ ายทบ่ี รรดา นักปราชญของอิสลามไดใ หรายละเอยี ดเอาไวในตาํ ราเชงิ วชิ าการและหลกั การศรัทธาเอาไวแลว เรา จงึ นาํ มาอธบิ ายในทีน่ ี้พอเปนสงั เขป และเราจะนําเอารายละเอียดในสวนตางๆ ทุกๆ แงเ หลา นั้นมา ประกอบกับหลักฐานท่ียนื ยันไวจ ากอลั -กุรอาน นอกจากนเ้ี รายังไดร วบรวมเอาคาํ อธบิ ายเกีย่ วกบั “หลักเอกภาพในการเคารถภกั ดี” ซ่งึ เปน เครอื่ งมอื สําหรบั คนบางกลมุ อยุ เราจะกลา วถงึ เรื่องหลกั เอกภาพโดยอธบิ ายเปน หมวดๆ ดงั นี้ คอื :
๑- หลักเอกภาพในสภาวะการดํารงอยู หมายความวา พระองคผทู รงความบรสิ ทุ ธิย์ ิ่งนั้น ทรงเอกะ ไมมีภาคใี ดๆ สาํ หรับพระองค บคุ คลใดก็ตามไมเสมอเหมอื นพระองค ย่ิงไปกวา น้ัน ไมอาจมใี ครเปน ภาคี และเสมอเหมือนกับ พระองคไ ดอีกดวย โองการของพระองค ผูท รงความบรสิ ทุ ธิ์ย่งิ ไดย ืนยันในเรื่องนี้ ประกอบหลกั ฐานทาง สตปิ ญญาไววา “ผูทรงเนรมิตชัน้ ฟา ทัง้ หลายแผน ดิน พระองคไดทรงบันดาลจากตวั ของสเู จาใหเปน คคู รอง ของสเู จา และ (ทรงบนั ดาล) จากสัตวทั้งหลายใหเปน คๆู พระองคท รงใหสเู จา สบื เผา พันธุกันในน้ัน ไมมีส่ิงใดเสมอเหมอื นพระองค และพระองคคอื ผทู รงไดยิน ผทู รงมองเหน็ ” (อชั ชรู อ-๑๑) “จงกลา วเถิด พระองคค อื อัลลอฮ ผูทรงเอกะ อลั ลอฮทรงเปน ท่พี ง่ึ พระองคมิไดประสตู ใิ คร และพระองคม ไิ ดถูกประสตู ิ และไมม คี ูเ คยี งใดๆ เลย สาํ หรับพระองค” (อลั -อคิ ลาศ-๑-) “พระองคคืออัลลอฮ ผทู รงเปนหนง่ึ แหง อํานาจ” (อัซซุมรั -4) และพระองคค ือ ผทู รงเอกะแหงอํานาจ” (อรั เราะอด ุ-) นอกจากนีก้ ็ยงั มอี กี หลายโองการท่ียนื ยันวา พระองคผูทรงสงู สดุ นั้น ทรงเอกะไมมีภาคี และผูเสมอเหมือนกบั พระองค พระองคไ มมคี ูและไมม หี ุนสวน สวนหลักฐานทางสติปญญาในเรือ่ งน้ี และขอลบลา งความเชื่อเก่ียวกบั “ทวภิ าค” และ “ไตรภาค”ี วา เปน โมฆะนั้น เปน เร่ืองท่ีตอ งศกึ ษากนั ในตาํ ราตา งๆ ท่เี ขยี นถึงเรอ่ื งนี้ (1) 2- หลักเอกภาพในความเปนผทู รงสรา ง หมายความวา ในสภาวะของการดาํ รงอยทู ่แี ทจ ริงของผสู รา งน้ัน ไมมีใครอกี แลว นอก จากอัลลอฮ และไมม ผี ูสาํ แดงพฤติกรรมใดๆ อยา งอิสระนอกเหนือจากพระองคผทู รงบริสุทธ์ิ และ ทกุ สงิ่ ทุกอยางในจักรวาล นบั จากดวงดาวตางๆ แผนดนิ ภูเขา ทะเล แรธ าตุตา งๆ กอนเมฆ ฟา รอง ฟาล่นั ฟาผา พืชพันธุ ตน ไม มนษุ ยและสัตวต า งๆ รวมทงั้ มะลาอกิ ะฮแ ละญนิ และทกุ สิ่งท่เี รยี กมัน ไดวาคอื ผูก ระทาํ และตน เหตุนนั้ ท่ีแทค ือ สภาวะการดาํ รงอยูต างๆ ที่ไมมีอสิ ระในการกระทําโดย แท และทกุ ส่ิงทกุ อยางที่ถกู อางวา เปน ตนเหตุ ก็มิไดเปนเหตทุ ี่แทจรงิ โดยอิสระแตอ ยางใดเลย อัน ทจ่ี ริงเปนเพยี งแตวา ปรากฏการณท่ีเกดิ ขึ้นโดยตนเหตุตางๆ เหลานไี้ ปส้ินสุดยตุ ลิ งทอ่ี ัลลอฮ ผูทรง ความบริสทุ ธิ์ ดังน้ันตน เหตุและผลลัพธต างๆ เหลานที้ ัง้ หมด แมจะมีสวนในความสมั พันธซ ่งึ กนั . (1) รายละเอียดเกย่ี วกับหลักเอกภาพในแงน ้มี ีเรยี บเรียงไวในหนังสือ “มะฟาฮมี อลั -กรุ อาน”
และกนั มนั กค็ ือสรรพส่ิงทถี่ ูกสรางมาโดยอลั ลอฮ(มัดลูก) พระองคคอื ทีย่ ุติสูงสดุ พระองคค อื จุดเร่ิมตนแหงสาเหตุ พระองคคื ือผูทรงบันดาลใหก ับส่ิงตา งๆ และถา พระองคป ระสงคก็ยอมใหส่ิง ตางๆ พลาดพนไปจากเหตทุ ่ีจะทําใหมนั เกิดได โองการของพระองคผ ทู รงความบริสทุ ธ์ไิ ดยนื ยันเรอื่ งนี้ สนบั สนุนเหตุผลทางสติปญ ญา ดงั นี้ : “จงกลา วเถดิ อัลลอฮคอื ผูสรา งทุกสรรพส่ิง และพระองคค ือผทู รงเอกะแหงอาํ นาจ” (อัรเราะอด -ุ ๑๖) “อลั ลอฮคอื ผูสรางทุกสรรพส่ิงและทรงเปน ผูค รอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง” (อัซซมุ ัร-๖๒) “น่ันแหละ อัลลอฮพระผอู ภิบาลของสเู จา ผสู รางสรรพส่ิง ไมมพี ระเจา อืน่ ใดนอกจาก พระองค” (อัลมุอมิน-๖๒) “น่นั แหละ อลั ลอฮพระผอู ภิบาลของสเู จา ไมมีพระเจาอน่ื ใดนอกจากพระองคผ สู รา งทกุ ๆ สรรพส่งิ ดงั นั้นสูเจา จงเคารพภักดีพระองค. ..” (อลั อันอาม-๑๐๒) “พระองคค อื อัลลอฮ ผสู รา ง ผบู รสิ ุทธิ์ ผทู รงกาํ หนดรปู แบบ พระนามอนั ดเี ลศิ เปนของ พระองค” (อลั หะชรั -๒๔) “พระองคจ ะทรงมบี ุตรไดไ ฉนขณะทพี่ ระองคไมม มี เหสี และไดส รางทกุ สรรพสงิ่ ” (อลั อันอาม-๑๐๑) “มนุษยท ้งั หลายเอย จงรําลึกถงึ ความโปรดปรานของอัลลอฮเหนือสูเจา ยงั มีผูส รางอนื่ นอกเหนอื จากอลั ลอฮกระนั้นหรือ...” (ฟาฎิร-๓) “จงรเู ถิดวา งานสรางและการบัญชานั้นเปน ของพระองค อลั ลอฮ ผูท รงจาํ เรญิ พระผูอภบิ าล แหง สากลดลก” (อัลอะรอฟ-๕๔)
3- หลกั เอกภาพในฐานะผทู รงอภบิ าลและบรหิ าร (๑) หมายความวา สําหรบั จกั รวาลน้ันมผี บู ริหารองคเดยี ว และเปน ผูจ ัดการในกิจการบรหิ ารแต เพยี งผูเดียวไมมภี าคใี ดๆ กลาวคือพระองคเ ปนผูทรงบริหารโลกและแทจ รงิ งานบรหิ ารของมะลาอิ กะฮต ลอดจนถงึ สง่ิ ทั้งหลายท่ีเปนตน เหตุของกนั และกันนั้น เปนเพียงกิจการของพระองคผูท รง บรสิ ทุ ธ์ิ ความเชอื่ อยางน้ีผดิ กันกับทศั นะของพวกตัง้ ภาคี (มชุ ริก) บางกลุมที่เชือ่ มั่นวาสิ่งที่เก่ยี วขอ ง กบั อลั ลอฮน้ันมีแตเพียงการสราง การวางแนว และการรเิ ร่มิ เทานน้ั สวนการบรหิ ารสรรพสง่ิ และ เสถียรภาพตา งๆ แหง ผืนแผน ดินนัน้ ไดถ ูกมอบหมายใหเ ปน เรือ่ งของพระพรมเบอ้ื งบน มะลาอิก ระฮ ญนิ และสรรพวญิ ญาณที่มอี ยูซง่ึ สาํ แดงออกมาทางรูปปน สําหรับบูชา และพระองคไ มมีสวน ใดๆ เขา ไปเหยี่ วขอ งในการบรหิ ารจกั รวาลกิจการและการจัดระเบยี บงานสรางสรรคข องพระองค เลย อัล-กรุ อานอันทรงเกยี รติไดทรงระบุไวอ ยางเปดเผยทสี่ ุดวา อลั ลอฮคือผูทรงบริหารของ โลก และปฏเิ สธการบิรหารโดยอิสระของสิง่ ใดๆ นอกเหนือจากผทู รงบริสทุ ธ์ิ คือหมายความวา ถา จะมผี บู ริหารอน่ื ๆ อยู ก็หมายความแตเพียงวา เขาไดบรหิ ารไปตามบัญชาของพระองค มโี องการวา “แทจ รงิ พระผูอภบิ าลของสูเจาคอื อลั ลอฮ ซงึ่ สรางชัน้ ฟา ทงั้ หลายและแผน ดนิ ในหกวนั ตอ มาทรงหวลไปสูบัลลงั คท รงบรหิ ารกจิ การไมม ผี ูช ว ยเหลอื ใดๆ นอกจากโดยอนมุ ตั ิของพระองค นั่นแหละ อลั ลอฮ พระผอู ภิบาลของสูเจา ดังน้ันจงเคารพและภกั ดีพระองค แลว สูเจา มไิ ดร าํ ลึกดอก หรือ” (ยูนุส-3) “อัลลอฮไดยกช้ันฟา ทงั้ หลายโดยไมม ีเสาใหสูเจาไดเ ห็นมนั แลว พระองคหวลสบู ัลลังคแ ละ ทรงบริหารดวงอาทติ ยและดวงจนั ทร ทกุ อยางลว นดําเนนิ ไปกบั กาลเวลาทแ่ี นน อนทรงบรหิ าร กจิ การ ทรงสาธยายสญั ญาณตางๆ เพ่ือสูเจา ม่นั ใจในการพบพระผูอ ภิบาลของสูเจา ” (อรั เราะหด-ุ ๒) ดงั น้ัน เมอ่ื พระองคเ ปน ผบู ริหารองคเ ดยี วแลว กเ็ ปนไปตามความหมายในโองการของ พระองค ผทู รงบริสุทธท์ิ ่ีวา (1) นกั เขียนสายวะฮาบยี ไดอธบิ าย “หลักเอกภาพในความเปน ผูสราง” ไปในแงของ “หลกั เอกภาพ แหงความเปนผอู ภิบาล” ท้ังๆ ทป่ี ระเดน็ ท่ีสองกบั ประเด็นที่หนึง่ มใิ ชเ ปนประเดน็ เดียวกัน กลา วคอื ประเด็นที่สองหมายถึง เร่ืองราวของการบริหารการจัดระบบ สวนประเดน็ ที่หน่งึ หมายถึง เรอ่ื งราว ของการสรางและบนั ดาลใหมแี ละปรากฏวา พวกตั้งภาคีมีความเช่อื ในเอกภาพของประเด็นทีห่ นึ่ง คือ หลักเอกภาพในความเปน ผูส ราง แตม ีบางสว นที่ตั้งภาคีในประเดน็ ทสี่ อง คือ หลักเอกภาพใน ความเปนผบู ริหารและจัดระบบ
“แลวบรรดาผูบรหิ ารซงึ่ กจิ การ” (อนั นาซอิ าต-๕) “แลพระองคค ือ ผูท รงอํานาจเหนือบา วของพระองคแ ละสง ผูพทิ ักษใ หแกสูเจา ” (อัลอันอาม-๖๑) บรรดาผูบรหิ ารตา งๆ นน้ั ขึ้นอยูกบั บัญชาและเจตนารมณข องพระองคจ งึ ปฏิเสธไมไ ด กบั ทีว่ า สง่ิ เหลาน้ีลวนเปน งานบรหิ ารโดยอิสระแหง อัลลอฮ ผทู รงความบรสิ ทุ ธ์ิ ผทู มี่ ีความรูในเร่ืองราวของอลั -กุรอานไดต ระหนักวา พระองคไดทรงอางวา กิจการตา งๆ สวนมากนนั้ เปนเร่ืองของพระองคใ นขณะเดียวกนั ในอีกสภาพการณหนึ่งก็ทรงอา งวา เปน เรอื่ งของ ส่งิ อืน่ นอกเหนอื จากพระองค สิ่งเหลาน้มี ิไดหมายความวา จะขัดแยงกันหรอื คัดคานในระหวางการ ปฏเิ สธอยา งนน้ั กับการยนื ยันอยา งนี้ไม เพราะวา ในสภาวะการดํารงอยขู องพระองคน้ัน พระองค ทรงมีไวซ ง่ึ ความอสิ ระ และในกิจการอันนมี้ ไิ ดป ฏิเสธสิ่งอ่ืนในการมสี ว นรวม โดยเหตผุ ลท่วี าเปน ผูสําแดงกจิ การของพระองคผูทรงความบรสิ ทุ ธิ์และเปนผูรับสนองเจตนารมณ ของพระองค เพื่อที่จะใหความกระจา งเก่ียวกบั ความเขา ใจในสวนนี้ เราจะขอยกตวั อยางมาเสนอดงั น้ี : ๑- ในอัล-กุรอานบางโองการ ไดระบุวา การดึงวญิ ญาณของผูตายนั้นเปน การกะรทํา ของอัลลอฮ และไดเปดเผยอยางชัดเจนวา อัลลอฮคอื ผทู รงเก็บชวี ิตในเม่อื ชีวิตนั้นตาย ดังมโี องการ วา “อลั ลอฮ ทรงเกบ็ ชวี ิตทัง้ หลาย เมอื่ มกี ารตายของมนั ...” (อัซซุรมัร-๔๒) ขณะเดียวกนั ในอกี แหงหนึ่งพระองคก ท็ รงอางวา การเกบ็ ชีวิตนั้นเปนหนา ท่ขี องผูอ น่ื ดังนี้ “จนกระทง่ั ในเม่อื ความตายไดม าถึงคนใดคนหนง่ึ ในหมูสูเจา แลว บรรดาทตู ของเราก็ได เกบ็ ชวี ิตของเขา” (อลั อันอาม-๖๑) ๒- ในซูเราะฮ อัลฟาติมะห อลั -กรุ อานไดส่ังใหข อความชวยเหลือกบั อัลลอฮองคเดียว โดย มโี องการวา : “และเฉพาะกบั พระองคเทา นนั้ ทเี่ ราขอความชว ยเหลือ” ในขณะที่เราไดพบวาอกี ในโองการหนึ่งพระองคไ ดสัง่ ใหข อความชวยเหลอื กบั ความ อดทนและกับการนมาซ โดยมีโองการวา : “และสเู จา จงขอความชว ยเหลอื กับความอดทนและกบั การนมาซ” (อลั บะเกาะเราฮ- ๔๕)
๓- อัล-กุรอานถือวา การอนุเคราะหค วามชว ยเหลอื (ชะฟาอะฮ) นั้นเปนสทิ ธิพิเศา ของอลั ลอฮแตผูเดียว โดยกลาววา : “จงกลา วเถดิ สาํ หรบั อลั ลอฮนน้ั คือการอนุเคราะหค วามชว ยเหลือท้ังมวล” (อัซซุมรั -44) ในขณะท่ีโองการอ่ืนเปด เผยแกเราวาผใู หก ารอนเุ คราะหชว ยเหลือนั้น นอกเหนือ จากอลั ลอฮแลวยังมอี กี เชน มะลาอกิ ะฮ เปน ตน : “แลว มีมะลักตงั้ เทาไหรใ นช้ันฟา ทง้ั หลายซงึ่ การอนเุ คราะหชว ยเหลือของพวกเขาไมอาจ ใชไ ดกับส่งิ ใดๆ นอกจากภายหลังจากท่ีอลั ลอฮทรงอนุมัต”ิ (อันนัจม-26) 4- อลั -กรุ อานถอื วาความรอบรใู นสิง่ เรน ลับและวชิ าการนัน้ ถูกจํากัดอยู ณ อลั ลอฮ โดย พระองคต รสั วา : “จงกลาวเถิดผทู ีอ่ ยใู นชั้นฟาทง้ั หลายและแผนดินนั้น ไมรใู นส่ิงเรน ลับนอกจากอลั ลอฮ” ในขณะทีอ่ ัล-กรุ อานอันทรงเกยี รติไดกลา วไวในโองการหน่ึงวา อลั ลอฮทรงเลือกบาวของ พระองคบางคนไวสาํ หรบั ใหพ วกเขาเขาใจตอสง่ิ เรนลบั โดยกลา ววา : “และมิใชว า อลั ลอฮจะใหส ูเจาเขาใจตอสง่ิ เรนลับ แตอ ลั ลอฮทรงคัดเลือกจากบรรดาศาสน ทูตของพระองคท ่ที รงประสงค (อาลิ อิมรอน-๑๗๙) ๕- อัล-กุรอานไดอางถงึ ทา นนบีอบิ รอฮีม (ความสันติสุขพงึ มแี ดท าน) ที่กลา ววา อัลลอฮได ทําใหทา นหายเมอ่ื ทานปว ย โดยกลา ววา : “และเม่ือฉนั ปว ย พระองคก็ทําใหฉ ันหาย” (อัชชอุ ร ออ-๘๐) หลักฐานจากโองการนีก้ ็คอื วาอาํ นาจในการทําใหหายปวยน้ันอยทู อี่ ัลลอฮในขณะเดยี วกนั อลั ลอฮก็ กลา วถึงอัลกรุ อานและผ้งึ วา ในสิ่งท้งั สองนั้นเปนยาบาํ บดั โรคอีกดวย โดยมีโองการวา : “ในน้ันเปน สง่ิ บําบัดโรคสําหรับมนุษย” (อันนะฮัล-๖๙) “และเราไดประทานจากอัล-กุรอานซ่งึ สงิ่ ทีเปนยาบาํ บดั โรค” (อลั -อซั รออ- ๘๒)
6- ในทัศนะของอัล-กรุ อานถือวา อัลลอฮ ผทู รงสูงสุดองคเดยี วเทานั้นทที่ รงเปน ผูประทาน ปจ จัยยังชพี โดยกลา ววา : “แทอัลลอฮ คือผปู ระทานปจ จยั ยังชพี ผทู รงพลานภุ าพ อันเขม แข็งยิง่ ” (อซั ซารยิ าต-๕๘) ขณะเดียวกันเราก็พบวาอลั -กรุ อานไดสงั่ แกผ ูมอี ันจะกนิ และมีฐานะดีวา ใหเลยี้ งตนทีต่ กต่ํา และบรรดาผูอ อนแอกวาวา : “และสเู จา จงเลยี้ งดู (ใหริซกี) แกพวกเขาและจงใหเ ครื่องนงุ หมแกพวกเขา” (อันนซิ าอ-๕) ๗- ตามทัศนะของอลั -กรุ อานถือวา ผเู พาะปลูกท่ีแทจรงิ คอื อลั ลอฮ ดงั ทไี่ ดกลาววา : “สูเจาไดเ หน็ สง่ิ ทีส่ ูเจา ไถหวานแลวหรือไม สูเจา ไดเ พาะปลกู มันหรอื วาเราเปน ผูเพาะปลูก” (อลั -วา กิอะฮ- ๖๓-๖๔) ในขณะเดียวกันอลั -กรุ อาน อนั ทรงเกียรติไดใ หความหมายไวในโองการอืน่ อีกวาผหู วา น ไถนน่ั แหละทีเ่ ปนผูเ พาะปลูก โดยกลาววา : “สรา งความชนื่ ชมแกผ เู พาะปลกู ทีท่ รงทาํ ใหพ วกปฏิเสธแคนเคืองพวกเขา” (อลั -ฟตห-29) ๘- แทจ รงิ อลั ลอฮคอื ผูจดบันทกึ การงานของปวงบา ว โดยมโี องการวา : “แทจ ริงอัลลอฮทรงจดบันทึกส่ิงท่ีพวกเขาวางแผนลบั ยามคา่ํ ” (อนั นิซาอ-๘๑) ในขณะเดียวกันอลั -กุรอานก็ถอื วามะลาอิกะฮ เปนผถู ูกส่ังใหจดบนั ทึกการงานของปวง บาว ในโองการอื่น โดยกลา ววา : “แนน อน และทูตของเราบนั ทึกเรอ่ื งของพวกเขา” (อซั ซคุ รฟุ -80) ๙- ในโองการหนง่ึ ไดอ า งวา การประดับการงานใหแกพวกปฏิเสธน้ันเปนเรอ่ื งของพระองค ผทู รงเอาความบรสิ ุทธิ์ โดยกลา ววา : “แทจริงบรรดาผูไมศ รทั ธาตอ วันปรโลกนั้น เราไดประดบั การงานของพวกเขาใหแกพวก เขา” (อันนมั ลุ-๔) ในเวลาเดยี วกนั พระองคกอ็ างวา เปน เรื่องของชัยฏอน :
“และขณะที่ชัยฏอนไดประดับแกพวกเขาซึง่ การงานของพวกเขา และกลา ววา ไมม ใี คร ชนะพวกทา นไดเลยในวนั นี้” (อลั อันฟาล-๔๘) ในอกี โองการหนึง่ พระองคก อ็ า งวา มนั เปน เรือ่ งของอีกฝา ยหนึ่ง โดยกลา ววา : “และเราไดจ ัดมิตรสนิทใหแกพวกเขา และมติ รพวกน้ันก็ประดับส่ิงท่ีมีอยตู อหนาพวกเขา ใหแ กพวกเขา (ในโลกนี)้ (ฟุศศิลตั -๒๕) 10- ในการอธิบายวา อาํ นาจบรหิ ารน้ัน มจี ํากดั อยูท่อี ัลลอฮ เปน เร่ืองทีย่ อมรบั กันอยา งทั่วถึง แมกระท่งั พวกตง้ั ภาคีเองบางคน ในเม่ือถูกถามเกย่ี วกับบรหิ ารก็จะกลาวตอบวา : อัลลอฮดงั ท่ี พระองคทรงตรสั ไวในโองการท่ี ๓๑ จากซเู ราะฮยูนุส วา : “และผูใดบริหารกิจการเลา ดงั นนั้ พวกเขาจะกลาววา อัลลอฮ” ในขณะเดียวกันอัล-กุรอานก็ยอมรบั อยางเปดเผยสาํ หรับโองการอ่ืนๆ เก่ียวกับเรื่อง ผูบ รหิ ารอน่ื ๆ ที่นอกเหนือจากอัลลอฮ โดยกลา ววา : “แลวบรรดาผูบริหารซง่ึ กิจการ” (อันนาซอิ าต-5) ดงั นั้น ในสวนของผทู ีม่ ีความรูอยา งลกึ ซ้งึ ตอคมั ภรี อ ัล-กุรอาน ยอ มตระหนกั ดมี าต้ังแตแรก เลยทีเดยี ววา ความเปน จรงิ ในสิง่ ตา งๆ เหลาน้ี (ความเปน ผูใ หปจจัยยังชีพผบู าํ บดั อาการของโรคให หาย) และอืน่ ๆ นั้น เปน งานท่ีขน้ึ ตรงตอัลลอฮ โดยไมมีภาคีใดๆ ในเรอื่ งนส้ี าํ หรับอัลลอฮเลย กลา วคอื พระองคทรงดําเนินกจิ การเหลา นัน้ ในแงข องมูลฐานทีแ่ ทและอิสระ ในขณะทสี่ ิง่ อ่นื ลวน จําเปน ตอ งพง่ึ พงิ พระองค ในสภาวะการดาํ รงอยแู ละการกระทําของตน ดงั น้ัน สิง่ อื่นๆ ที่ นอกเหนอื จากพระองคตา งกด็ ําเนนิ การตา งๆ เหลา น้ไี ปในแงของ “ผคู ลอยตาม” และอยใู นหวงแหง อาํ นาจของพระผูเปนเจา เพราะวา โลกน้คี ือโลกแหง เหตุและผล ปรากฏการณข องทกุ สง่ิ ลว นสําแดงออกมาจาก แหลง ของมนั โดยเฉพาะ สาํ หรบั ปรากฏการณน ้ันๆ ในโลก อัล-กรุ อานไดอางวา ความเปนไปเหลาน้ี มกี ฎธรรมชาติเปน สาเหตโุ ดยไมคัดคานกับความเปน ผูสรา งของอลั ลอฮในเร่อื งนั้น เพราะเหตวุ า ความเปน ไปท่ีเกดิ ขึ้นโดยสง่ิ ตา งๆ เหลา นี้ คอื การกระทาํ ของอลั ลอฮ ในขณะเดยี วกับทวี่ า ในแง หนึง่ มนั กเ็ ปนการกระทําของสรรพส่ิงตา งๆ ท่ีมีอยู สรปุ ไดวา ความเปน ไปของเรื่องนีท้ ี่เกิดข้นึ โดย กฎธรรมชาตนิ น้ั มันไดแสดงใหเ ห็นถงึ “เหตผุ ลทางธรรมชาต”ิ ในขณะเดยี วกับที่วา ความเปน ไป ของมันทีเ่ กี่ยวกบั อัลลอฮนั้น แสดงใหเห็นในแงข อง “ความสัมพันธระหวา งเหตุแลผล” “อลั -กุรอานไดช้แี จงถงึ ความเปน ไปทง้ั สองแบบนไ้ี วในโองการหนงึ่ ของพระองค ผูทรง ความบริสทุ ธว์ิ า : “ขณะทเี่ จา ขวา งไปนนั้ เจาหาไดข วางไม แตอัลลอฮคือผูขวา ง”
(อลั อันฟาล-๑๗) กลาวคอื ในขณะที่ทา นนบี ผทู รงเกยี รติ ไดข วา งออกไปแลว พระองคไ ดกลาวอยา งเปดเผย วา “ขณะท่เี จา ขวา งไปน้นั ” เราจะพบวา อลั ลอฮทรงถอื วาพระองคคือผูขวา งท่ีแทจ ริง ท่เี ปน เชน น้กี ็ เพราะวา ทา นนบีเพียงแตด าํ เนนิ กิจการไปตามอาํ นาจทอ่ี ลั ลอฮทรงอาํ นวยใหแกทา น เพราะฉะนั้น การกระทาํ ของทานจงึ กเปน การกระทําของอัลลอฮไปดว ย ยิง่ ไปกวา น้นั เรายังกลาวไดอีกวา “การ กระทาํ นน้ั เปน เรื่องของอัลลอฮ (ซึ่งการมีอยขู องบา ว กาํ ลงั และอาํ นาจนน้ั ลวั้ นมาจากอลั ลอฮ) มากกวาท่จี ะถอื วา เปนเรือ่ งของผูเปน บาวจนถือไดวาการกระทาํ นัน้ เปนของอัลลอฮเทา น้นั แต ความเปนไปเหลาน้ี มไิ ดเ ปนเหตใุ หถ อื วา อัลลอฮ เปน ผูรบั ผดิ ชอบตอการกระทําของบาว ถงึ แมวา จรงิ อยู สาํ หรับมูลฐานขัน้ แรกของปรากฏการณนั้นมันสัมพันธกับอัลลอฮและเกิดขน้ึ มาจาก พระองค ในเมือ่ สวนที่ทาํ ใหเหตุเปนจริงข้นึ มาอยา งสมบูรณ คอื เจตนารมณของมนษุ ยแ ละความพึง พอใจของเขาเอง เพราะถา ไมม สี ิง่ นี้ดว วยแลว ปรากฏการณก็จะไมเ กดิ ข้นึ จงึ ถือไดว า เขาคอื ผรู ับผิดชอบตอการกระทาํ นน้ั ๆ ทีเ่ ราไดอธิบายมาทงั้ หมดในบทน้ี เปนการอธิบายถึงมาตรการระหวา งหลักเอกภาพและการ ตั้งภาคีในทัศนะของอัล-กรุ อาน ดว ยเหตนุ ี้เราจงึ ละเวนโดยไมกลาวถงึ หลกั ฐานทางสตปิ ญ ญาที่ เกี่ยวกบั เรือ่ งนี้จากหลกั เอกภาพ อยา งไรก็ดีอลั -กุรอานไดชี้แจงในสองหัวขอ น้ีโดยเสนอหลักฐาน ดงั ท่ีเราจะกลา วเพือ่ ความกระจา งโดยสรปุ ดงั ตอ ไปน้ี : อลั -กรุ อาน ไดแสดงหลักฐานเก่ียวกบั ความเปน เอกะของผูบ ริหารในโลกดวยหลักฐานที่ ชดั เจน คอื มีหลกั ฐานทีช่ ัดเจนอยูสองโองการดังนี้ : “ถา หากในสิ่งทงั้ สองยังมีพระเจา อน่ื นอกเหนอื จากอัลลอฮแลว แนนอนท้ังสองอยางกจ็ ะ เสียหาย ดังนั้นอลั ลอฮพระผูอภบิ าลแหงบัลลงั คทรงบรสิ ทุ ธิย์ ิ่งจากสิ่งท่ีพวกเขากลาวอาง” (อลั อันบยิ าอ- ๒๒) “และไมมีพระเจา อ่นื ใดรวมกบั พระองค (หากสมมตุ ิวา ม)ี แนน อนทีเดียวพระเจาทกุ องค ตองสลายไปกับสงิ่ ที่เขาไดสรา งขน้ั และจะตองมีอาํ นาจเหนือกวากนั และกัน มหาบริสุทธแิ์ ดอ ลั ลอฮ พนจากส่ิงที่พวกเขากลา วไว” (อัล-มุมนิ ุน-๙๑) “ขอใหทานไดพจิ ารณาเก่ยี วกบั ความหมายของหลักฐานทเี่ ดด็ ขาดดงั กลาว : ถาผบู ริหารโลกนม้ี ีจํานวนมากแลว กจ็ ะเปน ดงั ตอไปน้ี ๑- พระเจาทกุ องคท่ีเปน ผบู ริหารโลกก็จะบริหารไปดว ยความอสิ ระของตนกลา วคือทุกองค กจ็ ะทาํ งานไปตามท่ีตนเองตอ งการในโลกอยางไมม ีใครยอมใคร ดังน้ันในลักษณะดังกลา วนก้ี ็จะทาํ ใหง านบรหิ ารมจี ํานวนมากเพราะวา ผบู ริหารมีจาํ นวนมากและมีพลงั ที่แตกตางกัน เม่ือเปน เชนนี้ก็
จะประสบกบั ความเสียหายแกโ ลก และความเปนเอกภาพที่แนนอนกจ็ ะไมมี นีค่ ือลักษณะที่โองการ ของพระองคผ ูทรงความบรสิ ทุ ธิไ์ ดกลาวไววา : “ถา หากในสง่ิ ทัง้ สองยังมีพระเจา อ่ืนนอกเหนอื จากอลั ลอฮแลว แนน อนทัง้ สองอยางกจ็ ะ เสยี หาย ดงั นั้นอัลลอฮพระผอู ภิบาลแหงบลั ลังคท รงความบรสิ ทุ ธย์ิ งิ่ จากสงิ่ ท่พี วกเขากลาวอา ง” ๒- ถา หากพระเจา ทุกองคตา งบริหารสวนของจกั รวาลทต่ี นไดสรา งมันข้ึนมาแลว ก็เทา กับ วา ทกุ ๆ สว นของโลกก็จําเปน จะตอ งมรี ะบระเบียบท่มี ีอสิ ระโดยเฉพาะไมขนึ้ ระบบระเบียบของ สวนอื่นๆ และจะไมม ีสวนเก่ียวขอ งกนั เลย และเทา กับวา ความสัมพนั ธและความเปนเอกภาพของ จักรวาลก็จะตอ งถูกตัดขาดและสูญสลายไป และเม่อื เปนเชน น้ันแลวเรากจ็ ะไมสามารถมองเห็น ระเบียบใดๆ ในจกั รวาลที่ควบคมุ อยา งเดด็ ขาดอยูไ ดเ ลยในทกุ ๆ สวนของจักรวาลตง้ั แตเรอื่ งอานุ ภาคไปถึงปรมาณทู ่เี ลก็ ทสี่ ุด แลว จะเปน ไปตามความหมายของโองการท่สี องดังนี้ : “แนน อนทเี ดียวพระเจาทกุ องคก็จะตองสลายไปกับส่งิ ที่ทรงสรางไว” ๓- หนึง่ ในพระเจา เหลา นก้ี จ็ ะมอี าํ นาจเหนือองคอ ื่นๆ ทเ่ี หลือ และจะเปน ผูปกครองพระเจา เหลานนั้ อีกท้ังรวมเอาความสามารถและการงานของพระเจา เหลา นน้ั มาเปน อันหนึ่งอันเดียวกนั และควบคมุ ใหเ กิดความเปน เอกภาพแกส่ิงเหลา นน้ั และเม่ือเปน เชน นี้ก็เปน อันวา พระเจา ทแี่ ทจ ริงก็ คือผูป กครองดังกลาวน้ีน่นั เอง หาใชพระเจา องคอ่ืนๆ ไม ดงั ความหมายท่ีชี้แจงโดยโองการของพระองคด งั น้ี : “และจะตองมอี าํ นาจเหนือกวา กันและกัน” ดังน้ัน จงึ สรุปไดวา โองการทัง้ สองน้ีไดช้ีแจงไปยงั หลักฐานเดียวกนั ที่มคี วามหมายเดด็ ขาด โดยทแี่ ตละโองการก็อธิบายแยกออกไปเปนการเฉพาะ ๔- หลักเอกภาพในการวางกฏและระเบียบแบบแผน ผูม สี ติปญญายอมไมม ีความสงสัยเลยวา ชวี ิตทางดานสงั คมของมนษุ ยนัน้ จําเปน ที่จะตองมี กฎหมายมาจดั ระบบความเปน ไปของสังคมแหง มนุษยชาตแิ ละนาํ ไปสูความสมบูรณท ถ่ี ูกสราง ใหแ กเ ขา (ทกุ อยา งลวนดาํ เนนิ ไปตามทถี่ กู สรา ง) อยา งไรก็ดี อัล-กุรอานไมย อมรับการวางกฎโดยมนุษยนอกเหนอื จากการวางกฎ โดยอัลลอฮ ผูทรงความบรสิ ทุ ธิ์ และไมม กี ฎหมายอืน่ ใดนอกเหนอื จากกฎหมายของพระองค ดงั นั้น พระองคค ือผูทรงวางกฎแตผ ูเ ดียวท่ีทรงสทิ ธิในการวางระเบยี บแบบแผน นอกเหนอื จากพระองคก ็ คอื ผูท ่จี ะตองดําเนนิ ไปตามกฎหมายของพระผเู ปนเจา และปฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญตั ิของพระองค ในขอ มลู ดงั กลาวน้ี ไดม ีโองการตางๆ ในคมั ภีรอ นั ทรงเกยี รติกลาวถึงไวซ ่งึ เราจะหยิบยก มาเปน ลาํ ดับสักสว นหนงึ่ ดังน้ี :
“สเู จา มิไดเคารพภกั ดีส่ิงที่นอกเหนอื จากพระองคเวน แตบ รรดานามตา งๆ ท่ีสูเจา เรียกขาน มนั ไป ท้งั สูเจาและบรรพบรุ ุษของสูเจา ทัง้ ๆ ท่ีอัลลอฮมไิ ดป ระทานหลักฐานใดๆ ในสิ่งนั้นเลยไป ไมม กี ารตดั สินนอกจากอลั ลอฮ พระองคบัญชาวาพวกทานอยาเคารพภักดีนอกจากพระองค นัน่ เปน ศาสนาแหงคุณธรรม แตส วนมากมนษุ ยไมร ู” (ยซู ุฟ-๔๐) ความหมายท่วี า อาํ นาจแหงการตดั สนิ เปน ของอัลลอฮนั้น หมายถงึ อาํ นาจแหง การวาง บทบญั ญัตเิ ปนเร่อื งของพระองค ดังน้ันความหมายของโองการจึงชใ้ี นประเดน็ ท่ีวา ทุกคนไมม สี ิทธิ ในการทีจ่ ะสง่ั , ยับยงั้ , หาม, อนุญาต เลยนอกจากอัลลอฮ ผูทรงความบรสิ ทุ ธิ์ดวยเหตุนพ้ี ระองคจ ึงมี โองการตรสั ตอ จากนนั้ อกี วรรคหนึง่ คอื : “ไมมีการตดั สินนอกจากอัลลอฮ “พระองคบ ญั ชาวา จงอยา เคารพภกั ดีนอกจากพระองค” ดงั น้ัน ถา มีใครสกั คนถามวา ในเมื่อการออกคาํ ส่งั เปน เร่อื งพระองคโดยตรงแลว อัลลอฮได สัง่ อยา งไรในเร่อื งการเคารพภักดีบาง พระองคก ท็ รงตอบในทันทีวา : “พระองคท รงบัญชาวา อยา เคารพภกั ดีนอกจากเฉพาะพระองค” และทรงกลาววา : “การตัดสินแบบพวกงมงาย (ญาฮลิ ียะฮ) กระน้นั หรอื ท่ีพวกเขาแสวงหากนั และใครเลาทีจ่ ะ ดีกวา อัลลอฮในแงของการตัดสิน สาํ หรบั หมชู นผเู ชื่อมั่น” (อัลมาอิดะฮ- ๕๐) โองการนไี้ ดแบงกฎหมายของการปกครองสําหรับมนษุ ยอ อกเปนสองประเภท คอื การ ตดั สินของพระผเู ปน เจาและการตดั สนิ แบบพวกงมงาย ฉะนัน้ ส่ิงทีเกิดขน้ึ มาจากความคดิ โดยมนุษย ยอ มมิใชเปนของพระผเู ปน เจา กลาวคือมนั เปน กฎของพวกงมงายโดยแท อัลลอฮ ทรงมีโองการอีกวา : “...และผใู ดท่มี ิไดใ ชกฎตามที่อลั ลอฮทรงประทานมา พวกเขากคอื ผูปฏิเสธ” “...และผูใดท่มี ิไดใ ชกฎตามท่อี ลั ลอฮทรงประทานมา พวกเขาก็คอื ผอู ธรรม” “...และผุใดทม่ี ไิ ดใชกฎตามที่อัลลอฮทรงประทานมา พวกเขาก็คอื ผฝู าฝน ” (อัลมาอดิ ะฮ- ๔๔, ๔๕, ๔๗) โองการตางๆ เหลาน้ี ถงึ แมจ ะอธบิ ายวาผปู กครองท่ีใชสิง่ อน่ื นอกจากท่อี ลั ลอฮทรง ประทานมานน้ั มลี ักษณะสามประการ อนั มิใชล ักษณะของผูออกกฎหมายและตราบัญญตั แิ หง มนษุ ยแลว โองการนีก้ ็ยงั แสดงใหเ ห็นถึงความหมายที่วา หา มมใิ หอ อกกฎหมายโดยมิไดรบั การ อนมุ ตั ิจากพระองคดวยเพราะเหตวุ า นโยบายที่ไดม าจากการวางกฎเกณฑืและการออกกฎหมายน้ัน ถือวา ไดถ ูกนํามาเปนเคร่ืองมือในการปกครองและตัดสินกจิ การทั้งปวง มิฉะนน้ั แลว การออก กฎหมายและวางระเบียบแบบแผนใดๆ โดยไมมีผลในการบงั คบั ใช กจ็ ะไมม ีความหมายใดสาํ หรบั ผมู ีสตปิ ญ ญา
สามเงอ่ื นไขดังกลาวนไี้ ดแ สดงใหเ ห็นวาหามมใิ หมกี ารออกกฎหมายและวางระเบยี บเพอื่ การตัดสินทป่ี รากฎวา ในเร่อื งนัน้ ๆ มีบทบัญญัตแิ หง พระผเู ปน เจาวางไวกอนแลว อกี เชน เดียวกัน ท่ี เปน เชนน้กี ็เพอื่ วา ประการทหี่ น่งึ การออกกฎหมาย ประการท่ีสองการตดั สินนั้น เปนสทิ ธิ โดยเฉพาะของอลั ลอฮ ผทู รงความบรสิ ุทธิ์ ซงึ่ ไมม มี นษุ ยคนใดเขา ไปมีสวนดว ยได และเพราะเหตนุ ้ี เองท่พี ระองคทรงกลา ววา ผทู บ่ี ดิ เบอื นระเบียบของพระองคคือผูปฏเิ สธในครั้งหนึง่ และวาเปน ผู อธรรม อกี คร้ังหนง่ึ อีกท้ังยังไดกลา ววา เปน ผฝู าฝน เปนคร้ังทสี าม กลา วคือพวกเขาเปน ผูปฏิเสธก็เพราะวา ขัดแยงกฎบัญญัติแหง พระผูเปนเจา ดว ยการทรยศ ปฏเิ สธ และขดั ขืน พวกเขาเปน ผอู ธรรมก็เพราะวา มอบหมายสิทธใิ นการออกกฎหมายทเี่ ปน ของอัลลอฮ โดยเฉพาะใหแ กผอู นื่ พวกเขาเปนพวกฝา ฝนกเ็ พราะอาศยั พฤติกรรมดังกลาวนอ้ี อกนอกกฎแหง การเช่ือฟงปฏบิ ัติ ตามอัลลอฮ ผทู รงความบริสทุ ธ์ิ สวนในกรณที ี่บรรดานักปราชญแ ละนกั นติ ิศาสตรทางศาสนบัญญัตกิ ระทาํ อันหมายถงึ แบบแผนทุกประการทสี่ ังคมอิสลามมีความตอ งการน้นั เปนเร่ืองท่อี ยูในกรอบของกฎหมายและ การยอมรับโดยพระผเู ปนเจาและหลกั การอิสลามและการกระทําเชน นีไ้ มถือวาเปน การออก กฎหมายหรอื การวางบทบญั ญัติ ๕- หลักเอกภาพในการเชื่อฟง ปฏบิ ตั ิตาม หมายความวา ไมม ีผูใ ดอีกแลว ท่กี ารเช่อื ฟง ปฏบิ ัติ เปน เรอ่ื งท่ีจาํ เปน นอกเหนอื จากอัลลอฮ กลา วคือพระองคแ ตเ พยี งผูเ ดียวที่จาํ เปน จะตองปฏบิ ตั ติ ามและพระองคผเู ดียวทจ่ี ําเปนตอ งไดรบั การ ทําตามคาํ ส่งั สวนกรณขี องการเชื่อฟง ปฏบิ ัติตามผอู ื่น กจ็ ําเปน ตอ งไดรบั อนญุ าตและคาํ สงั่ ของ พระองค มิฉะนนั้ แลวถอื วา เปน เรอื่ งตองหาม มีคา เทา กบั การตง้ั ภาคี (ชริ กื ) ดว ยเหตุน้ี เราจึงไดพบวาอัล-กุรอานเสนอเรอื่ งของการเช่ือฟง ปฏบิ ัติตามใหเปน เรื่อง ของอัลลอฮองคเ ดยี ว โดยเนนถงึ การจาํ กดั วา มนั เปนเรอ่ื งของพระองค ดังมีโองการท่ีวา : “ดงั นั้นจงยําเกรงตออลั ลอฮใหมากเทาทีส่ ูเจา มีความสามารถ และจงรับฟง และจงเชอ่ื ปฏบิ ัตติ าม และจงบรจิ าคสว นทีด่ ีเพอ่ื ตัวของสูเจา” (อัต-ตะฆอบุน-๑๖) ตอมาอัล-กรุ อาน อันทรงเกยี รตกิ ็ไดกลา วอยางเปดเผยวา นบีนั้นมิไดร บั การเชือ่ ฟงปฏิบตั ิ ตาม นอกจากวา โดยอนุมตั ิของอัลลอฮ โดยกลา ววา : “และเรามิไดส ง ศาสนทุตคนใดมานอกจากเพื่อไดร บั การปฏบิ ตั ิตามโดยการอนุมัติ ของอัลลอฮ” (อันนิซาอ- ๖๔)
โดยเหตุน้ีสาํ หรบั ศาสนทตู ทกุ คนนั้น อลั ลอฮไดทรงวางกฎวา ตองเช่อื ฟง ปฏิบัตติ ามทาน ตองดําเนินตามคําสง่ั ตา งๆ ของทาน และตองหยุดยง้ั จากสิ งทีท่ า นหาม เพอ่ื สนองตอบการอนุมตั ิ ของพระองค ดงั นั้นการปฏมิ บัตติ ามทา นนบีแบะอุลลิ อัมร (ผมู ีอํานาจปกครอง) และบิดามารดาตลอดถงึ บุคคลอ่ืนๆ น้ัน เปนเพียงการสนองตอบขออนมุ ัติของพระองคและตามคําสัง่ ของพระองคเทา น้ัน และถาหากวา ไมเ พราะเชนน้ัน ก็จะไมอ นุญาตใหปฏบิ ตั ติ ามพวกเขา ตลอดถึงการดําเนินตามคาํ ส่งั ตางๆ ของพวกเขาเลย ในทน่ี ี้ พอจะสรปุ ไดวา ผพู งึ ไดรับการปฏบิ ตั ิตามโดยแทนั้น ไดแกอ ัลลอฮมหาบริสทุ ธิย์ ิง่ แดพ ระองค สวนผอู ืน่ ที่นอกเหนือจากพระองคนน้ั คือผูพึงไดรับการปฏิบัตติ ามโดยการสนับสนุน และโดยคาํ สง่ั ของพระองค สาํ หรับเรอ่ื งของเหตผุ ลของความจาํ เปน เพาะแหงการเชอื่ ฟงปฏิบัติตาม พระองคนั้น มีรายละเอียดทอี่ ธิบายอยแู ลว ในหนงั สอื วิชาการตา งๆ ๖- หลักเอกภาพในความเปนผูปกครอง ผมู สี ตปิ ญญายอ มตองไมมีความสงสัยเลยวา รฐั บาลน้นั มคี วามจาํ เปนโดยแทใ นการทํา หนาที่รกั ษาระเบียบในสงั คมแหงมนษุ ยชาติ และดํารงไวซ ึง่ อารยธรรม วัฒนธรรมของบา นเมอื ง ตลอดจนใหบุคคลในสังคมมีสวนไดรับสิทธิตามหนาทแ่ี ละความจาํ เปน ในดานตา งๆ ในเม่อื งานของรฐั บาลและความเปน ผปู กครองในสังคมไมอ าจแยกตัวออกจากการบริหาร ในเรื่องของชีวติ และทรัพย ตลอดจนการรักษาและจาํ กัดเสรภี าพในบางคร้งั อีกทง้ั การใชอํานาจใน เรือ่ งดงั กลาวแลว สิ่งเหลา นี้จึงจาํ เปนตอ งอาศัยการยอมรบั ในอํานาจโดยประชาชน หากไมเปน เชนน้ันแลว การบรหิ ารก็จะกลบั กลายเปนวิธีการแบบศตั รูไป โดยเหตุทีว่ ามนุษยท ้งั หมดตางมคี วามเสมอภาคกันในทัศนะของอัลลอฮคนทกุ คนลวนเปน สรรพส่งิ ที่ถูกพระองคส รางมาเหมอื นกนั โดยไมม ีการจาํ แนก ดงั น้ันอํานาจของคนหน่ึงจงึ ไมเหนือ ไปกวา อีกคนหน่งึ แตอ าํ นาจนั้นเปน ของอัลลอฮ ผทู รงเปนเจาที่แทจ รงิ ของมนุษย และจกั รวาล พระองคผทู รงใหการดาํ รงอยูและใชช วี ติ แกเ ขา ดังนน้ั จึงไมเปนสิ่งถูกตองสําหรับคนใดคนหนึ่งท่ี จะมอี าํ นาจเหนอื ปวงบา วนอกจากดวยการอนุมัตจิ ากอัลลอฮเทา นน้ั สาํ หรับบรรดานบี บรรดานกั ปราชญทางศาสนา บรรดาผูศรัทธานั้นเปนผูไดรบั การอนมุ ตั ิ มาจากพระองคผูทรงความบริสุทธใ์ิ นการทจี่ ะใชอ าํ นาจการปกครองในสว นของพระองคและ ดาํ เนนิ กิจการทางดานรัฐแกป ระชาชน กลาวคอื อํานาจรฐั น้นั เปนสทิ ธิของอลั ลอฮ ผูทรงความ บรสิ ทุ ธ์ิโดยเฉพาะ และอาํ นาจคอื สิง่ ทไี่ ดรับการอาํ นวยมาจากอลั ลอฮ พระองคทรงมีโองการวา : “ไมมีการตดั สินใดๆ นอกจากเปนอัลลอฮพระองคทรงบัญชาวา อยา เคารพภกั ดนี อกจาก เฉพาะพระองค น่ันคอื ศาสนาแหงดุลยธรรม แตค นสวนมากไมรู”
(ยูนฟุ -๔๐) “อัล-ทุกม”-การตัดสิน, อํานาจการปกครอง-เปนคาํ ที่มคี วามหมายกวางมากกวาการวางกฎ วางบทบัญญัติ และการออกกฎหมาย คอื รวมทั้งการใชอ าํ นาจและการปกครองอยางเดด็ ขาด พระองคไ ดอธิบายจาํ กัดไวโดยโองการของพระองคว า : “ไมม ีการตัดสินใดๆ นอกจากเปน ของอัลลอฮพระองคทรงจํากดั สทิ ธแิ ละพระองคค ือผู จาํ แนกทด่ี เี ลศิ ” (อัลอันอาม-๕๗) “แนน อนการตัดสนิ นั้นเปนของพระองค และพระองคค อื ผทู รงคํานวณท่รี วดเรว็ ยิง่ ” (อลั อันอาม-๖๒) จรงิ อยู การเจาะจงวา สิทธิแหง ความเปนผปู กครองเปน ของอลั ลอฮน้ันมิไดหมายความวา พระองคด ํารงอยูในฐานะเปนบคุ คลท่ีทําหนา ทีส่ ั่งงาน หากแคห มายความวา ผทู ําหนา ท่ตี วั แทนใน การสัง่ งานในสังคมมนุษยนั้นจําเปน ตองไดรบั การอนุมัตจิ ากพระองคสําหรบั การบรหิ ารงานตา งๆ และดาํ เนินกิจการท้ังในเรือ่ งของชวี ติ และทรัพยสนิ ดว ยเหตุนีเ้ องเราจะเห็นไดพ ระองคไ ดท รงมอบสิทธใิ์ นการจัดตง้ั รัฐบาลปกครองประชาชน ใหแ กน บบี างทาน โดยมีโองการวา : “โอดาวดู แทจรงิ เราไดแตงตง้ั เจา ใหเ ปนผูท ําหนาทป่ี กครองแทน (คอลีฟะฮ) ในหนา แผนดิน ดังน้ันเจา จงตดั สนิ ระหวางมนษุ ยด วยความเปน ธรรม และเจา อยาปฏิบัติตามอารมณเ พราะ มันจะทําใหเ จา หลงจากวถิ ีทางของอลั ลอฮ” (ซูเราะฮ ศอด-๒๖) ดวยเหตุนีเ้ องอาํ นาจรัฐในสังคมแบบอิสลามจึงจาํ เปนทจ่ี ะตอ งไดรบั อนมุ ตั มิ าจากอลั ลอฮ หาไมเ ชน นั้นแลว มนั กจ็ ะเปนการใชอ ํานาจของพวกมารรา ย (ฏอฆูต) ซงึ่ อลั -กุรอานไดป ระนามไว ในหลายโองการ ๗- หลักเอกภาพในเรอ่ื งของการเคารถภกั ดี หมายถงึ การจาํ กัดใหก ารเคารพภักดีเปนของอลั ลอฮ ผทู รงความบริสทุ ธ์แิ ตเพียงผเู ดียว และ นค่ี ือ พน้ื ฐานท่ยี อมรับกันระหวา งบรรดามสุ ลมิ ท้ังมวลโดยไมมกี ารขดั แยงกันเลยนับมาตงั้ แตเ ดมิ และในสมยั นี้ ดงั นั้น มสุ ลิมจะเปน มุสลิมไมไดนอกจากวา จะตอ งยอมรับในพ้ืนฐานดังกลาวน้ี อยางไรก็ดีการยอมรบั กนั ในพ้ืนฐานอนั นี้ มไิ ดมีการยอมรับอยางลงเอยกนั ในบางกรณีซึ่ง เกดิ ปญหาขัดแยงกันในประเด็นทวี่ า มนั เปน การเคารพภกั ดตี อสิง่ อ่นื นอกเหนอื จากอลั ลอฮ ผูทรง ความบรสิ ุทธิ์ หรอื วาเปน เรื่องของการใหเ กยี รตแิ ละการยกยอ ง เทิดเกียรติ หรือแสดงความนับถือ ประเด็นสาํ คญั ทวี่ า การเคารพภกั ดีเปนของอลั ลอฮ โดยเฉพาะไมม ีภาคใี ดๆ ในสิง่ ดงั กลา ว เลยนั้น นบั วาเปน เรอ่ื งท่ีไมมีการขัดแยงกันเปนสองฝาย หากแตในสว นของขอปลกี ยอยท่ีถกเถียง
กนั อยนู ้ัน มอี ยูในสวนทีว่ า งานของคนๆ หน่งึ น้ัน เปน การเคารพภกั ดีตอสิ่งอื่นนอกเหนือจาก อลั ลอฮจนกระทงั่ เปนงานประเภทต้ังภาคไี ปเลย และผูกระทาํ งานนน้ั กเ็ ปนผตู ้ังภาคโี ดยออกนอก กรอบอิสลาม และหลกั เอกภาพไปเลยหรือไม อยางน้เี ปน ตน หรอื วาเขากระทําการใหเกยี รติ แสดง ความนับถอื โดยยังไมเ ขาใจอยใู นขา ยของความอิบาดฮแตอยางใดเลย พ้ืนฐานเหลาน้ี คอื สิ่งทีเ่ ราจะเนนถึงในหนังสือเลมนีโ้ ดยมีการอธิบายและทาํ ความเขา ใจ อยา งแจงแจง เพราะวา พวกวะฮาบียสว นมากมกั จะถือเอง “การตัง้ ภาคใี นการเคารพภักดี” มาเปน ขอหาเพอื่ ยดั เยียดใหบรรดามสุ ลมิ สว นมากเปน ผปู ฏิเสธ และตง้ั ใหค นเหลา น้ันอยใู นฐานะผูตัง้ ภาคี ในการเคารพภกั ดี และเพ่อื ท่จี ะไดม าทาํ ความเขาใจกนั ในหัวขอนี้ เราจะขอกลา วดังนี้ : แนนอนที่สุด พนื้ ฐานทีเ่ ราจาํ เปน ตองทาํ ความเขา ใจกอนเรื่องอ่นื ทงั้ หมดก็คือ การทาํ ความ เขาใจในคาํ จาํ กัดความ “การเคารพภักดี” ในแงของอลั -กุรอานและแบบฉบับ (ซุนนะฮ) อนั บรสิ ุทธิ์ จนกระทั่งวา ไดมีมาตรการทแ่ี นนอนในการจําแนกความหมายของ “การเคารพภักดี” ออกมาจาก เรื่องอืน่ ๆ ใหแนช ัดเสียกอนหากไมเปนเชนนั้นแลว การอธิบายกไ็ มบ งั เกิดผล การถกปญ หา อภิปรายก็ไมลงเอยแตอยา งใดเลย ดังน้ัน น่ีคือพื้นฐานที่จาํ เปน ซึง่ นักเขยี นฝายวะฮาบียม ักจะมองขาม โดยอธบิ ายเรื่อยเปอ ยไป วา การงานสว นมากของบรรดามสุ ลิมน้ัน เปนการตงั้ ภาคใี นแงข องการเคารพภกั ดี โดยมไิ ดจํากัด ขอบเขตท่แี นนอนตามความหมายของอัล-กุรอานใหช ัดเจนเสียกอนท่ีจะทาํ อยางนน้ั อยา งไรก็ดี กอนทเี่ ราจะเขา มสูการจาํ กดั ความหมายท่แี นน อนเหลาน้ี เราจะขอเริ่มกลาวถึงเรอ่ื งราวเหลาน้ี เสยี กอ น...
ภาคทห่ี นงึ่ สงิ่ สาํ คญั อันดับแรกสบิ ประการ ๑- การตอ ตานการตง้ั ภาคี เปน รากฐานแหง งานเผยแผของบรรดานบี ส่ิงที่เปนรากฐานแหงงานเผยแผข องบรรดานบีในสาระสาํ คญั ทงั้ หมดของคําสอนอนั สูงสดุ นนั้ คือ : การเรยี กรองมนษุ ยชาติไปสกู ารเคารพภักดี (อัลลอฮองคเ ดียว) และใหห นั หางจากการ เคารพภกั ดีส่งิ อ่ืน ดังน้ันหลกั เอกภาพในการเคารพภักดีและการทาํ ลายพนั ธนาการแหง การต้งั ภาคแี ละเจวด็ นน้ั เปนหลักคําสอนท่สี ําคัญทสี่ ดุ ซึ่งครอบคลมุ พื้นฐานทงั้ ปวงแหง คาํ สอนตางๆ ของบรรดานบี (ขอความสนั ตสิ ุขพึงมีแดท าน) จนกระทง่ั วา บรรดานบีและศาสนทตู ทง้ั หลายนั้นเปรียบประหนง่ึ วา มิไดถูกสงมาเพ่อื อื่นใดเลย นอกจากวาเพอ่ื เปา หมายอนั เดียว น่ันคือยืนยนั ถึงหลักการเอกภาพและ ตอ สูกับการตั้งภาคี โดยแนน อนที่สุดอัล-กุรอาน ไดกลา วถึงความเปนจริงในขอนี้วา : “และโดยแนนอนยง่ิ เราไดสงศาสนทตู มาในทุกๆ ประชาชาติเพอื่ (ประกาศวา ) สเู จา จง เคารพภกั ดีตอ อัลลอฮและหันหา งจากพวกมารเถิด” (อนั นะฮลุ-๓๖) “และเรามไิ ดส งศาสนทตู คนใดกอนหนา เจา มานอกจากเราจะไดดลใจแกเ ขาในขอที่วา ไม มีพระเจา อืน่ ใดนอกจากฉนั ดังน้ันสูเจาจงเคารพภกั ดีน้ันเถิด” (อัล-อมั บยิ าอ- ๒๕) ตอ มาในท่ีอีกแหง หน่ึง อัล-กุรอานอนั ทรงเกยี รติไดอธบิ ายวา : หลกั เอกภาพในการเคารพ ภกั ดนี ้ันเปน มูลฐานรวมระหวางบทบัญญตั ทิ ัง้ มวลแหง พระผูเ ปน เจา โดยท่ีพระองคกลาววา : “จงกลาวเถิด โอชาวคัมภีรเ อยทานทั้งหลายจงมาสูถอ ยคาํ อนั เสมอเหมือนกันเถิดระหวา ง เราและระหวา งพวกทาน นั่นคอื เราจะไมเ คารพภักดสี ิง่ อ่ืนนอกจากอัลลอฮและเราจะไมต ้ังส่ิงอ่ืนใด เปน ภาคกี ับพระองค” (อาลิอิมรอน-๖๔) ถาทา นตองการที่จะรวู า อัล-กรุ อานอนั ทรงเกยี รติอธิบายเร่อื งของการตั้งภาคใี นแงข องการ เคารถภกั ดอี และระดบั ตางๆ ท้งั หมดตลอดจนลักษณะของผตู งั ภาคีไวอ ยา งไรบาง ในแงที่วา เขา หมดสิ้นสงิ่ ยึดเหนย่ี วใดๆ ในชีวติ ก็ลองพิจารณาดใู นโองการดังตอ ไปนี้ เม่อื พระองคต รสั วา : “และผูใดต้งั ภาคีตอ อัลลอฮ ดงั น้ันก็เทา กับเขาหลน มาจากฟา แลวนกกไดเฉ่ียวเขาไป หรอื ลมไดพัดพาเขาไปยงั สถานท่ที ี่อนั ตราย” (อัล-ฮัจญ- ๓๑)
ไมมขี อ เปรียบเทียบอันใดทจี่ ะใหภ าพพจนเ กี่ยวกบั ความผิดพลาดของการต้ังภาคีและความ เสยี หายของการต้งั ภาคีตลอดถึงความเลวรา ยของมันไดอยางชัดเจนมากไปกวาโองการอนั ทรง เกียรติน้ี ๒- แหลงท่ีมาของการตง้ั ภาคีและการบชู าเจวด็ นับเปน เรือ่ งท่ีลําบากอยา งย่ิงในอนั ทจี่ ะใหค วามเห็นในเร่ืองของรากเหงาแหง การบชู าเจวด็ และแหลง ท่ีมาของหลักศรทั ธาอันผิดพลาดน้ีและววิ ฒั นาการของมนั ทามกลางมนษุ ยชาติ โดยเหตุ ทีว่ า เรือ่ งราวของการบชู าเจวด็ มิไดเปน ของชนกลมุ เดยี วหรอื สองกลุม และมิไดมลี ักษณะเดียวหรอื สองลักษณะ และมิไดอยูในพ้นื ที่เดยี วกันหรือสองพ้ืนที่ เพอ่ื ที่วาจะเปน เรอ่ื งงายแกก ารอธบิ ายให ทศั นะทแ่ี นน อนในเรอื่ งราวความเปน มาของมัน กลา วคือการบชู าเจว็ดในทศั นะของ “อาหรับยุคมดื ” ก็มีความแตกตา งไปจากทัศนะของ พวกพราหม และการบูชาในทศั นะของชาวพุทธ ก็แตกตางไปจากทัศนะในเรอื่ งนี้ของพวกฮนิ ดู อยา งนเี้ ปน ตน ดงั นั้นจะเห็นไดว าหลักศรทั ธาตา งๆ ของชนชาติเหลา นม้ี คี วามแตกตา งกนั ในแงของ การต้งั ภาคีจนยากทจ่ี ะอธิบายถึงขอ มูลทม่ี ีรวมอยรุ ะหวา งมันได สาํ หรบั ชาวอาหรับเบดูอิน อยา งเชนพวกอาด พวกษะมูด : ประชาชาตขิ องนบฮี ดู กบั นบีศอ ลฮิ และอยงเชน ซักนะฮ มดั ยัน และซะบาอ : ประชาชาติของนบชี อุ ยั บและนบีซุลัยมานนัน้ ปรากฏ วา อยูกับการบูชาเจวด็ สองประเภท และการเคารพบูชาดวงอาทิตย(๑) และแนนอนทสี่ ุดหลกั ศรทั ธาของพวกเขาเหลา น้ันตลอด ถงึ แนวความคดิ ของพวกเขาเหลาน้ันไดถกู นาํ มากลา วถงึ ไวในอัล-กุรอานอันทรงเกียรติ โดยแนน อนย่ิงชาวอาหรับยุคมดื น้ันมาจากบรรดาลกู หลานของนบีอิสมาอีลเปนพวกทีย่ ึด มั่นในเอกภาพของพระผเู ปน เจา มานาน พวกเขาปฏิบัตติ ามคําสัง่ สอนของนบอี บิ รอฮีมและนบีอสิ มาอลี (ความสนั ติสุขพงึ มีแดทา นทัง้ สอง) แตวา เม่ือเวลาไดลว งเลยมานานและประกอบกบั ไดม กี าร ตดิ ตอ สมั พนั ธกับประชาชาตติ างๆ และชนชาติท่บี ูชาเจวด็ สภาพของการบูชาเจวด็ จงึ เขามาแทนท่ี ในสงั คมของชาวอาหรบั ยุคมืดทีละขึน้ ทลี ะตอน(๒) สภาพของประชาชาติอาหรับเหลานใ้ี ชช ีวติ อยใู นประเพณขี องการไวทกุ ข สว นประชาชนท่ี อาศยั อยใู นมักกะฮจนใกลจ ะมาถงึ สมยั ของทา นศาสนทตู นั้นนักประวตั ศิ าสตรไ ดอางวา คนแรกที่นํา ลัทธิการบูชาเจวด็ เขาในเมอื งมักกะฮน้ันคือ “อมั ร บนิ ละฮยี” (1) ดังโองการทว่ี า “และไดพบวานางกบั พวกของนางกราบดวงอาทิตยนอกเหนือจากการ กราบอลั ลอฮ” (อันนัมลุ-๒๔) (๒) เรอ่ื งน้ีแสดงใหเ ห็นวาลทั ธกิ ารบูชาเจว็ดไดเ ขาไปสูส ังคมของชาวอาหรบั ยุคมืดมานานแลว จนกวา จะมาถงึ เมอื งมักกะฮตามทท่ี า นอบิ นุฮิชามไดอา งไวใ นหนงั สอื ประวตั ิศาสตรรวมทงั้ นกั ประวัติศาสตรค นอื่นๆ
กลาวคอื ในตอนทีเ่ ขาเดนิ ทางเมืองซีเรียนั้นเขาไดพบกับประชาชนที่เคารพบชู าเจวด็ เขาได ถามคนเหลา นัน้ ถงึ สง่ิ ที่พวกเขาไดกระทําอยวู า : “ทขี่ าพเจา ไดเ หน็ พวกทานเคารพรูปปน เหลาน้ี หมายความวา อยา งไร?” พวกเขาตอบวา : รปู ปน เหลาน้ี ท่เี ราไดเคารพมนั ก็เพราะวา เวลาท่เี ราตองการฝน มนั ก็ให ฝนแกเ รา เวลาเราขอใหมนั ชว ยเหลือ มนั ก็ชว ยเหลอื เรา” เขาไดก ลา วกับคนเหลา น้ันวา : ทานจะมอบมนั ใหแ กข าพเจา บา งจะไดไ หม เพ่ือที่วา ขา พเจา จะไดนํามนั ไปประเทศอาหรบั แลว พวกเขาจะไดเคารพมนั ? เม่ือเปน เชน น้ีการปฏบิ ัตขิ องพวกเขากับชายคนน้ันกเ็ ปนไปดวยดแี ละไดใหเขานาํ รูปปนตัว ใหญไ ปไวทเ่ี มอื งมกั กะอ มีชื่อวา “ฮะบัล” โดยไวว างมนั ไวตรงบรเิ วณสถานกะบะฮอันทรงเกียรติ และเรยี กรองประชาชนใหม าทาํ การเคารพ(๑) ตอมาเมอื่ มสุ ลมิ ประสบปญ หาเร่อื งฝนตกไมพ อเปย กรองเทาของพวกเขาเลยไมว า คนื ใด ทา นศาสนทูตกไ็ ดอ อกประกาศวา “พวกทานรูหรือเปลา วา พระผูอภิบาลของพวกทานกลา ววา อยางไร? คนเหลานัน้ กลา ววา “อัลลอฮและศาสนทูตของพระองคเ ทา น้ันทจ่ี ะรู” ทานกลา ว วา อลั ลอฮไดตรัสวา : “สาํ หรบั ในหมูป วงบา วของฉนั น้ัน สามารถแยกไดเ ลยวาใครเปน ผศู รทั ธาตอ ฉันและใครท่ี เปน ผปู ฏิเสธตอ ฉัน กลา วคือผทู ่ีกลาววา : ฝนตกลงมาแกเราดว ยความเมตตาแหงอัลลอฮและความ โปรดปรานของพระองคนั้น ไดแ ก ผศู รัทธาตออลั ลอฮและปฏเิ สธตอการบูชาดวงดาว สว นผูท่ีกลา ว วา : ฝนตกมาแกเ ราโดยเทพเจา นน้ั เทพเจาน้ี เขาก็คอื ผูศรัทธาตอดวงดาวและปฏิเสธตอ ฉนั ” (๒) ขอมลู ทางประวัติศาสตรส องประการดงั กลาวน้ี ตางยืนยันในเวลาเดียวกนั วาชาวอาหรับ แหงยคุ งมงายนัน้ บางสวนหรือท้งั หมดลวนเปนผูต้งั ภาคใี นแงของการดแู ลอภิบาล และเปนผู เชื่อม่นั วา ฝนตกเพราะอํานาจของรปู น้ัน ดงั น้ันพวกเขาจึงขอฝนจากส่งิ ดังกลาวและตา งพากนั อา งวา มันสามารถใหฝ นแกพวกเขา ขอไดน ําเรอ่ื งนีไ้ วเ ปนขอมูลที่สําคญั สําหรบั ในบทตอๆ ไป นักวชิ าการอกี สว นหน่งึ ไดใ หท ศั นะวา “เจว็ด” เกดิ ข้ึนมาจากการใหเกียรติและเทิดทนู บคุ คลสาํ คญั ๆ ครั้นเม่อื เขาตายลง คนเหลา นัน้ เทิดทูนเขาขน้ึ เปนปชู นียบุคคลเพ่อื เตอื นความทรงจาํ และฝง ความเคารพไวใ นจิตใจ แตครั้นกาลเวลาไดผ านพน ไป ประชาชนในรุน หลงั ก็ไดเ ปลี่ยนให สภาพของปูชนียบุคคลนเ้ี ปน เคร่ืองบูชาของพวกเขาไปเลย บอ ยครัง้ ทป่ี รากฏวา หัวหนา ครอบครวั เปน ผูท ี่ไดรบั เกียรติและการยกยอ งวา เปนผูอาวุโสใน ขณะทมี่ ีชีวติ ครนั้ เม่อื ไดตายไปพวกเขาก็นาํ เอารูปภาพมาประดิษฐานและพากันเคารพบูชา (1) หนงั สอื ซีเราะตบุ นุ ฮิชาม เลม ๑ หนา ๗๙ (๒) หนงั สือ ซีเราะตลุ ฮะละบียะฮ เลม ๓ หนา ๒๙
ในสมัยกรกี และสมัยโรมันปรากฏวา ประมุขของครอบครวั ไดร ับความเคารพจากบริวาร ของตน คร้ันเมื่อตายไปแลวพวกเขากพ็ ากันเคารพบชู ารปู ภาพของเขา ในยคุ ปจ จุบนั น้ีไดม รี ูปปนและอนสุ าวรยี ข องนักศาสนาและบคุ คลสําคญั ตา งๆ ตั้งอยูตาม พิพธิ ภณั ฑซึง่ คนเหลานั้นหรือรูปปน ของเขาไดร ับการเคารพเชน พระเจา ในการสนทนาของนบีอิบรอฮีม (ความสนั ตสิ ุขพงึ มีแกทา น) กับผอู าวุโสประจาํ หมชู น (นมั รูด) ก็ไดเ ปนที่อธิบายอยางชดั แจงแลว วา นัมรูดนั้นเปนทีเคารพบชู าของหมชู นของเขา แตเ ขากย็ ังมี รูปปน ไวเคารถโดยเฉพาะอีกดวย ซ่งึ เปนลักษณะประจาํ ตวั ของบคุ คลตา งๆ ทอี่ ยใู นตาํ แหนงเปน ฟร เอาวนในยุคกอนๆ ดงั ทอี่ ลั -กุรอานไดเปด เผยใหเ ราทราบวา “และชนช้ันเจา นานแหงพวกพองของฟรเอาวน กลา ววา ทา นจะปลอยใหมูซาและพรรค พวกของเขากอ ความเสียหายในหนา แผนดนิ และดูแคลนตอทานและพระเจาของทา นกระนัน้ หรอื ” (อลั -อะรอฟ-๑๒๗) สรปุ ไดวา ความเปนมาของรปู ปนของอนสุ าวรยี ต า งๆ ก็คือ การเทิดทนู บคุ คลสําคัญทาง ศาสนาและหัวหนาเผา ตา งๆ ตลอดจนบุคคลผูอาวโุ ส แตพ อกาลเวลาหมนุ เวียนเปล่ียนไป เร่ืองราว เหลานั้นก็ไดเปลีย่ นแปลงไปเรื่อยๆ จนผิดแผกไปจากเจตนาเดมิ ภาพเหลา นั้นจึงกลายไปเปน สิ่ง เคารพบชู า และรูปปน เหลา นี้กไ็ ดกลายเปนพระเจาไปเสยี เลย ๓- วงจาํ กัดของหลักเอกภาพในการเคารถภกั ดีตออัลลอฮ ความหมายของหลักเอกภาพในดา นนค้ี ือใหเราเคารพภกั ดตี อ ผูส รางจักรวาลอยางเดยี วและ ใหเ ราหลกี หา งจากการเคารถภักดีสง่ิ อื่นนอกจากพระองค เนอ่ื งจากวา มันเปน ส่งิ ถกู สรางของ พระองค และการกระทําอยางน้ถี ือเปนการตง้ั ภาคใี นการเคารพภกั ดที ี่หมายความวา มนุษยเ คารพสิ่ง ทถี่ กู สราง ถงึ แมเขาเชอ่ื มั่นวา พระเจา องคเ ดยี วเทา นนั้ คอื ผสู รางจกั รวาล เนอื่ งจากสาเหตุอนั หนง่ึ ยอ มมาจากสาเหตุท้งั หลาย สิ่งเหลา นี้พวกวะฮาบียใ หชอื่ เรยี กวา “หลกั เอกภาพในความเปน พระเจา ” ขณะเดียวกนั กับที่ ใหช ือ่ เรียก “หลักเอกภาพแหงสภาวะการดาํ รงอย”ู วา “หลกั เอกภาพในดา นการดแู ลอภบิ าล” การ จาํ กัดความทั้งสองอยา งลวนผดิ พลาดในเม่ือทานจะไดร ูจักความหมายของความเปน พระเจา ไป ตามท่ที า นจะไดร จู กั วาความหมายของมันมไิ ดหมายถึง รปู เคารถ ยง่ิ ไปกวา นัน้ ทั้งคาํ วา “อิลาฮ” กับ “อัลลอฮ” ตา งก็เสมอเหมอื นกนั ในแงของพ้นื ฐานและความหมาย เพยี งแตวา ประการแรกคือสวน ท้ังหมด ประการทีส่ องคือ ความเปน เอกะ จากความจริ งทงั้ หลายของสวนท้งั หมดดงั กลา วนนั้ สวนในแงข อง “การดแู ลอภิบาล” ก็จะมีความหมายวา “บรหิ ารและจดั ระบบ” ในจกั รวาล มใิ ชห มายถงึ “ความเปน ผสู ราง” ถึงแมวา การบริหารน้ันตามความหมายทางปรชั ญา จะไมสามารถ แยกออกจากความเปนผสู รา งไดเ ลยก็ตาม
ประการแรก ถงึ แมจ ะเปน การยนื ยันวาเรายอมรับใหเรื่องหลกั เอกภาพแหงสภาวะการดํารง อยูเปนเรอ่ื งของเอกภาพในความเปน พระเจาก็มิไดหมายความวา น่ันยังมพี ระเจา อน่ื นอกเหนอื จาก อัลลอฮ มิไดหมายความวา มพี ระเจา สงู สดุ อยู น่ันคืออัลลอฮ สว นพระเจา ยอ ยก็ทําหนาทด่ี ูแลรกั ษา กจิ การบางอยางของพระองค เปนตน วาการอนเุ คราะหช วยเหลือ (ชะฟาอะฮ) การนิรโทษให ดงั ที่ พวกอาหรับสมัยงมงายเชอื่ ถือกัน ทํานองเดียวกับการยนื ยันวา เราถอื วา “หลักเอกภาพในการสรางสรรค” เปน “หลักเอกภาพ ในความเปน ผสู ราง” โดยถอื วา มิใช “หลักเอกภาพในการดูแลอภบิ าล” โดยทเี่ ราไดรวู า พระผูอภิบาล (ร็อบ) น้ันมิใชความหมายเดยี วกันกบั พระผูสราง (คอลกิ ) ถึงแมว า ในพน้ื ฐานของภาวะวสิ ัยเพยี งขอ พสิ จู นทางสติปญ ญากม็ อิ าจแยกความหมายออกจากกันไดก ็ตาม ทาํ นองเดยี วกับการยนื ยันวาเราถือเอา “หลักเอกภาพในการเคารพภักดี” ตามความหมาย ของคําน้ี โดยมใิ หเปนเรอ่ื งของ “หลักเอกภาพแหงความเปนพระเจา” ในเมื่อเปน ทีร่ ูอ ยูแลว วา “พระ เจา ” มใิ ชความหมายของสิง่ ที่เปน “รูปเคารพ” เปน อนั วา ในแงนกี้ ารตั้งภาคมี ไิ ดเปนส่ิงทเ่ี กดิ มาเพราะการมพี ระเจาหลายองคแ ละมไิ ดเ กิด ข้นึ มาเพราะเชอื่ มั่นวา มีพระเจา อื่นทีร่ วมในการสรางโลกกบั อลั ลอฮเปนตน วา พระเจา ตา งๆ ที่แอบ อา งขนึ้ มา แตถ ึงแมจ ะยอมรับอยา งนแี้ ลวกต็ ามที การเคารพภกั ดตี อพระเจา องคเ ดียวยังอาจถูกละเลย ได และพระเจา อ่ืนอาจไดรับการเคารพภักดกี ็ได แรงผลกั ดันท่ีกอ ใหเกิด “การเคารพภกั ดสี ่ิงถกู สรา ง” ในหมูป ระชาชาตทิ ัง้ หลายน้ันมีขน้ึ ใน ลักษณะตา งๆ บางทอี าจเกดิ ข้ึนมาจากเหตุผลอนั เรียบงาย และมีอยูบอยครัง้ ทีเกิดข้ึนโดยเหตผุ ลทาง ปรชั ญา และในลาํ ดับจากนไี้ ปเราจะเปด เผยถึงประเด็นสําคญั ทเี่ ปน สวนทําใหเกดิ การตัง้ ภาคี ๔- แรงผลักดันท่ีกอใหเกดิ การตัง้ ภาคีในการเคารถภกั ดี ในขณะทีแ่ รงผลกั ดันทกี่ อ ใหเ กิดการตั้งภาคีมอี ยมู ากมาย แตเ ราจะขอเสนอเพยี งสาม ประเดน็ คือ : (ก) ความเชื่อที่วา มีผูสรา งหลายองค พวกบชู าเจวด็ และผูท ีย่ ึดมั่นในไตรภาคตี ามลักษณะของพวกเขามีกฎเกณฑท างดานความ เชือ่ ถือตอ เจวด็ และไตรภาคีอยา งเด็ดขาดในเร่ืองการเคารถภักดีตอพระเจา มากกวา องคเ ดยี ว กลาวคือในศาสนาพทุ ธมีความเช่อื ถือตอพระเจา ที่เปนนริ ันดรอยสู ามองคหรือสามสรรพ นาม ดงั นี้ 1- พระพรหม หมายถึงพระเจา ผทู รงดาํ เนนิ อยู 2- พระวิษณุ หมายถึงพระเจา ผทู รงปกปกรักษา 3- พระศิวะ หมายถงึ พระเจา ผทู รงเสกสรร
ในหมชู าวครสิ เตยี นกป็ รากฎมรี ายนามดงั น้ี 1- พระบดิ า 2- พระบตุ ร 3- พระจติ วิญญาณบริสทุ ธิ์ ในศาสนาโซโรเอสเตอรม ีความเช่ือในดา นของ “อะฮวัร มซุ ดา” เปนพระเจา สององคไ ปอกี ตางหาก คือ 1- ยซุ ดาน 2- อะฮรมี นั ถงึ แมค วามเชอื่ ของชาวโซโรเอสเตอรจ ะมอี ยูก ับพระเจา สององคนอี้ ยูกต็ าม สภาพของ ความเชือ่ ก็ยังเปน ไปอยา งมดื มนซอนเรน อยา งไรกต็ ามความเชือ่ ถอื ทางดานจติ ใจทมี่ ตี อ พระเจา หลายองคน ้นั นับเปน แรงผลกั ดัน อันหนงึ่ ทอ่ี ยูเบอื้ งหลังการเคารถภักดสี ง่ิ อื่นนอกจากอัลลอฮ และเปนสาเหตุสาํ หรบั การตั้งภาคขี ้ึน ในการเคารพภักดี แนนอนอัล-กรุ อานไดตําหนิพ้ืนฐานของความเชือ่ ถืออยา งนดี้ ว ยหลกั ฐานอันชัด แจง จาํ นวนมาก และการอธบิ ายในหลกั ฐานเหลา นั้นก็ไดดาํ เนนิ ไปแลวเมอ่ื ตอนทอี่ ธิบายเก่ียวกบั “หลักเอกภาพในฐานะทรงอภิบาลและบรหิ าร” (ข) ทศั นะคตทิ ่วี า “ผสู รา ง” อยหู างจาก “ส่ิงถกู สราง” แรงผลกั ดนั ประการทส่ี องที่ทาํ ใหเกิดการเคารถภักดสี ง่ิ อ่ืนนอกจากอลั ลอฮคือทศั นคตทิ วี่ า อลั ลอฮทรงหา งไกลจากสงิ่ ถูกสรา ง ตามความคิดทว่ี า อัลลอฮทรงหางไกลจากสรรพส่งิ ท่ีถกู สราง ไมไดยินและไมห ย่งั รูการเรยี กรองของพวกเขาดว ยเหตุน้พี วกเขาจงึ สรรหาส่ือกลางที่พวกเขาคิดวา มันจะชวยรบั ชว งการเรียกรองของพวกเขาสูพระองค ราวกบั วา ตาํ แหนงของพระผูอภิบาลน้ัน เปรยี บเสมอื นตําแหนง ของมนษุ ยทีไ่ มอ าจเขา ถึงไดเลยโดยไมมสี ่ือกลาง ดว ยเหตุนี้พวกเขาจึงพากนั เคารพบชู าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มะลาอิกะฮ ญินและดวงวญิ ญาณเพ่อื นาํ ขอ เรียกรอ งของเขาไปยังพระผู อภบิ าล แนน อนที่สดุ อัล-กรุ อานไดตําหนทิ ัศนะคติอยางน้ดี วยหลักบานตา งๆ อนั ชัดแจง โดยกลาว วา แทจ ริงอลั ลอฮนัน้ ทรงอยูใกลยง่ิ กวาความใกลท กุ ส่งิ ทุกอยาง แทจ รงิ อัลลอฮทรงไดย ินการซอ นเรน และการกระซบิ ของพวกเขารวมทัง้ การแสดงออกที่ เปด เผยของพวกเขา แทจรงิ อัลลอฮทรงโอบลอมส่งิ ท่พี วกเขาปดบังและเปด เผย ดวยเหตนุ จ้ี งึ ไมจําเปน ตองยึดถอื พระเจา เทยี มเหลา นน้ั และไมจ าํ เปน ตอ งเคารพภกั ดีส่ิงนั้น แมเพยี งวัตถปุ ระสงคท ่วี า จะเอามันมาเปนสือ่ กลางสําหรบั นําขอเรียกรองของพวกเขาไปสอู ัลลอฮก็
ตาม เพราะอลั ลอฮทรงรอบรูในส่ิงทั้งมวลและพระองคคือผูซ ่ึงไมมีส่ิงใดหา งไกลจากพระองคไ ด เลย ความหมายเหลา นีท้ กุ อยาง มีปรากฏอยใู นโองการดงั ตอ ไปน้ี “และเราใกลชดิ เขายงิ่ กวา เสน เลือดที่คอหอย” (กอฟ-๑๖) “อลั ลอฮใชหรือไมทีเปน ทเ่ี พียงพอแลวสาํ หรบั บาวของพระองค” (อัซซมุ รั -๓๖) “จงวงิ วอนขอตอ ฉันเถิด แลว ฉนั จะตอบสนองแกส ูเจา” (ฆอฟร-๖๐) “จงกลา วเถดิ (มุฮมั มดั ) ถา สูเจา ปดบังส่งิ ทอี่ ยูใ นจิตใจหรอื เปดเผยมันอัลลอฮก็ทรงรูกับมนั ” (อาลิ อมิ รอน-๒๙) “ไมม ใี ครกระซบิ กันไดส ามคนโดยไมมีพระองคเปนบุคคลที่สี่ และไมมหี า คนนอกจากวา พระองคทรงเปน บคุ คลที่หก” (อัล/มญุ าดลิ ะฮ-๗) กับโองการตา งๆ เหลานแ้ี ละโองการอ่ืนๆ อีกทอ่ี ัล-กุรอานไดตาํ หนคิ วามคิดเหลา นท้ี ี่ กอใหเ กิดการบชู าเจวด็ และการตั้งภาคี (ค) มอบงานดาน “การบริหาร” ใหเ ปนหนาทข่ี อง “พระเจา ยอย” มนุษยท ุกคนยอมจะพบวา ในสวนลึกของจติ ใจคนเรานนั้ มีความยอมจาํ นนตออํานาจท่ี เหนอื กวา และถือวา ตนเปนผนู อ ยในยามเผชญิ กับสิง่ นั้น นค่ี อื ความรูสึกโดยธรรมชาติ ถงึ แมจ ะยงั ไมส าํ แดงออกมาทางวาจาและอวัยวะสว นอ่นื ๆ แตภายในสว นลึกของจิตใจนั้น ยอมจะมคี วามรูสึก ยอมจาํ นนอยา งนี้อยูดานหนึ่งสวนอีกดานหนง่ึ ก็จะดาํ เนนิ ไปตามความรูสึกนั้น ตามพนื้ ฐานเหลา น้ี ผตู ้ังภาคจี ึงตอ งการท่ีจะนาํ เอาอาํ นาจลกึ ลับเขา มาอยใู นเรือนรา งที เปดเผย ยง่ิ ไปกวานน้ั เพอ่ื เปนการจาํ กัดความคดิ หรอื เพ่อื สรา งมโนภาพวา ทุกสิง่ ทบี่ ังเกิดขึ้นใน จกั รวาลนี้ลวนมีพลังท้ังๆ ทม่ี นั กค็ อื สิ่งทถี่ ูกสรา งโดยอลั ลอฮ เชน พระมหาสมทุ ร, (พระเจา แหง ทะเล) พระเจาแหงการสงคราม, พระเจาแหงความสันติ ราวกับวา รฐั บาลแหงจกั รวาลน้ัน เปน เหมือนอยา งรัฐบาลทง้ั หลายในโลกท่มี อบหมายหนาทีเ่ ก่ยี วกบั ชวี ติ ในดานตางๆ ไวแ กคนหน่งึ ๆ แลวผูมีอาํ นาจเหลา นีก้ ็จะเปน ผูพจิ ารณาไปตามทตี่ นตอ งการ และกระทําไปตามทตี่ นประสงค ดว ยเหตนุ จ้ี งึ มีการเคารถบูชาตามสถานท่ีต้ังแถบชายฝง ทะเล (พระเจา แหงทะเล) เพ่ือ เพม่ิ พูนผลประโยชนจากทะเลใหแกพวกเขาและเพ่อื ปกปอ งพวกเขาใหพนจากภัยพิบตั ิ เชน การเกิด อุทกภัย สว นในกรณีของการเคารพบูชาแผน ดนิ และทะเลทราย (พระเจา แหงพ้ืนบก) กเ็ พือ่ พวกเขา
จะไดร ับผลประโยชนทางบก และปกปองภยั พบิ ัติทางบก เชน แผนดนิ ไหว และอืน่ ๆ เปนตน วา ภยั จากทะเลทรายบาง ภัยธรรมชาติอยา งอ่นื บา ง แตถึงแมพวกเขาจะสามารถสรา งจินตนาการเก่ยี วกบั พระเจา ตา งๆ ขน้ึ มาไวแ ลว กต็ าม พวก เขาก็ถือวา พระเจา เหลา นไ้ี มมีตัวจน จึงเปน ปญ หาทยี่ งุ ยากในการสรางมโนภาพ พวกเขาจึงพยายาม สรางรปู ภาพและรูปปน ขนึ้ มาตามความศรทั ธาและไดพากนั เคารพบูชารูปปน เหลา นี้ทีถ่ กู สรางขน้ึ ทดแทนการเคารพภกั ดี อาํ นาจลึกลับซึง่ ก็ถือวา ไดทดแทนไปกับรปู ปนเหลา น้ี ตามมโนภาพของ พวกเขา ดวยเหตุนใ้ี นหมชู าวอาหรับยุคงมงายจงึ มพี วกหนงึ่ บชู ามะลาอิกะฮ, อกี พวกหน่ึงบชู าญนิ , พวกท่ีสามจะบูชาดวงดาว, และเปา หมายในการเคารถทง้ั หมดกค็ ือขอใหไ ดรบั ความดแี ละ คณุ ประโยชน และขอใหหา งไกลจากความชัว่ รา ยและทุกขภยั ตางๆ แนนอนทส่ี ดุ พวกเขาเหลานนั้ มีความสขุ อยูในวงจาํ กัดโดยเฉพาะกบั การสรางภาพ อนุสาวรยี และรปู ปน แตพวกเขาก็ยงั มิไดมน่ั ใจวา จะสรางไดตรงกับรูปทเี่ ปนจรงิ ของสิ่งตางๆ เหลา น้นั ดว ยเหตนุ เี้ องพวกเขาจึงสรา งพระเจา ข้ึนแตละองคื เปนรูปปนที่ไมเหมือนกันเลย เชน พระ เจา แหง ทะเล, พระเจาแหงสนั ติภาพ, พระเจาแหง สงคราม, พระเจาแหงความรัก, แตใ นทุกสิง่ ทุก อยา งเหลา น้ี มีตน เหตุอยางเดียวคอื สนองความรูสึกทีผ่ กู พนั กับสง่ิ เรนลับ แมว า พระเจายอยเหลานย้ี ัง มใิ ชสง่ิ ทเี่ ขา กบั ความรูส ึกก็ตาม คอื ดวงดาวกม็ ีข้นึ มีตก แตถึงกระนั้นก็ขอใหไ ดเคารพบชู า แนน อนที่สดุ อัล-กุรอานไดดําเนินการวิพากษและประณามอยา งรนุ แรงตอ แนวความคดิ ที่ มอบหมายใหง านดานการบริหารจักรวาลเปนหนา ท่ีของพระเจายอ ยทีไดช ่อื วา สงิ่ ถกู สราง ของอลั ลอฮ อัลลอฮทรงอธิบายไวในหลายแหง วา พระองคเปน ผบู ริหารแตเพยี งผูเดียวสาํ หรับ กิจการแหงจกั รวาล โดยมีโองการวา “หลังจากน้ันพระองคทรงใชอ ํานาจเหนือบัลลงั คท รงบริหารกจิ การตา งๆ” (ยูนสุ -๓) แนนอนที่สดุ อัล-กุรอานไดกลาวไวใ นโองการตางๆ อยา งมากมายวา การสรา ง, การใหชวี ติ , การใหต าย, การบงั คบั ใหด วงดาวและจักรวาลโคจรไป, การจัดระบบใหแ กด วงอาทติ ย, ดวงจนั ทร และเครอ่ื งปจ จยั ยังชพี น้ัน เปน การกระทาํ ของอลั ลอฮโดยเฉพาะ และอลั -กรุ อานยงั ไดประณามอยา ง รุนแรงเก่ยี วกับทุกแนวความคิดทถ่ี ือวา ยังมอี ํานาจอื่นมามีสว นรวมกับอัลลอฮ และทกุ ๆ แนวความคิดที่กลาววา การบรหิ ารกิจการแหง จกั รวาลเปนเรื่องของส่ิงถกู สรางของพระองค อัล-กรุ อานอันทรงเกยี รติไดแถลงในเรือ่ งน้เี อาไวอ ยางมากมายจนเปน ท่ลี ําบากแกเ ราใน การนาํ มาอา งถึงในทีน่ ี้ไดหมด แตจะเสนอเพยี งบางโองการ “แทจ รงิ พระผอู ภบิ าลของสเู จา คอื อลั ลอฮ ผซู ่งึ ไดสรางชนั้ ฟา และแผน ดินในหกวัน จากน้นั ทรงใชอํานาจการปกครองเหนือบัลลงั ก ทรงใหก ลางคืนครอบคลมุ กลางวนั ซ่งึ มนั ตามตดิ กนั มา อยางรวดเร็ว และดวงอาทิตย ดวงจนั ทร และดวงดาว ซ่งึ ถูกควบคุมอยูภายใตบ ัญชาของพระองค
พงึ สงั วรณเถิดวา การสรา งและการบญั ชาเปน ของพระองค อลั ลอฮ พระผอู ภิบาลแหงสากลโลกทรง จาํ เรญิ ยิง่ (อลั -อะรอฟ-๕๔) “จงกลา วเถิด (มุฮมั มัด) ผูใดเลา ที่ใหเ คร่อื งปจจัยยงั ชพี แกสเู จา มาจากชน้ั ฟา และแผน ดนิ มี ใครหรอื ทค่ี วบคมุ การไดยนิ และการมองเห็น และใครที่นาํ การมีชีวิตออกมาจากความตาย และนาํ ความตายออกมาจากการมีชวี ติ และใครเลาท่ีบรหิ ารกิจการ ดังน้นั พวกเขาจะกลาววา อลั ลอฮ ก็จง กลาวเถดิ (มุฮัมมดั ) สเู จามิไดย าํ เกรงหรอื ดังนั้นสูเจาเอย อลั ลอฮคอื พระผูอภบิ าลของสูเจา ท่ีแทจ รงิ ดังน้ัน ยงั จะมอี ะไรอีกภายหลงั ความจริงถา มใิ ชความหลงผิด ดงั น้ันสเู จาจะจัดการอยางใด” (ยูนสุ -๓๑-๓๒) บัดนเ้ี ราไดอ ธิบายเกย่ี วกับแรงผลักดันท่ีกอใหเกดิ การตงั้ ภาคี ตออลั ลอฮในเรื่องการเคารพ ภักดไี ปแลวสามประการ และเราจะไมขอกลาวอยา งเดด็ ขาดวา ไมม ปี ระเดน็ อื่นอีกแลว ทีเ่ ปน แรงผลักดนั ในการกอใหเกิดการต้งั ภาคนี อกเหนือจากทีเ่ ราไดก ลาวถึง แตวา ประเด็นที่อัล-กุรอาน ไดวิพากษเ อาไวน้นั ยอ มเปนพ้ืนฐานทีม่ าของการตง้ั ภาคี และการแพรหลายเร่ืองน้ีข้ึนมาในโลก แนนอนมสุ ลมิ คอื ผูเชอ่ื มนั่ ตอ พระเจาของจักรวาล พระเจา องคเดยี ว พระเจา ทค่ี วบคุมอยูใน ทกุ สถานท่ี ใกลช ดิ ยิง่ ตอ บา วของพระองค พระเจาทก่ี ารสรา ง การบริหารจกั รวาลอยูในอํานาจของ พระองค ซึง่ ไมย ินยอมมอบกจิ การของพระองคใหแ กผ ูใดทง้ั สิ้น มสุ ลิมกบั ความเช่อื ม่ันอยา งน้ี ไมอาจจะยึดถือส่ิงเคารพอื่นใดไดนอกเหนอื จากอลั ลอฮ แต การเคารพภักดีของเขาที่มีตอ พระองคยงั ไมเปน ทเี่ พยี งพอหากแตจ าํ เปน ทเี่ ขาจะตองตอตา นกับ หลกั การของการตัง้ ภาคีและการบชู าเจว็ดและจะตองไมพ อใจที่จะออกหางจากแวดวงของหลัก เอกภาพแมน ิดเดียวกตาม เก่ยี วกบั ประเด็นท่สี ามเราใครจ ะกลา วถงึ ขอ สงั เกตท่ีสาํ คัญคอื มันเปนเร่ืองทีเ่ ปนไปไดว า คนๆ หน่ึงอาจเช่ือมนั่ วา กจิ การในจักรวาลนนั้ ทุกอยางลวนเปนของอลั ลอฮ และไมย ินยอมทจ่ี ะถือ วา เรอื่ งเหลานเ้ี ปนหนา ทข่ี องผูอนื่ นอกเหนือจากพระองค แตเขาเชอ่ื ม่นั วา ภารกจิ ท่ีแทจ รงิ ซง่ึ ผกู พนั อยูกบั งานของปวงบา ว เชน การใหค วามอนุเคราะห (ชะฟาอะฮ) และการใหอ ภยั โทษ อันเปน กิจการเฉพาะของอลั ลอฮนั้น ยังเปนไปไดท ีอ่ ัลลอฮจะทรงมอบใหเปนหนา ที่ของบคุ คลตางๆ และน่ี ก็คือประเด็นหนึ่งทีน่ าํ ไปสูการเคารพภกั ดีสง่ิ อ่นื นอกเหนือจากอลั ลอฮ แนนอนทส่ี ุดอลั -กุรอานได ถือวา การใหความอนุเคราะหทแี่ ทจ รงิ นัน้ เปนสิทธิ โดยเฉพาะของอัลลอฮ ดังนน้ั บุคคลใดๆ ก็ตามมิ อาจใหความอนุเคราะหผูใ ดโดยปราศจากการอนมุ ัติของพระองคไ ด ในขณะทีท่ รงกลา ววา “จงกลา วเถดิ (มุฮมั มดั ) สาํ หรบั อลั ลอฮนนั้ คือการใหค วามอนเุ คราะหท งั้ มวล” (อัซซุมรั -๔๔) ในทาํ นองเดียวกัน อลั -กรุ อานก็ไดถ ือวาการใหอ ภัยและนิรโทษแกค วามบาปของบา วแหง พระองคนั้น เปนสิทธิโดยเด็ดขาดของพระองค ไมม ีภาคใี นเรอ่ื งนีเ้ ลยแมแ ตค นเดียว ผูใดก็ตามท่อี า ง
วา การใหอภยั อยใู นอาํ นาจของผูอื่นนอกเหนอื จากอลั ลอฮแลว เทา กับเขาไดต้งั ภาคี พระองคท รงมี โองการวา “ดงั น้ัน พวกเขากไ็ ดข ออภัยสาํ หรับความบาปของพวกเขา และผใู ดเลา ทอ่ี ภัยความผิดบาป นอกจากอลั ลอฮ” (อาลิ อมิ รอน-๑๓๕) แนนอนทสี่ ดุ ชาวบูชาเจวด็ พวกหนง่ึ ในสมัยแรกๆ ที่อิสลามไดร ับการเผยแผเ คารพบชู ารปู ปนทีพ่ วกเขาเชือ่ ถอื วามันมอี าํ นาจพิเศษในการเขาถึงอัลลอฮและมันมีหนา ทใี่ นกจิ การดานการให ความอนุเคราะหแ ละใหอ ภยั ในบทตอไปเราจะอธบิ ายเก่ยี วกบั การตัง้ ภาคชี นิดทม่ี ีลักษณะออ นแออนั นี้ และเพอื่ จะให ประเดน็ นเ้ี ปนทก่ี ระจางชัดและเพอ่ื เราจะเขาใจอยา งชัดเจนตอลักษณะการวพิ ากษท ่ีอลั -กุรอานมตี อ เรอ่ื งน้ี ก็จาํ เปนท่เี ราตองหนั ไปพิจารณาขอเขียนที่ไดรับการยกยองของนกั เขียนวะฮาบยี ท่ไี ด กลาวถึงเร่ืองนไ้ี วใ นตาํ ราของพวกเขา ๕- การอธบิ าย “หลักเอกภาพแหง ความเปน พระเจา” และ “ความเปน ผูอภบิ าล” นักเขียนสายวะฮาบียยงั คงยอมรบั ตอหลักเอกภาพวา มีสองประเภท และไดใ หช ือ่ เรียกหลัก เอกภาพประเภททหี่ น่ึงวา “หลักเอกภาพแหงความเปนผอู ภิบาล” และใหช ือ่ เรียกประเภททสี่ องวา “หลักเอกภาพแหง ความเปนพระเจา ” หลังจากน้ันก็ไดกลา ววา “หลักเอกภาพแหง ความเปน ผู อภบิ าล” และการยึดม่ันตอ ความเปน เอกะของผสู รางนัน้ โดยลาํ พงั แลวยงั ไมเปนท่ีเพียงพอสําหรับ หลกั เอกภาพทไี่ ดทรงประทานสงบรรดานบแี ละศาสนทูตมาโดยเฉพาะอยา งยิง่ ในแงข องการคงอยู และแพรหลายในสังคมมนษุ ย จึงจาํ เปนท่จี ะตองยกหลักเอกภาพแหงความเปน ผอู ภบิ าลข้นึ มา เพ่อื จะไดใ หก ารเคารพภักดีเปน ของอลั ลอฮแตผูเดียว และจะไดไมม ภี าคีใดๆ สําหรับพระองค เพราะวา พวกมุชริก (ต้ังภาค)ี ชาวอาหรับนั้นทง้ั ๆ ทเ่ี ชื่อม่ันใน “ความเปน เอกะ” ของผูส รางจกั รวาลอยูแ ลววา ไมม ีมากกวา พระองคองคเดยี ว แตก ระน้นั อลั -กรุ อานก็ยังถือวา พวกเขายงั เปน ผตู ้ังภาคีอยดู งั โองการทว่ี า “และสว นมากพวกเขามิไดศ รทั ธาตออัลลอฮดอก ยกเวน แตพ วกเขาเปน ผตู งั้ ภาค”ี (ยซู ุฟ-๑๐๖)(๑) ในขอเสนออันน้ไี มม ขี อ ขัดแยง ใดๆ และไมมมี ุสลมิ คนใดท่ีเปน ไปถงึ ขนาดปฏิเสธวา หลัก เอกภาพแหงความเปนผูอภบิ าลอยา งเดยี วนัน้ เปน ท่เี พียงพอแลว ยง่ิ ไปกวา นัน้ หลกั เอกภาพยงั มถี งึ สี่ ข้นั ตอน ดงั ท่ีเราไดกลาวผา นไปแลว ถงึ แมวา พวกวะฮาบียจะสรุปออกเปนสองขนั้ ตอนโดยละเลย หรือทาํ เปน ลืมไปเสยี ถงึ สองข้นั ตอนก็ตามที (๑) หนังสอื “ฟต หุล-มะญดี ” ของ ชัยคอับดรุ เราะหม าน บนิ ฮะซนั บิน มฮุ ัมมัด บนิ อับดุลวะฮาบ ตายเมอื่ ฮ.ศ.๑๒๘๕ หนา ๑๒, ๒๐
อยางไรก็ตามส่งิ ทคี่ วรกลา วถึงก็คือ : ในปญหาที่เปน สวนทัง้ หมดน้ีไมมีความขดั แยงกนั เลย ในระหวา งมวลมุสลมิ กลา วคือทัง้ หมดตา งมคี วามเห็นพองตองกันวาจาํ เปน จะตองหลกี หางจากการ เคารพภักดสี ิง่ อ่ืนนอกเหนอื จากอัลลอฮ แตป ระเด็นสาํ คัญอยูท่ีวา พวกวะฮาบียถ ือวา การใหเกยี รติ (ตะอซีม) ตอบรรดานบีและบรรดาเอาลิยา (บคุ คลผเู ปน ท่ีรกั ) ของอัลลอฮ น้ัน เปน การเคารพภักดี อยางหน่งึ (อบิ าดะฮ) ในขณะเดยี วกบั ทวี่ าในทัศนะของฝายอน่ื ๆ ถอื วา ระหวา งความหมายของ “การใหเ กียรติ” (ตะอซีม) และ “การเคารพภักดี” (อบิ าดะฮ) น้ันหางไกลลบิ ลบั เหลือเกนิ กลา วโดยอีกนัยหน่งึ คือ : ในหมมู ุสลิมทั้งหลายน้นั ไมม คี วามขดั แยง กนั เลยในรากฐาน หลกั ที่เปนสว นท้ังหมดของเรอ่ื งน้ี นัน่ คือไมอนญุ าตใหมกี ารเคารพภกั ดสี ่ิงอื่นนอกเหนือจากอลั ลอฮอยางเด็ดขาด สวนทีข่ ดั แยง กนั อยูก็มเี พยี งประเด็นท่ีวา ในทรรศนะของพวกวะฮาบียถือวา การ กระทาํ บางประเภท เชน “การเย่ียมเยือน” (ซิยาเราะฮ) เปน เรือ่ งของ “การเคารพภักดี” ในขณะท่ี ทรรศนะของฝายอน่ื ๆ ไมถ ือวา การกระทาํ อยา งน้ี “เปนการเคารพภกั ดี” ในแงของวชิ าการจาํ เปน ท่ีเราจะตองกลา ววา : ไมมคี วามขดั แยง กันในประเด็นรว มท่ีเปน สวนท้ังหมด เพยี งแตท ่ีขดั แยง กค็ อื ในแงของรายละเอยี ดแหง ขอ เท็จจริงกันเทาน้ัน เพื่อเปน การคล่คี ลายปญ หานี้ ประการแรกจําเปนท่จี ะตอ งทําความเขา ใจตอความหมายท่ี แทจรงิ ของคาํ วา “การเคารพภักดี” (อบิ าดะฮ) เสียกอนเพ่ือทวี่ า ในขั้นนี้เราจะไดแ ยกแยะคาํ วา “การ เคารพภักด”ี (อิบาดะฮ) ออกไปจากความหมายอนื่ ไดถูก และใหมกี ารพสิ จู นความจรงิ อยา งนีเ้ ชนกันกบั ประเดน็ อื่นๆ ที่นอกเหนอื จากเรอ่ื ง “การ เยี่ยมเยือน” (ซิยาเราะฮ) ตามที่พวกวะฮาบยี ถือวา เปน การเคารพภกั ดี (อิบาดะฮ) เชน “การตดิ ตอ สัมพันธ” (ตะวซั ซุล) กบั บรรดาเอาลิยาฮ (บุคคลผูเปน ที่รกั ของอัลลอฮ) และ “การขอ” ในส่ิงที่ จําเปน จากพวกเขาในฐานะท่ีมวลมสุ ลิมแตกตา งกบั พวกเขาในสภาพดังกลา ว กลา วคอื พวกเขา อนมุ ตั ใิ หม ีการติดตอ สัมพันธอยางนี้ และถอื วามันเปนการยดึ มือและทําตามคาํ สัง่ ทีร่ ะบุอยูใน บทบญั ญตั อิ ันบริสุทธ์ิ ๖- การเคารพภกั ดีหมายถงึ “การใหค วามนบนอบ” และ “การใหเ กียรต”ิ กระน้ันหรือ? สาํ หรบั นักวิชาการทางดา นภาษาอาหรับนน้ั ตางไดใ หคําจาํ กดั ความคาํ วา การเคารพภกั ดี (อิ บาดะฮ) ไวในความหมายทใี่ กลเคยี งกัน กลาวคือพวกเขาไดอ ธบิ ายคาํ วา อบิ าดะฮว า หมายถงึ “การ นบนอบและการถอ มตน” (อัลคฎุ ฎอ วัตตุซลั ลลุ ) ในลาํ ดับตอจากนขี้ อใหทา นไดพจิ ารณาคาํ อธบิ าย ของพวกเขาได ๑- ทานอิบนุมันซูร ไดก ลาวไวใ นหนังสอื “ลซิ านุลอรับ” วา : รากศพั ทของคําวา “การ เคารพภกั ดี” คือ : “การนบนอบและการถอ มตน” ๒- ทานรอฆิบไดกลา วไวใ นหนงั สือ “อัลมุฟรอดาด” วา
“สภาพความเปน บาว คือ “การแสดงออกถึงความถอมตน” สวนการอิบาดะฮยังมี ความหมายลึกซง้ึ ไปกวานนั้ เพราะวา มันเปน จุดหมายอันสูงสุดของความถอ มตน ไมมใี ครไดร ับ สทิ ธนิ ้ีได นอกจากผทู ่มี เี กียรติอยางสูงสุด นัน่ คือ อัลลอฮ ดวยเหตุน้ีพระองคท รงมโี องการวา : สเู จา จงอยา เคารพภกั ดีนอกจากตอ พระองคเ ทา นน้ั ” ๓- ในหนงั สอื (อัลกอมูส อัลมฮุ ีฎ” ของทา นฟยรซู อาบาดีย ไดอธิบายวา “อบิ าดะฮ หมายถึง การเช่อื ฟง ปฏบิ ตั ิตาม (ฏออะฮ)” ๔- ทานอบิ นฟุ าริส ไดก ลาวในหนังสอื อัลมะกอยซี วา “ผเู ปนบา ว (อบั ดุน) มลี ักษระของรากฐานสองประการ เสมือนหนึ่งวา ท้ังสองอยางน้ี ขัดแยงกัน ประการแรกคือพ้นื ฐานสองอยางที่แสดงถึงความนม่ิ นวลและถอมจน อกี ประการหนึ่ง คอื ตั้งอยูบ นความรุนแรงและขึงขัง” จากนั้นก็ยังไดอธบิ ายตอ ไปวา ประเด็นทห่ี นึง่ นั้นคือ ลักษณะ ของอฐู ที่ยอมสยบอยางสิ้นเชงิ และน่กี อ็ ีกเชนกันที่แสดงเหตผุ ลไปตามที่เราไดก ลา วไปแลว เพราะวา ลักษณะอยา งน้ันคือการถอมตนและนอบนอม ลักษณะของบา วคอื ความถอ มตนตามลักษณะที่อฐู แสดงอาการออกมาเชน กนั ประเด็นท่สี องคือ : วิธีการของผเู ปน บา ว นั่นคอื แนวทางปฏบิ ัตขิ องผูถ อมตน ๗- การนบนอบมิใชอ บิ าดะฮ (เคารพภักดี) โดยเหตุท่วี า การเคารพภักดี (อบิ าดะฮ) น้ัน แมพวกเขาจะอธิบายวา มันหมายถงึ การเชอ่ื ฟง ปฏบิ ตั ติ าม การนบนอบ การถอมตัวหรือแสดงออกถงึ ความถอ มตัวอยา งทส่ี ุดก็ตาม แตค าํ จาํ กดั ความทง้ั ความท้ังหมดนี้ก็มิใชอ น่ื ใด นอกจากเปนคาํ จาํ กดั ความดานหนึง่ ของความหมายโดยทว่ั ไป เพราะเหตุวา การเชอ่ื ฟงปฏิบตั ติ ามการนบนอบและการแสดงออกถงึ ความถอ มตนนนั้ มิใชก ารอิบา ดะฮอยางแนนอนเลยทีเดียว เพราะวา การนบนอบของบตุ รท่มี ตี อ บิดากด็ ี ของศิษยทม่ี ีตอครบู า อาจารยก็ดี ของทหารท่มี ีตอ ผบู งั คบั บัญชากด็ ี ยงั ไมถงึ ข้ึนทีจ่ ะเปน การอบิ าดะฮอ ยา งเดด็ ขาด แมจะ อยใู นลักษณะการนบนอบและการถอ มจนอยา งสุดซงึ้ ก็ตาม โองการตา งๆ ไดอธบิ ายอยา งชดั เจนวา การนบนอบและการถอมตนอยา งสูงสุดนน้ั เปนความสูงสดุ ยอดในแงข องการนบนอบอยางแทจ รงิ หาใชเ ปน อบิ าดะฮไ ม ขอใหทา นพิจารณาโองการตางๆ เหลา นน้ั ๑- การสญู ด (กราบ) ของมะลาอิกะฮทีม่ ตี อ อาดมั ซ่ึงถือวาเปน การแสดงออกถึงความนบ นอบอยางสงู โดยพระองคไดกลา ววา “และเราไดกลาวแกมะลาอิกะฮวา พวกเจา จงสญุ ดตอ อาดัม” (อัลบะเกาะเราะฮ- ๓๔) กลา วคือโองการน้ีไดแสดงใหเ ห็นวา อาดัมเปนผูไดรับการสญุ ดของมะลาอกิ ะฮ และการ สุญดของพวกเขากไ็ มถ ือวาเปน การตั้งภาคแี ละการเคารถภักดสี ง่ิ อื่นนอกเหนอื จากอัลลอฮและมะ ลาอิกะฮกไ็ มถูกจัดวาเปนผตู ้งั ภาคดี วยการกระทําเชน น้นั อีกทัง้ พวกเขาไมถ ือวาการกระทาํ ของพวก
เขาเปน การต้ังภาคแี ละหนุ สวนในการทําความเคารพภักดีตอ อลั ลอฮ แตป รากฏวา การกระทาํ ของ พวกเขาคือการใหเ กยี รติ (ตะอซ ีม) และใหก ารยกยอ งตออาดมั เรอ่ื งน้ีโดยตวั ของมันเองคอื หลักฐานทดี่ ีท่ีสุดอันหนึ่ง ที่แสดงวาการใหเ กียรติ (ตะอซมี ) ทกุ ๆ ประเภทท่ีมีตอสิ่งอนื่ นอกเหนือจากอลั ลอฮนั้น มใิ ชเปน อบิ าดะฮแกสิง่ น้นั ๆ และสําหรบั ประโยคที่วา “พวกเจา จงสญุ ดตอ อาดมั ” น้ัน ถงึ แมจ ะเปน ความหมายเดียวกับประโยคทวี่ า “พวกเจา จองสุญดอลั ลอฮ” แตกระนัน้ ประโยคแรกก็ยังไมถือวาเปน คาํ ส่ังใหเคารพภกั ดสี ิ่งอื่นนอกเหนอื จาก อลั ลอฮ สวนประโยคทส่ี องน้ันถือวา เปนคาํ สั่งใหเคารพภักดีตออลั ลอฮ อาจคิดกันไดวาในจดุ น้ี (“การสญุ ดแกอาดมั ” ตามความหมายของโองการน้ี คือการนบ นอบตอ อาดมั หาไดเปนการสญุ ดตามความหมายท่เี ปน จริงและท่ีรจู ักกนั ไม และเปนที่รูกนั อยวู าการ นบนอบทแี่ ทจริงนั้นมใิ ชอิบาดะฮ หากแต “สดุ ยอดของการนบนอบน้ันคือการสุญด ซงึ่ มันหมายถึง การอิบาดะฮ” หรอื อาจเปน ไปไดทจ่ี ะคดิ วา ความหมายของการสญุ ดตอ อาดัมคอื การต้ังใหอาดัมเปน “กิบ ละฮ” (ทิศทตี่ องหนั ไปสู) มิใชว า การสญุ ดทม่ี ตี อ เขาน้นั จะเปน สุญดท่ีแทจริง แตความคดิ ทงั้ สองอยางลว นผิดพลาดโดยส้นิ เชงิ กลาวคือความคดิ ทหี่ น่ึงนน้ั เปนการอถาธบิ ายความหมายของคําวาสุญดที่มีอยูใ นโองการนี้ วา เปน เพยี งการนบนอบ ซ่งึ เปนความผิดพลาดอยางชดั เจนและตามความหมายทปี่ รากฏชัดเจนจาก คําคาํ นี้ในแงข องภาษาและวชิ าการ นนั่ คอื เปนการสญุ ดอันเปน ที่รจู ักกันโดยแทน ั่นเอง หาใชเปน เพียงการนบนอบไม กรณีเดียวกับท่ีวาความคิดแบบท่ีสองก็เปน ความผดิ พลากอีกเชน กนั เพราะเหตุ วา เปนการตคี วามโดยท่ีไมม ีท่ีมาและไมม หี ลกั ฐาน นีค่ ือคําตอบสําหรบั ประเดน็ ทีว่ า ถา หากอาดัม (ความสนั ตสิ ุขพงึ มแี กท าน) เปน ทิศททาง (กิบละฮ) สาํ หรบั มะลาอกิ ระฮแ ลว แนน อนที่สดุ กจ็ ะไมม ปี ญหาโตแยงของชยั ฎอนในขณะทมี่ ัน กลาววา “ฉันจะสญุ ดแกผ ูท ี่พระองคไ ดสรา งมาจากดินกระนน้ั หรอื ” (อลั -อัซรออ-๖๑) เพราะเหตวุ า ไมจ าํ เปนแตอ ยา งใดเลย ทว่ี า ทิศทาง (กิบละฮ) จะตอ งประเสริฐกวาผสู ุญดจน ถึงกับจะเกิดประเดน็ ใดๆ ขนึ้ มาเพื่อขัดแยง แตความจาํ เปนกค็ อื วา : สภาพของผูถูกสญุ ด น้ันยอม ประเสริฐกวาผสู ญุ ด ในขระท่ตี ามทรรศนะของชัยฎอนน้นั อาดัมมิไดประเสริฐกวา และนีค่ ือความ จรงิ ทีแ่ สดงใหเ หน็ วาการสญุ ดน้ันมีขน้ึ ตอ หนา ผไู ดรับการสญุ ด ทา นญศิ อศไดก ลา ววา : มบี างคนกลา ววา การสญุ ดนั้นเปน ของอลั ลอฮ สวนอาดมั อยูใน ตําแหนง เปนทิศทาง (กิบละฮ) สาํ หรับพวกเขา เรื่องน้ไี มมีอะไรสาํ คญั เลย เพราะวา ในเรอ่ื งน้ถี ือวา มไิ ดเ ปนการใหเกียรติพเิ ศษและการยกยอ งแตประการใด แตหลักฐานปรากฎอยา งชดั เจนในเรอ่ื งที่ แสดงวา อาดมั เปน ผทู ่ีไดร บั เกยี รตแิ ละการยกยอ งพิเศษ และแสดงใหเห็นวา คาํ สั่งที่ใหท ําการสญุ ด
นน้ั มีจุดมงุ หมายในการใหเ กยี รตแิ กอาดัม (ความสันตสิ ขุ พึงมแี ดทาน) กค็ อื คํากลาวของอิบลสี ทีอ่ ลั ลอฮไดทรงบอกเลา ไวคอื “ฉันจะสุญดตอผูท พี่ ระองคสรางขึน้ มาจากดินกระน้นั หรือ พระองคเ ห็นวาสิง่ น้ีเปนที่ พระองคไ ดใ หเกยี รตเิ หนอื กวา ฉันกระนั้นหรือ” (อัล-อซั รออ- ๖๑-๖๒) อิบลสี ไดแ สดงใหเ ห็นวา สาเหตุทตี่ นยับยง้ั จากการสญุ ดก็เพราะวา การใหเกยี รติและการยก ยอ งตออลั ลอฮตามคาํ สงั่ ของพระองคน้ันคือการสุญดโดยเฉพาะ แกพ ระองค และถา หากวา เปน คาํ สั่งใหส ญุ ดตอ พระองคโดยทพ่ี ระองคตงั้ ทิศทาง (กิบละฮ) ขน้ึ มาสําหรบั ผสู ุญดโดยมิใชเพือ่ เปน การใหเ กยี รติและการยกยอ งใดๆ แกผนู ัน้ แลว ไซร แนนอนทเี ดียวในเรอ่ื งนก้ี จ็ ะไมมีความพิเศษและ ความดีเดน อันใดทน่ี าอิจฉาแกอ าดัม อยา งเชนอาคารกะอบ ะฮท่ีถูกตง้ั ข้ึนเพ่อื เปนทศิ ทาง(๑) ตามความหมายของโองการนคี้ อื มะลาอิกะฮนน้ั ไดสุญดตออาดมั ตามคําสงั่ ของอลั ลอฮ อัน เปน การสุญดจริงๆ และแนนอนอาดัมเปนผูไดต ระหนักโดยตัวของพวกเขาเองวา ไดทําการนบนอบ อยางสงู สดุ ตอ อาดมั แตในขณะเดียวกันนี้ก็มิไดห มายความวา พวกเขา “เคารพภกั ดี” ตออาดัมแต อยา งใด ๒- แทจรงิ อัล-กุรอานไดเปดเผยวา บิดามารดาของยซู ฟุ และพ่นี อ งของทานไดส ุญดตอ ทาน โดยอัล-กุรอา นไดกลาววา “และเขาไดเ ชญิ บดิ าของเขาข้ึนมาบัลลังก และพวกเขาไดท รุดกายตอ เขาเปนการสุญด และ เขาไดก ลา ววา โอบ ิดาขา น่ีคอื การทาํ นายฝนของขา ทีไ่ ดฝน ในครัง้ กอน แนนอนยิง่ พระผูอภบิ าล ของฉันไดท ําใหม ันเปนความจริงแลว ” (ยซู ุฟ-๑๐๐) ความฝนของทานนบียซู ุฟท่ีอลั -กรุ อานไดช้ีแจงไวในโองการน้กี ค็ อื เร่ืองราวท่กี ลา วไวใน ตอนตน ๆ ของซเู ราะห คือ “แทจรงิ ฉนั ไดฝน เห็นดาวสบิ เอด็ ดวง ดวงอาทิตยแ ละดวงจนั ทร โดยฉันไดฝ น เห็นวา พวก เขาเหลา นนั้ เปนผสู ุญดแกฉ ัน” (ยูซุฟ-๔) นบั จากนั้นมาเปนเวลาหลายปค วามฝน อันน้ีกเ็ ปนจรงิ ข้ึนในกรณีการสุญดของพ่นี อ งและ บิดามารดาท่ีมตี อทา น และอลั -กรุ อานก็ไดใชค ําวา สญุ ดในทุกแงข องเร่ืองนีแ้ กยูซุฟ จากการอถาธิบายเรอื่ งนที้ ําใหเขาใจไดว า ลําพังเพียงแตการสญุ ดตอ คนคนหน่ึงตาม ทรรศนะท่มี องอยางลึกซงึ้ ในแงข องผูเปนบิดาดวยแลว แนนอนท่สี ดุ วาจะตอ งมใิ ชเ ปน “การอิบา ดะฮ” แตการสุญดในท่ีน้ตี ามความเขา ใจของเราก็คือการนบนอบและการถอมตนอยา งสุดซึ้ง (1) หนังสือ อะหกามลุ -กุรอาน เลม ๑ หนา ๓๐๒
นักอถาธบิ ายอลั -กุรอานบางทา นไดอ ธิบายคาํ วา “อบิ าดะฮ” (การเคารพภกั ดี) วาหมายถึง การนบนอบอยางสุดซง้ึ แลว ไดใหเหตุผลเกีย่ วกับโองการเหลา นี้วา การสญุ ดตอ อาดมั หรอื ตอ ยูซฟุ นัน้ เปนไปตามคาํ ส่งั ของอลั ลอฮ เพราะฉะน้ันในประเด็นนีจ้ ึงอยูนอกเหนอื จากวิสยั ของการตงั้ ภาคี เราจะยอนกลับมาอธิบายในเร่ืองนีอ้ ีกในหัวขอเรือ่ งที่วา “คําสงั่ ของพระผเู ปนเจา ทาํ ใหการตง้ั ภาคี เปน เร่อื งทีม่ ิใชก ารตั้งภาคมี ดี ว ยหรอื ไม” ๓- อัลลอฮทรงมีคําส่งั ใหท าํ การนบนอบตอบดิ ามารดา และใหน อบนอ มอยา งทีส่ ดุ ตอคน ทงั้ สอง ซงึ่ น่ันก็หมายความวา ใหม ีลกั ษณะความนบนอบอยา งถึงท่สี ดุ นั่นเอง ดงั โองการทวี่ า “และเจา จงนอบนอ มถอ มตนอยางสดุ ซงึ้ ตอ เขาท้ังสองอนั แสดงออกจากความเมตตา” (อัล-อซั รออ- 24) ถึงกระน้ันกต็ ามการนอบนอมในที่น้ีก็ยังมิใชเปน “การฮิบาดะฮ” (เคารพภักดี) ๔- มุสลิมทัง้ มวลตอ งวนรอบอาคารบัยตุลลอฮ ในพิธีการบาํ เพ็ญฮจั ญ ซ่งึ อาคารนน้ั มิใชอืน่ ไกลนอกจากเปน เพียงหินและดนิ เทานั้น และพวกเขาตอ งพยายามเดนิ เหยาะยางระหวา งอศั ศอฟา กับอัลมัรวะฮ แนน อนอลั -กรุ อานไดสงั่ ใหท ําอยา งน้ตี ามโองการท่วี า “และพวกเขาตองวนรอบอาคารอนั เกา แก” (อัล-ฮัจญ- ๒๙) “แนน อนอัศศอฟากบั อลั มรั วะฮน น้ั เปน เอกลักษณอยา งหนง่ึ แหงอลั ลอฮ ดังนั้นผูใดบําเพญ็ ฮจั ญทอ่ี าคารหรือทาํ พธิ อี ุมเราะฮ ก็ไมเปนบาปแกเ ขาเลยทจ่ี ะวนรอบมนั ทั้งสองแหง” (อลั -บะเกาะเราะฮ- ๑๕๘) ทานคดิ วา การวนรอบดิน หิน ภเู ขา เทา กบั เปนการอบิ าดะฮส ่ิงเหลา นี้กระนนั้ หรือ? และถา หากวาการนบนอบอยางสุดซ้ึงคือการอบิ าดะฮแลว กจ็ ําเปน อยางยงิ่ วาการกระทํา ทงั้ หมดเหลานเ้ี ทากับเปนการตั้งภาคีอยางหนึง่ ท่ีไดร บั การผอ นผนั อนุโลมใหก ระทําได อัลลอฮทรง สูงสุด ทรงเกรียงไกรยงิ่ กวาเรื่องเหลาน้ี แทจริงบรรดามสุ ลมิ ทุกคนตางแสดงความคารวะตอหนิ ดาํ ในการบาํ เพญ็ ฮัจญ และถอื วา การคารวะหนิ ดาํ เปน การกระทาํ ที่ชอบอยางหนึ่งของการบําเพญ็ ฮจั ญและการกระทําอยา งนโ้ี ดย รูปแบบแลวมนั คลายกับการกระทําของพวกตั้งภาคีทีม่ ุงหนา ไปยงั รปู เคารถของพวกตนในขณะที่ ถอื วาการกระทําเชน น้ีตองเปนการต้งั ภาคี (แตใ นความเปน จริงแลวไมใ ช) แตอกี ดา นหน่งึ ไมถือวา เปนการต้งั ภาคี ย่งิ ไปกวา นน้ั ยังถือวา เปนการกระทําของผูศรทั ธาทย่ี ดึ มนั่ ในเอกภาพ นีค่ ือประเด็นท่ี เราไดก ลาวถึงไปแลววา พื้นฐานของมนั ตองมองทีเ่ จตนาและเน้อื หาทแี่ ทจริง มิใชม องท่รี ูปแบบและ การแสดงออก ถา มฉิ ะนนั้ แลวการกระทาํ อยางน้ีตามรูปแบบของมันท่แี สดงออกมากไ็ มม อี ะไร แตกตางไปจากการกระทาํ ของพวกบชู าเจว็ด ๕- แนนอนอัล-กรุ อานอนั ทรงเกียรตสิ ั่งใหเราเอามะกอมอิบรอฮีมเปน ทนี่ มาซ โดยกลา ววา “และสเู จา จงเอาบริเวณมะกอมอิบรอฮมี เปน สถานท่ีนมาซ”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211