Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักเอกภาพและการตั้งภาคีในทัศนะอัล-กุรอ่าน

หลักเอกภาพและการตั้งภาคีในทัศนะอัล-กุรอ่าน

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-10 08:10:13

Description: หลักการความเชื่อที่ผิดพลาดของพวกวะฮาบีในเรื่องชีริก

Search

Read the Text Version

หลักเอกภาพ และการต้งั ภาคี ในทัศนะอัล-กุรอาน

ภาษาอาหรบั

ภาษาอาหรับ จดั ทาํ โดย ศูนยว ฒั นธรรม สถานเอกอัครราชทตู สาธารณรฐั อสิ ลามแหง อหิ รา น ประจาํ กรุงเทพ PUBLISHED BY CULTURAL CENTER EMBASSY OF THE ISLAMIC REPUBLIC OF IRAN IN BANGKOK.

ภาษาอาหรบั ผูเรียบเรยี ง.........อลั ลามะฮ ชัยค ญะอฟ ร ซุบฮานยี  ผูแปล.................อัยยูบ ยอมใหญ

สารบัญ หนา เรอื่ ง แรงบนั ดาลใจใหเ รียบเรียงหนงั สอื เลม น้ี หมวดวา ดว ยเรอื่ งหลักเอกภาพ 1- หลกั เอกภาพในสภาวะการดํารงอยู 2- หลักเอกภาพในความเปน ผูทรงสรา ง 3- หลักเอกภาพในฐานะผูท รงอภิบาลและบรหิ าร 4- หลกั เอกภาพในการวางกฎและระเบียบแบบแผน 5- หลกั เอกภาพในการเชอ่ื ฟง ปฏิบตั ิตาม 6- หลกั เอกภาพในความเปนผูปกครอง 7- หลกั เอกภาพในเรอ่ื งของการเคารพภกั ดี ภาคท่หี นึง่ -ส่ิงสําคญั อันดบั แรกสิบประการ 1- การตอ ตา นการต้ังภาคี เปนรากฐานแหง งานเผยแพรของบรรดานบี 2- แหลงทม่ี าของการตง้ั ภาคีและการบชู าเจวด็ 3- วงจาํ กัดของหลักเอกภาพในการเคารพภักดีตออลั ลอฮฺ 4- แรงผลกั ดันท่ีกอ ใหเกิดการตง้ั ภาคีในการเคารพภักดี ก- ความเชือ่ ท่ีวา มีผสู รางหลายองค ข- ทัศนะคติท่วี า “ผสู รา ง” อยูหางจากสง่ิ ถูกสรา ง ค- มอบงานดาน “การบริหาร” ใหเปนหนาท่ขี องพระเจายอย 5- การอธบิ าย “หลกั เอกภาพแหงความเปนพระเจา ” และ “ความเปนผอู ภิบาล” 6- การเคารพภกั ดีหมายถึง “การนบนอบ” และ “การใหเกยี รต”ิ กระนั้นหรือ? 7- การนอนอบมิใชอ ิบาดะฮ (เคารพภกั ดี) 8- แยกความหมายทแ่ี ทจรงิ ออกไปจากความหมายเปรียบปราย 9- คาํ สง่ั ของพระผูเ ปน เจาทาํ ใหก ารตงั้ ภาคีเปน เรื่องท่ีมิใชการตงั้ ภาคีไดหรอื ? 10- ความหมายของคําวา “พระผูเปนเจา” และคําวา “พระผอู ภิบาล” ก- อลั -อิลาฮ หมายถึงรูปเคารพกระนั้น หรอื ? ข- ความหมายของอรั -ร็อบ และอัรรุบบู ียะฮ ค- คําวา “ร็อบ” มีหลายความหมายจริงหรือ? บทสรปุ

ภาคที่สอง-การกาํ จัด ความหมายท่ีแทจรงิ ของ คําวา “อิบาดะฮ” 1- คําจาํ กดั ท้ังสามอยา งของคําวา “อบิ าดะฮ” 2- “การยกอาํ นาจความให” หมายความวา อยา งไร? 3- การแบงพระเจา ออกเปนสว นยอยกบั การปฏเิ สธพระเจาสงู สดุ มใิ ชป ระเด็นเดยี ว 4- เน้อื หาโดยสรุป 5- ทศั นะของเรากับทศั นะของเจา ของตาํ รา อลั -มะนาร 6- ความเช่อื ถอื ของชาวอาหรบั ยคุ งมงายและพวกบูชาเจวด็ 1- พวกตง้ั แทนบูชา 2- พวกจําแนกประเภทของแทน บชู า 3- ความเช่อื ถอื ของชาวอาหรบั ยคุ งมงาย ภาคทส่ี าม-พวกวะฮาบยี ก บั ประเดน็ ตางๆ ที่สําคัญของ หลักเอกภาพและการตง้ั ภาคี 1- ความเช่ือที่มีตออํานาจอันเรนลบั ของผูอ่ืนนอกจากอัลลอฮอ ยูใ นขายของหลักเอกภาพและ การตงั้ ภาคดี วยหรือ? นบยี ซู ุฟกับอํานาจเรน ลบั นบีมูซากับอาํ นาจเรนลับ พวกของนบสี ุลัยมานกับอาํ นาจเรนลับ นบีสุลัยมานกับอาํ นาจในความเปนไปของจกั รวาล อัล-มะซีห (เยซ)ู กบั อาํ นาจเรนลับ คํากลา วอีกตอนหนึง่ ของทา นเมาดูดีย สรุป 2- ความเปนไปโดยปกติวิสัยและเหนือปกติวิสยั ของเหตุการณตา งๆ อยูใ นชว งของหลกั เอกภาพและการต้งั ภาคกี ระนน้ั หรือ? ขอ พิสูจนจ ากอลั -กุรอาน การสัมพนั ธกับปรากฏการณที่อยูเหนือกฏธรรมชาติ 3- การมีชวี ิตและการตาย เขา มาอยใู นขา ยของหลกั เอกภาพและการต้งั ภาคดี วยหรอื

4- การมีสมรรถภาพกบั การไมม ีสมรรถภาพเปนประเดน็ หนึ่งสาํ หรับหลกั เอกภาพและการตง้ั ภาคี ดวยหรอื ? 5- การขอในกจิ การท่ีผิดวสิ ยั ธรรมชาติอยูในขายของการต้ังภาคดี ว ยหรือ? ภาคท่ีสี-่ หลักความเช่อื ถอื ของพวกวะฮาบยี  การโนมนา วคนใหเ ขา มารับ อิสลาม 1- การขอใหห ายปวยและการบาํ บดั โรคจากผูอ ่ืนนอกเหนือจากอลั ลอฮ เปนการต้ังภาคีดว ย หรอื ? 2- การขออนเุ คราะหค วามชว ยเหลือจากสิ่งอน่ื นอกเหนอื จากอัลลอฮเปน การตง้ั ภาคหี รอื ? พวกวะฮาบยี ก ับการขออนเุ คราะหค วามชว ยเหลือ 3- การขอความชว ยเหลอื ตอผอู ื่นนอกเหนอื จากอลั ลอฮ เปนการตัง้ ภาคหี รือ? ทัศนะของเจา ของตําราอัล-มะนาร ในการอธิบายเรือ่ งขอบขา ยของการขอความชว ยเหลือ วิพากษทัศนะทสี่ าม 4- การวิงวอนขอตอคนมีคุณธรรม เปนการเคารพภกั ดีตอพวกเขากระน้นั หรือ? ถาม-ตอบ สรปุ คําอธิบาย 5- การเทิดเกยี รติบรรดาเอาลิยาอข องอลั ลอฮและสดดุ ีราํ ลกึ ถึงพวกเขาเปน การต้งั ภาคีกระน้นั หรอื ก- การจดั ใหม ีการราํ ลึกถงึ นบี เทากบั เปน การใหความจงรักภกั ดีและสนบั สนุนทาน ข- การจัดใหมีการราํ ลึกถึงนบี เทากบั เปน การเชิดชูเกยี รติคุณของนบี ค- การประทานอาหารมาจากฟากฟา และการถอื เอาเหตกุ ารณนั้นเปนวันฉลอง 6- การแสวงหาความจาํ เรญิ กับรอ งรอยของทานนบีและบรรดาเอาลิยาอ เปนการต้งั ภาคหี รือ 7- การกอ สรางบนสุสานพวกวะฮาบยี  กบั รายงาน อะบี อลั -ฮยั ยาจ 8- การเยือนสุสาน 9- การเศาะลาฮ (นมาซ) ที่สสุ าน 10- การสาบานตอสิ่งอืน่ นอกจากอลั ลอฮและการเอยอา งถงึ ส่ิงถูกสรา งหรือเอยถงึ สิทธิของ บุคคลผนู ั้น

1- การสาบานตอ ส่ิงอ่ืนนอกจากอัลลอฮ ผทู รงมหาบรสิ ุทธ์ยิ ิง่ 2- การเอยอางถึงส่งิ ถูกสรางและสิทธขิ องสง่ิ ถูกสราง

ภาษาอาหรบั ดวยพระนามของอลั ลอฮผทู รงกรุณาปรานี ผทู รงเมตตายง่ิ เสมอ แรงบนั ดาลใจใหเรยี บเรียงหนังสอื เลมน้ี สภาพโดยทว่ั ไปของประชาชาติอสิ ลามยุคปจ จบุ นั น้ี ไดป ระสบกับภาวะทีก่ อ ใหเ กิดความ เสยี หายและความแตกแยกระหวา งกลมุ ตางๆ ของอสิ ลาม ตลอดจนการตงั้ ขอ กลา วหาซ่ึงกันและกัน อยางมากมาย อกี ทงั้ ยงั ไดท ําใหป ระจักษถ ึงกระบวนขอกลาวหา และการแทรกแซงอยางกวา งขวาง ท่ีมตี อ ชีอะฮ อิมามยี ะฮ โดยพวั พันไปถึงหลกั การศรัทธาตออิสลามของพวกเขาตลอดจนเรือ่ งราว ตา งๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ มาจากหลักการอันน้ัน และการโจมตีสิง่ เหลา นนั้ เปนไปอยางไรจ ริยธรรมและเมตตา ธรรม จนกระทัง่ วา ประชาชนสามารถเห็นไดว า ในรอบหาปท ี่ผา นมานี้ ปฏกิ ริ ิยาคัดคา นหลกั ศรทั ธาของกลุมชนอิสลามอันยิ่งใหญกลุมน้ี ซง่ึ เปน กลมุ ชนที่มีปริมาณมากถึงหนึ่งในหา ของ ประเทศอสิ ลามทัง้ หมด และเปนประชาชาตทิ ี่ถกู ยอมรับวา ไดทําหนา ท่รี ับใชอยา งใหญห ลวงตอ อารยธรรมอิสลาม ภายใตก ารนําของบรรดาผูนาํ นกั ปราชญ และมวลชนระดับตางๆ ของคนกลมุ นัน้ เปนปฏกิ ริ ิยาคัดคา นที่ไดรบั การแพรหลายเพมิ่ ขึน้ มากกวาปฏกิ ริ ยิ าคัดคานท่ีเคยแพรหลายใน รอบหนงึ่ รอยท่ีผานมาหลายเทา นัก กลาวคอื ในขณะท่ใี นรอบหน่ึงรอ ยปทป่ี า นมาน้นั ไมค อ ยจะปรากฏวา มปี ฏกิ ิริยาใดตอ หลัก ศรทั ธาของชอี ะฮ อิมามยี ะฮ มากนกั นอกจากปฏิกิริยาคัดคานจากหนังสอื จํานวนหกหรือเจด็ เลม เทาน้นั ซง่ึ ไดแก : 1- มฮุ าเฏาะรอต ฟ ตารคี อลั อมุ ะมุล อสิ ลามยี ะฮ- โดย ค็อฏรี 2- อัซซนุ นะตุ วัชชอี ะฮ- โดย รอชีด ริฎอ 3- อัศศริ ออุ บัยนัล วะษะนียะตุ วัล อสิ ลาม- โดย กุศ็อยมี 4- ฟจรลุ อิสลาม วะฎิฮาฮ วะ เซาะฮรฮิ - โดย อะหม ัด อามีน 5- เญาละฮ ฟ รุบอู ิช ชรั กิล อะอลา-โดย มฮุ มั มัด ษาบิต มิศรี 6- อัลวะชีอะตุ นกั ดิ อะกออิด ชอี ะฮ- โดย มูซา ญาร็อลลอฮ 7- อลั -คฎุ ฎ ล -อะรเี ฎาะฮ- โดย มุฮบิ บุดดีน อลั -คอฏบี 8- ตับดดี อัซซุลาม วะตันบีฮนุ นิยาม-โดย ญับฮาน และอืน่ ๆ อกี ซงึ่ ก็ไมแ ตกตางกันสักเทา ใด และนับเปนเร่ืองธรรมดาของผทู ่ยี งั รเู ทาไมถึงการณก บั หลักความ เชอื่ ถือของพี่นองและแนวทางของเขา... สงิ่ เหลา น้ี เกิดขึ้นโดยประกอบกบั เหตผุ ลท่วี า สว นมากของปฏิกิรยิ าคัดคา นเหลานม้ี ิได อางอิงตาํ ราใด นอกจากตาํ ราของนักบุรพคดแี ละศตั รูของชอี ะฮต ลอดจนบรรดามสุ ลิม เมื่อเปน เชน นี้ จึงทาํ ใหบุคคลเหลา น้ันบางทาน เขยี นเร่อื งราวเก่ียวกับ ชีอะฮ อมิ ามียะฮแ ละเก่ยี วกับหลัก

ศรัทธาของชีอะฮใหผดิ พลาดไปแลว พวกเขากไ็ ดขอขมา(1) และแสดงความเสียใจในสิง่ ท่ีตนเขยี น ไป อีกทั้งยงั ไดแ กไขเร่ืองที่เขาไดกลา วไปแลว ดวย แนน อนทสี่ ดุ บรรดานักปราชญชีอะฮแ ละปญญาชนในหมูพวกเขากไ็ ดม กี ารวพิ ากษ หนงั สือและปฏิกริ ยิ าเหลา น้ี ตลอดจนไดทําการอธิบายถงึ หลักศรัทธาของชอี ะฮ เรอื่ งราวเกี่ยวกบั พื้นฐานและขอปลีกยอยของมันนับเปนจํานวนสบิ ๆ เลม ซึ่งเราจะกลาวถงึ ชอื่ ของบางเลมมาเปน ตวั อยา ง ดังน้ี : 1- อศั ลุชชีอะฮ วะอุศลู ุฮา-โดย อมิ าม ชัยค มุฮมั มัด ฮุเซน กาชิฟ ฆิฏออ 2- อลั มุรอญอิ าต- โดย อมิ าม มุญาฮดิ ซัยยิด ชัรฟุดดีน 3- ตะหต ะ เราะยะตลุ ฮกั -โดยอัลลามะฮ อบั ดลุ ลอฮ อซั ซะบตี ี 4- อลั ฆอดรี เลมทีส่ าม โดย อลั ลามะฮ อัลฮุจญะฮ ชัยค อะมนี ี 5- อะกออิดลุ อิมมามียะฮ- โดย อัลลามะฮ อัลฮจุ ญะฮ มุซ็อฟฟร 6- อจั ญวะบะตุล มูซา ญารลุ ลอฮ-โดย อมิ มา มญุ าฮิด ซยั ยิด ชัรฟุดดีน 7- มะอลั คอฏบี ฟ คฏุ ฏฮิ  อะรเี ฏาะฮ โดยอลั ลามะฮ อลั ฮจุ ญะฮ ศอฟย 8- มะอลั คอฏีบ ฟ คฏุ ฏ ฮิ -โดย อลั ลามะฮ ชัยค ซุลยั มาน อัลคอกอนี (๑) ดงั เชนท่ี อะหมดั อามีน เจาของหนงั สอื ฟจ รุล อสิ ลาม ไดกระทําไปแลว ตาท่อี มิ าม ชัยค มุฮัม มดั ฮเุ ซน กาชฟิ อัลฆิฎออ ไดก ลาวไวในหนังสอื ของทาน (อัศลุชชีอะฮว ะอศุ ูลุฮา) : หนา ๘๒ พมิ พ ทไี่ คโร ฮ.ศ. ๑๓๗๗ / ค.ศ. ๑๙๕๘ คร้ังทสี่ ิบวา : นับเปน การพบกันที่ไมน าเชือ่ คอื อะหมดั อามนี ผเจา ของหนงั สือฟจรุลอิสลาม) น้ัน หลงั จากทหี่ นงั สอื ของเขาไดเผยแพรในป ฮ.ศ.๑๓๔๙ ทผี่ านมา และนักปราชญแ หง เมอื งนะญัฟกลมุ หนง่ึ ไดป ระทว งตอเขา แลวเขาไดมาเยือนในฐานะตวั แทน นักเขียนชาวอียิปตอนั ประกอบดว ยคณะครูและนกั ศกึ ษาราวสามสิบคน เขากับคณะไดมาเยย่ี มเรา และพักกบั เราในงานเล้ยี งของคืนหนง่ึ ในเดือนรอมฎอนแลว เราก็ไดกลา วตาํ หนิเขาเกยี่ วกับเรอื่ งราว ทเ่ี กิดข้ึน โดยการตําหนิอยางสุภาพและเราไดยินดีอภยั ใหเ ขาอยางดงี าม... ปรากฏวา เขาไดพรรณา การขอขมาอยา งยืดยาวโดยไมม ีขอ โตแ ยง และขอเสนอใดๆ อีกเลยแมแตนอย แลวเราไดกลา ววา : เรือ่ งน้ยี ังไมจบ ดังนั้นถา ใครตอ งการเขยี นเรื่องใด ก็จําเปน ท่ีเขาจะตอ งเตรยี มพรอ มใหเพียงพอและ ตอ งศึกษากระทัง่ เขาใจอยา งถอ งแทเ สยี กอ น มฉิ ะน้ันจะไมอ นุญาตใหเ ขาลงมอื และเสนอสิ่งดงั กลาว เปน ไฉนทีห่ องสมุดท้งั หลายของชีอะฮ และจากจาํ นวนเหลา น้นั คอื หองสมุดของเราที่เตม็ ไปดว ย หนังสือมากถงึ หา พันเลม สวนมากจะเปน หนงั สือของนักปราชญฝ ายซุนนะฮ และนั่นคือในเมือง อยา งนะญัฟท่ีขาดแคลนทุกส่ิงทุกอยา งนอกจากความรูแ ละการสรางสรรค อนิ ชาอัลลอฮ สว น หอ งสมุดในไคโรอันย่งิ ใหญน นั้ ไมม ีหนังสือชอี ะฮเ ลย มิหนาํ ซาํ้ ยังเปนสงิ่ ที่ไมไดรับการกลา วถึงอีก ดวย ใชแลว พวกท่ไี มมีความรใู ดๆ เกยี่ วกบั ชีอะฮเ ลย แตเ ขียนถงึ ชีอะฮไดไปเสียทุกเรือ่ ง

นอกเหนอื จากน้ีก็ยังมตี าํ ราและหนังสือตา งๆ ในแนวนอี้ กี มาก จึงกลาวไดวาในชวงศตวรรษที่ผา นมา ไมม ปี ฏกิ ิรยิ าคัดคา นใดๆ ตอ หลักศรัทธาของชีอะฮ อิมามยี ะฮ นอกเหนือจากหนงั สอื จาํ นวนเลก็ นอ ยนเ้ี ทานน้ั ในขณะท่ีพอหลงั จากการปฏิวัตอิ ิสลาม ในอหิ รา นไดประสบชยั ชนะแลว จํานวนของปฏกิ ิรยิ าคัดคา นและหนังสอื ตางๆ ที่โจมตีชนอิสลาม กลุมนใ้ี นดานหลกั ศรทั ธาและแนวทางปฏบิ ัตอิ ยางรนุ แรงแข็งขนั มถี งึ สีส่ ิบเลม รวมท้งั หนังสือและ เอกสาร สวนหน่ึงก็เปนหนังสอื ประเภทโจมตหี ลักศรทั ธา อกี สว นหนง่ึ ก็โจมตีนกั ปราชญแ ละบุคคลสาํ คัญ ประเภททสี่ ามก็โจมตรี ายงานฮาดษี และหนงั สอื ท่ีเก่ียวกับฮาดษี ประเภทท่ีส่กี โ็ จมตีทศั นะของนักวิชาการทางศาสนาที่ไดรบั การถา ยทอด มาจากคัมภีรแ ละแบบฉบบั ของทานศาสดา (ซุนนะฮ) บางประเภทกโ็ จมตวี า เปนพวกปฏิเสธ (กาฟร ) ไปเลย อีกบางประเภทก็โจมตรวี าเปนพวกบชู าไฟ (มะซู ี) บางกส็ รปุ ใหวา เปนพวกตั้งภาคี (มชุ รกิ ) มนั เปน เสียอยางนน้ั ... ในขณะทีห่ ลักศรัทธาของกลุมชนชาวมุสลมิ อนั ยง่ิ ใหญกลมุ นี้กด็ ี ทัศนะของนักวชิ าการ ทางศาสนาในหมูชนกลุมน้กี ็ดี ลวนเกิดข้ึนมาจากเนื้อหาของคัมภีรอ ันทรงเกยี รตแิ ละแบบฉบบั ของ ศาสดาอันบริสทุ ธิ์ (ชุนนะฮ) โดยไดร บั การอา งถึงจากนกั รายงานฮาดษี ทดี่ ีเดนและนกั เผยแพรท ่ีดี เย่ยี ม(๑) นักปราชญทง้ั มวลตางยืนยันถงึ ความซอื่ สัตยและความแนนอนในสว นมากของคนเหลานน้ั อีกทั้งยงั ไดยืนยนั ถึงหลักศรัทธาทถี่ ูกตองและสภาพความเปน อยางเท่ียงธรรมของคนเหลา น้นั และ พื้นฐานทางดานวิชาการของคนเหลานั้นคือ บรรดาอะฮลลุ บยั ตข องทานนบีผูบ รสิ ทุ ธิ์ซงึ่ บรรดา บรรพชนของมสุ ลิมตางไดยืนยันถึงความดเี ดน ความสะอาดบริสทุ ธิข์ องพวกเขามาแลว และได บนั ทึกเร่อื งราวเกี่ยวกับพวกเขาไวใ นหนังสือนับจาํ นวนเปนพันๆ เลม... ทา นทราบหรอื ไมวา อาจมอี ะไรซอ นอยูเบื้องหลงั บา ง? มนั มเี บ้ืองหลงั ซอนเบ้อื งหลังอยู หรือไม? ทําไม การโจมตีอยา งขนานใหญเหลา นจี้ งึ มีข้ึนมาในเวลาเดยี วกนั กบั พลงั อันรงุ โรจนของ อิสลามไดสําแดงขน้ึ เปนคร้งั ลาสดุ ในโลกอิสลาม และไดใชว ธิ กี ารแพรโ จมตี ราวกบั ไฟไหมฟาง กับทันทพ่ี ลังอิสลามไดส รา งความหวาดวิตกใหแกพวกจกั รวรรดินิยมและไดชใี้ หเ หน็ วา อาํ นาจของ (๑) หนงั สอื ฮาดษี ตางๆ ทีถ่ ูกยอมรับกันในฝา ยชอี ะฮก เ็ หมอื นกบั รายงานศอฮีฮแ ละสุนขั ตา งๆ ทีถ่ กู ยอมรับกันในฝา ยอะฮลิซซนุ นะฮ กลาวคอื เปน หลักฐานทม่ี นี าํ้ หนักในกรณีทีม่ สี ายสบื และ หลักฐานถูกตองสมบูรณและไมสามารถอทุ ธรณตอความเชอ่ื ม่นั ใดๆ ของเจา ของตาํ ราเหลา นนั้ โดย รายงานปลีกยอยหรือออนหลกั ฐานหรอื ที่ขดั แยงกันได

พวกเขากําลงั อยใู นอันตราย? ทําไม ความพยายามอยา งหนกั หนว งเพอ่ื สรางความแตกแยกและการขัดแยงกันตลอดจนถึง การตอสกู ันระหวา งกลมุ ชนตา งๆ ในประชาชาตนิ ีไ้ ดเกิดข้ึนในเวลาเดยี วกนั กบั ท่ีมวลมสุ ลิมไดเรม่ิ เขา ใจเกี่ยวกับสภาพความเปน จรงิ ของพวกเขาท่ลี า หลงั และนา อดสู อกั ทงั้ ไดรู ปญหาพื้นฐานนั้น ข้นึ อยูกบั ความแตกแยกของพวกเขานั่นเอง แลวเสียงเรียกรอ งหาความเปน เอกภาพและความใกลชดิ กนั ระหวางมวลมุสลมิ ไดประกาศข้ึน และไดประจักษแลววา เสน ทางอนั จาํ เรญิ นั้น มอี ยูใ นวถิ ที าง อนั นี้? ทาํ ไม ความอตุ สาหะในดา นของการโจมตีชนดิ ที่นา บดั สขี องมวลมุสลมิ ดว ยการโจมตีชน กลุมนี้หรือกลุมนนั้ วา เปน พวกปฏเิ สธ(กาฟร) พวกตง้ั ภาค(ี มุชริก) พวกบชู าไฟ(มะูซ)ี และขอห อื่นๆ อีกไดเกิดขนึ้ ในเวลาทพ่ี รอมๆ กันกับการแถลงอยางเปดเผยของตางชาตวิ า กลุมฟนฟอู ิสลาม ในตะวนั ออกกลางและแถบอาวอาหรับนั้นเปน อันตรายอยางยิ่งสําหรับอาํ นาจของโลกตะวันตก? และในที่สุด ทําไมปฏบิ ตั กิ ารจองเวรกบั ชีอะฮ อิมามียะเหลานีจ้ ึงไดเ กิดข้นึ ในเวลาเดยี วกนั กบั มีการประชุมวิเคราะห “ชอี ะฮ” ขน้ึ ในประเทศอิสราเอลหลงั จากทที่ หารของอสิ ราเอลไดถูก บําราบโดยกองกําลงั ของชอี ะฮทางภาคใตข องเลบานอน การประชมุ ในคร้งั น้ี ไดย ุติลงดวยการลง มตใิ หม กี ารลมลางพวกชอี ะฮ ทงั้ แนวความคดิ และการดํารงอยู โดยถือวา พวกเขาคืออันตรายอยา ง ยิ่งยวดสาํ หรับพวกไซออนสิ มจอมโจรแหง อสิ ราเอล ถงึ แมการโจมตีจะมแี ตพวกชอี ะฮ แตน ่คี อื พวกท่อี ะฮล ลุ บยั ตเปนผชู ้ีนาํ อยู “บรรดาผซู ่ึง ความเปน เลศิ ในดา นความเขา ใจศาสนาของพวกเขาน้นั เปนเลศิ ในดา นความยุตธิ รรมและความ ถกู ตอง และดวยความปลอดภัยจากความหลงผดิ และดวยคมั ภรี ของอลั ลอฮท ่ีผกู มดั อยูจนกระทง่ั เขา สสู วนสวรรค” ดงั ที่ทานศาสนทตู แหง อลั ลอฮ (อัลลอฮทรงประทานความอษั ษะเกาะลยั น) ซ่ึงทง้ั ชอี ะฮแ ละซนุ นะฮตา งก็ไดร ายงานเอาไวดว ยกัน ถึงแมก ารโจมตจี ะมแี กกลมุ ชนแหง ประวตั ิศาสตรดง้ั เดิมของอิสลามเมือ่ วนั ปฐมฤกษ ทานศาสนทตู ก็เคยไดกลาวไวว า : อาลี และชีอะฮของเขา (พวกของเขา) เปนผมู ีชัยชนะ(๑) ถึงแมก ารโจมตจี ะมีตอ กลุมชนแหง อิสลามกลุม น้ีแตในจํานวนคนเหลานกี้ ็มนี ักวชิ าการ และนกั ปราชญเปนจาํ นวนนับลานคน และเปน กลุมชี้นําทางดา นแนวความคิด สติปญ ญา ความ ยุตธิ รรมและวัฒนธรรม นคี่ ือพวกที่มปี ระวตั คิ วามเปน มาทีด่ เี ลิศในการตอสูเพ่ือปองกนั เสถียรภาพของอสิ ลามและ มุสลิม จึงกลาวไดวา ถาการโจมตคี นกลมุ นี้เกิดข้ึนดว ยแรงผลักดนั จากความเครง ศาสนาแลว แนนอน สิง่ แรกทีส่ าํ คญั ยง่ิ ไปกวาก็คือ จะตอ งตอ สูกบั ลัทธมิ ารก และสงั คมนิยม ซง่ึ มนั เปนอันตราย (1) ตัฟลีร ดรุ รุล มนั ษูร ของทานซะยูฏี ในตอนอธิบายโองการ “แทจรงิ บรรดาผูศรัทธาและ ประกอบการดีนน้ั เปนพวกประเสริฐยิง่ ” หนา ๓๗๙ เลม ๖ พมิ พทเ่ี บรุต

แกป ระเทศอิสลามอยา งใหญหลวง ไมวาทั้งภายในและภายนอก จนกระทง่ั วา กบั ผูทไ่ี ดให การชวยเหลือและสนบั สนุนอยูในทุกประเทศแมแ ตร ฐั บาลตา งๆ ในอาณาจกั รอสิ ลาม ไมเคยมใี ครคิดทจ่ี ะกลาโจมตลี ทั ธิบอ นทาํ ลายทเ่ี ปน อันตรายเหลา น้เี ลย ถงึ แมมนั จะตอ ตา น กบั ทกุ สิ่งทุกอยา งนบั ตั้งแตหลกั ศรัทธา ไปจนถึงจริยธรรมสวัสดิภาพ อสริ ภาพและในทสี่ ุดก็คือ เสรภี าพ (อาจเปนสง่ิ แรกดวยซาํ้ ) และเปนลัทธทิ ไ่ี มศรัทธาตอสง่ิ ใดเลยที่ดาํ เนนิ บทบาทไปยงั เรอื่ ง ของศาสนาใชห รือไม? ไมมผี ูกลาหาญคนใดโดยเฉพาะในบรรดาผทู ่ีประกาศตนวาเครง ครดั ศาสนาแลวทมุ เทเงนิ เปน ลานๆ เหรียญดอลลารเพื่อสรางความแตกแยกระหวา งกลุมชนตางๆ ของอสิ ลามและทาํ ลาย ความเปนพ่นี องในอสิ ลามภายใตขอหาท่มี าในรูปตา งๆ คดิ ท่จี ะประชุมบรรดานักปราชญ ผทู รงคณุ วฒุ ิและนกั วชิ าการของมวลมุสลมิ เพอ่ื ดาํ เนินการปรกึ ษาหารอื กนั อยางแทจรงิ เพอ่ื ท่ีจะได เปนงานท่ตี อสูก บั ขบวนการมารกซิสม ซ่งึ มันไดแ พรหลายอยูแมก ระท่งั ในดนิ แดนหะรอมทั้งสอง แหงและมันไดครอบงาํ จิตใจแมแ ตกับคนหนมุ ๆ ในมกั กะฮอนั ทรงเกียรติและนครมะดีนะฮแ ละ ดนิ แดนอันศกั ดิส์ ิทธ์ิสว นอน่ื ๆ ใชห รือไม? ทาํ ไมคนเหลา น้นั ไมคิดบางเลย (ถา เขามีความสจั จริง) วา ในประเทศอสิ ลามบางประเทศ ซง่ึ เคยเปน ทมี่ าของประวัตศิ าสตรอันยาวนานสําหรับอิสลามแตมาบดั น้ีมนั ไดก ลายไปเปน ท่ีต้งั ของ ลทั ธมิ ารก ซไ ปเสียแลว กลาวคอื ในบางประเทศถงึ กับไดประกาศกฎหมายตามระบอบสังคมนิยมไป แลว บา งกย็ อมใหท าํ งานโดยไมต อ งถือศีลอด บางก็ยํา่ ยีแบบฉบับ (สนุ นะฮ) อันบรสิ ุทธขิ์ องทา นน บี ไปจนถงึ เรอ่ื งอ่นื ๆ อกี ทีบ่ อนทําลายอิสลามในรูปตางๆ? บัดน้ีไดมปี ญ หาพ้ืนฐานทีเปนอันตรายสําหรับเสถยี รภาพของมวลมุสลิมและการดาํ รงอยู ของพวกเขาสองประการ คือ : 1- ยวิ ไซออนสิ มและโลกคายตะวนั ตกทสี่ นับสนุนอยูใ นทุกวถิ ีทางของแผนชัว่ ราย 2- ลัทธิคอมมิวนิสมและโลกคา ยตะวนั ออกผูบอ นทาํ ลายทใี่ หการสนับสนุนในทกุ ๆ ดา นอยเู บื้องหลัง ศตั รูตวั ฉกาจทง้ั สองฝายนไ้ี ดยึดหลักการดังตอ ไปน้ี 1- เผยแพรความเสยี หายทางดา นจริยธรรมระหวา งมวลมสุ ลมิ โดยเฉพาะในหมคู นหนุม สาว 2- แพรหลายสภาพจติ ใจที่ตกต่ําใหเ ขา ไปสูจติ ใจของคนเหลานัน้ 3- คงสภาพของพวกเขาไวกบั ความลา หลังทางดา นวชิ าการ อารยธรรม เศรษฐกิจ และ การเกษตร ฯลฯ 4- ลบลา งความศรทั าของพวกเขาที่มีตอศาสนา ตออัลลอฮ ตอวันปรโลก ซ่งึ พวกเขามี ความเช่ือตอสงิ่ ดังกลา วอยุในทุกวนั น้ี และตรึงพวกเขาไวกบั พายุรายท่พี ัดกระหนํ่า ไปจนถงึ เร่อื งอื่นๆ

แลว ทาํ ไมพอหลังจากท่ชี ีอะฮและประชาชนมสุ ลิมชาวอิหรานไดส ําแดงพลังการตอ สอู นั ยิ่งใหญต อประเทศจักรวรรดินิยมและสมุนของมัน พวกเขาเหลาน้นั กไ็ ดล งมอื จัดการโจมตคี นกุลม นี้ อะไรบา งทพี่ วกเขาไดทําไปเพ่อื เปนการตอสกู บั ภัยอันตรายทัง้ สองอยา งนี้ ในขณะทพี่ วกเขามี ความสามารถซ่ึงไมม ใี ครรูซ ้ึงไดนอกจากอัลลอฮ? มบี า งไหมทีพ่ วกเขาไดกระทาํ การใดๆ ทส่ี รา งความลาํ บากใหแ กอิสราเอลในฐานะท่ไี ดยา่ํ ยี มวลมสุ ลมิ และชาวอาหรบั มาหลายคร้ังหลายคราว โดยไมหยุดหยอ น หรอื วาพวกเขาเปนตัวต้ังตวั ตี ในการจดั ประชุมเรยี กรอ งสันตภิ าพกับอสิ ราเอลและดาํ เนินการเพ่อื แกปญ หาดวยการยอมจาํ นน และยอมรับตอ ประเทศอสิ ราเอลใหท าํ สงครามขึน้ อยางยดื เย้ือในโลกอิสลาม? หรอื วาพากเขาเคยแสดงความองอาจตอโลกตะวนั ตก ตอบโต และสรู บตลอดจนตัด สมั พันธไมตรี ใหเ หมอื นกบั ท่ีพวกเขาตอบโตกับโลกตะวันออกและตดั สัมพันธบางส่ิงบางอยา งไป แลว? ทาํ ไมพวกเขาจึงมงุ กันแตจ ะใชเ คร่ืองมอื โจมตีมาตอสกู บั หลักศรทั ธาของชอี ะฮอันสบื ทอด มาจากพน้ื ฐานของอสิ ลาม อนั ไดรับมาจากบรรดาอะฮลุลบัยตข องนบีผูบรสิ ทุ ธ์ิ? ชอี ะฮใชหรอื ไม ทีข่ บั ไลอเมริกาออกจากอิหรา นและโจมตสี มนุ ของมันท่ีสรา งความตกตาํ่ ใหแกอาหรบั และสนนั สนุนอสิ ราเอล? ชีอะฮใ ชหรอื ไม ทีข่ ับไลอิสราเอลออกไปจากภาคใตเ ลบานอนและติดตามไปกระหนํ่าการ โจมตีและสอนบทเรยี นชนิดทพี่ วกมันไมอาจลืมได? การโจมตรีชอี ะฮในทกุ วนั น้ี มิไดม ีสาเหตใุ ดๆ เลยใชห รือไม นอกจากเพราะวา พวกชอี ะฮ ไดโจมตีโลกตะวันตกและโลกตะวันออกใหเกิดความตกต่าํ และเสียหายอยางนนั้ และไดสําแดงถงึ การกระทาํ ท่เี ปนอันตรายอยางยง่ิ สาํ หรับอทิ ธิพลของตางชาติท่มี อี ยูใ นประเทศอิสลาม? ชอี ะฮใชห รือไม ที่สาํ แดงตนวา เปน อันตรายอยางยง่ิ ตออทิ ธพิ ลของอเมรกิ าในซาอดู ี แถบ อา วอาหรับ อียปิ ต เลบานอนและอิรกั และไมวาเมืองใดทช่ี อี ะฮมอี ยู หรอื เมอื งท่มี ผี ูสนับสนนุ แนวทางของชอี ะฮในดานการปฏวิ ัติซง่ึ ปฏเิ สธความตกตา่ํ และการถูกย่ํายอี กี ทง้ั การยอมจาํ นน และ ปฏเิ สธรัฐบาลตางๆ ท่เี ปน สมุนและเปน อาชญากร ตลอดจนไดตอ สูกบั ความอธรรม, การกดขี่ ขม เหงทุกรปู แบบและประกาศคําขวญั วา : ออกไปจากเราเสียเถดิ ความตกตํ่า และ “และจงอยา สนบั สนุนพวกอธรรมไ และ “ทาํ ไมสเู จา จึงไมตอสใู นวถิ ที างของอัลลอฮแฺ ละบรรดาผถู ูกกดข่ี” และ คาํ ขวัญทว่ี า “ชวี ติ อยกู บั หลักศรัทธาและการเสียสละ” และคําขวัญท่วี า “คนตายทัง้ เปน ในหมูพวก ทา นคือคนแพ คนเปนทงั้ ๆ ท่ีตายไปแลวในหมูพวกทานคอื คนชนะ?” ทําไมจึงมหี นงั สอื “วะญาอะ ดูรุล มะูส” ออกมาโจมตพี วกเขาเหลาน้นั ? แลวใครเลา ทถี่ กู หมายถึงวา เปนพวกมะูซี (บชู าไฟ) ? มนั จะหมายถงึ ชาวอิหรา นที่ พยายามนําหลักการอิสลาม เชิดชูธงอิสลาม อรรถาธบิ ายคมั ภรี ข องอิสลามรวบรวมรายงานฮาดีษ

ตางๆ ทถ่ี ูกยอมรับในสายอะฮลซิ ซุนนะฮอ อกมา เชน ทา นอมิ ามบุคอรี อมิ าม มสุ ลมิ ตริ มิซีย นะซาอี และอิบนุมาญะฮ กระนั้นหรือ? หรอื วาพวกเขาใหค วามหมายวามะซู ี คอื ชอี ะฮ (พวก) ของทานอาลี (ความสันติสุขพงึ มี แดท าน) ที่บันทึกรายงานฮาดษี ตางๆ ของทา นรซลู ผูท รงเกียรตแิ ละบรรดาอะฮลุลบยั ตผูบรสิ ทุ ธ์ินับ จํานวนเปนรอ ยๆ เลม อกี ทัง้ ยงั ไดเ ขียนตําราอธบิ ายอัลกุรอาน อนั ทรงเกียรตินับจาํ นวนรอ ยๆ เลม ทงั้ เลมเลก็ เลม ใหญ ตลอดทงั้ ยังไดรวบรวมตาํ ราท่เี ก่ยี วกบั หลักศรทั ธาของอสิ ลามอีกนบั รอยเลม และใหความบรสิ ทุ ธต์ิ อ อัลลอฮจนพนความบกพรอ งในทกุ ๆ อยา ง ใหความบริสทุ ธใิ์ จตอ บรรดานบี วา พน จากขอตาํ หนิในทุกๆ ประการ และยนื ยันถงึ ความยุตธิ รรมของอมิ ามและคอลฟี ะฮตลอด จนถงึ ผูปกครองและผดู ูแลประชาชาตอิ สิ ลามเพือ่ จะไดช น้ี าํ ไปดว ยความซือ่ สตั ยและความเทย่ี ง ธรรม ถา พวกท่ีโจมตชี อี ะฮก บั พวกท่ีเชอ่ื มัน่ โดยจริงใจตามหลกั การของอิสลามวาชอี ะฮค อื พวกที่ หลงผิด พลกิ แพลง ก็ควรจัดใหม กี ารประชมุ โดยเสรีและรวมเองบรรดานกั ปราชญม ุสลิมทงั้ ซนุ นะฮ และชีอฮมาพิจารณา อภปิ รายทางวิชาการของอซั ฮบั และควรจะเสนอกระทูไปยงั นักปราชญชอี ะฮ และนกั วชิ าการในหมูพวกเขาเกยี่ วกับขอ ผิดพลาดท่เี ปน ขอ สงสัยและทีเ่ ปนปญ หา อีกทั้งควรจะ ขอใหช ีอะฮเสนอหลกั ฐานท่ีเปนขอ พิสูจนตามมซั ฮบั ของพวกเขา เชนเดียวกับบรรดาทนี่ กั ปราชญ ทง้ั ของชอี ะฮและซุนนะฮก ระทาํ อยา งน้ันมาแลวในอดตี จนพวกเขาไดประชมุ กนั ในสถานท่ี เดยี วกัน และถกปญหา พิจารณากนั จนไดร ับขอ สรปุ ท่ดี ีหลงั จากไดขจัดเมฆทึบท่บี ดบังอยใู หพ น ไป และยกเลิกขอสงสัยตา งๆ ออกไปอกี ทงั้ ยังไดก ระชับความสมั พนั ธกันอยา งใกลชิด และได รวมกนั ยอมรับในความเปน จริงหลังจากไดถ กเถยี งกนั ดวยวธิ กี ารทดี่ ีงามและสนทนากันในเชงิ วชิ าการแบบพน่ี อ งท่สี ัมพนั ธกนั อยางแนน แฟนในลักษณะอยางนี้ชอี ะฮก ็จะไดใชช ีวติ อยูอยา งพี่ นอ งกับอะฮล ิซซุนนะฮ ในลกั ษณะที่คนกลมุ ใหญไมบ ีบคนั้ คนสวนนอยหรือวา คนสวนนอ ยจะ หวาดผวาคนสวนใหญ แตค วามสมั พันธข องพวกเขาจะเปนไปในลกั ษณะทชี่ วยเหลอื เกื้อกูลกัน จนถึงขนึ้ ท่แี ตละฝา ยไดเขา ใจหนังสอื ของฝายหน่งึ และไดยอมรบั ในทัศนะของฝา ยหนง่ึ ตลอดจน สามารถสนับสนุนความพยายามของอีกฝา ยหน่งึ และภูมใิ จในการท่ฝี า ยหนึ่งประสบความสาํ เรจ็ ใน การกระทาํ อยางใดอยา งหนงึ่ แลว ทาํ ไมการตอสกู ันระหวางชอี ะฮก ับซนุ นะฮซ ง่ึ กอ ใหเกิดความเสยี หายและมแี นวโนม ไปสคู วามแตกแยกระหวางมสุ ลิมนั้น มิไดด ําเนินไปตามลกั ษณะการประชุมรว มกนั อยางท่ีวานี้ซง่ึ เคยกระทาํ ในบรรยากาศของการสนทนาเชงิ วชิ าการท่ีถกู ตองจนประสบความสาํ เรจ็ อยา งดีเลิศ ระหวา งคนสองฝายทง้ั ซนุ นะฮและชีอะฮ ในอดตี นั่นคือ : อมิ าม ซรั ฟดุ ดีน และอิมาม ซะลมี บะชะ รี อดตี อธิการบดีมหาวทิ ยาลยั อลั อัซฮัร เพ่อื สกัดกั้นความมืดมน และขจัดเมหหมอกอนั มืดทึบท่ี ครอบงําสายตาอยู จนทาํ ใหม องมิตรเปนศัตรู และมองพนี่ อ งวาเปนคนแปลกหนาทน่ี ากลวั ?

ไมต องสงสัยวา นกั ปราชญชีอะฮน ้นั มีความพรอ มอยูทุกเมือ่ สาํ หรับการจดั ใหม กี ารประชมุ ในลักษณะน้เี พอ่ื เสนอขอพิสูจนตา งๆ ของพวกเขา ถา อกี ฝายหนึ่งแสดงความปรารถนาดว ย เปา หมายเพอื่ สรา งความเปน เอกภาพของมวลมุสลมิ และผกู มัดความสมั พันธข องพวกเขาใหแ นน แฟน แนนอนทีส่ ดุ เราท้ังหลายมีความจําเปน อยางย่งิ สําหรับการสรา งความใกลชดิ อยางนี้ และ จําเปน อยา งย่ิงทเ่ี ราตองมีความเปน เอกภาพแทนความเปนเอนกภาพ นี่แหละที่ทานรซูลลุ ลอฮ ผทุ รงเกยี รติไดส อนใหร วมตวั กัน และมใิ หแ ตกแยกกัน ทานได รวมคนใหเ ขา กัน มใิ หแ ยกกันอยู ทานสมานสัมพันธไมตรแี ละไมผละหนใี คร ทา นไดก ลา ววา “แทจ ริงอาํ นาจของอลั ลอฮ อยูที่การรวมตวั เปนหมคู ณะ” อิสลามอนญุ าตใหก ระนั้นหรอื ในกรณที เี่ ราจะถอื เอาขอแตกตา งของชอี ะฮทีผ่ ดิ ไปจากฝา ย ผืน่ ๆ ในบางแงมมุ ของทัศนะทางวิชาการศาสนาทีถ่ ือวา ไมถูกตอ งนั้น (แนนอนที่สุดวา เปน ส่ิงท่ี ถกู ตอ งเพราะวา ไดน ํามาจากทางนาํ ของทา นนบีและคําสอนของเชอื้ สายผูบ รสิ ุทธิ)์ มาเปนขออางใน การทําลายพวกเขา หล่งั เลอื ดพวกเขาและตัดสินวา แนวทางของพวกเขาเปน โมฆะ ยินยอม (บางครั้ง ถึงกับคบคิดกัน) เผามสั ยิดของพวกเขาซง่ึ มันกเ็ ปนบานของอลั ลอฮ อยางเชน ทเ่ี กิดขึ้นในประเทศ ปากสี ถาน ในขณะเดียวกันท่ีวา ระหวา งมซั ฮับท้ังสี่น้ันก็ยังมคี วามแตกตางกันในหลายส่งิ หลายอยง มากกวาความแตกตา งท่มี รี ะหวา งมซั ฮับ ของชีอะฮ อิมามยี ะฮ กับระหวา งมซั ฮับตา งๆ ของอิสลาม เสยี ดว ยซํา้ แตพรอมกันนั้นก็ไมมกี ารกลา วหาแกกันและกนั วา เปน พวกปฏิเสธ อกี ท้งั ไมมกี ารเชอื ด เฉอื นเลือดเนอ้ื ของใครกันเลย? มาเถดิ ทา นทั้งหลาย ขอใหเรามาสลัดความโงเ ขลาตา งๆ เหลา น้ีออกไปและเราอยา ได สมยอมไปกบั ความมุงหวงั ของยวิ ไซออนิสมและเจา นายของมันในอเมรกิ าและโลกตะวนั ตก ตลอดจนถึงผูสนับสนุนพวกมนั ทอ่ี ยูในรัสเซียและสมนุ ของมนั ทา นทั้งหลายจงมาสูถอ ยคาํ ทเี่ สมอเหมอื นกันเถิด เพราะวา สิ่งท่ีเรารวมกนั ไดน้นั มีมากกวา สงิ่ ทีเ่ ราแตกตา งกัน ขอใหทา นทงั้ หลายมาตัดสินกนั ดว ยเหตุผลของสติปญญา และมาใชว ิธกี ารสนทนากัน เพอ่ื ท่เี ราจะไดมีเสรีภาพอยางแทจริง อยางนอ ยก็เพอื่ โลก (ดุนยา) น้ีของเราและนคี่ อื ระดบั ของความ ศรทั ธา (อีมาน) ทอี่ อนแอ ยิ่งไปกวา นนั้ ยงั เปน ระดับของสตปิ ญญาท่ีออนแออกี ดวย แนนอนท่ีสดุ ทานอิมาม ฮเุ ซนหลานของทานนบผี ทู รงเกียรติ (ความสนั ตสิ ขุ และความจาํ เริญพงึ ประสบแกพ วก เขา) ไดกลาววา “ถาพวกทา นไมมีศาสนาและไมก ลวั การคืนกลับไปสปู รโลกกนั แลว ก็ขอใหพวก ทา นเปน ผมู ีเสรีภาพในโลกน้ขี องพวกทา นกันเถิด” ขอใหเรามายกยองอะฮลุลบยั ตข องทานนบีผูบ รสิ ทุ ธ์ซิ ง่ึ อัลลอฮไดขจัดความมลทนิ ออกไป จากพวกเขาและชําระขดั เกลาใหพ วกเขาสะอาดบริสุทธแิ์ ละขอใหเรามายกยองบรรดาบคุ คลท่ีได ปฏบิ ัตติ ามพวกเขาดว ยความจรงิ จัง มใิ ชด วยการถอื ทิฐิแบงพรรคแบงพวก หรือถือดีพวกทอี่ ยใู น สมยั งมงาย (ญาฮลิ ียะฮ)

เปน การกระทําที่ถกู ตองแลวหรือ สาํ หรับการตอบแทนคนกลุมน้ีซึง่ ดาํ เนินชวี ติ ตามแบบ ของอะฮล ลุ บยั ตด ว ยการตงั้ ขอ กลา วหาและประนามในลัษณะตา งๆ เพ่อื ท่ีจะใหสิง่ ทเ่ี รากลา วถึงมหี ลกั ฐานยืนยันวา หนังสอื เหลาน้ีกระทําการโจมตชี ีอะฮ อมิ ามี ยะฮใ นยคุ ปจจุบัน เราจะขออา งถึงคาํ พดู ส้งั ๆ จากบคุ คลเหลาน้ัน ดังที่เราจะกลาววา : คนลา สดุ ในหมขู องพวกที่สรางความแตกแยก ตอตานการรวมตวั กันของบรรดามซั ฮับ ตา งๆ ในอสิ ลาม เปน คนโกหกตวั ฉกาจ และเปนคนเลวทอ่ี วดดี น่ันคือผทู ่ถี ูกเรียกวา “อิหซาน อิลาฮี ซอฮีร” ซึ่งเขาตอ งการบงั คบั เอาความเปนศตั รแู หงเอกภาพของอสิ ลามที่สูญหายไปในอดีต คืนกลบั มาโดยพยายามทีจ่ ะยนื ยนั วา หลักศรัทธาของชอี ะฮน ั้นผิดพลาดดว ยการตอบโตห นงั สือ ตา งๆ ของพวกเหลานั้นกลาวคือเขาไดก ลา วเทจ็ และกุเรอื่ งเท็จตา งๆ ขนึ้ มาทกุ วิถที างกับความรทู เี ขา ไดมาจากหลักศรัทธาของชีอะฮและตาํ ราของพวกเขา ในที่นี้เราจะชแี้ จงถงึ การกลา วเท็จของเขา เพียงขเดยี ว คือเขากลาววา : “สําหรบั เรือ่ งอิมามทส่ี บิ สองทถี่ ูกสมมติข้ึนนั้น ในหนังสอื ของพวกเขาเองไดแถลงไวอ ยาง เปด เผยเลยทเี ดียววา ไมย ืนยันและไมเ ชอ่ื ตาม และไมมหี ลักฐานใดๆ ที่มไี วตรวจสอบหรือพสิ ูจนได เลย...” (๑) เราจะขอถามจอมโกหกคนน้ี ในทีน่ วี้ า : เขาไดคาํ พูดนี้มาจากไหน? หนังสอื อะไร? ท่ยี ืนยัน ในคาํ แอบอา งขอ น้ี กลาวคือชีอะฮนัน้ นบั มาตั้งแตสมยั บิดาของพวกเขามาโนนแลว ทยี่ อมรับอยาง สอดคลองเกยี่ วกบั การเกิดของอมิ ามท่สี บิ สอง คืออมิ ามมะฮดี มนุ ตะชริ ซ่ึงทา นประมุขของ มนุษยชาตคิ อื ทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮ (อลั ลอฮทรงประทานความจาํ เริญและความสันตสิ ขุ แด ทา น) ไดบอกเรอ่ื งทเ่ี กี่ยวกบั ทา นไว ทา นเกิดเม่ือวันนศิ ฟู ซะอบ าน ฮ.ศ. ๒๕๕ มีบุคคลตา งๆ ได กลา ววา เคยเห็นทาน ณ บา นของผเู ปนบิดา ในมยั ท่ที านยังเปนเดก็ หลังจากนนั้ ก็ไดกลาวถึงเรือ่ ง ตัวแทนและทตู ของทานในชว งของการหายตัวในระยะสัน้ คอื จากป ฮ.ศ. ๒๖๐ ไปจนถงึ ฮ.ศ. ๓๒๙ ขณะเดียวกัน ผรู กั ษาเอกสาร อาลกั ษณและผทู ่ีไดมโี อกาสเยย่ี มเยียนทานก็ไดกลาวถึง รายละเอียดเก่ียวกับอิมามมะฮด ี โดยเฉพาะไวในตาํ ราของพวกเขา นบั จํานวนมากกวา รอยเลม ไมใ ชช อี ะฮพ วกเดียวเทา น้นั ที่ยดึ หลักศรทั ธาขอ น้ี (หลกั ศรทั ธาทว่ี า ดวยการเกิดของอมา มะฮด ี มนุ ตะซ็อร) แตย งั มีกลุมนักปราชญผ ูอาวโุ สของอะฮลซิ ซุนนะฮอ ีกจํานวนหนง่ึ ท่ียอมรบั อยา ง สอดคลองกับพวกเขาเหลา นนั้ โดยไดแถลงไวอยา งเปดเผยเก่ยี วกับการเกดิ ของอมิ ามะฮด ใี นปนัน้ จาํ นวนของผทู ่ีแถลงอยา งเปด เผยเกย่ี วกบั การเกดิ ของทา นมีมากกวา หนึ่งรอยคนทเี่ ปน นักปราชญ นกั เขียนผมู คี วามสามารถ เราพรอมเสมอท่ีจะแสดงรายชอื่ ของคนเหลา น้ันตลอดถงึ หนงั สอื ตางๆ ไดอ ยางละเอยี ด ในเมอื่ ถอื เอาการยอมรับรวมกนั ของบรรดานักปราชญท ้งั ซุนนะฮและชีอะฮมี พจิ ารณาแลว ก็สามารถตัดสนิ แกนักเขียนผกู เุ ร่ืองเทจ็ คนนีไ้ ดเ ลยวา เปน คนหลอกลวงอิสลามและ บรรดามสุ ลมิ (๑) หนังสอื ชีอะฮแ ละอะฮลลุ บัยต หนา ๒๙๔ และโปรดยอ นไปดูหนา ๒๔๔ ดวย

เรอ่ื งน้ี และเร่ืองทีว่ า ดว ยการปรากฏตัวของอิมาม มะฮด ีทม่ี ีรายงานจากสายสบื ท่สี อดคลอง ตรงกันเปนเอกฉนั ททั้งในตําราฮาดีษและมสุ นัดตางๆ นน้ั เลากไ็ มอาจมใี ครปฏิเสธไดอ กี หลงั จากที่ ยอมรบั ในเร่งื อแบบฉบับตางๆ ของทา นนบีทถ่ี กู รายงานไวในตําราเหลาน้ี ถงึ แมวา จะมกี ารขัดแยง กนั บางในเรื่องการเกิดของทาน นกั เขียนคนนี้รีบดว นสรุปอะไรๆ เรว็ เกนิ ไป เขาจงึ โงเขลาในทกุ สิ่งทุกอยา งแมก ระทัง่ ใน กรณที เ่ี ขาเหน็ วา ตวั เองเปน อาจารย เปนนักเขียนยอดเย่ียมในเร่ืองน้ันแลว กด็ ี ทา นก็เห็นแลววา เขาไดต ั้งขอกลาวหาท่เี ปนเท็จแกประชาชาติอสิ ลามทย่ี ง่ิ ใหญเ พราะมี รายงานฮาดษี ทคี่ ดั คาน กบั สิ่งเหลา นั้นในตําราของพวกเขา ถาพิจารณากันโดยมาตรการแหง ความเปนธรรมกันแลว จะถอื วา มนั เปน เรื่องท่ถี ูกตองหรอื ทีใ่ ครสักคนหนึง่ จะกลา วหาคนกลมุ ใหญทีเ่ ปน มสุ ลมิ วาผดิ พลาด(โมฆะ) ดวย หลักฐานรายงาน แสดงไวอยา งน้ันในตําราของพวกเขาโดยไมมกี ารวิเคราะหถงึ สายสบื ตัวบทหรอื การอถาธบิ าย เกย่ี วกบั เร่อื งที่เขาไดค ดั คา นมัน ถา การกระทาํ เชน นน้ั เปนเร่ืองท่ถี ูกตอ ง (ความจรงิ แลว ไมถูกตองอยางเดด็ ขาด) แนนอน มนั ก็ยอมเปนการกระทาํ ที่ถกู ตอ งสําหรับเราที่จะโจมตอี ะฮล ซิ ซนุ นะฮดวยการตง้ั ขอ หาวา มีการพลิก แพลงรายงานฮาดีษตา งๆ ทแี่ สดงไวในเร่ืองน้ี ในตาํ ราของพวกเขา และเพียงอา งหลกั ฐานเรือ่ งนไี้ ป ยงั ขอ เขยี นของทา นกรุ ฏบีในหนังสือตัฟซรี ของ ทา นก็พอแลว ในตอนทอ่ี ธบิ ายซเู ราะฮอัล-บะเกาะ เราะฮวา มโี องการวา ดว ยการขวา ง (อายะตรุ รอ็ จม ความวา “ชายสงู อายแุ ละหญงิ สูงอายุนั้น ถาทั้ง สองลว งประเวณกี นั ก็จงขวา งเขาทงั้ สองเปนการตอบแทนจากอัลลอฮและอัลลอฮ คือผทู รง อานุภาพ ผูทรงปรชี าญาน” ผกู ลวถึงเรื่องนี้คอื อะบูบักรอนั บารี รายงานมาจาก อบุ ยั บิน กะอับ (๑) ถา การอุทธรณต ออะกีดะฮ (หลกั ศรัทธา) ของคนพวกหนงึ่ ดว ยรายงานฮาดษี บทหน่ึง ถกู ตองมันก็ยอมจะถกู ตอ งดวยสาํ หรบั การอทุ ธรณโดยรายงานบทน้ีและอืน่ ๆ ทม่ี มี ากมายใน หนงั สือตางๆ ทง้ั ฮาดีษและตฟั ซรี วามกี ารพลกิ แพลงกันในหมูอะฮล ิซซุนนะอ เปลา เลย เรามใิ ชบ รรดานกั เขียนรับจา งเหลนั้นที่ขายปรดลกของตนไปเพ่ือความสขุ บนโลก นี้ของคนอน่ื และการกลา วอยา งน้กี ็มไิ ดห มายความวา เราจะถอื เอาหลักฐานตา งๆ เหลา นน้ั มาเปนขอ ยนื ยันวาอะฮล ซิ ซุนนะฮมกี ารพลิกแพลงยง่ิ ไปกวานั้นเราก็ยกใหเ รอ่ื งทั้งหมดท่ีพวกเขากลา วไป เชน น้ัน เปนเรื่งอของลมปากและไมมีสาระใดๆ ท่ีสําคญั เลยสําหรับคาํ พูดพวกเขา มนั มใิ ชเ ร่อื งทจ่ี ะซอ นเรนผูอานไดหรอกวา สว นมากของหนงั สอื ประเภทนลี้ วนเรียบเรยี ง มาจากวิชาการของเพวกวะฮาบยี แ ละความชว ยเหลือทางการเงนิ ของพวกเขาตลอดจนการจดั พมิ พ และแจกจายฟรี เพ่ือผดุงไวซ ่ึงอาํ นาจของพวกขไวทม่ี ันไมส ามารถดํารงอยูไดนอกจากตองอาศยั วิธีการโจมตีของมสุ ลมิ ทีม่ ตี อกันและกัน โดยเหตผุ ลที่วา สว นมากในหนงั สือเหลา นีห้ รือท้ังหมดนน้ั จะตอ งโจมตีชีอะฮ อมิ ามียะฮ วา เปนพวกภาคี (มชุ รกิ ) ในการเคารพภักดตี อ อัลลอฮ และยกเอาบรรดาอิมามขนึ้ เปน พระเจา โดยถอื

วา พวกเขาเองมคี วามลกึ ซ้ึงในเร่ืองหลักเอกภาพของอลั ลอฮ (เตาฮดี ) เหนอื กวามุสลิมท้งั หลาย เราจึง พยายามใหความหมายของเรอื่ งหลักเอกภาพ (เตาฮดี ) และเรื่องการตัง้ ภาคี (ชริ ก) ในหนังสือเลม น้ี และเราจะพยายามแกปญ หาอันนี้ซงึ่ คนกลุมดงั กลาว ไดส ับสนกันอยูนานนบั สองศตวรรษครง่ึ เพื่อ จะเปน ประโยชนแกบ รรดามุสลิม และแกบ รรดาบุคคลผูทไี่ ดร บั ผลกระทบจากแนวความคิดอนั นี้ เราจะไมขอรางวัลใดๆ เลยเวน แตก ารปรับปรุงท่ีดีงามอยางเตม็ ความสามารถ แนน อน อัลลอฮทรง อยเู บ้อื งหลงั ความสาํ เรจ็ ๒๘ ชะอบ าน ๑๔๐๕

หมวดวาดว ยเรอ่ื งหลักเอกภาพ (เตาฮดี ) หลักเอกภาพ (เตาฮีด) พ้ืนฐานแหงงานเผยแพรของ บรรดานบี หลักเอกภาพ (เตาฮดี ) และการปฏิเสธเรอ่ื งต้ังภาคี (ซริ ก) นั้น นบั เปนเร่อื งทส่ี าํ คญั ทีส่ ุดใน บรรดาหลักศรัทธาวา ดว ยเรื่องตา งๆ ซ่งึ ทาํ ใหเกิดความเขา ใจและความรใู นดานตา งๆ เก่ยี วกบั พระผู เปน เจา อยา งถูกตอง และไดถกู จัดวาเปนพ้นื ฐานของความรูและความเขาใจเกี่ยวกบั พระผูเ ปน เจา ผู ทรงสงู สุด ซึง่ บรรดานบีและศาสนทตู ของอลั ลอฮไดนาํ มาส่งั สอนตามที่มีปรากฏอยูใ นคมั ภรี ต างๆ ท่พี วกเขาไดร ับมา เรือ่ งของหลกั เอกภาพ (เตาฮดี ) และการตั้งภาคี (ชิรก ) ก็ยังเปนเรือ่ งท่ีมุสลมิ ทงั้ มวลมีความ เชอ่ื ถอื ตรงกันโดยมิไดม ีใครขัดแยงกันในเรอื่ งนีเ้ ลยแมแ ตค นเดียว กลา วคือนับจากบรรพชนของ พวกเขามา ก็เชื่อในความเปน หนง่ึ ของอัลลอฮมาโดยตลอด ไมว า จะเปน ในแงของสภาวะการดาํ รง อยู, พฤตกิ รรมและการเคารพภักดี (อิบาดะฮ) ในทศั นะของพวกเขาทั้งหมดถอื วา อัลลอฮ ผูทรงความบรสิ ทุ ธยิ์ ิ่งนั้นเปนเอกะในสภาวะ การดาํ รงอยู พระองคไมมภี าคี ไมมผี ใู ดเสมอเหมอื น ขณะเดยี วกนั พระองคคอื ผูท รงใหบงั เกิด ทรง สําแดงพฤตกิ รรมอยา งแทจ รงิ และเปน ผสู รางที่แทจ รงิ ในทกุ ๆ สิ่งท่เี ราเรยี กวา ผูส ราง ผกู ระทาํ กลา วคอื ถึงแมว า จะมผี กู ระทาํ หรอื ผูส รา งนน้ั ๆ แตก เ็ ปน เพียงวาเขาไดกระทําและไดส รางไปตาม อํานาจและเจตนารมณของผูพระองค ผูทรงสงู สดุ ขณะเดยี วกัน พระองคค อื ผูไดรับการเคารพภักดแี ตเพียงผเู ดียว ไมมีผูไดร บั การเคารพภกั ดี อ่นื ใดนอกเหนอื จากพระองคอกี และการเคารพภักดี (อิบาดะฮ) น้ัน ไมเปนท่ีอนุมตั ิใหแ กผูอ น่ื นอกเหนือจากพระองคอยงเด็ดขาด ทุกอยางเหลานี้ ลว นเปน สิง่ ที่ไดร บั มาจากคาํ สอนของคัมภรี อัล- กรุ อาน แบบฉบับ (ซุนนะฮ) ของทา นนบี, เหตผุ ลโดยสติปญญา (อักล) และมติโดยสวนรวม (อลั -อิ มาอ) ของบรรดานักปราชญ ดว ยเหตุผลดงั กลาวนี้ กับกรณที ี่วาหลักเอกภาพ (เตาฮดี ) มหี มวดอธบิ ายทบ่ี รรดา นักปราชญของอิสลามไดใ หรายละเอยี ดเอาไวในตาํ ราเชงิ วชิ าการและหลกั การศรัทธาเอาไวแลว เรา จงึ นาํ มาอธบิ ายในทีน่ ี้พอเปนสงั เขป และเราจะนําเอารายละเอียดในสวนตางๆ ทุกๆ แงเ หลา นั้นมา ประกอบกับหลักฐานท่ียนื ยันไวจ ากอลั -กุรอาน นอกจากนเ้ี รายังไดร วบรวมเอาคาํ อธบิ ายเกีย่ วกบั “หลักเอกภาพในการเคารถภกั ดี” ซ่งึ เปน เครอื่ งมอื สําหรบั คนบางกลมุ อยุ เราจะกลา วถงึ เรื่องหลกั เอกภาพโดยอธบิ ายเปน หมวดๆ ดงั นี้ คอื :

๑- หลักเอกภาพในสภาวะการดํารงอยู หมายความวา พระองคผทู รงความบรสิ ทุ ธิย์ ิ่งนั้น ทรงเอกะ ไมมีภาคใี ดๆ สาํ หรับพระองค บคุ คลใดก็ตามไมเสมอเหมอื นพระองค ย่ิงไปกวา น้ัน ไมอาจมใี ครเปน ภาคี และเสมอเหมือนกับ พระองคไ ดอีกดวย โองการของพระองค ผูท รงความบรสิ ทุ ธิ์ย่งิ ไดย ืนยันในเรื่องนี้ ประกอบหลกั ฐานทาง สตปิ ญญาไววา “ผูทรงเนรมิตชัน้ ฟา ทัง้ หลายแผน ดิน พระองคไดทรงบันดาลจากตวั ของสเู จาใหเปน คคู รอง ของสเู จา และ (ทรงบนั ดาล) จากสัตวทั้งหลายใหเปน คๆู พระองคท รงใหสเู จา สบื เผา พันธุกันในน้ัน ไมมีส่ิงใดเสมอเหมอื นพระองค และพระองคคอื ผทู รงไดยิน ผทู รงมองเหน็ ” (อชั ชรู อ-๑๑) “จงกลา วเถิด พระองคค อื อัลลอฮ ผูทรงเอกะ อลั ลอฮทรงเปน ท่พี ง่ึ พระองคมิไดประสตู ใิ คร และพระองคม ไิ ดถูกประสตู ิ และไมม คี ูเ คยี งใดๆ เลย สาํ หรับพระองค” (อลั -อคิ ลาศ-๑-) “พระองคคืออัลลอฮ ผทู รงเปนหนง่ึ แหง อํานาจ” (อัซซุมรั -4) และพระองคค ือ ผทู รงเอกะแหงอํานาจ” (อรั เราะอด ุ-) นอกจากนีก้ ็ยงั มอี กี หลายโองการท่ียนื ยันวา พระองคผูทรงสงู สดุ นั้น ทรงเอกะไมมีภาคี และผูเสมอเหมือนกบั พระองค พระองคไ มมคี ูและไมม หี ุนสวน สวนหลักฐานทางสติปญญาในเรือ่ งน้ี และขอลบลา งความเชื่อเก่ียวกบั “ทวภิ าค” และ “ไตรภาค”ี วา เปน โมฆะนั้น เปน เร่ืองท่ีตอ งศกึ ษากนั ในตาํ ราตา งๆ ท่เี ขยี นถึงเรอ่ื งนี้ (1) 2- หลักเอกภาพในความเปนผทู รงสรา ง หมายความวา ในสภาวะของการดาํ รงอยทู ่แี ทจ ริงของผสู รา งน้ัน ไมมีใครอกี แลว นอก จากอัลลอฮ และไมม ผี ูสาํ แดงพฤติกรรมใดๆ อยา งอิสระนอกเหนือจากพระองคผทู รงบริสุทธ์ิ และ ทกุ สงิ่ ทุกอยางในจักรวาล นบั จากดวงดาวตางๆ แผนดนิ ภูเขา ทะเล แรธ าตุตา งๆ กอนเมฆ ฟา รอง ฟาล่นั ฟาผา พืชพันธุ ตน ไม มนษุ ยและสัตวต า งๆ รวมทงั้ มะลาอกิ ะฮแ ละญนิ และทกุ สิ่งท่เี รยี กมัน ไดวาคอื ผูก ระทาํ และตน เหตุนนั้ ท่ีแทค ือ สภาวะการดาํ รงอยูต างๆ ที่ไมมีอสิ ระในการกระทําโดย แท และทกุ ส่ิงทกุ อยางที่ถกู อางวา เปน ตนเหตุ ก็มิไดเปนเหตทุ ี่แทจรงิ โดยอิสระแตอ ยางใดเลย อัน ทจ่ี ริงเปนเพยี งแตวา ปรากฏการณท่ีเกดิ ขึ้นโดยตนเหตุตางๆ เหลานไี้ ปส้ินสุดยตุ ลิ งทอ่ี ัลลอฮ ผูทรง ความบริสทุ ธิ์ ดังน้ันตน เหตุและผลลัพธต างๆ เหลานที้ ัง้ หมด แมจะมีสวนในความสมั พันธซ ่งึ กนั . (1) รายละเอียดเกย่ี วกับหลักเอกภาพในแงน ้มี ีเรยี บเรียงไวในหนังสือ “มะฟาฮมี อลั -กรุ อาน”

และกนั มนั กค็ ือสรรพส่ิงทถี่ ูกสรางมาโดยอลั ลอฮ(มัดลูก) พระองคคอื ทีย่ ุติสูงสดุ พระองคค อื จุดเร่ิมตนแหงสาเหตุ พระองคคื ือผูทรงบันดาลใหก ับส่ิงตา งๆ และถา พระองคป ระสงคก็ยอมใหส่ิง ตางๆ พลาดพนไปจากเหตทุ ่ีจะทําใหมนั เกิดได โองการของพระองคผ ทู รงความบริสทุ ธ์ไิ ดยนื ยันเรอื่ งนี้ สนบั สนุนเหตุผลทางสติปญ ญา ดงั นี้ : “จงกลา วเถดิ อัลลอฮคอื ผูสรา งทุกสรรพส่ิง และพระองคค ือผทู รงเอกะแหงอาํ นาจ” (อัรเราะอด -ุ ๑๖) “อลั ลอฮคอื ผูสรางทุกสรรพส่ิงและทรงเปน ผูค รอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง” (อัซซมุ ัร-๖๒) “น่ันแหละ อัลลอฮพระผอู ภิบาลของสเู จา ผสู รางสรรพส่ิง ไมมพี ระเจา อืน่ ใดนอกจาก พระองค” (อัลมุอมิน-๖๒) “น่นั แหละ อลั ลอฮพระผอู ภิบาลของสเู จา ไมมีพระเจาอน่ื ใดนอกจากพระองคผ สู รา งทกุ ๆ สรรพส่งิ ดงั นั้นสูเจา จงเคารพภักดีพระองค. ..” (อลั อันอาม-๑๐๒) “พระองคค อื อัลลอฮ ผสู รา ง ผบู รสิ ุทธิ์ ผทู รงกาํ หนดรปู แบบ พระนามอนั ดเี ลศิ เปนของ พระองค” (อลั หะชรั -๒๔) “พระองคจ ะทรงมบี ุตรไดไ ฉนขณะทพี่ ระองคไมม มี เหสี และไดส รางทกุ สรรพสงิ่ ” (อลั อันอาม-๑๐๑) “มนุษยท ้งั หลายเอย จงรําลึกถงึ ความโปรดปรานของอัลลอฮเหนือสูเจา ยงั มีผูส รางอนื่ นอกเหนอื จากอลั ลอฮกระนั้นหรือ...” (ฟาฎิร-๓) “จงรเู ถิดวา งานสรางและการบัญชานั้นเปน ของพระองค อลั ลอฮ ผูท รงจาํ เรญิ พระผูอภบิ าล แหง สากลดลก” (อัลอะรอฟ-๕๔)

3- หลกั เอกภาพในฐานะผทู รงอภบิ าลและบรหิ าร (๑) หมายความวา สําหรบั จกั รวาลน้ันมผี บู ริหารองคเดยี ว และเปน ผูจ ัดการในกิจการบรหิ ารแต เพยี งผูเดียวไมมภี าคใี ดๆ กลาวคือพระองคเ ปนผูทรงบริหารโลกและแทจ รงิ งานบรหิ ารของมะลาอิ กะฮต ลอดจนถงึ สง่ิ ทั้งหลายท่ีเปนตน เหตุของกนั และกันนั้น เปนเพียงกิจการของพระองคผูท รง บรสิ ทุ ธ์ิ ความเชอื่ อยางน้ีผดิ กันกับทศั นะของพวกตัง้ ภาคี (มชุ ริก) บางกลุมที่เชือ่ มั่นวาสิ่งที่เก่ยี วขอ ง กบั อลั ลอฮน้ันมีแตเพียงการสราง การวางแนว และการรเิ ร่มิ เทานน้ั สวนการบรหิ ารสรรพสง่ิ และ เสถียรภาพตา งๆ แหง ผืนแผน ดินนัน้ ไดถ ูกมอบหมายใหเ ปน เรือ่ งของพระพรมเบอ้ื งบน มะลาอิก ระฮ ญนิ และสรรพวญิ ญาณที่มอี ยูซง่ึ สาํ แดงออกมาทางรูปปน สําหรับบูชา และพระองคไ มมีสวน ใดๆ เขา ไปเหยี่ วขอ งในการบรหิ ารจกั รวาลกิจการและการจัดระเบยี บงานสรางสรรคข องพระองค เลย อัล-กรุ อานอันทรงเกยี รติไดทรงระบุไวอ ยางเปดเผยทสี่ ุดวา อลั ลอฮคือผูทรงบริหารของ โลก และปฏเิ สธการบิรหารโดยอิสระของสิง่ ใดๆ นอกเหนือจากผทู รงบริสทุ ธ์ิ คือหมายความวา ถา จะมผี บู ริหารอน่ื ๆ อยู ก็หมายความแตเพียงวา เขาไดบรหิ ารไปตามบัญชาของพระองค มโี องการวา “แทจ รงิ พระผูอภบิ าลของสูเจาคอื อลั ลอฮ ซงึ่ สรางชัน้ ฟา ทงั้ หลายและแผน ดนิ ในหกวนั ตอ มาทรงหวลไปสูบัลลงั คท รงบรหิ ารกจิ การไมม ผี ูช ว ยเหลอื ใดๆ นอกจากโดยอนมุ ตั ิของพระองค นั่นแหละ อลั ลอฮ พระผอู ภิบาลของสูเจา ดังน้ันจงเคารพและภกั ดีพระองค แลว สูเจา มไิ ดร าํ ลึกดอก หรือ” (ยูนุส-3) “อัลลอฮไดยกช้ันฟา ทงั้ หลายโดยไมม ีเสาใหสูเจาไดเ ห็นมนั แลว พระองคหวลสบู ัลลังคแ ละ ทรงบริหารดวงอาทติ ยและดวงจนั ทร ทกุ อยางลว นดําเนนิ ไปกบั กาลเวลาทแ่ี นน อนทรงบรหิ าร กจิ การ ทรงสาธยายสญั ญาณตางๆ เพ่ือสูเจา ม่นั ใจในการพบพระผูอ ภิบาลของสูเจา ” (อรั เราะหด-ุ ๒) ดงั น้ัน เมอ่ื พระองคเ ปน ผบู ริหารองคเ ดยี วแลว กเ็ ปนไปตามความหมายในโองการของ พระองค ผทู รงบริสุทธท์ิ ่ีวา (1) นกั เขียนสายวะฮาบยี ไดอธบิ าย “หลักเอกภาพในความเปน ผูสราง” ไปในแงของ “หลกั เอกภาพ แหงความเปนผอู ภิบาล” ท้ังๆ ทป่ี ระเดน็ ท่ีสองกบั ประเด็นที่หนึง่ มใิ ชเ ปนประเดน็ เดียวกัน กลา วคอื ประเด็นที่สองหมายถึง เร่ืองราวของการบริหารการจัดระบบ สวนประเดน็ ที่หน่งึ หมายถึง เรอ่ื งราว ของการสรางและบนั ดาลใหมแี ละปรากฏวา พวกตั้งภาคีมีความเช่อื ในเอกภาพของประเด็นทีห่ นึ่ง คือ หลักเอกภาพในความเปน ผูส ราง แตม ีบางสว นที่ตั้งภาคีในประเดน็ ทสี่ อง คือ หลักเอกภาพใน ความเปนผบู ริหารและจัดระบบ

“แลวบรรดาผูบรหิ ารซงึ่ กจิ การ” (อนั นาซอิ าต-๕) “แลพระองคค ือ ผูท รงอํานาจเหนือบา วของพระองคแ ละสง ผูพทิ ักษใ หแกสูเจา ” (อัลอันอาม-๖๑) บรรดาผูบรหิ ารตา งๆ นน้ั ขึ้นอยูกบั บัญชาและเจตนารมณข องพระองคจ งึ ปฏิเสธไมไ ด กบั ทีว่ า สง่ิ เหลาน้ีลวนเปน งานบรหิ ารโดยอิสระแหง อัลลอฮ ผทู รงความบรสิ ทุ ธ์ิ ผทู มี่ ีความรูในเร่ืองราวของอลั -กุรอานไดต ระหนักวา พระองคไดทรงอางวา กิจการตา งๆ สวนมากนนั้ เปนเร่ืองของพระองคใ นขณะเดียวกนั ในอีกสภาพการณหนึ่งก็ทรงอา งวา เปน เรอื่ งของ ส่งิ อืน่ นอกเหนอื จากพระองค สิ่งเหลาน้มี ิไดหมายความวา จะขัดแยงกันหรอื คัดคานในระหวางการ ปฏเิ สธอยา งนน้ั กับการยนื ยันอยา งนี้ไม เพราะวา ในสภาวะการดํารงอยขู องพระองคน้ัน พระองค ทรงมีไวซ ง่ึ ความอสิ ระ และในกิจการอันนมี้ ไิ ดป ฏิเสธสิ่งอ่ืนในการมสี ว นรวม โดยเหตผุ ลท่วี าเปน ผูสําแดงกจิ การของพระองคผูทรงความบรสิ ทุ ธิ์และเปนผูรับสนองเจตนารมณ ของพระองค เพื่อที่จะใหความกระจา งเก่ียวกบั ความเขา ใจในสวนนี้ เราจะขอยกตวั อยางมาเสนอดงั น้ี : ๑- ในอัล-กุรอานบางโองการ ไดระบุวา การดึงวญิ ญาณของผูตายนั้นเปน การกะรทํา ของอัลลอฮ และไดเปดเผยอยางชัดเจนวา อัลลอฮคอื ผทู รงเก็บชวี ิตในเม่อื ชีวิตนั้นตาย ดังมโี องการ วา “อลั ลอฮ ทรงเกบ็ ชวี ิตทัง้ หลาย เมอื่ มกี ารตายของมนั ...” (อัซซุรมัร-๔๒) ขณะเดียวกนั ในอกี แหงหนึ่งพระองคก ท็ รงอางวา การเกบ็ ชีวิตนั้นเปนหนา ท่ขี องผูอ น่ื ดังนี้ “จนกระทง่ั ในเม่อื ความตายไดม าถึงคนใดคนหนง่ึ ในหมูสูเจา แลว บรรดาทตู ของเราก็ได เกบ็ ชวี ิตของเขา” (อลั อันอาม-๖๑) ๒- ในซูเราะฮ อัลฟาติมะห อลั -กรุ อานไดส่ังใหข อความชวยเหลือกบั อัลลอฮองคเดียว โดย มโี องการวา : “และเฉพาะกบั พระองคเทา นนั้ ทเี่ ราขอความชว ยเหลือ” ในขณะที่เราไดพบวาอกี ในโองการหนึ่งพระองคไ ดสัง่ ใหข อความชวยเหลอื กบั ความ อดทนและกับการนมาซ โดยมีโองการวา : “และสเู จา จงขอความชว ยเหลอื กับความอดทนและกบั การนมาซ” (อลั บะเกาะเราฮ- ๔๕)

๓- อัล-กุรอานถือวา การอนุเคราะหค วามชว ยเหลอื (ชะฟาอะฮ) นั้นเปนสทิ ธิพิเศา ของอลั ลอฮแตผูเดียว โดยกลาววา : “จงกลา วเถดิ สาํ หรบั อลั ลอฮนน้ั คือการอนุเคราะหค วามชว ยเหลือท้ังมวล” (อัซซุมรั -44) ในขณะท่ีโองการอ่ืนเปด เผยแกเราวาผใู หก ารอนเุ คราะหชว ยเหลือนั้น นอกเหนือ จากอลั ลอฮแลวยังมอี กี เชน มะลาอกิ ะฮ เปน ตน : “แลว มีมะลักตงั้ เทาไหรใ นช้ันฟา ทง้ั หลายซงึ่ การอนเุ คราะหชว ยเหลือของพวกเขาไมอาจ ใชไ ดกับส่งิ ใดๆ นอกจากภายหลังจากท่ีอลั ลอฮทรงอนุมัต”ิ (อันนัจม-26) 4- อลั -กรุ อานถอื วาความรอบรใู นสิง่ เรน ลับและวชิ าการนัน้ ถูกจํากัดอยู ณ อลั ลอฮ โดย พระองคต รสั วา : “จงกลาวเถิดผทู ีอ่ ยใู นชั้นฟาทง้ั หลายและแผนดินนั้น ไมรใู นส่ิงเรน ลับนอกจากอลั ลอฮ” ในขณะทีอ่ ัล-กรุ อานอันทรงเกยี รติไดกลา วไวในโองการหน่ึงวา อลั ลอฮทรงเลือกบาวของ พระองคบางคนไวสาํ หรบั ใหพ วกเขาเขาใจตอสง่ิ เรนลบั โดยกลา ววา : “และมิใชว า อลั ลอฮจะใหส ูเจาเขาใจตอสง่ิ เรนลับ แตอ ลั ลอฮทรงคัดเลือกจากบรรดาศาสน ทูตของพระองคท ่ที รงประสงค (อาลิ อิมรอน-๑๗๙) ๕- อัล-กุรอานไดอางถงึ ทา นนบีอบิ รอฮีม (ความสันติสุขพงึ มแี ดท าน) ที่กลา ววา อัลลอฮได ทําใหทา นหายเมอ่ื ทานปว ย โดยกลา ววา : “และเม่ือฉนั ปว ย พระองคก็ทําใหฉ ันหาย” (อัชชอุ ร ออ-๘๐) หลักฐานจากโองการนีก้ ็คอื วาอาํ นาจในการทําใหหายปวยน้ันอยทู อี่ ัลลอฮในขณะเดยี วกนั อลั ลอฮก็ กลา วถึงอัลกรุ อานและผ้งึ วา ในสิ่งท้งั สองนั้นเปนยาบาํ บดั โรคอีกดวย โดยมีโองการวา : “ในน้ันเปน สง่ิ บําบัดโรคสําหรับมนุษย” (อันนะฮัล-๖๙) “และเราไดประทานจากอัล-กุรอานซ่งึ สงิ่ ทีเปนยาบาํ บดั โรค” (อลั -อซั รออ- ๘๒)

6- ในทัศนะของอัล-กรุ อานถือวา อัลลอฮ ผทู รงสูงสุดองคเดยี วเทานั้นทที่ รงเปน ผูประทาน ปจ จัยยังชพี โดยกลา ววา : “แทอัลลอฮ คือผปู ระทานปจ จยั ยังชพี ผทู รงพลานภุ าพ อันเขม แข็งยิง่ ” (อซั ซารยิ าต-๕๘) ขณะเดียวกันเราก็พบวาอลั -กรุ อานไดสงั่ แกผ ูมอี ันจะกนิ และมีฐานะดีวา ใหเลยี้ งตนทีต่ กต่ํา และบรรดาผูอ อนแอกวาวา : “และสเู จา จงเลยี้ งดู (ใหริซกี) แกพวกเขาและจงใหเ ครื่องนงุ หมแกพวกเขา” (อันนซิ าอ-๕) ๗- ตามทัศนะของอลั -กรุ อานถือวา ผเู พาะปลูกท่ีแทจรงิ คอื อลั ลอฮ ดงั ทไี่ ดกลาววา : “สูเจาไดเ หน็ สง่ิ ทีส่ ูเจา ไถหวานแลวหรือไม สูเจา ไดเ พาะปลกู มันหรอื วาเราเปน ผูเพาะปลูก” (อลั -วา กิอะฮ- ๖๓-๖๔) ในขณะเดียวกันอลั -กรุ อาน อนั ทรงเกียรติไดใ หความหมายไวในโองการอืน่ อีกวาผหู วา น ไถนน่ั แหละทีเ่ ปนผูเ พาะปลูก โดยกลาววา : “สรา งความชนื่ ชมแกผ เู พาะปลกู ทีท่ รงทาํ ใหพ วกปฏิเสธแคนเคืองพวกเขา” (อลั -ฟตห-29) ๘- แทจ รงิ อลั ลอฮคอื ผูจดบันทกึ การงานของปวงบา ว โดยมโี องการวา : “แทจ ริงอัลลอฮทรงจดบันทึกส่ิงท่ีพวกเขาวางแผนลบั ยามคา่ํ ” (อนั นิซาอ-๘๑) ในขณะเดียวกันอลั -กุรอานก็ถอื วามะลาอิกะฮ เปนผถู ูกส่ังใหจดบนั ทึกการงานของปวง บาว ในโองการอื่น โดยกลา ววา : “แนน อน และทูตของเราบนั ทึกเรอ่ื งของพวกเขา” (อซั ซคุ รฟุ -80) ๙- ในโองการหนง่ึ ไดอ า งวา การประดับการงานใหแกพวกปฏิเสธน้ันเปนเรอ่ื งของพระองค ผทู รงเอาความบรสิ ุทธิ์ โดยกลา ววา : “แทจริงบรรดาผูไมศ รทั ธาตอ วันปรโลกนั้น เราไดประดบั การงานของพวกเขาใหแกพวก เขา” (อันนมั ลุ-๔) ในเวลาเดยี วกนั พระองคกอ็ างวา เปน เรื่องของชัยฏอน :

“และขณะที่ชัยฏอนไดประดับแกพวกเขาซึง่ การงานของพวกเขา และกลา ววา ไมม ใี คร ชนะพวกทา นไดเลยในวนั นี้” (อลั อันฟาล-๔๘) ในอกี โองการหนึง่ พระองคก อ็ า งวา มนั เปน เรือ่ งของอีกฝา ยหนึ่ง โดยกลา ววา : “และเราไดจ ัดมิตรสนิทใหแกพวกเขา และมติ รพวกน้ันก็ประดับส่ิงท่ีมีอยตู อหนาพวกเขา ใหแ กพวกเขา (ในโลกนี)้ (ฟุศศิลตั -๒๕) 10- ในการอธิบายวา อาํ นาจบรหิ ารน้ัน มจี ํากดั อยูท่อี ัลลอฮ เปน เร่ืองทีย่ อมรบั กันอยา งทั่วถึง แมกระท่งั พวกตง้ั ภาคีเองบางคน ในเม่ือถูกถามเกย่ี วกับบรหิ ารก็จะกลาวตอบวา : อัลลอฮดงั ท่ี พระองคทรงตรสั ไวในโองการท่ี ๓๑ จากซเู ราะฮยูนุส วา : “และผูใดบริหารกิจการเลา ดงั นนั้ พวกเขาจะกลาววา อัลลอฮ” ในขณะเดียวกันอัล-กุรอานก็ยอมรบั อยางเปดเผยสาํ หรับโองการอ่ืนๆ เก่ียวกับเรื่อง ผูบ รหิ ารอน่ื ๆ ที่นอกเหนือจากอัลลอฮ โดยกลา ววา : “แลวบรรดาผูบริหารซง่ึ กิจการ” (อันนาซอิ าต-5) ดงั นั้น ในสวนของผทู ีม่ ีความรูอยา งลกึ ซ้งึ ตอคมั ภรี อ ัล-กุรอาน ยอ มตระหนกั ดมี าต้ังแตแรก เลยทีเดยี ววา ความเปน จรงิ ในสิง่ ตา งๆ เหลาน้ี (ความเปน ผูใ หปจจัยยังชีพผบู าํ บดั อาการของโรคให หาย) และอืน่ ๆ นั้น เปน งานท่ีขน้ึ ตรงตอัลลอฮ โดยไมมีภาคีใดๆ ในเรอื่ งนส้ี าํ หรับอัลลอฮเลย กลา วคอื พระองคทรงดําเนินกจิ การเหลา นัน้ ในแงข องมูลฐานทีแ่ ทและอิสระ ในขณะทสี่ ิง่ อ่นื ลวน จําเปน ตอ งพง่ึ พงิ พระองค ในสภาวะการดาํ รงอยแู ละการกระทําของตน ดงั น้ัน สิง่ อื่นๆ ที่ นอกเหนอื จากพระองคตา งกด็ ําเนนิ การตา งๆ เหลา น้ไี ปในแงของ “ผคู ลอยตาม” และอยใู นหวงแหง อาํ นาจของพระผูเปนเจา เพราะวา โลกน้คี ือโลกแหง เหตุและผล ปรากฏการณข องทกุ สง่ิ ลว นสําแดงออกมาจาก แหลง ของมนั โดยเฉพาะ สาํ หรบั ปรากฏการณน ้ันๆ ในโลก อัล-กรุ อานไดอางวา ความเปนไปเหลาน้ี มกี ฎธรรมชาติเปน สาเหตโุ ดยไมคัดคานกับความเปน ผูสรา งของอลั ลอฮในเร่อื งนั้น เพราะเหตวุ า ความเปน ไปท่ีเกดิ ขึ้นโดยสง่ิ ตา งๆ เหลา นี้ คอื การกระทาํ ของอลั ลอฮ ในขณะเดยี วกับทวี่ า ในแง หนึง่ มนั กเ็ ปนการกระทําของสรรพส่ิงตา งๆ ท่ีมีอยู สรปุ ไดวา ความเปน ไปของเรื่องนีท้ ี่เกิดข้นึ โดย กฎธรรมชาตนิ น้ั มันไดแสดงใหเ ห็นถงึ “เหตผุ ลทางธรรมชาต”ิ ในขณะเดยี วกับที่วา ความเปน ไป ของมันทีเ่ กี่ยวกบั อัลลอฮนั้น แสดงใหเห็นในแงข อง “ความสัมพันธระหวา งเหตุแลผล” “อลั -กุรอานไดช้แี จงถงึ ความเปน ไปทง้ั สองแบบนไ้ี วในโองการหนงึ่ ของพระองค ผูทรง ความบริสทุ ธว์ิ า : “ขณะทเี่ จา ขวา งไปนนั้ เจาหาไดข วางไม แตอัลลอฮคือผูขวา ง”

(อลั อันฟาล-๑๗) กลาวคอื ในขณะที่ทา นนบี ผทู รงเกยี รติ ไดข วา งออกไปแลว พระองคไ ดกลาวอยา งเปดเผย วา “ขณะท่เี จา ขวา งไปน้นั ” เราจะพบวา อลั ลอฮทรงถอื วาพระองคคือผูขวา งท่ีแทจ ริง ท่เี ปน เชน น้กี ็ เพราะวา ทา นนบีเพียงแตด าํ เนนิ กิจการไปตามอาํ นาจทอ่ี ลั ลอฮทรงอาํ นวยใหแกทา น เพราะฉะนั้น การกระทาํ ของทานจงึ กเปน การกระทําของอัลลอฮไปดว ย ยิง่ ไปกวา น้นั เรายังกลาวไดอีกวา “การ กระทาํ นน้ั เปน เรื่องของอัลลอฮ (ซึ่งการมีอยขู องบา ว กาํ ลงั และอาํ นาจนน้ั ลวั้ นมาจากอลั ลอฮ) มากกวาท่จี ะถอื วา เปนเรือ่ งของผูเปน บาวจนถือไดวาการกระทาํ นัน้ เปนของอัลลอฮเทา น้นั แต ความเปนไปเหลาน้ี มไิ ดเ ปนเหตใุ หถ อื วา อัลลอฮ เปน ผูรบั ผดิ ชอบตอการกระทําของบาว ถงึ แมวา จรงิ อยู สาํ หรับมูลฐานขัน้ แรกของปรากฏการณนั้นมันสัมพันธกับอัลลอฮและเกิดขน้ึ มาจาก พระองค ในเมือ่ สวนที่ทาํ ใหเหตุเปนจริงข้นึ มาอยา งสมบูรณ คอื เจตนารมณของมนษุ ยแ ละความพึง พอใจของเขาเอง เพราะถา ไมม สี ิง่ นี้ดว วยแลว ปรากฏการณก็จะไมเ กดิ ข้นึ จงึ ถือไดว า เขาคอื ผรู ับผิดชอบตอการกระทาํ นน้ั ๆ ทีเ่ ราไดอธิบายมาทงั้ หมดในบทน้ี เปนการอธิบายถึงมาตรการระหวา งหลักเอกภาพและการ ตั้งภาคีในทัศนะของอัล-กรุ อาน ดว ยเหตนุ ี้เราจงึ ละเวนโดยไมกลาวถงึ หลกั ฐานทางสตปิ ญ ญาที่ เกี่ยวกบั เรือ่ งนี้จากหลกั เอกภาพ อยา งไรก็ดีอลั -กุรอานไดชี้แจงในสองหัวขอ น้ีโดยเสนอหลักฐาน ดงั ท่ีเราจะกลา วเพือ่ ความกระจา งโดยสรปุ ดงั ตอ ไปน้ี : อลั -กรุ อาน ไดแสดงหลักฐานเก่ียวกบั ความเปน เอกะของผูบ ริหารในโลกดวยหลักฐานที่ ชดั เจน คอื มีหลกั ฐานทีช่ ัดเจนอยูสองโองการดังนี้ : “ถา หากในสิ่งทงั้ สองยังมีพระเจา อน่ื นอกเหนอื จากอัลลอฮแลว แนนอนท้ังสองอยางกจ็ ะ เสียหาย ดังนั้นอลั ลอฮพระผูอภบิ าลแหงบัลลงั คทรงบรสิ ทุ ธิย์ ิ่งจากสิ่งท่ีพวกเขากลาวอาง” (อลั อันบยิ าอ- ๒๒) “และไมมีพระเจา อ่นื ใดรวมกบั พระองค (หากสมมตุ ิวา ม)ี แนน อนทีเดียวพระเจาทกุ องค ตองสลายไปกับสงิ่ ที่เขาไดสรา งขน้ั และจะตองมีอาํ นาจเหนือกวากนั และกัน มหาบริสุทธแิ์ ดอ ลั ลอฮ พนจากส่ิงที่พวกเขากลา วไว” (อัล-มุมนิ ุน-๙๑) “ขอใหทานไดพจิ ารณาเก่ยี วกบั ความหมายของหลักฐานทเี่ ดด็ ขาดดงั กลาว : ถาผบู ริหารโลกนม้ี ีจํานวนมากแลว กจ็ ะเปน ดงั ตอไปน้ี ๑- พระเจาทกุ องคท่ีเปน ผบู ริหารโลกก็จะบริหารไปดว ยความอสิ ระของตนกลา วคือทุกองค กจ็ ะทาํ งานไปตามท่ีตนเองตอ งการในโลกอยางไมม ีใครยอมใคร ดังน้ันในลักษณะดังกลา วนก้ี ็จะทาํ ใหง านบรหิ ารมจี ํานวนมากเพราะวา ผบู ริหารมีจาํ นวนมากและมีพลงั ที่แตกตางกัน เม่ือเปน เชนนี้ก็

จะประสบกบั ความเสียหายแกโ ลก และความเปนเอกภาพที่แนนอนกจ็ ะไมมี นีค่ ือลักษณะที่โองการ ของพระองคผ ูทรงความบรสิ ทุ ธิไ์ ดกลาวไววา : “ถา หากในสง่ิ ทัง้ สองยังมีพระเจา อ่ืนนอกเหนอื จากอลั ลอฮแลว แนน อนทัง้ สองอยางกจ็ ะ เสยี หาย ดงั นั้นอัลลอฮพระผอู ภิบาลแหงบลั ลังคท รงความบรสิ ทุ ธย์ิ งิ่ จากสงิ่ ท่พี วกเขากลาวอา ง” ๒- ถา หากพระเจา ทุกองคตา งบริหารสวนของจกั รวาลทต่ี นไดสรา งมันข้ึนมาแลว ก็เทา กับ วา ทกุ ๆ สว นของโลกก็จําเปน จะตอ งมรี ะบระเบียบท่มี ีอสิ ระโดยเฉพาะไมขนึ้ ระบบระเบียบของ สวนอื่นๆ และจะไมม ีสวนเก่ียวขอ งกนั เลย และเทา กับวา ความสัมพนั ธและความเปนเอกภาพของ จักรวาลก็จะตอ งถูกตัดขาดและสูญสลายไป และเม่อื เปนเชน น้ันแลวเรากจ็ ะไมสามารถมองเห็น ระเบียบใดๆ ในจกั รวาลที่ควบคมุ อยา งเดด็ ขาดอยูไ ดเ ลยในทกุ ๆ สวนของจักรวาลตง้ั แตเรอื่ งอานุ ภาคไปถึงปรมาณทู ่เี ลก็ ทสี่ ุด แลว จะเปน ไปตามความหมายของโองการท่สี องดังนี้ : “แนน อนทเี ดียวพระเจาทกุ องคก็จะตองสลายไปกับส่งิ ที่ทรงสรางไว” ๓- หนึง่ ในพระเจา เหลา นก้ี จ็ ะมอี าํ นาจเหนือองคอ ื่นๆ ทเ่ี หลือ และจะเปน ผูปกครองพระเจา เหลานนั้ อีกท้ังรวมเอาความสามารถและการงานของพระเจา เหลา นน้ั มาเปน อันหนึ่งอันเดียวกนั และควบคมุ ใหเ กิดความเปน เอกภาพแกส่ิงเหลา นน้ั และเม่ือเปน เชน นี้ก็เปน อันวา พระเจา ทแี่ ทจ ริงก็ คือผูป กครองดังกลาวน้ีน่นั เอง หาใชพระเจา องคอ่ืนๆ ไม ดงั ความหมายท่ีชี้แจงโดยโองการของพระองคด งั น้ี : “และจะตองมอี าํ นาจเหนือกวา กันและกัน” ดังน้ัน จงึ สรุปไดวา โองการทัง้ สองน้ีไดช้ีแจงไปยงั หลักฐานเดียวกนั ที่มคี วามหมายเดด็ ขาด โดยทแี่ ตละโองการก็อธิบายแยกออกไปเปนการเฉพาะ ๔- หลักเอกภาพในการวางกฏและระเบียบแบบแผน ผูม สี ติปญญายอมไมม ีความสงสัยเลยวา ชวี ิตทางดานสงั คมของมนษุ ยนัน้ จําเปน ที่จะตองมี กฎหมายมาจดั ระบบความเปน ไปของสังคมแหง มนุษยชาตแิ ละนาํ ไปสูความสมบูรณท ถ่ี ูกสราง ใหแ กเ ขา (ทกุ อยา งลวนดาํ เนนิ ไปตามทถี่ กู สรา ง) อยา งไรก็ดี อัล-กุรอานไมย อมรับการวางกฎโดยมนุษยนอกเหนอื จากการวางกฎ โดยอัลลอฮ ผูทรงความบรสิ ทุ ธิ์ และไมม กี ฎหมายอืน่ ใดนอกเหนอื จากกฎหมายของพระองค ดงั นั้น พระองคค ือผูทรงวางกฎแตผ ูเ ดียวท่ีทรงสทิ ธิในการวางระเบยี บแบบแผน นอกเหนอื จากพระองคก ็ คอื ผูท ่จี ะตองดําเนนิ ไปตามกฎหมายของพระผเู ปนเจา และปฏบิ ตั ติ ามบทบญั ญตั ิของพระองค ในขอ มลู ดงั กลาวน้ี ไดม ีโองการตางๆ ในคมั ภีรอ นั ทรงเกยี รติกลาวถึงไวซ ่งึ เราจะหยิบยก มาเปน ลาํ ดับสักสว นหนงึ่ ดังน้ี :

“สเู จา มิไดเคารพภกั ดีส่ิงที่นอกเหนอื จากพระองคเวน แตบ รรดานามตา งๆ ท่ีสูเจา เรียกขาน มนั ไป ท้งั สูเจาและบรรพบรุ ุษของสูเจา ทัง้ ๆ ท่ีอัลลอฮมไิ ดป ระทานหลักฐานใดๆ ในสิ่งนั้นเลยไป ไมม กี ารตดั สินนอกจากอลั ลอฮ พระองคบัญชาวาพวกทานอยาเคารพภักดีนอกจากพระองค นัน่ เปน ศาสนาแหงคุณธรรม แตส วนมากมนษุ ยไมร ู” (ยซู ุฟ-๔๐) ความหมายท่วี า อาํ นาจแหงการตดั สนิ เปน ของอัลลอฮนั้น หมายถงึ อาํ นาจแหง การวาง บทบญั ญัตเิ ปนเร่อื งของพระองค ดังน้ันความหมายของโองการจึงชใ้ี นประเดน็ ท่ีวา ทุกคนไมม สี ิทธิ ในการทีจ่ ะสง่ั , ยับยงั้ , หาม, อนุญาต เลยนอกจากอัลลอฮ ผูทรงความบรสิ ทุ ธิ์ดวยเหตุนพ้ี ระองคจ ึงมี โองการตรสั ตอ จากนนั้ อกี วรรคหนึง่ คอื : “ไมมีการตดั สินนอกจากอัลลอฮ “พระองคบ ญั ชาวา จงอยา เคารพภกั ดีนอกจากพระองค” ดงั น้ัน ถา มีใครสกั คนถามวา ในเมื่อการออกคาํ ส่งั เปน เร่อื งพระองคโดยตรงแลว อัลลอฮได สัง่ อยา งไรในเร่อื งการเคารพภักดีบาง พระองคก ท็ รงตอบในทันทีวา : “พระองคท รงบัญชาวา อยา เคารพภกั ดีนอกจากเฉพาะพระองค” และทรงกลาววา : “การตัดสินแบบพวกงมงาย (ญาฮลิ ียะฮ) กระน้นั หรอื ท่ีพวกเขาแสวงหากนั และใครเลาทีจ่ ะ ดีกวา อัลลอฮในแงของการตัดสิน สาํ หรบั หมชู นผเู ชื่อมั่น” (อัลมาอิดะฮ- ๕๐) โองการนไี้ ดแบงกฎหมายของการปกครองสําหรับมนษุ ยอ อกเปนสองประเภท คอื การ ตดั สินของพระผเู ปน เจาและการตดั สนิ แบบพวกงมงาย ฉะนัน้ ส่ิงทีเกิดขน้ึ มาจากความคดิ โดยมนุษย ยอ มมิใชเปนของพระผเู ปน เจา กลาวคือมนั เปน กฎของพวกงมงายโดยแท อัลลอฮ ทรงมีโองการอีกวา : “...และผใู ดท่มี ิไดใ ชกฎตามที่อลั ลอฮทรงประทานมา พวกเขากคอื ผูปฏิเสธ” “...และผูใดท่มี ิไดใ ชกฎตามท่อี ลั ลอฮทรงประทานมา พวกเขาก็คอื ผอู ธรรม” “...และผุใดทม่ี ไิ ดใชกฎตามที่อัลลอฮทรงประทานมา พวกเขาก็คอื ผฝู าฝน ” (อัลมาอดิ ะฮ- ๔๔, ๔๕, ๔๗) โองการตางๆ เหลาน้ี ถงึ แมจ ะอธบิ ายวาผปู กครองท่ีใชสิง่ อน่ื นอกจากท่อี ลั ลอฮทรง ประทานมานน้ั มลี ักษณะสามประการ อนั มิใชล ักษณะของผูออกกฎหมายและตราบัญญตั แิ หง มนษุ ยแลว โองการนีก้ ็ยงั แสดงใหเ ห็นถึงความหมายที่วา หา มมใิ หอ อกกฎหมายโดยมิไดรบั การ อนมุ ตั ิจากพระองคดวยเพราะเหตวุ า นโยบายที่ไดม าจากการวางกฎเกณฑืและการออกกฎหมายน้ัน ถือวา ไดถ ูกนํามาเปนเคร่ืองมือในการปกครองและตัดสินกจิ การทั้งปวง มิฉะนน้ั แลว การออก กฎหมายและวางระเบียบแบบแผนใดๆ โดยไมมีผลในการบงั คบั ใช กจ็ ะไมม ีความหมายใดสาํ หรบั ผมู ีสตปิ ญ ญา

สามเงอ่ื นไขดังกลาวนไี้ ดแ สดงใหเ ห็นวาหามมใิ หมกี ารออกกฎหมายและวางระเบยี บเพอื่ การตัดสินทป่ี รากฎวา ในเร่อื งนัน้ ๆ มีบทบัญญัตแิ หง พระผเู ปน เจาวางไวกอนแลว อกี เชน เดียวกัน ท่ี เปน เชนน้กี ็เพอื่ วา ประการทหี่ น่งึ การออกกฎหมาย ประการท่ีสองการตดั สินนั้น เปนสทิ ธิ โดยเฉพาะของอลั ลอฮ ผทู รงความบรสิ ุทธิ์ ซงึ่ ไมม มี นษุ ยคนใดเขา ไปมีสวนดว ยได และเพราะเหตนุ ้ี เองท่พี ระองคทรงกลา ววา ผทู บ่ี ดิ เบอื นระเบียบของพระองคคือผูปฏเิ สธในครั้งหนึง่ และวาเปน ผู อธรรม อกี คร้ังหนง่ึ อีกท้ังยังไดกลา ววา เปน ผฝู าฝน เปนคร้ังทสี าม กลา วคือพวกเขาเปน ผูปฏิเสธก็เพราะวา ขัดแยงกฎบัญญัติแหง พระผูเปนเจา ดว ยการทรยศ ปฏเิ สธ และขดั ขืน พวกเขาเปน ผอู ธรรมก็เพราะวา มอบหมายสิทธใิ นการออกกฎหมายทเี่ ปน ของอัลลอฮ โดยเฉพาะใหแ กผอู นื่ พวกเขาเปนพวกฝา ฝนกเ็ พราะอาศยั พฤติกรรมดังกลาวนอ้ี อกนอกกฎแหง การเช่ือฟงปฏบิ ัติ ตามอัลลอฮ ผทู รงความบริสทุ ธ์ิ สวนในกรณที ี่บรรดานักปราชญแ ละนกั นติ ิศาสตรทางศาสนบัญญัตกิ ระทาํ อันหมายถงึ แบบแผนทุกประการทสี่ ังคมอิสลามมีความตอ งการน้นั เปนเร่ืองท่อี ยูในกรอบของกฎหมายและ การยอมรับโดยพระผเู ปนเจาและหลกั การอิสลามและการกระทําเชน นีไ้ มถือวาเปน การออก กฎหมายหรอื การวางบทบญั ญัติ ๕- หลักเอกภาพในการเชื่อฟง ปฏบิ ตั ิตาม หมายความวา ไมม ีผูใ ดอีกแลว ท่กี ารเช่อื ฟง ปฏบิ ัติ เปน เรอ่ื งท่ีจาํ เปน นอกเหนอื จากอัลลอฮ กลา วคือพระองคแ ตเ พยี งผูเ ดียวที่จาํ เปน จะตองปฏบิ ตั ติ ามและพระองคผเู ดียวทจ่ี ําเปนตอ งไดรบั การ ทําตามคาํ ส่งั สวนกรณขี องการเชื่อฟง ปฏบิ ัติตามผอู ื่น กจ็ ําเปน ตอ งไดรบั อนญุ าตและคาํ สงั่ ของ พระองค มิฉะนนั้ แลวถอื วา เปน เรอื่ งตองหาม มีคา เทา กบั การตง้ั ภาคี (ชริ กื ) ดว ยเหตุน้ี เราจึงไดพบวาอัล-กุรอานเสนอเรอื่ งของการเช่ือฟง ปฏบิ ัติตามใหเปน เรื่อง ของอัลลอฮองคเ ดยี ว โดยเนนถงึ การจาํ กดั วา มนั เปนเรอ่ื งของพระองค ดังมีโองการท่ีวา : “ดงั นั้นจงยําเกรงตออลั ลอฮใหมากเทาทีส่ ูเจา มีความสามารถ และจงรับฟง และจงเชอ่ื ปฏบิ ัตติ าม และจงบรจิ าคสว นทีด่ ีเพอ่ื ตัวของสูเจา” (อัต-ตะฆอบุน-๑๖) ตอมาอัล-กรุ อาน อันทรงเกยี รตกิ ็ไดกลา วอยางเปดเผยวา นบีนั้นมิไดร บั การเชือ่ ฟงปฏิบตั ิ ตาม นอกจากวา โดยอนุมตั ิของอัลลอฮ โดยกลา ววา : “และเรามิไดส ง ศาสนทุตคนใดมานอกจากเพื่อไดร บั การปฏบิ ตั ิตามโดยการอนุมัติ ของอัลลอฮ” (อันนิซาอ- ๖๔)

โดยเหตุน้ีสาํ หรบั ศาสนทตู ทกุ คนนั้น อลั ลอฮไดทรงวางกฎวา ตองเช่อื ฟง ปฏิบัตติ ามทาน ตองดําเนินตามคําสง่ั ตา งๆ ของทาน และตองหยุดยง้ั จากสิ งทีท่ า นหาม เพอ่ื สนองตอบการอนุมตั ิ ของพระองค ดงั นั้นการปฏมิ บัตติ ามทา นนบีแบะอุลลิ อัมร (ผมู ีอํานาจปกครอง) และบิดามารดาตลอดถงึ บุคคลอ่ืนๆ น้ัน เปนเพียงการสนองตอบขออนมุ ัติของพระองคและตามคําสัง่ ของพระองคเทา น้ัน และถาหากวา ไมเ พราะเชนน้ัน ก็จะไมอ นุญาตใหปฏบิ ตั ติ ามพวกเขา ตลอดถึงการดําเนินตามคาํ ส่งั ตางๆ ของพวกเขาเลย ในทน่ี ี้ พอจะสรปุ ไดวา ผพู งึ ไดรับการปฏบิ ตั ิตามโดยแทนั้น ไดแกอ ัลลอฮมหาบริสทุ ธิย์ ิง่ แดพ ระองค สวนผอู ืน่ ที่นอกเหนือจากพระองคนน้ั คือผูพึงไดรับการปฏิบัตติ ามโดยการสนับสนุน และโดยคาํ สง่ั ของพระองค สาํ หรับเรอ่ื งของเหตผุ ลของความจาํ เปน เพาะแหงการเชอื่ ฟงปฏิบัติตาม พระองคนั้น มีรายละเอียดทอี่ ธิบายอยแู ลว ในหนงั สอื วิชาการตา งๆ ๖- หลักเอกภาพในความเปนผูปกครอง ผมู สี ตปิ ญญายอ มตองไมมีความสงสัยเลยวา รฐั บาลน้นั มคี วามจาํ เปนโดยแทใ นการทํา หนาที่รกั ษาระเบียบในสงั คมแหงมนษุ ยชาติ และดํารงไวซ ึง่ อารยธรรม วัฒนธรรมของบา นเมอื ง ตลอดจนใหบุคคลในสังคมมีสวนไดรับสิทธิตามหนาทแ่ี ละความจาํ เปน ในดานตา งๆ ในเม่อื งานของรฐั บาลและความเปน ผปู กครองในสังคมไมอ าจแยกตัวออกจากการบริหาร ในเรื่องของชีวติ และทรัพย ตลอดจนการรักษาและจาํ กัดเสรภี าพในบางคร้งั อีกทง้ั การใชอํานาจใน เรือ่ งดงั กลาวแลว สิ่งเหลา นี้จึงจาํ เปนตอ งอาศัยการยอมรบั ในอํานาจโดยประชาชน หากไมเปน เชนน้ันแลว การบรหิ ารก็จะกลบั กลายเปนวิธีการแบบศตั รูไป โดยเหตุทีว่ ามนุษยท ้งั หมดตางมคี วามเสมอภาคกันในทัศนะของอัลลอฮคนทกุ คนลวนเปน สรรพส่งิ ที่ถูกพระองคส รางมาเหมอื นกนั โดยไมม ีการจาํ แนก ดงั น้ันอํานาจของคนหน่ึงจงึ ไมเหนือ ไปกวา อีกคนหน่งึ แตอ าํ นาจนั้นเปน ของอัลลอฮ ผทู รงเปนเจาที่แทจ รงิ ของมนุษย และจกั รวาล พระองคผทู รงใหการดาํ รงอยูและใชช วี ติ แกเ ขา ดังนน้ั จึงไมเปนสิ่งถูกตองสําหรับคนใดคนหนึ่งท่ี จะมอี าํ นาจเหนอื ปวงบา วนอกจากดวยการอนุมัตจิ ากอัลลอฮเทา นน้ั สาํ หรับบรรดานบี บรรดานกั ปราชญทางศาสนา บรรดาผูศรัทธานั้นเปนผูไดรบั การอนมุ ตั ิ มาจากพระองคผูทรงความบริสุทธใ์ิ นการทจี่ ะใชอ าํ นาจการปกครองในสว นของพระองคและ ดาํ เนนิ กิจการทางดานรัฐแกป ระชาชน กลาวคอื อํานาจรฐั น้นั เปนสทิ ธิของอลั ลอฮ ผูทรงความ บรสิ ทุ ธ์ิโดยเฉพาะ และอาํ นาจคอื สิง่ ทไี่ ดรับการอาํ นวยมาจากอลั ลอฮ พระองคทรงมีโองการวา : “ไมมีการตดั สินใดๆ นอกจากเปนอัลลอฮพระองคทรงบัญชาวา อยา เคารพภกั ดนี อกจาก เฉพาะพระองค น่ันคอื ศาสนาแหงดุลยธรรม แตค นสวนมากไมรู”

(ยูนฟุ -๔๐) “อัล-ทุกม”-การตัดสิน, อํานาจการปกครอง-เปนคาํ ที่มคี วามหมายกวางมากกวาการวางกฎ วางบทบัญญัติ และการออกกฎหมาย คอื รวมทั้งการใชอ าํ นาจและการปกครองอยางเดด็ ขาด พระองคไ ดอธิบายจาํ กัดไวโดยโองการของพระองคว า : “ไมม ีการตัดสินใดๆ นอกจากเปน ของอัลลอฮพระองคทรงจํากดั สทิ ธแิ ละพระองคค ือผู จาํ แนกทด่ี เี ลศิ ” (อัลอันอาม-๕๗) “แนน อนการตัดสนิ นั้นเปนของพระองค และพระองคค อื ผทู รงคํานวณท่รี วดเรว็ ยิง่ ” (อลั อันอาม-๖๒) จรงิ อยู การเจาะจงวา สิทธิแหง ความเปนผปู กครองเปน ของอลั ลอฮน้ันมิไดหมายความวา พระองคด ํารงอยูในฐานะเปนบคุ คลท่ีทําหนา ทีส่ ั่งงาน หากแคห มายความวา ผทู ําหนา ท่ตี วั แทนใน การสัง่ งานในสังคมมนุษยนั้นจําเปน ตองไดรบั การอนุมัตจิ ากพระองคสําหรบั การบรหิ ารงานตา งๆ และดาํ เนินกิจการท้ังในเรือ่ งของชวี ติ และทรัพยสนิ ดว ยเหตุนีเ้ องเราจะเห็นไดพ ระองคไ ดท รงมอบสิทธใิ์ นการจัดตง้ั รัฐบาลปกครองประชาชน ใหแ กน บบี างทาน โดยมีโองการวา : “โอดาวดู แทจรงิ เราไดแตงตง้ั เจา ใหเ ปนผูท ําหนาทป่ี กครองแทน (คอลีฟะฮ) ในหนา แผนดิน ดังน้ันเจา จงตดั สนิ ระหวางมนษุ ยด วยความเปน ธรรม และเจา อยาปฏิบัติตามอารมณเ พราะ มันจะทําใหเ จา หลงจากวถิ ีทางของอลั ลอฮ” (ซูเราะฮ ศอด-๒๖) ดวยเหตุนีเ้ องอาํ นาจรัฐในสังคมแบบอิสลามจึงจาํ เปนทจ่ี ะตอ งไดรบั อนมุ ตั มิ าจากอลั ลอฮ หาไมเ ชน นั้นแลว มนั กจ็ ะเปนการใชอ ํานาจของพวกมารรา ย (ฏอฆูต) ซงึ่ อลั -กุรอานไดป ระนามไว ในหลายโองการ ๗- หลักเอกภาพในเรอ่ื งของการเคารถภกั ดี หมายถงึ การจาํ กัดใหก ารเคารพภักดีเปนของอลั ลอฮ ผทู รงความบริสทุ ธ์แิ ตเพียงผเู ดียว และ นค่ี ือ พน้ื ฐานท่ยี อมรับกันระหวา งบรรดามสุ ลมิ ท้ังมวลโดยไมมกี ารขดั แยงกันเลยนับมาตงั้ แตเ ดมิ และในสมยั นี้ ดงั นั้น มสุ ลิมจะเปน มุสลิมไมไดนอกจากวา จะตอ งยอมรับในพ้ืนฐานดังกลาวน้ี อยางไรก็ดีการยอมรบั กนั ในพ้ืนฐานอนั นี้ มไิ ดมีการยอมรับอยางลงเอยกนั ในบางกรณีซึ่ง เกดิ ปญหาขัดแยงกันในประเด็นทวี่ า มนั เปน การเคารพภกั ดตี อสิง่ อ่นื นอกเหนอื จากอลั ลอฮ ผูทรง ความบรสิ ุทธิ์ หรอื วาเปน เรื่องของการใหเ กยี รตแิ ละการยกยอ ง เทิดเกียรติ หรือแสดงความนับถือ ประเด็นสาํ คญั ทวี่ า การเคารพภกั ดีเปนของอลั ลอฮ โดยเฉพาะไมม ีภาคใี ดๆ ในสิง่ ดงั กลา ว เลยนั้น นบั วาเปน เรอ่ื งท่ีไมมีการขัดแยงกันเปนสองฝาย หากแตในสว นของขอปลกี ยอยท่ีถกเถียง

กนั อยนู ้ัน มอี ยูในสวนทีว่ า งานของคนๆ หน่งึ น้ัน เปน การเคารพภกั ดีตอสิ่งอื่นนอกเหนือจาก อลั ลอฮจนกระทงั่ เปนงานประเภทต้ังภาคไี ปเลย และผูกระทาํ งานนน้ั กเ็ ปนผตู ้ังภาคโี ดยออกนอก กรอบอิสลาม และหลกั เอกภาพไปเลยหรือไม อยางน้เี ปน ตน หรอื วาเขากระทําการใหเกยี รติ แสดง ความนับถอื โดยยังไมเ ขาใจอยใู นขา ยของความอิบาดฮแตอยางใดเลย พ้ืนฐานเหลาน้ี คอื สิ่งทีเ่ ราจะเนนถึงในหนังสือเลมนีโ้ ดยมีการอธิบายและทาํ ความเขา ใจ อยา งแจงแจง เพราะวา พวกวะฮาบียสว นมากมกั จะถือเอง “การตัง้ ภาคใี นการเคารพภักดี” มาเปน ขอหาเพอื่ ยดั เยียดใหบรรดามสุ ลมิ สว นมากเปน ผปู ฏิเสธ และตง้ั ใหค นเหลา น้ันอยใู นฐานะผูตัง้ ภาคี ในการเคารพภกั ดี และเพ่อื ท่จี ะไดม าทาํ ความเขาใจกนั ในหัวขอนี้ เราจะขอกลา วดังนี้ : แนนอนที่สุด พนื้ ฐานทีเ่ ราจาํ เปน ตองทาํ ความเขา ใจกอนเรื่องอ่นื ทงั้ หมดก็คือ การทาํ ความ เขาใจในคาํ จาํ กัดความ “การเคารพภักดี” ในแงของอลั -กุรอานและแบบฉบับ (ซุนนะฮ) อนั บรสิ ุทธิ์ จนกระทั่งวา ไดมีมาตรการทแ่ี นนอนในการจําแนกความหมายของ “การเคารพภักดี” ออกมาจาก เรื่องอืน่ ๆ ใหแนช ัดเสียกอนหากไมเปนเชนนั้นแลว การอธิบายกไ็ มบ งั เกิดผล การถกปญ หา อภิปรายก็ไมลงเอยแตอยา งใดเลย ดังน้ัน น่ีคือพื้นฐานที่จาํ เปน ซึง่ นักเขยี นฝายวะฮาบียม ักจะมองขาม โดยอธบิ ายเรื่อยเปอ ยไป วา การงานสว นมากของบรรดามสุ ลิมน้ัน เปนการตงั้ ภาคใี นแงข องการเคารพภกั ดี โดยมไิ ดจํากัด ขอบเขตท่แี นนอนตามความหมายของอัล-กุรอานใหช ัดเจนเสียกอนท่ีจะทาํ อยางนน้ั อยา งไรก็ดี กอนทเี่ ราจะเขา มสูการจาํ กดั ความหมายท่แี นน อนเหลาน้ี เราจะขอเริ่มกลาวถึงเรอ่ื งราวเหลาน้ี เสยี กอ น...

ภาคทห่ี นงึ่ สงิ่ สาํ คญั อันดับแรกสบิ ประการ ๑- การตอ ตานการตง้ั ภาคี เปน รากฐานแหง งานเผยแผของบรรดานบี ส่ิงที่เปนรากฐานแหงงานเผยแผข องบรรดานบีในสาระสาํ คญั ทงั้ หมดของคําสอนอนั สูงสดุ นนั้ คือ : การเรยี กรองมนษุ ยชาติไปสกู ารเคารพภักดี (อัลลอฮองคเ ดียว) และใหห นั หางจากการ เคารพภกั ดีส่งิ อ่ืน ดังน้ันหลกั เอกภาพในการเคารพภักดีและการทาํ ลายพนั ธนาการแหง การต้งั ภาคแี ละเจวด็ นน้ั เปนหลักคําสอนท่สี ําคัญทสี่ ดุ ซึ่งครอบคลมุ พื้นฐานทงั้ ปวงแหง คาํ สอนตางๆ ของบรรดานบี (ขอความสนั ตสิ ุขพึงมีแดท าน) จนกระทง่ั วา บรรดานบีและศาสนทตู ทง้ั หลายนั้นเปรียบประหนง่ึ วา มิไดถูกสงมาเพ่อื อื่นใดเลย นอกจากวาเพอ่ื เปา หมายอนั เดียว น่ันคือยืนยนั ถึงหลักการเอกภาพและ ตอ สูกับการตั้งภาคี โดยแนน อนที่สุดอัล-กุรอาน ไดกลา วถึงความเปนจริงในขอนี้วา : “และโดยแนนอนยง่ิ เราไดสงศาสนทตู มาในทุกๆ ประชาชาติเพอื่ (ประกาศวา ) สเู จา จง เคารพภกั ดีตอ อัลลอฮและหันหา งจากพวกมารเถิด” (อนั นะฮลุ-๓๖) “และเรามไิ ดส งศาสนทตู คนใดกอนหนา เจา มานอกจากเราจะไดดลใจแกเ ขาในขอที่วา ไม มีพระเจา อืน่ ใดนอกจากฉนั ดังน้ันสูเจาจงเคารพภกั ดีน้ันเถิด” (อัล-อมั บยิ าอ- ๒๕) ตอ มาในท่ีอีกแหง หน่ึง อัล-กุรอานอนั ทรงเกยี รติไดอธบิ ายวา : หลกั เอกภาพในการเคารพ ภกั ดนี ้ันเปน มูลฐานรวมระหวางบทบัญญตั ทิ ัง้ มวลแหง พระผูเ ปน เจา โดยท่ีพระองคกลาววา : “จงกลาวเถิด โอชาวคัมภีรเ อยทานทั้งหลายจงมาสูถอ ยคาํ อนั เสมอเหมือนกันเถิดระหวา ง เราและระหวา งพวกทาน นั่นคอื เราจะไมเ คารพภักดสี ิง่ อ่ืนนอกจากอัลลอฮและเราจะไมต ้ังส่ิงอ่ืนใด เปน ภาคกี ับพระองค” (อาลิอิมรอน-๖๔) ถาทา นตองการที่จะรวู า อัล-กรุ อานอนั ทรงเกยี รติอธิบายเร่อื งของการตั้งภาคใี นแงข องการ เคารถภกั ดอี และระดบั ตางๆ ท้งั หมดตลอดจนลักษณะของผตู งั ภาคีไวอ ยา งไรบาง ในแงที่วา เขา หมดสิ้นสงิ่ ยึดเหนย่ี วใดๆ ในชีวติ ก็ลองพิจารณาดใู นโองการดังตอ ไปนี้ เม่อื พระองคต รสั วา : “และผูใดต้งั ภาคีตอ อัลลอฮ ดงั น้ันก็เทา กับเขาหลน มาจากฟา แลวนกกไดเฉ่ียวเขาไป หรอื ลมไดพัดพาเขาไปยงั สถานท่ที ี่อนั ตราย” (อัล-ฮัจญ- ๓๑)

ไมมขี อ เปรียบเทียบอันใดทจี่ ะใหภ าพพจนเ กี่ยวกบั ความผิดพลาดของการต้ังภาคีและความ เสยี หายของการต้งั ภาคีตลอดถึงความเลวรา ยของมันไดอยางชัดเจนมากไปกวาโองการอนั ทรง เกียรติน้ี ๒- แหลงท่ีมาของการตง้ั ภาคีและการบชู าเจวด็ นับเปน เรือ่ งท่ีลําบากอยา งย่ิงในอนั ทจี่ ะใหค วามเห็นในเร่ืองของรากเหงาแหง การบชู าเจวด็ และแหลง ท่ีมาของหลักศรทั ธาอันผิดพลาดน้ีและววิ ฒั นาการของมนั ทามกลางมนษุ ยชาติ โดยเหตุ ทีว่ า เรือ่ งราวของการบชู าเจวด็ มิไดเปน ของชนกลมุ เดยี วหรอื สองกลุม และมิไดมลี ักษณะเดียวหรอื สองลักษณะ และมิไดอยูในพ้นื ที่เดยี วกันหรือสองพ้ืนที่ เพอ่ื ที่วาจะเปน เรอ่ื งงายแกก ารอธบิ ายให ทศั นะทแ่ี นน อนในเรอื่ งราวความเปน มาของมัน กลา วคือการบชู าเจว็ดในทศั นะของ “อาหรับยุคมดื ” ก็มีความแตกตา งไปจากทัศนะของ พวกพราหม และการบูชาในทศั นะของชาวพุทธ ก็แตกตางไปจากทัศนะในเรอื่ งนี้ของพวกฮนิ ดู อยา งนเี้ ปน ตน ดงั นั้นจะเห็นไดว าหลักศรทั ธาตา งๆ ของชนชาติเหลา นม้ี คี วามแตกตา งกนั ในแงของ การต้งั ภาคีจนยากทจ่ี ะอธิบายถึงขอ มูลทม่ี ีรวมอยรุ ะหวา งมันได สาํ หรบั ชาวอาหรับเบดูอิน อยา งเชนพวกอาด พวกษะมูด : ประชาชาตขิ องนบฮี ดู กบั นบีศอ ลฮิ  และอยงเชน ซักนะฮ มดั ยัน และซะบาอ : ประชาชาติของนบชี อุ ยั บและนบีซุลัยมานนัน้ ปรากฏ วา อยูกับการบูชาเจวด็ สองประเภท และการเคารพบูชาดวงอาทิตย(๑) และแนนอนทสี่ ุดหลกั ศรทั ธาของพวกเขาเหลา น้ันตลอด ถงึ แนวความคดิ ของพวกเขาเหลาน้ันไดถกู นาํ มากลา วถงึ ไวในอัล-กุรอานอันทรงเกียรติ โดยแนน อนย่ิงชาวอาหรับยุคมดื น้ันมาจากบรรดาลกู หลานของนบีอิสมาอีลเปนพวกทีย่ ึด มั่นในเอกภาพของพระผเู ปน เจา มานาน พวกเขาปฏิบัตติ ามคําสัง่ สอนของนบอี บิ รอฮีมและนบีอสิ มาอลี (ความสนั ติสุขพงึ มีแดทา นทัง้ สอง) แตวา เม่ือเวลาไดลว งเลยมานานและประกอบกบั ไดม กี าร ตดิ ตอ สมั พนั ธกับประชาชาตติ างๆ และชนชาติท่บี ูชาเจวด็ สภาพของการบูชาเจวด็ จงึ เขามาแทนท่ี ในสงั คมของชาวอาหรบั ยุคมืดทีละขึน้ ทลี ะตอน(๒) สภาพของประชาชาติอาหรับเหลานใ้ี ชช ีวติ อยใู นประเพณขี องการไวทกุ ข สว นประชาชนท่ี อาศยั อยใู นมักกะฮจนใกลจ ะมาถงึ สมยั ของทา นศาสนทตู นั้นนักประวตั ศิ าสตรไ ดอางวา คนแรกที่นํา ลัทธิการบูชาเจวด็ เขาในเมอื งมักกะฮน้ันคือ “อมั ร บนิ ละฮยี” (1) ดังโองการทว่ี า “และไดพบวานางกบั พวกของนางกราบดวงอาทิตยนอกเหนือจากการ กราบอลั ลอฮ” (อันนัมลุ-๒๔) (๒) เรอ่ื งน้ีแสดงใหเ ห็นวาลทั ธกิ ารบูชาเจว็ดไดเ ขาไปสูส ังคมของชาวอาหรบั ยุคมืดมานานแลว จนกวา จะมาถงึ เมอื งมักกะฮตามทท่ี า นอบิ นุฮิชามไดอา งไวใ นหนงั สอื ประวตั ิศาสตรรวมทงั้ นกั ประวัติศาสตรค นอื่นๆ

กลาวคอื ในตอนทีเ่ ขาเดนิ ทางเมืองซีเรียนั้นเขาไดพบกับประชาชนที่เคารพบชู าเจวด็ เขาได ถามคนเหลา นัน้ ถงึ สง่ิ ที่พวกเขาไดกระทําอยวู า : “ทขี่ าพเจา ไดเ หน็ พวกทานเคารพรูปปน เหลาน้ี หมายความวา อยา งไร?” พวกเขาตอบวา : รปู ปน เหลาน้ี ท่เี ราไดเคารพมนั ก็เพราะวา เวลาท่เี ราตองการฝน มนั ก็ให ฝนแกเ รา เวลาเราขอใหมนั ชว ยเหลือ มนั ก็ชว ยเหลอื เรา” เขาไดก ลา วกับคนเหลา น้ันวา : ทานจะมอบมนั ใหแ กข าพเจา บา งจะไดไ หม เพ่ือที่วา ขา พเจา จะไดนํามนั ไปประเทศอาหรบั แลว พวกเขาจะไดเคารพมนั ? เม่ือเปน เชน น้ีการปฏบิ ัตขิ องพวกเขากับชายคนน้ันกเ็ ปนไปดวยดแี ละไดใหเขานาํ รูปปนตัว ใหญไ ปไวทเ่ี มอื งมกั กะอ มีชื่อวา “ฮะบัล” โดยไวว างมนั ไวตรงบรเิ วณสถานกะบะฮอันทรงเกียรติ และเรยี กรองประชาชนใหม าทาํ การเคารพ(๑) ตอมาเมอื่ มสุ ลมิ ประสบปญ หาเร่อื งฝนตกไมพ อเปย กรองเทาของพวกเขาเลยไมว า คนื ใด ทา นศาสนทูตกไ็ ดอ อกประกาศวา “พวกทานรูหรือเปลา วา พระผูอภิบาลของพวกทานกลา ววา อยางไร? คนเหลานัน้ กลา ววา “อัลลอฮและศาสนทูตของพระองคเ ทา น้ันทจ่ี ะรู” ทานกลา ว วา อลั ลอฮไดตรัสวา : “สาํ หรบั ในหมูป วงบา วของฉนั น้ัน สามารถแยกไดเ ลยวาใครเปน ผศู รทั ธาตอ ฉันและใครท่ี เปน ผปู ฏิเสธตอ ฉัน กลา วคือผทู ่ีกลาววา : ฝนตกลงมาแกเราดว ยความเมตตาแหงอัลลอฮและความ โปรดปรานของพระองคนั้น ไดแ ก ผศู รัทธาตออลั ลอฮและปฏเิ สธตอการบูชาดวงดาว สว นผูท่ีกลา ว วา : ฝนตกมาแกเ ราโดยเทพเจา นน้ั เทพเจาน้ี เขาก็คอื ผูศรัทธาตอดวงดาวและปฏิเสธตอ ฉนั ” (๒) ขอมลู ทางประวัติศาสตรส องประการดงั กลาวน้ี ตางยืนยันในเวลาเดียวกนั วาชาวอาหรับ แหงยคุ งมงายนัน้ บางสวนหรือท้งั หมดลวนเปนผูต้งั ภาคใี นแงของการดแู ลอภิบาล และเปนผู เชื่อม่นั วา ฝนตกเพราะอํานาจของรปู น้ัน ดงั น้ันพวกเขาจึงขอฝนจากส่งิ ดังกลาวและตา งพากนั อา งวา มันสามารถใหฝ นแกพวกเขา ขอไดน ําเรอ่ื งนีไ้ วเ ปนขอมูลที่สําคญั สําหรบั ในบทตอๆ ไป นักวชิ าการอกี สว นหน่งึ ไดใ หท ศั นะวา “เจว็ด” เกดิ ข้ึนมาจากการใหเกียรติและเทิดทนู บคุ คลสาํ คญั ๆ ครั้นเม่อื เขาตายลง คนเหลา นัน้ เทิดทูนเขาขน้ึ เปนปชู นียบุคคลเพ่อื เตอื นความทรงจาํ และฝง ความเคารพไวใ นจิตใจ แตครั้นกาลเวลาไดผ านพน ไป ประชาชนในรุน หลงั ก็ไดเ ปลี่ยนให สภาพของปูชนียบุคคลนเ้ี ปน เคร่ืองบูชาของพวกเขาไปเลย บอ ยครัง้ ทป่ี รากฏวา หัวหนา ครอบครวั เปน ผูท ี่ไดรบั เกียรติและการยกยอ งวา เปนผูอาวุโสใน ขณะทมี่ ีชีวติ ครนั้ เม่อื ไดตายไปพวกเขาก็นาํ เอารูปภาพมาประดิษฐานและพากันเคารพบูชา (1) หนงั สอื ซีเราะตบุ นุ ฮิชาม เลม ๑ หนา ๗๙ (๒) หนงั สือ ซีเราะตลุ ฮะละบียะฮ เลม ๓ หนา ๒๙

ในสมัยกรกี และสมัยโรมันปรากฏวา ประมุขของครอบครวั ไดร ับความเคารพจากบริวาร ของตน คร้ันเมื่อตายไปแลวพวกเขากพ็ ากันเคารพบชู ารปู ภาพของเขา ในยคุ ปจ จุบนั น้ีไดม รี ูปปนและอนสุ าวรยี ข องนักศาสนาและบคุ คลสําคญั ตา งๆ ตั้งอยูตาม พิพธิ ภณั ฑซึง่ คนเหลานั้นหรือรูปปน ของเขาไดร ับการเคารพเชน พระเจา ในการสนทนาของนบีอิบรอฮีม (ความสนั ตสิ ุขพงึ มีแกทา น) กับผอู าวุโสประจาํ หมชู น (นมั รูด) ก็ไดเ ปนที่อธิบายอยางชดั แจงแลว วา นัมรูดนั้นเปนทีเคารพบชู าของหมชู นของเขา แตเ ขากย็ ังมี รูปปน ไวเคารถโดยเฉพาะอีกดวย ซ่งึ เปนลักษณะประจาํ ตวั ของบคุ คลตา งๆ ทอี่ ยใู นตาํ แหนงเปน ฟร เอาวนในยุคกอนๆ ดงั ทอี่ ลั -กุรอานไดเปด เผยใหเ ราทราบวา “และชนช้ันเจา นานแหงพวกพองของฟรเอาวน กลา ววา ทา นจะปลอยใหมูซาและพรรค พวกของเขากอ ความเสียหายในหนา แผนดนิ และดูแคลนตอทานและพระเจาของทา นกระนัน้ หรอื ” (อลั -อะรอฟ-๑๒๗) สรปุ ไดวา ความเปนมาของรปู ปนของอนสุ าวรยี ต า งๆ ก็คือ การเทิดทนู บคุ คลสําคัญทาง ศาสนาและหัวหนาเผา ตา งๆ ตลอดจนบุคคลผูอาวโุ ส แตพ อกาลเวลาหมนุ เวียนเปล่ียนไป เร่ืองราว เหลานั้นก็ไดเปลีย่ นแปลงไปเรื่อยๆ จนผิดแผกไปจากเจตนาเดมิ ภาพเหลา นั้นจึงกลายไปเปน สิ่ง เคารพบชู า และรูปปน เหลา นี้กไ็ ดกลายเปนพระเจาไปเสยี เลย ๓- วงจาํ กัดของหลักเอกภาพในการเคารถภกั ดีตออัลลอฮ ความหมายของหลักเอกภาพในดา นนค้ี ือใหเราเคารพภกั ดตี อ ผูส รางจักรวาลอยางเดยี วและ ใหเ ราหลกี หา งจากการเคารถภักดีสง่ิ อื่นนอกจากพระองค เนอ่ื งจากวา มันเปน ส่งิ ถกู สรางของ พระองค และการกระทําอยางน้ถี ือเปนการตง้ั ภาคใี นการเคารพภกั ดที ี่หมายความวา มนุษยเ คารพสิ่ง ทถี่ กู สราง ถงึ แมเขาเชอ่ื มั่นวา พระเจา องคเ ดยี วเทา นนั้ คอื ผสู รางจกั รวาล เนอื่ งจากสาเหตุอนั หนง่ึ ยอ มมาจากสาเหตุท้งั หลาย สิ่งเหลา นี้พวกวะฮาบียใ หชอื่ เรยี กวา “หลกั เอกภาพในความเปน พระเจา ” ขณะเดียวกนั กับที่ ใหช ือ่ เรียก “หลักเอกภาพแหงสภาวะการดาํ รงอย”ู วา “หลกั เอกภาพในดา นการดแู ลอภบิ าล” การ จาํ กัดความทั้งสองอยา งลวนผดิ พลาดในเม่ือทานจะไดร ูจักความหมายของความเปน พระเจา ไป ตามท่ที า นจะไดร จู กั วาความหมายของมันมไิ ดหมายถึง รปู เคารถ ยง่ิ ไปกวา นัน้ ทั้งคาํ วา “อิลาฮ” กับ “อัลลอฮ” ตา งก็เสมอเหมอื นกนั ในแงของพ้นื ฐานและความหมาย เพยี งแตวา ประการแรกคือสวน ท้ังหมด ประการทีส่ องคือ ความเปน เอกะ จากความจริ งทงั้ หลายของสวนท้งั หมดดงั กลา วนนั้ สวนในแงข อง “การดแู ลอภิบาล” ก็จะมีความหมายวา “บรหิ ารและจดั ระบบ” ในจกั รวาล มใิ ชห มายถงึ “ความเปน ผสู ราง” ถึงแมวา การบริหารน้ันตามความหมายทางปรชั ญา จะไมสามารถ แยกออกจากความเปนผสู รา งไดเ ลยก็ตาม

ประการแรก ถงึ แมจ ะเปน การยนื ยันวาเรายอมรับใหเรื่องหลกั เอกภาพแหงสภาวะการดํารง อยูเปนเรอ่ื งของเอกภาพในความเปน พระเจาก็มิไดหมายความวา น่ันยังมพี ระเจา อน่ื นอกเหนอื จาก อัลลอฮ มิไดหมายความวา มพี ระเจา สงู สดุ อยู น่ันคืออัลลอฮ สว นพระเจา ยอ ยก็ทําหนาทด่ี ูแลรกั ษา กจิ การบางอยางของพระองค เปนตน วาการอนเุ คราะหช วยเหลือ (ชะฟาอะฮ) การนิรโทษให ดงั ที่ พวกอาหรับสมัยงมงายเชอื่ ถือกัน ทํานองเดียวกับการยนื ยันวา เราถอื วา “หลักเอกภาพในการสรางสรรค” เปน “หลักเอกภาพ ในความเปน ผสู ราง” โดยถอื วา มิใช “หลักเอกภาพในการดูแลอภบิ าล” โดยทเี่ ราไดรวู า พระผูอภิบาล (ร็อบ) น้ันมิใชความหมายเดยี วกันกบั พระผูสราง (คอลกิ ) ถึงแมว า ในพน้ื ฐานของภาวะวสิ ัยเพยี งขอ พสิ จู นทางสติปญ ญากม็ อิ าจแยกความหมายออกจากกันไดก ็ตาม ทาํ นองเดยี วกับการยนื ยันวาเราถือเอา “หลักเอกภาพในการเคารพภักดี” ตามความหมาย ของคําน้ี โดยมใิ หเปนเรอ่ื งของ “หลักเอกภาพแหงความเปนพระเจา” ในเมื่อเปน ทีร่ ูอ ยูแลว วา “พระ เจา ” มใิ ชความหมายของสิง่ ที่เปน “รูปเคารพ” เปน อนั วา ในแงนกี้ ารตั้งภาคมี ไิ ดเปนส่ิงทเ่ี กดิ มาเพราะการมพี ระเจาหลายองคแ ละมไิ ดเ กิด ข้นึ มาเพราะเชอื่ มั่นวา มีพระเจา อื่นทีร่ วมในการสรางโลกกบั อลั ลอฮเปนตน วา พระเจา ตา งๆ ที่แอบ อา งขนึ้ มา แตถ ึงแมจ ะยอมรับอยา งนแี้ ลวกต็ ามที การเคารพภกั ดตี อพระเจา องคเ ดียวยังอาจถูกละเลย ได และพระเจา อ่ืนอาจไดรับการเคารพภักดกี ็ได แรงผลกั ดันท่ีกอ ใหเกิด “การเคารพภกั ดสี ่ิงถกู สรา ง” ในหมูป ระชาชาตทิ ัง้ หลายน้ันมีขน้ึ ใน ลักษณะตา งๆ บางทอี าจเกดิ ข้ึนมาจากเหตุผลอนั เรียบงาย และมีอยูบอยครัง้ ทีเกิดข้ึนโดยเหตผุ ลทาง ปรชั ญา และในลาํ ดับจากนไี้ ปเราจะเปด เผยถึงประเด็นสําคญั ทเี่ ปน สวนทําใหเกดิ การตัง้ ภาคี ๔- แรงผลักดันท่ีกอใหเกดิ การตัง้ ภาคีในการเคารถภกั ดี ในขณะทีแ่ รงผลกั ดันทกี่ อ ใหเ กิดการตั้งภาคีมอี ยมู ากมาย แตเ ราจะขอเสนอเพยี งสาม ประเดน็ คือ : (ก) ความเชื่อที่วา มีผูสรา งหลายองค พวกบชู าเจวด็ และผูท ีย่ ึดมั่นในไตรภาคตี ามลักษณะของพวกเขามีกฎเกณฑท างดานความ เชือ่ ถือตอ เจวด็ และไตรภาคีอยา งเด็ดขาดในเร่ืองการเคารถภักดีตอพระเจา มากกวา องคเ ดยี ว กลาวคือในศาสนาพทุ ธมีความเช่อื ถือตอพระเจา ที่เปนนริ ันดรอยสู ามองคหรือสามสรรพ นาม ดงั นี้ 1- พระพรหม หมายถึงพระเจา ผทู รงดาํ เนนิ อยู 2- พระวิษณุ หมายถึงพระเจา ผทู รงปกปกรักษา 3- พระศิวะ หมายถงึ พระเจา ผทู รงเสกสรร

ในหมชู าวครสิ เตยี นกป็ รากฎมรี ายนามดงั น้ี 1- พระบดิ า 2- พระบตุ ร 3- พระจติ วิญญาณบริสทุ ธิ์ ในศาสนาโซโรเอสเตอรม ีความเช่ือในดา นของ “อะฮวัร มซุ ดา” เปนพระเจา สององคไ ปอกี ตางหาก คือ 1- ยซุ ดาน 2- อะฮรมี นั ถงึ แมค วามเชอื่ ของชาวโซโรเอสเตอรจ ะมอี ยูก ับพระเจา สององคนอี้ ยูกต็ าม สภาพของ ความเชือ่ ก็ยังเปน ไปอยา งมดื มนซอนเรน อยา งไรกต็ ามความเชือ่ ถอื ทางดานจติ ใจทมี่ ตี อ พระเจา หลายองคน ้นั นับเปน แรงผลกั ดัน อันหนงึ่ ทอ่ี ยูเบอื้ งหลังการเคารถภักดสี ง่ิ อื่นนอกจากอัลลอฮ และเปนสาเหตุสาํ หรบั การตั้งภาคขี ้ึน ในการเคารพภักดี แนนอนอัล-กรุ อานไดตําหนิพ้ืนฐานของความเชือ่ ถืออยา งนดี้ ว ยหลกั ฐานอันชัด แจง จาํ นวนมาก และการอธบิ ายในหลกั ฐานเหลา นั้นก็ไดดาํ เนนิ ไปแลวเมอ่ื ตอนทอี่ ธิบายเก่ียวกบั “หลักเอกภาพในฐานะทรงอภิบาลและบรหิ าร” (ข) ทศั นะคตทิ ่วี า “ผสู รา ง” อยหู างจาก “ส่ิงถกู สราง” แรงผลกั ดนั ประการทส่ี องที่ทาํ ใหเกิดการเคารถภักดสี ง่ิ อ่ืนนอกจากอลั ลอฮคือทศั นคตทิ วี่ า อลั ลอฮทรงหา งไกลจากสงิ่ ถูกสรา ง ตามความคิดทว่ี า อัลลอฮทรงหางไกลจากสรรพส่งิ ท่ีถกู สราง ไมไดยินและไมห ย่งั รูการเรยี กรองของพวกเขาดว ยเหตุน้พี วกเขาจงึ สรรหาส่ือกลางที่พวกเขาคิดวา มันจะชวยรบั ชว งการเรียกรองของพวกเขาสูพระองค ราวกบั วา ตาํ แหนงของพระผูอภิบาลน้ัน เปรยี บเสมอื นตําแหนง ของมนษุ ยทีไ่ มอ าจเขา ถึงไดเลยโดยไมมสี ่ือกลาง ดว ยเหตุนี้พวกเขาจึงพากนั เคารพบชู าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มะลาอิกะฮ ญินและดวงวญิ ญาณเพ่อื นาํ ขอ เรียกรอ งของเขาไปยังพระผู อภบิ าล แนน อนที่สดุ อัล-กรุ อานไดตําหนทิ ัศนะคติอยางน้ดี วยหลักบานตา งๆ อนั ชัดแจง โดยกลาว วา แทจ ริงอลั ลอฮนัน้ ทรงอยูใกลยง่ิ กวาความใกลท กุ ส่งิ ทุกอยาง แทจ รงิ อัลลอฮทรงไดย ินการซอ นเรน และการกระซบิ ของพวกเขารวมทัง้ การแสดงออกที่ เปด เผยของพวกเขา แทจรงิ อัลลอฮทรงโอบลอมส่งิ ท่พี วกเขาปดบังและเปด เผย ดวยเหตนุ จ้ี งึ ไมจําเปน ตองยึดถอื พระเจา เทยี มเหลา นน้ั และไมจ าํ เปน ตอ งเคารพภกั ดีส่ิงนั้น แมเพยี งวัตถปุ ระสงคท ่วี า จะเอามันมาเปนสือ่ กลางสําหรบั นําขอเรียกรองของพวกเขาไปสอู ัลลอฮก็

ตาม เพราะอลั ลอฮทรงรอบรูในส่ิงทั้งมวลและพระองคคือผูซ ่ึงไมมีส่ิงใดหา งไกลจากพระองคไ ด เลย ความหมายเหลา นีท้ กุ อยาง มีปรากฏอยใู นโองการดงั ตอ ไปน้ี “และเราใกลชดิ เขายงิ่ กวา เสน เลือดที่คอหอย” (กอฟ-๑๖) “อลั ลอฮใชหรือไมทีเปน ทเ่ี พียงพอแลวสาํ หรบั บาวของพระองค” (อัซซมุ รั -๓๖) “จงวงิ วอนขอตอ ฉันเถิด แลว ฉนั จะตอบสนองแกส ูเจา” (ฆอฟร-๖๐) “จงกลา วเถดิ (มุฮมั มดั ) ถา สูเจา ปดบังส่งิ ทอี่ ยูใ นจิตใจหรอื เปดเผยมันอัลลอฮก็ทรงรูกับมนั ” (อาลิ อมิ รอน-๒๙) “ไมม ใี ครกระซบิ กันไดส ามคนโดยไมมีพระองคเปนบุคคลที่สี่ และไมมหี า คนนอกจากวา พระองคทรงเปน บคุ คลที่หก” (อัล/มญุ าดลิ ะฮ-๗) กับโองการตา งๆ เหลานแ้ี ละโองการอ่ืนๆ อีกทอ่ี ัล-กุรอานไดตาํ หนคิ วามคิดเหลา นท้ี ี่ กอใหเ กิดการบชู าเจวด็ และการตั้งภาคี (ค) มอบงานดาน “การบริหาร” ใหเ ปนหนาทข่ี อง “พระเจา ยอย” มนุษยท ุกคนยอมจะพบวา ในสวนลึกของจติ ใจคนเรานนั้ มีความยอมจาํ นนตออํานาจท่ี เหนอื กวา และถือวา ตนเปนผนู อ ยในยามเผชญิ กับสิง่ นั้น นค่ี อื ความรูสึกโดยธรรมชาติ ถงึ แมจ ะยงั ไมส าํ แดงออกมาทางวาจาและอวัยวะสว นอ่นื ๆ แตภายในสว นลึกของจิตใจนั้น ยอมจะมคี วามรูสึก ยอมจาํ นนอยา งนี้อยูดานหนึ่งสวนอีกดานหนง่ึ ก็จะดาํ เนนิ ไปตามความรูสึกนั้น ตามพนื้ ฐานเหลา น้ี ผตู ้ังภาคจี ึงตอ งการท่ีจะนาํ เอาอาํ นาจลกึ ลับเขา มาอยใู นเรือนรา งที เปดเผย ยง่ิ ไปกวานน้ั เพอ่ื เปนการจาํ กัดความคดิ หรอื เพ่อื สรา งมโนภาพวา ทุกสิง่ ทบี่ ังเกิดขึ้นใน จกั รวาลนี้ลวนมีพลังท้ังๆ ทม่ี นั กค็ อื สิ่งทถี่ ูกสรา งโดยอลั ลอฮ เชน พระมหาสมทุ ร, (พระเจา แหง ทะเล) พระเจาแหงการสงคราม, พระเจาแหงความสันติ ราวกับวา รฐั บาลแหงจกั รวาลน้ัน เปน เหมือนอยา งรัฐบาลทง้ั หลายในโลกท่มี อบหมายหนาทีเ่ ก่ยี วกบั ชวี ติ ในดานตางๆ ไวแ กคนหน่งึ ๆ แลวผูมีอาํ นาจเหลา นีก้ ็จะเปน ผูพจิ ารณาไปตามทตี่ นตอ งการ และกระทําไปตามทตี่ นประสงค ดว ยเหตนุ จ้ี งึ มีการเคารถบูชาตามสถานท่ีต้ังแถบชายฝง ทะเล (พระเจา แหงทะเล) เพ่ือ เพม่ิ พูนผลประโยชนจากทะเลใหแกพวกเขาและเพ่อื ปกปอ งพวกเขาใหพนจากภัยพิบตั ิ เชน การเกิด อุทกภัย สว นในกรณีของการเคารพบูชาแผน ดนิ และทะเลทราย (พระเจา แหงพ้ืนบก) กเ็ พือ่ พวกเขา

จะไดร ับผลประโยชนทางบก และปกปองภยั พบิ ัติทางบก เชน แผนดนิ ไหว และอืน่ ๆ เปนตน วา ภยั จากทะเลทรายบาง ภัยธรรมชาติอยา งอ่นื บา ง แตถึงแมพวกเขาจะสามารถสรา งจินตนาการเก่ยี วกบั พระเจา ตา งๆ ขน้ึ มาไวแ ลว กต็ าม พวก เขาก็ถือวา พระเจา เหลา นไ้ี มมีตัวจน จึงเปน ปญ หาทยี่ งุ ยากในการสรางมโนภาพ พวกเขาจึงพยายาม สรางรปู ภาพและรูปปน ขนึ้ มาตามความศรทั ธาและไดพากนั เคารพบูชารูปปน เหลา นี้ทีถ่ กู สรางขน้ึ ทดแทนการเคารพภกั ดี อาํ นาจลึกลับซึง่ ก็ถือวา ไดทดแทนไปกับรปู ปนเหลา น้ี ตามมโนภาพของ พวกเขา ดวยเหตุนใ้ี นหมชู าวอาหรับยุคงมงายจงึ มพี วกหนงึ่ บชู ามะลาอิกะฮ, อกี พวกหน่ึงบชู าญนิ , พวกท่ีสามจะบูชาดวงดาว, และเปา หมายในการเคารถทง้ั หมดกค็ ือขอใหไ ดรบั ความดแี ละ คณุ ประโยชน และขอใหหา งไกลจากความชัว่ รา ยและทุกขภยั ตางๆ แนนอนทส่ี ดุ พวกเขาเหลานนั้ มีความสขุ อยูในวงจาํ กัดโดยเฉพาะกบั การสรางภาพ อนุสาวรยี และรปู ปน แตพวกเขาก็ยงั มิไดมน่ั ใจวา จะสรางไดตรงกับรูปทเี่ ปนจรงิ ของสิ่งตางๆ เหลา น้นั ดว ยเหตนุ เี้ องพวกเขาจึงสรา งพระเจา ข้ึนแตละองคื เปนรูปปนที่ไมเหมือนกันเลย เชน พระ เจา แหง ทะเล, พระเจาแหงสนั ติภาพ, พระเจาแหง สงคราม, พระเจาแหงความรัก, แตใ นทุกสิง่ ทุก อยา งเหลา น้ี มีตน เหตุอยางเดียวคอื สนองความรูสึกทีผ่ กู พนั กับสง่ิ เรนลับ แมว า พระเจายอยเหลานย้ี ัง มใิ ชสง่ิ ทเี่ ขา กบั ความรูส ึกก็ตาม คอื ดวงดาวกม็ ีข้นึ มีตก แตถึงกระนั้นก็ขอใหไ ดเคารพบชู า แนน อนที่สดุ อัล-กุรอานไดดําเนินการวิพากษและประณามอยา งรนุ แรงตอ แนวความคดิ ที่ มอบหมายใหง านดานการบริหารจักรวาลเปนหนา ท่ีของพระเจายอ ยทีไดช ่อื วา สงิ่ ถกู สราง ของอลั ลอฮ อัลลอฮทรงอธิบายไวในหลายแหง วา พระองคเปน ผบู ริหารแตเพยี งผูเดียวสาํ หรับ กิจการแหงจกั รวาล โดยมีโองการวา “หลังจากน้ันพระองคทรงใชอ ํานาจเหนือบัลลงั คท รงบริหารกจิ การตา งๆ” (ยูนสุ -๓) แนนอนที่สดุ อัล-กุรอานไดกลาวไวใ นโองการตางๆ อยา งมากมายวา การสรา ง, การใหชวี ติ , การใหต าย, การบงั คบั ใหด วงดาวและจักรวาลโคจรไป, การจัดระบบใหแ กด วงอาทติ ย, ดวงจนั ทร และเครอ่ื งปจ จยั ยังชพี น้ัน เปน การกระทาํ ของอลั ลอฮโดยเฉพาะ และอลั -กรุ อานยงั ไดประณามอยา ง รุนแรงเก่ยี วกับทุกแนวความคิดทถ่ี ือวา ยังมอี ํานาจอื่นมามีสว นรวมกับอัลลอฮ และทกุ ๆ แนวความคิดที่กลาววา การบรหิ ารกิจการแหง จกั รวาลเปนเรื่องของส่ิงถกู สรางของพระองค อัล-กรุ อานอันทรงเกยี รติไดแถลงในเรือ่ งน้เี อาไวอ ยางมากมายจนเปน ท่ลี ําบากแกเ ราใน การนาํ มาอา งถึงในทีน่ ี้ไดหมด แตจะเสนอเพยี งบางโองการ “แทจ รงิ พระผอู ภบิ าลของสเู จา คอื อลั ลอฮ ผซู ่งึ ไดสรางชนั้ ฟา และแผน ดินในหกวัน จากน้นั ทรงใชอํานาจการปกครองเหนือบัลลงั ก ทรงใหก ลางคืนครอบคลมุ กลางวนั ซ่งึ มนั ตามตดิ กนั มา อยางรวดเร็ว และดวงอาทิตย ดวงจนั ทร และดวงดาว ซ่งึ ถูกควบคุมอยูภายใตบ ัญชาของพระองค

พงึ สงั วรณเถิดวา การสรา งและการบญั ชาเปน ของพระองค อลั ลอฮ พระผอู ภิบาลแหงสากลโลกทรง จาํ เรญิ ยิง่ (อลั -อะรอฟ-๕๔) “จงกลา วเถิด (มุฮมั มัด) ผูใดเลา ที่ใหเ คร่อื งปจจัยยงั ชพี แกสเู จา มาจากชน้ั ฟา และแผน ดนิ มี ใครหรอื ทค่ี วบคมุ การไดยนิ และการมองเห็น และใครที่นาํ การมีชีวิตออกมาจากความตาย และนาํ ความตายออกมาจากการมีชวี ติ และใครเลาท่ีบรหิ ารกิจการ ดังน้นั พวกเขาจะกลาววา อลั ลอฮ ก็จง กลาวเถดิ (มุฮัมมดั ) สเู จามิไดย าํ เกรงหรอื ดังนั้นสูเจาเอย อลั ลอฮคอื พระผูอภบิ าลของสูเจา ท่ีแทจ รงิ ดังน้ัน ยงั จะมอี ะไรอีกภายหลงั ความจริงถา มใิ ชความหลงผิด ดงั น้ันสเู จาจะจัดการอยางใด” (ยูนสุ -๓๑-๓๒) บัดนเ้ี ราไดอ ธิบายเกย่ี วกับแรงผลักดันท่ีกอใหเกดิ การตงั้ ภาคี ตออลั ลอฮในเรื่องการเคารพ ภักดไี ปแลวสามประการ และเราจะไมขอกลาวอยา งเดด็ ขาดวา ไมม ปี ระเดน็ อื่นอีกแลว ทีเ่ ปน แรงผลักดนั ในการกอใหเกิดการต้งั ภาคนี อกเหนือจากทีเ่ ราไดก ลาวถึง แตวา ประเด็นที่อัล-กุรอาน ไดวิพากษเ อาไวน้นั ยอ มเปนพ้ืนฐานทีม่ าของการตง้ั ภาคี และการแพรหลายเร่ืองน้ีข้ึนมาในโลก แนนอนมสุ ลมิ คอื ผูเชอ่ื มนั่ ตอ พระเจาของจักรวาล พระเจา องคเดยี ว พระเจา ทค่ี วบคุมอยูใน ทกุ สถานท่ี ใกลช ดิ ยิง่ ตอ บา วของพระองค พระเจาทก่ี ารสรา ง การบริหารจกั รวาลอยูในอํานาจของ พระองค ซึง่ ไมย ินยอมมอบกจิ การของพระองคใหแ กผ ูใดทง้ั สิ้น มสุ ลิมกบั ความเช่อื ม่ันอยา งน้ี ไมอาจจะยึดถือส่ิงเคารพอื่นใดไดนอกเหนอื จากอลั ลอฮ แต การเคารพภักดีของเขาที่มีตอ พระองคยงั ไมเปน ทเี่ พยี งพอหากแตจ าํ เปน ทเี่ ขาจะตองตอตา นกับ หลกั การของการตัง้ ภาคีและการบชู าเจว็ดและจะตองไมพ อใจที่จะออกหางจากแวดวงของหลัก เอกภาพแมน ิดเดียวกตาม เก่ยี วกบั ประเด็นท่สี ามเราใครจ ะกลา วถงึ ขอ สงั เกตท่ีสาํ คัญคอื มันเปนเร่ืองทีเ่ ปนไปไดว า คนๆ หน่ึงอาจเช่ือมนั่ วา กจิ การในจักรวาลนนั้ ทุกอยางลวนเปนของอลั ลอฮ และไมย ินยอมทจ่ี ะถือ วา เรอื่ งเหลานเ้ี ปนหนา ทข่ี องผูอนื่ นอกเหนือจากพระองค แตเขาเชอ่ื ม่นั วา ภารกจิ ท่ีแทจ รงิ ซง่ึ ผกู พนั อยูกบั งานของปวงบา ว เชน การใหค วามอนุเคราะห (ชะฟาอะฮ) และการใหอ ภยั โทษ อันเปน กิจการเฉพาะของอลั ลอฮนั้น ยังเปนไปไดท ีอ่ ัลลอฮจะทรงมอบใหเปนหนา ที่ของบคุ คลตางๆ และน่ี ก็คือประเด็นหนึ่งทีน่ าํ ไปสูการเคารพภกั ดีสง่ิ อ่นื นอกเหนือจากอลั ลอฮ แนนอนทส่ี ุดอลั -กุรอานได ถือวา การใหความอนุเคราะหทแี่ ทจ รงิ นัน้ เปนสิทธิ โดยเฉพาะของอัลลอฮ ดังนน้ั บุคคลใดๆ ก็ตามมิ อาจใหความอนุเคราะหผูใ ดโดยปราศจากการอนมุ ัติของพระองคไ ด ในขณะทีท่ รงกลา ววา “จงกลา วเถดิ (มุฮมั มดั ) สาํ หรบั อลั ลอฮนนั้ คือการใหค วามอนเุ คราะหท งั้ มวล” (อัซซุมรั -๔๔) ในทาํ นองเดียวกัน อลั -กรุ อานก็ไดถ ือวาการใหอ ภัยและนิรโทษแกค วามบาปของบา วแหง พระองคนั้น เปนสิทธิโดยเด็ดขาดของพระองค ไมม ีภาคใี นเรอ่ื งนีเ้ ลยแมแ ตค นเดียว ผูใดก็ตามท่อี า ง

วา การใหอภยั อยใู นอาํ นาจของผูอื่นนอกเหนอื จากอลั ลอฮแลว เทา กับเขาไดต้งั ภาคี พระองคท รงมี โองการวา “ดงั น้ัน พวกเขากไ็ ดข ออภัยสาํ หรับความบาปของพวกเขา และผใู ดเลา ทอ่ี ภัยความผิดบาป นอกจากอลั ลอฮ” (อาลิ อมิ รอน-๑๓๕) แนนอนทสี่ ดุ ชาวบูชาเจวด็ พวกหนง่ึ ในสมัยแรกๆ ที่อิสลามไดร ับการเผยแผเ คารพบชู ารปู ปนทีพ่ วกเขาเชือ่ ถอื วามันมอี าํ นาจพิเศษในการเขาถึงอัลลอฮและมันมีหนา ทใี่ นกจิ การดานการให ความอนุเคราะหแ ละใหอ ภยั ในบทตอไปเราจะอธบิ ายเก่ยี วกบั การตัง้ ภาคชี นิดทม่ี ีลักษณะออ นแออนั นี้ และเพอื่ จะให ประเดน็ นเ้ี ปนทก่ี ระจางชัดและเพอ่ื เราจะเขาใจอยา งชัดเจนตอลักษณะการวพิ ากษท ่ีอลั -กุรอานมตี อ เรอ่ื งน้ี ก็จาํ เปนท่เี ราตองหนั ไปพิจารณาขอเขียนที่ไดรับการยกยองของนกั เขียนวะฮาบยี ท่ไี ด กลาวถึงเร่ืองนไ้ี วใ นตาํ ราของพวกเขา ๕- การอธบิ าย “หลักเอกภาพแหง ความเปน พระเจา” และ “ความเปน ผูอภบิ าล” นักเขียนสายวะฮาบียยงั คงยอมรบั ตอหลักเอกภาพวา มีสองประเภท และไดใ หช ือ่ เรียกหลัก เอกภาพประเภททหี่ น่ึงวา “หลักเอกภาพแหงความเปนผอู ภิบาล” และใหช ือ่ เรียกประเภททสี่ องวา “หลักเอกภาพแหง ความเปนพระเจา ” หลังจากน้ันก็ไดกลา ววา “หลักเอกภาพแหง ความเปน ผู อภบิ าล” และการยึดม่ันตอ ความเปน เอกะของผสู รางนัน้ โดยลาํ พงั แลวยงั ไมเปนท่ีเพียงพอสําหรับ หลกั เอกภาพทไี่ ดทรงประทานสงบรรดานบแี ละศาสนทูตมาโดยเฉพาะอยา งยิง่ ในแงข องการคงอยู และแพรหลายในสังคมมนษุ ย จึงจาํ เปนท่จี ะตองยกหลักเอกภาพแหงความเปน ผอู ภบิ าลข้นึ มา เพ่อื จะไดใ หก ารเคารพภักดีเปน ของอลั ลอฮแตผูเดียว และจะไดไมม ภี าคีใดๆ สําหรับพระองค เพราะวา พวกมุชริก (ต้ังภาค)ี ชาวอาหรับนั้นทง้ั ๆ ทเ่ี ชื่อม่ันใน “ความเปน เอกะ” ของผูส รางจกั รวาลอยูแ ลววา ไมม ีมากกวา พระองคองคเดยี ว แตก ระน้นั อลั -กรุ อานก็ยังถือวา พวกเขายงั เปน ผตู ้ังภาคีอยดู งั โองการทว่ี า “และสว นมากพวกเขามิไดศ รทั ธาตออัลลอฮดอก ยกเวน แตพ วกเขาเปน ผตู งั้ ภาค”ี (ยซู ุฟ-๑๐๖)(๑) ในขอเสนออันน้ไี มม ขี อ ขัดแยง ใดๆ และไมมมี ุสลมิ คนใดท่ีเปน ไปถงึ ขนาดปฏิเสธวา หลัก เอกภาพแหงความเปนผูอภบิ าลอยา งเดยี วนัน้ เปน ท่เี พียงพอแลว ยง่ิ ไปกวา นัน้ หลกั เอกภาพยงั มถี งึ สี่ ข้นั ตอน ดงั ท่ีเราไดกลาวผา นไปแลว ถงึ แมวา พวกวะฮาบียจะสรุปออกเปนสองขนั้ ตอนโดยละเลย หรือทาํ เปน ลืมไปเสยี ถงึ สองข้นั ตอนก็ตามที (๑) หนังสอื “ฟต หุล-มะญดี ” ของ ชัยคอับดรุ เราะหม าน บนิ ฮะซนั บิน มฮุ ัมมัด บนิ อับดุลวะฮาบ ตายเมอื่ ฮ.ศ.๑๒๘๕ หนา ๑๒, ๒๐

อยางไรก็ตามส่งิ ทคี่ วรกลา วถึงก็คือ : ในปญหาที่เปน สวนทัง้ หมดน้ีไมมีความขดั แยงกนั เลย ในระหวา งมวลมุสลมิ กลา วคือทัง้ หมดตา งมคี วามเห็นพองตองกันวาจาํ เปน จะตองหลกี หางจากการ เคารพภักดสี ิง่ อ่ืนนอกเหนอื จากอัลลอฮ แตป ระเด็นสาํ คัญอยูท่ีวา พวกวะฮาบียถ ือวา การใหเกยี รติ (ตะอซีม) ตอบรรดานบีและบรรดาเอาลิยา (บคุ คลผเู ปน ท่ีรกั ) ของอัลลอฮ น้ัน เปน การเคารพภักดี อยางหน่งึ (อบิ าดะฮ) ในขณะเดยี วกบั ทวี่ าในทัศนะของฝายอน่ื ๆ ถอื วา ระหวา งความหมายของ “การใหเ กียรติ” (ตะอซีม) และ “การเคารพภักดี” (อบิ าดะฮ) น้ันหางไกลลบิ ลบั เหลือเกนิ กลา วโดยอีกนัยหน่งึ คือ : ในหมมู ุสลิมทั้งหลายน้นั ไมม คี วามขดั แยง กนั เลยในรากฐาน หลกั ที่เปนสว นท้ังหมดของเรอ่ื งน้ี นัน่ คือไมอนญุ าตใหมกี ารเคารพภกั ดสี ่ิงอื่นนอกเหนือจากอลั ลอฮอยางเด็ดขาด สวนทีข่ ดั แยง กนั อยูก็มเี พยี งประเด็นท่ีวา ในทรรศนะของพวกวะฮาบียถือวา การ กระทาํ บางประเภท เชน “การเย่ียมเยือน” (ซิยาเราะฮ) เปน เรือ่ งของ “การเคารพภักดี” ในขณะท่ี ทรรศนะของฝายอน่ื ๆ ไมถ ือวา การกระทาํ อยา งน้ี “เปนการเคารพภกั ดี” ในแงของวชิ าการจาํ เปน ท่ีเราจะตองกลา ววา : ไมมคี วามขดั แยง กันในประเด็นรว มท่ีเปน สวนท้ังหมด เพยี งแตท ่ีขดั แยง กค็ อื ในแงของรายละเอยี ดแหง ขอ เท็จจริงกันเทาน้ัน เพื่อเปน การคล่คี ลายปญ หานี้ ประการแรกจําเปนท่จี ะตอ งทําความเขา ใจตอความหมายท่ี แทจรงิ ของคาํ วา “การเคารพภักดี” (อบิ าดะฮ) เสียกอนเพ่ือทวี่ า ในขั้นนี้เราจะไดแ ยกแยะคาํ วา “การ เคารพภักด”ี (อิบาดะฮ) ออกไปจากความหมายอนื่ ไดถูก และใหมกี ารพสิ จู นความจรงิ อยา งนีเ้ ชนกันกบั ประเดน็ อื่นๆ ที่นอกเหนอื จากเรอ่ื ง “การ เยี่ยมเยือน” (ซิยาเราะฮ) ตามที่พวกวะฮาบยี ถือวา เปน การเคารพภกั ดี (อิบาดะฮ) เชน “การตดิ ตอ สัมพันธ” (ตะวซั ซุล) กบั บรรดาเอาลิยาฮ (บุคคลผูเปน ที่รกั ของอัลลอฮ) และ “การขอ” ในส่ิงที่ จําเปน จากพวกเขาในฐานะท่ีมวลมสุ ลิมแตกตา งกบั พวกเขาในสภาพดังกลา ว กลา วคอื พวกเขา อนมุ ตั ใิ หม ีการติดตอ สัมพันธอยางนี้ และถอื วามันเปนการยดึ มือและทําตามคาํ สัง่ ทีร่ ะบุอยูใน บทบญั ญตั อิ ันบริสุทธ์ิ ๖- การเคารพภกั ดีหมายถงึ “การใหค วามนบนอบ” และ “การใหเ กียรต”ิ กระน้ันหรือ? สาํ หรบั นักวิชาการทางดา นภาษาอาหรับนน้ั ตางไดใ หคําจาํ กดั ความคาํ วา การเคารพภกั ดี (อิ บาดะฮ) ไวในความหมายทใี่ กลเคยี งกัน กลาวคือพวกเขาไดอ ธบิ ายคาํ วา อบิ าดะฮว า หมายถงึ “การ นบนอบและการถอ มตน” (อัลคฎุ ฎอ วัตตุซลั ลลุ ) ในลาํ ดับตอจากนขี้ อใหทา นไดพจิ ารณาคาํ อธบิ าย ของพวกเขาได ๑- ทานอิบนุมันซูร ไดก ลาวไวใ นหนังสอื “ลซิ านุลอรับ” วา : รากศพั ทของคําวา “การ เคารพภกั ดี” คือ : “การนบนอบและการถอ มตน” ๒- ทานรอฆิบไดกลา วไวใ นหนงั สือ “อัลมุฟรอดาด” วา

“สภาพความเปน บาว คือ “การแสดงออกถึงความถอมตน” สวนการอิบาดะฮยังมี ความหมายลึกซง้ึ ไปกวานนั้ เพราะวา มันเปน จุดหมายอันสูงสุดของความถอ มตน ไมมใี ครไดร ับ สทิ ธนิ ้ีได นอกจากผทู ่มี เี กียรติอยางสูงสุด นัน่ คือ อัลลอฮ ดวยเหตุน้ีพระองคท รงมโี องการวา : สเู จา จงอยา เคารพภกั ดีนอกจากตอ พระองคเ ทา นน้ั ” ๓- ในหนงั สอื (อัลกอมูส อัลมฮุ ีฎ” ของทา นฟยรซู อาบาดีย ไดอธิบายวา “อบิ าดะฮ หมายถึง การเช่อื ฟง ปฏบิ ตั ิตาม (ฏออะฮ)” ๔- ทานอบิ นฟุ าริส ไดก ลาวในหนังสอื อัลมะกอยซี วา “ผเู ปนบา ว (อบั ดุน) มลี ักษระของรากฐานสองประการ เสมือนหนึ่งวา ท้ังสองอยางน้ี ขัดแยงกัน ประการแรกคือพ้นื ฐานสองอยางที่แสดงถึงความนม่ิ นวลและถอมจน อกี ประการหนึ่ง คอื ตั้งอยูบ นความรุนแรงและขึงขัง” จากนั้นก็ยังไดอธบิ ายตอ ไปวา ประเด็นทห่ี นึง่ นั้นคือ ลักษณะ ของอฐู ที่ยอมสยบอยางสิ้นเชงิ และน่กี อ็ ีกเชนกันที่แสดงเหตผุ ลไปตามที่เราไดก ลา วไปแลว เพราะวา ลักษณะอยา งน้ันคือการถอมตนและนอบนอม ลักษณะของบา วคอื ความถอ มตนตามลักษณะที่อฐู แสดงอาการออกมาเชน กนั ประเด็นท่สี องคือ : วิธีการของผเู ปน บา ว นั่นคอื แนวทางปฏบิ ัตขิ องผูถ อมตน ๗- การนบนอบมิใชอ บิ าดะฮ (เคารพภักดี) โดยเหตุท่วี า การเคารพภักดี (อบิ าดะฮ) น้ัน แมพวกเขาจะอธิบายวา มันหมายถงึ การเชอ่ื ฟง ปฏบิ ตั ติ าม การนบนอบ การถอมตัวหรือแสดงออกถงึ ความถอ มตัวอยา งทส่ี ุดก็ตาม แตค าํ จาํ กดั ความทง้ั ความท้ังหมดนี้ก็มิใชอ น่ื ใด นอกจากเปนคาํ จาํ กดั ความดานหนึง่ ของความหมายโดยทว่ั ไป เพราะเหตุวา การเชอ่ื ฟงปฏิบตั ติ ามการนบนอบและการแสดงออกถงึ ความถอ มตนนนั้ มิใชก ารอิบา ดะฮอยางแนนอนเลยทีเดียว เพราะวา การนบนอบของบตุ รท่มี ตี อ บิดากด็ ี ของศิษยทม่ี ีตอครบู า อาจารยก็ดี ของทหารท่มี ีตอ ผบู งั คบั บัญชากด็ ี ยงั ไมถงึ ข้ึนทีจ่ ะเปน การอบิ าดะฮอ ยา งเดด็ ขาด แมจะ อยใู นลักษณะการนบนอบและการถอ มจนอยา งสุดซงึ้ ก็ตาม โองการตา งๆ ไดอธบิ ายอยา งชดั เจนวา การนบนอบและการถอมตนอยา งสูงสุดนน้ั เปนความสูงสดุ ยอดในแงข องการนบนอบอยางแทจ รงิ หาใชเ ปน อบิ าดะฮไ ม ขอใหทา นพิจารณาโองการตางๆ เหลา นน้ั ๑- การสญู ด (กราบ) ของมะลาอิกะฮทีม่ ตี อ อาดมั ซ่ึงถือวาเปน การแสดงออกถึงความนบ นอบอยางสงู โดยพระองคไดกลา ววา “และเราไดกลาวแกมะลาอิกะฮวา พวกเจา จงสญุ ดตอ อาดัม” (อัลบะเกาะเราะฮ- ๓๔) กลา วคือโองการน้ีไดแสดงใหเ ห็นวา อาดัมเปนผูไดรับการสญุ ดของมะลาอกิ ะฮ และการ สุญดของพวกเขากไ็ มถ ือวาเปน การตั้งภาคแี ละการเคารถภักดสี ง่ิ อื่นนอกเหนอื จากอัลลอฮและมะ ลาอิกะฮกไ็ มถูกจัดวาเปนผตู ้งั ภาคดี วยการกระทําเชน น้นั อีกทัง้ พวกเขาไมถ ือวาการกระทาํ ของพวก

เขาเปน การต้ังภาคแี ละหนุ สวนในการทําความเคารพภักดีตอ อลั ลอฮ แตป รากฏวา การกระทาํ ของ พวกเขาคือการใหเ กยี รติ (ตะอซ ีม) และใหก ารยกยอ งตออาดมั เรอ่ื งน้ีโดยตวั ของมันเองคอื หลักฐานทดี่ ีท่ีสุดอันหนึ่ง ที่แสดงวาการใหเ กียรติ (ตะอซมี ) ทกุ ๆ ประเภทท่ีมีตอสิ่งอนื่ นอกเหนือจากอลั ลอฮนั้น มใิ ชเปน อบิ าดะฮแกสิง่ น้นั ๆ และสําหรบั ประโยคที่วา “พวกเจา จงสญุ ดตอ อาดมั ” น้ัน ถงึ แมจ ะเปน ความหมายเดียวกับประโยคทวี่ า “พวกเจา จองสุญดอลั ลอฮ” แตกระนัน้ ประโยคแรกก็ยังไมถือวาเปน คาํ ส่ังใหเคารพภกั ดสี ิ่งอื่นนอกเหนอื จาก อลั ลอฮ สวนประโยคทส่ี องน้ันถือวา เปนคาํ สั่งใหเคารพภักดีตออลั ลอฮ อาจคิดกันไดวาในจดุ น้ี (“การสญุ ดแกอาดมั ” ตามความหมายของโองการน้ี คือการนบ นอบตอ อาดมั หาไดเปนการสญุ ดตามความหมายท่เี ปน จริงและท่ีรจู ักกนั ไม และเปนที่รูกนั อยวู าการ นบนอบทแี่ ทจริงนั้นมใิ ชอิบาดะฮ หากแต “สดุ ยอดของการนบนอบน้ันคือการสุญด ซงึ่ มันหมายถึง การอิบาดะฮ” หรอื อาจเปน ไปไดทจ่ี ะคดิ วา ความหมายของการสญุ ดตอ อาดัมคอื การต้ังใหอาดัมเปน “กิบ ละฮ” (ทิศทตี่ องหนั ไปสู) มิใชว า การสญุ ดทม่ี ตี อ เขาน้นั จะเปน สุญดท่ีแทจริง แตความคดิ ทงั้ สองอยางลว นผิดพลาดโดยส้นิ เชงิ กลาวคือความคดิ ทหี่ น่ึงนน้ั เปนการอถาธบิ ายความหมายของคําวาสุญดที่มีอยูใ นโองการนี้ วา เปน เพยี งการนบนอบ ซ่งึ เปนความผิดพลาดอยางชดั เจนและตามความหมายทปี่ รากฏชัดเจนจาก คําคาํ นี้ในแงข องภาษาและวชิ าการ นนั่ คอื เปนการสญุ ดอันเปน ที่รจู ักกันโดยแทน ั่นเอง หาใชเปน เพียงการนบนอบไม กรณีเดียวกับท่ีวาความคิดแบบท่ีสองก็เปน ความผดิ พลากอีกเชน กนั เพราะเหตุ วา เปนการตคี วามโดยท่ีไมม ีท่ีมาและไมม หี ลกั ฐาน นีค่ ือคําตอบสําหรบั ประเดน็ ทีว่ า ถา หากอาดัม (ความสนั ตสิ ุขพงึ มแี กท าน) เปน ทิศททาง (กิบละฮ) สาํ หรบั มะลาอกิ ระฮแ ลว แนน อนที่สดุ กจ็ ะไมม ปี ญหาโตแยงของชยั ฎอนในขณะทมี่ ัน กลาววา “ฉันจะสญุ ดแกผ ูท ี่พระองคไ ดสรา งมาจากดินกระนน้ั หรอื ” (อลั -อัซรออ-๖๑) เพราะเหตวุ า ไมจ าํ เปนแตอ ยา งใดเลย ทว่ี า ทิศทาง (กิบละฮ) จะตอ งประเสริฐกวาผสู ุญดจน ถึงกับจะเกิดประเดน็ ใดๆ ขนึ้ มาเพื่อขัดแยง แตความจาํ เปนกค็ อื วา : สภาพของผูถูกสญุ ด น้ันยอม ประเสริฐกวาผสู ญุ ด ในขระท่ตี ามทรรศนะของชัยฎอนน้นั อาดัมมิไดประเสริฐกวา และนีค่ ือความ จรงิ ทีแ่ สดงใหเ หน็ วาการสญุ ดน้ันมีขน้ึ ตอ หนา ผไู ดรับการสญุ ด ทา นญศิ อศไดก ลา ววา : มบี างคนกลา ววา การสญุ ดนั้นเปน ของอลั ลอฮ สวนอาดมั อยูใน ตําแหนง เปนทิศทาง (กิบละฮ) สาํ หรับพวกเขา เรื่องน้ไี มมีอะไรสาํ คญั เลย เพราะวา ในเรอ่ื งน้ถี ือวา มไิ ดเ ปนการใหเกียรติพเิ ศษและการยกยอ งแตประการใด แตหลักฐานปรากฎอยา งชดั เจนในเรอ่ื งที่ แสดงวา อาดมั เปน ผทู ่ีไดร บั เกยี รตแิ ละการยกยอ งพิเศษ และแสดงใหเห็นวา คาํ สั่งที่ใหท ําการสญุ ด

นน้ั มีจุดมงุ หมายในการใหเ กยี รตแิ กอาดัม (ความสันตสิ ขุ พึงมแี ดทาน) กค็ อื คํากลาวของอิบลสี ทีอ่ ลั ลอฮไดทรงบอกเลา ไวคอื “ฉันจะสุญดตอผูท พี่ ระองคสรางขึน้ มาจากดินกระน้นั หรือ พระองคเ ห็นวาสิง่ น้ีเปนที่ พระองคไ ดใ หเกยี รตเิ หนอื กวา ฉันกระนั้นหรือ” (อัล-อซั รออ- ๖๑-๖๒) อิบลสี ไดแ สดงใหเ ห็นวา สาเหตุทตี่ นยับยง้ั จากการสญุ ดก็เพราะวา การใหเกยี รติและการยก ยอ งตออลั ลอฮตามคาํ สงั่ ของพระองคน้ันคือการสุญดโดยเฉพาะ แกพ ระองค และถา หากวา เปน คาํ สั่งใหส ญุ ดตอ พระองคโดยทพ่ี ระองคตงั้ ทิศทาง (กิบละฮ) ขน้ึ มาสําหรบั ผสู ุญดโดยมิใชเพือ่ เปน การใหเ กยี รติและการยกยอ งใดๆ แกผนู ัน้ แลว ไซร แนนอนทเี ดียวในเรอ่ื งนก้ี จ็ ะไมมีความพิเศษและ ความดีเดน อันใดทน่ี าอิจฉาแกอ าดัม อยา งเชนอาคารกะอบ ะฮท่ีถูกตง้ั ข้ึนเพ่อื เปนทศิ ทาง(๑) ตามความหมายของโองการนคี้ อื มะลาอิกะฮนน้ั ไดสุญดตออาดมั ตามคําสงั่ ของอลั ลอฮ อัน เปน การสุญดจริงๆ และแนนอนอาดัมเปนผูไดต ระหนักโดยตัวของพวกเขาเองวา ไดทําการนบนอบ อยางสงู สดุ ตอ อาดมั แตในขณะเดียวกันนี้ก็มิไดห มายความวา พวกเขา “เคารพภกั ดี” ตออาดัมแต อยา งใด ๒- แทจรงิ อัล-กุรอานไดเปดเผยวา บิดามารดาของยซู ฟุ และพ่นี อ งของทานไดส ุญดตอ ทาน โดยอัล-กุรอา นไดกลาววา “และเขาไดเ ชญิ บดิ าของเขาข้ึนมาบัลลังก และพวกเขาไดท รุดกายตอ เขาเปนการสุญด และ เขาไดก ลา ววา โอบ ิดาขา น่ีคอื การทาํ นายฝนของขา ทีไ่ ดฝน ในครัง้ กอน แนนอนยิง่ พระผูอภบิ าล ของฉันไดท ําใหม ันเปนความจริงแลว ” (ยซู ุฟ-๑๐๐) ความฝนของทานนบียซู ุฟท่ีอลั -กรุ อานไดช้ีแจงไวในโองการน้กี ค็ อื เร่ืองราวท่กี ลา วไวใน ตอนตน ๆ ของซเู ราะห คือ “แทจรงิ ฉนั ไดฝน เห็นดาวสบิ เอด็ ดวง ดวงอาทิตยแ ละดวงจนั ทร โดยฉันไดฝ น เห็นวา พวก เขาเหลา นนั้ เปนผสู ุญดแกฉ ัน” (ยูซุฟ-๔) นบั จากนั้นมาเปนเวลาหลายปค วามฝน อันน้ีกเ็ ปนจรงิ ข้ึนในกรณีการสุญดของพ่นี อ งและ บิดามารดาท่ีมตี อทา น และอลั -กรุ อานก็ไดใชค ําวา สญุ ดในทุกแงข องเร่ืองนีแ้ กยูซุฟ จากการอถาธิบายเรอื่ งนที้ ําใหเขาใจไดว า ลําพังเพียงแตการสญุ ดตอ คนคนหน่ึงตาม ทรรศนะท่มี องอยางลึกซงึ้ ในแงข องผูเปนบิดาดวยแลว แนนอนท่สี ดุ วาจะตอ งมใิ ชเ ปน “การอิบา ดะฮ” แตการสุญดในท่ีน้ตี ามความเขา ใจของเราก็คือการนบนอบและการถอมตนอยา งสุดซึ้ง (1) หนังสือ อะหกามลุ -กุรอาน เลม ๑ หนา ๓๐๒

นักอถาธบิ ายอลั -กุรอานบางทา นไดอ ธิบายคาํ วา “อบิ าดะฮ” (การเคารพภกั ดี) วาหมายถึง การนบนอบอยางสุดซง้ึ แลว ไดใหเหตุผลเกีย่ วกับโองการเหลา นี้วา การสญุ ดตอ อาดมั หรอื ตอ ยูซฟุ นัน้ เปนไปตามคาํ ส่งั ของอลั ลอฮ เพราะฉะน้ันในประเด็นนีจ้ ึงอยูนอกเหนอื จากวิสยั ของการตงั้ ภาคี เราจะยอนกลับมาอธิบายในเร่ืองนีอ้ ีกในหัวขอเรือ่ งที่วา “คําสงั่ ของพระผเู ปนเจา ทาํ ใหการตง้ั ภาคี เปน เร่อื งทีม่ ิใชก ารตั้งภาคมี ดี ว ยหรอื ไม” ๓- อัลลอฮทรงมีคําส่งั ใหท าํ การนบนอบตอบดิ ามารดา และใหน อบนอ มอยา งทีส่ ดุ ตอคน ทงั้ สอง ซงึ่ น่ันก็หมายความวา ใหม ีลกั ษณะความนบนอบอยา งถึงท่สี ดุ นั่นเอง ดงั โองการทวี่ า “และเจา จงนอบนอ มถอ มตนอยางสดุ ซงึ้ ตอ เขาท้ังสองอนั แสดงออกจากความเมตตา” (อัล-อซั รออ- 24) ถึงกระน้ันกต็ ามการนอบนอมในที่น้ีก็ยังมิใชเปน “การฮิบาดะฮ” (เคารพภักดี) ๔- มุสลิมทัง้ มวลตอ งวนรอบอาคารบัยตุลลอฮ ในพิธีการบาํ เพ็ญฮจั ญ ซ่งึ อาคารนน้ั มิใชอืน่ ไกลนอกจากเปน เพียงหินและดนิ เทานั้น และพวกเขาตอ งพยายามเดนิ เหยาะยางระหวา งอศั ศอฟา กับอัลมัรวะฮ แนน อนอลั -กรุ อานไดสงั่ ใหท ําอยา งน้ตี ามโองการท่วี า “และพวกเขาตองวนรอบอาคารอนั เกา แก” (อัล-ฮัจญ- ๒๙) “แนน อนอัศศอฟากบั อลั มรั วะฮน น้ั เปน เอกลักษณอยา งหนง่ึ แหงอลั ลอฮ ดังนั้นผูใดบําเพญ็ ฮจั ญทอ่ี าคารหรือทาํ พธิ อี ุมเราะฮ ก็ไมเปนบาปแกเ ขาเลยทจ่ี ะวนรอบมนั ทั้งสองแหง” (อลั -บะเกาะเราะฮ- ๑๕๘) ทานคดิ วา การวนรอบดิน หิน ภเู ขา เทา กบั เปนการอบิ าดะฮส ่ิงเหลา นี้กระนนั้ หรือ? และถา หากวาการนบนอบอยางสุดซ้ึงคือการอบิ าดะฮแลว กจ็ ําเปน อยางยงิ่ วาการกระทํา ทงั้ หมดเหลานเ้ี ทากับเปนการตั้งภาคีอยางหนึง่ ท่ีไดร บั การผอ นผนั อนุโลมใหก ระทําได อัลลอฮทรง สูงสุด ทรงเกรียงไกรยงิ่ กวาเรื่องเหลาน้ี แทจริงบรรดามสุ ลมิ ทุกคนตางแสดงความคารวะตอหนิ ดาํ ในการบาํ เพญ็ ฮัจญ และถอื วา การคารวะหนิ ดาํ เปน การกระทาํ ที่ชอบอยางหนึ่งของการบําเพญ็ ฮจั ญและการกระทําอยา งนโ้ี ดย รูปแบบแลวมนั คลายกับการกระทําของพวกตั้งภาคีทีม่ ุงหนา ไปยงั รปู เคารถของพวกตนในขณะที่ ถอื วาการกระทําเชน น้ีตองเปนการต้งั ภาคี (แตใ นความเปน จริงแลวไมใ ช) แตอกี ดา นหน่งึ ไมถือวา เปนการต้งั ภาคี ย่งิ ไปกวา นน้ั ยังถือวา เปนการกระทําของผูศรทั ธาทย่ี ดึ มนั่ ในเอกภาพ นีค่ ือประเด็นท่ี เราไดก ลาวถึงไปแลววา พื้นฐานของมนั ตองมองทีเ่ จตนาและเน้อื หาทแี่ ทจริง มิใชม องท่รี ูปแบบและ การแสดงออก ถา มฉิ ะนนั้ แลวการกระทาํ อยางน้ีตามรูปแบบของมันท่แี สดงออกมากไ็ มม อี ะไร แตกตางไปจากการกระทาํ ของพวกบชู าเจว็ด ๕- แนนอนอัล-กรุ อานอนั ทรงเกียรตสิ ั่งใหเราเอามะกอมอิบรอฮีมเปน ทนี่ มาซ โดยกลา ววา “และสเู จา จงเอาบริเวณมะกอมอิบรอฮมี เปน สถานท่ีนมาซ”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook