Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-06 05:31:49

Description: จดหมายสนทนาโตตอบทางวิชาการระหว่างอุลามาชีอะห์กับผู้รู้ซุนนี

Search

Read the Text Version

“ฉันคือผูปกครองของบรรดาผูศรัทธาท่ีมีอํานาจย่ิงกวาตัวของพวกเขาเอง หลังจากน้ันอาลี ผูเปนพี่นองของฉัน ก็คือผูปกครองของบรรดาผูศรัทธาท่ีมีอํานาจเหนือตัวของพวกเขาเองดวย” (อัล-ฮาดษี ) 13. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อัล-อิกมาลฯ” โดยอางสายสืบ มาจากทานอัศบัฆ บิน นะบาตะฮฺท่ีไดรับรายงานมาจากทานอิบนุอับบาสวา “ฉันไดยินทานศาสน ทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดก ลา ววา “ฉัน อาลี ฮาซันและฮุเซน อีกทั้งบุคคลท้ังเกาที่มาจากลูกหลานของฮุเซนน้ันลวนเปนผู บรสิ ุทธ์ิ (อลั -ฮาดษี ) 14. ศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหน่ึงไวในหนังสือ “อัล-อิกมาลฯ” โดยมีสายสืบท่ีรับ รายงานมาจากทานอิบายะฮฺ บิน ร็อบอียฺท่ีไดรับรายงานมาจากทานอิบนุ อับบาสวา “ทานศาสนทูต แหงอลั ลอฮฺ (ศ) กลา ววา “ฉันคือประมุขของบรรดานบี สวนอาลีคือประมุขของบรรดาทายาท (แหงบรรดานบี)” (อลั -ฮาดีษ) 15. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหน่ึงไวในหนังสือ “อัล-อิกมาลฯ” โดยมีสายสืบไป ถึงทานอิมามศอดิก ซึ่งไดรับรายงานฮาดีษมาจากบรรพบุรุษของทานโดยสืบไปถึงทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (ศ) ดังที่ทา นไดกลา ววา “แทจริงอัลลอฮผฺ ทู รงเดชานภุ าพสูงสดุ ไดท รงคัดเลือกฉันขึ้นมาจากบรรดานบีทั้งหมด และ ทรงคัดเลือกอาลีและเกียรติคุณของเขาท่ีมาจากฉันใหเหนือกวาบรรดาทายาทท้ังหมด และทรงได คัดเลือกฮาซันกับฮุเซนจากอาลี และทรงไดคัดเลือกจากลูก ๆ ของฮุเซนไวเปนทายาท พวกเขาได ยับยั้งหลักการศาสนาของผูบิดเบือน ยับย้ังการแอบอางของผูเส่ือมเสียและยับย้ังการตีความในเรื่อง ศาสนาของผหู ลงผิด” (อัล-ฮาดีษ) 16. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อัล-อิกมาลฯ” โดยมีสายสืบท่ี รับรายงานมาจากทา นอาลวี า “ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ (ศ) ไดก ลา ววา “บรรดาผูนํา (อิมาม) ภายหลังจากฉันน้ีมีจํานวน 12 คน โออาลี บุคคลแรกในหมูพวกเขา นั้นคือเจา คนสุดทายในหมูพวกเขาคือกออิม ผูซ่ึงอัลลอฮฺไดทรงเปดโอกาสใหเขามีอํานาจท้ังภาค ตะวันออกและภาคตะวนั ตกของโลก” (อลั -ฮาดษี )(295)

17. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบที่รับ รายงานมาจากทา นอมิ ามศอดกิ ซึ่งไดรบั รายงานมาจากบรรพบุรษุ ของทาน ซึ่งไดเลาสืบตอกันมาถึง คํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ท่ีวา “อาลีมาจากฉัน และฉันมาจากอาลี เขาถูกสรางมา จากเน้ือดินอันเดียวกับฉัน เขาจะทําหนาที่อธิบายอยางแจมแจงแกประชาชน สําหรับสิ่งซ่ึงพวกเขา ทั้งหลายขัดแยงกันในเร่ืองซุนนะฮฺ (แบบอยาง) ของฉัน เขาคือผูบังคับบัญชาของผูศรัทธาทั้งหลาย เขาคือ ผูนําของผูเครงครัดตอวินัยทางศาสนา เขาคือผูประเสริฐย่ิงในหมูทายาทท้ังหลาย” (อัล-ฮา ดีษ) 18. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบไปถึง ทานอาลี ซงึ่ เปนฮาดีษยาวบทหนึ่ง ดังทีท่ า นศาสนทูตแหง อลั ลอฮฺ (ศ) ไดกลา ววา “แทจริงอาลีคือ ผูบังคับบัญชาของผูศรัทธาท้ังหลาย ดวยการมอบอํานาจมาจากอัลลอฮฺ ผู ทรงเดชานุภาพสงู สดุ ซง่ึ พระองคไดทรงกําหนดเร่ืองนี้ไว ณ บัลลังกของพระองค ซ่ึงบรรดามะลาอี กะฮฺของพระองคตางไดปฏิญาณตนในเร่ืองน้ีวา แทจริงอาลีน้ันคือผูแทนท่ีอัลลอฮฺไดทรงแตงต้ัง และเปนขอพิสูจนของอัลลอฮฺ (ฮุจญะตุลลอฮฺ) และเขาคือผูนํา (อิมาม) ของบรรดามุสลิม” (อัล-ฮา ดษี ) 19. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” ซ่ึงเปนรายงานของ ทา นอบิ นุ อับบาสวา “ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลา ววา “อาลีเอยเจาคือผูนํา (อิมาม) ของบรรดามุสลิม เจาคือผูบังคับบัญชาของผูศรัทธาทั้งหลาย เจา คือผนู ําของผูเครง ครดั ตอ วนิ ัยทางศาสนา เจา คอื ขอ พิสูจนของอัลลอฮฺภายหลังจากฉัน และเจาคือ ประมขุ ของบรรดาทายาททั้งหลาย” (อลั -ฮาดีษ) (295) ฮาดีษบทน้ีรวมถึงบทกอน ๆ จากนี้ไดมีปรากฏอยูในหมวดท่ีวาดวย “รายงานจาก ทานนบีในเร่ืองของอิมามกออิม” ซึ่งทานเปนอิมามที่สิบสอง เปนฮาดีษที่อยูในบาบที่ 24 ของหนังสืออกิ มาลุดดีน หนา 149 ไปจนถงึ หนา 167 20. ทานศอ็ ดดกู ไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” ซึ่งเปนรายงานมาจาก ทา นอบิ นุ อับบาสวา “ทานศาสนทตู แหง อัลลอฮฺ (ศ) ไดกลา ววา “โออาลี เจาคือผูแทนขอฉันในหมูประชาชาติน้ี และเจากับฉันเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้ังแตม าจากอาดัม” (อัล-ฮาดษี )

21. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบไปถึง ทานอาบูซัรวา “วันหนึ่งพวกเราไดอยูพรอมกับทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ในมัสญิดของทาน แลว ทานไดก ลา วขน้ึ วา “ชายผูซ่ึงจะเขามาหาพวกทานทางประตูนี้ เขาคือผูบังคับบัญชาของผูศรัทธาและเปนผูนํา (อมิ าม) ของบรรดามุสลมิ ทัง้ หลาย” “ทันใดน้ันทานอาลี บิน อาบีฏอลิบก็ไดออกมาจากทางประตูดังกลาว ดังน้ันทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ (ศ) จึงไดใหการตอนรับทาน หลังจากน้ัน ทานก็ไดหันหนาอันมีเกียรติมาทางพวกเรา แลว กลาววา “นคี่ อื ผูนาํ (อมิ าม) พวกทานภายหลงั จากฉนั ” (อัล-ฮาดษี ) 22. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบท่ีรับ รายงานมาจากทานญาบิร บนิ อบั ดุลลอฮฺ ชาวอนั ศอร วา “ทานศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (ศ) ไดก ลา ววา “อาลี บิน อาบีฏอลิบคือ ผูเขาอิสลามคนแรกในหมูพวกเขา เปนผูมิชาความรูมากท่ีสุดใน หมพู วกเขาท้งั หลาย” ตอ มาทา นยังไดกลา วอีกวา “เขาคือผนู าํ (อิมาม) และผแู ทน (คอลฟี ะฮฺ) ภายหลังจากฉัน” (อัล-ฮาดีษ) 23. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยท่ีสายสืบไปถึง ทา นอิบนุ อับบาส วา “ทา นศาสนทูตแหงอลั ลอฮฺ (ศ) ไดก ลา ววา “แทจริงพระผูอภิบาลของทานทั้งหลายไดทรงสั่งใหฉันแตงตั้งอาลี ใหเปนผูทรงไวซ่ึง ความรู เปนผูนํา เปนผูแทน และเปนทายาทสําหรับพวกทาน และทรงสั่งใหฉันรับเขาเปนพ่ีนอง และเปน ผูร ว มภารกจิ (อลั -ฮาดษี ) 24. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบไปถึง ทานอาบี อยิ าชวา “ทานศาสนทตู แหง อัลลอฮฺ (ศ) ไดข ึน้ บนมิมบัรแลว กลาวคําปราศรัย ดังมีใจความ ตอไปนี้ “แทจริงบุตรแหง ลงุ ของฉัน คอื อาลีผนู ้เี ปนพีน่ อ งของฉนั เปน ผรู วมภารกิจของฉัน และเขา เปนผแู ทนของฉัน อีกทั้งเปนผูทาํ หนาทเ่ี ผยแผเ รอ่ื งราวจากฉนั ” (อลั -ฮาดีษ)(296) 25. ทานศ็อดดูกไดรายงานไวในหนังสือ “อาลาลียฺ” ซึ่งเปนฮาดีษท่ีมีสายสืบไปถึงทานอามี รลุ มุมนี นี วา “ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (ศ) ไดกลา วคําปราศรยั แกพ วกเราในวันหนึง่ วา

“ประชาชนทั้งหลายเอย แนนอนยงิ่ ฉันไดยอมรบั ในเดือนท่สี ําคัญของอัลลอฮแฺ ลว ” หลงั จากน้นั ทา นกไ็ ดอ ธบิ ายถงึ เกียรตคิ ุณตาง ๆ ของเดือนรอมฎอน ทา นอาลไี ดก ลาวข้ึนวา “โอศ าสนทูตแหง อัลลอฮฺ งานที่ประเสริฐยง่ิ ในเดอื นนค้ี อื อะไร ?” ทา นตอบวา “การสํารวมใหพน จากขอหา มตา ง ๆ ของอัลลอฮฺ” หลังจากนั้นทา นกร็ องไห” ทานอาลีไดถามขึน้ วา “โอทานศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ ทา นรอ งไหท าํ ไม ?” ทานตอบวา “อาลเี อย ฉันรองไหตอ เรอื่ งท่เี กิดขึน้ กับเจาในเดอื นนี้” ทานไดกลาวตอไปอีกวา “อาลีเอย เจาคือทายาทของฉัน เจาคือบิดาแหงลูก ๆ ของฉัน เจา คือตัวแทนของฉันสําหรับประชาชาติน้ี ทั้งที่ฉันมีชีวิตอยูและหลังจากวายชนมไปแลวคําส่ังของเจา คอื คําสั่งของฉนั คาํ หา มของเจาก็คือคําหามของฉัน” (อลั -ฮาดษี ) (296) ฮาดีษบทน้ีพรอมกับ 4 ฮาดีษขางบนตามที่ทานศ็อดดูกไดรายงานมานั้น ทาน ซัยยิดบะหรัยนก็ไดอางไวในบาบท่ี 9 หนังสือ “ฆอยะตุลมะรอม” ซึ่งทุก ๆ ฮาดีษตาง ปรากฏอยูในบาบที่ 13 26. ทานศ็อดดูกไดรายงานไวในหนังสือ “อามาลียฺ” ซ่ึงเปนฮาดีษที่มีสายสืบไปถึงทานอาลี (ความสนั ติสุขพงึ มแี กทาน) วา “ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (ศ) ไดกลาววา “อาลีเอย เจาคือพี่นองของฉันและฉันคือพ่ีนองของเจา ฉันคือผูถูกคัดเลือกขึ้นมาเพ่ือเปน ศาสดา สวนเจาเปนผูถูกเลือกสรรขึ้นมาใหเปนผูนํา (อิมาม) ฉันคือผูไดรับพระคัมภีรที่ถูกประทาน ลงมา สวนเจา คือผทู าํ หนาท่สี าธยายคมั ภรี น นั้ และเจาคอื บดิ าแหงประชาชาติน้ี อาลเี อย เจาคอื ทายาท และผูแทนของฉัน เจาคือผูรวมภารกิจและผูสืบมรดกของฉัน อีกทั้งเจาคือบิดาแหงบรรดาบุตรของ ฉนั ” (อัล-ฮาดีษ) 27. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบไปถึง ทานอิบนุ อับบาสวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวท่ีมัสญิดกุบาอฺ ในวันหนึ่งทามกลาง ชุมชนชาวอนั ศอรวา “อาลีเอย เจาคือพี่นองของฉันและฉันคือพี่นองของเจา เจาคือทายาทและตัวแทนของฉัน เจาคือผนู าํ (อิมาม) ของประชาชาตนิ ีภ้ ายหลังจากฉนั อัลลอฮฺทรงคุมครองผูซึ่งจงรักภักดีตอเจา และ ทรงเปน ศัตรูตอ ผูท ี่เปน ศตั รูของเจา ” (อลั -ฮาดษี )

28. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษไวในหนังสือ “อามาลียฺย” อีกบทหนึ่งซึ่งเปนฮาดีษที่ รายงานมาจากทา นหญิงอมุ มุซะละมะฮวฺ า “ทา นศาสนทูตแหงอลั ลอฮฺ (ศ) ไดก ลาว ในคร้ังหนงึ่ วา “อุมมุซะละมะฮฺเอย จงฟงฉันและจงเปนสักขีพยานแกฉันเถิดวา อาลี บิน อาบีฏอลิบผูน้ีคือ ทายาทและตัวแทนของฉัน ภายหลังจากฉัน เขาคือผูทําหนาที่ชําระพันธะสัญญาตาง ๆ ของฉัน และ เขาคือผูนําในการคืนกลบั สูอัล-เฮาฎ (สระนํา้ ในสวรรค) ของฉนั ” (อลั -ฮาดีษ) 29. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบไปถึง ทานซลั มาน ฟร ซีย วา “ฉันไดยินทานศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (ศ) กลาววา “โอชุมชนชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรทั้งหลาย พวกทานจะเอาไหมกับสิ่งที่ฉันเสนอแก พวกทาน ซ่ึงสิ่งน้ันถาหากพวกทานไดยึดม่ันไวแลว พวกทานจะไมหลงผิดอีกตอไปภายหลังจาก ฉนั ?” พวกเขากลา ววา “เราตกลงตามน้นั โอท านศาสนทูตแหงอลั ลอฮฺ” ทานไดกลาววา “อาลี ผูน้ีคือพี่นองและทายาทของฉัน เขาเปนผูรวมภารกิจ เปนผูสืบมรดก และเปน ตวั แทนของฉัน เขาเปนผูนํา (อิมาม) ของพวกทาน ดังนั้น ทานทั้งหลายจงรักเขาเหมือนกับ ที่รักฉัน และจงใหเกียรติเขาเหมือนกับใหเกียรติฉัน เพราะแทจริงทานญิบรออีลไดสั่งใหฉัน ประกาศเชน นแ้ี กพวกทา น” (อลั -ฮาดษี ) 30. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษบทหน่ึงไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบไปถึงทาน ซัยด บิน อัรก็อมวา “ทานศาสนทูตแหงอลั ลอฮฺ (ศ) กลาววา “พวกทานจะเอาไหมกบั ส่งิ ท่ีฉันจะเสนอแกพวกทา น ซ่งึ ส่ิงน้นั ถา หากพวกทา นไดย ดึ มนั่ ไว แลว พวกทา นจะไมพินาศและจะไมหลงผิด” ทานกลาววา “แทจริงผูนํา (อิมาม) ของพวกทาน และผูปกครองของพวกทานน้ันคือ อาลี บิน อาบีฏอลิบ ดังน้ันพวกทานท้ังหลายจงมอบอํานาจใหแกเขา พวกทานจงไดเช่ือฟงคําส่ังสอน ของเขาและพวกทานจงซื่อสัตยตอเขา เพราะวาแทจริงทานญิบรออีลไดส่ังใหฉันประกาศเชนนี้” (อัล-ฮาดษี ) 31. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” จากสายสืบที่รายงาน มาจากทานอบิ นุ อบั บาสซึง่ ไดอ างฮาดษี บทหนึง่ ท่ีทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (ศ) กลาววา “อาลีเอย เจาคือผูนํา (อิมาม) แหงประชาชาติของฉันและเจาคือตัวแทนของฉันท่ีมีตอพวก เขาภายหลังจากฉนั ” (อัล-ฮาดษี )

32. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหน่ึงไวในหนังสือ “อามาลียฺ” ซึ่งเปนรายงานของ ทานอบิ นุ อับบาส วา “ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (ศ) ไดกลา ววา “แทจริงอัลลอฮฺผูทรงไวซ่ึงความจําเริญและความสูงสุดยิ่ง ไดทรงมีบัญชามายังฉันวา แทจริงพระองคเปนผูทรงแตงต้ังบุคคลหนึ่งจากประชาชาติของฉัน ใหเปนพ่ีนอง เปนผูสืบมรดก เปน ตวั แทนและเปนทายาท” ดงั นัน้ ฉนั จึงไดก ลาววา “โอพ ระผอู ภบิ าลของฉนั บคุ คลผนู ัน้ คือใคร ?” พระองคไดทรงมีบัญชามายังฉันวา “บุคคลผูนั้นคือ ผูนํา (อิมาม) แหงประชาชาติของเจา และเขาเปนขอ พิสูจนของฉนั ทมี่ แี กพวกเขาทัง้ หลายภายหลงั จากเจา ” ฉนั จงึ ไดกลาวอีกวา “โอพ ระผูอภบิ าลของฉนั เขาผนู ัน้ คอื ใคร ?” พระองคทรงตรัสวา “เขาผูนั้นคือผูซ่ึงฉันรักเขา และเขารักฉัน เขาคืออาลี บิน อาบีฏอลิบ” (อลั -ฮาดษี ) 33. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหน่ึงไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยอางสายสืบจาก รายงานของอมิ ามศอดิกวา “ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺไดก ลา ววา “เมื่อตอนที่ฉันไดอิสรอขึ้นสูฟากฟาน้ัน พระผูอภิบาลของฉันไดสัญญาตอฉันในเร่ืองของ อาลีวา แทจริงเขาคือผูนํา (อิมาม) ของผูมีความยําเกรงท้ังหลาย เขาคือประมุขของบุคคลที่เครงครัด ตอ วนิ ยั ทางศาสนา และเขาคือหัวหนาของบรรดาผูศรทั ธาทง้ั หลาย” (อัล-ฮาดีษ) 34. ทานศ็อดดูกไดรายงานไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบฮาดีษไปถึงทานอิ มามรฎิ อฮฺท่ไี ดร บั ฟง มาจากบรรพบรุ ษุ ของทา นวา “ทา นศาสนทูตแหง อลั ลอฮฺ (ศ) ไดก ลา ววา “อาลีนั้นมาจากฉัน และฉันมาจากอาลี ผูที่ตอสูกับอาลีนั้นเทากับตอสูกับอัล-ลอฮฺ อาลีคือ ผนู ํา (อิมาม) ที่เปนตัวแทนของฉันภายหลงั จากฉนั ” (อลั -ฮาดีษ) 35. ทานชัยค ฏออิฟะฮฺ อาบู ญะอฺฟร มูฮัมมัด บิน ฮาซัน อัฏฏสีย ไดรายงานไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบไปถึงทานอัมมาร บิน ยาซิร วา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวแก ทา นอาลี วา “แทจริงอัลลอฮฺไดทรงประดับประดาเจาดวยอาภรณที่พระองคไมเคยประดับประดาใหแก บาวคนใดมากอน น่ันคือเครื่องประดับซึ่งเปนท่ีรักยิ่งของอัลลอฮฺ ไดแกการท่ีพระองคไดประดับ ประดาเจาใหเปนผูมีความมักนอยตอชีวิตในโลกนี้ โดยที่พระองคไดทรงกําหนดใหเจาไมเปนคนที่ มักมากกับสิ่งหนึ่งส่ิงใด พระองคไดประทานใหเจามีความรักตอคนยากจนพระองคไดทรง

กาํ หนดใหเจามีความช่ืนชมตอบุคคลท้ังหลายที่ปฏิบัติตามเจา และพระองคทรงใหพวกเขาเหลาน้ัน มีความชื่นชมท่ีจะใหเจาเปนผูนํา (อิมาม) ดังนั้นความผาสุกจะไดแกผูที่รักเจาและเชื่อมั่นในเจา อัน ความวิบัตนิ นั้ มีสําหรับบคุ คลทช่ี งิ ชังเจา และกลาวเทจ็ เกี่ยวกับเรื่องของเจา” (อัล-ฮาดษี ) 36. ทานชัยคไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “อามาลียฺ” โดยมีสายสืบไปถึงทาน อาลี ในขณะที่ทานไดกลาวคําปราศรัยบนมิมบัร ณ เมืองกูฟะฮฺดังนี้ “ประชาชนท้ังหลายเอย แนนอนท่ีสุดฉันมีคุณสมบัติ 10 ประการตามที่ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดใหไว ส่ิงตาง ๆ เหลานน้ั ฉันชอบเสยี ยิ่งกวา ไดด วงอาทิตยน่ันคือ ส่ิงที่ทา นศาสนทูต (ศ) ไดก ลา วแกฉันวา “อาลีเอย เจาคือพ่ีนองของฉันท้ังในโลกน้ีและปรโลก เจาคือบุคคลที่ใกลชิดกับฉันท่ีสุดใน วันกยี ามัต สถานทอี่ ยขู องเจา ในสวนสวรรคน้ันอยูดานหนาสถานที่อยูของฉัน เจาคือทายาทของฉัน เจาคือผูสืบมรดกภายหลังจากฉัน ทั้งในพันธะกรณีและครอบครัวของฉัน เจาคือผูทําหนาท่ีรักษา ครอบครัวของฉันแทนฉันหลังจากที่ฉันไดวายชนม เจาคือผูนํา (อิมาม) สําหรับประชาชาติน้ี เจาคือ ผูดํารงม่ันอยูกับความยุติธรรมในหนาที่การงานของฉัน เจาคือผูใกลชิดของฉันซ่ึงผูใกลชิดของฉัน นั้นคือผูใกลชิดของอัลลอฮฺ (วะลียฺยุลลอฮฺ) ศัตรูของเจาก็คือศัตรูของฉันและศัตรูของฉันนั้นคือศัตรู ของอลั ลอฮ”ฺ (อัล-ฮาดีษ) 37. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษบทหนึ่งไวในหนังสือ “นุศูศอะลัลอะอิมมะฮฺ” โดยมี สายสบื ไปถงึ ทานฮาซนั บิน อาลวี า “ฉันไดยินทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาวแกท า นอาลี วา “เจาคือทายาทผูสืบมรดกทางวิชาการของฉัน เปนคลังแหงวิทยปญญาของฉันและเปนผูนํา (อมิ าม) ภายหลงั จากฉนั ” (อัล-ฮาดษี ) 38. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “นุศูศอะลัลอะอิมมะฮฺ” โดยมี สายสบื ไปถึงทานอิมรอน บิน ศ็อยนวา “ฉันไดยินทา นนบี (ศ) ไดกลาวแกทา นอาลีวา “เจา คือผนู ํา (อิมาม) และตวั แทนภายหลงั จากฉัน (คอลีฟะฮฺ)” 39. ทานศ็อดดูกไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือ “นุศูศอะลัลอะอิมมะฮฺ” โดยมี สายสืบไปถึงทานฮุเซน บิน อาลีวา เม่ีอตอนที่อัลลอฮฺ ผูทรงสูงสุดไดประทานโองการหน่ึงในพระ มหาคมั ภรี อัล-กรุ อานทว่ี า (33 : 6) “และบรรดาเครอื ญาติน้นั สว นหน่ึงของพวกเขามีสิทธเิ หนอื กวา อกี สวนหนง่ึ ” ฉนั ไดถามทานศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ ถึงคาํ อธิบายของโองการน้ี ทานไดต อบวา

“พวกเจาคือบรรดาเครือญาติดังกลาว ฉะน้ันเมื่อฉันไดถึงแกการวายชนมไปแลวก็เปน หนาท่ีของอาลี บิดาของเจาที่จะตองรับสิทธิการปกครองของฉัน ครั้นเมื่อบิดาของเจาวายชนมไปก็ เปนหนาท่ีของฮาซัน พี่ชายของเจาที่จะตองรับหนาที่อันนั้นสืบตอ คร้ันเม่ีอฮาซันไดวายชนมไป ก็ เปน หนา ทข่ี องเจา ท่ีจะตองรบั หนา ทนี่ ั้นสืบตอ” (อัล-ฮาดษี ) 40. ทานศ็อดดูกไดรายงายฮาดีษอีกบทหน่ึงไวในหนังสือ “นุศูศอะลัล อะอิมมะฮฺ” โดยมี สายสบื ไปถึงทานอาลวี า “ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ (ศ) ไดกลาววา “อาลีเอย เจาคือทายาทของคนท่ีไดวายชนมไปในหมูอะหฺลุลบัยตฺของฉัน และเจาคือ ตวั แทน (คอลีฟะฮ)ฺ สาํ หรบั ผทู ย่ี ังมชี วี ิตอยูในหมูป ระชาชาติของฉนั ” (อลั -ฮาดีษ) นี่คอื สิ่งสุดทา ยทเี่ ราจะขอเสนอในเนื้อทีก่ ระดาษคราวนี้ ทั้ง ๆ ทเ่ี รอ่ื งราวในทํานองน้ียังมีฮา ดีษอีกเปนจํานวนมากท่ียังเหลืออยูจนสามารถที่จะตีแผออกไปไดอยางกวางขวาง แตถือวาเพียง บางสวนที่ไดนํามาเสนอน้ีก็คงจะเปนที่เพียงพอแลว (มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของพระผูอภิบาล แหงสากลโลก) วสั ลาม (ช) อัล-มะรอญอิ ะฮฺ 63 ศอฟร 1330 1. ฮาดีษของฝายชอี ะฮฺน้นั ถอื เปน หลกั ฐานไมไ ด 2. ทําไมฮาดษี ตาง ๆ เหลา นจ้ี ึงไมถ กู นาํ มารายงานโดยนกั ปราชญก ลุมอ่นื บาง ? 3. ขอหลกั ฐานเพ่ิมเติมจากฮาดษี อื่น ๆ นอกเหนือจากน้ี 1. หลักฐานฮาดีษตาง ๆ ดังที่ทานไดกลาวมาแลวนี้มิไดเปนท่ียอมรับของนักปราชญ ฝายอะฮลฺ ิซซนุ นะฮฺ เพราะเหตุวา เร่ืองตาง ๆ เหลา น้ไี มมสี ายสืบที่ยนื ยนั มาในหมพู วกเขา 2. ถาหากวาฮาดีษตาง ๆ ตามท่ีทานไดเสนอมาแลวนี้เปนส่ิงถูกตองอยางแทจริงแลว ทําไม นกั ปราชญฝา ยอะฮลฺ ิซซุนนะฮจฺ ึงมิไดน ํามันมารายงานมันไวดวย ?

3. ดังนั้นขอใหทานไดเสนอหลักฐานตาง ๆ เกี่ยวกับเรื่องน้ีจากฮาดีษของฝายอะฮฺลิซซุน นะฮฺใหแ กข าพเจา ดว ย วัสลาม (ซ) อัล-มุรอญิอะฮฺ 64 4 ศอฟร 1330 1. ความจริงแลวเราไดเสนอหลกั ฐานตาง ๆ เหลานี้เพื่อเปนการสนองตอบตอคําขอรองของ ทา น 2. หลักฐานตาง ๆ ท่ีเราไดเสนอไปแลวนี้ลวนเปนท่ียอมรับของกลุมนักปราชญสวนใหญ แลววา มคี วามถูกตอ งทุกประการ 3. สาเหตุสําคัญในดานของการท่ีนักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺมิไดรายงานฮาดีษตาง ๆ ท่ี มีสายสืบอยางถกู ตองจากฝายเรา 4. ขอ เสนอเพอ่ื ไปสหู ลกั ฐานทว่ี าดว ยเรอื่ งของการแตงตง้ั ผสู บื มรดก 1. ความจรงิ แลวเราไดทําการเสนอหลักฐานฮาดษี ตาง ๆ เหลานีข้ น้ึ มาเพื่อเปน ขอ มลู สําหรับ วชิ าการ และอีกประการหนึง่ นนั้ ก็คอื ทา นไดขอรองมายังขาพเจา ใหเสนอส่งิ ดงั กลาว 2. เราถือวาเก่ียวกับขอมูลตาง ๆ ท่ีเราไดเสนอไปแลว ซ่ึงอางอิงมาจากตําราของนักปราชญ ฝายอะฮฺลิซซนุ นะฮฺน้นั คงจะเปนหลกั ฐานท่ีนา เชอ่ื ถือแกท า นไดแลว 3. สาํ หรับเร่ืองของการทน่ี ักปราชญฝายอะฮฺลซิ ซนุ นะฮฺ มิไดรายงานฮาดีษตาง ๆ ดังกลาวน้ี เอง จึงทําใหเกิดเปนรอยราวจนพวกเราท้ังหลายรูสึกเหมือนกันโดยทั่วไปวา เร่ืองราวของวงศวาน ลกู หลานของศาสดามฮู ัมมัด (ศ) น้นั เปน อุปสรรค ท้งั น้เี น่อื งจากพลพรรคของกลุม ผแู สวงอาํ นาจใน อดีตตางไดซอนเรนเรื่องราวบางประการตอพวกเขา ตลอดท้ังบริวารของผูถืออํานาจเผด็จการตางก็ ไดรวมกันกระทําในส่ิงที่ซอนเรนเกียรติยศของอะหฺลุลบัยตฺ อีกท้ังยังไดดับรัศมีของพวกเขา ทงั้ หลายไปในทุก ๆ กรณีและทกุ ๆ วถิ ีทาง

กลุมอะหฺลุลบัยตฺทุกสมัยตางไดรับการลบหลูท่ีมาจากอํานาจและความบังอาจที่ไมเปน ธรรม ซ่ึงพวกเขาเหลาน้ันไดพยายามที่จะใหประชาชน ท่ัวไปยอมรับในเกียรติยศและสิทธิพิเศษ ของพวกเขาอยางเต็มที่เทาท่ีมีความสามารถและเทาที่โอกาสจะอํานวย พวกเขาไดทําการดึงดูด ประชาชนเพอ่ื วิถที างอนั นี้คร้ังแลวคร้ังเลา ดวยเงินตราและทรัพยสินเงินทองของพวกเขา บางคร้ังก็ โดยวธิ กี ารใหลาภยศสรรเสริญบา ง และบางคร้งั กจ็ ะใชวิธีการทีม่ าจากปลายแสและคมดาบของพวก เขา พวกเขาใหการยอมรับนับถือตอผูที่ปฏิเสธกับอะหฺลุลบัยตฺและพวกเขาจะทําการลิดรอน สทิ ธิแกผทู ี่จงรกั ภกั ดีตออะหฺลลุ บัยตฺ ดวยวิธีการตา ง ๆ แมก ระทั่งการเขน ฆ ทานเองก็ทราบดีอยูแลววาสําหรับเร่ืองราวหรือความเปนมาของกลุมอิมามัตนั้น พวกที่ไม เปนธรรมในยุคสมัยของคอลีฟะฮฺตาง ๆ มีความหวาดกลัววา เร่ืองของอิมามัตนี้จะมาทําลายราช บัลลังกของพวกเขา และกลัวไปวาแนวทางของอิมามมัตนี้จะบั่นทอนฐานอํานาจการปกครองของ พวกเขา ซ่ึงพวกเขาไดเ สวยสุขกนั อยูกับกลมุ บรวิ ารล่ิวลอท่ปี ระจบสอพลอทั้งหลาย ดวยเหตนุ ้ีเองรายละเอยี ดทางดานสายสบื และกระแสรายงานฮาดษี จงึ สืบทอดมาถึงพวกเรา ในลักษณะท่ีแตกตางกัน สิ่งน้ีคือสัญญาณอันหนึ่งจากบรรดาสัญญาณทั้งหลายที่ยืนยันในสิ่งท่ีเปน สัจจะ เปนอนุภาพหนึ่งของมวลอนุภาพท่ียืนยันถึงสัจธรรมวา กลุมอะหฺลุลบัยตฺน้ันเปนฝายที่ยืน หยดั อยูโ ดยหลกั สัจธรรมและเปน ฝายที่ดาํ เนนิ บทบาทไปตามสิทธิของพวกตนตามที่อัลลอฮฺไดทรง มอบหมายใหพวกเขาดําเนินในกิจการตาง ๆ ผูท่ีชิงชังกล่ันแกลงพลิกแพลงตอความรักของพวกเขา ก็จะประสบกับการลงโทษอยางรุนแรง บุคคลเหลาน้ีไดมีโอกาสเฉิดฉายอยูตามสถาบันตาง ๆ ซ่ึง บคุ คลเหลา นไ้ี ดท ําการเบยี ดเบียนและกดขอ่ี ีกทงั้ ยังไดกีดกันสิทธิตาง ๆ ของอะหฺลุลบัยตฺ แมกระท่ัง เหยียดหยามตอหนาท่ีทางดานของการปกครอง กลุมบุคคลเหลาน้ันไดพยายามดําเนินการในทุก ๆ ดาน เชน บางคร้ังเม่ือเขาไดกลาวถึงทานอาลี เขาก็จะกลาวดวยถอยคําท่ีดีงามปราศจากโมหะคติ ในขณะท่ีพฤติกรรมของพวกเขามีความอาฆาตพยาบาทโดยท่ีพวกเขาไดทําการริบทรัพยสินและทํา การโจมตีเกยี รติคณุ ของทา นอาลี หลายตอหลายคร้ังท่ีพวกเขาเหลานั้นไดเหยียดหยามศักดิ์ศรีของทานอาลี แลวพูดวาเขาได ใหเกียรติตอทานอาลี พวกเขาไดทําการละลาบละลวงในสิทธิตาง ๆ ของทานอาลีแลวประกาศวา พวกเขาให เกยี รติ

พวกเขาไดทําการเบียดเบียนตัดกําลังในดานตาง ๆ ของทานอาลี แลวกลาววา พวกเขาได กระทาํ เพือ่ การยกยอง หลายครั้งหลายคราวที่พวกเขาเหลาน้ันไดทําลายลางบุคคลในครอบครัวของทานอาลี พวก เขาไดประกอบทารุณกรรมขมขูปรักปรําโจมตีอีกทั้งกล่ันแกลงใหบุคคลในครอบครัวของทานอาลี ตกอยูในสภาพท่ีคับขัน มีจํานวนไมนอยที่เร่ืองราวตาง ๆ ไดถูกอุปโลกนข้ึนมาเปนฮาดีษ และเก็บ รักษากันมาอยางเปนเรื่องเปนราวโดยกลุมบุคคลท่ีจงรักภักดีกับจอมทรราชผูโอหัง แทนการ จงรกั ภกั ดีในอัลลอฮฺ ผทู รงเดชานุภาพสงู สุด บุคคลเหลาน้ีตางประจบประแจงเจานายของพวกเขาดวยประการตาง ๆ เชน การแตงตํารา การบิดเบือนประวัติศาสตร การระบุวาสิ่งใดถูกตอง (ศอฮี้ฮฺ) และการระบุวาส่ิงใดไมถูกตอง หรือมี หลักฐานออนแอ (ฎออีฟ) เชนเดียวกับที่เราไดพบเห็นลักษณะของนักปราชญประเภทประจบ สอพลอในสมยั น้ี ซงึ่ มีทัง้ ประเภทนักปราชญร ะดบั สูง และประเภทผูพิพากษาที่ชั่วชา ซึ่งพวกเขาได ดําเนนิ การบดิ เบือนตอ กฎเกณฑท ีช่ อบธรรม ท้ังนี้เน่ืองมาจากอิทธิพลของผูปกครองของพวกเขาวายืนอยูบนความเปนธรรมหรือยืนอยู บนหลักอธรรม กฎเกณฑของพวกเขาจะถูกตองหรือไมนั้นก็ขึ้นอยูกับอิทธิพลของฝายปกครองวา ยืนอยูบนหลักการท่ีถูกตองหรือผิดพลาด เพราะวาผูพิพากษาทําหนาท่ีวินิจฉันประเภทนั้นจะใช ดําเนินการตัดสินปญหาหน่ึงปญหาใด เวนแตจะตองใหสอดคลองกันกับเจตนารมณของผูปกครอง แมวาส่ิงนั้น ๆ จะขัดแยงกันกับพื้นฐานของอัล-กุรอาน และแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) ของทานศาสนทูต แหง อัลลอฮกฺ ็ตาม กลุมบุคคลเหลาน้ีไดทําการทําลายเอกภาพของสังคมแหงประชาชาติอิสลาม เพราะความ ปรารถนาทต่ี ัง้ อยูบนผลประโยชนซงึ่ พวกเขากลัววา จะพลาดออกไปจากเขา ลักษณะทเี่ อ้ือเฟอ ตอ กนั ระหวางฝายปกครองกับฝายท่ีมีความรูเหลานี้ตางก็มีจุดยืนเพ่ือดํารงไวซ่ึงอํานาจรัฐของพวกเขา อีก ทั้งดําเนินการเพ่ือใหไดมาซึ่งผลประโยชนอันยิ่งใหญในอํานาจการปกครอง แมวาพวกเขาจะตอง ดําเนินการตา ง ๆ ไปในลกั ษณะที่ตอสูก ับหลักการของอัลลอฮฺและศาสนทตู ของพระองคก ็ตาม ดวยเหตุน้ีเองกลุมบุคคลดังกลาวจึงไดรับฐานันดรท่ีสูงสงจากการแตงตั้งใหของผูปกครอง พวกเขาเหลาน้ียังมีโอกาสไดรับการชวยเหลือในดานตาง ๆ เน่ืองดวยพวกเขามีผลงานท่ีเปนสาเหตุ ของการดํารงอยูซึ่งอํานาจรัฐดังกลาว พวกเขาเหลาน้ีจะกระทําการตาง ๆ ที่มีอคติลําเอียงตอบรรดา ฮาดีษที่แทจริง ซ่ึงไดกลาวถึงเกียรติยศของทานอาลี และของบุคคลตาง ๆ ท่ีเปนอะหฺลุลบัยตฺของ

ทานนบี นอกเหนือจากน้ีพวกเขายังไดดําเนินการตอบโตอยางรุนแรงอีกดวย บางคร้ังพวกเขายังได กระทําการลบหลูเกียรติยศของบุคคลดังกลาวใหตกต่ําลง พวกเขายังไดกุเร่ืองราวกันข้ึนเพื่อ ปรกั ปราํ โดยประณามใหบคุ คลตา ง ๆ แหงอะหฺลลุ บัยตฺ ตองประสบกบั ความมวั หมอง นี่คือวิธีการดําเนินงานของพวกเขาในดานของการรายงานฮาดีษทเ่ี กยี่ วของในเรื่องของทา น อาลี ตลอดจนถงึ เรอ่ื งราวของพรรคพวก (ชอี ะฮฺ) ตอมากลุมบุคคลผูประจบสอพลอเหลาน้ี ไดมีอิทธิพลจนถึงกับวามีผูใหความเชื่อถือในคํา แอบอางของพวกเขาไปในแควน ตา ง ๆ ซึ่งประชาชนในแตล ะแควนนน้ั มคี วามปรารถนาวา วิชาการ ของพวกเขาเหลา น้นั เปน ท่ีมาแหง ความรทู างดานศาสนาทจี่ ะตอ งเช่ือฟงและเขาใจวาบุคคลเหลานั้น เปน ผมู คี ุณสมบัตทิ ี่ดเี ดน และมั่นคงในการอิบาดะฮฺ อีกทง้ั ยงั เขา ใจวา พวกเขาเหลา นนั้ เปน นกั ปราชญ ทม่ี ีคณุ วุฒสิ งู ทางดา นวชิ าการ ฉะน้นั เม่ือชาวเมืองตาง ๆ ไดยินไดฟงคําสอนของพวกเขาเหลานี้แลว ก็ถอื วา เร่ืองราวเหลาน้ีอยใู นรายงานท่ีถูกตอ ง ทาํ ใหเกิดมกี ารยอมรบั คําสอนของบุคคลเหลา น้เี ขา มา เปนหลักฐาน สังคมทั่วไปท่ีมีความกระหายตอวิชาความรูทางศาสนาก็มักจะไดรับความรูมาจาก ทัศนะดังกลาว และจึงไดเกิดมีความเชื่อถือมีความเช่ือมั่นกันกับคําสอนเหลานั้นไปในทุก ๆ มุม เมือง จนถึงขนาดวาคําสอนเหลาน้ันไดถูกกําหนดขึ้นมาใหเปนมาตรฐานท่ีสําคัญของผูนับถือ ศาสนาตามเมอื งตาง ๆ ในขณะเดียวกันนั้นก็ยังมีกลุมชนอีกพวกหน่ึงท่ียังยึดมั่นในวิชาการของอัล-ฮาดีษในสมัย น้ัน ซึ่งพวกเขาไดถูกบีบค้ัน ถูกขมขูใหละทิ้งบรรดาฮาดีษที่เปนเร่ืองราวระบุถึงเกียรติยศของทาน อาลี และ อะหฺลุลบัยตฺ บุคคลเหลานี้ลวนเปนคนขัดสน เมื่อพวกเขาถูกถามจากประชาชนเกี่ยวกับ เรื่องราวท่ีเปนคําสอนของผูรูประเภทประจบสอพลอ ท่ีไดรายงานฮาดีษตาง ๆ แลวอางวาเปน หลักฐานที่ศอฮี้ฮฺและถูกถามถึงเร่ืองราวท่ีเปนเกียรติยศของทานอาลีและอะหฺลุลบัยตฺแลว พวกเขา เหลาน้ีก็จะพากันหวาดกลัว พากันสยบโดยมิไดแถลงส่ิงใด ๆ ของพวกเขาออกมา ทั้งนี้ก็เพ่ือท่ีจะมิ ใหเกดิ ความเสยี หายจากนาํ้ มอื ของผูท่ที าํ เปนหูหนวก ปากใบและตาบอด พวกเขายังถูกบีบคั้นใหทํา การตอบขอซักถามตาง ๆ ที่สอดคลองตองกันกับคําสอนของผูประจบสอพลอ พวกเขาจึงอยู ทามกลางภัยท่ีนากลัวจากแผนการตาง ๆ ของบรรดาผูซึ่งประจบสอพลอเหลานั้น จะเห็นไดวา บรรดาประชาชนผูท ี่เครงครดั ในศาสนาตา งไดเ ปนทุกขต อ แผนการหนง่ึ ของพวกเขา น่ันคือเมื่อเจาผูครองนครไดใชอํานาจออกคําสั่งใหประชาชนทําการสาปแชงทานอามีรุลมุ มีนีน แตกลุมผูปกครองก็ไดทําการบีบคั้นพวกเขามิใหมีการเคล่ือนไหวตอบโตในเร่ืองน้ีโดยไดทํา

การใชเ งินทองเขามาลวงลอพวกเขา บางคร้ังกใ็ ชก าํ ลังทหาร บางคร้ังกไ็ ดใ ชว ิธกี ารลงโทษผทู ี่ขดั ขืน ดวยประการตา ง ๆ ทั้งในดานการทําลายชื่อเสยี งเกยี รติยศแมก ระทง่ั ชวี ติ ผูปกครองในยุคน้ันไดทําการสรางภาพพจนของเร่ืองราวตาง ๆ ใหปรากฏข้ึนในสํานักตาง ๆ ของพวกเขาดวยภาพลวงทเ่ี รยี บงายและไดท ําการโฆษณาชวนเช่ือตาง ๆ ใหแ กประชาชน พวกเขา ยังไดทําการแชงดาทานอาลีบนมิมบัรหลายแหงของพี่นองมุสลิม ทั้งในวาระวันอีดท้ังสองและใน วันศุกร แตถึงกระน้ันดวงประทปี ของอัลลอฮฺกไ็ มม ีวันถกู ดบั แสงเกียรติยศแหงบรรดาผูใกลชิดของ พระองค (เอาลิยาอฺ) จะไมมีวันถูกลบเลือน ดวยเหตุนี้หลักฐานฮาดีษตาง ๆ จากแนวทางของกลุม บุคคลทงั้ สองคา ย ซ่งึ ตา งยนื ยันในความถูกตองท่ีชัดเจนย่ิงของตําแหนงคอลีฟะฮฺแหงทานอาลีจึงได ตกทอดเปนเร่ืองราวมาถึงพวกเรา แมบางเรื่องท่ีกลาวถึงในเกียรติยศของทานอาลีน้ันก็มิได สอดคลอ งตรงกันเสมอไป ขาพเจาขอสาบานดวยพระนามของอัลลอฮฺ วาขาพเจามีความซาบซ้ึงในเกียรติยศที่ดีเดน เปนพิเศษของบุคคลผูเปนบาวแหงพระองค และเปนพ่ีนองของศาสนทูตแหงพระองคน่ันคืออาลี บิน อาบีฏอลิบ ดวงประทีปของพระองคดวงนี้จะไมมีวันถูกทําลายลงจากอํานาจของความมืดได คล่ืนแหงความเจิดจาจะตองเปนท่ีกังวานสืบไป เพ่ือดวงประทีปนี้จะไดบรรเจิดจาแกชาวโลก เสมอื นด่งั มีดวงอาทิตยในยามกลางวนั 4. คําตอบทุกส่ิงทุกอยางท่ีทานไดผานสายตาไปแลวน้ียอมเปนหลักฐานท่ีเด็ดขาด ซ่ึงมา จากฮาดีษที่ระบุถึงเร่ืองของการแตงต้ังผูสืบมรดก โดยท่ีเร่ืองน้ีเปนขอพิสูจนหนึ่งที่สามารถให ความรจู นเปนทีเ่ พียงพอแกท าน วสั ลาม (ช)

อลั -มุรอญอิ ะฮฺ 65 5 ศอฟร 1330 • ขอพิสูจนห ลกั ฐานฮาดีษ วาดวยการแตง ต้ังทายาท ขอทา นไดโปรดขยายความใหเ ราไดท ราบถึงฮาดษี ที่วาดวยเร่ืองของการแตงต้ังทายาทผูสืบ มรดก จากรายงานของนักปราชญฝายอะฮลฺ ิซซุนนะฮฺ วัสลาม (ซ) อัล-มะรอญิอะฮฺ 66 5 ศอฟร 1330 • อาลีคือทายาทผูสืบมรดกของทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญแดทานและแดบรรดา ลกู หลานของทาน) ไมมีขอ สงสัยใด ๆ สําหรับในประเด็นที่วาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดแตงตั้งใหทานอาลีเปน ทายาทผสู ืบมรดกทางวชิ ากรและวิทยปญ ญา เชนเดยี วกบั ทบี่ รรดานบที ัง้ หลายไดแ ตงตั้งทายาทผสู ืบ มรดกของพวกเขา จะเห็นไดว าทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบ รรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “ฉันคือนครแหงความรู สวนอาลีคือประตูของมัน” ดังน้ัน ผใู ดทปี่ ระสงคต อวชิ าความรู เขากจ็ งเขามาทางประต”ู (297) ทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลกู หลานของทาน) ไดก ลาวอีกวา “ฉันคือเคหะแหง วิทยปญญา สวนอาลคี ือประตขู องมัน”

(297) ฮาดีษน้ีและอีกสองฮาดีษถัดจากน้ีเราไดเสนอไปแลวใน อัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 48 และ ทานอาจจะพบไดอีกในอัล-มุรอญิอะฮฺบทน้ัน ซึ่งฮาดีษท่ี 9,10,11 แลวขอไดโปรดพิจารณา หมายเหตขุ องแตล ะฮาดีษนัน้ ดว ย ทานยังไดกลาวอีกวา “อาลีคือประตูแหงวิชาความรูของฉัน และเปนผูทําหนาที่อธิบาย เรือ่ งราวตาง ๆ อยา งแจม แจงภายหลงั จากฉนั สาํ หรับในสิ่งทฉ่ี ันไดฝ ากไวแ กป ระชาชาตขิ องฉนั ” “ความรกั ท่ีมีตอเขาเปน ความศรทั ธา ความโกรธที่มีตอเขาเปน การละเมิด” (อัล-ฮาดีษ) ทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลกู หลานของทา น) ไดก ลา วไวใ นฮาดีษทร่ี ายงานโดยซัยด บิน อาบู เอาฟาอ(ฺ 298) วา “เจาคือพนี่ องของ ฉนั และทายาทผูสืบมรดกของฉัน” ทา นอาลีไดก ลาววา “ฉนั จะทาํ หนา ทส่ี บื มรดกอนั ใดของทาน ?” ทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “ใหเจาสืบมรดกเหมือนอยางที่บรรดาทายาทของนบีทั้งหลายท่ีมี กอ นหนาฉนั ไดสืบมรดก” ทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลูกหลานของทาน) ไดเนนถึงเร่ืองนี้ในฮาดีษท่ีรายงานโดยทานบุรัยดะฮ(ฺ 299) วา “ทายาทผูสืบมรดก ของทานคือ อาลี บนิ อาบีฏอลิบ” และอีกประการหนง่ึ ทถ่ี ือไดว าเปนหลกั ฐานที่เพียงพอสําหรับทาน นั่นคือฮาดีษท่ีเกิดข้ึน ณ บานของทานศาสดาในวันแหงการประกาศศาสนา (อินซาร) ซึ่งในตอนนั้นทานอาลีไดยืนยันตอ หนาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทาน) วา “ขอสาบานดวยพระนามของอัลลอฮฺ แทจริงฉันคือ พี่นองของทาน เปนผใู กลช ิดและเปน บุตรแหงลุงของทาน ฉันเปนทายาทผูสืบมรดกทางวิชาการของทาน ฉะน้ันจะ มีใครที่มสี ิทธิในตวั ทานย่งิ ไปกวา ฉันอกี ?”(300) (298) เราไดเ สนอฮาดษี บทนีไ้ ปแลว ใน อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ ที่ 32 (299) โปรดพิจารณาดูฮาดีษบทนไี้ ดใ น อัล-มุรอญิอะฮทฺ ่ี 68 (300) นี่คือ คํากลาวท่ียืนยันอยางชัดเจนของทานอาลีเอง ซึ่งทานฮากิมไดรายงานบันทึกไว ในหนา 126 ของเลมที่ 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” ดวยสายสืบที่ศอฮี้ฮฺตามเง่ือนไขของทานบุ คอรีและทา นมุสลมิ ซง่ึ ฮาดีษบทนีท้ านซะฮะบียไ ดบันทึกไวในหนงั สือ “ดัลคศี ” ดว ย

เคยมีผูถามทานอาลีในคร้ังหนึ่งวา “ทานเปนทายาทผูสืบมรดกของบุตรแหงลุงของทานได อยางไร ในเม่ือยังมีลุงของทานอยูอีก ?” ทานอาลีไดตอบวา “ครั้งหน่ึงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ได เรียกประชุมบรรดาลูกหลานของอับดุลมุฏฏอลิบอยางพรอมเพรียงกัน พวกเขาเหลาน้ันไดรวมกัน รับประทานอาหารท่ีทานศาสนทูตไดทําข้ึนมาเพื่อเลี้ยงพวกเขาดวยอาหารท่ีมีจํานวนนอย แตเม่ือ พวกเขาไดรับประทานกันจนอ่ิมหนําแลว อาหารเหลาน้ันก็ยังมีเหลือเสมือนหนึ่งวา ยังไมมีใครได แตะตองเลย ตอ มาทานศาสนทูต (อลั ลอฮฺทรงประทานความจาํ เรญิ และความสนั ตสิ ขุ แดท า นและแด บรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “โอบุตรของอับดุลมุฏฏอลิบเอย แนนอนย่ิงฉันถูกสงมายัง พวกทานโดยเฉพาะและถูกสงมายังบรรดาประชาชนโดยท่ัวไปดวย ดังน้ันจะมีผูใดบางในหมูพวก ทานทจ่ี ะใหส ตั ยปฏิญาณตอฉันเพ่ือเปนพี่นองของฉัน เปนสหายของฉัน และเปนทายาทผูสืบมรดก ของฉัน ?” “แตแลวก็ไมมีใครแมแตคนเดียวที่ประกาศตัวยืนยันใหแกทาน ดังนั้น ฉันจึงไดลุกขึ้น ประกาศตวั ใหแ กท าน ทั้ง ๆ ทฉ่ี ันเปน คนทอี่ อ นวยั ท่สี ุดในกลมุ นน้ั ทานจึงไดกลาวแกฉันวา “เธอจง นั่งลง” หลังจากน้ันทานก็ไดกลาวถอยคําประโยคน้ันถึงสามครั้ง ซึ่งในทุก ๆ คร้ังฉันก็ไดยืน ประกาศตวั ใหแกท า น แลวทานก็ไดก ลา วแกฉันวา “เธอจงน่ังลง” จนกระทั่งในครั้งท่ีสามทานจึงได เอามือของทานมาจับท่ีมือของฉัน โดยเหตุนี้เอง ฉันจึงเปนทายาทผูสืบมรดกของบุตรแหงลุงของ ฉนั ทง้ั ๆ ทีย่ งั มีลุงของฉันอยูอ ีก(301) (301) นี่คือฮาดีษที่แนนอนทางดานสายสืบบทหน่ึง ซ่ึงรายงานโดย ฎียาอฺ มุก็อดดะซียใน หนังสือ “มุคฺตาเราะฮฺ” และทานอิบนุ ญะรีรไดบันทึกไวในหนังสือ “ตะอฺซีบุล อาซาร” เปนฮาดีษที่ 6155 หนา 408 เลมท่ี 6 หนังสือ “กันซุล อุมาน” ทานนะสาอียไดบันทึกไวใน หนา ค หนงั สอื “เคาะศออิศ อุลุวียะฮฺ” ทานอิบนุ อะบูฮะดีดไดอางมาจากหนังสือ “ตารีค ฏ็ อบรีย” มาบันทึกไวในตอนทายของ การอรรถาธิบาย คุฏบะฮฺของทานอิมามอาลี หนา 255 เลมท่ี 3 หนังสือ “นะุลบะลาเฆาะฮฺ” โปรดพิจารณาดูในหนา 159 เลมท่ี 1 หนังสือ “มุ สนัด” ของอิมามอะหฺมัด บนิ ฮันบลั ทานจะไดพ บฮาดษี บทนพี้ รอมความหมายโดยละเอียด มีคนถามทานกุษัม บิน อับบาสตามท่ีมีปรากฏอยูในรายงานของทานฮากิมในหนังสือ “มุส ตัดร็อก”(302) และทานซะฮะบียก็ไดบันทึกไวโดยยืนยันถึงสายสืบท่ีศอฮี้ฮฺของเร่ืองน้ีไวในหนังสือ “ตัลคีศ” ดวยวา มีคนถามทานกุษัมวา “ทําไมอาลึจึงไดเปนทายาทผูสืบมรดกของทานศาสนทูต

แหงอัลลอฮฺ ทั้ง ๆ ที่ยังมีพวกทานอยู ?” ทานตอบวา “เนื่องจากอาลีเปนบุคคลแรกในหมูพวกเราท่ี ปฏิบัติตามและยึดม่ันอยางเหนียวแนนตอทานรอซูลุลลอฮฺ” เพราะฉะน้ันจะเห็นไดวาประชาชน ทั้งหลายตางก็รูกันดีอยูแลววา ผูเปนทายาทที่สืบมรดกของทานรอซูลุลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) น้ัน มีเพียงแตทานอาลี น่ันเอง มิใชลุงของทานท่ีชื่ออับบาส และมิใชคนอื่นใดจากตระกูลของบะนีฮาชิม โดยที่บุคคล เหลาน้ันตางก็ไดเปดเผยเรื่องราวเชนนี้ออกมาใหปรากฏจนเปนที่รูของบรรดามุสลิมทั้งหลาย ดังที่ ทา นไดท ราบไปแลว สําหรับผูท่ียังไมรูเรื่องราวในขอบขายของการสืบมรดกของทานอาลีผูเปนบุตรแหงลุงของ ทานนบี โดยตําแหนงน้ีมิใชเปนของทานอับบาส ผูเปนลุงคนหน่ึงของทานนบีเอง และมิใชเปน ตําแหนงของบุคคลใดในบรรดาบุตรแหงลุงของทาน หรือในบรรดาเครือญาติคนใดของทานศาสน ทูต (ศ) น้ัน คําตอบของเรื่องนี้ก็ไดแก การตอบคําถามของทานอาลีในครั้งหนึ่งและตอบคําถามของ ทานกุษัมอีกครั้งหน่ึง ดังท่ีทานไดทราบไปแลว และนั่นคือคําตอบท่ีเดนชัดซ่ึงควรท่ีจะเปนที่ ยอมรับของบรรดาผูสอบถามไดอยูแลว แตถาหากยังมิไดเปนเชนน้ัน ก็ขอไดพิจารณาคําตอบอีก ดานหนึ่ง นั่นก็คือ การที่อัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุภาพสูงสุด ไดทรงคัดเลือกศาสดามุฮัมมัดขึ้นมาจาก ชาวโลกทงั้ หมดเพื่อใหเปน นบหี ลังจากนนั้ พระองคไ ดท รงมขี อทดสอบข้นั ที่สองดวยการเลือกทาน อาลี ดงั ท่พี ระองคไดมบี ัญชามายังทา นนบีของพระองค (ศ) วา (302) หนา 125 เลมท่ี 3 รายงานโดยทานอิบนุ อาบู ชะบีบะฮฺ อีกทานหน่ึงดวยเปนฮาดีษท่ี 6084 หนา 400 เลมที่ 6 หนังสือ “กนั ซุล อุมาล” “ใหเลอื กเอาบคุ คลน้นั เปนทายาทและเปนผูส บื มรดก” ทานฮากิมไดรายงานไวในหนา 125 ุซอฺท่ี 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” วา “ทานกอฏี อาบูฮา ซัน มุฮัมมัด บิน ศอลิห ฮาชิมีย ไดกลาววา “ขาพเจาไดยินทานอาบู อุมัร อัลกอฏียกลาววา “ฉันได ยินทานอิสมาอีล บิน อิสหาก กอฏีย ไดเลาคํากลาวเร่ืองน้ีของทานกุษัมวา “ผูเปนทายาทท่ีจะสืบ มรดกนนั้ ไดรบั การแตงตั้งโดยการสืบเชือ้ สายหรือดวยการมอบหมายกไ็ ด” และไมเปน การขดั แยงกนั แตอยางใดในหมูนักวิชาการท่ีวา “ผูเปนหลานจะตองมิใชเปนผูท่ี มอบมรดกของตนใหแกผ เู ปน ลุงของตนเสมอไป”

ดังท่ีมีปรากฏชัดเจนอยูในเรื่องน้ีอยางเปนเอกฉันทวา “ทานอาลีคือทายาทผูสืบมรดกทาง วิชาการของทานนบี โดยท่ีตําแหนงน้ีมิไดเปนของบุคคลอ่ืน” เปนอันวาเร่ืองราวดังกลาวนี้คือ รายงานท่ีมีสายสืบสอดคลองตองกันเปนเอกฉันททั้งของนักปราชญฝายอะฮิลิซซุนนะฮฺเอง และท้ัง ของนักปราชญฝายผูยึดม่ันในเช้ือสายของผูบริสุทธ์ิ รายละเอียดตาง ๆ เกี่ยวกับขอมูลท่ีวาดวย เร่ือง ของทายาทคงจะเปน ทเ่ี พียงพอสําหรบั เราไดแคน ้ี วัสลาม (ช) อลั -มุรอญิอะฮฺ 67 6 ศอฟร 1330 • ขอคาํ อธิบายเกี่ยวกับเรอ่ื งหลกั ฐานการแตงตง้ั ทายาท กลุมนักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺยังไมรูถึงหลักฐานการแตงตั้งทายาท (วะศียะฮฺ) ที่ทาน ศาสดาไดแ ตงตั้งทานอาลีไวสําหรับตําแหนงน้ี ตลอดทั้งกลุมนักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺยังมิเคย ไดมีโอกาสรับรูส่ิงหนึ่งสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องน้ีเลย ดังน้ันขอทานไดโปรดนําหลักฐานตาง ๆ เหลาน้ัน มาเสนอตอ ไปดวย จะเปนพระคณุ อยางย่งิ . วสั ลาม (ซ) อลั -มรุ อญิอะฮฺ 68 9 ศอฟร 1330 • หลกั ฐานตาง ๆ เกย่ี วกบั ฮาดษี ท่วี าดว ยการแตง ต้งั ทายาท หลักฐานตาง ๆ ของฮาดีษที่วาดวยการแตงต้ังทายาทนั้น มีสายสืบที่สอดคลองตรงกันจาก ทางดานของบรรดาอิมามผูสืบเชื้อสายที่บริสุทธิ์ กระแสรายงานตาง ๆ ท่ีนอกเหนือไปจากกลุม

บุคคลเหลานี้คงจะเปนท่ีเพียงพอแกทานได ตามท่ีทานไดผานมาแลวในอัล-มุรอญิอะฮฺที่ 20 นั่นคือ จากคาํ กลาวของทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลูกหลานของทาน) ที่ทานไดกลาวในขณะที่ไดจับตนคอของทานอาลีวา “นี่คือพ่ีนองและทายาท นี่ คือตัวแทน (คอลฟี ะฮฺ) ของฉนั ในหมพู วกทา น ดังน้ันจงเช่ือฟงปฏบิ ตั ิตามเขา” ทานมุฮัมมัด บิน ฮามีด อัรรอซีย ไดรับรายงานมาจากทานสะละมะฮฺ อัล-อับร็อช ซ่ึงไดรับ รายงานมาจากทานอิบนุ อิสหาก ซึ่งไดรับรายงานมาจากทานอาบู เราะอฺบิอะฮฺ อะยาดียซึ่งไดรับ รายงานมาจากทานอิบนุ บุรัยดะฮฺ ที่ไดรับมาจากบิดาของทาน ที่ไดรับฟงมาจากทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจาํ เรญิ และความสนั ตสิ ขุ แดทานและแดบรรดาลกู หลานของ ทาน) วา “สําหรับนบีทุกคนน้ันมีทายาทและผูสืบมรดก แทจริงทายาทและผูสืบมรดกของฉันน้ัน คือ อาลี บิน อาบฏี อลิบ”(303) รายงานโดยทานฏ็อบรอนียในหนังสืออัล-กาบีร โดยมีสายสืบท่ีไปถึงทานซัลมาน ฟาริซีย วา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “แทจริงทายาทของฉันและผูท่ีทําหนาที่รักษาแบบฉบับของ ฉันและบุคคลที่ดีที่สุดภายหลังจากฉัน ผูซึ่งทําหนาที่ชําระพันธะกรณีตาง ๆ ของฉัน และรักษา แนวทางของฉนั น้นั คอื อาลี บนิ อาบีฏอลบิ (ความสันติสขุ พึงมีแดท า น)”(304) น่ีคือหลักฐานที่แสดงถึงเร่ืองการแตงตั้งทายาท และเปนท่ีใหความเขาใจอยางกระจางวา ทา นอาลีเปนบคุ คลทปี่ ระเสรฐิ ท่ีสุดถดั จากทานนบี ซึ่งในประเด็นน้ียอมเปนหลักฐานที่ยืนยันอยางดี ท่ีสุดสําหรับตําแหนงการเปนคอลีฟะฮฺของทาน ซึ่งถือไดวาเปนกฎที่จําเปนในอันจะตองเช่ือฟง ปฏบิ ัตติ ามทาน ซึ่งบรรดาบุคคลผูม ีปญ ญาท้งั หลายยอมไมม ีขอ สงสัยเกีย่ วกบั เรื่องนี้ (303) ฮาดีษบทน้ที านซะฮะบียไดรายงานไวในหมวดทก่ี ลาวถึงเรอื่ งของทานชะรีค หนงั สอื “มีซาน อัล-อิอฺดิดาล” แตทานก็มิไดเช่ือถือโดยอางวา ชะรีคมิไดนํามารายงาน และทาน กลาวอีกวา มุฮัมมัด บิน ฮะมีด อัรรอซียนั้นมิไดเปนคนสําคัญท่ีควรยอมรับ แตอยางไรก็ดี ทานอิมาม อะหมฺ ัด บนิ ฮนั บลั และอิมามอาบูกอลิม อัล-บัฆวีย ทานอิมามอิบนุ ญะรีร ฏ็อบ รีย และทานอิมามญาเราะฮฺ อีกท้ังทานตะดีล อิบนุ มุอีล และบุคคลอ่ืน ๆ จากกลุม นักปราชญทั้งหลาย และตางไดใหความเชื่อถือตอทานมุฮัมมัด ฮะมีด และบุคคลเหลาน้ียัง ไดรับรายงานฮาดีษมาจากเขา ฉะน้ันเขาจึงเปนนักปราชญที่อาวุโสคนหน่ึงและเปนที่ ยอมรบั คนหนึ่งของนักปราชญเหลานั้น ตามที่ทานซะอะบียไดระบุไวในหัวขอที่อธิบายถึง

ชื่อของทานมุฮัมมัด บิน ฮะมีด ในหนังสือ มีซาน เขาเปนนักปราชญที่ไมเคยถูกตําหนิดวย ขอหาวา “หัวรุนแรง” และ “ซีอะฮุ” เลย ความจริงแลวเขาคือบรรพชนของทาน ซะฮะบียฺ จงึ ไมมเี หตุผลใด ๆ ทีจ่ ะตง้ั ขอ หาในฮาดีษน้ี (304) ฮาดีษน้ีเปนฮาดีษท่ี 2570 จากหนังสือ กันซุลอุมาน หนา 155 เลมท่ี 6 และถูกบันทึก อยใู นภาคผนวกของหนังสอื ฮามิช หนา 32 เลมท่ี 5 จากมสุ นดั อะหมฺ ัด ทานอาบู นะอีมก็ไดรายงานฮาดีษอีกบทหนึ่งไวในหนังสือฮุลียะตุล-เอาลิยาอฺ(305) ซ่ึงเปน สายสบื ทเี่ ลามาจากทานอานัสวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวแกฉันวา “อานัสเอย คนแรกท่ีเขาจะเขามาหาเจาทาง ประตูนี้ คืออิมามของผูสํารวมตนจากความช่ัว และเขาคือประมุขของบรรดามุสลิม เขาคือหัวหนา ของบรรดาผูเครงครัดในศาสนา เขาคือทายาทที่สมบูรณที่สุด เขาคือผูนําของผูเครงครัดในวินัยทาง ศาสนา” ทานอานัสนไดกลาวอีกวา “แลวตอมาทานอาลีก็ไดเขามาทางประตูน้ัน “ทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจําเรญิ และความสันติสขุ แดท า นและแดบ รรดาลูกหลานของ ทาน) ไดลุกขึ้นไปตอนรับทานดวยอาการยิ้มแยมแจมใสพรอมกับกอดคอของทานอาลีแลวกลาววา “เจาคือผูทาํ หนา ท่ีดํารงรกั ษาสิ่งตา ง ๆ ของฉัน เจา คอื ผูทําหนาทเ่ี ผยแพรป ากเสียงของฉันใหพวกเขา ทั้งหลายไดยิน และเจาคือผูทําหนาที่อธิบายใหพวกเขาเหลาน้ันเขาใจอยางแจมแจง ในส่ิงท่ีพวกเขา ขดั แยงกันภายหลงั จากฉนั ” ทานฏ็อบรอนียไดรายงานไวในหนังสือ “อัล-กาบีร” ดวยสายสืบที่ไปถึงทานอาบู อัยยูบ ชาวอันศอรซึ่งไดรับรายงานฮาดีษหนึ่งจากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความ จําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ที่ทานไดกลาววา “โอฟาฏิมะฮฺ เอย เจายังไมรูดอกหรือวา อัลลอฮฺผูทรงเดชานุภาพสูงสุดไดทรงทดสอบแกชาวโลกท้ังหลาย ดวย การท่ีพระองคไดทรงเลือกเฟนเอาบิดาของเจาขึ้นมาจากพวกเขาแลวไดแตงตั้งใหเปนนบี หลังจาก น้ันพระองคไดทรงมีขอทดสอบประการที่สอง ดวยการทรงเลือกเฟนผูท่ีจะเปนสามีของเจา ซ่ึง พระองคไ ดท รงมบี ัญชามายงั ฉนั ฉะน้นั ฉนั จงึ ไดจดั การแตง งานเจาใหแกเ ขา และฉันจึงไดรับเอาเขา มาเปนทายาทผสู บื มรดก”(306) (305) หนังสือชะเราฮฺ นะลุ บะลาเฆาะฮฺ หนา 450 เลม 2 และตามท่ีไดเสนอไปแลวในอัล- มรุ อญิอะฮฺท่ี 48

ขอใหทานไดโปรดพิจารณาวา เหตุใดอัลลอฮฺจึงไดทรงเลือกเฟนทานอาลีทามกลาง ชาวโลกทั้งหลาย หลังจากที่พระองคไดทรงเลือกเฟนบุคคลซ่ึงไดทําหนาท่ีศาสดาคนสุดทายของ พระองค และขอไดโ ปรดพิจารณาดูถึงลักษณะการคัดเลือกบุคคลท่ีดํารงตําแหนงทายาทของศาสดา กับลักษณะการคัดเลือกบุคคลที่จะดํารงตําแหนงการเปนนบี อีกทั้งขอทานไดโปรดพิจารณาวา เพราะเหตุใดอัลลอฮฺจึงไดทรงมีบัญชาแกนบีของพระองคเพื่อใหดําเนินการจัดแตงงานใหแกเขา และรับเขาไวเปนทายาท ตลอดทั้งขอใหทานไดโปรดพิจารณาวา บรรดาคอลีฟะฮฺ (ตัวแทน) ของ ศาสดาคนกอน ๆ นั้นหาใชมีข้ึนโดยวิธีอ่ืนไม นอกจากบุคคลผูเปนทายาทของพวกเขาเทาน้ันจะ เปนไปไดหรือ ท่ีวาบาวของอัลลอฮฺจะสามารถเลือกเฟนบุคคลท่ีจะขึ้นมาเปนทายาทของบรรดานบี ของเขาไดดีกวาพระองค หรือดําเนินการแตงตั้งบุคคลอื่นขึ้นมาลํ้าหนาเขาได มันเปนส่ิงท่ีถูกตอง แลวหรือสําหรับประชาชนท่ีจะดําเนินการไปในกฎเกณฑน้ัน ? มันเปนสิ่งท่ีเขากับสติปญญา หรือไมตอการที่จะถอื หลักปฏบิ ตั ิตามขอ กําหนดนน้ั ซึง่ อัลลอฮฺไดทรงเลือกเฟนเขาไวแลวตามที่นบี ของพระองคไ ดเลอื กเฟนเขาเอง ? จะเปน ไปไดอยา งไรกนั สาํ หรบั ในสิ่งที่อัลลอฮฺและศาสนทูตของ พระองค (ศ) ไดทรงเลือกเฟนไวอยางหน่ึงแลว ตอมาพวกเรากัลปทําการเลือกเฟนกันอีกอยางหนึ่ง ขอใหส งั เกตโองการใน อัล-กรุ อาน ท่วี า (306) เปนฮาดีษที่ 2541 หนังสือ กันซุลอุมาน และมีบันทึกในภาคผนวกหนา 31 เลมท่ี 5 หนงั สือมุสนัด อะหมฺ ดั “และไมมีสิทธ์ิสําหรับบรรดาชายผูศรัทธาและหญิงผูศรัทธา ถาในเม่ืออัลลอฮฺและศาสน ทูตของพระองคไดทรงดําเนินการตัดสินกิจการใด ๆ ไปแลว ที่เขาจะเลือกการงานของพวกเขาเอง ได และผูใ ดทฝี่ า ฝน อัลลอฮฺและศาสนทตู ของพระองคแ นนอนเขาไดห ลงผิดอยางชัดแจงท่ีสุด” (อัล- กุรอาน 33 : 36) มีรายงานฮาดีษท่ีบอกเลาอยางสอดคลองตรงกันอีกบทหนึ่งวา มีกลุมผูละเมิดและผูอิจฉา ริษยาจํานวนหนึ่งไดทราบขาววา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) จะจัดการแตงงานระหวางอาลีกับบุตรสาว ของทาน (ฟาฏิมะฮฺ ซะรออฺ) ซึ่งทานหญิงอยูในฐานะเชน ทานมัรยัมและทานหญิงเปนประมุขของ สตรีชาวสวรรค ขาวการแตงงานของทานทั้งสองไดกอใหเกิดมีผูอิจฉาและถือเปนสาเหตุแคนเคือง เน่ืองจากมีบางคนเคยไดสูขอทานหญิงมากอน แตแลวการสูขอของแตละคนก็ไมประสบความ สมหวัง(307) แลวพวกเขาเหลานั้นไดกลาววา “แทจริงสตรีผูประเสริฐน้ีเกียรติยศของนางคูควรกับ

เกียรติยศของอาลี ฉะนั้นจึงไมมีผูใดเทียบเทียมเขาได ไมมีผูใดไดสมปรารถนาในสิ่งท่ีเขาไดสม ปรารถนา” (307) รายงานโดยทา นอบิ นุ อาบูฮาตมิ จากรายงานของทานอานัส ไดกลาววาทานอาบูบักรฺ และทานอมุ รั ตางไดม าสูขอทานหญิงฟาฏิมะฮฺตอทานนบี แตแลวทานนบีก็น่ิงเงียบไมตอบ อยางหนึ่งอยางใดแกคนท้ังสองเลย ดังนั้นบุคคลทั้งสองจึงไปเสนอเรื่องน้ีใหแกทานอาลี (อัล-ฮาดีษ) ไดมีนักปราชญบันทึกเรื่องนี้จากรายงานของทานอิบนุ อาบูฮาติมเปนจํานวน มาก เชน ทานอิบนุ ฮะญัรท่ีไดบันทึกไวในหนังสือ เศาะวาอิก บาบ 11 ทานอะหฺมัดก็ได อางเรื่องน้ีโดยสายสืบของทานอานัก ทานอาบู ดาวูด สะญัสตานียที่ไดระบุวา ทานอาบู บักรฺไดไปสูข อทานหญิงฟาฏิมะฮฺ แตแ ลว ทา นนบีก็ไดปฏิเสธ ตอมาทานอุมัรก็ไปสูขอแตก็ ถกู ปฏเิ สธอีก ดังนนั้ บคุ คลท้ังสองจึงไปแจงใหทานอาลีทําการสูขอ (อัล-ฮาดีษ) ทานอาลียัง ไดรายงานอีกวา ทั้งทานอาบูบักรฺและทานอุมัรไดเคยสูขอทานหญิงฟาฏิมะฮฺ แตทานนบีก็ ไดปฏิเสธคนทั้งสอง แลวทานอุมัรจึงไดกลาววา “อาลีเอยทานคือผูคูควรกับนาง” (รายงาน โดยทานอิบนุ ญะรีร และระบุวาเปนเรื่องที่ศอฮี้ฮฺ) เปนฮาดีษที่ 6007 หนา 392 เลมท่ี 6 หนังสอื กนั ซุลอุมาน ดังนั้นพวกเขาจึงรวมกันสรางความเสื่อมเสียดวยการกระทําหลาย ๆ ประการ เชน พวกเขา ไดสงสตรีกลุมหนึ่งไปยังทานหญิงฟาฏิมะฮฺ (ประมุขของสตรีแหงสากลโลก) แลวใหสตรีกลุมน้ัน กลา วแกท า นหญิงฟาฏิมะฮฺวา “แทจริงอาลีเปนคนยากจนไมมีทรพั ยส มบตั ใิ ด ๆ เลย” แตทวาทานหญิงฟาฏิมะฮฺ (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ก็มิไดประหวั่นพร่ันพรึงกับขอ ตําหนิตาง ๆ จากแผนการของสตรีกลุมนั้นและมิไดแยแสกับแผนการท่ีกลั่นแกลงของบรรดาผูชาย กลุมนั้นและพรอมกันนั้นสตรีกลุมดังกลาวก็ไมสามารถท่ีจะเปล่ียนแปลงความรูสึกของทานหญิง ใหมคี วามรังเกยี จทา นอาลไี ดแตประการใด จนกระท่ังตอมาความประสงคของอัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุ ภาพสูงสุดและความประสงคของทานศาสนทูตแหงพระองค (ศ) ก็ไดเปนท่ีสัมฤทธ์ิผลอยาง สมบูรณ โดยท่ีทานหญิงเองก็มีความประสงคท่ีจะใหเกียรติยศของอามีรุล มุมีนีนมีความบรรเจิดจา เหนือกวาบรรดาคูแขงของเขาที่อัลลอฮฺไดทรงบั่นทอนเกียรติของพวกเขาไป ทานหญิงฟาฏิมะฮฺได กลา วแกท านนบีวา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ สามีของฉันเปนคนยากจนไมมีทรัพยสมบัติอ่ืนใดเลยหรือ ?”

ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทา น) ไดต อบทานหญงิ ฟาฏมิ ะฮฺดว ยคําพดู ตามท่ีทานไดผานมาแลว “เมือ่ อัลลอฮทฺ รงประสงคจ ะสําแดงความประเสริฐแลวไซร ลิ้นของผูอิจฉาริษยาก็ยอมสยบ ลง” ทานคอฏีบไดรายงานไวในหนังสือ “อัล-มุด-ตะฟก” ดวยสายสืบอยางมีระเบียบ จนไปถึง ทานอิบนุ อับบาสวา “เมื่อทานนบี (ศ) ไดจัดการแตงงานทานหญิงฟาฏิมะฮฺกับทานอาลีนั้น ทาน หญิงฟาฏิมะฮฺไดกลาววา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ทานไดจัดการแตงงานฉันกับชายคนจนที่ เขาไมม ีทรัพยส ินใด ๆ” ทานนบี (ศ) ไดกลาววา “เจามิไดภูมิใจดอกหรือวา อัลลอฮฺไดทรงเลือกเฟน บรุ ษุ สองคนจากบรรดาชาวโลก คนหน่ึงนัน้ ไดแ กบ ดิ าของเจา สวนอกี คนหนงึ่ คอื สามีของเจา ”(๓๐๖) ทานฮากิมไดรายงานไวในหมวดที่วาดวยเกียรติยศของทานอาลี หนา ๑๒๙ เลมท่ี ๓ หนงั สอื “มสุ ตัดรอ็ ก” จากสายสบื ของทา นสะรีจญบ นิ ยูนสุ ซง่ึ ไดรับรายงานมาจากอาบู ฮัฟศ็อล-อา บารซ่ึงไดรับรายงานมาจาก “อัล-อะอฺมัช” ซ่ึงไดรับรายงานมาจากอาบู ศอลิหซ่ึงไดรับรายงานมา จาก อาบูฮุร็อยเราะฮฺวา “ทานหญิงฟาฏิมะฮฺไดกลาวแกทานนบีวา” โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ทานไดจัดการแตงงานฉันกับอาลี ท้ัง ๆ ท่ีเขาเปนคนยากจน ท่ีไมมีทรัพยสินใด ๆ นั่นหรือ ?” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “ฟาฏิมะฮฺเอย เจามิไดภูมิใจดอกหรือวา อัลลอฮฺผูทรงเดชานุภาพ สูงสุด ไดทรงสําแดงแกโลกน้ีดวยการท่ีพระองคทรงคัดเลือกบุรุษสองคน คนหนึ่งนั้นไดแกบิดา ของเจา สวนอกี คนหนงึ่ ไดแ กสามขี องเจาเอง” รายงานจากทานอิบนุ อับบาสไดกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวแกทาน หญิงฟาฏิมะฮฺวา “เจามิไดภูมิใจดอกหรือ ที่ฉันไดจัดการแตงงานเจากับมุสลิมคนแรกท่ียอมรับนับ ถือในศาสนาอิสลาม และเปน ผทู ีม่ คี วามรูย่งิ กวาคนใดในหมูพ วกเขา สว นเจา นน้ั แทจ ริงเปน ประมขุ ของสตรีในประชาชาติของฉัน เชนเดียวกับท่ีทานหญิงมัรยัมไดเปนประมุขของสตรีในประชาชาติ ของนาง เจามิไดภูมิใจดอกหรือ โอฟาฏิมะฮฺ ที่อัลลอฮฺไดทรงสําแดงแกชาวโลกท้ังหลายดวยการท่ี พระองคทรงเลือกเฟนบุรุษสองคนขึ้นมาจากพวกเขาทั้งหมด โดยท่ีพระองคไดทรงบันดาลใหคน หนึ่งไดเปนบิดาของเจา และทรงบันดาลใหอ ีกคนหนึง่ ไดเ ปนสามีของเจา ”(๓๐๙) (๓๐๘) ฮาดีษบทน้ีเปน ฮาดีษท่ี ๕๙๙๒ จากหนังสือ “กันซ” หนา ๓๙๑ เลมท่ี ๖ ซ่ึงมีสายสืบ ถูกตอ งทกุ ประการ

ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดอธิบายส่ิงดังกลาวนี้ใหแกท านหญิงผูเปนประมุขของสตรี ท้ังหลาย ดวยการท่ีทานไดพรรณาใหทานหญิงรําลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺและศาสนทูต ของพระองคทม่ี ีตอ ทานหญิง โดยถือวาสามีของทา นหญงิ น้ันยอ มเปนผทู ่ีประเสริฐเหนือประชาชาติ ท้ังมวล ท้ังน้ีก็เพ่ือที่จะไดคูควรกับเกียรติยศของทานหญิงเอง หลักฐานอีกดานหน่ึงท่ียืนยันในเรื่อง นี้ใหเปนท่ีเพียงพอแกทานได ก็คือจากขอความท่ีทานอิมามอะหฺมัดไดบันทึกไวในหนา ๒๖ ของ เลม ท่ี ๕ หนงั สือ “มสุ นดั ” ของทา นวา จากรายงานฮาดีษของทานมะอฺกิล บิน ยาสาร วา “แทจริงทานนบี (ศ) ไดเย่ียมทานหญิง ฟาฏิมะฮฺ เมื่อครั้งที่ทานหญิงปวย ทานนบีไดกลาวแกทานหญิงฟาฏิมะฮฺวา “สุขภาพของเจาเปน อยางไรบาง ?” ทานหญิงตอบวา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ ฉันเศราใจมากรางกายของฉันเจ็บปวด อาการไขของฉันคงจะเปนอีกนาน” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “หรือวาเจายังมิไดภูมิใจท่ีฉันได จัดการแตงงานเจาใหแกคนแรกในประชาชาติของฉันท่เี ขาสอู สิ ลาม ซง่ึ เขาเปน บุคคลท่ีมีความรูมาก ทส่ี ุด และมีสตปิ ญญาดเี ลศิ ท่สี ุดในหมูพวกเขา” เรื่องราวทํานองน้ีมีมากมายจนเกินกวาการท่ีจะนํามาเสนอใหหมดไดในหนังสือ “อัล-มุ รอญิอาต” ของเรา วสั ลาม (ช) (๓๐๙) เปนฮาดีษที่ ๒๕๔๓ หนงั สอื กันซุลอุมาน หนา ๑๕๓ เลม ที่ ๖ ทา นฮากมิ ไดอางจาก รายงานของทา นอบิ นุ อับบาส และอาบู ฮุร็อยเราะฮฺ สวนทานฏ็อบรอนียและทานคอฏีบได รายงานโดยมีสายสืบไปถึงทานอิบนุ อับบาส โปรดพิจารณาดูในบรรทัดที่ ๑ ในภาคผนวก ท่ี ๓๙ เลมท่ี ๕ หนังสือ “มุสนัด อะหฺมัด” ทานอัลลามะฮฺ มุอฺตะสิละฮฺ ไดอางไวในหนา ๔๕๑ หนังสือ ชะเราะฮฺ นุ ุลบะลาเฆาะฮฺ เลม ๒ อกี ดว ย

อลั -มุรอญิอะฮฺ ๖๙ ๑๐ ศอฟร ๑๓๓๐ • หลกั ฐานท่ีคดั คา นฮาดีษทีว่ าดว ย การแตงตงั้ ทายาทผสู บื มรดก กลุมนักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺ วัล-ญะมาอะฮฺไดปฏิเสธหลักฐานที่วาดวยการแตงต้ัง ทายาท โดยมีเหตผุ ลซึง่ เปนขอมลู สําคญั ตามที่ทานบุคอรีไดรายงานไวในหนังสือศอฮี้ฮฺ จากรายงาน ของทานอัสวัดมีคนกลาวแกทานหญิงอาอีชะฮฺ (อัลลอฮฺทรงมีความปติชื่นชมตอนาง) วา “แทจริง ทานนบี (ศ) ไดแตงต้ังใหอาลีเปนทายาทผูสืบมรดก (อัลลอฮฺทรงมีความปติชื่นชมตอเขา)(๓๑๐) ทาน หญิงอาอชี ะฮฺไดกลาววา “ผูใดพูดเชนน้ัน ? แนนอนท่ีสุดฉันไดเห็นทานนบี และตัวฉันไดโนมทาน มาสูทรวงอกของฉัน ทานตองการความชุมชื่นซึ่งฉันก็ไดทําใหทานสบาย แลวทานก็ไดเสียชีวิตไป ฉันไมรูเ ลยวา ทานไดสงั่ เสยี ใหอาลเี ปน ทายาทไดอยางไรกัน?”(๓๑๑) (๓๑๐) ฮาดีษบทน้ีทานบุคอรีไดรายงานไวใน “กีตาบุล-วาศอยา” หนา ๘๓ เลมที่ ๒ หนังสือศอฮ้ีฮฺของทาน และยังไดรายงานไวในบาบท่ีวาดวยเร่ืองการปวยและการวายชนม ของทานนบีหนา ๖๔ เลมที่ ๓ หนังสือศอฮี้ฮของทาน ทานมุสลิม ไดรายงานฮาดีษบทน้ีไว ใน “กีตาบลุ -วะศยี ะฮฺ” หนา ๑๔ เลม ท่ี ๒ หนังสอื ศอฮี้ฮขฺ องทา น (๓๑๑) แนนอนทัง้ ทานบคุ อรีและมุสลิมตางก็รูถึงฮาดีษท่ีวาดวยเร่ืองการแตงต้ังทายาทของ ทานนบีท่ีสั่งไวแกทานอาลี แตทานท้ังสองไมประสงคท่ีจะบันทึก เพราะวาผูท่ีรายงานฮา ดษี ที่แตง ทานบุคอรีไดรายงานไวในหนังสือศอฮี้ฮฺของทานไวอีกบทหน่ึง ซ่ึงเปนฮาดีษท่ีมาจาก สายสืบหลายกระแสวา ทานหญิงอาอีชะฮฺไดกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดวายชนมตรงท่ี ระหวา งแกมและคางของฉัน” อีกหลายฮาดีษท่ีทานหญิงอาอีชะฮฺกลาววา “ทานศาสนทูตไดวายชนมระหวางอกและคอ ของฉัน” บางครั้งทานหญิงอาอีชะฮฺก็กลาววา “ตัวของทานและศีรษะของทานไดตกมาทับท่ีขาของ ฉนั ”(๓๑๒) ฉะน้ันถาหากวา มเี ร่ืองของการแตงต้งั ทายาทจริงแลว ทาํ ไมทา นหญิงอาอชิ ะฮฺ จึงไมรบู าง

รายงานของทานหญิงอาอีชะฮฺอีกบทหนึ่งในหนังสือศอฮี้ฮฺมุสลิม(๓๑๓) ไดกลาววา “ทานศา สนทูตแหง อลั ลอฮฺ (ศ) มิไดท ิ้งมรดกที่ ตั้งอาลีใหเปนทายาทในสมัยน้ัน จะไมเปนที่ถูกยอมรับ เพราะวาทั้งศอฮาบะฮฺ และดาบิอีน ท่ีไดทําการเปดเผยเร่ืองน้ี มักจะถูกขอ หาวา ลบหลูมารดาของศรัทธาชนและเปนปรปกษกับ ฝายปกครองในสมัยของตนมาแลว เพราะเหตุวาทานหญิงมีสวนพัวพันอยูในฝายปกครอง ทานอิมามซะนาดียไดกลาวถึงฮาดีษบทนี้จาก สุนัน นาสาอีย ไวในหนังสือ ตะอลีค หนา ๒๔๑ เลมท่ี ๖ วาแนนอนที่สุดเร่ืองน้ีมิไดหมายความวา จะไมมีการแตงต้ังผูเปนทายาท กอน จากนั้น และการเสียชีวิตของทานศาสนทูตก็มิใชบังเกิดขึ้นอยางกระทันหันจนไมทัน ท่ีจะไดส่ังเสียในเร่ืองของทายาท จะเปนไปไดอยางไรกัน เพราะทานเองก็รูตัวอยูกอนแลว วา ทานใกลที่จะถึงวาระสุดทายของทานมากอนท่ีทานจะลมปวย และทานก็ปวยอยูเปน เวลาหลายวัน ในตอนทายหนังสือเลมนี้ระบุตอไปอีกวา ขอใหทานทั้งหลายพิจารณาใหถี่ ถว นเถดิ แลวจะเหน็ แงมุมที่สําคญั เกยี่ วกับเรื่องนอ้ี ย”ู (๓๑๒) ทานหญิงอาอีชะฮฺไดกลาววา “ทานนบีไดเสียชีวิตตรงที่ระหวางแกมและคางของ ฉัน” บางคร้ังทานก็กลาววา “ทานนบีเสียชีวิตระหวางทรวงอกและตนคอของฉัน” ซึ่งเปน ขอความท่ีปรากฏอยูในบาบท่ีวาดวย “เร่ืองการปวยและการวายชนมของทานนบี (ศ)” หนังสือศอฮีฮ้ ฺ บคุ อรเี ก่ยี วกับคํากลาวของทา นหญงิ ที่วา ทานไดลมตัวและศีรษะของทานลง บนขาของฉันมีปรากฏอยูในบาบที่ถัดไปหลังจากบาบที่วาดวย “การปวยและการเสียชีวิต” ซ่ึงเปนขอ ความท่ีไมแนน อน (๓๑๓) โปรดดูหนงั สอื ศอฮี้ฮฺมสุ ลิม “กติ าบลุ -วะศยี ะฮฺ” หรอื หนา ๑๔ เลม ท่ี ๒ เปนเงินทอง และไมมีแพะแกะและไมมีคําสั่งเสียใด ๆ ทั้งส้ิน” และในหนังสือศอฮ้ีฮฺทั้งสองเลม(314) มีระบุอีกวา จากรายงานของทานฎ็อลฮะฮฺ บิน มุศ็อดร็อบไดกลาววา “ฉันไดถามทานอับดุลลอฮฺ บิน อาบู เอาฟาอูวา “ทานนบี (ศ) ไดมีการแตงต้ังทายาทหรือไม ?” ทานตอบวา “ไม” ฉันไดกลาวอีกวา “ทําไมทานสั่งสอนใหประชาชนแตงต้ังทายาท แตแลวทานเองละท้ิงในสิ่งน้ี” ทานอับดุลลอฮฺได ตอบวา “ทายาทของทานคอื พระคัมภีรของอลั ลอฮ”ฺ เปนอันวาในขณะที่บรรดาฮาดีษตาง ๆ เหลาน้ีมีสายสืบที่ถูกตองย่ิงกวาบรรดาฮาดีษตาง ๆ ซ่ึงทานไดนํามาเสนอไปแลว ทั้งนี้เน่ืองจากวา ฮาดีษเหลานี้มีบันทึกอยูในหนังสือศอฮี้ฮฺบุคอรีและ

มุสลิม ซ่ึงไมเหมือนกันกับฮาดีษตาง ๆ ของทานท่ีไดนํามาเสนอกอนหนาน้ี และฮาดีษตาง ๆ เหลา น้นั ลวนมขี อ บกพรอง วัสลาม (ซ) (314) โปรดดู “กิตาบุล-วะศอยา” ของหนังสือศอฮี้ฮทฺ ้ังสองเลม อลั -มุรอญิอะฮฺ 70 11 ศอฟร 1330 1. ไมม คี าํ คัดคานใดทสี่ ามารถลบลางหลกั ฐานที่วา ดว ยเรื่องการแตงตั้งทายาทได 2. สาเหตทุ มี่ ีการขดั แยงในเรื่องน้ี 3. ผูคดั คา นมิไดม ีขอ มูลที่เปน ขอพสิ จู นตามสิ่งทพ่ี วกเขาไดร ายงานกนั 4. สตปิ ญญาและสภาพความเปนจริงสามารถพิจารณาตดั สนิ เร่ืองน้ไี ด 1. การที่ทานนบี (ศ) ไดแตงตั้งใหทานอาลีเปนทายาทน้ันเปนความจริงท่ีขอมูลใด ๆ ก็ไม สามารถมาทําการลบลางได เปนเร่ืองที่ไมมีขอสงสัยกันแตประการใดสําหรับในประเด็นที่วา ทา นนบีไดมอบหมายพันธะตาง ๆ ใหแกทานอาลี ไมวาในเร่ืองของการท่ีทานไดมอบหมายใหทาน อาลีเปนผูสืบมรดกทางดานวิชาการและวิทยปญญาตาง ๆ(315) ไมวาในเรื่องของการส่ังเสียใหทาน อาลีเปนผูทําการอาบนํ้ามัยยิดใหแกทาน ใหทําหนาท่ีจัดแตงมัยยิดของทาน และใหทานอาลีทํา หนาที่จัดการฝงมัยยิดของทาน(316) อีกทั้งใหทานอาลีเปนผูทะนุบํารุงศาสนาของทาน และใหทาน อาลเี ปน ผทู ําหนา ที่ชาํ ระสะสางพันธะสญั ญาตา ง ๆ และใหทา นอาลที าํ การลบลางความมลทินตาง ๆ (317) (315) ขอใหทานไดยอนพิจารณาดูที่ อัล-มุรอญิอะฮฺ 66 แลวทานจะทราบวา ทานศาสนทูต แหงอลั ลอฮฺ (ศ) ไดด ําเนนิ การแตง ตง้ั หนาที่การสืบทอดมรดกของส่ิงเหลานใี้ หแกทา นอาลี (316) ทานอิบนุ สะอัดไดรายงานฮาดีษบทน้ีไวในหนา 61 ภาคที่ 2 เลมท่ี 2 หนังสือ ฏอบา กอตซึ่งเปนรายงานจากทานอาลีท่ีไดกลาววา “ทานนบีไดสั่งเสียไววา มิใหผูใดทําการ อาบนํ้ามัยยิตของทานนอกจากฉัน” ทานอาบูชัยค และทานอิบนุ นัจญารไดรายงานดังที่

ปรากฏอยใู นหนา 54 เลม ที่ 3 หนังสือกันซุลอุมานซ่ึงเปนรายงานของทานอาลีที่ไดกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดส่ังเสียแกฉันวา เม่ือฉันถึงแกวายชนม ดังน้ันเจาจง อาบนํา้ ใหแกฉ ัน” ทานอิบนุสะอัดไดรายงานไวในเร่ืองของการอาบน้ํามัยยิตใหแกทานนบี (ศ) ตามท่ีมีปรากฏอยูในหนา 63 ภาคท่ี 2 เลมท่ี 2 หนังสือ “ฏอบากอต” ซึ่งเปนรายงานที่ ทานอับดุล วาฮิด บิน อาบู อิวานะฮฺไดกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดกลาวไวใน ครั้งที่ทานปวยจนถึงแกการวายชนมในครั้งนั้นวา “อาลีเอย เม่ือฉันวายชนม เจาจงอาบนํ้า ใหแกฉันดวย” ทานอาลีไดกลาววา “ฉะนั้นฉันจึงอาบนํ้าใหแกทาน แลวก็ไมมีผูใดท่ีจะ เขา ถึงตวั ของทาน ยกเวนผูท่ไี ดติดตามฉนั ” ทา นฮากมิ ไดร ายงานไวในหนา 59 เลมท่ี 3 ของ หนังสือ “มุสตัดร็อก” อีกท้ังทานซะฮะบียก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “ตัลคีศ” ของทานดวย โดยที่บุคคลทั้งสองไดยืนยันวาเปนเร่ืองท่ีศอฮ้ีฮฺ ตามสายสืบท่ีมีไปถึงทานอาลี ซ่ึงทานได กลาววา “ฉันไดอาบน้ําใหแกทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺฉันไดพิจารณาดูส่ิงตาง ๆ ของ มัยยิต ฉันมิไดเห็นวาส่ิงน้ัน ๆ จะเปนอยางอื่น ทานเปนบุคคลท่ีประเสริฐท้ังในขณะที่มี ชีวิตและในขณะท่ีวายชนม” ฮาดีษบทนี้ทานสะอีด บิน มันศูรยังไดรายงานไวในหนังสือ สุนันของทานดวย ทานมะรูซียไดบันทึกไวในหนังสือญะนาอิซ ทานอาบูดาวูดก็ไดบันทึก ไวในหนังสือ “มะรอสีล” ทาน อิบนุ มุนีย และ ทานอิบนุ อาบูชัยบะฮฺก็ไดบันทึกไวใน หนังสือ สุนันของทานดวย เปนฮาดษท่ี 1094 ในหนา 54 เลมท่ี 4 หนังสือกันซ ทานบัย ฮะกียไดรายงานไวในหนังสือสุนันของทาน โดยไดอางคําบอกเลามาจากทานอับดุลลอฮฺ บิน ฮาริษวา แทจริงทานอาลีไดอาบนํ้าใหแกทานนบีและบนรางของทานนบีนั้นมีเส้ืออยู ตวั หน่งึ ” (อัล-ฮาดษี ) และอีกฮาดีษหนึง่ ก็คอื ฮาดีษที่ 1104 หนา 55 เลมท่ี 3 หนังสือ “กันซ” จากรายงานของทาน อิบนุ อับบาส ไดกลาววา “แทจริงสําหรับอาลีน้ันมีสิ่งพิเศษอยู 4 ประการ ซึ่งไมมีผูใดเสมอเหมือนเขาแมแตคนเดียว นั่นคือเขาเปนบุคคลแรกที่ไดนมาซ พรอมกับทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ เขาเปนผูซ่ึงติดตามทานนบีในยามอุปสรรคทุกครั้ง คราว เขาเปนผูซึ่งมีความอดกล้ันในการอยูรวมกับทานนบี ในขณะท่ีคนอ่ืนพากันผละหนี และเขาเปนผูซึ่งทําหนาท่ีอาบนํ้ามัยยิตของทานนบี และนําทานนบีลงสูในหลุมสุสานของ ทาน” ทานอิบนุ อับดุลบัรไดรายงานไวในหัวขอเรื่องท่ีอธิบายถึงทานอาลีในหนังสือ “อัล- อิสตีอาบ” อีกบทหนึ่ง และทานฮากิมก็ไดบันทึกไวในหนา 111 เลมที่ 3 หนังสือ “มุสตัด

รอ็ ก” ไวดว ย ซ่ึงเปนรายงานจากทานอาบู สะอีด อลั -คตุ รยี  วา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺได กลา ววา “โออาลเี อย ขอใหเจาทาํ หนา ท่อี าบน้าํ มยั ยติ ใหแกฉ ัน ขอใหเ จาดํารง รักษาหนาท่ีเกี่ยวกับศาสนาของฉัน และขอใหเจาจงเปนผูนํารางของฉันลงสูในหลุมสุสาน ของฉันดวย” ฮาดีษน้ีรายงานโดยทานดัยละมียและเปนฮาดีษที่ 2583 หนา 155 เลมท่ี 6 หนังสือ “กันซ” และทานอุมัรไดเลารายงานฮาดีษบทหน่ึงเกี่ยวกับคํากลาวท่ีทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺไดพูดกับทานอาลีวา เจาคือผูอาบนํ้ามัยยิต และผูทําหนาท่ีจัดการฝงมัยยิตของ ฉัน (อัล-ฮาดีษ) ในหนา 393 เลมที่ 6 ของหนังสือ “กันซ” และในภาคผนวกในหนา 45 เลม ท่ี 5 จากหนังสือ “มุสนัดอะหฺมัด” ซึ่งเปนรายงานจากทานอาลีท่ีกลาววา “ฉันไดยินทานศา สนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดพูดวา “ฉันไดรับเรื่องราวท่ีสําคัญเก่ียวกับตัวของอาลี 5 ประการ นั่นคือส่ิงที่ไมมีนบีคนใดที่มากอนฉันจะไดรับมากอน ประการท่ีหนึ่งน้ันคือ เขาเปน ผูดําเนินการพิทักษรักษาศาสนาของฉันใหอยูยง และอีกประการหน่ึง เขาเปนผูนําฉันลง ไปสูหลุมสุสาน” ฮาดีษท่ีหน่ึงในหนา 403 เลมที่ 6 หนังสือ “กันซ” ไดกลาวถึงตอนท่ีทาน อาลีไดวางรางของทานศาสนทูตลงบนท่ีนอน และประชาชนตางก็มีความประสงคจะทํา การนมาซใหแกทานศาสนทูต (ศ) ทานอาลีจึงไดกลาวข้ึนวา “อยาใหมีใครเปนอิมามของ ทานรอซูลุลลอฮแฺ มแตค นเดียว เขาคืออิมาม (ผูนํา) ทั้งในขณะท่ีมีชีวิตและขณะที่วายชนม” ฉะน้ันประชาชนจึงไดเขามาหาทานศาสนทูตเรื่อย ๆ โดยพวกเขาไดทําการนมาซเปนแถว ๆ โดยท่ีไมมีอิมาม พวกเขาไดทําการกลาวตักบีร สวนทานอาลีน้ันไดยืนประจําที่ของ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺแลวกลาววา “ความสันติสุข ความเมตตา และความจําเริญ ของอัลลอฮฺ พึงมีแดทานโอทานนบี โออัลลอฮฺ แทจริงเราขอยืนยันวา ทานนบีไดทําหนาที่ ประกาศสิ่งตาง ๆ ท่ีพระองคไดประทานยังทานแลวและทานไดทําการส่ังสอนประชาชาติ ของทานแลว และทานไดทําการตอสูเสียสละในหนทางของอัลลอฮฺ จนกระทั่งอัลลอฮฺ ผู ทรงเดชานุภาพสูงสุด ไดทรงทําใหศาสนาของพระองคมีพลานุภาพอีกทั้งพจนารถตาง ๆ ของพระองคไดเปนท่ีสมบูรณ โออัลลอฮฺ ขอไดทรงทําใหเราไดเปนผูปฏิบัติตาม สิ่ง ที่อัลลอฮฺไดทรงประทานมายังทาน และขอพระองคไดทรงใหพวกเราไดยืนหยัดอยูอยาง มั่นคงภายหลังจากทาน และขอพระองคไดทรงรวมพวกเรากับทานใหเขาดวยกันเถิด” ประชาชนทั้งหลายตางไดกลาววา “อามนี อามนี ” ตอมาผูชายก็ไดทําการนมาซใหแกทานน บี หลังจากนั้นก็เปนการนมาซของเด็ก เนื้อความตามประโยคน้ีเราไดเสนอมาจากรายงาน

ตามท่ีทานอิบนุ สะอัดไดบันทึกไวเก่ียวกับเรื่องการอาบน้ํามัยยิตใหทานนบีในหนังสือ “อัฏ ฏอบากอต” และมีบันทึกอีกวา พวกที่เขาไปจัดการกับมัยยิตของทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺในวันน้ันไดแ กพวกบะนี ฮาชิม หลงั จากนั้นก็ไดแก พวกมุฮาญิรีน ถัดจากนั้นก็ เปนชาวอันศอร แลวหลังจากนั้นก็เปนประชาชนทั่วไป สวนบุคคลแรกที่ทําการนมาซ มัยยิตใหแกทานนบีคือทานอาลี ตอมาก็เปนทานอับบาส คนทั้งสองไดยืนแถวเดียวกันและ ทําการตักบีร 5 คร้งั (317) เรื่องราวเก่ียวกับขอความตอนน้ี มีสายสืบที่สอดคลองตรงกันทุกประการ จาก ทางดานรายงานของบรรดาอิมามผูสืบเชื้อสายที่บริสุทธ์ิ แตสําหรับทานขอใหพิจารณา ตามท่ีทานฎ็อบรอนียไดรายงานไวในหนังสือ “อัล-กะบีร” ซึ่งเปนสายสืบท่ีรายงานมาจาก ทานอิบนุ อุมัร และในมุสนัดของทานอะบูยะอฺลา จากรายงานท่ีไดมาจากทานอาลี คําพูด ในประโยคฮาดีษที่ทานนบีไดกลาวน้ันคือ “...โอ อาลี เจาเปนพ่ีนอง เจาเปนผูรวมภารกิจ เจาเปน ผดู าํ เนินกิจการศาสนา เจา เปน ผทู าํ ใหข อ สัญญาตา ง ๆ ของฉนั ไดส มั ฤทธิ์ผล และเจา เปนผูทําใหความผิดพลาดของฉันไดหมดส้ินไป “ฮาดีษบทน้ี ทานสามารถที่จะพบไดใน หนา 155 ภาคที่ 6 หนังสือกันซุล อุมาน โดยที่มีสายสืบไปถึงทานอิบนุอุมัร และอีกแหง หน่ึงทานสามารถที่จะพบได คือในหนา 404 ภาคที่ 6 ซึ่งมีรายงานไปถึงทานอาลี ทานบูศี รียไดนาํ ตวั บทน้ไี ปบันทึกแลวรายงานวา เปนเร่ืองท่ีมีสายสืบแข็งแรง นอกจากนี้ ทานมัรดุ วียะฮฺ และทาน อัด-ดัยละมี ก็ไดบันทึกไวเชนกัน ตามที่ปรากฏอยูในหนา 155 ภาคที่ 6 หนังสือ “กันซ” ซ่ึงเปนสายสืบที่รายงานมาจากทานซัลมาน อัล-ฟรซียวา ทานศาสนทูต แหง อัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาววา อาลี บนิ อาบฏี อลบิ นัน้ เปนผูทาํ ใหพ นั ธะของฉันไดส ัมฤทธผ์ิ ล เปนผูดําเนินการตอกิจการศาสนาของฉัน” ทานบัซซารไดบันทึกไวในหนา 133 ภาคท่ี 6 หนงั สอื “กนั ซ” จากรายงานของทา นอานสั ในทํานองเดยี วกนั นี้ ทานอิมามอะหฺมัด บิน ฮัม บัล ก็ไดบันทึกไวในหนา 164 ภาคที่ 4 หนังสือ “มุสนัด” ซึ่งเปนรายงานมาจากทานฮับชีย บิน ุนาดะฮฺ วา ฉันไดยินทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดกลาววา ศาสนาของฉันไมอาจ ดําเนินการไปได นอกจากตองมีฉันและอาลี รายงานโดยทานอิบนุมัรดุวียะฮฺ เชนเดียวกัน ในหนา 401 ภาคที่ 6 จากคําบอกเลาของทานอาลีวาเม่ือตอนที่โองการ “และเจาจงตักเตือน บรรดาญาติผูใกลชิดของเจา” ถูกประทานลงมานั้น ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาว วา “อาลีเปนผูดําเนินกิจการแหงศาสนาของฉันและเปนผูทําใหขอสัญญาพันธะของฉันได

สัมฤทธิ์ผล” และทานสะอัดไดกลาววา “ฉันไดยินทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) พูดในวัน แหงอัล-ุหฺฟะฮฺ ขณะท่ีทานจับมือของทานอาลีแลวทานไดกลาวเทศนากลาวคําสรรเสริญ อัลลอฮฺ แลวหลังจากน้ันทานไดกลาววา “โอบรรดาประชาชนเอยแทจริง ฉันคือผูปกครอง ของพวกทาน” บรรดาประชาชนทั้งหลายก็กลาววา “ทานไดกลาวความถูกตองแลว โอ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ” หลังจากน้ันทานก็ไดยกมือของทานอาลีขึ้นแลวกลาววา “น่ีคือ ผปู กครอง และผูทจ่ี ะทาํ หนา ทีด่ ําเนนิ ศาสนาสืบตอ ภายหลังจากฉัน” (อัล-ฮาดษี ) ซึ่งทานได ผานมาแลวในตอนทายของ อัล-มุรอญิอะฮฺที่ 54 ทานอับดุรเราะซากก็ไดรายงายไวใน หนังสือญามิอฺของทานซ่ึงเปนรายงานที่ทานมุอัมมัรไดรับจากทานเกาะตาดะฮฺ วา “แทจริง อาลีเปนผูทําหนาท่ีดําเนินกิจศาสนาในดานตาง ๆ ของทานนบี ภายหลังจากทานไดวาย ชนมโดยท่ีมีเงินเพ่ือใชในการนี้ถึง 50,000 ดิรฮัม” มีผูถามทานอับดุรเราะซากวา “แลว ทานนบีไดส่ังเสียใหทานอาลีเปนผูดําเนินการดวยเงินจํานวนนั้นหรือ ?” ทานตอบวา “ใช แลว ถามิฉะน้ันทา นจะใหท า นอาลดี าํ เนินกจิ การทางศาสนาไดอยางไร” เรอ่ื ง ทานนบีไดใหทานอาลีเปนผูทําหนาที่อธิบายเร่ืองราวตาง ๆ ใหชัดแจงแกประชาชนภาย หลงั จากทา น ในกรณีที่พวกเขามีการขัดแยงกัน ไมวาในเร่ืองใด(318)จากบทบัญญัติตาง ๆ ของอัลลอ ฮฺและทานไดเสนอพันธะใหทานอาลีเปนผูปกครองประชาชาตินี้ภายหลังจากทาน(319) ใหทานอาลี เปนพ่ีนองของทาน(320) และเปนบิดาแหงบุตรของทาน(321) และทานไดใหทานอาลีเปนผูรวมรับ ภารกจิ ของทาน(322) อีกทงั้ ทา นยังใหท า นอาลี อยใู นฐานะทป่ี รึกษาเงียบ ๆ ของทาน(323) นี้หนงั สอื “กนั ซ” กไ็ ดรวบรวมเชน กนั ในหนา 60 ภาคท่ี 4 ฮาดีษท่ี 1170 (318) รายละเอียดตาง ๆ ของฮาดีษที่เก่ียวกับเร่ืองนี้มีอยางชัดเจนวา ทานนบี (ศ) ไดมอบ พันธะหนาท่ีใหทานอาลี เปนผูทําการอธิบายกิจการตาง ๆ ในเร่ืองที่ขัดแยงกันของบรรดา ประชาชาติ ภายหลังจากทาน ทานสามารถพิจารณาจนเพียงพอแกการเขาใจได ในฮาดีษที่ 11 และ ฮาดีษท่ี 12 ของอัล-มุรอญิอะฮฺที่ 48 นอกจากน้ันแลวก็ยังมีตรงที่อื่น ๆ อีกหลาย แหง (319) ทานไดผ า นมาแลว ในอัล-มรุ อญิอะฮทฺ ี่ 36 และ อัล-มุรอญอิ ะฮฺท่ี 40,54,56 (320) เรื่องราวของการประกาศความเปนพี่นองของทานนบีกับทายาทนั้นเปนเรื่องราวท่ีมี สายสบื สอดคลองตองกนั (มตุ ะวาดิร) ทา นสามารถพบกับหลักฐานที่แข็งแรงของเรื่องน้ีได ตามท่เี ราไดเ สนอไปแลว ใน อลั -มุรอญิอะฮทฺ ่ี 32 และ อลั -มรุ อญิอะฮฺท่ี 34

(321) ความหมายท่ีวาเปนบิดาแหงบุตรของทานศาสดาน้ัน เปนที่รูกันในเชิงของสภาพ ความเปนจริง ดังที่ทาน (ศ) ไดเคยกลาวแกทานอาลีวา “เจาคือ พี่นองของฉัน และบิดาแหง บุตรของฉัน เจาไดพลีชีพตามแนวทาง (ซุนนะฮฺ) ของฉัน (อัล-ฮาดีษ) ทานอะบูยะอฺลาได รายงานเร่ืองน้ีใน มุสนัดของทาน ตามที่มีปรากฏอยูในหนา 404 ภาคท่ี 6 หนังสือกันซุลอุ มาน ซ่ึงเรื่องนี้มีหลักฐานยืนยันที่แข็งแรงตามท่ีทานบูศีรียไดระบุไว นอกจากนี้ทานอิ มามอะหฺมัด ก็ยังไดบันทึกไวในหนังสือ อัล-มุนากิบอีกดวย และเชนเดียวกันนี้ก็ยังมีอยูใน ตอนทายของภาคที่ 2 บาบที่ 9 หนา 75 ของหนังสือ ศอวาอิก อัล-มุฮัรรอเกาะฮฺ โดยท่ี ทานอิบนุฮะญัร ซ่ึงมีฮาดีษของทาน (ศ) ไดกลาววา “แทจริงอัลลอฮฺไดทรงกําหนดใหเชื้อ สายของนบีทุกคนอยูในกระดูกสันหลังของเขาเอง แตพระองคทรงกําหนดใหเชื้อสายของ ฉันอยูในกระดูกสันหลังของอาลี” ทานฏ็อบรอนียไดรายงานไวในหนังสือ “อัล-กะบีร” โดยรายงานมาจากทานญาบิร ทานคอฏีบไดบันทึกไวในหนังสือ “ตารีค” ของทาน โดย รายงานมาจากทานอิบนุอับบาส และเปนฮาดีษท่ี 2510 หนา 152 ภาคท่ี 6 ซึ่งเปนฮาดีษที่ ทาน (ศ) ไดกลาววา “บุตรของลูกหญิงนั้นมักจะโนมไปตามชาติพันธุของพวกเขาฝายบิดา นอกจากบุตรของฟาฏิมะฮฺซ่ึงฉันเปนผูควบคุมที่ใกลชิดของพวกเขา ฉะนั้นฉันจึงเปนชาติ พันธของพวกเขา และเปนเสมือนบิดาของพวกเขา” ทานฏ็อบรอนียไดบันทึกตามรายงาน ของทานซะฮฺรออฺเปนฮาดีษที่ 22 ที่ทานอิบนุฮะญัรไดอางไวในภาคท่ี 2 บาบท่ี 11 หนังสือ “ศอวาอิก” หนา 112 อีกเชนกันทท่ี าน ฏอบรอนียไดบันทึกตามรายงานของทานอิบนุอุมัร ดังท่ีปรากฏอยูในหนาเดียวกัน ทาน ฮากิมก็ไดบันทึกไวอยางเดียวกันในหนา 164 ภาคท่ี 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” รายงานโดย ทา นญาบริ หลังจากนน้ั ทา นไดบ ันทึกวา น่คี อื ฮาดษี ที่มีสายสืบอยางถูกตอ ง (ศอฮฮี้ )ฺ แตทา น บุคอรีและทา นมุสลมิ มิไดบันทึก และจากในบันทึกของทานฮากิมในหนังสือ “มุสตัดร็อก” นี้ และบันทึกของทานซะฮะบียในหนังสือ ตัลคีสไดอางฮาดีษอีกบทหนึ่งวา ทาน (ศ) ได กลาววา “โออาลี เจามิใชหรือท่ีเปนท้ังพี่นองของฉัน และเปนบิดาแหงบุตรของฉัน....” รายงานทํานองน้ยี ังมอี กี มากมาย (322) รายละเอียดของเรื่องการมีผูรวมภารกิจน้ีทานสามารถท่ีจะพิจารณาไดอยางเพียงพอ กบั คาํ กลา วของทานศาสนทูต (ศ) ที่วา “เจากับฉันอยูในฐานะของฮารูนที่มีตอมูซาดังเชนที่ เราไดทําการอธิบายใหทานอยางละเอียดไปแลวใน อัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 26 และท่ีอื่น ๆ อีกทั้ง

ฮาดษี ทร่ี ะบถุ งึ เหตกุ ารณใ นตอนแระกาศเตือนคนในครอบครวั ท่วี า “ฉะน้ันในหมูพวกทาน จะมีผูใดบางที่จะรวมภารกิจของฉัน” ซ่ึงทานอาลีก็ไดกลาววา “โอทานรอซูลุลอฮฺ ฉันเอง ฉันจะเปนผูรวมภารกิจของทานเกี่ยวกับการน้ัน” เรื่องน้ีทานก็ไดอานผานมาแลว ในอัล-มุ รอญิอะฮฺที่ 20 มีบทกวีของทานบูศีรียที่ไดประพันธข้ึนเพื่อสดุดีเร่ืองน้ีในหนังสือของทาน วา.... “บตุ รแหงลุงทา นไดร ว มภารกิจ อยูสนิทในตาํ แหนง อันสูงสง เปนทัง้ พวกเพ่อื นพองทีม่ ่ันคง ชวยดาํ รงหลักการศานติธรรม ทานมิเพียงแตเ ปดมานแหง ความมดื ยังชว ยยืดความศรทั ธากลา วสูงลาํ้ เปนดจุ แสงสรุ ยี ค ล่สี ารธรรม แหวกมา นดําเปด ฝาดวงกมล” (323) บรรดาประชาชาติอิสลามท้ังผองตางไดลงมติเปนเสียงเดียวกันแลววา สําหรับใน (อัล-กรุ อาน) ของอลั ลอฮฺนั้น ไมม ีใครที่ถูกกลาวถงึ ผลงานมากเสมอเหมือนทา นอาลแี ละไม มใี ครแมแ ตคนเดียวที่จะสามารถทําไดจนถึงวันกียามัตน่ันคือ โองการท่ีเก่ียวกับการซุบซิบ ในซูเราะฮฺ “อัล-มุญาคะละฮฺ” ซ่ึงเปรียบเทียบสิ่งนี้ระหวางพฤติกรรมของผูอยูในฐานะปย มิตรของทานศาสดากับศัตรูของทานศาสดา กลุมนักปราชญไดทําการบันทึกเรื่องน้ีโดย ละเอียดตามหลักฐานท่ีถูกตอง (ศอฮี้ฮฺ) ซ่ึงวางอยูบนเงื่อนไขอยางเดียวกับบุคอรี-มุสลิม เพื่อจําแนกบุคคลท่ีประเสริฐกับบุคคลท่ีไมมีคุณธรรม ทานสามารถพิจารณาเร่ืองน้ีไดใน หนังสือ “มสุ ตดั ร็อก” ภาคท่ี 2 หนา 482 ของทา นฮากมิ และทานซะฮะบยี ก ไ็ ดบ นั ทึกเร่อื งนี้ ในหนังสือ “ตัลคีส” สําหรับทานขอใหเ ปด ดใู นหนังสอื ตัฟสรี ตาง ๆ ทอ่ี ธิบายโองการนี้เชน ตฟั สรี ษะอละบยี  ตฟั สรี ของทา นฏ็อบรีย ตัฟสีรของทา นซะยูฎยี  ตฟั สรี ของทานซะมัคชะรีย ตัฟสีรของทานอัร-รอซีย และในหนังสือตัฟสีร อื่น ๆ ทาน (ผูอาน) จะไดพบเรื่องน้ีในอัล- มุรอญิอะฮฺท่ี 74 โดยฮาดีษของทานหญิงอุมมุ สะละมะฮฺ และทานอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร ใน การสนทนาลับ เปนมิตร(324) ทายาท(325) ประตขู องนครแหงวชิ าความร(ู 326) ประตบู า นแหง วทิ ยปญ ญา(327) ประตแู หง ความเมตตาของประชาชาติน(ี้ 328)

เปนหลกั ประกันความปลอดภยั เปนนาวาท่ยี งั ความปลอดภยั (329) การเชือ่ ฟง ปฏิบัตติ ามคําสงั่ สอนของ ทานอาลีถือเปน หนาท่ีทจี่ ําเปน เชนเดียวกับ การปฏิบัติ ตามคาํ ส่ังของทานนบแี หง อลั ลอฮฺ การฝาฝน คําส่ังใด ๆ ของทานอาลี มีคาเหมือนกับการฝาฝนคําส่ัง ของทานนบี(330) การติดตามแนวทางของทานอาลีเหมือนกับการติดตามแนวทางของทานนบี (ศ) และการแตกแยกกับทานอาลีมีคาเหมือนกันกับการแตกแยกกับทานนบี(331) แทจริงทานนบีจะให การยอมรับตอผูที่ยอมรับทานอาลี และจะตอตานผูท่ีตอตานทานอาลี(332) ทานจะเปนมิตรกับผูท่ี จงรักภกั ดีตอ ทานอาลี และทานจะเปนศัตรูของผูที่เปนศัตรูของทานอาลี(333) และผูใดท่ีรักทานอาลีก็ เทากับรักอัลลอฮฺ และศาสนทูตของพระองค และผูใดที่โกรธเขาก็เทากับโกรธอัลลอฮฺ และศาสน ทูตของพระองค(334) ผูใดท่ีใหความจงรักตอเขาเทากับใหความจงรักตออัลลอฮฺ และรอซูล(335) ผูใดที่ เปน ศตั รูของทาน กเ็ ทากับเปน ศัตรขู องอลั ลอฮฺและรอซูลเชน กนั ผใู ดทาํ รายเขาเทากับทํารายอัลลอฮฺ และรอซลู (336) ระหวางทานนบีและทานอาลี ในตอนที่ทานใกลถึงวาระวายชนม และครั้งหน่ึงท่ีบงชี้ถึง การสนทนาลับของทานท้ังสองในวันแหงฏออิฟ ซ่ึงวันน้ันทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “ฉันเองมิไดสนทนาลับอะไรกับเขา แตทวาอัลลอฮฺ ไดทรงใหมีการสนทนาลับกับเขา” และอกี ครั้งหนงึ่ ทท่ี านท้งั สองไดส นทนาลบั กัน คือ เมอ่ื ตอนมผี กู ลา วหาทานหญิงอาอิชะฮฺ (324) รายละเอียดเกี่ยวกับเร่ือง ผูใกลชิดของทานศาสนทูต (ศ) ทานสามารถสังเกตไดที่ฮา ดีษที่รายงานโดยทานอิบนุอับบาส ซ่ึงทานไดผานมาแลว ใน อัล-มุรอญิอะฮฺที่ 22 ที่วา “เจา คือมิตรของฉันทั้งในโลกน้ีและปรโลก” ซึ่งหลักการน้ีเปนสวนที่สําคัญย่ิงของศาสนา อสิ ลามทล่ี ะเลยไมไดอยางเด็ดขาด (325) รายละเอียดของเรื่องหลักฐานตาง ๆ ท่ีกลาวถึงเรื่องการแตงต้ังทายาท ทานไดผาน มาแลว ในอัล-มรุ อญอิ ะฮฺ ที่ 68 (326) โปรดดูฮาดีษท่ี 9 ของอลั -มรุ อญิอะฮทฺ ี่ 48 พรอมกบั หมายเหตุของหัวขอ นน้ั (327) โปรดดูฮาดีษที่ 10 ของอลั -มรุ อญอิ ะฮทฺ ่ี 48 (328) โปรดดฮู าดีษท่ี 14 ของอัล-มุรอญอิ ะฮฺท่ี 48 (329) เรอ่ื งนน้ี กั ปราชญทางอะฮลฺ ิซซนุ นะฮฺไดอ ธบิ ายไว ดงั ที่เสนอแลว ใน อัล-มรุ อญิอะฮทฺ ่ี 8 (330) กฎเกณฑน ี้ไดจ ากฮาดษี ที่ 16 ของอัล-มรุ อญิอะฮทฺ ่ี 48 และฮาดษี อ่นื ๆ อกี ดวย

(331) กฎเกณฑน้ไี ดจ ากฮาดษี ท่ี 17 ของอลั -มรุ อญอิ ะฮฺท่ี 48 และฮาดษี อ่นื ๆ (332) จากอิมามอะหมฺ ดั ไดบันทึกฮาดษี น้จี ากรายงานของทานอะบู ฮุร็อยเราะฮฺดงั ปรากฏอยู ในหนา 442 ภาคที่ 2 หนังสือ “มุสมัด” วาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดมองไปท่ีอาลี ฟาฏมิ ะฮฺ ฮาซนั และฮเุ ซน แลวกลา ววา “ฉนั จะตอตานกับผูท่ีตอตานพวกเจาและจะยอมรับ ผูท่ียอมรับพวกเจา” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาวเม่ือขณะที่ไดคลุมคนเหลานี้ดวยผาหม ตามที่มีปรากฏเปนฮาดีษท่ีมีสายสืบถูกตอง (ศอฮ้ีฮฺ) วา “ฉันจะตอตานผูที่ตอตานพวกเจา และจะยอมรับผูที่ยอมรับพวกเจา อีกทั้งฉันจะเปนศัตรูตอศัตรูของพวกเจา” ทานอิบนุ ฮะญัรไดอางเร่ืองน้ีอธิบายโองการหน่ึงท่ีกลาวถึงเกียรติยศของพวกเขาเหลานี้ ตามท่ีมี ปรากฏอยูในภาคที่ 1 บาบที่ 11 ของหนังสือ “อัส-เศาะวาอิก” และแนนอนท่ีสุด คํากลาว ของทาน (ศ) ตอนนี้ไดเปนที่รูกันมากมายอีกประโยคหน่ึงก็คือ “การตอตานอาลีนั้นถือวา เปน การตอตา นฉัน สวนการยอมรบั ตอ เขา นน้ั หมายถึงการยอมรับตอ ฉนั ” (333) โปรดดู ฮาดีษท่ี 20 ของอัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 48 ซ่ึงประโยคฮาดีษน้ันมีสายสืบสอดคลอง กันเปนเอกฉันท (มุตะวาติร) คือขอความท่ีวา “โออัลลอฮฺขอทรงคุมครองอยางใกลชิดตอผู ที่จงรักภักดีตออาลี และจงเปนศัตรูของผูที่เปนศัตรูของเขา” อัลฮัมดุลิลละฮฺ คงจะเปนท่ี เพียงพอสําหรับทาน ตามท่ีทานไดผานมาแลวใน อัล-มุรอญิอะฮฺที่ 36 ซึ่งเปนคํากลาวของ ทานศาสนทูต (ศ) ในฮาดีษท่ีรายงานโดยทานบุรัยดะฮฺวา “ผูใดท่ีโกรธอาลี แนนอนเทากับ เขาไดโกรธฉัน และผูใดที่แตกแยกกับอาลีเทากับเขาไดแตกแยกขจากฉัน” นอกจากน้ียังมี สายสบื ทีส่ อดคลองตรงกันตามมาตรฐานของรายงานฮาดีษ (มุตะวาติร) วา “แทจริงจะไมมี ใครรักเขาเวนแตผูศรัทธา และไมมีใครโกรธเขาเวนแตผูกลับกลอก ดวยพระนาม ของอัลลอฮฺ แทจ รงิ เขาคอื พนั ธะหนงึ่ ของทา นนบี (อลั -อุมมีย) ” (334) อาศัยกฎเกณฑนี้จากฮาดษี ท่ี 19,20,21 จากอัล-มุรอญิอะฮทฺ ่ี 48 และอืน่ ๆ (335) กฎเกณฑน้ีอาศัยจากฮาดีษที่ 23 ของ อัล-มุรอญิอะฮฺ ดังกลาวน้ัน และกับประโยคฮา ดีษท่ีวา “โออัลลอฮฺ ขอไดทรงคุมครองผูซึ่งจงรักภักดีตอเขา (อาลี) และทรงเปนศัตรูตอผู ซึ่งเปนศตั รขู องเขา” ผูใดที่ปรักปรําเขา ก็เทากับปรักปรําตออัลลอฮฺและรอซูล(337) แทจริงเขาเปนผูนําที่ทรง คุณธรรม เปน ผพู ฆิ าตความเลวราย ผูท่ีใหค วามชวยเหลอื เขายอมจะเปนผูถูกสงเสริม ผูใดท่ีบั่นทอน เขายอมจะเปนผูถูกบั่นทอน(338) แทจริงเขาคือประมุขแหงบรรดาผูใฝสันติ (มุสลิม) เปนผูนําแหง

บรรดาผูสํารวมตนและเปนผูนําของผูเครงครัดตอวินัยทางศาสนา(339) ทานคือธงชัยแหงทางนําที่ ถูกตอง เปนผูนํา (อิมาม) ของบรรดาที่รักแหงอัลลอฮฺ (เอาลิยา อัลลอฮฺ) เปนรัศมี (นูร) ของผูซึ่ง ปฏิบัติตามอัลลอฮฺเปนวจนะหน่ึงท่ีอัลลอฮฺทรงเนนถึงความสําคัญไวแกบรรดาผูสํารวมตน(340) ทาน เปนผมู ีสจั จะอนั ย่งิ ใหญ เปนมาตรการจําแนกสําหรับบรรดาประชาชาติเปนแกนนําสําหรับบรรดาผู ศรัทธา(341) เปนผูมีฐานะอยูในระดับของมาตรการจําแนก (อัล-ฟุรกฺอน) อันย่ิงใหญและอยูในระดับ เดยี วกันกบั ขอเตือนสติอันมีวทิ ยปญญา (อัล-กุรอาน)(342) และทา นอาลีกับทานนบีอยใู นฐานะเชน ฮา รูนกบั มูซา(343) (336) เหตุผลสําหรับทานในขอนี้ก็คือ คํากลาวของทานศาสนทูต (ศ) ในฮาดีษท่ีรายงาน โดยทานอัมร บิน ชาชที่วา “ผูใดประทุษรายตออาลี แนนอนเทากับเขาประทุษรายตอฉัน” รายงานโดยทานอะหฺมัด ในหนาที่ 483 ภาคที่ 3 หนังสือ “มุสนัด” ทานฮากิมก็ไดบันทึกไว ในหนาที่ 123 ภาคท่ี 3 หนังสือ “มุสตัดร็อก” ทานซะฮะบียก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “ตัลคีศ” โดยจํากัดความไววาเปนฮาดีษศอฮี้ฮฺทานบุคอรีก็ไดบันทึกไวในหมวดตารีค ทานอิบนุสะอดั ก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “ฏอบากอต” ทานอิบนุ อาบูชัยบะฮฺก็ไดบันทึกไว ในหนังสอื “มสุ นดั ” ของทาน ทานฏอ็ บรอนียก็ยังไดบันทึกไวในหนังสือ “อัล-กาบีร” และ เปน ฮาดีษทีอ่ ยใู นหนา 400 ภาคท่ี 6 หนงั สอื “กันซลุ อมุ าน” (337) กฎเกณฑน ี้อาศัยจากฮาดษี ที่ 18 ของ อลั -มรุ อญอิ ะฮฺท่ี 48 และอน่ื ๆ (338) กฎเกณฑน ีอ้ าศัยจากฮาดีษท่ี 1 ของ อลั -มุรอญิอะฮฺดงั กลาว และอนื่ ๆ (339) โปรดพิจารณาฮาดีษที่ 2,3,4,5 ของ อลั -มุรอญอิ ะฮฺที่ 48 (340) โปรดพิจารณาฮาดีษท่ี 6 ของ อลั -มุรอญิอะฮฺดงั กลาว (341) กฎเกณฑน อี้ าศยั จากฮาดีษที่ 7 ของ อัล-มรุ อญอิ ะฮดฺ งั กลา วและอนื่ ๆ ทานอาลีกับทานนบีอยูในฐานะเชนเดียวกับท่ีทานนบีมีตอพระผูอภิบาล(344) และฐานะของ ทา นอาลกี บั ทา นนบี อยูใ นฐานะเชน ศรี ษะกับรางกาย(345) อยใู นฐานะเปน เรอื นรางเดยี วกัน(346) แทจริงอัลลอฮฺผูทรงเดชานุภาพสูงสุดไดทรงมีขอทดสอบตอบรรดาชาวโลกดวยการท่ี พระองคทรงคัดเลือกบุคคลท้ังสองข้ึนมาจากหมูพวกเขา(347) ทานก็ไดรับทราบจนเปนที่เพียงพอไป แลวถึงเงื่อนไขอันหนึ่งของทานนบีเม่ือวันแหงการประกาศท่ีทุงอารอฟะฮฺ ในการทําฮัจญครั้ง สดุ ทาย ซึ่งในกรณีนนั้ ทา นนบีมไิ ดม อบหมายใหบุคคลอ่ืนทําหนาท่ีอันนั้น นอกจากทานอาลี(348) อีก หลายครั้งหลายคราวท่ที านไดระบุไวเปน การเฉพาะสาํ หรบั ทานอาลซี ง่ึ เง่อื นไขตาง ๆ ท่ีลวนแลวแต

แสดงใหเห็นวาทานอาลีมิใชเปนเชนบุคคลอื่น นอกจากเปนวะศีย (ทายาท) ท้ังน้ีเปนเรื่องราวท่ีถูก ประมวลมาจากบรรดานักปราชญทีไ่ ดศกึ ษาจนรถู งึ หลกั การตาง ๆ ของทานนบี (342) เหตุผลสําหรับทานในขอน้ีมีเพียงพอแลวตามท่ีทานไดผานมาใน อัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 8 จากบรรดาฮาดีษศอฮ้ีฮฺท่ีกลาวถึงส่ิงสําคัญที่หนักยิ่งสองประการ (ษะเกาะลัยน) ซึ่งฮาดีษ เหลา น้นั เปน สัจธรรมทอ่ี ธิบายจนกระจางแจงแกส ายตาได และในอัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 50 ทาน ก็ไดผ า นฮาดษี หนง่ึ มาแลว นั่นคอื “แทจริงอาลีอยูกับ อัล-กุรอาน และอัล-กุรอานอยูกับอาลี ท้งั สองน้ีจะไมแตกแยกจากกัน” (343) เรื่องนี้ทานไดรับความกระจางแจงไปแลวใน อัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 26,28,30,32 และ อัล- มุรอญิอะฮฺท่ี 34 (344) กฎเกณฑน ้ไี ดจ ากฮาดษี ท่ี 13 ของ อลั -มุรอญิอะฮทฺ ี่ 48 (345) กฎเกณฑน ไ้ี ดจากฮาดีษที่เราไดเสนอใน อลั -มรุ อญอิ ะฮทฺ ี่ 50 (346) กฎเกณฑน ีไ้ ดจ ากโองการมุบาฮลิ ะฮแฺ ละฮาดีษใน อัล-มุรอญอิ ะฮฺท่ี 50 (347) มฮี าดีษทรี่ ะบถุ งึ เรอ่ื งน้ี ดงั ทเ่ี ราไดเสนอไปแลว ใน อลั -มุรอญอิ ะฮฺท่ี 68 (348) โปรดพิจารณาฮาดีษที่ 15 ของ อัล-มุรอญิอะฮฺที่ 48 และโปรดสังเกตหมายเหตุของฮา ดษี บทน้ันตามทีเ่ ราไดกลาวถึงไปแลว ดว ย ฉะน้ันความคิดที่จะคัดคานการแตงต้ังทายาทของทานศาสดาจะเปนไปไดอยางไร ที่ไหน และเมื่อไหร ? แลวทานอาลีจะมีความสําคัญท่ีย่ิงใหญในดานใดอีกหรือ ถาหากวามิไดเปนความมุง หมายของทานนบี สําหรับการใหดํารงตําแหนงทายาท ซ่ึงตําแหนงทายาทน้ีก็มิใชเพ่ืออื่นใด นอกจากเปน ไปตามเงอ่ื นไขบางประการของกิจการอันสําคญั อันน้ีมิใชห รอื ? 2. สําหรับทัศนะของบรรดานักปราชญท้ังสี่มัซฮับนั้นยังมีผูปฏิเสธตอความจริงตาง ๆ ตามท่ีกลาวมาน้ี ทัง้ นกี้ ็เพราะพวกเขามีความเห็นวา คณุ สมบัติตา ง ๆ ดงั กลาวแลวนั้น มิไดรวมอยูกับ บรรดาคอลฟี ะฮฺสามคนแรกดวย 3. หลักฐานตา ง ๆ ของพวกเขาเหลาน้นั ไมว าจะเปน เร่ืองราวที่บันทึกมาโดยทานบุคอรีหรือ บุคคลอ่นื ๆ ก็ตาม ยอ มไมเปน ท่ียอมรบั แกพวกเรา เชน ฮาดีษซึ่งรายงานโดย ฎ็อลฮะฮฺ บิน มัศรุฟ ที่ ไดก ลา ววา “ฉันไดถามทานอับดุลลอฮฺ บิน อาบู เอาฟาอฺวา “ทานนบี (ศ) ไดมีการแตงต้ังทายาทจริง หรือ ?” เขาบอกวา “ไม” ฉันไดกลาวตอไปอีกวา “ทําไมทานไดกําหนดใหประชาชนมีการแตงต้ัง

ทายาท แตแลวทานกลับละท้ิงเรื่องน้ีเสียเอง” ทานตอบวา “ทายาทของทานน้ันคือพระคัมภีร ของอัลลอฮ”ฺ ฮาดีษเหลา นีไ้ มม สี ายสืบที่ยืนยันอยางแข็งแรงจากทางดานของพวกเรา เพราะเหตุวาเปนฮา ดีษที่รายงานมาจากอิทธิพลของฝายปกครองที่ไดใชอํานาจทางการเมือง ซึ่งเขาไดกระทําการริบ รอนขอเท็จจริงของเร่ืองนี้ไปเสียทุกประการ ซึ่งความจริงแลวมีรายงานที่ถูกตองจากสายสืบของ บรรดาอิมามผูสืบเชื้อสายบริสุทธิ์ ซ่ึงไดยืนยันไวอยางสอดคลองตรงกัน ในเร่ืองของการแตงตั้ง ทายาทซงึ่ มีมากพอท่ีจะตแี ผเ พอ่ื พิสูจนก บั ดา นทป่ี ฏเิ สธ 4. โดยเหตุที่คําสั่งเกี่ยวกับการแตงต้ังทายาทน้ันเปนเร่ืองที่เต็มไปดวยหลักฐานท่ีชัดแจง อยางเหลือหลาย อีกทง้ั เปนเรอ่ื งทส่ี ามารถพสิ ูจนไดโ ดยสตปิ ญ ญาและสภาพความเปนจริง(349) สําหรับเรื่องราวตาง ๆ ท่ีทานบุคอรีไดรายงานมาจากอิบนุ อาบู เอาฟาอฺ โดยอางถึงฮาดีษ ของทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลาน ของทาน) ที่วาทานนบีไดส่ังเสียไวเฉพาะแตเพียงเรื่องของพระคัมภีรแหงอัลลอฮฺอยางเดียวเทาน้ัน เราถอื วา ไมม มี ูลความจรงิ ตามน้ี เพราะวาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดเคยมีการส่ังเสียใหยึดม่ัน ตอสิ่งสําคัญที่หนักย่ิงของทานสองประการพรอม ๆ กัน และทานไดเสนอเปนขอพันธะใหแก ประชาชาติของทาน โดยการใหยึดเหนี่ยวตอสายเชือกท้ังสองของทานอยางพรอมเพรียงกัน และ ทานยังไดเตือนสําทับแกประชาชาติของทานใหรูวา ความหลงผิดจะเกิดขึ้นถาหากไมมีการยึดมั่น ตอสิ่งท้ังสองนั้น และทานยังไดบอกแกประชาติของทานตอไปอีกวา แทจริงส่ิงทั้งสองนั้นจะไมจํา พรากออกจากกัน จนกวามันจะไดยอนคืนกลับไปยังทาน ณ สระน้ําแหงสวนสวรรค น่ีคืออาดีษท่ีมี หลักฐานอยางถูกตอง (ศอฮ้ีฮฺ) ที่มีสายสืบสอดคลองตรงกันจากรายงานของบรรดาผูสืบเชื้อสายท่ี บรสิ ทุ ธิ์ (349) ความคิดท่ีอุบัติข้ึนอยางมีเลศนัยตอแบบฉบับของทานนบี (ศ) เทานั้น ที่ถือวาทานได ส่ังใหประชาชนของทานมีการแตงตั้งทายาท แตแลวทานกลับเปนผูละท้ิงในเร่ืองนี้เสียเอง ทั้ง ๆ ทสี่ ิง่ นที้ า นไดยา้ํ ใหประชาชาตขิ องทานถือปฏิบัติ เพราะแมแตเด็กกาํ พราท้ังหลายก็ยัง ไดรับสิทธิในสิ่งน้ี ซึ่งไมมีใครแมแตคนเดียวในโลกน้ีท่ีจะละเลยเง่ือนไขนี้ได เพราะมัน เปนกฎเกณฑท่ีบัญญัติโดยอัลลอฮฺ เราขอความคุมครองตออัลลอฮฺใหพนจากความคิดท่ีวา ทานนบี (ศ)ไดละท้ิงประชาชาติแหงยุคสมัยของทาน ซ่ึงเขาเปนชาวโลกที่จะตองดําเนิน ชีวิต ซึ่งพวกเขาจะตองมีมาตรฐานแนวทางสําหรับช้ีนําชีวิตของพวกเขา หลักฐานสําหรับ

ขอนี้ สามารถพิสูจนความจริงไดวา ทานนบี (ศ) ไดมีการแตงต้ังใหทานอาลีเปนทายาท เชน คําส่ังท่ีทานไดเสนอใหทานอาลีเปนผูอาบนํ้ามัยยิต จัดแตงมัยยิตและฝงรางของทาน อีกทั้งใหทานอาลีเปนผูทําการอธิบายเรื่องราวตาง ๆ ท่ีประชาชนท้ังหลายขัดแยงกัน หลังจากทาน และพันธะกรณีท่ีทานไดเสนอแกประชาชนวา ทานอาลีคือผูปกครองของ พวกเขา และเหตุผลอน่ื ๆ อกี มากมายท่รี ะบุอยใู น อัล-มุรอญิอะฮฺบทนี้ สําหรับทานสามารถท่ีจะศึกษาถึงท่ีมาของฮาดีษศอฮี้ฮฺบทนี้จากรายงานทางดานสายสืบอ่ืน นอกเหนือจากสายสืบเหลานี้ก็ไดดังเชนที่เราไดเสนอไปแลวใน อัล-มุรอญิอะฮฺที่ 8 และ อัล-มุ รอญอิ ะฮทฺ ี่ 54 วัสลาม (ช) อัล-มรุ อญิอะฮฺ 71 10 ศอฟร 1330 • เพราะเหตุใดทานจึงไดทําการปฏิเสธฮาดีษที่รายงานโดย “มารดาของศรัทธาชน” ซึ่งเปน ภรรยาผปู ระเสรฐิ ยงิ่ ของทานนบี ? ขออัลลอฮฺไดทรงอภัยโทษใหแกทานดวยเถิด ในกรณีท่ีทานไดปฏิเสธคํารายงานของ “มารดาแหงศรทั ธาชน” ผซู ่งึ เปนภรรยาทีป่ ระเสรฐิ ยงิ่ ของทานนบี ซ่งึ ทานกลับถือวาฮาดีษท่ีรายงาน มาจากทานหญิงเปนส่ิงฉาบฉวย และทานไดละท้ิงฮาดีษเหลาน้ันเสียอยางไมสนใจไยดี ท้ัง ๆ ที่คํา กลาวของทา นหญงิ น้นั เปน ขอ พสิ ูจนท็ ี่แจมแจง และเปนที่ยอมรับกันวาทานหญิงเปนผูรายงานฮาดีษ ที่ยุติธรรมแตทานกลับเอาสติปญญาของทานเองเขามาเก่ียวของกับเร่ืองนี้ ขอใหทานไดแถลง ออกมาใหกระจา งเถิดวาเปนเพราะเหตใุ ด แลว เราจะไดพจิ ารณาใครครวญกัน วสั ลาม (ซ)

อลั -มุรอญิอะฮฺ 72 12 ศอฟร 1330 1. ทานหญิงอาอีชุฮฺมิไดมีความประเสริฐยิ่งไปกวาบรรดาภรรยาท้ังหลายของทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของ ทา น) ทกุ คน 2. ภรรยาผมู ีเกยี รติยศทีส่ ุดของทา นนบีนัน้ คือ ทา นหญิงคอดยี ะฮฺ 3. คาํ ชแ้ี จงเกี่ยวกับเหตุผลซ่งึ เปนสาเหตทุ ี่จะตอ งปฏิเสธฮาดษี บทนีข้ องทา นหญิงอาอีชะฮฺ 1. สําหรับมารดาแหงศรัทธาชน ทานหญิงอาอีชะฮฺน้ันมีเกียรติยศและฐานะอันสูงสงก็จริง อยู แตก็มิใชวาทานหญิงผูนี้จะมีเกียรติยศยิ่งไปกวาบรรดาภรรยาท้ังหลายของทานนบี (อัลลอฮฺทรง ประทานความจาํ เรญิ และความสันติสุขแดท านและแดบ รรดาลูกหลานของทาน) ทุกคนก็หามิได จะ เปน ไปไดอ ยา งไรทว่ี าทา นหญงิ อาอีชะฮฺจะมีความประเสริฐมากกวาบรรดาภรรยาท้ังหลาย ก็ในเมื่อ มีรายงานฮาดษี จากทานหญิงเองบทหนง่ึ ทไ่ี ดก ลาววา “ทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลกู หลานของทา น) ไดรําลึกถึงทานหญิงคอดียะฮฺในวันหนึ่ง ซ่ึงฉันไดยอนแกทานวา “หญิงแกผูนั้น เปนอยางน้ันอยางนี้ ซ่งึ อัลลอฮไฺ ดทรงเปล่ียนหญิงท่ีดีกวาคอดียะฮฺมาใหแกทานแลว” ทานศาสนทูต ไดกลาววา “อัลลอฮฺมิไดทรงเปล่ียนหญิงที่ดีกวานางมาใหฉันแตอยางใดเลย แนนอนยิ่งนางเปนผู ศรัทธาตอฉันในขณะที่ผูคนทั้งหลายพากันปฏิเสธฉัน นางมีความเช่ือมั่นตอฉันในยามท่ีผูคน ทง้ั หลายกลา วหาวาฉันมสุ า นางเปน ผูร ว มมือกับฉนั ในเรอ่ื งทรพั ยส ินของนางในยามท่ีผูคนทั้งหลาย พากันหวงหามตอฉัน และอัลลอฮฺก็ทรงโปรดประทานบุตรของฉันใหไดเกิดจากนาง ในขณะที่ พระองคท รงหวงหา มมใิ หฉ นั มีบุตรกบั หญงิ คนอื่น” (อัล-ฮาดษี )(350) มีรายงานฮาดีษจากทานหญิงอาอีชะฮฺอีกบทหนึ่งไดกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) แทบ จะไมออกจากบานไปไหน จนกวาทานจะไดกลาวถึงคุณงามความดีซ่ึงเปนเกียรติคุณของทานหญิง คอดยี ะฮฺ อยางเชน ทานไดเอย ถึงทา นหญิงในวนั หน่ึงซ่ึงฉันบังเกิดความรูสึกอิจฉาข้ึนมาทันที ฉันจึง กลาววา “คอดียะฮฺเปนแคหญิงแก ๆ คนหนึ่งเทานั้น แลวบัดน้ีอัลลอฮฺก็ไดทรงเปลี่ยนหญิงที่ดีกวา

นางมาใหทานแลว” ทันใดนั้นเองทานนบีก็มีอาการโกรธมากจนกระทั่งเสนผมของทานส่ันไหวมา ทางดานหนาเนื่องจากความโกรธแลวทานไดกลาววา “ขอสาบานดวยพระนามของอัลลอฮฺวา พระองคมิไดทรงเปลี่ยนหญิงที่ดีกวาคอดียะฮฺใหแกฉัน นางเปนผูศรัทธาตอฉันในขณะท่ีผูคน ทั้งหลายพากนั ปฏเิ สธ นางใหค วามเชือ่ ม่ันตอฉันในขณะท่ีผูค นท้งั หลายกลา วหาวาฉันมุสา นางเปน ผูทุมเททรัพยสินใหแกฉันในขณะที่ผูคนท้ังหลายพากันหวงหามตอฉัน และอัลลอฮฺก็ทรงโปรด ประทานใหฉ นั ไดมีบุตรจากนางขณะทพ่ี ระองคทรงหวงหา มมใิ หฉนั มบี ุตรกับหญงิ คนอ่นื ” (350) ฮาดีษบทน้แี ละฮาดีษท่ีถัดมามีปรากฏอยูในหนังสือศอฮี้ฮฺของนักปราชญฝายซุนนะฮฺ โปรดดูเรื่องราวที่เก่ียวกับทานหญิงคอดียะฮฺ อัลกุบรอฺ จากหนังสือ “อิสตีอาบ” ทานบุคอรี และมุสลิมกไ็ ดบนั ทึกไวในหนังสอื ศอฮี้ฮฺของทา นทง้ั สอง 2. ฉะนั้นจะเห็นไดวาภรรยาที่มีเกียรติยศท่ีสุดของทานนบี (ศ) ก็คือทานหญิงคอดียะฮฺ อัล กุบรอ ซ่ึงทานหญิงเปนผูซ่ือสัตยท่ีสุดแหงประชาชาติน้ี เปนบุคคลแรกท่ีมีความศรัทธาตออัลลอฮฺ และยึดมั่นตอพระคัมภีรของพระองค เปนผูใหความเกื้อกูลตอทานนบี จนถึงกับอัลลอฮฺไดทรง ประทานวะฮยฺ มู าแกท านนบี (ศ) วาใหแจงขาวดีใหแกนาง(351) วา “อัลลอฮฺไดทรงสรางปราสาทหลัง หนึ่งใหเปนท่ีพํานักในสวนสวรรค” หลักฐานที่บงช้ีถึงเกียรติยศอันสูงสงของนางน่ันคือคํากลาวที่ ทานนบีไดกลาววา “สตรีชาวสวรรคที่ประเสริฐยิ่งคือคอดียะฮฺ บินต คุวัยลิด ฟาฏิมะฮฺ บิน มุฮัมมัด อาซยี ะฮฺ บนิ มซุ าฮิม และมัรยมั บินต อิมรอน” ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลกู หลานของทาน) ไดกลา ววา “สตรีทป่ี ระเสริฐยิง่ แหงสากลโลกมี 4 ทาน คือ มรั ยัม บินต อิมรอน คอดียะฮฺ บนิ ต ควุ ยั ลิด ฟาฏมิ ะฮฺ บิน มฮุ มั มดั และอาซยี ะฮฺภรรยาของฟรเิ อาน” หลักฐานอีกมากมายทไ่ี ดบงบอกถึงเร่ืองราวเหลา น้จี ากฮาดีษทส่ี ืบทอดมาจากทานนบ(ี 352) นอกจากนี้ก็ยังไมอาจที่จะกลาวไดวาทานหญิงอาอีชะฮฺจะมีความประเสริฐยิ่งไปกวาปวง มารดาแหงศรัทธาชนทั้งหลาย ยกเวนทานหญิงคอดียะฮฺ เพราะมีหลักฐานฮาดีษซึ่งสืบทอดเปน เร่ืองราวอยูอีกมากมาย ซ่ึงไมเปนท่ีสงสัยกันแตประการใดในหมูนักวิชาการ ซึ่งถาหากทานหญิง เปนผูมีเกียรติยศยง่ิ ไปกวาภรรยาของนบที กุ คนแลว แนนอนทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ก็จะไมปฏิเสธนาง อยางนน้ั

(๓๕๑) รายงานโดยทานบุคอรีในบาบที่วาดวยความอิจฉาของสตรีและในตอนทายของกิ ตาบนกิ าฮฺ หนา ๑๗๕ ภาคท่ี ๓ (๓๕๒) โปรดพจิ ารณาตัวบทฮาดษี ดังกลาวขางตน ดังเชนท่ีมีปรากฏอยูครั้งหน่ึงในเหตุการณที่เก่ียวกับมารดาของศรัทธาชน ทานหญิงซอฟ ยะฮฺ บินต ฮัยน คร้ังหน่ึงทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทา น)ไดเขาไปหาทา นหญิงซอฟย ะฮฺ ซึ่งขณะน้นั เธอกําลังรองไหอยู ทานนบี จึงไดกลาวแกทานหญิงซอฟยะฮฺวา “ทานรองไหทําไม ?” ทานหญิงซอฟยะฮฺไดตอบวา “ทานหญิง อาอีชะฮฺและทานหญิงฮัฟเซาะฮฺไดมาหาฉันแลวทั้งสองไดกลาววา “เราประเสริฐกวาซอฟยะฮฺ” ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทา น) ไดก ลาววา “ทานมิไดกลา วแกค นท้งั สองนัน้ ดอกหรือวาทานจะประเสริฐ กวา ฉันไดอ ยางไร ในเมอ่ื บิดาของฉันคือฮารูน และลุงของฉันคือมูซา สวนสามีของฉันคือ มุฮัมมัด” (๓๕๓) ผูใดก็ตามถาหากเขาไดติดตามศึกษาอยางใกลชิดตอความเคลื่อนไหวของทานหญิงอาอี ชะฮฺ มารดาแหงศรัทธาชน ท้ังในดานของพฤติกรรมและวจีกรรมของทานแลว แนนอนท่ีสุดเขาจะ ไดพบไปตามทีเ่ ราไดกลา วมาแลว นี้ ๓. สําหรับกรณีท่ีเราไดปฏิเสธรายงานฮาดีษท่ีวาดวยเรื่องของทายาทที่เลาโดยทานหญิงอา อีชะฮฺ ก็เพราะเราถือวาฮาดีษเหลานั้นมิใชเปนขอมูลท่ีแทจริง ฉะน้ันขอทานอยาไดขอรองให ขา พเจาทําการวเิ คราะหเก่ียวกับเรื่องนเี้ ลย วัสลาม (ช) (๓๕๓) รายงานโดยทานติรมีซียจากสายสืบของทานกินานะฮฺ คนสนิทของทานหญิงซอฟ ยะฮฺ มารดาแหงศรัทธาชน ทานอิบนุ อับดุลบัรไดกลาวถึงเรื่องน้ีไวในหนังสือ “อิสตีอาบ” ทานอิบนุ ฮะญัรก็ไดอธิบายไวในหนังสือ “อิศอบะฮฺ” ชัยค รอชีด ริฎอ ก็ไดอางไวใน ตอนทายของหนา ๕๘๙ เลมที่ ๑๒ ตัฟสีร “อัล-มะนาร” และหนังสืออื่น ๆ อีกจํานวนไม นอย

อัล-มุรอญอิ ะฮฺ ๗๓ ๑๓ ศอฟร ๑๓๓๐ • คําขอรอ งใหอ ธิบายในสาเหตุทป่ี ฏเิ สธรายงานฮาดษี ในเร่ืองน้ีของทา นหญงิ อาอีชะฮฺ แทจริงทานเปนผทู ่ีไมม ีใครสามารถเอาชนะและทาํ ใหทานจํานนตอหลกั ฐานไดไ มมขี อ อา ง อ่ืนใดท่ีจะตําหนิและที่จะโจมตี เน่ืองจากทานเปนผูมีวิทยปญญาอยูในระดับสูงที่ประชาชน จําเปนตองยอมรับ ขาพเจาขอสรรเสริญตออัลลอฮฺท่ีขาพเจามิไดเปนผูรับความเขาใจจากขอมูลท่ี ผิดพลาด และมิไดเปนผูปฏิบัติตามทัศนะที่มีมลทิน ความจริงแลวขอมูลตามที่ขาพเจาไดเสนอมา นั้นมีขอผิดพลาดดังน้ันขาพเจาจึงตองขอรองมายังทานเพ่ือใหทําการอธิบายถึงส่ิงท่ีไมควรจะไดตก หลนไปจากขาพเจา แนนอนที่สุดคําตอบของทานน้ันเปนคําอธิบายอันชัดแจงสําหรับขาพเจาอยาง ไมตองสงสัย ดังนั้นขอใหทานไดกระทําใหลุลวงสําหรับภารกิจของทานและขอใหทานไดบอกเลา เรื่องราวทสี่ าํ คัญเหลา นั้นดวย ขาพเจาขอติดตอกับทานในเรื่องน้ี เพราะวามีโองการท่ีเปนขอเตือนสติอันทรงวิทยปญญา บทหน่ึงวา “แทจริงบรรดาผูซ่ึงไดปดบังอําพรางสิ่งท่ีเราไดประทานลงมาซ่ึงเปนขอมูลท่ีชัดแจงและ เปนทางนํา” (อลั -บะเกาะเราะฮฺ : 159) วสั ลาม (ซ)

อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 74 1. การอธิบายถึงสาเหตุทต่ี อ งปฏิเสธฮาดษี ซ่งึ รายงานโดยทา นหญงิ อาอีชะฮฺ 2. ขอมูลเกี่ยวกับเร่อื งการแตง ตง้ั ทายาทนน้ั สามารถใชสตปิ ญ ญาพิสูจนได 3. ขออางของทานหญิงอาอีชะฮฺท่ีวาทานนบีไดวายชนมในขณะท่ีอยู ณ ทรวงอกของนาง นนั้ เปน สง่ิ ทถ่ี ูกคัดคาน 1. ขออัลลอฮฺไดทรงนําทานใหบรรลุถึงขอมูลท่ีแทจริงดวยเถิด แมวามันเปนส่ิงท่ียังความ ลําบากใจใหแกขาพเจาสักเพียงใดก็ตาม ตัวทานเองก็มีความรูเก่ียวกับเร่ืองน้ีจนสมบูรณเต็มเปยม ซ่งึ เรอ่ื งท่ีเราจะกลา วถงึ ณ ทน่ี กี้ ค็ ือประเด็นท่เี กี่ยวกับฮาดีษที่วาดวย “วะศียะฮฺ” (ทายาท) และเร่ืองนี้ มกี ารขัดแยง กนั อยา งมากมายและเรอื่ งทํานองน้ีไดกอ ใหเกดิ การทาํ ลายพ้นื ฐานของ “อัล-คุมส” (เงิน เศษหนง่ึ สวนหา) เรือ่ งของการสบื มรดก แนนอนทส่ี ุดสิง่ เหลา นี้เปนความมัวหมอง(354) จนพัวพันไป ถึงเร่ืองการทําสงครามกับทานอามีรุล มุมีนีน ซึ่งกลุมทหารเผด็จการไดทําการโคนลมและละเมิด สทิ ธกิ ารปกครองและอาณาจักรของทา น (354) มหี ลกั ฐานจากนักปราชญฝายซุนนะฮฺกลาวถึงเร่ืองนี้ขอใหพิจารณาดูที่หนังสือศอฮ้ีฮฺ บุคอรี บาบท่ีวาดวยเรื่องของสิ่งท่ีเกิดข้ึนในบานของบรรดาภรรยาของทานนบี (ศ) จากกิ ตาบ “อัล-ญิฮาจญ” หนา 125 ภาคท่ี 2 ซ่ึงทานสามารถท่ีจะพบถึงเรื่องรายละเอียดของเร่ือง น้ี “เปนเร่ืองจริงท่ีเกิดข้ึนแลวใชวา ขาพเจาพูดขึ้นมาเอง ทางที่ดีแลวโปรดอยาถามเรื่องราวน้ี เลย” หลักฐานที่ตอตานเร่ืองการแตงต้ังทายาทท่ีทานนบีใหแกทานอาลีนั้นมีปรากฏอยูโดยคํา กลาวของทานหญิงอาอีชะฮฺ ทานหญิงคือผูคัดคานท่ีแข็งแรงที่สุดคนหน่ึงสําหรับเร่ืองนี้ และไมมี การคัดคานเร่ืองของ “วะศียะฮฺ” (ทายาท) คร้ังใดท่ีย่ิงใหญไปกวาเหตุการณเมื่อทําสงครามญะมัลท้ัง สองคร้ัง(355) ซ่ึงท้ังสองคร้ังน้ันไดปรากฏเปนขอมูลที่มีเง่ือนไขซับซอนอยู และการทําสงครามทั้ง สองครั้งนั้นไดแสดงใหเห็นวาทานหญิงไดทําการตอสูกับผูท่ีอยูในฐานะเปนวะลียของนาง (ผูปกครอง) และทําการตอสูกับผูเปนทายาทแหงนบีของนาง และตอมาหลังจากไดเสร็จส้ิน

ภาวการณสูรบที่นางไดกระทําตอทานอาลีแลว ทานอาลีก็ไดถึงแกกรรมลง ทันทีที่ทานหญิงได รบั ทราบขาวนี้ ทานถึงกับทําการสุญดเพื่อขอบพระคุณตออัลลอฮฺ โดยไดสดุดีตอพระองค โดยทาน ไดก ลาวบทกววี า ในทาํ นองวา ส่งิ ทที่ า นรอคอยนั้นไดประสบผลแลว(356) (355) ไดมีเรื่องมัวหมองเกิดข้ึนเพราะเหตุการณทําสงครามอูฐที่เมืองบัสเราะฮฺเมื่อหาวัน หลังของเดือนรอบีอุซซานี ป ฮ.ศ. 36 ซ่ึงในคราวน้ันทานอามีรุล มุมีนีนไดมุงหนาไปยัง เมืองบัสเราะฮฺแลวไดประจัญกับมารดาของศรัทธาชน ทานหญิงอาอีชะฮฺอีกทั้งฎ็อลฮะฮฺ และซุบัยรก ไ็ ดอ ยรู วมกับทา นหญิงดว ย บุคคลเหลาน้ันไดฆาชายฉกรรจท่ีมาจากพรรคพวก ของทานอาลี (อ) จนเสียชีวิตถึง 40 คนในมัสญิด และไดสังหารอีก 70 คนในสถานที่อ่ืน ทานอุสมาน บิน ฮุนัยฟ ซึ่งเปนสาวกคนหนึ่งไดแอบหนีไปหลบซอน แตแลวพวกเขา เหลานั้นก็ยังติดตามไปเพ่ือทําการสังหาร หลังจากนั้นพวกเขาเกรงวา นองชายของอุสมาน อีกคนหน่ึงท่ีชื่อสะฮัลจะทราบเรื่อง พวกเขาจึงทําการโกนหนวดเคราและโกนผมของเขา เสีย และไดทําการเฆ่ยี นตพี รอ มกบั คุมขังไว หลังจากน้ันพวกเขาก็ไดขับไลอุสมาน ออกไป เสียจากเมืองบัสเราะฮฺ หลังจากนั้นทานอาลีก็ไดเดินทางมา ซึ่งทานหญิงอาอีชะฮฺก็ไดทํา กองทหารของนางมาประจันหนากับทานอาลีขณะนั้นเองก็ไดเกิดสงครามอูฐครั้งใหญข้ึน รายละเอยี ดของเหตกุ ารณซึ่งเปน ประวัตศิ าสตรค รง้ั นี้ บรรดานกั ประวัตศิ าสตรเชน ทา นอิบ นุ ญะรีร และทานอบิ นุ อะษรี ตลอดถงึ บุคคลอนื่ ๆ ตา งก็ไดบันทกึ ไว ถาหากทานมีความประสงคที่จะทบทวนถึงฮาดีษตาง ๆ ท่ีรายงานมาถึงทานหญิงอาอีชะฮฺ แลว ทานก็จะยิ่งเห็นไดชัดวา ทานหญิงอาอีชะฮฺมีเลศนัยอยูหลายเร่ือง เชน รายงานตอนหนึ่งที่ทาน หญิงไดกลาววา(357) “เม่ือตอนที่ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) เจ็บหนักนั้นทานไดเดินออกไปโดยท่ีชาย สองคนชวยพยุงทาน ซึ่งทานหญิงไดกลาววา “ผูชายคนหน่ึงน้ัน คือ ทานอับบาส บิน อับดุล มุฏฏอลบิ พรอ มกบั อีกคนหนง่ึ ” ผูรายงานฮาดษี คนหน่ึงช่ือ อบุ ัยดิลละฮฺ บนิ อบั ดุลลอฮฺ บนิ อดุ บะฮฺ บิน มสั อดู ไดว จิ ารณฮา ดษี บทนต้ี อ ไปวา ขาพเจา ไดบอกเลา เกย่ี วกับคํากลา วของทา นหญิงอาอชี ะฮฺ คําน้ีใหแกทานอับดุลลอ ฮฺ บิน อับบาส ซึ่งทานอิบนุ อับบาสไดกลาวแกฉันวา “ทานรูหรือเปลาวาบุคคลที่ทานหญิงอาอีชะฮฺ ไมเอยชอื่ ถงึ น้ันคือใคร ?” ฉันไดก ลาววา “ไมรู”

ทานอบิ นุ อับบาสไดกลา วอีกวา “เขาคอื อาลี บิน อาบีฏอลบิ ” หลงั จากนน้ั เขาไดก ลาวอกี วา “แทจริงทา นหญิงอาอชี ะฮฺมีเจตนาทีไ่ มด ตี อ ทานอาล”ี (358) (356) รายงานเร่ืองน้ีโดยนักวิชาการผูทรงคุณวุฒิจํานวนมาก เชน อาบู ฟะร็อจ อัล-อิศฟะ ฮานีย ในหนงั สือ “มะกอตลิ -ฏอลิบนี ” (357) ทานบคุ อรไี ดรายงานเรอื่ งน้ีไวใ นบาบทว่ี า ดวย การปวยและการวายชนมของทานนบี (ศ) หนา 62 ภาคท่ี 3 หนงั สอื ศอฮี้ฮฺ (358) คําพูดตอนนี้คือ คําพูดของทานอิบนุ อับบาสที่วา แทจริงทานหญิงอาอีชะฮฺ ไมมี เจตนาดีตอเขา (อาลี) แตทานบุคอรีไดตัดออกไป ซึ่งลักษณะเชนน้ีทานบุคอรีมักจะถือ ปฏิบัติอยูเสมอ แตทวานักปราชญฝายซุนนะฮฺอีกจํานวนมากท่ียังนํามาบันทึกไวในตําราท่ี ศอฮี้ฮฺของพวกเขา ซ่ึงสามารถท่ีจะพิสูจนได เชน หนังสือ “ฏอบากอต” ภาคที่ 2 สวนที่ 2 หนา 29 ของทานอิบนุ สะอัดซ่ึงทานไดนําเรื่องนี้มาบันทึกโดยสายสืบที่มาจากอะหฺมัด บิน ฮจั ญาจ จากอับดุลลอฮฺ บิน มุบาเราะฮฺ จากูนุสและมุอัมมัรซึ่งไดรับมาจากซุฮรีย จากอุบัย ดนิ ละฮฺ บนิ ฉันกลาววา “ในเม่ือทานหญิงอาอีชะฮฺมีเจตนาท่ีไมดีตอทานอาลีถึงขนาดไมยอมเอยถึงชื่อ วาเขาเปนผูที่ทานนบี (ศ) ไดเดินรวมกับเขา ฉะน้ันจะใหทานหญิงอาอีชะฮฺมีเจตนาดีท่ีจะบอกเลา เรื่องการที่ทานอาลไี ดรบั ตําแหนงทายาทไดอ ยางไร ซึ่งในเรือ่ งน้เี ปน ความดีของทา นอาลโี ดยตรง ?” ทานอิมามอะหฺมัดไดรายงานฮาดีษบทหนึ่งของทานหญิงอาอีชะฮฺไวในหนังสือมุสนัดของ ทาน ภาคที่ 6 หนา 113 ซึ่งเปนฮาดีษท่ีมาจากทานอะฏอฮฺ บินยะสาร วา “มีชายคนหนึ่งไดนําเร่ือง ของทานอาลี และทานอัมมารไปปรึกษากับทานหญิงอาอีชะฮฺ ซึ่งทานหญิงไดกลาววา สําหรับเรื่อง ของอาลีน้ัน ฉนั ไมมีอะไรท่จี ะพดู ถงึ เขาใหท านฟง แตสําหรบั อัมมารนั้น ฉันเคยไดย นิ ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ุขแดท า นและแดบรรดาลกู หลานของ ทาน) กลาวถึงเขาไววา “ถาเขาไดเลือกงานหนึ่งงานใดแลว สิ่งที่เขาไดตัดสินใจนั้นลวนมีความ ถูกตองทงั้ ส้ิน” นาอนาถแทท่ีทานหญิงผูเปนมารดาแหงศรัทธาชน ไดพิถีพิถันตอเร่ืองของอัมมารโดย สามารถจดจําคํากลาวของทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาววา “ถาเขาไดเลือกงานหน่ึงงานใดแลว สิ่งท่ีเขาไดตัดสินใจ น้ันลวนมีความถูกตองทั้งสิ้น” แตทานหญิงมิไดใหความพิถีพิถันจดจําตอเรื่องราวที่มีอยูในตัวของ

ทานอาลี ทั้ง ๆ ที่เขาคอื พี่นอ งของทานนบีและเปนคนใกลช ดิ ของทา น และอยใู นฐานะของนบีฮารูน อีกทั้งอยูในฐานะท่ีปรึกษาเฉพาะของทาน ตลอดทั้งทานอาลีเปนผูดําเนินกิจการตาง ๆ แก ประชาชาติของทาน เปนประตูแหงนครของวิทยปญญา เปนผูที่อัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค ใหค วามรักและเปนผูที่รักอัลลอฮฺตลอดถึงศาสนทูตของพระองค เปนประชาชนคนแรกที่เขารับนับ ถือศาสนาอิสลามเปน คนแรกเร่ิมที่มีความศรัทธาตออัลลอฮฺ ทานอาลีเปนผูที่มีความรูสูงท่ีสุดในหมู ประชาชนช่ือเสียงเกยี รตยิ ศของทานกเ็ ปนท่ีเลื่องลอื ในหมูพวกเขา อุตบะฮฺ บิน มัสอูด ซึ่งไดรับฟงมาจากทานอิบนุ อับบาส และบุคคลเหลาน้ีไดเปนท่ียอมรับ ในการรายงานฮาดีษอยูแลว ทกุ คน นา อนาถใจจรงิ หนอทีท่ านหญิงยังมิไดรูจักถึงฐานะของทานอาลีวาสูงสงปานใดตามทัศนะ ของอัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุภาพสูงสุดและทานหญิงยังไมรูถึงฐานะของทานอาลีเปนเสมือนหัวใจของ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลกู หลานของทาน) อกี ท้ังสถานภาพของทานอาลีท่ีมีตออิสลามนั้นย่ิงใหญสูงสงปานใด ทาน เปน ผผู า นการทดสอบทีด่ ีเลิศ เหตไุ ฉนทา นหญงิ จึงไมเคยไดย นิ เรือ่ งราวท่ีเปนสิทธขิ องทานอาลีดังมี ปรากฏอยูในพระคมั ภรี แหง อลั ลอฮฺ และแบบอยางของทา นนบีเลยแมแตส่ิงเดียว แนนอนย่ิง ขาพเจามีความรุมรอนในความคิดที่มีตอคํากลาวของทานหญิงที่วา “แนนอน ทส่ี ดุ ฉนั ไดเหน็ ทานนบี และตวั ฉนั ไดโ นม ทา นมาสูท รวงอกของฉนั ทา นตอ งการความชุมชื่นซึ่งฉัน ก็ไดทําใหทานสบาย แลวทานก็ไดเสียชีวิตไป ฉันไมรูเลยวา ทานไดส่ังเสียใหอาลีเปนทายาทได อยางไรกัน” ขาพเจาไมทราบวาอะไรคือความหมายของการโอดครวญในประโยคนี้ของทานหญิงอาอี ชะฮฺ ซึ่งเปนประโยคที่ไดพรรณนาเพ่ือใหประชาชนไดรูวาทานศาสดาไดวายชนมลงในลักษณะ อยางไรและตองการท่ีจะใหประชาชนไดรูวาลักษณะการท่ีทานหญิงไดอธิบายออกมานั้นเปน หลกั ฐานที่บงชี้วา ทานศาสดามิไดส ่ังเสียสงิ่ ใดไวเลยหรือวาตามทัศนะของทานหญิงนั้นมีความเห็น วาการส่ังเสยี ในเรอ่ื งตาง ๆ จะไมถกู ตอ งนอกจากในขณะที่ตายเทาน้ัน หามิได หากแตขอพิสูจนซ่ึงเปนสัจธรรมอยางย่ิงไดลบลางความเขาใจท่ีเกิดขึ้นมาจาก ทัศนะดังกลาว โดยที่อัลลอฮฺผูทรงเดชานุภาพสูงสุด ไดทรงประทานคําเตือนมายังศาสดาผูทรง เกียรตขิ องพระองค ซึ่งปรากฏอยูในบทบัญญตั แิ หง พระคัมภีรอนั ทรงวทิ ยปญญาของพระองคดงั นี้

“ไดมีบัญญัติมาแกพวกสูเจาวา เมื่อความตายไดมาถึงคนหน่ึงคนใดในหมูสูเจาก็ใหเขาได ละทง้ิ คาํ สงั่ เสยี เก่ยี วกับมรดกไว” (อลั -บาเกาะเราะฮฺ : 180) เปนไปไดหรือไมทีท่ า นหญิงผูเปนมารดาแหงศรัทธาชนจะมีความคิดเห็นวา ทานศาสนทูต แหงอลั ลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจาํ เรญิ และความสนั ตสิ ุขแดทา นและแดบรรดาลูกหลานของ ทาน) นั้นจะเปนผูขัดแยงกันกับพระคัมภีรของอัลลอฮฺ ? และขัดแยงกับบทบัญญัติตาง ๆ ของ พระองค ขาพเจาขอความคุมครองจากอัลลอฮฺ แนนอนทานหญิงเปนผูไดเห็นทานศาสนทูตดําเนิน บทบาทชีวิตและปฏิบัติตามแนวทางตาง ๆ ของพระองคอยางยอมจํานนโดยสิ้นเชิงตอคําสั่งและขอ หามของพระองคอยางเปนผูบรรลุสูเปาหมายอันสูงสงทุกประการ ขาพเจามิไดสงสัยเลยวาทาน หญิงจะตองไดยินคํากลาวของทานศาสนทูตท่ีวา(359) หนาที่ที่จําเปนสิ่งหนึ่งสําหรับมุสลิมที่จะตอง สง่ั เสียเมื่อยามที่เขาตองแรมคืนถึงสองคืนน้ัน ไมมีอันใดนอกจากคําส่ังเสียของเขาจะตองถูกบันทึก ไวโดยเขาเอง” (359) รายงานโดยทา นบคุ อรีในตอนแรกของกิตาบ “อัล-วะศอยาน” จากหนังสือศอฮ้ีฮฺของ ทานหนา 83 ภาคที่ 3 ทานมุสลิมก็ไดรายงานไวในกิตาบ “อัล-วะศียะฮฺ” หนา 10 ภาคที่ 2 หนังสอื ศอฮีฮ้ ฺของทา น หรือมิฉะน้ันทานหญิงก็คงจะไดรับฟงฮาดีษอ่ืน ๆ ท่ีมีเรื่องราวคลายคลึงกันกับฮาดีษบทนี้ มาแลว จะเห็นไดวาคําสั่งของทานศาสนทูตในเร่ืองของการแตงตั้งทายาทนั้น เปนเร่ืองท่ีทานไดให ความสําคัญอยางยิ่ง ซ่ึงไมมีขอสงสัยใด ๆ วาทานจะมีการซอนเรนในเรื่องน้ี และไมเปนท่ีอนุมัติ ใหแกทานอีกทั้งไมเปนที่อนุมัติใหแกบรรดานบีทั้งหลาย (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ สดุดีตอพวกเขาทั้งมวล) ในอันท่ีจะใหพวกเขาสั่งสอนเรื่องหนึ่งเรื่องใด โดยที่พวกเขามิได ดําเนินการปฏิบัติตอส่ิงน้ัน ๆ ดวย ตลอดทั้งไมเปนที่อนุมัติใหพวกเขาเหลานั้นตั้งขอผูกมัดเกี่ยวกับ ส่งิ หนงึ่ สิง่ ใด แลว พวกเขาเองไมจาํ เปนทจ่ี ะตองดําเนนิ การตามเงื่อนไขน้นั ๆ หามิได อัลลอฮฺเปนผูทรงสูงสุดยิ่ง สําหรับการประทานมาซ่ึงขอกําหนดอันสูงสง และ ยิง่ ใหญเ หลา นขี้ องพระองค สาํ หรบั รายงานฮาดษี ตามท่ที า นมุสลิมตลอดจนถงึ นักปราชญอ น่ื ๆ ไดบ นั ทกึ มาจากคาํ บอก เลาของทานหญิงอาอีชะฮฺอีกบทหนึ่งน้ัน คือวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺมิไดละท้ิงเงินทองแมแต หนึ่งดีนารหรอื สกั หน่ึงดริ ฮมั ไมม ที ั้งแพะและแกะ อีกท้งั ไมม ีคาํ สั่งเสียเกีย่ วกบั ส่งิ หนึ่งสง่ิ ใดไวเลย”

โดยแทจริงทานก็เปนเสมือนเชนบรรดานบีกอน ๆ จากทานกลาวคือความหมายตาม รายงานฮาดีษของทานหญิงบทน้ี ถาหากจะถือวาทานศาสดามิไดละทิ้งคําส่ังเสียสิ่งหน่ึงสิ่งใดไว อยางเด็ดขาดจริง ๆ แลวละก็ยอมมิใชเปนสิ่งถูกตอง เพราะแทจริงทานเปนผูท่ีทําการส่ังเสียไว เกี่ยวกับทุกส่ิงทุกอยาง จริงอยูทานมิไดละท้ิงสิ่งใดที่เปนทรัพยสินสําหรับโลกนี้ เหมือนเชนบรรดา ชาวโลกทั้งหลายไดมีการละท้ิงกันไว ในขณะท่ีทานศาสดาเปนผูซึ่งมีความมักนอยที่สุดในสากล โลก แตโดยขอเท็จจริงแลวทานไดกลับไปยังพระผูอภิบาลผูทรงเดชานุภาพสูงสุดของทาน ในขณะ ที่ทานเปนผูสาละวนอยางจริงจังตอกิจการของศาสนา(360) พันธะสัญญา และทานยังมีพันธะกรณีที่ ไดรับมอบหมาย (อะมานะฮฺ) อยางมากมายซ่ึงจําเปนที่จะตองมีการแตงตั้งทายาท และส่ังเสียไวให ทายาทไดเ ปน ผดู ําเนินกิจการตาง ๆ เหลา นน้ั เพ่อื ดํารงไวซ ึ่งความสมบูรณสําหรับศาสนาสืบไป และ วางขอ ผูกมัดตาง ๆ เกี่ยวกับพนั ธะสญั ญาของทา น โดยท่ผี ูสืบมรดกในดานน้ีของทานจะตองรับรอง ไวเพ่ือดําเนินกิจการตอไป หลักฐานในเรื่องน้ีมีอยางชัดแจงจาก คําอุทธรณของทานหญิงฟาฏิมะฮฺ อซั ซะรอฮฺ เพอ่ื ขอมรดกท่เี ปน สวนของนาง (ความสันติสขุ พึงมแี ดทา น)(361) 2. ถา หากวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุข แดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดทําการละทิ้งสิ่งตาง ๆ ที่จําเปนไวสําหรับใหทายาทได ดําเนินการ ซ่ึงสิ่งนั้น ๆ ไมมีบุคคลใดในสากลโลกไดละท้ิงพันธะกรณีในขอน้ีแลวละก็ เทากับทาน ไดละท้ิงศาสนาของอัลลอฮฺอันเที่ยงธรรมไวใหอยูในสภาพธรรมชาติและความเปนไปของมันเอง ซึ่งแนนอนที่สุดมันเปนเรื่องสําคัญที่จะตองมีทายาทย่ิงกวาเร่ืองของทรัพยสินเงินทอง สมบัติ พัสถาน เรอื กสวนและปศสุ ัตว เพราะวา บรรดาประชาชาติทั้งหลายลวนอยูในฐานะที่เปนกําพรา ซึ่ง เปน ผูที่มคี วามจาํ เปนอยางยง่ิ ที่จะตองอาศัยผูเปนทายาทของทานเพื่อดํารงไวซ่ึงหลักการตาง ๆ ของ ทาน ในฐานะผูบริหารกิจการตาง ๆ ใหแกพวกเขา และดําเนินการตาง ๆ เพ่ือชี้นําพวกเขาเหลาน้ัน ทงั้ กจิ การทางศาสนาและทางโลก (360) รายงานโดยมุอัมมัร ซ่ึงไดรับรายงานมาจากทานเกาะตาดะฮฺวา ทานอาลีไดชําระ หนี้สินตาง ๆ ของทานนบี (ศ) ใหดําเนินการภายหลังการวายชนมของทาน ซ่ึงทานไดระบุ วามีจํานวนเงินถึงหาหมื่นดิรฮัม (อัล-ฮาดีษ) โปรดดูหนา 60 ภาคท่ี 4 หนังสือกันซุลอุมาน ซงึ่ เปนฮาดีษที่ 1170

(361) ศอฮี้ฮฺบุคอรี ภาคท่ี 3 หนา 37 ตอนทาย บาบท่ีวาดวย “การทําสงครามคัยบัร” และศอ ฮี้ฮฺมุสลิมที่วาดวย ฮาดีษหนึ่งของทานนบี “เราไมมีมรดกใด ๆ ส่ิงที่เราละท้ิงไวลวนเปน ทาน” กติ าบญฮิ าต หนา 72 ภาคที่ 2 เปนไปไมไดเลยท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) จะมอบศาสนาของอัลลอฮฺซ่ึงทานเปนผู ดําเนินกิจการมาโดยตลอด ในดานการพิทักษรักษาบทบัญญัติตาง ๆ ของพระองคไวใหแก ประชาชาติโดยปราศจากซึ่งทายาทที่ไดรับการมอบหมายใหดําเนินกิจการท้ังทางดานศาสนาและ ทางโลก และเปนไปไมไดสําหรับการท่ีทานจะละท้ิงบรรดาประชาชาติที่เปนกําพราเหลานี้ไวโดย ปราศจากตวั แทนของทา น พวกเขาเหลาน้ันเปนชาวโลกท่ียังจะตองดําเนินชีวิตอยูไปอีกนาน เชน ฝูงแกะท่ีถูกทอดทิ้ง ไวในยามค่าํ คืน โดยไมม ผี หู นึ่งผใู ดทําหนาทร่ี ักษาดแู ลตามสทิ ธิทพ่ี งึ มีสําหรับผทู าํ หนา ท่ีดแู ลรกั ษา ขอคุมครองตออัลลอฮฺสําหรับการท่ีจะเขาใจกันวาทานศาสดาไดละทิ้งหลักการของการ แตงต้ังทายาทไปเสีย หลังจากที่ทานเปนผูไดรับพระบัญชาใหดําเนินการในเร่ืองน้ี ซ่ึงทานไดสั่ง สอนบรรดาประชาชาตขิ องทานใหดาํ เนินการในเร่ืองนั้น แตทา นกลับสรางความคับแคนใหแกพวก เขาเหลา นน้ั สาํ หรับในกรณีที่เปนเรื่องของทานเอง ซ่ึงเหตุผลทางสติปญญาโดยทั่วไปแลวก็มิอาจท่ี จะปฏิเสธหลักการที่วาดวยเร่ืองของการแตงตั้งทายาทได โดยแนนอนท่ีสุด แลวทานศาสนทูต แหง อัลลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจาํ เรญิ และความสนั ติสุขแดทานและแดบ รรดาลูกหลานของ ทาน) ไดทําการสั่งเสียในเร่ืองของทายาทใหแกทานอาลีมาต้ังแตสมัยแรกเริ่มของการประกาศ ศาสนาอสิ ลามในนครมกั กะฮฺ โดยโองการทอี่ ลั ลอฮฺ ผูท รงสงู สดุ ไดประทานมาในตอนน้ันวา “และเจาจงตักเตอื นญาติสนิทของเจา” (อัช-ชอุ ะฺ รออฺ : 214) ดังเชนท่ีทานไดทราบรายละเอียดของเร่ืองน้ีไปแลวในอัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 20 และทานไมเคย เปล่ียนแปลงคาํ สงั่ หลังจากเหตุการณนนั้ ทา นยงั คงยํา้ ในเรอ่ื งทายาทของทา น และทานยังฝงแนนใน เรอื่ งของทายาทครัง้ แลวคร้งั เลาโดยทานถอื วาเปน พนั ธะกรณีสาํ หรบั ทาน ซึ่งเรื่องนี้เราไดชี้แจงผาน มาแลว ในบทกอ น ๆ ของหนงั สือเลมน้เี ปน จํานวนมาก จนกระทั่งในยามทที่ านจวนจะถงึ แกการวาย ชนมทา นก็ยังมคี วามปรารถนาทจี่ ะบันทกึ เรอ่ื งที่เกี่ยวกบั การแตงตัง้ ทายาทของทา นที่ใหแกทานอาลี ซึ่งเปนการยํ้าถึงพันธะกรณีของทานเพื่อไดระบุเปนลายลักษณอักษร และเพ่ือเปนหลักฐานท่ี แขง็ แรงสําหรบั การยืนยันถงึ คาํ กลาวหลายครั้งทที่ า นไดม ีแกท า นอาลี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook