สําหรับบทกวีตาง ๆ เก่ียวกับเรื่องนี้ของนักปราชญในอดีตนั้นก็ไมสามารถจะนํามาบันทึก ใหหมดในหนากระดาษนี้ได แตเราจะกลาวถึงเพียงบางสวนเพื่อใหขอความไดมีความสมบูรณ กระชบั ข้นึ ดงั นี้ ทานอับดุลลอฮฺ บิน อับ บาส บิน อบั ดลุ มุฏฏอลิบ ไดกลา วไววา : “ทายาทของผูเปน ศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ ถา นอกเหนือจากคนในครอบครัวและคนสนิทของ ทา นไซร คงถูกถามไถว า เขามาจากแหลง “ผปู ระทาน” หรอื อยางไร ? ทา นมุฆีเราะฮฺ บิน ฮารษิ บิน อับดุลมุฏฏลิบ ไดกลาวเตือนสติชาวอิรัคในชณะที่ทําสงคราม ศฟิ ฟน กบั มอุ าวยิ ะฮวฺ า : “น่ีคือทายาทแหงศาสนทูตของอัลลอฮฺ ผูนําทาน เขาเปนลูกเขยของศาสดาและภัมภีร แหงอัลลอฮฺนนั้ เลา ไดกลาวขานสาธยายเอาไว” ทา นอบั ดุลลอฮฺ บิน อาบู สฟุ ยาน บนิ ฮารษิ บิน อบั ดุลมฏุ ฏอลบิ ก็ยังไดก ลา วอีกวา : “จากพวกเราน้ีมีอาลี น่ันแหละ ผูเปนนักสูแหงสมรภูมิศัยบัร และเปฯทั้งนักสูแหงสมรภูมิ บะดรั อีกดวย เปน วันทีก่ องทพั ของเขาตองประจัญศึก เขาเปนทายาทของนบีผูเปนท่ีถูกเลือกคัดสรร แลว และยังเปนบุตรชายของผูเปนลุงเขาอีกดวย ใครเลาที่ใกลชิดและใครเลาที่ใกลเคียงกับศาสดา เฉกเชน เขา” ทานอาบูฮัยษัม บิน อัต-ตัยฮาน ผูเปนชาวบะศัร ไดกลาวถึงเกียรติคุณของเรื่องนี้ ใน เหตกุ ารณของสงครามญะมลั วา : “แทจรงิ ผเู ปนวะศยี ฺ (ทายาท) นั้นคือผูนาํ (อิมาม) และผปู กครอง (คอลีฟะฮฺ) ของเรา เปนผมู ี สิทธส์ิ ืบเนอ่ื งอยูทั้งในยามเปดเผยและในยามถูกปด บัง” ทานคุซัยมะฮฺ บิน ษาบิต นักรบสองสมรภูมิ และเปนชาวบะคัร ทานไดกลาวถึงเกียรติคุณ ของเรื่องน้ีไวใ นเหตกุ ารณส งครามญะมัลอีกเชน กันวา : “โอ วะศีย. (ทายาท) ของทานนบี แนนอนที่สุดทานเปนผูพิชิตศึกตออริศัตรูและเปนผูโคน ลมความอธรรม” ทานคุซัยมะฮฺ (ขออัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอทาน) ไดกลาวเปนบทกวีไวอีกบทหน่ึง วา : “จะใหฉันดํารงชีพอยูโดยปราศจากทานอาลี และตําหนิตอเขากระนั้นหรือซ่ึงสิ่งน้ันไมมี อะไรที่นาตําหนิในตัวเขาเลย ความจริงแลวทาน (ศาสดา) อยูในฐานะเปนบิดาของเขา วะศียฺ
(ทายาท) ของบทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ถานอกเหนือจากคนในครอบครัวของทานแลว ทาน (ศาสดา) จะมที ัศนะตอเขาเกีย่ วกบั เร่อื งนี้ฉนั ใด” ทา นอับดลุ ลอฮฺ บนิ บะดลี บิน วะเราะกออฺ อลั -คอ็ ซซาอียสฺ หายผกู ลา หาญคนหน่งึ ของทาน ในสงครามญะมัล และทานไดเปนชะฮีดในสงครามศิฟฟนพรอมกับทานอับดุรเราะหมานเปน นอ งชายของทานดว ยกลาวไดวา : “โอประชาชนท้ังหลายสําหรับแนวทางอันย่ิงใหญซึ่งฉันไดกลาวไวน้ันคือการทําสงคราม ของวะศยี ฺ (ทายาทนบี) และไมม คี วามมัวหมองใด ๆ สําหรบั การทําสงครามน้ี” บทกวีอกี ตอนหน่งึ ของทา นอามีรลุ มมุ ีนิน ไดก ลา วเมอื ทําสงครามศิฟฟน นัน้ มีดังน้ี : “สิ่งที่ศาสดามูฮัมมัด มีความพึงพอใจก็คือส่ิงที่ฉันจะขอแจงใหทราบวาใหพวกเขาเปนผูท่ี ไดย ึดม่นั ตอวะศียฺ (ทายาท) ของเขาและเปน ความคลาดแคลวจากมลทนิ ดวย” ทานญะวีร บิน อับดุลลอฮฺ อัล-บะญิลสียฺ อัศ-ศอฮาบียฺ ไดสงบทกวีไปใหทานชัร ฮะบีล อิบ นอุ สั -สัมฏ โดยทานไดกลา วถึงทานอาลีในบทกวนี ัน้ วา : “วะศยี ฺ (ทายาท) ของศาสนทูตแหงอัลลอฮฺจะตองไมคลาดไปจากคนในครอบครัวของทาน อปุ มาท่เี ปรยี บไดก เ็ สมอื นมาศึกกบั เกราะปองกันตัวของทาน” ทานอุมัร บิน ฮาริษะฮฺ อัล-อันศอรียฺ ไดกลาวบทกวีสดุดีแก มุฮัมมัดบุตรของทานอามีรุลมุ มีนนี ผูเปน ท่รี จู กั กนั ในนามวา อิบนุฮะนะฟย ะฮฺวา : “ทานนบีไดใหสมญานามและเรียกขานเขา (ทานอาลี) วาวะศียฺ (ทายาท) และฉันไดเห็นวา ทานไดมอบหมายตําแหนง นนั้ ใหแ กเ ขา ทานอับดุรเราะหฺมาน บิน ุอัยลฺ ไดกลาวในตอนที่ประชาชนไดใหสัตยาบันตอทานอาลี หลงั จากสมมัยของทา นอุษมานวา : “ขอสาบานตอผูซึ่งใหชีวิตแกฉัน แนนอนที่สุด ทานท้ังหลายไดใหสัตยาบันตอผูที่พิทักษ รักษาศาสนา ผูซึ่งเปนที่ยอมรับกันถึงความเผื่อแผท่ีมีอยูเปนพื้นฐานชีวิตน่ันคือ อาลีผูเปนวะศียฺ (ทายาท) และบุตรชายของลุงทานศาสดามุศฏอฟา (ผูไดรับการเลือกสรร) น้ัน เขาเปนบุคคลแรก จากจาํ นวนของผนู มาซ เปนผอู ยคู กู บั ศาสนาและการสาํ รวมตน” ทา นอะซัด ไดก ลาวในเหตกุ ารณส งครามญะมลั วา :
นี่คือ คืออาลี เขาผูซ่ึงเปนวะศียฺ (ทายาท) ทานนบีไดประกาศอยางเปดเผยถึงความเปนพี่ นองของทาน และทานยังไดกลาววา นี่คือผูปกครองภายหลังจากฉัน ผูยึดมั่นจะตองยึดมั่นตอเขา สวนคนช่วั ชาไดลืมเลือนเสยี ” ชายหนมุ ผูหนึ่งจากตระกูลบนีฏ็อบบะฮฺ ไดออกไปทําสงครามในฐานะท่ีเปนครูฝกคนหนึ่ง ของกองทหารของทา นหญิงอาอชี ะฮฺ ทา นไดก ลาวไวว า : “เราชาวบนฏู ็อบบะฮฺ ตางเปนศัตรูของอาลีผูนั้น ซึ่งไดถูกรูจักกันมาต้ังแตเดิมอยูแลววาเปน วะศียฺ (ทายาท) ของนบี เขาเปนมาศึกสงครามในสมัยของทานนบี มิใชวา ฉันจะทําเปนคนตาบอด เก่ียวกบั ความดีเดน ของทา นอาลี แตว า ฉันเปนลกู หลานของอฟั ฟานตะกีย”ฺ ทานสะอีด บิน กัยส อัล-ฮัมดานียไดกลาวไวในเหตุการณที่ไดทําสงครามญะมัลรวมกับ ทานอาลวี า : “สงครามอันใดเลาที่ไฟอันรอนระอุของมันไดเผาผลาญลุกโชนและบทเรียนของมัน สําหรับวันแหงความโกลาหลก็คือความแตกหัก โปรดกลาวแก “วะศียฺ” (ทายาทของศาสดา) เถิดวา ฉันไดเผชิญกับความสูญเสียของมันแลว ดังน้ันฉันจะไดผละมัน โดยไดทําใหมันเลิกลมเพ่ือใหสา สมกับที่มันไดทาํ กับทา น พวกเขาเหลา น้นั เปนบรวิ ารและพรรคพวกพีน่ อ งของมันนนั่ เอง” ทานซยิ าด บิน ละบดี อลั -อนั ศอรยี สหายของทา นอาลอี กี คนหน่ึงไดกลาวถึงเหตุการณแหง สงครามญะมัลวา : “ชาวอันศอรจะพิจารณาอยางไรบางหนอ ในวันท่ีสุนัขเหาหอน ฉันเปนคนท่ีไมประหวั่น กับความยอยยับ และเรามิไดประหว่ันตอความโกรธอันเน่ืองจากยึดใน “วะศียฺ” ความจริงชาวอัน ศอรไดพ ยายมจรงิ จังมิใชทําเลนหลอก นี่คืออาลี และหลานของอับดุลนุฏฏอลิบ เราไดชวยเหลือเขา ในวันนั้นเพ่อื เอาชนะตอ ผูท่ีมสุ า ผูใดท่กี อ การละเมิด ก็ความเลวนนั่ แหละทจี่ ะไดแ กส งิ่ ทเ่ี ขากระทํา” ทา นฮะญรั ฺ อดฺ ีย อัล-กินดีย กไ็ ดกลา วไวส าํ หรบั เหตกุ ารณใ นวนั นั้นอีกเชนกันวา : “โอพระผูอภิบาลของเรา เราไดยอมรับแลวตออาลี เราไดยอมรับตอผูมีความจําเริญ ผูเปน แสงสวา งผูศรทั ธาท่ีเปนศูนยร วมอนั หนงึ่ ของความยําเกรง โดยมิไดขัดแยงในทัศนะและมิไดละเมิด เลย ย่ิงกวาน้ัน เขาคือผูนํา ผูชี้นําทางอันเที่ยงธรรม พระผูอภิบาลของขาฯ ทรงปกปกรักษาเขาและ ทรงปกปกรักษาทานนบีในกรณีนี้ แนนอนท่ีสุดเขาเปนวะลียของทาน ตอจากน้ันเขาเปนคนที่ชื่น ชมยินดีเปนวะศยี ฺภายหลังทา น”
ทานอุมัร บิน อะหฺญียะฮฺ ไดกลาวไวในเหตุการณสงครามญะมัลเก่ียวกับคําปราศรัยของ ทา นฮาซันทีไ่ ดมีขน้ึ หลงั จากคําปราศรยั ของอบิ นซุ ุ-บัยรวา : “ชางประเสริฐดีแท โอผูมีความละมายบิดาของตน ท่ีทานไดลุกข้ึนยืนทามกลางพวกเรา ดวยฐานะของผูปราศรัยที่ยอดเยี่ยม ทานไดลุกข้ึนกลาวคําปราศรัยไปตามท่ีอัลลอฮฺทรงสําทับไวแก พวกประพฤติดผิดเก่ียวกับเรื่องราวของบิดาทาน ทานมิไดเปนเหมือนอิบนุซุบัยรผูติดอางในเวลา พูด และมีนัยนตาเหลเหลือกลานนาสงสัยในกลลวง อัลลอฮฺจะทรงปฏิเสธตอการท่ีเขายืนขึ้นใน ตําแหนงท่ียืนของบุตรชายแหง “วะศียฺ” (ทายาทของศาสดา) และบุตรของผูประเสริฐ แนนอน บุคลิกภาพระหวางทานนบีกับทานและกับวะศียฺน้ันประเสริฐอยางชนิดท่ีไมมีสิ่งใดคลับคลายได เลย” ทา นซะญัรฺ บนิ กยั ส อลั -ุอฟฺ ยผฺ ูผา นสงครามญะมัลไดกลา วไวว า : “ฉันจะหวาดกระหนํ่าตอพวกทานจนกวาพวกทานจะยึดมั่นตออาลี เขาเปนคนที่ดีที่สุด สําหรับตระกูลกุร็อยชถัดจากทานนบี อัลลอฮฺทรงประดับประดาและเทิดเกียรติใหแกเขาดวย ตาํ แหนง “วะศีย”ฺ ทานซะญรั บนิ กัยสไ ดกลาวในกรณสี งครามศฟิ ฟว า : “พระเจาก็ยังสดุดีสรรเสริญมุฮัมมัด ทานเปนศาสนทูตของเจาแหงอาณาจักรทั้งหลายท่ี ไดรับความโปรดปรานอยางสมบูรณ ท้ังศาสนทูตของเจาแหงอาณาจักรและบุคคลท่ีถัดมาจากเขา นั้น เปนตัวแทนในหมูพวกเราที่ดํารงหลักการใหคงอยู อาลีคือคําอธิบายสําหรับตําแหนงวะศียฺของ ทานนบี ประชาชาติผูไ มประสปี ระสาตีตัวออกจากเขา” ทา นอลั -อชั อัต บิน กัยสไดก ลา วไวว า : “ทานศาสนทูตไดนํามายังเราซึ่งสาสนแหงเร่ืองราวของอิมาม ทานไดอธิบายถึงฐานภาพ ของเขาใหแกบรรดามุสลิมของพวกเรา ทานเปนผูสื่อในเร่ืองวะศียฺ วะศียฺของทานนบี เขาเปนผูมี ฐานะลาํ้ หนา และมคี วามประเสริฐย่ิงในหมศู รัทธาชนของเรา ทา นยงั ไดก ลาวอกี วา : “ทานศาสนทูตไดนํามายังเราซึ่งสาสนแหงเร่ืองราวของวะศียฺ คืออาลีผูปราดเปร่ืองแหง ตระกลู ฮาชิม ผูรว มภารกิจและเปนบตุ รเขยของทานนบี เปน ผูมีเหตกุ ารณของสงครามศิฟฟน วา : “ทานนุอฺมาน บิน อัจฺลานอัซ-ซัรกียฺ อัล-อันศอรียฺ ไดกลาวไวในเหตุการณของสงคราม ศฟิ ฟน วา :
“ความแตกแยกจะเกิดขน้ึ ไดไฉนขณะที่ผูเปนอิมามของเราคือวะศียฺ ถามิฉะน้ันก็ไมมีใดอื่น นอกจากความเสียหายและตกต่ํา มุอาวียะฮฺและสมุนบริวารจึงพากันสลัดทิ้งแนวทางของวะศียฺ เพ่ือใหป ระชาชาตทิ ัง้ ผองยกยองสรรเสริญเขา” ทานอบั ดรุ เราะหฺมาน บนิ ซอุ ยั บฺ อบั -อสั ละมยี ไดกลาวบทกวพี าดพิงถงึ มอุ าวยิ าะฮวฺ า : “วะศียฺ (ทายาทขอนบ)ี ไดนําพวกเขาเหลา นั้นมาตอสูกับทาน จนกวาจะทําใหทานตีตัวออก จากความหลงและความเขา ใจผิด”(๔๔๙) (๔๔๙) กวีบทน้ีและคําคมตลอดท้ังบทรอยแกวทั้งหมดที่ผานมาน้ัน ไดถูกบันทึกอยูตํารา ประวัติศาสตรและโบราณคดีฉบับตาง ๆ ซึ่งเปนบทกวีท่ีเนนเฉพาะเร่ืองการทําสงคราม ญะมัลและสงครามศิฟฟน ท้ังหมดน้ีทานอัล-ลามะฮฺ มุตัตตะบะอฺ อิบนุ อาบู หะดีด ได นํามาอางไวใน หนา ๔๗ จนถึงหนา ๕๐ ของหนังสือ “นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮฺ” เลมที่ ๑ ฉบบั ตีพิมพในประ ทา นอับดลุ ลอฮฺ บนิ อะบี สุฟยาน บิน หาริษ บนิ อับดลุ มุฏฏอลบิ ไดก ลา วไววา : “แทจริง “วะศียฺ” ของกิจการท้ังหลายหลังจากมุฮัมมัดก็คืออาลี และในทุก ๆ แวนแควนเขา คือเพ่ือนติดตามทานทายาทท่ีแทของศาสนทูตแหงอัลลอฮฺก็คือผูปกครองพิทักษทาน และเปนผู นมาซเคียงขา งทานเปน บคุ คลแรก” ทา นคซุ ัยมะฮฺ บิน ษาบติ ผูผา นการรบทงั้ สองสมรภูมิ ไดก ลาววา : “วะศียฺของศาสนทูตแหงอัลลอฮฺตองไมแคลวไปจากคนในครอบครัวของทานและผูกลา หาญของทานที่อยูกันมาตั้งแตสมัยแรก และผูนมาซคนแรกสุดกอนหนาประชาชนทุกคน เสมอกับ มนุษยผปู ระเสรฐิ ดวยพระนามของอัลลอฮฺ เขาคอื ผูคงมน่ั ” ทานซะฟร บนิ คุซัยฟะฮฺ อัล-อะสะดยี ฺ ไดก ลา ววา : “พวกทานจงดูแลเขาใหดีที่สุด และจงชวยเหลือเขา เพราะวาเขาคือวะศียฺ (ทายาทของนบี) และเขาเปนบุคคลแรกในอิสลาม”(๔๕๐) ทา นอาบอู ัสวัด อดั -ดะอลู ยี ฺ ไดกลา วไวว า : “ฉันรกั มุฮัมมัด, อบั บาส, ฮมั ซะฮ,ฺ และวะศียฺดว ยความรกั อยา งจริงจงั ” เทศอียิปต ในขณะท่ีทานไดอธิบายสุนทรพจนอันทรงคุณคาของทานอามีรุลมินีน ท่ี เกยี่ วกับเร่อื งราวของบรรดา “อาลี มฮุ มั มดั ” คําพูดของทานท่ีมีตอบุคคลเหลานั้นมีวา “สิทธิ ของการเปน ผปู กครองนนั้ ยอ มเปนของพวกเขาโดยเฉพาะ ในหมูพวกเขานั้นมีผูเปนทายาท
และผูสืบมรดก “หลังจากท่ีทานไดอางบทกวีและคํารอยแลวดังกลาวนี้แลว ทานก็ไดกลาว วา “บทกวีท่ีไดใชคําวา “วะศียฺ” อยางนี้มีเปนจํานวนมากจริง ๆ แตเราจะนํามากลาวถึงใน ทน่ี ีเ้ พยี งบางสว นเทานั้นจากวีตาง ๆ ที่เกี่ยวกับสองฝายนี้ กลาวคือหนังสือบันทึกเหตุการณ ในสงครามญะมัลของทานอาบู มุคนัฟ และหนังสือที่บันทึกเหตุการณในสงครามศิฟฟน ของทานนะศิรฺ บิน มะซาฮิม (ทานไดกลาวอีกวา) สําหรับบทกวีท่ีอยูนอกเหนือจากนี้ยังมี อีกมาก แตไ มส ามารถจะคดั มาบนั ทึกทง้ั หมดได” (๔๕๐) บทกวีของทานซะฟรฺบทน้ี และบทกวีอขงทานคุซัยมะฮฺท่ีไดผานมาแลว ตลอดทั้ง บทกวีของทานอับดุลลอฮฺ บิน อาบูสุฟยานที่ไดมาแลวทั้งสองบทน้ัน ทานอิมามอัล-อัส กาฟยไ ดบนั ทึกไวในหนงั สอื “นักตุล-อุษมานียฮฺ” และทานอิบนุ อาบู หะดีด ก็ไดอางไวใน ตอนทายคําอธิบายสุนทรพจนของทานอาลี หนา ๒๕๘ และหนาถัดไปของหนังสือ “ชะ เราะหฺ นะฮฺ ลุ -บะลาเฆาะฮ”ฺ เลมที่ ๓ ฉบับตีพิมพในประเทศอียิปต ทานนุอฺมาน บิน อัจญลาน ผูเปนนักกวีของชาวอันศอระดับสูงคนหน่ึงไดกลาวคําปราศรัย แกอบิ นุล-อาศเปนกวไี วต อนหนึง่ วา : “ไดมีการใสรายตออาลีท้ัง ๆ ท่ีเขามิไดเปนอยางน้ันเลย ไมวาทานจะรู หรือจะไมรูก็ตาม ดวยเขาน่ีเอง ที่อัลลอฮฺทรงชวยเหลือ เขาเรียกรองสูทางนํา เขายับย้ังจากความช่ัวชา, ความละเมิด, และความผดิ พลาดตา ง ๆ เปนวะศียฺของนบี “อัล-มุศฏอฟา” และลูกของผูเปนลุงทาน เขาคือผูพิฆาต หัวโจกแหงความหลงและทรยศ”(๔๕๑) ทานฟฏ ล บิน อบั บาส ไดก ลา วบทกวีไวอีกตอนหนง่ึ วา : “บุคคลท่ีประเสริฐยิ่งถัดจากทานนบีของพวกเขาแลวก็คือ “วะศียฺ” ของนบี “มุศฏอฟา” ผู เปยมดวยวิชาการมิใชหรือ ทานเปนบุคคลแรกท่ีนมาซและพิทักษปกปองทานนบี และเปนบุคคล แรกทไี่ ดใหบ ทเรียนแกผ ูไมประสาอันใด ท่ีบะดัรฺ(๔๕๒) ทานฮัสสาน บนิ ษาบติ ไดกลาวบทกวีสรรเสรญิ ทา นอาลดี ว ยภาษาชาวอันศอรทั่วไปวา : “ทา นไดพ ิทกั ษร กั ษาทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮฺ และพันธะสัญญาของทานไวในหมูพวกเรา ท่ีไดสัญญาไวตอทาน และตอบุคคลที่รับชวงส่ิงดังกลาวตอไปจากทาน ทานเองมิใชหรือ ท่ีเปนพี่ นองและวะศียฺของทานอยูในทางนําและเปนผูรอบรูในเรื่องของอัล-กุรอานและซุนนะฮฺยิ่งกวาคน อืน่ ในหมูพวกเขา ?”(๔๕๓)
(๔๕๑) ทา นซบุ ยั รฺ บิน บะการฺไดบันทกึ กวีบทน้ีไวในหนงั สือ “อัล-เมาฟดียาด” ทานอัล-ลา มะฮฺ มุอฺตะชิละอฺก็ไดอางไวในหนา ๑๓ เลม ๓ ของหนังสือ “ชะเราะนะฮฺุล-บะลาเฆาฮฺ” แตที่ทานอิบนุ อับดุล-บัไดบันทึกกวีบทนี้ในหนังสืออิสตีอาบตอนอธิบายถึงช่ือของ นุอฺ มานนั้นปรากฏวาทานไดลบบางตอนเสีย (เขาทํากันเชน น้ีเสมอ) (๔๕๒) ทานอิบนุอลั -อะษีรไดบ ันทกึ เร่อื งนี้ไวในตอนทายของ อะหฺวาล-อุษมาน หนา ๔๓ เลม ๓ หนังสือประวัติศาสตร กามิล นอกจากนี้ทานยังไดกลาวบทกวีอีกสามบทที่เริ่มตน ดว ย “บุคคลทปี่ ระเสรฐิ ย่ิง....” (๔๕๓) ทานซุบัยรฺ บิน บะการฺ ไดบันทึกกวีบทน้ีไวในหนังสือ “อัล-เมาฟกียาด” และ ทานอบิ นุ อาบู หะดดี ไดนํามาอา งไวใ นหนา ๑๕ เลม ๒ หนังสือ “ชะเราะห นะฮฺ ลุ -บะลา เฆาะฮ”ฺ นักกวีอีกบางทานยังไดกลาวถึงคําปราศรัยของทานฮาซัน บิน อาลี (ขอความสันติสุขพึงมี แดท าน) วา : “โอ ปวงประชาชาติทั้งหลาย โอบุตรของวะศียฺ ทานคือผูสืบเช้ือสายของทานนบีและบุตร ของอาลี”(๔๕๔) ทานอุมมุสินาน บินต ศ็อยษุมะฮฺ ไดกลาวบทกวีไวตอนหนึ่งซ่ึงเปนการยกยองคําปราศรัย ของทา นอาลวี า : “แนนอนที่สุดหลังจากมุฮัมมัดแลว ทานคือผูปกครองของพวกเรา เขาไดสั่งเสียทานไว เกยี่ วกบั เรื่องของพวกเรา ฉะนนั้ ทา นจึงเปน ผมู สี ิทธิที่สมบรู ณ”(๔๕๕) บทกวีตา ง ๆ เทา ทเี่ ราไดนาํ มาตแี ผอยา งมากมายน้ี เปนบทกวีท่ไี ดถ กู รวบรวมไวซ ึง่ ขอ ความ ตามความหมายดงั กลาวนี้ เกย่ี วกบั พันธะอันสําคัญของทานอามรี ุลมุมนิ ีน ถา หากเราไดน ําขอมูลตาง ๆ ท่ีมอี ยูใ นสมัยของทานมาประกอบดวยแลว แนน อนทีเดยี วเราจะไดห นงั สอื ที่มีขนาดใหญมาก แต เราขอยอมรับตอความเหน่ือยยากที่เกินความสามารถในการคนควากวีตาง ๆ ท่ีกลาวถึงเร่ืองน้ีให หมดส้ินได แตแนนอนเราก็ไดเสนอเน้ือหาที่เปนพ้ืนฐานสําคัญมาเพื่อเราจะไดเปรียบเทียบในการ คน ควาประกอบกับวชิ าการภาคประวตั ิศาสตรท ่รี ายงานมาจากนกั ปราชญท ี่มีชอื่ เสยี ง และเพ่ือเราจะ ไดเ ห็นขอเปรยี บเทยี บกับกวตี าง ๆ ทใ่ี หค วามหมายทาํ นองเดยี วกนั นี้
(๔๕๔) ทานชัยคมุฮัมมัดอาลี หุชัยชียฺ อัล-ฮะนะฟย อัศ-ศ็อยอาวียฺไดนํามาผนวกไวในหนา ๖๕ หนงั สอื “อาษารฺ ซะวาต อัซ-ซูวารฺ” โดยไดกลาวถึง ทานฆอนิมะฮฺ บินต อามิรฺ กับมุอา วยี ะฮฺ วานางไดก ลา วกวบี ทน้ตี อ หนา มอุ าวิยะฮเฺ พอื่ เปนการตอบโต (๔๕๕) ทานอิมามอาบูฬฏลฺ อะหฺมัด บิน อาบู ฏอฮฺรฺ อัล-บัฆดาตีไดกลาวถึงกวีบทน้ี เมื่อ ระบถุ ึงชื่อของอุมมสุ ินาน ในหนังสือ “บาลาฆอศุน-นิสาอฺ” หนา ๖๗ และทานชัยคมุฮัมมัด อาลี ฮุชัยชยี ฺ อัล-ฮะนะฟยฺก็ยังไดอางจากทานอุมมุสินานอีกดวยในหนังสือ “อาษารฺ ซะวาด อัซซวู าร”ฺ หนา ๘๗ ทานกุมัยต บิน ซัยดฺ ไดก ลาวบทกวขี องทานไวในเรื่อง “อลั -มัยมยี ะตุล-ฮาชิมียะฮ”ฺ วา : “ทานผูเปนวะศียฺ ผูซ่ึงราชบัลลังกแหงประชาชาติตองโนมลงราบเรียบแดทาน ทานคือผู อุดมไปดวยความอารี ความประเสริฐ, ความมีคุณธรรมและดําเนินกิจตาง ๆ ไดลุลวงและสงบ ทาน เปน ทั้งวะลีย,ฺ วะศียฺ, ผูกลาหาญ, เปนท้ังผูรูที่ไมเคยออนแอแมทามกลางโกลาหลใด ๆ ทานคือวะศียฺ ท่ีเปน วะศียขฺ องเสน ทางอันละเอยี ดออน เปนผตู อบโตคูปฏปิ กษใ นวาระที่ประจญั ศึก”(๔๕๖) ทานกะษีรฺ บิน อับดรุ เราะหมฺ าน บิน อัสวัด บิน อามิรฺ อัล-ค็อซซาอียฺ ไดกลาวกวีไวอีกตอน หนึง่ ซึ่งทา นไดเรียกกวีบทน้วี า “กะษรี ุล-อิซซะฮ”ฺ ดงั นี้ : (456) ทานอัลลามะฮฺ ชัยค มุฮัมมัด มะหฺมูด อัร-รอฟอีย ไดกลาวอธิบายกวีบทนี้ไวในตอน จบคําอธิบายหนังสือ ฮาชิมียาตุล-กุมัยต” วา : ความหมายในที่น้ีก็คือ ทานอาลี (ขออัลลอฮฺ ทรงเทิดเกียรติคุณทาน) ไดรับฉายาวาเปน “วะศียฺ” เพราะวาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺได แตง ตงั้ ทานไวเปนทายาทดังท่ไี ดมีรายงานเรอ่ื งนี้โดยคาํ บอกเลา จากทา นอิบนุ บรุ ัยดะฮฺ จาก บิดาของทาน สืบไปถึงทานนบีวา : สําหรับนบีทุกคนน้ันตางก็มีวะศียฺ สวนอาลีคือวะศียฺ ของฉนั และเปนผสู ืบมรดกของฉนั ” (ทานไดบันทึกอีกวา) ทานติรมิซียฺ ไดรายงานฮาดีษจากทานนบีอีกบทหนึ่งกลาววา “ผูใดที่ ฉันเปน เมาลา (ผูปกครอง) ของเขา ดงั น้ันอาลีกเ็ ปน เมาลาของเขาดวย” (ทา นบันทกึ ทึกอกี วา ) ทา นบคุ อรไี ดร ายงานฮาดีษบทหน่ึงจากทานสะอัดวา “ทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺไดออกไปทําสงครามตะบูกและร้ังทานอาลีไวใหอยูขางหลัง ทานอาลีกลาววา “ทานจะรั้งฉันใหอยูกับบรรดาเด็ก ๆ และสตรีกระน้ันหรือ ? “ ทานนบีไดกลาววา เจามิได ภูมิใจดอกหรอื ทเ่ี จา กบั ฉนั มฐี านะเชน ฮารนู กับมูซา เพียงแตจ ะไมมีนบีภายหลังฉันอีกแลว ” (ทา นไดบ ันทกึ อีกวา) ทานอิบนุ กัยส อัร-รอกียาคยงั ไดกลา วบทกวไี วอีกวา :
“ในหมูพวกเรามีนบีผูไดรับการสรรเสริญและผูซื่อสัตยในหมูพวกเรามีผูสํารวม ตนและผูปราดเปรื่องทางวิทยปญญาทั้งทานอาลี ทานญะอฺฟรผูขนาบปกสองดานเหลาน้ัน เขาเปนวะศียฺและปวงผพู ลีชีพ” (ทานไดกลาวอีกวา) : ความหมายเชนนี้พวกเขาเหลานั้นไดกลาวและพูดถึงกันในตัวของ ทานอาลีอยางมากมาย หลังจากนั้นทานก็ไดยืนยันส่ิงเหลานี้ไปตามท่ีเราไดอางมาเปน พ้นื ฐาน จาก “กะษรี ฺอิซซะฮ”ฺ “วะศียฺของทานนบี “มุศฏอฟา” และบุตรแหงลุงของทาน เปนผูกอบกูความตกต่ํา และเปน ผูตัดสินแกผ กู อความเสยี หาย” ทา นอาบตู ะมาม อัฏ-ฏออียฺ ไดก ลา วบทกวขี องทานวา “และกอนจากเขาผูน้ัน พวกทานไดใหสัตยสาบานแกการเปนวะศียของเขา เปนความ หายนะความสญู เสียอยา งชนิดท่ีไมมปี รมิ าณใดเปรียบเทียบตอการกระทําเชนนั้นได พวกทานจึงให ความชวยเหลอื กนั อยางเรงดวนเชน นัน้ มากอน พ่ีนอ งของเขาและบุตรเขยของเขาน้ัน ควรแกการยก ยองย่ิง ซ่ึงไมมีพี่นองและบุตรเขยคนใดเปนเสมือนอยางทาน ภารกิจของนบีมูฮัมมัดไดแข็งแกรง ย่ิงขนึ้ ก็เพราะเขา เหมือนอยา งทภี่ ารกิจของนบีมูซาไดแ ข็งแกรงเพราะฮารนู ของตน”(๔๕๗) ทานดะอฺบัล บิน อาลี อัล-ค็อซซาอียฺ ไดกลาวบทกวีท่ีคร่ําครวญถึงทานประมุขของเหลา บรรดาชาฮดี (อิมามฮุเซน) วา : “ศีรษะบุตรชายของลูกสาวมุฮัมมัดกับวะศียฺของเขา โอ อาลัยเหลือแดบุรุษท่ีถูกชูศีรษะขึ้น ปลายหอก” ทานอาบู อัฏ-ฏ็อยยิบ อัล-มะตันนะบียฺ ไดกลาวไวเปนการตําหนิผูทอดทิ้งการสรรเสริญ ตอ อะหลฺ ุลบัยตฺ ดังทม่ี ีปรากฏอยูในกวขี องทานวา : “ทานละทิง้ การสรรเสรญิ ตอ วะศียอฺ ยา งเจตนา ขณะทเ่ี ขาเปน รศั มนี ําเสนทางอนั อุดม ในเมอื่ สง่ิ ใดแผข ยายออก ทานก็จะยืนขึ้นดวยตัวของทานเอง คุณลักษณะประดุจแสงสวางแหงดวงอาทิตย ซึ่งจะขบั ไลความเหลวไหลทั้งปวงใหพนไป- ทานยังไดกลาวยกยองอาบูกอซิม ฏอฮิร บิน ฮุเซน บิน ฏอฮิรฺ อัล-อุลุวียฺ ไวดังท่ีปรากฏอยู ในกวขี องทานอกี บทหนงึ่ วา : “เขาคือบุตรแหงศาสนทูตของอัลลอฮฺ และบุตรของวะศียฺของทาน คุณลักษณะของบุคคล ท้ังสองนนั้ มสี ว นละมา ยกับทา นอยางหาที่เปรยี บเทยี บไมไ ด”
(๔๕๗) เปน บทกวีซง่ึ ทา นไดประพันธข้ึนมาในหนงั สอื กวขี องทาน บทกวีทํานองดังกลาวน้ียังมีอีกมากมายจนนับไมถวน และไมสามารถนํามาบันทึกใหหมด ได วัสลาม (ช) อัล-มุรอญิอะฮฺ ๑๐๙ ๒๓ รอบีอษุ -ษานี ๑๓๓๐ • ขอทราบท่ีมาขอหลกั การศาสนาแนวทางอมิ ามียะฮโฺ ดยละเอยี ด ขาพเจาไดก ลาวแกท านไวในอลั -มุรอญอิ ะฮทฺ ่ี ๑๙ วา “ผูที่นิยมการถือฝกฝายบางพวกท่ีตรงกันขามกับทานมีความสับสนเปนอยางยิ่งในสายสืบ ฮาดีษตาง ๆ จากมัซฮับของทาน ทั้งในสวนท่ีเปนขอปลีกยอยของศาสนาและในสวนที่เปนรากฐาน อันสําคัญ เกีย่ วเน่อื งไปจนถึงเรื่องของบรรดาอิมามแหง อะหฺลุลบัยตฺ เราตางกไ็ ดสญั ญาตอ กนั ไวว าจะดาํ เนนิ การสนทนากบั ทานในลกั ษณะนี้ บัดนี้ถึงเวลาท่ีเราไดสัญญากันแลว ฉะน้ันทานยินดีจะเสนออมูลตาง ๆ เพื่อคลี่คลายความ สบั สนของพวกเขาท่มี ีอยไู ดบ างหรือไม ? วัสลาม (ช) อัล-มรุ อญอิ ะฮฺ ๑๑๐ ๒๙ รอบีอุษ-ษานี ๑๓๓๐ ๑. แนวทางของบรรดาชีอะฮฺ เปนแนวทางที่สอดคลองตรงกันเปนเอกฉันทของบรรดาอิ มาม แหงอะหลฺ ุลบัยตฺ ๒. บรรดาชอี ะฮฺมวี ิชาการท่ลี ํ้าหนา มาตง้ั แตใ นสมัยของศออาบะฮฺ
๓. ผรู วบรวมตําราในหมูบรรพชน สมยั ตาบอิ นี และสมัยสานศุ ิษยข องตาบอิ นี ๑. บรรดานกั วชิ าการผูท รงคุณวุฒติ างก็ทราบดีดวยกันท้ังนั้นเก่ียวกับหลักการท่ีสําคัญอยาง ยิ่งของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ(๔๕๘) วา เปนการสืบวงทางวิชาการท้ังในเรื่องท่ีเกี่ยวกับพ้ืนฐานของศาสนา และเร่อื งที่เปน ขอปลกี ยอ ย โดยนกั ปราชญในอดตี ไดสืบไปจนถึงเชอื้ สายของผูบริสทุ ธ์ิ ดังนั้นวิชาการของพวกเขาจึงติดตามอยูกับวิชาการของบรรดาอิมามท่ีอยูในเช้ือสายมาโดย ตลอดท้ังในประเด็นของขอปลีกยอยและในประเด็นของเรื่องพื้นฐานที่สําคัญ ตอลดจนถึงเรื่องราว อ่นื ๆ ตา งกไ็ ดนาํ มาจากอลั -กุรอานและซุนนะฮฺ (แบบฉบบั ) ของทาน- (๔๕๘) นิตยสาร “อัล-ฮุดา” แหงประเทศอิรัคไดถายทอดอัล-มุรอญิอะฮฺบทน้ีลงใน นิตยสารดังกลาว โดยเผยแพรติดตอกันไปเปนสองภาคคือภาคที่หน่ึงและภาคท่ีสองพรอม ทง้ั ลงชือ่ ทา นอบั ดลุ ฮเุ ซน ชรั ฟดุ ดีนดว ย ศาสนทูตอีกทั้งเรื่องราวทางวิชาการทั้งมวลท่ีเกี่ยวของอยูกับหลักการทั้งสองนั้น พวกเขามิได กระทําการละเมิดในสิ่งตาง ๆ เหลานั้นแมแตประการใด นอกจากวาจะตองข้ึนอยูกับบรรดาอิมาม และพวกเขาจะไมวินิจฉัยสิ่งใด ๆ โดยมิไดยอนกลับไปพิจารณาตอคําวินิจฉัยของบรรดาอิมาม เพราะบุคคลเหลานั้นเปนผูยอมจํานนอยางส้ินเชิงตออัลลอฮฺผูทรงสูงสุด และพวกเขาแสวงหาความ ใกลชิดตอพระองคผูทรงไวซึ่งความบริสุทธ์ิดวยการยึดมั่นตอแนวทาง (มัซฮับ) ของบรรดาอิมาม แหงอะหฺลุลบัยตฺ พวกเขามิไดพบความเปล่ียนแปลงและมิไดมีความยินดีท่ีจะดัดแปลงกฎเกณฑใด ๆ จากมซั ฮับน้ีเลย ลกั ษณะดังกลา วนบี้ รรพชนผมู ีคุณธรรมของพวกเขาไดดําเนินกันมานับตั้งแตสมัยของทาน อามรี ุลมุมนี นี ทา นฮาซนั ทานฮูเซน (อ) จวบจนสมัยของเราในปจจุบันนี้ บรรดานักปราชญท่ีสําคัญ ตลอดจนถึงผูเชี่ยวชาญทางวิชาการของฝายชีอะฮฺจึงไดรับเอาหลักการที่เกี่ยวกับขอปลีกยอยและ รากฐานของศาสนามาจากบรรดาอมิ ามเหลา นน้ั ทุกทาน กลุมบุคคลผูมีความสํารวม มีความเขาใจและมีความละเอียดถ่ีถวนจํานวนมากไดรักษา หลักการเหลานี้ไวอยางสอดคลองตองกันโดยท่ีพวกเขาไดถายทอดสิ่งเหลาน้ีใหแกอนุชนรุนหลัง ตามแนวทางที่ตรงตอกันเปนเอกฉันท และบุคคลรุนหลังเหลาน้ันก็ไดถายทอดสิ่งดังกลาวใหแก อนุชนรุนหลังไปตามแนวทางอยางนอ้ี ีกตอ ๆ ไป
ลกั ษณะดังกลา วนเี้ ปนเร่ืองราวท่ีไดด าํ เนินอยูในบรรพชนและประชาชาติทุกรุน จวบจนได ยุติสมบูรณใหแกพวกเราในยุคปจจุบัน เปรียบเสมือนมีดวงอาทิตยที่เจิดจาซ่ึงไมมีหมอกเมฆใด ๆ มาปดบงั ฉะนั้นในปจจุบนั น้ีพวกเราจึงอยใู นหลักวชิ าการทั้งสิง่ ท่เี ปน ขอ ปลีกยอยและสิ่งที่เปนพื้นฐานสําคัญของศาสนาไปตามที่บรรดาอิมามซ่ึงเปนอา ลิ (ผูสืบตระกูล) ของทา นศาสนทูตไดถือปฏิบตั มิ ากอ น พวกเราจึงเรียนรูและดําเนินการปฏิบัติศาสนกิจตาง ๆ ทั้งหมดของเราไปตามแนวทางของ พวกเขา จากบรรพชนท้ังมวลของเราและจากที่บรรพชนท้ังมวลของเราไดรายงานบอกเลาไว ซ่ึงส่ิง ตา ง ๆ เหลานั้นก็มาจากบรรพชนท้ังมวลของพวกเขา สภาพการณดังกลาวไดเปนอยูในลักษณะนี้ในทุกยุคทุกสมัยท่ีไดสืบไปจนถึงสมัยของ ทานอิมามอาลี อัน-นะกียฺ (อิมามที่ ๑๐) สมัยของอิมามฮาซัน อัสการียฺ (อิมามที่ ๑๑) สมัยของทานอิ มามอาลีริฏอ (อิมามที่ ๘) สมัยของทานอิมามญะวาด สมัยของทานมูซา กาซิม (อิมามที่ ๗) สมัย ของทานอิมามญะอฺฟร ศอดิก (อิมามที่ ๖) สมัยของทานอิมามซัยนุลอาบิดีน (อิมามท่ี ๔) สมัยของ ทานอิมามบากิรฺ (อิมามที่ ๕) สมัยของทานอิมามฮาซันและอิมามฮูเซนชะฮีด ผูยิ่งใหญท้ังสองและ สมัยของทานอามรี ลุ มุมินนี (อ) ฉะนั้นในปจจุบันน้ีเราจึงไมสามารถที่จะรูถึงรายชื่อของบรรพชนนักปราชญชีอะฮฺท่ีเปน พรรคพวกของบรรดาอิมามแหงอะหฺลุลบัยตฺไดทั้งหมด การร่ําเรียนบทบัญญัติตาง ๆ ทางศาสนา และการรบั ชว งวชิ าการตา ง ๆ ของอิสลามตลอดจนถึงความรอบรูของพวกเขาเหลานั้นมีมากมายจน มิอาจจะพรรณนาถึงเกยี รติคุณของพวกเขาใหจบสิน้ ได คงจะเปนที่เพียงพอสําหรับทานท่ีจะพิสูจนกับวิชาการตาง ๆ ที่ถายทอดออกมาจากปลาย ปากกาแหงวิชาความรูของพวกเขา ที่เปนนักรวบรวมตําราซ่ึงมีความสามารถสูง โดยไมจําเปนท่ี จะตองสาธยายถึงจํานวนทั้งหมดของตําราเหลาน้ันลงในหนังสือเลมน้ี แตแนนอนท่ีสุดพวกเขาได ทําหนาท่ีถายทอดหลักวิชาเหลาน้ันมาจากรัศมีนําทาง (นูรุล-ฮุดา) แหงบรรดาอิมามผูเปนอาลิ (ผูสืบตระกูล) ของมูฮัมมัด (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทาน) นักปราชญเหลาน้ันไดเก็บรักษา ไดยินไดฟง และไดรับเอามาซ่ึงวิชาการ ตาง ๆ เหลา นนั้ จากพฤตกิ รรม คําสอนของบรรดาอิมามทงั้ หลาย ดังนั้นจึงถือไดว า น่นั คือพลงั ที่มาของวิชาการอกี ทั้งวทิ ยปญญาตาง ๆ ของพวกเขา โดยทม่ี ัน ไดถ กู รวบรวมข้นึ ตามเง่ือนไขของบรรดาอิมามเหลาน้นั
ฉะนั้นหลักวิชาการตาง ๆ ดังกลาวจึงเปนสถานท่ีแหงการยอนกลับไปหาความถูกตองของ บรรดานักปราชญช ีอะฮใฺ นยคุ หลงั ๆ โดยเหตุน้ีเองแนวทางของอะหฺลุลบัยตฺจึงมีลักษณะท่ีชัดเจนยิ่ง กวามัซฮับใด ๆ ของพ่นี องมุสลมิ ทงั้ หลาย กลาวคอื เรามิสามารถท่ีจะรูไดอยางแนนอนเลยวาผูคลอย ตามมซั ฮบั ของอมิ ามทัง้ ส่นี ้ัน จะมีมัซฮับใดบา งท่ีมลี ักษณะความเปน มาเสมือนดังท่ไี ดก ลาวไปแลว กลาวคือในสมัยหน่ึงของพวกเขาสําหรับมัซฮับหนึ่ง ๆ ของพวกเขาน้ันจะตองไดมีการ รวบรวมหนังสือข้ึนมา ซ่ึงก็เปนแตเพียงหนังสือท่ีประชาชนไดรวบรวมขึ้นมาเพื่อมัซฮับของพวก เขาเทานนั้ ดังนั้นจึงเกิดมีตํารับตํารากันขึ้นมาเปนจํานวนมากนับต้ังแตหลังจากท่ีสมัยของบุคคล เหลานน้ั ไดผา นไปแลว แตนั่นกย็ งั ถอื กันวายงั คงอยูในดา นของการคลอ ยตาม (ตักลดี ) ในมซั ฮบั ของ พวกเขาอยางเดิม และบรรดาอิมามก็ไดจํากัดวิชาการในประเด็นท่ีเปนขอปลีกยอยแกพวกเขา และ ในสมยั ที่พวกเขามชี วี ติ อยนู ้นั พวกเขาก็เปน เสมอื นหน่ึงบรรดานักปราชญทางศาสนบัญญัติ (ฟุเกาะ ฮาอฺ) และนักฮาดีษ กลาวคอื ยงั มไิ ดม กี ารจําแนกแยกแยะอนั ใดไวใ หเ ดด็ ขาดสาํ หรับพวกเขาเลย โดย นกั ปราชญทีอ่ ยูใ นมาตรฐานแหงความเช่ือถอื ของพวกเขา และดวยเหตนุ ้เี องจงึ ไดมีเงื่อนไขใด ๆ ตอ พวกเขาวาจะตองเปนผูควรจะไดรับความสําคัญโดยพฤติกรรมจากคําสอนของพวกเขาให เหมือนกับท่ีบรรดานักปราชญชีอะฮฺใหความสําคัญตอพฤติกรรมคําสอนของบรรดาอิมามมะอฺศูมีน (ผูไดรับการปกปองใหพนบาปทั้งหลาย) เพราฉะนั้นนักปราชญชีอะฮฺจึงถือวาเง่ือนไขที่สําคัญประการแรกนั้นจะตองข้ึนอยูกับ ความสําคัญของบรรดาอิมาม จะไมมีการอนุโลมใหยึดมั่นในหลักการอ่ืน ๆ เขามาเปนศาสนาโดย ปราศจากการยอมรบั ตอคาํ สอนของบรรดาอิมาม ดวยการยอมรับดังกลาวนี้เทาน้ันท่ีจะถือวาเปนการยอมรับตามแนวทางของพวกเขา อีกท้ัง มีการยึดม่ันอยางเด็ดเดี่ยวตอพวกเขาเหลาน้ันในแงของวิชาการทางศาสนา และจะตองพยายาม จนถงึ ท่ีสดุ ในอนั ทีจ่ ะดาํ เนนิ กิจการทุกอยางใหเ ปน ไปตามคําสงั่ สอนของบุคคลเหลานั้น โดยการให ความสําคัญและยอมรับในส่ิงตาง ๆ เหลาน้ี อยางชนิดที่มิสามารถเพ่ิมเติมอะไรข้ึนมาเองได ซึ่งถือ วา การกระทาํ เชนนัน้ เปนการศึกษาวชิ าความรทู ี่ไมถ กู ตองตามทศั นะของอัลลอฮฺ คงจะเปนที่เพียงพอสําหรับทานที่จะพิจารณาวาในสมัยของทานอิมามศอดิก (อิมามที่ ๖) นั้น ไดมีผูที่บันทึกวิชาการในดานรากฐานที่สําคัญของศาสนานับจํานวนถึง ๔๐๐ ทาน ซ่ึง หมายความวาใน ๔๐๐ ทานนี้ไดบันทึกตําราถึง ๔๐๐ เลม เปนตําราท่ีบันทึกขอวินิจฉัยตาง ๆ ของ
ทานอิมามศอดิก และบรรดาสหายของทานอิมามศอดิกซ่ึงมีอยูเปนจํานวนมากดังท่ีทานจะสามารถ พิจารณาดูรายละเอียดตาง ๆ เหลา นัน้ ไดใ นไมชา นี้ อินชาอัลลอฮฺ บรรดาอิมามท้ังส่ีมัซฮับน้ันไมมีทานใดท่ีจะไดรับความเช่ือถือจากประชาชนใหเหมือนกับ ฐานะของบรรดาอิมามแหงอะหฺลุลบัยตฺท่ีมีตอผูซึ่งปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขา (ชีอะฮฺ) เลย แมแตท านเดยี ว อีกทั้งในสมัยท่ีทานท้ังสี่มีชีวิตอยู พวกทานก็ยังมิไดมีฐานะที่ไดรับความสําคัญเหมือน อยา งเชนความสาํ คัญท่ีมีขึ้นในภายหลังจากที่ไดวายชนมไปแลว ดังที่ทานอิบนุ ค็อลดูน อัล-อะเราะ บียฺ ไดอธิบายถึงเรื่องนี้ไวในภาควิชาที่วาดวยวิชาการทางศาสนบัญญัติของนักปราชญท่ีมีช่ือเสียง ชั้นแนวหนา ซึง่ บรรดานกั ปราชญของพวกเขาจํานวนไมนอยตา งกไ็ ดร บั กนั ไวอ ยา งนั้น เก่ียวกับเร่ืองนี้เราจึงไมมีความสงสัยใด ๆ เลยวามัซฮับท้ังหลายของบุคคลเหลาน้ัน แทจริง ก็เปนเพียงมัซฮับของบรรดาสานุศิษยของพวกเขานั่นเอง ซ่ึงรายละเอียดตาง ๆ ในทุกแงทุกมุมที่มี ตอมัซฮับเหลานั้นไดขึ้นอยูกับพฤติกรรมของพวกเขาเอง และแนนอนที่สุด พวกเขาไดบันทึก รายละเอียดตาง ๆ เหลาน้ันลงในตําราของพวกเขา ท้ังน้ีก็เพราะวาบรรดาสานุศิษยของพวกเขาน้ัน ไดยอมรับตอมัซฮับของพวกเขา เสมือนกับท่ีบรรดาชีอะฮฺไดใหการยอมรับตอมัซฮับแหงบรรดาอิ มามของพวกตน ในฐานะทบี่ คุ คลเหลา น้ันไดยอมจํานนอยางส้ินเชิงตออัลลอฮฺโดยพฤติกรรมตาง ๆ จนถึงทส่ี ุด และไมม ีเจตนารมณของบคุ คลใดท่ีจะแสวงหาความใกลชิดตออัลลอฮฺใหไดอยูในระดับ ทีม่ ีความจริงแทใ หเ สมอเหมือนกบั พวกเขาได ๒. ผมู วี จิ ารณญาณทง้ั หลายตางก็รูกนั โดยปริยายแลววาบรรดานกั ปราชญชีอะฮฺนั้นมีการล้ํา หนาอยูในดานตําราทางวิชาการเหนือกวานักปราชญทั่ว ๆ ไป จะเห็นไดวาไมมีใครคัดคานในขอนี้ มากอนเลยนับตั้งแตในยุคแรก กลาวคือไมมีใครเกินหนาทานอาลีและผูทรงคุณวุฒิทางดานวิชาการ ท่ีเปน พรรคพวกของทาน โดยที่ในแงน้ีไดมีลักษณะที่แตกตางกับบรรดาสาวกท่ัว ๆ ไปในดานการอนุญาตใหบันทึก วชิ าความรู และหา มมิใหบันทึก ตามท่ีมีรายงานมาจากทาน “อัล-อสั กอ็ ลลานียฺ” ไดกลาวไวในคํานํา ของหนังสือ “ฟตหุล-บารียฺ” และบุคคลอ่ืน ๆ ตางก็ไดระบุวาทานอุมัรบิน ค็อฏฏ็อบและสาวกอีก กลุมหน่ึงถูกหามมิใหบันทึก โดยเกรงวาเขาจะบันทึกฮาดีษเขาไปปะปนกับอัล-กุรอานในขณะที่สิ่ง เหลานั้นไดถูกอนุญาตใหแกทานอาลีและทานฮาซันผูเปนทายาทท่ีรับชวงตอไปจากทานตลอด จนถึงบรรดาสาวกอีกจาํ นวนหน่ึง
สภาพการณในลักษณะดังกลาวนี้ยังคงมีอยูตลอดมาจนกระท่ังบรรดานักปราชญใน ศตวรรษทสี่ องคอื ชว งปลายของสมัยตาบิอนี ไดม กี ารยนิ ยอมใหร วบรวมวิชาการกนั ข้ึนมา ในชว งนนั้ เองทานอบิ นญุ ะรฮี ฺ กไ็ ดรวบรวมหนังสือของทานข้ึนโดยอาศัยขอมูลมาจากทาน มญุ าฮิดและทา นอะฏออฺแหงนครมักกะฮฺอกี ทั้งจากทานอัล-เฆาะซาลียฺอีกดวย ปรากฏวาหนังสือเลม นั้นเปนตําราท่ีรวบรวมหลักการตาง ๆ ในเร่ืองของอิสลามเลมแรกและนับวาเปนหนังสือเลมแรกที่ ไดถ ูกรวบรวมข้ึนโดยนกั ปราชญมสุ ลมิ ท่มี ิใชเ ปน ฝา ยชีอะฮฺ และถัดจากหนังสือเลมน้ันก็ไดแกตํารา ของทานมุอัมมัร บิน รอชิด อัศ-ศ็อนอานียฺ แหงเมืองยะมันเปนเลมที่สองถัดจากน้ันก็ไดแกหนังสือ “มวุ ัฏเฏาะอ”ฺ ของทา นอมิ ามมาลกิ เปนเลม ทส่ี าม ในบทนําของหนังสือ “ฟตหุล-บารียฺ” ระบุวาทานอัร-เราะบีอฺ บิน เศาะบีหฺเปนบุคคลแรกท่ี ไดรวบรวมตําราขึ้น ทั้งนี้ก็อยูในตอนปลายของสมัยตะบิอีนมาแลวแตอยางไรก็ตาม โดยมติที่เปน เอกฉันทแลว ถอื วาในสมยั แรกนั้น ไมม ีตาํ ราเลมใดสําหรบั พวกเขาเลย ! สวนทางดา นของทานอาลีและชีอะฮฺด (ผูอ ยใู นแนวทาง) ของทานนนั้ แนนอนท่ีสดุ พวกเขา ไดมีบทบาทกันมาในเร่ืองน้ีตั้งแตสมัยแรกอยูแลว กลาวคือตําราชิ้นแรกท่ีทานอามีรุลมุมินีนได รวบรวมไวไดแกพระคัมภีรของอัลลอฮฺ (ผูทรงอานุภาพสูงสุด) เพราะหลังจากท่ีทานอิมาม (อ) ได เสร็จส้ินจากการจัดแตงมัยยิตของทานนบี (ศ)แลวทานก็สาละวนอยูกับวิชาการโดยตัวของทานเอง โดยมเิ คยละท้งิ นอกจากเวลานมาซหรือรวบรวมอลั -กุรอานเทา นัน้ ทา นไดรวบรวมอลั -กุรอานโดยเรยี บเรยี งไปตามวาระของการประทาน และยังไดช้ีแจงถึง โองการที่เกีย่ วกบั ปญหาท่ัวไปและโองการที่เก่ยี วกบั ปญ หาจาํ เพาะ โองการทเ่ี กยี่ วกบั คาํ ส่งั หา มและโองการทีเ่ กี่ยวกบั คําชี้นํา โองการทเี่ กี่ยวกับกฎเกณฑท ่ีเดนชดั และโองการทเ่ี ก่ยี วกับกฎเกณฑแหง นยั ยะ โองการท่เี กยี่ วกบั การยกเลิกกฎเกณฑเกา และโองการท่ถี กู ยกเลิกคําสง่ั โองการทว่ี า ดว ยขอบังคบั และโองการทว่ี า ดวยกฎอนโุ ลม โองการที่วา ดวยจรยิ วตั แิ ละโองการทว่ี า ดว ยจริยธรรม ทานไดอธิบายถึงสาเหตุของการประทานมาในแตละโองการอยางชัดแจง นักปราชญบางทานเชนทานอิบนุ ซีรีน ไดกลาวอธิบายถึงคุณลักษณะของหนังสือเลมนั้น ไวว า :
“ถาขาพเจาไดมีโอการพบกับวิชาการตาง ๆ ที่มีอยูในหนังสือเลมนั้น แนนอนที่สุดเทากับ ชวยใหขาพเจาไดรูจักกับเหลาบรรดาสาวกผูเช่ียวชาญในการรวบรวมอัล-กุรอานอีกจํานวนไมนอย โดยมิใชวาพวกเขาเหลาน้ันจะสามารถรวบรวมเร่ืองราวแหงการประทานมาของอัล-กุรอานใหได ทั้งหมดไมและพวกเขาก็จะไดไมทอดทิ้งกับความสําคัญสวนหน่ึงสวนใดตามที่ขาพเจาไดรับรูมา” (๔๕๙) เพราะฉะน้ันทานอาลี (อ) จึงไดรวบรวมอัล-กุรอานพรอมดวยคําอรรถาธิบายใหเหตุผลใน แงตา ง ๆ หลงั จากทที่ านไดเ สร็จภารกิจจากเรอื่ งของคัมภีรอ นั ทรงเกยี รติแลว ทานกไ็ ดร วบรวม (๔๕๙) ทานอิบนุ ฮะญัร ไดอางเรื่องน้ีไวในหนังสือ “เศาะวาอิก” และนักปราชญอ่ืน ๆ อีก จํานวนไมนอ ย หนังสืออีกเลมหนึ่งใหแกทานหญิงฟาฏิมะฮฺ “ประมุขของเหลาสตรีแหงสากลโลก” ซึ่งเปนหนังสือ ที่บรรดาลูกหลานผูบริสุทธิ์ของทานไดรูจักในนามวา “มุศหัฟ ของฟาฏิมะฮฺ” ซ่ึงเปนหนังสือที่ ประมวลหลักการภาคปฏิบัติและบทบัญญัติตาง ๆ เปนคําสอนและขอเตือนสติ อีกท้ังเปนเรื่องราว และขอ มูลตาง ๆ ซึ่งเปนส่ิงที่จําเปนอีกท้ังสิ่งท่ีเปนความรักของประมุขของบรรดานบีนั่นคือศาสดา มุฮัมมัด (ศ) ผูเ ปน บิดาของทา นเอง ทานอิบนุ สะอัด ไดกลาวถึงเร่ืองน้ีไวในตอนทายของหนังสือท่ีมีช่ือเสียงของทาน โดย รวบรวมสายสืบของเร่ืองอางจนถึงทานอามีรุลมุมินีน (อ) และทานก็เห็นอยูแลววาทานบุคอรีและ ทานมุสลิมตางก็ไดกลาวถึงเร่ืองหนังสือ “เศาะฮีฟะฮฺ” เลมน้ี โดยที่ทานทั้งสองไดรายงานเก่ียวกับ เรือ่ งน้ไี วใ นภาคตา ง ๆ จากหนังสือศอฮี้ฮฺทง้ั สองเลม ของทา นทง้ั สอง หนงั สอื ทไี่ ดร วบรวมข้นึ หลักจากเลมน้กี ย็ ังอยใู นลักษณะเดิมโดยใชชื่อวา “เศาะฮีฟะฮฺ” สวนหน่ึงจากรายงานท่ีทานทั้งสองไดบันทึกไวน้ันทานไดอางเร่ืองน้ีมาจากทานอัล- อะอฺมชั จากทา นอิบรอฮีม อัต-ตัยมยี ฺ โดยทา งถงึ บดิ าของทา นวา “ทานอาลี (อัลลอฮฺทรงมีความชื่นชมตอทาน) ไดกลาววา : เราไมมีหนังสืออะไรท่ีจะให พวกทานอานนอกจากอลั -กุรอานกบั หนังสือเศาะฮีฟะฮฺเลมนี้” (ทานไดเลาตอไปอีกวา) : แลวทานก ไดนําหนังสือเลมนั้นออกมาซ่ึงปรากฏวาในน้ันมีขอความตาง ๆ ท่ีจารึกไวกับแผนหนังและ ขากรรไกรของอูฐ” (ทานไดกลาวอีกวา) : และในเร่ืองนี้เปนเมืองท่ีตองหามมิใหมีส่ิงรบกวนทําให มัวหมองตั้งแตอีรฺ จนถึงษูรฺ ดังนั้นผูใดที่กุเรื่องราวข้ึนมาในนั้น หรือละเมิดโดยเปนผูอุตริอยางใด อยางหน่งึ ข้นึ มา ดังนน้ั อลั ลอฮฺและมวลมะลาอิกะฮฺตลอดจนถงึ มนษุ ยท ง้ั มวลจะสาปแชงเขา”
ฮาดีษน้ีเปนประโยคท่ีบันทึกโดยทานบุคอรีในหมวดท่ีวาดวย“อิษม มิน ตะบัรอ มิน มะวา ลีฮ”ฺ จากกิตาบ “อัล-ฟะรออฏิ ” ภาคท่ี ๔ หนังสอื ศอฮฮี้ ขฺ องทา น(๔๖๐) และเรื่องนยี้ งั มีบนั ทึกอยใู นบาป ทว่ี าดว ย “ฟฏ ลุลมะดนี ะฮ”ฺ จากกิตาบ “อลั -หจั ญ” ภาคที่ ๑ จากหนงั สอื ศอฮีฮ้ ฺมุสลิม(๔๖๑) ทานอิมามอะหฺมัด บิน ฮันบัล ไดบันทึกรายงานเกี่ยวกับเรื่องของหนังสือ “เศาะฮีฟะฮฺ” นี้ ไวมากแหงในหนังสือมุสนัดของทาน สวนหน่ึงก็คือรายงานที่ทานไดบันทึกมาโดยทางถึงฮาดีษ ของทา นอาลีไวใ นหนาที่ ๑๐๐ ภาคท่ี ๑ ของหนงั สอื มสุ นัดวา “ทานฏอริก บิน ชิฮาบไดรายงานไววา : ฉันไดเห็นทานอาลี (ขออัลลอฮฺทรงมีความช่ืนชม ตอทา น) ไดกลาวคําปราศรัยบนมิมบัรฺวา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ เราไมมีหนังสือเลมใดที่จะอาน ใหพวกทานฟง (ฟง) นอกจากคัมภีรของอัลลอฮฺและหนังสือเศาะฮีฟะฮฺเลมน้ี ซึ่งแขวนติดอยูท่ีตาบ โดยทฉ่ี นั ไดร ับมอบมาจากทา นศาสนทตู อลั ลอฮฺ (ศ)” มีรายงานท่ีบันทึกอยูใน “ริวายะฮฺ อัศ-ศ็อฟฟาร” วาทานอับดุลมาลิกไดกลาววา ทานอิมาม อาบูญะอฺฟร ไดเรียกหา “หนังสือของทานอาลี” ดังนั้นจึงมีคนนําหนังสือดังกลาวไปใหแลว ทา นญะอฟฺ รกไ็ ดนาํ หนงั สือเลม นั้นออกมา ซึง่ มคี วามหนาเสมอขาพบั ในหนังสือเลม นั้นมีขอความหน่ึงระบวุ า “แทจ ริงสตรนี ้ันไมมีส่ิงใด(สินเดิม) จากชายท่ีเปน หมนั จะพึงไดแ กนาง. ในเมือ่ เขาไดเสยี ชวี ติ จากนางไป” ทานอิมามอาบูญะอฺฟรไดกลาววา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ นี่คือขอเขียนของทานอาลี ตามคําบอกของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ซ่ึงทานอามีรุลมุมินีน ไดสั่งสอนแกบุคคลตาง ๆ ใน กลุมชีอะฮฺ(ผูอยูในแนวทาง)ของทาน แลวพวกเขาก็ไดรวบรวมหนังสือเลมน้ันข้ึนไวเชน : ทานซัล มาน (๔๖๐) ดหู นา ๑๑๑ (๔๖๑) ดูหนา ๕๒๓ ฟาริซยี , ทานอาบูซัรฺ อัล-ฆ็อฟ ฟารยี ฺ สวนตามท่ีทานอิบนุชะฮัรฺ อัชวับไดบันทึกน้ันทานไดกลาววา “บุคคลแรกท่ีรวบรวมตํารา ในประวัติศาสตรอิสลามไดแกทานอาลี บิน อาบีฏอลิบ ถัดมาก็ไดแกทาน ซัลมาน อัล-ฟาริซียฺ และ ทา นอาบซู ัร” ผูที่รวบรวมตําราในสมัยน้ันก็ยังมีอีกเชน ทานอาบูรอฟอฺ คนใกลชิดของทานศาสน ทูตอัลลอฮฺ (ศ) และเปนผูจัดการกองคลัง (บัยตุล-มาล) ของทานอามีรุลมุมินีน (ความสันติสุขพึงมี
แดทาน) อีกดวย ทานผูนี้เปนปยมิตรคนสําคัญและเปนผูที่จงรักภักดีตอทานอาลีเปนพิเศษ ทานได รวบรวมหนังสือฮาดีษและบทบัญญัติทางศาสนา ตลอดจนหลักการตาง ๆ ท่ีสําคัญ โดยท่ีทานได รวบรวมมาจากฮาดีษของทานอาลโี ดยเฉพาะ ดังนั้นจะเห็นวาวิชาการสําหรับบรรพชนของเราน้ันอยูในระดับท่ีสูงสงมานมนานแลว ซ่ึง ตอมาก็ไดมีการถอยทอดวิชาการเหลานั้นโดยอาศัยแนวทางและสายสืบของพวกเขา ในจํานวนน้ีก็ ไดแกทานอาลี บิน รอฟอฺ (เรื่องราวท่ีเก่ียวกับประวัติการเกิดของทานผูน้ีมีอธิบายอยูในหนังสือ “อิ ศอบะฮฺ” วาทานเกดิ ในสมัยของทา นนบี แลว ทา นก็ไดข นานนามแกเ ขาวา “อาลี” ทานผูนี้เปนเจาของตําราเลมหน่ึงที่ประมวลหลักการทางศาสนบัญญัติ (ฟกฮฺ) ไวเปน มาตรฐานสําหรับมัซฮับอะหลฺ ุลบัยตฺและปรากฏวา บรรดาอมิ ามท้งั หลายของมซั ฮบั น้ี (ความสันติสุข พึงมีแดทานท้ังหลาย) ตางก็ใหความสําคัญเปนอยางย่ิงตอหนังสือเลมนี้และทานทั้งหลายก็ไดช้ีนํา บรรดาชอี ะฮฺ (ผอู ยใู นแนวทาง) ของพวกทานไดศ ึกษาจากหนงั สือเลม น้ี ทานมูซา บิน อับดุลลอฮฺ บิน ฮาซัน ไดกลาววา “ชายคนหนึ่งไดถามบิดาของขาพเจา เกีย่ วกบั การอาน “ตะชะฮุด” บิดาของขาพเจาไดกลาววา “จงนําหนังสือของอาบูรอฟอฺ มาเถิด” แลว ทานกไ็ ดเ สนอหนงั สอื เลม นนั้ ใหแกเ ขา โดยมอบหมายการบันทึกใหแ กพวกเรา ผูรวบรวมหนังสือ “เราฏฮตุล-ญันนาต” ไดเปดเผยวาหนังสือของอาบู รอฟอฺน้ัน นับเปน ตาํ ราทางศาสนบญั ญตั ิ (ฟกฮฺ) เลมแรกท่ถี กู รวบรวมไวในหมูนกั ปราชญชีอะฮฺ และทานผูนี้ (อัลลอฮฺ ทรงใหค วามเมตตาตอ ทาน) ยงั ไดก ลาวช้ีแจงในเรื่องนอ้ี กี วา ผูรวบรวมหนังสือเลมนั้นในสมัยตอมา ก็ยงั มอี กี เชน ทานอบุ ยั ดลิ ละฮฺ บนิ อาบูรอฟอ ฺ ผูเปนอาลักษณ และคนใกลชิดของทา นอาลี ซงึ่ ทานได รวบรวมไปตามทีไ่ ดรบั ฟง มาจากทานนบี (ศ) ที่ไดกลาวถึงทานอิมามญะอฺฟรวา “คุณสมบัติของฉัน และคณุ ลกั ษณะของฉนั ไดถ ูกนาํ มาแสดงไดเ หมอื น” นักปราชญจํานวนหนึ่งไดยืนยันเร่ืองน้ีไวเชน ทานอะหฺมัด บินฮันบัล ไดบันทึกไวในมุ สนัดของทาน และทานอิบนุ ฮะญัร ก็ไดกลาวไวในภาคแรกของหนังสือ “อิศบะฮฺ” ในหัวขอท่ี กลา วถึงชอื่ ของทานอบุ ยั ดลิ ละฮฺ บิน อัซลัม (เพราะวา ปูของบดิ าทานอาบรู อฟอนฺ ัน้ มีชื่อวา อซั ลมั ) วา ทา นอบุ ัยดิลลอฺ ไดรวบรวมหนังสือเลมน้ีในชวงที่ทานเปนผูหน่ึงในหมูมิตรสหายที่รวมทําสงคราม ศิฟฟน กบั ทานอาลี ทานก็ไดเห็นแลววาทานอิบนุฮะญัร ก็ไดอางถึงเรื่องนี้ไวในหนังสือ “อิศอบะฮฺ” หลายคร้ัง ขอไดโปรดพิจารณา(๔๖๒)
ผรู วบรวมหนังสอื ในยุคนั้นกย็ งั มที านเราะบีอะฮฺ บิน สะมือ อกี คนหน่งึ ทา นผูน้ีเปนเจา ของ หนังสือที่รวบรวมเรื่องราวของการจายซะกาตสัตวตาง ๆ จากฮาดีษของทานอาลีท่ีไดรับมาจาก ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) นอกจากนี้ก็ยังมีทานอับดุลลอฮฺ อิบนุ –หุรรุล-ฟาริซียฺ อีกคนหนึ่งซ่ึงทานเปนเจาของ หนังสือ “ลมุ อะฮฺ” ที่ประมวลฮาดีษตาง ๆ (๔๖๒) หมวดท่ีอธิบายชื่อ “ุบัยรฺ บิน อัล-หิบาบ บิน อัล-มันซุร อัล-อัน ศอรี” ในภาคที่ ๑ หนังสือ “อัล-อิศอบะฮ”ฺ จากทา นอาลีที่ไดรับมาจากทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (ศ) นอกจากน้ีก็ยังมีทานอัล-อัศบัฆ บิน นะบาตะฮฺ อีกคนหนึ่งซึ่งเปนสหายของทานอามีรุลมุ มินีน ทานผูน้ียึดม่ันตอทานอาลีอยางเด็ดเดี่ยว ทานไดรวบรวมคําสอนตาง ๆ มอบไปยังอัชตัร และ ไดมอบหมายเปนพินัยกรรมใหสืบตอไปยังมุฮัมมัดบุตรชายของทานบรรดานักปราชญของเราตาง ไดรับรายงานฮาดีษมาจากบุคคลท้ังสอง โดยสายสืบของพวกเขาท่ีมีไปถึงเรื่องนั้นเปนสายสืบที่ ถกู ตอง (ศอฮีฮ้ ฺ) นอกจากนี้ก็ยังมีทานซะลีม บิน กัยสฺ อัล-ฮิลาสียฺ อีกคนหน่ึงซ่ึงเปนสหายของทานอาลี (อ) เชนเดียวกัน ทานผูน้ีไดรับรายงานตาง ๆ มาจากทานอาลีและทานซัลมาน อัล-ฟาริซียฺ ทานผูนี้เปน เจาของตําราท่ีวาดวยเร่ือง “อิมามะฮฺ” ทานอิมามมุฮัมมัด บิน อิบรอฮีม อัล-นุอมานียฺ ก็ไดกลาวถึง เร่ืองน้ีไวในหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮฺ” วา “บรรดานักปราชญผูทรงคุณวุฒิทางวิชาความรูของฝาย ชีอะฮฺท้ังหมดตลอดจนผูที่ไดรับคําสอนมาจากบรรดาอิมามท้ังหลาย ตางก็ไมมีความเห็นขัดแยงกัน แตประการใดในประเดน็ ที่วา หนงั สือของทา นซะลมี บิน กัยสฺ อัล-ฮิลาสียฺน้ัน เปนรากฐานของตํารา ท้ังหลายท่ีรวบรวมหลักการข้ันพื้นฐาน ซ่ึงบรรดานักวิชาการและผูเชี่ยวชาญฮาดีษของอะหฺลุลบัยตฺ ตางก็ไดรับคําสอนมาจากหนังสือเลมนั้นและหนังสือเลมนั้นนับวาเปนพื้นฐานท่ีสําคัญยิ่ง ซ่ึง นกั ปราชญช อี ะฮฺจะตอ งยอนกลบั ไปพจิ ารณาหาความถกู ตองท่ีน่นั ” แนนอนที่สุดนกั ปราชญของเราตางก็มีบทบาทในการกลาวถึงผูรวบรวมตําราที่อยูในระดับ ท่ีไดมาตรฐานเหลานั้นจากบรรพชนผูมีคุณธรรมของพวกเขา ขอทานไดพิจารณาดูบรรณานุกรมให รายละเอยี ดเก่ียวกับประวตั ขิ องบคุ คลดเู ถดิ ๓. สวนผูรวบรวมตําราในสมัยที่สองแหงบรรพชนของเรา (สมัยตาบิอีน) นั้น “หนังสือมุ รอญอิ าต” ของเราฉบับน้ีมีเนื้อที่นอยเกิดไปกวาการที่จะอธิบายเก่ียวกับเรื่องของพวกเขาไดท้ังหมด ผูท ส่ี นใจใครจ ะรจู ักกบั พวกเขาเหลา น้ันและทาํ ความรูจักกับตํารับตําราของพวกเขาที่ไดรวบรวมไว
อยางละเอียด ก็เห็นจะตองอาศัยบรรณานุกรมและตํารางตาง ๆ จากนักปราชญของพวกเราที่ได อธิบายเร่อื งราวของนักปราชญต าง ๆ เทา นนั้ เอง(๔๖๓) ในสมัยน้ันนับไดวาเปนชวงที่รัศมีของอะหฺลุลบัยตฺประสบกับความรุงเรืองสมัยหนึ่ง ท้ัง ๆ ทีก่ อนหนาน้ันเหตกุ ารณตา ง ๆ ไดถกู ปกคลุมไวด ว ยหมอกเมฆอันมืดทึบของผูอธรรม เน่ืองจากการ กอโศกนาฏกรรมที่กัรบะลาอฺซ่ึงฝายศัตรูไดประหัตประหารบรรดาอาลิ (ผูสืบตระกูล) ของมุฮัมมัด (ศ) อิทธิพลของฝายศัตรูจึงตกต่ําลงไปจากทัศนะของบรรดาผูมีสติปญญา นักวิชาการระดับสูงตาง ไดใ หความสนใจตอ ภยั ทีป่ ระสบแกอ ะหฺลลุ บยั ตฺ เพราะพวกเขาไมมีโอกาสท่ีจะไดพ บกับทานศาสน ทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) บรรดาประชาชนตางใหความสําคัญกับเหตุการณท่ีรายแรงในครั้งน้ันโดยมุง ประเด็นไปยังตนเหตุ ซึ่งพวกเขาตางก็มีความเขาใจอยางลึกซึ้งตอสาเหตุของเรื่องน้ัน พวกเขาจึงได รถู ึงตนตอและรากเหงา ของมนั ดวย ดวยเหตุน้ีเองบรรดามุสลิมผูกลาหาญตางไดลุกข้ึนมาปกปองฐานภาพของอะหฺลุลบัยตฺ ตลอดทัง้ ใหการสนับสนุน ทั้งนี้เน่ืองจากวิสัยทางธรรมชาติของมนุษยน้ันตองใหความชวยเหลือแก ผทู ไ่ี ดร ับความอยตุ ิธรรม เพอื่ ใหพ น จากอุง มอื ของผูอธรรม เชน หลังจากเหตุการณอันรายแรงคร้ังน้ันไดผานไปแลว บรรดามุสลิมท้ังหลายก็ไดเขามาสู บรรยากาศใหม กลาวคือ พวกเขาได (๔๖๓) เชน บรรณานุกรมของทานอัล-นะญาซียฺ, หนังสือ “มุนตะฮาอัล-มะกอล” ท่ีระบุ เรื่องราวของนักปราชญตาง ๆ โดยทานซัยคฺ อาบูอาลี, หนังสือ “มินฮะุล-บะกอล” ที่ อธิบายเร่ืองราวของนักปราชญโดยทานมีรซา มูฮัมมัดและตําราอ่ืน ๆ ของบรรดา นกั ปราชญที่ไดร วบรวมขึ้นมาใหล ักษณะนี้อีกเปนจาํ นวนมาก มอบหมายความจงรักภักดีใหแกทานอิมามอาลี บิน ฮุเซน-ซัยนุล-อาบิดีน โดยท่ีพวกเขาไดใหการ ยอมรับอยางเด็ดเดี่ยวตอทานในวิชาการท้ังที่เปนขอปลีกยอยและที่เปนพื้นฐานสําคัญของศาสนา และยอมรับในทุกส่ิงทุกอยางที่ทานอิมามไดนํามาจากคัมภีรอัล-กุรอานและซุนนะฮฺ จากบรรดาผูมี คุณธรรมท้ังหลายของอิสลามในอดีต และหลังจากสิ้นสมัยของทานแลวบรรดาประชาชนตางก็ให การยอมรบั ตอ ทานอมิ ามอาบู ญะอฟฺ ร อลั -บากิร (อ) บตุ รชายของทา นอกี ตอไป ปรากฏวาบรรดามิตรสหายของอิมามทั้งสองด (ซัยนุลอาบิดีนและมูฮัมมัดบากิร) น้ี เปน นักปราชญท่ีไดรวบรวมตํารับตําราข้ึนจนไมสามารถจะคํานวณนับใหหมดได แตทวาไดมีผูบันทึก ช่ือของบุคคลเหลาน้ันตลอดจนถึงเร่ืองราวตาง ๆ ของพวกเขาไวในตําราบรรณานุกรมฉบับตาง ๆ
วาผูเช่ียวชาญในวิชาความรูซ่ึงไดร่ําเรียนมาจากทานทั้งสองนั้นมีประมาณ ๔,๐๐๐ คน ตํารับตําราท่ี บคุ คลเหลาน้ันไดร วบรวมขน้ึ มีประมาณ ๑๐,๐๐๐ เลม หรอื มากกวานัน้ นักปราชญของเราในรุนตอ ๆ มาทุกทานตางก็ไดศึกษาเรื่องราวเหลานั้นมาจากพวกเขา โดยสายสบื ทม่ี แี ตความถกู ตอง (ศอฮ้ฮี ฺ) และกลมุ นักปราชญท่ีเปนเลิศทางวิชาการเหลานี้ตางก็ไดทํา หนาท่ีบริการรับใชทานอิมามท้ังสอง และตอมาก็ไดทําหนาที่ชวยเหลือสนับสนุนทานอิมามศอดิก ผูเปนทายาทของอิมามทั้งสอง (ความสันติสุขพึงมีแดพวกทาน) ตอไปอีกดวย จึงถือไดวาเปนโชคดี อยางมหาศาลของนักปราชญกลุมน้ันท่ีพวกเขาไดมีโอกาสพิชิตมาไดซ่ึงวิชาความรูและพฤติกรรม ตาง ๆ ดวยความวิริยะอตุ สาหะอยางสงู นอกจากนี้ทานอาบู สะอีด อุบาน บิน ตัฆลิบ บิน ริ บาหฺ อัล-ญะรีรียฺ ก็เปนอีกทานหนึ่งที่มี ความรูทางดานศาสนบัญญัติ (ฟกฮฺ) อีกท้ังมีความเช่ียวชาญทางดานฮาดีษและเปนผูมีความ ปราดเปร่ืองในวิชาการเกี่ยวกับรากฐานของภาษาเปนอยางยิ่ง ทานเปนผูมีความสําคัญคนหนึ่งของ ประชาชน โดยที่ทานมีโอกาสพบกับบรรดาอิมามถึงสามทานดวยกัน ดังน้ันทานจึงไดรับรายงาน วิชาความรูตาง ๆ จากบรรดาอมิ ามอยา งมากมาย อกี ทั้งยงั ไดบ นั ทกึ ฮาดษี ตา ง ๆ ไวจาํ นวนมาก ขอใหท า นไดท ราบไวดวยวา บคุ คลผูน้ไี ดรับรายงานฮาดีษมาจากทานอิมามศอดิกเพียงทาน เดียวถึง ๓๐,๐๐๐ ฮาดษี (๔๖๔) ดงั เชน ทท่ี า นอัล-มรี ซา มุฮัมมดั ไดร ายงานไวใ นหนงั สอื “มนิ ฮะุล-มะ กอล” หมวดที่อธิบายถึงเร่ืองของการอุบานโดยอางสายสืบไปถึงอุบาน บิน อุษมาน วาไดรับ รายงานฮาดษี มาจากทา นอิมามศอดกิ (ความสนั ติสุขพึงมีแดท าน) และปรากฏวา ทา นเปนผูเจริญรอย ตามบรรดาอมิ ามเหลา นน้ั ทุกยางกา ว ทานอิมามบากิร (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) เคยไดกลาวแกทานในคร้ังหนึ่ง (ในขณะที่ บุคคลท้ังสองอยูในนครมะดีนะฮฺ) วา “ฉันไดนั่งชุมนุมอยูในมัสญิดทามกลางประชาชนอยูเสมอ เพราะฉนั รกั ท่ีจะใหพวกเขามองชอี ะฮฺ(ผอู ยใู นแนวทาง)ของฉนั ใหเ หมอื นอยางทา น” ทา นอิมามศอดกิ (ความสนั ตสิ ุขพงึ มีแดท า น) กเ็ คยไดก ลาวแกทา นวา “ชาวมะดนี ะฮทฺ เ่ี ปน ผู มีวิจารณญาณน้ันจะรูวาแทจริงฉันรักที่จะใหบุคคลท่ีเปนสานุศิษยและเปนนักปราชญของฉันไดมี แบบอยา งเหมอื นกับทา น เม่ือตอนทีเ่ ขาเขามายังนครมะดนี ะฮฺ ทา นกไ็ ดแ สดงมารยาทตอเขา และได ทําใหเ ขาเปนผจู ํานนตอ ทานนบี (ศ)” ทานอิมามศอดิก (อ) ไดกลาวแกทา นซะลีม บนิ อาบู ฮับบะฮฺ วา “ทา นจงรับเอาวชิ าการของ ทานอบุ าน บิน ตัฆลิบ เถดิ เพราะวา เขาได
(๔๖๔) บรรดานักวิชาการระดับอิมามทั้งหลายตางไดระบุถึงเรื่องน้ีเชนทานซัยค อัล-บะฮา อียฺ ตามท่ีไดระบุไวในหนังสือของทาน และบรรดานักปราชญของประชาชาติอิสลามอีก จาํ นวนไมนอยตา งกไ็ ดร ะบุไว ร่ําเรียนฮาดีษไปจากฉันเปนจํานวนมาก ฉะน้ันอันใดท่ีเขาไดเลาใหทานฟงก็น่ันแหละคือเร่ืองท่ีเขา ไดร บั มาจากฉัน” ทานอิมาม (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ไดกลาวแกทานอุบาน บิน อุษมาน “แทจริงทานอุ บาน บนิ ตัฆลิบ ไดบ นั ทกึ ฮาดีษจากฉนั ไปจํานวน ๓๐,๐๐๐ ฮาดษี ดังนั้นทานจงไปรับรายงานฮาดีษ เหลาน้ันจากเขาเถิด” ปรากฏวาเม่ือทานอุบานไดเขาไปหาทานอิมามศอดิก ทานอิมามก็ใหเกียรติและใหการ คารวะตอทาน อีกทั้งยังไดสั่งใหบรรดาสานุศิษยแสดงคารวะแกทานอุบานทุกคน คร้ันเมื่อทานอุ บานไดถึงแกกรรมทานอิมาม (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ไดกลาววา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ หัวใจของขาฯ มีความหมนหมองอยางยง่ิ เกี่ยวกับการตายของทานอบุ าน” ทานอุบานไดเสียชีวิตใน ฮ.ศ.๑๔๑ รายงานฮาดีษตาง ๆ ของทานอุบานนั้นมีท้ังท่ีไดมาจาก ทานอานัส บนิ มาลกิ ทานอะอบฺ ชั ทา นมุฮัมมัด บนิ อลั -มุนกะดิร ทานสมิ าก บิน ฮะร็อบ ทานอิบรอ ฮีม อัน-นคั อียฺ ทา นฟะฏีล บนิ อัมรฺ ทา นอัล-ฮุกมฺ แนนอนท่ีสุดทานมุสลิมและบรรดานักปราชญอะหฺลิซซุนนะฮฺท้ังส่ีมัซฮับตางก็ไดใหการ ยอมรบั ตอ ทา นผนู ้ีดงั เชน ทเ่ี ราไดอธบิ ายในรายละเอยี ดผานไปแลวในอลั -มุรอญอิ ะฮฺท่ี ๑๖ สวนการที่ทานบุคอรีมิไดใหการยอมรับตอทานผูนี้ ก็มิไดหมายความวาจะเปนความ เสียหายแกทานอุบานเลย เพราะทานเปนผูคงไวซ่ึงแบบแผนตาง ๆ ของบรรดาอิมามแหงอะหฺ ลุลบัยตฺ อันไดแก ทานอิมามศอดิก ทานอิมามกาซิม ทานอิมามริฏอ ทานอิมามญะวาด อัต-ตะกียฺ ทานอิมามฮาซัน อัล-อัสกะรียฺอัซ-ซะกียฺ เพราะในเม่ือทนบุคอรีมิไดใหการยอมรับตอบุคคลเหลาน้ี ก็เทากับทานมิไดยอมรับตอทายาทผูย่ิงใหญ (ของทานศาสดา) ผูเปนประมุขของผองหนุมชาว สวรรคไ ปดว ยน่ันเอง ใชแลว...ทานบุครีกลับใหการยอมรับตอมัรวาน บิน ฮุกมฺ ทานอิมรอน บิน หิฏอน ทานอิก รอมะฮฺ อัล-บัรบะรยี แฺ ละบุคคลอื่น ๆ ท่อี ยใู นลกั ษณะเชนเดียวกับบคุ คลเหลานี้ “แทจ ริงเราเปน สทิ ธิของอัลลอฮฺ และแทจ รงิ เราจะตอ งเปนผูคืนกลบั สูพระองค”
ทานอุบานเปนเจาของตําราที่มีคุณคาจํานวนหลายเลม สวนหนึ่งจากตําราเหลาน้ันก็คือ “ตัฟสีร ฆอรีบ อัล-กุรอาน” ซึ่งในตําราเลมน้ีไดรวบรวมบทกวีของชาวอาหรับไวอยางมากมายเพ่ือ เปนการยืนยันประกอบกบั เรอ่ื งราวตา ง ๆ ท่มี ีปรากฏอยูในคมั ภรี อลั -กุรอานอันทรงวิทยปญ ญหา หนังสือเลมนี้ไดทําใหมีตําราตาง ๆ เกิดข้ึนอยางมากมาย เชน ทานอับดุร เราะหฺมาน มุฮัม มัด อัล-อะซะดียฺ อัล-กูฟยฺ ทานผูนี้ไดรวบรวมตํารามาจากหนังสือของทานอุบาน ทานมูฮัมมัด บิน อัซ-ซาอิบ อัล-กัลปบียฺ และทานอิบนุ เรากฺ อะฏียะฮฺ บิน อัล-ฮาริษ ก็ไดรวบรวมตําราข้ึนมาจาก หนงั สือเลมน้นั ช่ือวา “วาฮิด บยั นะ มาอิกตะละฟู ฟฮ ฺ” และหนังสือ “อติ ตะฟะกอู ะลยั ฮ”ิ กลาวคอื ในครัง้ แรกทานไดนําขอมูลมาจากหนังสือของทานอุบานเพียงเลมเดียว และตอมา ทา นก็ไดนําขอมูลตา ง ๆ มาผนวกกับผลงานของทานอบั ดุรเราหมฺ าน แนนอนท่ีสุดบรรดานักปราชญของเราตางก็ไดร่ําเรียนมาจากหนังสือท้ังสองเลมนี้โดยมี สายสืบทีล่ ะเอยี ดถีถ่ ว นและกระแสรายงานท่แี ตกตา งกนั หนังสือที่สําคัญของทานอุบานก็คือหนังสือ “อัล-ฟะฏออิล” และหนังสือ “ศิฟฟน” ซ่ึงเปน หนังสือท่ีถือวาเปนรากฐานที่สําคัญซึ่งนักปราชญของฝายอิมามมียะฮฺไดยึดม่ันเปนอยางย่ิงตอ หนังสือนนั้ ในวิชาการทีเ่ กี่ยวกบั บทบัญญัติตาง ๆ ทางศาสนา ตําราท้ังหมดของทานตางไดรับการถายทอดโดยถือเปนมาตรฐานทางดานสายสืบ สวน รายละเอียดตา ง ๆ ของทานมบี นั ทึกอยใู นตาํ ราทอี่ ธบิ ายถงึ บเรอื่ งของนักปราชญเลมตา ง ๆ นอกจากน้ีทานอาบู ฮัมซะฮฺอัษ-ษุมาลียฺ ษาบิต บิน ดีนารฺ ก็เปนอีกทานหนึ่งที่ถือวามี ความสําคญั อยา งยิง่ สําหรบั บรรพชนผูมคี ุณธรรมและผูม คี วามรูของพวกเรา ทานผูน้ีไดรับวิชาการมาจากทานอิมามถึงสามสมัย (ทานอิมามศอดิก ทานอิมามบากิรและ ทานอมิ ามซยั นุลอาบดิ ีน) –ขอความสนั ตสิ ขุ พึงมีแดทา น- ทานอาบู ฮัมซะฮฺ เปนผูยึดม่ันอยางเด็ดเด่ียวทีกท้ังเปนผูมีความใกลชิดอยางย่ิงตอบรรดาอิ มามเหลา นน้ั ซ่ึงทานอิมามศอดิกไดเคยยกยองทานวา “อาบู ฮัมซะฮฺในยุคน้ีอุปมาดั่งซัลมาน อัล-ฟา รซิ ียฺในสมยั โนน ” ทานอิมามอาลี ริฏอ (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ก็ยังไดกลาวสดุดีวา “ทานอาบู ฮัมซะฮฺ มี อุปมาด่งั เชน ทานลกุ มานในยุคของตน”
ทานผูน้ีไดรวบรวมตํารา “ตัฟสีร อัล-กุรอาน” ทานจะเห็นวาทานอิมามอัฏ-ฏ็อบรอซียฺ ได อางถึงเร่ืองของทานไวใน “ตัฟสีรมัจญมุอุล-บะยาน”(๔๖๔) และทานยังไดรวบรวมหนังสือ “อัล-นะ วาดิร” หนงั สอื “อซั -ซะฮดิ ” และหนงั สอื “รซิ าละตลุ -ฮุกูก(๔๖๕) (๔๖๔) โปรดดู “คัฟสีรมัจูมุอุล-บะยาน” ตอนท่ีอธิบายโองการ (จงกลาวเถิด ฉันมิไดขอ รางวัลใด ๆ จากพวกทานเก่ียวกับการน้ันนอกจากความจงรักภักในญาติสนิทของฉัน) จากซูเราะฮฺ “อซั -ซรู อ” ทานจะพบวา ไดอ า งคําอธิบายมาจากตฟั สีรของทา นอาบูฮัมซะฮฺ (๔๖๕) นักปราชญท้ังหลายของเราไดรับรายงานมาจากตําราตาง ๆ ของทานอาบูฮัมซะฮฺ โดยตําราทุกเลมเหลาน้ันตองอาศัยสายสืบไปจนถึงทาน ดังมีรายละเอียดอยูในหนังสือท่ีวา ดวยเรื่องราวของนักปราชญเลมตาง ๆ ทานซัยยิดศ็อดรุด-ดีน อัล-มูเซาวียฺ ไดสรุปหนังสือ “รซิ าละตลุ -ฮฺกูก” และตีพิมพไวเปนเลมเล็ก ๆ เพ่ือใหบรรดามุสลิมไดศึกษา นับวาเปนงาน ท่ปี ระเสรฐิ ตรงตามเปา หมายของอลั ลอฮทฺ ีท่ รงมอบมาใหแ กบรรดามุสลมิ ทา นไดร บั รายงานเรอื่ งตาง ๆ ในหนังสือเลมนม้ี าจากทา นอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ) และทาน ยังไดบันทึกบทดุอาอฺในเร่ืองตาง ๆ มาจากทานอิมามผูน้ีดวย ซ่ึงทานไดพรรณาเกี่ยวกับเรื่องของ ดวงอาทติ ยแ ละดวงจนั ทร ทานผูน้ีไดรับรายงานฮาดีษมาจากทานอานัส ทานชุอฺบียฺแลวทานวะกีอฺ กับทานอาบูนะอีม ตลอดจนถึงนักปราชญกลุมหนึ่งในยุคนั้นของพวกเราและกลุมอ่ืน ๆ ก็ไดรับวิชาความรูถายทอดมา จาทาน ตามท่เี ราไดอธบิ ายถึงเรือ่ งราวของทานมาแลว ในอลั -มุรอญิอะฮฺท่ี ๑๖ กลุมนักปราชญอีกรุนหนึ่งซึ่งพวกเขามิไดพบกับทานอิมามซัยนุลอาบิดีน หากแตพวกเขา ไดมีความเช่ียวชาญในวิชาความรูโดยไดอยูรับใชทานอิมามบากิรกับทานอิมามศอดิก (ความสันติ สขุ พึงมีแดทาน) บุคคลกลมุ นค้ี อื : ทานอาบูกอซิม บะรีด บิน มุอาวิยะฮฺ อัล-อัจญลียฺ ทานอาบูบะศีร อัล-อัศฆ็อร ละบีษ บิน มุ รอด อัล-บัคตะรียฺ ทานอาบูฮาซันซิรอเราฮฺ บิน อะอฺยุน ทานอาบูญะอฺฟร มูฮัมมัด บิน มุสลิม บิน ริ บาทฺ อัลกูฟยฺ อัฏ-ฏออิฟยฺ อัษ-ษักฟยฺและนักปราชญผูชีนําอีกจํานวนหนึ่งซ่ึงเปนดวงประทีปที่จรัส แสงสาํ หรบั ประชาชาติ ซงึ่ ไมส ามารถจะเอยนามของบคุ คลเหลาน้นั ใหหมดได สําหรับผูทรงคุณวุฒิ ๔ ทาน ตามที่เราไดกลาวถึงไปแลวนั้นลวนเปนผูท่ีอุดมไปดวย วิชาการอยางกวางขวาง เปนผูพิชิตตอวิชาความรูดวยวิริยาอุตสาหะอยางสูง และเปนผูที่มีฐานภาพ ทางวิชาการข้ันลึกซึ้ง จนถึงกับวาทานอิมามศอดิกเองยังไดกลาวขวัญถึงพวกเขาไววา “บุคคล
เหลา นีเ้ ปน หลักประกันของอัลลอฮฺเกี่ยวกับสิ่งที่เปนของอนุมัติ (ฮะลาล) และส่ิงท่ีเปนของตองหาม (ฮะรอม)” ทานไดกลาวอีกวา “ฉันไมเคยพบใครสักคนที่สามารถใชชีวิตใหไดอยางที่เรากลาวถึง นอกจากทานซะรอเราะฮฺ ทานอาบูบะศีร ลัยษ ทานมูฮัมมัด บิน มุสลิม และทานบะรีด และถาหา กวาไมม ีบุคคลเหลา นแี้ ลว กจ็ ะไมม ีใครอีกเลยที่สามารถคน ควาเร่ืองเหลา น้ใี หแตกฉานได” ทานอิมามยังไดกลาวอีกวา “บุคคลเหลานี้คือผูพิทักษรักษาศาสนาและเปนหลักประกัน แหงบิดาของฉันเกี่ยวกับส่ิงที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติและส่ิงที่อัลลอฮฺทรงหวงหาม พวกเขาเปนผูมีความ ดีงามรดุ หนา สาํ หรับพวกเราในโลกน้แี ละในปรโลก” ทานอิมาม (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ยังไดกลาวอีกวา “ขาวดีท่ีสุดสําหรับผูมีความรู เหลานี้คือสวนสวรรค” หลังจากนั้นทานไดกลาวถึงบุคคลท้ังสี่วา “บิดาของขาพเจาใหความ ไววางใจตอพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติและส่ิงที่หวงหามของพระองค และเปนที่ ตรวจสอบวิชาความรูของทาน และในวันน้ันอีกเชนกันพวกเขากับขาพเจาจะเปนผูที่ผูกมัดชีวิตตอ กัน และเปนสหายท่ีแทจริงสําหรับบิดาของขาพเจา พวกเขาเปนดวงดาวสําหรับชีอะฮฺ (ผูที่อยูใน แนวทาง) ของฉันทั้งในยามท่ีมีชีวิตอยูและในยามที่ตายไปแลว สําหรับพวกเขาน้ันอัลลอฮฺทรงเปด โอกาสใหในทุกส่ิงทุกอยางที่เปนกิจกรรมริเริ่ม พวกเขาไดดําเนินไปตามกฎเกณฑของศาสนานี้ อยา งองอาจกลา หาญและขยายความหมายตาง ๆ ไดอยางลึกซึ้ง คําสดุดีของทานอิมามท่ียืนยันถึงเกียรติคุณ ความประเสริฐ เกียริยศและความภักดีสําหรับ บุคคลเหลานั้นนอกเหนือจากนี้ยังมีอีกมากมาย ซ่ึงไมอาจนําประโยคตาง ๆ นั้นมาอธิบายใหหมด ส้นิ ได แตใ นขณะเดยี วกันนี้ฝา ยท่ีเปนปฏิปกษกับอะหฺลุลบัยตฺก็พากันโจมตีพวกเขาดวยความมีอคติ อยา งชดั แจงในทุกรูปแบบ ดังเชนท่ีเราไดกลา วถึงรายละเอยี ดของเร่อื งนไ้ี ปแลวในหนงั สอื “มคุ ตะศิ รุล-กะลาม” ซ่ึงไดกลาวสรุปเรื่องราวของบรรดานักรวบรวมตําราฝายชีอะฮฺในประวัติศาสตร อสิ ลาม จะเห็นไดว า ไมม นี ักตอ สูค นใดอกี แลวท่ีผานพบกับฐานภาพในดานนี้ใหเหมือนกับพวกเขา ได พวกเขาไดป ระสบกับอุปสรรคอันยงิ่ ใหญในทัศนะของอลั ลอฮแฺ ละศาสนทตู ของพระองค ตลอด จนถึงในทัศนะของบรรดาศรทั ธาชนทั้งหลาย เสมอื นดงั เชนทกี่ ารประทุษรายตอบรรดานบีทั้งหลาย นัน้ ไมม อี นั ใดจะแผวพานบรรดานบีของอัลลอฮฺไดนอกจากเพ่ิมพูนเกียรติยศใหสูงสงย่ิงข้ึน และไม
มผี ลกระทบแตประการใดตอศาสนบัญญัติของพวกเขาเหลาน้ันเลย นอกจากทําใหการเผยแพรมีผล มากยงิ่ ขนึ้ แกผ ูท่รี ักสัจธรรม และเปน ท่ียอมรบั ในจติ ใจของบรรดาผมู สี ตปิ ญ ญามากขน้ึ เทา นัน้ เอง วิชาการท่ีไดเผยแพรขึ้นในสมัยของทานอิมามศอดิก (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) น้ัน เปนไปอยางกวางขวาง บรรดาชีอะฮฺ (ผูอยูในแนวทาง) แหงบรรพบุรุษของทานอิมาม (อ) จากทั่ว ทุกสารทิศตางก็ไดระดมกันมาหาทาน ทานไดตอนรับบุคคลเหลาน้ันดวยความสามารถในวิชา ความรูและทุมเทวิชาการใหแกบุคคลเหลานั้นดวยความปราดเปร่ืองของทาน ทานมิไดหันเหจาก ความพยายามในอันท่ีจะอบรมสั่งสอนและทานมิเคยมีความเหน่ือยยากในอันที่จะมอบหมายวิชา ความรอู นั ลกึ ซึง้ อีกท้งั วทิ ยปญญาอนั ละเอียดออ นและเรื่องราวที่เปนสัจธรรมท้ังหลายใหแกพวกเขา ดังเชนท่ีทานอาบุลฟตหุช-ชะฮฺร็อสตานียฺไดใหการยอมรับตอเรื่องน้ีไวในหนังสือ “อัล-มะลัลวัล- นะหัล” ของทาน โดยกลาวถึงทานอิมามศอดิก (อ) วา(๔๖๖) “ทานเปนนักวิชาการที่เกงกลาเปนอยาง ย่ิงในเร่ืองศาสนา เปนผูมีจริยธรรมที่อยูในวิทยปญญาอยางสมบูรณ เปนผูมีความมักนอยในเร่ือง ทางโลกและเปนผูถอมตนพนจากกิเลสฝายตาํ่ อยา งสมบูรณ (๔๖๖) ตอนที่กลาวถึงกลุมชีอะฮฺ ท่ียึดมั่นตามสายของบากิรียะฮฺ และญะอฺฟะรียะฮฺใน หนังสือ อัล-มะลลั วัล-นะหัล ทานอาบลุ -ฟตหุช-ชะฮรฺ อ็ สตานยี ฺ ไดกลาวอีกวา “แนนอนที่สุดในชวงท่ีทานอยู ณ เมืองมะ ดีนะฮฺน้ัน นักปราชญชีอะฮฺตางก็แสวงหาประโยชนทางดานวิชาความรูอันลึกซ้ึงจากทานอยาง กวางขวาง ตอมาทานไดเขาไปยังเมืองอิรัค และไดอยูท่ีน่ันช่ัวระยะหน่ึง ก็ไมมีใครท่ีจะกลาปฏิเสธ ความเปน อมิ ามของทานไดเ ลย และไมม ีใครสามารถมีบุคลิกภาพไดดีเหมือนอยางทาน” (ทานกลาว อีกวา) “ผูใดท่ีเขาสูทะเลแหงความรูแหงนี้แลว เขาก็จะไมมีความปรารถนาที่อยากจะข้ึนสูฝงอีกเลย และใครก็ตามท่ีสามารถไตเตาไปถึงความละเอียดถ่ีถวนในแกนแทของสัจธรรมน้ีแลว เขาก็จะไม หวัน่ กลัวอสุ รรคใด ๆ ทัง้ สิ้น” สจั ธรรมน้นั ยอ มใหวาทะอยางสุภาพและเขม แข็ง บรรดาสหายของทานอิมามศอดิกน้ันมีเปนจํานวนมาก พวกเขาเหลานั้นลวนเปนผูนําไปสู แนวทางท่ีถูกตอ ง เปนดวงประทีปท่ีเรืองแสงรุงโรจนเปนทะเลกวางแหงวิชาการและเปนดวงดาวที่ คอยช้ีทิศทาง รายชื่อและเรื่องราวของบุคคลเหลานั้นมีปรากฏอยูในตําราท่ีอธิบายถึงชีวประวัติของ นักปราชญซ่ึงจํานวนของพวกเขามีมากถึง ๔,๐๐๐ ทาน มีท้ังชาวอิรัค ชาวฮิญาซ ชาวเปอรเชียและ ขาวซีเรีย บุคคลเหลานี้ลวนเปนนักรวบรวมตําราท่ีมีช่ือเสียงอยางยิ่งสําหรับบรรดานักปราชญใน
สายอมิ ามียะฮฺ เปนแหลงของวิชาการขั้นพื้นฐานที่สําคัญของทางศาสนา ๔๐๐ ประการ ตามที่เราได กลา วไปแลว ในตอนตนท่ีวา “นกั วชิ าการ ๔๐๐ ทา นไดรวบรวมตําราถงึ ๔๐๐ เรื่อง” ซึ่งไดบันทึกมา จากคาํ อรรถาธิบายของทานอิมามศอดกิ (อ) ดังนั้นขอมูลเหลานี้จึงเปนรายละเอียดของวิชาการและภาคปฏิบัติในสมัยหลังจากทาน จนกระทั่งในสมัยตอมากลุมผูทรงคุณวุฒิของประชาชาติอิสลามและบรรดาสานุศิษยของบรรดา ผูนําเหลานั้นก็ไดบันทึกแยกแยะเร่ืองตาง ๆ ลงไปในหนังสือที่เฉพาะเร่ืองออกไปอีกตางหาก เพ่ือใหความสะดวกแกผูศึกษา และเพื่อใหรวดเร็วในการทําความเขาใจ ตําราท่ีไดมาตรฐานดีเยี่ยม ซ่ึงไดรวบรวมขึ้นมาจากขอมูลเหลานั้นไดแก “กุตุบุล-อัรบะอะฮฺ” ซ่ึงนับไดวาหนังสือชุดน้ีเปน พื้นฐานทางวิชาการทั้งในสวนที่เปนรากฐานสําคัญและในสวนท่ีเปนขอปลีกยอยของศาสนา สําหรับนักปราชญ ฝายอิมามียะฮฺตั้งแตยุคแรกจวบจนถึงสมัยปจจุบันนี้ และเปนตําราท่ีมีขอมูลที่ อาศัยสายสืบซ่ึงสอดคลองตรงกันเปนหลักบานท่ีไดถูกยอมรับถึงความถูกตอง (ศอฮ้ีฮฺ) อยางเปน เอกฉนั ท นั่นคือ : หนังสืออัล-กาฟยฺ อัต-ตะฮฺชีบ อัล-อิสติบศอรฺและหนังสือมันลายะหฺฏิรุฮุล-ฟะกีฮฺ โดยเฉพาะอยางยิ่งสําหรับหนังสืออัล-กาฟยฺนั้น นับไดวามีวิชาการท่ีลํ้าหนาและดีเลิศอีกทั้งมีความ ละเอยี ดถถี่ ว นเปน อยางย่ิง ซ่งึ ในหนงั สอื เลม นมี้ ีจํานวนฮาดษี มากถงึ ๑๖,๑๙๙ ฮาดีษ ซงึ่ นับไดว าเปน จํานวนฮาดีษท่ีไดถูกรวบรวมไวมากกวาฮาดีษท่ีอยูในหนังสือ ศิหาหุล-สิตตะฮฺ ท้ังหมดรวมกัน ดังเชน ทน่ี ักปราชญท้งั หลายไดยืนยนั ในเรื่องนีก้ ันไวจาํ นวนไมนอ ยทีเดยี ว ทานฮิชาม บิน หุกมฺก็เปนนักรวบรวมตําราคนหนึ่ง ซ่ึงเปนสหายของทานอิมามศอดิกและ ทานอิมามกาซิม (อ) ทานไดรวบรวมตํารามีช่ือเสียงไวมากถึง ๒๙ เลมท่ีบรรดานักปราชญท้ังหลาย ของเราตางไดศ กึ ษาหนงั สือของทานมาเปนขอมลู ทางดา นสายสบื สาํ หรับพวกเขา รายละเอยี ดตาง ๆ ของเรื่องนขี้ า พเจาไดช ี้แจงไวในหนงั สือ “มคุ ตะศริ ลุ -กะลาม” ซึ่งตาํ ราเหลา นนั้ นับไดว า ใหค ุณคา ใน ดา นอรรถาธิบายในหลักฐานทางวชิ าการตาง ๆ อยา งสูงท้ังสวนท่ีเปนรากฐานอันสําคัญและในสวน ท่ีเปนเรื่องปลีกยอย ตลอดจนในเรื่องที่เกี่ยวกับ “เตาฮีด” และวิชาการในแงปรัชญา เปนตําราท่ีมี อทิ ธิพลสูงในการตอบโตก บั พวกนอกศาสนาและพวกไรค วามศรัทธา พวกวัตถุนิยม พวกก็อดรียะฮฺ พวกญิบรียฮฺและพวกที่ละเมิดตอสิทธิของทานอาลีและอะหฺลุลบัยตฺ อีกทั้งเปนหนังสือที่สามารถ ตอบโตกับพวกเคาะวาริจุและพวกนาศิบะฮฺ อีกท้ังพวกปฏิเสธเรื่องความเปนวะศียฺ (ทายาท) ของ
ทานอาลี พวกรง้ั หลงั และพวกทีต่ อ สกู ับทา นอาลีดว ยวธิ ีการโฆษณาชวนเช่ือโดยวิธีการตาง ๆ นานา และอ่นื ๆ นอกเหนือจากนี้ ทานฮิชามเปนนักปราชญในศตวรรษที่ ๒ ท่ีเช่ียวชาญทางตรรกวิทยาและวิทยปรัชญาของ พระผเู ปนเจา อกี ทัง้ ยังเปน ผูเช่ียวชาญในศาสตรแขนงตาง ๆ เชน อภิปรัชญาและการใชเหตุผลอยาง มีศิลปะพรอมมูลท้ังในวิชาการทางดานศาสนบัญญัติและฮาดีษ ทานเปนนักวิชาการระดับแนวหนา ในภาควิชาตัฟสีร และศาสตรแขนงตาง ๆ ตลอดท้ังศิลปะศาสตร ทานเปนนักพูดที่มีโวหารเฉียบ ขาดในเรื่องอิมามียะฮฺ เปนผูมีความเช่ียวชาญท่ีมีทัศนะคติดีเลิศคนหน่ึงของมัซฮับ ทานไดร่ําเรียน วิชาการทางศาสนาจากทานอิมามศอดิกและทานอิมามกาซิม ทานไดรับคํายกยองสรรเสริญจาก บรรดาอิมามอยางมากมายหาผูใดเทียบมิได ทานไดพิชิตเอาวิชาความรูระดับสูงมาจากบุคคล เหลานั้นอยางเต็มความสามารถซึ่งผลงานของทานอยูในทัศนะของพวกญะฮามียะมากอน ทานได ไตเตามาจากพื้นฐานเหลาน้ันจนไดพบกับทานอิมามศอดิกแลวทานอิมามก็ไดใหทัศนะท่ีเปนทาง นําและสัจธรรมอยางถูกตองแกทาน ตอมาทานก็ไดอยูรวมกับทานอิมามกาซิมในฐานะของผูที่มี ความสามารถเหนือสหายทงั้ หลายของอมิ ามท้งั สอง แตผูมีอคติและกลุมบุคคลที่มีความปรารถนาจะดับรัศมีของอัลลอฮฺก็ไดโจมตีทานดวย ขอหาตาง ๆ เน่ืองจากความอิจฉาที่มีตออะหฺลุลบัยตฺและความเปนศัตรูท่ีมีตอพวกเราซ่ึงเราเปน ประชาชนที่รูดีท่ีสุดตอแนวทางของบุคคลผูนี้เร่ืองราวทั้งหลายของทานก็ดีและคําสอนตาง ๆ ของ ทานก็ดี ลวนมีอยูพรอมมูลในมือของเรา ซึ่งแสดงวาทานเปนผูที่อยูในฐานะของนักปราชญที่โอบ อุมคํ้าจุนมัซฮับของเราโดยตํารับตําราตาง ๆ ตามที่เราไดเสนอไปแลว ฉะน้ันในฐานะท่ีทานเปน บรรพชนและนักปราชญของเราคําสอนตาง ๆ ของทา นจึงไมเปนทีถ่ ูกปด บังสําหรับพวกเราแตอยาง ใดเลย และเปน ไปมิไดทบี่ คุ คลอื่นจะมคี วามเขาใจชัดเจนในคําสอนของทา นยิง่ ไปกวา พวกเรา ยง่ิ ไป กวาน้ันบุคคลอนื่ ๆ ยังตอ งรบั แนวทางและวิชาการไปจากทานเสียอีก ตามท่ีทาน อัช-ชะฮฺร็อสตานียฺ ไดอางถึงเรื่องของทานไวในหนังสือ “อัล-มะลัลวัน-นะหัล” ในหมวดที่วาดวยเรื่องของทานฮิชามนั้น ยังถือไดวาคํากลาวของทานมิไดแสดงถึงเจตนาท่ีมีอคติ ขอใหทานพิจารณาดูตามท่ีทานผูน้ีไดอางไวเถิด (ทานชะฮฺร็อสตานียฺ ไดกลาววา) “ทานฮิชาม บิน หุกมฺเปนนักวิชาการคนสําคัญท่ีรอบรูในรากฐานของศาสนา ไมสมควรอยางยิ่งที่จะลืมคํานึงถึง ความเกงกลาของทานท่ีมีเหนือพวกมุอฺตะชิละฮฺ เพราะเหตุวานักปราชญรุนหลังไมมีใครอีกแลวที่ จะเกงกลาในการตอบโตกับฝายตรงขามยิ่งไปกวาทาน ไมมีใครสามารถแสดงเหตุผลไดเหนือกวา
ทาน นแี่ หละทานจงึ เปนที่ยอมรับของอัลลาฟ ดังเชนที่ทานไดกลาววา : ทาน (พวกมุอฺตะชิละฮฺ) ได กลาววา พระผูทรงบริสุทธ์ินั้นเปนผูรูไมเหมือนกับผูรูท้ังหลาย ทําไมเลาทานจึงไมกลาววา : “เรือน รา งของพระองคนั้นมิไดเ ปน เสมือนเรือนรา งทัง้ หลาย ?” ไมตองสงสัยเลยวาคํากลาวนี้เปนความถูกตองที่มาจากตัวของทานซ่ึงแสดงใหเห็นวา คัดคานกันกับคํากลาวหาของผูท่ีต้ังขอหาใหแกทาน และผูท่ีตั้งขอหาทุกคนก็ไมมีขออางใด ๆ ที่จะ ผูกมัดทานไดเลย แมเพียงจะใหมีการเห็นดวยในเปาหมายแหงขอหาตาง ๆ ของเขา และสามารถกะ ประมาณดูไดใ นทางวชิ าการ ดงั ที่ทานชะฮรฺ ็อสตานยี ฺ ก็ไดชีแ้ จงไปดวยคาํ กลา วของทา นเองแลว วา “นักปราชญรุนหลังไมมีใครอีกแลวที่จะเกงกลาในการตอบโตกับฝายตรงขามย่ิงไปกวา ทาน และไมมีใครสามารถแสดงเหตุผลไดเหนือกวาทาน” ฉะน้ันถา หากวามีการตั้งขอกลาวหาอยางใดอยางหน่ึงเกิดขึ้นก็ยอมแสดงวาเร่ืองน้ัน ๆ เปน อคติท่ีมีตอทานฮิชาม ซึ่งส่ิงน้ัน ๆ ถาจะมีก็ยอมหมายถึงสิ่งท่ีมีอยูในสมัยกอนท่ีทานจะไดรับ การศึกษา เรียนรู ในขณะที่ทาน (ผูอาน) ก็รูดีอยูแลววาทัศนะทางวิชาการท่ีทานมีอยูน้ัน เปนทัศนะ ทางวาการของพวก “ญะฮามยี ะฮ”ฺ มากอ น หลังจากน้ัน อา ลิ (ผูส บื ตระกูล) ของมุฮัมมัดก็ไดสั่งสอน ช้ีแนวแนวทางท่ีถูกตองใหแกทาน ก็ปรากฏวาทานเปนนักปราชญที่มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งท่ี ยึดม่ันอยูกับบรรดาอิมาม จนกระท่ังไมมีบรรพชนคนใดของพวกเราจะกลาวตําหนิติเตียนตอทาน เลยแมแตคนเดียวไมว าในเรื่องหน่งึ เรื่องใดที่ฝายปฏิปก ษไ ดตัง้ เปนขอ หากลาวประณามทา น ทาํ นอง เดียวกันกับที่เราไมเคยพบเห็นขอบกพรองใด ๆ ของทานซะรอเราะฮฺ บิน อะอฺยุน ทานมุฮัมมัด บิน มุสลิม ทานมุอฺมินอัฏ-ฏอกและบุคคลอื่น ๆ ในหมูพวกทานดังท่ีพวกทานถูกกลาวหาและพรอมกัน น้ีเราก็ไดใชเวลาพูดถึงเร่ืองนี้เสียยืดยาว ซึ่งเรื่องเหลาน้ีก็มิใชเพราะอื่นใดนอกจากเปนสิ่งท่ีสืบเน่ือง มาโดยการละเมดิ ความเปนศัตรอู ีกท้งั ความมอี คติและเจตนารา ยท่ีมีตอ ชีอะฮนฺ ่นั เอง “สูเจาอยาไดคิดวา อัลลอฮฺจะทรงลืมเลือนจากสิ่งตาง ๆ ที่พวกอธรรมไดประกอบไว (อบิ รอฮมี : ๔๒) สาํ หรับในประเด็นทที่ านชะฮรฺ ็อสตานยี ไฺ ดอา งถงึ ทา นฮชิ ามเกย่ี วกับคํากลาวท่ีวา พระผูเปน เจา คือทานอาลี น้ัน นับวาเปนเรื่องท่ีนาขบขันอยางนาทุเรศที่สุด ทานฮิชามผูมีคุณสมบัติท่ีดีเดน ตามทีท่ า นไดยกยองไปแลว จะเปนคนโงเขลาเบาปญ ญาถงึ ขนาดนีเ้ ชยี วหรือ
คําสอนของทานฮิชามในเรือ่ งของเตาฮีดน้นั มแี ตเ ชญิ ชวนใหเขาใจถงึ ความบริสุทธิ์อันหาที่ เปรยี บมไิ ดข องอัลลอฮฺ ทา นอิชามเปนผูม คี วามศรัทธาสูงสงเกินกวาวิสัยของคําครหาจากคนโงเขลา กลาวรายได คําสอนของทานฮิชามน้ันยืนหยัดในสายธารของบรรดาอิมามและวะศียฺ (ทายาทของ ศาสดา) ตามที่ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดมอบหมายใหเปนตําแหนงเกียรติยศแกทานอาลี โดยทน เปนผูอธิบายวาทานอาลีน้ันเปนเพียงหนึ่งในจํานวนประชาชาติท่ีอยูในความรับผิดชอบของทานศา สนทูตเทานั้น ทานอาลีเปนวะศียฺ (ทายาท) และเปนคอลีฟะฮฺ (ผูแทน) ของทานศาสนทูต เปนบาว คนหน่ึงของอัลลอฮฺที่ไดรับความอยุติธรรมและถูกกดขี่ขมเหง เปนผูไดรับความลําบากเพราะเหตุท่ี อยูภายใตการควบคุมของผูอยุติธรรมเหลานั้น เปนผูท่ีมีอยูในฐานะเผชิญกับอันตรายของฝาย ปฏิปก ษอยา งชนดิ ทไ่ี มมผี ใู ดยื่นมอื เขาไปใหความชวยเหลือ ทา นชะฮฺร็อสตานยี ไฺ ดยืนยันมากอนแลววา ทา นฮิชามนั้นเปนนักวิชาการที่รอบรูในรากฐาน อันสําคญั ของศาสนา และไมบังควรทจี่ ะลืมคํานึงถึงความเกงกลา ของทา นทีม่ ีเหนอื พวกมอุ ฺตะซลิ ะฮฺ แลวทําไมเลาทานจึงอางวาทานฮิชามกลาววาเรือนรางของพระองคนั้นมิไดเปนเสมือนเรือนราง ทั้งหลาย ขอหาน้ีมิใชความบกพรองที่ชัดแจงดอกหรือ ? สมควรหรือไมที่บุคคลซ่ึงมีวิชาการสูงสง อยางทา นฮิชามจะเปน ผูท ี่กลา วในส่ิงทหี่ มายถึงความหายนะเชนน้นั ? หามิได หากแตเปนเรื่องของพวกที่ตองการจะสาดความผิดอันเน่ืองจากความอิจฉาริษยา และความอยุตธิ รรมใหแ กอะหฺลลุ บยั ตตฺ ลอดจนถึงผทู ี่มีความรูตามทัศนะของพวกทานเทาน้ัน (ไมมี พลังและไมม อี านภุ าพใด ๆ นอกจากโดยอลั ลอฮฺ ผูทรงสูงสุด ผทู รงยิง่ ใหญ) แนนอนทีส่ ดุ นกั ปราชญทร่ี วบรวมตาํ ราในสมัยของทานอิมามกาซิม อัซซะกียฺ อัล-อัสการียฺ (ความสนั ตสิ ขุ พงึ มีแดทา นทง้ั หลาย) นน้ั กม็ เี ปนจาํ นวนมากจนมิอาจนับจํานวนได คําสอนตา ง ๆ ได แพรหลายไปจากบุคคลเหลานั้น และจากบรรดานักปราชญระดับอิมามแหงบรรพบุรุษของพวกเขา ไปตามเมืองตาง ๆ พวกเขาไดเก็บรักษาวิชาความรูอยางสุดความสามารถและผานพบกับอุปสรรค นานาประการ พวกเขาไดบรรลุถึงประตูแหงวิชาการและพรํ่าเพียรอยูกับปรัชญาอันลึกซึ้งเหลาน้ัน อีกท้ังมีความแตกฉานชํานิชํานาญในหลักการและสัจธรรมตาง ๆ อยางเย่ียมยอดในวิชาการท่ี กวา งขวางทกุ ๆ แขนง ทานมุหักกิก ไดกลาวไวในหนังสือ “อัล-มุอตะบัร” (อะลุลลอฮฺ มะกอมะฮฺ) วาสวนหนน่ึง จากสานุศิษยของทานอิมามญะวาด (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) นั้นไดแก : ผูทรงเกียรติทั้งหลาย
เชน ทานฮุเซน บิน สะอีด ทานฮาซัน ผูเปนนองชาย ทานอะหฺมัด บิน มุฮัมมัด บิน อาบี นัศรุล- บะซันฏียฺ ทานอะหฺมัด บิน มุฮัมมัด บิน คอลิด อัล-บัรกียฺ ทานชาซาน ทานอาบู ฟฏลุล-อุมมียฺ ทา นอยั ยบู บิน นหู ,ฺ ทานอะหฺมัด บิน มุฮัมมดั บิน อซี า และบุคคลอ่นื ๆ อีกเปน จํานวนมาก (ทา นผนู ี้ ยังไดกลาวอีกวา) “ตําราของบุคคลเหลานี้ยังไดถูกนํามาอางอิงเปนหลักฐานทางวิชาการของ นกั ปราชญทงั้ หลายอยูจนตราบถงึ ปจจบุ ัน” ขาพเจาขอกลาวเพ่ิมเติมอีกวา : สําหรับทานบัรกียฺน้ัน ไดรวบรวมตําราไวมากมายถึง ๑๐๐ เลม สวนทานบะซันฏียฺนั้น ไดรวบรวมตําราท่ีมีความสําคัญอยางยิ่งเลมหนึ่ง ซ่ึงรูจักกันในนามวา “ญามิอุล-บะซันฏียฺ” สวนทานฮุเซน บิน สะอีด ก็ไดรวบรวมตําราไวถึง ๓๐ เลม และในจดหมาย ฉบับนี้ไมจําเปนท่ีจะตองเอยถึงตําราอีกเปนจํานวนมากของสานุศิษยแหงบรรดาอิมามอีกหกทานท่ี เปน ลกู หลานของทา นอมิ ามศอดิก (ความสนั ติสุขพึงมแี ดทาน) แตขาพเจาใครท่ีจะขอใหทานพิสูจน ดูในตํารางตาง ๆ ท่ีจะอธิบายเรื่องราวของบรรดานักปราชญไดในบรรณานุกรมฉบับตาง ๆ ขอ โปรดพิจารณาดูตามรายชื่อนักปราชญดังตอไปน้ี : ทานมุฮัมมัด บิน ซินาน ทานอาลี บิน มะฮฺซิญาร ทานฮาซัน บิน มะหฺบูบ ทานฮาซัน บิน มูฮัมมัด บิน สะมาอะฮฺ ทานศิฟวาน บินยะหฺยา ทานอาลี บิน ยักฏีน ทานอาลี บิน ฟฏอล ทานอับดุรเราะหฺมาน บิน นัจรอน ทานฟฎลฺ บินชาซาน (ทานผูน้ี รวบรวมตําราถึง ๒๐๐ เลม) ทานมุฮัมมัด บิน มัซอูด อัล-อิยาชียฺ (ทานผูน้ีรวบรวมตําราถึง ๒๐๐ เลม) ทานมุฮัมมัด บิน อะมีรฺ ทานอะหฺมัด บิน มุฮัมมัด บิน อีซา (ทานผูนี้ไดศึกษามาจากนักปราชญ ซ่ึงเปนสหายของทานอิมามศอดิกถึง ๑๐๐ คน) ทานมุฮัมมัด บิน อาลี บิน มะหฺบูบ ทานฏ็อลหะฮฺ บิน ฏ็อลหะฮฺ บิน ซัยดฺ ทานอัมมาร บิน มูซา อัส-สาบาฏียฺ ทานอาลี บิน อัน-นุอฺมาน ทานฮุเซน บิน อับดุลลอฮฺ ทานอะหฺหมัด บิน อับดุลลอฮฺ บิน มิฮฺรอนหรือที่รูจักกันในนามของอิบนุคอนิบะฮฺ ทานศิดฟะฮฺ บิน มัรซุร อัล-กุมมียฺ ทานอุบัยดิลละฮฺ บิน อาลี อัล-ฮะละบียฺ ซ่ึงทานไดเคยเสนอตํารา ใหแกทานอิมามศอดิก (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) แลวทานอิมามก็ไดตรวจทานและแกไขให โดยกลา ววา “ทานเหน็ วา คนเหลา นัน้ เขามีหนังสือเหมอื นอยา งเลม นบ้ี า งไหม” นอกจากนี้กย็ ังมี ทา นอาบู อมุ ัรวฺ อัฏ-ฏอบีบ ทานอับดุลลอฮฺ บินสะอีดผูซ่ึงไดเสนอหนังสือ ของทานใหแกทานอิมามอาบู ฮาซันริฏอ (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) และทานยูนุส บิน อับดุร เราะหฺมาน ก็ไดเ คยเสนอหนงั สอื ของทานใหแ กทานอิมาม อาบู มุฮัมมัด ฮาซัน อัซ-ซะกียฺ อัล-อัสกะ รียฺ (ความสนั ตสิ ขุ พึงมแี ดท า น)
ผูใดที่ไดติดตามศึกษาเรื่องราวตาง ๆ ที่เกี่ยวกับบรรพชนของชีอะฮฺ (ผูอยูในแนวทาง) แหง วงศวานของศาสดามุฮัมมัด (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลกู หลานของทา น) อีกทัง้ คนควาเรือ่ งราวของสหายแหง บรรดาอิมามท้ังเกาทานท่ีสืบเช้ือสาย มาจากทา นอมิ ามฮุเซน ตลอดทงั้ ไดใครครวญตอตาํ รบั ตําราของพวกเขาทไ่ี ดบ ันทึกไวต ามมาตรฐาน ของบรรดาอิมาม อีกท้ังถาผูใดไดติดตามศึกษาตําราตาง ๆ ที่พวกเขาไดรํ่าเรียนมาจากบรรดาอิมาม เหลาน้ัน ตลอดจนไดศึกษาฮาดีษของอา ลิ (ผูสืบตระกูล) ของศาสดามุฮัมมัด จากตําราของพวกเขา ท้งั ในดา นทเ่ี ก่ียวกับขอปลีกยอยและภาคท่ีเกี่ยวกับพ้ืนฐานอันสําคัญของศาสนา แลวไดพิจารณาให สมบรู ณก ับวชิ าการเหลาน้ีในทุกแงท ุกมมุ โดยสบื ไปตามวิชาการแตละสมยั มาตั้งแตอิมามผูบริสุทธ์ิ ท้ังเกาทานจวบจนกระท่ังถึงสมัยของเราน่ีแลว เขาก็จะเขาใจไดในทันทีวาเปนหลักฐานท่ียืนยันมา อยางแนนอนโดยความสอดคลองอยางเปนเอกฉันทจากแนวทางของบรรดาอิมาม และเขาจะไมพะ วักพะวงในสิ่งท้ังหมดน้ันเพราะไมวาจะเปนประเด็นท่ีเก่ียวกับขอปลีกยอยหรือประเด็นท่ีเกี่ยวกับ รากฐานอันสําคัญ ลวนแลวแตเปนสิ่งที่อัลลอฮฺทรงใหการยอมรับท้ังสิ้น เพราะส่ิงนั้นหมายถึงสิ่งท่ี ถูกยึดถือปฏิบัติมาจากบรรดาวงศวานของทานศาสนทูต ความคลางแคลงสงสัยในส่ิงเหลานี้ไม อาจจะมีข้นึ ได นอกจากผโู ออ วดทด่ี ้อื ดึงหรือผโู งเขลาเบาปญญาเทานนั้ “มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ ผูซึ่งไดนําทางเขาใหเขาสูหนทางน้ีและเรามิอาจ ไดรบั ทางนาํ ใดได หากแมนอัลลอฮไฺ มทรงนาํ ทางใหแกเ รา” (อลั -อะอฺ-รอฟ : ๔๓) วสั ลาม (ช) อลั -มรุ อญิอะฮฺ ๑๑๑ ๑ มุ าดลิ -อูลา ๑๓๓๐ • ยอมรับตอสัจธรรมอันสมบูรณแ ละสลัดทงิ้ ความอคติที่เคยมตี อ สจั ธรรม ขาพเจาขอยืนยันวาทานเปนผูยึดมั่นอยูในหลักการของศาสนาท้ังในภาคที่เกี่ยวกับ ขอปลีกยอย และภาคท่ีเกี่ยวกับรากฐานอันสําคัญตามท่ีบรรดาอิมามจากอา ลิ (ผูสืบตระกูล) ของ ทา นศาสนทูตไดถ ือปฏบิ ัตไิ วอ ยางแทจริง บัดนขี้ า พเจา มีความเขา ใจอยา งแจม แจงกับเร่อื งราวเหลา นี้ แลว ดังนั้นขาพเจาจึงไดยอมรับตามเหตุผลท่ีพรอมมูลเหลาน้ัน ขาพเจาไดมีความเขาใจอยางชัดเจน
กับสิ่งตาง ๆ ที่เคยเปนความมืดมนที่เคยเปนส่ิงนาสงสัย ซึ่งความสงสัยใด ๆ ในเรื่องนี้นับวาเปน เพราะความเบาปญญา และความคลางแคลงหรือระแวงในเร่ืองราวเหลานี้ก็ยอมหมายถึงความหลง ผิด บัดน้ีขาพเจาไดพิสูจนอยางละเอียดถ่ีถวนจนไดรับความกระจางเกี่ยวกับเรื่องน้ีแลว ฉะนั้น ขาพเจาก็ไดรับความคลี่คลายอยางปราศจากความมีมลทินใด ๆ ในอันท่ีจะกาวไปสูเปาหมายอัน สงู สดุ และขา พเจาก็ไดร บั การกระตุนใหดําเนนิ ทัศนะไปตามกระแสลมอันบริสุทธิ์นี้ มันจึงไดเสริม ใหว ญิ ญาณของขา พเจา ไดร ับแตความหอมกรนุ ท่สี ดชอื่ นท่สี ดุ กอนท่ีขาพเจาจะติดตอกับทานนั้น ขาพเจาเขาใจเร่ืองของทานมาอยางผิด ๆ ทั้งน้ีก็เพราะ ขาพเจาไดรับฟงส่ิงน้ัน ๆมาจากผูท่ีมีขอมูลซ่ึงปราศจากความเปนจริง และลวนแตบิดเบือน เพราะ รับแสงสวา งท่ีมาจากโคมไฟอันอับแสง ฉะนั้นจึงทําใหขาพเจาปลีกตัวเลี่ยงไมยอมจํานนกับทานอยางผูท่ีทระนงวามีแตมคูที่ เหนือกวา บัดน้ีอัลลอฮฺไดทรงประทานความโปรดปรานอันยิ่งใหญดวยการใหทานเสนอเร่ืองราว ตาง ๆ แกขาพเจา นบั วา คุณานปุ ระโยชนจ ากทานไดก อใหเกดิ ความดีงามแกขา พเจาอยางเหลือหลาย มวลการสรรเสรญิ เปนสิทธิของอัลลอฮฺ พระผูอภบิ าลแหงสากลโลก วสั ลาม (ช) อัล-มุรอญิอะฮฺ ๑๑๒ ๒ ุมาดิล-อลู า ๑๓๓๐ • คาํ สดุดีทม่ี ตี อ ผรู วมสนทนา ขาพเจาก็ขอยืนยันวา ทานเปนผูท่ีบรรลุถึงแกนแทและมีความสามารถอยางแกกลาสําหรับ เร่ืองนี้แลว ทานมีความรูสึกสํานึกในเหตุการณท่ีผานมาของทานกอนท่ีทานจะไดผานเขาสูววิถีทาง ที่เรืองรองดวยแสงสวาง บัดน้ีทานไดฝงตัวลงสูขอมูลแหงการอรรถาธิบายเหลานี้แลว และทานได บรรลุเขาสูหลักการแหงสัจธรรมและความละเอียดออนแลว ทานไดเห็นในความประเสริฐและ ความถูกตองอีกทั้งหลักการที่ควรแกการจํานน ทานไดเปลี่ยนทัศนะจากจุดเดิมอยางสิ้นเชิงดุจหนา มือเปนหลังมือได ก็เพราะทานมีความรูแจงภายในเน้ือหาท่ีแท และทานขวนขวายด้ินรนเพ่ือความ
เขาใจอยางถองแทและเพื่อความเปนจริง ความรูสึกท่ีนิยมอยูกับการถือฝกถือฝายมิอาจเอาชนะทาน ได การครหาของบุคคลใด ๆ ก็มิอาจทําใหทานหวั่นเกรงได กลาวคือสิ่งเหลาน้ันมิอาจทัดทานกับ คณุ สมบตั อิ ันปราดเปรื่องของทานและมนั ไมอาจจะกอ มลทินใดใหแกท ศั นะของทานได เพราะทาน เปนผูบรรลุลวงอยูในความรูอยางเชี่ยวชาญที่ยืนยันอยูกับความโปรดปรานของพระผูเปนเจา และมี จิตใจที่เปดกวางกวาในโลกนี้ จากความหมายท่ีอยูในสัจธรรมที่แทจะไมนําทานเขาสูความรักใน ผลประโยชนสวนตนหรือเกียรติยศชื่อเสียง จนทานไดผานพนจากความคลางแคลง และเขาใจแจม แจง ตอสัจธรรมจากวชิ าการท่ีพรอมมลู บัดนแี้ สงสวา งอนั รุงโรจนข องยามอรณุ ไดเปน ทปี่ ระจักษแกส ายตาทง้ั สองของทา นแลว มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ ท่ีพระองคทรงมอบทางนํามาแดศาสนาของ พระองค และประทานความสัมฤทธผิ์ ลแกผ ูทเ่ี พยี รมงุ สวู ิถที างของพระองค อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดศาสดามุฮัมมัดและแดลูกหลานของ ทาน วสั ลาม (ช) หนงั สือเลม นี้ไดจ บสมบรู ณลงดว ยความชวยเหลือของอัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุภาพสูงสุด และ ดว ยสมั ฤทธ์ิผลอนั ดีงามของพระองคที่มีตอ ปลายปากกาของผูรวบรวมหนังสือเลมน้ี นน่ั คอื : ทา นอับดุล-ฮุเซน ชัรฟดุ -ดีน อลั -มเู ซาวยี ฺ อลั -อามิลยี ฺ ขออัลลอฮฺไดทรงเปนผูประทานเกียรติยศอันดีงามและความเอื้อเฟอโดยเกียรติคุณของ พระองคใหแกทาน แทจริงพระองคเปนผูทรงไวซึ่งความเมตตากรุณาเหนือกวาผูเมตตากรุณาใด ๆ (๔๖๗) (๔๖๗) มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺท่ีคําอธิบายไดเสร็จส้ินสมบูรณลงดวย เชิงอรรถในคร้ังนี้ ซ่ึงเชิงอรรถตาง ๆ ที่ใหไวก็เพ่ือเพิ่มความสมบูรณในสิ่งท่ียังไมกระจาง ในตนฉบับ ซ่ึงนับวาคุณประโยชนมีมากมายอยางอเนกอนันต หนังสือเลมนี้ไดถูกพิพม สําเร็จในเดือนเราะญับ ฮ.ศ. ๑๓๕๕ โดยปลายปากกาตอบจดหมายของทานผูซ่ึงทําหนาที่ รับใชอิสลามมาโดยตลอด และเปนบุคลากรท่ีสําคัญของมัซฮับอิมามียะฮฺ นั่นคือ ทานอับ ดุล-ฮุเซน บิน ชะรีฟยูซุฟ บิน ชะรีฟ ญะวาด บิน ชะรีฟ อิสมาอีล บิน ชะรีฟ มูฮัมมัด บิน ชะรีฟ มูฮัมมัด บิน ชะรีฟ อิบรอฮีม อัล-มุลักก็อบ ชัรฟุด-ดีน บิน ชะรีฟ ซัยนุลอาบิดีน บิน
อาลี นูรุด-ดีน บิน นูรุดดีน อาลี บิน ฮุเซน อัล-มูเซาวียฺ บิน มุฮัมมัด บินฮุเซน บิน อาลี บิน มุฮมั มัด บิน ตาดุ -ดนี บนิ มุฮัมมัด บนิ อับดุลลอฮฺ บิน อะหมฺ ดั บนิ ฮัมซะฮฺ บนิ สะอัด บิน ฮัมซะฮฺ บิน มุฮัมมัด บิน มุฮัมมัด บิน อาบู ฮารีษ บิน อาบูฮาซัน บิน ดัยละมี บิน อาบูฏอฮิร อับดุลลอฮฺ บิน อาบู ฮาซัน บิน อาบูฏ็อยยิบ บิน ฮุเซน บิน มูซา บิน สับหะฮฺ บิน อิบรอฮีม บิน อามามกาซิม บิน อิมามศอดิก บิน อิมามบากิร บิน อามามซัยนุลอาบิดีน บิน อิมามฮุ เซน บิน อามามอามีรุลมุมินีน อาลี บิน อาบีฏอลิบและทานหญิงฟาฏิมะฮฺ บุตรสาวของ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) อัลลอฮฺทรงประทานความดีงามและความเมตตาของ พระองคใหแกบุคคลเหลานี้ท้ังมวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ ทั้งในตอนแรกเร่ิม และตอนสุดทาย อลั ลอฮทฺ รงประทานความจาํ เรญิ และความสันติสุขแดทานศาสดามฮุ มั มดั และลกู หลานของ ทาน
ตวั บท ฮาดษี ภาษาอาหรบั ของทานศาสนทูตแหง อลั ลอฮฺ (ศ) ตามท่ไี ดเ สนอไวในหนงั สือ อัล-มุรอญิอาต หนา เชิงอรรถ 33 20 34 21 22 23 35 24 36 25 26 37 27 39 29 40 31 32 41 43 46 37 47 38 36 48 40 48 41 42 49 43 44
45 50 46 47 51 48 49 53 50 198 121 213 214 240 155 241 157 243 159 160 245 162 246 163 252 168 253 171 254 172 173 259 185 186 266 199 272 200 305 207 306 210 307 212
308 213 214 309 215 216 217 311 * 314 315 222 316 223 317 224 319 227 228 229 320 230 231 231 321 234 322 236 321 235 322 237 323 239 240 324 242 324 243 333 256 257
339 259 343 267 345 272 346 274 421 302 425 303 426 305 428 307 430 308 430 431 432 310 433 313 434 314 436 316 439 321 321 450 350 350 451 353 460 359 465 363 486 386 503 405 406 408
521 523 524 418 524
เชิงอรรถศัพท ก. กษัตรยิ ฮเุ ซน (ฮิญาช) 14 กอฏีย อยิ าฏ 50 กอฏีย อาบู ฮาซัน มุฮัมมดั บิน ศอลิห ฮาชมิ ีย 422 กอลบิ บินสลาม 566 กออมิ (อมิ ามที่ 12) 395 ก็อดรยี ะฮฺ 101 กันซลุ อมุ าล (ตาํ รา) 33, 143, 199, 226, 240, 253, 289, 309, 333, 420, 428, 436, 473, 482 กัยสะรอนีย (ตาํ รา) 47, 83 กรั บาลาอฺ 14, 184 กลั บยี 91 กลั มยี าต (ตํารา) 241 กะบีร (ตํารา) 46, 93, 164, 244, 253, 284, 305, 333, 352, 425, 439 กะลมิ ะตลุ ฆ็อรรอ ตัฟฏลี ุซ ซะอรฺ ออฺ (ตํารา) 18 กะษรี บนิ อบั ดรุ เราะหมฺ าน บิน อสิ วดั บนิ อามริ อัล-คอ็ ซซาอยี 622 กะษรี ุล-อิซซะฮฺ (บทกวี) 622 กะอบั บิน อาญิซะฮฺ 92 กาซิม อซั -ซะกีย อัล-การยี (อิมามที่ 7) 88, 167, 649, 654 กาซมิ ยี ะฮฺ 10 กาฟย (ตํารา) 619, 649 กามิล (ตํารา) 147, 197, 362, 507, 515, 604
กามลิ บนิ ฏ็อลละฮฺ 482 กชิ าฟ อิรซะลลุ -มุสลิมาต (ตาํ รา) 53, 293 กฟิ ายุตลุ วศุ ูลฺ 10 กุดซีย 233 กรุ ฏบีย 85 กรุ อยช 27, 54, 297, 567, 595, 597 กุบาอฺ (มสั ญดิ ) 403 กุมัยต บิน ซัยด (นักกว)ี 220, 345, 364, 622 กลุ ัยนีย ดู มฮุ ัมมัด บนิ ยะฮฺกูบ กษุ มั บิน อบั บาส 421 กูชะญีย 66, 283 กูฟะฮฺ 105, 406, 613 เกาะตาดะฮฺ 462, 566 ไกเซอร 588 ค. คอฏบี 253, 283, 320 คอดียะฮฺ บนิ ควุ ยั ลดิ (มารดาแหงศรัทธาชน) 449 คอตะมันนะบียนี (นบีมฮุ มั มดั ) 23 คอรียะฮฺ บนิ ซัยด 251 คอลดิ บนิ วาลดิ 266 คอลิด บนิ สะอีด บิน อลั -อาศ อลั -อะมะวยี 496, 608 คอลิด บิน อะหมัด 182 คอวาริจญ 39, 101, 650 คยั บัร (สงคราม) 213, 258, 462, 496 คุซยั มะฮฺ บนิ ษาษิต 496, 608, 614 คุมส 265, 455, 572
เคาะศออิศ อลั -อุลวุ ยี ะฮฺ (ตํารา) 199, 212, 241, 255, 266, 314, 344, 420 ไคโร 309, 321 ฆ. ฆอดรี (ฮาดษี ) 303, 332, 337, 338, 348, 349, 354, 382, 385, 524 ฆอดรี คุม 36, 69, 203, 340, 370, 375, 558, 582, 591 ฆอยะตลุ -มะรอม (ตาํ รา) 67, 94, 98, 283, 365 ฆ็อซวะตลุ -ซาดรุ กิ ออ (ตาํ รา) 292 ฆัยละฮฺ บะหวะรอน 507 เฆาะซาลยี (นกั ปราชญ) 474, 632 เฆาะซาลยี มะกาชฟิ ะตลุ -กลุ บู (ตาํ รา) 473, 632 ช. ชัยค ซะลีม อลั -บะชะรีย 5 ชยั ค ฏออฟิ ฟะฮฺ อาบู ญะอฺฟร มฮุ ัมมัด บนิ ฮาซัน อฏ-ฏซยี 406 ชัยค มุฮัมมัด กาซิม อลั -คุรอซานยี 10 ชัยค มุฮมั มัด บิน ฮาซัน บิน อาลี อฏั -ฏซีย 80 ชยั ค มฮุ มั มดั มะหมูด อรั -รอฟอีย 622 ชยั ค มฮุ มั มดั อับดุฮฺ 24, 497 ชยั ค มฮุ มั มดั อาลี หซุ ยั ซยี อัล-ฮะนะฟย อศั -ศ็อยดาวยี 621 ชัยค อับดุลลอฮฺ อะลาซีลีย 17 ชัยคุล อนั ศอรีย 10 ชัยบะฮฺ บนิ รอบีอะฮฺ 82 ชยั รอซยี 241, 252, 566 ชรั ฟุล-มุอบั บดิ (ตาํ รา) 49
ชะบริ 249 ชะรอสตานยี 131, 508, 555, 647, 651 ชะรคี 203, 425 ชะหูรฺ (เมือง) 12 ชะเราะฮฺ นะฮฺ ุล-บะลาเฆาะฮฺ (ตํารา) 24, 46, 198, 200, 202, 266, 306, 321, 420, 431, 471, 480, 493, 515, 561, 597, 604, 619 ชะเราะฮดฺ ตุจญรี 283 ชาฟอ ีย (อมิ าม) 15, 60 ชบิ ลนั ญีย 71, 369 ชิฮาบดุ ดีน อะหมัด 566 ชบุ ัยร 249 ชอุ ยยี 85 ซ. ซอฟยะฮฺ บนิ ฮัยน (มารดารแหง ศรัทธาชน) 452 ซัจญาห บนิ ต ฮาริษ 505 ซยั ด บิน ษาษิต 34, 239, 384 ซยั ด บนิ อัรก็อม 34, 134, 171, 226, 251, 258, 339, 342, 404 ซยั ด บิน อาลี บนิ ฮุเซน 88 ซัยด บนิ อาบู เอาฟา 242 ซัยด บนิ ฮารษิ ะฮฺ 153, 252, 545 ซยั นับ บิน ฮารษิ ะฮฺ (มารดาแหง ศรทั ธาชน) 472 ซัยนลุ อาบดิ นี (อิมามที่ 4) 479, 483, 640, 642, 652 ซยั ยดิ อะหมัด ซยั นี ดะฮลฺ าน 353 ซัยยิด อาบู ฮาซัน อศั -ฟะฮานยี 15 ซัยยดิ อาลี มะหมดู อัล-อามีน 12
ซยั ยดิ ฮเุ ซน เฏาะบา-เฏาะบาอีย บะรญู รั ดยี 17 ซัลมาน อลั -ฟาริซีย 75, 397, 404, 425, 438, 496, 608, 612, 635, 638 ซะญัร บิน กัยส 617 ซะบีลุล-มอุ ฺมีนึน 12, 294 ซะมคั ชะรีย 53, 293, 440 ซะยฏู ยี 36, 226, 309, 365, 440 ซะรอเราะฮฺ บิน อะยุน 652 ซะลีม บิน กยั ส อัล-ฮุลาสยี 93, 638 ซะฮะบีย 34, 105, 198, 212, 223, 250, 267, 278, 297, 305, 328, 333, 365, 419, 425, 440, 471, 613 ซิยาด บนิ มัฏริบ 46 ซิยาด บิน ละบดี อลั -อันศอรยี 616 ซเี ราะตลุ ดะหลานียะฮฺ (ตาํ รา) 242 ซีเราะตุล นะบะวียะฮฺ 353 ซีเราะตลุ ฮะลาบยี ะฮฺ (ตํารา) 198, 242, 369 ซีเรยี 4, 545, 592, 648 ซุคีย 64, 566 ซุบัยร บิน บะการฺ 139, 255, 455, 496, 620 ซุฟยาน อัษ-ษรุ ยี 64 ซุฮยั ร มอุ าวยี ะฮฺ 203 ญ. ญมั อยี ะตุล-บรั ว-ิ วัล-อิหฺซาน 16 ญัมอฺ-บัยน-อัศ-ศหิ ฺหสุ -สติ ตะฮฺ (ตาํ รา) 282 ญมั อลุ ฟะวาอิด (ตาํ รา) 198 ญะวัล อามิล 10
ญะมลั (สงครามอฐู ) 297, 450, 487, 614, 619 ญามีอฺ 19 ญะรรี บนิ อับดุลลอฮฺ อลั -บาคิลลลยี 53, 615 ญะอฟฺ ร ศอดกิ (อิมามที่ 6) 60, 146, 612, 628, 635, 641 ญะอฺฟร อัล-บากิร (อิมามท่ี 5) 70, 640, 641 ญะอฺฟร อิบนุ อาบีฏอลิบ 241, 253, 545, 622 ญะอฺฟารยี ะฮฺ 15 ญะฮามียะฮฺ 650 ญาบริ บิน อับดลุ ลอฮฺ 33, 227, 245, 260, 309, 478 ญาบริ บนิ ยะซดี อัล-ุอฟฺ ยฺ 613 ญาบริ บนิ สามเู ราะฮฺ 203, 226 ญามอี ศุ -ศอฆีร 309 ญามีอุล ญะวามีอฺ 309 ญาฮฺลยี ะฮฺ 239 ญบิ รออลี (มาลาอกิ ะฮฺ) 254, 308, 312, 379, 395, 485 ญบิ รยี ะฮฺ 649 อุ ฺดะฮฺ บนิ สะลีม 573 ุฮฟฺ ะฮฺ 36, 346, 438 ฎ. ฎิยาอฺ มุก็อดดะสีย 119, 271 ฏ. ฏอบากอต (ตํารา) 127, 256, 436, 457, 477, 545, 573, 608 ฏออิฟ 482 ฏ็อบรีซ (มุฮมั มัด บนิ ญะรรี อุบัยดลิ ละฮฺ) 133, 197, 365, 493, 545 ฏอ็ บรอซยี อาบู อาลี 72, 285, 608, 644
ฏอ็ บรอนยี 36, 226, 243, 253, 308, 329, 339, 366, 425, 439 ฏ็อลฮะฮ บนิ ชัยบะฮฺ 85, 139, 455, 560 ฏอ็ ลฮะฮ บิน มัศรฟุ 445 ฏลัยฮะฮ บนิ คุวัยลิด 505, 588 ฏซีย 406 ฏร (ภเู ขา) 89, 299 เฏาะฮาวีย 199 ด. ดัจญาล 41 ดัยละมีย (นักปราชญ) 309, 319, 333, 340 ดรั ซุล-คอริจญ 10 ดะลาอิล (ตาํ รา) 197 ดะหลานยี 549, 555 ดามัสกัส 12 ดาเราะกฏุ นยี 75, 148, 256, 265, 311, 388, 607 ต. ตัฏฮีร (โองการอัล-กรุ อาน) 144 ตัยยาละซยี 144 ตัลซลี ลุ อายาต (ตาํ รา) 94, 97, 291, 294 ตะบูก (สงคราม) 215, 225, 229, 234, 237, 241, 246, 572 ตะฮซบี (ตํารา) 175 ตะฮซบี ลุ -อาซาร (ตํารา) 420 ตาุลอูรุส (ตาํ รา) 613 ตารคี อบิ นุ อะซากีร (ตํารา) 549 ติรมีซีย 33, 128, 226, 251, 309, 366, 452, 622
น. นบั ฮานีย 36 นัยสาบุรีย 72, 316 นัศร บนิ ฮัจญาจย อสั -สัลมีย 573 นัศรอนีย 322 นะกรี (มาลาอิกะฮ)ฺ 52 นะญัฟ 10, 15 นะญาชีย 639 นะบาฮานี 52 นะสาอยี 34, 127, 199, 212, 256, 282, 314, 331, 344, 366 นะอษะลัน 486 นะอลี บนิ มัสอดู อัล-อชั ญะอยี 290 นะฮลุ บะลาเฆาะฮ ดู ชะเราะฮ นะฮลุ -บะลาเฆาะฮฺ นะฮฺรอวาน 181 นาดยี ุล-อิมามมุศ-ศอดกิ 16 นาศบิ ะฮ 649 นุซุลลุล-กุรอาน (ตาํ รา) 69, 351 นอุ มาน บิน อจั ญลา 618 นุศูศอะลิล อะอมิ มะฮ 407 นูรุล-อันศอร 71, 369 นูห (นบ)ี 32, 321, 486, 582 บ. บนี ฏ็อบบะฮ 616 บนี นะฏีร 291
บนี มะฮารบิ 291 บนี สะอดี ะฮ 495 บนี สนุ ยั ดะฮ 267 บนี อะสัด 596 บนี อัรฟะดะฮ 488 บนี อิสรออลี 40, 256 บนี อมุ ัยยะฮ 518 บนี ฮาชิม 27, 152, 293, 421, 437, 499, 512, 585, 592 บัฆดาด (ตาํ รา) 605 บฆั วีย 243, 250 บัซซาซ 259, 306, 320, 366 บยั ตลุ มกั ดสิ 42 บยั ตุล อัล-ฮะรอม 14 บยั ฮากยี 197, 308, 321, 436 บรั รออ (บัรเราะอ) บนิ อาซบิ 226, 251, 259, 333, 345, 366, 388, 496 บัศเราะฮฺ 592 บะฆยี ะตรุ -รอฆบิ นี (ตํารา) 18 บะซันฏีย 654 บะดัร (สงคราม) 256, 507, 572, 614 บะดรั (ชาวเมอื ง) 359 บะรดี อจั ญลี 62, 646 บะลาคยี 260 บะลาฆอตนุ -นิสาอฺ (ตาํ รา) 600 บะหร ัยนยี 67, 402 บากริ (อิมามท่ี 5) 61, 88, 93, 146, 168, 297, 628, 640 บากริ ยี ะฮฺ 647
บากอี ฺ 13 บารดู ีย 46, 243, 306 บนิ ติ ฮมั ซะฮฺ 241 บุคอรี 83, 128, 201, 203, 216, 273, 432, 450, 460, 464, 488, 494, 521, 622, 634 บุรยั คะฮฺ อัล-อัสลามีย 260, 266, 277, 442, 608, 613 แบกแดด 14 ไบแซนตนิ 560 ป. ปาเลสไตน 12, 42 เปอรเซีย 648 ฟ. ฟครรุ (ฟดรุดดีน) รอซีย 91, 255, 440 ฟฏ ล บิน อบั บาส บิน อาบีละฮับ 247, 620 ฟตวา อลั -อะมะดียะฮฺ 365 ฟต หลุ บารยี (ตํารา) 204, 321, 632 ฟตฮลุ -มลุ ากอุ าลี 309, 365 ฟรกอดยั น 238, 248 ฟร ซะดกั (นกั กวี) 54 ฟะฏออิลศุ -ศอฮาบะฮฺ (ตาํ รา) 48 ฟะดัก 560 ฟะรออิด (ตํารา) 69, 635, 643 ฟะละซะฟะตุล-มษิ าก อลั -วิลายะฮฺ (ตาํ รา) ฟาฏิมะฮฺ บินต ฮเุ ซนบิน อาลี บิน อาบีฏอลบิ 600 ฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮรฺ ออฺ บิน มฮุ ัมมัด (ศ) 73, 150, 214, 244,
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317