Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-06 05:31:49

Description: จดหมายสนทนาโตตอบทางวิชาการระหว่างอุลามาชีอะห์กับผู้รู้ซุนนี

Search

Read the Text Version

สําหรับบทกวีตาง ๆ เก่ียวกับเรื่องนี้ของนักปราชญในอดีตนั้นก็ไมสามารถจะนํามาบันทึก ใหหมดในหนากระดาษนี้ได แตเราจะกลาวถึงเพียงบางสวนเพื่อใหขอความไดมีความสมบูรณ กระชบั ข้นึ ดงั นี้ ทานอับดุลลอฮฺ บิน อับ บาส บิน อบั ดลุ มุฏฏอลิบ ไดกลา วไววา : “ทายาทของผูเปน ศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ ถา นอกเหนือจากคนในครอบครัวและคนสนิทของ ทา นไซร คงถูกถามไถว า เขามาจากแหลง “ผปู ระทาน” หรอื อยางไร ? ทา นมุฆีเราะฮฺ บิน ฮารษิ บิน อับดุลมุฏฏลิบ ไดกลาวเตือนสติชาวอิรัคในชณะที่ทําสงคราม ศฟิ ฟน กบั มอุ าวยิ ะฮวฺ า : “น่ีคือทายาทแหงศาสนทูตของอัลลอฮฺ ผูนําทาน เขาเปนลูกเขยของศาสดาและภัมภีร แหงอัลลอฮฺนนั้ เลา ไดกลาวขานสาธยายเอาไว” ทา นอบั ดุลลอฮฺ บิน อาบู สฟุ ยาน บนิ ฮารษิ บิน อบั ดุลมฏุ ฏอลบิ ก็ยังไดก ลา วอีกวา : “จากพวกเราน้ีมีอาลี น่ันแหละ ผูเปนนักสูแหงสมรภูมิศัยบัร และเปฯทั้งนักสูแหงสมรภูมิ บะดรั อีกดวย เปน วันทีก่ องทพั ของเขาตองประจัญศึก เขาเปนทายาทของนบีผูเปนท่ีถูกเลือกคัดสรร แลว และยังเปนบุตรชายของผูเปนลุงเขาอีกดวย ใครเลาที่ใกลชิดและใครเลาที่ใกลเคียงกับศาสดา เฉกเชน เขา” ทานอาบูฮัยษัม บิน อัต-ตัยฮาน ผูเปนชาวบะศัร ไดกลาวถึงเกียรติคุณของเรื่องนี้ ใน เหตกุ ารณของสงครามญะมลั วา : “แทจรงิ ผเู ปนวะศยี ฺ (ทายาท) นั้นคือผูนาํ (อิมาม) และผปู กครอง (คอลีฟะฮฺ) ของเรา เปนผมู ี สิทธส์ิ ืบเนอ่ื งอยูทั้งในยามเปดเผยและในยามถูกปด บัง” ทานคุซัยมะฮฺ บิน ษาบิต นักรบสองสมรภูมิ และเปนชาวบะคัร ทานไดกลาวถึงเกียรติคุณ ของเรื่องน้ีไวใ นเหตกุ ารณส งครามญะมัลอีกเชน กันวา : “โอ วะศีย. (ทายาท) ของทานนบี แนนอนที่สุดทานเปนผูพิชิตศึกตออริศัตรูและเปนผูโคน ลมความอธรรม” ทานคุซัยมะฮฺ (ขออัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอทาน) ไดกลาวเปนบทกวีไวอีกบทหน่ึง วา : “จะใหฉันดํารงชีพอยูโดยปราศจากทานอาลี และตําหนิตอเขากระนั้นหรือซ่ึงสิ่งน้ันไมมี อะไรที่นาตําหนิในตัวเขาเลย ความจริงแลวทาน (ศาสดา) อยูในฐานะเปนบิดาของเขา วะศียฺ

(ทายาท) ของบทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ถานอกเหนือจากคนในครอบครัวของทานแลว ทาน (ศาสดา) จะมที ัศนะตอเขาเกีย่ วกบั เร่อื งนี้ฉนั ใด” ทา นอับดลุ ลอฮฺ บนิ บะดลี บิน วะเราะกออฺ อลั -คอ็ ซซาอียสฺ หายผกู ลา หาญคนหน่งึ ของทาน ในสงครามญะมัล และทานไดเปนชะฮีดในสงครามศิฟฟนพรอมกับทานอับดุรเราะหมานเปน นอ งชายของทานดว ยกลาวไดวา : “โอประชาชนท้ังหลายสําหรับแนวทางอันย่ิงใหญซึ่งฉันไดกลาวไวน้ันคือการทําสงคราม ของวะศยี ฺ (ทายาทนบี) และไมม คี วามมัวหมองใด ๆ สําหรบั การทําสงครามน้ี” บทกวีอกี ตอนหน่งึ ของทา นอามีรลุ มมุ ีนิน ไดก ลา วเมอื ทําสงครามศิฟฟน นัน้ มีดังน้ี : “สิ่งที่ศาสดามูฮัมมัด มีความพึงพอใจก็คือส่ิงที่ฉันจะขอแจงใหทราบวาใหพวกเขาเปนผูท่ี ไดย ึดม่นั ตอวะศียฺ (ทายาท) ของเขาและเปน ความคลาดแคลวจากมลทนิ ดวย” ทานญะวีร บิน อับดุลลอฮฺ อัล-บะญิลสียฺ อัศ-ศอฮาบียฺ ไดสงบทกวีไปใหทานชัร ฮะบีล อิบ นอุ สั -สัมฏ โดยทานไดกลา วถึงทานอาลีในบทกวนี ัน้ วา : “วะศยี ฺ (ทายาท) ของศาสนทูตแหงอัลลอฮฺจะตองไมคลาดไปจากคนในครอบครัวของทาน อปุ มาท่เี ปรยี บไดก เ็ สมอื นมาศึกกบั เกราะปองกันตัวของทาน” ทานอุมัร บิน ฮาริษะฮฺ อัล-อันศอรียฺ ไดกลาวบทกวีสดุดีแก มุฮัมมัดบุตรของทานอามีรุลมุ มีนนี ผูเปน ท่รี จู กั กนั ในนามวา อิบนุฮะนะฟย ะฮฺวา : “ทานนบีไดใหสมญานามและเรียกขานเขา (ทานอาลี) วาวะศียฺ (ทายาท) และฉันไดเห็นวา ทานไดมอบหมายตําแหนง นนั้ ใหแ กเ ขา ทานอับดุรเราะหฺมาน บิน ุอัยลฺ ไดกลาวในตอนที่ประชาชนไดใหสัตยาบันตอทานอาลี หลงั จากสมมัยของทา นอุษมานวา : “ขอสาบานตอผูซึ่งใหชีวิตแกฉัน แนนอนที่สุด ทานท้ังหลายไดใหสัตยาบันตอผูที่พิทักษ รักษาศาสนา ผูซึ่งเปนที่ยอมรับกันถึงความเผื่อแผท่ีมีอยูเปนพื้นฐานชีวิตน่ันคือ อาลีผูเปนวะศียฺ (ทายาท) และบุตรชายของลุงทานศาสดามุศฏอฟา (ผูไดรับการเลือกสรร) น้ัน เขาเปนบุคคลแรก จากจาํ นวนของผนู มาซ เปนผอู ยคู กู บั ศาสนาและการสาํ รวมตน” ทา นอะซัด ไดก ลาวในเหตกุ ารณส งครามญะมลั วา :

นี่คือ คืออาลี เขาผูซ่ึงเปนวะศียฺ (ทายาท) ทานนบีไดประกาศอยางเปดเผยถึงความเปนพี่ นองของทาน และทานยังไดกลาววา นี่คือผูปกครองภายหลังจากฉัน ผูยึดมั่นจะตองยึดมั่นตอเขา สวนคนช่วั ชาไดลืมเลือนเสยี ” ชายหนมุ ผูหนึ่งจากตระกูลบนีฏ็อบบะฮฺ ไดออกไปทําสงครามในฐานะท่ีเปนครูฝกคนหนึ่ง ของกองทหารของทา นหญิงอาอชี ะฮฺ ทา นไดก ลาวไวว า : “เราชาวบนฏู ็อบบะฮฺ ตางเปนศัตรูของอาลีผูนั้น ซึ่งไดถูกรูจักกันมาต้ังแตเดิมอยูแลววาเปน วะศียฺ (ทายาท) ของนบี เขาเปนมาศึกสงครามในสมัยของทานนบี มิใชวา ฉันจะทําเปนคนตาบอด เก่ียวกบั ความดีเดน ของทา นอาลี แตว า ฉันเปนลกู หลานของอฟั ฟานตะกีย”ฺ ทานสะอีด บิน กัยส อัล-ฮัมดานียไดกลาวไวในเหตุการณที่ไดทําสงครามญะมัลรวมกับ ทานอาลวี า : “สงครามอันใดเลาที่ไฟอันรอนระอุของมันไดเผาผลาญลุกโชนและบทเรียนของมัน สําหรับวันแหงความโกลาหลก็คือความแตกหัก โปรดกลาวแก “วะศียฺ” (ทายาทของศาสดา) เถิดวา ฉันไดเผชิญกับความสูญเสียของมันแลว ดังน้ันฉันจะไดผละมัน โดยไดทําใหมันเลิกลมเพ่ือใหสา สมกับที่มันไดทาํ กับทา น พวกเขาเหลา น้นั เปนบรวิ ารและพรรคพวกพีน่ อ งของมันนนั่ เอง” ทานซยิ าด บิน ละบดี อลั -อนั ศอรยี  สหายของทา นอาลอี กี คนหน่ึงไดกลาวถึงเหตุการณแหง สงครามญะมัลวา : “ชาวอันศอรจะพิจารณาอยางไรบางหนอ ในวันท่ีสุนัขเหาหอน ฉันเปนคนท่ีไมประหวั่น กับความยอยยับ และเรามิไดประหว่ันตอความโกรธอันเน่ืองจากยึดใน “วะศียฺ” ความจริงชาวอัน ศอรไดพ ยายมจรงิ จังมิใชทําเลนหลอก นี่คืออาลี และหลานของอับดุลนุฏฏอลิบ เราไดชวยเหลือเขา ในวันนั้นเพ่อื เอาชนะตอ ผูท่ีมสุ า ผูใดท่กี อ การละเมิด ก็ความเลวนนั่ แหละทจี่ ะไดแ กส งิ่ ทเ่ี ขากระทํา” ทา นฮะญรั ฺ อดฺ ีย อัล-กินดีย กไ็ ดกลา วไวส าํ หรบั เหตกุ ารณใ นวนั นั้นอีกเชนกันวา : “โอพระผูอภิบาลของเรา เราไดยอมรับแลวตออาลี เราไดยอมรับตอผูมีความจําเริญ ผูเปน แสงสวา งผูศรทั ธาท่ีเปนศูนยร วมอนั หนงึ่ ของความยําเกรง โดยมิไดขัดแยงในทัศนะและมิไดละเมิด เลย ย่ิงกวาน้ัน เขาคือผูนํา ผูชี้นําทางอันเที่ยงธรรม พระผูอภิบาลของขาฯ ทรงปกปกรักษาเขาและ ทรงปกปกรักษาทานนบีในกรณีนี้ แนนอนท่ีสุดเขาเปนวะลียของทาน ตอจากน้ันเขาเปนคนที่ชื่น ชมยินดีเปนวะศยี ฺภายหลังทา น”

ทานอุมัร บิน อะหฺญียะฮฺ ไดกลาวไวในเหตุการณสงครามญะมัลเก่ียวกับคําปราศรัยของ ทา นฮาซันทีไ่ ดมีขน้ึ หลงั จากคําปราศรยั ของอบิ นซุ ุ-บัยรวา : “ชางประเสริฐดีแท โอผูมีความละมายบิดาของตน ท่ีทานไดลุกข้ึนยืนทามกลางพวกเรา ดวยฐานะของผูปราศรัยที่ยอดเยี่ยม ทานไดลุกข้ึนกลาวคําปราศรัยไปตามท่ีอัลลอฮฺทรงสําทับไวแก พวกประพฤติดผิดเก่ียวกับเรื่องราวของบิดาทาน ทานมิไดเปนเหมือนอิบนุซุบัยรผูติดอางในเวลา พูด และมีนัยนตาเหลเหลือกลานนาสงสัยในกลลวง อัลลอฮฺจะทรงปฏิเสธตอการท่ีเขายืนขึ้นใน ตําแหนงท่ียืนของบุตรชายแหง “วะศียฺ” (ทายาทของศาสดา) และบุตรของผูประเสริฐ แนนอน บุคลิกภาพระหวางทานนบีกับทานและกับวะศียฺน้ันประเสริฐอยางชนิดท่ีไมมีสิ่งใดคลับคลายได เลย” ทา นซะญัรฺ บนิ กยั ส อลั -ุอฟฺ ยผฺ ูผา นสงครามญะมัลไดกลา วไวว า : “ฉันจะหวาดกระหนํ่าตอพวกทานจนกวาพวกทานจะยึดมั่นตออาลี เขาเปนคนที่ดีที่สุด สําหรับตระกูลกุร็อยชถัดจากทานนบี อัลลอฮฺทรงประดับประดาและเทิดเกียรติใหแกเขาดวย ตาํ แหนง “วะศีย”ฺ ทานซะญรั บนิ กัยสไ ดกลาวในกรณสี งครามศฟิ ฟว า : “พระเจาก็ยังสดุดีสรรเสริญมุฮัมมัด ทานเปนศาสนทูตของเจาแหงอาณาจักรทั้งหลายท่ี ไดรับความโปรดปรานอยางสมบูรณ ท้ังศาสนทูตของเจาแหงอาณาจักรและบุคคลท่ีถัดมาจากเขา นั้น เปนตัวแทนในหมูพวกเราที่ดํารงหลักการใหคงอยู อาลีคือคําอธิบายสําหรับตําแหนงวะศียฺของ ทานนบี ประชาชาติผูไ มประสปี ระสาตีตัวออกจากเขา” ทา นอลั -อชั อัต บิน กัยสไดก ลา วไวว า : “ทานศาสนทูตไดนํามายังเราซึ่งสาสนแหงเร่ืองราวของอิมาม ทานไดอธิบายถึงฐานภาพ ของเขาใหแกบรรดามุสลิมของพวกเรา ทานเปนผูสื่อในเร่ืองวะศียฺ วะศียฺของทานนบี เขาเปนผูมี ฐานะลาํ้ หนา และมคี วามประเสริฐย่ิงในหมศู รัทธาชนของเรา ทา นยงั ไดก ลาวอกี วา : “ทานศาสนทูตไดนํามายังเราซึ่งสาสนแหงเร่ืองราวของวะศียฺ คืออาลีผูปราดเปร่ืองแหง ตระกลู ฮาชิม ผูรว มภารกิจและเปนบตุ รเขยของทานนบี เปน ผูมีเหตกุ ารณของสงครามศิฟฟน วา : “ทานนุอฺมาน บิน อัจฺลานอัซ-ซัรกียฺ อัล-อันศอรียฺ ไดกลาวไวในเหตุการณของสงคราม ศฟิ ฟน วา :

“ความแตกแยกจะเกิดขน้ึ ไดไฉนขณะที่ผูเปนอิมามของเราคือวะศียฺ ถามิฉะน้ันก็ไมมีใดอื่น นอกจากความเสียหายและตกต่ํา มุอาวียะฮฺและสมุนบริวารจึงพากันสลัดทิ้งแนวทางของวะศียฺ เพ่ือใหป ระชาชาตทิ ัง้ ผองยกยองสรรเสริญเขา” ทานอบั ดรุ เราะหฺมาน บนิ ซอุ ยั บฺ อบั -อสั ละมยี ไดกลาวบทกวพี าดพิงถงึ มอุ าวยิ าะฮวฺ า : “วะศียฺ (ทายาทขอนบ)ี ไดนําพวกเขาเหลา นั้นมาตอสูกับทาน จนกวาจะทําใหทานตีตัวออก จากความหลงและความเขา ใจผิด”(๔๔๙) (๔๔๙) กวีบทน้ีและคําคมตลอดท้ังบทรอยแกวทั้งหมดที่ผานมาน้ัน ไดถูกบันทึกอยูตํารา ประวัติศาสตรและโบราณคดีฉบับตาง ๆ ซึ่งเปนบทกวีท่ีเนนเฉพาะเร่ืองการทําสงคราม ญะมัลและสงครามศิฟฟน ท้ังหมดน้ีทานอัล-ลามะฮฺ มุตัตตะบะอฺ อิบนุ อาบู หะดีด ได นํามาอางไวใน หนา ๔๗ จนถึงหนา ๕๐ ของหนังสือ “นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮฺ” เลมที่ ๑ ฉบบั ตีพิมพในประ ทา นอับดลุ ลอฮฺ บนิ อะบี สุฟยาน บิน หาริษ บนิ อับดลุ มุฏฏอลบิ ไดก ลา วไววา : “แทจริง “วะศียฺ” ของกิจการท้ังหลายหลังจากมุฮัมมัดก็คืออาลี และในทุก ๆ แวนแควนเขา คือเพ่ือนติดตามทานทายาทท่ีแทของศาสนทูตแหงอัลลอฮฺก็คือผูปกครองพิทักษทาน และเปนผู นมาซเคียงขา งทานเปน บคุ คลแรก” ทา นคซุ ัยมะฮฺ บิน ษาบติ ผูผา นการรบทงั้ สองสมรภูมิ ไดก ลาววา : “วะศียฺของศาสนทูตแหงอัลลอฮฺตองไมแคลวไปจากคนในครอบครัวของทานและผูกลา หาญของทานที่อยูกันมาตั้งแตสมัยแรก และผูนมาซคนแรกสุดกอนหนาประชาชนทุกคน เสมอกับ มนุษยผปู ระเสรฐิ ดวยพระนามของอัลลอฮฺ เขาคอื ผูคงมน่ั ” ทานซะฟร บนิ คุซัยฟะฮฺ อัล-อะสะดยี ฺ ไดก ลา ววา : “พวกทานจงดูแลเขาใหดีที่สุด และจงชวยเหลือเขา เพราะวาเขาคือวะศียฺ (ทายาทของนบี) และเขาเปนบุคคลแรกในอิสลาม”(๔๕๐) ทา นอาบอู ัสวัด อดั -ดะอลู ยี ฺ ไดกลา วไวว า : “ฉันรกั มุฮัมมัด, อบั บาส, ฮมั ซะฮ,ฺ และวะศียฺดว ยความรกั อยา งจริงจงั ” เทศอียิปต ในขณะท่ีทานไดอธิบายสุนทรพจนอันทรงคุณคาของทานอามีรุลมินีน ท่ี เกยี่ วกับเร่อื งราวของบรรดา “อาลี มฮุ มั มดั ” คําพูดของทานท่ีมีตอบุคคลเหลานั้นมีวา “สิทธิ ของการเปน ผปู กครองนนั้ ยอ มเปนของพวกเขาโดยเฉพาะ ในหมูพวกเขานั้นมีผูเปนทายาท

และผูสืบมรดก “หลังจากท่ีทานไดอางบทกวีและคํารอยแลวดังกลาวนี้แลว ทานก็ไดกลาว วา “บทกวีท่ีไดใชคําวา “วะศียฺ” อยางนี้มีเปนจํานวนมากจริง ๆ แตเราจะนํามากลาวถึงใน ทน่ี ีเ้ พยี งบางสว นเทานั้นจากวีตาง ๆ ที่เกี่ยวกับสองฝายนี้ กลาวคือหนังสือบันทึกเหตุการณ ในสงครามญะมัลของทานอาบู มุคนัฟ และหนังสือที่บันทึกเหตุการณในสงครามศิฟฟน ของทานนะศิรฺ บิน มะซาฮิม (ทานไดกลาวอีกวา) สําหรับบทกวีท่ีอยูนอกเหนือจากนี้ยังมี อีกมาก แตไ มส ามารถจะคดั มาบนั ทึกทง้ั หมดได” (๔๕๐) บทกวีของทานซะฟรฺบทน้ี และบทกวีอขงทานคุซัยมะฮฺท่ีไดผานมาแลว ตลอดทั้ง บทกวีของทานอับดุลลอฮฺ บิน อาบูสุฟยานที่ไดมาแลวทั้งสองบทน้ัน ทานอิมามอัล-อัส กาฟยไ ดบนั ทึกไวในหนงั สอื “นักตุล-อุษมานียฮฺ” และทานอิบนุ อาบู หะดีด ก็ไดอางไวใน ตอนทายคําอธิบายสุนทรพจนของทานอาลี หนา ๒๕๘ และหนาถัดไปของหนังสือ “ชะ เราะหฺ นะฮฺ ลุ -บะลาเฆาะฮ”ฺ เลมที่ ๓ ฉบับตีพิมพในประเทศอียิปต ทานนุอฺมาน บิน อัจญลาน ผูเปนนักกวีของชาวอันศอระดับสูงคนหน่ึงไดกลาวคําปราศรัย แกอบิ นุล-อาศเปนกวไี วต อนหนึง่ วา : “ไดมีการใสรายตออาลีท้ัง ๆ ท่ีเขามิไดเปนอยางน้ันเลย ไมวาทานจะรู หรือจะไมรูก็ตาม ดวยเขาน่ีเอง ที่อัลลอฮฺทรงชวยเหลือ เขาเรียกรองสูทางนํา เขายับย้ังจากความช่ัวชา, ความละเมิด, และความผดิ พลาดตา ง ๆ เปนวะศียฺของนบี “อัล-มุศฏอฟา” และลูกของผูเปนลุงทาน เขาคือผูพิฆาต หัวโจกแหงความหลงและทรยศ”(๔๕๑) ทานฟฏ ล บิน อบั บาส ไดก ลา วบทกวีไวอีกตอนหนง่ึ วา : “บุคคลท่ีประเสริฐยิ่งถัดจากทานนบีของพวกเขาแลวก็คือ “วะศียฺ” ของนบี “มุศฏอฟา” ผู เปยมดวยวิชาการมิใชหรือ ทานเปนบุคคลแรกท่ีนมาซและพิทักษปกปองทานนบี และเปนบุคคล แรกทไี่ ดใหบ ทเรียนแกผ ูไมประสาอันใด ท่ีบะดัรฺ(๔๕๒) ทานฮัสสาน บนิ ษาบติ ไดกลาวบทกวีสรรเสรญิ ทา นอาลดี ว ยภาษาชาวอันศอรทั่วไปวา : “ทา นไดพ ิทกั ษร กั ษาทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮฺ และพันธะสัญญาของทานไวในหมูพวกเรา ท่ีไดสัญญาไวตอทาน และตอบุคคลที่รับชวงส่ิงดังกลาวตอไปจากทาน ทานเองมิใชหรือ ท่ีเปนพี่ นองและวะศียฺของทานอยูในทางนําและเปนผูรอบรูในเรื่องของอัล-กุรอานและซุนนะฮฺยิ่งกวาคน อืน่ ในหมูพวกเขา ?”(๔๕๓)

(๔๕๑) ทา นซบุ ยั รฺ บิน บะการฺไดบันทกึ กวีบทน้ีไวในหนงั สือ “อัล-เมาฟดียาด” ทานอัล-ลา มะฮฺ มุอฺตะชิละอฺก็ไดอางไวในหนา ๑๓ เลม ๓ ของหนังสือ “ชะเราะนะฮฺุล-บะลาเฆาฮฺ” แตที่ทานอิบนุ อับดุล-บัไดบันทึกกวีบทนี้ในหนังสืออิสตีอาบตอนอธิบายถึงช่ือของ นุอฺ มานนั้นปรากฏวาทานไดลบบางตอนเสีย (เขาทํากันเชน น้ีเสมอ) (๔๕๒) ทานอิบนุอลั -อะษีรไดบ ันทกึ เร่อื งนี้ไวในตอนทายของ อะหฺวาล-อุษมาน หนา ๔๓ เลม ๓ หนังสือประวัติศาสตร กามิล นอกจากนี้ทานยังไดกลาวบทกวีอีกสามบทที่เริ่มตน ดว ย “บุคคลทปี่ ระเสรฐิ ย่ิง....” (๔๕๓) ทานซุบัยรฺ บิน บะการฺ ไดบันทึกกวีบทน้ีไวในหนังสือ “อัล-เมาฟกียาด” และ ทานอบิ นุ อาบู หะดดี ไดนํามาอา งไวใ นหนา ๑๕ เลม ๒ หนังสือ “ชะเราะห นะฮฺ ลุ -บะลา เฆาะฮ”ฺ นักกวีอีกบางทานยังไดกลาวถึงคําปราศรัยของทานฮาซัน บิน อาลี (ขอความสันติสุขพึงมี แดท าน) วา : “โอ ปวงประชาชาติทั้งหลาย โอบุตรของวะศียฺ ทานคือผูสืบเช้ือสายของทานนบีและบุตร ของอาลี”(๔๕๔) ทานอุมมุสินาน บินต ศ็อยษุมะฮฺ ไดกลาวบทกวีไวตอนหนึ่งซ่ึงเปนการยกยองคําปราศรัย ของทา นอาลวี า : “แนนอนที่สุดหลังจากมุฮัมมัดแลว ทานคือผูปกครองของพวกเรา เขาไดสั่งเสียทานไว เกยี่ วกบั เรื่องของพวกเรา ฉะนนั้ ทา นจึงเปน ผมู สี ิทธิที่สมบรู ณ”(๔๕๕) บทกวีตา ง ๆ เทา ทเี่ ราไดนาํ มาตแี ผอยา งมากมายน้ี เปนบทกวีท่ไี ดถ กู รวบรวมไวซ ึง่ ขอ ความ ตามความหมายดงั กลาวนี้ เกย่ี วกบั พันธะอันสําคัญของทานอามรี ุลมุมนิ ีน ถา หากเราไดน ําขอมูลตาง ๆ ท่ีมอี ยูใ นสมัยของทานมาประกอบดวยแลว แนน อนทีเดยี วเราจะไดห นงั สอื ที่มีขนาดใหญมาก แต เราขอยอมรับตอความเหน่ือยยากที่เกินความสามารถในการคนควากวีตาง ๆ ท่ีกลาวถึงเร่ืองน้ีให หมดส้ินได แตแนนอนเราก็ไดเสนอเน้ือหาที่เปนพ้ืนฐานสําคัญมาเพื่อเราจะไดเปรียบเทียบในการ คน ควาประกอบกับวชิ าการภาคประวตั ิศาสตรท ่รี ายงานมาจากนกั ปราชญท ี่มีชอื่ เสยี ง และเพ่ือเราจะ ไดเ ห็นขอเปรยี บเทยี บกับกวตี าง ๆ ทใ่ี หค วามหมายทาํ นองเดยี วกนั นี้

(๔๕๔) ทานชัยคมุฮัมมัดอาลี หุชัยชียฺ อัล-ฮะนะฟย อัศ-ศ็อยอาวียฺไดนํามาผนวกไวในหนา ๖๕ หนงั สอื “อาษารฺ ซะวาต อัซ-ซูวารฺ” โดยไดกลาวถึง ทานฆอนิมะฮฺ บินต อามิรฺ กับมุอา วยี ะฮฺ วานางไดก ลา วกวบี ทน้ตี อ หนา มอุ าวิยะฮเฺ พอื่ เปนการตอบโต (๔๕๕) ทานอิมามอาบูฬฏลฺ อะหฺมัด บิน อาบู ฏอฮฺรฺ อัล-บัฆดาตีไดกลาวถึงกวีบทน้ี เมื่อ ระบถุ ึงชื่อของอุมมสุ ินาน ในหนังสือ “บาลาฆอศุน-นิสาอฺ” หนา ๖๗ และทานชัยคมุฮัมมัด อาลี ฮุชัยชยี ฺ อัล-ฮะนะฟยฺก็ยังไดอางจากทานอุมมุสินานอีกดวยในหนังสือ “อาษารฺ ซะวาด อัซซวู าร”ฺ หนา ๘๗ ทานกุมัยต บิน ซัยดฺ ไดก ลาวบทกวขี องทานไวในเรื่อง “อลั -มัยมยี ะตุล-ฮาชิมียะฮ”ฺ วา : “ทานผูเปนวะศียฺ ผูซ่ึงราชบัลลังกแหงประชาชาติตองโนมลงราบเรียบแดทาน ทานคือผู อุดมไปดวยความอารี ความประเสริฐ, ความมีคุณธรรมและดําเนินกิจตาง ๆ ไดลุลวงและสงบ ทาน เปน ทั้งวะลีย,ฺ วะศียฺ, ผูกลาหาญ, เปนท้ังผูรูที่ไมเคยออนแอแมทามกลางโกลาหลใด ๆ ทานคือวะศียฺ ท่ีเปน วะศียขฺ องเสน ทางอันละเอยี ดออน เปนผตู อบโตคูปฏปิ กษใ นวาระที่ประจญั ศึก”(๔๕๖) ทานกะษีรฺ บิน อับดรุ เราะหมฺ าน บิน อัสวัด บิน อามิรฺ อัล-ค็อซซาอียฺ ไดกลาวกวีไวอีกตอน หนึง่ ซึ่งทา นไดเรียกกวีบทน้วี า “กะษรี ุล-อิซซะฮ”ฺ ดงั นี้ : (456) ทานอัลลามะฮฺ ชัยค มุฮัมมัด มะหฺมูด อัร-รอฟอีย ไดกลาวอธิบายกวีบทนี้ไวในตอน จบคําอธิบายหนังสือ ฮาชิมียาตุล-กุมัยต” วา : ความหมายในที่น้ีก็คือ ทานอาลี (ขออัลลอฮฺ ทรงเทิดเกียรติคุณทาน) ไดรับฉายาวาเปน “วะศียฺ” เพราะวาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺได แตง ตงั้ ทานไวเปนทายาทดังท่ไี ดมีรายงานเรอ่ื งนี้โดยคาํ บอกเลา จากทา นอิบนุ บรุ ัยดะฮฺ จาก บิดาของทาน สืบไปถึงทานนบีวา : สําหรับนบีทุกคนน้ันตางก็มีวะศียฺ สวนอาลีคือวะศียฺ ของฉนั และเปนผสู ืบมรดกของฉนั ” (ทานไดบันทึกอีกวา) ทานติรมิซียฺ ไดรายงานฮาดีษจากทานนบีอีกบทหนึ่งกลาววา “ผูใดที่ ฉันเปน เมาลา (ผูปกครอง) ของเขา ดงั น้ันอาลีกเ็ ปน เมาลาของเขาดวย” (ทา นบันทกึ ทึกอกี วา ) ทา นบคุ อรไี ดร ายงานฮาดีษบทหน่ึงจากทานสะอัดวา “ทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺไดออกไปทําสงครามตะบูกและร้ังทานอาลีไวใหอยูขางหลัง ทานอาลีกลาววา “ทานจะรั้งฉันใหอยูกับบรรดาเด็ก ๆ และสตรีกระน้ันหรือ ? “ ทานนบีไดกลาววา เจามิได ภูมิใจดอกหรอื ทเ่ี จา กบั ฉนั มฐี านะเชน ฮารนู กับมูซา เพียงแตจ ะไมมีนบีภายหลังฉันอีกแลว ” (ทา นไดบ ันทกึ อีกวา) ทานอิบนุ กัยส อัร-รอกียาคยงั ไดกลา วบทกวไี วอีกวา :

“ในหมูพวกเรามีนบีผูไดรับการสรรเสริญและผูซื่อสัตยในหมูพวกเรามีผูสํารวม ตนและผูปราดเปรื่องทางวิทยปญญาทั้งทานอาลี ทานญะอฺฟรผูขนาบปกสองดานเหลาน้ัน เขาเปนวะศียฺและปวงผพู ลีชีพ” (ทานไดกลาวอีกวา) : ความหมายเชนนี้พวกเขาเหลานั้นไดกลาวและพูดถึงกันในตัวของ ทานอาลีอยางมากมาย หลังจากนั้นทานก็ไดยืนยันส่ิงเหลานี้ไปตามท่ีเราไดอางมาเปน พ้นื ฐาน จาก “กะษรี ฺอิซซะฮ”ฺ “วะศียฺของทานนบี “มุศฏอฟา” และบุตรแหงลุงของทาน เปนผูกอบกูความตกต่ํา และเปน ผูตัดสินแกผ กู อความเสยี หาย” ทา นอาบตู ะมาม อัฏ-ฏออียฺ ไดก ลา วบทกวขี องทานวา “และกอนจากเขาผูน้ัน พวกทานไดใหสัตยสาบานแกการเปนวะศียของเขา เปนความ หายนะความสญู เสียอยา งชนิดท่ีไมมปี รมิ าณใดเปรียบเทียบตอการกระทําเชนนั้นได พวกทานจึงให ความชวยเหลอื กนั อยางเรงดวนเชน นัน้ มากอน พ่ีนอ งของเขาและบุตรเขยของเขาน้ัน ควรแกการยก ยองย่ิง ซ่ึงไมมีพี่นองและบุตรเขยคนใดเปนเสมือนอยางทาน ภารกิจของนบีมูฮัมมัดไดแข็งแกรง ย่ิงขนึ้ ก็เพราะเขา เหมือนอยา งทภี่ ารกิจของนบีมูซาไดแ ข็งแกรงเพราะฮารนู ของตน”(๔๕๗) ทานดะอฺบัล บิน อาลี อัล-ค็อซซาอียฺ ไดกลาวบทกวีท่ีคร่ําครวญถึงทานประมุขของเหลา บรรดาชาฮดี (อิมามฮุเซน) วา : “ศีรษะบุตรชายของลูกสาวมุฮัมมัดกับวะศียฺของเขา โอ อาลัยเหลือแดบุรุษท่ีถูกชูศีรษะขึ้น ปลายหอก” ทานอาบู อัฏ-ฏ็อยยิบ อัล-มะตันนะบียฺ ไดกลาวไวเปนการตําหนิผูทอดทิ้งการสรรเสริญ ตอ อะหลฺ ุลบัยตฺ ดังทม่ี ีปรากฏอยูในกวขี องทานวา : “ทานละทิง้ การสรรเสรญิ ตอ วะศียอฺ ยา งเจตนา ขณะทเ่ี ขาเปน รศั มนี ําเสนทางอนั อุดม ในเมอื่ สง่ิ ใดแผข ยายออก ทานก็จะยืนขึ้นดวยตัวของทานเอง คุณลักษณะประดุจแสงสวางแหงดวงอาทิตย ซึ่งจะขบั ไลความเหลวไหลทั้งปวงใหพนไป- ทานยังไดกลาวยกยองอาบูกอซิม ฏอฮิร บิน ฮุเซน บิน ฏอฮิรฺ อัล-อุลุวียฺ ไวดังท่ีปรากฏอยู ในกวขี องทานอกี บทหนงึ่ วา : “เขาคือบุตรแหงศาสนทูตของอัลลอฮฺ และบุตรของวะศียฺของทาน คุณลักษณะของบุคคล ท้ังสองนนั้ มสี ว นละมา ยกับทา นอยางหาที่เปรยี บเทยี บไมไ ด”

(๔๕๗) เปน บทกวีซง่ึ ทา นไดประพันธข้ึนมาในหนงั สอื กวขี องทาน บทกวีทํานองดังกลาวน้ียังมีอีกมากมายจนนับไมถวน และไมสามารถนํามาบันทึกใหหมด ได วัสลาม (ช) อัล-มุรอญิอะฮฺ ๑๐๙ ๒๓ รอบีอษุ -ษานี ๑๓๓๐ • ขอทราบท่ีมาขอหลกั การศาสนาแนวทางอมิ ามียะฮโฺ ดยละเอยี ด ขาพเจาไดก ลาวแกท านไวในอลั -มุรอญอิ ะฮทฺ ่ี ๑๙ วา “ผูที่นิยมการถือฝกฝายบางพวกท่ีตรงกันขามกับทานมีความสับสนเปนอยางยิ่งในสายสืบ ฮาดีษตาง ๆ จากมัซฮับของทาน ทั้งในสวนท่ีเปนขอปลีกยอยของศาสนาและในสวนที่เปนรากฐาน อันสําคัญ เกีย่ วเน่อื งไปจนถึงเรื่องของบรรดาอิมามแหง อะหฺลุลบัยตฺ เราตางกไ็ ดสญั ญาตอ กนั ไวว าจะดาํ เนนิ การสนทนากบั ทานในลกั ษณะนี้ บัดนี้ถึงเวลาท่ีเราไดสัญญากันแลว ฉะน้ันทานยินดีจะเสนออมูลตาง ๆ เพื่อคลี่คลายความ สบั สนของพวกเขาท่มี ีอยไู ดบ างหรือไม ? วัสลาม (ช) อัล-มรุ อญอิ ะฮฺ ๑๑๐ ๒๙ รอบีอุษ-ษานี ๑๓๓๐ ๑. แนวทางของบรรดาชีอะฮฺ เปนแนวทางที่สอดคลองตรงกันเปนเอกฉันทของบรรดาอิ มาม แหงอะหลฺ ุลบัยตฺ ๒. บรรดาชอี ะฮฺมวี ิชาการท่ลี ํ้าหนา มาตง้ั แตใ นสมัยของศออาบะฮฺ

๓. ผรู วบรวมตําราในหมูบรรพชน สมยั ตาบอิ นี และสมัยสานศุ ิษยข องตาบอิ นี ๑. บรรดานกั วชิ าการผูท รงคุณวุฒติ างก็ทราบดีดวยกันท้ังนั้นเก่ียวกับหลักการท่ีสําคัญอยาง ยิ่งของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ(๔๕๘) วา เปนการสืบวงทางวิชาการท้ังในเรื่องท่ีเกี่ยวกับพ้ืนฐานของศาสนา และเร่อื งที่เปน ขอปลกี ยอ ย โดยนกั ปราชญในอดตี ไดสืบไปจนถึงเชอื้ สายของผูบริสทุ ธ์ิ ดังนั้นวิชาการของพวกเขาจึงติดตามอยูกับวิชาการของบรรดาอิมามท่ีอยูในเช้ือสายมาโดย ตลอดท้ังในประเด็นของขอปลีกยอยและในประเด็นของเรื่องพื้นฐานที่สําคัญ ตอลดจนถึงเรื่องราว อ่นื ๆ ตา งกไ็ ดนาํ มาจากอลั -กุรอานและซุนนะฮฺ (แบบฉบบั ) ของทาน- (๔๕๘) นิตยสาร “อัล-ฮุดา” แหงประเทศอิรัคไดถายทอดอัล-มุรอญิอะฮฺบทน้ีลงใน นิตยสารดังกลาว โดยเผยแพรติดตอกันไปเปนสองภาคคือภาคที่หน่ึงและภาคท่ีสองพรอม ทง้ั ลงชือ่ ทา นอบั ดลุ ฮเุ ซน ชรั ฟดุ ดีนดว ย ศาสนทูตอีกทั้งเรื่องราวทางวิชาการทั้งมวลท่ีเกี่ยวของอยูกับหลักการทั้งสองนั้น พวกเขามิได กระทําการละเมิดในสิ่งตาง ๆ เหลานั้นแมแตประการใด นอกจากวาจะตองข้ึนอยูกับบรรดาอิมาม และพวกเขาจะไมวินิจฉัยสิ่งใด ๆ โดยมิไดยอนกลับไปพิจารณาตอคําวินิจฉัยของบรรดาอิมาม เพราะบุคคลเหลานั้นเปนผูยอมจํานนอยางส้ินเชิงตออัลลอฮฺผูทรงสูงสุด และพวกเขาแสวงหาความ ใกลชิดตอพระองคผูทรงไวซึ่งความบริสุทธ์ิดวยการยึดมั่นตอแนวทาง (มัซฮับ) ของบรรดาอิมาม แหงอะหฺลุลบัยตฺ พวกเขามิไดพบความเปล่ียนแปลงและมิไดมีความยินดีท่ีจะดัดแปลงกฎเกณฑใด ๆ จากมซั ฮับน้ีเลย ลกั ษณะดังกลา วนบี้ รรพชนผมู ีคุณธรรมของพวกเขาไดดําเนินกันมานับตั้งแตสมัยของทาน อามรี ุลมุมนี นี ทา นฮาซนั ทานฮูเซน (อ) จวบจนสมัยของเราในปจจุบันนี้ บรรดานักปราชญท่ีสําคัญ ตลอดจนถึงผูเชี่ยวชาญทางวิชาการของฝายชีอะฮฺจึงไดรับเอาหลักการที่เกี่ยวกับขอปลีกยอยและ รากฐานของศาสนามาจากบรรดาอมิ ามเหลา นน้ั ทุกทาน กลุมบุคคลผูมีความสํารวม มีความเขาใจและมีความละเอียดถ่ีถวนจํานวนมากไดรักษา หลักการเหลานี้ไวอยางสอดคลองตองกันโดยท่ีพวกเขาไดถายทอดสิ่งเหลาน้ีใหแกอนุชนรุนหลัง ตามแนวทางที่ตรงตอกันเปนเอกฉันท และบุคคลรุนหลังเหลาน้ันก็ไดถายทอดสิ่งดังกลาวใหแก อนุชนรุนหลังไปตามแนวทางอยางนอ้ี ีกตอ ๆ ไป

ลกั ษณะดังกลา วนเี้ ปนเร่ืองราวท่ีไดด าํ เนินอยูในบรรพชนและประชาชาติทุกรุน จวบจนได ยุติสมบูรณใหแกพวกเราในยุคปจจุบัน เปรียบเสมือนมีดวงอาทิตยที่เจิดจาซ่ึงไมมีหมอกเมฆใด ๆ มาปดบงั ฉะนั้นในปจจุบนั น้ีพวกเราจึงอยใู นหลักวชิ าการทั้งสิง่ ท่เี ปน ขอ ปลีกยอยและสิ่งที่เปนพื้นฐานสําคัญของศาสนาไปตามที่บรรดาอิมามซ่ึงเปนอา ลิ (ผูสืบตระกูล) ของทา นศาสนทูตไดถือปฏิบตั มิ ากอ น พวกเราจึงเรียนรูและดําเนินการปฏิบัติศาสนกิจตาง ๆ ทั้งหมดของเราไปตามแนวทางของ พวกเขา จากบรรพชนท้ังมวลของเราและจากที่บรรพชนท้ังมวลของเราไดรายงานบอกเลาไว ซ่ึงส่ิง ตา ง ๆ เหลานั้นก็มาจากบรรพชนท้ังมวลของพวกเขา สภาพการณดังกลาวไดเปนอยูในลักษณะนี้ในทุกยุคทุกสมัยท่ีไดสืบไปจนถึงสมัยของ ทานอิมามอาลี อัน-นะกียฺ (อิมามที่ ๑๐) สมัยของอิมามฮาซัน อัสการียฺ (อิมามที่ ๑๑) สมัยของทานอิ มามอาลีริฏอ (อิมามที่ ๘) สมัยของทานอิมามญะวาด สมัยของทานมูซา กาซิม (อิมามที่ ๗) สมัย ของทานอิมามญะอฺฟร ศอดิก (อิมามที่ ๖) สมัยของทานอิมามซัยนุลอาบิดีน (อิมามท่ี ๔) สมัยของ ทานอิมามบากิรฺ (อิมามที่ ๕) สมัยของทานอิมามฮาซันและอิมามฮูเซนชะฮีด ผูยิ่งใหญท้ังสองและ สมัยของทานอามรี ลุ มุมินนี (อ) ฉะนั้นในปจจุบันน้ีเราจึงไมสามารถที่จะรูถึงรายชื่อของบรรพชนนักปราชญชีอะฮฺท่ีเปน พรรคพวกของบรรดาอิมามแหงอะหฺลุลบัยตฺไดทั้งหมด การร่ําเรียนบทบัญญัติตาง ๆ ทางศาสนา และการรบั ชว งวชิ าการตา ง ๆ ของอิสลามตลอดจนถึงความรอบรูของพวกเขาเหลานั้นมีมากมายจน มิอาจจะพรรณนาถึงเกยี รติคุณของพวกเขาใหจบสิน้ ได คงจะเปนที่เพียงพอสําหรับทานท่ีจะพิสูจนกับวิชาการตาง ๆ ที่ถายทอดออกมาจากปลาย ปากกาแหงวิชาความรูของพวกเขา ที่เปนนักรวบรวมตําราซ่ึงมีความสามารถสูง โดยไมจําเปนท่ี จะตองสาธยายถึงจํานวนทั้งหมดของตําราเหลาน้ันลงในหนังสือเลมน้ี แตแนนอนท่ีสุดพวกเขาได ทําหนาท่ีถายทอดหลักวิชาเหลาน้ันมาจากรัศมีนําทาง (นูรุล-ฮุดา) แหงบรรดาอิมามผูเปนอาลิ (ผูสืบตระกูล) ของมูฮัมมัด (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทาน) นักปราชญเหลาน้ันไดเก็บรักษา ไดยินไดฟง และไดรับเอามาซ่ึงวิชาการ ตาง ๆ เหลา นนั้ จากพฤตกิ รรม คําสอนของบรรดาอิมามทงั้ หลาย ดังนั้นจึงถือไดว า น่นั คือพลงั ที่มาของวิชาการอกี ทั้งวทิ ยปญญาตาง ๆ ของพวกเขา โดยทม่ี ัน ไดถ กู รวบรวมข้นึ ตามเง่ือนไขของบรรดาอิมามเหลาน้นั

ฉะนั้นหลักวิชาการตาง ๆ ดังกลาวจึงเปนสถานท่ีแหงการยอนกลับไปหาความถูกตองของ บรรดานักปราชญช ีอะฮใฺ นยคุ หลงั ๆ โดยเหตุน้ีเองแนวทางของอะหฺลุลบัยตฺจึงมีลักษณะท่ีชัดเจนยิ่ง กวามัซฮับใด ๆ ของพ่นี องมุสลมิ ทงั้ หลาย กลาวคอื เรามิสามารถท่ีจะรูไดอยางแนนอนเลยวาผูคลอย ตามมซั ฮบั ของอมิ ามทัง้ ส่นี ้ัน จะมีมัซฮับใดบา งท่ีมลี ักษณะความเปน มาเสมือนดังท่ไี ดก ลาวไปแลว กลาวคือในสมัยหน่ึงของพวกเขาสําหรับมัซฮับหนึ่ง ๆ ของพวกเขาน้ันจะตองไดมีการ รวบรวมหนังสือข้ึนมา ซ่ึงก็เปนแตเพียงหนังสือท่ีประชาชนไดรวบรวมขึ้นมาเพื่อมัซฮับของพวก เขาเทานนั้ ดังนั้นจึงเกิดมีตํารับตํารากันขึ้นมาเปนจํานวนมากนับต้ังแตหลังจากท่ีสมัยของบุคคล เหลานน้ั ไดผา นไปแลว แตนั่นกย็ งั ถอื กันวายงั คงอยูในดา นของการคลอ ยตาม (ตักลดี ) ในมซั ฮบั ของ พวกเขาอยางเดิม และบรรดาอิมามก็ไดจํากัดวิชาการในประเด็นท่ีเปนขอปลีกยอยแกพวกเขา และ ในสมยั ที่พวกเขามชี วี ติ อยนู ้นั พวกเขาก็เปน เสมอื นหน่ึงบรรดานักปราชญทางศาสนบัญญัติ (ฟุเกาะ ฮาอฺ) และนักฮาดีษ กลาวคอื ยงั มไิ ดม กี ารจําแนกแยกแยะอนั ใดไวใ หเ ดด็ ขาดสาํ หรับพวกเขาเลย โดย นกั ปราชญทีอ่ ยูใ นมาตรฐานแหงความเช่ือถอื ของพวกเขา และดวยเหตนุ ้เี องจงึ ไดมีเงื่อนไขใด ๆ ตอ พวกเขาวาจะตองเปนผูควรจะไดรับความสําคัญโดยพฤติกรรมจากคําสอนของพวกเขาให เหมือนกับท่ีบรรดานักปราชญชีอะฮฺใหความสําคัญตอพฤติกรรมคําสอนของบรรดาอิมามมะอฺศูมีน (ผูไดรับการปกปองใหพนบาปทั้งหลาย) เพราฉะนั้นนักปราชญชีอะฮฺจึงถือวาเง่ือนไขที่สําคัญประการแรกนั้นจะตองข้ึนอยูกับ ความสําคัญของบรรดาอิมาม จะไมมีการอนุโลมใหยึดมั่นในหลักการอ่ืน ๆ เขามาเปนศาสนาโดย ปราศจากการยอมรบั ตอคาํ สอนของบรรดาอิมาม ดวยการยอมรับดังกลาวนี้เทาน้ันท่ีจะถือวาเปนการยอมรับตามแนวทางของพวกเขา อีกท้ัง มีการยึดม่ันอยางเด็ดเดี่ยวตอพวกเขาเหลาน้ันในแงของวิชาการทางศาสนา และจะตองพยายาม จนถงึ ท่ีสดุ ในอนั ทีจ่ ะดาํ เนนิ กิจการทุกอยางใหเ ปน ไปตามคําสงั่ สอนของบุคคลเหลานั้น โดยการให ความสําคัญและยอมรับในส่ิงตาง ๆ เหลาน้ี อยางชนิดที่มิสามารถเพ่ิมเติมอะไรข้ึนมาเองได ซึ่งถือ วา การกระทาํ เชนนัน้ เปนการศึกษาวชิ าความรทู ี่ไมถ กู ตองตามทศั นะของอัลลอฮฺ คงจะเปนที่เพียงพอสําหรับทานที่จะพิจารณาวาในสมัยของทานอิมามศอดิก (อิมามที่ ๖) นั้น ไดมีผูที่บันทึกวิชาการในดานรากฐานที่สําคัญของศาสนานับจํานวนถึง ๔๐๐ ทาน ซ่ึง หมายความวาใน ๔๐๐ ทานนี้ไดบันทึกตําราถึง ๔๐๐ เลม เปนตําราท่ีบันทึกขอวินิจฉัยตาง ๆ ของ

ทานอิมามศอดิก และบรรดาสหายของทานอิมามศอดิกซ่ึงมีอยูเปนจํานวนมากดังท่ีทานจะสามารถ พิจารณาดูรายละเอียดตาง ๆ เหลา นัน้ ไดใ นไมชา นี้ อินชาอัลลอฮฺ บรรดาอิมามท้ังส่ีมัซฮับน้ันไมมีทานใดท่ีจะไดรับความเช่ือถือจากประชาชนใหเหมือนกับ ฐานะของบรรดาอิมามแหงอะหฺลุลบัยตฺท่ีมีตอผูซึ่งปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขา (ชีอะฮฺ) เลย แมแตท านเดยี ว อีกทั้งในสมัยท่ีทานท้ังสี่มีชีวิตอยู พวกทานก็ยังมิไดมีฐานะที่ไดรับความสําคัญเหมือน อยา งเชนความสาํ คัญท่ีมีขึ้นในภายหลังจากที่ไดวายชนมไปแลว ดังที่ทานอิบนุ ค็อลดูน อัล-อะเราะ บียฺ ไดอธิบายถึงเรื่องนี้ไวในภาควิชาที่วาดวยวิชาการทางศาสนบัญญัติของนักปราชญท่ีมีช่ือเสียง ชั้นแนวหนา ซึง่ บรรดานกั ปราชญของพวกเขาจํานวนไมนอยตา งกไ็ ดร บั กนั ไวอ ยา งนั้น เก่ียวกับเร่ืองนี้เราจึงไมมีความสงสัยใด ๆ เลยวามัซฮับท้ังหลายของบุคคลเหลาน้ัน แทจริง ก็เปนเพียงมัซฮับของบรรดาสานุศิษยของพวกเขานั่นเอง ซ่ึงรายละเอียดตาง ๆ ในทุกแงทุกมุมที่มี ตอมัซฮับเหลานั้นไดขึ้นอยูกับพฤติกรรมของพวกเขาเอง และแนนอนที่สุด พวกเขาไดบันทึก รายละเอียดตาง ๆ เหลาน้ันลงในตําราของพวกเขา ท้ังน้ีก็เพราะวาบรรดาสานุศิษยของพวกเขาน้ัน ไดยอมรับตอมัซฮับของพวกเขา เสมือนกับท่ีบรรดาชีอะฮฺไดใหการยอมรับตอมัซฮับแหงบรรดาอิ มามของพวกตน ในฐานะทบี่ คุ คลเหลา น้ันไดยอมจํานนอยางส้ินเชิงตออัลลอฮฺโดยพฤติกรรมตาง ๆ จนถึงทส่ี ุด และไมม ีเจตนารมณของบคุ คลใดท่ีจะแสวงหาความใกลชิดตออัลลอฮฺใหไดอยูในระดับ ทีม่ ีความจริงแทใ หเ สมอเหมือนกบั พวกเขาได ๒. ผมู วี จิ ารณญาณทง้ั หลายตางก็รูกนั โดยปริยายแลววาบรรดานกั ปราชญชีอะฮฺนั้นมีการล้ํา หนาอยูในดานตําราทางวิชาการเหนือกวานักปราชญทั่ว ๆ ไป จะเห็นไดวาไมมีใครคัดคานในขอนี้ มากอนเลยนับตั้งแตในยุคแรก กลาวคือไมมีใครเกินหนาทานอาลีและผูทรงคุณวุฒิทางดานวิชาการ ท่ีเปน พรรคพวกของทาน โดยที่ในแงน้ีไดมีลักษณะที่แตกตางกับบรรดาสาวกท่ัว ๆ ไปในดานการอนุญาตใหบันทึก วชิ าความรู และหา มมิใหบันทึก ตามท่ีมีรายงานมาจากทาน “อัล-อสั กอ็ ลลานียฺ” ไดกลาวไวในคํานํา ของหนังสือ “ฟตหุล-บารียฺ” และบุคคลอ่ืน ๆ ตางก็ไดระบุวาทานอุมัรบิน ค็อฏฏ็อบและสาวกอีก กลุมหน่ึงถูกหามมิใหบันทึก โดยเกรงวาเขาจะบันทึกฮาดีษเขาไปปะปนกับอัล-กุรอานในขณะที่สิ่ง เหลานั้นไดถูกอนุญาตใหแกทานอาลีและทานฮาซันผูเปนทายาทท่ีรับชวงตอไปจากทานตลอด จนถึงบรรดาสาวกอีกจาํ นวนหน่ึง

สภาพการณในลักษณะดังกลาวนี้ยังคงมีอยูตลอดมาจนกระท่ังบรรดานักปราชญใน ศตวรรษทสี่ องคอื ชว งปลายของสมัยตาบิอนี ไดม กี ารยนิ ยอมใหร วบรวมวิชาการกนั ข้ึนมา ในชว งนนั้ เองทานอบิ นญุ ะรฮี ฺ กไ็ ดรวบรวมหนังสือของทานข้ึนโดยอาศัยขอมูลมาจากทาน มญุ าฮิดและทา นอะฏออฺแหงนครมักกะฮฺอกี ทั้งจากทานอัล-เฆาะซาลียฺอีกดวย ปรากฏวาหนังสือเลม นั้นเปนตําราท่ีรวบรวมหลักการตาง ๆ ในเร่ืองของอิสลามเลมแรกและนับวาเปนหนังสือเลมแรกที่ ไดถ ูกรวบรวมข้ึนโดยนกั ปราชญมสุ ลมิ ท่มี ิใชเ ปน ฝา ยชีอะฮฺ และถัดจากหนังสือเลมน้ันก็ไดแกตํารา ของทานมุอัมมัร บิน รอชิด อัศ-ศ็อนอานียฺ แหงเมืองยะมันเปนเลมที่สองถัดจากน้ันก็ไดแกหนังสือ “มวุ ัฏเฏาะอ”ฺ ของทา นอมิ ามมาลกิ เปนเลม ทส่ี าม ในบทนําของหนังสือ “ฟตหุล-บารียฺ” ระบุวาทานอัร-เราะบีอฺ บิน เศาะบีหฺเปนบุคคลแรกท่ี ไดรวบรวมตําราขึ้น ทั้งนี้ก็อยูในตอนปลายของสมัยตะบิอีนมาแลวแตอยางไรก็ตาม โดยมติที่เปน เอกฉันทแลว ถอื วาในสมยั แรกนั้น ไมม ีตาํ ราเลมใดสําหรบั พวกเขาเลย ! สวนทางดา นของทานอาลีและชีอะฮฺด (ผูอ ยใู นแนวทาง) ของทานนนั้ แนนอนท่ีสดุ พวกเขา ไดมีบทบาทกันมาในเร่ืองน้ีตั้งแตสมัยแรกอยูแลว กลาวคือตําราชิ้นแรกท่ีทานอามีรุลมุมินีนได รวบรวมไวไดแกพระคัมภีรของอัลลอฮฺ (ผูทรงอานุภาพสูงสุด) เพราะหลังจากท่ีทานอิมาม (อ) ได เสร็จส้ินจากการจัดแตงมัยยิตของทานนบี (ศ)แลวทานก็สาละวนอยูกับวิชาการโดยตัวของทานเอง โดยมเิ คยละท้งิ นอกจากเวลานมาซหรือรวบรวมอลั -กุรอานเทา นัน้ ทา นไดรวบรวมอลั -กุรอานโดยเรยี บเรยี งไปตามวาระของการประทาน และยังไดช้ีแจงถึง โองการที่เกีย่ วกบั ปญหาท่ัวไปและโองการที่เก่ยี วกบั ปญ หาจาํ เพาะ โองการทเ่ี กยี่ วกบั คาํ ส่งั หา มและโองการทีเ่ กี่ยวกบั คําชี้นํา โองการทเี่ กี่ยวกับกฎเกณฑท ่ีเดนชดั และโองการทเ่ี ก่ยี วกับกฎเกณฑแหง นยั ยะ โองการท่เี กยี่ วกบั การยกเลิกกฎเกณฑเกา และโองการท่ถี กู ยกเลิกคําสง่ั โองการทว่ี า ดว ยขอบังคบั และโองการทว่ี า ดวยกฎอนโุ ลม โองการที่วา ดวยจรยิ วตั แิ ละโองการทว่ี า ดว ยจริยธรรม ทานไดอธิบายถึงสาเหตุของการประทานมาในแตละโองการอยางชัดแจง นักปราชญบางทานเชนทานอิบนุ ซีรีน ไดกลาวอธิบายถึงคุณลักษณะของหนังสือเลมนั้น ไวว า :

“ถาขาพเจาไดมีโอการพบกับวิชาการตาง ๆ ที่มีอยูในหนังสือเลมนั้น แนนอนที่สุดเทากับ ชวยใหขาพเจาไดรูจักกับเหลาบรรดาสาวกผูเช่ียวชาญในการรวบรวมอัล-กุรอานอีกจํานวนไมนอย โดยมิใชวาพวกเขาเหลาน้ันจะสามารถรวบรวมเร่ืองราวแหงการประทานมาของอัล-กุรอานใหได ทั้งหมดไมและพวกเขาก็จะไดไมทอดทิ้งกับความสําคัญสวนหน่ึงสวนใดตามที่ขาพเจาไดรับรูมา” (๔๕๙) เพราะฉะน้ันทานอาลี (อ) จึงไดรวบรวมอัล-กุรอานพรอมดวยคําอรรถาธิบายใหเหตุผลใน แงตา ง ๆ หลงั จากทที่ านไดเ สร็จภารกิจจากเรอื่ งของคัมภีรอ นั ทรงเกยี รติแลว ทานกไ็ ดร วบรวม (๔๕๙) ทานอิบนุ ฮะญัร ไดอางเรื่องน้ีไวในหนังสือ “เศาะวาอิก” และนักปราชญอ่ืน ๆ อีก จํานวนไมนอ ย หนังสืออีกเลมหนึ่งใหแกทานหญิงฟาฏิมะฮฺ “ประมุขของเหลาสตรีแหงสากลโลก” ซึ่งเปนหนังสือ ที่บรรดาลูกหลานผูบริสุทธิ์ของทานไดรูจักในนามวา “มุศหัฟ ของฟาฏิมะฮฺ” ซ่ึงเปนหนังสือที่ ประมวลหลักการภาคปฏิบัติและบทบัญญัติตาง ๆ เปนคําสอนและขอเตือนสติ อีกท้ังเปนเรื่องราว และขอ มูลตาง ๆ ซึ่งเปนส่ิงที่จําเปนอีกท้ังสิ่งท่ีเปนความรักของประมุขของบรรดานบีนั่นคือศาสดา มุฮัมมัด (ศ) ผูเ ปน บิดาของทา นเอง ทานอิบนุ สะอัด ไดกลาวถึงเร่ืองน้ีไวในตอนทายของหนังสือท่ีมีช่ือเสียงของทาน โดย รวบรวมสายสืบของเร่ืองอางจนถึงทานอามีรุลมุมินีน (อ) และทานก็เห็นอยูแลววาทานบุคอรีและ ทานมุสลิมตางก็ไดกลาวถึงเร่ืองหนังสือ “เศาะฮีฟะฮฺ” เลมน้ี โดยที่ทานทั้งสองไดรายงานเก่ียวกับ เรือ่ งน้ไี วใ นภาคตา ง ๆ จากหนังสือศอฮี้ฮฺทง้ั สองเลม ของทา นทง้ั สอง หนงั สอื ทไี่ ดร วบรวมข้นึ หลักจากเลมน้กี ย็ ังอยใู นลักษณะเดิมโดยใชชื่อวา “เศาะฮีฟะฮฺ” สวนหน่ึงจากรายงานท่ีทานทั้งสองไดบันทึกไวน้ันทานไดอางเร่ืองน้ีมาจากทานอัล- อะอฺมชั จากทา นอิบรอฮีม อัต-ตัยมยี ฺ โดยทา งถงึ บดิ าของทา นวา “ทานอาลี (อัลลอฮฺทรงมีความชื่นชมตอทาน) ไดกลาววา : เราไมมีหนังสืออะไรท่ีจะให พวกทานอานนอกจากอลั -กุรอานกบั หนังสือเศาะฮีฟะฮฺเลมนี้” (ทานไดเลาตอไปอีกวา) : แลวทานก ไดนําหนังสือเลมนั้นออกมาซ่ึงปรากฏวาในน้ันมีขอความตาง ๆ ท่ีจารึกไวกับแผนหนังและ ขากรรไกรของอูฐ” (ทานไดกลาวอีกวา) : และในเร่ืองนี้เปนเมืองท่ีตองหามมิใหมีส่ิงรบกวนทําให มัวหมองตั้งแตอีรฺ จนถึงษูรฺ ดังนั้นผูใดที่กุเรื่องราวข้ึนมาในนั้น หรือละเมิดโดยเปนผูอุตริอยางใด อยางหน่งึ ข้นึ มา ดังนน้ั อลั ลอฮฺและมวลมะลาอิกะฮฺตลอดจนถงึ มนษุ ยท ง้ั มวลจะสาปแชงเขา”

ฮาดีษน้ีเปนประโยคท่ีบันทึกโดยทานบุคอรีในหมวดท่ีวาดวย“อิษม มิน ตะบัรอ มิน มะวา ลีฮ”ฺ จากกิตาบ “อัล-ฟะรออฏิ ” ภาคท่ี ๔ หนังสอื ศอฮฮี้ ขฺ องทา น(๔๖๐) และเรื่องนยี้ งั มีบนั ทึกอยใู นบาป ทว่ี าดว ย “ฟฏ ลุลมะดนี ะฮ”ฺ จากกิตาบ “อลั -หจั ญ” ภาคที่ ๑ จากหนงั สอื ศอฮีฮ้ ฺมุสลิม(๔๖๑) ทานอิมามอะหฺมัด บิน ฮันบัล ไดบันทึกรายงานเกี่ยวกับเรื่องของหนังสือ “เศาะฮีฟะฮฺ” นี้ ไวมากแหงในหนังสือมุสนัดของทาน สวนหน่ึงก็คือรายงานที่ทานไดบันทึกมาโดยทางถึงฮาดีษ ของทา นอาลีไวใ นหนาที่ ๑๐๐ ภาคท่ี ๑ ของหนงั สอื มสุ นัดวา “ทานฏอริก บิน ชิฮาบไดรายงานไววา : ฉันไดเห็นทานอาลี (ขออัลลอฮฺทรงมีความช่ืนชม ตอทา น) ไดกลาวคําปราศรัยบนมิมบัรฺวา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ เราไมมีหนังสือเลมใดที่จะอาน ใหพวกทานฟง (ฟง) นอกจากคัมภีรของอัลลอฮฺและหนังสือเศาะฮีฟะฮฺเลมน้ี ซึ่งแขวนติดอยูท่ีตาบ โดยทฉ่ี นั ไดร ับมอบมาจากทา นศาสนทตู อลั ลอฮฺ (ศ)” มีรายงานท่ีบันทึกอยูใน “ริวายะฮฺ อัศ-ศ็อฟฟาร” วาทานอับดุลมาลิกไดกลาววา ทานอิมาม อาบูญะอฺฟร ไดเรียกหา “หนังสือของทานอาลี” ดังนั้นจึงมีคนนําหนังสือดังกลาวไปใหแลว ทา นญะอฟฺ รกไ็ ดนาํ หนงั สือเลม นั้นออกมา ซึง่ มคี วามหนาเสมอขาพบั ในหนังสือเลม นั้นมีขอความหน่ึงระบวุ า “แทจ ริงสตรนี ้ันไมมีส่ิงใด(สินเดิม) จากชายท่ีเปน หมนั จะพึงไดแ กนาง. ในเมือ่ เขาไดเสยี ชวี ติ จากนางไป” ทานอิมามอาบูญะอฺฟรไดกลาววา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ นี่คือขอเขียนของทานอาลี ตามคําบอกของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ซ่ึงทานอามีรุลมุมินีน ไดสั่งสอนแกบุคคลตาง ๆ ใน กลุมชีอะฮฺ(ผูอยูในแนวทาง)ของทาน แลวพวกเขาก็ไดรวบรวมหนังสือเลมน้ันข้ึนไวเชน : ทานซัล มาน (๔๖๐) ดหู นา ๑๑๑ (๔๖๑) ดูหนา ๕๒๓ ฟาริซยี , ทานอาบูซัรฺ อัล-ฆ็อฟ ฟารยี ฺ สวนตามท่ีทานอิบนุชะฮัรฺ อัชวับไดบันทึกน้ันทานไดกลาววา “บุคคลแรกท่ีรวบรวมตํารา ในประวัติศาสตรอิสลามไดแกทานอาลี บิน อาบีฏอลิบ ถัดมาก็ไดแกทาน ซัลมาน อัล-ฟาริซียฺ และ ทา นอาบซู ัร” ผูที่รวบรวมตําราในสมัยน้ันก็ยังมีอีกเชน ทานอาบูรอฟอฺ คนใกลชิดของทานศาสน ทูตอัลลอฮฺ (ศ) และเปนผูจัดการกองคลัง (บัยตุล-มาล) ของทานอามีรุลมุมินีน (ความสันติสุขพึงมี

แดทาน) อีกดวย ทานผูนี้เปนปยมิตรคนสําคัญและเปนผูที่จงรักภักดีตอทานอาลีเปนพิเศษ ทานได รวบรวมหนังสือฮาดีษและบทบัญญัติทางศาสนา ตลอดจนหลักการตาง ๆ ท่ีสําคัญ โดยท่ีทานได รวบรวมมาจากฮาดีษของทานอาลโี ดยเฉพาะ ดังนั้นจะเห็นวาวิชาการสําหรับบรรพชนของเราน้ันอยูในระดับท่ีสูงสงมานมนานแลว ซ่ึง ตอมาก็ไดมีการถอยทอดวิชาการเหลานั้นโดยอาศัยแนวทางและสายสืบของพวกเขา ในจํานวนน้ีก็ ไดแกทานอาลี บิน รอฟอฺ (เรื่องราวท่ีเก่ียวกับประวัติการเกิดของทานผูน้ีมีอธิบายอยูในหนังสือ “อิ ศอบะฮฺ” วาทานเกดิ ในสมัยของทา นนบี แลว ทา นก็ไดข นานนามแกเ ขาวา “อาลี” ทานผูนี้เปนเจาของตําราเลมหน่ึงที่ประมวลหลักการทางศาสนบัญญัติ (ฟกฮฺ) ไวเปน มาตรฐานสําหรับมัซฮับอะหลฺ ุลบัยตฺและปรากฏวา บรรดาอมิ ามท้งั หลายของมซั ฮบั น้ี (ความสันติสุข พึงมีแดทานท้ังหลาย) ตางก็ใหความสําคัญเปนอยางย่ิงตอหนังสือเลมนี้และทานทั้งหลายก็ไดช้ีนํา บรรดาชอี ะฮฺ (ผอู ยใู นแนวทาง) ของพวกทานไดศ ึกษาจากหนงั สือเลม น้ี ทานมูซา บิน อับดุลลอฮฺ บิน ฮาซัน ไดกลาววา “ชายคนหนึ่งไดถามบิดาของขาพเจา เกีย่ วกบั การอาน “ตะชะฮุด” บิดาของขาพเจาไดกลาววา “จงนําหนังสือของอาบูรอฟอฺ มาเถิด” แลว ทานกไ็ ดเ สนอหนงั สอื เลม นนั้ ใหแกเ ขา โดยมอบหมายการบันทึกใหแ กพวกเรา ผูรวบรวมหนังสือ “เราฏฮตุล-ญันนาต” ไดเปดเผยวาหนังสือของอาบู รอฟอฺน้ัน นับเปน ตาํ ราทางศาสนบญั ญตั ิ (ฟกฮฺ) เลมแรกท่ถี กู รวบรวมไวในหมูนกั ปราชญชีอะฮฺ และทานผูนี้ (อัลลอฮฺ ทรงใหค วามเมตตาตอ ทาน) ยงั ไดก ลาวช้ีแจงในเรื่องนอ้ี กี วา ผูรวบรวมหนังสือเลมนั้นในสมัยตอมา ก็ยงั มอี กี เชน ทานอบุ ยั ดลิ ละฮฺ บนิ อาบูรอฟอ ฺ ผูเปนอาลักษณ และคนใกลชิดของทา นอาลี ซงึ่ ทานได รวบรวมไปตามทีไ่ ดรบั ฟง มาจากทานนบี (ศ) ที่ไดกลาวถึงทานอิมามญะอฺฟรวา “คุณสมบัติของฉัน และคณุ ลกั ษณะของฉนั ไดถ ูกนาํ มาแสดงไดเ หมอื น” นักปราชญจํานวนหนึ่งไดยืนยันเร่ืองน้ีไวเชน ทานอะหฺมัด บินฮันบัล ไดบันทึกไวในมุ สนัดของทาน และทานอิบนุ ฮะญัร ก็ไดกลาวไวในภาคแรกของหนังสือ “อิศบะฮฺ” ในหัวขอท่ี กลา วถึงชอื่ ของทานอบุ ยั ดลิ ละฮฺ บิน อัซลัม (เพราะวา ปูของบดิ าทานอาบรู อฟอนฺ ัน้ มีชื่อวา อซั ลมั ) วา ทา นอบุ ัยดิลลอฺ ไดรวบรวมหนังสือเลมน้ีในชวงที่ทานเปนผูหน่ึงในหมูมิตรสหายที่รวมทําสงคราม ศิฟฟน กบั ทานอาลี ทานก็ไดเห็นแลววาทานอิบนุฮะญัร ก็ไดอางถึงเรื่องนี้ไวในหนังสือ “อิศอบะฮฺ” หลายคร้ัง ขอไดโปรดพิจารณา(๔๖๒)

ผรู วบรวมหนังสอื ในยุคนั้นกย็ งั มที านเราะบีอะฮฺ บิน สะมือ อกี คนหน่งึ ทา นผูน้ีเปนเจา ของ หนังสือที่รวบรวมเรื่องราวของการจายซะกาตสัตวตาง ๆ จากฮาดีษของทานอาลีท่ีไดรับมาจาก ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) นอกจากนี้ก็ยังมีทานอับดุลลอฮฺ อิบนุ –หุรรุล-ฟาริซียฺ อีกคนหนึ่งซ่ึงทานเปนเจาของ หนังสือ “ลมุ อะฮฺ” ที่ประมวลฮาดีษตาง ๆ (๔๖๒) หมวดท่ีอธิบายชื่อ “ุบัยรฺ บิน อัล-หิบาบ บิน อัล-มันซุร อัล-อัน ศอรี” ในภาคที่ ๑ หนังสือ “อัล-อิศอบะฮ”ฺ จากทา นอาลีที่ไดรับมาจากทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (ศ) นอกจากน้ีก็ยังมีทานอัล-อัศบัฆ บิน นะบาตะฮฺ อีกคนหนึ่งซึ่งเปนสหายของทานอามีรุลมุ มินีน ทานผูน้ียึดม่ันตอทานอาลีอยางเด็ดเดี่ยว ทานไดรวบรวมคําสอนตาง ๆ มอบไปยังอัชตัร และ ไดมอบหมายเปนพินัยกรรมใหสืบตอไปยังมุฮัมมัดบุตรชายของทานบรรดานักปราชญของเราตาง ไดรับรายงานฮาดีษมาจากบุคคลท้ังสอง โดยสายสืบของพวกเขาท่ีมีไปถึงเรื่องนั้นเปนสายสืบที่ ถกู ตอง (ศอฮีฮ้ ฺ) นอกจากนี้ก็ยังมีทานซะลีม บิน กัยสฺ อัล-ฮิลาสียฺ อีกคนหน่ึงซ่ึงเปนสหายของทานอาลี (อ) เชนเดียวกัน ทานผูน้ีไดรับรายงานตาง ๆ มาจากทานอาลีและทานซัลมาน อัล-ฟาริซียฺ ทานผูนี้เปน เจาของตําราท่ีวาดวยเร่ือง “อิมามะฮฺ” ทานอิมามมุฮัมมัด บิน อิบรอฮีม อัล-นุอมานียฺ ก็ไดกลาวถึง เร่ืองน้ีไวในหนังสือ “อัล-ฆ็อยบะฮฺ” วา “บรรดานักปราชญผูทรงคุณวุฒิทางวิชาความรูของฝาย ชีอะฮฺท้ังหมดตลอดจนผูที่ไดรับคําสอนมาจากบรรดาอิมามท้ังหลาย ตางก็ไมมีความเห็นขัดแยงกัน แตประการใดในประเดน็ ที่วา หนงั สือของทา นซะลมี บิน กัยสฺ อัล-ฮิลาสียฺน้ัน เปนรากฐานของตํารา ท้ังหลายท่ีรวบรวมหลักการข้ันพื้นฐาน ซ่ึงบรรดานักวิชาการและผูเชี่ยวชาญฮาดีษของอะหฺลุลบัยตฺ ตางก็ไดรับคําสอนมาจากหนังสือเลมนั้นและหนังสือเลมนั้นนับวาเปนพื้นฐานท่ีสําคัญยิ่ง ซ่ึง นกั ปราชญช อี ะฮฺจะตอ งยอนกลบั ไปพจิ ารณาหาความถกู ตองท่ีน่นั ” แนนอนที่สุดนกั ปราชญของเราตางก็มีบทบาทในการกลาวถึงผูรวบรวมตําราที่อยูในระดับ ท่ีไดมาตรฐานเหลานั้นจากบรรพชนผูมีคุณธรรมของพวกเขา ขอทานไดพิจารณาดูบรรณานุกรมให รายละเอยี ดเก่ียวกับประวตั ขิ องบคุ คลดเู ถดิ ๓. สวนผูรวบรวมตําราในสมัยที่สองแหงบรรพชนของเรา (สมัยตาบิอีน) นั้น “หนังสือมุ รอญอิ าต” ของเราฉบับน้ีมีเนื้อที่นอยเกิดไปกวาการที่จะอธิบายเก่ียวกับเรื่องของพวกเขาไดท้ังหมด ผูท ส่ี นใจใครจ ะรจู ักกบั พวกเขาเหลา น้ันและทาํ ความรูจักกับตํารับตําราของพวกเขาที่ไดรวบรวมไว

อยางละเอียด ก็เห็นจะตองอาศัยบรรณานุกรมและตํารางตาง ๆ จากนักปราชญของพวกเราที่ได อธิบายเร่อื งราวของนักปราชญต าง ๆ เทา นนั้ เอง(๔๖๓) ในสมัยน้ันนับไดวาเปนชวงที่รัศมีของอะหฺลุลบัยตฺประสบกับความรุงเรืองสมัยหนึ่ง ท้ัง ๆ ทีก่ อนหนาน้ันเหตกุ ารณตา ง ๆ ไดถกู ปกคลุมไวด ว ยหมอกเมฆอันมืดทึบของผูอธรรม เน่ืองจากการ กอโศกนาฏกรรมที่กัรบะลาอฺซ่ึงฝายศัตรูไดประหัตประหารบรรดาอาลิ (ผูสืบตระกูล) ของมุฮัมมัด (ศ) อิทธิพลของฝายศัตรูจึงตกต่ําลงไปจากทัศนะของบรรดาผูมีสติปญญา นักวิชาการระดับสูงตาง ไดใ หความสนใจตอ ภยั ทีป่ ระสบแกอ ะหฺลลุ บยั ตฺ เพราะพวกเขาไมมีโอกาสท่ีจะไดพ บกับทานศาสน ทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) บรรดาประชาชนตางใหความสําคัญกับเหตุการณท่ีรายแรงในครั้งน้ันโดยมุง ประเด็นไปยังตนเหตุ ซึ่งพวกเขาตางก็มีความเขาใจอยางลึกซึ้งตอสาเหตุของเรื่องน้ัน พวกเขาจึงได รถู ึงตนตอและรากเหงา ของมนั ดวย ดวยเหตุน้ีเองบรรดามุสลิมผูกลาหาญตางไดลุกข้ึนมาปกปองฐานภาพของอะหฺลุลบัยตฺ ตลอดทัง้ ใหการสนับสนุน ทั้งนี้เน่ืองจากวิสัยทางธรรมชาติของมนุษยน้ันตองใหความชวยเหลือแก ผทู ไ่ี ดร ับความอยตุ ิธรรม เพอื่ ใหพ น จากอุง มอื ของผูอธรรม เชน หลังจากเหตุการณอันรายแรงคร้ังน้ันไดผานไปแลว บรรดามุสลิมท้ังหลายก็ไดเขามาสู บรรยากาศใหม กลาวคือ พวกเขาได (๔๖๓) เชน บรรณานุกรมของทานอัล-นะญาซียฺ, หนังสือ “มุนตะฮาอัล-มะกอล” ท่ีระบุ เรื่องราวของนักปราชญตาง ๆ โดยทานซัยคฺ อาบูอาลี, หนังสือ “มินฮะุล-บะกอล” ที่ อธิบายเร่ืองราวของนักปราชญโดยทานมีรซา มูฮัมมัดและตําราอ่ืน ๆ ของบรรดา นกั ปราชญที่ไดร วบรวมขึ้นมาใหล ักษณะนี้อีกเปนจาํ นวนมาก มอบหมายความจงรักภักดีใหแกทานอิมามอาลี บิน ฮุเซน-ซัยนุล-อาบิดีน โดยท่ีพวกเขาไดใหการ ยอมรับอยางเด็ดเดี่ยวตอทานในวิชาการท้ังที่เปนขอปลีกยอยและที่เปนพื้นฐานสําคัญของศาสนา และยอมรับในทุกส่ิงทุกอยางที่ทานอิมามไดนํามาจากคัมภีรอัล-กุรอานและซุนนะฮฺ จากบรรดาผูมี คุณธรรมท้ังหลายของอิสลามในอดีต และหลังจากสิ้นสมัยของทานแลวบรรดาประชาชนตางก็ให การยอมรบั ตอ ทานอมิ ามอาบู ญะอฟฺ ร อลั -บากิร (อ) บตุ รชายของทา นอกี ตอไป ปรากฏวาบรรดามิตรสหายของอิมามทั้งสองด (ซัยนุลอาบิดีนและมูฮัมมัดบากิร) น้ี เปน นักปราชญท่ีไดรวบรวมตํารับตําราข้ึนจนไมสามารถจะคํานวณนับใหหมดได แตทวาไดมีผูบันทึก ช่ือของบุคคลเหลาน้ันตลอดจนถึงเร่ืองราวตาง ๆ ของพวกเขาไวในตําราบรรณานุกรมฉบับตาง ๆ

วาผูเช่ียวชาญในวิชาความรูซ่ึงไดร่ําเรียนมาจากทานทั้งสองนั้นมีประมาณ ๔,๐๐๐ คน ตํารับตําราท่ี บคุ คลเหลาน้ันไดร วบรวมขน้ึ มีประมาณ ๑๐,๐๐๐ เลม หรอื มากกวานัน้ นักปราชญของเราในรุนตอ ๆ มาทุกทานตางก็ไดศึกษาเรื่องราวเหลานั้นมาจากพวกเขา โดยสายสบื ทม่ี แี ตความถกู ตอง (ศอฮ้ฮี ฺ) และกลมุ นักปราชญท่ีเปนเลิศทางวิชาการเหลานี้ตางก็ไดทํา หนาท่ีบริการรับใชทานอิมามท้ังสอง และตอมาก็ไดทําหนาที่ชวยเหลือสนับสนุนทานอิมามศอดิก ผูเปนทายาทของอิมามทั้งสอง (ความสันติสุขพึงมีแดพวกทาน) ตอไปอีกดวย จึงถือไดวาเปนโชคดี อยางมหาศาลของนักปราชญกลุมน้ันท่ีพวกเขาไดมีโอกาสพิชิตมาไดซ่ึงวิชาความรูและพฤติกรรม ตาง ๆ ดวยความวิริยะอตุ สาหะอยางสงู นอกจากนี้ทานอาบู สะอีด อุบาน บิน ตัฆลิบ บิน ริ บาหฺ อัล-ญะรีรียฺ ก็เปนอีกทานหนึ่งที่มี ความรูทางดานศาสนบัญญัติ (ฟกฮฺ) อีกท้ังมีความเช่ียวชาญทางดานฮาดีษและเปนผูมีความ ปราดเปร่ืองในวิชาการเกี่ยวกับรากฐานของภาษาเปนอยางยิ่ง ทานเปนผูมีความสําคัญคนหนึ่งของ ประชาชน โดยที่ทานมีโอกาสพบกับบรรดาอิมามถึงสามทานดวยกัน ดังน้ันทานจึงไดรับรายงาน วิชาความรูตาง ๆ จากบรรดาอมิ ามอยา งมากมาย อกี ทั้งยงั ไดบ นั ทกึ ฮาดษี ตา ง ๆ ไวจาํ นวนมาก ขอใหท า นไดท ราบไวดวยวา บคุ คลผูน้ไี ดรับรายงานฮาดีษมาจากทานอิมามศอดิกเพียงทาน เดียวถึง ๓๐,๐๐๐ ฮาดษี (๔๖๔) ดงั เชน ทท่ี า นอัล-มรี ซา มุฮัมมดั ไดร ายงานไวใ นหนงั สอื “มนิ ฮะุล-มะ กอล” หมวดที่อธิบายถึงเร่ืองของการอุบานโดยอางสายสืบไปถึงอุบาน บิน อุษมาน วาไดรับ รายงานฮาดษี มาจากทา นอิมามศอดกิ (ความสนั ติสุขพึงมีแดท าน) และปรากฏวา ทา นเปนผูเจริญรอย ตามบรรดาอมิ ามเหลา นน้ั ทุกยางกา ว ทานอิมามบากิร (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) เคยไดกลาวแกทานในคร้ังหนึ่ง (ในขณะที่ บุคคลท้ังสองอยูในนครมะดีนะฮฺ) วา “ฉันไดนั่งชุมนุมอยูในมัสญิดทามกลางประชาชนอยูเสมอ เพราะฉนั รกั ท่ีจะใหพวกเขามองชอี ะฮฺ(ผอู ยใู นแนวทาง)ของฉนั ใหเ หมอื นอยางทา น” ทา นอิมามศอดกิ (ความสนั ตสิ ุขพงึ มีแดท า น) กเ็ คยไดก ลาวแกทา นวา “ชาวมะดนี ะฮทฺ เ่ี ปน ผู มีวิจารณญาณน้ันจะรูวาแทจริงฉันรักที่จะใหบุคคลท่ีเปนสานุศิษยและเปนนักปราชญของฉันไดมี แบบอยา งเหมอื นกับทา น เม่ือตอนทีเ่ ขาเขามายังนครมะดนี ะฮฺ ทา นกไ็ ดแ สดงมารยาทตอเขา และได ทําใหเ ขาเปนผจู ํานนตอ ทานนบี (ศ)” ทานอิมามศอดิก (อ) ไดกลาวแกทา นซะลีม บนิ อาบู ฮับบะฮฺ วา “ทา นจงรับเอาวชิ าการของ ทานอบุ าน บิน ตัฆลิบ เถดิ เพราะวา เขาได

(๔๖๔) บรรดานักวิชาการระดับอิมามทั้งหลายตางไดระบุถึงเรื่องน้ีเชนทานซัยค อัล-บะฮา อียฺ ตามท่ีไดระบุไวในหนังสือของทาน และบรรดานักปราชญของประชาชาติอิสลามอีก จาํ นวนไมนอยตา งกไ็ ดร ะบุไว ร่ําเรียนฮาดีษไปจากฉันเปนจํานวนมาก ฉะน้ันอันใดท่ีเขาไดเลาใหทานฟงก็น่ันแหละคือเร่ืองท่ีเขา ไดร บั มาจากฉัน” ทานอิมาม (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ไดกลาวแกทานอุบาน บิน อุษมาน “แทจริงทานอุ บาน บนิ ตัฆลิบ ไดบ นั ทกึ ฮาดีษจากฉนั ไปจํานวน ๓๐,๐๐๐ ฮาดษี ดังนั้นทานจงไปรับรายงานฮาดีษ เหลาน้ันจากเขาเถิด” ปรากฏวาเม่ือทานอุบานไดเขาไปหาทานอิมามศอดิก ทานอิมามก็ใหเกียรติและใหการ คารวะตอทาน อีกทั้งยังไดสั่งใหบรรดาสานุศิษยแสดงคารวะแกทานอุบานทุกคน คร้ันเมื่อทานอุ บานไดถึงแกกรรมทานอิมาม (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ไดกลาววา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ หัวใจของขาฯ มีความหมนหมองอยางยง่ิ เกี่ยวกับการตายของทานอบุ าน” ทานอุบานไดเสียชีวิตใน ฮ.ศ.๑๔๑ รายงานฮาดีษตาง ๆ ของทานอุบานนั้นมีท้ังท่ีไดมาจาก ทานอานัส บนิ มาลกิ ทานอะอบฺ ชั ทา นมุฮัมมัด บนิ อลั -มุนกะดิร ทานสมิ าก บิน ฮะร็อบ ทานอิบรอ ฮีม อัน-นคั อียฺ ทา นฟะฏีล บนิ อัมรฺ ทา นอัล-ฮุกมฺ แนนอนท่ีสุดทานมุสลิมและบรรดานักปราชญอะหฺลิซซุนนะฮฺท้ังส่ีมัซฮับตางก็ไดใหการ ยอมรบั ตอ ทา นผนู ้ีดงั เชน ทเ่ี ราไดอธบิ ายในรายละเอยี ดผานไปแลวในอลั -มุรอญอิ ะฮฺท่ี ๑๖ สวนการที่ทานบุคอรีมิไดใหการยอมรับตอทานผูนี้ ก็มิไดหมายความวาจะเปนความ เสียหายแกทานอุบานเลย เพราะทานเปนผูคงไวซ่ึงแบบแผนตาง ๆ ของบรรดาอิมามแหงอะหฺ ลุลบัยตฺ อันไดแก ทานอิมามศอดิก ทานอิมามกาซิม ทานอิมามริฏอ ทานอิมามญะวาด อัต-ตะกียฺ ทานอิมามฮาซัน อัล-อัสกะรียฺอัซ-ซะกียฺ เพราะในเม่ือทนบุคอรีมิไดใหการยอมรับตอบุคคลเหลาน้ี ก็เทากับทานมิไดยอมรับตอทายาทผูย่ิงใหญ (ของทานศาสดา) ผูเปนประมุขของผองหนุมชาว สวรรคไ ปดว ยน่ันเอง ใชแลว...ทานบุครีกลับใหการยอมรับตอมัรวาน บิน ฮุกมฺ ทานอิมรอน บิน หิฏอน ทานอิก รอมะฮฺ อัล-บัรบะรยี แฺ ละบุคคลอื่น ๆ ท่อี ยใู นลกั ษณะเชนเดียวกับบคุ คลเหลานี้ “แทจ ริงเราเปน สทิ ธิของอัลลอฮฺ และแทจ รงิ เราจะตอ งเปนผูคืนกลบั สูพระองค”

ทานอุบานเปนเจาของตําราที่มีคุณคาจํานวนหลายเลม สวนหนึ่งจากตําราเหลาน้ันก็คือ “ตัฟสีร ฆอรีบ อัล-กุรอาน” ซึ่งในตําราเลมน้ีไดรวบรวมบทกวีของชาวอาหรับไวอยางมากมายเพ่ือ เปนการยืนยันประกอบกบั เรอ่ื งราวตา ง ๆ ท่มี ีปรากฏอยูในคมั ภรี อลั -กุรอานอันทรงวิทยปญ ญหา หนังสือเลมนี้ไดทําใหมีตําราตาง ๆ เกิดข้ึนอยางมากมาย เชน ทานอับดุร เราะหฺมาน มุฮัม มัด อัล-อะซะดียฺ อัล-กูฟยฺ ทานผูนี้ไดรวบรวมตํารามาจากหนังสือของทานอุบาน ทานมูฮัมมัด บิน อัซ-ซาอิบ อัล-กัลปบียฺ และทานอิบนุ เรากฺ อะฏียะฮฺ บิน อัล-ฮาริษ ก็ไดรวบรวมตําราข้ึนมาจาก หนงั สือเลมน้นั ช่ือวา “วาฮิด บยั นะ มาอิกตะละฟู ฟฮ ฺ” และหนังสือ “อติ ตะฟะกอู ะลยั ฮ”ิ กลาวคอื ในครัง้ แรกทานไดนําขอมูลมาจากหนังสือของทานอุบานเพียงเลมเดียว และตอมา ทา นก็ไดนําขอมูลตา ง ๆ มาผนวกกับผลงานของทานอบั ดุรเราหมฺ าน แนนอนท่ีสุดบรรดานักปราชญของเราตางก็ไดร่ําเรียนมาจากหนังสือท้ังสองเลมนี้โดยมี สายสืบทีล่ ะเอยี ดถีถ่ ว นและกระแสรายงานท่แี ตกตา งกนั หนังสือที่สําคัญของทานอุบานก็คือหนังสือ “อัล-ฟะฏออิล” และหนังสือ “ศิฟฟน” ซ่ึงเปน หนังสือท่ีถือวาเปนรากฐานที่สําคัญซึ่งนักปราชญของฝายอิมามมียะฮฺไดยึดม่ันเปนอยางย่ิงตอ หนังสือนนั้ ในวิชาการทีเ่ กี่ยวกบั บทบัญญัติตาง ๆ ทางศาสนา ตําราท้ังหมดของทานตางไดรับการถายทอดโดยถือเปนมาตรฐานทางดานสายสืบ สวน รายละเอียดตา ง ๆ ของทานมบี นั ทึกอยใู นตาํ ราทอี่ ธบิ ายถงึ บเรอื่ งของนักปราชญเลมตา ง ๆ นอกจากน้ีทานอาบู ฮัมซะฮฺอัษ-ษุมาลียฺ ษาบิต บิน ดีนารฺ ก็เปนอีกทานหนึ่งที่ถือวามี ความสําคญั อยา งยิง่ สําหรบั บรรพชนผูมคี ุณธรรมและผูม คี วามรูของพวกเรา ทานผูน้ีไดรับวิชาการมาจากทานอิมามถึงสามสมัย (ทานอิมามศอดิก ทานอิมามบากิรและ ทานอมิ ามซยั นุลอาบดิ ีน) –ขอความสนั ตสิ ขุ พึงมีแดทา น- ทานอาบู ฮัมซะฮฺ เปนผูยึดม่ันอยางเด็ดเด่ียวทีกท้ังเปนผูมีความใกลชิดอยางย่ิงตอบรรดาอิ มามเหลา นน้ั ซ่ึงทานอิมามศอดิกไดเคยยกยองทานวา “อาบู ฮัมซะฮฺในยุคน้ีอุปมาดั่งซัลมาน อัล-ฟา รซิ ียฺในสมยั โนน ” ทานอิมามอาลี ริฏอ (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ก็ยังไดกลาวสดุดีวา “ทานอาบู ฮัมซะฮฺ มี อุปมาด่งั เชน ทานลกุ มานในยุคของตน”

ทานผูน้ีไดรวบรวมตํารา “ตัฟสีร อัล-กุรอาน” ทานจะเห็นวาทานอิมามอัฏ-ฏ็อบรอซียฺ ได อางถึงเร่ืองของทานไวใน “ตัฟสีรมัจญมุอุล-บะยาน”(๔๖๔) และทานยังไดรวบรวมหนังสือ “อัล-นะ วาดิร” หนงั สอื “อซั -ซะฮดิ ” และหนงั สอื “รซิ าละตลุ -ฮุกูก(๔๖๕) (๔๖๔) โปรดดู “คัฟสีรมัจูมุอุล-บะยาน” ตอนท่ีอธิบายโองการ (จงกลาวเถิด ฉันมิไดขอ รางวัลใด ๆ จากพวกทานเก่ียวกับการน้ันนอกจากความจงรักภักในญาติสนิทของฉัน) จากซูเราะฮฺ “อซั -ซรู อ” ทานจะพบวา ไดอ า งคําอธิบายมาจากตฟั สีรของทา นอาบูฮัมซะฮฺ (๔๖๕) นักปราชญท้ังหลายของเราไดรับรายงานมาจากตําราตาง ๆ ของทานอาบูฮัมซะฮฺ โดยตําราทุกเลมเหลาน้ันตองอาศัยสายสืบไปจนถึงทาน ดังมีรายละเอียดอยูในหนังสือท่ีวา ดวยเรื่องราวของนักปราชญเลมตาง ๆ ทานซัยยิดศ็อดรุด-ดีน อัล-มูเซาวียฺ ไดสรุปหนังสือ “รซิ าละตลุ -ฮฺกูก” และตีพิมพไวเปนเลมเล็ก ๆ เพ่ือใหบรรดามุสลิมไดศึกษา นับวาเปนงาน ท่ปี ระเสรฐิ ตรงตามเปา หมายของอลั ลอฮทฺ ีท่ รงมอบมาใหแ กบรรดามุสลมิ ทา นไดร บั รายงานเรอื่ งตาง ๆ ในหนังสือเลมนม้ี าจากทา นอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ) และทาน ยังไดบันทึกบทดุอาอฺในเร่ืองตาง ๆ มาจากทานอิมามผูน้ีดวย ซ่ึงทานไดพรรณาเกี่ยวกับเรื่องของ ดวงอาทติ ยแ ละดวงจนั ทร ทานผูน้ีไดรับรายงานฮาดีษมาจากทานอานัส ทานชุอฺบียฺแลวทานวะกีอฺ กับทานอาบูนะอีม ตลอดจนถึงนักปราชญกลุมหนึ่งในยุคนั้นของพวกเราและกลุมอ่ืน ๆ ก็ไดรับวิชาความรูถายทอดมา จาทาน ตามท่เี ราไดอธบิ ายถึงเรือ่ งราวของทานมาแลว ในอลั -มุรอญิอะฮฺท่ี ๑๖ กลุมนักปราชญอีกรุนหนึ่งซึ่งพวกเขามิไดพบกับทานอิมามซัยนุลอาบิดีน หากแตพวกเขา ไดมีความเช่ียวชาญในวิชาความรูโดยไดอยูรับใชทานอิมามบากิรกับทานอิมามศอดิก (ความสันติ สขุ พึงมีแดทาน) บุคคลกลมุ นค้ี อื : ทานอาบูกอซิม บะรีด บิน มุอาวิยะฮฺ อัล-อัจญลียฺ ทานอาบูบะศีร อัล-อัศฆ็อร ละบีษ บิน มุ รอด อัล-บัคตะรียฺ ทานอาบูฮาซันซิรอเราฮฺ บิน อะอฺยุน ทานอาบูญะอฺฟร มูฮัมมัด บิน มุสลิม บิน ริ บาทฺ อัลกูฟยฺ อัฏ-ฏออิฟยฺ อัษ-ษักฟยฺและนักปราชญผูชีนําอีกจํานวนหนึ่งซ่ึงเปนดวงประทีปที่จรัส แสงสาํ หรบั ประชาชาติ ซงึ่ ไมส ามารถจะเอยนามของบคุ คลเหลาน้นั ใหหมดได สําหรับผูทรงคุณวุฒิ ๔ ทาน ตามที่เราไดกลาวถึงไปแลวนั้นลวนเปนผูท่ีอุดมไปดวย วิชาการอยางกวางขวาง เปนผูพิชิตตอวิชาความรูดวยวิริยาอุตสาหะอยางสูง และเปนผูที่มีฐานภาพ ทางวิชาการข้ันลึกซึ้ง จนถึงกับวาทานอิมามศอดิกเองยังไดกลาวขวัญถึงพวกเขาไววา “บุคคล

เหลา นีเ้ ปน หลักประกันของอัลลอฮฺเกี่ยวกับสิ่งที่เปนของอนุมัติ (ฮะลาล) และส่ิงท่ีเปนของตองหาม (ฮะรอม)” ทานไดกลาวอีกวา “ฉันไมเคยพบใครสักคนที่สามารถใชชีวิตใหไดอยางที่เรากลาวถึง นอกจากทานซะรอเราะฮฺ ทานอาบูบะศีร ลัยษ ทานมูฮัมมัด บิน มุสลิม และทานบะรีด และถาหา กวาไมม ีบุคคลเหลา นแี้ ลว กจ็ ะไมม ีใครอีกเลยที่สามารถคน ควาเร่ืองเหลา น้ใี หแตกฉานได” ทานอิมามยังไดกลาวอีกวา “บุคคลเหลานี้คือผูพิทักษรักษาศาสนาและเปนหลักประกัน แหงบิดาของฉันเกี่ยวกับส่ิงที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติและส่ิงที่อัลลอฮฺทรงหวงหาม พวกเขาเปนผูมีความ ดีงามรดุ หนา สาํ หรับพวกเราในโลกน้แี ละในปรโลก” ทานอิมาม (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) ยังไดกลาวอีกวา “ขาวดีท่ีสุดสําหรับผูมีความรู เหลานี้คือสวนสวรรค” หลังจากนั้นทานไดกลาวถึงบุคคลท้ังสี่วา “บิดาของขาพเจาใหความ ไววางใจตอพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่อัลลอฮฺทรงอนุมัติและส่ิงที่หวงหามของพระองค และเปนที่ ตรวจสอบวิชาความรูของทาน และในวันน้ันอีกเชนกันพวกเขากับขาพเจาจะเปนผูที่ผูกมัดชีวิตตอ กัน และเปนสหายท่ีแทจริงสําหรับบิดาของขาพเจา พวกเขาเปนดวงดาวสําหรับชีอะฮฺ (ผูที่อยูใน แนวทาง) ของฉันทั้งในยามท่ีมีชีวิตอยูและในยามที่ตายไปแลว สําหรับพวกเขาน้ันอัลลอฮฺทรงเปด โอกาสใหในทุกส่ิงทุกอยางที่เปนกิจกรรมริเริ่ม พวกเขาไดดําเนินไปตามกฎเกณฑของศาสนานี้ อยา งองอาจกลา หาญและขยายความหมายตาง ๆ ไดอยางลึกซึ้ง คําสดุดีของทานอิมามท่ียืนยันถึงเกียรติคุณ ความประเสริฐ เกียริยศและความภักดีสําหรับ บุคคลเหลานั้นนอกเหนือจากนี้ยังมีอีกมากมาย ซ่ึงไมอาจนําประโยคตาง ๆ นั้นมาอธิบายใหหมด ส้นิ ได แตใ นขณะเดยี วกันนี้ฝา ยท่ีเปนปฏิปกษกับอะหฺลุลบัยตฺก็พากันโจมตีพวกเขาดวยความมีอคติ อยา งชดั แจงในทุกรูปแบบ ดังเชนท่ีเราไดกลา วถึงรายละเอยี ดของเร่อื งนไ้ี ปแลวในหนงั สอื “มคุ ตะศิ รุล-กะลาม” ซ่ึงไดกลาวสรุปเรื่องราวของบรรดานักรวบรวมตําราฝายชีอะฮฺในประวัติศาสตร อสิ ลาม จะเห็นไดว า ไมม นี ักตอ สูค นใดอกี แลวท่ีผานพบกับฐานภาพในดานนี้ใหเหมือนกับพวกเขา ได พวกเขาไดป ระสบกับอุปสรรคอันยงิ่ ใหญในทัศนะของอลั ลอฮแฺ ละศาสนทตู ของพระองค ตลอด จนถึงในทัศนะของบรรดาศรทั ธาชนทั้งหลาย เสมอื นดงั เชนทกี่ ารประทุษรายตอบรรดานบีทั้งหลาย นัน้ ไมม อี นั ใดจะแผวพานบรรดานบีของอัลลอฮฺไดนอกจากเพ่ิมพูนเกียรติยศใหสูงสงย่ิงข้ึน และไม

มผี ลกระทบแตประการใดตอศาสนบัญญัติของพวกเขาเหลาน้ันเลย นอกจากทําใหการเผยแพรมีผล มากยงิ่ ขนึ้ แกผ ูท่รี ักสัจธรรม และเปน ท่ียอมรบั ในจติ ใจของบรรดาผมู สี ตปิ ญ ญามากขน้ึ เทา นัน้ เอง วิชาการท่ีไดเผยแพรขึ้นในสมัยของทานอิมามศอดิก (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) น้ัน เปนไปอยางกวางขวาง บรรดาชีอะฮฺ (ผูอยูในแนวทาง) แหงบรรพบุรุษของทานอิมาม (อ) จากทั่ว ทุกสารทิศตางก็ไดระดมกันมาหาทาน ทานไดตอนรับบุคคลเหลาน้ันดวยความสามารถในวิชา ความรูและทุมเทวิชาการใหแกบุคคลเหลานั้นดวยความปราดเปร่ืองของทาน ทานมิไดหันเหจาก ความพยายามในอันท่ีจะอบรมสั่งสอนและทานมิเคยมีความเหน่ือยยากในอันที่จะมอบหมายวิชา ความรอู นั ลกึ ซึง้ อีกท้งั วทิ ยปญญาอนั ละเอียดออ นและเรื่องราวที่เปนสัจธรรมท้ังหลายใหแกพวกเขา ดังเชนท่ีทานอาบุลฟตหุช-ชะฮฺร็อสตานียฺไดใหการยอมรับตอเรื่องน้ีไวในหนังสือ “อัล-มะลัลวัล- นะหัล” ของทาน โดยกลาวถึงทานอิมามศอดิก (อ) วา(๔๖๖) “ทานเปนนักวิชาการที่เกงกลาเปนอยาง ย่ิงในเร่ืองศาสนา เปนผูมีจริยธรรมที่อยูในวิทยปญญาอยางสมบูรณ เปนผูมีความมักนอยในเร่ือง ทางโลกและเปนผูถอมตนพนจากกิเลสฝายตาํ่ อยา งสมบูรณ (๔๖๖) ตอนที่กลาวถึงกลุมชีอะฮฺ ท่ียึดมั่นตามสายของบากิรียะฮฺ และญะอฺฟะรียะฮฺใน หนังสือ อัล-มะลลั วัล-นะหัล ทานอาบลุ -ฟตหุช-ชะฮรฺ อ็ สตานยี ฺ ไดกลาวอีกวา “แนนอนที่สุดในชวงท่ีทานอยู ณ เมืองมะ ดีนะฮฺน้ัน นักปราชญชีอะฮฺตางก็แสวงหาประโยชนทางดานวิชาความรูอันลึกซ้ึงจากทานอยาง กวางขวาง ตอมาทานไดเขาไปยังเมืองอิรัค และไดอยูท่ีน่ันช่ัวระยะหน่ึง ก็ไมมีใครท่ีจะกลาปฏิเสธ ความเปน อมิ ามของทานไดเ ลย และไมม ีใครสามารถมีบุคลิกภาพไดดีเหมือนอยางทาน” (ทานกลาว อีกวา) “ผูใดท่ีเขาสูทะเลแหงความรูแหงนี้แลว เขาก็จะไมมีความปรารถนาที่อยากจะข้ึนสูฝงอีกเลย และใครก็ตามท่ีสามารถไตเตาไปถึงความละเอียดถ่ีถวนในแกนแทของสัจธรรมน้ีแลว เขาก็จะไม หวัน่ กลัวอสุ รรคใด ๆ ทัง้ สิ้น” สจั ธรรมน้นั ยอ มใหวาทะอยางสุภาพและเขม แข็ง บรรดาสหายของทานอิมามศอดิกน้ันมีเปนจํานวนมาก พวกเขาเหลานั้นลวนเปนผูนําไปสู แนวทางท่ีถูกตอ ง เปนดวงประทีปท่ีเรืองแสงรุงโรจนเปนทะเลกวางแหงวิชาการและเปนดวงดาวที่ คอยช้ีทิศทาง รายชื่อและเรื่องราวของบุคคลเหลานั้นมีปรากฏอยูในตําราท่ีอธิบายถึงชีวประวัติของ นักปราชญซ่ึงจํานวนของพวกเขามีมากถึง ๔,๐๐๐ ทาน มีท้ังชาวอิรัค ชาวฮิญาซ ชาวเปอรเชียและ ขาวซีเรีย บุคคลเหลานี้ลวนเปนนักรวบรวมตําราท่ีมีช่ือเสียงอยางยิ่งสําหรับบรรดานักปราชญใน

สายอมิ ามียะฮฺ เปนแหลงของวิชาการขั้นพื้นฐานที่สําคัญของทางศาสนา ๔๐๐ ประการ ตามที่เราได กลา วไปแลว ในตอนตนท่ีวา “นกั วชิ าการ ๔๐๐ ทา นไดรวบรวมตําราถงึ ๔๐๐ เรื่อง” ซึ่งไดบันทึกมา จากคาํ อรรถาธิบายของทานอิมามศอดกิ (อ) ดังนั้นขอมูลเหลานี้จึงเปนรายละเอียดของวิชาการและภาคปฏิบัติในสมัยหลังจากทาน จนกระทั่งในสมัยตอมากลุมผูทรงคุณวุฒิของประชาชาติอิสลามและบรรดาสานุศิษยของบรรดา ผูนําเหลานั้นก็ไดบันทึกแยกแยะเร่ืองตาง ๆ ลงไปในหนังสือที่เฉพาะเร่ืองออกไปอีกตางหาก เพ่ือใหความสะดวกแกผูศึกษา และเพื่อใหรวดเร็วในการทําความเขาใจ ตําราท่ีไดมาตรฐานดีเยี่ยม ซ่ึงไดรวบรวมขึ้นมาจากขอมูลเหลานั้นไดแก “กุตุบุล-อัรบะอะฮฺ” ซ่ึงนับไดวาหนังสือชุดน้ีเปน พื้นฐานทางวิชาการทั้งในสวนที่เปนรากฐานสําคัญและในสวนท่ีเปนขอปลีกยอยของศาสนา สําหรับนักปราชญ ฝายอิมามียะฮฺตั้งแตยุคแรกจวบจนถึงสมัยปจจุบันนี้ และเปนตําราท่ีมีขอมูลที่ อาศัยสายสืบซ่ึงสอดคลองตรงกันเปนหลักบานท่ีไดถูกยอมรับถึงความถูกตอง (ศอฮ้ีฮฺ) อยางเปน เอกฉนั ท นั่นคือ : หนังสืออัล-กาฟยฺ อัต-ตะฮฺชีบ อัล-อิสติบศอรฺและหนังสือมันลายะหฺฏิรุฮุล-ฟะกีฮฺ โดยเฉพาะอยางยิ่งสําหรับหนังสืออัล-กาฟยฺนั้น นับไดวามีวิชาการท่ีลํ้าหนาและดีเลิศอีกทั้งมีความ ละเอยี ดถถี่ ว นเปน อยางย่ิง ซ่งึ ในหนงั สอื เลม นมี้ ีจํานวนฮาดษี มากถงึ ๑๖,๑๙๙ ฮาดีษ ซงึ่ นับไดว าเปน จํานวนฮาดีษท่ีไดถูกรวบรวมไวมากกวาฮาดีษท่ีอยูในหนังสือ ศิหาหุล-สิตตะฮฺ ท้ังหมดรวมกัน ดังเชน ทน่ี ักปราชญท้งั หลายไดยืนยนั ในเรื่องนีก้ ันไวจาํ นวนไมนอ ยทีเดยี ว ทานฮิชาม บิน หุกมฺก็เปนนักรวบรวมตําราคนหนึ่ง ซ่ึงเปนสหายของทานอิมามศอดิกและ ทานอิมามกาซิม (อ) ทานไดรวบรวมตํารามีช่ือเสียงไวมากถึง ๒๙ เลมท่ีบรรดานักปราชญท้ังหลาย ของเราตางไดศ กึ ษาหนงั สือของทานมาเปนขอมลู ทางดา นสายสบื สาํ หรับพวกเขา รายละเอยี ดตาง ๆ ของเรื่องนขี้ า พเจาไดช ี้แจงไวในหนงั สือ “มคุ ตะศริ ลุ -กะลาม” ซึ่งตาํ ราเหลา นนั้ นับไดว า ใหค ุณคา ใน ดา นอรรถาธิบายในหลักฐานทางวชิ าการตาง ๆ อยา งสูงท้ังสวนท่ีเปนรากฐานอันสําคัญและในสวน ท่ีเปนเรื่องปลีกยอย ตลอดจนในเรื่องที่เกี่ยวกับ “เตาฮีด” และวิชาการในแงปรัชญา เปนตําราท่ีมี อทิ ธิพลสูงในการตอบโตก บั พวกนอกศาสนาและพวกไรค วามศรัทธา พวกวัตถุนิยม พวกก็อดรียะฮฺ พวกญิบรียฮฺและพวกที่ละเมิดตอสิทธิของทานอาลีและอะหฺลุลบัยตฺ อีกทั้งเปนหนังสือที่สามารถ ตอบโตกับพวกเคาะวาริจุและพวกนาศิบะฮฺ อีกท้ังพวกปฏิเสธเรื่องความเปนวะศียฺ (ทายาท) ของ

ทานอาลี พวกรง้ั หลงั และพวกทีต่ อ สกู ับทา นอาลีดว ยวธิ ีการโฆษณาชวนเช่ือโดยวิธีการตาง ๆ นานา และอ่นื ๆ นอกเหนือจากนี้ ทานฮิชามเปนนักปราชญในศตวรรษที่ ๒ ท่ีเช่ียวชาญทางตรรกวิทยาและวิทยปรัชญาของ พระผเู ปนเจา อกี ทัง้ ยังเปน ผูเช่ียวชาญในศาสตรแขนงตาง ๆ เชน อภิปรัชญาและการใชเหตุผลอยาง มีศิลปะพรอมมูลท้ังในวิชาการทางดานศาสนบัญญัติและฮาดีษ ทานเปนนักวิชาการระดับแนวหนา ในภาควิชาตัฟสีร และศาสตรแขนงตาง ๆ ตลอดท้ังศิลปะศาสตร ทานเปนนักพูดที่มีโวหารเฉียบ ขาดในเรื่องอิมามียะฮฺ เปนผูมีความเช่ียวชาญท่ีมีทัศนะคติดีเลิศคนหน่ึงของมัซฮับ ทานไดร่ําเรียน วิชาการทางศาสนาจากทานอิมามศอดิกและทานอิมามกาซิม ทานไดรับคํายกยองสรรเสริญจาก บรรดาอิมามอยางมากมายหาผูใดเทียบมิได ทานไดพิชิตเอาวิชาความรูระดับสูงมาจากบุคคล เหลานั้นอยางเต็มความสามารถซึ่งผลงานของทานอยูในทัศนะของพวกญะฮามียะมากอน ทานได ไตเตามาจากพื้นฐานเหลาน้ันจนไดพบกับทานอิมามศอดิกแลวทานอิมามก็ไดใหทัศนะท่ีเปนทาง นําและสัจธรรมอยางถูกตองแกทาน ตอมาทานก็ไดอยูรวมกับทานอิมามกาซิมในฐานะของผูที่มี ความสามารถเหนือสหายทงั้ หลายของอมิ ามท้งั สอง แตผูมีอคติและกลุมบุคคลที่มีความปรารถนาจะดับรัศมีของอัลลอฮฺก็ไดโจมตีทานดวย ขอหาตาง ๆ เน่ืองจากความอิจฉาที่มีตออะหฺลุลบัยตฺและความเปนศัตรูท่ีมีตอพวกเราซ่ึงเราเปน ประชาชนที่รูดีท่ีสุดตอแนวทางของบุคคลผูนี้เร่ืองราวทั้งหลายของทานก็ดีและคําสอนตาง ๆ ของ ทานก็ดี ลวนมีอยูพรอมมูลในมือของเรา ซึ่งแสดงวาทานเปนผูที่อยูในฐานะของนักปราชญที่โอบ อุมคํ้าจุนมัซฮับของเราโดยตํารับตําราตาง ๆ ตามที่เราไดเสนอไปแลว ฉะน้ันในฐานะท่ีทานเปน บรรพชนและนักปราชญของเราคําสอนตาง ๆ ของทา นจึงไมเปนทีถ่ ูกปด บังสําหรับพวกเราแตอยาง ใดเลย และเปน ไปมิไดทบี่ คุ คลอื่นจะมคี วามเขาใจชัดเจนในคําสอนของทา นยิง่ ไปกวา พวกเรา ยง่ิ ไป กวาน้ันบุคคลอนื่ ๆ ยังตอ งรบั แนวทางและวิชาการไปจากทานเสียอีก ตามท่ีทาน อัช-ชะฮฺร็อสตานียฺ ไดอางถึงเรื่องของทานไวในหนังสือ “อัล-มะลัลวัน-นะหัล” ในหมวดที่วาดวยเรื่องของทานฮิชามนั้น ยังถือไดวาคํากลาวของทานมิไดแสดงถึงเจตนาท่ีมีอคติ ขอใหทานพิจารณาดูตามท่ีทานผูน้ีไดอางไวเถิด (ทานชะฮฺร็อสตานียฺ ไดกลาววา) “ทานฮิชาม บิน หุกมฺเปนนักวิชาการคนสําคัญท่ีรอบรูในรากฐานของศาสนา ไมสมควรอยางยิ่งที่จะลืมคํานึงถึง ความเกงกลาของทานท่ีมีเหนือพวกมุอฺตะชิละฮฺ เพราะเหตุวานักปราชญรุนหลังไมมีใครอีกแลวที่ จะเกงกลาในการตอบโตกับฝายตรงขามยิ่งไปกวาทาน ไมมีใครสามารถแสดงเหตุผลไดเหนือกวา

ทาน นแี่ หละทานจงึ เปนที่ยอมรับของอัลลาฟ ดังเชนที่ทานไดกลาววา : ทาน (พวกมุอฺตะชิละฮฺ) ได กลาววา พระผูทรงบริสุทธ์ินั้นเปนผูรูไมเหมือนกับผูรูท้ังหลาย ทําไมเลาทานจึงไมกลาววา : “เรือน รา งของพระองคนั้นมิไดเ ปน เสมือนเรือนรา งทัง้ หลาย ?” ไมตองสงสัยเลยวาคํากลาวนี้เปนความถูกตองที่มาจากตัวของทานซ่ึงแสดงใหเห็นวา คัดคานกันกับคํากลาวหาของผูท่ีต้ังขอหาใหแกทาน และผูท่ีตั้งขอหาทุกคนก็ไมมีขออางใด ๆ ที่จะ ผูกมัดทานไดเลย แมเพียงจะใหมีการเห็นดวยในเปาหมายแหงขอหาตาง ๆ ของเขา และสามารถกะ ประมาณดูไดใ นทางวชิ าการ ดงั ที่ทานชะฮรฺ ็อสตานยี ฺ ก็ไดชีแ้ จงไปดวยคาํ กลา วของทา นเองแลว วา “นักปราชญรุนหลังไมมีใครอีกแลวที่จะเกงกลาในการตอบโตกับฝายตรงขามย่ิงไปกวา ทาน และไมมีใครสามารถแสดงเหตุผลไดเหนือกวาทาน” ฉะน้ันถา หากวามีการตั้งขอกลาวหาอยางใดอยางหน่ึงเกิดขึ้นก็ยอมแสดงวาเร่ืองน้ัน ๆ เปน อคติท่ีมีตอทานฮิชาม ซึ่งส่ิงน้ัน ๆ ถาจะมีก็ยอมหมายถึงสิ่งท่ีมีอยูในสมัยกอนท่ีทานจะไดรับ การศึกษา เรียนรู ในขณะที่ทาน (ผูอาน) ก็รูดีอยูแลววาทัศนะทางวิชาการท่ีทานมีอยูน้ัน เปนทัศนะ ทางวาการของพวก “ญะฮามยี ะฮ”ฺ มากอ น หลังจากน้ัน อา ลิ (ผูส บื ตระกูล) ของมุฮัมมัดก็ไดสั่งสอน ช้ีแนวแนวทางท่ีถูกตองใหแกทาน ก็ปรากฏวาทานเปนนักปราชญที่มีความสามารถพิเศษคนหนึ่งท่ี ยึดม่ันอยูกับบรรดาอิมาม จนกระท่ังไมมีบรรพชนคนใดของพวกเราจะกลาวตําหนิติเตียนตอทาน เลยแมแตคนเดียวไมว าในเรื่องหน่งึ เรื่องใดที่ฝายปฏิปก ษไ ดตัง้ เปนขอ หากลาวประณามทา น ทาํ นอง เดียวกันกับที่เราไมเคยพบเห็นขอบกพรองใด ๆ ของทานซะรอเราะฮฺ บิน อะอฺยุน ทานมุฮัมมัด บิน มุสลิม ทานมุอฺมินอัฏ-ฏอกและบุคคลอื่น ๆ ในหมูพวกทานดังท่ีพวกทานถูกกลาวหาและพรอมกัน น้ีเราก็ไดใชเวลาพูดถึงเร่ืองนี้เสียยืดยาว ซึ่งเรื่องเหลาน้ีก็มิใชเพราะอื่นใดนอกจากเปนสิ่งท่ีสืบเน่ือง มาโดยการละเมดิ ความเปนศัตรอู ีกท้งั ความมอี คติและเจตนารา ยท่ีมีตอ ชีอะฮนฺ ่นั เอง “สูเจาอยาไดคิดวา อัลลอฮฺจะทรงลืมเลือนจากสิ่งตาง ๆ ที่พวกอธรรมไดประกอบไว (อบิ รอฮมี : ๔๒) สาํ หรับในประเด็นทที่ านชะฮรฺ ็อสตานยี ไฺ ดอา งถงึ ทา นฮชิ ามเกย่ี วกับคํากลาวท่ีวา พระผูเปน เจา คือทานอาลี น้ัน นับวาเปนเรื่องท่ีนาขบขันอยางนาทุเรศที่สุด ทานฮิชามผูมีคุณสมบัติท่ีดีเดน ตามทีท่ า นไดยกยองไปแลว จะเปนคนโงเขลาเบาปญ ญาถงึ ขนาดนีเ้ ชยี วหรือ

คําสอนของทานฮิชามในเรือ่ งของเตาฮีดน้นั มแี ตเ ชญิ ชวนใหเขาใจถงึ ความบริสุทธิ์อันหาที่ เปรยี บมไิ ดข องอัลลอฮฺ ทา นอิชามเปนผูม คี วามศรัทธาสูงสงเกินกวาวิสัยของคําครหาจากคนโงเขลา กลาวรายได คําสอนของทานฮิชามน้ันยืนหยัดในสายธารของบรรดาอิมามและวะศียฺ (ทายาทของ ศาสดา) ตามที่ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดมอบหมายใหเปนตําแหนงเกียรติยศแกทานอาลี โดยทน เปนผูอธิบายวาทานอาลีน้ันเปนเพียงหนึ่งในจํานวนประชาชาติท่ีอยูในความรับผิดชอบของทานศา สนทูตเทานั้น ทานอาลีเปนวะศียฺ (ทายาท) และเปนคอลีฟะฮฺ (ผูแทน) ของทานศาสนทูต เปนบาว คนหน่ึงของอัลลอฮฺที่ไดรับความอยุติธรรมและถูกกดขี่ขมเหง เปนผูไดรับความลําบากเพราะเหตุท่ี อยูภายใตการควบคุมของผูอยุติธรรมเหลานั้น เปนผูท่ีมีอยูในฐานะเผชิญกับอันตรายของฝาย ปฏิปก ษอยา งชนดิ ทไ่ี มมผี ใู ดยื่นมอื เขาไปใหความชวยเหลือ ทา นชะฮฺร็อสตานยี ไฺ ดยืนยันมากอนแลววา ทา นฮิชามนั้นเปนนักวิชาการที่รอบรูในรากฐาน อันสําคญั ของศาสนา และไมบังควรทจี่ ะลืมคํานึงถึงความเกงกลา ของทา นทีม่ ีเหนอื พวกมอุ ฺตะซลิ ะฮฺ แลวทําไมเลาทานจึงอางวาทานฮิชามกลาววาเรือนรางของพระองคนั้นมิไดเปนเสมือนเรือนราง ทั้งหลาย ขอหาน้ีมิใชความบกพรองที่ชัดแจงดอกหรือ ? สมควรหรือไมที่บุคคลซ่ึงมีวิชาการสูงสง อยางทา นฮิชามจะเปน ผูท ี่กลา วในส่ิงทหี่ มายถึงความหายนะเชนน้นั ? หามิได หากแตเปนเรื่องของพวกที่ตองการจะสาดความผิดอันเน่ืองจากความอิจฉาริษยา และความอยุตธิ รรมใหแ กอะหฺลลุ บยั ตตฺ ลอดจนถึงผทู ี่มีความรูตามทัศนะของพวกทานเทาน้ัน (ไมมี พลังและไมม อี านภุ าพใด ๆ นอกจากโดยอลั ลอฮฺ ผูทรงสูงสุด ผทู รงยิง่ ใหญ) แนนอนทีส่ ดุ นกั ปราชญทร่ี วบรวมตาํ ราในสมัยของทานอิมามกาซิม อัซซะกียฺ อัล-อัสการียฺ (ความสนั ตสิ ขุ พงึ มีแดทา นทง้ั หลาย) นน้ั กม็ เี ปนจาํ นวนมากจนมิอาจนับจํานวนได คําสอนตา ง ๆ ได แพรหลายไปจากบุคคลเหลานั้น และจากบรรดานักปราชญระดับอิมามแหงบรรพบุรุษของพวกเขา ไปตามเมืองตาง ๆ พวกเขาไดเก็บรักษาวิชาความรูอยางสุดความสามารถและผานพบกับอุปสรรค นานาประการ พวกเขาไดบรรลุถึงประตูแหงวิชาการและพรํ่าเพียรอยูกับปรัชญาอันลึกซึ้งเหลาน้ัน อีกท้ังมีความแตกฉานชํานิชํานาญในหลักการและสัจธรรมตาง ๆ อยางเย่ียมยอดในวิชาการท่ี กวา งขวางทกุ ๆ แขนง ทานมุหักกิก ไดกลาวไวในหนังสือ “อัล-มุอตะบัร” (อะลุลลอฮฺ มะกอมะฮฺ) วาสวนหนน่ึง จากสานุศิษยของทานอิมามญะวาด (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) นั้นไดแก : ผูทรงเกียรติทั้งหลาย

เชน ทานฮุเซน บิน สะอีด ทานฮาซัน ผูเปนนองชาย ทานอะหฺมัด บิน มุฮัมมัด บิน อาบี นัศรุล- บะซันฏียฺ ทานอะหฺมัด บิน มุฮัมมัด บิน คอลิด อัล-บัรกียฺ ทานชาซาน ทานอาบู ฟฏลุล-อุมมียฺ ทา นอยั ยบู บิน นหู ,ฺ ทานอะหฺมัด บิน มุฮัมมดั บิน อซี า และบุคคลอ่นื ๆ อีกเปน จํานวนมาก (ทา นผนู ี้ ยังไดกลาวอีกวา) “ตําราของบุคคลเหลานี้ยังไดถูกนํามาอางอิงเปนหลักฐานทางวิชาการของ นกั ปราชญทงั้ หลายอยูจนตราบถงึ ปจจบุ ัน” ขาพเจาขอกลาวเพ่ิมเติมอีกวา : สําหรับทานบัรกียฺน้ัน ไดรวบรวมตําราไวมากมายถึง ๑๐๐ เลม สวนทานบะซันฏียฺนั้น ไดรวบรวมตําราท่ีมีความสําคัญอยางยิ่งเลมหนึ่ง ซ่ึงรูจักกันในนามวา “ญามิอุล-บะซันฏียฺ” สวนทานฮุเซน บิน สะอีด ก็ไดรวบรวมตําราไวถึง ๓๐ เลม และในจดหมาย ฉบับนี้ไมจําเปนท่ีจะตองเอยถึงตําราอีกเปนจํานวนมากของสานุศิษยแหงบรรดาอิมามอีกหกทานท่ี เปน ลกู หลานของทา นอมิ ามศอดิก (ความสนั ติสุขพึงมแี ดทาน) แตขาพเจาใครท่ีจะขอใหทานพิสูจน ดูในตํารางตาง ๆ ท่ีจะอธิบายเรื่องราวของบรรดานักปราชญไดในบรรณานุกรมฉบับตาง ๆ ขอ โปรดพิจารณาดูตามรายชื่อนักปราชญดังตอไปน้ี : ทานมุฮัมมัด บิน ซินาน ทานอาลี บิน มะฮฺซิญาร ทานฮาซัน บิน มะหฺบูบ ทานฮาซัน บิน มูฮัมมัด บิน สะมาอะฮฺ ทานศิฟวาน บินยะหฺยา ทานอาลี บิน ยักฏีน ทานอาลี บิน ฟฏอล ทานอับดุรเราะหฺมาน บิน นัจรอน ทานฟฎลฺ บินชาซาน (ทานผูน้ี รวบรวมตําราถึง ๒๐๐ เลม) ทานมุฮัมมัด บิน มัซอูด อัล-อิยาชียฺ (ทานผูน้ีรวบรวมตําราถึง ๒๐๐ เลม) ทานมุฮัมมัด บิน อะมีรฺ ทานอะหฺมัด บิน มุฮัมมัด บิน อีซา (ทานผูนี้ไดศึกษามาจากนักปราชญ ซ่ึงเปนสหายของทานอิมามศอดิกถึง ๑๐๐ คน) ทานมุฮัมมัด บิน อาลี บิน มะหฺบูบ ทานฏ็อลหะฮฺ บิน ฏ็อลหะฮฺ บิน ซัยดฺ ทานอัมมาร บิน มูซา อัส-สาบาฏียฺ ทานอาลี บิน อัน-นุอฺมาน ทานฮุเซน บิน อับดุลลอฮฺ ทานอะหฺหมัด บิน อับดุลลอฮฺ บิน มิฮฺรอนหรือที่รูจักกันในนามของอิบนุคอนิบะฮฺ ทานศิดฟะฮฺ บิน มัรซุร อัล-กุมมียฺ ทานอุบัยดิลละฮฺ บิน อาลี อัล-ฮะละบียฺ ซ่ึงทานไดเคยเสนอตํารา ใหแกทานอิมามศอดิก (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) แลวทานอิมามก็ไดตรวจทานและแกไขให โดยกลา ววา “ทานเหน็ วา คนเหลา นัน้ เขามีหนังสือเหมอื นอยา งเลม นบ้ี า งไหม” นอกจากนี้กย็ ังมี ทา นอาบู อมุ ัรวฺ อัฏ-ฏอบีบ ทานอับดุลลอฮฺ บินสะอีดผูซ่ึงไดเสนอหนังสือ ของทานใหแกทานอิมามอาบู ฮาซันริฏอ (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) และทานยูนุส บิน อับดุร เราะหฺมาน ก็ไดเ คยเสนอหนงั สอื ของทานใหแ กทานอิมาม อาบู มุฮัมมัด ฮาซัน อัซ-ซะกียฺ อัล-อัสกะ รียฺ (ความสนั ตสิ ขุ พึงมแี ดท า น)

ผูใดที่ไดติดตามศึกษาเรื่องราวตาง ๆ ที่เกี่ยวกับบรรพชนของชีอะฮฺ (ผูอยูในแนวทาง) แหง วงศวานของศาสดามุฮัมมัด (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลกู หลานของทา น) อีกทัง้ คนควาเรือ่ งราวของสหายแหง บรรดาอิมามท้ังเกาทานท่ีสืบเช้ือสาย มาจากทา นอมิ ามฮุเซน ตลอดทงั้ ไดใครครวญตอตาํ รบั ตําราของพวกเขาทไ่ี ดบ ันทึกไวต ามมาตรฐาน ของบรรดาอิมาม อีกท้ังถาผูใดไดติดตามศึกษาตําราตาง ๆ ที่พวกเขาไดรํ่าเรียนมาจากบรรดาอิมาม เหลาน้ัน ตลอดจนไดศึกษาฮาดีษของอา ลิ (ผูสืบตระกูล) ของศาสดามุฮัมมัด จากตําราของพวกเขา ท้งั ในดา นทเ่ี ก่ียวกับขอปลีกยอยและภาคท่ีเกี่ยวกับพ้ืนฐานอันสําคัญของศาสนา แลวไดพิจารณาให สมบรู ณก ับวชิ าการเหลาน้ีในทุกแงท ุกมมุ โดยสบื ไปตามวิชาการแตละสมยั มาตั้งแตอิมามผูบริสุทธ์ิ ท้ังเกาทานจวบจนกระท่ังถึงสมัยของเราน่ีแลว เขาก็จะเขาใจไดในทันทีวาเปนหลักฐานท่ียืนยันมา อยางแนนอนโดยความสอดคลองอยางเปนเอกฉันทจากแนวทางของบรรดาอิมาม และเขาจะไมพะ วักพะวงในสิ่งท้ังหมดน้ันเพราะไมวาจะเปนประเด็นท่ีเก่ียวกับขอปลีกยอยหรือประเด็นท่ีเกี่ยวกับ รากฐานอันสําคัญ ลวนแลวแตเปนสิ่งที่อัลลอฮฺทรงใหการยอมรับท้ังสิ้น เพราะส่ิงนั้นหมายถึงสิ่งท่ี ถูกยึดถือปฏิบัติมาจากบรรดาวงศวานของทานศาสนทูต ความคลางแคลงสงสัยในส่ิงเหลานี้ไม อาจจะมีข้นึ ได นอกจากผโู ออ วดทด่ี ้อื ดึงหรือผโู งเขลาเบาปญญาเทานนั้ “มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ ผูซึ่งไดนําทางเขาใหเขาสูหนทางน้ีและเรามิอาจ ไดรบั ทางนาํ ใดได หากแมนอัลลอฮไฺ มทรงนาํ ทางใหแกเ รา” (อลั -อะอฺ-รอฟ : ๔๓) วสั ลาม (ช) อลั -มรุ อญิอะฮฺ ๑๑๑ ๑ มุ าดลิ -อูลา ๑๓๓๐ • ยอมรับตอสัจธรรมอันสมบูรณแ ละสลัดทงิ้ ความอคติที่เคยมตี อ สจั ธรรม ขาพเจาขอยืนยันวาทานเปนผูยึดมั่นอยูในหลักการของศาสนาท้ังในภาคที่เกี่ยวกับ ขอปลีกยอย และภาคท่ีเกี่ยวกับรากฐานอันสําคัญตามท่ีบรรดาอิมามจากอา ลิ (ผูสืบตระกูล) ของ ทา นศาสนทูตไดถ ือปฏบิ ัตไิ วอ ยางแทจริง บัดนขี้ า พเจา มีความเขา ใจอยา งแจม แจงกับเร่อื งราวเหลา นี้ แลว ดังนั้นขาพเจาจึงไดยอมรับตามเหตุผลท่ีพรอมมูลเหลาน้ัน ขาพเจาไดมีความเขาใจอยางชัดเจน

กับสิ่งตาง ๆ ที่เคยเปนความมืดมนที่เคยเปนส่ิงนาสงสัย ซึ่งความสงสัยใด ๆ ในเรื่องนี้นับวาเปน เพราะความเบาปญญา และความคลางแคลงหรือระแวงในเร่ืองราวเหลานี้ก็ยอมหมายถึงความหลง ผิด บัดน้ีขาพเจาไดพิสูจนอยางละเอียดถ่ีถวนจนไดรับความกระจางเกี่ยวกับเรื่องน้ีแลว ฉะนั้น ขาพเจาก็ไดรับความคลี่คลายอยางปราศจากความมีมลทินใด ๆ ในอันท่ีจะกาวไปสูเปาหมายอัน สงู สดุ และขา พเจาก็ไดร บั การกระตุนใหดําเนนิ ทัศนะไปตามกระแสลมอันบริสุทธิ์นี้ มันจึงไดเสริม ใหว ญิ ญาณของขา พเจา ไดร ับแตความหอมกรนุ ท่สี ดชอื่ นท่สี ดุ กอนท่ีขาพเจาจะติดตอกับทานนั้น ขาพเจาเขาใจเร่ืองของทานมาอยางผิด ๆ ทั้งน้ีก็เพราะ ขาพเจาไดรับฟงส่ิงน้ัน ๆมาจากผูท่ีมีขอมูลซ่ึงปราศจากความเปนจริง และลวนแตบิดเบือน เพราะ รับแสงสวา งท่ีมาจากโคมไฟอันอับแสง ฉะนั้นจึงทําใหขาพเจาปลีกตัวเลี่ยงไมยอมจํานนกับทานอยางผูท่ีทระนงวามีแตมคูที่ เหนือกวา บัดน้ีอัลลอฮฺไดทรงประทานความโปรดปรานอันยิ่งใหญดวยการใหทานเสนอเร่ืองราว ตาง ๆ แกขาพเจา นบั วา คุณานปุ ระโยชนจ ากทานไดก อใหเกดิ ความดีงามแกขา พเจาอยางเหลือหลาย มวลการสรรเสรญิ เปนสิทธิของอัลลอฮฺ พระผูอภบิ าลแหงสากลโลก วสั ลาม (ช) อัล-มุรอญิอะฮฺ ๑๑๒ ๒ ุมาดิล-อลู า ๑๓๓๐ • คาํ สดุดีทม่ี ตี อ ผรู วมสนทนา ขาพเจาก็ขอยืนยันวา ทานเปนผูท่ีบรรลุถึงแกนแทและมีความสามารถอยางแกกลาสําหรับ เร่ืองนี้แลว ทานมีความรูสึกสํานึกในเหตุการณท่ีผานมาของทานกอนท่ีทานจะไดผานเขาสูววิถีทาง ที่เรืองรองดวยแสงสวาง บัดน้ีทานไดฝงตัวลงสูขอมูลแหงการอรรถาธิบายเหลานี้แลว และทานได บรรลุเขาสูหลักการแหงสัจธรรมและความละเอียดออนแลว ทานไดเห็นในความประเสริฐและ ความถูกตองอีกทั้งหลักการที่ควรแกการจํานน ทานไดเปลี่ยนทัศนะจากจุดเดิมอยางสิ้นเชิงดุจหนา มือเปนหลังมือได ก็เพราะทานมีความรูแจงภายในเน้ือหาท่ีแท และทานขวนขวายด้ินรนเพ่ือความ

เขาใจอยางถองแทและเพื่อความเปนจริง ความรูสึกท่ีนิยมอยูกับการถือฝกถือฝายมิอาจเอาชนะทาน ได การครหาของบุคคลใด ๆ ก็มิอาจทําใหทานหวั่นเกรงได กลาวคือสิ่งเหลาน้ันมิอาจทัดทานกับ คณุ สมบตั อิ ันปราดเปรื่องของทานและมนั ไมอาจจะกอ มลทินใดใหแกท ศั นะของทานได เพราะทาน เปนผูบรรลุลวงอยูในความรูอยางเชี่ยวชาญที่ยืนยันอยูกับความโปรดปรานของพระผูเปนเจา และมี จิตใจที่เปดกวางกวาในโลกนี้ จากความหมายท่ีอยูในสัจธรรมที่แทจะไมนําทานเขาสูความรักใน ผลประโยชนสวนตนหรือเกียรติยศชื่อเสียง จนทานไดผานพนจากความคลางแคลง และเขาใจแจม แจง ตอสัจธรรมจากวชิ าการท่ีพรอมมลู บัดนแี้ สงสวา งอนั รุงโรจนข องยามอรณุ ไดเปน ทปี่ ระจักษแกส ายตาทง้ั สองของทา นแลว มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ ท่ีพระองคทรงมอบทางนํามาแดศาสนาของ พระองค และประทานความสัมฤทธผิ์ ลแกผ ูทเ่ี พยี รมงุ สวู ิถที างของพระองค อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดศาสดามุฮัมมัดและแดลูกหลานของ ทาน วสั ลาม (ช) หนงั สือเลม นี้ไดจ บสมบรู ณลงดว ยความชวยเหลือของอัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุภาพสูงสุด และ ดว ยสมั ฤทธ์ิผลอนั ดีงามของพระองคที่มีตอ ปลายปากกาของผูรวบรวมหนังสือเลมน้ี นน่ั คอื : ทา นอับดุล-ฮุเซน ชัรฟดุ -ดีน อลั -มเู ซาวยี ฺ อลั -อามิลยี ฺ ขออัลลอฮฺไดทรงเปนผูประทานเกียรติยศอันดีงามและความเอื้อเฟอโดยเกียรติคุณของ พระองคใหแกทาน แทจริงพระองคเปนผูทรงไวซึ่งความเมตตากรุณาเหนือกวาผูเมตตากรุณาใด ๆ (๔๖๗) (๔๖๗) มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺท่ีคําอธิบายไดเสร็จส้ินสมบูรณลงดวย เชิงอรรถในคร้ังนี้ ซ่ึงเชิงอรรถตาง ๆ ที่ใหไวก็เพ่ือเพิ่มความสมบูรณในสิ่งท่ียังไมกระจาง ในตนฉบับ ซ่ึงนับวาคุณประโยชนมีมากมายอยางอเนกอนันต หนังสือเลมนี้ไดถูกพิพม สําเร็จในเดือนเราะญับ ฮ.ศ. ๑๓๕๕ โดยปลายปากกาตอบจดหมายของทานผูซ่ึงทําหนาที่ รับใชอิสลามมาโดยตลอด และเปนบุคลากรท่ีสําคัญของมัซฮับอิมามียะฮฺ นั่นคือ ทานอับ ดุล-ฮุเซน บิน ชะรีฟยูซุฟ บิน ชะรีฟ ญะวาด บิน ชะรีฟ อิสมาอีล บิน ชะรีฟ มูฮัมมัด บิน ชะรีฟ มูฮัมมัด บิน ชะรีฟ อิบรอฮีม อัล-มุลักก็อบ ชัรฟุด-ดีน บิน ชะรีฟ ซัยนุลอาบิดีน บิน

อาลี นูรุด-ดีน บิน นูรุดดีน อาลี บิน ฮุเซน อัล-มูเซาวียฺ บิน มุฮัมมัด บินฮุเซน บิน อาลี บิน มุฮมั มัด บิน ตาดุ -ดนี บนิ มุฮัมมัด บนิ อับดุลลอฮฺ บิน อะหมฺ ดั บนิ ฮัมซะฮฺ บนิ สะอัด บิน ฮัมซะฮฺ บิน มุฮัมมัด บิน มุฮัมมัด บิน อาบู ฮารีษ บิน อาบูฮาซัน บิน ดัยละมี บิน อาบูฏอฮิร อับดุลลอฮฺ บิน อาบู ฮาซัน บิน อาบูฏ็อยยิบ บิน ฮุเซน บิน มูซา บิน สับหะฮฺ บิน อิบรอฮีม บิน อามามกาซิม บิน อิมามศอดิก บิน อิมามบากิร บิน อามามซัยนุลอาบิดีน บิน อิมามฮุ เซน บิน อามามอามีรุลมุมินีน อาลี บิน อาบีฏอลิบและทานหญิงฟาฏิมะฮฺ บุตรสาวของ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) อัลลอฮฺทรงประทานความดีงามและความเมตตาของ พระองคใหแกบุคคลเหลานี้ท้ังมวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ ทั้งในตอนแรกเร่ิม และตอนสุดทาย อลั ลอฮทฺ รงประทานความจาํ เรญิ และความสันติสุขแดทานศาสดามฮุ มั มดั และลกู หลานของ ทาน

ตวั บท ฮาดษี ภาษาอาหรบั ของทานศาสนทูตแหง อลั ลอฮฺ (ศ) ตามท่ไี ดเ สนอไวในหนงั สือ อัล-มุรอญิอาต หนา เชิงอรรถ 33 20 34 21 22 23 35 24 36 25 26 37 27 39 29 40 31 32 41 43 46 37 47 38 36 48 40 48 41 42 49 43 44

45 50 46 47 51 48 49 53 50 198 121 213 214 240 155 241 157 243 159 160 245 162 246 163 252 168 253 171 254 172 173 259 185 186 266 199 272 200 305 207 306 210 307 212

308 213 214 309 215 216 217 311 * 314 315 222 316 223 317 224 319 227 228 229 320 230 231 231 321 234 322 236 321 235 322 237 323 239 240 324 242 324 243 333 256 257

339 259 343 267 345 272 346 274 421 302 425 303 426 305 428 307 430 308 430 431 432 310 433 313 434 314 436 316 439 321 321 450 350 350 451 353 460 359 465 363 486 386 503 405 406 408

521 523 524 418 524

เชิงอรรถศัพท ก. กษัตรยิ ฮเุ ซน (ฮิญาช) 14 กอฏีย อยิ าฏ 50 กอฏีย อาบู ฮาซัน มุฮัมมดั บิน ศอลิห ฮาชมิ ีย 422 กอลบิ บินสลาม 566 กออมิ (อมิ ามที่ 12) 395 ก็อดรยี ะฮฺ 101 กันซลุ อมุ าล (ตาํ รา) 33, 143, 199, 226, 240, 253, 289, 309, 333, 420, 428, 436, 473, 482 กัยสะรอนีย (ตาํ รา) 47, 83 กรั บาลาอฺ 14, 184 กลั บยี  91 กลั มยี าต (ตํารา) 241 กะบีร (ตํารา) 46, 93, 164, 244, 253, 284, 305, 333, 352, 425, 439 กะลมิ ะตลุ ฆ็อรรอ ตัฟฏลี ุซ ซะอรฺ ออฺ (ตํารา) 18 กะษรี บนิ อบั ดรุ เราะหมฺ าน บิน อสิ วดั บนิ อามริ อัล-คอ็ ซซาอยี  622 กะษรี ุล-อิซซะฮฺ (บทกวี) 622 กะอบั บิน อาญิซะฮฺ 92 กาซิม อซั -ซะกีย อัล-การยี  (อิมามที่ 7) 88, 167, 649, 654 กาซมิ ยี ะฮฺ 10 กาฟย (ตํารา) 619, 649 กามิล (ตํารา) 147, 197, 362, 507, 515, 604

กามลิ บนิ ฏ็อลละฮฺ 482 กชิ าฟ อิรซะลลุ -มุสลิมาต (ตาํ รา) 53, 293 กฟิ ายุตลุ วศุ ูลฺ 10 กุดซีย 233 กรุ ฏบีย 85 กรุ อยช 27, 54, 297, 567, 595, 597 กุบาอฺ (มสั ญดิ ) 403 กุมัยต บิน ซัยด (นักกว)ี 220, 345, 364, 622 กลุ ัยนีย ดู มฮุ ัมมัด บนิ ยะฮฺกูบ กษุ มั บิน อบั บาส 421 กูชะญีย 66, 283 กูฟะฮฺ 105, 406, 613 เกาะตาดะฮฺ 462, 566 ไกเซอร 588 ค. คอฏบี 253, 283, 320 คอดียะฮฺ บนิ ควุ ยั ลดิ (มารดาแหงศรัทธาชน) 449 คอตะมันนะบียนี (นบีมฮุ มั มดั ) 23 คอรียะฮฺ บนิ ซัยด 251 คอลดิ บนิ วาลดิ 266 คอลิด บนิ สะอีด บิน อลั -อาศ อลั -อะมะวยี  496, 608 คอลิด บิน อะหมัด 182 คอวาริจญ 39, 101, 650 คยั บัร (สงคราม) 213, 258, 462, 496 คุซยั มะฮฺ บนิ ษาษิต 496, 608, 614 คุมส 265, 455, 572

เคาะศออิศ อลั -อุลวุ ยี ะฮฺ (ตํารา) 199, 212, 241, 255, 266, 314, 344, 420 ไคโร 309, 321 ฆ. ฆอดรี (ฮาดษี ) 303, 332, 337, 338, 348, 349, 354, 382, 385, 524 ฆอดรี คุม 36, 69, 203, 340, 370, 375, 558, 582, 591 ฆอยะตลุ -มะรอม (ตาํ รา) 67, 94, 98, 283, 365 ฆ็อซวะตลุ -ซาดรุ กิ ออ (ตาํ รา) 292 ฆัยละฮฺ บะหวะรอน 507 เฆาะซาลยี  (นกั ปราชญ) 474, 632 เฆาะซาลยี  มะกาชฟิ ะตลุ -กลุ บู (ตาํ รา) 473, 632 ช. ชัยค ซะลีม อลั -บะชะรีย 5 ชยั ค ฏออฟิ ฟะฮฺ อาบู ญะอฺฟร มฮุ ัมมัด บนิ ฮาซัน อฏ-ฏซยี  406 ชัยค มุฮัมมัด กาซิม อลั -คุรอซานยี  10 ชัยค มุฮมั มัด บิน ฮาซัน บิน อาลี อฏั -ฏซีย 80 ชยั ค มฮุ มั มดั มะหมูด อรั -รอฟอีย 622 ชยั ค มฮุ มั มดั อับดุฮฺ 24, 497 ชยั ค มฮุ มั มดั อาลี หซุ ยั ซยี  อัล-ฮะนะฟย  อศั -ศ็อยดาวยี  621 ชัยค อับดุลลอฮฺ อะลาซีลีย 17 ชัยคุล อนั ศอรีย 10 ชัยบะฮฺ บนิ รอบีอะฮฺ 82 ชยั รอซยี  241, 252, 566 ชรั ฟุล-มุอบั บดิ (ตาํ รา) 49

ชะบริ 249 ชะรอสตานยี  131, 508, 555, 647, 651 ชะรคี 203, 425 ชะหูรฺ (เมือง) 12 ชะเราะฮฺ นะฮฺ ุล-บะลาเฆาะฮฺ (ตํารา) 24, 46, 198, 200, 202, 266, 306, 321, 420, 431, 471, 480, 493, 515, 561, 597, 604, 619 ชะเราะฮดฺ ตุจญรี 283 ชาฟอ ีย (อมิ าม) 15, 60 ชบิ ลนั ญีย 71, 369 ชิฮาบดุ ดีน อะหมัด 566 ชบุ ัยร 249 ชอุ ยยี  85 ซ. ซอฟยะฮฺ บนิ ฮัยน (มารดารแหง ศรัทธาชน) 452 ซัจญาห บนิ ต ฮาริษ 505 ซยั ด บิน ษาษิต 34, 239, 384 ซยั ด บนิ อัรก็อม 34, 134, 171, 226, 251, 258, 339, 342, 404 ซยั ด บิน อาลี บนิ ฮุเซน 88 ซัยด บนิ อาบู เอาฟา 242 ซัยด บนิ ฮารษิ ะฮฺ 153, 252, 545 ซยั นับ บิน ฮารษิ ะฮฺ (มารดาแหง ศรทั ธาชน) 472 ซัยนลุ อาบดิ นี (อิมามที่ 4) 479, 483, 640, 642, 652 ซยั ยดิ อะหมัด ซยั นี ดะฮลฺ าน 353 ซัยยิด อาบู ฮาซัน อศั -ฟะฮานยี  15 ซัยยดิ อาลี มะหมดู อัล-อามีน 12

ซยั ยดิ ฮเุ ซน เฏาะบา-เฏาะบาอีย บะรญู รั ดยี  17 ซัลมาน อลั -ฟาริซีย 75, 397, 404, 425, 438, 496, 608, 612, 635, 638 ซะญัร บิน กัยส 617 ซะบีลุล-มอุ ฺมีนึน 12, 294 ซะมคั ชะรีย 53, 293, 440 ซะยฏู ยี  36, 226, 309, 365, 440 ซะรอเราะฮฺ บิน อะยุน 652 ซะลีม บิน กยั ส อัล-ฮุลาสยี  93, 638 ซะฮะบีย 34, 105, 198, 212, 223, 250, 267, 278, 297, 305, 328, 333, 365, 419, 425, 440, 471, 613 ซิยาด บนิ มัฏริบ 46 ซิยาด บิน ละบดี อลั -อันศอรยี  616 ซเี ราะตลุ ดะหลานียะฮฺ (ตาํ รา) 242 ซีเราะตุล นะบะวียะฮฺ 353 ซีเราะตลุ ฮะลาบยี ะฮฺ (ตํารา) 198, 242, 369 ซีเรยี 4, 545, 592, 648 ซุคีย 64, 566 ซุบัยร บิน บะการฺ 139, 255, 455, 496, 620 ซุฟยาน อัษ-ษรุ ยี  64 ซุฮยั ร มอุ าวยี ะฮฺ 203 ญ. ญมั อยี ะตุล-บรั ว-ิ วัล-อิหฺซาน 16 ญัมอฺ-บัยน-อัศ-ศหิ ฺหสุ -สติ ตะฮฺ (ตาํ รา) 282 ญมั อลุ ฟะวาอิด (ตาํ รา) 198 ญะวัล อามิล 10

ญะมลั (สงครามอฐู ) 297, 450, 487, 614, 619 ญามีอฺ 19 ญะรรี บนิ อับดุลลอฮฺ อลั -บาคิลลลยี  53, 615 ญะอฟฺ ร ศอดกิ (อิมามที่ 6) 60, 146, 612, 628, 635, 641 ญะอฺฟร อัล-บากิร (อิมามท่ี 5) 70, 640, 641 ญะอฺฟร อิบนุ อาบีฏอลิบ 241, 253, 545, 622 ญะอฺฟารยี ะฮฺ 15 ญะฮามียะฮฺ 650 ญาบริ บิน อับดลุ ลอฮฺ 33, 227, 245, 260, 309, 478 ญาบริ บนิ ยะซดี อัล-ุอฟฺ ยฺ 613 ญาบริ บนิ สามเู ราะฮฺ 203, 226 ญามอี ศุ -ศอฆีร 309 ญามีอุล ญะวามีอฺ 309 ญาฮฺลยี ะฮฺ 239 ญบิ รออลี (มาลาอกิ ะฮฺ) 254, 308, 312, 379, 395, 485 ญบิ รยี ะฮฺ 649 อุ ฺดะฮฺ บนิ สะลีม 573 ุฮฟฺ ะฮฺ 36, 346, 438 ฎ. ฎิยาอฺ มุก็อดดะสีย 119, 271 ฏ. ฏอบากอต (ตํารา) 127, 256, 436, 457, 477, 545, 573, 608 ฏออิฟ 482 ฏ็อบรีซ (มุฮมั มัด บนิ ญะรรี อุบัยดลิ ละฮฺ) 133, 197, 365, 493, 545 ฏอ็ บรอซยี  อาบู อาลี 72, 285, 608, 644

ฏอ็ บรอนยี  36, 226, 243, 253, 308, 329, 339, 366, 425, 439 ฏ็อลฮะฮ บนิ ชัยบะฮฺ 85, 139, 455, 560 ฏอ็ ลฮะฮ บิน มัศรฟุ 445 ฏลัยฮะฮ บนิ คุวัยลิด 505, 588 ฏซีย 406 ฏร (ภเู ขา) 89, 299 เฏาะฮาวีย 199 ด. ดัจญาล 41 ดัยละมีย (นักปราชญ) 309, 319, 333, 340 ดรั ซุล-คอริจญ 10 ดะลาอิล (ตาํ รา) 197 ดะหลานยี  549, 555 ดามัสกัส 12 ดาเราะกฏุ นยี  75, 148, 256, 265, 311, 388, 607 ต. ตัฏฮีร (โองการอัล-กรุ อาน) 144 ตัยยาละซยี  144 ตัลซลี ลุ อายาต (ตาํ รา) 94, 97, 291, 294 ตะบูก (สงคราม) 215, 225, 229, 234, 237, 241, 246, 572 ตะฮซบี (ตํารา) 175 ตะฮซบี ลุ -อาซาร (ตํารา) 420 ตาุลอูรุส (ตาํ รา) 613 ตารคี อบิ นุ อะซากีร (ตํารา) 549 ติรมีซีย 33, 128, 226, 251, 309, 366, 452, 622

น. นบั ฮานีย 36 นัยสาบุรีย 72, 316 นัศร บนิ ฮัจญาจย อสั -สัลมีย 573 นัศรอนีย 322 นะกรี (มาลาอิกะฮ)ฺ 52 นะญัฟ 10, 15 นะญาชีย 639 นะบาฮานี 52 นะสาอยี  34, 127, 199, 212, 256, 282, 314, 331, 344, 366 นะอษะลัน 486 นะอลี บนิ มัสอดู อัล-อชั ญะอยี  290 นะฮลุ บะลาเฆาะฮ ดู ชะเราะฮ นะฮลุ -บะลาเฆาะฮฺ นะฮฺรอวาน 181 นาดยี ุล-อิมามมุศ-ศอดกิ 16 นาศบิ ะฮ 649 นุซุลลุล-กุรอาน (ตาํ รา) 69, 351 นอุ มาน บิน อจั ญลา 618 นุศูศอะลิล อะอมิ มะฮ 407 นูรุล-อันศอร 71, 369 นูห (นบ)ี 32, 321, 486, 582 บ. บนี ฏ็อบบะฮ 616 บนี นะฏีร 291

บนี มะฮารบิ 291 บนี สะอดี ะฮ 495 บนี สนุ ยั ดะฮ 267 บนี อะสัด 596 บนี อัรฟะดะฮ 488 บนี อิสรออลี 40, 256 บนี อมุ ัยยะฮ 518 บนี ฮาชิม 27, 152, 293, 421, 437, 499, 512, 585, 592 บัฆดาด (ตาํ รา) 605 บฆั วีย 243, 250 บัซซาซ 259, 306, 320, 366 บยั ตลุ มกั ดสิ 42 บยั ตุล อัล-ฮะรอม 14 บยั ฮากยี  197, 308, 321, 436 บรั รออ (บัรเราะอ) บนิ อาซบิ 226, 251, 259, 333, 345, 366, 388, 496 บัศเราะฮฺ 592 บะฆยี ะตรุ -รอฆบิ นี (ตํารา) 18 บะซันฏีย 654 บะดัร (สงคราม) 256, 507, 572, 614 บะดรั (ชาวเมอื ง) 359 บะรดี อจั ญลี 62, 646 บะลาคยี  260 บะลาฆอตนุ -นิสาอฺ (ตาํ รา) 600 บะหร ัยนยี  67, 402 บากริ (อิมามท่ี 5) 61, 88, 93, 146, 168, 297, 628, 640 บากริ ยี ะฮฺ 647

บากอี ฺ 13 บารดู ีย 46, 243, 306 บนิ ติ ฮมั ซะฮฺ 241 บุคอรี 83, 128, 201, 203, 216, 273, 432, 450, 460, 464, 488, 494, 521, 622, 634 บุรยั คะฮฺ อัล-อัสลามีย 260, 266, 277, 442, 608, 613 แบกแดด 14 ไบแซนตนิ 560 ป. ปาเลสไตน 12, 42 เปอรเซีย 648 ฟ. ฟครรุ (ฟดรุดดีน) รอซีย 91, 255, 440 ฟฏ ล บิน อบั บาส บิน อาบีละฮับ 247, 620 ฟตวา อลั -อะมะดียะฮฺ 365 ฟต หลุ บารยี  (ตํารา) 204, 321, 632 ฟตฮลุ -มลุ ากอุ าลี 309, 365 ฟรกอดยั น 238, 248 ฟร ซะดกั (นกั กวี) 54 ฟะฏออิลศุ -ศอฮาบะฮฺ (ตาํ รา) 48 ฟะดัก 560 ฟะรออิด (ตํารา) 69, 635, 643 ฟะละซะฟะตุล-มษิ าก อลั -วิลายะฮฺ (ตาํ รา) ฟาฏิมะฮฺ บินต ฮเุ ซนบิน อาลี บิน อาบีฏอลบิ 600 ฟาฏิมะฮฺ อัซ-ซะฮรฺ ออฺ บิน มฮุ ัมมัด (ศ) 73, 150, 214, 244,


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook