Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-06 05:31:49

Description: จดหมายสนทนาโตตอบทางวิชาการระหว่างอุลามาชีอะห์กับผู้รู้ซุนนี

Search

Read the Text Version

พวกเขาเอง และผูใดท่ีฝาฝนอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค แนนอนยิ่งพวกเขาไดหลงผิดโดย การหลงผิดอยางชดั แจง” (33 : 36) โดยเหตุท่ีพวกเขาไดกระทําการขัดแยงและละเมิดตลอดจนถึงคัดคานตอคําส่ังของทานศา สนทตู ในภาวะท่สี าํ คญั อยางใหญหลวงเชน นั้นเอง จึงถือไดวาเปนการสรางความหนักใจและยุงยาก ใหแกจิตใจของทานนบีย่ิงกวาการที่ทานไดบันทึกขอความซึ่งพิทักษรักษาประชาชาติของทานให พนจากความหลงผิด ถาเขามีความตองการท่ีจะผอนคลายความออนเพลียดวยการมิใหบันทึก ขอความน้ัน ๆ แลว เขาตอตานและใชคําพูดดวยคํากลาวท่ีวา “ทานเพอไปเสียแลว” ไดอยางไรกัน หรือ กลุมบุคคลเหลาน้ันไดกลาวอีกวาทานอุมัรตัดสินใจถูกตองแลวท่ีไมนําหมึกและกระดาษ มารใหทานนบี นี้คือความแปลกประหลาดที่นาอัศจรรยใจอยางย่ิงวาทานอุมัรเปนผูนําในหมูสาวก เหลาน้ัน มิใหนําสิ่งท้ังสองมอบแกทานนบีไดอยางไรกัน ทั้ง ๆ ที่ทานนบีไดออกคําส่ังวาใหนําส่ิง ท้ังสองน้ันไปใหแกทาน ทานอุมัรมีความเห็นถูกตองแลวหรือท่ีวาถาศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดออก คาํ สงั่ ใด ๆ ไปแลว ทา นจะเปน คนแรกท่ลี ะทงิ้ คําสัง่ นน้ั เสีย ท่ีนาแปลกย่ิงไปกวาเร่ืองอื่นทั้งหมด ก็คือคํากลาวที่พวกเขาเหลานั้นไดกลาววา “ทานอุมัร หว่ันวิตกวา ถาทานนบีไดบันทึกคําสั่งใด ๆ ในชวงน้ันแลว คําส่ังน้ัน ๆ จะไมเปนที่ยอมรับของ ประชาชน ฉะนน้ั เพื่อสภาวะสังคมจะไดยืนหยัดอยกู ับหลักความถูกตอง ทานจึงละท้งิ คาํ สง่ั นน้ั เสยี ” ความจริงแลวทานอุมัรจะมีความหว่ันวิตกไดอยางไรกัน ก็ในเม่ือทานนบีไดกลาววา “ประชาชาติของฉันจะไดไมหลงผิด” ทานและตลอดจนถึงบุคคลทั่วไปตางก็มีความตระหนักวา ทานอุมัรมีความรูดีในเหตุการณอนาคตย่ิงไปกวาทานนบีไดหรือ หรือวามีความรอบคอบและ ปรารถนาดตี อ ประชาชาตขิ องทานศาสนทูตยงิ่ ไปกวา ทา นศาสนทูต ?.... หามไิ ด บุคคลเหลานั้นไดกลาววา “บางทีทานอุมัรมีความหว่ันเกรงวาบรรดากลับกลอก (มุนาฟก) จะทําการบ่ันทอนขอเท็จจริงตาง ๆ ที่จะบันทึก เพราะทานนบีอยูในอาการท่ีปวยหนัก ซึ่งใน ประเด็นนีจ้ ะเหน็ ไดวาอาจเปนบอเกิดแหง การใสร ายปา ยสกี ันได ขออัลลอฮฺไดทรงประทานหลักการแหงสัจธรรมใหทานดวยเถิด ทานเองก็ทราบอยูแลววา เงื่อนไขเหลานี้ เปนภาวะที่เกิดข้ึนโดยคํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ท่ีวา “พวกทานจะไดไม

หลงผิด” ทั้งน้ีเน่ืองจากทานศาสนทูตไดระบุความหมายอยูในตัววาขอความที่ทานจะใหบันทึกนั้น จะเปน ขอ มลู ทีบ่ รรดาสาวกทั้งหลายปลอดภัยจากความหลงผิด ฉะน้ันจะมีทางเปนไปไดอยางไร สําหรับกรณีท่ีวาขอความนั้นคือขอมูลแหงการถูกใสราย หรือวิพากษวิจารณจากพวกกลับกลอก (มุนาฟก) ? ถาทานอุมัรเกรงวาพวกมุนาฟกจะ วิพากษวิจารณขอความเหลาน้ันแลว ไฉนเลาทานจึงเปนผูติติงแลวคัดคานและหามอีกท้ังกลาววา “ทานเพอไปเสยี แลว ” เสยี เอง สําหรบั การทพี่ วกเขาเหลา นั้นไดกลาวถงึ โองการของอัลลอฮทฺ วี่ า “วันน้เี ราไดทาํ ใหส มบรู ณค รบถว นแกสูเจาแลว ซ่งึ ศาสนาของสูเจา ” (5 : 3) แลวพวกเขาเหลาน้ันก็กลาววา “คัมภีรของอัลลอฮฺเปนที่เพียงพอแกเราแลว” คํากลาวเชนน้ี ถือไดวายังไมถูกตอง ทั้งนี้เน่ืองจากวาโองการน้ันมิไดมีความหมายวา ประชาชาติจะปลอดภัยจาก ความหลงผิดและมิไดเปนขอมูลที่ระบุถึงทางนําอันชัดเจนสําหรับมนุษยชาติ การละทิ้งหนาที่เพ่ือมิ ใหบันทึกขอความของทานศาสนทูต จะหมายถึงวาเปนการยึดมั่นตอโองการนั้นไดอยางไร ? ถา หากวาการมีพระคัมภรี อ ัล-กุรอานเพยี งอยางเดียว จะหมายถงึ ความปลอดภัยจากความหลงผิดไดจริง แลว แนนอนในประชาชาตินี้ยอมไมประสบปญหาความหลงผิดและความแตกแยกดังที่ปรากฏให เห็น ๆ กันอยู ในตอนทายของคําตอบตามท่ีนักปราชญฝายซุนนะฮฺไดกลาวมานั้น แสดงใหเห็นวาทาน อมุ รั มไิ ดยอมรบั ตอความสาํ คญั ของฮาดีษบทนใ้ี นประเดน็ ทวี่ า ขอ ความทีท่ า นศาสนทูตจะบันทึกนั้น เปนสาเหตุแหงการพิทักษรักษาประชาชาติอิสลามทุกคนใหพนจากความหลงผิดซ่ึงหมายความวา ความเขาใจของทานอุมัรน้ันก็คือขอความนั้นจะเปนสาเหตุแหงความหลงผิดนั่นเอง โดยท่ีกลุม นักปราชญฝายซุนนะฮฺไดกลาววา “ทานอุมัร (อัลลอฮฺทรงมีความปติชื่นชมแดทาน) ตระหนักดีวา เปนไปไมไดอีกแลวที่บรรดาสาวกจะรวมตัวกันตั้งอยูบนหลักการที่หลงผิด ไมวาทานศาสนทูตจะ บนั ทกึ ขอ ความนัน้ หรอื ไมบนั ทกึ กต็ าม ดว ยเหตุนี้เองท่ีทานอมุ ัรจงึ เปน ผคู ดั คานในวันน้นั ” สรุปไดวา ทานอุมัรมิใชเปนมาตรการที่ช้ีขาดความเขาใจของประชาชนสําหรับฮาดีษบทนี้ เพราะฮาดีษบทนี้เปนที่เขาใจอยางชัดแจงของประชาชนท้ังมวลในขณะนั้น ทั้งน้ีเน่ืองจากวาบรรดา สาวกท้ังชาวเมืองและนอกเมืองลวนมีความเขาใจวา ถาหากทานศาสนทูตไดบันทึกขอความน้ันไว แลว แนนอนที่สุด จะเกิดมีเงื่อนไขที่สมบูรณในดานของการพิทักษรักษาประชาชาติทุกคนใหพน

จากความหลงผิด ซ่ึงความหมายน้ีเปนที่ยอมรับสําหรับความเขาใจของประชาชนทั้งหลาย สําหรับ ทานอุมัรนั้นทานเชื่อมั่นวา ทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไมหวั่นวิตกวาประชาชาติของทาน จะรวมตัวกันตั้งอยูใน หลักการที่หลงผิด ท้ังนี้เนื่องจากทานอุมัร (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอทาน) เคยไดยินทานศา สนทูต (ศ) กลาววา “ประชาชาติของฉันจะไมรวมตัวกันตั้งอยูบนหลักการท่ีหลงผิด และไมรวมตัว กันเพื่อตั้งอยูบนหลักการแหงความผิดพลาด” และคํากลาวของทานศาสนทูตอีกตอนหน่ึงท่ีวา “ทุก กลุมในประชาชาติของฉันน้ียอมเปนผูยืนหยัดอยูกับสัจธรรม” และโองการของอัลลอฮฺผูทรงสูงสุด ท่วี า “อัลลอฮฺทรงสัญญาแกบรรดาผูซึ่งศรัทธาในหมูสูเจา และผูประกอบคุณงามความดี ท้ังหลายวา แนนอนพระองคจะทรงแตงต้ังพวกเขาใหทําการปกครองในผืนแผนดินนี้ ดังเชนที่ พระองคไดทรงแตงตั้งบรรดาผูซ่ึงอยูกอนหนาพวกเขา และพระองคไดทําใหม่ันคงแกพวกเขา ทั้งหลาย ซ่ึงศาสนาของพวกเขา พระองคไดทรงโปรดปรานใหแกพวกเขา และพระองคไดทรง เปล่ียนความกลัวของพวกเขาใหเปนความปลอดภัยแกพวกเขา เพื่อพวกเขาจะไดเคารพภักดีตอฉัน โดยทพี่ วกเขาไมต ัง้ ภาคีตอ ฉันแมแ ตป ระการใด” (24 : 55) ยังมีหลักฐานจากอัล-กุรอานและฮาดีษอีกเปนจํานวนมาก ซึ่งระบุวาประชาชาตินี้จะไม รวมตัวกันเพ่ืออยูบนหลักการท่ีหลงผิด ฉะนั้นท้ัง ๆ ท่ีทานอุมัรก็ไดเห็นแลววาแทจริงทานนบี (อัลลอฮทฺ รงประทานความจาํ เรญิ และความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดขอ หมึกและกระดาษ โดยเหตุที่ทานวิตกวาประชาชาติของทานจะรวมตัวกันต้ังอยูบนหลักการแหง ความหลงผดิ จงึ เปนท่สี มควรสาํ หรบั ทา นอุมรั ในอันท่ีจะเขา ใจฮาดษี บทน้ีตามเหตุผลแหงสตปิ ญญา ทไี่ ดร บั จากฮาดษี และโองการอันชัดแจง ของอัล-กรุ อาน สําหรับในกรณีที่ทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวแกพวกเขาเหลานั้นวา “จงลุกออกไปเถิด” นี่คือหลักฐานที่ แสดงใหเ ห็นวาสิ่งทพ่ี วกสาวกไดละท้ิงมยิ อมปฏิบัติตามนั้น เปนขอกําหนดท่ีจําเปนสําหรับพวกเขา มิฉะนั้นแลวจะไมมีคําสั่งท่ีใหพวกเขาเหลาน้ันออกพนไปจากทานและมิฉะน้ันแลว ทานอิบนุ อับ บาสก็จะไมรองไหกับเรื่องน้ีซ่ึงเหตุผลของทาน นับวาเปนหลักฐานที่ย่ิงใหญกวาเหตุผลอ่ืนใดท่ีเรา จะกลาว

เร่อื งราวแหง ความอับโชคของประชาชาติอสิ ลามในคราวน้ีถึงแมว าเปน เรื่องท่ปี ลีกยอ ยของ ประวัติศาสตรประเด็นหนึ่งตามที่ทานไดกลาวมาแลว แตมันก็ยังคงเปนประเด็นท่ีสําคัญอยูตลอด ทุกยุคทกุ สมัย แนนอนพวกเราเปนสิทธิของอัลลอฮฺและแทจริงพวกเราตองยอนคืนกลับสูพระองค ไมมี พลังและไมม ีอานภุ าพอน่ื ใดท่ียง่ิ ใหญ นอกจากโดยอลั ลอฮผฺ ทู รงสูงสุดผทู รงยิ่งใหญ วสั ลาม (ช) อลั -มะรอญิอะฮฺ 89 14 รอบอี ุลเอาวัล 1330 1. ยอมรับวา คาํ คัดคา นเหลา นั้นไมถ ูกตอง 2. ขอพิสูจนหลักฐานอ่นื ๆ อีก 1. ขา พเจา ไดด าํ เนนิ การตัดสนิ แกคําคดั คานของพวกเขาเหลาน้ัน และขาพเจาเองไดควบคุม แนวทางการโตแยงของพวกเขาแลว ในรายละเอียดตามท่ีทานไดก ลา วมาแลวนั้น ถอื ไดว าไมม ีขอ แม ใด ๆ สาํ หรับความคลางแคลงอีกตอไป และไมมีประเด็นท่ียังความสงสัยในส่ิงน้ัน ๆ อีกแลว ซ่ึงส่ิง นั้น ๆ ขาพเจาตอ งขอยอมรับ 2. อยางไรก็ดี ขอทานไดเสนอรายละเอียดตาง ๆ ท่ีทานถือวาเปนหลักฐานท่ีชัดเจนในเรื่อง นน้ั ๆ ลงในจดหมายของทานดวยเถดิ วสั ลาม (ซ)

อลั -มุรอญิอะฮฺ 90 17 รอบีอลุ เอาวัล 1330 • ตําแหนง แมท ัพของทา นอสุ ามะฮฺ ถาหากทานยอมรับตอสัจธรรมแลวละก็ ทานอยาไดหว่ันกลัวการตําหนิติเตียนของ ประชาชนในเรื่องน้ี ดังนั้นทานจึงตองเปนผูท่ีอยูเหนือความหวาดกลัว และทานจําเปนท่ีจะตองทํา ตัวใหพ น จากสภาพของผทู ่เี อาสจั ธรรมไปรวมกับสิ่งผิด และจงยกระดับจิตใจใหพนจากภาวะของผู ที่กลบเกลื่อนความจริง เม่ือเปนฉะน้ีแลว แนนอนท่ีสุดชีวิตจิตใจของทานก็จะมีคุณธรรมและ สะอาด อัลลอฮฺไดทรงสงเสริมเกียรติคุณใหแกทานแลว ตามที่ทานไดสั่งใหขาพเจาหยิบยก หลกั ฐานรายละเอียดตา ง ๆ ซึง่ เปนทย่ี อมรับตามทศั นะของนกั ปราชญตา ง ๆ เสนอใหแ กท าน ฉะนนั้ ขาพเจาจึงนํารายละเอียดของเร่ือง กองทหารที่นําทัพโดยทานอุสามะฮฺ บิน ซัยด บิน ฮาริษะฮฺ ซึ่ง ทานศาสนทูตไดแตงตั้งใหเปนผูนําทัพไปทําสงครามท่ีเมืองโรมัน ซึ่งการทําสงครามคร้ังน้ีนับวา เปนการทําสงครามคร้ังสุดทาย ในสมัยที่ทานนบี (ศ) มีชีวิตอยูและเปนสงครามที่ทานศาสนทูตได ใหค วามสาํ คญั เปน อยา งยงิ่ ทานศาสนทูตไดออกคําส่ังใหบรรดาสาวกของทาน ระดมกําลังกันเพื่อออกไปสูสมรภูมิ คราวน้ัน กลาวคือทานเปนผูดําเนินการจัดทัพทหารดวยตัวของทานเอง ท้ังนี้เพื่อเปนขวัญและ กาํ ลังใจอันแข็งแกรงแกบ รรดาทหาร ฉะนั้นบรรดาชาว “มุฮาญิรีน” และชาว “อันศอร” ทุกคนตางก็ ถูกระดมกําลังใหเปนทหารในกองทัพครั้งน้ีจนไมมีเหลือแมแตคนเดียว ไมวาทานอาบูบักรฺ ทาน อมุ ัร (420) ทานอุบยั ดะฮฺ ทานสะอัดตลอดจนถงึ บคุ คลอ่ืน ๆ(421) เหตุการณครั้งนี้เกิดข้ึนปลายเดือน ศอฟร ของป ฮ.ศ. 11 คร้ันเมื่อทานศาสนทูตได ดําเนินการจดั ทพั จนเปน ท่เี รยี บรอยแลว ทานก็ไดเรียกทา นอุสามะมาหาแลวไดกลาวขนึ้ วา “เจาจงนําทัพไปยังสมรภูมิท่ีบิดาของเจาถูกสังหารเถิด แลวจงสูรบกับพวกเหลาน้ันดวย กองทหารมา แนนอนย่ิงฉันแตงต้ังใหเจาเปนผูบัญชาการกองทัพทหารคร้ังน้ี ดังนั้นจงนํากองทหาร ทั้งหมดออกไปทําสงครามาในตอนเชาตรู(422) และจงทําลายลางพวกเขาเหลานั้นเสีย และจงนําทัพ ออกไปใหเร็วท่ีสุดกอนที่ขาวจะแพรไปถึงฝายศัตรู แนนอนอัลลอฮฺจะทรงชวยเหลือใหมีชัยชนะ

เหนือพวกเขาเหลาน้ัน ดังนั้นขอใหเจาไดพิชิตพวกเขาดวยเวลาระยะส้ัน และจงนําชัยชนะ คนื กลับมาเพื่อเปน หลกั ฐานพรอมกบั ตวั ของเจา ” ครั้นเมื่อถึงวันที่ 28 เดือนศอฟร ทานศาสนทูต (ศ) ก็เร่ิมปวยจนอาการของทานตองทรุด หนักลง ฉะน้ันในเชาของวันท่ี 29 ทานศาสนทูตจึงไดออกไปพบกับบรรดาสาวกดวยอาการปวย หนัก แตทานก็ยังไดมีคําส่ังจัดเตรียมยุทธวิธีตาง ๆ ใหแกกองทหาร และทานศาสนทูต (ศ) ก็ยังได มอบธงชัยใหแกอุสามะฮฺ ดวยมือของทานเองเพ่ือเปนการกระตุนขวัญและกําลังใจอันย่ิงใหญใหแก กองทัพหลังจากน้ันทานไดใ หโอวาทวา (420) นักประวัติศาสตรตางไดบันทึกรวมกันเปนเอกฉันทวาทานอาบูบักรฺและทานอุมัรก็ ไดถูกเกณฑใหเปนทหารในการทําสงครามคร้ังน้ี และน้ีคือเร่ืองที่นักปราชญทุกฝายไม ขัดแยงกัน ขอใหทานพิจารณาดูในหนังสือตาง ๆ ท่ีไดกลาวถึงเหตุการณสงครามคร้ังน้ี เชน “ฏอบากอต” ของทาน อิบนุ สะอัด และ “ตารีค” ของทาน “ฏ็อบรีย” , อิบนุ อัล-อะษีร และอืน่ ๆ (421) ทา นอมุ ัรเคยไดก ลา วแกท านอสุ ามะฮวฺ า “ทา นศาสนทตู ไดเ สยี ชีวิตในขณะท่ีทานเปน ผบู ัญชาการของฉนั ” ตามทีม่ รี ะบอุ ยใู นหนงั สือของนักปราชญต า ง ๆ (422) สมรภูมิแหงน้ีอยูในดินแดนของซีเรีย ท่ีซึ่งเปนสถานท่ีแหงการชะฮีดของทานซัยด บิน ฮาริษะฮฺ และทานญะอุฟร บนิ อาบีฏอลบิ “เจาจงออกไปทําสงครามดวยพระนามของอัลลอฮฺและในวิถีทางของอลั ลอฮฺเถดิ และเจาจง ทาํ หนาทเ่ี ปนผพู ฆิ าตตอ ผูทีท่ รยศตอ อลั ลอฮฺ” ดังนัน้ ทานอสุ ามะฮฺจงึ ไดนาํ กองทพั ออกไปพรอ มกบั มอบธงใหแกบ ุรัยดะฮฺและทา นกไ็ ดน าํ กองทหารท้ังหมดออกไปอยางรวดเร็ว จนไมเหลือแมแตนอย โดยท่ีทานมีความสํานึกและ รับผิดชอบในคําสั่งท่ีระบุไวเปนขอกําหนดที่จําเปนตามคําสั่งของทานศาสนทูต (ศ) ที่วา “ใหนํา กองทหารออกไปทําสงครามต้ังแตเชาตรูอยางรวดเร็ว” และคําส่ังอีกตอนหนึ่งที่วา “จงนําทัพ ออกไปใหเร็วที่สุด กอนท่ีขาวจะแพรไปถึงฝายศัตรู” ตลอดจนถึงคําส่ังอื่น ๆ ของทานศาสนทูตอีก เปน จาํ นวนมากทเี่ กีย่ วกับการทําสงครามในคร้ังน้ี แตทวากลุมทหารจํานวนไมนอยกลับฝาฝนมิไดกระทําตามคําส่ังน้ัน ๆ ทหารกลุมหน่ึงใน กองทัพไดลบหลูการบัญชาการของทานอุสามะฮฺเสมือนดังเชนที่พวกเขาเคยไดลบหลูคําบัญชาการ ของทานซัยดในคราวกอน ทหารเหลาน้ันไดกลาวตําหนิติเตียนเร่ืองนี้กันเปนจํานวนมาก ท้ังท่ีพวก

เขาเหลานั้นก็ไดประจักษกันดีอยูแลววา ทานนบีไดแตงตั้งใหทานอุสามะฮฺทําหนาที่เปน ผูบังคับบัญชาในคร้ังน้ี ดังท่ีทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาวในวันกอนวา “แนนอนยิ่งฉันแตงต้ังใหเจา เปนผูบัญชาการกองทัพทหารครั้งน้ี” และทั้ง ๆ ท่ีบุคคลเหลาน้ันก็ไดเห็นมาในวันกอนแลววา ทานศาสนทูตไดมอบธงชยั ใหแกทานอุสามะฮฺดวยมือของทานเอง แตถึงกระน้ันกลุมทหารดังกลาว ก็ยงั ไมง ดเวน จากการลบหลูดูหม่นิ คําบัญชาการของทานอุสามะฮฺ จนกระท่ังทานศาสนทูต (อัลลอฮฺ ทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) โกรธ พฤติกรรมของพวกเขาเหลา นนั้ ดว ยความโกรธทร่ี นุ แรง เหตุการณน ้เี กดิ ขน้ึ เม่อื วันเสารที่ 10 ของเดือนรอบอี ลุ เอาวัลกอนวาระแหงการวายชนมของ ทานเพยี งสองวนั ทานไดข นึ้ บน “มมิ บัร” แลว กลา วสรรเสรญิ ตอ อลั ลอฮแฺ ละสดดุ ีตอพระองค ตามท่ี บรรดานักประวัติศาสตรและนักปราชญทั้งหลายไดบันทึกตรงกันวา ทานศาสนทูตไดกลาววา “โอ ประชาชนท้ังหลายเอย ไดมีคํากลาวบางส่ิงบางอยางของพวกทานมายังฉันในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับอุสา มะฮฺ ผบู งั คบั บัญชาทฉี่ ันแตงตง้ั แนนอนทส่ี ดุ ถา หากพวกทานทั้งหลายไดลบหลูอุสามะฮฺ ในฐานะท่ี เปนผูบังคับบัญชาแลวละก็ มันเหมือนกับการที่พวกทานท้ังหลายเคยลบหลูการบังคับบัญชาของ บิดาอุสามะฮฺมากอน ดวยพระนามของอัลลอฮฺ แทจริงอุสามะฮฺ เปนผูที่อยูในฐานะของ ผูบังคับบัญชา ซ่ึงเขาไดดําเนินการนํากองทัพออกสูสมรภูมิ แตแลวพวกเขาทั้งหลายก็ไดละเมิด คําสั่งของเขา อกี ท้งั พวกเขายังไดอ อกไปในสมรภูมดิ วยการฝาฝน ” ตอมาหลังจากน้ันอาการปวยของทานศาสนทูตก็ทรุดหนักแตทานก็ยังกลาวอีกวา ใหกอง ทหารของอุสามะฮฺผนึกกําลังแลวบุกเขาไปเผชิญตอขาศึก ทานไดย้ําอยูอยางน้ัน แตทวาพวกเขา เหลานั้นก็ยังขัดขืน จนเม่ือถึงวันจันทร็ท่ี 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ทานอุสามะฮฺก็ไดมาจากกองทัพ เพื่อพบกับทานนบี (ศ) แตทานนบีก็ยังสั่งใหอุสามะฮฺออกไปทําการสูรบอีก โดยที่ทานไดกลาววา “เจาจงรีบไปหาความจําเริญของอัลลอฮฺผูทรงสูงสุด” ดังนั้นทานอุสามะฮฺจึงไดอําลาจากทานนบี แลว ออกไปยังกองทัพ หลังจากนั้นอุสามะฮฺก็ไดยอนกลับมาพรอมกับทานอุมัร และอาบูอุบัยดะฮฺ คนทั้งหมดได รีบรุดมายังทาน แตขณะนั้นปรากฏวาทานศาสนทูตไดถึงแกการวายชนมเสียแลวในวันนั้นเอง ดังน้ันกองทหารจึงไดยอนกลับมายังเมืองมะดีนะฮฺพรอมกับธงชัย หลังจากน้ันพวกเขาก็ไดกระทํา การใหสัตยาบันแกทานอาบูบักรฺในคราวน้ัน โดยที่พวกเขาไดดําเนินการใหทานอาบูบักรฺบรรลุถึง จุดประสงคท้ัง ๆ ท่ีพวกเขาเหลานั้นก็ไดประจักษแกสายตาดีอยูแลว ถึงส่ิงที่ทานนบี (ศ) ถือเปน

ความสําคัญในการจัดกองทัพไปสูสมรภูมิ ซึ่งความปรารถนาของทานนั้นคือดําเนินการทางยุทธวิธี ใหรวดเร็วทส่ี ดุ กอ นที่ขาวจะแพรไปถึงศัตรูอีกทั้งศาสนทูตยังไดทุมเทความพยายามทุกประการใน การจัดเตรียมกองกําลังทหารในครั้งน้ัน ตลอดจนถึงการแตงตั้งใหทานอุสามะฮฺ เปนผูบัญชาการ และไดมอบธงชัยใหแกทานอุสามะฮฺดวยมือของทานเอง พรอมกับกลาววา “ใหรีบรุดไปสูความ จาํ เรญิ ของอัลลอฮผฺ ทู รงสูงสุด” ดังเชนท่ีทานก็ทราบดีอยูแลว ถึงแมวาบรรดาสาวกไดลงมติกันที่จะ ทําการเปลี่ยนแปลงตัวของแมทัพ แตทวาทานศาสนทูตก็ยังคงยืนกรานใหทานอุสามะฮฺเปนแมทัพ ของพวกเขา แตคร้ังตอมาทานอุมัร บิน ค็อฏฏ็อบก็ไดมาหาทานอาบูบักรฺเพื่อขอรองใหถอดทาน อุสามะฮฺออกไปเสยี จากตาํ แหนง แสดงใหเห็นวาพวกเขาเหลาน้ันมิไดแยแสตอความโกรธของทานนบีเกี่ยวกับกรณีท่ีพวก เขาลบหลูการบังคับบัญชาของทานอุสามะฮฺ และพวกเขาเหลานั้นก็มิไดคํานึงถึงความลําบากของ ทานศาสนทตู ที่ตอ งอุตสาหอ อกจากบานของทานมาเพราะเหตนุ นั้ ทั้ง ๆ ทีท่ านนอนปวยอยู พวกเขา มไิ ดแยแสในการเดนิ ทีล่ ําบากของทา น ซึ่งเทาของทานแทบจะไมมีกําลังขยับเขย้ือน แตทานก็ยังขึ้น “มิมบัร” ดวยการฝนกําลังกาย แลวกลาววา “โอประชาชนทั้งหลาย มีคํากลาวบางส่ิงบางอยางของ พวกทานไดมายังฉัน ในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับอุสามะฮฺผูที่ฉันแตงต้ังใหเปนแมทัพ แนนอนที่สุดถาหาก พวกทานทั้งหลายไดลบหลูอุสามะฮฺในฐานะเปนผูบังคับบัญชาแลวละก็ มันเหมือนกับการท่ีพวก ทานทั้งหลายเคยลบหลูการบังคับบัญชาของบิดาอุสามะฮฺมากอน ดวยพระนามของอัลลอฮฺ แทจริง อุสามะฮฺเปนผูท่ีเหมาะสมในตําแหนงแมทัพ” แสดงใหเห็นวาทานศาสนททูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺ ทรงประทานความจําเริญและความสันตสิ ขุ แดท า นและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดยํ้าถึงหนาท่ี ทีจ่ าํ เปนซงึ่ พวกเขาเหลา นนั้ จะตอ งยอมรบั ตอทานอุสามะฮฺ ถงึ กระนัน้ แลวก็ตาม พวกเขาก็มิสามารถที่จะยอมรับได ทั้ง ๆ ท่ีทานคอลีฟะฮฺอาบูบักรฺก็ยัง ยืนกรานไมยอมรับขอเสนอของพวกเขาที่จะใหถอดทานอุสามะฮฺออกจากตําแหนง เชนเดียวกับท่ี ปฏิเสธไมยอมรับขอเสนอของพวกเขาเหลานั้นท่ีวาใหลบลางคําสั่งแตงต้ังทานอาบูบักรฺไดกระโดด เขาไปจับเคราของทานอุมัรแลวกลาววา “ความหายนะของทานพึงมีแดมารดาของทานและความ วบิ ัติจะมแี กท า นโอบตุ รของค็อฏฏอ็ บ เพราะเหตุท่ีทา นศาสนทตู (ศ) ไดส ่ังใหถือปฏิบัติแตทานกลับ สงั่ ใหถอดถอนคําส่งั นนั้ เสยี ” อยางไรก็ดีกองทหารที่นําโดยอุสามะฮฺท่ีไดออกไปสูสมรภูมิมีจํานวนถึง 3,000 คน และ แลวทหารกลมุ ท่ที า นศาสนทูต (ศ) ไดเคยวางหลักยุทธวิธีไวให กลับผละหนีจากแมทัพท่ีบัญชาการ

อยูในกองรบเสีย ท้ัง ๆ ท่ีทานศาสนทูต (ศ) ไดเคยกลาววา “ขอใหกองทหารของอุสามะฮฺไดผนึก กาํ ลงั กนั ขออัลลอฮฺไดทรงสาปแชงผูทผี่ ลักไสจากเขา (อุสามะฮ)ฺ ” เปนอันวา ทา นไดทราบอยแู ลววา ในคร้ังแรกบรรดาทหารกลุมนั้นไดหนวงเหนี่ยวตอการที่ จะรวมเขาในกองทัพ และในคร้ังตอมาบรรดาทหารกลุมนั้นก็ผละหนีจากกองทัพอีก ท้ังน้ีก็เพราะ พวกเขาตองการจะวางแนวนโยบายหลักการปกครองของพวกเขาเอง ซ่ึงพวกเขาเองตองการยึดถือ เปนขอ ผูกมดั กนั อยู รายละเอยี ดตา ง ๆ ในเรื่องนี้สามารถที่จะพิสูจนโดยหลักฐาน เพราะถาหากไมมี เร่อื งสําคัญท่ีพวกเขามีความกังวลอยางจริงจังกันแลว พวกเขาก็จะไมมีการหนวงเหนี่ยวสําหรับการ รวมในกองทัพ และจะไมมกี ารผละหนีจากกองทัพทพ่ี วกเขาประจําการอยูน่ันก็คือวา ถาพวกเขาเขา ไปประจําการอยูท่ีกองรบในสมรภูมิกอนท่ีทานศาสนทูต (ศ) จะวายชนมแลว แนนอนท่ีสุด ตําแหนงคอลฟี ะฮฺก็จะตองพลาดไปจากพวกเขาเหลานน้ั ดวย (423) ดูตารีค ฮะละบียและดะหลานี ทานอิบนุ ญะรีร ฏ็อบรี ก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “ตา รีค” ของทา นเชนกนั ความจริงแลวทานศาสนทูต (ศ) ก็มีความประสงคที่จะพิสูจนความบริสุทธิ์ใจจากพวกเขา เหลานนั้ เพอื่ พวกเขาเหลา นั้น จะไดร ับสนองตามคาํ สง่ั ของทา นทย่ี อมรบั ตอ ทานอะมีรุลมุมินีน อาลี บิน อาบีฏอลบิ โดยหลักสนั ตวิ ิธีและจริงใจ ครั้นเมื่อพวกเขาเหลานั้นไดกลับมาก็ปรากฏวาไดมีการบิดพลิ้วสําหรับตําแหนงคอลีฟะฮฺ ครั้งนี้ ทั้ง ๆ ที่ทานศาสนทูตไดกําหนดวาเปนตําแหนงของทานอาลี แตพวกเขาก็ยังกระทําการถอด ถอนและปฏเิ สธเสียได สวนกรณีที่ทานศาสนทูตไดแตงต้ังใหทานอุสามะฮฺทําหนาท่ีเปนแมทัพควบคุมเหนือพวก เขานนั้ ปรากฏวา ขณะนน้ั ทานอุสามะฮอฺ ายุเพยี ง 17 ปซ ง่ึ เปน วัยท่ีคนท้ังหลายเห็นวายังเยาววัยอยูฝน ความรูสึกของพวกดื้อดึง ถือดีในหมูพวกเขาและเปนการลอแหลมอยางย่ิงท่ีจะพนจากภัยความ ขัดแยงของพวกอคติ ถาหากทานไดออกคําส่ังแกพวกเขาเหลาน้ันในอนาคตอยางไมตองสงสัย เพียงแตพวกเขาเหลาน้ันคลอยหลังทานศาสนทูต (ศ) ไดไมนาน พวกเขาก็กระทําการลบหลูหนาที่ บัญชาการของทานอุสามะฮฺเสียแลว และพวกเขาก็ไดทําการหนวงเหน่ียวตอการที่จะรวมทัพกับ ทาน ซงึ่ พวกเขามไิ ดเขาประจําการกองทัพ จนกระทงั่ ทา นนบี (ศ) ถึงแกการวายชนม สาํ หรับส่งิ ทพ่ี วกเขาถอื เปน ความสําคัญซ่ึงในขณะน้ันก็คือการลมลางคําสั่งแตงตั้งและถอด ถอนตําแหนงของทานอุสามะฮฺ และบุคคลจํานวนมากในหมูพวกเขาก็ไดปลีกตนออกมาเสียจาก

กองทัพดงั เชน ทานไดท ราบดอี ยูแลว หลักการท่สี ําคัญในกองทัพคร้งั นี้มีอยู 5 ประการดว ยกนั ทพ่ี วก เขาเหลาน้ันมิไดยอมจํานน ถือเปนหลักปฏิบัติ เพราะโดยเหตุวาแผนการสําหรับความตองการของ พวกเขาเหลาน้ันมีอยูในกิจการทางการเมือง ซ่ึงพวกเขามีความพยายามท่ีจะใหบรรลุความสําเร็จใน สง่ิ นนั้ ๆ ยง่ิ กวาการยอมรับในระเบียบแบบแผนของทา นศาสนทตู (ศ) วัสลาม (ช) อลั -มุรอญิอะฮฺ 91 19 รอบีอุลเอาวลั 1330 1. คําคดั คานในกรณที บ่ี รรดาสาวกมีพฤตกิ ารณตอตาํ แหนง แมท พั ของทานอุสามะฮฺ 2. ไมยอมรับฮาดีษท่ปี ระณามผขู ดั แยง กับแมทพั ผนู ั้น 1. เราขอยอมรับความจริงวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดวางแนวทางยุทธวิธีในการ ทําสงครามครั้งน้ันใหแกทานอุสามะฮฺ และทานยังไดบัญชาการพวกเขาเหลานั้นวา ใหนําทัพ ออกไปโดยเรว็ ที่สุด แตชวงน้ันเปนเวลาที่กระช้ันชิดสําหรับพวกเขา ทานจึงไดกลาวแกอุสามะฮฺใน ขณะน้ันวา “จงออกไปสูสมรภูมิในตอนเชาตรู” แลวทานยังไดกลาวอีกวา “จงนําทัพเคลื่อนไปให รวดเรว็ ทสี่ ุด” แตท วาทา นศาสนทตู (ศ) ไดม อี าการปวยขนึ้ มาเสียกอ น ฉะน้ันพวกเขาจึงเกิดมีปญหา ข้ึนเพราะความเปนหวงตอทานศาสนทูต ทั้งนี้ก็เพราะวาจิตใจของบรรดาสาวกท้ังหลายยอมไมมี ความปรารถนาทจี่ ะแยกตวั ไปจากทานในขณะท่ีทา นอยูก ับสภาพเชน น้ี ดงั นั้นพวกเขาจึงตองร้ังรอดู อาการของทานศาสนทูตซ่งึ ส่งิ เหลา นี้ นับไดวา เปนความรูสกึ ท่หี วงแหน ซึ่งเกิดขนึ้ ใจจิตใจของพวก เขา และหาไดเปนเพราะวาพวกเขามีแผนการในการร้ังรอเพื่อเปาหมายใดไม หากแตเปนเพราะ เจตนาท่ีเกิดจากความบริสุทธ์ิใจที่พวกเขามีตอสุขภาพของทานศาสนทูตเทานั้น และอีกประการ หน่ึงก็เพ่ือรวมกันจัดแตงมัยยิตของทานศาสนทูตและปรึกษาหารือเพื่อเลือกตัวบุคคลผูซึ่งทําหนาที่ ปกครองพวกเขาภายหลงั จากทานศาสนทูต จะเห็นไดวาพวกเขาเหลาน้ันมีอุปสรรคท่ีสําคัญอยางย่ิง ท่จี าํ เปนตองอยใู นฐานะของการรั้งรอครัง้ น้ี จงึ ถือไดวา ในเรอ่ื งน้ี ไมมีขอตาํ หนใิ ด ๆ แกพวกเขา

สําหรับการที่พวกเขาเหลานั้นไดกระทําการลบหลูตอตําแหนงแมทัพของทานอุสามะฮฺ กอนการวายชนมของทานศาสนทูต (ศ) ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไดตระหนักและรูเห็นเปนอยางดีถึง ความสําคัญของเร่ืองนี้ทั้งโดยการพูด และการแสดงออกของทานนบีถึงเรื่องที่เกี่ยวกับความเปน ผูบังคับบัญชาของทานอุสามะฮฺน้ัน เร่ืองนี้มิไดเปนประเด็นท่ีสําคัญมาจากพวกเขาแตประการใด นอกจากวาเปนเพียงการพูดคุยกันระหวางคนหนุมกับคนสูงอายุ ทั้งน้ีก็เพราะวาทัศนะของคนหนุม กับคนสูงอายุนน้ั มักจะไมลงรอยกันจนกอใหเกิดปญหาข้ึน ซึ่งเปนเง่ือนไขทางธรรมชาติของมนุษย ทีจ่ ะตอ งมาคลอยตามคําสั่งของคนหนุม ฉะน้ันพวกเขาจึงมีความรังเกียจตอการที่คนหนุมอยางอุสา มะฮเฺ ปนแมท พั ซ่งึ เรอ่ื งนม้ี ไิ ดเปนเคร่ืองช้ีใหเ ห็นวาพวกเขาเหลาน้ันกระทําการที่ลวงละเมิด หากแต เปน เงอื่ นไขของธรรมชาตอิ ยา งสามญั ธรรมดาสาํ หรับมนุษย จงึ ขอใหทานไดใครค รวญไวดวย พวกเขาไดเสนอใหทําการถอดถอนตําแหนงของทานอุสามะฮฺหลังจากที่ทานศาสนทูต (ศ) ไดวายชนมไปแลวนั้น เร่ืองน้ีนักปราชญบางทานไดใหความเห็นออกตัวเก่ียวกับเรื่องน้ีวา บรรดา สาวกท้ังหลายไดมีความเห็นพองตองกัน สําหรับการถอดถอนตําแหนงของทานอุสามะฮฺแลวทาน อาบูบักรฺก็ไดดําเนินการไปตามมตินัน้ เพอ่ื ความเหมาะสมกับสภาพของการปกครอง เหตผุ ลดงั กลา ว นี้ก็เปนเพยี งทศั นะของนกั ปราชญกลมุ หนึ่งเทา นัน้ แตค วามจรงิ แลวขาพเจาเองไมเหน็ ดว ยกบั ทศั นะ ดังกลาวน้ี เพราะพวกเขาไดถอดถอนตําแหนงของทานอุสามะฮฺโดยพลการ ท้ัง ๆ ที่ทานนบีเคย โกรธตอผูที่ลบหลูตําแหนงของทานอุสามะฮฺมากอน และทานศาสนทูตไดแสดงออกถึงความไม พอใจของทานในเร่ืองนี้ ทานศาสนทูตก็ไดกลาวตักเตือนพวกเขาไปแลวในคําปราศรัยของทานบน มิมบัร ซงึ่ เปนเรอ่ื งที่ประวัตศิ าสตรไดบ นั ทกึ ติดตอ กนั มาอยางละเอียด แตสําหรับความจําเปนตาง ๆ ของพวกเขาท่ีอาจเกิดขึ้นไดในภายหลังน้ัน ไมมีใครรูรายละเอียดตาง ๆ ไดนอกจากอัลลอฮฺผูทรง สงู สดุ เทานัน้ ในกรณีท่ีพวกเขาไดด ําเนินการยกเลิกการแตง ตั้งอีกทั้งมอบหมายใหทานอาบูบักรฺในเรอ่ื งนี้ พวกเขาไดดําเนินการกันไป ทั้ง ๆ ท่ีตางคนก็ตระหนักดีอยูแลววา ทานอุสามะฮฺเปนผูท่ีทานนบีได ใหความสําคัญในความสามารถของทาน และเปนผูท่ีมีบุคลิกที่สมบูรณในการปฏิบัติหนาที่ ฉะนั้น บรรดาสาวกจึงไดมีความเห็นชอบในการแตงต้ังครั้งนี้เพ่ือเปนการวางหลักประกันความปลอดภัย ใหแกรัฐอิสลามโดยจะไดพนจากเงื้อมมือของพวกมุชริกที่อยูรอบนอก ซึ่งขณะนั้นปรากฏวาพวก เขามีกําลังที่แข็งแกรงข้ึน อีกท้ังเมื่อหลังจากทานนบี (ศ) ไดวายชนมไปแลวก็ปรากฏวาพวกละเมิด ศาสนาตลอดถึงพวกยิวและคริสเตียน อีกท้ังอาหรับหลายเผาท่ีทรยศตออิสลามไดเร่ิมแสดงบทบาท

ของตนขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีมุสลิมบางกลุมท่ีละเวนไมยอมจายซะกาต ทานอาบูบักรฺยังไดกลาวแก ทานอมุ รั ในขณะที่ทา นอมุ ัรตองการถอดถอนตําแหนง ของทานอสุ ามะฮฺวา “ดวยพระนามของอัลลอ ฮฺ ถาหากมีนกบินมาโฉบเฉ่ียวฉันแลวละก็ฉันจะชอบเสียยิ่งกวาจะใหฉันริเริ่มกระทําส่ิงหน่ึงส่ิงใด กอ นคําสัง่ ของศาสนทูต (ศ)” น่ีคือรายละเอียดบางประการท่ีนักปราชญฝายเรากลาวถึงเร่ืองราวของทานอาบูบักรฺซึ่ง แสดงใหเห็นวา ทานอยูในฐานะจําเปนตองถอดถอนตําแหนงของอุสามะฮฺ ท้ังน้ีก็มิใชวาทานจะมี แผนการอื่นใดใหย่ิงไปกวา การปกปองความปลอดภยั ใหแกเ หตกุ ารณ กรณีท่ีทานอาบูบักรฺ ทานอุมัรและบุคคลอ่ืน ๆ ตองผละหนีจากกองทัพในตอนที่ทานอุสา มะฮฺเปนแมทัพนั้นก็เปนเพียงการดํารงไว ซ่ึงความแข็งแกรงของอาณาจักรอิสลามและอํานวย ประโยชนใหแกระบบการปกครองของศาสดามุฮัมมัด อีกท้ังเพ่ือไดรักษาตําแหนงคอลีฟะฮฺไวซึ่ง ศาสนาและประชาชนในยคุ นน้ั มิอาจดาํ รงอยไู ด นอกจากจะตองมีตาํ แหนงคอลฟี ะฮฺ 2. ตํารา “อัล-มะลัลฯ” ของทานชะฮฺร็อสตานียฺ ตามที่ทานอางถึงนั้นเทาที่เราพบแลวเห็นวา เปนเร่ืองที่มิไดมีสายสืบแนชัด ท้ังทานฮะละบีย และทานซัยยิด ดะหลานีก็กลาววาในเร่ืองนี้ไมมี ที่มาจากรายงานอยงเปนระบบ เพราะฉะนั้นถาหากอัลลอฮฺทรงประทานความเขาใจใหทานได รับทราบรายงานตาง ๆ ในเร่ืองนี้จากสายสืบของนักปราชญฝายซุนนะฮฺอีกละก็ ขอทานไดโปรด แสดงหลักฐานใหแ กข า พเจา วสั ลาม (ซ)

อัล-มุรอญิอะฮฺ 92 22 รอบอี ุลเอาวลั 1330 1. คาํ คัดคา นเหลานั้นไมสามารถปฏเิ สธเหตุผลท่ีเราไดก ลาวไปได 2. เราอางฮาดษี นมี้ าจากทา นชะฮรฺ ็อสตานียฺ ตามทมี่ รี ะบอุ ยใู นสายสบื ฮาดีษ 1. เปนอันวาทานยอมรับสําหรับในประเด็นท่ีบรรดาสาวกเหลาน้ันทําการร้ังรอในการรวม ประจําการในกองรบของทานอุสามะฮฺ และการที่พวกเขาเหลาน้ันหนวงเหนี่ยวในการทําสงคราม ทั้ง ๆ ท่ีพวกเขาเหลาน้ันไดถูกบัญชาใหรีบเรงอยางเฉียบขาด ขออัลลอฮฺผูทรงสูงสุดทรงไดใหการ ยอมรับดว ยเถิด นอกจากนี้ทานยังยอมรับอีกวา บรรดาสาวกเหลาน้ันไดทําการเสนอใหทานอาบูบักรฺถอด ถอนตําแหนงของทานอุสามะฮฺ ท้ัง ๆ ที่กอนหนาน้ันทานนบี (ศ) เคยโกรธผูที่ลบหลูตอตําแหนง ของอุสามะฮฺและทานศาสนทูตไดแสดงออกถึงความไมพอใจในเร่ืองนี้ เพราะเหตุท่ีบรรดาสาวก เปนผยู ึดติดอยูกับความสําคญั ของเผาพันธุ ? และทา นศาสนทูตก็ไดก ลาวตกั เตือนพวกเขาไปแลวใน คําปราศรัยของทานบนมิมบัร ซึ่งทานไดกลาว เปนเหตุการณที่ประวัติศาสตรไดบันทึกติดตอกันมา โดยแสดงใหเห็นวา ทานอสุ ามะฮเฺ ปน ผมู สี ิทธอิ ยางเต็มท่ีสําหรับตาํ แหนง แมทพั ในครั้งน้ัน ทา นยงั ยอมรับวาบรรดาสาวกเหลาน้ัน ไดย่ืนขอเสนอตอทานอาบูบักรฺเพ่ือใหจัดการยกเลิก การแตงตั้งแมทัพซ่ึงศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดเคยแตงตั้งเขาและยึดธงชัยซึ่งทานศาสนทูตได มอบแกเ ขาดวยมืออันบริสุทธิ์ของทานเอง ท้ัง ๆ ที่ตางคนก็ตระหนักดีอยูแลววา ทานอุสามะฮฺเปนผู ที่ทานนบีไดใหความสําคัญในความสามารถของทาน และเปนผูที่มีบุคลิกท่ีสมบูรณในการปฏิบัติ หนา ท่ีโดยท่มี ีหลักฐานรบั รองในเร่ืองนม้ี าอยางเปนระบบ ทา นยงั ยอมรับอกี วาบรรดาสาวกบางกลมุ ทท่ี า นศาสนทตู (ศ) ไดก ําหนดแนวทางใหยทุ ธวธิ ี นั้นผละหนีจากกองทหารโดยที่ทานศาสนทูต (ศ) ไดสั่งใหพวกเขาอยูภายใตการบังคับบัญชาของ อุสามะฮฺอยางเครงครัดเปนอันวา ทานยอมรับตอรายละเอียดทุกสิ่งทุกอยางนี้ ดังเชนที่นักวิชาการ ทงั้ หลายไดอ ธิบายไวท กุ ประการ แตท านกลาววา บรรดาสาวกเหลา นัน้ อยูในฐานะท่ีจําเปนอยา งย่ิงที่ จะตองดําเนินการเชนนัน้ เหตุผลจากการทีท่ านกลาวถึงสาํ หรับขอแมท ีส่ าํ คัญของพวกเขาเหลาน้ันก็ คือวาพวกเขาดําเนินการตาง ๆ ในกิจการเหลานี้เพื่อทะนุบํารุงศาสนาอิสลามไปตามทัศนะความ

เห็นชอบของพวกเขาเอง หาใชเปนไปเพราะยึดถือปฏิบัติตามหนาท่ีที่ทานศาสดาไดกําหนดไวไม เราไมมคี วามปรารถนาที่จะกลาวถงึ เร่อื งอื่นท่นี อกเหนือไปจากเรื่องทกี่ าํ ลงั กลา วถึงอยู สําหรับหัวขอเรื่องที่เราจะพูดกันก็คือ หัวขอท่ีวาบรรดาสาวกเหลาน้ันไดยอมรับอยาง สิ้นเชิงในทุก ๆ มาตรการจากทานนบีแลวหรือไมเทาน้ันเอง ? ซึ่งทานไดเลือกเอาอยางแรกแตเรา เลือกเอาอยางหลัง มาบัดน้ีทานก็ไดยอมรับแลววาบรรดาสาวกเหลาน้ันมิไดยอมจํานนตอคําสั่งตาง ๆ เหลาน้ีของทานนบี ซ่ึงตรงกับสิ่งที่เราไดยืนยันไวกอน สวนเหตุผลของพวกเขาท่ีวา พวกเขาจะมี ความจําเปน มอี ปุ สรรคและมเี หตผุ ลเฉพาะตวั อยางไรหรอื ไมน้ัน เปนประเด็นที่อยูนอกเหนือหัวขอ เร่ืองที่เราจะพูดคุยกันในข้นั น้ี แตในเม่ือทา นไดย อมรบั วาบรรดาสาวกมีปฏกิ ิรยิ าและเหตุการณตาง ๆ ในกองทัพของทาน อุสามะฮฺจริง ซ่ึงเหตุการณน้ัน ๆ พวกเขาไดดําเนินไปเพื่อทะนุบํารุงสภาพของอิสลาม โดยใช นโยบายตามความเห็นของพวกเขาใหอยูเหนือหลักการยอมรับยอมจํานนตอคําสั่งตาง ๆ ท่ีเปน ขอกําหนดของทานนบีแลว ทําไมทานจึงมิไดกลาวดวยวา การที่บรรดาสาวกไดดําเนินกิจการใน เรื่องของตําแหนงคอลีฟะฮฺภายหลังจากทานนบี (ศ) นั้นก็เปนการกระทํา เพ่ือทะนุบํารุงสภาพของ อิสลาม โดยใชนโยบายตามความเห็นของพวกเขาที่อยูเหนือหลักการ ยอมรับยอมจํานนตอคําส่ังท่ี ตําบลเฆาะดีรคุมใหเ หมือนกนั ไปดว ยเลา ทา นไดอ อกตวั ใหความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการท่ีพวกเขาลบหลูตําแหนงการบังคับบัญชา ของทานอุสามะฮฺวาการที่พวกเขาเปนเชนน้ันก็เพราะเพียงแตพวกเขาลบหลูตอตําแหนงแมทัพของ ทา นอุสามะฮฺ โดยการพูดคุยกันในหมูพวกเขาเองระหวางคนหนุมกับคนสูงอายุ ซ่ึงทานไดกลาวอีก วา ทัศนะของคนหนุมกับคนสูงอายุนั้นมักจะไมลงรอยกัน จนกอใหเกิดปญหาขึ้นไดเสมอ แลว ทําไมเลาทานจึงไมนําเหตุผลเหลาน้ีมาพูดในประเด็นที่พวกเขาไมยอมรับตอคําส่ังท่ีตําบลเฆาะดีร คมุ ดว ยวา พวกเขาจําเปนท่จี ะตอ งถอดถอนตําแหนง หวั หนา ของทานอาลเี สยี เพราะทานอาลีเปนคน หนุมไมสามารถท่ีจะทําหนาท่ีบังคับบัญชาผูสูงอายุได เพราะพวกเขาก็ไดพูดกันถึงเร่ืองอายุของ ทา นอาลใี นวนั ที่ทา นศาสนทูต (ศ) ถึงแกการวายชนม ทาํ นองเดียวกนั กบั ท่ีพวกเขาเหลาน้ันพดู ถงึ เรอ่ื งอายขุ องทา นอุสามะฮใฺ นวนั ท่ีทา นศาสนทูต (ศ) แตงตั้งใหเปนแมทัพเพ่ือบังคับบัญชาพวกเขาในการทําสงครามครั้งนั้น และท้ังสองประการ ระหวางตําแหนงคอลีฟะฮฺและตําแหนงแมทัพน้ีก็มีลักษณะที่ไมแตกตางกัน ฉะน้ันทําไมทานจึง กลาววาพวกเขาใชทัศนะของตนฝาฝนคําสั่งของทานศาสนทูตในเร่ืองการทําสงครามอยางเดียว ทั้ง

ๆ ที่เร่ืองแรกที่พวกเขาฝาฝนนั้นเปนประเด็นท่ีทานควรจะกลาวถึงอยางยิ่ง เพราะเปนเงื่อนไขท่ี สําคญั สําหรับชีวติ ของทา นศาสนทตู ท้ังในกิจการทงั้ หมดของโลกน้ีและปรโลก ตามเหตุผลท่ีทานไดกลาวมาแลวน้ัน ชี้ใหเห็นวาความรูสึกของคนสูงอายุและคนหนุมนั้น ไมลงรอยกนั โดยธรรมชาติ ถาหากจดุ มงุ หมายของทานที่อางข้ึนมาน้ีเพื่อเปนเหตุผลท่ีจะเปนขออาง สําหรับการยกเลิกขอกําหนดดังกลาวแลว ขอใหทานไดพิจารณาดูวาโดยธรรมชาติของผูศรัทธา ทั้งหลาย ถึงแมเขาจะเปนผูท่ีสูงอายุก็ตาม แตถาหากเขาเปนผูที่มีความสมบูรณพรอมในอิสลาม (ความศรัทธา) ของพวกเขาแลว เขาก็จะไมปลีกตัวออกจากการเช่ือฟงปฏิบัติตามอัลลอฮฺและศาสน ทูตของพระองค ท้งั น้กี เ็ พราะมีโองการจากอลั -กรุ อาน “และส่ิงใดกต็ ามที่ศาสนทูตไดนํามาส่ังสอนแดสูเจา ดังนั้นสูเจาจงรับเอามันมาปฏิบัติ และ ส่ิงใดทีศ่ าสนทตู ไดห า มสเู จา ดงั นั้นสูเจา กจ็ งละเวน ” (59 : 7) 2. ในประเด็นที่เก่ียวกับเรื่องของผูที่ผละหนีจากกองทัพที่นําโดยทานอุสามะฮฺตามท่ีทาน ชะฮรอสตานีไดบันทึกไวน้ัน ความจริงแลวเร่ืองน้ีมีที่มาจากฮาดีษซึ่งมีสายสืบอยางเปนระบบซึ่ง ขาพเจาจะเสนอตัวบทที่ชัดเจนของฮาดีษนี้ใหแกทานดังตอไปนี้ ทานอาบูบักรฺ อะหฺมัด บิน อับ ดลุ อะซีซ อัล-เญาะฮะรยี  ไดบ ันทกึ ไวในหนงั สือ “สะกีฟะฮ”ฺ วา “ทานฮัมด บิน อิสหาก บิน ศอลิหไดเลาแกขาพเจาถึงเรื่องท่ีไดรับฟงมาจากทาน อะหฺมัด บิน ยะสารจากทานสะอดี บนิ กะษีร อันศอรี จากทานอับดลุ ลอฮฺ บิน อับดุรเราะหมานวา “ในขณะที่ ทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮฺ (ศ) กาํ ลังนอนปวยอยนู ้นั ทานไดออกคาํ สั่งใหท านอุสามะฮฺ บิน ซัยด บิน ฮาริษะฮฺ จัดกองทหารข้ึนมากองหน่ึงซ่ึงประกอบดวยชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอร เชน ทานอาบู บักรฺ ทานอุมัร ทานอาบูอุบัยดะฮฺ บิน ญิรอห ทานอับดุลเราะหมาน บินเอาวฟ ทานฏ็อรฮะฮฺและ ทา นซุบยั รเฺ พื่อใหออกไปทําสงครามในอาณาจกั รโรมัน ทง้ั น้กี เ็ พื่อท่ีจะไดเปน การแกแ คนในฐานะที่ ทานซัยด บิดาของทานอุสามะฮฺไดถูกสังหารเมื่อตอนท่ีไปทําสงคราม ณ สมรภูมิไบแซนดิน แต ทานอุสามะฮฺและกลุมทหารยังรั้งรออยู จนทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ตองย้ําอยางหนักแนนวา ใหดําเนินการไปตามคําส่ังคร้ังน้ี ท้ัง ๆ ที่ทานนอนปวยอยู ในขณะน้ันทานอุสามะฮฺไดกลาวแก ทานศาสนทตู วา “โอทานผูอยูในฐานะบิดาและมารดาของขาพเจา ทานจะอนุญาตใหฉันไดอยูที่นี้ไปอีกสัก ระยะหน่งึ จนกวาอัลลอฮฺ ผทู รงสูงสดุ จะบันดาลใหท านไดหายปวยเสยี กอนมิไดห รือ ?”

ทานศาสนทูตไดกลาวอีกวา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ถาขาพเจาจะออกไปในขณะที่ ทานอยูในสภาพเชนน้ีก็เทากับขาพเจาออกจากทานไป ทั้ง ๆ ท่ีในหัวใจของขาพเจามีความเจ็บปวด อย”ู ทา นศาสนทตู ไดก ลา ววา “เจาจงยินดีกับการอนเุ คราะหแ ละความโปรดปรานของอลั ลอฮฺ ทานอุสามะฮฺไดกลาวอีกวา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ขาพเจาไมสบายใจท่ีตองนํา บรรดาสาวกออกไปจากทา น” ทานศาสนทูตไดกลาวอีกวา “เจาจงดําเนินการไปตามท่ีฉันไดออกคําสั่งแกเจาเถิด” หลังจากน้นั ทา นศาสนทตู แหงอลั ลอฮฺ (ศ) กเ็ ปนลมสลบไป และทานอุสามะฮฺ ก็ไดดําเนินการจัดเตรียมกองทัพเพ่ือออกไปทําสงครามคร้ันเมื่อทานศา สนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดฟนข้ึนมาแลว ทานก็ไดถามถึงทานอุสามะฮฺและถามถึงเรื่องการจัด กองทัพเพ่ือไปทําสงครามซึ่งทานไดรับคําตอบวา พวกเขาเหลาน้ันไดจัดเตรียมกองทัพกันแลว ดงั น้นั ทา นจงึ ไดกลาวขึ้นวา “พวกเจาทั้งหลายจงระดมกําลังกันเขาประจําการในกองทัพของอุสามะฮฺเถิด ขออัลลอฮฺได ทรงสาปแชงตอผทู ีผ่ ละหนจี ากเขา” ทานไดยาํ้ อยูเชน นี้ ครั้นแลวก็ปรากฏวาทานอุสามะฮฺก็ไดนํากองทหารออกไปพรอมกับถือธงชัยอยูทามกลาง ของกลุมบรรดาสาวก จนกระทั่งวาทุกคนไดรวมเขาประจําการในกองทัพ เชน ทานอาบูบักรฺ ทาน อุมัร และบรรดาชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรอีกเปนจํานวนมากเชน ทานอะสีด บิน ฮะฎีร ทานบะ ชีร บิน สะอดั และบุคคลระดับแนวหนา อกี จาํ นวนหนงึ่ ครัน้ แลวทตู ท่ีอมุ มอุ ยั มันสงไปยังกองทหาร ก็ไดไปถงึ แลว แจง ขาววา ทานศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดว ายชนมเสยี แลว ดงั น้ันอสุ ามะฮฺก็ไดกลบั เขา สเู มอื งมาดนี ะฮฺ โดยที่ทา นไดมงุ มาทางประตูบา นของทานศาสนทตู แหง อัลลอฮฺ ซึ่งในขณะนั้นก็ ปรากฏวา ทานศาสนทูตแหงอลั ลอฮฺไดว ายชนมไปแลว ” ตัวบทจากประโยคฮาดีษดังกลาวนี้ บรรดานักประวัติศาสตรกลุมหน่ึงยังไดนํามาบันทึกไว ในหนงั สือตาง ๆ อีกดวย เชน ทานอัลลามาฮฺ มุอฺตะซิลียไดบันทึกไวในตอนทายของหนาที่ 20 และ หนาถัดไปของหนงั สอื “นะฮฺุลบะลาเฆาะฮ”ฺ ภาคท่ี 2 วัสลาม (ช)

อัล-มรุ อญอิ ะฮฺ 93 23 รอบีอลุ เอาวลั 1330 • ขอพสิ ูจนห ลกั ฐานอื่น ๆ อกี เราตางก็ใชเวลากันมาอยางยืดยาว ในการพูดคุยกันถึงเรื่องราวท่ีเก่ียวกับ “ตําแหนงแมทัพ ของทานอุสามะฮ”ฺ ทาํ นองเดยี วกนั กบั ท่ีเราไดใชเ วลากันอยางยืดยาวในการพูดคุยถึงเร่ือง “ความอัป โชคแหงวันพฤหัส” จนบดั น้รี ายละเอียดตา ง ๆ ไดกระจา งขึน้ และชดั เจนสวา งไสวแกสายตาสําหรับ ท้ังสองประเด็น บัดนี้ขอเราไดมาพิจารณากันถึงรายละเอียดจากประเด็นอื่นที่นอกเหนือจากนี้ได แลว วสั ลาม (ช) อลั -มุรอญอิ ะฮฺ 94 25 รอบอี ุลเอาวัล 1330 • ทานศาสนทูต (ศ) สง่ั ใหสังหารคนทรยศ ขอใหท านไดพิจารณากบั รายละเอยี ดของอีกเรือ่ งหน่งึ ตามทบ่ี รรดานกั ปราชญผ ทู รงคณุ วฒุ ิ จํานวนหนึ่งไดบันทึกไวเถิด นั่นคือ ตามท่ีทานอิมามอะหฺมัด บิน ฮันบัล ไดบันทึกไวในหนังสือ “มุ สนัด” ภาคที่ 3 หนา 15 ซงึ่ เปน ฮาดีษทีร่ ายงานโดยทา นอาบสู ะอีด อัล-คดุ รียว า ครั้งหน่ึงทานอาบูบักรไดเขาไปหาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความ จําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบันดาลูกหลานของทาน) แลวกลาววา “โอทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ แทจริงขาพเจาเคยผานสนามรบมาแลวหลายแหง” ทันใดนั้นไดมีชายคนหนึ่งซ่ึงมี ลักษณะเปนคนนอบนอมและมีบุคลิกดีมากยืนนมาซอยู ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง

ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวแกทาน อาบูบกั รวฺ า “จงไปฆา ชายคนน้นั ซิ” ดังนั้นทา นอาบูบักรฺจงึ ไดไ ปยังชายคนนัน้ แตแ ลว ทานก็เห็นวาชายคนนั้นกําลังยืนนมาซอยู ทานจึงไมอยากท่ีจะฆาเขา ดังนั้นทานจึงยอนกลับไปหาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) แลวกลาววา “โอ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ฉันเห็นวาเขากําลังนมาซอยู ในลักษณะของผูที่มีความสํารวมตนอยางยิ่ง ฉันรูสึกไมพอใจที่จะไปฆาเขา” “ดังนั้นทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สขุ แดท านและแดบ รรดาลูกหลานของทาน) จงึ ไดก ลาวแกทานอุมรั วา “เจาจงไปฆาเขาซ”ิ ดังน้ันทานอุมัรก็ไดออกไป แตแลวทานก็ไดเห็นชายผูน้ัน กําลังอยูในลักษณะเดียวกับที่ ทานอาบูบักรฺไดเห็นในตอนแรก ทานอุมัรจึงบอกแกตัวเองวา “ไมพอใจที่จะฆาเขา” แลวทานก็ กลับไปพลางกลาวแกทานนบีวา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ แทจริงฉันเห็นชายผูนั้นกําลังนมาซ อยู ในลกั ษณะของผูท่สี ํารวมตนอยางยิ่ง ดงั น้ันฉันรสู กึ ไมพ อใจในการทจ่ี ะฆาเขา” ทา นศาสนทูตจึง ไดกลา วอีกวา “โออาลีเอย เจา จงไปฆาเขาซ”ิ ดังนั้นทานอาลีจึงไดตรงไป แตแลวทานก็มิไดเห็นเขาคนน้ันอีก ฉะน้ันทานอาลีจึงได ยอ นกลับมาหาทา นนบแี ลว กลา ววา “โอทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮฺแทจ ริงฉนั มไิ ดเ ห็นเขาเลย” ดังน้ันทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลกู หลานของทา น) ไดกลาววา “แทจ ริงชายคนนแ้ี ละบรรดาพรรคพวกของเขาตางก็อาน อัล-กุรอาน แตอัล-กุรอานก็ไมอํานวยคุณคาใด ๆ ใหแกความกลับกลอกของพวกเขา พวกเขาพุงออกไปจาก ศาสนาเสมือนดังเชนที่ดอกธนูไดพุงออกไปจากคันธนู แลวมันก็ไมคืนกลับมาอีก ดังน้ันพวกเจาจง ฆา พวกเหลาน้ันเสยี เถิดเพราะคนเหลานน้ั คือคนช่วั ทีช่ ัดแจง” ทานอะบู ยะอลา ก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “มุสนัด” เชนเดียวกับที่ทานอิบนุ ฮะญัรได บนั ทึกไวในหนังสือ “อิศอบะฮฺ” ซึ่งเปนรายงานฮาดีษที่ทานอานัสไดเลาวา “ในสมัยของทานศาสน ทูตแหงอัลลอฮฺนั้น มีชายคนหนึ่งซ่ึงพวกเราประทับใจในการอิบาดะฮฺ (เคารพภักดี) ของเขา และ ความวิริยะอุตสาหะของเขาเปนอยางย่ิง แลวพวกเราก็ไดกลาวถึงเร่ืองน้ีแกทานศาสนทูตแหงอัลลอ ฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันตสิ ุขแดทานและแดบ รรดาลูกหลานของทาน) โดย ที่ไมมีใครรูจักช่ือและคุณสมบัติของเขาเลย ในระหวางท่ีเรากําลังกลาวถึงเขาอยูน้ัน ชายผูน้ันก็ได ปรากฏตวั ขึน้ แลวพวกเราไดกลาวกนั วา “ชายคนนี้แหละ”

ทานศาสนทูตไดกลาววา “แทจ ริงพวกเจา ทง้ั หลายกาํ ลงั บอกใหฉ ันรูจกั ชายผูซ งึ่ มีรอยสีดําที่ ผนกึ มาจากชยั ฏอนในใบหนาของเขา” คร้ันแลวชายผูนั้นก็ไดมุงหนาเขามายืนตอหนาพวกเขาทั้งหลาย โดยที่มิไดกลาวสลามแลว ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวแกเขาวา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ ทานไดกลาวอะไรบางหรือ ในขณะท่ีทานไดมายืนในท่ีชุมชนแหงน้ี ซ่ึงในจํานวนคนกลุมนี้ ไมมีใครเลยแมแตคนเดียวที่ ประเสริฐยิ่งไปกวาฉนั ?” ชายผูน ั้นกลา ววา “โออัลลอฮฺ ขา ขอยอมรับวาเปนความจริง” และแลวชาย ผนู น้ั กไ็ ดท าํ การนมาซ ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบ รรดาลกู หลานของทาน) ไดกลา วข้นึ วา “มใี ครบางท่ีสามารถฆาชายคนน้ีได ?” “ทานอาบูบักรฺไดกลาวข้ึนวา “ขาพเจาเอง” แลวอาบูบักรฺก็ไดเขาไปยังชายคนนั้น แตก็ พบวาเขาไดนมาซอยู ทานจึงไดกลาววา “มหาบริสุทธ์ิย่ิงแดอัลลอฮฺ ฉันจะฆาคนที่กําลังนมาซได กระน้ันหรือ” วาแลวทานก็ออกไปเสีย ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวแกทานอาบูบักรฺวา “เจาไมไดทําดอกหรือ ?” อาบูบักรฺตอบวา “ฉันไมพอใจที่ฆาคนท่ีกําลังนมาซ และทานเองก็เคยสั่ง วา หามมิใหฆ า คนทกี่ ําลังนมาซ” ทานศาสนทูตไดก ลา วอีกวา “มีใครบา งท่ีสามารถฆาชายคนน้ไี ด ?” ทานอุมัรไดกลาวขึ้นวา “ขาพเจาเอง” แลวทานอมุ ัรก็ไดเขาไปยงั ชายคนนั้น แตกพ็ บวาเขาไดสุ ดู อยู ทา นอุมัรจึงไดกลาววา “ทานอาบูบักรฺมีความประเสริฐกวาฉัน” แลวทานก็ไดออกไปเสีย ทานนบี (ศ) ไดกลาวแกทานอุมัร วา “เปนเรื่องที่สําคัญนักหรือ ?” ทานอุมัรไดกลาววา “ฉันไดเขาไปพบเขาในขณะท่ีเขากําลังกม สุูดตออัลลอฮฺ ฉนั ไมพ อใจท่ีจะฆา เขา” ทา นศาสนทตู จึงไดก ลา วอกี วา “มใี ครทสี่ ามารถฆาชายคนน้ีไดบาง ?” ทานอาลีไดกลาวข้ึน วา “ขาพเจาเอง” ทานศาสนทูตจึงไดกลาววา “เจายอมไดฆาเขาแน” และแลวทานอาลีก็ไดเขาไปหา ชายผูนั้น แตก็พบวาชายผูนั้นไดออกไปเสียแลว ดังนั้นทานอาลีจึงกลับไปหาทานศาสนทูต แหง อัลลอฮฺ (ศ) แลวทา นศาสนทูตไดกลาววา “ฉนั ไดเ ขา ไปถงึ ก็พบวา ชายผูน้ันไดออกไปเสียแลว” ทา นศาสนทูตไดก ลาววา “ถาแมนวา ชายผูนัน้ ถกู ฆา เสีย ประชาชาติของฉนั ก็จะไมขัดแยง กัน” ฮาดีษนี้ทานฮาฟซ มุฮัมมัด บิน มูซา ชัยรอซีไดบันทึกไวในหนังสือของทานเลมหนึ่งซ่ึงได อางอิงมาจากคําบอกเลาของทานยะอกูบ บิน สุฟยาน มะกอติล บิน สุลัยมาน, ยูสุฟ กิฏอน, กอลิบ

บิน สลาม, มะกอติล บิน หัยยาน, อาลี บิน ฮะร็อบ, สุดีย, มุญาฮิด, เกาะตาดะฮฺ, วะกีอฺ อิบนุ ญะรีห และกลุมนกั ปราชญผูทรงคณุ วุฒิอกี จาํ นวนหนึ่งก็ไดบันทกึ ไวใ นตาํ ราอกี หลายเลม เชน ทานอิมามฺชิ ฮาบุดดีนนะหมฺ ดั หรอื ท่ีรูจักกันในนามวา อิบนุ อบั ดรุ รอบบะฮฺ อันดุลุสยี  นอกจากน้ีในหนังสือ “อุกดุลฟะรีด” ภาคท่ี 1 ก็ไดบันทึกเร่ืองน้ีไวเชนเดียวกันในหมวด ท่ีวา ดว ย “อัศหาบลุ -ฮาวาอฺ” ซึ่งในตอนทายของเรื่องนี้ไดสรุปไววา “แทจริงทานนบี (ศ) ไดกลาววา “นี่คอื ส่งิ แรกทค่ี วามชวั่ รายไดป รากฏขน้ึ ในประชาชาติของฉัน ถาหากพวกเจาไดฆาเขาเสีย พวกเจา ก็ไมขัดแยงกันจนแตกออกเปนสองพวก แทจริงนบีอิสรออีลนั้นจะแตกแยกออกเปนเจ็ดสิบสอง จาํ พวก สวนประชาชาตินี้จะแตกแยกออกเปนเจ็ดสิบสามจําพวก ทุกกลุมเหลานั้นลวนเขาสูไฟนรก เวน แตพ วกเดยี วเทานัน้ ” เรื่องราวที่ใกลเคียงกับเร่ืองนี้มีอีกเรื่องหนึ่ง ซ่ึงนักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺไดบันทึกไว จากรายงานฮาดษี ท่ีเลาโดยทานอาล(ี 424) ซึ่งไดเ ลาวา มีคนชาวกรุ อยชมาหาทา นนบีแลวกลาววา “โอม ู ฮมั มัด ฉนั เปน ญาตพิ ่นี องและเปน ผูอุปการะของทาน และแทจริงประชาชนท่ีเปนทาสของเราซึ่งเขา ไดเ ขา มายอมรับกบั ทา นน้นั พวกเขาไมมีความปรารถนาทีจ่ ะรับหลกั การใด ๆ ของศาสนาดอก พวก เขาเพยี งแตหนีมาจากงานและผลประโยชนตาง ๆ ของเรา ขอใหทานไดขับไลพวกเขากลับไปยังเรา เถิด” ทานศาสนทูตไดกลาวแกอาบูบักรฺวา “ทานมีความเห็นเกี่ยวกับเร่ืองนี้อยางไรบาง ?” ทานอาบู บักรฺไดตอบวา “พวกเขามีความสัจจริง เพราะพวกเขาเปนญาติพี่นองของทาน” ทันใดนั้นปรากฏวา ใบหนาของทานนบี (ศ) เปล่ียนไปดวยความโกรธ และแลวทานศาสนทูตจึงไดกลาวแกทานอุมัรวา “ทานมีความเห็นในเรื่องน้ีอยางไรบาง ?” ทานอุมัรไดตอบวา “พวกเขามีความสัจจริงที่วาพวกเขา เปนญาตพิ นี่ องและเปนผทู ่อี ปุ การะแกท า น” และแลวใบหนาของทานนบี (ศ) ก็เปล่ียนไปดวยความ โกรธ แลวกลาววา “โอมวลชนชาวกุรอยช ดวยพระนามของอัลลอฮฺ แนนอนอัลลอฮฺไดทรง ประทานชายคนหน่ึงมาใหแกพวกทานท้ังหลาย ผูซ่ึงอัลลอฮฺไดทรงทดสอบหัวใจของเขาดวยความ ศรัทธา ซ่ึงพระองคไดทรงกําหนดใหพวกทานไดถูกเขาช้ีนําทางศาสนาให” ทานอาบูบักรฺจึงได กลาวข้ึนวา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ฉันคือชายคนน้ันใชหรือไม ?” ทานศาสนทูตตอบวา “ไมใช” ทานอุมัรไดกลาวอีกวา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ฉันเปนชายคนน้ันใชหรือไม” ทานศาสนทูตไดตอบวา “ไมใชหากแตเขาคือผูซ่ึงกําลังปะรองเทาอยู” ซ่ึงทานไดมอบรองเทาให ทานอาลีชว ยปะรองเทาใหแ กท าน วสั ลาม

(ช) (424) หนังสอื “มสุ นดั ” หนา 155 ภาค 1 อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 95 26 รอบอี ุล-เอาวัล 1330 • ขอ อางทมี่ ไิ ดสงั หารคนทรยศ บางทีทานอาบูบักรฺและทานอุมัร (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอทานทั้งสอง) คงมีความ เขาใจวา คําสั่งของทานศาสนทูตท่ีสั่งใหฆาชายคนน้ันเปนคําส่ังประเภท “มุสตะฮับ” (การกระทําท่ี ชอบ) เทาน้ัน มิใชคําสั่งท่ีถือวาเปนขอกําหนดที่เด็ดขาด ดวยเหตุน้ีเองทานทั้งสองจึงไมฆาชายคน นั้น หรือมิฉะนั้นทานท้ังสองก็คงนึกวา การสัง่ ใหฆ า ชายคนน้ัน เปนเพียงขอกําหนดท่ีระบุไวกวาง ๆ (วาญบิ กะฟาอีย) ดวยเหตุนที้ านจึงละทงิ้ การกระทําน้ันเสียเพ่ือใหเปนหนาท่ีของสาวกคนอื่น ท้ังน้ีก็ เพ่ือแสดงถึงวิธีการท่ีใชสําหรับส่ิงท่ีเปนขอกําหนดกวาง ๆ ซึ่งบุคคลอ่ืนสามารถรับเปนภารกิจของ ตนตอไปอีกไดและทานท้ังสองก็มิไดหวนกลับมาจากชายคนนั้นในฐานะที่กลัววาจะฝนคําสั่งดวย สาเหตุการหนีไปของชายคนนั้น ในขณะเดียวกันทานท้ังสองก็ยังมิไดบอกเหตุผลใด ๆ ใหแกชาย คนนน้ั เลย วัสลาม (ซ)

อัล-มรุ อญิอะฮฺ 96 29 รอบอี ุล –เอาวลั 1330 • คาํ ตอบโตข อ อา งดังกลาว คําส่ังนี้อยูในประเด็นของขอบังคับโดยแท ซ่ึงถือวาไมมีเหตุผลอื่นใดที่นายอมรับย่ิงกวา ดังน้ันการตีความวาเปนคําส่ัง “มุสตะฮับ” (การกระทําท่ีชอบ) จึงเปนเหตุผลที่ฟงไมข้ึน นอกจาก อาศัยหลักอุปมามาเปรียบเปรยเทาน้ัน และอุปมาท่ีวาน้ีก็ไมอาจจะใชไดในประเด็นดังกลาว ยิ่งไป กวา นั้นหลกั อุปมาอยา งทวี่ า กย็ ังยอมยืนยันหนกั แนนถึงความหมายที่แทจริงของส่ิงดังกลาววา “เปน ขอกําหนดท่ีจําเปน” การใชทัศนะอยางมีเหตุมีผลในฮาดีษเหลานี้จะทําใหเห็นวาเร่ืองท้ังหมดยอม เปนไปตามท่ีเราไดกลาว ขอใหทานสังเกตคํากลาวของทานศาสนทูต (ศ) ที่วา “ชายคนนี้และพรรค พวกของเขาตางก็อานอัล-กุรอาน แตเขาก็มิไดหลีกหางจากความทรยศ พวกเขาพุงตัวออกไปจาก ศาสนาเสมือนดอกธนูที่พุงออกไปจากคันธนู ซึ่งมันจะไมคืนกลับมาสูคันธนูนั้นไดอีกแลว ดังนั้น พวกเจาจงฆาคนเหลานั้นเสียเถิด เพราะคนเหลานั้นคือคนช่ัวที่ชัดแจงท่ีสุด” และทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจําเรญิ และความสนั ติสขุ แดทานและแดบรรดาลกู หลานของ ทาน) ยังไดกลาวอีกวา “ถาชายคนนี้ไดถูกฆาเสียแลว ประชาชาติของฉันจะไมขัดแยงกันเปนสอง ฝา ย” คําพดู ประโยคนแ้ี ละประโยคอื่น ๆ ก็ดี เราไมอาจจะกลาวแยงไปในรูปอื่นไดอีกแลว นอกจาก จะตอ งยอมรบั การฆา ชายผนู ัน้ และตอ งดาํ เนนิ การเกยี่ วกับสงิ่ นน้ั กนั อยางจรงิ จังที่สุด ในเม่ือเราไดกลับมาพิจารณาดูฮาดีษที่บันทึกอยูในหนังสือ “มุสนัด” ของทานอะหฺมัด ก็จะ เห็นวาคําสั่งท่ีใหฆาชายผูนั้นไดมุงชี้เฉพาะไปยังทานอาบูบักรฺกอนแลวตอมาก็เปนคําสั่งท่ีช้ีเฉพาะ ไปยังทานอุมัรอีก เม่ือเหตุการณเปนไปในรูปน้ี ไฉนเลาคําส่ังนี้จะมาถูกถือวาเปนคําส่ังประเภท ขอกําหนดกวา ง ๆ สําหรบั คนทั่วไปเสียได โดยที่ฮาดีษเหลาน้ันไดใหรายละเอียดอีกวาทานทั้งสองจะไมถอยหลังกลับจากการฆาชาย คนนั้นเลย หากแตทานท้ังสองไมพอใจที่จะฆาเขาในขณะที่เขาอยูในสภาพน้ัน กลาวคือกําลังนอบ นอมอยูในการนมาซ ทานทั้งสองจึงมิไดถอยหลังกลับเพราะเหตุอื่นใด แตทานท้ังสองไมมีความ พอใจที่จะกระทําในสิ่งท่ีจิตใจของทานนบี (ศ) เห็นดีเห็นงามตองการจะใหทํา ฉะน้ันคนท้ังสองจึง ไมไดกระทําตามส่ิงท่ีทานไดส่ังวาใหฆาชายคนนั้น จึงสามารถตัดสินไดอยางชัดเจนเลยทีเดียววา

พวกเขาไดด ําเนินกจิ การดงั กลา วนนั้ โดยยดึ เอาทัศนะของพวกเขาเองเปนหลัก เหนือกวาการยอมรับ ในคําสงั่ ทท่ี า นศาสนทตู ไดร ะบุ ดงั ท่ีทา นกไ็ ดทราบดอี ยูแ ลว วัสลาม (ช) อัล-มุรอญิอะฮฺ 97 30 รอบีอลุ -เอาวัล 1330 • ขอพิสูจนห ลกั ฐานอนื่ ๆ อกี ขอใหทา นไดโ ปรดเสนอรายละเอียดอืน่ ๆ ท่ยี ังมเี หลืออยู ซงึ่ เปนหลักฐานทแ่ี สดงวาบรรดา สาวกไดใชทัศนะของตนปฏิบัติหนาท่ีไปโดยไมยอมรับในคําสั่งของทานศาสนทูต (ศ) แตทานไม จําเปนตองเสนอรายละเอียดตาง ๆ เหลานั้นใหยืดยาวเหมือนเชนท่ีเราไดผานมาคร้ังหนึ่งแลว ถึงแมวาเรายังมคี วามจําเปน ท่ีจะตอ งพูดถงึ ปญ หาเหลา นีก้ ันอยางยืดยาวสกั เพียงใดกต็ าม วสั ลาม (ซ) อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 98 3 รอบีอษุ -ษานี 1330 1. แจกแจงใหเ หน็ เพยี งเรื่องราวบางประการ 2. ชีน้ ําไปสรู ายละเอียดอีกดา นหนึ่ง ทา นยอมสามารถพิสูจนก บั รายละเอียดของเร่ืองทํานองดังกลาวน้ันไดจากเร่ืองราวของการ ทําสนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺ การจัดสรรทรัพยสินท่ียึดไดจากเชลยสงครามหุนัยยฺ การรับเอาสินไหม ตอบแทนจากเชลยศึกสงครามบะดัรฺ คําส่ังที่ทานศาสนทูตบอกใหเชือดอูฐจํานวนหน่ึงเพ่ือบรรเทา ความหิวของพวกสาวกที่ไดป ระสบภาวะคับขันเม่ือครั้งทําสงครามตะบูก เหตุการณบางกรณีท่ีพวก

เขาไดกระทาํ ขึน้ เมอ่ื ตอนสงครามอหุ ดุ เหตุการณใ นวนั ทอ่ี าบฮู รุ ็อยเราะฮฺไดป ระกาศขาวใหแกทุก ๆ คนเก่ียวกับเรื่องเตาฮีด เหตุการณในวันท่ีพวกมุนาฟกไดทําการนมาซ เหตุการณท่ีมีการระรานกัน ในเร่ืองทรัพยสินท่ีไดบริจาคไปแลว เหตุการณที่พวกเขายังใฝใจอยูกับความชั่วบางประการ เรื่องราวการตีความโองการท่ีเก่ียวกับอัล-คุมสฺและซะกาต กรณีการตีความโองการท่ีวาดวยเรื่อง มุตอะฮฺ กรณีการตีความโองการที่เก่ียวกับการหยาราง กรณีการสาธิตวิธีการนมาซ “นะวาฟล” ใน เดือนรอมฏอนท้ังรูปแบบและจํานวนร็อกอะฮฺ กรณีของคํากลาวในการอะซฺาน กรณีที่เกี่ยวกับ จํานวนของตักบีรฺในนมาซญะนาซะฮฺ ตลอดจนถึงเรื่องอื่น ๆ อีกที่ไมอาจนํามาอธิบายใหหมดได เชนการขัดขืนคําส่ังโดยฮาฏิบ บิน บันตะอะฮฺ, กรณีการฝาฝนรูปแบบการกระทําของทานนบีที่มะ กอมอิบรอฮีม กรณีของการจาํ กดั บทบาททีม่ ีตอมัสญิดไวก บั มุสลมิ กลมุ หนึ่ง กรณีท่ีไดทําการตัดสิน แกชาวยะมนั โดยความเหน็ ของอะบีเคาะรอช อัล-ฮซั ลียฺ กรณกี ารปฏิเสธของนัศรฺ บนิ ฮจั ญาจญ อัส- สลั มยี ฺ กรณที ี่ไดมีการลงโทษแกอุ ฺดะฮฺ บนิ สลีม* กรณีเก่ียวกบั วิธีการในระเบียบท่ีวาดวยเร่ืองเก็บ ภาษีญิซซะฮฺ กรณีที่ต้ังคณะกรรมการข้ึนมาปรึกษาเพ่ือหาแนวทางอ่ืน ทั้ง ๆ ที่เร่ืองนั้น ๆ มีกฎ ตายตัวจนเปนท่ีรูดีกันอยูแลว กรณีการออกลาดตระเวนในยามกลางคืนเปนจารกรรมในตอน กลางวัน กรณีทม่ี กี ารหนั เหเปล่ยี นแปลงในเรอื่ งที่เกีย่ วกับขอ กาํ หนดท่ีแนนอนอยูแลว (ฟรฺฎ) ตลอด จนถึงเรื่องตาง ๆ อีกมากที่พวกเขาไดดําเนินการปฏิบัติไปดวยพละการและถืออํานาจสวนตัวและ เพื่อใหปรับอยางเขากันไดกับสังคมท่ัวไป ซึ่งเรื่องน้ีขาพเจาไดรวบรวมรายละเอียดไวในหนังสือ “สะบลี ุล-มมุ นิ นี ”** เกี่ยวกับรายละเอียดตาง ๆ ที่ระบุเฉพาะแกทานอาลีและเช้ือสายผูบริสุทธ์ิที่มีรายละเอียด นอกเหนอื ไปจากเรอ่ื งตาํ แหนง * “โปรดพิจารณาหัวขอเรื่องท่ีอธิบายถึงทาน อุมัร ในหนังสือ “ฏอบากอต” ของทาน อิบนุ สะอัด ท่ีไดมีการโบยคนช่ือ ุอฺดะฮฺ โดยท่ีมิไดมีพยานและไมมีผูกลาวหา ยืนยันใน ความผิด เพียงแตเปนการลงโทษไปตามบัตรสนเทหที่มิไดระบุผูกลาวหา แตมีขอความ ปรักปราํ วา อุ ฺดะฮฺ กระทาํ ความชว่ั อยา งรา ยแรง” ** “ถาหากทานไมมีหนังสือ “สะบีลุล-มุมีนีน” ทานก็ไมควรท่ีจะพลาดหนังสือ “อัล-ฟุศู ลุล-มฮุ มิ มะฮ”ฺ เพราะหนังสือเลมน้ีมีประโยชนอยางชนิดท่ีไมสามารถจะพบในหนังสือเลม อื่น ๆ ได รายละเอียดตาง ๆ ตามท่ีเราไดเสนอดังนี้ มีปรากฏอยูในหนังสือดังกลาว ภาคท่ี 8 หนา 44 และหนาถดั ไปจนถึงหนา 130 ฉบบั ตพี มิ พค รั้งที่ 2”

คอลีฟะฮฺก็เปนเร่ืองท่ีพวกเขามิไดนําพาอีกเชนกัน ใชแตเทาน้ันพวกเขายังบั่นทอนเร่ืองดังกลาวเสีย อีกตามทผี่ ูท รงคุณวุฒิตางก็ทราบกันดี ฉะน้ันจึงมิใชเรื่องแปลกที่พวกเขาตะตีความกับคําสั่งเรื่องคอ ลีฟะฮฺหลังจากท่ีพวกเขาไดกระทํากับเร่ืองอื่น ๆ มาแลว เพราะเรื่องน้ันเปนเพียงแคเร่ืองเดียวจาก จํานวนหลาย ๆ เร่ืองท่ีพวกเขากระทํากระทําการล้ําหนาไป โดยเอาทัศนะของพวกเขาเองเปนหลัก แหง การยอมรบั วสั ลาม (ช) อัล-มุรอญอิ ะฮฺ ๙๙ ........................ ๑. พฤติกรรมของพวกเขาเปนเร่อื งของการปรับสภาพใหเขากับสงั คม ๒. ขอพสิ ูจนห ลกั ฐานอ่นื ๆ อกี ผูมีทัศนคติท่ีดียอมไมคลางแคลงสงสัยในเจตนาที่ดีงามของพวกเขาหรอก เพราะ พฤติกรรมตา ง ๆ ของพวกเขาลว นแตเ ปนการปรบั สภาพใหเขากับสังคมท่ัวไปท้ังสิ้น เกี่ยวกับทุกสิ่ง ทุกอยางในรายละเอียดของสิ่งเหลานั้น ก็เปนเพราะพวกเขาตองการใหเกิดความเหมาะสมแก ประชาชาติอิสลาม และดวยความรักความหวงตอศาสนา อีกทั้งเพื่อเปนการแสดงพลังแกฝายศัตรู จึงถือไดวาไมมีขอตําหนิใด ๆ แกพวกเขา สําหรับสิ่งตาง ๆ ท่ีพวกเขาไดกระทําลงไป ไมวาส่ิงน้ัน เขาจะยอมรับปฏิบัติไปตามรายละเอียดแหงคําสั่งหรือพวกเขาจะตีความเร่ืองนั้น ๆ ก็ตาม ถือวา เหมือน ๆ กนั ทง้ั ส้ิน ขาพเจาไดรบกวนทานในการใหเสนอหลักฐานรายละเอียดตาง ๆ มามากพอสมควร ซึ่ง ทานก็ไดใหรายละเอียดตาง ๆ มามากมาย แตแลวทานก็ไดกลาวถึงเร่ืองของทานอิมามอาลีและเชื้อ สายของทานวามีรายละเอยี ดท่ีเปนหลกั ฐานตา ง ๆ นอกเหนือจากรายละเอียดท่ีเปนหลักฐานในเรื่อง คอลฟี ะฮฺอยอู ีกมาก แตบรรพชนของพวกเรามิไดนําพา ดังน้ันขอทานไดโปรดเสนอรายละเอียดตาง ๆ ดงั กลา ว และโปรดนาํ มาใหข าพเจาไดพ สิ ูจนจนเปนทพ่ี อใจดว ยเถดิ วสั ลาม (ช)

อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ ๑๐๐ ๘ รอบีอุษ-ษานี ๑๓๓๐ ๑. ผรู วมสนทนาไดแสดงเหตผุ ลนอกประเดน็ ๒. สนองตอบการขอหลักฐาน ๑. ทา นไดย อมรับแลววา มกี ารเปลี่ยนแปลงที่กระทําข้ึนโดยบรรดาสาวกปรากฏอยูเรื่องราว ที่เปนคําส่ัง ตามละเอียดที่ขาพเจาไดเสนอไปแลวจริง ก็เปนอันวาทานเช่ือมั่นในเรื่องราวตาง ๆ ตามทีข่ า พเจา ไดก ลาวไปแลว อัล-ฮัมดุลิลลาย สวนจะถือวาส่ิงน้ัน ๆ เปนไปโดยเจตนาดีของบรรดา สาวก หรือจะอางวาพวกเขาดําเนินเร่ืองราวตาง ๆ ไปเพื่อปรับสภาพใหเขากับสังคม หรือเพื่อ ปรับปรุงใหเขากับสภาพของประชาชาติ หรือกระทําไปโดยความรักความหวงตอศาสนา หรือเพ่ือ สําแดงพลังแกศัตรู หรืออะไรก็แลวแตยอมถือวาเปนเรื่องนอกเหนือจากประเด็นหลักท่ีจะอธิบาย ดงั ท่ีทา นเองกท็ ราบดีอยูแลว ๒. ในตอนทา ยจดหมายของทา น ทานไดขอพิสูจนห ลักฐานโดยละเอียดท่ีเก่ียวกับเรื่องของ ทานอาลี อันมาจากหลกั ฐานท่เี ชอ่ื ถือได (ศอฮฮ้ี )ฺ เฉพาะในประเด็นทีไ่ มเ ก่ียวขอ งกับรายละเอียดของ เรือ่ งอมิ าม ซ่งึ เปน เรอ่ื งหนึง่ ทบี่ รรดาสาวกเหลานัน้ มิไดใ หก ารยอมรับ มิใหความสนใจไยดีนั้น ทาน เองในฐานะที่เปนผูทรงคุณวุฒิระดับอิมามคนหนึ่งของพี่นองอะฮฺลิซซุนนะฮฺในยุคปจจุบันน้ี ทาน ยอมสามารถท่ีจะประมวลเรื่องราวตาง ๆ และคนควาหาความเขาใจในความเปนจริงของส่ิงตาง ๆ ไดอยางกวางขวางจะมีใครบางเลา....ท่ีกลาหมิ่นประมาทวาทานเปนผูท่ียังไมมีความรูกระจางชัด ตามเร่ืองราวท้ังหลายแหลที่ขาพเจาไดรวบรวมเรียนเสนอมา จะมีใครบางที่หาญหลาคิดวาตนเองมี ความรคู วามเขาใจล้าํ หนา ยิ่งไปกวาทา น เก่ียวกบั รายละเอียดทง้ั หมดท่ขี าพเจาไดแจกแจงมันมาน้ี ยัง จะมีใครอีกหรือที่มีความช่ําชองเช่ียวชาญหรือมีวิชาการลึกซึ้ง ในเรื่องราวดานซุนนะฮฺย่ิงไปกวา ทานสกั คน ? หามไิ ด หากแตม ันเหมือนกบั คําสภุ าษิตบทหน่ึงท่ีไดก ลา วไวว า : “สวนมากแลว ผูถาม เก่ียวกับกิจการใดกด็ ี น่นั แหละ เขาคือผูรูละ” ทานเองก็ทราบดีอยูแลววา สวนมากของบรรดาสาวกนั้นพวกเขามีความโกรธเคืองและขับ เคี่ยวกันกับทานอาลีมาโดยตลอด จะเห็นไดวาพวกเขาเหลานั้นไดแยกตัวออกมาและมุงรายตอทาน ไดทําการลบหลูและอยุติธรรมตอทาน พวกเขามักสบประมาทและตอสูอีกทั้งโจมตีเกียรติยศของ

ทาน ตลอดจนถงึ เกยี รติยศของบรรดาอะหฺลุลบัยตฺ และบรรดาปยมิตรของทานดวยคมดาบของพวก เขาเอง ดงั เชน ทนี่ ักประวตั ศิ าสตรใ นอดตี ตางก็ยอมรบั ความจรงิ ทีส่ าํ คญั เหลา น้ไี ปแลว ทงั้ ๆ ทีท่ านศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาววา “ผูใดเชื่อฟงปฏิบัติตามฉันก็เทากับเชื่อฟง ปฏิบัติตามอัลลอฮฺ ผูใดทรยศตอฉันก็เทากับทรยศตออัลลอฮฺและผูใดเช่ือฟงปฏิบัติตามอาลีก็เทากับ เขาไดเ ช่ือฟงปฏิบตั ิตามฉัน ผใู ดทรยศตออาลกี เ็ ทา กับทรยศตอ ฉัน” ท้ัง ๆ ท่ีทานศาสนทูตยังไดกลาวไวอีกวา “ผูใดท่ีแตกแยกกับฉันเทากับเขาเปนผูแตกแยก กบั อลั ลอฮฺ โออ าลเี อย ผใู ดทแ่ี ตกแยกกับเจากเ็ ทา กบั แตกแยกกบั ฉัน” ทานศาสนทูต (ศ) ยังไดกลาวไวอีกวา “โอ อาลีเอยเจาคือหัวหนาของคนในโลกน้ีและ หวั หนาของคนในปรโลก ผูใ ดเปนทร่ี กั ของเจายอ มเปน ท่ีรักของฉันดวย และท่ีรักของฉันยอมเปนที่ รักของอัลลอฮฺ ศัตรูของเจาน้ันเปนศัตรูของฉันดวย สวนศัตรูของฉันก็คือศัตรูของอัลลอฮฺ ความ วบิ ัติพึงมแี ตผูชิงชังเจา ภายหลงั จากฉัน” ท้ัง ๆ ท่ีทานศาสนทูต (ศ) ยังไดกลาวอีกวา “ผูใดประณามอาลีก็เทากับเขาไดประณามฉัน และผูใดประณามฉนั ก็เทา กบั ประณามอัลลอฮดฺ วย” และทานนบี (ศ) ยังไดกลาวอีกวา “ผูใดกลาวรายตออาลีเทากับเขาไดกลาวรายตอฉันดวย และผใู ดกลา วรา ยตอ ฉันก็เทา กบั กลา วรายตออัลลอฮ”ฺ ทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลูกหลานของทาน) ไดกลาวไวอีกวา “ผูใดรักอาลี ก็เทากับรักฉัน และผูใดโกรธอาลีก็เทากับโกรธ ฉนั ดว ย” ท้ัง ๆ ท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวไวอีกวา “อาลีเอย ไมมีใครรักเจาดอก นอกจากผู ศรทั ธา และไมม ีใครโกรธเจา ดอก นอกจากพวกมุนาฟก ” และทานศาสนทูต (ศ) ยังไดกลาวไวอีกวา “โอ อัลลอฮฺขอไดทรงคุมครองผูท่ีจงรักภักดีตอ อาลี และขอไดทรงเปนศัตรูตอผูท่ีเปนศัตรูของอาลี ขอไดทรงชวยเหลืออนุเคราะหแกผูที่ชวยเหลือ อาลีและจงบั่นทอนเกียรติของผทู บ่ี น่ั ทอนเกียรติอาล”ี วันหนึ่งทานศาสนทูต (ศ) ไดมองไปยังทานอาลี ทานหญิงฟาฏิมะฮฺ ทานฮะซันและทานฮุ เซน แลวกลาววา “ฉันจะตอสูกับคนท่ีตอสูเจาทั้งหลาย ฉันจะใหสันติภาพแกบุคคลที่ใหสันติภาพ พวกเจา”

อกี ทง้ั ในขณะทท่ี านศาสนทูตไดคลุมบคุ คลเหลา นั้นดวยผา คลมุ กิสาอฺ ทานศาสนทตู (ศ) ได กลาววา “ฉันจะตอสูกับคนที่ตอสูพวกเขา และจะใหความสันติภาพแกผูท่ีใหสันติภาพแกพวกเขา และจะเปนศัตรขู องผทู ีเ่ ปนศตั รูพวกเขา” ยังมีรายงานฮาดีษเหลานี้อีกเปนจํานวนมากท่ีสาวกสวนใหญมิไดนําพากับเรื่องนี้แมแต อยางใด หากแตพวกเขาดําเนินการปฏิบัติสิ่งตาง ๆ ไปดวยความบกพรองที่เกิดขึ้นโดยอารมณของ พวกเขาเองเทานั้น และดําเนินการปฏิบัติไปเพ่ือผลประโยชนของพวกเขาเองเปนหลัก นักวิชาการ ผูทรงคุณวุฒิที่เฉลียวฉลาดท้ังหลายตางรูดีวาบรรดารายงานฮาดีษตาง ๆ ท่ีไดกลาวยืนยันใน เกยี รติยศท่ีดีงามของทานอาลีนั้นไดถูกเก็บรักษาไวจํานวนหลายรอยตอน ซึ่งเปนหลักฐานที่อธิบาย สิทธิอันชอบธรรมของทาน และขอกําหนดท่ีจําเปนตองยอมรับความเปนผูปกครองของทาน และ อธิบายถึงขอหามมิใหผูใดขัดขืนคําสั่งของทาน โดยที่หลักฐานตาง ๆ ทุกบททุกตอนน้ันลวนยืนยัน ตอพระผูเปนเจา ทรงอานุภาพและทรงเกยี รตคิ ณุ และอธบิ ายถงึ ตาํ แหนง อนั สงู สง ของทานตามทัศนะ ของอัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค ความจริงเราไดอธิบายรายละเอียดตาง ๆ ของประเด็นน้ีไว ในหนังสืออัล-มุรอญิอาตเลมนี้อยางครบครันไปตามบทตามตอนตาง ๆ ซ่ึงเราไมจําเปนท่ีจะตอง อธบิ ายขยายความเพมิ่ เติมใหม ากไปกวา น้นั อีกแลว ขอสรรเสริญตออัลลอฮฺ ท่ีขาพเจาไดประจักษวาทานคือนักปราชญท่ีมีความรูกวางขวางใน หลักฐานตาง ๆ ของอะฮฺลิซซุนนะฮฺ และเปนผูมีความเขาใจเร่ืองราวตาง ๆ ละเอียดถี่ถวนมาก ทาน พอจะพบบางสิ่งบางอยางอยูบางแลวมิใชหรือท่ีเก่ียวกับเร่ืองของผูหมิ่นประมาทและตอสูกับทาน อาลี หรือไมทานก็คงจะพบเร่ืองราวท่ีสรางความปวดราวใหแกทานอาลีเชนการกลาวราย การหมิ่น ประมาทและการจองเวรมาบางแลวมิใชหรือ หรือไมทานก็คงจะทราบถึงเหตุการณตาง ๆ ที่สราง ความไมเ ปนธรรมใหแกท า นอาลีและการดาประณามทานอาลีบนมิมบัรของบรรดามุสลิม จนถึงกับ วาเรื่องนั้นไดเคยถูกถือเปนระเบียบอันหน่ึงจากหลาย ๆ ระเบียบของผูทําหนาท่ีคุฏบะฮฺ ทั้งในการ นมาซวันศุกรและนมาซอีดในยุคน้ัน เหลาน้ีหาใชอ่ืนใดไม หากแตเปนเพราะพวกเขาไดกระทําการ ลบหลูตอทานอาลีก็โดยท่ีพวกเขามิไดสนใจไยดีอันใดเลยกับเร่ืองราวท่ีเปนหลักฐานยืนยันกันมา มากมาย และรายละเอียดตา ง ๆ เหลาน้ัน มิไดอํานวยความสะดวกใด ๆ ใหพ้ืนฐานการปกครองของ พวกเขาประสบความสาํ เรจ็ ทัง้ ๆ ท่พี วกเขากร็ ดู วี า ทานอาลีคอื พน่ี องและผใู กลช ดิ ของทา นนบี เปนทง้ั ทายาทและผเู กบ็ ความลับของทา นนบี เปนหวั หนาสูงสดุ ของเช้ือสายทานนบี

เปน ผูทีอ่ ยูในฐานะฮารนู สําหรบั ประชาชาตนิ ้ี เปน ผูใหความคุม ครองตอ ผซู ึ่งถกู ขนานนามวา “เลอื ดเนอ้ื ของทา นนบี” เปนบดิ าของบรรดาลกู หลานของทานนบี เปน บุคคลแรกทเี่ ขารบั อสิ ลาม เปน ผมู คี วามบริสทุ ธิ์ใจในความศรัทธามากทส่ี ุด เปนผูมีวิชาความรลู กึ ซ้ึงเหนอื ใครทัง้ หมด เปนผมู ผี ลงานมากมายทส่ี ุด เปนผูมเี กียรตยิ ศมากทสี่ ดุ เปนผมู ีความละเอียดถ่ถี วนในเรอ่ื งของอิสลามมากทส่ี ุด เปน ผใู กลช ิดของทานศาสนทูตแหง อัลลอฮฺมากที่สุด เปน ผูมคี วามละมายคลายคลงึ กับบคุ ลกิ ภาพและคณุ สมบัตขิ องทา นนบีมากที่สดุ เปนผูท่ีสามารถประพฤติปฏิบัติตามหลักการประพฤติและตามหลักการพูดตลอดจนความ สํารวมของทา นนบไี ดเหมอื นทส่ี ดุ แตทวา คณุ สมบัตติ า ง ๆ ดังกลาวนลี้ วนมคี วามพิเศษท่ีล้ําหนาพวกเขาเหลานั้นในทุก ๆ ดาน ฉะนั้นจะนาแปลกประหลาดใจทําไมที่วาหลักจากสิ่งตาง ๆ เหลาน้ีแลว พวกเขายังไดใชทัศนะของ พวกเขาเองไปกระทําการล้ําหนาในเรื่องของตําแหนงอิมาม คือแทนที่จะใหการยอมรับตอหลักการ ท่ีไดถูกระบุไวในวันสําคัญแหงฆอดีรฺคุม เพราะคําส่ังที่ไดระบุท่ีตําบลฆอีรฺคุมน้ัน มิใชอ่ืนใดเลย หากแตเปนเพียงเร่ืองเดยวจากบรรดาเรื่องราวอ่ืน ๆ นับจํานวนเปนรอยท่ีพวกเขาไดดําเนินการ ตีความหมายปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันเองตามทัศนะของพวกเขา และกระทําการตาง ๆ กันไปเพื่อ ปรบั สภาพของเหตกุ ารณใหเ ขากบั พวกเขา ทั้ง ๆ ท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอยูแลววา “แทจริงฉันเปนผูละท้ิงไวในหมูพวกทาน ท้ังหลาย ซ่ึงส่ิงท่ีถาหากวาพวกทานท้ังหลายไดยึดม่ันไวแลว พวกทานจะไมหลงผิด นั่นคือ พระ คมั ภีรของอัลลอฮฺและเชื้อสายของฉันจากอะหลฺ ลุ บัยตฺของฉัน” ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวอีกวา “แทจริงอุปมาอะหฺลุลบัยตฺของฉันในหมูพวกทาน

ทั้งหลายนน้ั อุปไมยดงั่ นาวาของนบีนทู ผูใดท่ีไดข้นึ ขม่ี นั เขากจ็ ะปลอดภยั และผูใ ดผลกั ไสมัน เขาก็ จะลมจม และแทจริงอุปมาแหงอะหฺลุลบัยตฺของฉันที่มีในหมูพวกทานท้ังหลายน้ันอุปไมยดังประตู แหงความเมตตาทมี่ ใี นบนีอสิ รออลี ผูใ ดไดเขา ไปสใู นนั้น เขาก็จะไดร ับการอภยั โทษ” ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวไวอีกตอนหนึ่งวา “ดวงดาวท้ังหลายเปนหลักประกันความ ปลอดภัยแกชาวโลก เพื่อใหพนจากความลมจม (หลงทางในทองทะเลยามคํ่าคืน) สวนอะหฺลุลบัยตฺ ของฉันน้ันเปนหลักประกันความปลอดภัยแกประชาชาติของฉัน เพ่ือใหพนจากการขัดแยง (ใน เรื่องศาสนา) เพราะถาหากกลุมชนชาวอรับขัดแยงกับส่ิงน้ันขึ้นมาเม่ือไร พวกเขาก็จะขัดแยงกันจน กลายเปนสมาชิกของพรรคอบิ ลีส หลักฐานทํานองนี้ยังมีอีกมากมายจากตําราที่ประมวลฮาดีษศอฮี้ฮฺของนักปราชญฝายอะฮฺ ลิซซุนนะฮฺ ซ่งึ พวกเขามิไดย อมรบั ตอหลกั ฐานนัน้ เลยแมแ ตน อย วัสลาม (ช) อัล-มุรอญอิ ะฮฺ ๑๐๑ ๑๐ รอบอี ุษ-ษานี ๑๓๓๐ • ทําไมทานอิมามอาลี จึงไมอุทธรณในเหตุการณสะกีฟะฮฺ โดยอางสิทธิการเปนคอลีฟะฮฺ และทายาท มวลการสรรเสริญเปนสิทธิของอัลลอฮฺ พระผูอภิบาลแหงสากลโลกที่สัจธรรมไดสาธยาย ออกมาจากเนื้อแทของมัน จนไมมีขอสงสัยหลงเหลืออยูอีกเลย นอกจากเร่ืองสัญเพียงอยางเดียว เทานั้น ที่เงื่อนไขและหลักการทางวิชาการยังถูกปฏิเสธและปดบังกันอยู ขาพเจาใครท่ีจะขอรองให ทานช ว ยเปดเผยส่ิงทถี่ กู ปกปด เหลานั้นออกมาดวยเถดิ นนั่ กค็ อื วา ทา นอิมามมไิ ดอ ทุ ธรณแตป ระการ ใดเลยสาํ หรบั สิทธิตา ง ๆ ในเรอื่ งคอลฟี ะฮฺและฐานะที่เปนทายาทของทานศาสนทูต (โดยไดรวมให สตั ยาบนั แกท า นอาบบู ักรฺ ศดิ ดกี ในวันทีแ่ ตงตง้ั ณ ตาํ บลสะกฟี ะฮฺ) ซงึ่ เปนเร่ืองที่ทานทั้งหลายเปนผู

ยึดมัน่ กันอยางเหนยี วแนนตอเรื่องนี้ หรอื วา พวกทานมีความรู ความเขาใจถึงความสําคัญของสงิ่ นย้ี งิ่ ไปกวา ทา นอิมามอาลี ? วสั ลาม (ช) อลั -มรุ อญิอะฮฺ ๑๐๒ ๑๑ รอบอี ุษ-ษานี ๑๓๓๐ ๑. เหตุผลตาง ๆ ท่ียับย้ังมิใหทานอิมาม อาลี อุทธรณในวันที่แตงต้ังทานอาบูบักรฺ ณ ตําบล สะกีฟะฮฺ ๒. ชแ้ี จงไปยงั คําอทุ ธรณข องทานและคาํ อุทธรณของบรรดาปยมติ รของทาน ทั้ง ๆ ที่อยูใน สภาพตอ งยับยัง้ ๑. ประชาชนทั้งหลายตางทราบดีอยูแลววา ท้ังทานอิมามอาลีเอง ตลอดจนถึงบรรดาปย มิตรของทานจากชาวบนีฮาชิม และบุคคลอ่ืน ๆ อีกจํานวนหน่ึง มิไดเขารวมเปนสักขีพยานในการ ใหส ัตยาบนั ตอ การเปนคอลีฟะฮฺของอาบูบักรฺ และพวกเขาเหลานั้นก็มิไดเขาไปที่ตําบลสะกีฟะฮฺใน วันนั้นเลย พวกเขาอยูในฐานะของผูที่ปลีกตนออกจากเร่ืองน้ันและจากทุก ๆ เร่ืองที่เกิดข้ึนท่ีนั่น โดยสิ้นเชิง พวกเขาทุกคนหลบหลีกจากการไปชุมนุมที่สะกีฟะฮฺเพ่ือหันไปสาละวนอยูกับ เหตุการณอันย่ิงใหญของพวกเขา นั่นคือการวายชนมของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ พวกเขาได ดาํ เนนิ การไปตามขอ กําหนดทีจ่ ําเปน เกยี่ วกับการจัดแตงมัยยดิ ของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อลั ลอ ฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน)โดยพวกเขา มิไดใหความสนใจกับส่ิงอื่นนอกเหนือจากสิ่งน้ี และพวกเขายังไดดําเนินการจัดฝงรางอันบริสุทธ์ิ ของทานศาสนทูตลงในสุสานของทาน จนกระท่ังผูท่ีชุมชุมกัน ณ สะกีฟะฮฺ ไดดําเนินภารกิจของ พวกเขาเสร็จสิ้นลงอยางสมบูรณ มีการลงมติรับรองกัน และตั้งเง่ือนไขขึ้นมาผูกมัดกัน อีกทั้ง รวบรวมกําลังโดยเผด็จการเพื่อยับย้ังมิใหทุกคนวิจารณหรือกระทําการใด ๆ ที่กอใหเกิดความ ออนแอหรือความวุนวายแกการใหสัตยาบันและการวางเงื่อนไขตาง ๆ ของพวกเขา อีกท้ังยัง

รวบรวมกําลังโดยเผด็จการเพ่ือยับย้ังมิใหความยุงยามและความมีอุปสรรคตาง ๆ เขาไปสูกิจการ ภายในของพวกเขา แลวทานอิมามอาลีไดมีสวนรวม ณ ตําบลสะกีฟะฮฺที่ไหนกันหรือ ? หรือมีสวนรวมในการ ใหสัตยาบันตอทานอาบูบักรฺ ศิดดีกไดอยางไรกัน และการใหสัตยาบันของทานมีความหมายอันใด ตอพวกเขาเหลา นน้ั ? คําอุทธรณจะเปนผลไดอยางไรกัน ไมวากับอาบูบักรฺหรือกับบุคคลอื่นในเม่ือ เสร็จส้ินจากการใหสัตยาบันกันแลว และในเมื่อผูปกครองไดดําเนินการบริหารไปโดยอํานาจเผด็จ การ อีกทั้งในเม่ืออยูในสถานการณท่ีรุนแรงเชนน้ัน แมแตในปจจุบันนี้ใครเลาท่ีจะยอมรับอํานาจ เผดจ็ การของผปู กครอง และใครเลา ทจ่ี ะสามารถถอดถอนอํานาจของพวกเขา และทําใหพวกเขาพน ออกไปจากฐานอํานาจได ? พวกเขาจะละทิ้งอํานาจและหนาท่ีการงานไปตามขอเสนอดังกลาวน้ีได หรือ ? จะเปนเชนนน้ั ไดไ หม ? เหตกุ ารณใ นอดตี สามารถจะเปรียบเทียบกับเหตุการณในปจจุบันได เสมอ เพราะมนุษยก็คือมนุษย เหตุการณที่เกิดข้ึนในสมัยกอนก็ยอมจะเกิดขึ้นในสมัยน้ีได เหมอื นกัน แนนอนทา นอาลีมิไดเ ห็นวาการอุทธรณแกพวกเขาเหลานั้นในเหตุการณดังกลาวจะเกิดผล แตประการใด นอกจากเปนความเสียหาย (ฟตนะฮฺ) ท่ีเกิดขึ้นมาทําลายสิทธิของทานในยามน้ัน อีก ท้ังทานยังหวั่นเกรงวาความเสียหายนั้นจะสงผลกระทบตอโครงสรางของระบอบอิสลามและหลัก แหงความเปน เอกภาพ ตามที่เราไดอ ธิบายถึงเร่อื งนผี้ านไปในบทกอ นวา : ในยามนั้นทานอาลีเปนผูมีความตระหนักในสถานการณตาง ๆ ไดอยางดี ซ่ึงสิ่งเหลาน้ัน บคุ คลอน่ื มไิ ดมีความตระหนักเหมือนกับทาน ฉะนั้นจึงเสมือนวาทานยืนอยูทามกลางปญหาท่ีหนัก อึ้งสองดาน นั่นคือปญหาเรื่องคอลีฟะฮฺ โดยสิทธิและความเปนทายาทท่ีสมบูรณควรจะไดสืบตอ กับปญหาภายนอกท่ีเปนเส้ียนหนามตอกตําจิตใจอยูซ่ึงเปนความเสียหายอยางรายแรงจากกลุมผู ละเมิดทสี่ รา งความเลวา ยไปเกือบทง้ั คาบสมทุ รอรบั ชาวอรับเริม่ กอ การเปนกบฏและทําลายอิสลาม พรอมท้ังพวกมุนาฟกจากชาวมะดีนะฮฺก็ได กอตัวข้ึนอีก ดดยที่พวกเหลาน้ันหันกลับไปสูการละเมิด อีกท้ังมีบุคคลที่อยูในแวดวงชาวอรับท่ี พวกเขาเปน มุนาฟก ตามทอี่ ัล-กรุ อานไดร ะบุไว “ความทรยศและการละเมิดของบุคคลเหลาน้ีรายแรงยงิ่ โดยแสดงถึงความไมรับรูกฎเกณฑ ตา ง ๆ ท่ีอัลลอฮฺทรงประทานลงมาใหแ กศาสนทตู ของพระองค” (๙ : ๗๗)

ความเลวรายของพวกเขาย่ิงทวีความรุนแรงขึ้นเม่ือทานศาสนทูตแหลอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ขุ แดทา นและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดวายชนม ฉะนั้นบรรดามุสลิมภายหลังจากสมัยของศาสดาจึงกลายสภาพเปนเสมือนฝูงแกะที่ถูก ทอดท้ิงใหอยูโดดเด่ียวในยามค่ําคืน ทามกลางฝูงสุนัขปาที่เปนศัตรูกลางปาเปล่ียว ซึ่งประกอบดวย มุสัยละมะฮฺ กัซซาบ, ฎลัยหะฮฺ บิน คุวัยลิด ผูเต็มไปดวยความอิจฉาริษยา และสุญาฮฺ บินดฺ ฮาริษ ผู เต็มไปดวยความยะโสตลอดจนบรรดาสมัครพรรคพวกที่เลวทรามของพวกเขา บรรดาผูที่ดํารงตน อยูในหลักการของอิสลามและตามครรลองของมุสลิมน้ัน ตางอยูในฐานะเสื่อมในขณะที่จอม จักรพรรดิแหงดรมัน จักรพรรดิไกเซอรและผูเรืองอํานาจกลุมอื่น ๆ ที่ตางก็ทําการบีบคั้นตอบรรดา มุสลมิ นอกจากน้ีกลุมผูมีอํานาจอีกเปนจํานวนมากในยุคนั้นตางก็เคยไดรับความเจ็บปวดมาจาก ทานศาสดามูฮัมมัดและวงศวานตลอดจนถึงบรรดาสาวกอยูมิใชนอย ฉะนั้นกลุมบุคคลดังกลาวจึง อยูในฐานะเปนหอกขางแครของระบอบอิสลาม ซ่ึงพวกเขาปรารถนาท่ีจะประสบความสําเร็จลุลวง ในการวางฐานอํานาจและจัดระบบการปกครองในชวงน้ันใหสัมฤทธ์ิผลอยางรวดเร็วที่สุด ทานก็ เห็นอยูแลววาการท่ีทานนบีไดคืนกลับไปสูพระผูเปนเจาน้ันนับวาเปนโอกาสท่ีบุคคลเหลาน้ัน ตองการจะใหความหวังของตนเองประสบผลข้ึนมากอนท่ีอิสลามจะคืนกลับมาสูใสสภาพท่ีม่ันคง และมกี ารจดั ระบบท่ีเขม แข็ง ดังน้ันเทากับทานอาลีกําลังยืนอยูระหวางเสนทางอันตรายสองแพรงนี้ ท้ัง ๆ ท่ีเปน อุปสรรคแกทาน ในอันจะทวงเอาสิทธิของทานคืนมาเพ่ือจะไดปกครองบรรดามุสลิม(๔๒๕) แต กระนนั้ ทานก็ (๔๒๕) ทานอิมาม (อฺ) ไดอธิบายถึงเรื่องนี้ในจดหมายท่ีทานสงไปยังชาวอียิปตกับมาลิก อัซศัร ดังที่ทานไดกลาววา “แทจริงอัลลอฮฺ (สุบห) ไดแตงตั้งมูฮัมมัด (ศ) เปนผูตักเตือน สําหรับสากลโลกและเปน ผปู ระทับความสมบูรณ ใหแกบรรดาศาสนทูตแตเม่ือทานไดวาย ชนมไปแลวบรรดามุสลิมก็ไดถอดถอนคําสั่งนั้นเสีย ขอสาบานดวยพระนามของอัลลอฮฺ มันไมไดเขามาอยูในความดูแลของฉันและมันไมไดรับอันตรายเพราะฉันเลย แทจริงแลว ชาวอาหรบั ไดส รางความยุง เหยิงข้ึนในเรือ่ งน้ี หลงั จากทา น (ศ) ตออะหฺลุลบยั ตฺ .....(โปรดดู หนังสอื นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮ)ฺ

ตองการจะรักษาสิทธิของทานในตําแหนงคอลีฟะฮฺ และจะไดอุทธรณตอผูท่ีบายเบ่ียงสิทธิอันนั้น ไปจากทาน โดยการกระทําท่ีไมเปนการสรางความแตกแยกแกบรรดามุสลิม และไมไดมีความ เสียหายเกิดข้ึนในหมูพวกเขาเอง เพราะจะเปนชองทางใหแกศัตรู ดังนั้นทานจึงนั่งอยูในบานของ ทานถึงแมพวกเขาเหลาน้ันไดแสดงความชิงชังตอทานโดยทานก็มิไดทําการตอสู เพราะถึงแมทาน จะดําเนินการตอสูกับพวกเขาก็มิไดหมายความวาสิทธ์ิของทานจะสมบูรณขึ้นกวาท่ีมีอยูแลว และ มิใชเปนขอพิสูจนที่พรรคพวกของทานตองการ แตทานกลับมารวบรวมกิจการในดานพิทักษรักษา ศาสนา และพิทกั ษรกั ษาสทิ ธขิ องทานตามฐานะท่เี ปนคอลฟี ะฮขฺ องบรรดามุสลิม น่ีคอื สง่ิ ทีท่ านเหน็ วาเปนการพิทักษร ักษาอิสลาม ทานไดตอบโตกับช้ันเชิงของฝายศัตรูท้ังสองดานในยามนั้นดวยวิธีการยืดหยุนและสราง สันติภาพ ทานมีความปรารถนาท่ีจะใชวิธีการยืดหยุนโดยตัวของทานเอง และทานจะใชวิธี สันติภาพในกิจการตาง ๆ เพื่อพิทักษรักษาประชาชาติและวางหลักอันละเอียดออนที่สุดเปน แนวทาง ทานยืนหยัดอยูกับศาสนาและสรางสรรคผลงานเพ่ือประชาชาติ อีกท้ังเปนผูดํารงไวซึ่ง กฎเกณฑท่ีเปนขอกําหนดทางศาสนบัญญัติ และหลักเกณฑแหงการใชสติปญญา จึงนับวาเปนเร่ือง ท่สี ําคัญอยางยง่ิ สาํ หรับในยุคน้นั ย่งิ กวาคมดาบเสยี อีก ๒. พรอมกันน้ีทานอิมามและบุตรทั้งสองของทานตลอดจนบรรดานักปราชญในหมูปย มิตรของทาน ตางก็ไดแสดงวิทยปญญาท่ีลึกซ้ึงเอาไวมากมายในการกลาวถึงเร่ืองทายาทผูสืบตอ รายละเอียดตาง ๆ เหลาน้ีเปนท่ีแพรหลายอยางย่ิง ซ่ึงมิใชเปนเร่ืองท่ีนาสงสัยแกผูที่ติดตามศึกษา ประวัติศาสตรข องอสิ ลามเลย วสั ลาม (ช) อลั -มุรอญอิ ะฮฺ ๑๐๓ ๑๒ รอบอี ุษ-ษานี ๑๓๓๐ • ซักถามถงึ คําอุทธรณของทานอิมาม อาลี และคําอุทธรณของบรรดาปยมิตรของทาน

อยากทราบวาทานอิมามอาลีไดกระทําส่ิงใด ๆ ท่ีถือวาเปนการอุทธรณในฐานะของทายาท ไวเม่ือไรบาง ? และบรรดาบุตรหลานตลอดจนปยมิตรของทานไดกระทําสิ่งดังกลาวน้ีเม่ือไรบาง โปรดไดน ํารายละเอียดมาเสนอใหแ กข าพเจาบางดวยเถิด วัสลาม (ช) อัล-มรุ อญอิ ะฮฺ ๑๐๔ ๑๕ รอบอี ุษ-ษานี ๑๓๓๐ ๑. บางสวนจากคําอุทธรณข องทา นอิมามอาลี (อ) ๒. คาํ อทุ ธรณของทา นหญิง ฟาฏมิ ะฮฺ อัซ-ซะรออฺ (ความสนั ติสขุ พึงมีแดทาน) ๑. ทานอิมามอาลีไดดํารงตนอยูอยางสงบในขณะที่เรื่องราวตาง ๆ ประดังลงบนตัวทาน และทานมิไดตอบโตสิ่งเหลานั้นใหแกฝายปรปกษ ก็เพราะระวังรักษาไวซ่ึงระบอบอิสลาม และ พิทักษรักษาพลังท่ีแทจริงของสังคมมุสลิมเอาไว จนทานตองกลาวออกตัวไวเก่ียวกับความจําเปนที่ ทานจําตองสงบและไมยื่นขอเสนอใด ๆ ในยามน้ันเกี่ยวกับสิทธิของทานวา “มิใชเปนความ บกพรองของมนษุ ยคนน้นั หรอก ทีเ่ ขาทาํ เปน แชเชอื นตอ สทิ ธขิ องเขา แตความบกพรองยอมไดแกผู ทรี่ บั สงิ่ นนั้ โดยทต่ี นไมมสี ิทธ์”ิ และทานยังไดมีคํากลาวที่เปนวิทยปญญา เกี่ยวกับสิทธิของทานไวมากมาย ดังท่ีทาน (ผูอาน) จะเห็นไดจากการกระทําของทานอาลีในวันเราะหฺบะฮฺ ท่ีทานเรียกประชาชนมาชุมนุมเม่ือ ทา นเปนคอลฟี ะฮฺ เพื่อใหม ีการกลา วถงึ เหตกุ ารณแหงฆอดรี คฺ มุ ทานไดพูดวา “ฉันขอใหอัลลอฮฺเปนพยานตอพวกทาน ท่ีมุสลิมทุกคนไดยินทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (ศ) กลา วท่ีฆอดรี คุม ขอใหผทู ีไ่ ดย ินเรอ่ื งนัน้ ลกุ ข้นึ ยนื ยนั เถิด” ไดมบี รรดาสาวกในกลมุ นั้นลุกขึ้นยืนสามสิบคน สวนชาวบัดรียอีกสิบสองคน ซ่ึงตางก็ยืนยันถึงส่ิงท่ีพวกเขาไดยินมาซึ่ง คําส่ังแหงฆอดีรฺคุม ดังท่ีระบุไปแลวในอัล-มุรอญิอะฮฺ ๕๖ นี่คือเง่ือนไขสําคัญอันหน่ึงท่ีกอใหเกิด ปญหารายแรงแกทานในขณะน้ันคือไดมีการหาสาเหตุที่ทานอุษมานถูกสังหารกันขึ้น จนความ เสยี หาย (ฟต นะฮฺ) ไดเกดิ ขน้ึ ไปท่วั ท้งั ในเมอื งบศั เราะฮฺและเมอื งซเี รีย

ฉะน้ันทานอาลีจึงไดตัดปญหาในยามน้ันโดยการที่ทานไดแสดงหลักฐานพรอมกับแสดง วิทยปญญา เพื่อรําลึกวาโอผูมีฐานภาพท่ีควรแกการสรรเสริญ คําสั่งแหงฆอดีรฺที่ไดแตงตั้งขึ้นมาก จากทานนั้นไดรับการประกาศความจริงข้ึนมาแลว (สําหรับทุกคนในกลุมน้ันซ่ึงอยูในวัน เราะหฺบะฮฺ) ซึ่งเปนการยืนยันไปถึงเร่ืองราวของทานนบี (ศ) ในวันหอดีรฺคุม โดยทานไดจับมือของ ทานอาลีขึ้นประกาศทามกลางประชาชนท่ีมากกวาหน่ึงหมื่นคน ทานไดประกาศใหคนเหลาน้ัน ทราบวาทานอาลีคือผูปกครองของพวกเขาภายหลังที่ทานจากไปแลว คําส่ังแหงฆอดีรฺคุมน้ีได ปรากฏเปนหลักฐานยืนยันไวโดยฮาดีษที่สอดคลองตรงกันหลายกระแส (มุตะวาติรฺ) ขอไดโปรด พิจารณาตอวิทยปญญาตาง ๆ ท่ีทานนบีไดประกาศเรืรองน้ีตอหนาบุคคลระดับผูนําจํานวนมากที่ เปนสักขีพยาน และโปรดสนใจตอวิทยปญญาตาง ๆ ของผูเปนทายาทท่ีไดแสดงไวในวันศุกร เพ่ือใหพ วกเขายืนยนั ตอ สง่ิ สาํ คญั อันนน้ั ดงั น้ันสัจธรรมยอมยืนยันกับทุก ๆ เหตุการณที่สถานการณไดดําเนินใหมันลุลวงไปได ทุก อิริยาบถที่สงบของทานอิมามอาลีน้ันเทากับทานไดสําแดงสัจธรรมออกมาในตัวอยูแลว และน่ีคือ คุณสมบัติของทานในกรณีท่ีพันธะสัญญาและคําสั่งไดถูกกําหนดอีกท้ังถูกวางเปนเงื่อนไขใหแก ทาน ฉะน้ันทา นเพยี งแตป ลุกใจผูหลงลืมหรือเมนิ เฉยดว ยวิธกี ารทไี่ มจําเปนตอ งโวยวาย และไมตอง สําแดงความเกลยี ดชังใหป รากฏออกมา ทานจะเพียงพอกับหลักฐานท่ีนักปราชญอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ไดบันทึกไวจากฮาดีษหน่ึงท่ีเลา วาทานศาสนทูตไดจัดเล้ียงอาหาร้ึนท่ีบานลุงผูมีจิตใจอารีของทาน ณ เมืองมักกะฮฺ เปนวันท่ีทาน ตักเตอื นญาตสิ นิทของทาน โดยมีฮาดีษยืดยาว (ดังที่เราไดกลาวไปแลวในอัล-มุรอญิอะฮฺท่ี ๒๐) ซ่ึง ประชาชนเปนจํานวนมากตางไดพากันตอตานสภาวะของการเปนนบี และสัญญาณตาง ๆ ของ อิสลาม ทานนบีไดสําแดงถึงอานุภาพแหงความเปนศาสดาดวยอาหารเพียงเล็กนอยแตเพียงพอ สําหรับคนจํานวนมาก เหตุการณในคร้ังน้ันไดมีการบันทึกไวตลอด ซึ่งในตอนทายของเรื่องท่ี บนั ทกึ ระบวุ า : ทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดา ลูกหลานของทาน) ไดเอามือจับไปท่ีคอของทานอาลีแลวกลาววา “นี่คือพี่นองของฉัน ทายาทของ ฉันและตัวแทน (คอลีฟะฮฺ) ของฉันในหมูพวกทาน ดังน้ันขอใหทานทั้งหลายจงรับฟงและปฏิบัติ ตามเขาเถดิ ”

นอกจากน้ีก็ยังมีหลักฐานอีกมากมายท่ีเลาวาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวแกทาน อาลีวา “เจา คอื ผปู กครองของผูศรัทธาทกุ คนภายหลังจากฉนั ” และยังมีฮาดีษอีกจํานวนหน่ึงท่ีบงบอกถึงคํากลาวของทานแกทานอาลีวา “เจากับฉันมี ฐานะเชน เดียวกบั ทฮ่ี ารูนมตี อมูซา เพยี งแตว าจะไมมนี บภี ายหลังจากฉันอกี แลว” และยังมีฮาดีษอีกจํานวนหนึ่งที่ระบุถึงคํากลาวของทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจาํ เริญและความสันติสขุ แดทา นและแดบ รรดาลูกหลานของทาน) ในวันสําคัญแหงตําบลฆอดี รคุมวา “ฉันมิไดเปนผูปกครองที่มีอํานาจเหนือตัวของบรรดาผูศรัทธาทั้งหลายดอกหรือ ?” ประชาชนตอบวา “ใชแลว” ทานนบีไดกลาวอีกวา “ผูใดก็ตามท่ีฉันเปนผูปกครองของเขา ดังน้ัน อาลผี นู ้กี ็เปน ผปู กครองของเขาดวย”(426) อีกท้งั ยงั มหี ลักฐานมากมายทย่ี ืนยันถงึ ความเปนจริงซ่ึงมิอาจปฏิเสธได เพราะเปนที่ยอมรับ กันอยูระหวางหลักฐานที่แข็งแรงซึ่งยืนยันอยางหนักแนน และทุกสิ่งทุกอยางเหลานี้ไดนํามาแสดง ในคราวนั้น (เปนวิทยปญญาอันลึกซ้ึงอยางชนิดท่ีไมมีคําเตือนใด ๆ เทียบได) และเหตุการณในวัน อาชรู อ ทานกไ็ ดใ หคาํ ตักเตือน เกียรติยศและความดีงามของทานจะไมเหลืออยูแมแตนอย นอกจาก ทานจะตองอางสิ่งน้ันขึ้นมา และทานไดอางไวหลายคร้ังในสมัยท่ีทานดํารงตําแหนงเปนคอลีฟะฮฺ ซ่ึงมีฐานะเปนผูไดรับความอยุติธรรม ทานไดระบายความทุกขระทมของทานไว ณ มิมบัรในครั้ง หนึ่งวา “อยา งไรกด็ ี ฉันขอสาบานดวยพระนามของอัลลอฮฺ แนนอนท่ีสุดชายผูนั้นไดสวมใสสิ่งนั้น ไป (ตําแหนงคอลีฟะฮฺ) ท้ัง ๆ ที่เขาเองก็รูวา ฐานภาพของฉันกับส่ิงนั้นเปนฐานภาพที่สัมพันธกัน ดังเชนเดือยครกกับตัวครกหมุน กระแสนํ้า... ไดไหลหลากลวงเลยไปจากฉัน โชคไมอํานวยใหแก ฉนั ดังน้นั ฉนั จึงตองลดตัวลงสอู าภรณอืน่ แลว เฝามองอยดู ว ยความปวดรา ว ฉนั คดิ วาจะกระโจนเขา ไปยึดส่งิ น้นั มากับมือในทันทที นั ใด หรอื คดิ วา จะอดทนอยูกบั หนามที่ทม่ิ ตาํ ตาอยู เขาไดอ ยูอยา งนนั้ จนชรา และเด็กกลายเปนหนุม ผูศรัทธากลับเปนคนแข็งกระดาง จนกระทั่งเขาไดคืนกลับไปสูพระ ผูอภิบาลของเขา ฉันเล็งเห็นวาความอดทนตอเหตุการณน้ันเปนส่ิงที่จําเปนของฉัน ฉะน้ันฉันจึง อดทนทั้ง ๆ ท่ีมีเศษขยะอยูในดวงตา และมีหนามแหลมท่ีติดอยูในลําคอ ฉันเห็นมรดกของฉันถูก ปลนไปแลว”(427) (426) รายงานโดยทา นอิบนุ อาบู อาศิม ตามท่ีเราไดอธิบายผานไปแลว ในอัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 23

(427) คุฎบะฮฺท่ี 3 หนงั สอื “นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮ”ฺ ภาคที่ 1 หนา 25 และทานยังไดกลาวอีกวา “โออัลลอฮฺ แทจริงขาฯ ขอความชวยเหลือจากพระองคเกี่ยวกับ เร่ืองของพวกชาวกุร็อยช และบริวารของพวกเขา(428) เพราะแทจริงพวกเขาไดตัดขาดจาก ความสัมพันธตอขาฯ พวกเขาไดรวมกันลวงละเมิดบังอาจตอตําแหนงของขาฯ และพวกเขารวมกัน ทําใหขาฯ หลุดพนไปเสียจากภารกิจนั้นทั้ง ๆ ท่ีมันคือสิทธิของขาฯ” ตอมาพวกเขาเหลานั้นได กลาววา “จงรูไ วเถดิ วาในสิทธบิ างประการกใ็ หทา นรับเอาไว แตสาํ หรบั ในสทิ ธิอกี บางประการกใ็ ห ทา นไดล ะท้งิ มันเสยี ” มีชายคนหน่งึ ไดกลา วแกท านวา(429) “โอบตุ รของอาบฏี อลิบ เอย แนนอนท่ีสุด ทานมีความอยากไดในตําแหนงเหลาน้ีเสียเหลือเกินเชียวนะ” ทานอาลีไดตอบวา “ขอสาบานดวย พระนามของอัลลอฮฺ วาฉันมีความปรารถนาจริง โอทานทั้งหลาย แตฉันเพียงขอสิทธิของฉันที่พวก ทานไดทําใหมันผันแปรไปจากฉันเทาน้ันเอง” และทานอาลียังไดกลาวอีกตอนหน่ึงวา “ดวยพระ นามของอัลลอฮฺ อุปสรรคท่ีขัดขวางสิทธิของฉันมีการกอตัวข้ึนตอฉันนับตั้งแตอัลลอฮฺไดทรงนําน บีของพระองคค นื กลับไปสพู ระองคจวบจนกระทัง่ ถงึ วันนี้”(430) ทานอาลี (ขอความสันติสุขพงึ มีแดท า น) ไดก ลา วไวอ กี ครง้ั หน่งึ วา “สิทธิอันนนั้ เปน ของเรา เพราะแทจริงเราถูกมอบหมายใหไดรับสิ่งนั้น ถามิใชเชนน้ันแลวละก็เทากับเราข่ีอูฐท่ีออนแอและ แทจ ริงหนทางนน้ั ชางยดื ยาวเหลือแสน(431) ทานอาลี (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) ไดกลาวไวในจดหมายท่ีเขียนถึงทานอะกีลพี่ชาย ของทานคนหน่ึงวา “ชาวกุร็อยชไดอาจเอ้ือมเอาสิทธิของฉันไปจากฉัน แนนอนย่ิงพวกเขาไดตัด ขาดความสมั พนั ธก ับฉนั และใชอ าํ นาจมาดําเนินการตอฉนั โอบตุ รแหงมารดาเอย”(432) (428) คฏุ บะฮทฺ ่ี 167 หนังสอื “นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮฺ” ภาคที่ 2 หนา 103 (429) คุฏบะฮฺท่ี 167 เลมเดมิ อีกตอนหนึ่ง (430) คุฏบะฮฺที่ 5 หนา 37 ภาคที่ 1 หนงั สือ “นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮ”ฺ (431) หัวขอท่ี 21 ในบาบที่วาดวยอัล-มุคตารมิน หุกมิฮฺ หนา 155 หนังสือ “นะฮฺุล-บะลา เฆาะฮ”ฺ (432) คุฎบะฮฺที่ 36 หนา 67 ภาคท่ี 3 หนังสือ “นะฮฺ ลุ -บะลาเฆาะฮ”ฺ ทานอาลี (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) ยังไดกลาวไวอีกคร้ังหน่ึงวา “เมื่อฉันไดพิจารณา อยางถี่ถวนแลว ก็เห็นวาไมมีผูใดที่ใหความสนับสนุนตอฉันจริงนอกจากอะหฺลุลบัยตฺของฉัน เทานั้น ซึง่ ฉนั เองกน็ ึกถงึ พวกเขาเกี่ยวกับความวบิ ัติอยูเสมอ ฉันเฝามองทั้ง ๆ ที่ในตามีเศษขยะขวาง

อยู ฉนั ดมื่ ทงั้ ๆ ทใ่ี นลาํ คอมีหนามขวางอยู ฉันอดทนจนสุดท่จี ะกลาํ้ กลนื ตอ เรื่องราวตาง ๆ ท่เี ปนผล มาจากความกลน่ั แกลง”(433) สหายบางคนของทานไดถามทานวา “พวกของทานไดกีดกันทานจากตําแหนงนี้ไดอยางไร ในเมื่อทานมีสิทธอยางสมบูรณตอส่ิงนั้นอยูหรือ ?” ทานอิมามอาลีไดตอบวา “โอ พี่นองชาวบนีอะ สดั เอย แทจ รงิ ทา นไดมีความเขา ใจอยา งแจม แจงอยแู ลว เก่ยี วกบั ความสําคัญของฐานะทเี่ ปนบตุ รเขย และสิทธหิ นา ท่ีแหง ความรบั ผดิ ชอบ ขอใหท านโปรดไดท ราบไวดว ยเถิด ตําแหนงนี้เปนเรื่องท่ีไดมี การตดั สินกันโดยพลการตอพวกเรา ทงั้ ๆ ทเ่ี รามศี ักดิ์ศรที ่ีสูงสง และมคี วามผูกพนั กบั ทา นศาสนทูต แหง อัลลอฮอฺ ยางเหนียวแนน ซ่ึงส่ิงน้ันเปนเหย่ืออันโอชะของจิตใจชนกลุมน้ันท่ีห่ืนกระหายตอมัน และจิตใจของชนอีกกลุมหน่ึงมีความเสียสละดวยความยินดีกับสิ่งน้ัน กฎเกณฑและคําสัญญาแหง วันกิยามัตท่ีจะมีตอเขานั้นยอมขึ้นอยูกับอัลลอฮฺ และโจรปลนจะผละหนีจากทานไปโดยมีเสียงรอง อยใู นหองของเขา”(434) ทา นอาลี (ขอความสนั ตสิ ขุ พึงมีแดท า น) ไดก ลา วอกี วา “ผูท เี่ ขาแอบอางตนวามคี วามสนั ทดั จัดเจนในวิชาความรูนอกเหนือไปจากพวกเราอยูที่ไหนกันเลา ? น่ันเปนความมุสาและความละเมิด ท่ีมีตอพวกเรา แนนอนย่ิงอัลลอฮฺไดทรงยกยองพวกเรา และทรงทําใหพวกเขาตกตํ่า พระองคทรง ประทานวิชาความรใู หแ กเราและหวงหา มมิใหมีแกพวกเขา พระองคทรงนําเราเขาสูวิชาความรูและ ทรงนําออกไปจากพวกเขา ทางนําที่ถูกตองจะไดรับการปฏิบัติใชโดยพวกเราคนตาบอดจะไดรับ การชนี้ าํ แทจริงบรรดาอิมามจากตระกูลกุร็อยชท่ีเติบโตมาในสายเลือดของฮาชิมน้ัน ไมมีคุณธรรม ใดเหนอื พวกเขาและอํานาจการปกครองยอมไมถ ูกตอ งถามิใชพ วกเขา...”(435) (433) คุฏบะฮทฺ ี่ 25 หนา 62 ภาคที่ 1 หนังสือ “นะฮฺ ลุ -บะลาเฆาะฮ”ฺ (434) ดหู นา 79 ภาคท่ี 2 หนังสือ “นะฮฺ ุล-บะลาเฆาะฮฺ” คําปราศรยั ที่ 157 ทานสามารถจะพิสูจนคํากลาวของทานอาลีไดในคําปราศรัยของทานอีกตอนหนึ่งวา “นับตั้งแตศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ศ) ไดวายชนมไปแลว ชนกลุมนั้นก็ยอนกลับสูสภาพดั้งเดิม เปาหมายของพวกเขามีหลายหลาย และพวกเขาคืบคลานเขาสูแนวทางแหงความชั่วราย พวกเขา ติดตอกันอยางไมมีความปรานีปราศรัยและพวกเขาไดผละหนีตอส่ิงซ่ึงพวกเขาไดถูกบัญชาใหรัก พวกเขาไดบ ายเบย่ี งตวั อาคารออกไปจากรากฐานเดิมของมัน แลวพวกเขาก็ไดกอสรางอาคารนั้นลง ในที่ ๆ ไมเหมาะสมซึ่งเปนขุมแหงความผิดพลาดทุกอยาง ประตูแหงความผิดทุก ๆ บานลวนเปน ตัวนําไปสูความลมจม พวกเขาไดดําเนินกิจการตาง ๆ ไปดวยความไมสันทัด และพวกเขาลุมหลง

อยูในความมัวเมาตาง ๆ ตามแบบฉบับของวงศวานแหงพีรเอาวน ผูท่ีใชกําลังโดยเผด็จการตอโลก หรอื เปนผทู ่ีแตกแยกอยา งชดั เจนตอศาสนา”(436) ทานอาลี (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) ไดกลาวคําปราศรัยไวตอนหน่ึงหลังจากไดมี สัตยาบนั ตอทา นแลว ซ่ึงนบั วาเปนคาํ ปราศรยั ทีม่ ีคณุ คาสูงมาก ดงั นี้ “อยาไดเอาวงศวานของมูฮัมมัด (ศ) ไปเปรียบเทียบกับบุคคลหน่ึงบุคคลใดในประชาชาติน้ี และไมมีผูใดเสมอพวกเขา ในฐานะท่ีความโปรดปรานท่ีพวกเขาไดรับนั้นดําเนินไปนิรันดร พวก เขาเปนรากฐานของศาสนาและเปน หลกั การที่สําคัญสําหรับความเช่ือมั่นศรัทธา พวกเขาไดรับมอบ เกียรติยศที่สูงดวยคุณคา ตลอดไป สิทธิแหงการเปนผูปกครองนั้นมีสําหรับพวกเขาโดยเฉพาะและ ในหมพู วกเขานั้นมีทายาทตลอดจนผูสืบมรดก ขณะนี้สิทธิไดคืนกลับไปสูเจาของของมันแลว และ มันไดยายคืนไปยงั ท่ี ๆ มันเคยถูกโยกยายแตก อ นนีแ้ ลว ”(437) (435) ดูหนา 36 และหนาถัดไปของภาคท่ี 2 หนังสือ “นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮฺ” คําปราศรัยท่ี 140 (436) โปรดดูตอนทายของหนา 48 และหนาถัดไปของภาคท่ี 2 หนังสือ “นะฮฺุล-บะลา เฆาะฮฺ” คําปราศรัยท่ี 146 ทานอิมามอาลี (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) ไดกลาวคําปราศรัยไวอีกแหงหนึ่งซึ่งผู ขดั แยงกบั ทา นมคี วามรสู กึ ซาบซงึ้ ใจมากดังนี้ “ฉันมิไดมีความประหลาดใจเลยที่เห็นความผิดพลาด ของคนกลุมนี้โดยขัดแยงกันกับหลักฐานในศาสนาโดยสิ้นเชิง แตเขาหาไดปฏิบัติตามรองรอยของ ทานนบี และมไิ ดเ ชอ่ื ฟง ตอการกระทาํ ของผูเปน ทายาทของนบแี ตประการใดเลย”(438) 2. ทานหญิงฟาฏิมะฮฺ ซะฮฺรออฺ (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) มีคําอุทธรณที่ลึกซึ้งไวตอน หน่ึงซึ่งคําปราศรัยทั้งสองวาระของทานหญิงเปนสิ่งท่ีบรรดาอะหฺลุลบัยตฺไดย้ําเตือนใหบรรดา ลูกหลานของพวกเขาเก็บรักษาคําปราศรัยทั้งสองนั้นไว เหมือนดังเก็บรักษาอัล-กุรอาน โดยท่ีทาน หญงิ ไดมอบคาํ ปราศรัยนีใ้ หแ กบรรดาผูซึ่งเคล่ือนยายอาคาร (ตําแหนงผูนําทางศาสนา) ออกไปจาก รากฐานเดมิ แลว กอสรา งอาคารข้ึนในท่ี ๆ ไมเหมาะสมดงั นี้ : “ความวิบัติพึงมีแดพวกเขา ไฉนเลาพวกเขาจึงโยกยายมัน (ตําแหนงคอลีฟะฮฺ) ออกไปจาก แหลงที่ตั้งของสาสนอิสลาม ? ออกไปจากกฎเกณฑของทานนบี และออกไปจากผูซึ่งมาลาอิกะฮฺผู ซื่อสัตยไดนําขาวของเขาลงมา ซึ่งขาวน้ันสําคัญทั้งกิจการทางโลกและศาสนา การกระทําเชนนั้น เปนความขาดทุนอยางชัดแจงมิใชหรือ ? อะไรเลาที่เปนเหตุใหพวกเขาอาฆาตมาดรายตอบิดาของ

ฮาซัน ? ดวยพระนามของอัลลอฮฺ พวกเขาอาฆาตตอทานเนื่องจากชิงชังตอดาบของทาน และตอ ความเครงเครียดท่ีเฉียบขาดอีกทั้งคําตักเตือนและฐานภาพของทาน ตลอดจนความเกงกลาสามารถ ทีท่ า นมอี ยูในทัศนะของอัลลอฮฺ ดวยพระนามของอัลลอฮฺ ถาหากพวกเขาไดดําเนินการไปใหสมดุล กับสัญลักษณของศาสนาตามที่ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดมอบหมายไวใหแกทานแลวละก็ แนนอนท่ีสุดทานจะชวยใหพวกเขาเหลานั้นไดรับทางเดินท่ีอุดมไปดวยวิทยปญญาอันสวยงาม ความช่ัวรายตาง ๆ ก็จะไมแยมพรายและตําแหนงของเขาก็จะไมสั่นคลอน แลวแนนอนพวกเขาจะ ไดรับกระแสธารแหงสติปญญาท่ีกวางขวาง ซ่ึงอุดมสมบูรณดวยการสนับสนุนของเขา เพราะ วิชาการของเขานั้นมิไดมีเพียงเล็กนอย แนนอนทานจะใหพวกเขาเหลานั้นไดรับกันอยางอ่ิมอกอิ่ม ใจ และทา นจะสั่งสอนพวกเขาท้ังในยามลับและในยามเปดเผยจะไมมีคนท่ีหลวมตัวเขาไปกอความ เสียหายอยางเด็ดขาดไดนอกเสียจากวากระแสธารที่เปยมลนยอมเปนท่ีเพียงพอแกบุคคลท่ีหิว กระหายมิใชหรือ และแนนอนความจําเริญจากฟากฟาและแผนดินยอมถูกเปดเผยใหแกพวกเขา และอลั ลอฮกฺ ็จะทรงรบั รองพวกเขาไปตามส่งิ ท่ีพวกเขาไดป ระกอบไว ทา นทง้ั หลายไดม าฟงและได ประจักษแจงกับเหตุการณดวยความแปลกใจอยูแลวมิใชหรือ ถาหากทานจะแปลกใจ แนนอนฉันมี เร่ืองที่นาแปลกใจยิ่งกวาทาน พวกเขาชุมนุมกันเพ่ืออะไร ? และพวกทานไดยึดถือสายเชือกอะไร กัน แนนอนความเลวมีท้ังผูปกครองและผูเปนสมุนเปนความเลวที่พวกอยุติธรรมไดกระทําการ เปล่ียนแปลง ดวยพระนามของอัลลอฮฺพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปหาความบาปดวยการล้ําหนา และใช อํานาจขมเหง พวกเขาคิดวาแทจริงพวกเขาไดกระทําผลงานที่ดีเลิศแลว แตความจริงพวกเขาเปนผู กอความเสียหายอยูมิใชหรือ แตวาพวกเขาไมรูสึกตัว ความวิบัติพึงมีแดพวกเขา ผูท่ีนําทางไปสูสัจ ธรรมจําเปนที่จะตองไดรับการปฏิบัติตามหรือวาผูท่ีมิไดนําไปสูสัจธรรมนั้น เขาไมมีสิทธิ์อ่ืนใด นอกจากจะตองถกู นาํ ทางมใิ ชห รือ หรือวาทานจะตัดสนิ เรอ่ื งของทา นกนั อยางไร”(439) (437) โปรดดูตอนแรกของหนา 25 และตอนทายของคําปราศรัยที่ 2 ภาคที่ 1 หนังสือ “นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮ”ฺ (438) ดหู นา ที่ 145 ภาคท่ี 1 หนงั สอื “นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮฺ” คําปราศรัยที่ 84 นี่คือบทเรียนจากคํากลาวของทานหญิงฟาฏิมะฮฺในหัวขอน้ีซ่ึงสามารถนําเรื่องน้ีไป เปรยี บเทียบกบั เรอ่ื งอ่ืน ๆ ทีเ่ สมอเหมือนกนั ได วัสลาม (ช)

(439) ทานอาบูบักรฺ อะหฺมัด บิน อับดุลอะซิซ อัล-เญาฮะรีย ไดบันทึกไวในหนังสือ “อัสสะกีฟะฮฺ” และ “ฟะดัก” ซ่ึงรายงานมาจากมูฮัมมัด บิน ซะกะรียา จากทานมูฮัมมัด บิน อับดุลเราะหฺมาน อัล-มะฮัลลีย จากทานอับดุลลอฮฺ บิน ฮัมมาด บิน สุลัยมาน จากบิดาของ ทาน จากทานอับดุลลอฮฺ บิน ฮาซัน บุตรของอิมามฮาซัน ซ่ึงไดบันทึกโดยตรงมาจากทาน หญิงฟาฏิมะฮฺ บินตฺ ฮูเซน ซ่ึงอางถึงทานหญิงฟาฏิมะฮฺ อัซซะฮฺรอฺอ (ขอความสันติสุขพึงมี แดทาน) และทานอิมามอาบูฟฎลฺ อะหฺมัด บิน อาบูฏอฮิร (เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ. 280) ก็ได รายงานไวในหนังสือ “บะลาฆอตุลนิสาอฺ” หนา 23 จากสายสืบของฮารูน บิน มุสลิม บิน สะอฺดาน ทานฮาซัน บิน อุลวาน ทานอะฏียะฮฺ อัล-อูฟยฺ ซ่ึงคําปราศรัยบทน้ีไดรายงานมา โดยอับดุลลอฮฺ บิน ฮาซัน บิน ฮาซัน จากทานหญิงฟาฏิมะฮฺ บินต ฮูเซน มารดาของทาน จากทา นหญงิ ฟาฏมิ ะฮฺ ซะฮฺรออฺ ยา ของทา นเอง อลั -มะรอญิอะฮฺ 105 16 รอบอี ุษ-ษานี 1330 • ขอพิสูจนหลักฐานอนื่ ๆ อีก ขาพเจามีความประสงคที่จะไดพิสูจนกับหลักฐานท่ีมีประโยชนที่สมบูรณเก่ียวกับคํา อทุ ธรณต าง ๆ ในเร่ืองน้ีทีน่ อกเหนอื จากของทานอิมามอาลีและของทานหญิงฟาฏิมะฮฺ ซะฮฺรออฺ จึง ขอใหทานไดโปรดเสนอหลักฐานดงั กลา วแกข า พเจา ดว ย วัสลาม (ซ) อัล-มะรอญอิ ะฮฺ 106 18 รอบีอษุ -ษานี 1330 1. คาํ อุทธรณของทา น อบิ นุ อับบาส 2. คาํ อทุ ธรณของทานอมิ าม ฮาซัน (อ) และอมิ าม ฮุเซน (อ)

3. คาํ อุทธรณของบรรดาชีอะฮฺ ผูก ลาหาญในหมู ศอฮาบะฮฺ (สาวก) 4. ชี้แจงไปยังคาํ อุทธรณของพวกเขาเหลานน้ั ทีอ่ างถงึ ตําแหนงวะศยี ฺ 1. ขาพเจาจะขอนาํ ทา นมาพิจารณาตอคําสนทนาระหวางทานอิบนุ อับบาสกับทานอุมัร ใน บทสนทนาทย่ี าวตอนหนงึ่ ดังนี้ ทานอุมัร : อิบนุอับบาสเอย ทานรูหรือเปลาวาทําไมพวกของทานจึงถูกยับย้ังมิใหดํารงตําแหนง ผปู กครองหลังจากมฮู ัมมดั (ศ) ? ทานอิบนุอับบาส : ฉันรังเกียจท่ีจะตอบ แตฉันก็ไดกลาวกับเขาวา : ถึงฉันจะไมรูแตทานอามีรุลมุ มนี ีนกค็ งทราบดีอยแู ลว ทานอุมัร : พวกเขาเหลานั้นรังเกียจตอการท่ีจะมีทั้งผูดํารงตําแหนงนบีและคอลีฟะฮฺรวมอยูในหมู พวกทาน ดงั นั้นพวกเขาจึงกระดางกระเดื่องตอ พวกทาน ดงั น้นั ชาวกุร็อยชจึงเลือกผูปกครองเพื่อตัว ของพวกเขาเอง ซง่ึ ไดเหมาะสมและถกู ตองแลว ทา นอบิ นอุ ับบาส : โอ ทา นอามีรลุ มมุ นิ ีน ถา ทา นอนุญาตใหฉนั พดู ก็ขอใหทา นอยาไดโกรธกัน แลว ฉนั จะพดู ทานอุมัร : ทา นจงพูดเถิด ทา นอบิ นอุ ับบาส : โอทา นอามรี ุลมมุ นิ นี ตามที่ทานไดกลาววาชาวกุร็อยชไดเลือกผูปกครองเพ่ือตัว ของพวกเขาเองซ่ึงไดเหมาะสมและถูกตองแลวน้ัน ข้ึนอยูกับวาถาหากชาวกุร็อยชไดเลือก ผูปกครองเพื่อตัวของพวกเขาไปตามแนวทางที่อัลลอฮฺไดทรงเลือกใหแลว นั่นแหละจึงถือวาเปน ความถูกตองของพวกเขาโดยไมมีผูถูกปฏิเสธและผูอิจฉาริษยา สวนคําท่ีทานไดกลาววา : พวกเขา เหลาน้ันรังเกียจตอการท่ีจะมีผูดํารงตําแหนงนบีและคอลีฟะฮฺรวมอยูในหมูพวกเรานั้น ขอบอกวา แทจริงอัลลอฮผฺ ทู รงสงู สุด ไดท รงระบถุ ึงพวกทม่ี ีความรังเกยี จเชน นั้นไววา “เชนนั้นแหละท่ีพวกเขาเหลาน้ันมีความรังเกียจสิ่งที่อัลลอฮฺไดทรงประทานมา ดังน้ัน พระองคไ ดท รงลบลา งผลงานตาง ๆ ของพวกเขา” (47 : 9) ทา นอุมรั : นแี่ นะ โออ ิบนุอับบาส แนนอนทานไดแสดงอาการที่นารังเกียจใหแกฉัน ซ่ึงถาหากทาน ยึดม่นั สง่ิ น้ันแลว กเ็ ทากบั วา ฐานะของทานก็ควรจะหลีกพน ไปจากฉนั

ทา นอิบนุอบั บาส : โอทานอามีรุลมุมินีน ส่ิงนั้นคืออะไรเลา ? แตถาหากมันเปนสัจธรรมมันก็ไมนา ท่ีจะใหฐานะของฉันหลบเล่ียงไปจากทาน แตถามันเปนความเท็จ ความเท็จดังกลาวก็เกิดขึ้นมาจาก ตวั ของมนั เอง ทานอมุ ัร : มีขา วรายงานมาถงึ ฉันวาทานไดกลา ววา : แทจ รงิ ตําแหนง ผปู กครองนั้นพวกเขาไดห นั เห มันไปจากพวกเราดวยความอิจฉา ดวยความละเมดิ และดวยอธรรม ทานอิบนุอับบาส : โอทานอามีรุลมุมินีน สําหรับคําท่ีทานกลาววา “อยุติธรรม” น้ัน แนนอนที่สุด มนั เปนสิง่ ที่อธบิ ายใหอ ยางชดั เจน ไดแ กพ วกงมงายและพวกมีสติปญญา สวนคํากลาวของทานที่วา “อิจฉาริษยา” นั้น ก็แนนอนทานนบีอาดัมน้ันไดถูกอิจฉาริษยา และเราเปนลูกหลานของเขา เราจึง เปน ผูถ ูกอจิ ฉารษิ ยา ทา นอมุ รั : น่แี นะ น่ีแนะ ดวยพระนามของอัลลอฮฺ โอลูกหลานของฮาชิมเอย หัวใจของพวกทานไม มอี ะไรนอกจากความอิจฉาอยา งแนนอน ทานอิบนุอับบาส : โอ ทานอามีรุลมิมินีน เดี๋ยวกอนซิ ขอทานอยาไดปรักปรําลักษณะเชนน้ีใหแก หัวใจของพวกท่ีอัลลอฮฺทรงไดขจัความมลทินทั้งปวงออกไปจากพวกเขา และทรงชําระขัดเกลา พวกเขาเหลา นัน้ ใหสะอาดบรสิ ทุ ธ(์ิ 440) ทานทั้งสองไดสนทนากันอีกคร้ังหน่ึง ซึ่งทานอุมัรไดกลาวในตอนหนึ่งวา : ทานสัมพันธ กนั กบั บุตรของลุงของทา นอยางไร ทานอิบนุอบั บาส (คดิ วา หมายถงึ อบั ดลุ ลอฮฺ บิน ญะอฺฟร ) : ฉันสัมพนั ธก ับเขาเพราะอายุของฉันเทา เทยี มกนั กบั เขา ทานอุมรั : ฉันมิไดหมายถงึ คนนัน้ แตฉ นั หมายถึงผมู ีเกยี รติแหงอะหฺลุลบยั ตฺในหมูพวกทา น ทานอิบนุอับบาส : ฉันผูกพันกับเขา เพราะเขาสามารถลบความมืดมัวไดพรอมกับเขาอานอัล-กุ รอาน (440) หนังสือ “ตารีคอัล-กามิล” ของทานอิบนุ อัล-อะษีร ซึ่งเปนรายละเอียดตอนหลัง ๆ ของชวี ประวตั ทิ า นอุมัรในป ฮ.ศ. 23 หนา 24 ภาคที่ 3 และทานอัลลามะฮฺ มุอฺตะชิละฮฺ ก็ได รายงานไวอีกดวยในหนาที่ 107 ภาคท่ี 3 หนังสือ “นะฮฺุล-บุลาเฆาะฮฺ” (ตอนกลาวถึง คุณสมบัตขิ องทา นอมุ รั )

ทานอุมัร : โอ อับดุลลอฮฺเอย เจาจะตองหลั่งเลือด ถาหากเจาปดบังเรื่องราวเหลานี้ เขายังมีหลักฐาน อยูในตวั เองสักอยา งไหมทเ่ี หมาะสมกับตําแหนงคอลฟี ะฮฺ ? ทานอิบนอุ ับบาส : มซี ิ ทา นอุมรั : เขาคดิ วาทา นศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ ระบกุ ารแตง ต้งั ใหแ กเขากระนั้นหรอื ? ทานอิบนุอับบาส : ฉันจะบอกใหทานทราบวา ฉันไดถามบิดาของฉันแลว เก่ียวกับสิ่งท่ีเขาอางวา เปนผูซึ่งทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดระบุการแตงตั้งใหเขาเปนคอลีฟะฮฺ แลวทานก็ตอบวาเปน ความจริง ทานอุมัร : คําสั่งในเร่ืองน้ีของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺเปนการใหเกียรติอยางสูงในคุณสมบัติที่ดี ของเขาเทาน้ัน มิใชเปนหลักฐานท่ีหนักแนน และมิใชเปนคําตัดสินเด็ดขาด ความจริงแลวทาน เพียงแตทดสอบประชาชาติ เพื่อดูวาเขาจะรับในคําส่ังของทานไดหรือไม และแนนอนที่สุดทาน ตองการที่จะอธิบายถึงชอื่ ของเขาในขณะท่ีทานนอนเจบ็ อยู แตแลว ฉนั กไ็ ดยบั ยง้ั ทา นในเรอ่ื งนนั้ เสยี ได(441) ทานทง้ั สองไดส นทนากนั เปนคร้ังทส่ี ามดังนี้ ทานอมุ ัร : โอ ทา นอิบนุอับบาส ฉันเหน็ วาสหายของทา น (ทานอาล)ี เปนผูไดรบั ความอยตุ ธิ รรมอยู ทานอิบนุอับบาส : โอ ทานอามีรุลมุมินีน ขอใหความไมยุติธรรมท่ีเขาไดรับอยูกลับคืนเขารูปรอย เสยี เถดิ (ทานอมุ รั ไดป ลอยมอื ของฉันสักครหู นึ่งแลว ทา นก็หยุดนิ่ง ฉันจงึ เขา ไปหาทานอีก) (441) รายงานโดยทานอิมามอาบู ฟฎล อะหฺมัด บิน อาบีฏอฮิรฺ ในหนังสือ “ตารีคบัฆดาด” โดยสายสืบท่ีอางถึงทานอิบนุอับบาส และทานอัลลามะฮฺ มุอฺตะซิละฮฺ ก็ไดรายงานไวใน ตอนกลาวถึงทา นอุมัร หนงั สือ “ชะเราะฮฺ นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮ”ฺ หนา 97 ภาคท่ี 3 ทานอุมัร : โอ อิบนุอับบาส ฉันคิดวาการท่ีพวกเขาเหลาน้ันยับยั้งมิใหเขา (รับตําแหนงคอลีฟะฮฺ) ก็ เพราะวาพวกของเขาจะทําใหเ ขาตกตํ่า ทานอิบนุอับบาส : ขอสาบานดวยพระนามของอัลลอฮฺ วา อัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองคมิทรง ทาํ ใหเ ขาตกตํ่าหรอก เพราะวาพระองคและทานศาสนทูตไดมีบัญชาใหเขาเปนผูนําเอาโองการ “บะ รออะฮฺ” คืนกลับมาจากสหายของทา น (อาบูบกั รฺ) ทานอิบนุอับบาสไดกลาวตอไปอีกวา : แลวทานอุมัรก็ผละหนีไปจากฉันอยางรวดเร็ว แลวฉันก็ กลับมาจากการพบกับเขา(442)

ยังมีหลกั ฐานทจ่ี ารกึ ไวโ ดยประชาชาติอิสลาม และโดยวาจาของผูอยูในตระกูลฮาชิมอีกทั้ง วาจาของทานอับดุลลอฮฺ บิน อับบาส ผูเปนบุตรของลุงของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺอยูอีกจํานวน หน่ึงท่ีมีลักษณะเหมือน ๆ กันกับเรื่องราวเหลาน้ี ขณะเดียวกันทานก็ไดผานมาแลวในอัล-มุ รอญิอะฮฺท่ี 26 หลักฐานอางอิงของทานท่ีใหแกคนกลุมนั้น ก็คือเนื้อหา 10 ประการจากคุณสมบัติที่ มอี ยูเ ฉพาะของทานอาลี ดงั ทมี่ ปี รากฏในฮาดษี ยาวมากบทหนึ่ง ซ่งึ ทานไดก ลาวไวว า : ทานนบีไดกลาวแกลูกพี่ลูกนองของทาน “ในหมูพวกทานนี้จะมีใครบางที่เปนผูรวมงาน อยางใกลชิดกับฉันท้ังในโลกนี้และปรโลก” คนทั้งหลายปฏิเสธ แตทานอาลีไดกลาวขึ้นวา “ฉันขอ เปน คนรวมงานท่ีใกลชดิ ของทานท้ังในโลกนี้และปรโลก” ดังนั้นทานศาสนทูตจึงกลาวแกทานอาลี วา “เจา เปนผใู กลช ดิ ของฉนั ทั้งในโลกนแ้ี ละปรโลก ทานอิบนุอับบาสไดเลา ตอ ไปอกี วา (442) การสนทนาบทนี้นกั ประวตั ิศาสตรไดบันทกึ ไวในเรื่องราวที่เก่ยี วกับทานอมุ ัรและเรา ไดอางเร่ืองน้ีมาจากหนังสือ “ชะเราะฮฺ นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮฺ” ของทานอัลลามะฮฺ มุอฺตะซิ ละฮฺ หนา 105 ภาคที่ 3 “เม่ือทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดออกไปทําสงคราม” “ตะบูก” น้ันทานไดนําประชาชน ออกไปพรอมกับทาน ทานอาลีจึงกลาวแกทานวา “ใหฉันออกไปพรอมกับทานไดหรือไม ?” ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดกลาววา “ไมได” ดังนั้นทานอาลีจึงรองไห ทานนบี (ศ) จึงไดกลาวข้ึน แกทานวา “เจามิไดภูมิใจดอกหรือท่ีเจากับฉันมีฐานะเหมือนฮารูนกับมูซาเพียงแตจะไมมีนบี ภายหลังฉันอกี แลว แนน อนแนไมค วรจะออกไปไหนนอกจากจะตอ งใหเจาอยูเปนตวั แทนของฉนั ” ทานอบิ นอุ บั บาสไดเลาตอ ไปอกี วา : ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดกลาวแกทานอาลีวา “เจาคือผูปกครองของผูศรัทธาทุกคน ภายหลังจากฉนั ” ทานอบิ นอุ ับบาสเลา ตอไปอีกวา : ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดเคยกลาวไววา “ผูใดท่ีฉันเปนผูปกครองของเขา ดังน้ัน อาลีกเ็ ปนผูปกครองของเขาดวย” 2. บรรดานักปราชญแหงตระกูลบนีฮาชิมเปนจํานวนมากในสมัยนั้นตางก็ไดอางเร่ือง เหลาน้ีไวเปนหลักฐานแมกระทั่งทานฮาซัน บิน อาลี ซ่ึงครั้งหน่ึงทานเคยเขาไปหาทานอาบูบักรฺใน ขณะที่กําลังยืนอยูบนมิมบัรของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) แลวกลาววา “จงลงมาจากท่ีนั่งบิดา

ของฉันเสียเถิด” และเรื่องน้ีก็ไดเกิดขึ้นแกทานฮุเซนอีกเชนเดียวกัน คือทานไดกลาวอยางน้ันกับ ทานอมุ รั ในขณะทย่ี นื อยูบนมมิ บัรอกี ดวย(443) 3. ตําราตาง ๆ ของฝายอิมามียะฮฺไดยืนยันถึงหลักฐานที่เปนคําอุทธรณตาง ๆ เหลานี้อยาง มากมาย ตามท่ีบุคคลสําคัญในตระกูลฮาชิม ตลอดจนบรรดาปยมิตร บรรดาสาวกและบรรดาดา บิอีนไดแสดงไว ฉะนั้นผูใดประสงคจะดูในรายละเอียดตาง ๆ ก็ยอมสามารถพิจารณาศึกษาใน ตํารับตําราเหลานั้น และเราสามารถพิสูจนจนเปนท่ีเพียงพอกับรายละเอียดตาง ๆ ที่มีอยูในหนังสือ อัล-อหิ ตฺ ิ-ญาจญ ของทา นอมิ ามฎ็อบรอสียฺ ซ่ึงทา นไดบ ันทึกมาจากคาํ รายงานของทา นคอลดี บนิ สะ อีด บิน อัล-อาศ อัล-อะมะวียฺ(444) และทานซัลมาน ฟาริซีย ทานอาบูซัร อัล-ฆ็อฟฟารียฺ ทานอัมมารฺ บิน ยาซริ ทานมิกดาด ทานบุรัยดะฮฺ อัล อัสละมียฺ ทานอาบีฮัยษัม บิน อัต-ตัยฮาน ทานสะฮล ทานอุ ษมาน บิน หุนัยฟฺ ทานคุซัยมะฮฺ บิน ษาบิต (นักรบสองสมรภูมิ) ทานอุบัย บิน กะอับ ทานอาบู อัย ยูบ อลั -อันศอรียฺและบุคคลอน่ื ๆ ตลอดจนถึงผูซง่ึ ศกึ ษาเรื่องราวของอะหฺลุลบัยตฺและบรรดาปยมิตร ของพวกเขา โดยที่บุคคลเหลานั้นมิไดทําใหคุณคาของคําอุทธรณแตละบทลดนอยลง ทุกบททุก ตอนเหลานั้นตางไดรับการอรรถาธิบายและบันทึก มีทั้งคําอุทธรณที่รุนแรงและน่ิมนวล มีท้ังท่ีเปน คําปราศรัยและเปนขอเขยี น มีทง้ั ที่เปนบทกวแี ละรอยแกว พวกเขาพยายามทจี่ ะกระทําเทาที่พวกเขา จะฟน ฝา อุปสรรคได (443) ทานอิบนุ ฮะญัรฺ ไดอางเรื่องท้ังสองนี้ไวในหัวขอท่ีหา พรอมกับแสดงหลักฐาน โองการ “อัล-มะวัดดะตุฟล-กุรบา” ซ่ึงเปนโองการท่ี 14 มาอธิบายประกอบ ในบาบที่ 11 หนังสือ “ศอวาอิก” หนา 160 ทานดารุ-กุฎนียฺก็ไดบันทึกไวในหัวขอเรื่องทานฮะซันกับ ทานอาบูบักรฺ ทานอิบนุสะอัดก็ไดกลาวถึงเร่ืองนี้ไวในหมวดที่เกี่ยวกับทานอุมัร จาก หนงั สือ “ฎอบากอต” หวั ขอ เร่อื ง ทา นฮูเซนกบั ทานอมุ ัร (444) ทานคอลิด บิน สะอีด บิน อัล-อาศ เปนผูที่ปฏิเสธตําแหนงคอลีฟะฮฺ ของทานอาบู บักรฺและไมยอมใหสัตยาบันเปนเวลาถึงสามเดือน บรรดานักปราชญของฝายอะหฺลิซซุน นะฮฺจํานวนหนึ่งตางก็ไดระบุเรื่องนี้ไว เชนทานอิบนุสะอัด ซึ่งทานไดบันทึกในหมวดที่ อธิบายถึงชื่อของทานคอลิด หนังสือ “ฏอบากอต” หนา 70 เลม 4 ซึ่งไดกลาวไววาเม่ือทาน อาบู บักรฺไดจัดสงกองทหารไปยังเมืองซีเรียในเหตุการณคร้ังหนึ่ง ทานคอลิดไดกลาวคํา ตาง ๆ ตอบรรดามุสลิมและไดนําธงไปที่บานของทาน ทานอุมัรจึงไดกลาวแกทานอาบู บกั รวฺ า : “คอลดิ ไดปฏิเสธแลว เขาเปนคนกลาวหามิใชหรือ ? และทานก็ยังไมนํามาคืนจน

อาบูบักรฺไดสงอาบูอัรวาอัด-เดาซียฺไปหาแลวกลาววา” : แทจริงคอลีฟะฮฺของศาสนทูต แหงอัลลอฮฺไดกลาวแกทานวา “ใหทานคืนธงของเราใหแกเรา” แลวทานก็ไดมอบธงคืน สงไป พลางกลาววา “ฉันไมพึงปรารถนาผูปกครองของทาน และเราจะไมผิดพลาดไปตาม ความบิดเบือนของพวกทาน” ปรากฏวาทานอาบูบักรฺไดเขาไปขออภัยตอเขาและไดสําทับ แกเขาวาอยาไดก ลาวอนั ใดแกอุมัรและแกท ุกคนท่ไี ดเ ปนทหารซงึ่ ถกู สงไปเมืองซเี รีย 4. สรุปแลวการกลาวถึงเร่ืองราวของการแตงต้ังใหทานอาลีเปนวะศียฺ (ทายาท) น้ันนับวา เปนเร่ืองท่ีบรรดาผูอุทธรณทั้งหลายไดกระทํากันเปนจํานวนมาก ดังเชนบรรดาผูซ่ึงติดตามศึกษา ตา งรบั รูกนั มาโดยตลอดอยูแ ลว วัสลาม (ช) อลั -มุรอญอิ ะฮฺ 107 19 รอบอี ุษ-ษานี 1330 • พวกเขาเหลาน้ันเคยอางถึงเร่ืองตาํ แหนงวะศยี เฺ มือ่ ใด? ที่วาบรรดาผูซึ่งไดศึกษาติดตามอยางใกลชิดตอประวัติศาสตรไดกลาวถึงเรื่องราวการ แตง ตั้งตําแหนงวะศยี ฺ (ทายาท) ใหแกทานอิมามอาลนี ้นั ไดม ขี ึ้นเม่ือใดบา ง ? และพวกเขาเหลา นน้ั ได อุทธรณถึงเร่ืองนี้เม่ือไร ? เพราะขาพเจาไมเคยไดรูเลยวาบุคคลเหลานั้นไดกลาวถึงเรื่องราวเหลาน้ี อีก นอกจากในชวงท่ีเก่ียวกับทานหญิงอาอีชะฮฺ (มารดาของศรัทธาชน) ซึ่งก็ปรากฏวาทานหญิงได ปฏิเสธเรอ่ื งนี้ ดังทเ่ี ราไดอ ธิบายผานกันมาแลวในตอนตน วสั ลาม (ซ) อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 108 22 รอบีอุษ-ษานี 1330

• คําอุทธรณต า ง ๆ ทอ่ี างถงึ ตําแหนงวะศียฺ แนนอน ทานอิมามอาลี อามีรุลมุมินีน ไดเคยกลาวถึงเรื่องนี้บนมิมบัรมาคร้ังหน่ึงแลว ตามท่ีเราไดแถลงใหทานทราบไปในอัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 104 อีกทั้งทุกคนท่ีไดรายงานฮาดีษเก่ียวกับ เหตุการณที่บานของศาสดา ในวันท่ีประกาศคําตักเตือนแกบรรดาญาติมิตรของทาน ตางก็เทากับ สนับสนุนเรื่องน้ีใหแกทานอาลีและเรายังไดอธิบายโดยละเอียดผานไปครั้งหน่ึงแลวในอัล-มุ รอญอิ ะฮฺที่ 20 ซ่งึ ในบทน้ันไดม หี ลักฐานทร่ี ะบอุ ยา งเดนชัดถงึ ฐานะการเปน วะศยี ฺ (ทายาท) และการ เปนคอลีฟะฮฺ (ตวั แทน) ของทา น และทานอิมามอาบูมุฮัมมัด ฮาซัน (ผูเปนหลานของทานศาสดา) ผู มีตําแหนงเปนหัวหนาของชายหนุมชาวสวรรค ก็ไดกลาวคําปราศรัยที่ประทับใจไวอีกบทหน่ึง(445) เม่ือตอนท่ีทานอามีรุลมุมินีน ไดถูกสังหารวา “ฉันคือบุตรของนบีและฉันคือบุตรของวะศียฺ (ทายาท) ของนบ”ี (445) รายงานโดยทา นฮากิม ในหนา 172 เลมที่ 3 หนังสือ “ศอฮีฮมฺ ุสตัดรอ็ ก” ทานอิมามญะอฺฟร ศอดิกไดกลาวไวในคร้ังหนึ่งวา : “ทานอาลีเปนผูมีสวนรูเห็นรวมกับ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ทานไดรับสาสนของอิสลามมาเปนกรอบแหงชีวิต และทานไดยินสุ รเสยี ง” ทานอิมามญะอฟฺ ร ไดกลา วตอ ไปอกี วา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวแกทานอาลี วา : หากมิใชฉันไดเปนบุคคลสุดทายแหงบรรดาอัมบิยาอฺแลว แนนอนเจาจะตองเปนผูมีสวนรวม อยูในสภาวะของนบีดวย แตถงึ แมเจาจะมไิ ดเ ปน นบี แทจ รงิ เจาก็ไดเ ปน ทายาทของนบีและเปน ผสู บื มรดก”(446) รายละเอียดเปนขอมูลท่ีมีสายสืบสอดคลองตรงกัน (มุตะวาติร) จากบรรดาอิมามแหงอะหฺ ลุลบัยตฺมาโดยตลอด เพราะเร่ืองนี้นับวาเปนเรื่องท่ีสําคัญอยางย่ิงของพวกเขาและบรรดาปยมิตร ท้งั หลายของพวกเขา นบั ตง้ั แตสมัยของบรรดาศอฮาบะฮฺจวบจนมาถึงสมัยของพวกเราในปจจุบันน้ี ทา นซัลมาน ฟร ซยี ฺ กย็ ังไดเ คยกลา ว “ฉันไดยินทานศาสนทูตแหงอลั ลอฮฺ (ศ) กลาววา : แทจ ริงวะศียฺ (ทายาท) ของฉัน ผูเก็บความลับของฉัน มรดกที่ฉันไดละทิ้งไวหลังจากฉัน ผูท่ีเขาไดบรรลุลวงตอ พนั ธะสญั ญาตาง ๆ ของฉนั และชดใชห น้สี นิ ของฉันน้นั คอื อาลี บนิ อาบีฏอลิบ” ทานอาบู อัยยูบ อัล-อันศอรียฺ ไดเลาวา “ทานไดยินทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) กลาวแก ทานหญิงฟาฏิมะฮฺวา : เจาไมรูดอกหรือวา แทจริงอัลลอฮฺผูทรงเดชานุภาพน้ัน ไดทดสอบบรรดา ชาวโลก ดังนั้นพระองคไดทรงคัดเลือกบิดาของเจามาจากพวกเขาทั้งหลายแลวไดทรงแตงต้ังให

เปนนบี หลังจากนั้นพระองคไดทรงทดสอบดวยประการที่สองกลาวคือพระองคทรงเลือกบุคคลที่ จะเปนสามีของเจาโดยพระองคไดทรงประทานวะฮฺยูมายังฉัน ดังนั้นฉันจึงยกเจาใหแตงงานกับเขา และฉนั ไดแ ตงต้ังใหเขาเปน วะศยี ”ฺ (446) ดูหนังสือ “ซะเราะหฺ นะฮฺุล-บะลาเฆาะฮฺ” หนา 254 ภาคที่ 3 ในตอนทายของ คาํ อธบิ ายคุฎบะฮอฺ ันมีชอ่ื เสยี งบทนัน้ ทานบุรัยดะฮฺ ไดเ ลา ไววา “ฉันไดย นิ ทา นศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาววา : สําหรับนบี ทุกคนนัน้ ลวนมวี ะศยี ฺ (ทายาท) และผูสืบมรดก แทจริงผูเปนวะศียฺ (ทายาท) และผูสืบมรดกของฉัน กค็ อื อาลี บิน อาบีฏอลิบ(447) ทานญาบิร บิน ยะซีด อัล-ุอฺฟยฺ ก็ยังไดเลาฮาดีษบทหนึ่ง ซึ่งรายงานไวโดยทานอิมามบา กิร ดังท่ีมีปรากฏอยูในหนังสือ “มีซาน” ของทานซะฮะบียฺ ในหมวดท่ีอธิบายถึงชื่อของทานญาบริ วา “ทายาทหนึ่งของบรรดาทายาทของทานนบีไดเลาใหฉันฟง.... ทานอุมมุคัยรฺ บินตฺ หะรีช อัล-บา ริกียะฮฺ ไดกลาวคําปราศรัยกระตุนเตือนบรรดาชาวกูฟะฮฺ ในสงครามศิฟฟนเก่ียวกับการตอสูของมุ อาวิยะฮฺ คําปราศรัยของทานมีเน้ือหารัดกุมมาก ซึ่งทานไดกลาวในตอนหนึ่งวา : พวกทานจงระดม เขาสูความเมตตาที่อัลลอฮฺไดใหแกพวกทานดวยการเขารวมกับทานอิมามผูทรงธรรมผูเปนวะศียฺ (ทายาท) ทส่ี มบรู ณ และผูเ ปนศดิ ดกี (ผูม ีสัจจะ) อนั ยง่ิ ใหญ. ...”(448) นี่คือเนื้อหาเพียงบางสวนของคําอุทธรณท่ีบรรพชนผูมีคุณธรรมไดกลาวถึงในเร่ือง ตําแหนงวะศียฺ (ทายาท) ของนบีทั้งในคําปราศรัยและคํารายงานฮาดีษของพวกเขา ผูท่ีติดตามศึกษา เร่อื งราวของบคุ คลเหลานีจ้ ะเห็นวาพวกเขายึดม่ันอยางเนนหนักกับตําแหนงการเปนวะศียฺ (ทายาท) ของทานอามีรุลมุมีนีน โดยไดสรุปไวเปนช่ือหน่ึงของทานอิมามที่ไดมีการขนานนามใหจนกระท่ัง เจา ของหนังสือ “ตาุล-อูรูส” ไดก ลา วไวใ นหมวดท่วี าดว ยเร่ืองวะศียฺ (การแตงต้ังทายาท) หนา 392 ภาคท่ี 10 จากหนังสือ “อัตตาจญ” วาคําวา วะศียฺ (ทายาท) น้ันเปนเสมือนหนึ่ง สมญานามที่มีไว สาํ หรบั ทานอาลี (ขออัลลอฮฺทรงปตชิ ่นื ชมตอทาน) โดยเฉพาะ (447) ฮาดีษของทานบุรัยดะฮฺ ทานอาบูอัยยูบ ทานซัลมานดังกลาวน้ี เราไดเสนอไปแลว ในอลั -มุรอญอิ ะฮฺที่ 68 (448) ทานอิมามอาบูฟฎลฺ อะหฺมัด บิน อาบูฎอฮิรฺ อัล-บัฆดาดียฺ ไดรายงานไวในหนาท่ี 41 หนงั สอื “บะลาฆอตนสิ าอ”ฺ โดยมสี ายสบื ไปถึงทา นชุอบฺ ียฺ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook