Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

อัล-มุรอญิอาต เล่ม 2

Published by thaiislamlib.com, 2022-06-06 05:31:49

Description: จดหมายสนทนาโตตอบทางวิชาการระหว่างอุลามาชีอะห์กับผู้รู้ซุนนี

Search

Read the Text Version

ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) จึงไดกลาวข้ึนวา “พวกทานจงนํากระดาษมาเถิดเพื่อฉันจะไดบันทึก ใหแกพวกทาน ซ่ึงส่ิงที่พวกทานจะไมหลงทางหลังจากนี้ตลอดไป” แตแลวพวกเขาเหลาน้ันก็ได โตแยงข้ึน ซึ่งการโตแยงตอนบีน้ันเปนสิ่งท่ีมิบังควรอยางยิ่ง คือพวกเขาเหลานั้นไดกลาวขึ้นวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดเพอไปเสียแลว(362) ทั้ง ๆ ที่ในยามนั้นทานศาสนทูต (ศ) ไดรูดีวา ทาน มิไดเปนอยางคํากลาวของพวกเขาเหลาน้ัน ทานจึงไดกลาวแกพวกเขาวา “จงลุกข้ึนยืนเถิด” แลว ทานก็ไดยืนยันถึงพันธะกรณีของทานโดยถอยคํา พรอม ๆกันนั้น ทานก็ยังไดส่ังเสียพวกเขาไวใน วาระกอนการวายชนมของทาน ซ่ึงคําสั่งเสีย 3 ประการน่ันคือ “พวกเขาจําเปนที่จะตองยอมรับการ ปกครองของทา นอาลี พวกเขาจะตองขับไลชาวมุชริกออกจากคาบสมุทรอาหรับ และอนุญาตใหได ตามเง่ือนไขทีฉ่ ันเคยอนุญาต” (362) รายงานโดยทานบุคอรีในบาบที่วาดวย “ญะวาอิซุล-วัฟต” จากกิตาบ “อัล-ญิฮาด” หนา 118 ภาคที่ 2 ในหนังสือศอฮี้ฮฺของทาน และมีในบันทึกของศอฮ้ีฮฺมุสลิม มุสนัด อะหฺ มัด และตาํ ราอ่นื ๆ ของนกั ปราชญฝายซนุ นะฮฺ แตทวาระบอบการปกครองโดยผูมีอํานาจในสมัยนั้นไมเปดโอกาสใหบรรดานักรายงานฮา ดีษรับทราบเร่ืองราวท่ีเกี่ยวกับคําสั่งเสียขอแรกของทานซึ่งพอจะสังเกตไดวา พวกเขาอาจจะลืม เลือนเสียก็ได ทานบุคอรีไดกลาวไวในตอนทายของฮาดีษบทนี้ โดยระบุถึงคํากลาวของพวกเขาเหลานั้น ที่วา “ทานศานทูตแหงอัลลอฮฺไดเพอไปเสียแลว(363) วา “ทานไดสั่งเสียในยามกอนการวายชนมของ ทา นสามประการ กลา วคือ ใหพวกเขาขบั ไลชาวมุชริกออกจากคาบสมทุ รอาหรบั และอนญุ าตใหได ตามเงื่อนไขทฉ่ี ันเคยอนญุ าต” หลังจากนัน้ ทา นบคุ อรีไดก ลาววา “และฉนั ลืมขอที่สาม” ทาํ นองเดียวกนั นี้ ทา นมสุ ลมิ ก็ไดก ลาวไวเชน กัน ในหนังสือศอฮี้ฮฺของทาน และตําราอ่ืน ๆ ของนกั ปราชญฝายซนุ นะฮฺก็ไดก ลา วทํานองเดยี วกันนอ้ี กี ดว ย 3. สําหรับในกรณีท่ีมารดาแหงศรัทธาชนไดอางวาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลับไปหาพระ ผูอภิบาลของทาน (วายชนม) ในขณะท่ีอยูบนทรวงอกของทานหญิงเอง ซึ่งเรื่องนี้เราขอปฏิเสธโดย เหตุที่วามีหลักฐานยืนยันอยางแนชัดวาทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความ สันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลับไปหาพระผูอภิบาลผูทรงสูงสุดในขณะที่

อยูแนบทรวงอกของพี่นองท่ีใกลชิดยิ่งของทาน นั่นคือทานอาลี บิน อาบีฏอลิบ ทั้งน้ีมีหลักฐาน ยืนยันอยางถูกตองโดยฮาดีษที่มีสายสืบสอดคลองตรงกัน (มุตะวาติร) จากทางดานอิมามผูสืบเช้ือ สายทบี่ รสิ ุทธิ์ (363) โปรดดูหนังสือศอฮี้ฮฺบุคอรี ภาคที่ 2 หนา 118 กิตาบ “อัล-ญิฮาด” จากบาบท่ีวาดวย “ญะวาอซิ ลุ -วัฟด” นอกจากน้ีก็ยังมีหลักฐานท่ีศอฮี้ฮฺถูกตองอีกจํานวนไมนอยจากนักปราชญฝายซุนนะฮฺ เนื่องจากวา ผทู ่ไี ดทําการศึกษาติดตามเร่อื งน้ีอยางละเอียด ยอมสามารถที่จะรับรูความเปนจริงตาง ๆ ได วัสลาม (ช) อัล-มรุ อญอิ ะฮฺ 75 17 ศอฟร 1330 1. ทา นหญงิ อมุ มลุ มมุ นี ีน อาอชี ะฮฺ มไิ ดรายงานฮาดษี ไปในทํานองมเี ลศนยั 2. ความดีงามและความช่ัวนั้นเปนส่งิ ท่สี ติปญญาสามารถจาํ แนกไดท งั้ สองประการ 3. ขอคําอธบิ ายถึงสาเหตุที่ตอ งปฏิเสธกับรายงานฮาดีษของมารดาแหง ศรัทธาชน 1. จุดสําคัญที่คํากลาวของทานทั้งหมดไดพูดถึงฮาดีษที่ไมยอมรับเร่ืองการแตงตั้งทายาท ของมารดาแหง ศรัทธาชน ทานหญงิ อาอชี ะฮฺน้ันมีดวยกันสองประการ คอื การทท่ี า นอิมามไดทําการตอสูกับทานหญิงอาอีชะฮฺน้ัน ทานไดอางวาเปนเพราะเหตุท่ีทาน หญิงปฏิเสธเรื่องการแตงต้ังทายาท คําตอบซ่ึงเปนที่รูกันสําหรับเร่ืองนี้ก็คือวา ทานหญิงมิเคยได รายงานฮาดีษใด ๆ จากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดท า นและแดบรรดาลกู หลานของทา น) ไปในทํานองมีเลศนัย และทานหญิงมิไดกระทําการใด ๆ เพื่อมีแผนการ ฉะนนั้ จะเห็นไดวาทา นหญิงมิเคยมีอคติในการอางถึงฮาดีษจากทานนบี โดยท่ีทาน ไดใหความเสมอเหมือนกันท้ังสิ้นไมวาส่ิงน้ัน ๆ จะเปนเร่ืองของบุคคลที่ทานช่ืนชอบเปนการ เฉพาะ หรือวาเรือ่ งนน้ั ๆ เปนเรอ่ื งของบคุ คลท่ที า นโกรธเปนการเฉพาะก็ตาม

ขอความคุมครองจากอัลลอฮฺตอการท่ีจะเขาใจวา ทานหญิงมีแผนการในการรายงานฮาดีษ จากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทา น) ซง่ึ ไดก ลา วไปโดยปราศจากมูลความจรงิ 2. สําหรับประการที่สองนั้น ก็คือวา สติปญญาสามารถท่ีจะคัดคานเรื่องราวตามที่ทานได อางขึ้นมาที่วา ไมเปนท่ีอนุมัติสําหรับนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ท่ีจะละท้ิงศาสนาของอัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุภาพสูงสุด ไวเสีย ตัง้ แตยังอยูในยุคแรกเร่ิมการเผยแพร ซ่ึงบรรดาบาวของอัลลอฮฺท้ังมวล พวกเขาก็เพ่ิงเริ่มเขาสูในยุค แรกของอารยธรรมใหม เปนไปไมไดที่วาหลังจากนั้นทานจะจากไปโดยปราศจากซึ่งการแตงต้ัง ทายาท ซ่ึงกรณีนี้เปนเงื่อนไขของทานที่จําเปนตองมีตอพวกเขาทั้งหลาย คําตอบสําหรับเร่ืองนี้ก็คือ วา ขอมูลนี้มีทั้งแงดีและในแงที่ผิดพลาดโดยจําแนกไดดวยสติปญญาท้ังสองดาน นักปราชญ ฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺมิไดมีการกลาววิเคราะหสําหรับขอมูลสองแงน้ี ทั้งน้ีก็เพราะวาทัศนะของพวก เขาเห็นวาสิ่งใดก็ตามท่ีเปนพ้ืนฐานของความดีงามน้ัน สติปญญายอมไมอาจจะเขาไปเก่ียวของได อีก และสิ่งใดก็ตามท่ีเปนความผิดก็จะตองไมใหสติปญญาเขาไปมีสวนพิจารณาโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นจึงถือวาความดีและความชั่วท่ีอยูในพฤติกรรมท้ังมวลนั้นเปนกฎเกณฑอันหน่ึงมิใชส่ิง อ่ืน ฉะนั้นเมื่อความดีงามใด ๆ ท่ีอยูในกฎเกณฑ ก็ถือวาส่ิงนั้นคือความถูกตอง ส่ิงใดท่ีบทบัญญัติ ระบวุ า เปน ความถูกตอ งมันกค็ อื ความถกู ตอง ส่ิงใดท่ีบทบญั ญตั ริ ะบวุ าเปนความผิดมนั กค็ ือความผดิ โดยทส่ี ติปญ ญาทีม่ อี ยไู มมีสทิ ธทิ์ ่จี ะวจิ ารณหรือเขาไปกา วกา ยในสง่ิ น้ัน ๆ ไดอ ีกเลย 3. สําหรับรายละเอียดตาง ๆ ตามท่ีทานไดชี้แจงไวในตอนทายของอัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 74 ซ่ึง เปน เรอื่ งของเหตผุ ลการปฏิเสธตอคํารายงานตาง ๆ ของทานหญิงอาอีชะฮฺ มารดาของศรัทธาชน ใน กรณีท่ีวาทานนบีไดวายชนมในขณะท่ีทานอยูที่ทรวงอกของอิมาม เรายังไมเคยไดรูวามีฮาดีษหนึ่ง ฮาดีษใดจากสายสืบทางดานนักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ปฏิเสธรายงานในเรื่องนี้ ซ่ึงถาหากวา สง่ิ นน้ั ๆ เปนหลกั ฐานทท่ี า นมีอยแู ลวละก็ ขอทานไดโปรดเสนอมาดวย วสั ลาม (ซ)

อลั -มรุ อญิอะฮฺ 76 19 ศอฟร 1330 1. การรายงานฮาดษี ของทานหญิงอาอีชะฮฺนน้ั เปนไปในลกั ษณะทมี่ เี ลศนัย 2. ความดงี ามและความช่ัวนั้นเปน สิง่ เลอื กไดโดยการใชส ติปญญา 3. มีหลักฐานท่ศี อฮ้ฮี ฺ (ถกู ตอ ง) ท่ีคดั คาน ฮาดีษทท่ี า นหญิง มารดาแหงศรัทธาชนนาํ มาอา ง 4. รายงานฮาดษี ของทา นหญิงอุมมุสะละมะฮฺ ไดเปนที่ยอมรับกอนฮาดีษของทานหญิงอาอี ชะฮฺ 1. ประเด็นสําคัญในคําตอบตามที่ทานไดกลาวถึงมาแลวน้ัน ระบุวาเปนท่ียอมรับจากทุก ฝายวา ทานหญิงอาอีชะฮฺมิไดรายงานฮาดีษไปในทํานองที่มีเลศนัยและทานหญิงมิไดเลาฮาดีษตาง ๆ ไปเพราะมีแผนการแตอยางใดทั้งสิ้น ขอใหทานไดพิจารณามองยอนไปยังวิถีชีวิตของทานหญิง แลวทานจะไดทราบถึงเรื่องราวตาง ๆ ของทานหญิงท่ีไดดําเนินการกับผูท่ีทานรักและกับผูท่ีทาน โกรธอยางไรบาง ซึ่งการสังเกตในรายละเอียดตาง ๆ เหลานั้นบอกใหรูวานั่นแหละคือเลศนัยที่ เปดเผยของทานหญิง หวังวาทานยังไมลืมการดําเนินงานของทานหญิงอาอีชะฮฺที่ไดกระทํากับอุ สมาน ท้ังโดยคําพูดและโดยการกระทํา(364) อีกทั้งเหตุการณตาง ๆ ที่ทานหญิงไดกระทําตอทานอาลี ทานหญิงฟาฏิมะฮฺ ทานฮาซันและทานฮุเซน ท้ังโดยเปดเผยและโดยเรนลับ อีกทั้งพฤติกรรมตาง ๆ ท่ีทานหญิงกระทํากับบรรดามารดาแหงศรัทธาชนท้ังหลาย แมกระทั่งกับทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ซ่ึง พฤตกิ รรมตาง ๆ เหลา นั้นลวนแสดงใหเห็นถงึ การมเี ลศนยั และมีแผนการ ตวั อยา งของเรื่องที่พอจะช้ีใหเห็นถึงลักษณะของการมีเลศนัยน้ัน ทานสามารถจะสังเกตได จากเหตุการณเม่ือครั้งท่ีเกิดกรณีมีผูใสรายกลุมหนึ่งกลาวตําหนิและกอความแตกราวใน เรื่องของ ทานหญิงมารียะฮฺและบุตรของทานที่มีชื่อวาอิบรอฮีม (อาลัยอิสลาม) พวกเขาเหลานั้นไดกลาวราย ตาง ๆ นานา จนกระทั่งอัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุภาพสูงสุดไดทรงรับรองความบริสุทธ์ิของคนทั้งสอง ใหพนจากความอยุติธรรมตาง ๆ ของพวกเขาเหลานั้น ท้ังนี้โดยการดําเนินงานของทานอะมีรุล มุ มีนีน อยางเหน็ ไดช ดั (365) ซึง่ มโี องการจากอัลลอฮฺตอนหนงึ่ ความวา

“และอัลลอฮฺไดทรงทําใหบรรดาผูซ่ึงปฏิเสธท้ังหลายเปนโมฆะ ดวยความละเมิดของพวก เขาเอง ซง่ึ พวกเขาจะมิถกู รับรองความดีงาม” (อัล-อะหซฺ าบ : 25) (364) โปรดดหู นงั สอื “ชะอเฺ ราะฮนฺ ะฮฺลุ บะฮฺลาเฆาะฮฺ” ของ อัล-ลามะฮฺ มุอฺตะสิละฮฺ หนา 77,457,497 ซงึ่ ทา นจะไดร บั รายละเอียดตา ง ๆ เกีย่ วกับอสุ มาน อาลีและฟาฏมิ ะฮฺ (365) ผูใดประสงคที่จะไดรายละเอียดตาง ๆ จากเหตุการณสําคัญในเรื่องนี้ ก็ขอใหไป พิจารณาดูรายละเอียดที่เกี่ยวกับเร่ืองของทานหญิงมารียะฮฺ (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชม ตอนาง) ได ในหนังสอื “มสุ ตัดรอ็ ก” ของทา นฮากิม ภาคท่ี 4 หนา 39 และหนังสือ “ตัลคีศ” ของทา นซะฮะบีย ในประเด็นนี้ถาหากทานประสงคท่ีจะไดรายละเอียดเพิ่มเติมก็ขอใหทานไดสังเกตลักษณะ การมีเลศนัยของทานหญิงอาอีชะฮฺอีกตอนหนึ่ง เมื่อทานไดกลาวแกทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) วา(366) “แทจริงฉันไดกลิ่นฉุนจากทานมาก” ท้ังนี้เนื่องจากวาทานศาสนทูตไดไปรับประทานน้ําผ้ึงมาจาก บานของทานมารดาแหงศรัทธาชน ซัยนับ (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอนาง) น่ีเปนเพียงแต รายงานฮาดีษที่บงบอกถึงแผนการแตเพียงสวนนอยเทานั้น ที่ทานพูดถึงเรื่องของทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสนั ตสิ ขุ แดทานและแดบ รรดาลูกหลานของ ทาน) ซ่ึงฮาดีษท่ีรายงานมาในลักษณะนี้ยังมีอีกมากในเมื่อเราไดประมวลดูกับหลักฐานฮาดีษตาง ๆ ของทานหญิงทีป่ ฏิเสธเรอ่ื งการแตง ตัง้ ทายาทของทา นอาลี (ความสนั ติสขุ พงึ มีแดทา น) ทานคงยังไมลืมถึงลักษณะการรายงานฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺที่เปนไปในรูปมีเลศนัย อีกครั้งหน่ึง เมื่อวันท่ีทานหญิงอัสมาอฺ บินต นุอฺมานไดทําการแตงงานกับทานนบี (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ซ่ึงทานหญิงอาอี ชะฮฺไดกลาวแกทานหญิงอัสมาอฺวา(367) “แทจริงทานนบีมีความชื่นชอบกับสตรีเปนอยางย่ิง ในเมื่อ ทานเขาไปหาภรรยาของทาน ฉะนั้นเธอจะตองกลาวแกทานวา “ฉันขอความคุมครองดวยอัลลอฮฺ ใหพนจากทาน” ซ่ึงแผนการของทานหญิงอาอีชะฮฺในคร้ังน้ีก็คือ ตองการท่ีจะใหทานนบี (อัลลอฮฺ ทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดออกหาง จากเจา สาวของทา นและใหทานนบีเขาใจวา หญงิ ผูศรัทธาผูน้ีเปนผมู อี ุปสรรคสาํ หรบั ตัวทานนบี

(366) รายงานโดยทานบุคอรี อยูในหมวดตัฟสีร ซูเราะฮฺ อัต-ตะหรีม หนังสือศอฮ้ีฮฺของ ทาน ภาคท่ี 3 หนา 136 ซึ่งมีฮาดีษหลายกระแสท่ีรายงานจากทานอุมัรวาสตรีสองคนท่ี สําแดงตนตอ ทานศาสนทูตนัน้ คือทานหญิงอาอิชะฮฺ และทา นหญิงฮฟั เศาะฮฺ (367) ทา นฮากมิ ไดบันทกึ เร่ืองน้ไี วในหนังสือ “มุสตัดร็อก” ภาคที่ 4 หนา 37 ทานอิบนุ สะ อัดก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “ฏอบากอต” ภาคท่ี 8 หนา 104 ทานอิบนุ ญะรีรและบุคคลอ่ืน ๆ ก็ไดบันทึกไวดวย ทั้งในหนังสือ “อิสติอาบ” และ “อิศอบะฮฺ” เปนหัวขอเรื่องที่สําคัญ ในตอนอธบิ ายถึงชื่อของทา นอัสมาอฺ ทานหญิงอาอีชะฮฺมารดาแหงศรัทธาชนยังไดมีพฤติกรรมเชนเดียวกับเรื่องน้ีอีกมากมาย ท่ี เก่ียวของกับทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ซ่ึงลวนแลวแตเปดเผยใหเห็นแผนการของทานหญิงเอง แมวา บางคร้ังอาจจะเปนเร่ืองเล็กนอย แตบางครั้งก็มีถึงขนาดเปนเรื่องใหญท่ีตองหาม ทานหญิงไดสราง ภาระใหแกทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) เชนบางครั้งทานหญิงไดวางแผนบางประการแกบรรดาภรรยา บางทานของทานนบี เพ่ือทานหญิงจะไดฟองเรื่องน้ัน ๆ แกทานนบี ซึ่งลวนแลวแตมีสาเหตุที่ สบื เนอื่ งมาโดยแผนการของทานหญงิ เองทง้ั สน้ิ (368) และบางคร้ังทานหญิงไดทําตัวเปนผูขัดแยงกับทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) แลวก็ไปฟองกับ บิดาของทานหญิงเอง ซึ่งเปนลักษณะการกระทําอยางมีเลศนัยดังท่ีทานหญิงไดกลาวแกบิดาวา “จง ตัดสินใหยุติธรรมดวยเถิด”(369) ดังน้ันบิดาของทานหญิงจึงตบทานหญิงจนเลือดหยดลงท่ีผาของ ทา นหญิง และคร้ังหนึ่งทานหญงิ ไดกลาวแกท านนบีดว ยถอยคําทเี่ ตม็ ไปดวยความโกรธวา (370) “ทา น คือผูที่แอบอางตนวาเปนนบีของอัลลอฮฺ” พฤติกรรมเชนนี้ของทานหญิงยังมีอีกมากมายจนเกินกวา ทจ่ี ะนาํ มาบันทกึ ไวใ นทนี่ ี่ทง้ั หมดได (368) เร่ืองนี้มีปรากฏอยูมากมายในหนังสือชีวประวัติโดยนักปราชญฝายซุนนะฮฺ โปรดดู หนา 294 ภาคท่ี 6 หนังสือ “กันซุลอุมาน” และหนังสือ “ฏอบากอต” ของทานอิบนุ สะอัด ภาคท่ี 8 หนา 115

(369) นักปราชญฝายซุนนะฮฺไดบันทึกเรื่องนี้ไวหลายทาน โปรดดูฮาดีษท่ี 1020 หนา 116 ภาคท่ี 7 หนังสือ “กันซ” และทานเฆาะซาลีไดบันทึกไวในหนังสือ “อิหยาอุล-อุลูม” ภาคที่ 2 หนา 35 และในหนังสอื “มะกาชฟิ ะตลุ -กลุ บู ” บาบที่ 94 ตอนทายของหนา 238 2. คําตอบท่ีสําคัญอันดับ 2 ทานไดกลาววา “นักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺมิไดทําการ วิจารณสําหรับเรื่องท่ีเปนความดีและเรื่องท่ีเปนความช่ัวโดยสติปญญาดังรายละเอียดตามท่ีทานได กลา วไวในหัวขอเรอื่ งน้”ี ขาพเจารูสึกสะดุดใจกับคํากลาวของทานท่ีไดกลาวมาเชนน้ันเพราะวามันคลายกับเปนคํา กลาวของคนที่อางเหตุผลประกอบเรื่องราวอยางผิด ๆ ซึ่งพวกเขาเหลาน้ันปฏิเสธกับสัจธรรมท่ี สามารถพสิ ูจนไ ด ทัง้ นเ้ี น่อื งจากวา พฤติกรรมใด ๆ ก็ตามท่ีเราสามารถรับรูถึงคุณงามความดีของมัน คุณสมบัติท่ีดีและมรรคผลที่ดีงามก็จะเกิดข้ึนแกพฤติกรรมนั้น ๆ เพื่อเปนคุณลักษณะท่ีดํารงอยูไว สําหรับความดีนั้น ๆ เชน การปฏิบัติคุณธรรมหรือยุติธรรม แนนอนที่สุดส่ิงท้ังสองน้ียอมสืบ เน่อื งมาจากคนทม่ี คี ุณธรรมและความยตุ ธิ รรมทํานองเดยี วกันนีเ้ ราก็สามารถนาํ มาพิจารณาไดก ับสงิ่ ทเ่ี รารับรวู า มันมีความเลวทราม ซ่ึงโทษและผลสนองจะตองเกิดขึ้นแกพฤติกรรมท่ีมีคุณลักษณะอยู ในรูปของความเลวทรามนั้น ๆ เชน การประพฤติช่ัว การประพฤติผิด แนนอนสงิท้ังสองนี้ยอมเกิด ขึ้นมาจากคนชั่วและคนประพฤติผิด ผูมีสติปญญาจึงสามารถที่จะรูไดถึงความจําเปนในอันท่ีจะ ตัดสินเรื่องอยา งน้ี และมใิ ชวา ผมู สี ตปิ ญญาจะสามารถตัดสนิ เร่อื งอยางนไี้ ดเ พียงแคครง่ึ สวนของมัน แตเขาสามารถท่ีจะตัดสินโดยแบงแยกระหวางส่ิงท่ีเปนคุณธรรมน้ัน ๆ ใหแกทานไดเสมอโดย อตั โนมตั ิ และสามารถที่จะตัดสินสิ่งที่จะกอ ใหเกิดความเลวรา ยแกท านไดเสมออกี เชนกนั (370) ทานเฆาะซาลียไดอางเร่ืองนี้ไวในสองบทดวยกัน จากหนังสือสองเลมของทาน ดงั กลาว ทั้งนี้เม่ือสติปญญามีอิสระในอันที่จะพิจารณากับพฤติกรรมท่ีมีคุณธรรมใหแกทาน ถาหาก วาเรื่องของคุณธรรมและเร่ืองของความเลวรายตามที่เราไดกลาวถึงอยูนี้มีกฎเกณฑอยูสองอยาง กลาวคือ ในเม่ือผูปฏิเสธบทบัญญัติไดทําการวินิจฉันตัดสิน ไมวาคนนอกศาสนาก็ดีหรือนักวัตถุ นิยมก็ดี ถึงแมวาพวกเขาจะเปนผูปฏิเสธตอหลักการศาสนาก็จริงอยู แตพวกเขาก็ยังสามารถที่จะ ตัดสินวาความยุติธรรมและคุณธรรมน้ันเปนสิ่งท่ีดี และพวกเขาก็มิไดคลางแคลงสงสัยในประเด็น ทีว่ าความเลวทรามนน้ั หมายถึง ความอยุตธิ รรมและการเปนศตั รู และพวกเขากม็ ไิ ดสงสยั สาํ หรบั ใน

ประเด็นของความผิดและการแกแคนวา จะตองวางหลักการอยูบนพฤติกรรมท้ังสองอยางนั้นใน ลกั ษณะเชน นี้สิ่งท่จี ะสามารถจําแนกไดสําหรับพวกเขากค็ อื สตปิ ญญาเทา นั้นมิใชส ่ิงอ่ืน ฉะน้ันคาํ พูดของทานทีว่ า การใชส ติปญญาวินิจฉันน้นั เปนการกาวกาย จึงเปนอันตองตกไป เพราะเหตุวาเปนทัศนะท่ีคัดคานกันกับสิ่งที่ผูมีสติปญญาท้ังหลายรับรู และเปนการตัดสินที่ขัดแยง กันกับการตดั สนิ ทีเ่ ปนไปตามความบรสิ ทุ ธข์ิ องธรรมชาตทิ ไี่ ดใหไวแกเ รื่องนี้ จะเห็นไดวาอัลลอฮฺผู ทรงไวซึ่งความบริสุทธิ์ ไดทรงวางหลักธรรมชาติใหแกบาวของพระองค เพื่อจะไดรับรูบางสวน ของสจั ธรรมโดยสติปญญาของพวกเขาเอง อยา งเชน ทพี่ ระองคไ ดวางหลกั ธรรมชาตใิ หมนุษยไดรับ รูใ นประสาทสมั ผสั และความรูส ึกของพวกเขา โดยทีพ่ ระองคไดท รงวางหลักธรรมชาติท่ีกําหนดให มนุษยไดรับรูความดีงามของความยุติธรรมและอ่ืน ๆ ไดโดยสติปญญาของพวกเขาเอง และรับรูตอ ความเลวทรามของความอยุติธรรมและสิ่งอ่ืน ๆ เชนเดียวกับท่ีมนุษยท้ังหลายสามารถรับรูรสหวาน ของนํ้าผ้ึง และรสขมของเจตมูล พวกเขาสามารถรับรูกล่นิ หอมของชมดเชียง และกล่ินเหม็นของสิ่ง เนาเปอย มนุษยก็สามารถรับรูการสัมผัสอันออนนุมโดยสิ่งท่ีออนนุม และสามารถรับรูการสัมผัส กบั สิง่ ท่แี ข็งกระดา งวา แขง็ กระดา ง มนษุ ยสามารถจําแนกไดโ ดยสายตาของพวกเขาระหวางภาพพจน 2 ประการ กลา วคอื ภาพพจนแหงความดีงามและภาพพจนแหงความเลวทราม มนุษยสามารถจําแนกไดโดย ประสาทการไดยินของเขาระหวางเสียง 2 ประเภท กลาวคือ เสียงเพลงสวดกับเสียงของลาเหลาน้ี เรยี กวา “กฎเกณฑท างธรรมชาติของอัลลอฮฺ” (ฟฏเราะฮ)ฺ ดังทีพ่ ระองคไ ดท รงตรัสไววา “เปนสิ่งซ่ึงพระองคไดทรงวางหลักธรรมชาติของมนุษยไวบนมัน ไมมีอันใดเปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งที่สวรรคสรางของอัลลอฮฺได น้ีคือศาสนาที่ยืนยง แตทวามนุษยสวนมากพวกเขาหารูไม” (30 : 30) แนนอนยิ่ง บรรดานักกวีเขามีความประสงคที่จะบรรลุถึงจุดของอีมาน (ความศรัทธา) ตอ บทบัญญัติและยอมรับตามกฎเกณฑนั้น ๆ แตพวกเขาปฏิเสธกฎเกณฑแหงสติปญญาซ่ึงพวกเขา เหลานัน้ ไดก ลาววา “ไมมีกฎเกณฑอื่นใด เวนแตในบทบัญญัติ” พวกเขาลืมคิดไปถึง “กฎเกณฑการ ผลักไสของสตปิ ญ ญา” ซงึ่ น่ันก็หมายความวา ทกุ สิง่ ทกุ อยา งทส่ี ติปญญาสามารถวินิจฉันไดแลวนั้น ก็คือสิ่งที่บทบัญญัติไดกําหนดกฎเกณฑลงไวแลว พวกเขามิไดเฉลียวใจฉุกคิดวาการที่พวกเขา ตัดสินบทวิเคราะหใด ๆ ที่ผิดพลาด ก็เนื่องจากการที่พวกเขามีทัศนะเชนนี้ตอตัวของพวกเขาเอง

ฉะนั้น พวกเขาจึงไมอาจท่ีจะยืนหยัดอยูบนหลักฐานทางบทบัญญัติที่แข็งแรงได ท้ังน้ีก็เนื่องจากวา เหตผุ ลดังกลา วเปนหลกั ฐานทางบทบญั ญัตทิ ่อี ยูในระดับท่ีตองนํามาพิจารณาซ่ึงมิใชเปนบทบัญญัติ ท่ีเปนมูลฐานอยางสมบูรณ และแมวาไมเปนเพราะอํานาจของสติปญญาแลวไซร แนนอนที่สุด จะตอ งเกิดมีการยอมรบั หลกั ฐานทแ่ี อบอางขึ้นมาไดอ ยูเ สมอ มิเพียงแตเทาน้ัน หากปราศจากเสียซึ่งสติปญญาแลว บาวท้ังหลายก็ไมอาจเคารพภักดี ตอ อัลลอฮไฺ ด และพวกเขาไมอาจจะรจู ักพระองคเลยแมแ ตส ักคนเดยี ว เหตผุ ลตามถอยคําที่ไดยืนยัน มา ณ ท่ีนี้ เนื้อหาของมันเปนทย่ี อมรบั ของบรรดานกั ปราชญผ ูท รงคุณวฒุ ิทง้ั หลายของเรา 3. สําหรับขออางของทานหญิงมารดาแหงศรัทธาชน อาอีชะฮฺท่ีวาทานนบี (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดถึงแกการวาย ชนมในขณะที่อยูแนบทรวงอกของนางน้ันเปนเร่ืองท่ีถูกคัดคานอยางมากมายโดยรายงานฮาดีษที่ ศอฮ้ีฮฺมีสายสืบสอดคลองตรงกัน จากทางดานของผูสืบเชื้อสายที่บริสุทธิ์ แตขณะเดียวกัน ทานก็ สามารถท่ีจะพิสูจนไดจากหลักฐานรายงานของนักปราชญทางดานอื่น ๆ เชน ตามท่ีทานอิบนุ สะ อัด ไดบันทึกเอาไว(371) โดยมีสายสืบไปถึงทานอาลีวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวไวใน ขณะท่ียังเจ็บหนักอยูวา “จงเรียกพ่ีนองของฉันมาหาฉันเถิด” ดังนั้นฉัน (อาลี) จึงไดมาหาทาน แลว ทา นไดกลา ววา “จงรับพนั ธะหนี้สินจากฉันดวย” ดังนั้นฉันจึงไดรับพันธะหนี้สินจากทาน และแลว ทานไดสั่งเสียแกฉันโดยมิไดขาดตอน และทานพูดกับฉันจนกระทั่งน้ําลายของทานมากระทบตัว ฉัน” หลงั จากนัน้ ทานอาลกี ็ไดมาอยูก ับทานศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ และความสันตสิ ขุ แดท า นและแดบรรดาลกู หลานของทา น) (371) หนังสือ “ฏอบากอต” ภาคท่ี 2 สวนท่ี 2 หนา 51 ในบาบที่กลาววาทานศาสนทูตได วายชนมขณะท่ีอยูบนตักของทานอาลี เปนฮาดีษ ที่ 1107 หนังสือ “กันซฯ” หนา 55 ภาคที่ 4 ทา นอาบูนะอีม ไดรายงานเร่อื งนไี้ วในหนงั สอื “ฮลุ ยี ะฮ”ฺ ทา นอาบู อะหมฺ ัด อัล-ฟะเราะฮฎ ยี  ก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “นัสเคาะฮฺ” และนักปราชญฝายซุนนะฮฺคนอ่ืน ๆ อีกจํานวนไมนอยได บันทึกรายงานฮาดีษของทานอาลีวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ” (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ และความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดสอนวิชาความรูใหแกฉัน (เฉพาะใน วันนน้ั ) ถงึ หนึง่ พนั ประตแู ละทุก ๆ ประตนู น้ั มีประตยู อ ย ๆ อีกหนึง่ พนั ประตู”(372)

ครั้งหนึ่งทานอุมัร บิน ค็อฎฎอบ ไดถูกถามถึงเร่ืองนี้ซ่ึงทานก็มิไดกลาวแตประการใด นอกจากกลาววา “พวกทานจงไปถามอาลเี ถดิ เพราะเขาเปนผูอยใู นเหตุการณน ”้ี มรี ายงานจากทา นญาบรี บิน อัลดลุ ลอฮฺ ไดก ลาววา “ทา นกะอับ อะบาร ไดถามทานอุมัร วา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทา น) ไดพ ดู คาํ สุดทา ยไวอ ยางไรบาง ? ทานอุมัรไดตอบวา “จงไปถามอาลีเถิด” ดังนั้นกะอัลจึงไดไปถามทานอาลี ทานอาลีจึงไดกลาววา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดเอนกายมาทับ อยูที่ทรวงอกของฉัน ฉันจึงไดชอนศีรษะของทานแนบแกมของฉัน แลวทานกลาววา “นมาซ นมาซ” ทานกะอับไดกลาววา “นี่คือพันธะสุดทายของบรรดานบีพวกเขาถูกบัญชามาโดยสิ่งนี้และ พวกเขาถูกแตงตั้งมาเพื่อส่ิงน้ี” ทานกะอับไดกลาวอีกวา “โอทานอามีรุล มุมีนีน (อุมัร) ใครเปนผู อาบน้ํามยั ยติ ใหแ กท า นนบี ?” ทา นอุมัรไดตอบวา “จงไปถามอาลีเถิด” ดังน้ันเขาจึงไปถามทานอาลี อีก แลวทา นอาลีก็ไดกลา ววา “ฉนั เองฉนั เปนผอู าบนาํ้ มัยยติ ใหแ กทา น”(373) (372) นคี่ ือฮาดีษที่ 6009 จากหนงั สอื “กนั ซ” ในตอนทา ยของหนา 392 ภาคท่ี 4 (373) ทานอบิ นุ สะอดั ไดบันทึกไวในหนังสือ “ฏอบากอต” ภาคท่ี 2 สวนท่ี 2 หนา 51 และ มีผูถามทานอิบนุ อับบาสวา “ทานไดเห็นศาสตทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความ จาํ เริญและความสนั ตสิ ขุ แดทา นและแดบรรดาลูกหลานของทาน) หรือไมวาทานถึงแกการวายชนม โดยที่ศีรษะของทานอยูในตักของผูใด ? ทานอับบาสไดตอบวา “ใชแลว ทานไดถึงแกการวายชนม ในขณะท่ีทานทบั อยูบนทรวงอกของทา นอาลี” มีคนกลาวแกทานอิบนุ อับบาสอีกวา “แทจริงทานอุรวะฮฺไดเลาฮาดีษหน่ึงจากทานหญิงอา อีชะฮฺวา “ทานศาสนทูตไดวายชนมตรงระหวางคางและคอของฉัน” ทานอิบนุ อับบาสไดปฏิเสธ เรือ่ งน้ีโดยกลา วกบั ผถู ามคนนั้นวา “ทานเชื่ออยา งนั้นหรอื ? ดวยพระนามของอัลลอฮฺ ทา นศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ ไดถงึ แกการวายชนมใ นขณะท่ที า นทอดกายไปท่ที รวงอกของทานอาลี และเขาเองคือผู ซง่ึ อาบน้ําใหแ กทา น”(374) ทานอิบนุ สะอัดก็ยังไดรายงานไวอีกฮาดีษหนึ่ง(375) ซึ่งมีสายสืบไปถึงทานอิมามอาบู มุฮัม มัด อาลี บิน ฮุเซน ซัยนุล-อาบิดีนวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ และความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดวายชนมในขณะที่ศีรษะของทานอยู ทต่ี กั ของทา นอาลี

เร่ืองราวตาง ๆ เหลาน้ีมีบันทึกโดยสายสืบท่ีสอดคลองตรงกันจากทางดานของบรรดาอิ มามผูสืบเช้ือสายท่ีบริสุทธ์ิ ถึงแมวาจะมีผูบิดเบือนรายงานฮาดีษของพวกเขาก็ตาม แตผูบิดเบือน เหลานั้นก็ยังใหก ารยอมรับในเรอ่ื งนี้ แมกระทั่งทานอิบนุสะอัดก็ยังไดร ายงานไวอ ีกบทหนึ่ง(376) โดย สายสืบท่ีมีไปถึงทานชุบียวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดถึงแกการวายชนมในขณะที่ศีรษะของ ทานอยกู ับตักของทานอาลี และทานอาลเี ปน ผูอาบนํา้ มัยยิตใหแ กท าน” หนังสือกันซ หนา 55 ภาคท่ี 4 (374) ทานอิบนุ สะอัด ไดบันทึกไวตามหนาเดิมของหนังสือดังกลาว และน่ีคือฮาดีษท่ี 1108 จากหนังสอื “กันซ” หนา 55 ภาคท่ี 4 (375) หนงั สอื “ฏอบากอต” เลม เดมิ หนา 51 (376) หนงั สอื “ฏอบากอต” หนา เดมิ ทานอามีรุล มุมีนีน (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) เอง ก็ยังไดกลาวคําปราศรัยเกี่ยวกับ เร่ืองน้ีตอบรรดาสักขีพยานระดับสูง ขอใหทานไดพิจารณาจากคําปราศรัยของทานอาลี (ขอความ สันติสุขพึงมีแดทาน) ที่มีดังตอไปนี้(377) “แนนอนที่สุดเหลาบรรดาผูมีคุณธรรมจากบรรดาสาวก ทง้ั หลายของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ตางก็รูดีวา ขาพเจามิไดหันเหตออัลลอฮฺและมิไดหันเหตอศาสน ทตู ของพระองค (ศ) แมแตชัว่ โมงเดยี ว แนนอนท่ีสดุ ความทุกขข องทา นน้ันตวั ของฉันไดมีสวนรวม นับตั้งแตอ ยใู นบานเมอื งซึ่งความเสอ่ื มเสยี ไดแพรร ะบาดอยดู าษดื่น บรรดารอยเทาทั้งหลายตางก็ได ดําเนินอยูในบานเมืองน้ัน อัลลอฮฺไดทรงใหการอุปถัมภเกื้อกูลตอฉันกับเรื่องนั้น แนนอนท่ีสุด ทานศาสนทูต (ศ) ไดถึงการแกวายชนมโดยท่ีศีรษะของทานอยูกับทรวงอกของฉันอยางแนแท แนนอนที่สุดตัวของทานเอนอยูในอุงมือของฉัน ซ่ึงฉันไดซอนข้ึนมาแนบที่ใบหนาของฉัน แนนอนท่ีสุดฉันเองเปนผูอาบนํ้ามัยยิตใหแกทาน (ศ) โดยที่ปวงมาลาอิกะฮฺไดใหการชวยเหลือตอ ฉนั ขณะน้ันท่ีบานและผูคนในบริเวณตางมีเสียงอึกทึกครึกโครม มีทั้งพวกอยูขางลางและมีทั้งพวก ที่อยูขางบนช้ันสูง หูของฉันมิไดฝาดไปแมแตนิดเดียวท่ีไดยินพวกเขาเหลาน้ันนมาซใหแกทานศา สนทูตจนกระทั่งฉันเปนผูวางทานลงไปในหลุมสุสาน ฉะนั้นผูใดอีกเลาท่ีจะอางสิทธิในตัวของ ทานไดดยี ง่ิ ไปกวา ฉัน ไมวา ในยามที่มชี ีวติ อยหู รือในยามท่ีทา นไดว ายชนมไปแลว ”

ทานอาลียังไดกลาวไวในทํานองน้ีอีกคร้ังหน่ึง(378) ซ่ึงเปนคํากลาวท่ีทานพูดขึ้นเม่ือตอนทํา การฝงทานหญิงฟาฏิมะฮฺ (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) วา “ความสันติสุขพึงมีแดทาน โอทานศาสน ทูตแหงอัลลอฮฺ ซ่ึงการคารวะจากฉัน และจากบุตรีของทานผูท่ีจะลงสูหลุมใกลเคียงกับทาน ดวย การติดตามไปพบกับทานอยางรวดเร็ว โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ความรักท่ีมีตอทานนั้น ความ อดทนของฉนั มีนอยมาก เน่อื งจากการจาํ พรากจากฉัน แนน อนฉันอยใู นความทุกขอันยิ่งใหญเพราะ ตองพรากจากทาน ทานเปนผูอดทนตอส่ิงที่เปนอุปสรรคของทาน ทานเปนผูอยูในฐานะมีเกียรติ แนนอนฉันเปนผูวางทานลงในหลุมสุสานของทาน ตัวของทานไดพาดระหวางตนคอและหนาอก ของฉัน โดยแนนอนย่งิ เราเปนสิทธิของอลั ลอฮฺ และแทจ รงิ เราตองยอนกลับคนื สพู ระองค”.... (377) หนังสือ “นะฮฺุล บะลาเฆาะฮฺ” ภาค 2 หนา 196/551 ภาคที่ 2 อธิบายโดยอิบนุ อาบู ฮะดดี (378) หนังสือ “นะฮิุล บะลาเฆาะอฺ” หนา 207,/590 ภาคที่ 2 ฉบับที่อธิบายโดยอิบนุ อาบู ฮะดดี ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺไดรายงานฮาดีษท่ีศอฮ้ีฮฺอีกบทหนึ่งวา “ขอสาบานตอพระผูซึ่งฉัน ตองสยบตอพระองคว า “แทจ ริงอาลี คือคนทใ่ี กลช ิดย่ิงตอ พันธะตาง ๆ ของทานศาสนทตู แหงอัลลอ ฮฺ (ศ) ในเชาวนั นัน้ พวกเราไดไปหาทานศาสนทูต (ศ) ขณะนั้นทานไดกลาวย้ําอยูแตคําวา “อาลีมานี่ เถิด มาน่ีเถิดอาลี” ทานหญิงฟาฏิมะฮฺไดกลาวข้ึนวา “ทานมีความประสงคที่สั่งเขา (อาลี) ใหทํากิจ ธรุ ะกระน้ันหรือ” แลว ทา นกไ็ ดรายงานตอ ไปอกี วาหลงั จากนน้ั อาลกี ็ไดม า ฉนั จึงคดิ วาเขาคงจะมีกจิ ธุระทส่ี าํ คัญกับทานศาสนทูต ดังนัน้ พวกเราจงึ ออกไปนอกบา นโดยมานัง่ อยูท ่ีประตู” ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺไดกลาวอีกวา “ฉันเปนผูนําพวกเขาออกไปที่ประตู ดังนั้นทาน รอซุลุลลอฮฺ (ศ) ไดเอนกายทับลงบนทานอาลีโดยท่ีทานไดเอนผินขางดานซายของทานทับลงไป หลังจากนั้นทานศาสนทูต (ศ) ก็ไดวายชนมในวันนั้นเอง ดวยประการนี้แหละจึงแสดงไดวาทาน อาลเี ปนคนทใี่ กลช ิดตอทานมากทีส่ ดุ ”(379) (379) ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนา 139 ภาคท่ี 3 หนังสือศอฮี้ฮฺมุสตัดร็อก ซึ่ง ทานไดกลาววา “นี่คือฮาดีษท่ีมีสายสืบศอฮ้ีฮฺ (ถูกตอง) แตทานบุคอรี-มุสลิมมิไดบันทึก ทานซะฮะบียก็ไดยอมรับวาเปนฮาดีษศอฮ้ีฮฺ ในหนังสือ “ตัลคีศ” ทานอิบนุ อาบูชัยบะฮฺ ก็ ไดบ นั ทกึ ไวใ นหนังสือสุนนั เปน ฮาดีษท่ี 6096 หนังสอื “กันซ” ตอนทายของหนา 400 ภาค ที่ 6

รายงานจากทานอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ อีกฮาดีษหน่ึงระบุวา(380) “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวไวเม่ือตอนเจ็บหนักวา” “จงไปเรียกพ่ีนองของฉันมาหาฉันเถิด” และแลวทานอาบูบักรฺ ก็ไดเ ขามาหา ทานจึงเบือนหนาหนีแลวกลาววา “จงไปเรียกพี่นองของฉันมาหาฉันเถิด” ดังนั้นทาน อุสมานจึงไดเขามาอีก แลวทานก็เบือนหนาหนีอีก หลังจากน้ันทานอาลีก็ไดถูกเรียกมาพบทาน ทานจึงไดปูผาของทานลงแลวไดเอนกายลงบนทานอาลี คร้ันเม่ือทานอาลีไดออกมาจากการเขาพบ ทา นศาสนทตู แลวมคี นถามวา “ทา นศาสนทูตไดกลาวอะไรแกท านบาง ?” ทานอาลีตอบวา “ทานศา สนทูตไดสอนวิชาความรูใหแกฉันถึงหน่ึงพันประตู และทุก ๆ ประตูน้ันมีประตูยอย ๆ อีกหน่ึงพัน ประตู” ทานเองก็ทราบดีแลววา ทานศาสนทูตเปนผูซ่ึงมีความเหมาะสมตามสภาพทุกประการของ อัมบียาอฺ สวนการรายงานท่ีบอกเลาอีกอยางน้ัน มันเปนเรื่องท่ีเหมาะสมสําหรับผูท่ีหมกมุนอยูกับ สตรี และถาหากวาคนเล้ยี งแกะคนหนง่ึ ไดต ายลงโดยทีว่ างศีรษะตรงบริเวณทรวงอกหรือตนคอของ ภรรยาของเขากด็ ี หรือระหวางซอกแกมกับคางหรือบนขาของภรรยาก็ดี โดยที่มิผูกพันอยูกับหนาท่ี การดูแลรักษาแกะของตนแลวไซร แนนอนที่สุดเขาก็จะเปนเสมือนเชนผูสุรุยสุรายท่ีไมเล็งเห็นถึง เหตุการณในอนาคต ขออัลลอฮฺไดทรงอภัยแกทานหญิงมารดาแหงศรัทธาชนท่ีไดทําการบิดเบือน เร่ืองอันมีเกียรติของทานอาลีในคร้ังน้ีแลวยังเทิดไปใหแกบิดาของทานเองทั้ง ๆ ท่ีส่ิงน้ัน ๆ เปน เกียรติอันสําคัญจากทานนบี สวนบิดาของทานเองความจริงแลวในวันน้ันทานเปนผูหนึ่งท่ีทานศา สนทูตมอบหมายหนาท่ีใหอยูประจําในกองทหารของทานแมทัพอุสามะฮฺและทุกครั้งท่ีมีการพูดถึง วา ทานศาสนทูตไดว ายชนมใ นขณะทอี่ ยูในตักของทา นหญิงก็ไมมีหลักฐานอื่น ๆ อีกเลยนอกจากมี หลักฐานของทานหญิงผูเดียวเทานั้น แตสําหรับคํากลาวที่วา ทานศาสนทูตไดวายชนมในขณะท่ีอยู บนตักของทานอาลีน้ันมีสายสืบจากหลายฝาย เชน จากทานอาลีเองบาง จากทานอิบนุ อับบาสบาง จากทานหญิงอุมมะสะละมะฮฺบาง จากทานอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺว ชุบียฺบาง และจากทานอาลี บิน ฮุ เซนบาง ทั้งน้ียังเปนรายงานที่มาจากบรรดาอิมามแหงอะหฺลุลบัยตฺท้ังหมดอีกดวย จะเห็นไดวา คํายืนยันในขอ น้มี ลี ักษณะทีส่ อดคลอ งและเหมาะสมสาํ หรบั ฐานภาพแหงศาสนทตู ของอัลลอฮฺ (ศ) (380) ทา นอาบู ยะอล า ไดร ายงานจากบันทึกของทาน กามิล บิน ฏ็อลฮะฮฺ ซึ่งบันทึกมาจาก ทานอบิ นุ ลุฮยั อะฮฺซ่งึ ไดรับรายงานมาจากทา นฮยั น บนิ อับดลุ มะฆอฟร ยี  ซึง่ ไดรบั รายงาน มาจากอาบู อัลดุรเราะมาน อลั -ฮับลีย ซึ่งไดม าจากบันทึกของทานอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร และ ทา นอาบู นะอมี ไดบ นั ทึกไวในหนงั สือ “ฮุลลยี ะฮ”ฺ ทา นอาบู อะหฺมัด อัล-ฟรฎยี  ก็ไดบันทึก

ไวในหนังสือ “นะซะเคาะฮฺ” หนา 392 ภาคท่ี 6 ทานฎ็อบรอนีย ก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “อัล-กาบีร” วา ในตอนท่ีทําสงครามฏออิฟนั้น ทานนบีไดยืนข้ึนสนทนากับทานอาลี หลังจากน้ันทานอาบูบักรฺก็ไดกลาวแกทานวา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ แนนอนท่ีสุด ทานสนทนาลับกบั ทานอาลนี านเหลอื เกนิ ” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “ฉันมิไดสนทนา กับเขาโดยพละการดอก หากแตอัลลอฮฺ ทรงประสงคที่จะใหฉันสนทนากับเขา” ฮาดีษบท น้ีเปนฮาดีษหมายเลข 6075 หนังสือ “กันซ” ภาคท่ี 6 หนา 399 และยังมีรายงานอีกมากมาย ที่ระบุถึงเร่ืองที่ทานอาลีไดสนทนากันกับทานศาสนทูตในครั้งหน่ึง ซ่ึงทานหญิงอาอีชะฮฺ ไดเขามาพบคนทั้งสองในขณะที่ท้ังสองกําลังสนทนา ทานหญิงอาอีชะฮฺไดกลาววา “โอ อาลีใน 9 วันน้ันมีวันของฉันเพียงวันเดียว ทําไมทานจึงมาขัดขวางเวลาของฉันเลา โอบุตร ของอาบีฏอลิบ ?” ดังน้ันทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺจึงไดผินหนาไปหาทานหญิงดวยอาการ โกรธจนหนาแดง (อัล-ฮาดีษ) โปรดพิจารณาในตอนแรกของหนาท่ี 78 ภาคท่ี 2 หนังสือ “นะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ” ท่อี รรถาธบิ ายโดยทานฮุมัยดีย 4. อยางไรก็ดีการคัดคานใด ๆ ท่ีมีตอฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺยังไมมีนํ้าหนักมากไป กวารายงานฮาดีษของทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺบทเดียว เพราะวาฮาดีษท่ีรายงานโดยทานหญิงอุม มุสะละมะฮฺนั้น อยูในระดับที่นาเชื่อถือไดดีย่ิงกวา แนนอนรายละเอียดตาง ๆ สําหรับเร่ืองน้ียังมีอีก มาก ซง่ึ เรายงั มไิ ดก ลาวถึง วสั ลาม (ช)

อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 77 20 ศอฟร 1330 • ขอใหอธิบายถึงสาเหตุที่ใหการยอมรับตอฮาดีษของทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺท่ีรายงานคัดคาน กบั ฮาดษี ของทานหญิงอาอชี ะฮฺ ขออัลลอฮไฺ ดประทานความสันติมายงั ทาน ทา นยังมไิ ดเ สนอเหตุผลแหง การยอมรบั ฮาดษี ท่ี รายงานโดยทานหญิงอุมมสุ ะละมะฮทฺ ่คี ดั คานตอ ฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺ (อัลลอฮฺทรงมีความป ติช่ืนชมตอทานหญิงทั้งสอง) ตามที่ทานไดกลาวไวในบทกอนเลย เพียงแตทานอางวาไมสามารถ กลาวถึงเรื่องน้ีใหหมดทุกบทตอนได เนื่องจากมันมากจนเกินกวาที่ทานจะบันทึกมาไดทั้งหมด ขออลั ลอฮฺไดทรงประทานความเมตตามายังทานในกรณีท่ีทานไดพยายามแมวามันจะมากเพียงใดก็ ตาม และจะไมก อใหเกิดผลรายสิ่งหน่ึงส่ิงใดจากเร่ืองน้ี เพราะวาหลักการดังกลาวนี้ เปนขอมูลที่ให ความเขาใจอยา งถอ งแทแ ละมปี ระโยชนอ ยา งยิ่ง วัสลาม (ซ) อลั -มุรอญิอะฮฺ 78 22 ศอฟร 1330 • สาเหตุที่ฮาดีษของทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺท่ีคัดคานฮาดีษทานหญิงอาอีชะฮฺไดเปนที่ยอมรับ วานา เชอ่ื ถอื กวา แทจริงทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺน้ัน อัล-กุรอานอันทรงเกียรติมิเคยไดตําหนิติเตียนจิตใจ ของทานเลย และทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยไดถูกสั่งใหทําการขออภัยโทษ (เตาบะฮฺ) เนื่องจาก กระทําความผิด อยา งเชนที่มกี ารเตอื นเกย่ี วกับเร่อื งน้ไี วในพระมหาคัมภีรอันมีวิทยาปญญา(381)

อัล-กุรอานมิเคยไดมีโองการตอนใดที่เปดเผยเรื่องราวที่นาตําหนิที่ทานหญิงมีตอทานนบี และทานหญงิ อุมมสุ ะละมะฮฺไมเคยไดค ดั คา นในเร่ืองของอลั -วะศยี  (การแตงต้ังทายาท)(382) (381) โองการของอัลลอฮฺในซูเราะฮฺอัตตะฮฺรีม : 4 กลาวถึงเร่ืองน้ีวา “หากเธอทั้งสอง (ผูเปนภรรยา ของศาสดา) ทําการสารภาพผิดตออัลลอฮฺ (แนนอนเธอท้ังสองก็จะไดรับการใหอภัยจากพระองค) เพราะหวั ใจของพวกเธอทง้ั สองนนั้ ไดโ นม เอยี งไปแลว (382) ทานหญิงเปนผูยนื หยดั ในเร่อื งสิทธิการเปนทายาทของทานอาลีตลอดช่ัวชีวิต สําหรับในกรณี ที่มีภรรยาบางคนสรางความทุกขใหแกนบี จนอัลลอฮฺไดทรงประทานความอนุเคราะหแกทานนบี ดังท่ีอัลลอฮฺไดทรงมีโองการวา “ถึงแมนางเหลาน้ันจะสรางความคับแคนใหแกเขา (ศาสดา) ก็ตาม แตอัลลอฮฺทรงเปนผูคุมครองท่ีใกลชิดของเขา รวมทั้งญิบรีลและบรรดาศรัทธาชนผูมีคุณธรรมและ บรรดามะละอิกะฮทฺ ้งั หลาย หลงั จากเกิดเหตกุ ารณเ ชน น้นั ” (66:4) อัลลอฮฺและญิบรีลตลอดจนถึงบรรดาผูศรัทธาท่ีมีคุณธรรมและมะลาอิกะฮฺไมเคยไดชวย อนุเคราะหปรองดองระหวางนบีของพระองคกับทานหญิงอุมมะสะละมะฮฺ เพราะมีเร่ืองหมองใจ กัน ทานหญิงมิเคยไดถูกสัญญาจากอัลลอฮฺถึงเรื่องจะตองหยารางกับนบี พระองคมิเคยตําหนิอีกทั้ง มิเคยเปลี่ยนคณุ ธรรมจากทานหญิงแมแตน อ ย(383) อัลลอฮฺมิเคยอุปมาเปรียบเทียบทานหญิงอุมมะสะละมะฮฺไวเหมือนอยางภรรยาของนบีนูหฺ และภรรยาของนบีลตู (384) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยเปนเหมือนเชนกับคนที่ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) หาม ตนเองมิใหหลับนอนดว ย ทง้ั ๆ ท่สี งิ่ น้ันอัลลอฮไฺ ดทรงอนุมตั ิใหแ กท า น(385) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิไดเปนเหมือนกับคนท่ีทานนบี (ศ) ไดช้ีไวในวันหนึ่งในตอนท่ี ทานกลาวคําปราศรัยบนมิมบัรวา “นางคนนี้เปนผูมีมลทิน นางคนน้ีเปนผูมีมลทิน นางคนน้ีเปนผูมี มลทิน(386) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮิมิเคยไดเผยแพรมารยาทของทานวาทานไดยืดเทาไปทางกิบลัต ของทานนบี (ศ) ในขณะท่ีทา นกาํ ลังนมาซอยู เพราะทานหญิงใหเกียรตแิ กทานนบแี ละแกการนมาซ ของทาน ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺก็มิเคยยกเทาของนางออกจากสถานท่ีสุูดของทานนบีเพราะถูก ทานนบีสะกิด ทั้งนี้เน่ืองจากทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยยืดเทาของตนไปวางที่ที่สุูดของทานน บ(ี 387)

(383) ขอความตอนน้ีมีหลักฐานอยูในโองการของอัลลอฮฺผูทรงสูงสุดที่วา “หวังวาบางที พระผูอภิบาลของเขา (ศาสดา) จะใหเขาหยารางพวกนางเพื่อพระองคจะทรงเปล่ียนภรรยา ทด่ี กี วานางใหแ กเ ขา ซึง่ เปน หญงิ ผนู อบนอม หญงิ ผมู คี วามศรัทธา” (66 : 5) (384) อัลลอฮฺไดทรงมีโองการช้ีแจงไววา “อัลลอฮฺไดทรงอุปมาตัวอยางของภรรยานบีนหฺ และภรรยาของนบีลูดไวส ําหรับบรรดาผูซงึ่ ปฏเิ สธ” (66 : 10) (385) อัลลอฮฺไดทรงมีโองการชี้แจงในเรื่องน้ีไววา “โอนบีเอย ทําไมเจาจึงงดเวนในสิ่ง ท่ีอัลลอฮฺไดทรงอนุมัติใหแกเจา เพื่อใหเจาแสวงหาความพึงพอใจจากภรรยาของเจา” (66 : 1) (386) ทานบุคอรีไดรายงานเรื่องน้ีไวในบาบที่วาดวย “เรื่องของความเปนอยูในบานของ ภรรยาทานนบี” จากกิตาบ “อัล-ญิฮาด” หนังสือศอฮี้ฮฺของทาน หนา 125 ภาคที่ 2 บาบท่ีวา ดวย “ฟรฎของเงินคุมส” ประโยคฮาดีษเดียวกันน้ียังมีบันทึกอยูในหนังสือศอฮ้ีฮฺมุสลิมวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดออกจากบานของทานหญิงอาอีชะฮฺแลวกลาววา “หวั หนาของผูป ฏเิ สธอยตู รงน้ี โปรดดหู นา 503 ภาคท่ี 2 ทานหญิงอุมมุสสะละมะฮฺมิเคยสรางความเจ็บชํ้านํ้าใจใหแกทานอุสมานและมิเคยหย่ิง ยะโสตอเขา และมเิ คยกรรโชกตอทานอสุ มานวา เปน “นะอฺษะลนั ” และทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺก็มิ เคยกลาววา “พวกทานจงสงั หาร “นะอษฺ ะลัน” เสียเถิด เพราะเขาเปน กาฟร”(388) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยนํากองทัพทหารโดยนั่งบนอูฐผานตําบล “อัสกัรฺ” เพ่ือสู สมรภูมิอยางผูหยิ่งยะโส จนกระท่ังสุนัขพากันเหานาง(389) ซึ่งเรื่องน้ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดเ คยตักเตือนสาํ ทับทา นมาแลว(390) (387) ดูศอฮฮี้ บฺ คุ อรี ภาคที่ 1 บาปที่วาดวยสิง่ ทีอ่ นญุ าตใหก ระทาํ ในเวลานมาซ หนา 143 (388) ทานหญิงอาอชี ะฮเฺ ปนผูสรางความเจ็บชํ้านํ้าใจใหแกทานอุสมาน ซ่ึงนางมีความแคน เคืองเปนอยางยิ่งตอพฤติกรรมาของทานอุสมาน ถึงกับสมญานามใหทานอุสมาน วา “นะอฺษะลัน” แลว กลา ววา “พวกทานจงสงั หารนะอษฺ ะลันเสียเถิด เพราะเขาคือกาฟร” เรื่อง น้ีมีปรากฏอยูในหนังสือ “ตารีค” ของทานอิบนุ ญารีรและอิบนุ อัล-อะษีร ไดบันทึกไวใน หนา 80 ภาคที่ 3 ของหนังสือ “กามิล” ซ่ึงทานอิบนุ อัลอะษีรไดกลาวถึงเรื่องตนเหตุแหง การทําสงครามอูฐ โดยอางบทกวีของจากเหตุการณนั้นประกอบวา “ทานเปนผูกอเรื่อง

ทานเปนผูอิจฉา ทานเปนผูปลอยขาว ทานเปนผูสรางเหตุการณ ทานสั่งเราใหฆาหัวหนา และทา นบอกเราวา เขาคอื กาฟร ” (389) เมื่อคร้ังทําสงคราม “ญะมัล” ทานหญิงอาอีชะฮฺ ไดนําทัพไปถึงตําบล “อัสกัรฺ” โดยมี ยะอฺลา บิน อุมัยยะฮฺ ผูมีนิสัยหยาบกระดางรวมกองทัพไปดวย คร้ันเมื่อทานหญิงไดเห็น เชนน้ัน (สุนัขเหาหอน) ทานก็ตกใจมาก ย่ิงเม่ือทานรูวาตําบลน้ีช่ือ “อัสกัรฺ” ทานจะถอย กลับโดยกลาววา “ถอยกลับเถิด ฉันไมตองการจะไปสูที่นั่นอีกแลว” เพราะวาทานนึกถึง เรื่องท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ เคยบอกทานไวเก่ียวช่ือของสถานท่ีแหงนั้น และเคยหาม ทานวามิใหข่ีพาหนะผานไปดวย แตพวกทหารเสแสรงบอกเปลี่ยนชื่อตําบลเสีย โดยบอก ทา นวา “ชอื่ ตําบลนีห้ มายถงึ เกยี รติยศและพลังอนั ย่งิ ใหญของทานเอง” ดังนัน้ ทานหญิงอาอี ชะฮฺจึงมีความพึงพอใจ เร่ืองนี้ไดถูกบันทึกโดยนักปราชญกลุมหนึ่ง โปรดดูหนา 80 ภาคท่ี 2 “ชะรอฮฺนะฮฺลู -บะลาเฆาะฮฺ” โดยทาน “อัล-ลามะฮฺ มุอตฺ ะซิละฮ”ฺ ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยออกนอกบานของทานโดยพละการ ซ่ึงเปนเหตุใหอัลลอฮฺผู ทรงเดชานุภาพสูงสดุ ตองส่ังใหนางอยูกบั เหยาเฝา กบั เรอื น(391) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยละเมิดและมิเคยจัดกองทัพเพ่ือเผชิญหนากันกับทานอิมาม อาลี แลวกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดวายชนมตรงระหวางแกมและคางของฉัน” แตกลับ สนองกับคํากลาวท่ีทานหญิงอาอีชะฮฺไดเคยเลาวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดดูชาวซูดานละ เลนการบันเทงิ ในมัสญิด ซึง่ ทา นไดก ลา วแกนางวา “เธอชอบท่ีจะดูพวกนี้หรือ ?” ทานหญิงกลาววา “ใชแลว ” แลวทา นหญิงไดก ลาวอีกวา ทานศาสนทูตไดใหฉันยืนพิงหลังของทานและแกมของฉันก็ ทับกับแกมของทาน แลวทานศาสนทูตไดกลาววา “เชิญเถิดชาวบะนีอัรฟะดะฮฺ (ทานย้ําใหพวกเขา ละเลนเพ่ือเปนความสนุกของทานหญิง) จนทานหญิงไดกลาววา เมื่อฉันไดชมอยางเต็มที่แลว ทานศาสนทูตก็ไดกลาววา “พอแลวหรือ ?” ฉันตอบวา “จะ” ทานศาสนทูตจึงไดกลาววา “ถา เชนนน้ั ก็จงไปกันเถิด”(392) นอกจากน้ีรายงานเชนนี้ยังสอดคลองกับคํากลาวของทานหญิงไดเขามาหาฉัน ซึ่งใน ขณะน้ันฉันอยูกับหญิงอีกสองคนรองเพลงรื่นเริงกัน โดยที่ทานศาสนทูตนอนบนพรม ตอมาทาน อาบูบักรฺไดเขามา เขาจึงตะคอกฉันในเร่ืองนี้แลว กลาววา “ชัยฎอนจะเขามายุแหยทานศาสนทูต แหงอัลลอฮ”ฺ ทา นหญิงไดกลาววา “กท็ านศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดรับทราบเรื่องนี้แลวไง” ทาน อาบบู ักรจฺ ึงไดกลา ววา “ฉะนั้นก็ปลอยเขาทง้ั สองไปเถิด”(393)

(390) เร่ืองนี้เปนท่ีรูกันมาจากฮาดีษบทหนึ่งของทานนบี ซึ่งทานอิมามอะหฺมัด ฮันบัล ได กลาวสรุปไวเมื่ออางรายงานฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺในหนังสือ “มุสนัด” ของทาน หนา 52 และหนา 97 ภาคท่ี 6 ทานฮากิมก็ไดกลาวถึงเร่ืองน้ีไวเชนเดียวกันในหนังสือ “มุส ตัดร็อก” ภาคท่ี 3 หนา 120 ทานซะฮะบียก็ไดยอมรับเร่ืองนี้โดยบันทึกไวในหนังสือ “ตัลคศี ” (391) เร่ืองนี้อัลลอฮฺไดทรงมีโองการวา “และจงใหพวกนางอยูในเหยาเรือนของนางและ นางอยาไดอวดโฉมเหมือนท่ีผงู มงายสมัยกอน เขาไดอ วดโฉม” (33 : 33) (392) นคี่ ือฮาดษี ซ่งึ ยนื ยันมาจากทานหญงิ อาอชี ะฮฺ รายงานไวโ ดยบุคอรีและมุสลิม โปรดดู หนังสือศอฮ้ีฮฺบุคอรีไดในตอนแรกของกิตาบ “อีดัยน” หนา 116 ภาคที่ 1 หนังสือศอฮ้ีฮฺ มุสลิม บาบท่ีวาดวย “การอนุญาตใหละเลนส่ิงท่ีไมเปนบาปในวันอีด” หนา 327 ภาคที่ 1 หนงั สอื “มุสนดั อะหฺมัด” ภาคที่ 6 หนา 57 รายงานฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺยังมีตอไปอีกวา ทานนบีไดผละหนีจากฉันซ่ึงฉันก็ได ผละหนีจากทาน เราไดรงั้ รอตอทา นจนกระทั่งฉนั เปนทกุ ข จนทา นนบีไดกลาววา “นี่เปนบทเรียนท่ี เด็ดขาดสําหรับเธอ”(394) ทานหญิงอาอีชะฮฺยังไดกลาวอีกวา(395) “ฉันไดเลนกับหมูผูหญิงอยู แลว ทานศาสนทูตกไ็ ดเ ขา มาเปน เพ่อื นเลนกบั ฉนั ซ่ึงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดเขามาเลนรวมกับพวก ผหู ญงิ เหลานั้นกับฉัน” (อลั -ฮาดษี ) ทา นหญิงอาอชี ะฮฺยงั ไดกลาวอีกวา (396)“ฉนั ไดร บั ความโปรดปรานเจ็ดอยางจากอัลลอฮฺ โดย ทมี่ ิเคยมผี ูใดในหมมู นุษยจะไดรับมากอ นนอกจากมัรยมั บินต อมิ รอน นัน่ คอื มะลาอิกะฮฺไดเ สดจ็ ลง มาโดยอาศัยรูปกายของฉัน ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดแตงงานกับฉันในขณะท่ีฉันเปนสาว ซึ่ง ทานมิไดมีผูรวมภาคีคนใดเลยในหมูมนุษย การลงมาของวะฮฺยูไดมีข้ึนในขณะที่ฉันและทานศาสน ทูตอยูในผาหมผืนเดียวกัน ฉันเปนสตรีที่รักย่ิงของทานในขณะที่โองการจาก อัล-กุรอาน ไดถูก ประทานลงมาเพ่ือย้ําตอบรรดาประชาชาติถึงภัยพิบัติที่มีอยูในหมูสตรี ฉันไดเคยเห็นญิบรออีลใน ขณะที่สตรีคนอื่นนอกเหนือจากฉันมิเคยไดเห็นพระองคเลยแมแตคนเดียว ทานศาสนทูตไดวาย ชนมใ นบา นของฉันในขณะทไ่ี มม ีบุคคลอน่ื แมแ ตค นเดียวนอกจากฉนั และมะลาอิกะฮฺ”(397) (393) ทา นบคุ อรี ทานมสุ ลิมและทา นอมิ ามอะหมฺ ัดไดบันทึกเรื่องนี้จากฮาดีษท่ีรายงานโดย ทานหญิงอาอีชะฮฺ ดงั มรี ายละเอยี ดตามทเี่ ราไดชี้แจงน้ีไวในหนังสือตาง ๆ ของทานดังที่ได กลาวถงึ มาแลวขางตน.

(394) ทานอิมามอะหฺมัดไดบันทึกฮาดีษบทน้ีจากรายงานฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺ ซึ่งมี ปรากฏอยใู นหนังสอื มุสนัด ภาคท่ี 6 หนา 39 (395) เรื่องน้ีทานอิมามอะหฺมัด ไดบันทึกมาจากรายงานของฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺ ซงึ่ มปี รากฏอยใู นหนงั สอื มุสนัด ภาคที่ 6 หนา 75 (396) ทานอิบนุอาบูชัยบะฮฺไดบันทึกฮาดีษบทนี้ และเปนฮาดีษท่ี 1017 จากหนังสือฮาดีษ กนั ซุลอมุ าน ภาคที่ 7 ยังมีเรอื่ งราวทีไ่ ดร ายงานไวในทํานองน้ีอีกมากมาย แตสําหรับทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺนั้น ทานเปนผูท่ียึดมั่นตอตําแหนงของผูปกครองที่มี อาํ นาจเหนือตัวของนางซึ่งเปนทายาทแหงนบีของนาง และทานหญิงอุมมะสะละมะฮฺเปนผูมีทัศนะ ที่ประเสริฐมีอุดมคติที่เปนธรรม เปนสตรีผูท่ีมีสติปญญาเฉลียวฉลาด เปนผูมั่นคงอยางเหนียวแนน ตอหลักการศาสนา โดยที่ทานนบี (ศ) ไดช้ีแจงถึงเรื่องราวท่ีเก่ียวกับนางไวในเหตุการณแหง สงคราม ฮุตัยบียะฮฺ โดยแสดงใหเห็นวาทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺเปนผูเพียบพรอมบริบูรณดวย สติปญญา และความคิดอารนที่ชอบธรรม อีกท้ังไดแสดงใหเห็นวา ทานหญิงเปนผูที่มีจุดยืนและ อุดมการณอันสูงสง ขอความเมตตาปรานี และความศิริมงคลแหงอัลลอฮฺจงไดประสบแกนางดวย เถดิ วสั ลาม (ช) (397) มีรายงานท่ีสอดคลองตรงกันวา ทานศาสนทูต (ศ) ไดเ สียชีวิต ในขณะที่ทานอาลีเปน ผเู ฝา ดแู ลอยูอ ยางใกลชิดสําหรับการเสียชีวิตของทาน ฉะน้ันการท่ีทานหญิงอาอีชะฮฺอางวา ทานศาสนทูตไดวายชนมโดยที่ไมมีคนใดไดเห็นทาน นอกจากทานหญิงคนเดียวและมะ ลาอิกะฮฺ จะเปนขออางท่ีถูกตองไดอยางไรกัน แลวขณะน้ันทานอาลี ทานอับบาส ทาน หญิงฟาฏิมะฮฺ และทานหญงิ ซอฟยะฮฺ เขาไปไหนกันเสียหมด ? แลวบรรดาภรรยาท้ังหลาย ของทานนบี ตลอดจนถึงชาว บนีฮาชิม เขาไปไหนกันเสียหมด ทําไมเขาเหลาน้ันจึงพากัน ละท้ิงมัยยิตของทานศาสนทูตไวใหแกทานหญิงอาอีชะฮฺเพียงคนเดียว... สําหรับทาน หญิงมัรยัม (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) นั้นมิเคยไดรับพรเจ็ดประการตามที่ทานหญิงอาอี ชะฮฺมารดาแหงศรัทธาชนไดกลาวถึงไว อะไรคือเปาหมายในการท่ีทานหญิงไดสดุดีตัว ของทา นเองเชนนี้?

อัล-มรุ อญิอะฮฺ 79 23 ศอฟร 1330 • กลุมนักปราชญทั้งหมดยืนยันถึงความถูกตองสําหรับตําแหนงการเปนคอลีฟะฮฺของทานอาบู บักรฺ ถาหากรายละเอียดตามที่ไดกลาวมาแลวทุกสิ่งทุกอยางไมวาในดานที่เปนเร่ืองของพันธะ สัญญาและเรื่องของการแตงตั้งทายาทแหงทานศาสนทูตเปนความถูกตองที่สมบูรณจริง โดยมี หลักฐานรายละเอียดสามารถพิสูจนไดแลว ไฉนกลุมบรรดาประชาชาติมุสลิมท้ังหลายในสมัยน้ัน จึงไดใ หสตั ยาบันตอทานอาบูบกั รฺ (อัศศดิ ดีก) โดยทคี่ ํากลา วของทา นศาสนทูต (ศ) ซึ่งเปนมาตรการ เดด็ ขาดไดระบุอยแู ลววา “การลงมติของประชาชาตขิ องฉันน้ันไมตงั้ อยบู นความผิด” และคํากลาวของทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดมี อีกวา “พวกเขาจะไมล งมติท่อี ยูกบั ความหลง” ฉะนั้นทา นจะแถลงชี้แจงในเรื่องนอ้ี ยา งไรบาง ? วสั ลาม (ซ) อัล-มรุ อญิอะฮฺ 80 24 ศอฟร 1330 • ตําแหนงการเปนคอลฟี ะฮขฺ องอาบบู กั รมฺ ไิ ดเปนมตเิ อกฉนั ท เรามีความเห็นวา ความหมายของคํากลาวท่ีทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “ประชาชาติของ ฉันไมมีการลงมติที่ต้ังอยูบนความผิดพลาด” นั้นหมายถึงเพียงแตวา ทานศาสนทูตไดปฏิเสธวา ความผิดจะไมเกิดข้ึนจากกิจการหน่ึงกิจการใดที่บรรดาประชาชาติไดรวมปรึกษาหารือกัน โดยที่

พวกเขาไดยึดมั่นอยางจริงจังเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งพวกเขามีความคิดเห็นท่ี สอดคลองตรงกนั เรื่องนี้กห็ มายความวา เปน เงือ่ นไขที่จะตองข้ึนอยูกับแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) น้ันเอง มใิ ชส ่ิงอืน่ แตสําหรับกิจการท่ีบุคคลหน่ึงบุคคลใดจากหมูประชาชาติไดแสดงความคิดเห็นของตน ออกมานั้น เขาจะตองถูกควบคุมโดยหลักการของทานศาสนทูต (ศ) ฉะน้ันการที่มีกลุมบุคคลเสนอ หลกั การใด ๆ ใหแกพวกเขาเหลาน้ันซึ่งเปนหลักการท่ีมีขอตําหนิก็ถือไดวาหลักการนั้น ๆ มิใชเปน หลักฐานท่ีช้ีถึงความถูกตอง การใหสัตยาบันที่สะกีฟะฮฺนั้นมิไดเปนไปตามมติจากที่ประชุมของ บรรดาสาวกสวนใหญแตอยางใดเลย หากแตเปนการประกาศโดยทานคอลีฟะฮฺคนที่สองและอาบู อุบัยดะฮฺ ตลอดถึงบุคคลที่เปนพรรคพวกของคนท้ังสองเทาน้ัน ซ่ึงตอมาบรรดาประชาชนทั้งหลาย ตางก็ไดรับรองมติอันน้ัน และไดชวยกันใหพวกเขาไดบรรลุถึงวัตถุประสงคตามที่พวกเขามีความ ปรารถนา แมแตทานอาบูบักรฺเองก็ยังไดอธิบายวา แทจริงการใหสัตยาบันแกทานในวันนั้นมิได เปน ไปตามมตขิ องการประชมุ ทีป่ รกึ ษาหารอื กันและมไิ ดเ ปนไปตามการเสนอความคิดเห็น ซึ่งเรื่อง นี้ทา นอาบบู ักรเฺ คยไดกลา วคําปราศรยั ตอ หนาประชาชนในตอนแรกของการเขา รับตําแหนงการเปน คอลฟี ะฮฺของทา นวา “แทจริงการใหสัตยาบันแกฉันนั้น เปนไปโดยบังเอิญ ขออัลลอฮฺไดทรงปกปองฉันใหพน จากความชว่ั รา ยของมนั ดว ยเถิด และฉนั กลวั ความมวั หมอง (ฟต นะฮฺ) ทีจ่ ะเกดิ ขึ้น(398) ทา นอมุ ัรเองก็ยังไดย ืนยนั ถึงเร่ืองน้ีไวตอหนากลุมบุคคลระดับหัวหนาเผาตาง ๆ ที่เปนสักขี พยาน ในการกลาวคําปราศรัยครั้งหนึ่งซ่ึงทานไดกลาวบนมิมบัรของทานนบีในมัสญิดมะดีนะฮฺ เมื่อวันศุกรหนึ่งในชวงปลายสมัยการดํารงตําแหนงเปนเคาะลีฟะฮฺของทาน ซ่ึงเรื่องนี้ไดมีการ บนั ทกึ ไวในตาํ ราตาง ๆ ที่สําคัญทกุ เลม เชนทา นบคุ อรีซงึ่ ไดบันทึกไวในหนังสือศอฮ้ีฮฺของทา น(399) ขอใหทานไดใชความสังเกตตอตัวบทตามประโยคที่ทานไดบันทึกไววา ทานอุมัรไดกลาว วา “ในหมูพวกทานมีคนพูดเร่ืองน้ันจนมีขาวมาถึงฉันวา(400) ขอสาบานดวยพระนามของอัลลอฮฺ ถา หากอุมัรถึงแกความตายลงแลวเขาจะใหสัตยาบันแกชายคนหน่ึงใหรับตําแหนงแทน เขาอยาได เปลี่ยนแปลงคําส่ังโดยเด็ดขาดในอันท่ีจะกลาววา ความจริงแลวการรับรองใหสัตยาบันแกอบูบักรฺ เปนเรื่องบังเอิญเทานั้น” จงรูไวเถิดวา เรื่องน้ีมันไดมีอันเปนไปเชนน้ัน แตทวาอัลลอฮฺทรงปกปอง ความชว่ั รายของมนั ”

(398) เร่ืองน้ีทานอาบูบักรฺ อะหฺมัด บิน อับดุลอะซีซ อัล-เญาฮะรียฺ ไดบันทึกไวในหนังสือ สะกีฟะฮฺ และทานอิบนุ อาบู อัล-ฮะดีดก็ไดอางไวในหนังสือ นะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ หนา 132 ภาคที่ 1 (399) โปรดดูภาคที่ 4 หนา 119 หมวดวาดว ย “รอ็ จมุล-หับลา มินซั ซินาฯ” และนอกจากนี้ก็ ยังมีบันทึกอยูในตําราของนักปราชญฝายซุนนะฮฺอีกหลายทาน เชน อิบนุญะรีร ฏ็อบรีระบุ ใน “เร่ืองราวของปท่ี 11” หนังสือ “ตารีค” และทานอิบนุฮะดีด ก็อางไวในหนา 122 หนงั สือชะเราฮฺนะฮฺุลฯ เลม 1 เปนตน แลวทานยังไดกลาวอีกวา “ผูใดท่ีใหสัตยาบันแกชายคนหนึ่ง โดยปราศจากมติของที่ ประชุมก็ไมถือวาเปน การใหสัตยาบัน และยงั ไมมผี ซู ึ่งรับสตั ยาบนั น้นั มันเปนการลอแหลมที่เขาท้ัง สองจะถูกฆา ”* (400) ทานอิบนุ ซุบัยรฺเปนผูที่ไดกลาววา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ หากอุมัรตายลง เราจะ ใหสัตยาบันแกอาลี เพราะวาการใหสัตยาบันตามแบบของอาบูบักรฺนั้นเปนเรื่องที่เกิดข้ึน โดยบังเอิญกอนหนาที่เขาจะตาย” ปรากฏวาทานอุมัรโกรธคําพูดน้ีเปนอยางยิ่ง และได กลา วคาํ ปราศรัยตอนนีข้ ึ้น เร่ืองน้ีมีรายละเอียดมากใน “ชะเราะหฺ บุคอรี” โปรดดูคําอธิบาย เร่ืองนี้ใน “ฉบับอธิบายโดย ก็อสฎ็อลลานี” หนา 352 ภาคท่ี 11 ทานจะพบวา เขาไดอาง เรื่องนมี้ าจากทาน บะลาซริ ี โดยมีสายสืบถูกตองตามมาตรฐานของทา นบคุ อร-ี มุสลมิ * ทานอิบนุ อะษีร ไดอธิบายเร่ืองนี้ในหนังสือ “นิฮายะฮฺ” โดยอธิบายวา “ตะฆ็อรเราะฮฺ” (ลอแหลม) ซ่ึงมีรากศัพทจาก “ฆ็อรรอเราะฮฺ” (เส่ียงภัยอันตราย) ทานจะพบศัพทน้ีใน หมวด “ฆอรอ็ ร” เดมิ สืบรากศพั ทมาจาก “ตัฆรรี ” เชนเดียวกับหมวดของคําวา “ตะอัลละฮฺ” ที่มาจากรากศัพทของ “ตะอฺลีล” ในประโยคนี้มันเปน “มุฎอฟ” (บุรพบท) ทางหลัก ไวยากรณไดกําหนดคาของมันวา “เคาฟฺ ตะฆ็อรเราะฮฺ อัน ยุกตะลา” (หว่ันเกรงเหลือเกิน วาเปนการเสี่ยงท่ีเขาทั้งสองจะถูกฆา) คือกลัววาจะเกิดมีการฆาคนทั้งสองนั่นเอง ครั้นเมื่อ ไดลบบุรพบทท่ี “เคาฟฺ” ในประโยคนี้ออกไปแลว ตําแหนงของบุรพบทก็จะมาไดแกคําวา “ตะฆอ็ รเราะฮ”ฺ นน่ั เอง ในทางไวยากรณข องภาษาอาหรบั กาํ หนดคาของตวั นใ้ี หเ ปน “มฟั อู ลุล-บิฮฺ” (กรรม) อนุญาตใหกลาววา “เขาทั้งสองจะถูกฆา” แทนที่ตําแหนงของ “ตะฆ็อร เราะฮฺ” ได ประโยคน้ีจึงอยูในรูป “มุฎอฟุล-อิลัยฮฺ” (บุรพบทเช่ือมประสมเปนโครงสราง ประโยค) ท่ีถูกลบคาไปแลวเหมือนประโยคแรก และจากบุรพบทเดิม “ตะฆ็อรเราะฮฺ” น้ัน

ก็จะถูกนําไปประสมกับคําวา “อัน ยุกตะลา” ซึ่งจะไดความหมายวา “เคาฟฺ ตะฆ็อรเราะฮฺ ก็อตละฮุมา” (เปนความนากลัวท่ีลอแหลมเหลือเกินวาการฆาจะตองมีแกคนท้ังสอง) (ทานอิบนุ อะษีร ไดก ลาวอกี วา) ความหมายของฮาดีษนี้ก็คือ ขอเท็จจริงของการ “บัยอะฮฺ” (ใหส ตั ยาบนั ) นั้น ขนึ้ อยูกบั มติที่เสนอออกมาเปนเอกฉนั ทข องท่ปี ระชมุ ครน้ั เมื่อบคุ คล และทา นไดกลาวอกี วา “แทจรงิ เรื่องน้ไี ดม ีผมู าบอกเลาใหพ วกเราไดท ราบเมื่อตอนที่ทานน บี (ศ) ถงึ แกการวายชนมวาพวกชาวอนั ศอรไดขัดแยงกันกับพวกเรา พวกเขาไดรวมกันประชุมลับที่ ตาํ บลสะกีฟะฮฺ บนีสาอิดะฮฺและอาลีกับซุบัยรฺพรอมกับพรรคพวกของเขาท้ังสองคนก็ขัดแยงกับเรา ดว ย” หลังจากนั้นเรื่องราวที่เกิดข้ึนในตําบลสะกีฟะฮฺก็ไดเปนขาวแพรหลายไปในทํานองวามี ความถกเถียงและขัดแยงกันในดานความคิดเห็นตาง ๆ เสียงสวนใหญของพวกเขาไดกอใหเกิด ความจําเปนในการแตกแยกของประชาชาติอิสลาม ซ่ึงในยามนั้นทานอุมัรก็ไดเปนผูตัดสินใจให การรับรองทานอาบูบกั รฺ เปนที่รูกันอยางดีที่สุดในหมูบรรดานักปราชญทั้งหลายวา บรรดาชาวอะหฺลุลบัยตฺผูเปน เจาของบา นที่สาสนของอัลลอฮฺไดถกู ประทานลงมาน้ันมิไดใหการรับรองตอการดํารงตําแหนงเปน คอลีฟะฮฺของอาบูบักรฺในครั้งกระนั้น แมแตคนเดียว และแนนอนย่ิงคนท่ีอยูในบานของทานอาลี ตางก็ไดคัดคานในเรื่องนั้น พรอม ๆ กันนี้ กลุมศอฮาบะฮฺอีกจํานวนหลายคนเชน ทานซัลมาน ทาน อาบูซัรฺ ทานมิกดาด ทานอัมมารฺ ทานซุบัยรฺ ทานคุซัยมะฮฺ ทานอุบัยบินกะอับ ทานฟรวะฮฺ บินอัมรฺ ทานบัรรออฺ บินอาซิบ ทานคอลิด บินสะอีด และบุคคลอื่น ๆ อีกเปนจํานวนมาก ตางก็ไดรวมกัน คัดคาน เพราะฉะนั้นจะถอื วามติของท่ปี ระชมุ ท่เี กิดขึ้นมาจากการถกู คัดคานโดยบุคคลกลุมนี้จะเปน ที่สมบูรณไดอยางไร ขณะท่ีในหมูพวกเขาน้ันมีกลุมท่ีเปนลูกหลานของศาสดามูฮัมมัด (ศ) ซ่ึงพวก เขาเปนกลุมชนที่อยูใ นฐานะดงั เชน ศีรษะของรา งกายสําหรับประชาชาติ พวกเขาอยูในฐานะดวงตา ของใบหนา พวกเขาอยูในฐานะสิ่งสําคัญของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺเปนมาตรฐานท่ียืนยันตอ พระคมั ภีรของอลั ลอฮฺ เปนนาวาท่ียังความปลอดภยั แกบรรดาประชาชาตทิ ั้งมวล และเปน ประตแู หง เมตตา กลาวคือเปนหลักประกันความปลอดภัยใหประชาชาติท้ังผองพนจากความหลงผิดในเรื่อง ของศาสนา และพวกเขาเปนสัญลักษณแหงทางนาํ สาํ หรับประชาชาติ ดังเชนทเ่ี ราไดยนื ยันถึงเรื่องนี้ ผา นมาแลว (401)โดยที่ไดอ ธิบายวาคุณสมบตั ขิ องพวกเขาเหลา น้ันเปน ขอพสิ จู นท ีช่ ดั แจง

สองคนเร่ิมตนใหสัตยาบันแกคน ๆ หน่ึง โดยมิไดมีมติจากหมูคณะแลว การกระทําเชนนี้ ถือวา คนทั้งสองละเมิดและตอตานกับหมูคณะ ถึงแมมีมติรับรองใหแกคนหนึ่งไปแลวก็ ตามที แตย งั ไมถ อื วาอกี คนหน่ึงจะพลอยไดรับมติน้ันไปดวย และคนท้ังสองจะตองถูกแยก ใหออกไปเสียจากหมูคณะซึ่งจะมีมติเลือกต้ังหัวหนาของตนตอไป เนื่องจากวามติท่ีได ใหแกคนหนึ่งน้ัน เขาท้ังสองไดกระทํากันไปในรูปที่นารังเกียจ ซ่ึงเปนหนาท่ีของหมูคณะ ท่ีจะตองรักษาใหพนจากเร่ืองท่ีนารังเกียจและการใชอิทธิพลขม เขาท้ังสองจึงไมปลอดภัย จากการถกู ฆา (ขาพเจาขอกลา ววา) นคี่ ือมาตรการอนั หนึง่ ทแ่ี สดงใหเห็นถึงความเปนธรรม ซ่ึงทานอุมัรไดสอเจตนารมณไวในอันท่ีจะดําเนินกฎเกณฑน้ีแกตัวทานและตัวสหายของ ทานเอง ดังท่ีทานจะไดดําเนินกฎเกณฑนี้ใหแกคนอื่น ซึ่งกอนหนาที่ทานจะกลาวคํา ปราศรัยน้ี ทานก็เคยไดกลาวแลววา “แทจริงการใหสัตยาบันแกทานอาบูบักรฺ เปนเพียง เร่ืองบังเอิญเทานั้น แตอัลลอฮฺไดทรงปกปองความชั่วรายของเรื่องน้ีเสียได ฉะนั้นถาใคร หวนกลับไปใชวิธีการเชนน้ันอีก พวกทานก็จงสังหารเขาเสียเถิด” ถอยคําน้ีเปนท่ีรูกัน โดยทั่วไป นักประวัติศาสตรตางไดนํามาอางอิงไวเชน ทานอัลลามะฮฺ อิบนุ อาบี ฮะดีด หนา 123 ภาคท่ี 1 หนังสอื “ชะเราะฮฺ นะฮฺุล-บุลาเฆาะฮ”ฺ นอกจากนท้ี า นบคุ อรีและทา นมุสลิมก็ยังไดยืนยันไวในตําราศอฮ้ีฮฺของทานท้ังสอง(402) และ นักปราชญฝายซุนนะฮฺอีกจํานวนไมนอยตางก็ไดยืนยันไวในตําราท้ังหลายวา ทานอาลีมิไดใหการ รับรองตออาบูบักรฺ จนกระท่ังทานหญิงฟาฏิมะฮฺไดถึงแกการวายชนมตามบิดาของทาน (ศ) ไป ซึ่ง เร่ืองนี้ไดเกิดขึ้นเม่ือหลังจากทานอาบูบักรฺไดเปนคอลีฟะฮฺ 6 เดือน ฮาดีษที่ยืนยันถึงเรื่องนี้มีอยูใน รายงานของทานหญิงอาอิชะฮฺที่ไดอธิบายถึงเรื่องน้ีวา แทจริงทานหญิงฟาฏิมะฮฺซะฮฺรออฺไดโกรธ อาบูบักรฺจนถึงกับมิไดพูดกันเลย หลังจากท่ีศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดวายชนมไป จนกระทั่งทานเอง ไดถ งึ แกการวายชนมไปดว ย (401) โปรดยอ นกลบั ไปดู อัลมรุ อญอิ ะฮฺ ท่ี 6 และถัดมาจนถึง อลั มุรอญิอะฮฺ ที่ 12 แลวทาน สามารถทจี่ ะรูจกั คุณสมบตั ขิ องอะฮลฺ ลุ บยั ตไฺ ด (402) โปรดดูศอฮี้ฮฺบุคอรี ตอนทายของหมวดท่ีวาดวยเร่ืองการทําสงครามคัยบัร หนา 39 ภาคท่ี 3 และโปรดดูศอฮ้ีฮฺมุสลิม กิตาบอัล-ญิฮาด วัล-สีร หนา 72 ภาคท่ี 2 บทที่วาดวย “คํา กลาวของทา นนบีทว่ี า สิง่ ใด ๆ ทเี่ ราทิ้งไวเปนมรดกลวนเปนทาน” แลวทานจะพบเร่ืองราว ตามทเี่ รากลาวมาแลวนีล้ ะเอียดยบิ

ทานอาลีเองก็ไดเคยยื่นขอเสนอใหแกพวกเขาเหลานั้นโดยอางสาเหตุการดํารงตําแหนงคอ ลีฟะฮฺซ่ึงทานไดกลาวกับอาบูบักรฺวา “ในฐานะที่ฉันเปนญาติสนิทของทานนบี (ศ) ที่ใกลชิดยิ่งกวา ทาน และถาหากวามีการประชุมปรึกษาหารือกัน แนนอนฉันยอ มมีความสามารถท่ีจะถูกรับรองจาก พวกเขา แตทวาสิ่งน้จี ะเปน ไปไดอ ยา งไรในเม่ือเปน การประชมุ ลับ”(403) ทานอับบาส บิน อับดุล-มุฏเฏาะลิบ ก็ไดอางคํากลาวทํานองเดียวกันน้ีกับทานอาบูบักรฺ เชนเดียวกัน คือทานไดกลาววา(404) “ถาหากฉันจะอางความสัมพันธท่ีฉันมีตอทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ ฉันก็สามารถท่ีจะอางไดเพราะมันเปนสิทธิของเราที่ฉันจะเอาตําแหนงนั้นย่ิงกวา และ ถาหากจะอางถึงฐานะของความเปนผูศรัทธาสําหรับสิทธิในเร่ืองน้ี ก็เราอีกน่ันแหละที่เปนกลุมชน พวกแรกในหมูพวกเขาทั้งหลาย และถาหากวาตําแหนงนี้มันจําเปนแตเพียงสําหรับทานเทานั้นใน ฐานะทเ่ี ปน ผศู รทั ธา กเ็ ปน อันวา มนั จําเปนอยา งยิง่ ทพ่ี วกเราตอ งเปนผตู ัง้ ขอ รงั เกียจ” (403) เร่ืองน้ีมีปรากฏอยูสองแหง ในหนังสือนะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ ซ่ึงทานอิบนุ อาบูฮะดีด ไดกลาวคําอธิบายขอความท้ังสองแหงน้ีไวในหนา 319 ภาคที่ 4 ซึ่งเปนคํากลาวท่ีทานอาลี พูดข้ึนเม่ือเผชิญหนากับทานอาบูบักรฺ ท้ังนี้เนื่องจากทานอาบูบักรฺไดอางอิงกับชาวอันศอร บางคนในตําบลสะกีฟะฮฺวา “เราคือเชื้อสายแหงศาสนทูตแหงอัลลอฮฺซ่ึงมาจากทาน เพราะฉะน้ัน ถาเม่ือใดท่ีเราไดใหการรับรอง เม่ือน้ันก็หมายถึงเปนการรับรองซึ่งเปนที่ ยอมรับของประชาชน เพราะวาการรบั รองน้ีเกิดขึ้นมาจากกลุมผูซ่ึงรูดีชั่ว” ทานอาลี (อ) ได กลาววา “การที่ทานไดอางกับชาวอันศอร วาทานมีความผูกพันกับศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ย่ิงกวาคนอื่น ๆ น้ัน ทานคิดหรือวานอกเหนือจากทานแลวจะไมมีคนอื่นที่ใกลชิดตอ ทานนบีอีก คร้ันถาหากทานอางวา กลุมประชาชนไดเลือกต้ังทานข้ึนมาดวยความพอใจ แลวละก็ทานเองก็รูอยวู า ประชาชนกลุมนั้นที่เปน ศอฮาบะฮฺอกี จาํ นวนหนึง่ เขายงั มไิ ดม าให การรับรองดวยแลวจะถือวาตําแหนงการเปนคอลีฟะฮฺของทานน้ีจะถูกตองไดอยางไร” ทานชัยค มุฮัมมัด อับดุฮฺ ก็ไดอธิบายถึงเร่ืองน้ีเชนเดียวกับคําอธิบายของทานอิบนุ อะบูฮะ ดดี (404) ทา นอิบนุ กุตัยบะฮฺไดก ลา วถงึ เร่ืองนไ้ี วในหนงั สือ “อมิ ามะฮฺ วัช-ชยิ าซะฮ”ฺ หนา 16 เม่ือไดพิจารณาตอคําอธิบายของผูเปนลุงแหงทานศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ศ) เองแลวเราจะ เห็นวาการดํารงตําแหนงเปนคอลีฟะฮฺของอาบูบักรฺนั้นเปนผลจากมติของที่ประชุมโดยเอกฉันทได

ท่ีไหนกัน ก็ในเม่ือลุงผูมีฐานะเทียบเทาบิดาของทานนบีเองไดปฏิเสธ ? อีกท้ังทานอาลีผูเปนบุตร ของลงุ และเปนพน่ี องผใู กลชดิ ตลอดจนถึงบรรดาอะหฺลิลบัยตฺทั้งหลายของทานกไ็ ดคดั คานดวย วัสลาม (ช) อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 81 28 ศอฟร 1330 • มตทิ ่ีเหน็ ชอบเปน เอกฉนั ทแลว ถามีการขดั แยง ก็ตอ งลมลางกนั ฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺมิไดปฏิเสธวาการใหคํารับรองแกทานอาบูบักรฺนั้นมิไดเปนไปตามมติ ของท่ีประชมุ แตพวกเขามีความเห็นวาเร่ืองนี้เปนเรื่องท่ีเกิดข้ึนโดยปจจุบันทันดวน และมิไดพะวัก พะวงใจที่จะวิเคราะหถึงขอขัดแยงของชาวอันศอรและไมไดวิเคราะหถึงขอขัดแยงของบนีฮาชิม และบรรดาผูศรัทธาท้ังชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรที่ใหการยอมรับตออิมามอาลี แตพวกเขา เหลานั้นลงความเห็นกันวาตําแหนงการเปนคอลีฟะฮฺน้ันเปนสิ่งที่เหมาะสมอยางดีท่ีสุดสําหรับอาบู บักรฺซ่ึงกลุมประชาชนไดยินดีที่จะใหทานเปนผูนําของพวกเขา ดังนั้นจึงไมมีเหตุผลใดท่ีจะขัดแยง ในเรื่องนี้หรอื หยบิ ยกปญ หาขอแยงมากลาวอกี ครัง้ หนงึ่ อีกประการหนึ่งประชาชนท้ังหลายไดลงมติรวมกันวาทานอาบูบักรฺเปนผูปกครองที่ ซื่อสัตย และใหการยอมรับตอทานทั้งโดยลับและเปดเผย จะเห็นไดวาคนทั้งหลายไดรวมกันตอสู เคียงบาเคียงไหลกันกับการตอสูของทาน คนท้ังหลายจะใหการยอมรับในสิ่งท่ีทานใหการยอมรับ คนท้ังหลายเช่ือฟงปฏิบัติตามคําสั่งและคําหามของทาน จนกระท่ังไมมีใครแมแตคนเดียวในหมู ประชาชนที่จะขัดแยงในเร่ืองน้ีจึงกลาวไดวา นี่คือมติที่สมบูรณเปนเอกฉันท ซึ่งแสดงวาเปนการ ดาํ รงตาํ แหนงคอลฟี ะฮฺทถ่ี ูกตองแลว ขอสรรเสริญตอเอกองคอัลลอฮฺ ซ่ึงพระองคไดทรงผนึกกําลังของพวกเขาเหลาน้ันให รวมกันได หลังจากท่ีเคยมีการขัดแยงกัน และพระองคไดทรงสมานจิตใจของพวกเขาเหลานั้นให เขา กันได หลังจากที่พวกเขาไดแ ตกแยกกัน วสั ลาม (ซ)

อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 82 30 ศอฟร 1330 • การลงมตกิ ม็ ไิ ดเปน เอกฉนั ท และการขดั แยง ก็มิไดเ ปน การทําลาย การยอมรับแตโดยดีของประชาชนท่ีมีตอภารกิจการปกครองของทานอาบูบักรฺ และยอม จํานนโดยดีตอทานท้ังในยามลับและในยามเปดเผยนั้นเปนเรื่องหน่ึง สวนความถูกตองของ ตําแหนงคอลีฟะฮฺวาเปนไปโดยมติเอกฉันทหรือไมก็เปนอีกเร่ืองหน่ึงตางหาก และท้ังสองเร่ืองนี้ ตางกม็ ใิ ชข อ พิสจู นท ่ยี นื ยนั ตอกันไดทัง้ โดยสตปิ ญญาและบทบญั ญัติ กลา วคือสําหรับทา นอมิ ามอาลี และบรรดาอมิ ามผไู ดรับการปกปอง (มะอศฺ ูมีน) จากบรรดา ลูกหลานของทานนั้น มีแนวทางสําหรับถือปฏิบัติอยางเปนที่รูจักกันอยูแลวสําหรับในยามท่ีภารกิจ การปกครองเปนของผถู อื อํานาจตอสังคมอสิ ลาม และแนวทางอันนี้กค็ ือแนวทางซึ่งเราไดดําเนินไป ตามกฎเกณฑข องอลั ลอฮฺ ขาพเจาจะเสนอคําตอบใหแกทานตามท่ีทานไดกลาวมาแลวเหตุผลทั้งหมดจากทัศนะของ ประชาชนในยุคนั้นก็คือวา ประชาชาติอิสลามไมอาจที่จะประสบความสําเร็จไดนอกจากจะตองมี กระบวนการปกครองท่ีถูกยอมรับแตโดยดี อีกทั้งชวยกันแกไขรอยราวตาง ๆ ตลอดจนตองชวยกัน พิทักษรักษาโฉมหนาและใหการเอาใจใสตอกิจการทั้งปวงของรัฐเอาไว และกระบวนการปกครอง ดังกลาวน้ีไมสามารถที่จะมีข้ึนได นอกจากดวยการผดุงรักษาภารกิจตาง ๆ ของรัฐไวดวยชีวิตและ ทรัพยสิน ท้ัง ๆ ท่ีความจริงแลวกระบวนการของรัฐจะตองอยูในอํานาจของผูปกครองที่ชอบดวย บทบัญญัติซึ่งอยูในฐานะตัวแทนท่ีถูกตองจากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) เทาน้ันมิใชเปนคนอ่ืน แตถาหากมีอุปสรรคเกิดขึ้นสําหรับเรื่องนี้โดยอํานาจการปกครองมุสลิมไดถูกผันกลับไปเปนของ คนอ่ืนประชาชนก็ยังจําเปนที่จะตองยอมรับตอภารกิจการปกครองของเขาในทุก ๆ กรณีท่ีเขาได ดําเนินไปและไดยับย้ังไวเพ่ือศักดิ์ศรีของอิสลาม และใหเปนเกราะปองกันอีกท้ังพิทักษรักษาโฉม หนาและเอกภาพเอาไวและไมเปนท่ีอนุญาตใหทํารายตอมุสลิมที่ฝาฝน อีกทั้งไมอนุญาตให แตกแยกออกจากหมูคณะเพ่ือประสงคท่ีจะตอตาน ย่ิงไปกวาน้ันประชาชนยังจําเปนที่จะตองให ความรวมมือเหมือนกับความรวมมือที่มีตอผูปกครองท่ีทรงสิทธิ์ถึงแมเขาจะเปนทาสท่ีดอยใน ศักดศิ์ รีกต็ าม ดังน้ันประชาชนยงั ตองมอบหมายภาษที รพั ยสิน และซะกาตปศุสัตวตลอดจนถึงอากร

อื่น ๆ ใหแกเขาไปและประชาชนยังอาจที่จะดําเนินการในลักษณะน้ีตอผูปกครองไดดวยวิธีการ คาขายและอื่น ๆ อีกท่ีเปนไปในเชิงแลกเปล่ียนกัน เชนสัมพันธไมตรีและเอื้อเฟอเผื่อแผ ย่ิงไปกวา น้ันยังถือวาไมมีปญหาใด ๆ อีกดวย ในการท่ีจะรับขอเสนอตลอดจนหยิบยื่นขอเสนอไปใหแก ผปู กครองโดยถอื เสมือนวา ไดใหการสนับสนุนตอ หวั หนาและผปู กครองทท่ี รงสทิ ธิ์โดยสัจจริง... นี่คือแนวทางของทานอาลีและบรรดาอิมามผูบริสุทธิ์ท่ีเปนบุตรหลานของทาน ซ่ึงทานศา สนทูต (ศ) ไดกลาวไววา(405) “ภายหลังจากฉันนี้จะมีเรื่องราว และกิจการที่พวกทานทั้งหลายตอง ปฏิเสธกับมนั ” พวกเขาเหลา นน้ั ไดก ลาววา “โอทานศาสนทูตแหง อลั ลอฮฺ ทานจะส่ังคนของพวกเรา ในเร่ืองน้ีอยางไรบาง ?” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “พวกทานจงรักษาสิทธิหนาที่ท่ีมีตอพวก ทา น และพวกทา นจงวิงวอนขอตอ อัลลอฮฺสําหรบั สิง่ ที่เกดิ ภยั แกพวกทา น” ทานอาบูซัร ฆ็อฟฟารี (อัลลอฮฺทรงมีความปติชื่นชมตอทาน) ไดกลาววา(406) “แทจริงสหาย ของฉัน ผูเปนศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดสั่งเสียแกฉันวา ใหฉันเชื่อฟงและปฏิบัติตามหัวหนา ถงึ แมจะเปนทาสชาวนิโกรกต็ าม” ทานสะละมะฮฺ อลั -ญอฟ ไดกลา ววา(407) “โอนบขี องอลั ลอฮทฺ า นจะใหเ ราทาํ อยา งไร ถาหาก หัวหนา ของพวกเราไดป ระกาศขอสทิ ธขิ องพวกเขาจากพวกเรา แตเขาหามมิใหพวกเราไดรับสิทธิที่ พวกเราพงึ มี ทานจะใหเราทําอยา งไร ?” ทา นศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “จงเชื่อฟงและปฏิบัติตามเขา เถิด เพราะวาแทจริงภาระของพวกเขาก็จะมีแกพวกเขาเอง สวนภาระของทานก็มีเทาที่พวกทาน พยายามกระทําได” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาวอีกคร้ังหนึ่งตามท่ีมีปรากฏอยูในฮาดีษของทานหุซัยฟะฮฺ อัลยะ มาน (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอทาน)(408) วา “จะมีผูนํา (อิมาม) เกิดข้ึนมาในสมัยหลังจากยุค ของฉัน ซึ่งพวกเขาเหลาน้ันหาไดช้ีนําไปตามแนวทางที่ถูกตองของฉันไม และพวกเขาหาได ดาํ เนนิ การไปตามแบบฉบบั ตา ง ๆ ของฉนั ไม จะมพี วกหนง่ึ ในหมพู วกเขาไดลุกข้ึนประกาศตนโดย ท่ีหัวใจของพวกเขาเหลานั้นเปนหัวใจแหงมารท่ีแฝงอยูในรางกาย” ทานหุซัยฟะฮฺไดกลาววา “โอ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ถาเราไดอยูไปถึงสมัยนั้นจะใหฉันทําอยางไร ?” ทานศาสนทูตไดกลาว วา “เจาจงเช่ือฟงและปฏิบัติตามหัวหนาเถิด แมวาเขาจะเฆ่ียนตีหรือริบทรัพยสินของเจาเองก็ตาม ดังนน้ั จงเช่ือฟง และปฏิบตั ิตามเขาเถดิ ” (405) รายงานโดยทานอับดุลลอฮฺ บนิ มัสอูด เศาะฮฮ้ี มฺ สุ ลิม หนา 118 ภาคท่ี 2

(406) ทานมุสลิมไดบันทึกฮาดีษนี้ไวในภาคที่ 2 ของหนังสือศอฮี้ฮฺ ซ่ึงเปนฮาดีษท่ีไดรับ การเชอ่ื ถอื อยา งย่ิง (407) ฮาดีษน้ีกม็ ีในบนั ทึกของทา นมุสลิมอีกเชนเดยี วกนั (408) ฮาดีษบันทึกโดยทานมสุ ลิม หนังสือศอฮี้ฮฺ ภาคท่ี 2 หนา 120 ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวไวในทํานองเชนนี้อีกตอนหน่ึงตามรายงานฮาดีษที่ ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺวา “จะมีผูปกครองเกิดขึ้นในหมูพวกทาน ซ่ึงพวกทานก็ไดใหการยอมรับ อีกทั้งไดปฏิเสธดวย ฉะน้ันผูใดท่ีใหการยอมรับก็จะปลอดภัย และผูใดท่ีปฏิเสธตอเขาก็จะ ปลอดภยั ”(409) บรรดาสาวกทัง้ หลายไดก ลาววา “จะใหพวกเราสงั หารพวกเขาไดหรือไม” ทานศาสน ทตู ไดก ลา ววา “อยา ทําเชน นนั้ ” ฮาดีษทํานองนี้มีหลักฐานที่ถูกตองอยูในสายสืบที่สอดคลองตรงกัน แมแตจากรายงาน ทางดานของบรรดาอิมามผูสืบเช้ือสายบริสุทธิ์ และโดยเหตุนี้เองพวกเขาจึงอดทนอยางขมขื่นตอ หนามทอ่ี ยใู นดวงตา และอดทนตอสภาพที่เหมือนกับมีหนามมาตําอยูในลําคอ การกระทําของพวก เขาจึงเปนไปตามคําส่ังที่บริสุทธิ์ในเม่ือทานนบี (ศ) ไดเสนอมาใหเปนหลักการแกพวกเขา โดยเฉพาะ น่ันก็คือการส่ังใหพวกเขามีความอดทนตอความเลวรายและความทุกขยากใหพวกเขามี ความระมัดระวังจนถึงท่ีสุดตอบรรดาประชาชาติ ฉะน้ันพวกเขาจึงดําเนินชีวิตเพื่อเปนหลักที่ดํารง อยสู ําหรับกิจการตา ง ๆ ของบรรดามุสลมิ ดวยเหตุน้ีเองทานอาลีอามีรุลมุมีนีนจึงไดแสดงความใจกวางตอบรรดาคอลีฟะฮฺทั้งสาม ทาน และพยายามอยางเต็มที่ท่ีจะใหแกพวกเขาซ่ึงการปรึกษาหารืออีกท้ังแกบรรดาผูท่ีปฏิบัติตาม แนวทางของทานในสมัยของคอลีฟะฮฺเหลาน้ัน เพราะเปนท่ีรูวาสิทธิของการเปนคอลีฟะฮฺหลังจาก ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) นั้นเปนของทานอาลี แตเพ่ือรักษาไวซ่ึงหลักการแหงสันติภาพ ทาน จงึ ไดแ ตมองตาํ แหนง ของทา นทอี่ ยใู นอุงมือของพวกเขา ซ่งึ ทานก็มิไดท าํ การตอ สกู บั พวกเขาเพือ่ สงิ่ นั้น และมิไดขัดขวางพวกเขาเหลาน้ัน สําหรับตําแหนงคอลีฟะฮฺ ทั้งน้ีก็เพ่ือพิทักษรักษามวล ประชาชาติและเปนการระมัดระวังอยางดีที่สุดตอศาสนา ซึ่งทานไดตระหนักในสิ่งท่ีผูอื่นมิได ตระหนักเปรียบไดวาทานอยูทามกลางสองเหตุผลคือ เร่ืองพันธะหนาที่ตอตําแหนงคอลีฟะฮฺดาน หนึ่ง และปญหาวิกฤตกาลที่ผูละเมิดกอข้ึนอีกดานหนึ่งคือ ในยามน้ันไดเกิดมีความปนปวนตามหัว เมืองตาง ๆ ท้ังในคาบสมุทรอาหรับ และกลุมอิสลามอีกทั้งมีพวกมูนาฟกีนชาวมะดีนะฮฺไดรวมตัว

กันขึ้นกับบรรดาชาวอาหรับท้ังหลาย กลุมชนพวกน้ีเปนผูกลับกลอกตามที่ระบุถึงอยูในพระคัมภีร วา (409) รายงานโดยทา นมุสลมิ ภาคท่ี 2 หนา 122 หนังสอื ศอฮฮ้ี ฺของทาน “พวกอรับน้ันไดทําการปฏิเสธ และกอการละเมิดที่รุนแรง และหยาบกระดางท่ีจะไมรับรู ตอ บัญญัตทิ ่ีอัลลอฮฺ ประทานมาแกศาสนทตู ของพระองค (9 : 97) ฉะน้ันบรรดามุสลิมทั้งหลายจึงตกอยูในสภาพดังเชนฝูงแกะที่อยูทามกลางสุนัขปาในยาม ค่ําคืนท่ดี งปา เปลยี่ ว ซง่ึ ศตั รขู องบรรดามุสลิมในสมยั น้นั ไดแก มสุ ยั ละมะฮฺ กัซซาบ, เฎาะลีหะฮฺ บิน คุวัยลิด ซัจญาหฺ บินด ฮาริษและกลุมบริวารของบุคคลเหลานี้ ซ่ึงต้ังตัวเปนผูท่ีเผชิญหนากับการมา ของอสิ ลาม และกดขีต่ อ บรรดามสุ ลิมดว ยกลวธิ ีตาง ๆ นอกจากนี้ปรปกษของฝายอิสลามแหงโรมัน และจักรพรรดิไกเซอร ก็ลวนแตดํารงตนเปนศัตรูที่รายกาจท้ังสิ้น กองกําลังแหงอธรรมเหลาน้ีได เบียดเบียนทานศาสดามูฮัมมัด ตลอดจนถึงบรรดาลูกหลานและสาวกของทานอยางมากมาย ซ่ึงทุก สิ่งทุกอยางเหลานี้ลวนแตเปนพิษภัยของระบอบอิสลามซึ่งรังแตกอใหเกิดความหยอนยานตอ พนื้ ฐานของอสิ ลามและลา งผลาญเงอ่ื นไขตา ง ๆ ใหยอ ยยบั ไป ทานเองก็ไดประจักษอยูแลววาการวายชนมของทานนบี (ศ) น้ันอยูในชวงท่ีฝายศัตรู ดังกลาวของอิสลามคอยจองมองหาโอกาสท่ีจะทําลายอยูโดยประสงคจะมิใหอิสลามมีความ แขง็ แกรงและเปนระบบทเี่ ขมแขง็ ดงั นนั้ ทา นอาลี อามีรุล มมุ นี ีน จึงจาํ เปน ตอ งยนื อยูร ะหวางแนวทางท่ีอันตรายทั้งสองดานน้ี คือเปนหนาท่ีหนึ่งท่ีทานจะตองผานพนตอตําแหนงซ่ึงเปนสิทธิของทานไปเสียเพื่อพิทักษไวซึ่ง บรรยากาศอิสลาม และเพ่ือกอใหเกิดร้ิวรอยแหงสันติภาพแกประชาชนท่ัวไป ฉะน้ันทานจึง ตัดสินใจสละทิ้งการโตแยงในเรื่องนี้ และยกเลิกความขัดแยงกันระหวางทานกับอาบูบักรฺ เพราะถา มิฉะน้ันแลวกจ็ ะเกิดความแตกแยกทรี่ ุนแรงตอเอกภาพของศาสนา กลมุ ประชาชาติมุสลมิ ก็จะพากนั แตกกระจัดกระจายไปเปน เสี่ยง ๆ ฉะนนั้ ทา นอาลีและอะหลิลบยั ตฺทั้งหลายจําเปนตองอยูในฐานะท่ี ตองอดทน ทั้งน้ีรวมไปถึงบรรดาปยมิตรทั้งหลายของทานที่มีท้ังชาวมุฮาญิรีน และชาวอันศอรดวย ทานอยูในสภาพท่ีอดทนตอเสี้ยนหนามท่ีทิ่มลูกนัยนตาและอดทนตอหนามท่ีตําอยูในลําคอซึ่งทาน ไดกลาวเปดใจถึงเรื่องน้ีไวเองหลังจากการวายชนมของศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) เร่ืองราวเหลานี้มี สายสืบทส่ี อดคลองตรงกันมาตลอดจากบรรดาอมิ ามผูส บื เชื้อสายที่บริสุทธิ์

แตทวาหัวหนาของชาวอันศอรฺเองคือทาน สะอัด บิน อุบาตะฮฺ น้ันเขาก็มิไดสวามิภักดิ์ ตอ คอลีฟะฮสฺ องทา นแรกตลอดช่ัวชีวิต ถึงขนาดไมยอมเขารวมหมูคณะกับคนท้ังสองทั้งในวันอีดและ วันศุกร ทานสะอัดไมเคยสนับสนุนและไมเคยแยแสแตประการใดกับคําส่ังและคําหามของคน เหลานน้ั แมก ระทง่ั ฆยั ละฮฺ บะหฺวะรอนตองถูกสังหารลงในสมัยของคอลีฟะฮฺคนท่ีสอง ดังน้ันพวก เขาทั้งหลายไดพากันกลาววา “ญินไดสังหารเขาแลว” ซึ่งเขาเปนคนตอตานท่ีสําคัญแหงตําบล สะกี ฟะฮฺ นอกจากนี้ ไมจําเปน ที่เราจะตอ งกลาวถึง* สําหรับสหายของเขาเชน ฮับบาบ บิน มันซูร(**) และชาวอันศอรอีกจํานวนหนึ่งนั้นตอง ยอมสยบตอ อํานาจ และสวามภิ ักด์ิตอ ฝายทม่ี กี าํ ลงั เขมแข็ง สภาพท่ีเกิดข้ึนมาจากความหวาดกลัวคม ดาบหรอื เปลวไฟนั้นจะถือวาเปนกิจการทถี่ ูกตอ งอยา งเดด็ ขาดสาํ หรบั เงอื่ นไขที่เรียกวาใหคํารับรอง หรอื สตั ยาบันไดไฉนหรอื (410) ขอ เทจ็ จริงของการประชุมรวมลงมติ ตามความหมายจากคํากลาวของ ทา นศาสนทตู (ศ) ท่ีวา “ประชาชาตขิ องฉัน จะไมร วมกันลงมติกบั ความผิดพลาด” น้ัน เราไดทําการ อธบิ ายใหทานไดท ราบมาแลว และขอใหท า นไดร บั ความโปรดปรานดว ยเถิด * “ทานสะอัด บิน อุบาดะฮฺ คือทานอาบู ษาบิต เปนคนหน่ึงในกลุม “สัตยาบันแหงอะ กอบะฮฺ” เปนผูรวมสงคราม “บะดัร” และอ่ืน ๆ เปนหัวหนาเผา “ค็อซร็อจ” เปนผูอาวุโส ระดับผูนําของชาวอันศอรฺเรื่องของทานที่เราไดเสนอไปนั้นถูกบันทึกอยูในตํารา ประวัติศาสตรหลายเลม ขอใหทานพิสูจนไดตามท่ีทานอิบนุ กุตัยบะฮฺบันทึกไวในหนังสือ “อิมามะฮฺ วัซ-ซิยาซะฮฺ” และหนังสือ “ตารีค” ของทานอิบนุ ญะรีรฺฏ็อบรี หนังสือ “กามิล” ของทานอิบนลุ -อะษีรฺ อีกท้งั หนังสือ “สะกีฟะฮฺ” ของทานอาบูบักรฺ อะหฺมัด บิน อับดุล-อะ ซซี อัลเญาฮะรีและอื่น ๆ ** ทานฮับบาบ บิน มันซุรฺ เปนหัวหนาคนหน่ึงของชาวอันศอรฺ เปนนักรบท่ีกลาหาญใน สงคราม “บะดัร” และสงคราม “อฮุ ตุ ” เปน ผูมีเกยี รติสงู คนหนงึ่ ในหมูคณะ (410) เร่ืองท่ีพวกเขาเหลานั้นไดกอความรุนแรงกับทานอาลีจนถึงกับจุดเพลิงเผาบานนั้นมี สายสืบที่สอดคลองตรงกันซึ่งยืนยันมากันโดยตลอด ทานสามารถท่ีจะพิสูจนไดตามที่ ทานอิมามอิบนุ กุตัยบะฮฺไดบันทึกไวในตอนแรก ๆ ของหนังสือ “อิมามะฮฺ วัชชิยาชะฮฺ” และทานอิมามฏ็อบรีก็ไดบันทึกไวในหนังสือประวัติศาสตรที่มีชื่อเสียงของทาน โดยระบุ วา เปนเหตกุ ารณที่เกดิ ข้ึนในป ฮ.ศ. 11 ทานอิบนุ อับดุล-ร็อบบะฮฺนักปราชญมัซฮับมาลิกีก็ ไดบ นั ทกึ ไวใ นหนงั สอื “อกุ ดลุ -ฟะรดี ” ภาคที่ 2 หัวขอเร่ือง “สะกีฟะฮฺ” ทานอาบูบักรฺ อะหฺ

มดั บนิ อบั ดลุ อะซีซ อลั -เญาะฮะรีก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “สะกีฟะฮฺ” ทํานองเดียวกันน้ีก็ เปน วัสลาม (ช) การใหคํารับรองมอบสัตยาบันแกผูดํารงตําแหนงคอลีฟะฮฺ ทานชะฮร็อสตานี ก็ไดอางไว ในหนังสือ “มะลัลวะนะฮัล” โดยยืนยันถึงสายสืบท่ีสอดคลองละเอียดย่ิง นักกวีแหงแมนํ้า ไนล คือ ทานฮาฟซ อิบรอฮีมไดประพันธกวีไวบทหน่ึงวา “อุมัรไดกลาวแกอาลีวา จงให เกียรติและจํานนตอตําแหนงน้ัน มิฉะน้ันบานของทานจะถูกเผาไมเหลือหลอ หากวาทาน ไมใหสตั ยาบันถงึ แมบ ุตรีของศาสดา (ศ) จะอยูในนั้นก็ตาม นอกจากน้ีบิดาของฮัฟเศาะฮฺยัง ไดกลาวตอหนาบุรุษผูกลาหาญดวยคําอ่ืน ๆ อีก” น่ีคือการกระทําท่ีพวกเขามีตอทานอิมาม อาลี จึงเปนหลักฐานวามตินั้นมิไดเปนเอกฉันท นอกจากวาจะตองมาจากความเห็นของอิ มาม ขออางที่วาการลงมติของพวกทานเปนเอกฉันทจะสมบูรณไดฉันใดเลาในเมื่อมีสภาพ อยา งนีเ้ กิดข้นึ โอปวงปราชญทง้ั หลาย? อัล-มุรอญิอะฮฺ 83 2 รอบอี ลุ เอาวลั 1330 • จะถือวา หลักฐานแตงตั้ง (ทานอาลี) และการถือปฏิบัติของบรรดาสาวกตางก็มีความถูกตอง ดวยกันทั้งสองอยางไดห รอื ? แนนอนท่ีสุดบรรดาปญญาชนผูซึ่งมีความคิดอานที่ถองแทยอมมีความเห็นวาบรรดาสาวก ท้ังหลายไมมีความขัดแยงกับทานนบี (ศ) ไมวาในเรื่องหน่ึงเร่ืองใดที่เปนคําสั่งและเปนคําหามของ ทาน และเปนไปไมไดท่ีพวกเขาเหลานั้นจะไมจํานนตอสิ่งดังกลาว กลาวคือเปนไปไมไดสําหรับ การที่วา เมื่อพวกเขาไดยินคําสั่งเกี่ยวกับเร่ืองการแตงต้ังอิมามแลว หลังจากนั้นพวกเขาจะเบนเบี่ยง ออกจากเร่ืองนั้น ไมวาในสมัยของอาบูบักรฺเปนคร้ังท่ีหน่ึงแลวมาถึงสมัยทานอุมัรเปนครั้งท่ีสอง และมาถงึ สมัยของทา นอุสมานเปนคร้งั ทส่ี าม

จะเปนไปไดอยางไรท่ีจะกลาวหาพวกเขาเหลาน้ันวาพวกเขาบายเบี่ยงจากเร่ืองน้ัน ? ทานมี ความสามารถทจี่ ะลงมตกิ รณที ้งั สองประการนีใ้ หรวมกันไดอยา งไรกนั หรือ ? วสั ลาม (ซ) อลั -มุรอญอิ ะฮฺ 84 5 รอบอี ุลเอาวัล 1330 1. ถอื วาทงั้ หลกั ฐานการแตง ตั้ง (ทานอาล)ี และการถอื ปฏิบัติของบรรดาสาวก ตางก็มีความ ถูกตอ งดวยกนั ท้ังสองอยา งได 2. เหตผุ ลที่ทานอิมามอาลตี อ งวางเฉยกับสิทธขิ องทาน 1. ชวี ประวัติของบรรดาศอฮาบะฮฺจํานวนมากไดทําใหเรามีความรูวา บรรดาสาวกเหลาน้ัน ตางไดยอมจํานนตอหลักการตาง ๆ ในเม่ือหลักการน้ัน ๆ เก่ียวของโดยตรงกับศาสนกิจโดยเฉพาะ เชน หลักการที่ทานศาสนทูต (ศ) ไดวางไวเก่ียวกับการใหถือศีลอดในเดือนรอมฎอนและการหัน หนา สทู ิศกิบลตั และจาํ นวนของการนมาซที่เปนขอกําหนดท้ังกลางวันและกลางคืน อีกทั้งหลักการ ที่วาดวยจํานวนของการกมกราบและวิธีการของการนมาซ ตลอดจนถึงหลักการเวียนฏอวาฟท่ีบัย ตุลฮะรอม และเรื่องอน่ื ๆ ในทํานองเดยี วกบั หลกั การท่ีช้ีเฉพาะเชน นี้เทาน้นั แตสําหรับเรื่องของตําแหนงคอลีฟะฮฺ เปนเรื่องท่ีมีสวนเกี่ยวของกันกับการปกครองและ การเมือง และขน้ึ อยกู ับเงอื่ นไขของรฐั ศาสโนบายและผูกพันอยกู บั เง่ือนไขการจัดต้ังอาณาจักร และ ขบวนการของกองทัพทหาร โดยที่พวกเขาเหลานั้นยังมิไดมีการยอมรับ และเห็นความสําคัญอัน ย่ิงใหญของส่ิงนี้วา เปนสภาวการณที่รวมกันในเชิงพฤติกรรมที่ต้ังอยูบนหลักบัญญัติน้ัน ๆ ดวย ฉะน้ันพวกเขาจึงไดดําเนินการไปตามแนวความคิดของพวกเขาเองและดําเนินการไปตามทัศนะ และความสามารถเทาที่พวกเขามีอยู เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมีความเห็นวาในเรื่องของตําแหนงคอ ลีฟะฮฺน้ี จะเปนที่เชิดชูแกวงศตระกูลหรือเปนตําแหนงท่ีกอใหเกิดประโยชนในการใชอํานาจ ปกครองของพวกเขา

จริงอยูที่พวกเขาเหลาน้ันมีความจงรักภักดีจนเปนที่พอใจของทานนบีเกี่ยวกับกิจการใน ดานตาง ๆ ดังกลาวแลว แตทวาจิตใจสวนลึกของพวกเขาในฐานะท่ีเปนชาวอาหรับนั้น พวกเขาหา ไดจ ํานนตอทานอาลีไม และมิไดจงรักภักดีหรือจํานนตอหลักการที่พึงมีตอทาน โดยเหตุที่ทานอาลี เปนผชู ํานะเหนือศตั รซู งึ่ เปน ชาวอาหรับมาตลอดตามวิถีทางของอัลลอฮฺ เลือดเน้ือของชาวอาหรับที่ เปนศัตรูของอิสลามตองไหลนองไปดวยคมดาบของทานอาลี ในฐานะที่ทานอาลีเปนผูทําหนาท่ี เพื่อพิทักษความสูงสุดแหงพจนารถของอัลลอฮฺ ทานอาลีเปนผูบุกเบิกอยางเฉียบขาดเกรียงไกรตอ ศัตรู ในฐานะของผูที่พิทักษไวซึ่งสัจธรรม จนกระทั่งหลักการของอัลลอฮฺไดเปนท่ีบรรเจิดอยาง อุดมเหนืออารยธรรมกาฟร ในทกุ ดา น ดวยเหตุนี้พวกเขาเหลาน้ันจึงไมเชื่อฟงปฏิบัติตามทานอาลีนอกจากจะมีการบังคับดวย กําลังซึ่งพรรคพวกของศัตรูอิสลามท่ีเคยเสียเลือดเนื้อมากอน เมื่อคร้ังที่อยูในสมัยของทานนบี (ศ) ตางก็มีอคติตอทานอาลี มิฉะน้ันแลวพฤติกรรมของพวกเขาจะไมเกิดขึ้นอยางตอเน่ืองกับบรรดา เครือญาติของทานนบี (ศ) ในภายหลังท่ที า นนบไี ดวายชนมไ ปแลว กลุมผูเสียเลือดเนื้อเหลาน้ันจากหมูชนชาวอาหรับตางไดสําแดงความอคติอยางจริงจัง จะ เห็นไดวาพวกเขาเหลาน้ันไดกระทําการตาง ๆ อยางอยุติธรรมในกลุมของบรรดาเครือญาติแหง ศาสดา ทง้ั นีก้ เ็ พราะวาเผาพันธุท ป่ี ระเสรฐิ ยงิ่ นน้ั ไดแ กเ ผาพนั ธุข องฮาชมิ ซึ่งพวกเขามีเกียรติยศทถ่ี ดั มาจากทา นศาสนทูตแหงอลั ลอฮฺ ในเร่อื งนไ้ี มเปนท่ีถกเถียงกันแตอ ยางใดของทุกฝา ย ซง่ึ ชาวอาหรบั เองก็ไดตระหนักดี ฉะน้ันพวกเขาจึงกระทําการพลิกแพลงคําส่ังตาง ๆ และแอบแฝงสิ่งตาง ๆ แก ทานนบี ตลอดจนถึงเชื้อสายของทานในทุกวิถีทาง ชาวอาหรับเหลานั้นจึงไดกระทําการละเมิดดวย วิธีการตาง ๆ จนกระท่ังกอใหเกิดบรรยากาศท่ีเปล่ียนไปในทิศทางท่ีเลวรายสุดเทาที่พวกเขาจะ กระทาํ ได ภาระอันหนกั หนว งนั้นเปรียบไดด งั ฟา และดนิ อีกประการหนึ่ง น่ันก็คือวากลุมชนแหงตระกูลชาวกุร็อยชและชาวอาหรับทั่ว ๆ ไป ตางก็ ไดตระหนักวาทานอาลีเปนผูท่ีบําราบศัตรูของอัลลอฮฺอยางเขมแข็ง ทานสามารถใชความกลาหาญ ของทานตอสูกับผูท่ีตอตานบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ตลอดจนถึงผูที่ละเมิดกฎขอหามของพระองค ชาวอาหรับตางไดตระหนกั วา ทา นอาลีไดด ําเนนิ การตาง ๆ ของทา นดว ยคณุ ธรรม ทานเปนผูที่ยับยั้ง หามปรามมนุษยมิใหกระทําความชั่ว ซ่ึงพวกเขาเหลานั้นมีความหวาดกลัวตอความยุติธรรมของ ทานอาลีที่ใชในการปกครอง ซึ่งทานเปนผูที่ตัดสินปญหาของประชาชนดวยหลักแหงดุลยธรรมใน ทุกกรณีซ่ึงทานมิไดเปนบุคคลที่เห็นแกผลประโยชน และไมมีคนใดที่มีความออนโยนสุภาพยิ่งไป

กวา ทา น จะเห็นไดว าผทู มี่ ีกําลังเขมแข็งน้ันยังตองสยบออนนอมลงใหแกทาน เพราะเหตุวาพวกเขา ไดยึดเอาสิทธิไปจากทานอาลี ทํานองเดียวกันคนที่ออนแอซ่ึงถูกกดขี่ไดกลับกลายเปนคนที่มีกําลัง เขมแข็งขึ้นเมื่ออยูกับทาน เพราะเขาไดยอมรับในสิทธิของทาน ซ่ึงมีโองการจากพระคัมภีรอัล-กุ รอาน ตอนหนึง่ ระบุวา พวกอรับเหลานั้นไดทําการปฏิเสธอีกท้ังกอการละเมิด และหยาบกระดางอยางรุนแรงเพ่ือ พวกเขาจะไมรบั รตู อบทบัญญตั ทิ ่อี ลั ลอฮฺไดทรงประทานมาแกศาสนทตู ของพระองค” (9 : 97) และอีกโองการหนง่ึ ซึง่ มีความวา “.......และมีบางคนจากชาวมะดีนะฮฺน้ัน พวกเขาไดยอนคืนสภาพท่ีต้ังอยูบนความละเมิดโดยที่เจา มิไดร ว มรเู ก่ียวกบั พวกเขา แตเรา เรายอมรูถึงเร่อื งเกีย่ วกับพวกเขา” (9 : 101) อีกประการหนึ่งก็คือวา ทั้งชาวกุร็อยชและบรรดาชาวอาหรับทั้งหลายตางไดประจักษ วาอัลลอฮฺไดทรงประทานความโปรดปรานตาง ๆ ใหแกทานอาลีมากมาย เชนอัลลอฮฺไดทรง ประทานวิชาความรูที่ดีเดน และผลงานท่ีอยูในอันดับสูงของทานตามทัศนะของอัลลอฮฺและศาสน ทูตของพระองค ตลอดจนถึงบรรดาผูมีสติปญญาทั้งหลายจนไมมีผูใดเสมอเหมือนคนทั่วไปไดเห็น วาทานอาลีเปนผูที่ไดรับเกียรติคุณซ่ึงแผจากอัลลอฮฺและศาสนทูตโดยยกระดับของทานใหอยูใน ฐานะท่ีสําคัญเปนพิเศษ ดวยเหตุนี้โรคแหงความอิจฉาริษยาไดคืบคลานเขาสูในหัวใจของบรรดาผู กลับกลอก และแลวพวกเขาท้ังหลายจึงรวมกันวางแผนในอันท่ีจะบ่ันทอนตําแหนงหนาที่ของทาน อาลี โดยรวมกันเขากับกลุมผูละเมิดและฝาฝนทั้งหลาย จนกระท่ังผลงานของพวกเขาก็ไดประสบ ความสําเรจ็ “เพราะมีเหตมุ ากอนมิฉะน้ันแลว ขา พเจาก็จะไมพูดถึง ทางทด่ี ที า นอยาถามถึงเรือ่ งน้เี ลย” อีกประการหนึ่งนั้นก็คือวา ท้ังชาวกุร็อยชและบรรดาชาวอาหรับทั้งหลายตางก็มีความ ปรารถนาอยูกอนแลวที่จะใหตําแหนงคอลีฟะฮฺนั้นเปนสิทธิสําหรับหัวหนาเผาของตน พวกเขาจึง ไดกระทําการเพือ่ สนองตอบตอความปรารถนาของตน ซ่ึงพวกเขาก็ไดบรรลุผลตามเจตนาของพวก เขา โดยทพ่ี วกเขาไดใ หการรับรองอยางเหน็ พอ งในการรวมกันเปลย่ี นแปลงตําแหนงคอลฟี ะฮฺตั้งแต สมัยแรก ซ่ึงพวกเขาไดทําการเลือกตั้งกันโดยสรุป ท้ัง ๆ ท่ีพวกเขาไดยอมรับตอทานอาลีมาแลว เมื่อคร้ังท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน

และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดแตงตั้งใหทานอาลีผูซึ่งเปนเชื้อสายอันบริสุทธิ์ของทานได ดํารงตําแหนงคอลีฟะฮฺตามท่ีทานไดประกาศในวันฆอดีร อีกทั้งทานเคยไดประกาศไวเปนหลักท่ี เปนสําคัญในวาระอื่น ๆ ซึ่งทานศาสนทูตไดกําหนดใหฐานะนี้เปนผูนําสําหรับปวงผูมีสติปญญา ตลอดไปจนถึงวันปรโลก อยางไรก็ตามชาวอาหรับไมสามารถที่จะอดทนยอมรับสภาพของผูดํารง ตําแหนงคอลฟี ะฮฺที่อยูในครอบครวั เดียวกนั ได ย่ิงไปกวานนั้ สายตาของคนทุกเผา และจิตใจของคน ทุกคนกเ็ พง เล็งหมายมุงอยกู ับตําแหนง นั้นอยแู ลว ท้ังสิ้น อีกประการหน่ึงท่ีเปนประวัติอันขมข่ืนท้ังของชาวกุร็อยซและชาวอาหรับซึ่งปรากฏอยูใน สมัยแรกของอิสลามอยางเปนที่รูกันดีอยูแลววา พวกเขาเหลาน้ันมิไดยอมจํานนใหแกฐานะภาพ ของนบีท่ีมาจากตระกูลฮาชิม พวกเขาเคยตอสูจนหมดความสามารถ เม่ือเปนเชนน้ีจะใหเขา เหลาน้ันมีความยินดีที่จะยอมรับท้ังบุคคลที่เปนนบีและบุคคลที่เปนคอลีฟะฮฺจากตระกูลของฮาชิม ไดอ ยางไร ครงั้ หน่งึ ทา นอมุ รั บิน คอ็ ฏฏอบ ไดเคยกลาวแกทา นอบิ นุ อบั บาสวา “แทจริงชาวกุร็อยช รังเกียจตอการที่มีรวมอยูในตระกูลของพวกทาน ทั้งตําแหนงของผูเปนนบี และตําแหนงของผูเปน คอลีฟะฮฺ เพราะมนั เปนการสรา งความปวดรา วใหก บั ประชาชน”(411) 2. บรรพชนผูมีคุณธรรมก็มิไดเห็นชอบท่ีจะใหทานบีบบังคับประชาชนในยามน้ัน ให ยอมรับตอคําสั่งท่ีระบุถึงการแตงตั้ง เพ่ือใหออกมาเปนกลุมกอการตอตาน โดยเกรงวาความขัดแยง จะกอใหเกิดผลกระทบที่เลวรายในยามนั้น จะเห็นไดวากลุมผูกอการละเมิด และแผนการของพวก กลับกลอกตลอดจนถึงความโฉดช่ัวของพวกปฏิเสธก็ไดสําแดงข้ึนมาทันทีเม่ือทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ุขแดท านและแดบ รรดาลูกหลานของ ทาน) ไดเสียชีวิตลง จึงไดเกิดมีการละวางเงื่อนไขของศาสนา และสรางความดื้อดานใหแกจิตใจ ของมุสลิม ฉะนั้นหลังจากที่ทานไดวายชนมไป สภาพของบรรดามุสลิมก็เปนเสมือนฝูงแกะท่ีพลัด พรากกนั ในยามค่าํ คืน ทามกลางฝงู สนุ ัขจ้งิ จอกท่เี ปนศตั รูรา ยสันดานเถอ่ื น อกี ทงั้ หลาย ๆ เผาของชา วอรบั ตางกต็ ีตนออกจากหลักการของศาสนาไป ดงั ท่ีเราไดอธิบายไวในอัล-มุรอญิอะฮฺที่ 82 ไปแลว ดังนั้นในสถานการณดังกลาวจึงเปนการยากเย็นที่ทานอาลีจะแสดงออกถึงเจตนารมณอันแนวแนที่ จะดํารงไวซึ่งภารกิจท่ีจะตองมีตอประชาชน โดยทานกลัววาจะกอใหเกิดความสูญเสียและความ เสยี หายอยางฉับพลนั ความเปน ไปของประชาชนและบรรดาผกู ลับกลอกในยามนน้ั เราก็ไดกลา วไป แลววาพวกเขาไดฉกฉวยโอกาสแหงผลประโยชนกันใหแกพวกเขาเอง พวกที่ตีตนออกจากศาสนา และพวกปฏิเสธมคี วามเปนอยูอ ยา งไร เรากไ็ ดอธบิ ายผา นพน มาแลว สวนชาวอันศอรก็ยังขดั แยง กนั

กับชาวมุฮาญิรีนอยูอีก โดยตางฝายตางก็กลาวกันวา : สําหรับพวกเราก็จะตองมีผูปกครอง และ สําหรับพวกทานก็มีผูปกครองอีกคนหนึ่ง... พวกเขาเล็งเห็นถึงความสําคัญของศาสนาวาจะตอง ข้ึนอยูกับตําแหนงคอลีฟะฮฺท่ีมีอํานาจในการปกครอง เปนท่ีรูกันอยูวาการแสวงหาสิทธิอันน้ันใน สถานการณด งั กลาวรังจะสรา งอนั ตรายใหแ กป ระชาชาตแิ ละเปนการลวงเลน กบั ศาสนา (411) ดูหนังสือนะฮฺบะละเฆาะฮ ภาค 3 หนา 107 ของอิบนุ อาบูหะดีด และทานอิบนุ อัล- อะษีร ก็ไดระบุถึงเร่ืองน้ีไวในตอนทายเรื่อง “ความเปนไปของทานอุมัรฺ” หนา 24 ภาคท่ี 3 หนังสอื “กามิล” คร้ันแลวพวกเขาก็ไดเลือกสิ่งที่กอใหเกิดเปนรอยราวแกอิสลามและดําเนินการล้ําหนา เพ่ือใหเขากนั กับสภาพทางสังคมท่วั ไป และแสวงหาเกยี รติยศใหแกป ระชาชาติอยางชนิดฉับพลัน สําหรับทานอาลีในยามนั้นทานก็วางเฉยอยูท่ีบานของทาน (ทานมิไดใหสัตยาบันถึงแม ทานจะถูกพวกเขาบีบบังคับก็ตาม) ซ่ึงเปนการรักษาสิทธิของทานเอง และเปนการประทวงตอผูที่ บายเบี่ยงสิทธิของทานออกไปดวยซ่ึงถาหากวาทานไดใหสัตยาบันอยางฉับไวแลว ก็จะไมมี หลักฐานหรือขออางขอพิสูจนใด ๆ ท่ีสมบูรณของทานได แตทวาทานไดกระทําทุกอยางไปในสอง แนวทางระหวางการพิทักษรักษาศาสนาและรักษาสิทธิของทานที่มีตอบรรดาผูศรัทธา ทานได แสดงออกมาใหเห็นถึงทัศนะของความอดทนท่ีเฉลียวฉลาด ตลอดจนถึงความมีนํ้าใจท่ีกวางขวาง และวิธีการที่ชวยผดุงสังคมของทานออกมาใหเปนท่ีประจักษ วายามใดที่มนุษยมีนํ้าใจท่ีลึกซ้ึงตอ เหตุการณอันย่ิงใหญเชนน้ีกิจการท้ังปวงก็จะเปนไปโดยชอบดังที่ไดถูกประทานมาจากอัลลอฮฺโดย เปาหมายอันสูงสงสําหรับแหลงที่มาของศาสนา เปาหมายของทานที่ไดประกอบไวลวนเปนผล สาํ หรับทางทงั้ สองดา นซึ่งเปนไปโดยการแสวงหาความใกลชิดตอ อัลลอฮฺ สาํ หรบั คอลีฟะฮทฺ ั้งสามทานและบรรดามิตรสหายน้ัน ตา งก็ไดตีความในหลักฐานท่ีระบุถึง การแตง ต้ัง (ทา นอาล)ี ใหเ ปน คอลีฟะฮไฺ ปในแงของเหตุผลตา ง ๆ ตามที่เราไดกลาวไปแลว มิใชเปน เร่ืองแปลกแตประการใดเลยที่เราจะบอกทานถึงเร่ืองที่บุคคลเหลาน้ันไดดําเนินการในสิ่งดังกลาว ไปโดยการตีความและใชหลักวินิจฉัยของตนเองในทุก ๆ คําส่ัง จากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) โดย ถือเปนเร่ืองที่จะตองผนวกกับพื้นฐานสังคมและผลประโยชน อีกทั้งเปนเรื่องที่จะตองนําไป พิจารณาเปนกฎเกณฑของกระบวนการจัดตั้งรัฐ และเปนเรื่องราวท่ีเก่ียวของกับลักษณะการ ปกครองอยูเสมอ โดยท่ีพวกเขามิไดเฉลียวใจวาส่ิงเหลาน้ันเปนกิจการหน่ึงในภาคของศาสนา

เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมองขามโดยเปนผูขัดแยงในเรื่องดังกลาว คร้ันเมื่อเร่ืองราวทั้งหมดไดเปนที่ สําเร็จอยางสมบูรณแกพวกเขาแลว พวกเขาก็ไดพากันลืมเลือนคําสั่งท่ีเกี่ยวกับการแตงตั้งดังกลาว เสีย และพวกเขาจะแสดงอาการไมพ อใจอยางรุนแรงออกมา เมื่อมผี ูใดพดู ถึงหรอื เสนอแนะเรื่องราว เหลาน้ันข้ึน ครั้นเม่ือพวกเขาไดดําเนินการไปในฐานะของผูพิทักษรักษาระบอบการปกครอง เผยแพรศาสนาอิสลาม ขยายอาณาจักร แผอาณานิคมและอํานาจ พวกเขาก็มิไดกระทําการใด ๆ ท่ี แปดเปอนดวยอารมณตํ่า ตอภารกิจและเกียรติยศอันย่ิงใหญของพวกเขา ประชาชนก็ใหแตเจตนาดี และความรักตอพวกเขา จนประชาชนก็พลอยลืมเร่ืองคําสั่งการแตงต้ัง (ทานอาลี) ไปตามแนวทาง ของพวกเขาดวย ตอมาพวกบนูอุมัยยะฮฺก็ไดเขามารับชวงการปกครองหลังจากพวกเขาแลวผลงาน ของพวกน้ีก็ไมมีอะไรนอกจากการสังหารแบบลางผลาญชาวอะหฺลุลบัยตฺและเผาพันธุของทาน เหลา นนั้ พรอมกันนี้เรื่องราวทุกอยางจากหลักฐานท่ีเก่ียวกับการแตงตั้ง (ทานอาลี) ซึ่งมีอยูอยาง ชัดเจนในรายงานฮาดีษท่ีมีสายสืบถูกตอง ตางก็ไดตกทอดจนมาถึงพวกเราอยูดี ขอสรรเสริญ ตออลั ลอฮทฺ ่สี งิ่ เหลาน้นั มอี ยอู ยา งครบครนั วสั ลาม (ช) อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 85 7 รอบีอลุ เอาวลั 1330 • ขอพสิ ูจนห ลักฐานท่วี า บรรดาสาวกมิไดยอมรบั ในคาํ ส่ังตา ง ๆ ของทานนบี (ศ) ขาพเจาไดรับจดหมายฉบับสุดทายของทานแลว รูสึกวา จดหมายฉบับน้ีมีพลังท่ีกอใหเกิด การยอมรับเปนอยางยิ่ง เปนขอความที่ประมวลข้ึนมาเพื่อทําใหมองเห็นภาพพจนอันชัดเจนของ ประวัติศาสตร มหาบริสุทธ์ิยิ่งแดอัลลอฮฺท่ีขาพเจาไดมีโอกาสพบกับวิชาการที่เปนขอพิสูจนอันชัด แจง ของทา น บดั น้ีทา นไดเสนอถึงเร่ืองราวและประเดน็ ตาง ๆ ท่ีทานไมเ คยเสนอมากอ น และอกี ประการ หนึ่งเราเคยคิดวาเรื่องน้ีไมมีสวนเกี่ยวของแตประการใดกับเหตุผลที่ทานไดยืนยันมา สําหรับการที่

จะไดตระหนกั ถงึ รายละเอียดของหลักฐานการแตง ตั้งอยางเดนชดั จึงขอใหท านไดช ีแ้ จงรายละเอยี ด ตาง ๆ ซึ่งบรรดาสาวกไมเคยไดใหการยอมรับในเร่ืองนี้ สําหรับการที่อธิบายจนถึงแกน ซึ่งเปนขอ อธบิ ายอยางแจม แจง ทีไ่ ปสูวถิ ีทางอันถกู ตอง ฉะน้นั ขาพเจา ใครท จ่ี ะขอรายละเอยี ดเพมิ่ เติมเกย่ี วกับเรอื่ งนี้เพอ่ื เปน ท่ีปรากฏแกน กั วชิ าการ ท่ีมีความสนใจตอประวัติศาสตรอีกท้ังเพื่อเปนบรรทัดฐานในการท่ีจะพิสูจนระหวางวิชาการท่ีมา จากทัศนะของนกั ปราชญฝ า ยซุนนะฮฺ วสั ลาม (ซ) อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 86 8 รอบีอุลเอาวัล 1330 • เหตุการณท ่อี ับโชคเม่ือวันพฤหัส ยังมีรายละเอียดตาง ๆ อีกมากมาย ที่บรรดาสาวกจํานวนหน่ึงไมยอมรับ ขอใหทานได สังเกตเฉพาะแตเ พยี งเร่อื งของ “เหตุการณทอ่ี บั โชคเมือ่ วันพฤหัส” ซ่งึ เรอื่ งน้เี ปนเหตุการณท ่เี ล่อื งลอื อยางยิง่ และนบั ไดวา เปน การอบั โชคครั้งใหญ ประเด็นนี้นักปราชญเจาของตําราศอฮี้ฮฺของฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ตลอดจนถึงนัก ประวัติศาสตรบางทาน ก็ไดบันทึกไว ยกตัวอยางเชนการบันทึกของทานบุคอรี(412) โดยอางสายสืบ ไปถึงทานอุบัยดิลละฮฺ บิน อับดุลลอฮฺ บิน อุตบะฮฺ อิบนุ มัสอูด ซ่ึงไดรับรายงานมาจากทานอิบนุ อบั บาสวา “ขณะท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ใกลที่จะถึงแกการวายชนมนั้นท่ีบานของทานมีผูคนเปน จํานวนมาก และในจํานวนน้ันก็มีทานอุมัร บิน ค็อฏฏอบ รวมอยูดวย ทานนบี (อัลลอฮฺทรง ประทานความจาํ เรญิ และความสนั ติสขุ แดทานและแดบรรดาลกู หลานของทาน) ไดกลาววา “ฉันจะ ใหพวกทานบันทึกขอความเพื่อพวกทานจะไดไมหลงผิด” ทานอุมัรไดกลาววา “แทจริงทานนบีได เพอไปเสียแลว พวกทานทั้งหลายก็มีอัล-กุรอานอยูแลว ฉะน้ันคัมภีรของอัลลอฮฺยอมเปนท่ีเพียงพอ

แกเราไ จะเห็นไดวาทานอุมัร ไดขัดแยงตอ คนที่อยูในบาน ขณะนั้นมีบางคนไดโตแยงกันขึ้นโดย กลาววา “จงใหทานนบีบันทึกขอความท่ีสําคัญใหแกพวกทานท้ังหลายเถิดเพื่อพวกทานจะไดไม หลงทาง” แตแลวบางคนก็ไดกลาวเหมือนกับคํากลาวของทานอุมัร คร้ันเมื่อพวกเขาไดโตเถียงและ ขัดแยงกนั มากขึน้ ขณะทอ่ี ยตู อหนา ทา นนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ฉะน้ันทานจึงไดกลาวแกพวกเขาเหลานั้นวา “จงลุกออกไป เสยี เถดิ ” (412) ในบาบที่วาดวย คํากลาวที่ทานนบีไดพูดเม่ือตอนท่ีทานปวยหนักวา “จงออกไปจาก ฉนั ” หนา 5 ภาคที่ 4 หนงั สือศอฮฮ้ี ฺ บคุ อรี เรื่องน้ีทานอิบนุ อบั บาสไดก ลา ววา “เปนเรื่องท่อี บั โชคทีเ่ กิดข้ึนในระหวางที่ทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ (ศ) จะทําการบันทึกขอความน้ีใหแกพวกเขาเพ่ือใหพวกเขาไดพนจากความขัดแยงตอ กนั ” น้ีคอื ฮาดีษทศ่ี อฮฮ้ี ฺ (ท่ีถูกตองซ่งึ ไมมีการถกเถยี งกนั แตประการใด) ทานบุคอรีเองก็ไดรายงานถึง รายละเอียดของเรื่องนี้ไวอีกแหงหน่ึงในหนังสือศอฮ้ีฮฺของ ทาน(413) นอกจากน้ีทานมุสลิมก็ยังไดบันทึกไวในตอนทายของหมวดที่วาดวยทายาทในหนังสือศอ ฮ้ฮี (ฺ 414) ทานอะหฺมัดก็ไดบันทึกไวในหนังสือมุสนัดของทาน ซึ่งเปนรายงานท่ีมาจากทานอิบนุ อับ บาส(415) นอกจากนี้บรรดานักปราชญฝายซุนนะฮฺอีกจํานวนมากไดทําการบันทึกเร่ืองดังกลาวอีก ดวยเชน ทานอาบูบักรฺ อะหฺมัด บิน อับดุล-อะซีซ ไดบันทึกไวในหนังสือสะกีฟะฮฺ(416) โดยอาศัย สายสืบฮาดษี ของทานอิบนุ อับบาสวา (413) ทา นบุคอรี บันทกึ ไวใน กติ าบฮิลม หนา 22 ภาคท่ี 1 (414) หนา 14 ภาคที่ 12 (415) โปรดดูหนา 325 ภาคท่ี 1 “เม่อื ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจาํ เริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ใกลท่ีจะถึงแกการวายชนมนั้น ที่บานของทานมีผูคนเปนจํานวน มาก และในจํานวนนั้นก็มีทานอุมัร บิน ค็อฏฏอบ รวมอยูดวย ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ได

กลาววา “จงนําหมึกและกระดาษมาใหฉันเถิด เพื่อฉันจะไดเขียนขอความใหแกพวกทานเพื่อพวก ทานจะไดไ มหลงผิด” ทานอุมัรไดกลาวในเชิงที่มีความหมายวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) “เพอไปเสียแลว” หลังจาก น้ันก็ไดกลาวตอไปวา “พวกเรามีอัล-กุรอานอยูแลว ฉะน้ันคัมภีรของอัลลอฮฺยอมเปนที่เพียงพอแก เรา” ซึง่ ทา นอุมัรไดขัดแยงกันกับบุคคลตาง ๆ ท่ีอยูในบานของทานนบีในขณะน้ัน โดยท่ีบางคนได กลา ววา “จงใหท า นนบบี ันทกึ ขอความทส่ี าํ คญั ใหแกพ วกทา นเถดิ ” สวนบางคนก็กลาวเชนเดียวกับคํากลาวของทานอุมัร คร้ันเม่ือพวกเขาไดโตเถียงและ ขัดแยงกันมากข้ึน ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุข แดท านและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดโกรธและกลาววา “พวกทา นจงลุกออกไปเถดิ ” ทานสามารถสังเกตไดวาบรรดานักปราชญท้ังหลายตางก็ไดหามวา ทานอุมัรเปนผูคัดคาน ในเร่ืองนี้ และยังมีหลักฐานที่ยืนยันอีกวามีการคัดคานถกเถียงกันในวันน้ันจริง ซึ่งทานบุคอรี ได กลาวไวในหนังสือศอฮี้ฮฺของทานวา ทานอิบนุอับบาสไดเลาวาเหตุการณเม่ือวันพฤหัสนั้นสําคัญ มากซ่ึงเปนวันอับโชค หลังจากนั้นทานก็ไดรองไหจนตาแดงกํ่าแลวกลาววา “เขาไดลวงเกินตอ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺอยางรุนแรง เมื่อวันพฤหัสในขณะที่ทานนบีไดกลาววา “พวกทานจงนํา กระดาษมาใหฉันบันทึกขอความแกพวกทานเพื่อพวกทานจะไดไมหลง” แตแลวพวกเขาเหลานั้นก็ ไดป ฏเิ สธไปเสียท้ัง ๆ ท่ีมิบังควรอยางย่ิงท่ีจะทําการปฏิเสธตอทานนบี กลาวคือพวกเขาเหลาน้ันได พดู วา “ทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮไฺ ดเพอเสยี แลว” (415) ดหู นา 20 ภาคที่ 2 หนงั สอื นะฮฺลุ บะละเฆาะฮฺ ฮาดีษน้ีทานมุสลิมก็ไดบันทึกไวอีกในตอนทายของหมวดท่ีวาดวยเรื่องของการแตงต้ัง ทายาทจากหนังสือศอฮ้ีฮฺ ซึ่งฮาดีษเดียวกันนี้ ทานอะหฺมัดก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “มุสนัด” ของ ทานโดยอางจากฮาดีษที่รายงานโดยทานอิบนุ อับบาส(417) วาเมื่อวันพฤหัสน้ันเปนวันท่ีอับโชค หลังจากน้ันทานก็รองไหจนนํ้าตาไหลอาบแกมและกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺ ทรงประทานความจาํ เริญและความสนั ติสขุ แดทา นและแดบรรดาลูกหลานของทาน) กลาววา “ทาน จงนํากระดาษและน้ําหมึกมาใหฉันเถิด เพื่อฉันจะเขียนขอความใหแกพวกทานเพ่ือทานจะไดไม หลงผิดอีกตอไป” แตแลวพวกเขาไดกลาวกันวา “แทจริงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดเพอไปเสีย แลว ”(418)

เรื่องน้ีมีหลักฐานบันทึกอยางชัดแจงวา คนแรกที่ไดกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ เพอ” น้ันไดแกทานอุมัร แลวหลังจากน้ันกลุมสาวกที่อยูในบริเวณเดียวกันก็ไดมีความเห็น สอดคลองกนั กบั ทานอุมรั ตามที่ทานไดอ า นผานไปแลวในฮาดีษแรกท่ีวา “บรรดาผูคนท่ีอยูในบาน ของทานนบีขณะน้ันก็ไดถกเถียงกัน บางคนก็ไดกลาววา “พวกทานจงนํากระดาษมาใหทานนบี บันทึกขอความใหแกพวกทานเถิด เพ่ือพวกทานจะไดไมหลงผิด” และบางคนก็ไดกลาวไปตามที่ ทา นอมุ ัรไดกลา ว (417) หนา 222 ภาคที่ 1 หนงั สือมุสนัด (418) หนา 355 ภาคท่ี 1 หนงั สือมสุ นดั ทานก็ไดเห็นแลววา ถาหากพวกเขาเหลานั้นไดยอมรับหรือทําตามคําส่ังของทานศาสนทูต แลว ละก็ พวกเขากย็ อมจะไดรบั ความปลอดภยั จากความหลงผิด แตทวา พวกเขาไดท าํ การตอบโตคํา กลาวของทานศาสนทตู วา “คมั ภรี ของอัลลอฮฺเปนทเ่ี พียงพอแกพวกเราแลว ” ทั้ง ๆ ทพ่ี วกเขาไมไดมี ความรูถึงฐานภาพท่ีพวกเขามีตอพระคัมภีรของอัลลอฮฺ เพราะถาพวกเขารูถึงความสําคัญท่ีมีอยูใน พระคัมภีรแลว พวกเขาจะตองยอมรับตอคําส่ังของทานศาสนทูตทุกประการและพวกเขาจะตองไม กลาวคําพูดออกไปวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดเพอไปเสียแลว” ทั้ง ๆ ท่ี ทานอยูตอหนาพวก เขา การที่พวกเขากระทําอยางนั้นเสมือนหน่ึงวาพวกเขาปฏิเสธตอคําส่ังของทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (อลั ลอฮทฺ รงประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ุขแดท า นและแดบรรดาลูกหลานของ ทา น) ซงึ่ หมายถงึ วา พวกเขาไมย อมรับในคําสัง่ ของคัมภีรแหงอลั ลอฮฺใหจ ริงจังเหมือนกับท่ีพวกเขา อาง ทั้งนี้ก็เพราะวาพวกเขาเคยไดยินและไดฟงบัญญัติจากพระคัมภีรอยูเปนเนืองนิจท้ังในยาม กลางคืนและกลางวนั วา “และสิ่งใดก็ตามท่ีศาสนทูตไดนํามา (ส่ังสอน) แดพวกสูเจาแลว ดังนั้นสูเจาท้ังหลายจง ยอมรบั สง่ิ นัน้ เถดิ และอันใดที่ศาสนทตู ไดห ามสเู จา ดงั นนั้ สูเจาจงยับย้ังเถดิ ” (59 : 7) ทั้งนี้โดยเหตุที่พวกเขาเหลานั้นไดกลาววา “ทานศาสนทูตไดเพอไปเสียแลว” เสมือนวา พวกเขาไมเคยไดอ านโองการของพระผเู ปนเจา ที่วา “แทจริงสิง่ น้ี แนน อนเปน คาํ กลา วของทูตผูม เี กียรติท่ีทรงอาํ นาจย่งิ ณ บลั ลังกอ นั สงู สง เปน ผูเ ชอ่ื ฟง ปฏบิ ตั ิตามท่ซี ่อื สัตย สหายของพวกสเู จา (มฮู ัมมัด) น้ันมไิ ดเ ปน คนวิกลจริต” (81 : 19-22) และอีกโองการหนึง่ ท่พี ระผทู รงสูงสดุ ไดมโี องการวา

“แทจรงิ สง่ิ น้ีเปน คํากลา วของผมู ีเกียรติ และมนั มใิ ชเปนคํากลา วของกวี แตสว นนอ ยเทา นน้ั ที่พวกสูเจาศรัทธา และส่ิงนมี้ ิใชเปน คํากลา วของโหร แตส วนนอ ยเทานนั้ ที่พวกสูเจาจะทําการรําลึก เปนสิ่งทถ่ี ูกประทานมาจากพระผูอ ภิบาลแหง สากลโลก” (69 : 40-43) พระผูทรงสูงสุดยังมีโองการอีกวา “สหายของสูเจานั้น (มุฮัมมัด) มิไดหลงผิดและมิได ละเมดิ และเขามิไดพดู จากอารมณ หากแตส ง่ิ น้นั ลวนเปน การดลใจที่ถูกประทานมา (วะฮฺยู) ที่ผูทรง พลังอันแขง็ แกรง ไดส อนเขา” (53 : 2-5) โองการท่ีชัดแจงทํานองนี้ยังมีอีกมากมาย ท่ีเปนขอพิสูจนวา ทานศาสนทูตเปนผูบริสุทธิ์ เหนือคําที่พวกเขากลาววา “ทานเพอ” ถาไดใชสติปญญาอยางอิสระพิจารณาเรื่องนี้จะเห็นวา พวก เขาเหลาน้ันตางก็รูดีอยูแลววา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) มีความประสงคอยางยิ่งท่ีจะทําการแตงตั้ง ใหทานอาลีดํารงตําแหนงเปนคอลีฟะฮฺเปนการเฉพาะ อีกทั้งจะทําการสั่งเสียเก่ียวกับเรื่องของ บรรดาอิมามผูซ่ึงสืบเช้ือสายของทานตอไปอีกดวย ดังน้ันพวกเขาจึงไดขัดขวางทานศาสนทูต เกี่ยวกับเรื่องน้ี ซ่ึงจะเห็นไดจากการที่ทานอุมัรไดกลาวไวในคําสนทนาระหวางทานกับทานอิบนุ อับบาส(419) ถาทานไดทําการพิจารณาคํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ท่ีทานไดกลาววา “พวก ทานจงนาํ กระดาษมาใหฉ นั บนั ทึกขอความแกพวกทานเถิด เพ่อื พวกทานจะไดไ มหลงทาง” อีกท้ังพิจารณาถึงคํากลาวของทานศาสนทูตท่ีไดกลาวไวในฮาดีษ “ษะเกาะลัยน” ท่ีวา “แทจรงิ ฉันไดละท้ิงไวในหมูพวกทาน ซึ่งสิ่งท่ีถาหากพวกทานไดยึดมั่นกับสิ่งน้ันแลว พวกทานจะ ไมห ลงผิด น่นั คือพระคมั ภรี ของอลั ลอฮฺ และเชอื้ สายของฉันแหง อะหฺลลิ บัยตฺ” ทานจะสามารถพิจารณาไดทันทีวาความหมายในสองฮาดีษนี้ช้ีในประเด็นเดียวกัน กลาวคือทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) มีความประสงคที่จะบันทึกขอความใหแกเหลาสาวกท้ังหลายใน ขณะที่ทานนอนเจ็บอยู ซ่ึงส่ิงท่ีเปนขอกําหนดใหแกพวกเขาเหลาน้ัน ตามที่ระบุอยูในฮาดีษ “ษะ เกาะลยั น”

(419) โปรดดูหนังสือนะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ ภาคท่ี 3 หนา 114 บรรทัดท่ี 27 อรรถาธิบายโดย ทา นอลั -ฮะดีด ความจริงแลว สาเหตทุ ตี่ อ งพลาดจากเรื่องน้ี กเ็ พราะคําพูดของพวกเขานน่ั แหละ ซึ่งเปนเหตุ ที่บังคับใหทานตองเลิก (การบันทึก) เพื่อมิใหเหลือไวซ่ึงขอครหา (ฟตนะฮฺ) และความขัดแยงอัน สืบเน่ืองจากการบันทึกขอความนั้น ในกรณีท่ีไมวาทานจะเพอ (ขอความคุมครอง ดวยพระนาม ของอัลลอฮฺ) หรือไมเพอก็ตาม ดังที่พวกเขาเหลานั้นไดขัดแยงกันและรวมกันกระทําการละเมิดตอ ฐานภาพอันชดั เจนของทาน ฉะนั้นทานจึงมไิ ดสําแดงส่ิงใดแกพ วกเขาในวนั นน้ั มากไปกวา ถอ ยคาํ ท่ี ทานกลาววา : “พวกทานจงลุกออกไป” ดังท่ีทาน (ผูอาน) ไดทราบดีอยูแลว และถาหากการณกลับ เปนวาทานไดบันทึกขอความใดขึ้นก็จะเปนขอมูลในการกลาวหาของพวกเขาที่วา “ทานไดเพอไป เสียแลว” และบรรดาผูสนับสนุนพวกเขาตางก็พากันยัดเยียดวาทานเพอเจอ (ขอความคุมครองดวย พระนามของอัลลอฮฺ) โดยที่บุคคลเหลานี้ไดมีความเชื่อไปตามบรรทัดฐานของพวกเขาเหลาน้ัน และตางก็มีขออางกันเปนคุงเปนแคว ถึงเหตุผลที่จะปฏิเสธขอความดังกลาวและปฎิเสธกับผูท่ี อุทธรณถงึ เร่ืองนี้ นี่คือวิทยปรัชญาอันลึกซ้ึงขอหนึ่งท่ีทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ใหไวเปนอุทธาหรณเก่ียวกับกรณีท่ีจะ บันทึกขอความนี้ เพื่อผูตอตานและพรรคพวกของพวกเขาจะไดไมมีชองโหวที่จะหยิบยกสิ่งใดมา เปนเครื่องมือปรักปรําฐานภาพของความเปนนบี (เราขอความคุมครองดวยพระนามของอัลลอฮฺ และเราขอความคลาดแคลวในเรื่องนั้น) แนนอนย่ิง ทานศาสนทูตไดตระหนักดีวาทานอาลีและ บรรดามิตรสหายของทา นตางเปนผนู อบนอ มโดยสิน้ เชิงอยแู ลว กบั ขอ ความนั้น ไมวาทานจะบันทึก ใหพ วกเขาหรอื ไมกต็ าม สวนบุคคลอื่น ๆ นั้นถึงแมทานจะบันทึกให พวกเขาก็จะไมนําพาและมิให ความสําคัญ โดยวิทยปรัชญาและสถานการณเชนนี้ทําใหทานจําเปนตองละท้ิงส่ิงนั้น เพื่อที่จะไม กอใหเ กดิ ขอครหา (ฟตนะฮฺ) ใด ๆ ของผูต อตา นเหลานั้นข้ึนมาภายหลัง อยางมิตอ งสงสยั วัสลาม (ช)

อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 87 9 รอบีอุลเอาวัล 1330 • คาํ คดั คา นพรอมกบั ขอ โตแยงในเร่อื งทีไ่ ดช่ือวา “ความอัปโชค” คราวนั้น บางทีในกรณีท่ีทานศาสนทูต (ศ) ส่ังใหบรรดาสาวกนําหมึกและกระดาษมาใหทานนั้น ทานไมมีความประสงคที่จะบันทึกสิ่งสําคัญใด ๆ ก็ได ซ่ึงเปนเพียงแตคําบอกกลาวธรรมดา ๆ กับ พวกเขาเทาน้ันเอง มิใชส่ิงอื่น ซ่ึงอัลลอฮฺก็ไดทรงชี้นําทานอุมัร (อัล-ฟารูก-ผูอยูในฐานะจําแนก-) สําหรับเรื่องน้ีเปนกรณีพิเศษไปจากสาวกคนอ่ืน ๆ โดยทานไดหามพวกเขามิใหนําหมึกและ กระดาษมาให เปนอันวาการยับย้ังคราวนั้นคือการกระทําท่ีสอดคลองตอพระประสงคของพระผู อภิบาลของทาน และเปนเกียรติอันยิ่งใหญของทานอุมัร (อัลลอฮฺทรงปติช่ืนชมตอทาน) เอง ดงั กลา วนีค้ อื คําตอบของนักปราชญบ างกลมุ แตอีกดานหน่ึงจากคํากลาวของทานนบี (ศ) ที่วา : “ทานจะไดไมหลงผิด” นั้น ยอมคัดคาน คําตอบดังกลาวน้ี เพราะวาเหตุผลท่ีสองของคําส่ัง มีความหมายวา “ใหพวกทานนําหมึกและ กระดาษมาแลว ฉนั จะบนั ทกึ ขอความใหแกพวกทานเพือ่ พวกทานจะไมหลงผิด” ไมต องสงสัยเลยวา การบอกกลาวลอย ๆ กบั เร่ืองราวอยางนีจ้ ะตองเปนความเท็จอยางชัดแจง ซ่ึงมันเปนสิ่งที่แนนอนวา บรรดานบีท้ังหลายนัน้ ยอ มปลอดพนจากถอยคําประเภทน้ี โดยเฉพาะอยางยิ่งในกรณีที่มิไดนําหมึก และกระดาษมาใหท านกย็ งั คัดคานกบั คําตอบนี้โดยทศั นะอกี ดา นหนง่ึ แตถงึ จะอยางไรก็ตามที เร่ือง น้ยี งั มีเหตุผลอืน่ ทส่ี ามารถคัดคานได เหตุผลที่ควรจะกลา วอางไดกค็ อื วา : แนนอนที่สุดคําส่ังนั้นมิไดเปนคําส่ังท่ีสําคัญ จนกระทั่งไมอนุญาตใหทบทวนไดเลย แต เปนคําสั่งที่สาวกมีสิทธิที่จะปรึกษาหารือกันได ซ่ึงแตกอนน้ีบรรดาสาวกท้ังหลายก็เคยไดพิจารณา ในอันที่จะกระทําตามคําส่ังบางประการของทานศาสนทูตหรือไมมาแลว แนนอนท่ีสุด ทานอุมัรก็ ไดทราบดีแกใจอยูแลววา ทานเปนผูท่ีสามารถกระทําในสิ่งท่ีถูกตองจนบรรลุถึงหลักคุณธรรม ซึ่ง ทานเปนบุคคลหนึ่งที่ไดรับการดลใจ (อิลฮาม) มาจากอัลลอฮฺ ทานมีความปรารถนาที่จะผอนคลาย ความออนเพลียของทานนบีเพ่ือมิใหทานตองมีความลําบากโดยเหตุที่จะตองเขียนขอความใน ขณะท่ีนอนปวยอยู อีกประการหนึ่งทานอุมัรมีความเห็นวาการที่ทานปฏิเสธมิใหน้ําหมึกและ กระดาษมาใหทานศาสนทูตบันทึกขอความ ก็เพราะเกรงไปวาถาหากทานนบีบันทึกคําส่ังใด ๆ

ในขณะน้ันแลว ประชาชนจะเห็นวาเปนเรื่องท่ีไมมีสมรรถภาพ และอีกประการหนึ่งทานอุมัรหวั่น เกรงวา พวกกลบั กลอก (มนุ าฟก) จะต้ังขอ ตําหนขิ อความนั้นไดวาเปนคําสัง่ ทีเ่ กิดข้ึนในยามปวย ซึ่ง รังแตจะกอใหเกิดเปนเหตุของการมุงราย ฉะน้ันทานจึงกลาววา “คัมภีรของอัลลอฮฺเปนที่เพียงพอ แกพวกเราแลว” ทั้งนีเ้ นอื่ งจากโองการในอัล-กรุ อานไดร ะบวุ า “วันนี้เราไดทาํ ใหสมบรู ณค รบถว นแกส ูเจา แลว” (อัล-มาอดิ ะฮฺ : 3) แนนอนท่ีสุดทานอุมัรเปนผูที่ปลอดภัยจากความหลงผิด โดยเหตุท่ีวา อัลลอฮฺไดทรง ประทานความสมบูรณของศาสนาใหแกประชาชาติอยูแลวทุกประการ คําตอบของนักปราชญอะฮฺลิซซุนนะฮฺในเร่ืองนี้ก็เปนไปตามความเห็นของทานที่ถือวา คํา กลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺท่ีไดกลาววา “เพ่ือพวกทานจะไดไมหลงผิด” นั้นหมายถึง กิจการซ่งึ เปน คาํ ส่งั ทส่ี าํ คญั และตอ งสนองตอบ ท้ังนเ้ี นอ่ื งจากวาเปน ขอ กําหนดทที่ ําใหปลอดภัยจาก ความหลงผิด กลาวคือเปนหลักการที่ตองกระทําตาม จนสุดความสามารถอยางไมมีขอแม แต ทานศาสนทูตก็ไดก ลา วดว ยความไมพ อใจทมี่ ตี อ พวกสาวกวา “จงลุกออกไปเถิด” ดวยเหตุนี้เองเมื่อ พิจารณาดูแลวก็จะเห็นวา คําสั่งในวรรคกอนของทานมิไดมีลักษณะที่เปนคําสั่งเด็ดขาดที่ จําเปน ตอ งปฏบิ ตั ิตามแตป ระการใดเลย ถาส่ิงนั้นเปนขอกําหนดที่จําเปนตองปฏิบัติตามจริง ตามที่ทานไดกลาวแลว ทานนบี (ศ) จะไมย อมละทง้ิ สง่ิ น้นั เพียงเพราะเหตคุ วามขดั แยงของบรรดาสาวกเสมอื นดังที่ทา นไมเคยละท้ิงการ ประกาศศาสนาเพราะโดยสาเหตุการขัดแยงของผูปฏิเสธ เราอาจจะกลาวไดวา ถึงแมจะไดมีการ บันทึกขอ ความนกี้ ม็ ไิ ดหมายความวา เรอ่ื งน้ีเปนขอกําหนดท่ีจําเปนแกทานนบี (ศ) แตขณะเดียวกัน ก็ถือวาหนาท่ีของสาวกก็ยังจําเปนอยูท่ีจะตองนําหมึกและกระดาษไปใหเพราะเปนคําส่ังท่ีทานนบี ไดส่ังแกพวกเขา เพ่ือทานจะไดอธิบายใหพวกเขาเหลาน้ันทราบถึงจุดมุงหมายของทานท่ีวาเพื่อ ความปลอดภัยจากความหลงผิด แตกระน้ันมูลฐานแหงคําส่ังนี้ก็เปนเพียงหนาท่ีท่ีจําเปนแกผูถูกสั่ง เทา นน้ั หาไดเ ปนขอ กําหนดท่จี ําเปนแกผูออกคาํ ส่งั ไม อยางไรก็ดีอาจจะเปนไปไดวา เร่ืองน้ีเปนขอกําหนดแกตัวของทานนบี (ศ) เองดวย แต ขอกําหนดนน้ั กเ็ ปน อนั ตกไปเน่อื งดวยคําคดั คา นของพวกเขา ซง่ึ พวกเขาไดกลาววา “ทา นไดเพอไป

เสียแลว” ท้ังนี้ก็เพ่ือมิใหเหลือขอความใด ๆ ที่เปนรองรอยอันกอใหเกิดการวิพากษวิจารณในเชิง เสยี หาย บางคนอาจจะเขาใจวาทานอุมัร (อัลลอฮฺทรงประทานความปติชื่นชมแดทาน) ไมเขาใจ ความหมายของฮาดีษนี้วา ขอความของทานศาสนทูตที่จะบันทึกน้ัน เปนมูลฐานในอันท่ีจะรักษา ประชาชาติมสุ ลิมใหพน จากความหลงผิด ความจริงแลวทานอุมัรมีความเขาใจในความหมายของฮา ดษี ท่วี า “พวกทา นจะไดไ มห ลงผิด แทจรงิ พวกทานจะไมร วมตวั กันเพื่อตง้ั อยูบนความผดิ พลาด” ทานอุมัรรูดีวาเปนไปไมไดท่ีกลุมสาวกทั้งหลายจะรวมตัวกันเพ่ือตั้งอยูบนความผิดพลาด ดวยเหตุน้ีจึงไมปรากฏวา จะมีรองรอยแหงการบันทึกขอความใด ๆ ของทาน ทานอุมัรไดตระหนัก วาจุดมุงหมายของทานนบี (ศ) ในขณะนั้นมิไดมีอยางอ่ืน นอกจากการยํ้าใหเขมงวดกวดขันใน กิจการตา ง ๆ ซึ่งทา นอยูในชวงท่เี กือบจะคืนกลับไปสูพระผกู รณุ าปรานีแลว สวนการปฏิเสธคําส่ังของทานในคร้ังนั้นก็เพราะเหตุวาประชาชนตางก็รูวา คําสั่งนั้นมิได เปนบทบัญญัติอีกแลว หากแตเปนคําส่ังท่ีเกิดข้ึนโดยความหวงใยและสงสารเทานั้นเอง มิใชสิ่งอ่ืน สําหรับคํากลาวของทานศาสนทูต (ศ) ท่ีไดกลาววา “พวกทานจะไดไมหลงผิด” นั้น หมายถึงคําส่ัง ที่จาํ เปนสําหรบั พวกเขาเหลานั้นอยูตามที่ทา นไดก ลา วไปแลว อยางไรก็ดีเรื่องนี้ยังเปนท่ีถกเถียงกันอยูในประวัติศาสตร ซึ่งเปนเรื่องปลีกยอยประเด็น หนึ่งท่ีมันไดผานไปแลว และเราท้ังหลายก็ไมสามารถท่ีจะรูชัดถึงเร่ืองราวท่ีแทจริงโดยละเอียด ใน สิ่งเหลา นน้ั ขออัลลอฮไฺ ดทรงเปน ผูนาํ ทางไปสูแนวทางที่เสมอเหมือนกนั เถดิ วัสลาม (ซ)

อลั -มุรอญิอะฮฺ 88 11 รอบีอุล-เอาวัล 1330 • คาํ คัดคานดังกลา วนัน้ เปนสิง่ ทไ่ี มถ กู ตอง ผูท่มี คี วามละเอยี ดถถี่ ว นในการสนทนาปราศรัย ยอมตระหนักถึงความจริง โดยท่ีเขายืนยัน ตอ สจั ธรรม และพูดในประเด็นท่ีถูกตอง แนนอนท่ีสุดยังมีคําตอบโตทางประเด็นท่ีเหลืออยูสําหรับ คําคัดคานเหลาน้ัน ซ่ึงขาพเจาใครท่ีจะเสนอเร่ืองน้ีใหแกทาน เพ่ือจะไดเปนขอพิสูจนท่ีพวกทาน ทั้งหลายสามารถยอมรบั ได นักปราชญฝายซุนนะฮฺไดกลาววา “ในกรณีที่ทานศาสนทูตไดส่ังใหบรรดาสาวกนําหมึก และกระดาษมาใหทานน้ัน ทานไมมีความประสงคท่ีจะบันทึกสิ่งใด ๆ ดอก ซ่ึงเปนเพียงแตทาน ตองการจะบอกเลากับพวกเขาเหลา น้นั นนั่ เอง มใิ ชสิ่งอื่น” เรามีความเห็นวาเหตุการณที่เกิดขึ้นน้ีอยูในชวงที่คับขันของทานศาสนทูต กลาวคือในชวง น้ันมิใชเปนเวลาที่ควรแกการสนทนากันตามปกติ หากแตเปนเวลาท่ีสําคัญเกี่ยวกับการสั่งเสียใน ประเด็นท่ีสําคัญ ๆ โดยแถลงส่ิงตาง ๆ เหลาน้ันใหสมบูรณเพ่ือประชาชาติในชวงนั้นถือวามิใชเปน ยามท่ีไรสาระ หรือจะอางเหตุผลสวนตัวของบุคคลใดข้ึนมา เพราะความสําคัญที่ยิ่งใหญน้ันอยูท่ี คําสง่ั เสยี ของทาน ทงั้ นก้ี เ็ พราะวาทานเปนนบี ในเมื่อวิถีชวี ติ ของทา นศาสนทูตเปนหลักการแหงความถูกตองทุกประการอยางชนิดที่ไมมี แบบแผนของบุคคลใดย่ิงใหญกวาฉะนั้นจะเปนไปไดอยางไรท่ีทานอุมัรจะละเมิดแบบแผนของ ทานในขณะทีท่ า นจวนถงึ แกการวายชนม จะเหน็ ไดว าในเมือ่ พวกเขาเหลา น้ันไดล ะเมิดและถกเถียง อีกทัง้ ขัดแยงกนั ตอ หนา ทาน ทานศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจําเริญและความ สันตสิ ุขแดทานและแดบ รรดาลกู หลานของทา น) ไดกลา ววา “จงลุกออกไปเถิด” ซ่ึงแสดงใหเห็นวา ทานไมพอใจพวกเขาเหลานั้น และถาหากวาผูท่ีคัดคานทานเปนผายถูกแนนอนทานก็จะกลาวแก พวกเขาเหลาน้ันดวยวิธีการท่ีสนับสนุน ซึ่งแสดงใหเห็นวาเปนการชื่นชมยินดีกับความเห็นของ บคุ คลเหลา น้นั ดวย แตในรายงานของฮาดีษบทน้ี มีขอความท่ีระบุถึงคํากลาวของพวกเขาเหลานั้นวา “ทานศา สนทูตแหง อัลลอฮฺไดเพอ ไปเสยี แลว” เปนอนั วา พวกเขาเหลา นัน้ ตางก็เปน ผูตระหนักดวี าทา นศาสน

ทูตมีความประสงคท่ีจะออกคําสั่งบางประการซึ่งพวกเขาเหลาน้ันมีความไมพอใจเปนทุนเดิมอยู แลว ดวยเหตุน้ีพวกเขาจึงไดกลาวถอยคําเชนนั้นแกทานศาสนทูต และจนถึงกับวาพวกเขาตอง ถกเถียงกันอยางมากมายตอหนาทานศาสนทูตและจนกระท่ังทานอิบนุ อับบาส ตองถึงกับรองไห หลังจากท่ีไดกลาวถึงฮาดีษนี้ อีกทั้งไดระบุวาเรื่องนี้เปนความอับโชคครั้งหนึ่ง ซ่ึงเปนหลักฐานที่ แข็งแรงพอถงึ ขนาดทีจ่ ะสามารถลบลางประเด็นคําตอบของทานได มีบุคคลบางกลุมเขา ใจวา ทานอมุ รั เปน ผูท ่ีมีจุดยืนอยบู นหลกั การแหง ความถกู ตอ ง และเปน ผูบรรลุถึงการดลใจ (อิลฮาม) ท่ีมาจากอัลลอฮฺผูทรงสูงสุด ความจริงแลวเร่ืองนี้เปนประเด็นท่ีมิได สอดคลองกันกับหลักการตามความเขาใจในดานนี้ของเราทั้งหลาย ท้ังน้ีก็เพราะวา กลุมบุคคล ดังกลาวไดยัดเยียดความถูกตองไปใหแกทานอุมัรเพียงฝายเดียวในเหตุการณครั้งน้ัน โดยท่ีมิไดให ความถูกตองน้ัน ๆ แกฝายทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) อีกท้ังคนกลุมน้ันยังถือวาการดลใจท่ีทานอุมัร ไดรับในวันน้ันเปน หลักการท่นี า เชื่อถือกวาวะฮยฺ ู ซงึ่ อัลลอฮไฺ ดทรงตรัสแกท านศาสนทูตผซู ่อื สตั ย (อลั -อามีน) บุคคลเหลาน้ันไดกลาววา “ทานอุมัรมีความประสงคที่จะผอนคลายความออนเพลียของ ทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของ ทา น) อนั จะเกดิ จากสาเหตทุ ี่ทา นตองบันทึกขอความในขณะที่ทานปวยอยู” ขออัลลอฮฺไดทรงอนุเคราะหชวยเหลือทานดวยสัจธรรมเถิด ทานก็ทราบดีอยูแลววา การ บันทึกขอความไปตามคําสั่งของทานนบีนั่นแหละ จะเปนการสรางความสดชื่นอยางยินดีใหแก จิตใจของทา นนบี เปน การสรางความเจรญิ ตาเจรญิ ใจใหแ กท านในฐานะทท่ี า นไดว างหลกั การความ ปลอดภัยใหแกป ระชาชาติของทา น (อัลลอฮทฺ รงประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ุขแดท านและ แดบ รรดาลูกหลานของทา น) โดยทีค่ าํ สง่ั ของทานไดมีผูปฏิบัติตาม ซึ่งตรงกับเจตนารมณของพระผู บริสทุ ธ์ิ ฉะนั้นจะเห็นไดวาความประสงคของทานศาสนทูตที่จะใหมีการนําเอาหมึกและกระดาษ ไปใหทานน้ันเปนคําสั่งที่มิบังควรแกบุคคลใด ในอันที่จะตอบโตคําสั่งของทานหรือขัดแยงกันกับ เจตนารมณของทาน ท้งั น้กี ็เพราะวา อัลลอฮฺผูท รงสงู สดุ ไดม โี องการไววา “และมิใชหนาที่ของผูศรทั ธาชายและมิใชหนาที่ของผูศรทั ธาหญงิ ถาเมื่ออัลลอฮฺและศาสน ทูตของพระองคไดตัดสินกิจการหน่ึงกิจการใดไปแลว ท่ีพวกเขาจะทําการเลือกกิจการใด ๆ ของ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook