ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) จึงไดกลาวข้ึนวา “พวกทานจงนํากระดาษมาเถิดเพื่อฉันจะไดบันทึก ใหแกพวกทาน ซ่ึงส่ิงที่พวกทานจะไมหลงทางหลังจากนี้ตลอดไป” แตแลวพวกเขาเหลาน้ันก็ได โตแยงข้ึน ซึ่งการโตแยงตอนบีน้ันเปนสิ่งท่ีมิบังควรอยางยิ่ง คือพวกเขาเหลานั้นไดกลาวขึ้นวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดเพอไปเสียแลว(362) ทั้ง ๆ ที่ในยามนั้นทานศาสนทูต (ศ) ไดรูดีวา ทาน มิไดเปนอยางคํากลาวของพวกเขาเหลาน้ัน ทานจึงไดกลาวแกพวกเขาวา “จงลุกข้ึนยืนเถิด” แลว ทานก็ไดยืนยันถึงพันธะกรณีของทานโดยถอยคํา พรอม ๆกันนั้น ทานก็ยังไดส่ังเสียพวกเขาไวใน วาระกอนการวายชนมของทาน ซ่ึงคําสั่งเสีย 3 ประการน่ันคือ “พวกเขาจําเปนที่จะตองยอมรับการ ปกครองของทา นอาลี พวกเขาจะตองขับไลชาวมุชริกออกจากคาบสมุทรอาหรับ และอนุญาตใหได ตามเง่ือนไขทีฉ่ ันเคยอนุญาต” (362) รายงานโดยทานบุคอรีในบาบที่วาดวย “ญะวาอิซุล-วัฟต” จากกิตาบ “อัล-ญิฮาด” หนา 118 ภาคที่ 2 ในหนังสือศอฮี้ฮฺของทาน และมีในบันทึกของศอฮ้ีฮฺมุสลิม มุสนัด อะหฺ มัด และตาํ ราอ่นื ๆ ของนกั ปราชญฝายซนุ นะฮฺ แตทวาระบอบการปกครองโดยผูมีอํานาจในสมัยนั้นไมเปดโอกาสใหบรรดานักรายงานฮา ดีษรับทราบเร่ืองราวท่ีเกี่ยวกับคําสั่งเสียขอแรกของทานซึ่งพอจะสังเกตไดวา พวกเขาอาจจะลืม เลือนเสียก็ได ทานบุคอรีไดกลาวไวในตอนทายของฮาดีษบทนี้ โดยระบุถึงคํากลาวของพวกเขาเหลานั้น ที่วา “ทานศานทูตแหงอัลลอฮฺไดเพอไปเสียแลว(363) วา “ทานไดสั่งเสียในยามกอนการวายชนมของ ทา นสามประการ กลา วคือ ใหพวกเขาขบั ไลชาวมุชริกออกจากคาบสมทุ รอาหรบั และอนญุ าตใหได ตามเงื่อนไขทฉ่ี ันเคยอนญุ าต” หลังจากนัน้ ทา นบคุ อรีไดก ลาววา “และฉนั ลืมขอที่สาม” ทาํ นองเดียวกนั นี้ ทา นมสุ ลมิ ก็ไดก ลาวไวเชน กัน ในหนังสือศอฮี้ฮฺของทาน และตําราอ่ืน ๆ ของนกั ปราชญฝายซนุ นะฮฺก็ไดก ลา วทํานองเดยี วกันนอ้ี กี ดว ย 3. สําหรับในกรณีท่ีมารดาแหงศรัทธาชนไดอางวาทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลับไปหาพระ ผูอภิบาลของทาน (วายชนม) ในขณะท่ีอยูบนทรวงอกของทานหญิงเอง ซึ่งเรื่องนี้เราขอปฏิเสธโดย เหตุที่วามีหลักฐานยืนยันอยางแนชัดวาทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความ สันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลับไปหาพระผูอภิบาลผูทรงสูงสุดในขณะที่
อยูแนบทรวงอกของพี่นองท่ีใกลชิดยิ่งของทาน นั่นคือทานอาลี บิน อาบีฏอลิบ ทั้งน้ีมีหลักฐาน ยืนยันอยางถูกตองโดยฮาดีษที่มีสายสืบสอดคลองตรงกัน (มุตะวาติร) จากทางดานอิมามผูสืบเช้ือ สายทบี่ รสิ ุทธิ์ (363) โปรดดูหนังสือศอฮี้ฮฺบุคอรี ภาคที่ 2 หนา 118 กิตาบ “อัล-ญิฮาด” จากบาบท่ีวาดวย “ญะวาอซิ ลุ -วัฟด” นอกจากน้ีก็ยังมีหลักฐานท่ีศอฮี้ฮฺถูกตองอีกจํานวนไมนอยจากนักปราชญฝายซุนนะฮฺ เนื่องจากวา ผทู ่ไี ดทําการศึกษาติดตามเร่อื งน้ีอยางละเอียด ยอมสามารถที่จะรับรูความเปนจริงตาง ๆ ได วัสลาม (ช) อัล-มรุ อญอิ ะฮฺ 75 17 ศอฟร 1330 1. ทา นหญงิ อมุ มลุ มมุ นี ีน อาอชี ะฮฺ มไิ ดรายงานฮาดษี ไปในทํานองมเี ลศนยั 2. ความดีงามและความช่ัวนั้นเปนส่งิ ท่สี ติปญญาสามารถจาํ แนกไดท งั้ สองประการ 3. ขอคําอธบิ ายถึงสาเหตุที่ตอ งปฏิเสธกับรายงานฮาดีษของมารดาแหง ศรัทธาชน 1. จุดสําคัญที่คํากลาวของทานทั้งหมดไดพูดถึงฮาดีษที่ไมยอมรับเร่ืองการแตงตั้งทายาท ของมารดาแหง ศรัทธาชน ทานหญงิ อาอชี ะฮฺน้ันมีดวยกันสองประการ คอื การทท่ี า นอิมามไดทําการตอสูกับทานหญิงอาอีชะฮฺน้ัน ทานไดอางวาเปนเพราะเหตุท่ีทาน หญิงปฏิเสธเรื่องการแตงต้ังทายาท คําตอบซ่ึงเปนที่รูกันสําหรับเร่ืองนี้ก็คือวา ทานหญิงมิเคยได รายงานฮาดีษใด ๆ จากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติ สุขแดท า นและแดบรรดาลกู หลานของทา น) ไปในทํานองมีเลศนัย และทานหญิงมิไดกระทําการใด ๆ เพื่อมีแผนการ ฉะนนั้ จะเห็นไดวาทา นหญิงมิเคยมีอคติในการอางถึงฮาดีษจากทานนบี โดยท่ีทาน ไดใหความเสมอเหมือนกันท้ังสิ้นไมวาส่ิงน้ัน ๆ จะเปนเร่ืองของบุคคลที่ทานช่ืนชอบเปนการ เฉพาะ หรือวาเรือ่ งนน้ั ๆ เปนเรอ่ื งของบคุ คลท่ที า นโกรธเปนการเฉพาะก็ตาม
ขอความคุมครองจากอัลลอฮฺตอการท่ีจะเขาใจวา ทานหญิงมีแผนการในการรายงานฮาดีษ จากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทา น) ซง่ึ ไดก ลา วไปโดยปราศจากมูลความจรงิ 2. สําหรับประการที่สองนั้น ก็คือวา สติปญญาสามารถท่ีจะคัดคานเรื่องราวตามที่ทานได อางขึ้นมาที่วา ไมเปนท่ีอนุมัติสําหรับนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ท่ีจะละท้ิงศาสนาของอัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุภาพสูงสุด ไวเสีย ตัง้ แตยังอยูในยุคแรกเร่ิมการเผยแพร ซ่ึงบรรดาบาวของอัลลอฮฺท้ังมวล พวกเขาก็เพ่ิงเริ่มเขาสูในยุค แรกของอารยธรรมใหม เปนไปไมไดที่วาหลังจากนั้นทานจะจากไปโดยปราศจากซึ่งการแตงต้ัง ทายาท ซ่ึงกรณีนี้เปนเงื่อนไขของทานที่จําเปนตองมีตอพวกเขาทั้งหลาย คําตอบสําหรับเร่ืองนี้ก็คือ วา ขอมูลนี้มีทั้งแงดีและในแงที่ผิดพลาดโดยจําแนกไดดวยสติปญญาท้ังสองดาน นักปราชญ ฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺมิไดมีการกลาววิเคราะหสําหรับขอมูลสองแงน้ี ทั้งน้ีก็เพราะวาทัศนะของพวก เขาเห็นวาสิ่งใดก็ตามท่ีเปนพ้ืนฐานของความดีงามน้ัน สติปญญายอมไมอาจจะเขาไปเก่ียวของได อีก และสิ่งใดก็ตามท่ีเปนความผิดก็จะตองไมใหสติปญญาเขาไปมีสวนพิจารณาโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นจึงถือวาความดีและความชั่วท่ีอยูในพฤติกรรมท้ังมวลนั้นเปนกฎเกณฑอันหน่ึงมิใชส่ิง อ่ืน ฉะนั้นเมื่อความดีงามใด ๆ ท่ีอยูในกฎเกณฑ ก็ถือวาส่ิงนั้นคือความถูกตอง ส่ิงใดท่ีบทบัญญัติ ระบวุ า เปน ความถูกตอ งมันกค็ อื ความถกู ตอง ส่ิงใดท่ีบทบญั ญตั ริ ะบวุ าเปนความผิดมนั กค็ ือความผดิ โดยทส่ี ติปญ ญาทีม่ อี ยไู มมีสทิ ธทิ์ ่จี ะวจิ ารณหรือเขาไปกา วกา ยในสง่ิ น้ัน ๆ ไดอ ีกเลย 3. สําหรับรายละเอียดตาง ๆ ตามท่ีทานไดชี้แจงไวในตอนทายของอัล-มุรอญิอะฮฺท่ี 74 ซ่ึง เปน เรอื่ งของเหตผุ ลการปฏิเสธตอคํารายงานตาง ๆ ของทานหญิงอาอีชะฮฺ มารดาของศรัทธาชน ใน กรณีท่ีวาทานนบีไดวายชนมในขณะท่ีทานอยูที่ทรวงอกของอิมาม เรายังไมเคยไดรูวามีฮาดีษหนึ่ง ฮาดีษใดจากสายสืบทางดานนักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ปฏิเสธรายงานในเรื่องนี้ ซ่ึงถาหากวา สง่ิ นน้ั ๆ เปนหลกั ฐานทท่ี า นมีอยแู ลวละก็ ขอทานไดโปรดเสนอมาดวย วสั ลาม (ซ)
อลั -มรุ อญิอะฮฺ 76 19 ศอฟร 1330 1. การรายงานฮาดษี ของทานหญิงอาอีชะฮฺนน้ั เปนไปในลกั ษณะทมี่ เี ลศนัย 2. ความดงี ามและความช่ัวนั้นเปน สิง่ เลอื กไดโดยการใชส ติปญญา 3. มีหลักฐานท่ศี อฮ้ฮี ฺ (ถกู ตอ ง) ท่ีคดั คาน ฮาดีษทท่ี า นหญิง มารดาแหงศรัทธาชนนาํ มาอา ง 4. รายงานฮาดษี ของทา นหญิงอุมมุสะละมะฮฺ ไดเปนที่ยอมรับกอนฮาดีษของทานหญิงอาอี ชะฮฺ 1. ประเด็นสําคัญในคําตอบตามที่ทานไดกลาวถึงมาแลวน้ัน ระบุวาเปนท่ียอมรับจากทุก ฝายวา ทานหญิงอาอีชะฮฺมิไดรายงานฮาดีษไปในทํานองที่มีเลศนัยและทานหญิงมิไดเลาฮาดีษตาง ๆ ไปเพราะมีแผนการแตอยางใดทั้งสิ้น ขอใหทานไดพิจารณามองยอนไปยังวิถีชีวิตของทานหญิง แลวทานจะไดทราบถึงเรื่องราวตาง ๆ ของทานหญิงท่ีไดดําเนินการกับผูท่ีทานรักและกับผูท่ีทาน โกรธอยางไรบาง ซึ่งการสังเกตในรายละเอียดตาง ๆ เหลานั้นบอกใหรูวานั่นแหละคือเลศนัยที่ เปดเผยของทานหญิง หวังวาทานยังไมลืมการดําเนินงานของทานหญิงอาอีชะฮฺที่ไดกระทํากับอุ สมาน ท้ังโดยคําพูดและโดยการกระทํา(364) อีกทั้งเหตุการณตาง ๆ ที่ทานหญิงไดกระทําตอทานอาลี ทานหญิงฟาฏิมะฮฺ ทานฮาซันและทานฮุเซน ท้ังโดยเปดเผยและโดยเรนลับ อีกทั้งพฤติกรรมตาง ๆ ท่ีทานหญิงกระทํากับบรรดามารดาแหงศรัทธาชนท้ังหลาย แมกระทั่งกับทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ซ่ึง พฤตกิ รรมตาง ๆ เหลา นั้นลวนแสดงใหเห็นถงึ การมเี ลศนยั และมีแผนการ ตวั อยา งของเรื่องที่พอจะช้ีใหเห็นถึงลักษณะของการมีเลศนัยน้ัน ทานสามารถจะสังเกตได จากเหตุการณเม่ือครั้งท่ีเกิดกรณีมีผูใสรายกลุมหนึ่งกลาวตําหนิและกอความแตกราวใน เรื่องของ ทานหญิงมารียะฮฺและบุตรของทานที่มีชื่อวาอิบรอฮีม (อาลัยอิสลาม) พวกเขาเหลานั้นไดกลาวราย ตาง ๆ นานา จนกระทั่งอัลลอฮฺ ผูทรงเดชานุภาพสูงสุดไดทรงรับรองความบริสุทธ์ิของคนทั้งสอง ใหพนจากความอยุติธรรมตาง ๆ ของพวกเขาเหลานั้น ท้ังนี้โดยการดําเนินงานของทานอะมีรุล มุ มีนีน อยางเหน็ ไดช ดั (365) ซึง่ มโี องการจากอัลลอฮฺตอนหนงึ่ ความวา
“และอัลลอฮฺไดทรงทําใหบรรดาผูซ่ึงปฏิเสธท้ังหลายเปนโมฆะ ดวยความละเมิดของพวก เขาเอง ซง่ึ พวกเขาจะมิถกู รับรองความดีงาม” (อัล-อะหซฺ าบ : 25) (364) โปรดดหู นงั สอื “ชะอเฺ ราะฮนฺ ะฮฺลุ บะฮฺลาเฆาะฮฺ” ของ อัล-ลามะฮฺ มุอฺตะสิละฮฺ หนา 77,457,497 ซงึ่ ทา นจะไดร บั รายละเอียดตา ง ๆ เกีย่ วกับอสุ มาน อาลีและฟาฏมิ ะฮฺ (365) ผูใดประสงคที่จะไดรายละเอียดตาง ๆ จากเหตุการณสําคัญในเรื่องนี้ ก็ขอใหไป พิจารณาดูรายละเอียดที่เกี่ยวกับเร่ืองของทานหญิงมารียะฮฺ (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชม ตอนาง) ได ในหนังสอื “มสุ ตัดรอ็ ก” ของทา นฮากิม ภาคท่ี 4 หนา 39 และหนังสือ “ตัลคีศ” ของทา นซะฮะบีย ในประเด็นนี้ถาหากทานประสงคท่ีจะไดรายละเอียดเพิ่มเติมก็ขอใหทานไดสังเกตลักษณะ การมีเลศนัยของทานหญิงอาอีชะฮฺอีกตอนหนึ่ง เมื่อทานไดกลาวแกทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) วา(366) “แทจริงฉันไดกลิ่นฉุนจากทานมาก” ท้ังนี้เนื่องจากวาทานศาสนทูตไดไปรับประทานน้ําผ้ึงมาจาก บานของทานมารดาแหงศรัทธาชน ซัยนับ (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอนาง) น่ีเปนเพียงแต รายงานฮาดีษที่บงบอกถึงแผนการแตเพียงสวนนอยเทานั้น ที่ทานพูดถึงเรื่องของทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสนั ตสิ ขุ แดทานและแดบ รรดาลูกหลานของ ทาน) ซ่ึงฮาดีษท่ีรายงานมาในลักษณะนี้ยังมีอีกมากในเมื่อเราไดประมวลดูกับหลักฐานฮาดีษตาง ๆ ของทานหญิงทีป่ ฏิเสธเรอ่ื งการแตง ตัง้ ทายาทของทา นอาลี (ความสนั ติสขุ พงึ มีแดทา น) ทานคงยังไมลืมถึงลักษณะการรายงานฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺที่เปนไปในรูปมีเลศนัย อีกครั้งหน่ึง เมื่อวันท่ีทานหญิงอัสมาอฺ บินต นุอฺมานไดทําการแตงงานกับทานนบี (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ซ่ึงทานหญิงอาอี ชะฮฺไดกลาวแกทานหญิงอัสมาอฺวา(367) “แทจริงทานนบีมีความชื่นชอบกับสตรีเปนอยางย่ิง ในเมื่อ ทานเขาไปหาภรรยาของทาน ฉะนั้นเธอจะตองกลาวแกทานวา “ฉันขอความคุมครองดวยอัลลอฮฺ ใหพนจากทาน” ซ่ึงแผนการของทานหญิงอาอีชะฮฺในคร้ังน้ีก็คือ ตองการท่ีจะใหทานนบี (อัลลอฮฺ ทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดออกหาง จากเจา สาวของทา นและใหทานนบีเขาใจวา หญงิ ผูศรัทธาผูน้ีเปนผมู อี ุปสรรคสาํ หรบั ตัวทานนบี
(366) รายงานโดยทานบุคอรี อยูในหมวดตัฟสีร ซูเราะฮฺ อัต-ตะหรีม หนังสือศอฮ้ีฮฺของ ทาน ภาคท่ี 3 หนา 136 ซึ่งมีฮาดีษหลายกระแสท่ีรายงานจากทานอุมัรวาสตรีสองคนท่ี สําแดงตนตอ ทานศาสนทูตนัน้ คือทานหญิงอาอิชะฮฺ และทา นหญิงฮฟั เศาะฮฺ (367) ทา นฮากมิ ไดบันทกึ เร่ืองน้ไี วในหนังสือ “มุสตัดร็อก” ภาคที่ 4 หนา 37 ทานอิบนุ สะ อัดก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “ฏอบากอต” ภาคท่ี 8 หนา 104 ทานอิบนุ ญะรีรและบุคคลอ่ืน ๆ ก็ไดบันทึกไวดวย ทั้งในหนังสือ “อิสติอาบ” และ “อิศอบะฮฺ” เปนหัวขอเรื่องที่สําคัญ ในตอนอธบิ ายถึงชื่อของทา นอัสมาอฺ ทานหญิงอาอีชะฮฺมารดาแหงศรัทธาชนยังไดมีพฤติกรรมเชนเดียวกับเรื่องน้ีอีกมากมาย ท่ี เก่ียวของกับทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ซ่ึงลวนแลวแตเปดเผยใหเห็นแผนการของทานหญิงเอง แมวา บางคร้ังอาจจะเปนเร่ืองเล็กนอย แตบางครั้งก็มีถึงขนาดเปนเรื่องใหญท่ีตองหาม ทานหญิงไดสราง ภาระใหแกทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) เชนบางครั้งทานหญิงไดวางแผนบางประการแกบรรดาภรรยา บางทานของทานนบี เพ่ือทานหญิงจะไดฟองเรื่องน้ัน ๆ แกทานนบี ซึ่งลวนแลวแตมีสาเหตุที่ สบื เนอื่ งมาโดยแผนการของทานหญงิ เองทง้ั สน้ิ (368) และบางคร้ังทานหญิงไดทําตัวเปนผูขัดแยงกับทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) แลวก็ไปฟองกับ บิดาของทานหญิงเอง ซึ่งเปนลักษณะการกระทําอยางมีเลศนัยดังท่ีทานหญิงไดกลาวแกบิดาวา “จง ตัดสินใหยุติธรรมดวยเถิด”(369) ดังน้ันบิดาของทานหญิงจึงตบทานหญิงจนเลือดหยดลงท่ีผาของ ทา นหญิง และคร้ังหนึ่งทานหญงิ ไดกลาวแกท านนบีดว ยถอยคําทเี่ ตม็ ไปดวยความโกรธวา (370) “ทา น คือผูที่แอบอางตนวาเปนนบีของอัลลอฮฺ” พฤติกรรมเชนนี้ของทานหญิงยังมีอีกมากมายจนเกินกวา ทจ่ี ะนาํ มาบันทกึ ไวใ นทนี่ ี่ทง้ั หมดได (368) เร่ืองนี้มีปรากฏอยูมากมายในหนังสือชีวประวัติโดยนักปราชญฝายซุนนะฮฺ โปรดดู หนา 294 ภาคท่ี 6 หนังสือ “กันซุลอุมาน” และหนังสือ “ฏอบากอต” ของทานอิบนุ สะอัด ภาคท่ี 8 หนา 115
(369) นักปราชญฝายซุนนะฮฺไดบันทึกเรื่องนี้ไวหลายทาน โปรดดูฮาดีษท่ี 1020 หนา 116 ภาคท่ี 7 หนังสือ “กันซ” และทานเฆาะซาลีไดบันทึกไวในหนังสือ “อิหยาอุล-อุลูม” ภาคที่ 2 หนา 35 และในหนังสอื “มะกาชฟิ ะตลุ -กลุ บู ” บาบที่ 94 ตอนทายของหนา 238 2. คําตอบท่ีสําคัญอันดับ 2 ทานไดกลาววา “นักปราชญฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺมิไดทําการ วิจารณสําหรับเรื่องท่ีเปนความดีและเรื่องท่ีเปนความช่ัวโดยสติปญญาดังรายละเอียดตามท่ีทานได กลา วไวในหัวขอเรอื่ งน้”ี ขาพเจารูสึกสะดุดใจกับคํากลาวของทานท่ีไดกลาวมาเชนน้ันเพราะวามันคลายกับเปนคํา กลาวของคนที่อางเหตุผลประกอบเรื่องราวอยางผิด ๆ ซึ่งพวกเขาเหลาน้ันปฏิเสธกับสัจธรรมท่ี สามารถพสิ ูจนไ ด ทัง้ นเ้ี น่อื งจากวา พฤติกรรมใด ๆ ก็ตามท่ีเราสามารถรับรูถึงคุณงามความดีของมัน คุณสมบัติท่ีดีและมรรคผลที่ดีงามก็จะเกิดข้ึนแกพฤติกรรมนั้น ๆ เพื่อเปนคุณลักษณะท่ีดํารงอยูไว สําหรับความดีนั้น ๆ เชน การปฏิบัติคุณธรรมหรือยุติธรรม แนนอนที่สุดส่ิงท้ังสองน้ียอมสืบ เน่อื งมาจากคนทม่ี คี ุณธรรมและความยตุ ธิ รรมทํานองเดยี วกันนีเ้ ราก็สามารถนาํ มาพิจารณาไดก ับสงิ่ ทเ่ี รารับรวู า มันมีความเลวทราม ซ่ึงโทษและผลสนองจะตองเกิดขึ้นแกพฤติกรรมท่ีมีคุณลักษณะอยู ในรูปของความเลวทรามนั้น ๆ เชน การประพฤติช่ัว การประพฤติผิด แนนอนสงิท้ังสองนี้ยอมเกิด ขึ้นมาจากคนชั่วและคนประพฤติผิด ผูมีสติปญญาจึงสามารถที่จะรูไดถึงความจําเปนในอันท่ีจะ ตัดสินเรื่องอยา งน้ี และมใิ ชวา ผมู สี ตปิ ญญาจะสามารถตัดสนิ เร่อื งอยางนไี้ ดเ พียงแคครง่ึ สวนของมัน แตเขาสามารถท่ีจะตัดสินโดยแบงแยกระหวางส่ิงท่ีเปนคุณธรรมน้ัน ๆ ใหแกทานไดเสมอโดย อตั โนมตั ิ และสามารถที่จะตัดสินสิ่งที่จะกอ ใหเกิดความเลวรา ยแกท านไดเสมออกี เชนกนั (370) ทานเฆาะซาลียไดอางเร่ืองนี้ไวในสองบทดวยกัน จากหนังสือสองเลมของทาน ดงั กลาว ทั้งนี้เม่ือสติปญญามีอิสระในอันที่จะพิจารณากับพฤติกรรมท่ีมีคุณธรรมใหแกทาน ถาหาก วาเรื่องของคุณธรรมและเร่ืองของความเลวรายตามที่เราไดกลาวถึงอยูนี้มีกฎเกณฑอยูสองอยาง กลาวคือ ในเม่ือผูปฏิเสธบทบัญญัติไดทําการวินิจฉันตัดสิน ไมวาคนนอกศาสนาก็ดีหรือนักวัตถุ นิยมก็ดี ถึงแมวาพวกเขาจะเปนผูปฏิเสธตอหลักการศาสนาก็จริงอยู แตพวกเขาก็ยังสามารถที่จะ ตัดสินวาความยุติธรรมและคุณธรรมน้ันเปนสิ่งท่ีดี และพวกเขาก็มิไดคลางแคลงสงสัยในประเด็น ทีว่ าความเลวทรามนน้ั หมายถึง ความอยุตธิ รรมและการเปนศตั รู และพวกเขากม็ ไิ ดสงสยั สาํ หรบั ใน
ประเด็นของความผิดและการแกแคนวา จะตองวางหลักการอยูบนพฤติกรรมท้ังสองอยางนั้นใน ลกั ษณะเชน นี้สิ่งท่จี ะสามารถจําแนกไดสําหรับพวกเขากค็ อื สตปิ ญญาเทา นั้นมิใชส ่ิงอ่ืน ฉะน้ันคาํ พูดของทานทีว่ า การใชส ติปญญาวินิจฉันน้นั เปนการกาวกาย จึงเปนอันตองตกไป เพราะเหตุวาเปนทัศนะท่ีคัดคานกันกับสิ่งที่ผูมีสติปญญาท้ังหลายรับรู และเปนการตัดสินที่ขัดแยง กันกับการตดั สนิ ทีเ่ ปนไปตามความบรสิ ทุ ธข์ิ องธรรมชาตทิ ไี่ ดใหไวแกเ รื่องนี้ จะเห็นไดวาอัลลอฮฺผู ทรงไวซึ่งความบริสุทธิ์ ไดทรงวางหลักธรรมชาติใหแกบาวของพระองค เพื่อจะไดรับรูบางสวน ของสจั ธรรมโดยสติปญญาของพวกเขาเอง อยา งเชน ทพี่ ระองคไ ดวางหลกั ธรรมชาตใิ หมนุษยไดรับ รูใ นประสาทสมั ผสั และความรูส ึกของพวกเขา โดยทีพ่ ระองคไดท รงวางหลักธรรมชาติท่ีกําหนดให มนุษยไดรับรูความดีงามของความยุติธรรมและอ่ืน ๆ ไดโดยสติปญญาของพวกเขาเอง และรับรูตอ ความเลวทรามของความอยุติธรรมและสิ่งอ่ืน ๆ เชนเดียวกับท่ีมนุษยท้ังหลายสามารถรับรูรสหวาน ของนํ้าผ้ึง และรสขมของเจตมูล พวกเขาสามารถรับรูกล่นิ หอมของชมดเชียง และกล่ินเหม็นของสิ่ง เนาเปอย มนุษยก็สามารถรับรูการสัมผัสอันออนนุมโดยสิ่งท่ีออนนุม และสามารถรับรูการสัมผัส กบั สิง่ ท่แี ข็งกระดา งวา แขง็ กระดา ง มนษุ ยสามารถจําแนกไดโ ดยสายตาของพวกเขาระหวางภาพพจน 2 ประการ กลา วคอื ภาพพจนแหงความดีงามและภาพพจนแหงความเลวทราม มนุษยสามารถจําแนกไดโดย ประสาทการไดยินของเขาระหวางเสียง 2 ประเภท กลาวคือ เสียงเพลงสวดกับเสียงของลาเหลาน้ี เรยี กวา “กฎเกณฑท างธรรมชาติของอัลลอฮฺ” (ฟฏเราะฮ)ฺ ดังทีพ่ ระองคไ ดท รงตรัสไววา “เปนสิ่งซ่ึงพระองคไดทรงวางหลักธรรมชาติของมนุษยไวบนมัน ไมมีอันใดเปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งที่สวรรคสรางของอัลลอฮฺได น้ีคือศาสนาที่ยืนยง แตทวามนุษยสวนมากพวกเขาหารูไม” (30 : 30) แนนอนยิ่ง บรรดานักกวีเขามีความประสงคที่จะบรรลุถึงจุดของอีมาน (ความศรัทธา) ตอ บทบัญญัติและยอมรับตามกฎเกณฑนั้น ๆ แตพวกเขาปฏิเสธกฎเกณฑแหงสติปญญาซ่ึงพวกเขา เหลานัน้ ไดก ลาววา “ไมมีกฎเกณฑอื่นใด เวนแตในบทบัญญัติ” พวกเขาลืมคิดไปถึง “กฎเกณฑการ ผลักไสของสตปิ ญ ญา” ซงึ่ น่ันก็หมายความวา ทกุ สิง่ ทกุ อยา งทส่ี ติปญญาสามารถวินิจฉันไดแลวนั้น ก็คือสิ่งที่บทบัญญัติไดกําหนดกฎเกณฑลงไวแลว พวกเขามิไดเฉลียวใจฉุกคิดวาการที่พวกเขา ตัดสินบทวิเคราะหใด ๆ ที่ผิดพลาด ก็เนื่องจากการที่พวกเขามีทัศนะเชนนี้ตอตัวของพวกเขาเอง
ฉะนั้น พวกเขาจึงไมอาจท่ีจะยืนหยัดอยูบนหลักฐานทางบทบัญญัติที่แข็งแรงได ท้ังน้ีก็เนื่องจากวา เหตผุ ลดังกลา วเปนหลกั ฐานทางบทบญั ญัตทิ ่อี ยูในระดับท่ีตองนํามาพิจารณาซ่ึงมิใชเปนบทบัญญัติ ท่ีเปนมูลฐานอยางสมบูรณ และแมวาไมเปนเพราะอํานาจของสติปญญาแลวไซร แนนอนที่สุด จะตอ งเกิดมีการยอมรบั หลกั ฐานทแ่ี อบอางขึ้นมาไดอ ยูเ สมอ มิเพียงแตเทาน้ัน หากปราศจากเสียซึ่งสติปญญาแลว บาวท้ังหลายก็ไมอาจเคารพภักดี ตอ อัลลอฮไฺ ด และพวกเขาไมอาจจะรจู ักพระองคเลยแมแ ตส ักคนเดยี ว เหตผุ ลตามถอยคําที่ไดยืนยัน มา ณ ท่ีนี้ เนื้อหาของมันเปนทย่ี อมรบั ของบรรดานกั ปราชญผ ูท รงคุณวฒุ ิทง้ั หลายของเรา 3. สําหรับขออางของทานหญิงมารดาแหงศรัทธาชน อาอีชะฮฺท่ีวาทานนบี (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดถึงแกการวาย ชนมในขณะที่อยูแนบทรวงอกของนางน้ันเปนเร่ืองท่ีถูกคัดคานอยางมากมายโดยรายงานฮาดีษที่ ศอฮ้ีฮฺมีสายสืบสอดคลองตรงกัน จากทางดานของผูสืบเชื้อสายที่บริสุทธิ์ แตขณะเดียวกัน ทานก็ สามารถท่ีจะพิสูจนไดจากหลักฐานรายงานของนักปราชญทางดานอื่น ๆ เชน ตามท่ีทานอิบนุ สะ อัด ไดบันทึกเอาไว(371) โดยมีสายสืบไปถึงทานอาลีวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดกลาวไวใน ขณะท่ียังเจ็บหนักอยูวา “จงเรียกพ่ีนองของฉันมาหาฉันเถิด” ดังนั้นฉัน (อาลี) จึงไดมาหาทาน แลว ทา นไดกลา ววา “จงรับพนั ธะหนี้สินจากฉันดวย” ดังนั้นฉันจึงไดรับพันธะหนี้สินจากทาน และแลว ทานไดสั่งเสียแกฉันโดยมิไดขาดตอน และทานพูดกับฉันจนกระทั่งน้ําลายของทานมากระทบตัว ฉัน” หลงั จากนัน้ ทานอาลกี ็ไดมาอยูก ับทานศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ และความสันตสิ ขุ แดท า นและแดบรรดาลกู หลานของทา น) (371) หนังสือ “ฏอบากอต” ภาคท่ี 2 สวนท่ี 2 หนา 51 ในบาบที่กลาววาทานศาสนทูตได วายชนมขณะท่ีอยูบนตักของทานอาลี เปนฮาดีษ ที่ 1107 หนังสือ “กันซฯ” หนา 55 ภาคที่ 4 ทา นอาบูนะอีม ไดรายงานเร่อื งนไี้ วในหนงั สอื “ฮลุ ยี ะฮ”ฺ ทา นอาบู อะหมฺ ัด อัล-ฟะเราะฮฎ ยี ก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “นัสเคาะฮฺ” และนักปราชญฝายซุนนะฮฺคนอ่ืน ๆ อีกจํานวนไมนอยได บันทึกรายงานฮาดีษของทานอาลีวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ” (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ และความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดสอนวิชาความรูใหแกฉัน (เฉพาะใน วันนน้ั ) ถงึ หนึง่ พนั ประตแู ละทุก ๆ ประตนู น้ั มีประตยู อ ย ๆ อีกหนึง่ พนั ประตู”(372)
ครั้งหนึ่งทานอุมัร บิน ค็อฎฎอบ ไดถูกถามถึงเร่ืองนี้ซ่ึงทานก็มิไดกลาวแตประการใด นอกจากกลาววา “พวกทานจงไปถามอาลเี ถดิ เพราะเขาเปนผูอยใู นเหตุการณน ”้ี มรี ายงานจากทา นญาบรี บิน อัลดลุ ลอฮฺ ไดก ลาววา “ทา นกะอับ อะบาร ไดถามทานอุมัร วา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแด บรรดาลูกหลานของทา น) ไดพ ดู คาํ สุดทา ยไวอ ยางไรบาง ? ทานอุมัรไดตอบวา “จงไปถามอาลีเถิด” ดังนั้นกะอัลจึงไดไปถามทานอาลี ทานอาลีจึงไดกลาววา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรง ประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดเอนกายมาทับ อยูที่ทรวงอกของฉัน ฉันจึงไดชอนศีรษะของทานแนบแกมของฉัน แลวทานกลาววา “นมาซ นมาซ” ทานกะอับไดกลาววา “นี่คือพันธะสุดทายของบรรดานบีพวกเขาถูกบัญชามาโดยสิ่งนี้และ พวกเขาถูกแตงตั้งมาเพื่อส่ิงน้ี” ทานกะอับไดกลาวอีกวา “โอทานอามีรุล มุมีนีน (อุมัร) ใครเปนผู อาบน้ํามยั ยติ ใหแ กท า นนบี ?” ทา นอุมัรไดตอบวา “จงไปถามอาลีเถิด” ดังน้ันเขาจึงไปถามทานอาลี อีก แลวทา นอาลีก็ไดกลา ววา “ฉนั เองฉนั เปนผอู าบนาํ้ มัยยติ ใหแ กทา น”(373) (372) นคี่ ือฮาดีษที่ 6009 จากหนงั สอื “กนั ซ” ในตอนทา ยของหนา 392 ภาคท่ี 4 (373) ทานอบิ นุ สะอดั ไดบันทึกไวในหนังสือ “ฏอบากอต” ภาคท่ี 2 สวนท่ี 2 หนา 51 และ มีผูถามทานอิบนุ อับบาสวา “ทานไดเห็นศาสตทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความ จาํ เริญและความสนั ตสิ ขุ แดทา นและแดบรรดาลูกหลานของทาน) หรือไมวาทานถึงแกการวายชนม โดยที่ศีรษะของทานอยูในตักของผูใด ? ทานอับบาสไดตอบวา “ใชแลว ทานไดถึงแกการวายชนม ในขณะท่ีทานทบั อยูบนทรวงอกของทา นอาลี” มีคนกลาวแกทานอิบนุ อับบาสอีกวา “แทจริงทานอุรวะฮฺไดเลาฮาดีษหน่ึงจากทานหญิงอา อีชะฮฺวา “ทานศาสนทูตไดวายชนมตรงระหวางคางและคอของฉัน” ทานอิบนุ อับบาสไดปฏิเสธ เรือ่ งน้ีโดยกลา วกบั ผถู ามคนนั้นวา “ทานเชื่ออยา งนั้นหรอื ? ดวยพระนามของอัลลอฮฺ ทา นศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ ไดถงึ แกการวายชนมใ นขณะท่ที า นทอดกายไปท่ที รวงอกของทานอาลี และเขาเองคือผู ซง่ึ อาบน้ําใหแ กทา น”(374) ทานอิบนุ สะอัดก็ยังไดรายงานไวอีกฮาดีษหนึ่ง(375) ซึ่งมีสายสืบไปถึงทานอิมามอาบู มุฮัม มัด อาลี บิน ฮุเซน ซัยนุล-อาบิดีนวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญ และความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดวายชนมในขณะที่ศีรษะของทานอยู ทต่ี กั ของทา นอาลี
เร่ืองราวตาง ๆ เหลาน้ีมีบันทึกโดยสายสืบท่ีสอดคลองตรงกันจากทางดานของบรรดาอิ มามผูสืบเช้ือสายท่ีบริสุทธ์ิ ถึงแมวาจะมีผูบิดเบือนรายงานฮาดีษของพวกเขาก็ตาม แตผูบิดเบือน เหลานั้นก็ยังใหก ารยอมรับในเรอ่ื งนี้ แมกระทั่งทานอิบนุสะอัดก็ยังไดร ายงานไวอ ีกบทหนึ่ง(376) โดย สายสืบท่ีมีไปถึงทานชุบียวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดถึงแกการวายชนมในขณะที่ศีรษะของ ทานอยกู ับตักของทานอาลี และทานอาลเี ปน ผูอาบนํา้ มัยยิตใหแ กท าน” หนังสือกันซ หนา 55 ภาคท่ี 4 (374) ทานอิบนุ สะอัด ไดบันทึกไวตามหนาเดิมของหนังสือดังกลาว และน่ีคือฮาดีษท่ี 1108 จากหนังสอื “กันซ” หนา 55 ภาคท่ี 4 (375) หนงั สอื “ฏอบากอต” เลม เดมิ หนา 51 (376) หนงั สอื “ฏอบากอต” หนา เดมิ ทานอามีรุล มุมีนีน (ขอความสันติสุขพึงมีแดทาน) เอง ก็ยังไดกลาวคําปราศรัยเกี่ยวกับ เร่ืองน้ีตอบรรดาสักขีพยานระดับสูง ขอใหทานไดพิจารณาจากคําปราศรัยของทานอาลี (ขอความ สันติสุขพึงมีแดทาน) ที่มีดังตอไปนี้(377) “แนนอนที่สุดเหลาบรรดาผูมีคุณธรรมจากบรรดาสาวก ทง้ั หลายของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ตางก็รูดีวา ขาพเจามิไดหันเหตออัลลอฮฺและมิไดหันเหตอศาสน ทตู ของพระองค (ศ) แมแตชัว่ โมงเดยี ว แนนอนท่ีสดุ ความทุกขข องทา นน้ันตวั ของฉันไดมีสวนรวม นับตั้งแตอ ยใู นบานเมอื งซึ่งความเสอ่ื มเสยี ไดแพรร ะบาดอยดู าษดื่น บรรดารอยเทาทั้งหลายตางก็ได ดําเนินอยูในบานเมืองน้ัน อัลลอฮฺไดทรงใหการอุปถัมภเกื้อกูลตอฉันกับเรื่องนั้น แนนอนท่ีสุด ทานศาสนทูต (ศ) ไดถึงการแกวายชนมโดยท่ีศีรษะของทานอยูกับทรวงอกของฉันอยางแนแท แนนอนที่สุดตัวของทานเอนอยูในอุงมือของฉัน ซ่ึงฉันไดซอนข้ึนมาแนบที่ใบหนาของฉัน แนนอนท่ีสุดฉันเองเปนผูอาบนํ้ามัยยิตใหแกทาน (ศ) โดยที่ปวงมาลาอิกะฮฺไดใหการชวยเหลือตอ ฉนั ขณะน้ันท่ีบานและผูคนในบริเวณตางมีเสียงอึกทึกครึกโครม มีทั้งพวกอยูขางลางและมีทั้งพวก ที่อยูขางบนช้ันสูง หูของฉันมิไดฝาดไปแมแตนิดเดียวท่ีไดยินพวกเขาเหลาน้ันนมาซใหแกทานศา สนทูตจนกระทั่งฉันเปนผูวางทานลงไปในหลุมสุสาน ฉะนั้นผูใดอีกเลาท่ีจะอางสิทธิในตัวของ ทานไดดยี ง่ิ ไปกวา ฉัน ไมวา ในยามที่มชี ีวติ อยหู รือในยามท่ีทา นไดว ายชนมไปแลว ”
ทานอาลียังไดกลาวไวในทํานองน้ีอีกคร้ังหน่ึง(378) ซ่ึงเปนคํากลาวท่ีทานพูดขึ้นเม่ือตอนทํา การฝงทานหญิงฟาฏิมะฮฺ (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) วา “ความสันติสุขพึงมีแดทาน โอทานศาสน ทูตแหงอัลลอฮฺ ซ่ึงการคารวะจากฉัน และจากบุตรีของทานผูท่ีจะลงสูหลุมใกลเคียงกับทาน ดวย การติดตามไปพบกับทานอยางรวดเร็ว โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ความรักท่ีมีตอทานนั้น ความ อดทนของฉนั มีนอยมาก เน่อื งจากการจาํ พรากจากฉัน แนน อนฉันอยใู นความทุกขอันยิ่งใหญเพราะ ตองพรากจากทาน ทานเปนผูอดทนตอส่ิงที่เปนอุปสรรคของทาน ทานเปนผูอยูในฐานะมีเกียรติ แนนอนฉันเปนผูวางทานลงในหลุมสุสานของทาน ตัวของทานไดพาดระหวางตนคอและหนาอก ของฉัน โดยแนนอนย่งิ เราเปนสิทธิของอลั ลอฮฺ และแทจ รงิ เราตองยอนกลับคนื สพู ระองค”.... (377) หนังสือ “นะฮฺุล บะลาเฆาะฮฺ” ภาค 2 หนา 196/551 ภาคที่ 2 อธิบายโดยอิบนุ อาบู ฮะดดี (378) หนังสือ “นะฮิุล บะลาเฆาะอฺ” หนา 207,/590 ภาคที่ 2 ฉบับที่อธิบายโดยอิบนุ อาบู ฮะดดี ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺไดรายงานฮาดีษท่ีศอฮ้ีฮฺอีกบทหนึ่งวา “ขอสาบานตอพระผูซึ่งฉัน ตองสยบตอพระองคว า “แทจ ริงอาลี คือคนทใ่ี กลช ิดย่ิงตอ พันธะตาง ๆ ของทานศาสนทตู แหงอัลลอ ฮฺ (ศ) ในเชาวนั นัน้ พวกเราไดไปหาทานศาสนทูต (ศ) ขณะนั้นทานไดกลาวย้ําอยูแตคําวา “อาลีมานี่ เถิด มาน่ีเถิดอาลี” ทานหญิงฟาฏิมะฮฺไดกลาวข้ึนวา “ทานมีความประสงคที่สั่งเขา (อาลี) ใหทํากิจ ธรุ ะกระน้ันหรือ” แลว ทา นกไ็ ดรายงานตอ ไปอกี วาหลงั จากนน้ั อาลกี ็ไดม า ฉนั จึงคดิ วาเขาคงจะมีกจิ ธุระทส่ี าํ คัญกับทานศาสนทูต ดังนัน้ พวกเราจงึ ออกไปนอกบา นโดยมานัง่ อยูท ่ีประตู” ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺไดกลาวอีกวา “ฉันเปนผูนําพวกเขาออกไปที่ประตู ดังนั้นทาน รอซุลุลลอฮฺ (ศ) ไดเอนกายทับลงบนทานอาลีโดยท่ีทานไดเอนผินขางดานซายของทานทับลงไป หลังจากนั้นทานศาสนทูต (ศ) ก็ไดวายชนมในวันนั้นเอง ดวยประการนี้แหละจึงแสดงไดวาทาน อาลเี ปนคนทใี่ กลช ิดตอทานมากทีส่ ดุ ”(379) (379) ทานฮากิมไดบันทึกฮาดีษบทน้ีไวในหนา 139 ภาคท่ี 3 หนังสือศอฮี้ฮฺมุสตัดร็อก ซึ่ง ทานไดกลาววา “นี่คือฮาดีษท่ีมีสายสืบศอฮ้ีฮฺ (ถูกตอง) แตทานบุคอรี-มุสลิมมิไดบันทึก ทานซะฮะบียก็ไดยอมรับวาเปนฮาดีษศอฮ้ีฮฺ ในหนังสือ “ตัลคีศ” ทานอิบนุ อาบูชัยบะฮฺ ก็ ไดบ นั ทกึ ไวใ นหนังสือสุนนั เปน ฮาดีษท่ี 6096 หนังสอื “กันซ” ตอนทายของหนา 400 ภาค ที่ 6
รายงานจากทานอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺ อีกฮาดีษหน่ึงระบุวา(380) “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวไวเม่ือตอนเจ็บหนักวา” “จงไปเรียกพ่ีนองของฉันมาหาฉันเถิด” และแลวทานอาบูบักรฺ ก็ไดเ ขามาหา ทานจึงเบือนหนาหนีแลวกลาววา “จงไปเรียกพี่นองของฉันมาหาฉันเถิด” ดังนั้นทาน อุสมานจึงไดเขามาอีก แลวทานก็เบือนหนาหนีอีก หลังจากน้ันทานอาลีก็ไดถูกเรียกมาพบทาน ทานจึงไดปูผาของทานลงแลวไดเอนกายลงบนทานอาลี คร้ันเม่ือทานอาลีไดออกมาจากการเขาพบ ทา นศาสนทตู แลวมคี นถามวา “ทา นศาสนทูตไดกลาวอะไรแกท านบาง ?” ทานอาลีตอบวา “ทานศา สนทูตไดสอนวิชาความรูใหแกฉันถึงหน่ึงพันประตู และทุก ๆ ประตูน้ันมีประตูยอย ๆ อีกหน่ึงพัน ประตู” ทานเองก็ทราบดีแลววา ทานศาสนทูตเปนผูซ่ึงมีความเหมาะสมตามสภาพทุกประการของ อัมบียาอฺ สวนการรายงานท่ีบอกเลาอีกอยางน้ัน มันเปนเรื่องท่ีเหมาะสมสําหรับผูท่ีหมกมุนอยูกับ สตรี และถาหากวาคนเล้ยี งแกะคนหนง่ึ ไดต ายลงโดยทีว่ างศีรษะตรงบริเวณทรวงอกหรือตนคอของ ภรรยาของเขากด็ ี หรือระหวางซอกแกมกับคางหรือบนขาของภรรยาก็ดี โดยที่มิผูกพันอยูกับหนาท่ี การดูแลรักษาแกะของตนแลวไซร แนนอนที่สุดเขาก็จะเปนเสมือนเชนผูสุรุยสุรายท่ีไมเล็งเห็นถึง เหตุการณในอนาคต ขออัลลอฮฺไดทรงอภัยแกทานหญิงมารดาแหงศรัทธาชนท่ีไดทําการบิดเบือน เร่ืองอันมีเกียรติของทานอาลีในคร้ังน้ีแลวยังเทิดไปใหแกบิดาของทานเองทั้ง ๆ ท่ีส่ิงน้ัน ๆ เปน เกียรติอันสําคัญจากทานนบี สวนบิดาของทานเองความจริงแลวในวันน้ันทานเปนผูหนึ่งท่ีทานศา สนทูตมอบหมายหนาท่ีใหอยูประจําในกองทหารของทานแมทัพอุสามะฮฺและทุกครั้งท่ีมีการพูดถึง วา ทานศาสนทูตไดว ายชนมใ นขณะทอี่ ยูในตักของทา นหญิงก็ไมมีหลักฐานอื่น ๆ อีกเลยนอกจากมี หลักฐานของทานหญิงผูเดียวเทานั้น แตสําหรับคํากลาวที่วา ทานศาสนทูตไดวายชนมในขณะท่ีอยู บนตักของทานอาลีน้ันมีสายสืบจากหลายฝาย เชน จากทานอาลีเองบาง จากทานอิบนุ อับบาสบาง จากทานหญิงอุมมะสะละมะฮฺบาง จากทานอับดุลลอฮฺ บิน อัมรฺว ชุบียฺบาง และจากทานอาลี บิน ฮุ เซนบาง ทั้งน้ียังเปนรายงานที่มาจากบรรดาอิมามแหงอะหฺลุลบัยตฺท้ังหมดอีกดวย จะเห็นไดวา คํายืนยันในขอ น้มี ลี ักษณะทีส่ อดคลอ งและเหมาะสมสาํ หรบั ฐานภาพแหงศาสนทตู ของอัลลอฮฺ (ศ) (380) ทา นอาบู ยะอล า ไดร ายงานจากบันทึกของทาน กามิล บิน ฏ็อลฮะฮฺ ซึ่งบันทึกมาจาก ทานอบิ นุ ลุฮยั อะฮฺซ่งึ ไดรับรายงานมาจากทา นฮยั น บนิ อับดลุ มะฆอฟร ยี ซึง่ ไดรบั รายงาน มาจากอาบู อัลดุรเราะมาน อลั -ฮับลีย ซึ่งไดม าจากบันทึกของทานอับดุลลอฮฺ บิน อุมัร และ ทา นอาบู นะอมี ไดบ นั ทึกไวในหนงั สือ “ฮุลลยี ะฮ”ฺ ทา นอาบู อะหฺมัด อัล-ฟรฎยี ก็ไดบันทึก
ไวในหนังสือ “นะซะเคาะฮฺ” หนา 392 ภาคท่ี 6 ทานฎ็อบรอนีย ก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “อัล-กาบีร” วา ในตอนท่ีทําสงครามฏออิฟนั้น ทานนบีไดยืนข้ึนสนทนากับทานอาลี หลังจากน้ันทานอาบูบักรฺก็ไดกลาวแกทานวา “โอทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ แนนอนท่ีสุด ทานสนทนาลับกบั ทานอาลนี านเหลอื เกนิ ” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “ฉันมิไดสนทนา กับเขาโดยพละการดอก หากแตอัลลอฮฺ ทรงประสงคที่จะใหฉันสนทนากับเขา” ฮาดีษบท น้ีเปนฮาดีษหมายเลข 6075 หนังสือ “กันซ” ภาคท่ี 6 หนา 399 และยังมีรายงานอีกมากมาย ที่ระบุถึงเร่ืองที่ทานอาลีไดสนทนากันกับทานศาสนทูตในครั้งหน่ึง ซ่ึงทานหญิงอาอีชะฮฺ ไดเขามาพบคนทั้งสองในขณะที่ท้ังสองกําลังสนทนา ทานหญิงอาอีชะฮฺไดกลาววา “โอ อาลีใน 9 วันน้ันมีวันของฉันเพียงวันเดียว ทําไมทานจึงมาขัดขวางเวลาของฉันเลา โอบุตร ของอาบีฏอลิบ ?” ดังน้ันทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺจึงไดผินหนาไปหาทานหญิงดวยอาการ โกรธจนหนาแดง (อัล-ฮาดีษ) โปรดพิจารณาในตอนแรกของหนาท่ี 78 ภาคท่ี 2 หนังสือ “นะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ” ท่อี รรถาธบิ ายโดยทานฮุมัยดีย 4. อยางไรก็ดีการคัดคานใด ๆ ท่ีมีตอฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺยังไมมีนํ้าหนักมากไป กวารายงานฮาดีษของทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺบทเดียว เพราะวาฮาดีษท่ีรายงานโดยทานหญิงอุม มุสะละมะฮฺนั้น อยูในระดับที่นาเชื่อถือไดดีย่ิงกวา แนนอนรายละเอียดตาง ๆ สําหรับเร่ืองน้ียังมีอีก มาก ซง่ึ เรายงั มไิ ดก ลาวถึง วสั ลาม (ช)
อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 77 20 ศอฟร 1330 • ขอใหอธิบายถึงสาเหตุที่ใหการยอมรับตอฮาดีษของทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺท่ีรายงานคัดคาน กบั ฮาดษี ของทานหญิงอาอชี ะฮฺ ขออัลลอฮไฺ ดประทานความสันติมายงั ทาน ทา นยังมไิ ดเ สนอเหตุผลแหง การยอมรบั ฮาดษี ท่ี รายงานโดยทานหญิงอุมมสุ ะละมะฮทฺ ่คี ดั คานตอ ฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺ (อัลลอฮฺทรงมีความป ติช่ืนชมตอทานหญิงทั้งสอง) ตามที่ทานไดกลาวไวในบทกอนเลย เพียงแตทานอางวาไมสามารถ กลาวถึงเรื่องน้ีใหหมดทุกบทตอนได เนื่องจากมันมากจนเกินกวาที่ทานจะบันทึกมาไดทั้งหมด ขออลั ลอฮฺไดทรงประทานความเมตตามายังทานในกรณีท่ีทานไดพยายามแมวามันจะมากเพียงใดก็ ตาม และจะไมก อใหเกิดผลรายสิ่งหน่ึงส่ิงใดจากเร่ืองน้ี เพราะวาหลักการดังกลาวนี้ เปนขอมูลที่ให ความเขาใจอยา งถอ งแทแ ละมปี ระโยชนอ ยา งยิ่ง วัสลาม (ซ) อลั -มุรอญิอะฮฺ 78 22 ศอฟร 1330 • สาเหตุที่ฮาดีษของทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺท่ีคัดคานฮาดีษทานหญิงอาอีชะฮฺไดเปนที่ยอมรับ วานา เชอ่ื ถอื กวา แทจริงทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺน้ัน อัล-กุรอานอันทรงเกียรติมิเคยไดตําหนิติเตียนจิตใจ ของทานเลย และทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยไดถูกสั่งใหทําการขออภัยโทษ (เตาบะฮฺ) เนื่องจาก กระทําความผิด อยา งเชนที่มกี ารเตอื นเกย่ี วกับเร่อื งน้ไี วในพระมหาคัมภีรอันมีวิทยาปญญา(381)
อัล-กุรอานมิเคยไดมีโองการตอนใดที่เปดเผยเรื่องราวที่นาตําหนิที่ทานหญิงมีตอทานนบี และทานหญงิ อุมมสุ ะละมะฮฺไมเคยไดค ดั คา นในเร่ืองของอลั -วะศยี (การแตงต้ังทายาท)(382) (381) โองการของอัลลอฮฺในซูเราะฮฺอัตตะฮฺรีม : 4 กลาวถึงเร่ืองน้ีวา “หากเธอทั้งสอง (ผูเปนภรรยา ของศาสดา) ทําการสารภาพผิดตออัลลอฮฺ (แนนอนเธอท้ังสองก็จะไดรับการใหอภัยจากพระองค) เพราะหวั ใจของพวกเธอทง้ั สองนนั้ ไดโ นม เอยี งไปแลว (382) ทานหญิงเปนผูยนื หยดั ในเร่อื งสิทธิการเปนทายาทของทานอาลีตลอดช่ัวชีวิต สําหรับในกรณี ที่มีภรรยาบางคนสรางความทุกขใหแกนบี จนอัลลอฮฺไดทรงประทานความอนุเคราะหแกทานนบี ดังท่ีอัลลอฮฺไดทรงมีโองการวา “ถึงแมนางเหลาน้ันจะสรางความคับแคนใหแกเขา (ศาสดา) ก็ตาม แตอัลลอฮฺทรงเปนผูคุมครองท่ีใกลชิดของเขา รวมทั้งญิบรีลและบรรดาศรัทธาชนผูมีคุณธรรมและ บรรดามะละอิกะฮทฺ ้งั หลาย หลงั จากเกิดเหตกุ ารณเ ชน น้นั ” (66:4) อัลลอฮฺและญิบรีลตลอดจนถึงบรรดาผูศรัทธาท่ีมีคุณธรรมและมะลาอิกะฮฺไมเคยไดชวย อนุเคราะหปรองดองระหวางนบีของพระองคกับทานหญิงอุมมะสะละมะฮฺ เพราะมีเร่ืองหมองใจ กัน ทานหญิงมิเคยไดถูกสัญญาจากอัลลอฮฺถึงเรื่องจะตองหยารางกับนบี พระองคมิเคยตําหนิอีกทั้ง มิเคยเปลี่ยนคณุ ธรรมจากทานหญิงแมแตน อ ย(383) อัลลอฮฺมิเคยอุปมาเปรียบเทียบทานหญิงอุมมะสะละมะฮฺไวเหมือนอยางภรรยาของนบีนูหฺ และภรรยาของนบีลตู (384) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยเปนเหมือนเชนกับคนที่ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) หาม ตนเองมิใหหลับนอนดว ย ทง้ั ๆ ท่สี งิ่ น้ันอัลลอฮไฺ ดทรงอนุมตั ิใหแ กท า น(385) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิไดเปนเหมือนกับคนท่ีทานนบี (ศ) ไดช้ีไวในวันหนึ่งในตอนท่ี ทานกลาวคําปราศรัยบนมิมบัรวา “นางคนนี้เปนผูมีมลทิน นางคนน้ีเปนผูมีมลทิน นางคนน้ีเปนผูมี มลทิน(386) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮิมิเคยไดเผยแพรมารยาทของทานวาทานไดยืดเทาไปทางกิบลัต ของทานนบี (ศ) ในขณะท่ีทา นกาํ ลังนมาซอยู เพราะทานหญิงใหเกียรตแิ กทานนบแี ละแกการนมาซ ของทาน ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺก็มิเคยยกเทาของนางออกจากสถานท่ีสุูดของทานนบีเพราะถูก ทานนบีสะกิด ทั้งนี้เน่ืองจากทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยยืดเทาของตนไปวางที่ที่สุูดของทานน บ(ี 387)
(383) ขอความตอนน้ีมีหลักฐานอยูในโองการของอัลลอฮฺผูทรงสูงสุดที่วา “หวังวาบางที พระผูอภิบาลของเขา (ศาสดา) จะใหเขาหยารางพวกนางเพื่อพระองคจะทรงเปล่ียนภรรยา ทด่ี กี วานางใหแ กเ ขา ซึง่ เปน หญงิ ผนู อบนอม หญงิ ผมู คี วามศรัทธา” (66 : 5) (384) อัลลอฮฺไดทรงมีโองการช้ีแจงไววา “อัลลอฮฺไดทรงอุปมาตัวอยางของภรรยานบีนหฺ และภรรยาของนบีลูดไวส ําหรับบรรดาผูซงึ่ ปฏเิ สธ” (66 : 10) (385) อัลลอฮฺไดทรงมีโองการชี้แจงในเรื่องน้ีไววา “โอนบีเอย ทําไมเจาจึงงดเวนในสิ่ง ท่ีอัลลอฮฺไดทรงอนุมัติใหแกเจา เพื่อใหเจาแสวงหาความพึงพอใจจากภรรยาของเจา” (66 : 1) (386) ทานบุคอรีไดรายงานเรื่องน้ีไวในบาบที่วาดวย “เรื่องของความเปนอยูในบานของ ภรรยาทานนบี” จากกิตาบ “อัล-ญิฮาด” หนังสือศอฮี้ฮฺของทาน หนา 125 ภาคที่ 2 บาบท่ีวา ดวย “ฟรฎของเงินคุมส” ประโยคฮาดีษเดียวกันน้ียังมีบันทึกอยูในหนังสือศอฮ้ีฮฺมุสลิมวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดออกจากบานของทานหญิงอาอีชะฮฺแลวกลาววา “หวั หนาของผูป ฏเิ สธอยตู รงน้ี โปรดดหู นา 503 ภาคท่ี 2 ทานหญิงอุมมุสสะละมะฮฺมิเคยสรางความเจ็บชํ้านํ้าใจใหแกทานอุสมานและมิเคยหย่ิง ยะโสตอเขา และมเิ คยกรรโชกตอทานอสุ มานวา เปน “นะอฺษะลนั ” และทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺก็มิ เคยกลาววา “พวกทานจงสงั หาร “นะอษฺ ะลัน” เสียเถิด เพราะเขาเปน กาฟร”(388) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยนํากองทัพทหารโดยนั่งบนอูฐผานตําบล “อัสกัรฺ” เพ่ือสู สมรภูมิอยางผูหยิ่งยะโส จนกระท่ังสุนัขพากันเหานาง(389) ซึ่งเรื่องน้ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดเ คยตักเตือนสาํ ทับทา นมาแลว(390) (387) ดูศอฮฮี้ บฺ คุ อรี ภาคที่ 1 บาปที่วาดวยสิง่ ทีอ่ นญุ าตใหก ระทาํ ในเวลานมาซ หนา 143 (388) ทานหญิงอาอชี ะฮเฺ ปนผูสรางความเจ็บชํ้านํ้าใจใหแกทานอุสมาน ซ่ึงนางมีความแคน เคืองเปนอยางยิ่งตอพฤติกรรมาของทานอุสมาน ถึงกับสมญานามใหทานอุสมาน วา “นะอฺษะลัน” แลว กลา ววา “พวกทานจงสงั หารนะอษฺ ะลันเสียเถิด เพราะเขาคือกาฟร” เรื่อง น้ีมีปรากฏอยูในหนังสือ “ตารีค” ของทานอิบนุ ญารีรและอิบนุ อัล-อะษีร ไดบันทึกไวใน หนา 80 ภาคที่ 3 ของหนังสือ “กามิล” ซ่ึงทานอิบนุ อัลอะษีรไดกลาวถึงเรื่องตนเหตุแหง การทําสงครามอูฐ โดยอางบทกวีของจากเหตุการณนั้นประกอบวา “ทานเปนผูกอเรื่อง
ทานเปนผูอิจฉา ทานเปนผูปลอยขาว ทานเปนผูสรางเหตุการณ ทานสั่งเราใหฆาหัวหนา และทา นบอกเราวา เขาคอื กาฟร ” (389) เมื่อคร้ังทําสงคราม “ญะมัล” ทานหญิงอาอีชะฮฺ ไดนําทัพไปถึงตําบล “อัสกัรฺ” โดยมี ยะอฺลา บิน อุมัยยะฮฺ ผูมีนิสัยหยาบกระดางรวมกองทัพไปดวย คร้ันเมื่อทานหญิงไดเห็น เชนน้ัน (สุนัขเหาหอน) ทานก็ตกใจมาก ย่ิงเม่ือทานรูวาตําบลน้ีช่ือ “อัสกัรฺ” ทานจะถอย กลับโดยกลาววา “ถอยกลับเถิด ฉันไมตองการจะไปสูที่นั่นอีกแลว” เพราะวาทานนึกถึง เรื่องท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ เคยบอกทานไวเก่ียวช่ือของสถานท่ีแหงนั้น และเคยหาม ทานวามิใหข่ีพาหนะผานไปดวย แตพวกทหารเสแสรงบอกเปลี่ยนชื่อตําบลเสีย โดยบอก ทา นวา “ชอื่ ตําบลนีห้ มายถงึ เกยี รติยศและพลังอนั ย่งิ ใหญของทานเอง” ดังนัน้ ทานหญิงอาอี ชะฮฺจึงมีความพึงพอใจ เร่ืองนี้ไดถูกบันทึกโดยนักปราชญกลุมหนึ่ง โปรดดูหนา 80 ภาคท่ี 2 “ชะรอฮฺนะฮฺลู -บะลาเฆาะฮฺ” โดยทาน “อัล-ลามะฮฺ มุอตฺ ะซิละฮ”ฺ ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยออกนอกบานของทานโดยพละการ ซ่ึงเปนเหตุใหอัลลอฮฺผู ทรงเดชานุภาพสูงสดุ ตองส่ังใหนางอยูกบั เหยาเฝา กบั เรอื น(391) ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺมิเคยละเมิดและมิเคยจัดกองทัพเพ่ือเผชิญหนากันกับทานอิมาม อาลี แลวกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดวายชนมตรงระหวางแกมและคางของฉัน” แตกลับ สนองกับคํากลาวท่ีทานหญิงอาอีชะฮฺไดเคยเลาวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดดูชาวซูดานละ เลนการบันเทงิ ในมัสญิด ซึง่ ทา นไดก ลา วแกนางวา “เธอชอบท่ีจะดูพวกนี้หรือ ?” ทานหญิงกลาววา “ใชแลว ” แลวทา นหญิงไดก ลาวอีกวา ทานศาสนทูตไดใหฉันยืนพิงหลังของทานและแกมของฉันก็ ทับกับแกมของทาน แลวทานศาสนทูตไดกลาววา “เชิญเถิดชาวบะนีอัรฟะดะฮฺ (ทานย้ําใหพวกเขา ละเลนเพ่ือเปนความสนุกของทานหญิง) จนทานหญิงไดกลาววา เมื่อฉันไดชมอยางเต็มที่แลว ทานศาสนทูตก็ไดกลาววา “พอแลวหรือ ?” ฉันตอบวา “จะ” ทานศาสนทูตจึงไดกลาววา “ถา เชนนน้ั ก็จงไปกันเถิด”(392) นอกจากน้ีรายงานเชนนี้ยังสอดคลองกับคํากลาวของทานหญิงไดเขามาหาฉัน ซึ่งใน ขณะน้ันฉันอยูกับหญิงอีกสองคนรองเพลงรื่นเริงกัน โดยที่ทานศาสนทูตนอนบนพรม ตอมาทาน อาบูบักรฺไดเขามา เขาจึงตะคอกฉันในเร่ืองนี้แลว กลาววา “ชัยฎอนจะเขามายุแหยทานศาสนทูต แหงอัลลอฮ”ฺ ทา นหญิงไดกลาววา “กท็ านศาสนทตู แหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดรับทราบเรื่องนี้แลวไง” ทาน อาบบู ักรจฺ ึงไดกลา ววา “ฉะนั้นก็ปลอยเขาทง้ั สองไปเถิด”(393)
(390) เร่ืองนี้เปนท่ีรูกันมาจากฮาดีษบทหนึ่งของทานนบี ซึ่งทานอิมามอะหฺมัด ฮันบัล ได กลาวสรุปไวเมื่ออางรายงานฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺในหนังสือ “มุสนัด” ของทาน หนา 52 และหนา 97 ภาคท่ี 6 ทานฮากิมก็ไดกลาวถึงเร่ืองน้ีไวเชนเดียวกันในหนังสือ “มุส ตัดร็อก” ภาคท่ี 3 หนา 120 ทานซะฮะบียก็ไดยอมรับเร่ืองนี้โดยบันทึกไวในหนังสือ “ตัลคศี ” (391) เร่ืองนี้อัลลอฮฺไดทรงมีโองการวา “และจงใหพวกนางอยูในเหยาเรือนของนางและ นางอยาไดอวดโฉมเหมือนท่ีผงู มงายสมัยกอน เขาไดอ วดโฉม” (33 : 33) (392) นคี่ ือฮาดษี ซ่งึ ยนื ยันมาจากทานหญงิ อาอชี ะฮฺ รายงานไวโ ดยบุคอรีและมุสลิม โปรดดู หนังสือศอฮ้ีฮฺบุคอรีไดในตอนแรกของกิตาบ “อีดัยน” หนา 116 ภาคที่ 1 หนังสือศอฮ้ีฮฺ มุสลิม บาบท่ีวาดวย “การอนุญาตใหละเลนส่ิงท่ีไมเปนบาปในวันอีด” หนา 327 ภาคที่ 1 หนงั สอื “มุสนดั อะหฺมัด” ภาคที่ 6 หนา 57 รายงานฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺยังมีตอไปอีกวา ทานนบีไดผละหนีจากฉันซ่ึงฉันก็ได ผละหนีจากทาน เราไดรงั้ รอตอทา นจนกระทั่งฉนั เปนทกุ ข จนทา นนบีไดกลาววา “นี่เปนบทเรียนท่ี เด็ดขาดสําหรับเธอ”(394) ทานหญิงอาอีชะฮฺยังไดกลาวอีกวา(395) “ฉันไดเลนกับหมูผูหญิงอยู แลว ทานศาสนทูตกไ็ ดเ ขา มาเปน เพ่อื นเลนกบั ฉนั ซ่ึงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดเขามาเลนรวมกับพวก ผหู ญงิ เหลานั้นกับฉัน” (อลั -ฮาดษี ) ทา นหญิงอาอชี ะฮฺยงั ไดกลาวอีกวา (396)“ฉนั ไดร บั ความโปรดปรานเจ็ดอยางจากอัลลอฮฺ โดย ทมี่ ิเคยมผี ูใดในหมมู นุษยจะไดรับมากอ นนอกจากมัรยมั บินต อมิ รอน นัน่ คอื มะลาอิกะฮฺไดเ สดจ็ ลง มาโดยอาศัยรูปกายของฉัน ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดแตงงานกับฉันในขณะท่ีฉันเปนสาว ซึ่ง ทานมิไดมีผูรวมภาคีคนใดเลยในหมูมนุษย การลงมาของวะฮฺยูไดมีข้ึนในขณะที่ฉันและทานศาสน ทูตอยูในผาหมผืนเดียวกัน ฉันเปนสตรีที่รักย่ิงของทานในขณะที่โองการจาก อัล-กุรอาน ไดถูก ประทานลงมาเพ่ือย้ําตอบรรดาประชาชาติถึงภัยพิบัติที่มีอยูในหมูสตรี ฉันไดเคยเห็นญิบรออีลใน ขณะที่สตรีคนอื่นนอกเหนือจากฉันมิเคยไดเห็นพระองคเลยแมแตคนเดียว ทานศาสนทูตไดวาย ชนมใ นบา นของฉันในขณะทไ่ี มม ีบุคคลอน่ื แมแ ตค นเดียวนอกจากฉนั และมะลาอิกะฮฺ”(397) (393) ทา นบคุ อรี ทานมสุ ลิมและทา นอมิ ามอะหมฺ ัดไดบันทึกเรื่องนี้จากฮาดีษท่ีรายงานโดย ทานหญิงอาอีชะฮฺ ดงั มรี ายละเอยี ดตามทเี่ ราไดชี้แจงน้ีไวในหนังสือตาง ๆ ของทานดังที่ได กลาวถงึ มาแลวขางตน.
(394) ทานอิมามอะหฺมัดไดบันทึกฮาดีษบทน้ีจากรายงานฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺ ซึ่งมี ปรากฏอยใู นหนังสอื มุสนัด ภาคท่ี 6 หนา 39 (395) เรื่องน้ีทานอิมามอะหฺมัด ไดบันทึกมาจากรายงานของฮาดีษของทานหญิงอาอีชะฮฺ ซงึ่ มปี รากฏอยใู นหนงั สอื มุสนัด ภาคที่ 6 หนา 75 (396) ทานอิบนุอาบูชัยบะฮฺไดบันทึกฮาดีษบทนี้ และเปนฮาดีษท่ี 1017 จากหนังสือฮาดีษ กนั ซุลอมุ าน ภาคที่ 7 ยังมีเรอื่ งราวทีไ่ ดร ายงานไวในทํานองน้ีอีกมากมาย แตสําหรับทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺนั้น ทานเปนผูท่ียึดมั่นตอตําแหนงของผูปกครองที่มี อาํ นาจเหนือตัวของนางซึ่งเปนทายาทแหงนบีของนาง และทานหญิงอุมมะสะละมะฮฺเปนผูมีทัศนะ ที่ประเสริฐมีอุดมคติที่เปนธรรม เปนสตรีผูท่ีมีสติปญญาเฉลียวฉลาด เปนผูมั่นคงอยางเหนียวแนน ตอหลักการศาสนา โดยที่ทานนบี (ศ) ไดช้ีแจงถึงเรื่องราวท่ีเก่ียวกับนางไวในเหตุการณแหง สงคราม ฮุตัยบียะฮฺ โดยแสดงใหเห็นวาทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺเปนผูเพียบพรอมบริบูรณดวย สติปญญา และความคิดอารนที่ชอบธรรม อีกท้ังไดแสดงใหเห็นวา ทานหญิงเปนผูที่มีจุดยืนและ อุดมการณอันสูงสง ขอความเมตตาปรานี และความศิริมงคลแหงอัลลอฮฺจงไดประสบแกนางดวย เถดิ วสั ลาม (ช) (397) มีรายงานท่ีสอดคลองตรงกันวา ทานศาสนทูต (ศ) ไดเ สียชีวิต ในขณะที่ทานอาลีเปน ผเู ฝา ดแู ลอยูอ ยางใกลชิดสําหรับการเสียชีวิตของทาน ฉะน้ันการท่ีทานหญิงอาอีชะฮฺอางวา ทานศาสนทูตไดวายชนมโดยที่ไมมีคนใดไดเห็นทาน นอกจากทานหญิงคนเดียวและมะ ลาอิกะฮฺ จะเปนขออางท่ีถูกตองไดอยางไรกัน แลวขณะน้ันทานอาลี ทานอับบาส ทาน หญิงฟาฏิมะฮฺ และทานหญงิ ซอฟยะฮฺ เขาไปไหนกันเสียหมด ? แลวบรรดาภรรยาท้ังหลาย ของทานนบี ตลอดจนถึงชาว บนีฮาชิม เขาไปไหนกันเสียหมด ทําไมเขาเหลาน้ันจึงพากัน ละท้ิงมัยยิตของทานศาสนทูตไวใหแกทานหญิงอาอีชะฮฺเพียงคนเดียว... สําหรับทาน หญิงมัรยัม (ความสันติสุขพึงมีแดทาน) นั้นมิเคยไดรับพรเจ็ดประการตามที่ทานหญิงอาอี ชะฮฺมารดาแหงศรัทธาชนไดกลาวถึงไว อะไรคือเปาหมายในการท่ีทานหญิงไดสดุดีตัว ของทา นเองเชนนี้?
อัล-มรุ อญิอะฮฺ 79 23 ศอฟร 1330 • กลุมนักปราชญทั้งหมดยืนยันถึงความถูกตองสําหรับตําแหนงการเปนคอลีฟะฮฺของทานอาบู บักรฺ ถาหากรายละเอียดตามที่ไดกลาวมาแลวทุกสิ่งทุกอยางไมวาในดานที่เปนเร่ืองของพันธะ สัญญาและเรื่องของการแตงตั้งทายาทแหงทานศาสนทูตเปนความถูกตองที่สมบูรณจริง โดยมี หลักฐานรายละเอียดสามารถพิสูจนไดแลว ไฉนกลุมบรรดาประชาชาติมุสลิมท้ังหลายในสมัยน้ัน จึงไดใ หสตั ยาบันตอทานอาบูบกั รฺ (อัศศดิ ดีก) โดยทคี่ ํากลา วของทา นศาสนทูต (ศ) ซึ่งเปนมาตรการ เดด็ ขาดไดระบุอยแู ลววา “การลงมติของประชาชาตขิ องฉันน้ันไมตงั้ อยบู นความผิด” และคํากลาวของทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดมี อีกวา “พวกเขาจะไมล งมติท่อี ยูกบั ความหลง” ฉะนั้นทา นจะแถลงชี้แจงในเรื่องนอ้ี ยา งไรบาง ? วสั ลาม (ซ) อัล-มรุ อญิอะฮฺ 80 24 ศอฟร 1330 • ตําแหนงการเปนคอลฟี ะฮขฺ องอาบบู กั รมฺ ไิ ดเปนมตเิ อกฉนั ท เรามีความเห็นวา ความหมายของคํากลาวท่ีทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “ประชาชาติของ ฉันไมมีการลงมติที่ต้ังอยูบนความผิดพลาด” นั้นหมายถึงเพียงแตวา ทานศาสนทูตไดปฏิเสธวา ความผิดจะไมเกิดข้ึนจากกิจการหน่ึงกิจการใดที่บรรดาประชาชาติไดรวมปรึกษาหารือกัน โดยที่
พวกเขาไดยึดมั่นอยางจริงจังเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งพวกเขามีความคิดเห็นท่ี สอดคลองตรงกนั เรื่องนี้กห็ มายความวา เปน เงือ่ นไขที่จะตองข้ึนอยูกับแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) น้ันเอง มใิ ชส ่ิงอืน่ แตสําหรับกิจการท่ีบุคคลหน่ึงบุคคลใดจากหมูประชาชาติไดแสดงความคิดเห็นของตน ออกมานั้น เขาจะตองถูกควบคุมโดยหลักการของทานศาสนทูต (ศ) ฉะน้ันการที่มีกลุมบุคคลเสนอ หลกั การใด ๆ ใหแกพวกเขาเหลาน้ันซึ่งเปนหลักการท่ีมีขอตําหนิก็ถือไดวาหลักการนั้น ๆ มิใชเปน หลักฐานท่ีช้ีถึงความถูกตอง การใหสัตยาบันที่สะกีฟะฮฺนั้นมิไดเปนไปตามมติจากที่ประชุมของ บรรดาสาวกสวนใหญแตอยางใดเลย หากแตเปนการประกาศโดยทานคอลีฟะฮฺคนที่สองและอาบู อุบัยดะฮฺ ตลอดถึงบุคคลที่เปนพรรคพวกของคนท้ังสองเทาน้ัน ซ่ึงตอมาบรรดาประชาชนทั้งหลาย ตางก็ไดรับรองมติอันน้ัน และไดชวยกันใหพวกเขาไดบรรลุถึงวัตถุประสงคตามที่พวกเขามีความ ปรารถนา แมแตทานอาบูบักรฺเองก็ยังไดอธิบายวา แทจริงการใหสัตยาบันแกทานในวันนั้นมิได เปน ไปตามมตขิ องการประชมุ ทีป่ รกึ ษาหารอื กันและมไิ ดเ ปนไปตามการเสนอความคิดเห็น ซึ่งเรื่อง นี้ทา นอาบบู ักรเฺ คยไดกลา วคําปราศรยั ตอ หนาประชาชนในตอนแรกของการเขา รับตําแหนงการเปน คอลฟี ะฮฺของทา นวา “แทจริงการใหสัตยาบันแกฉันนั้น เปนไปโดยบังเอิญ ขออัลลอฮฺไดทรงปกปองฉันใหพน จากความชว่ั รา ยของมนั ดว ยเถิด และฉนั กลวั ความมวั หมอง (ฟต นะฮฺ) ทีจ่ ะเกดิ ขึ้น(398) ทา นอมุ ัรเองก็ยังไดย ืนยนั ถึงเร่ืองน้ีไวตอหนากลุมบุคคลระดับหัวหนาเผาตาง ๆ ที่เปนสักขี พยาน ในการกลาวคําปราศรัยครั้งหนึ่งซ่ึงทานไดกลาวบนมิมบัรของทานนบีในมัสญิดมะดีนะฮฺ เมื่อวันศุกรหนึ่งในชวงปลายสมัยการดํารงตําแหนงเปนเคาะลีฟะฮฺของทาน ซ่ึงเรื่องนี้ไดมีการ บนั ทกึ ไวในตาํ ราตาง ๆ ที่สําคัญทกุ เลม เชนทา นบคุ อรีซงึ่ ไดบันทึกไวในหนังสือศอฮ้ีฮฺของทา น(399) ขอใหทานไดใชความสังเกตตอตัวบทตามประโยคที่ทานไดบันทึกไววา ทานอุมัรไดกลาว วา “ในหมูพวกทานมีคนพูดเร่ืองน้ันจนมีขาวมาถึงฉันวา(400) ขอสาบานดวยพระนามของอัลลอฮฺ ถา หากอุมัรถึงแกความตายลงแลวเขาจะใหสัตยาบันแกชายคนหน่ึงใหรับตําแหนงแทน เขาอยาได เปลี่ยนแปลงคําส่ังโดยเด็ดขาดในอันท่ีจะกลาววา ความจริงแลวการรับรองใหสัตยาบันแกอบูบักรฺ เปนเรื่องบังเอิญเทานั้น” จงรูไวเถิดวา เรื่องน้ีมันไดมีอันเปนไปเชนน้ัน แตทวาอัลลอฮฺทรงปกปอง ความชว่ั รายของมนั ”
(398) เร่ืองน้ีทานอาบูบักรฺ อะหฺมัด บิน อับดุลอะซีซ อัล-เญาฮะรียฺ ไดบันทึกไวในหนังสือ สะกีฟะฮฺ และทานอิบนุ อาบู อัล-ฮะดีดก็ไดอางไวในหนังสือ นะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ หนา 132 ภาคที่ 1 (399) โปรดดูภาคที่ 4 หนา 119 หมวดวาดว ย “รอ็ จมุล-หับลา มินซั ซินาฯ” และนอกจากนี้ก็ ยังมีบันทึกอยูในตําราของนักปราชญฝายซุนนะฮฺอีกหลายทาน เชน อิบนุญะรีร ฏ็อบรีระบุ ใน “เร่ืองราวของปท่ี 11” หนังสือ “ตารีค” และทานอิบนุฮะดีด ก็อางไวในหนา 122 หนงั สือชะเราฮฺนะฮฺุลฯ เลม 1 เปนตน แลวทานยังไดกลาวอีกวา “ผูใดท่ีใหสัตยาบันแกชายคนหนึ่ง โดยปราศจากมติของที่ ประชุมก็ไมถือวาเปน การใหสัตยาบัน และยงั ไมมผี ซู ึ่งรับสตั ยาบนั น้นั มันเปนการลอแหลมที่เขาท้ัง สองจะถูกฆา ”* (400) ทานอิบนุ ซุบัยรฺเปนผูที่ไดกลาววา “ดวยพระนามของอัลลอฮฺ หากอุมัรตายลง เราจะ ใหสัตยาบันแกอาลี เพราะวาการใหสัตยาบันตามแบบของอาบูบักรฺนั้นเปนเรื่องที่เกิดข้ึน โดยบังเอิญกอนหนาที่เขาจะตาย” ปรากฏวาทานอุมัรโกรธคําพูดน้ีเปนอยางยิ่ง และได กลา วคาํ ปราศรัยตอนนีข้ ึ้น เร่ืองน้ีมีรายละเอียดมากใน “ชะเราะหฺ บุคอรี” โปรดดูคําอธิบาย เร่ืองนี้ใน “ฉบับอธิบายโดย ก็อสฎ็อลลานี” หนา 352 ภาคท่ี 11 ทานจะพบวา เขาไดอาง เรื่องนมี้ าจากทาน บะลาซริ ี โดยมีสายสืบถูกตองตามมาตรฐานของทา นบคุ อร-ี มุสลมิ * ทานอิบนุ อะษีร ไดอธิบายเร่ืองนี้ในหนังสือ “นิฮายะฮฺ” โดยอธิบายวา “ตะฆ็อรเราะฮฺ” (ลอแหลม) ซ่ึงมีรากศัพทจาก “ฆ็อรรอเราะฮฺ” (เส่ียงภัยอันตราย) ทานจะพบศัพทน้ีใน หมวด “ฆอรอ็ ร” เดมิ สืบรากศพั ทมาจาก “ตัฆรรี ” เชนเดียวกับหมวดของคําวา “ตะอัลละฮฺ” ที่มาจากรากศัพทของ “ตะอฺลีล” ในประโยคนี้มันเปน “มุฎอฟ” (บุรพบท) ทางหลัก ไวยากรณไดกําหนดคาของมันวา “เคาฟฺ ตะฆ็อรเราะฮฺ อัน ยุกตะลา” (หว่ันเกรงเหลือเกิน วาเปนการเสี่ยงท่ีเขาทั้งสองจะถูกฆา) คือกลัววาจะเกิดมีการฆาคนทั้งสองนั่นเอง ครั้นเมื่อ ไดลบบุรพบทท่ี “เคาฟฺ” ในประโยคนี้ออกไปแลว ตําแหนงของบุรพบทก็จะมาไดแกคําวา “ตะฆอ็ รเราะฮ”ฺ นน่ั เอง ในทางไวยากรณข องภาษาอาหรบั กาํ หนดคาของตวั นใ้ี หเ ปน “มฟั อู ลุล-บิฮฺ” (กรรม) อนุญาตใหกลาววา “เขาทั้งสองจะถูกฆา” แทนที่ตําแหนงของ “ตะฆ็อร เราะฮฺ” ได ประโยคน้ีจึงอยูในรูป “มุฎอฟุล-อิลัยฮฺ” (บุรพบทเช่ือมประสมเปนโครงสราง ประโยค) ท่ีถูกลบคาไปแลวเหมือนประโยคแรก และจากบุรพบทเดิม “ตะฆ็อรเราะฮฺ” น้ัน
ก็จะถูกนําไปประสมกับคําวา “อัน ยุกตะลา” ซึ่งจะไดความหมายวา “เคาฟฺ ตะฆ็อรเราะฮฺ ก็อตละฮุมา” (เปนความนากลัวท่ีลอแหลมเหลือเกินวาการฆาจะตองมีแกคนท้ังสอง) (ทานอิบนุ อะษีร ไดก ลาวอกี วา) ความหมายของฮาดีษนี้ก็คือ ขอเท็จจริงของการ “บัยอะฮฺ” (ใหส ตั ยาบนั ) นั้น ขนึ้ อยูกบั มติที่เสนอออกมาเปนเอกฉนั ทข องท่ปี ระชมุ ครน้ั เมื่อบคุ คล และทา นไดกลาวอกี วา “แทจรงิ เรื่องน้ไี ดม ีผมู าบอกเลาใหพ วกเราไดท ราบเมื่อตอนที่ทานน บี (ศ) ถงึ แกการวายชนมวาพวกชาวอนั ศอรไดขัดแยงกันกับพวกเรา พวกเขาไดรวมกันประชุมลับที่ ตาํ บลสะกีฟะฮฺ บนีสาอิดะฮฺและอาลีกับซุบัยรฺพรอมกับพรรคพวกของเขาท้ังสองคนก็ขัดแยงกับเรา ดว ย” หลังจากนั้นเรื่องราวที่เกิดข้ึนในตําบลสะกีฟะฮฺก็ไดเปนขาวแพรหลายไปในทํานองวามี ความถกเถียงและขัดแยงกันในดานความคิดเห็นตาง ๆ เสียงสวนใหญของพวกเขาไดกอใหเกิด ความจําเปนในการแตกแยกของประชาชาติอิสลาม ซ่ึงในยามนั้นทานอุมัรก็ไดเปนผูตัดสินใจให การรับรองทานอาบูบกั รฺ เปนที่รูกันอยางดีที่สุดในหมูบรรดานักปราชญทั้งหลายวา บรรดาชาวอะหฺลุลบัยตฺผูเปน เจาของบา นที่สาสนของอัลลอฮฺไดถกู ประทานลงมาน้ันมิไดใหการรับรองตอการดํารงตําแหนงเปน คอลีฟะฮฺของอาบูบักรฺในครั้งกระนั้น แมแตคนเดียว และแนนอนย่ิงคนท่ีอยูในบานของทานอาลี ตางก็ไดคัดคานในเรื่องนั้น พรอม ๆ กันนี้ กลุมศอฮาบะฮฺอีกจํานวนหลายคนเชน ทานซัลมาน ทาน อาบูซัรฺ ทานมิกดาด ทานอัมมารฺ ทานซุบัยรฺ ทานคุซัยมะฮฺ ทานอุบัยบินกะอับ ทานฟรวะฮฺ บินอัมรฺ ทานบัรรออฺ บินอาซิบ ทานคอลิด บินสะอีด และบุคคลอื่น ๆ อีกเปนจํานวนมาก ตางก็ไดรวมกัน คัดคาน เพราะฉะนั้นจะถอื วามติของท่ปี ระชมุ ท่เี กิดขึ้นมาจากการถกู คัดคานโดยบุคคลกลุมนี้จะเปน ที่สมบูรณไดอยางไร ขณะท่ีในหมูพวกเขาน้ันมีกลุมท่ีเปนลูกหลานของศาสดามูฮัมมัด (ศ) ซ่ึงพวก เขาเปนกลุมชนที่อยูใ นฐานะดงั เชน ศีรษะของรา งกายสําหรับประชาชาติ พวกเขาอยูในฐานะดวงตา ของใบหนา พวกเขาอยูในฐานะสิ่งสําคัญของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺเปนมาตรฐานท่ียืนยันตอ พระคมั ภีรของอลั ลอฮฺ เปนนาวาท่ียังความปลอดภยั แกบรรดาประชาชาตทิ ั้งมวล และเปน ประตแู หง เมตตา กลาวคือเปนหลักประกันความปลอดภัยใหประชาชาติท้ังผองพนจากความหลงผิดในเรื่อง ของศาสนา และพวกเขาเปนสัญลักษณแหงทางนาํ สาํ หรับประชาชาติ ดังเชนทเ่ี ราไดยนื ยันถึงเรื่องนี้ ผา นมาแลว (401)โดยที่ไดอ ธิบายวาคุณสมบตั ขิ องพวกเขาเหลา น้ันเปน ขอพสิ จู นท ีช่ ดั แจง
สองคนเร่ิมตนใหสัตยาบันแกคน ๆ หน่ึง โดยมิไดมีมติจากหมูคณะแลว การกระทําเชนนี้ ถือวา คนทั้งสองละเมิดและตอตานกับหมูคณะ ถึงแมมีมติรับรองใหแกคนหนึ่งไปแลวก็ ตามที แตย งั ไมถ อื วาอกี คนหน่ึงจะพลอยไดรับมติน้ันไปดวย และคนท้ังสองจะตองถูกแยก ใหออกไปเสียจากหมูคณะซึ่งจะมีมติเลือกต้ังหัวหนาของตนตอไป เนื่องจากวามติท่ีได ใหแกคนหนึ่งน้ัน เขาท้ังสองไดกระทํากันไปในรูปที่นารังเกียจ ซ่ึงเปนหนาท่ีของหมูคณะ ท่ีจะตองรักษาใหพนจากเร่ืองท่ีนารังเกียจและการใชอิทธิพลขม เขาท้ังสองจึงไมปลอดภัย จากการถกู ฆา (ขาพเจาขอกลา ววา) นคี่ ือมาตรการอนั หนึง่ ทแ่ี สดงใหเห็นถึงความเปนธรรม ซ่ึงทานอุมัรไดสอเจตนารมณไวในอันท่ีจะดําเนินกฎเกณฑน้ีแกตัวทานและตัวสหายของ ทานเอง ดังท่ีทานจะไดดําเนินกฎเกณฑนี้ใหแกคนอื่น ซึ่งกอนหนาที่ทานจะกลาวคํา ปราศรัยน้ี ทานก็เคยไดกลาวแลววา “แทจริงการใหสัตยาบันแกทานอาบูบักรฺ เปนเพียง เร่ืองบังเอิญเทานั้น แตอัลลอฮฺไดทรงปกปองความชั่วรายของเรื่องน้ีเสียได ฉะนั้นถาใคร หวนกลับไปใชวิธีการเชนน้ันอีก พวกทานก็จงสังหารเขาเสียเถิด” ถอยคําน้ีเปนท่ีรูกัน โดยทั่วไป นักประวัติศาสตรตางไดนํามาอางอิงไวเชน ทานอัลลามะฮฺ อิบนุ อาบี ฮะดีด หนา 123 ภาคท่ี 1 หนังสอื “ชะเราะฮฺ นะฮฺุล-บุลาเฆาะฮ”ฺ นอกจากนท้ี า นบคุ อรีและทา นมุสลิมก็ยังไดยืนยันไวในตําราศอฮ้ีฮฺของทานท้ังสอง(402) และ นักปราชญฝายซุนนะฮฺอีกจํานวนไมนอยตางก็ไดยืนยันไวในตําราท้ังหลายวา ทานอาลีมิไดใหการ รับรองตออาบูบักรฺ จนกระท่ังทานหญิงฟาฏิมะฮฺไดถึงแกการวายชนมตามบิดาของทาน (ศ) ไป ซึ่ง เร่ืองนี้ไดเกิดขึ้นเม่ือหลังจากทานอาบูบักรฺไดเปนคอลีฟะฮฺ 6 เดือน ฮาดีษที่ยืนยันถึงเรื่องนี้มีอยูใน รายงานของทานหญิงอาอิชะฮฺที่ไดอธิบายถึงเรื่องน้ีวา แทจริงทานหญิงฟาฏิมะฮฺซะฮฺรออฺไดโกรธ อาบูบักรฺจนถึงกับมิไดพูดกันเลย หลังจากท่ีศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดวายชนมไป จนกระทั่งทานเอง ไดถ งึ แกการวายชนมไปดว ย (401) โปรดยอ นกลบั ไปดู อัลมรุ อญอิ ะฮฺ ท่ี 6 และถัดมาจนถึง อลั มุรอญิอะฮฺ ที่ 12 แลวทาน สามารถทจี่ ะรูจกั คุณสมบตั ขิ องอะฮลฺ ลุ บยั ตไฺ ด (402) โปรดดูศอฮี้ฮฺบุคอรี ตอนทายของหมวดท่ีวาดวยเร่ืองการทําสงครามคัยบัร หนา 39 ภาคท่ี 3 และโปรดดูศอฮ้ีฮฺมุสลิม กิตาบอัล-ญิฮาด วัล-สีร หนา 72 ภาคท่ี 2 บทที่วาดวย “คํา กลาวของทา นนบีทว่ี า สิง่ ใด ๆ ทเี่ ราทิ้งไวเปนมรดกลวนเปนทาน” แลวทานจะพบเร่ืองราว ตามทเี่ รากลาวมาแลวนีล้ ะเอียดยบิ
ทานอาลีเองก็ไดเคยยื่นขอเสนอใหแกพวกเขาเหลานั้นโดยอางสาเหตุการดํารงตําแหนงคอ ลีฟะฮฺซ่ึงทานไดกลาวกับอาบูบักรฺวา “ในฐานะที่ฉันเปนญาติสนิทของทานนบี (ศ) ที่ใกลชิดยิ่งกวา ทาน และถาหากวามีการประชุมปรึกษาหารือกัน แนนอนฉันยอ มมีความสามารถท่ีจะถูกรับรองจาก พวกเขา แตทวาสิ่งน้จี ะเปน ไปไดอ ยา งไรในเม่ือเปน การประชมุ ลับ”(403) ทานอับบาส บิน อับดุล-มุฏเฏาะลิบ ก็ไดอางคํากลาวทํานองเดียวกันน้ีกับทานอาบูบักรฺ เชนเดียวกัน คือทานไดกลาววา(404) “ถาหากฉันจะอางความสัมพันธท่ีฉันมีตอทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ ฉันก็สามารถท่ีจะอางไดเพราะมันเปนสิทธิของเราที่ฉันจะเอาตําแหนงนั้นย่ิงกวา และ ถาหากจะอางถึงฐานะของความเปนผูศรัทธาสําหรับสิทธิในเร่ืองน้ี ก็เราอีกน่ันแหละที่เปนกลุมชน พวกแรกในหมูพวกเขาทั้งหลาย และถาหากวาตําแหนงนี้มันจําเปนแตเพียงสําหรับทานเทานั้นใน ฐานะทเ่ี ปน ผศู รทั ธา กเ็ ปน อันวา มนั จําเปนอยา งยิง่ ทพ่ี วกเราตอ งเปนผตู ัง้ ขอ รงั เกียจ” (403) เร่ืองน้ีมีปรากฏอยูสองแหง ในหนังสือนะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ ซ่ึงทานอิบนุ อาบูฮะดีด ไดกลาวคําอธิบายขอความท้ังสองแหงน้ีไวในหนา 319 ภาคที่ 4 ซึ่งเปนคํากลาวท่ีทานอาลี พูดข้ึนเม่ือเผชิญหนากับทานอาบูบักรฺ ท้ังนี้เนื่องจากทานอาบูบักรฺไดอางอิงกับชาวอันศอร บางคนในตําบลสะกีฟะฮฺวา “เราคือเชื้อสายแหงศาสนทูตแหงอัลลอฮฺซ่ึงมาจากทาน เพราะฉะน้ัน ถาเม่ือใดท่ีเราไดใหการรับรอง เม่ือน้ันก็หมายถึงเปนการรับรองซึ่งเปนที่ ยอมรับของประชาชน เพราะวาการรบั รองน้ีเกิดขึ้นมาจากกลุมผูซ่ึงรูดีชั่ว” ทานอาลี (อ) ได กลาววา “การที่ทานไดอางกับชาวอันศอร วาทานมีความผูกพันกับศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ย่ิงกวาคนอื่น ๆ น้ัน ทานคิดหรือวานอกเหนือจากทานแลวจะไมมีคนอื่นที่ใกลชิดตอ ทานนบีอีก คร้ันถาหากทานอางวา กลุมประชาชนไดเลือกต้ังทานข้ึนมาดวยความพอใจ แลวละก็ทานเองก็รูอยวู า ประชาชนกลุมนั้นที่เปน ศอฮาบะฮฺอกี จาํ นวนหนึง่ เขายงั มไิ ดม าให การรับรองดวยแลวจะถือวาตําแหนงการเปนคอลีฟะฮฺของทานน้ีจะถูกตองไดอยางไร” ทานชัยค มุฮัมมัด อับดุฮฺ ก็ไดอธิบายถึงเร่ืองน้ีเชนเดียวกับคําอธิบายของทานอิบนุ อะบูฮะ ดดี (404) ทา นอิบนุ กุตัยบะฮฺไดก ลา วถงึ เร่ืองนไ้ี วในหนงั สือ “อมิ ามะฮฺ วัช-ชยิ าซะฮ”ฺ หนา 16 เม่ือไดพิจารณาตอคําอธิบายของผูเปนลุงแหงทานศาสนทูตของอัลลอฮฺ (ศ) เองแลวเราจะ เห็นวาการดํารงตําแหนงเปนคอลีฟะฮฺของอาบูบักรฺนั้นเปนผลจากมติของที่ประชุมโดยเอกฉันทได
ท่ีไหนกัน ก็ในเม่ือลุงผูมีฐานะเทียบเทาบิดาของทานนบีเองไดปฏิเสธ ? อีกท้ังทานอาลีผูเปนบุตร ของลงุ และเปนพน่ี องผใู กลชดิ ตลอดจนถึงบรรดาอะหฺลิลบัยตฺทั้งหลายของทานกไ็ ดคดั คานดวย วัสลาม (ช) อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 81 28 ศอฟร 1330 • มตทิ ่ีเหน็ ชอบเปน เอกฉนั ทแลว ถามีการขดั แยง ก็ตอ งลมลางกนั ฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺมิไดปฏิเสธวาการใหคํารับรองแกทานอาบูบักรฺนั้นมิไดเปนไปตามมติ ของท่ีประชมุ แตพวกเขามีความเห็นวาเร่ืองนี้เปนเรื่องท่ีเกิดข้ึนโดยปจจุบันทันดวน และมิไดพะวัก พะวงใจที่จะวิเคราะหถึงขอขัดแยงของชาวอันศอรและไมไดวิเคราะหถึงขอขัดแยงของบนีฮาชิม และบรรดาผูศรัทธาท้ังชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศอรที่ใหการยอมรับตออิมามอาลี แตพวกเขา เหลานั้นลงความเห็นกันวาตําแหนงการเปนคอลีฟะฮฺน้ันเปนสิ่งที่เหมาะสมอยางดีท่ีสุดสําหรับอาบู บักรฺซ่ึงกลุมประชาชนไดยินดีที่จะใหทานเปนผูนําของพวกเขา ดังนั้นจึงไมมีเหตุผลใดท่ีจะขัดแยง ในเรื่องนี้หรอื หยบิ ยกปญ หาขอแยงมากลาวอกี ครัง้ หนงึ่ อีกประการหนึ่งประชาชนท้ังหลายไดลงมติรวมกันวาทานอาบูบักรฺเปนผูปกครองที่ ซื่อสัตย และใหการยอมรับตอทานทั้งโดยลับและเปดเผย จะเห็นไดวาคนทั้งหลายไดรวมกันตอสู เคียงบาเคียงไหลกันกับการตอสูของทาน คนท้ังหลายจะใหการยอมรับในสิ่งท่ีทานใหการยอมรับ คนท้ังหลายเช่ือฟงปฏิบัติตามคําสั่งและคําหามของทาน จนกระท่ังไมมีใครแมแตคนเดียวในหมู ประชาชนที่จะขัดแยงในเร่ืองน้ีจึงกลาวไดวา นี่คือมติที่สมบูรณเปนเอกฉันท ซึ่งแสดงวาเปนการ ดาํ รงตาํ แหนงคอลฟี ะฮฺทถ่ี ูกตองแลว ขอสรรเสริญตอเอกองคอัลลอฮฺ ซ่ึงพระองคไดทรงผนึกกําลังของพวกเขาเหลาน้ันให รวมกันได หลังจากท่ีเคยมีการขัดแยงกัน และพระองคไดทรงสมานจิตใจของพวกเขาเหลานั้นให เขา กันได หลังจากที่พวกเขาไดแ ตกแยกกัน วสั ลาม (ซ)
อัล-มุรอญอิ ะฮฺ 82 30 ศอฟร 1330 • การลงมตกิ ม็ ไิ ดเปน เอกฉนั ท และการขดั แยง ก็มิไดเ ปน การทําลาย การยอมรับแตโดยดีของประชาชนท่ีมีตอภารกิจการปกครองของทานอาบูบักรฺ และยอม จํานนโดยดีตอทานท้ังในยามลับและในยามเปดเผยนั้นเปนเรื่องหน่ึง สวนความถูกตองของ ตําแหนงคอลีฟะฮฺวาเปนไปโดยมติเอกฉันทหรือไมก็เปนอีกเร่ืองหน่ึงตางหาก และท้ังสองเร่ืองนี้ ตางกม็ ใิ ชข อ พิสจู นท ่ยี นื ยนั ตอกันไดทัง้ โดยสตปิ ญญาและบทบญั ญัติ กลา วคือสําหรับทา นอมิ ามอาลี และบรรดาอมิ ามผไู ดรับการปกปอง (มะอศฺ ูมีน) จากบรรดา ลูกหลานของทานนั้น มีแนวทางสําหรับถือปฏิบัติอยางเปนที่รูจักกันอยูแลวสําหรับในยามท่ีภารกิจ การปกครองเปนของผถู อื อํานาจตอสังคมอสิ ลาม และแนวทางอันนี้กค็ ือแนวทางซึ่งเราไดดําเนินไป ตามกฎเกณฑข องอลั ลอฮฺ ขาพเจาจะเสนอคําตอบใหแกทานตามท่ีทานไดกลาวมาแลวเหตุผลทั้งหมดจากทัศนะของ ประชาชนในยุคนั้นก็คือวา ประชาชาติอิสลามไมอาจที่จะประสบความสําเร็จไดนอกจากจะตองมี กระบวนการปกครองท่ีถูกยอมรับแตโดยดี อีกทั้งชวยกันแกไขรอยราวตาง ๆ ตลอดจนตองชวยกัน พิทักษรักษาโฉมหนาและใหการเอาใจใสตอกิจการทั้งปวงของรัฐเอาไว และกระบวนการปกครอง ดังกลาวน้ีไมสามารถที่จะมีข้ึนได นอกจากดวยการผดุงรักษาภารกิจตาง ๆ ของรัฐไวดวยชีวิตและ ทรัพยสิน ท้ัง ๆ ท่ีความจริงแลวกระบวนการของรัฐจะตองอยูในอํานาจของผูปกครองที่ชอบดวย บทบัญญัติซึ่งอยูในฐานะตัวแทนท่ีถูกตองจากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) เทาน้ันมิใชเปนคนอ่ืน แตถาหากมีอุปสรรคเกิดขึ้นสําหรับเรื่องนี้โดยอํานาจการปกครองมุสลิมไดถูกผันกลับไปเปนของ คนอ่ืนประชาชนก็ยังจําเปนที่จะตองยอมรับตอภารกิจการปกครองของเขาในทุก ๆ กรณีท่ีเขาได ดําเนินไปและไดยับย้ังไวเพ่ือศักดิ์ศรีของอิสลาม และใหเปนเกราะปองกันอีกท้ังพิทักษรักษาโฉม หนาและเอกภาพเอาไวและไมเปนท่ีอนุญาตใหทํารายตอมุสลิมที่ฝาฝน อีกทั้งไมอนุญาตให แตกแยกออกจากหมูคณะเพ่ือประสงคท่ีจะตอตาน ย่ิงไปกวาน้ันประชาชนยังจําเปนที่จะตองให ความรวมมือเหมือนกับความรวมมือที่มีตอผูปกครองท่ีทรงสิทธิ์ถึงแมเขาจะเปนทาสท่ีดอยใน ศักดศิ์ รีกต็ าม ดังน้ันประชาชนยงั ตองมอบหมายภาษที รพั ยสิน และซะกาตปศุสัตวตลอดจนถึงอากร
อื่น ๆ ใหแกเขาไปและประชาชนยังอาจที่จะดําเนินการในลักษณะน้ีตอผูปกครองไดดวยวิธีการ คาขายและอื่น ๆ อีกท่ีเปนไปในเชิงแลกเปล่ียนกัน เชนสัมพันธไมตรีและเอื้อเฟอเผื่อแผ ย่ิงไปกวา น้ันยังถือวาไมมีปญหาใด ๆ อีกดวย ในการท่ีจะรับขอเสนอตลอดจนหยิบยื่นขอเสนอไปใหแก ผปู กครองโดยถอื เสมือนวา ไดใหการสนับสนุนตอ หวั หนาและผปู กครองทท่ี รงสทิ ธิ์โดยสัจจริง... นี่คือแนวทางของทานอาลีและบรรดาอิมามผูบริสุทธิ์ท่ีเปนบุตรหลานของทาน ซ่ึงทานศา สนทูต (ศ) ไดกลาวไววา(405) “ภายหลังจากฉันนี้จะมีเรื่องราว และกิจการที่พวกทานทั้งหลายตอง ปฏิเสธกับมนั ” พวกเขาเหลา นน้ั ไดก ลาววา “โอทานศาสนทูตแหง อลั ลอฮฺ ทานจะส่ังคนของพวกเรา ในเร่ืองน้ีอยางไรบาง ?” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “พวกทานจงรักษาสิทธิหนาที่ท่ีมีตอพวก ทา น และพวกทา นจงวิงวอนขอตอ อัลลอฮฺสําหรบั สิง่ ที่เกดิ ภยั แกพวกทา น” ทานอาบูซัร ฆ็อฟฟารี (อัลลอฮฺทรงมีความปติชื่นชมตอทาน) ไดกลาววา(406) “แทจริงสหาย ของฉัน ผูเปนศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดสั่งเสียแกฉันวา ใหฉันเชื่อฟงและปฏิบัติตามหัวหนา ถงึ แมจะเปนทาสชาวนิโกรกต็ าม” ทานสะละมะฮฺ อลั -ญอฟ ไดกลา ววา(407) “โอนบขี องอลั ลอฮทฺ า นจะใหเ ราทาํ อยา งไร ถาหาก หัวหนา ของพวกเราไดป ระกาศขอสทิ ธขิ องพวกเขาจากพวกเรา แตเขาหามมิใหพวกเราไดรับสิทธิที่ พวกเราพงึ มี ทานจะใหเราทําอยา งไร ?” ทา นศาสนทูต (ศ) ไดกลาววา “จงเชื่อฟงและปฏิบัติตามเขา เถิด เพราะวาแทจริงภาระของพวกเขาก็จะมีแกพวกเขาเอง สวนภาระของทานก็มีเทาที่พวกทาน พยายามกระทําได” ทานศาสนทูต (ศ) ไดกลาวอีกคร้ังหนึ่งตามท่ีมีปรากฏอยูในฮาดีษของทานหุซัยฟะฮฺ อัลยะ มาน (อัลลอฮฺทรงมีความปติช่ืนชมตอทาน)(408) วา “จะมีผูนํา (อิมาม) เกิดข้ึนมาในสมัยหลังจากยุค ของฉัน ซึ่งพวกเขาเหลาน้ันหาไดช้ีนําไปตามแนวทางที่ถูกตองของฉันไม และพวกเขาหาได ดาํ เนนิ การไปตามแบบฉบบั ตา ง ๆ ของฉนั ไม จะมพี วกหนง่ึ ในหมพู วกเขาไดลุกข้ึนประกาศตนโดย ท่ีหัวใจของพวกเขาเหลานั้นเปนหัวใจแหงมารท่ีแฝงอยูในรางกาย” ทานหุซัยฟะฮฺไดกลาววา “โอ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ ถาเราไดอยูไปถึงสมัยนั้นจะใหฉันทําอยางไร ?” ทานศาสนทูตไดกลาว วา “เจาจงเช่ือฟงและปฏิบัติตามหัวหนาเถิด แมวาเขาจะเฆ่ียนตีหรือริบทรัพยสินของเจาเองก็ตาม ดังนน้ั จงเช่ือฟง และปฏิบตั ิตามเขาเถดิ ” (405) รายงานโดยทานอับดุลลอฮฺ บนิ มัสอูด เศาะฮฮ้ี มฺ สุ ลิม หนา 118 ภาคท่ี 2
(406) ทานมุสลิมไดบันทึกฮาดีษนี้ไวในภาคที่ 2 ของหนังสือศอฮี้ฮฺ ซ่ึงเปนฮาดีษท่ีไดรับ การเชอ่ื ถอื อยา งย่ิง (407) ฮาดีษน้ีกม็ ีในบนั ทึกของทา นมุสลิมอีกเชนเดยี วกนั (408) ฮาดีษบันทึกโดยทานมสุ ลิม หนังสือศอฮี้ฮฺ ภาคท่ี 2 หนา 120 ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ไดกลาวไวในทํานองเชนนี้อีกตอนหน่ึงตามรายงานฮาดีษที่ ทานหญิงอุมมุสะละมะฮฺวา “จะมีผูปกครองเกิดขึ้นในหมูพวกทาน ซ่ึงพวกทานก็ไดใหการยอมรับ อีกทั้งไดปฏิเสธดวย ฉะน้ันผูใดท่ีใหการยอมรับก็จะปลอดภัย และผูใดท่ีปฏิเสธตอเขาก็จะ ปลอดภยั ”(409) บรรดาสาวกทัง้ หลายไดก ลาววา “จะใหพวกเราสงั หารพวกเขาไดหรือไม” ทานศาสน ทตู ไดก ลา ววา “อยา ทําเชน นนั้ ” ฮาดีษทํานองนี้มีหลักฐานที่ถูกตองอยูในสายสืบที่สอดคลองตรงกัน แมแตจากรายงาน ทางดานของบรรดาอิมามผูสืบเช้ือสายบริสุทธิ์ และโดยเหตุนี้เองพวกเขาจึงอดทนอยางขมขื่นตอ หนามทอ่ี ยใู นดวงตา และอดทนตอสภาพที่เหมือนกับมีหนามมาตําอยูในลําคอ การกระทําของพวก เขาจึงเปนไปตามคําส่ังที่บริสุทธิ์ในเม่ือทานนบี (ศ) ไดเสนอมาใหเปนหลักการแกพวกเขา โดยเฉพาะ น่ันก็คือการส่ังใหพวกเขามีความอดทนตอความเลวรายและความทุกขยากใหพวกเขามี ความระมัดระวังจนถึงท่ีสุดตอบรรดาประชาชาติ ฉะน้ันพวกเขาจึงดําเนินชีวิตเพื่อเปนหลักที่ดํารง อยสู ําหรับกิจการตา ง ๆ ของบรรดามุสลมิ ดวยเหตุน้ีเองทานอาลีอามีรุลมุมีนีนจึงไดแสดงความใจกวางตอบรรดาคอลีฟะฮฺทั้งสาม ทาน และพยายามอยางเต็มที่ท่ีจะใหแกพวกเขาซ่ึงการปรึกษาหารืออีกท้ังแกบรรดาผูท่ีปฏิบัติตาม แนวทางของทานในสมัยของคอลีฟะฮฺเหลาน้ัน เพราะเปนท่ีรูวาสิทธิของการเปนคอลีฟะฮฺหลังจาก ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) นั้นเปนของทานอาลี แตเพ่ือรักษาไวซ่ึงหลักการแหงสันติภาพ ทาน จงึ ไดแ ตมองตาํ แหนง ของทา นทอี่ ยใู นอุงมือของพวกเขา ซ่งึ ทานก็มิไดท าํ การตอ สกู บั พวกเขาเพือ่ สงิ่ นั้น และมิไดขัดขวางพวกเขาเหลาน้ัน สําหรับตําแหนงคอลีฟะฮฺ ทั้งน้ีก็เพ่ือพิทักษรักษามวล ประชาชาติและเปนการระมัดระวังอยางดีที่สุดตอศาสนา ซึ่งทานไดตระหนักในสิ่งท่ีผูอื่นมิได ตระหนักเปรียบไดวาทานอยูทามกลางสองเหตุผลคือ เร่ืองพันธะหนาที่ตอตําแหนงคอลีฟะฮฺดาน หนึ่ง และปญหาวิกฤตกาลที่ผูละเมิดกอข้ึนอีกดานหนึ่งคือ ในยามน้ันไดเกิดมีความปนปวนตามหัว เมืองตาง ๆ ท้ังในคาบสมุทรอาหรับ และกลุมอิสลามอีกทั้งมีพวกมูนาฟกีนชาวมะดีนะฮฺไดรวมตัว
กันขึ้นกับบรรดาชาวอาหรับท้ังหลาย กลุมชนพวกน้ีเปนผูกลับกลอกตามที่ระบุถึงอยูในพระคัมภีร วา (409) รายงานโดยทา นมุสลมิ ภาคท่ี 2 หนา 122 หนังสอื ศอฮฮ้ี ฺของทาน “พวกอรับน้ันไดทําการปฏิเสธ และกอการละเมิดที่รุนแรง และหยาบกระดางท่ีจะไมรับรู ตอ บัญญัตทิ ่ีอัลลอฮฺ ประทานมาแกศาสนทตู ของพระองค (9 : 97) ฉะน้ันบรรดามุสลิมทั้งหลายจึงตกอยูในสภาพดังเชนฝูงแกะที่อยูทามกลางสุนัขปาในยาม ค่ําคืนท่ดี งปา เปลยี่ ว ซง่ึ ศตั รขู องบรรดามุสลิมในสมยั น้นั ไดแก มสุ ยั ละมะฮฺ กัซซาบ, เฎาะลีหะฮฺ บิน คุวัยลิด ซัจญาหฺ บินด ฮาริษและกลุมบริวารของบุคคลเหลานี้ ซ่ึงต้ังตัวเปนผูท่ีเผชิญหนากับการมา ของอสิ ลาม และกดขีต่ อ บรรดามสุ ลิมดว ยกลวธิ ีตาง ๆ นอกจากนี้ปรปกษของฝายอิสลามแหงโรมัน และจักรพรรดิไกเซอร ก็ลวนแตดํารงตนเปนศัตรูที่รายกาจท้ังสิ้น กองกําลังแหงอธรรมเหลาน้ีได เบียดเบียนทานศาสดามูฮัมมัด ตลอดจนถึงบรรดาลูกหลานและสาวกของทานอยางมากมาย ซ่ึงทุก สิ่งทุกอยางเหลานี้ลวนแตเปนพิษภัยของระบอบอิสลามซึ่งรังแตกอใหเกิดความหยอนยานตอ พนื้ ฐานของอสิ ลามและลา งผลาญเงอ่ื นไขตา ง ๆ ใหยอ ยยบั ไป ทานเองก็ไดประจักษอยูแลววาการวายชนมของทานนบี (ศ) น้ันอยูในชวงท่ีฝายศัตรู ดังกลาวของอิสลามคอยจองมองหาโอกาสท่ีจะทําลายอยูโดยประสงคจะมิใหอิสลามมีความ แขง็ แกรงและเปนระบบทเี่ ขมแขง็ ดงั นนั้ ทา นอาลี อามีรุล มมุ นี ีน จึงจาํ เปน ตอ งยนื อยูร ะหวางแนวทางท่ีอันตรายทั้งสองดานน้ี คือเปนหนาท่ีหนึ่งท่ีทานจะตองผานพนตอตําแหนงซ่ึงเปนสิทธิของทานไปเสียเพื่อพิทักษไวซึ่ง บรรยากาศอิสลาม และเพ่ือกอใหเกิดร้ิวรอยแหงสันติภาพแกประชาชนท่ัวไป ฉะน้ันทานจึง ตัดสินใจสละทิ้งการโตแยงในเรื่องนี้ และยกเลิกความขัดแยงกันระหวางทานกับอาบูบักรฺ เพราะถา มิฉะน้ันแลวกจ็ ะเกิดความแตกแยกทรี่ ุนแรงตอเอกภาพของศาสนา กลมุ ประชาชาติมุสลมิ ก็จะพากนั แตกกระจัดกระจายไปเปน เสี่ยง ๆ ฉะนนั้ ทา นอาลีและอะหลิลบยั ตฺทั้งหลายจําเปนตองอยูในฐานะท่ี ตองอดทน ทั้งน้ีรวมไปถึงบรรดาปยมิตรทั้งหลายของทานที่มีท้ังชาวมุฮาญิรีน และชาวอันศอรดวย ทานอยูในสภาพท่ีอดทนตอเสี้ยนหนามท่ีทิ่มลูกนัยนตาและอดทนตอหนามท่ีตําอยูในลําคอซึ่งทาน ไดกลาวเปดใจถึงเรื่องน้ีไวเองหลังจากการวายชนมของศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) เร่ืองราวเหลานี้มี สายสืบทส่ี อดคลองตรงกันมาตลอดจากบรรดาอมิ ามผูส บื เชื้อสายที่บริสุทธิ์
แตทวาหัวหนาของชาวอันศอรฺเองคือทาน สะอัด บิน อุบาตะฮฺ น้ันเขาก็มิไดสวามิภักดิ์ ตอ คอลีฟะฮสฺ องทา นแรกตลอดช่ัวชีวิต ถึงขนาดไมยอมเขารวมหมูคณะกับคนท้ังสองทั้งในวันอีดและ วันศุกร ทานสะอัดไมเคยสนับสนุนและไมเคยแยแสแตประการใดกับคําส่ังและคําหามของคน เหลานน้ั แมก ระทง่ั ฆยั ละฮฺ บะหฺวะรอนตองถูกสังหารลงในสมัยของคอลีฟะฮฺคนท่ีสอง ดังน้ันพวก เขาทั้งหลายไดพากันกลาววา “ญินไดสังหารเขาแลว” ซึ่งเขาเปนคนตอตานท่ีสําคัญแหงตําบล สะกี ฟะฮฺ นอกจากนี้ ไมจําเปน ที่เราจะตอ งกลาวถึง* สําหรับสหายของเขาเชน ฮับบาบ บิน มันซูร(**) และชาวอันศอรอีกจํานวนหนึ่งนั้นตอง ยอมสยบตอ อํานาจ และสวามภิ ักด์ิตอ ฝายทม่ี กี าํ ลงั เขมแข็ง สภาพท่ีเกิดข้ึนมาจากความหวาดกลัวคม ดาบหรอื เปลวไฟนั้นจะถือวาเปนกิจการทถี่ ูกตอ งอยา งเดด็ ขาดสาํ หรบั เงอื่ นไขที่เรียกวาใหคํารับรอง หรอื สตั ยาบันไดไฉนหรอื (410) ขอ เทจ็ จริงของการประชุมรวมลงมติ ตามความหมายจากคํากลาวของ ทา นศาสนทตู (ศ) ท่ีวา “ประชาชาตขิ องฉัน จะไมร วมกันลงมติกบั ความผิดพลาด” น้ัน เราไดทําการ อธบิ ายใหทานไดท ราบมาแลว และขอใหท า นไดร บั ความโปรดปรานดว ยเถิด * “ทานสะอัด บิน อุบาดะฮฺ คือทานอาบู ษาบิต เปนคนหน่ึงในกลุม “สัตยาบันแหงอะ กอบะฮฺ” เปนผูรวมสงคราม “บะดัร” และอ่ืน ๆ เปนหัวหนาเผา “ค็อซร็อจ” เปนผูอาวุโส ระดับผูนําของชาวอันศอรฺเรื่องของทานที่เราไดเสนอไปนั้นถูกบันทึกอยูในตํารา ประวัติศาสตรหลายเลม ขอใหทานพิสูจนไดตามท่ีทานอิบนุ กุตัยบะฮฺบันทึกไวในหนังสือ “อิมามะฮฺ วัซ-ซิยาซะฮฺ” และหนังสือ “ตารีค” ของทานอิบนุ ญะรีรฺฏ็อบรี หนังสือ “กามิล” ของทานอิบนลุ -อะษีรฺ อีกท้งั หนังสือ “สะกีฟะฮฺ” ของทานอาบูบักรฺ อะหฺมัด บิน อับดุล-อะ ซซี อัลเญาฮะรีและอื่น ๆ ** ทานฮับบาบ บิน มันซุรฺ เปนหัวหนาคนหน่ึงของชาวอันศอรฺ เปนนักรบท่ีกลาหาญใน สงคราม “บะดัร” และสงคราม “อฮุ ตุ ” เปน ผูมีเกยี รติสงู คนหนงึ่ ในหมูคณะ (410) เร่ืองท่ีพวกเขาเหลานั้นไดกอความรุนแรงกับทานอาลีจนถึงกับจุดเพลิงเผาบานนั้นมี สายสืบที่สอดคลองตรงกันซึ่งยืนยันมากันโดยตลอด ทานสามารถท่ีจะพิสูจนไดตามที่ ทานอิมามอิบนุ กุตัยบะฮฺไดบันทึกไวในตอนแรก ๆ ของหนังสือ “อิมามะฮฺ วัชชิยาชะฮฺ” และทานอิมามฏ็อบรีก็ไดบันทึกไวในหนังสือประวัติศาสตรที่มีชื่อเสียงของทาน โดยระบุ วา เปนเหตกุ ารณที่เกดิ ข้ึนในป ฮ.ศ. 11 ทานอิบนุ อับดุล-ร็อบบะฮฺนักปราชญมัซฮับมาลิกีก็ ไดบ นั ทกึ ไวใ นหนงั สอื “อกุ ดลุ -ฟะรดี ” ภาคที่ 2 หัวขอเร่ือง “สะกีฟะฮฺ” ทานอาบูบักรฺ อะหฺ
มดั บนิ อบั ดลุ อะซีซ อลั -เญาะฮะรีก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “สะกีฟะฮฺ” ทํานองเดียวกันน้ีก็ เปน วัสลาม (ช) การใหคํารับรองมอบสัตยาบันแกผูดํารงตําแหนงคอลีฟะฮฺ ทานชะฮร็อสตานี ก็ไดอางไว ในหนังสือ “มะลัลวะนะฮัล” โดยยืนยันถึงสายสืบท่ีสอดคลองละเอียดย่ิง นักกวีแหงแมนํ้า ไนล คือ ทานฮาฟซ อิบรอฮีมไดประพันธกวีไวบทหน่ึงวา “อุมัรไดกลาวแกอาลีวา จงให เกียรติและจํานนตอตําแหนงน้ัน มิฉะน้ันบานของทานจะถูกเผาไมเหลือหลอ หากวาทาน ไมใหสตั ยาบันถงึ แมบ ุตรีของศาสดา (ศ) จะอยูในนั้นก็ตาม นอกจากน้ีบิดาของฮัฟเศาะฮฺยัง ไดกลาวตอหนาบุรุษผูกลาหาญดวยคําอ่ืน ๆ อีก” น่ีคือการกระทําท่ีพวกเขามีตอทานอิมาม อาลี จึงเปนหลักฐานวามตินั้นมิไดเปนเอกฉันท นอกจากวาจะตองมาจากความเห็นของอิ มาม ขออางที่วาการลงมติของพวกทานเปนเอกฉันทจะสมบูรณไดฉันใดเลาในเมื่อมีสภาพ อยา งนีเ้ กิดข้นึ โอปวงปราชญทง้ั หลาย? อัล-มุรอญิอะฮฺ 83 2 รอบอี ลุ เอาวลั 1330 • จะถือวา หลักฐานแตงตั้ง (ทานอาลี) และการถือปฏิบัติของบรรดาสาวกตางก็มีความถูกตอง ดวยกันทั้งสองอยางไดห รอื ? แนนอนท่ีสุดบรรดาปญญาชนผูซึ่งมีความคิดอานที่ถองแทยอมมีความเห็นวาบรรดาสาวก ท้ังหลายไมมีความขัดแยงกับทานนบี (ศ) ไมวาในเรื่องหน่ึงเร่ืองใดที่เปนคําสั่งและเปนคําหามของ ทาน และเปนไปไมไดท่ีพวกเขาเหลานั้นจะไมจํานนตอสิ่งดังกลาว กลาวคือเปนไปไมไดสําหรับ การที่วา เมื่อพวกเขาไดยินคําสั่งเกี่ยวกับเร่ืองการแตงต้ังอิมามแลว หลังจากนั้นพวกเขาจะเบนเบี่ยง ออกจากเร่ืองนั้น ไมวาในสมัยของอาบูบักรฺเปนคร้ังท่ีหน่ึงแลวมาถึงสมัยทานอุมัรเปนครั้งท่ีสอง และมาถงึ สมัยของทา นอุสมานเปนคร้งั ทส่ี าม
จะเปนไปไดอยางไรท่ีจะกลาวหาพวกเขาเหลาน้ันวาพวกเขาบายเบี่ยงจากเร่ืองน้ัน ? ทานมี ความสามารถทจี่ ะลงมตกิ รณที ้งั สองประการนีใ้ หรวมกันไดอยา งไรกนั หรือ ? วสั ลาม (ซ) อลั -มุรอญอิ ะฮฺ 84 5 รอบอี ุลเอาวัล 1330 1. ถอื วาทงั้ หลกั ฐานการแตง ตั้ง (ทานอาล)ี และการถอื ปฏิบัติของบรรดาสาวก ตางก็มีความ ถูกตอ งดวยกนั ท้ังสองอยา งได 2. เหตผุ ลที่ทานอิมามอาลตี อ งวางเฉยกับสิทธขิ องทาน 1. ชวี ประวัติของบรรดาศอฮาบะฮฺจํานวนมากไดทําใหเรามีความรูวา บรรดาสาวกเหลาน้ัน ตางไดยอมจํานนตอหลักการตาง ๆ ในเม่ือหลักการน้ัน ๆ เก่ียวของโดยตรงกับศาสนกิจโดยเฉพาะ เชน หลักการที่ทานศาสนทูต (ศ) ไดวางไวเก่ียวกับการใหถือศีลอดในเดือนรอมฎอนและการหัน หนา สทู ิศกิบลตั และจาํ นวนของการนมาซที่เปนขอกําหนดท้ังกลางวันและกลางคืน อีกทั้งหลักการ ที่วาดวยจํานวนของการกมกราบและวิธีการของการนมาซ ตลอดจนถึงหลักการเวียนฏอวาฟท่ีบัย ตุลฮะรอม และเรื่องอน่ื ๆ ในทํานองเดยี วกบั หลกั การท่ีช้ีเฉพาะเชน นี้เทาน้นั แตสําหรับเรื่องของตําแหนงคอลีฟะฮฺ เปนเรื่องท่ีมีสวนเกี่ยวของกันกับการปกครองและ การเมือง และขน้ึ อยกู ับเงอื่ นไขของรฐั ศาสโนบายและผูกพันอยกู บั เง่ือนไขการจัดต้ังอาณาจักร และ ขบวนการของกองทัพทหาร โดยที่พวกเขาเหลานั้นยังมิไดมีการยอมรับ และเห็นความสําคัญอัน ย่ิงใหญของส่ิงนี้วา เปนสภาวการณที่รวมกันในเชิงพฤติกรรมที่ต้ังอยูบนหลักบัญญัติน้ัน ๆ ดวย ฉะน้ันพวกเขาจึงไดดําเนินการไปตามแนวความคิดของพวกเขาเองและดําเนินการไปตามทัศนะ และความสามารถเทาที่พวกเขามีอยู เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมีความเห็นวาในเรื่องของตําแหนงคอ ลีฟะฮฺน้ี จะเปนที่เชิดชูแกวงศตระกูลหรือเปนตําแหนงท่ีกอใหเกิดประโยชนในการใชอํานาจ ปกครองของพวกเขา
จริงอยูที่พวกเขาเหลาน้ันมีความจงรักภักดีจนเปนที่พอใจของทานนบีเกี่ยวกับกิจการใน ดานตาง ๆ ดังกลาวแลว แตทวาจิตใจสวนลึกของพวกเขาในฐานะท่ีเปนชาวอาหรับนั้น พวกเขาหา ไดจ ํานนตอทานอาลีไม และมิไดจงรักภักดีหรือจํานนตอหลักการที่พึงมีตอทาน โดยเหตุที่ทานอาลี เปนผชู ํานะเหนือศตั รซู งึ่ เปน ชาวอาหรับมาตลอดตามวิถีทางของอัลลอฮฺ เลือดเน้ือของชาวอาหรับที่ เปนศัตรูของอิสลามตองไหลนองไปดวยคมดาบของทานอาลี ในฐานะที่ทานอาลีเปนผูทําหนาท่ี เพื่อพิทักษความสูงสุดแหงพจนารถของอัลลอฮฺ ทานอาลีเปนผูบุกเบิกอยางเฉียบขาดเกรียงไกรตอ ศัตรู ในฐานะของผูที่พิทักษไวซึ่งสัจธรรม จนกระทั่งหลักการของอัลลอฮฺไดเปนท่ีบรรเจิดอยาง อุดมเหนืออารยธรรมกาฟร ในทกุ ดา น ดวยเหตุนี้พวกเขาเหลาน้ันจึงไมเชื่อฟงปฏิบัติตามทานอาลีนอกจากจะมีการบังคับดวย กําลังซึ่งพรรคพวกของศัตรูอิสลามท่ีเคยเสียเลือดเนื้อมากอน เมื่อคร้ังที่อยูในสมัยของทานนบี (ศ) ตางก็มีอคติตอทานอาลี มิฉะน้ันแลวพฤติกรรมของพวกเขาจะไมเกิดขึ้นอยางตอเน่ืองกับบรรดา เครือญาติของทานนบี (ศ) ในภายหลังท่ที า นนบไี ดวายชนมไ ปแลว กลุมผูเสียเลือดเนื้อเหลาน้ันจากหมูชนชาวอาหรับตางไดสําแดงความอคติอยางจริงจัง จะ เห็นไดวาพวกเขาเหลาน้ันไดกระทําการตาง ๆ อยางอยุติธรรมในกลุมของบรรดาเครือญาติแหง ศาสดา ทง้ั นีก้ เ็ พราะวาเผาพันธุท ป่ี ระเสรฐิ ยงิ่ นน้ั ไดแ กเ ผาพนั ธุข องฮาชมิ ซึ่งพวกเขามีเกียรติยศทถ่ี ดั มาจากทา นศาสนทูตแหงอลั ลอฮฺ ในเร่อื งนไ้ี มเปนท่ีถกเถียงกันแตอ ยางใดของทุกฝา ย ซง่ึ ชาวอาหรบั เองก็ไดตระหนักดี ฉะน้ันพวกเขาจึงกระทําการพลิกแพลงคําส่ังตาง ๆ และแอบแฝงสิ่งตาง ๆ แก ทานนบี ตลอดจนถึงเชื้อสายของทานในทุกวิถีทาง ชาวอาหรับเหลานั้นจึงไดกระทําการละเมิดดวย วิธีการตาง ๆ จนกระท่ังกอใหเกิดบรรยากาศท่ีเปล่ียนไปในทิศทางท่ีเลวรายสุดเทาที่พวกเขาจะ กระทาํ ได ภาระอันหนกั หนว งนั้นเปรียบไดด งั ฟา และดนิ อีกประการหนึ่ง น่ันก็คือวากลุมชนแหงตระกูลชาวกุร็อยชและชาวอาหรับทั่ว ๆ ไป ตางก็ ไดตระหนักวาทานอาลีเปนผูท่ีบําราบศัตรูของอัลลอฮฺอยางเขมแข็ง ทานสามารถใชความกลาหาญ ของทานตอสูกับผูท่ีตอตานบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ตลอดจนถึงผูที่ละเมิดกฎขอหามของพระองค ชาวอาหรับตางไดตระหนกั วา ทา นอาลีไดด ําเนนิ การตาง ๆ ของทา นดว ยคณุ ธรรม ทานเปนผูที่ยับยั้ง หามปรามมนุษยมิใหกระทําความชั่ว ซ่ึงพวกเขาเหลานั้นมีความหวาดกลัวตอความยุติธรรมของ ทานอาลีที่ใชในการปกครอง ซึ่งทานเปนผูที่ตัดสินปญหาของประชาชนดวยหลักแหงดุลยธรรมใน ทุกกรณีซ่ึงทานมิไดเปนบุคคลที่เห็นแกผลประโยชน และไมมีคนใดที่มีความออนโยนสุภาพยิ่งไป
กวา ทา น จะเห็นไดว าผทู มี่ ีกําลังเขมแข็งน้ันยังตองสยบออนนอมลงใหแกทาน เพราะเหตุวาพวกเขา ไดยึดเอาสิทธิไปจากทานอาลี ทํานองเดียวกันคนที่ออนแอซ่ึงถูกกดขี่ไดกลับกลายเปนคนที่มีกําลัง เขมแข็งขึ้นเมื่ออยูกับทาน เพราะเขาไดยอมรับในสิทธิของทาน ซ่ึงมีโองการจากพระคัมภีรอัล-กุ รอาน ตอนหนึง่ ระบุวา พวกอรับเหลานั้นไดทําการปฏิเสธอีกท้ังกอการละเมิด และหยาบกระดางอยางรุนแรงเพ่ือ พวกเขาจะไมรบั รตู อบทบัญญตั ทิ ่อี ลั ลอฮฺไดทรงประทานมาแกศาสนทตู ของพระองค” (9 : 97) และอีกโองการหนง่ึ ซึง่ มีความวา “.......และมีบางคนจากชาวมะดีนะฮฺน้ัน พวกเขาไดยอนคืนสภาพท่ีต้ังอยูบนความละเมิดโดยที่เจา มิไดร ว มรเู ก่ียวกบั พวกเขา แตเรา เรายอมรูถึงเร่อื งเกีย่ วกับพวกเขา” (9 : 101) อีกประการหนึ่งก็คือวา ทั้งชาวกุร็อยชและบรรดาชาวอาหรับทั้งหลายตางไดประจักษ วาอัลลอฮฺไดทรงประทานความโปรดปรานตาง ๆ ใหแกทานอาลีมากมาย เชนอัลลอฮฺไดทรง ประทานวิชาความรูที่ดีเดน และผลงานท่ีอยูในอันดับสูงของทานตามทัศนะของอัลลอฮฺและศาสน ทูตของพระองค ตลอดจนถึงบรรดาผูมีสติปญญาทั้งหลายจนไมมีผูใดเสมอเหมือนคนทั่วไปไดเห็น วาทานอาลีเปนผูที่ไดรับเกียรติคุณซ่ึงแผจากอัลลอฮฺและศาสนทูตโดยยกระดับของทานใหอยูใน ฐานะท่ีสําคัญเปนพิเศษ ดวยเหตุนี้โรคแหงความอิจฉาริษยาไดคืบคลานเขาสูในหัวใจของบรรดาผู กลับกลอก และแลวพวกเขาท้ังหลายจึงรวมกันวางแผนในอันท่ีจะบ่ันทอนตําแหนงหนาที่ของทาน อาลี โดยรวมกันเขากับกลุมผูละเมิดและฝาฝนทั้งหลาย จนกระท่ังผลงานของพวกเขาก็ไดประสบ ความสําเรจ็ “เพราะมีเหตมุ ากอนมิฉะน้ันแลว ขา พเจาก็จะไมพูดถึง ทางทด่ี ที า นอยาถามถึงเรือ่ งน้เี ลย” อีกประการหนึ่งนั้นก็คือวา ท้ังชาวกุร็อยชและบรรดาชาวอาหรับทั้งหลายตางก็มีความ ปรารถนาอยูกอนแลวที่จะใหตําแหนงคอลีฟะฮฺนั้นเปนสิทธิสําหรับหัวหนาเผาของตน พวกเขาจึง ไดกระทําการเพือ่ สนองตอบตอความปรารถนาของตน ซ่ึงพวกเขาก็ไดบรรลุผลตามเจตนาของพวก เขา โดยทพ่ี วกเขาไดใ หการรับรองอยางเหน็ พอ งในการรวมกันเปลย่ี นแปลงตําแหนงคอลฟี ะฮฺตั้งแต สมัยแรก ซ่ึงพวกเขาไดทําการเลือกตั้งกันโดยสรุป ท้ัง ๆ ท่ีพวกเขาไดยอมรับตอทานอาลีมาแลว เมื่อคร้ังท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทาน
และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดแตงตั้งใหทานอาลีผูซึ่งเปนเชื้อสายอันบริสุทธิ์ของทานได ดํารงตําแหนงคอลีฟะฮฺตามท่ีทานไดประกาศในวันฆอดีร อีกทั้งทานเคยไดประกาศไวเปนหลักท่ี เปนสําคัญในวาระอื่น ๆ ซึ่งทานศาสนทูตไดกําหนดใหฐานะนี้เปนผูนําสําหรับปวงผูมีสติปญญา ตลอดไปจนถึงวันปรโลก อยางไรก็ตามชาวอาหรับไมสามารถที่จะอดทนยอมรับสภาพของผูดํารง ตําแหนงคอลฟี ะฮฺที่อยูในครอบครวั เดียวกนั ได ย่ิงไปกวานนั้ สายตาของคนทุกเผา และจิตใจของคน ทุกคนกเ็ พง เล็งหมายมุงอยกู ับตําแหนง นั้นอยแู ลว ท้ังสิ้น อีกประการหน่ึงท่ีเปนประวัติอันขมข่ืนท้ังของชาวกุร็อยซและชาวอาหรับซึ่งปรากฏอยูใน สมัยแรกของอิสลามอยางเปนที่รูกันดีอยูแลววา พวกเขาเหลาน้ันมิไดยอมจํานนใหแกฐานะภาพ ของนบีท่ีมาจากตระกูลฮาชิม พวกเขาเคยตอสูจนหมดความสามารถ เม่ือเปนเชนน้ีจะใหเขา เหลาน้ันมีความยินดีที่จะยอมรับท้ังบุคคลที่เปนนบีและบุคคลที่เปนคอลีฟะฮฺจากตระกูลของฮาชิม ไดอ ยางไร ครงั้ หน่งึ ทา นอมุ รั บิน คอ็ ฏฏอบ ไดเคยกลาวแกทา นอบิ นุ อบั บาสวา “แทจริงชาวกุร็อยช รังเกียจตอการที่มีรวมอยูในตระกูลของพวกทาน ทั้งตําแหนงของผูเปนนบี และตําแหนงของผูเปน คอลีฟะฮฺ เพราะมนั เปนการสรา งความปวดรา วใหก บั ประชาชน”(411) 2. บรรพชนผูมีคุณธรรมก็มิไดเห็นชอบท่ีจะใหทานบีบบังคับประชาชนในยามน้ัน ให ยอมรับตอคําสั่งท่ีระบุถึงการแตงตั้ง เพ่ือใหออกมาเปนกลุมกอการตอตาน โดยเกรงวาความขัดแยง จะกอใหเกิดผลกระทบที่เลวรายในยามนั้น จะเห็นไดวากลุมผูกอการละเมิด และแผนการของพวก กลับกลอกตลอดจนถึงความโฉดช่ัวของพวกปฏิเสธก็ไดสําแดงข้ึนมาทันทีเม่ือทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (อลั ลอฮฺทรงประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ุขแดท านและแดบ รรดาลูกหลานของ ทาน) ไดเสียชีวิตลง จึงไดเกิดมีการละวางเงื่อนไขของศาสนา และสรางความดื้อดานใหแกจิตใจ ของมุสลิม ฉะนั้นหลังจากที่ทานไดวายชนมไป สภาพของบรรดามุสลิมก็เปนเสมือนฝูงแกะท่ีพลัด พรากกนั ในยามค่าํ คืน ทามกลางฝงู สนุ ัขจ้งิ จอกท่เี ปนศตั รูรา ยสันดานเถอ่ื น อกี ทงั้ หลาย ๆ เผาของชา วอรบั ตางกต็ ีตนออกจากหลักการของศาสนาไป ดงั ท่ีเราไดอธิบายไวในอัล-มุรอญิอะฮฺที่ 82 ไปแลว ดังนั้นในสถานการณดังกลาวจึงเปนการยากเย็นที่ทานอาลีจะแสดงออกถึงเจตนารมณอันแนวแนที่ จะดํารงไวซึ่งภารกิจท่ีจะตองมีตอประชาชน โดยทานกลัววาจะกอใหเกิดความสูญเสียและความ เสยี หายอยางฉับพลนั ความเปน ไปของประชาชนและบรรดาผกู ลับกลอกในยามนน้ั เราก็ไดกลา วไป แลววาพวกเขาไดฉกฉวยโอกาสแหงผลประโยชนกันใหแกพวกเขาเอง พวกที่ตีตนออกจากศาสนา และพวกปฏิเสธมคี วามเปนอยูอ ยา งไร เรากไ็ ดอธบิ ายผา นพน มาแลว สวนชาวอันศอรก็ยังขดั แยง กนั
กับชาวมุฮาญิรีนอยูอีก โดยตางฝายตางก็กลาวกันวา : สําหรับพวกเราก็จะตองมีผูปกครอง และ สําหรับพวกทานก็มีผูปกครองอีกคนหนึ่ง... พวกเขาเล็งเห็นถึงความสําคัญของศาสนาวาจะตอง ข้ึนอยูกับตําแหนงคอลีฟะฮฺท่ีมีอํานาจในการปกครอง เปนท่ีรูกันอยูวาการแสวงหาสิทธิอันน้ันใน สถานการณด งั กลาวรังจะสรา งอนั ตรายใหแ กป ระชาชาตแิ ละเปนการลวงเลน กบั ศาสนา (411) ดูหนังสือนะฮฺบะละเฆาะฮ ภาค 3 หนา 107 ของอิบนุ อาบูหะดีด และทานอิบนุ อัล- อะษีร ก็ไดระบุถึงเร่ืองน้ีไวในตอนทายเรื่อง “ความเปนไปของทานอุมัรฺ” หนา 24 ภาคท่ี 3 หนังสอื “กามิล” คร้ันแลวพวกเขาก็ไดเลือกสิ่งที่กอใหเกิดเปนรอยราวแกอิสลามและดําเนินการล้ําหนา เพ่ือใหเขากนั กับสภาพทางสังคมท่วั ไป และแสวงหาเกยี รติยศใหแกป ระชาชาติอยางชนิดฉับพลัน สําหรับทานอาลีในยามนั้นทานก็วางเฉยอยูท่ีบานของทาน (ทานมิไดใหสัตยาบันถึงแม ทานจะถูกพวกเขาบีบบังคับก็ตาม) ซ่ึงเปนการรักษาสิทธิของทานเอง และเปนการประทวงตอผูที่ บายเบี่ยงสิทธิของทานออกไปดวยซ่ึงถาหากวาทานไดใหสัตยาบันอยางฉับไวแลว ก็จะไมมี หลักฐานหรือขออางขอพิสูจนใด ๆ ท่ีสมบูรณของทานได แตทวาทานไดกระทําทุกอยางไปในสอง แนวทางระหวางการพิทักษรักษาศาสนาและรักษาสิทธิของทานที่มีตอบรรดาผูศรัทธา ทานได แสดงออกมาใหเห็นถึงทัศนะของความอดทนท่ีเฉลียวฉลาด ตลอดจนถึงความมีนํ้าใจท่ีกวางขวาง และวิธีการที่ชวยผดุงสังคมของทานออกมาใหเปนท่ีประจักษ วายามใดที่มนุษยมีนํ้าใจท่ีลึกซ้ึงตอ เหตุการณอันย่ิงใหญเชนน้ีกิจการท้ังปวงก็จะเปนไปโดยชอบดังที่ไดถูกประทานมาจากอัลลอฮฺโดย เปาหมายอันสูงสงสําหรับแหลงที่มาของศาสนา เปาหมายของทานที่ไดประกอบไวลวนเปนผล สาํ หรับทางทงั้ สองดา นซึ่งเปนไปโดยการแสวงหาความใกลชิดตอ อัลลอฮฺ สาํ หรบั คอลีฟะฮทฺ ั้งสามทานและบรรดามิตรสหายน้ัน ตา งก็ไดตีความในหลักฐานท่ีระบุถึง การแตง ต้ัง (ทา นอาล)ี ใหเ ปน คอลีฟะฮไฺ ปในแงของเหตุผลตา ง ๆ ตามที่เราไดกลาวไปแลว มิใชเปน เร่ืองแปลกแตประการใดเลยที่เราจะบอกทานถึงเร่ืองที่บุคคลเหลาน้ันไดดําเนินการในสิ่งดังกลาว ไปโดยการตีความและใชหลักวินิจฉัยของตนเองในทุก ๆ คําส่ัง จากทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) โดย ถือเปนเร่ืองที่จะตองผนวกกับพื้นฐานสังคมและผลประโยชน อีกทั้งเปนเรื่องที่จะตองนําไป พิจารณาเปนกฎเกณฑของกระบวนการจัดตั้งรัฐ และเปนเรื่องราวท่ีเก่ียวของกับลักษณะการ ปกครองอยูเสมอ โดยท่ีพวกเขามิไดเฉลียวใจวาส่ิงเหลาน้ันเปนกิจการหน่ึงในภาคของศาสนา
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมองขามโดยเปนผูขัดแยงในเรื่องดังกลาว คร้ันเมื่อเร่ืองราวทั้งหมดไดเปนที่ สําเร็จอยางสมบูรณแกพวกเขาแลว พวกเขาก็ไดพากันลืมเลือนคําสั่งท่ีเกี่ยวกับการแตงตั้งดังกลาว เสีย และพวกเขาจะแสดงอาการไมพ อใจอยางรุนแรงออกมา เมื่อมผี ูใดพดู ถึงหรอื เสนอแนะเรื่องราว เหลาน้ันข้ึน ครั้นเม่ือพวกเขาไดดําเนินการไปในฐานะของผูพิทักษรักษาระบอบการปกครอง เผยแพรศาสนาอิสลาม ขยายอาณาจักร แผอาณานิคมและอํานาจ พวกเขาก็มิไดกระทําการใด ๆ ท่ี แปดเปอนดวยอารมณตํ่า ตอภารกิจและเกียรติยศอันย่ิงใหญของพวกเขา ประชาชนก็ใหแตเจตนาดี และความรักตอพวกเขา จนประชาชนก็พลอยลืมเร่ืองคําสั่งการแตงต้ัง (ทานอาลี) ไปตามแนวทาง ของพวกเขาดวย ตอมาพวกบนูอุมัยยะฮฺก็ไดเขามารับชวงการปกครองหลังจากพวกเขาแลวผลงาน ของพวกน้ีก็ไมมีอะไรนอกจากการสังหารแบบลางผลาญชาวอะหฺลุลบัยตฺและเผาพันธุของทาน เหลา นนั้ พรอมกันนี้เรื่องราวทุกอยางจากหลักฐานท่ีเก่ียวกับการแตงตั้ง (ทานอาลี) ซึ่งมีอยูอยาง ชัดเจนในรายงานฮาดีษท่ีมีสายสืบถูกตอง ตางก็ไดตกทอดจนมาถึงพวกเราอยูดี ขอสรรเสริญ ตออลั ลอฮทฺ ่สี งิ่ เหลาน้นั มอี ยอู ยา งครบครนั วสั ลาม (ช) อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 85 7 รอบีอลุ เอาวลั 1330 • ขอพสิ ูจนห ลักฐานท่วี า บรรดาสาวกมิไดยอมรบั ในคาํ ส่ังตา ง ๆ ของทานนบี (ศ) ขาพเจาไดรับจดหมายฉบับสุดทายของทานแลว รูสึกวา จดหมายฉบับน้ีมีพลังท่ีกอใหเกิด การยอมรับเปนอยางยิ่ง เปนขอความที่ประมวลข้ึนมาเพื่อทําใหมองเห็นภาพพจนอันชัดเจนของ ประวัติศาสตร มหาบริสุทธ์ิยิ่งแดอัลลอฮฺท่ีขาพเจาไดมีโอกาสพบกับวิชาการที่เปนขอพิสูจนอันชัด แจง ของทา น บดั น้ีทา นไดเสนอถึงเร่ืองราวและประเดน็ ตาง ๆ ท่ีทานไมเ คยเสนอมากอ น และอกี ประการ หนึ่งเราเคยคิดวาเรื่องน้ีไมมีสวนเกี่ยวของแตประการใดกับเหตุผลที่ทานไดยืนยันมา สําหรับการที่
จะไดตระหนกั ถงึ รายละเอียดของหลักฐานการแตง ตั้งอยางเดนชดั จึงขอใหท านไดช ีแ้ จงรายละเอยี ด ตาง ๆ ซึ่งบรรดาสาวกไมเคยไดใหการยอมรับในเร่ืองนี้ สําหรับการที่อธิบายจนถึงแกน ซึ่งเปนขอ อธบิ ายอยางแจม แจง ทีไ่ ปสูวถิ ีทางอันถกู ตอง ฉะน้นั ขาพเจา ใครท จ่ี ะขอรายละเอยี ดเพมิ่ เติมเกย่ี วกับเรอื่ งนี้เพอ่ื เปน ท่ีปรากฏแกน กั วชิ าการ ท่ีมีความสนใจตอประวัติศาสตรอีกท้ังเพื่อเปนบรรทัดฐานในการท่ีจะพิสูจนระหวางวิชาการท่ีมา จากทัศนะของนกั ปราชญฝ า ยซุนนะฮฺ วสั ลาม (ซ) อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 86 8 รอบีอุลเอาวัล 1330 • เหตุการณท ่อี ับโชคเม่ือวันพฤหัส ยังมีรายละเอียดตาง ๆ อีกมากมาย ที่บรรดาสาวกจํานวนหน่ึงไมยอมรับ ขอใหทานได สังเกตเฉพาะแตเ พยี งเร่อื งของ “เหตุการณทอ่ี บั โชคเมือ่ วันพฤหัส” ซ่งึ เรอื่ งน้เี ปนเหตุการณท ่เี ล่อื งลอื อยางยิง่ และนบั ไดวา เปน การอบั โชคครั้งใหญ ประเด็นนี้นักปราชญเจาของตําราศอฮี้ฮฺของฝายอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ตลอดจนถึงนัก ประวัติศาสตรบางทาน ก็ไดบันทึกไว ยกตัวอยางเชนการบันทึกของทานบุคอรี(412) โดยอางสายสืบ ไปถึงทานอุบัยดิลละฮฺ บิน อับดุลลอฮฺ บิน อุตบะฮฺ อิบนุ มัสอูด ซ่ึงไดรับรายงานมาจากทานอิบนุ อบั บาสวา “ขณะท่ีทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ใกลที่จะถึงแกการวายชนมนั้นท่ีบานของทานมีผูคนเปน จํานวนมาก และในจํานวนน้ันก็มีทานอุมัร บิน ค็อฏฏอบ รวมอยูดวย ทานนบี (อัลลอฮฺทรง ประทานความจาํ เรญิ และความสนั ติสขุ แดทานและแดบรรดาลกู หลานของทาน) ไดกลาววา “ฉันจะ ใหพวกทานบันทึกขอความเพื่อพวกทานจะไดไมหลงผิด” ทานอุมัรไดกลาววา “แทจริงทานนบีได เพอไปเสียแลว พวกทานทั้งหลายก็มีอัล-กุรอานอยูแลว ฉะน้ันคัมภีรของอัลลอฮฺยอมเปนท่ีเพียงพอ
แกเราไ จะเห็นไดวาทานอุมัร ไดขัดแยงตอ คนที่อยูในบาน ขณะนั้นมีบางคนไดโตแยงกันขึ้นโดย กลาววา “จงใหทานนบีบันทึกขอความท่ีสําคัญใหแกพวกทานท้ังหลายเถิดเพื่อพวกทานจะไดไม หลงทาง” แตแลวบางคนก็ไดกลาวเหมือนกับคํากลาวของทานอุมัร คร้ันเมื่อพวกเขาไดโตเถียงและ ขัดแยงกนั มากขึน้ ขณะทอ่ี ยตู อหนา ทา นนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแด ทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ฉะน้ันทานจึงไดกลาวแกพวกเขาเหลานั้นวา “จงลุกออกไป เสยี เถดิ ” (412) ในบาบที่วาดวย คํากลาวที่ทานนบีไดพูดเม่ือตอนท่ีทานปวยหนักวา “จงออกไปจาก ฉนั ” หนา 5 ภาคที่ 4 หนงั สือศอฮฮ้ี ฺ บคุ อรี เรื่องน้ีทานอิบนุ อบั บาสไดก ลา ววา “เปนเรื่องท่อี บั โชคทีเ่ กิดข้ึนในระหวางที่ทานศาสนทูต แหงอัลลอฮฺ (ศ) จะทําการบันทึกขอความน้ีใหแกพวกเขาเพ่ือใหพวกเขาไดพนจากความขัดแยงตอ กนั ” น้ีคอื ฮาดีษทศ่ี อฮฮ้ี ฺ (ท่ีถูกตองซ่งึ ไมมีการถกเถยี งกนั แตประการใด) ทานบุคอรีเองก็ไดรายงานถึง รายละเอียดของเรื่องนี้ไวอีกแหงหน่ึงในหนังสือศอฮ้ีฮฺของ ทาน(413) นอกจากน้ีทานมุสลิมก็ยังไดบันทึกไวในตอนทายของหมวดที่วาดวยทายาทในหนังสือศอ ฮ้ฮี (ฺ 414) ทานอะหฺมัดก็ไดบันทึกไวในหนังสือมุสนัดของทาน ซึ่งเปนรายงานท่ีมาจากทานอิบนุ อับ บาส(415) นอกจากนี้บรรดานักปราชญฝายซุนนะฮฺอีกจํานวนมากไดทําการบันทึกเร่ืองดังกลาวอีก ดวยเชน ทานอาบูบักรฺ อะหฺมัด บิน อับดุล-อะซีซ ไดบันทึกไวในหนังสือสะกีฟะฮฺ(416) โดยอาศัย สายสืบฮาดษี ของทานอิบนุ อับบาสวา (413) ทา นบุคอรี บันทกึ ไวใน กติ าบฮิลม หนา 22 ภาคท่ี 1 (414) หนา 14 ภาคที่ 12 (415) โปรดดูหนา 325 ภาคท่ี 1 “เม่อื ทา นศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจาํ เริญและความสันติสุขแดทาน และแดบรรดาลูกหลานของทาน) ใกลท่ีจะถึงแกการวายชนมนั้น ที่บานของทานมีผูคนเปนจํานวน มาก และในจํานวนนั้นก็มีทานอุมัร บิน ค็อฏฏอบ รวมอยูดวย ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (ศ) ได
กลาววา “จงนําหมึกและกระดาษมาใหฉันเถิด เพื่อฉันจะไดเขียนขอความใหแกพวกทานเพื่อพวก ทานจะไดไ มหลงผิด” ทานอุมัรไดกลาวในเชิงที่มีความหมายวา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) “เพอไปเสียแลว” หลังจาก น้ันก็ไดกลาวตอไปวา “พวกเรามีอัล-กุรอานอยูแลว ฉะน้ันคัมภีรของอัลลอฮฺยอมเปนที่เพียงพอแก เรา” ซึง่ ทา นอุมัรไดขัดแยงกันกับบุคคลตาง ๆ ท่ีอยูในบานของทานนบีในขณะน้ัน โดยท่ีบางคนได กลา ววา “จงใหท า นนบบี ันทกึ ขอความทส่ี าํ คญั ใหแกพ วกทา นเถดิ ” สวนบางคนก็กลาวเชนเดียวกับคํากลาวของทานอุมัร คร้ันเม่ือพวกเขาไดโตเถียงและ ขัดแยงกันมากข้ึน ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุข แดท านและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ไดโกรธและกลาววา “พวกทา นจงลุกออกไปเถดิ ” ทานสามารถสังเกตไดวาบรรดานักปราชญท้ังหลายตางก็ไดหามวา ทานอุมัรเปนผูคัดคาน ในเร่ืองนี้ และยังมีหลักฐานที่ยืนยันอีกวามีการคัดคานถกเถียงกันในวันน้ันจริง ซึ่งทานบุคอรี ได กลาวไวในหนังสือศอฮี้ฮฺของทานวา ทานอิบนุอับบาสไดเลาวาเหตุการณเม่ือวันพฤหัสนั้นสําคัญ มากซ่ึงเปนวันอับโชค หลังจากนั้นทานก็ไดรองไหจนตาแดงกํ่าแลวกลาววา “เขาไดลวงเกินตอ ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺอยางรุนแรง เมื่อวันพฤหัสในขณะที่ทานนบีไดกลาววา “พวกทานจงนํา กระดาษมาใหฉันบันทึกขอความแกพวกทานเพื่อพวกทานจะไดไมหลง” แตแลวพวกเขาเหลานั้นก็ ไดป ฏเิ สธไปเสียท้ัง ๆ ท่ีมิบังควรอยางย่ิงท่ีจะทําการปฏิเสธตอทานนบี กลาวคือพวกเขาเหลาน้ันได พดู วา “ทา นศาสนทูตแหง อัลลอฮไฺ ดเพอเสยี แลว” (415) ดหู นา 20 ภาคที่ 2 หนงั สอื นะฮฺลุ บะละเฆาะฮฺ ฮาดีษน้ีทานมุสลิมก็ไดบันทึกไวอีกในตอนทายของหมวดท่ีวาดวยเรื่องของการแตงต้ัง ทายาทจากหนังสือศอฮ้ีฮฺ ซึ่งฮาดีษเดียวกันนี้ ทานอะหฺมัดก็ไดบันทึกไวในหนังสือ “มุสนัด” ของ ทานโดยอางจากฮาดีษที่รายงานโดยทานอิบนุ อับบาส(417) วาเมื่อวันพฤหัสน้ันเปนวันท่ีอับโชค หลังจากน้ันทานก็รองไหจนนํ้าตาไหลอาบแกมและกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺ ทรงประทานความจาํ เริญและความสนั ติสขุ แดทา นและแดบรรดาลูกหลานของทาน) กลาววา “ทาน จงนํากระดาษและน้ําหมึกมาใหฉันเถิด เพื่อฉันจะเขียนขอความใหแกพวกทานเพ่ือทานจะไดไม หลงผิดอีกตอไป” แตแลวพวกเขาไดกลาวกันวา “แทจริงทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดเพอไปเสีย แลว ”(418)
เรื่องน้ีมีหลักฐานบันทึกอยางชัดแจงวา คนแรกที่ไดกลาววา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ เพอ” น้ันไดแกทานอุมัร แลวหลังจากน้ันกลุมสาวกที่อยูในบริเวณเดียวกันก็ไดมีความเห็น สอดคลองกนั กบั ทานอุมรั ตามที่ทานไดอ า นผานไปแลวในฮาดีษแรกท่ีวา “บรรดาผูคนท่ีอยูในบาน ของทานนบีขณะน้ันก็ไดถกเถียงกัน บางคนก็ไดกลาววา “พวกทานจงนํากระดาษมาใหทานนบี บันทึกขอความใหแกพวกทานเถิด เพ่ือพวกทานจะไดไมหลงผิด” และบางคนก็ไดกลาวไปตามที่ ทา นอมุ ัรไดกลา ว (417) หนา 222 ภาคที่ 1 หนงั สือมุสนัด (418) หนา 355 ภาคท่ี 1 หนงั สือมสุ นดั ทานก็ไดเห็นแลววา ถาหากพวกเขาเหลานั้นไดยอมรับหรือทําตามคําส่ังของทานศาสนทูต แลว ละก็ พวกเขากย็ อมจะไดรบั ความปลอดภยั จากความหลงผิด แตทวา พวกเขาไดท าํ การตอบโตคํา กลาวของทานศาสนทตู วา “คมั ภรี ของอัลลอฮฺเปนทเ่ี พียงพอแกพวกเราแลว ” ทั้ง ๆ ทพ่ี วกเขาไมไดมี ความรูถึงฐานภาพท่ีพวกเขามีตอพระคัมภีรของอัลลอฮฺ เพราะถาพวกเขารูถึงความสําคัญท่ีมีอยูใน พระคัมภีรแลว พวกเขาจะตองยอมรับตอคําส่ังของทานศาสนทูตทุกประการและพวกเขาจะตองไม กลาวคําพูดออกไปวา “ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺไดเพอไปเสียแลว” ทั้ง ๆ ท่ี ทานอยูตอหนาพวก เขา การที่พวกเขากระทําอยางนั้นเสมือนหน่ึงวาพวกเขาปฏิเสธตอคําส่ังของทานศาสนทูต แหง อลั ลอฮฺ (อลั ลอฮทฺ รงประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ุขแดท า นและแดบรรดาลูกหลานของ ทา น) ซงึ่ หมายถงึ วา พวกเขาไมย อมรับในคําสัง่ ของคัมภีรแหงอลั ลอฮฺใหจ ริงจังเหมือนกับท่ีพวกเขา อาง ทั้งนี้ก็เพราะวาพวกเขาเคยไดยินและไดฟงบัญญัติจากพระคัมภีรอยูเปนเนืองนิจท้ังในยาม กลางคืนและกลางวนั วา “และสิ่งใดก็ตามท่ีศาสนทูตไดนํามา (ส่ังสอน) แดพวกสูเจาแลว ดังนั้นสูเจาท้ังหลายจง ยอมรบั สง่ิ นัน้ เถดิ และอันใดที่ศาสนทตู ไดห ามสเู จา ดงั นนั้ สูเจาจงยับย้ังเถดิ ” (59 : 7) ทั้งนี้โดยเหตุที่พวกเขาเหลานั้นไดกลาววา “ทานศาสนทูตไดเพอไปเสียแลว” เสมือนวา พวกเขาไมเคยไดอ านโองการของพระผเู ปนเจา ที่วา “แทจริงสิง่ น้ี แนน อนเปน คาํ กลา วของทูตผูม เี กียรติท่ีทรงอาํ นาจย่งิ ณ บลั ลังกอ นั สงู สง เปน ผูเ ชอ่ื ฟง ปฏบิ ตั ิตามท่ซี ่อื สัตย สหายของพวกสเู จา (มฮู ัมมัด) น้ันมไิ ดเ ปน คนวิกลจริต” (81 : 19-22) และอีกโองการหนึง่ ท่พี ระผทู รงสูงสดุ ไดมโี องการวา
“แทจรงิ สง่ิ น้ีเปน คํากลา วของผมู ีเกียรติ และมนั มใิ ชเปนคํากลา วของกวี แตสว นนอ ยเทา นน้ั ที่พวกสูเจาศรัทธา และส่ิงนมี้ ิใชเปน คํากลา วของโหร แตส วนนอ ยเทานนั้ ที่พวกสูเจาจะทําการรําลึก เปนสิ่งทถ่ี ูกประทานมาจากพระผูอ ภิบาลแหง สากลโลก” (69 : 40-43) พระผูทรงสูงสุดยังมีโองการอีกวา “สหายของสูเจานั้น (มุฮัมมัด) มิไดหลงผิดและมิได ละเมดิ และเขามิไดพดู จากอารมณ หากแตส ง่ิ น้นั ลวนเปน การดลใจที่ถูกประทานมา (วะฮฺยู) ที่ผูทรง พลังอันแขง็ แกรง ไดส อนเขา” (53 : 2-5) โองการท่ีชัดแจงทํานองนี้ยังมีอีกมากมาย ท่ีเปนขอพิสูจนวา ทานศาสนทูตเปนผูบริสุทธิ์ เหนือคําที่พวกเขากลาววา “ทานเพอ” ถาไดใชสติปญญาอยางอิสระพิจารณาเรื่องนี้จะเห็นวา พวก เขาเหลาน้ันตางก็รูดีอยูแลววา ทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) มีความประสงคอยางยิ่งท่ีจะทําการแตงตั้ง ใหทานอาลีดํารงตําแหนงเปนคอลีฟะฮฺเปนการเฉพาะ อีกทั้งจะทําการสั่งเสียเก่ียวกับเรื่องของ บรรดาอิมามผูซ่ึงสืบเช้ือสายของทานตอไปอีกดวย ดังน้ันพวกเขาจึงไดขัดขวางทานศาสนทูต เกี่ยวกับเรื่องน้ี ซ่ึงจะเห็นไดจากการที่ทานอุมัรไดกลาวไวในคําสนทนาระหวางทานกับทานอิบนุ อับบาส(419) ถาทานไดทําการพิจารณาคํากลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทาน ความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ท่ีทานไดกลาววา “พวก ทานจงนาํ กระดาษมาใหฉ นั บนั ทึกขอความแกพวกทานเถิด เพ่อื พวกทานจะไดไ มหลงทาง” อีกท้ังพิจารณาถึงคํากลาวของทานศาสนทูตท่ีไดกลาวไวในฮาดีษ “ษะเกาะลัยน” ท่ีวา “แทจรงิ ฉันไดละท้ิงไวในหมูพวกทาน ซึ่งสิ่งท่ีถาหากพวกทานไดยึดมั่นกับสิ่งน้ันแลว พวกทานจะ ไมห ลงผิด น่นั คือพระคมั ภรี ของอลั ลอฮฺ และเชอื้ สายของฉันแหง อะหฺลลิ บัยตฺ” ทานจะสามารถพิจารณาไดทันทีวาความหมายในสองฮาดีษนี้ช้ีในประเด็นเดียวกัน กลาวคือทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺ (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) มีความประสงคที่จะบันทึกขอความใหแกเหลาสาวกท้ังหลายใน ขณะที่ทานนอนเจ็บอยู ซ่ึงส่ิงท่ีเปนขอกําหนดใหแกพวกเขาเหลาน้ัน ตามที่ระบุอยูในฮาดีษ “ษะ เกาะลยั น”
(419) โปรดดูหนังสือนะฮฺุลบะลาเฆาะฮฺ ภาคท่ี 3 หนา 114 บรรทัดท่ี 27 อรรถาธิบายโดย ทา นอลั -ฮะดีด ความจริงแลว สาเหตทุ ตี่ อ งพลาดจากเรื่องน้ี กเ็ พราะคําพูดของพวกเขานน่ั แหละ ซึ่งเปนเหตุ ที่บังคับใหทานตองเลิก (การบันทึก) เพื่อมิใหเหลือไวซ่ึงขอครหา (ฟตนะฮฺ) และความขัดแยงอัน สืบเน่ืองจากการบันทึกขอความนั้น ในกรณีท่ีไมวาทานจะเพอ (ขอความคุมครอง ดวยพระนาม ของอัลลอฮฺ) หรือไมเพอก็ตาม ดังที่พวกเขาเหลานั้นไดขัดแยงกันและรวมกันกระทําการละเมิดตอ ฐานภาพอันชดั เจนของทาน ฉะนั้นทานจึงมไิ ดสําแดงส่ิงใดแกพ วกเขาในวนั นน้ั มากไปกวา ถอ ยคาํ ท่ี ทานกลาววา : “พวกทานจงลุกออกไป” ดังท่ีทาน (ผูอาน) ไดทราบดีอยูแลว และถาหากการณกลับ เปนวาทานไดบันทึกขอความใดขึ้นก็จะเปนขอมูลในการกลาวหาของพวกเขาที่วา “ทานไดเพอไป เสียแลว” และบรรดาผูสนับสนุนพวกเขาตางก็พากันยัดเยียดวาทานเพอเจอ (ขอความคุมครองดวย พระนามของอัลลอฮฺ) โดยที่บุคคลเหลานี้ไดมีความเชื่อไปตามบรรทัดฐานของพวกเขาเหลาน้ัน และตางก็มีขออางกันเปนคุงเปนแคว ถึงเหตุผลที่จะปฏิเสธขอความดังกลาวและปฎิเสธกับผูท่ี อุทธรณถงึ เร่ืองนี้ นี่คือวิทยปรัชญาอันลึกซ้ึงขอหนึ่งท่ีทานศาสนทูต (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและ ความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของทาน) ใหไวเปนอุทธาหรณเก่ียวกับกรณีท่ีจะ บันทึกขอความนี้ เพื่อผูตอตานและพรรคพวกของพวกเขาจะไดไมมีชองโหวที่จะหยิบยกสิ่งใดมา เปนเครื่องมือปรักปรําฐานภาพของความเปนนบี (เราขอความคุมครองดวยพระนามของอัลลอฮฺ และเราขอความคลาดแคลวในเรื่องนั้น) แนนอนย่ิง ทานศาสนทูตไดตระหนักดีวาทานอาลีและ บรรดามิตรสหายของทา นตางเปนผนู อบนอ มโดยสิน้ เชิงอยแู ลว กบั ขอ ความนั้น ไมวาทานจะบันทึก ใหพ วกเขาหรอื ไมกต็ าม สวนบุคคลอื่น ๆ นั้นถึงแมทานจะบันทึกให พวกเขาก็จะไมนําพาและมิให ความสําคัญ โดยวิทยปรัชญาและสถานการณเชนนี้ทําใหทานจําเปนตองละท้ิงส่ิงนั้น เพื่อที่จะไม กอใหเ กดิ ขอครหา (ฟตนะฮฺ) ใด ๆ ของผูต อตา นเหลานั้นข้ึนมาภายหลัง อยางมิตอ งสงสยั วัสลาม (ช)
อลั -มรุ อญอิ ะฮฺ 87 9 รอบีอุลเอาวัล 1330 • คาํ คดั คา นพรอมกบั ขอ โตแยงในเร่อื งทีไ่ ดช่ือวา “ความอัปโชค” คราวนั้น บางทีในกรณีท่ีทานศาสนทูต (ศ) ส่ังใหบรรดาสาวกนําหมึกและกระดาษมาใหทานนั้น ทานไมมีความประสงคที่จะบันทึกสิ่งสําคัญใด ๆ ก็ได ซ่ึงเปนเพียงแตคําบอกกลาวธรรมดา ๆ กับ พวกเขาเทาน้ันเอง มิใชส่ิงอื่น ซ่ึงอัลลอฮฺก็ไดทรงชี้นําทานอุมัร (อัล-ฟารูก-ผูอยูในฐานะจําแนก-) สําหรับเรื่องน้ีเปนกรณีพิเศษไปจากสาวกคนอ่ืน ๆ โดยทานไดหามพวกเขามิใหนําหมึกและ กระดาษมาให เปนอันวาการยับย้ังคราวนั้นคือการกระทําท่ีสอดคลองตอพระประสงคของพระผู อภิบาลของทาน และเปนเกียรติอันยิ่งใหญของทานอุมัร (อัลลอฮฺทรงปติช่ืนชมตอทาน) เอง ดงั กลา วนีค้ อื คําตอบของนักปราชญบ างกลมุ แตอีกดานหน่ึงจากคํากลาวของทานนบี (ศ) ที่วา : “ทานจะไดไมหลงผิด” นั้น ยอมคัดคาน คําตอบดังกลาวน้ี เพราะวาเหตุผลท่ีสองของคําส่ัง มีความหมายวา “ใหพวกทานนําหมึกและ กระดาษมาแลว ฉนั จะบนั ทกึ ขอความใหแกพวกทานเพือ่ พวกทานจะไมหลงผิด” ไมต องสงสัยเลยวา การบอกกลาวลอย ๆ กบั เร่ืองราวอยางนีจ้ ะตองเปนความเท็จอยางชัดแจง ซ่ึงมันเปนสิ่งที่แนนอนวา บรรดานบีท้ังหลายนัน้ ยอ มปลอดพนจากถอยคําประเภทน้ี โดยเฉพาะอยางยิ่งในกรณีที่มิไดนําหมึก และกระดาษมาใหท านกย็ งั คัดคานกบั คําตอบนี้โดยทศั นะอกี ดา นหนง่ึ แตถงึ จะอยางไรก็ตามที เร่ือง น้ยี งั มีเหตุผลอืน่ ทส่ี ามารถคัดคานได เหตุผลที่ควรจะกลา วอางไดกค็ อื วา : แนนอนที่สุดคําส่ังนั้นมิไดเปนคําส่ังท่ีสําคัญ จนกระทั่งไมอนุญาตใหทบทวนไดเลย แต เปนคําสั่งที่สาวกมีสิทธิที่จะปรึกษาหารือกันได ซ่ึงแตกอนน้ีบรรดาสาวกท้ังหลายก็เคยไดพิจารณา ในอันที่จะกระทําตามคําส่ังบางประการของทานศาสนทูตหรือไมมาแลว แนนอนท่ีสุด ทานอุมัรก็ ไดทราบดีแกใจอยูแลววา ทานเปนผูท่ีสามารถกระทําในสิ่งท่ีถูกตองจนบรรลุถึงหลักคุณธรรม ซึ่ง ทานเปนบุคคลหนึ่งที่ไดรับการดลใจ (อิลฮาม) มาจากอัลลอฮฺ ทานมีความปรารถนาที่จะผอนคลาย ความออนเพลียของทานนบีเพ่ือมิใหทานตองมีความลําบากโดยเหตุที่จะตองเขียนขอความใน ขณะท่ีนอนปวยอยู อีกประการหนึ่งทานอุมัรมีความเห็นวาการที่ทานปฏิเสธมิใหน้ําหมึกและ กระดาษมาใหทานศาสนทูตบันทึกขอความ ก็เพราะเกรงไปวาถาหากทานนบีบันทึกคําส่ังใด ๆ
ในขณะน้ันแลว ประชาชนจะเห็นวาเปนเรื่องท่ีไมมีสมรรถภาพ และอีกประการหนึ่งทานอุมัรหวั่น เกรงวา พวกกลบั กลอก (มนุ าฟก) จะต้ังขอ ตําหนขิ อความนั้นไดวาเปนคําสัง่ ทีเ่ กิดข้ึนในยามปวย ซึ่ง รังแตจะกอใหเกิดเปนเหตุของการมุงราย ฉะน้ันทานจึงกลาววา “คัมภีรของอัลลอฮฺเปนที่เพียงพอ แกพวกเราแลว” ทั้งนีเ้ นอื่ งจากโองการในอัล-กรุ อานไดร ะบวุ า “วันนี้เราไดทาํ ใหสมบรู ณค รบถว นแกส ูเจา แลว” (อัล-มาอดิ ะฮฺ : 3) แนนอนท่ีสุดทานอุมัรเปนผูที่ปลอดภัยจากความหลงผิด โดยเหตุท่ีวา อัลลอฮฺไดทรง ประทานความสมบูรณของศาสนาใหแกประชาชาติอยูแลวทุกประการ คําตอบของนักปราชญอะฮฺลิซซุนนะฮฺในเร่ืองนี้ก็เปนไปตามความเห็นของทานที่ถือวา คํา กลาวของทานศาสนทูตแหงอัลลอฮฺท่ีไดกลาววา “เพ่ือพวกทานจะไดไมหลงผิด” นั้นหมายถึง กิจการซ่งึ เปน คาํ ส่งั ทส่ี าํ คญั และตอ งสนองตอบ ท้ังนเ้ี นอ่ื งจากวาเปน ขอ กําหนดทที่ ําใหปลอดภัยจาก ความหลงผิด กลาวคือเปนหลักการที่ตองกระทําตาม จนสุดความสามารถอยางไมมีขอแม แต ทานศาสนทูตก็ไดก ลา วดว ยความไมพ อใจทมี่ ตี อ พวกสาวกวา “จงลุกออกไปเถิด” ดวยเหตุนี้เองเมื่อ พิจารณาดูแลวก็จะเห็นวา คําสั่งในวรรคกอนของทานมิไดมีลักษณะที่เปนคําสั่งเด็ดขาดที่ จําเปน ตอ งปฏบิ ตั ิตามแตป ระการใดเลย ถาส่ิงนั้นเปนขอกําหนดที่จําเปนตองปฏิบัติตามจริง ตามที่ทานไดกลาวแลว ทานนบี (ศ) จะไมย อมละทง้ิ สง่ิ น้นั เพียงเพราะเหตคุ วามขดั แยงของบรรดาสาวกเสมอื นดังที่ทา นไมเคยละท้ิงการ ประกาศศาสนาเพราะโดยสาเหตุการขัดแยงของผูปฏิเสธ เราอาจจะกลาวไดวา ถึงแมจะไดมีการ บันทึกขอ ความนกี้ ม็ ไิ ดหมายความวา เรอ่ื งน้ีเปนขอกําหนดท่ีจําเปนแกทานนบี (ศ) แตขณะเดียวกัน ก็ถือวาหนาท่ีของสาวกก็ยังจําเปนอยูท่ีจะตองนําหมึกและกระดาษไปใหเพราะเปนคําส่ังท่ีทานนบี ไดส่ังแกพวกเขา เพ่ือทานจะไดอธิบายใหพวกเขาเหลาน้ันทราบถึงจุดมุงหมายของทานท่ีวาเพื่อ ความปลอดภัยจากความหลงผิด แตกระน้ันมูลฐานแหงคําส่ังนี้ก็เปนเพียงหนาท่ีท่ีจําเปนแกผูถูกสั่ง เทา นน้ั หาไดเ ปนขอ กําหนดท่จี ําเปนแกผูออกคาํ ส่งั ไม อยางไรก็ดีอาจจะเปนไปไดวา เร่ืองน้ีเปนขอกําหนดแกตัวของทานนบี (ศ) เองดวย แต ขอกําหนดนน้ั กเ็ ปน อนั ตกไปเน่อื งดวยคําคดั คา นของพวกเขา ซง่ึ พวกเขาไดกลาววา “ทา นไดเพอไป
เสียแลว” ท้ังนี้ก็เพ่ือมิใหเหลือขอความใด ๆ ที่เปนรองรอยอันกอใหเกิดการวิพากษวิจารณในเชิง เสยี หาย บางคนอาจจะเขาใจวาทานอุมัร (อัลลอฮฺทรงประทานความปติชื่นชมแดทาน) ไมเขาใจ ความหมายของฮาดีษนี้วา ขอความของทานศาสนทูตที่จะบันทึกน้ัน เปนมูลฐานในอันท่ีจะรักษา ประชาชาติมสุ ลิมใหพน จากความหลงผิด ความจริงแลวทานอุมัรมีความเขาใจในความหมายของฮา ดษี ท่วี า “พวกทา นจะไดไ มห ลงผิด แทจรงิ พวกทานจะไมร วมตวั กันเพื่อตง้ั อยูบนความผดิ พลาด” ทานอุมัรรูดีวาเปนไปไมไดท่ีกลุมสาวกทั้งหลายจะรวมตัวกันเพ่ือตั้งอยูบนความผิดพลาด ดวยเหตุน้ีจึงไมปรากฏวา จะมีรองรอยแหงการบันทึกขอความใด ๆ ของทาน ทานอุมัรไดตระหนัก วาจุดมุงหมายของทานนบี (ศ) ในขณะนั้นมิไดมีอยางอ่ืน นอกจากการยํ้าใหเขมงวดกวดขันใน กิจการตา ง ๆ ซึ่งทา นอยูในชวงท่เี กือบจะคืนกลับไปสูพระผกู รณุ าปรานีแลว สวนการปฏิเสธคําส่ังของทานในคร้ังนั้นก็เพราะเหตุวาประชาชนตางก็รูวา คําสั่งนั้นมิได เปนบทบัญญัติอีกแลว หากแตเปนคําส่ังท่ีเกิดข้ึนโดยความหวงใยและสงสารเทานั้นเอง มิใชสิ่งอ่ืน สําหรับคํากลาวของทานศาสนทูต (ศ) ท่ีไดกลาววา “พวกทานจะไดไมหลงผิด” นั้น หมายถึงคําส่ัง ที่จาํ เปนสําหรบั พวกเขาเหลานั้นอยูตามที่ทา นไดก ลา วไปแลว อยางไรก็ดีเรื่องนี้ยังเปนท่ีถกเถียงกันอยูในประวัติศาสตร ซึ่งเปนเรื่องปลีกยอยประเด็น หนึ่งท่ีมันไดผานไปแลว และเราท้ังหลายก็ไมสามารถท่ีจะรูชัดถึงเร่ืองราวท่ีแทจริงโดยละเอียด ใน สิ่งเหลา นน้ั ขออัลลอฮไฺ ดทรงเปน ผูนาํ ทางไปสูแนวทางที่เสมอเหมือนกนั เถดิ วัสลาม (ซ)
อลั -มุรอญิอะฮฺ 88 11 รอบีอุล-เอาวัล 1330 • คาํ คัดคานดังกลา วนัน้ เปนสิง่ ทไ่ี มถ กู ตอง ผูท่มี คี วามละเอยี ดถถี่ ว นในการสนทนาปราศรัย ยอมตระหนักถึงความจริง โดยท่ีเขายืนยัน ตอ สจั ธรรม และพูดในประเด็นท่ีถูกตอง แนนอนท่ีสุดยังมีคําตอบโตทางประเด็นท่ีเหลืออยูสําหรับ คําคัดคานเหลาน้ัน ซ่ึงขาพเจาใครท่ีจะเสนอเร่ืองน้ีใหแกทาน เพ่ือจะไดเปนขอพิสูจนท่ีพวกทาน ทั้งหลายสามารถยอมรบั ได นักปราชญฝายซุนนะฮฺไดกลาววา “ในกรณีที่ทานศาสนทูตไดส่ังใหบรรดาสาวกนําหมึก และกระดาษมาใหทานน้ัน ทานไมมีความประสงคท่ีจะบันทึกสิ่งใด ๆ ดอก ซ่ึงเปนเพียงแตทาน ตองการจะบอกเลากับพวกเขาเหลา น้นั นนั่ เอง มใิ ชสิ่งอื่น” เรามีความเห็นวาเหตุการณที่เกิดขึ้นน้ีอยูในชวงที่คับขันของทานศาสนทูต กลาวคือในชวง น้ันมิใชเปนเวลาที่ควรแกการสนทนากันตามปกติ หากแตเปนเวลาท่ีสําคัญเกี่ยวกับการสั่งเสียใน ประเด็นท่ีสําคัญ ๆ โดยแถลงส่ิงตาง ๆ เหลาน้ันใหสมบูรณเพ่ือประชาชาติในชวงนั้นถือวามิใชเปน ยามท่ีไรสาระ หรือจะอางเหตุผลสวนตัวของบุคคลใดข้ึนมา เพราะความสําคัญที่ยิ่งใหญน้ันอยูท่ี คําสง่ั เสยี ของทาน ทงั้ นก้ี เ็ พราะวาทานเปนนบี ในเมื่อวิถีชวี ติ ของทา นศาสนทูตเปนหลักการแหงความถูกตองทุกประการอยางชนิดที่ไมมี แบบแผนของบุคคลใดย่ิงใหญกวาฉะนั้นจะเปนไปไดอยางไรท่ีทานอุมัรจะละเมิดแบบแผนของ ทานในขณะทีท่ า นจวนถงึ แกการวายชนม จะเหน็ ไดว าในเมือ่ พวกเขาเหลา น้ันไดล ะเมิดและถกเถียง อีกทัง้ ขัดแยงกนั ตอ หนา ทาน ทานศาสนทตู แหง อลั ลอฮฺ (อัลลอฮทฺ รงประทานความจําเริญและความ สันตสิ ุขแดทานและแดบ รรดาลกู หลานของทา น) ไดกลา ววา “จงลุกออกไปเถิด” ซ่ึงแสดงใหเห็นวา ทานไมพอใจพวกเขาเหลานั้น และถาหากวาผูท่ีคัดคานทานเปนผายถูกแนนอนทานก็จะกลาวแก พวกเขาเหลาน้ันดวยวิธีการท่ีสนับสนุน ซึ่งแสดงใหเห็นวาเปนการชื่นชมยินดีกับความเห็นของ บคุ คลเหลา น้นั ดวย แตในรายงานของฮาดีษบทน้ี มีขอความท่ีระบุถึงคํากลาวของพวกเขาเหลานั้นวา “ทานศา สนทูตแหง อัลลอฮฺไดเพอ ไปเสยี แลว” เปนอนั วา พวกเขาเหลา นัน้ ตางก็เปน ผูตระหนักดวี าทา นศาสน
ทูตมีความประสงคท่ีจะออกคําสั่งบางประการซึ่งพวกเขาเหลาน้ันมีความไมพอใจเปนทุนเดิมอยู แลว ดวยเหตุน้ีพวกเขาจึงไดกลาวถอยคําเชนนั้นแกทานศาสนทูต และจนถึงกับวาพวกเขาตอง ถกเถียงกันอยางมากมายตอหนาทานศาสนทูตและจนกระท่ังทานอิบนุ อับบาส ตองถึงกับรองไห หลังจากท่ีไดกลาวถึงฮาดีษนี้ อีกทั้งไดระบุวาเรื่องนี้เปนความอับโชคครั้งหนึ่ง ซ่ึงเปนหลักฐานที่ แข็งแรงพอถงึ ขนาดทีจ่ ะสามารถลบลางประเด็นคําตอบของทานได มีบุคคลบางกลุมเขา ใจวา ทานอมุ รั เปน ผูท ่ีมีจุดยืนอยบู นหลกั การแหง ความถกู ตอ ง และเปน ผูบรรลุถึงการดลใจ (อิลฮาม) ท่ีมาจากอัลลอฮฺผูทรงสูงสุด ความจริงแลวเร่ืองนี้เปนประเด็นท่ีมิได สอดคลองกันกับหลักการตามความเขาใจในดานนี้ของเราทั้งหลาย ท้ังน้ีก็เพราะวา กลุมบุคคล ดังกลาวไดยัดเยียดความถูกตองไปใหแกทานอุมัรเพียงฝายเดียวในเหตุการณครั้งน้ัน โดยท่ีมิไดให ความถูกตองน้ัน ๆ แกฝายทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและ แดบรรดาลูกหลานของทาน) อีกท้ังคนกลุมน้ันยังถือวาการดลใจท่ีทานอุมัร ไดรับในวันน้ันเปน หลักการท่นี า เชื่อถือกวาวะฮยฺ ู ซงึ่ อัลลอฮไฺ ดทรงตรัสแกท านศาสนทูตผซู ่อื สตั ย (อลั -อามีน) บุคคลเหลาน้ันไดกลาววา “ทานอุมัรมีความประสงคที่จะผอนคลายความออนเพลียของ ทานนบี (อัลลอฮฺทรงประทานความจําเริญและความสันติสุขแดทานและแดบรรดาลูกหลานของ ทา น) อนั จะเกดิ จากสาเหตทุ ี่ทา นตองบันทึกขอความในขณะที่ทานปวยอยู” ขออัลลอฮฺไดทรงอนุเคราะหชวยเหลือทานดวยสัจธรรมเถิด ทานก็ทราบดีอยูแลววา การ บันทึกขอความไปตามคําสั่งของทานนบีนั่นแหละ จะเปนการสรางความสดชื่นอยางยินดีใหแก จิตใจของทา นนบี เปน การสรางความเจรญิ ตาเจรญิ ใจใหแ กท านในฐานะทท่ี า นไดว างหลกั การความ ปลอดภัยใหแกป ระชาชาติของทา น (อัลลอฮทฺ รงประทานความจาํ เริญและความสนั ตสิ ุขแดท านและ แดบ รรดาลูกหลานของทา น) โดยทีค่ าํ สง่ั ของทานไดมีผูปฏิบัติตาม ซึ่งตรงกับเจตนารมณของพระผู บริสทุ ธ์ิ ฉะนั้นจะเห็นไดวาความประสงคของทานศาสนทูตที่จะใหมีการนําเอาหมึกและกระดาษ ไปใหทานน้ันเปนคําสั่งที่มิบังควรแกบุคคลใด ในอันที่จะตอบโตคําสั่งของทานหรือขัดแยงกันกับ เจตนารมณของทาน ท้งั น้กี ็เพราะวา อัลลอฮฺผูท รงสงู สดุ ไดม โี องการไววา “และมิใชหนาที่ของผูศรทั ธาชายและมิใชหนาที่ของผูศรทั ธาหญงิ ถาเมื่ออัลลอฮฺและศาสน ทูตของพระองคไดตัดสินกิจการหน่ึงกิจการใดไปแลว ท่ีพวกเขาจะทําการเลือกกิจการใด ๆ ของ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317