Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสถานศึกษา ม.ปลายรวมเล่ม2

หลักสูตรสถานศึกษา ม.ปลายรวมเล่ม2

Published by paryphichchac61, 2020-03-20 05:29:31

Description: หลักสูตรสถานศึกษา ม.ปลายรวมเล่ม2

Search

Read the Text Version

51 ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชีว้ ัด เนื้อหำ จำนวน (ชั่วโมง) 3 การจดั การ 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ 1. ความหมาย ความสาคญั 10 ความรู้ หลักการ กระบวนการจัดการ หลกั การ กระบวนการจัดการ 15 15 ความรู้ การรวมกลมุ่ เพ่ือ ความรู้ การรวมกลมุ่ เพอื่ ต่อ 6 ตอ่ ยอดความรู้ การพฒั นาขอบข่าย ยอดความรู้ การพัฒนาขอบข่าย ความรูข้ องกลุม่ การจัดทา ความรู้ของกลมุ่ การจดั ทา สารสนเทศเผยแพร่ความรู้ สารสนเทศเผยแพร่ความรู้ 2. ปฏบิ ตั ิการด้านทักษะ 2. ทักษะกระบวนการ กระบวนการจดั การความรดู้ ว้ ย จดั การความรดู้ ว้ ยตนเอง ตนเองและด้วยการรวมกลุม่ และดว้ ยการรวมกลมุ่ ปฏิบัติการ ปฏบิ ัติการ 3. สรปุ องคค์ วามรู้ของกลุ่ม จดั ทา 3. สรปุ องค์ความรู้ของกลุ่ม จัดทา สารสนเทศองค์ความรูใ้ นการ สารสนเทศองคค์ วามรใู้ นการ พฒั นาตนเอง ครอบครวั พัฒนาตนเอง ครอบครัว 4 การคดิ เป็น 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ 1. ความเช่อื พน้ื ฐานทางการศกึ ษา ของการคดิ เป็น นอกผใู้ หญ่/ การศึกษาระบบท่ี 2. รวบรวมและวิเคราะห์ เชอ่ื มโยงมาสู่ปรชั ญา คิดเป็น สภาพปญั หาของตนเอง 2. ความหมาย ความสาคัญของ 6 8 ครอบครัว ชุมชน และ การคดิ เปน็ คดิ วิเคราะห์ โดยใช้ขอ้ มลู 3. การรวบรวมและวิเคราะห์ ด้านตนเอง ด้านวิชาการ สภาพปญั หาของตนเอง และด้านสงั คม สิ่งแวดล้อม ครอบครัว ชมุ ชน และคิด 3. กาหนดแนวทางทางเลือกท่ี วเิ คราะห์ โดยใชข้ อ้ มลู ด้าน หลากหลายในการแก้ปญั หา ตนเอง ด้านวิชาการ และ 10 อยา่ งมเี หตผุ ล มคี ณุ ธรรม ด้านสงั คม สิ่งแวดลอ้ ม 4. กระบวนการและเทคนิคการ จรยิ ธรรม และมคี วามสขุ เก็บข้อมลู การวิเคราะห์ และ สงั เคราะหข์ ้อมลู ทั้ง 3 ประการ การประยกุ ต์ใช้อย่างมเี หตผุ ล ของบุคคล ครอบครัว และ ชมุ ชน เพือ่ ประกอบการคดิ เหมาะสมกับตนเอง ครอบครวั การตัดสนิ ใจ และชุมชน/สงั คม

52 ที่ หัวเร่อื ง ตัวช้วี ดั เนือ้ หำ จำนวน (ชัว่ โมง) 5 การวจิ ัย อยา่ งงา่ ย 5. การกาหนดแนวทางทางเลือกท่ี 10 หลากหลายในการแก้ปัญหา อยา่ งมีเหตุผล มีคณุ ธรรม จริยธรรม และมีความสขุ อยา่ ง ย่ังยนื การประยกุ ตใ์ ช้อย่างมี เหตุผลเหมาะสมกบั ตนเอง ครอบครัว และ ชมุ ชน/สงั คม 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคัญ 1. ความหมาย ความสาคญั การวิจัย 5 การวจิ ัยอยา่ งงา่ ย กระบวนการและ อยา่ งงา่ ย กระบวนการและข้นั ตอน 5 10 ขน้ั ตอนของการดาเนนิ งาน ของการดาเนินงาน 10 2. อธบิ าย และฝกึ ปฏบิ ตั ิเก่ยี วกบั 2. สถติ งิ า่ ย ๆ เพอ่ื การวจิ ยั 10 สถิตงิ ่าย ๆ เพ่อื การวจิ ัย 3. การสรา้ งเครอ่ื งมือการวิจยั 3. สรา้ งเครือ่ งมอื การวิจยั อยา่ ง 4. การเขยี นโครงการวจิ ยั อยา่ ง ง่าย ๆ งา่ ย ๆ 4. ปฏบิ ัติการเขียนโครงการวิจยั 5. ทักษะการวิจยั ในอาชพี การเขียน อยา่ งง่าย ๆ และมีทกั ษะการวจิ ัยใน รายงานวิจยั การนาเสนอและ อาชีพ เผยแพรง่ านวิจัย 5. การเขยี นรายงานวิจยั การ นาเสนอและเผยแพรง่ านวิจยั

53 สำระควำมรพู้ น้ื ฐำน สำระควำมรพู้ น้ื ฐำน เปน็ สาระเกีย่ วกบั ภาษาและการสอ่ื สาร คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สำระควำมรู้พ้นื ฐำน ประกอบด้วย 2 มำตรฐำน ดงั น้ี มาตรฐานท่ี 2.1 มคี วามร้คู วามเขา้ ใจ และทกั ษะพน้ื ฐานเกี่ยวกับภาษาและการส่ือสาร มาตรฐานที่ 2.2 มีความร้คู วามเข้าใจ และทกั ษะพนื้ ฐานเกีย่ วกับคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี มำตรฐำนกำรเรียนรรู้ ะดับ และผลกำรเรียนรู้ทคี่ ำดหวัง ในแต่ละมำตรฐำน มำตรฐำนที่ 2.1 มีความรูค้ วามเข้าใจ และทกั ษะพืน้ ฐานเกีย่ วกับภาษาและการส่อื สาร รำยวิชำ ภำษำไทย มำตรฐำน กำรฟัง กำรดู กำรเรียนรู้ระดบั 1. สามารถเลอื กสอื่ ในการฟัง และดอู ยา่ งสร้างสรรค์ 2. สามารถฟังและดู อยา่ งมีวจิ ารณญาณ ผลกำรเรียนรู้ 3. เปน็ ผมู้ ีมารยาทในการฟังและดู ที่คำดหวงั 1. เหน็ คณุ ค่าของสือ่ ในการฟังและดู 2. วิจารณค์ วามสมเหตสุ มผล การลาดบั ความ และความเปน็ ไปได้ ของเรือ่ งท่ีฟังและดู 3. นาเสนอความรู้ ความคิดเห็นทไี่ ด้ จากการฟงั และดู 4. ปฏบิ ัติตนเป็นผู้มมี ารยาทในการฟงั และดู มำตรฐำน กำรเขียน กำรเรียนรู้ระดับ 1. รูแ้ ละเขา้ ใจหลกั การเขยี นประเภทต่าง ๆ โดยใช้คาในการเขียนไดต้ รงความหมาย ผลกำรเรียนรู้ 2. และถูกต้องตามอักขระวิธแี ละระดับภาษา ทคี่ ำดหวัง 3. สามารถวพิ ากษว์ จิ ารณ์และประเมินงานเขียนของผู้อน่ื เพื่อนามาพฒั นางานเขียน 4. สามารถแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภท รอ้ ยแก้วและร้อยกรอง 5. มมี ารยาทในการเขียน และนิสัยรักการเขยี น 1. กรอกแบบพิมพป์ ระเภทตา่ ง ๆ ได้ถูกตอ้ ง เขยี นยอ่ ความ เรียงความ จดหมาย 2. เขยี นอธบิ ายชี้แจง โนม้ น้าวใจ แสดงทัศนะ และการเขยี นเชิงสร้างสรรค์ 3. โดยใชห้ ลักการเขยี นและโวหารตา่ ง ๆ ไดถ้ กู ต้องตามอกั ขระวิธแี ละระดบั ภาษา 4. แต่งคาประพันธ์ประเภทร้อยกรองได้ถกู ต้องตามฉนั ทลักษณแ์ ละใชถ้ ้อยคาที่ไพเราะ 5. ปฏบิ ัตติ นเปน็ ผู้มีมารยาทในการเขียน และมกี ารจดบนั ทึกอย่างสมรเสมอ

54 มำตรฐำน กำรพดู กำรเรียนรู้ระดับ 1. สามารถพดู ท้ังท่เี ป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยใชภ้ าษาถกู ตอ้ งเหมาะสม 2. สามารถแสดงความคิดเหน็ เชงิ วิเคราะห์ และประเมินคา่ การใชภ้ าษาพูดจากสือ่ ต่าง ๆ 3. มมี ารยาทในการพดู ผลกำรเรยี นรู้ 1. ใช้ศิลปะการพูดทเี่ ป็นทางการและไม่เปน็ ทางการได้อย่างเหมาะสมกับโอกาสและบุคคล ที่คำดหวงั 2. วเิ คราะห์ ประเมินค่าการใช้ภาษาพดู จากส่อื ตา่ ง ๆ 3. ปฏิบตั ติ นเปน็ ผูม้ ีมารยาทในการพดู มำตรฐำน กำรอำ่ น กำรเรยี นรู้ระดับ 1. สามารถอา่ นอยา่ ง มวี ิจารณญาณ จัดลาดับความคดิ จากเรือ่ งที่อ่าน 2. สามารถศกึ ษาภาษาถิ่น สานวน สุภาษติ ทม่ี อี ยใู่ นวรรณคดี วรรณกรรมปจั จบุ นั และวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ 3. สามารถวิเคราะห์ วจิ ารณ์ ประเมินคา่ องค์ประกอบของวรรณคดี วรรณกรรมปัจจบุ ัน วรรณกรรมทอ้ งถ่ิน 4. สามารถคน้ ควา้ หาความรู้จากส่ือสิ่งพมิ พแ์ ละสือ่ สารสนเทศ 5. ปฏิบตั ติ นเป็นผู้มีมารยาทในการอา่ น และนิสัยรกั การอา่ น ผลกำรเรียนรู้ 1. ตีความ แปลความ และขยายความเรอื่ งที่อา่ น ที่คำดหวงั 2. วิเคราะห์ วจิ ารณ์ความสมเหตสุ มผล การลาดับความคดิ และความเปน็ ไปได้ ของเรื่อง ท่ีอ่าน 3. อธบิ ายความหมาย ของภาษาถน่ิ สานวน สุภาษติ ที่ปรากฏในวรรณคดี วรรณกรรม ปจั จุบัน วรรณกรรมทอ้ งถ่ิน 4. วิเคราะห์ วิจารณ์ประเมนิ ค่าวรรณคดี วรรณกรรมปัจจบุ ันวรรณกรรมท้องถิ่น ในฐานะท่เี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติแลว้ นาไปประยุกต์ใชใ้ นการดาเนินชวี ติ 5. เลอื กใชส้ อ่ื ในการคน้ ควา้ หาความร้ทู ่หี ลากหลาย 6. มีมารยาทในการอา่ นและมนี สิ ยั รักการอ่าน มำตรฐำน หลักกำรใชภ้ ำษำ กำรเรียนรูร้ ะดบั 1. รแู้ ละเขา้ ใจธรรมชาติของภาษา 2. สามารถใช้ภาษาสรา้ งมนษุ ยสัมพันธใ์ นการปฏบิ ตั งิ านรว่ มกับผอู้ ื่น และใช้ คาราชาศพั ท์ คาสภุ าพได้ถกู ต้องตามฐานะของบคุ คล ผลกำรเรียนรู้ 1. อธบิ ายธรรมชาติของภาษาและใชป้ ระโยคตามเจตนาของการสือ่ สาร ทคี่ ำดหวงั 2. เลอื กใช้ถอ้ ยคา สานวน สุภาษิต คาพังเพย ให้ตรงความหมาย 3. ใช้ประโยคไดถ้ ูกต้องตามเจตนาของผู้สง่ สาร 4. ใชค้ าสภุ าพ และคาราชาศพั ท์ใหถ้ ูกต้องตามฐานะและบุคคล

55 ผลกำรเรยี นรู้ 5. อธบิ ายธรรมชาตขิ องภาษาและใชป้ ระโยคตามเจตนาของการสื่อสาร ท่ีคำดหวัง 6. เลอื กใชถ้ ้อยคา สานวน สุภาษติ คาพงั เพย ให้ตรงความหมาย 7. ใชป้ ระโยคได้ถูกตอ้ งตามเจตนาของผ้สู ่งสาร 8. ใช้คาสุภาพ และคาราชาศัพทใ์ ห้ถกู ตอ้ งตามฐานะและบคุ คล มำตรฐำน วรรณคดี วรรณกรรม กำรเรยี นรู้ระดับ 1. สามารถวเิ คราะห์และเหน็ คุณคา่ วรรณคดี วรรณกรรมปัจจุบนั และวรรณกรรม ทอ้ งถนิ่ โดยใชห้ ลักการพินิจวรรณคดี ผลกำรเรยี นรู้ 1. วิจารณ์ และอธิบายคณุ ค่าวรรณคดี วรรณกรรมปัจจุบนั และวรรณกรรมทอ้ งถ่นิ ท่ีคำดหวัง รำยวชิ ำ ภำษำต่ำงประเทศ มำตรฐำน มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะและเจตคติเกี่ยวกับ ภาษาท่าทาง การฟัง พูด อา่ น เขยี น กำรเรยี นรู้ระดบั ภาษาตา่ งประเทศ ด้วยประโยคทีซ่ ับซ้อนมากขึน้ ในชวี ิตประจาวนั และงานอาชีพ ของตน ถกู ต้องตามหลกั ภาษาวัฒนธรรม และกาลเทศะของเจา้ ของภาษา ผลกำรเรยี นรู้ 1. เข้าใจเกีย่ วกบั ภาษา ทา่ ทาง ฟัง พดู อ่าน เขยี น ด้วยประโยคทีซ่ บั ซอ้ นมากขึน้ ใน ท่ีคำดหวงั ชวี ติ ประจาวนั และงานอาชพี 2. ปฏิบตั ติ นไดถ้ ูกตอ้ งตามมารยาทและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา 3. มที ักษะท่ีถกู ต้องตามหลักภาษา วฒั นธรรม และกาลเทศะของเจา้ ของภาษา มำตรฐำนท่ี 2.2 มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ และทกั ษะพืน้ ฐานเก่ยี วกบั คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รำยวิชำ คณติ ศำสตร์ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกับจานวน และการดาเนนิ การ เลขยกกาลังที่มเี ลขชี้กาลัง มำตรฐำน เปน็ จานวนตรรกยะ เซต และการให้เหตุผล อตั ราสว่ นตรีโกณมติ ิ และการนาไปใช้ กำรเรยี นร้รู ะดบั การใชเ้ คร่ืองมอื และการออกแบบผลิตภณั ฑ์ สถติ เิ บ้อื งตน้ และความนา่ จะเปน็ ผลกำรเรยี นรู้ 1. ระบุหรือยกตัวอย่างเกีย่ วกบั จานวนและการดาเนินการ เลขยกกาลงั ทม่ี ีเลขชกี้ าลงั ที่คำดหวงั เปน็ จานวนตรรกยะ เซต และการให้เหตผุ ล อัตราสว่ นตรีโกณมติ ิ การใช้ เคร่ืองมือและ การออกแบบผลิตภณั ฑ์ สถิติเบื้องตน้ และความนา่ จะเป็น 2. สามารถคดิ คานวณและแกโ้ จทย์ปญั หาเก่ยี วกบั จานวนจริง เลขยกกาลัง อตั ราสว่ น ตรโี กณมติ ิ สถติ ิและความนา่ จะเป็น

56 รำยวชิ ำ วิทยำศำสตร์ มำตรฐำน มีความรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะ และเหน็ คณุ ค่าเท่ียวกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กำรเรียนรู้ระดบั เทคโนโลยี สงิ่ มีชวี ติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม ในทอ้ งถ่ิน ประเทศและโลก สาร แรง พลังงาน กระบวนการเปลยี่ นแปลงของโลกและ ดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตรแ์ ละนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชนใ์ นการดาเนนิ ชวี ติ ผลกำรเรยี นรู้ 1. ใช้ความรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะ ทค่ี ำดหวงั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ และนาผลไปใชไ้ ด้ 2. อธบิ ายเกี่ยวกบั การแบ่งเซลล์ พันธุกรรมและการถา่ ยทอดทางพันธกุ รรม การผ่าเหล่า ความหลากหลายทางชวี ภาพ เทคโนโลยีชวี ภาพ การใช้ประโยชน์ และผลกระทบ ท่ี เกิดจากการใชเ้ ทคโนโลยชี ีวภาพตอ่ สงั คม และส่งิ แวดล้อมได้ 3. อธิบายเกย่ี วกบั ปญั หาท่ีเกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอ้ มใน ระดบั ท้องถิ่น ประเทศและโลกปรากฏการณท์ างธรณวี ทิ ยาที่มีผลกระทบตอ่ ชีวิต และ สง่ิ แวดล้อม วางแผนและปฏบิ ัตริ ว่ มกับชุมชนเพอื่ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หา ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อมได้ 4. อธบิ ายเกย่ี วกบั โครงสรา้ งอะตอม ตารางธาตุ สมการและปฏิกริ ยิ าเคมีท่ีพบใน ชวี ิตประจาวนั คารโ์ บไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ปโิ ตรเลียมและผลติ ภณั ฑ์ พอลเิ มอร์ สารเคมกี ับชวี ติ การนาไปใช้และผลกระทบตอ่ ชวี ติ และส่ิงแวดลอ้ มได้ 5. อธบิ ายเกี่ยวกับแรงและความสมั พันธ์ของแรงกับการเคลอ่ื นท่ีในสนามโน้มถ่วง สนามแม่เหล็ก สนามไฟฟ้า การเคลอื่ นที่แบบตา่ ง ๆ และการนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ 6. อธิบายเกีย่ วกบั สมบตั ิ ประโยชนแ์ ละมลภาวะจากเสียง ประโยชนแ์ ละโทษของ ธาตกุ ัมมนั ตรังสีตอ่ ชีวติ และส่ิงแวดลอ้ มได้ 7. ศึกษา คน้ คว้าและอธิบายเกย่ี วกับการใช้เทคโนโลยอี วกาศในการศึกษาปรากฏการณ์ ตา่ ง ๆ บนโลกและในอวกาศ

57 สำระควำมร้พู ื้นฐำน รำยวชิ ำบังคบั มำตรฐำนท่ี ระดบั มัธยมศึกษำตอนปลำย 2.1 สำระ รหสั รำยวิชำ รำยวิชำบังคบั หนว่ ยกติ 2.1 5 2.2 พท31001 ภาษาไทย 5 2.2 5 ความร้พู ืน้ ฐาน พต31001 ภาษาองั กฤษเพื่อชวี ติ และสงั คม 5 พค31001 คณิตศาสตร์ 20 พว31001 วิทยาศาสตร์ รวม รำยวชิ ำเลอื กบังคบั มำตรฐำนท่ี ระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนปลำย 2.2 สำระ รหสั รำยวิชำ รำยวิชำเลือก หนว่ ยกติ มำตรฐำนท่ี ความรู้พื้นฐาน 3 2.2 พว32023 การใช้พลังงานไฟฟา้ ในชีวติ ประจาวัน 3 3 พว32034 วสั ดุศาสตร์ รวม รำยวิชำเลอื กเสรี ระดับมธั ยมศกึ ษำตอนปลำย สำระ รหสั รำยวชิ ำ รำยวชิ ำเลอื ก หน่วยกิต ความรูพ้ ื้นฐาน 2 พว03032 พลังงานทดแทน 3 2 พว03010 โครงงานวิทยาศาสตร์ 5 12 พว33054 โลกและอวกาศ พท33023 การเขียนอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ รวม

58 คำอธิบำยรำยวิชำ พท31001 ภำษำไทย จำนวน 5 หน่วยกิต ระดบั มัธยมศึกษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรียนรู้ ระดบั กำรฟงั กำรดู 1. สามารถเลือกสอ่ื ในการฟงั และดูอยา่ งสร้างสรรค์ 2. สามารถฟงั และดอู ยา่ งมีวิจารณญาณ 3. เป็นผู้มีมารยาทในการฟังและดู กำรพูด 1. สามารถพูดทัง้ ทีเ่ ปน็ ทางการ และไม่เปน็ ทางการ โดยใชภ้ าษาถูกตอ้ งเหมาะสม 2. สามารถแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ และประเมินค่าการใช้ภาษาพดู จากสื่อต่าง ๆ 3. มีมารยาทในการพูด กำรอำ่ น 1. สามารถอ่านอยา่ งมวี ิจารณญาณ จัดลาดบั ความคิดจากเรอ่ื งท่ีอ่าน 2. สามารถศกึ ษาภาษาถิ่น สานวน สุภาษติ ที่มอี ยใู่ นวรรณคดี วรรณกรรมปัจจบุ ัน และวรรณกรรม ทอ้ งถ่นิ 3. สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินค่าองค์ประกอบของวรรณคดี วรรณกรรมปจั จบุ นั วรรณกรรม ทอ้ งถน่ิ 4. สามารถคน้ ควา้ หาความรจู้ ากสื่อสง่ิ พมิ พ์และสื่อสารสนเทศ 5. ปฏบิ ัติตนเป็นผู้มีมารยาทในการอา่ น และนิสยั รกั การอ่าน กำรเขยี น 1. รู้และเข้าใจหลกั การเขียนประเภทตา่ ง ๆ โดยใชค้ าในการเขยี นไต้ตรงความหมาย และถูกตอ้ ง ตามอักขระวธิ แี ละระดบั ภาษา 2. สามารถวพิ ากษ์วิจารณแ์ ละประเมินงานเขียนของผูอ้ นื่ เพ่อื นามาพฒั นางานเขยี น 3. สามารถแต่งคาประพันธ์ประเภทรอ้ ยแก้วและรอ้ ยกรอง 4. มีมารยาทในการเขียน และนิสยั รกั การเขยี น หลักกำรใช้ภำษำ 1. รแู้ ละเขา้ ใจธรรมชาตขิ องภาษา 2. สามารถใช้ภาษาสรา้ งมนุษยสมั พนั ธใ์ นการปฏิบตั งิ านรว่ มกับผู้อน่ื และใชค้ าราชาศัพท์ คาสุภาพ ได้ถูกต้องตามฐานะของบุคคล วรรณคดี วรรณกรรม สามารถวิเคราะห์และเหน็ คณุ คา่ วรรณคดี วรรณกรรมปัจจุบนั และวรรณกรรมทอ้ งถิ่น โดยใช้ หลักการ พนิ จิ วรรณคดี

59 ศึกษำและฝึกทกั ษะเกยี่ วกบั เร่อื งดังต่อไปน้ี กำรฟัง กำรดู การวจิ ารณ์ความสมเหตสุ มผล การลาดับความและความเปน็ ไปได้ของเร่ืองท่ีฟังและดจู ากส่ือท่ี หลากหลาย ตลอดจนมารยาทของการพฟงั และดู กำรพูด ศิลปะการพูดที่เปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ และมารยาทในการพูด กำรอำ่ น การอา่ นเพอื่ ตีความ แปลความ ขยายความ ความหมายของภาษาถิน่ สานวน สภุ าษิต องคป์ ระกอบ ของการประเมินค่าวรรณคดี วรรณกรรมปัจจุบนั และวรรณกรรมทอ้ งถิน่ ตลอดจนมารยาทในการอ่าน กำรเขียน หลกั การเขียนประเภทตา่ ง ๆ และการแตง่ คาประพนั ธ์ประเภทร้อยกรอง ตลอดจนมารยาทในการ เขยี น หลักกำรใชภ้ ำษำ ธรรมชาติของภาษา การใช้ถอ้ ยคา ประโยค สานวน สภุ าษติ คาพงั เพย คาสุภาพ คาราชาศัพท์ วรรณคดีและวรรณกรรม หลกั การพินิจและประเมนิ คณุ ค่าเก่ยี วกบั วรรณคดี วรรณกรรมปัจจุบนั และวรรณกรรมทอ้ งถ่ิน กำรจดั ประสบกำรณก์ ำรเรยี นรู้ จดั ประสบการณ์หรอื สถานการณใ์ นชีวติ ประจาวันใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกปฏบิ ตั ิจริงเก่ียวกบั ทกั ษะการฟงั การดู การพูด การอา่ น การเขียน และหลักการใชภ้ าษาเปน็ รายบคุ คลหรือใช้กระบวนการกล่มุ กำรวัดและประเมินผล การสังเกต การฝึกปฏิบตั ิ การทดสอบ ตรวจสอบ ตอบคาถาม และการประเมนิ ชนิ้ งานในแตล่ ะ กจิ กรรม

60 รำยละเอยี ดคำอธิบำยรำยวิชำ พท31001 ภำษำไทย จำนวน 5 หนว่ ยกิต ระดับมธั ยมศกึ ษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรียนรู้ระดับ กำรฟังกำรดู 1. สามารถเลอื กสื่อในการฟงั และการดูอยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. สามารถฟังและดูอย่างมวี จิ ารณญาณ 3. เป็นผมู้ ีมารยาทในการฟงั และดู กำรพดู 1. สามารถพดู ท้ังที่เป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการโดยใช้ภาษาถกู ต้องเหมาะสม 2. สามารถแสดงความคิดเห็นเชงิ วิเคราะหแ์ ละประเมินค่าการใช้ภาษาพดู จากส่ือ ต่าง ๆ 3. มีมารยาทในการพดู กำรอำ่ น 1. สามารถอ่านอย่างมวี ิจารณญาณจัดลาดับความคดิ จากเรือ่ งที่อา่ น 2. สามารถศึกษาภาษาถน่ิ สานวนสุภาษิตทีม่ ีอยใู่ นวรรณคดวี รรณกรรมปัจจบุ ัน และวรรณกรรมท้องถ่ิน 3. สามารถวิเคราะห์วจิ ารณ์ประเมินคา่ องคป์ ระกอบของวรรณคดวี รรณกรรม ปัจจบุ นั วรรณกรรมทอ้ งถิ่น 4. สามารถค้นคว้าหาความรจู้ ากสื่อส่ิงพมิ พแ์ ละสอ่ื สารสนเทศ 5. ปฏิบตั ิตนเปน็ ผ้มู ีมารยาทในการอ่านและนิสัยรักการอา่ น กำรเขยี น 1. รแู้ ละเขา้ ใจหลักการเขียนประเภทต่าง ๆ โดยใชค้ าในการเขียนได้ตรง ความหมาย และถูกต้องตามอักขระวธิ ีและระดับภาษา 2. สามารถวพิ ากษ์วจิ ารณ์และประเมินงานเขียนของผอู้ ื่นเพอื่ นามาพัฒนางานเขยี น 3. สามารถแต่งคาประพนั ธ์ประเภทรอ้ ยแก้วและรอ้ ยกรอง 4. มีมารยาทในการเขยี นและนิสยั รกั การเขียน หลกั กำรใชภ้ ำษำ 1. รแู้ ละเขา้ ใจธรรมชาติของภาษา 2. สามารถใชภ้ าษาสร้างมนุษยสมั พันธ์ในการปฏิบตั งิ ารว่ มกับผอู้ นื่ และใช้คา ราชาศพั ท์ คาสุภาพไดถ้ กู ต้องตามฐานะของบคุ คล วรรณคดีวรรณกรรม สามารถวิเคราะห์และเหน็ คณุ ค่าวรรณคดวี รรณกรรมปัจจบุ นั และ วรรณกรรมท้องถนิ่ โดยใช้หลักการพนิ จิ วรรณคดี

61 ท่ี หวั เรอ่ื ง ตวั ชว้ี ดั เนอื้ หำ จำนวน (ชวั่ โมง) 1 การฟงั การดู 1. เห็นคณุ ค่าของส่ือในการฟังและดู 1. หลักการฟังและดู 10 2. วจิ ารณค์ วามสมเหตสุ มผล การ 2. สรปุ ความ จับประเดน็ ใจความ 4 ลาดับความและความเป็นไปได้ สาคัญของเร่อื งท่ีฟงั และดู 4 2 ของเรือ่ งทฟ่ี งั และดู 2 8 3. นาเสนอความรู้ ความคิดเห็น 3. การวเิ คราะหข์ ้อเทจ็ จรงิ 8 ท่ไี ด้จากการฟังและดู ข้อคดิ เห็นและสรปุ ความ 2 2 4. ปฏิบตั ิตนเป็นผูม้ มี ารยาทใน 4. มารยาทในการฟงั และดู 7 การฟงั และดู 10 2 การพดู 1. ใชศ้ ลิ ปะการพดู ท่เี ป็นทางการ 1. หลักการแสดงความคดิ เห็น และไม่เป็นทางการไดอ้ ยา่ ง 2. การพูดเปน็ ทางการ เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล และไม่เป็นทางการ 2. วิเคราะห์ ประเมินคา่ การใช้ 3. ศลิ ปะการพูดประเภทต่าง ๆ เชน่ ภาษาพดู จากส่ือตา่ ง ๆ - พูดแนะนาตนเอง 3. ปฏิบัตติ นเป็นผู้มีมารยาทใน - พูดกลา่ วตอ้ นรบั การพูด - พดู กล่าวขอบคณุ - พูดโน้มน้าวใจ/ปฏเิ สธ - พดู เจรจาตอ่ รอง - พดู แสดงความคิดเหน็ - พูดอธิบาย - พดู สนุ ทรพจน์ /โต้วาที 4. มารยาทในการพูด 3 การอ่าน 1. ตีความ แปลความและขยาย 1. หลกั การตีความ แปลความและ ความเร่ืองทีอ่ ่าน ขยายความ 2. วิเคราะห์วจิ ารณค์ วามสมเหตุ 2. การอ่านบทประพันธ์ ที่ไพเราะ สมผล การลาดบั ความคิดและ ท้ังร้อยแก้ว ร้อยกรอง ความเปน็ ไปไดข้ องเร่อื งท่อี ่าน 3. อธบิ ายความหมายของภาษาถิน่ 3. การอ่านวรรคตอนในวรรณคดี สานวนสภุ าษติ ที่ปรากฏใน จากเรือ่ ง ขุนช้างขนุ แผน พระอภยั มณี วรรณคดวี รรณกรรมปจั จบุ ัน อเิ หนา นิทานเวตาล นิราศพระบาท วรรณกรรมท้องถิน่ นิราศภเู ขาทอง รา่ ยยาว มหาเวสสันดรชาดก มัทนพาธา พระมหาชนก (ทศชาติชาดก)

62 ท่ี หัวเรอ่ื ง ตวั ช้วี ดั เนอื้ หำ จำนวน (ชั่วโมง) 4. วเิ คราะห์วจิ ารณ์ประเมินคา่ 4. หลกั การวเิ คราะห์ วิจารณ์ และ 20 วรรณคดีวรรณกรรมปจั จบุ นั ประเมินอ่าวรรณคดี วรรณกรรมปัจจบุ นั 1 วรรณกรรมท้องถิ่นในฐานะ และวรรณกรรมทอ้ งถิน่ เช่น วรรณกรรม ท่เี ป็นมรดกทางวัฒนธรรม ปจั จบุ ัน ไดแ้ ก่ บทละครโทรทัศน์ นว ของชาติ แล้วนาไปประยกุ ต์ใช้ นิยาย เรือ่ งสั้น บทเพลง ตา่ ง ๆ ในการดาเนนิ ชีวิต วรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ไดแ้ ก่ ไกรทอง นางสบิ สอง ปลาปทู อง ผาแดง นางไอ่คา 5. เลือกใชส้ อื่ ในการค้นควา้ หา ละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ฯลฯ ความรูที่หลากหลาย 5. การมีมารยาทในการอ่าน 6. มมี ารยาทในการอ่านและมี นสิ ัยรักการอ่าน 4 การเขยี น 1. เขยี นแผนภาพความคิด 1. การเขยี นแผนภาพความคิด 2 2 เขียนย่อความ เรยี งความ 2. การเขียนย่อความ 2 จดหมาย เขยี นอธิบาย 3. การเขยี นเรยี งความ 2 ชี้แจง โน้มนา้ วใจ แสดงทัศนะ 4. การเขียนจดหมาย 2 2 และการเขียนเชิงสร้างสรรค์ 5. การเขียนอธบิ าย โดยใชห้ ลกั การเขยี นและโวหาร 6. การเขียนชแี้ จง โนม้ น้าวใจ 2 ต่าง ๆ ได้ถูกต้องตามอกั ขระวิธี 7. การเขยี นแสดงทศั นะ 2 2 และระดับภาษา 8. การเขียนคาขวัญ 6 9. การเขยี นคาโฆษณา 7 2. แตง่ คาประพันธป์ ระเภท 10. หลักการเขยี นโวหารแบบต่างๆ รอ้ ยกรองไดถ้ กู ตอ้ งตาม 5 11. การเขยี นพรรณนาและการ 1 ฉนั ทลกั ษณ์และใช้ถอ้ ยคา เขียนบรรยายเหตกุ ารณ์ 2 ทไี่ พเราะ 3. การกรอกแบบพมิ พ์ประเภท 12. หลักการเขยี นรายงานทางวชิ าการ ตา่ ง ๆ ได้ถกู ต้อง 13. หลกั การเขียนอา้ งองิ 14. การกรอกแบบพมิ พป์ ระเภท ตา่ ง ๆ เช่น กรอกใบสมคั รงาน กรอกใบสมคั รเรยี น กรอกใบ คารอ้ งตา่ ง ๆ

ท่ี หวั เรอ่ื ง ตัวช้วี ดั เนอื้ หำ 63 จำนวน 5 หลักการ 4. ปฏบิ ตั ิตนเป็นผู้มีมารยาทใน 15. การปฏิบัติตนเป็นผ้มู ีมารยาท (ชว่ั โมง) ใช้ภาษา การเขยี น และมีการจดบันทกึ ในการเขียนและมนี ิสยั รัก อยา่ งสม่าเสมอ การเขยี น 1 1. อธบิ ายธรรมชาติของภาษาและ 1. ธรรมชาตขิ องภาษา ใชป้ ระโยคตามเจตนาของการ 10 - การเปลีย่ นแปลงของภาษา สื่อสาร 4 - ลักษณะของภาษา 10 2. เลอื กใชถ้ ้อยคาสานวนสภุ าษิต - พลงั ของภาษา คาพงั เพยใหต้ รงความหมาย 2. การใชถ้ ้อยคา สานวน สุภาษิต 8 คาพงั เพย 3. ใช้ประโยคได้ถกู ตอ้ งตามเจตนา 8 ของผสู้ ง่ สาร 3. โครงสรา้ งของประโยค 10 รูปประโยค และชนิด 4. ใชค้ าสภุ าพและคาราชาศพั ท์ให้ ของประโยค 15 ถูกตอ้ งตามฐานะและบุคคล 4. ระดับภาษา 15 5. แต่งคาประพันธ์ประเภท 5. คาสุภาพ 6. คาราชาศัพท์ ร้อยกรอง 7. การแตง่ คาประพนั ธป์ ระเภท ร้อยกรอง 6 วรรณคดแี ละ อธบิ ายคุณคา่ วรรณคดวี รรณกรรม วรรณกรรม ปัจจบุ ันและวรรณกรรมท้องถ่นิ 1. ความหมายของวรรณคดี วรรณกรรมปจั จุบนั และ วรรณกรรมท้องถน่ิ 2. คุณคา่ ของวรรณคดี และ วรรณกรรม ดา้ นวรรณศิลป์ และดา้ นสังคม 3. แนวคิดและคา่ นยิ ม ทีป่ รากฏ ในวรรณคดแี ละวรรณกรรม

64 คำอธิบำยรำยวิชำ พต31001 ภำษำองั กฤษเพอ่ื ชีวติ และสังคม จำนวน 5 หน่วยกติ ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรียนรูร้ ะดบั มีความรู้ ควา มเข้า ใจ ทักษะและเจตคติเก่ียวกับภา ษา ท่า ทา ง การ ฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาต่างประเทศ ด้วยประโยคทซี่ บั ซอ้ นมากขนึ้ ในชีวิตประจาวนั และงานอาชพี ของ ตน ถูกต้องตามหลัก ภาษาวัฒนธรรม และ กาลเทศะของเจ้าของภาษา ศกึ ษำและฝกึ ทกั ษะเก่ียวกับเรอื่ งดงั ต่อไปนี้ 1. การตคี วามหมายจากน้าเสียงของผอู้ น่ื ว่ามคี วามรูส้ ึกดีใจ เสียใจ พึงพอใจ ไม่พึงพอใจ ซาบซึ้ง ผดิ หวัง ปรารถนาดี ช่ืนชมหรือเหน็ ใจ และการใช้น้าเสียงแสดงความรสู้ กึ ของตัวเองในโอกาสต่าง ๆ การอา่ น ทาความเขา้ ใจและปฏิบัติตามข้อมลู ทีป่ รากฏอยูใ่ นสลากสนิ ค้าการพดู ทางโทรศพั ท์ในสถานการณ์ต่าง ๆที่ ถูกต้อง การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมองั กฤษและวัฒนธรรมไทย รวมทัง้ สามารถปฏิบัติตน ไดถ้ ูกตอ้ งตามวฒั นธรรมและประเพณีตา่ ง ๆ 2. การอ่านและวิเคราะห์ขอ้ มลู จากส่ือต่าง ๆ เช่น หนงั สอื พมิ พ์ วทิ ยุ โทรทศั น์ ภาพยนตร์ ในดา้ น ต่าง ๆ ท่ีหลากหลาย การสบื ค้นข้อมูลจาก Internet เพื่อนามาใช้ประโยชน์ในการดารงชีวติ ในสงั คม การรับ และ ตอบ e-mail ทั้งในเร่อื งส่วนตัว ในการศึกษาและในการประกอบอาชีพ วธิ กี ารแลกเปลยี่ นข้อมูลขา่ วสาร และ ความร้ตู ่าง ๆ กบั ผู้อ่นื ท้ังอย่างเปน็ ทางการและไม่เปน็ ทางการ โดยเขา้ ใจโครงสรา้ งของประโยค ที่ ซบั ซ้อน (Complex Sentence) และใช้ Tense ต่าง ๆ ในการแสวงหาข่าวสาร ขอ้ มูล ความรู้และในการ สอ่ื สารได้อยา่ ง ถูกตอ้ งและเหมาะสมกับสถานการณ์ กำรจัดประสบกำรณก์ ำรเรยี นรู้ เนน้ การฟัง พูด อ่าน เขียน จากสถานการณจ์ ริงหรือสถานการณจ์ าลอง โดยใช้สือ่ ทเี่ หมาะสมและ สอดคลอ้ งกบั เนือ้ หาในการเรยี นรู้ กำรวัดและประเมนิ ผล พิจารณาจากความสามารถในการนาความรแู้ ละทักษะไปใชใ้ นสถานการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างถูกต้อง เหมาะสม

65 รำยละเอียดคำอธิบำยรำยวิชำพต31001 ภำษำอังกฤษเพอื่ ชวี ติ และสงั คมจำนวน 5 หน่วยกิต ระดับมธั ยมศึกษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรียนรู้ระดับ มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะและเจตคติเก่ียวกับ ภาษาท่าทาง การฟัง พดู อ่าน เขียนภาษา ตา่ งประเทศ ดว้ ยประโยคทซ่ี ับซ้อนมากขึ้นในชีวติ ประจาวนั และงานอาชีพของตน ถูกต้องตามหลักภาษา วัฒนธรรม และกาลเทศะของเจา้ ของภาษา ท่ี หวั เรื่อง ตวั ชว้ี ดั เนอ้ื หำ จำนวน (ชวั่ โมง) 1 Everyday ตคี วามหมายจาก English นา้ เสยี งของผอู้ ่นื 1. กำรออกเสยี งพยญั ชนะต้นคำ -ท้ำยคำ 2 และร้จู กั ใช้น้าเสยี ง ในการแสดง 1.1 ทบทวนการออกเสยี ง พยัญชนะต้นคาท่ี ความรู้สกึ ระหวา่ ง การสนทนา ได้แก่ ยาก เชน่ เสียง s z ch sh ดใี จ เสียใจ พึงพอใจ ไม่พงึ พอใจ - sit, see, soon ซาบซง้ึ ผดิ หวงั ปรารถนาดี - zebra, zero, zoo ชนื่ ชม และเหน็ ใจ - cheap, chat, choose - ship, shoe, shut etc. 1.2 การอา่ นออกเสียงทา้ ยคาท่ถี ูกตอ้ ง 2 เช่น เสยี ง [d] , [t] , หรือ [id] เมื่อเปน็ กรยิ าชอ่ ง 2 และ past participle เช่น - moved, turned, loved - walked, talked, knocked - wanted, rented, waited etc. 2. กำรออกเสยี งหนัก-เบำ (Stress) วิธีการ 4 ออกเสียง หนัก-เบา ของคาในลักษณะตา่ ง ๆ เชน่ คาเดี่ยว คาประสมในลักษณะต่าง ๆ เป็น ต้นวา่ คาประเภทใดจะตอ้ งออกเสียงเน้นที่ พยางค์แรก พยางค์กลาง หรือพยางค์หลัง 3. กำรออกเสยี งตำมระดับเสยี งสูง-ต่ำ 2 (Intonation) วิธกี ารออกเสยี งของประโยค ลักษณะตา่ ง ๆ ซึ่งจะต้องออกเสยี งสูง-ตา่ ให้ ถกู ต้องเพื่อให้ สื่อความหมายทผี่ พู้ ูด ตอ้ งการ ประโยคประเภทเดยี วกัน ถ้าออกเสยี งสงู - ตา่ ต่างกันจะให้ความรสู้ กึ ทต่ี ่างกนั 4. กำรออกเสียงเช่ือมโยง (Linking Sound) 2 วิธีการอ่านออกเสียงเชือ่ มโยงระหว่างคาใน

66 ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เนือ้ หำ จำนวน (ช่ัวโมง) ภาษาองั กฤษทถี่ กู ตอ้ งตามกฎเกณฑ์ของ ภาษาอังกฤษ เช่น - Ten years ago. - Far away etc. 4 5. กำรแสดงควำมดใี จ/เสียใจ การใช้คา วลี และรปู ประโยคทจี่ ะนามาใช้ใน การแสดงความดีใจและเสยี ใจในโอกาสต่าง ๆ ได้ถูกต้อง เชน่ แสดงความดใี จทไี่ ด้พบกนั อีกครัง้ หรอื แสดงความเสยี ใจที่ทาผิด เปน็ ตน้ ตวั อย่าง คาวลี และรูปประโยค เชน่ - Congratulations! - Sorry. Glad is hear about that. - Sorry about that. - I’m glad to...................... - I’m pleased to........................ - I love to........................... - I’m sorry to......................... 2 - It’s my fault that............................ 6. กำรแสดงควำมพอใจ/ไม่พอใจ ให้รู้จกั คา วลี และรปู ประโยคท่จี ะทจี่ ะนามาใชใ้ นการแสดงความ พอใจ/ไมพ่ อใจในโอกาสต่าง ๆ ได้ถกู ตอ้ ง เช่น แสดงความพอใจ/ไม่พอใจในการรับบริการ เป็น ต้น ตัวอยา่ งคา วลี และรูปประโยค เชน่ - Great! - Awful! - Good news! - How nice! - How terrible! - That’s fantastic! - I can’t stand it! - I’m very disappointed with......................... It’s ashamed that............................. 4 7. กำรแสดงควำมปรำรถนำ/ เห็นใจและกำร ตอบรับ การใชค้ า วลี และรูปประโยคที่จะ นามาใช้ในการแสดงความปรารถนาดี/เหน็ ใจใน

67 ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เนอ้ื หำ จำนวน (ชั่วโมง) โอกาสต่างๆ ได้ถกู ต้อง เชน่ การแสดงความระลึก ถงึ การแสดงความเห็นใจเมอ่ื ผ้อู ่นื ประสบปัญหา เปน็ ตน้ ตัวอย่างคา วลี และรูปประโยค เช่น - Best wishes. - Take care. - Get well soon. - Good luck. - With sympathy. - We hope everything go well through this suffering period. - I understand how difficultit is. - It must be for you. - I feel sympathy for you. - Thank you for your hospitality. - Thanks a million for............................ - I’m very grateful to your........................... - It’s very appreciative that.............................. - I’m very appreciated 2 for................................ 8. กำรแสดงควำมตอ้ งกำรกำรเสนอ/ใหค้ วำม ชว่ ยเหลอื /บรกิ ำร รวมท้ังกำรตอบรบั /ปฏเิ สธ กำร ให้ควำมชว่ ยเหลือ/บรกิ ำร การใชค้ า วลี และรูปประโยคเพือ่ แสดงความต้องการ การเสนอ/ ใหค้ วามช่วยเหลอื /บรกิ าร รวมทง้ั การตอบรบั / ปฏเิ สธในการใหค้ วามชว่ ยเหลอื /บริการในโอกาส และสถานที่ต่าง ๆ ได้อยา่ งถูกต้อง ได้แก่ การซ้อื สนิ ค้า/บริการในร้าน การสงั่ จองตัว๋ เครือ่ งบิน/ รถไฟ/ภาพยนตร์/การบรกิ ารในบรษิ ทั ทัวร์ การ จองโรงแรม/ ทพ่ี ัก การใช้บรกิ ารใน ทท่ี าการ ไปรษณีย/์ ธนาคาร/รา้ นอนิ เตอร์เน็ต ตัวอยา่ ง คา วลี และรปู ประโยค เช่น - May I help you? - What can I do for you? - Let me.............................. - Shall I ...............................?

68 ที่ หัวเรอ่ื ง ตวั ชวี้ ัด เนอ้ื หำ จำนวน (ชั่วโมง) - Is there anything I can do for you? - I would like......................... - I prefer................................. - I’d rather.............................. - How much..............................? - How about..............................? - I’m afraid..............................? - We recommend.............................. - Would you please..............................? - Please let me know............................ - It’s occupied. etc. 2 What อ่านและทาตาม 1. กำรใชพ้ จนำนกุ รม (Dictionary) 4 should คาแนะนาในการใช้ 1.1 ทบทวนการค้าหาความหมายของคาศัพท์ 4 you do? คู่มอื ป้าย คาแนะนา วธิ กี าร โดยเรียงตามตวั อักษรของคาศพั ท์ทค่ี ้นหาจาก ปรุง ข้อควรระวงั a ถึง z และ ปา้ ยประกาศ 1.2 ใหอ้ ่านวิธีการใช้พจนานุกรมและข้อมูล ตา่ ง ๆ ที่อยใู่ นสว่ นหนา้ (คาช้แี จงในการใช)้ ของ Dictionary ใหเ้ ขา้ ใจ 1.3 เมื่อค้นหาคาศพั ท์พบแล้ว ใหศ้ ึกษาวธิ กี าร อ่านออกเสียงหนา้ ทข่ี องคา ความหมายและ ตวั อยา่ งในการใช้ (ซึง่ คาบางคาอาจจะทาหน้าทไ่ี ด้ หลายอย่าง) และคาทีม่ คี วามหมายใกลเ้ คียงกนั เช่น drug (ดรกั ) n. ยา ผลิตภัณฑย์ า ยาเสพตดิ สนิ ค้า ทเี่ กีย่ วกับสุขภาพทข่ี ายในรา้ นขายยา vt. drugged, drugging ผสมกับยา ทาใหต้ ิดยา ทาให้ ได้รบั พิษจากยา drug on the market สินคา้ ท่ีมี มากเกินความต้องการในตลาด 2. กำรวเิ ครำะหศ์ ัพท์และรูปประโยคท่ีใช้ใน สญั ลักษณ์ ป้ำยประกำศ/คำแนะนำในกำรใช้/ คำแนะนำ/คำเตือนตำ่ ง ๆ 2.1 การวเิ คราะหศ์ ัพท์โดยการรู้จกั สว่ นท่ีเปน็ รากศพั ท์ (Root) อุปสรรค หรอื ทีค่ าเติมไป ข้างหน้า (Prefix) และปัจจยั หรอื คาที่เติม ขา้ งหลงั (Suffix) โดยทราบความหมายของสว่ นประกอบ

69 ท่ี หวั เร่อื ง ตวั ช้วี ัด เนอ้ื หำ จำนวน (ชว่ั โมง) ของคาศัพทต์ ่าง ๆ เหลา่ น้นั กจ็ ะทราบความหมาย ของศัพท์ได้ เช่น Prefix : re = again anti = against tele = far etc. Suffix : ant = person er = person who dom = condition ern = direction etc. 2.2 รปู ประโยคทใ่ี ชใ้ นสัญลกั ษณ/์ ป้าย ประกาศ/คาแนะนาในการใช้/คาแนะนา/คาเตือน ตา่ ง ๆ ซ่งึ จะใช้รปู ประโยคคาสั่ง (Imperative Sentence) ทงั้ ในลักษณะบอกเลา่ และปฏิเสธ เชน่ - Don’t smoke. - No smoking. - No entry. - Put some oil in the pan, then put the garlic and stir until it become yellow. etc. 4 3. สญั ลักษณแ์ ละปำ้ ยประกำศต่ำง ๆ (Signs & Notices) รู้จกั ความหมายของ สัญลกั ษณ์และปา้ ยประกาศทีพ่ บใน ชีวติ ประจาวนั และการประกอบอาชีพ เช่น การ ปฏิบัตติ นในแหลง่ ท่องเทีย่ ว โรงแรมพพิ ิธภณั ฑ์ โรงงาน สานักงาน ยานพาหนะ เป็น ตัวอย่าง เช่น = Don’t take photograph. = Don’t take durian inside.

70 ที่ หัวเร่อื ง ตัวช้วี ัด เนอ้ื หำ จำนวน (ชว่ั โมง) = No smoking = Handicapped Make up = do not disturb the room = make up the room = danger = safety first = no parking = Disabled Symbol etc.

71 ที่ หวั เรื่อง ตวั ชีว้ ดั เนอ้ื หำ จำนวน (ช่วั โมง) 4. สลำกยำและคู่มอื ในกำรใช้อุปกรณ์ต่ำง ๆ 4 (Instructions) การอา่ น ทาความเข้าใจและ ปฏิบัติตามคาแนะนาในการใชย้ าและอปุ กรณ์ต่าง ๆท่ีใชใ้ น ชวี ิตประจาวนั เช่น หมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้า เครอ่ื งซกั ผา้ คอมพวิ เตอร์ โทรศัพทม์ ือถือ เปน็ ตน้ โดยให้เขา้ ใจสานวนหรือโครงสรา้ งของประโยคที่ มักใช้ เช่น - Keep out of reach of children. - Take one tablet after each meal. - Shake well before use. การใช้ Active Voice และ Passive Voice Modal verb Direct Speech, Indirect speech, Conjunction และ Connective words ทสี่ าคญั เชน่ - You should have it directly after meal. - The doses must not be divided. - Don’t use if the package is open. - First open the can with the opener. Pull it in a bowl. Then put some chopped chili, lemon juice and fish sauce. After that mix them together. 5 5. คำแนะนำและคำเตือนต่ำง ๆ (Tips and Warning) รู้จักวิธกี ารอา่ นและตคี วามคาแนะนา คาชีแ้ จง และคาอธบิ ายตา่ ง ๆ เช่น พยากรณ์ อากาศ ประกาศ เตือนภัย คาแนะนาในการเข้า ไปในสถานทีต่ า่ ง ๆ คาอธบิ ายสินคา้ และ ส่วนประกอบหรือเครอ่ื งปรุง วิธกี ารปรุงอาหาร เปน็ ต้น 3 Hello, ตดิ ต่อส่ือสารทาง 1. กำรติดตอ่ ทำงโทรศัพท์กับผู้ทค่ี ุ้นเคย รูจ้ ัก 5 could you โทรศพั ท์ได้ วธิ ีการพดู โตต้ อบทางโทรศพั ทก์ บั เพือ่ น ญาตพิ ี่ tell me....? คลอ่ งแคลว่ น้องและผทู้ ี่ค้นุ เคยในเร่อื งต่างๆ โดยใช้สานวนและ ภาษาทีเ่ หมาะสมเชน่ - Is ……………. at home? - Could I speak to………., please? - May I speak to ……..…., please? - She/he is out. - Sorry, she’s not here now.

72 ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เนื้อหำ จำนวน (ชัว่ โมง) - Would you like to wait? - Will you leave a message? - May I take a message for her/him? - Wait a minute, please. - Will you hole on? - Just a moment, please. - Please tell ............... to call me at.............. 1. กำรติดต่อทำงโทรศัพท์เพื่อสอบถำมข้อมูลต่ำง ๆ 5 การใช้สานวน ภาษาท่ีใช้พูดทางโทรศัพท์เพ่ือ สอบถามข้อมูลต่างๆ ท่ีตอ้ งการทราบโดยใช้ รูป ประโยคขอร้อง /ขอร้องอย่างสภุ าพ (request, polite, request) ประโยค direct/ indirect speech ประโยคคาถามลักษณะตา่ ง ๆ ประโยค แสดงความคิดเห็นและการขอบคุณ เช่น การ สอบถามเส้นทางการเดนิ ทางไปท่ีตา่ ง ๆ สอบถาม ตารางรถไฟ เคร่ืองบนิ สอบถามข้อมลู ดา้ นการ คมุ้ ครองผู้บริโภค/ สุขภาพอนามัย/ พยากรณ์ อากาศ เปน็ ต้น ตัวอยา่ งประโยคทใ่ี ช้ - Hello, I’d like to ask about......................... - Could you tell me......................, please? - Would you mind giving me the information about.................................? - Can/Could you...............................? - May/Can/Could I.................................? - Don’t............................, please? - At what time...........................? - How many.................................? - How far..............................? - How much..............................? - I need your help..............................? - Pradon. - I think.............................. - Well, I must.............................. - In my opinion, .............................. - Thanks. /Thank you. - Sorry. /I’m sorry. - You’re welcome. 10

73 ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เน้ือหำ จำนวน (ชว่ั โมง) 2. กำรติดตอ่ ทำงโทรศพั ท์เพื่อกำรประกอบ อำชพี วธิ กี ารพดู โตต้ อบทางโทรศัพท์ เพือ่ ถาม-ใหข้ ้อมูล เกย่ี วกบั การประกอบอาชีพ โดยใชส้ านวนและ ภาษาทเี่ หมาะสมในการสอบถามขอ้ มลู เกยี่ วการ สมัครงาน การซอื้ -ขายสินค้า การใหข้ อ้ มูลเก่ยี วกบั คุณภาพและราคาของสินคา้ การส่งเสริมการขาย การตอ่ รองราคา การรับและสง่ ของ ตวั อยา่ งประโยคทใ่ี ช้ - Hello. I’d like to ask/know about...................... - Can/could you tell me about...........................? - May/Could I speak to..........................,please? - Can/Could you inform me about..................? - What is the position required? - What is the qualification? - How can I apply for this position? - When is the dateline of the application? - Do I have to send the application form? - Should I also send the resume/reference? - When/Where will the interview take place? - What kind of goods are available? - How much does it cost? - How can I send the order? - Is there any discount? - How about the present promotion? - How about the quality? - Where/When can I buy this product? - What is the product’s significance? - Please let me know if............................ - I’m interested in........................... - That’s very interesting.

74 ที่ หัวเรือ่ ง ตวั ชี้วดั เนื้อหำ จำนวน (ชัว่ โมง) - I’m very appreciated......................... - When will I receive the product? - How should I pay for the product? - By cash/check /credit. - Thanks for your interest /kindness/information. - It’s my pleasure. - You’re welcome. - Sorry. /I’m sorry. 4 Cultural 1. ปฏิบัตติ นตาม 1. กำรใชภ้ ำษำในกำรสื่อสำรได้เหมำะสมตำม 5 Difference มารยาท วัฒนธรรม มำรยำททำงสงั คมและวฒั นธรรมของเจ้ำของ และประเพณีต่าง ๆ ภำษำ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง การใช้ภาษา น้าเสยี งและภาษาทา่ ทางได้อยา่ ง เหมาะสมกบั บคุ คล เวลา สถานที่และโอกาส เช่น 2. เปรียบเทียบความ การสัมผสั มือ การโบกมอื การใช้สีหนา้ ทา่ ทาง แตกต่างระหวา่ ง และน้าเสียงประกอบการพูด การแนะนาตัวเอง วัฒนธรรมอังกฤษ การแสดงความรู้สกึ ในโอกาสตา่ ง ๆ การแต่งกาย กบั วัฒนธรรมไทย การรบั ประทานอาหาร ร่วมงานงานเล้ียง งานสงั สรรค์ และกจิ กรรมทางสังคมตา่ ง ๆ ตัวอยำ่ ง เช่น - Blow a kiss. (ส่งจบู ) - I love you. (ภาษาใบ้) - Be quiet. (เงียบ) -

ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เน้ือหำ 75 - That’s bad. (ยกหัวแมม่ อื ชี้ลงไปทพี่ ื้น) จำนวน (ช่ัวโมง) - How’s everything? 5 - How have you been? - What’s going on with your life? - How’s life? - What’s up? - May I introduce myself? - Let me introduce myself, ............... - Allow me to introduce.................. to.......... - Have you met......................? - Congratulations on........................ - Happy Birthday. - Merry Christmas. - Happy New Year. - I’m sorry for......................... - May god bless you. - May god be with you. - I feel sorry............................... - Please pass my warm regards to................ - Toast! - I wish you................................... - Would you mind................................... - Please let me know................................... - Would you please................................... - May I have................................... - Can you help me................................... - You look smart. - How nice............................... - I wonder if.............................. - How to cook.............................. etc.

76 ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เนื้อหำ จำนวน (ช่วั โมง) 2. ควำมเชือ่ และขนบธรรมเนยี มประเพณีของ เจำ้ ของภำษำ ความเป็นมาของความเชอื่ ขนบธรรมเนียมและ ประเพณีตา่ ง ๆ ในสังคมของเจา้ ของภาษา การทา กิจกรรมตามความเชอื่ ขนบธรรมเนยี มและประเพณี ตา่ ง ๆ ในดา้ น บทเพลง การแตง่ กาย อาหาร เครือ่ งดมื่ และการประกอบพิธีกรรมท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ วนั คริสตม์ าส วันขอบคณุ พระเจา้ วันวาเลนไทน์ และวันพอ่ 3. กำรเปรียบเทยี บโครงสร้ำงภำษำไทยกบั 5 ภำษำองั กฤษ เปรียบเทียบลักษณะคาที่มาของคาความหมาย และการประยุกตค์ าในภาษาองั กฤษใชใ้ น ภาษาไทยและคาในภาษาไทย ท่นี าไปใน ภาษาอังกฤษ ตัวอยา่ ง เช่น - ศพั ท์ของภาษาไทยสว่ นใหญ่มาจากภาษาบาล/ี สันสกฤตในขณะท่ศี ัพทข์ องภาษาอังกฤษ สว่ นใหญ่จากภาษากรีกและโรมัน - คาในภาษาองั กฤษท่นี ามาใช้ในภาษาไทย เชน่ กิโลกรัม กโิ ลเมตร เซนตเิ มตร คาในภาษาไทยท่ี นาไปใชใ้ นภาษาอังกฤษ เช่น Tom Yam Kung, Muai Thai เป็นต้น โครงสรำ้ งของประโยคตำ่ ง ๆ - ประโยคความเดียว (Simple Sentence) - ประโยคความรวม (Compound Sentence) - ประโยคความซอ้ น (Complex Sentence) - ประโยคความผสม (Compound- Complex Sentence) - การใช้ Transitive / intransitive/ auxiliary verbs - Tense ต่าง ๆ - ลกั ษณะของประโยคคาถาม - ประโยคเงื่อนไข - การใช้สันธาน (Conjunction) และบุพบท 5 (Preposition)

77 ที่ หัวเรื่อง ตวั ชว้ี ดั เนอื้ หำ จำนวน (ชั่วโมง) 5 News & 1. เขา้ ใจและใช้ News ประโยคทซ่ี ับซ้อนใน 4. เปรยี บเทยี บ สำนวน คำพังเพย สุภำษิต Headline สถานการณ์ต่าง ๆ 2. ใช้ Tenses ที่ บทกลอนภำษำไทย และภำษำอังกฤษ ยุง่ ยากและซบั ซอ้ น 3. ศกึ ษาค้นคว้า 4.1 คาและสานวนท่ีไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากศาสนา ความรู้และขอ้ มลู จากสอ่ื หนังสือพมิ พ์ เช่น 4. แลกเปล่ียนข้อมลู ข่าวสารความรอู้ ย่าง - Oh, god! = คุณพระชว่ ย เปน็ ทางการ - Oh, my god! = พทุ โธ ธัมโม สังโฆ etc. 4.2 คาพงั เพย สุภาษิตท่มี กั จะใช้ใน ชวี ิตประจาวัน เช่น - It’s a piece of cake. = ปลอกกล้วยเขา้ ปาก - Silence is gold. = น่ิงเสียตาลึงทอง - Time and tide wait for no one. = เวลาและวารไี ม่เคยคอยใคร ลักษณะของบทกลอนภาษาไทยกบั ภาษาองั กฤษทเ่ี หมอื นและแตกตา่ งกนั แรงบันดาล ใจของกวใี นการแตง่ คาประพันธพ์ รอ้ มตวั อย่างที่ มักไดย้ นิ เสมอๆ เช่น Roses are red, violets are blue, sugar is sweet, but not as sweet as you. แม้เน้ือเยน็ เป็นห้วงมหรรณพ จะขอพบศรสี วสั ดิ์เป็นมจั ฉา แมเ้ ป็นบัวตวั พี่เปน็ ภุมรา เชยผกาโกสุมภป์ ระทุมทอง แม้เป็นถา้ อาไพใครเ่ ปน็ หงส์ จะร่อนลงสงิ สู่เป็นคู่ สอง จะ ติดตามทรามสงวนนวลละออง เปน็ คคู่ รอง พิสวาส ทกุ ชาตไิ ป etc. 1. เสียง คาศัพท์ วลี สานวน ท่ี มักใช้บ่อย ๆ 2 ในข่าว 2. องคป์ ระกอบของข่าว ประกอบดว้ ย 2 Headline, Sub headline, Lead และ Detail 3. ประเภทของขา่ ว เชน่ ขา่ วการเมอื ง ข่าว 2 การศึกษา ข่าวกฬี า ขา่ วสงั คม ข่าวเศรษฐกิจ เป็นตน้ 4. โครงสร้างของการเขยี นพาดหัวข่าว (News 6 Headline) ได้แก่ 4.1 ข่าวและพาดหวั ขา่ ว 4.2 การถามและตอบคาถามจากข่าวดว้ ยคาถาม

78 ท่ี หวั เรอื่ ง ตวั ชี้วัด เนื้อหำ จำนวน (ช่วั โมง) 5. สบื คน้ ข้อมลู ใน ท่ี เปน็ Wh-Question และ Yes/No Question ดา้ นต่าง ๆ จาก Internet 4.3 การถามและแสดงความคิดเห็นว่า เหน็ 5 ดว้ ยหรอื ไม่เหน็ ดว้ ย เชน่ - Do you agree with this....................? - What do you think about.................. 4.4 Website ของหนังสือพมิ พ์ The Nation 2 หรือ Bangkok Post เพื่อศกึ ษาขา่ วประเภทต่าง ๆ ท่ีสนใจ แล้ววเิ คราะหโ์ ครงสร้างของพาดหัว ข่าว นนั้ ๆ หรอื บอกประเภทของข่าวน้นั ๆ - Subj. + V1 - Subj. + V3 - Subj. + to + V1 - Subj. + V. ing Noun phrase 6 Self - 1. ศกึ ษาคน้ ควา้ 1. บทความเกย่ี วกบั เศรษฐกจิ พอเพยี งจาก 2 Sufficiency ความรู้ และขอ้ มลู Economy จากสอ่ื ตา่ ง ๆ หนงั สือ หนังสือพิมพ์ หรอื Website ทีเ่ ก่ียวข้อง 2. สืบค้นขอ้ มลู ใน ด้านตา่ ง ๆ จาก 2. คาศัพท์ วลี สานวน ทีเ่ กี่ยวข้องกบั เศรษฐกิจ Internet 3. เข้าใจและใช้ พอเพียง เช่น moral , moderation, 2 ประโยคซบั ซ้อนใน easonable, knowledge, saving เป็นต้น สถานการณต์ ่าง ๆ 4. การแลกเปลี่ยน 3. โครงสร้าง Conditional sentence (If - ข้อมูลขา่ วสาร ความรู้ clause) 2 7 Have you 1. ศกึ ษาค้นคว้า 4. โครงสร้าง Imperative exercised ความรแู้ ละข้อมูล today? จากสื่อต่าง ๆ 5. การนาเสนอการนาเศรษฐกจิ พอเพียงมาใช้ใน 2 2. สืบค้นขอ้ มูลใน ดา้ นต่าง ๆ จาก รปู แบบต่าง ๆ เช่น การตดิ คาขวญั การสัมภาษณ์ Internet 3. เขา้ ใจและใช้ การทา Poster เป็นตน้ ประโยคซบั ซ้อนใน 6. การเล่นเกม Cross word 2 สถานการณ์ต่าง ๆ 4. ใช้ Tense ที่ 1. แบบสอบถาม (Questionnaire) เกย่ี วกับการ 2 ยุ่งยากและซับซอ้ น ดูแลสุขภาพจากหนงั สอื หรือ Website เกย่ี วข้อง 2. การอา่ นออกเสียง คาศพั ท์ สานวน วลี ท่ี 2 เกี่ยวขอ้ งกับสุขภาพ เชน่ aerobics, once, relaxed, health, healthy, firm, have a headache เป็นตน้ 3. ประโยคทเ่ี ขยี นดว้ ย Modal Verb เช่น 2 should, must, ought to, had better, will เป็นตน้ 4. Present Perfect Tense 2 4

79 ท่ี หัวเรอ่ื ง ตัวชวี้ ัด เนื้อหำ จำนวน (ช่ัวโมง) 5. แลกเปลีย่ นขอ้ มลู 5. การสารวจแบบสอบถามเกยี่ วกบั สุขภาพ ข่าวสารความรู้ บุคคลใกล้ชิด แล้วนาเสนอข้อมลู เปน็ รูปกราฟ ท้ังอย่างเป็นทางการ หรอื แผนภมู ิ และไมเ่ ป็นทางการ 8 Shall we 1. ศึกษาคน้ ควา้ 1. บทความเก่ียวกับการประหยัดพลังงาน 2 save the ความรแู้ ละข้อมูล (Energy Saving) จากหนังสือ หนังสอื พมิ พ์ หรือ energy? จากสอ่ื ต่าง ๆ Website ท่ีเกี่ยวขอ้ ง 2. สืบค้นขอ้ มูลใน 2. เสยี ง คาศัพท์ วลี สานวนทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การ 2 ดา้ นตา่ ง ๆ จาก ประหยัดพลงั งาน เช่น reuse, recycle, plug Internet in, unplug, turn on, turn off, reduce เปน็ 3. เขา้ ใจและใช้ ต้น 2 ประโยคซับซ้อนใน 3. โครงสรา้ ง เร่ือง Imperative + V1______. สถานการณต์ า่ ง ๆ ได้ Don’t + V1+ 1 อย่างถูกต้อง 2 4. ใช้ Tense ที่ยงุ่ ยาก 4. Gam.e.“.Fin.d.s.om.e.o.ne.w.h.o...............” และซบั ซอ้ นได้อยา่ ง 5. การส.ัม.มน.า.เร่ือ.งก.า.รป.ระ.ห.ยดั .พ.ลัง.งาน ถูกต้อง . 5. แลกเปล่ียนข้อมูล ขา่ วสารความรู้ท้งั อย่างเปน็ ทางการและ ไม่เป็นทางการ 9 What have 1. ศกึ ษาค้นควา้ บทสนทนาเก่ยี วกบั การไปตดั เส้ือ I done? ความรู้และขอ้ มลู จาก 1. การอ่านออกเสยี ง คาศัพท์ วลี สานวน ที่ 2 สอ่ื ตา่ งๆ เกีย่ วขอ้ งกบั การไปตดั เสอ้ื เชน่ measure, 2. อา่ นออกเสียง sleeves, seam, shorten เป็นตน้ คาศพั ท์ วลี สานวน 2. โครงสรา้ ง have something done 2 ได้อย่างถกู ต้อง 3. โครงสร้าง Reported Speech 2 3. เข้าใจและใช้ 4. การเลา่ เรอื่ ง (สถานการณ์) 2 ประโยคซับซอ้ นใน 2 สถานการณต์ า่ ง ๆ 4. ใช้ Tense ท่ยี ุง่ ยาก และซบั ซอ้ น 5. แลกเปล่ยี นขอ้ มูล ข่าวสารความรู้

80 ท่ี หัวเรอื่ ง ตวั ชี้วดั เน้อื หำ จำนวน (ชัว่ โมง) 10 What is 1. การสบื คน้ ข้อมูล 1. การขอมี e-mail 2. การเปิด/ปิด e-mail 2 youre-mail ด้านตา่ ง ๆ จาก 3. ภาษา e-mail 1 4. บทอา่ นแนะนาตนเองทพ่ี ิมพม์ าจาก e-mail 2 address? Internet และรบั สง่ 5. การสร้างประโยคคาถามจากคาตอบทีใ่ ห้มา 2 6. การถามและการตอบขอ้ มลู การเปรียบเทียบ 1 e-mail 7. การเขยี นแนะนาตนเองถึง Pen pal 1 โดยส่งทาง e-mail 1 2. ศกึ ษาค้นควา้ 1. บทอา่ นเกีย่ ว Earthquake, Tornado หรือ 2 ความรู้และข้อมูล Flood จากหนงั สอื พมิ พ์ หรอื Website ของ หนงั สอื พมิ พ์ The Nation หรือ Bangkok Post 1 จาก สือ่ ต่าง 2. คาศพั ท์ วลี สานวนท่ีเกย่ี วข้อง เช่น kill, injured, die, homeless, help, shelter, 3 ๆ landslide เปน็ ต้น 2 3. Past Simple Tense, Past Continuous 1 3. เขา้ ใจและใช้ Tenseและ Past Perfect Tense. 1 4. Compound Sentence และ Complex ประโยคซบั ซอ้ นใน Sentence 2 5. การถามและการตอบคาถามจากบทอา่ น สถานการณ์ต่าง ๆ 6. การแสดงบทบาทสมมตุ ิ (Role Play) เป็น 2 ผสู้ อื่ ข่าว นาเสนอขา่ วท่เี กี่ยวกับ Natural 4. แลกเปลย่ี นข้อมูล Disaster ขา่ วสารความรู้ 1. ตารางเวลาของ Bus, Train, Airplane, Boat หรอื Subway จากสอ่ื ต่าง ๆ เช่น แผ่น ท้งั อย่างเปน็ ทางการ พับ หนงั สอื พมิ พ์ หรอื Website ที่เกย่ี วข้อง 2. Asking & giving Information เช่น และไมเ่ ป็นทางการ - Could you please tell me....................? - Please tell me.............................. 11 Natural 1. ศกึ ษา คน้ ควา้ - Excuse me. Do you know.......................? Disaster ความรู้ และขอ้ มลู จากสือ่ ต่าง ๆ 2. สืบค้นขอ้ มูลใน ดา้ นตา่ ง ๆ จาก Internet 3. เขา้ ใจและใช้ ประโยคทซ่ี บั ซ้อนใน สถานการณต์ า่ ง ๆ ได้อย่างถกู ต้อง 4. การใช้ Tense ที่ ยงุ่ ยากและซับซอ้ น 5. แลกเปล่ยี นขอ้ มลู ข่าวสารความรู้ ท้ัง เปน็ ทางการและ ไม่เปน็ ทางการ 12 Let’s 1. ศึกษาค้นควา้ Travel ความร้แู ละขอ้ มลู จาก สอื่ ต่าง ๆ 2. สืบคน้ ขอ้ มูลใน ด้านตา่ ง ๆ จาก Internet และรับส่ง

81 ท่ี หัวเรอื่ ง ตัวชีว้ ัด เน้ือหำ จำนวน (ช่วั โมง) 13 Will it rain E-mail 3. การบอกทศิ ทาง (Direction) เช่น tomorrow? 3. เข้าใจและใช้ - Go straight. 2 ประโยคที่ซับซอ้ นใน - Keep walking to.......................... 14 Global สถานการณต์ า่ ง ๆ - Walk past.................................. 2 Warming 4. ใช้ Tense ที่ - It’s at the opposite of.......................... 2 ย่งุ ยากและซบั ซอ้ น - Next to.................................... 2 ได้ 4. Past Simple Tense และ Past Simple 2 5. แลกเปลยี่ นข้อมลู Tense 1 ขา่ วสารความรู้ 5. การเขยี นเลา่ เร่อื งหรือประสบการณ์ในการ 2 ทอ่ งเทีย่ ว 1. ศึกษาคน้ ควา้ 6. การวางแผนการเดนิ ทางท่องเท่ียว 2 ความรูแ้ ละขอ้ มลู 1. บทอ่าน การพยากรณ์อากาศ (Weather 1 จากสือ่ ตา่ งๆ เช่น Forecast) ทั้งในประเทศและตา่ งประเทศ 2 หนงั สอื พิมพ์ 2. การถาม-ตอบ คาถามจากบทอา่ น ภาษาองั กฤษและ การพยากรณอ์ ากาศ (Weather Forecast) 2 Website 3. การถามและการขอข้อมลู (Asking & Giving 2. แลกเปลีย่ นข้อมูล Information) เสยี ง คาศัพท์ วลี สานวนทีม่ ักใช้ 2 ขา่ วสารความร้ทู ั้ง บอ่ ยๆ ในขา่ วพยากรณ์อากาศ เชน่ shower, อย่างเปน็ ทางการ windy, heavy, scatter, stormy, sunrise, 2 และไม่เป็นทางการ sunset, maximum, minimum, Northeast 3. เข้าใจและใช้ 4. Parts of Speech การทาคานาม Noun ให้ ประโยคที่ซบั ซ้อนใน เป็น Adjective สถานการณ์ต่าง ๆ 5. Website ที่เกยี่ วกับการพยากรณ์อากาศ ได้อย่างถกู ต้อง Role play เปน็ ผ้ปู ระกาศข่าวการพยากรณ์ 4. สบื คน้ ข้อมูลใน อากาศ ด้านต่าง ๆ จาก Internet 1. บทความเก่ยี วกับภาวะโลกร้อน (Global 1. ศกึ ษาคน้ ควา้ Warming) สาเหตขุ องภาวะโลกร้อนหรือ ความรู้และข้อมลู ผลกระทบของภาวะโลกรอ้ นจากหนังสือหรอื จาก สอ่ื ต่าง หนงั สอื พมิ พ์หรอื Website ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ๆ 2. การอา่ นออกเสยี งคาศพั ท์ วลี สานวน ที่ 2. สืบค้นขอ้ มูลใน เกี่ยวขอ้ ง เช่น temperature, increase, melt, ด้านต่างๆ จาก burn, earth, hot เปน็ ตน้ Internet 3. โครงสรา้ ง Passive Voice 3. เขา้ ใจและใช้ ประโยคซับซ้อนใน Subj + V to be + V3 สถานการณ์ต่าง ๆ

82 ท่ี หวั เรื่อง ตัวช้วี ัด เนื้อหำ จำนวน (ชั่วโมง) 15 Urgently 4. ใช้ Tense ที่ 4. บทสนทนาท่เี กี่ยวกับการป้องกันหรือลดภาวะ Wanted ยุ่งยากและซับซอ้ น โลกร้อน 2 5. แลกเปล่ียนขอ้ มูล 5. Mind map แสดงเหตผุ ลและผลกระทบของ 2 ข่าวสารความรู้ทง้ั ภาวะโลกรอ้ น อย่างเป็นทางการ 2 และไมเ่ ป็นทางการ 1. โฆษณาตาแหน่งงาน (Job Advertisement) 2 1. ศกึ ษาคน้ ควา้ จากหนังสอื หนงั สือพมิ พ์ หรอื Website ความรู้ และขอ้ มูล เกย่ี วข้อง 2 จากสือ่ ตา่ ง ๆ 2. คาศัพท์ สานวน วลี โครงสร้างท่เี กยี่ วข้อง เช่น 2. สืบคน้ ขอ้ มูลใน qualification, salary, graduation, age, ด้านตา่ ง ๆ จาก photo, apple เป็นต้น Internet และ รับส่ง e-mail 3. การเขียนประวตั ิ (Resume) เพื่อสมัครงาน 3. เขา้ ใจและใช้ การสง่ e-mail สมคั รงาน ประโยคซบั ซอ้ นใน สถานการณต์ ่าง ๆ 4. การแลกเปลี่ยน ขอ้ มลู ขา่ วสาร ความรู้ ท้ังอยา่ งเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ

83 คำอธิบำยรำยวิชำ พค31001 คณิตศำสตร์ จำนวน 5 หน่วยกติ ระดับมธั ยมศกึ ษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรยี นรูร้ ะดับ มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับจานวน และการดาเนินการ เลขยกกาลงั ทีม่ ีเลขชก้ี าลัง เปน็ จานวน ตรรกยะ เซต และการให้เหตผุ ล อตั ราสว่ น ตรีโกณมิติ และการนาไปใช้ การใชเ้ คร่ืองมอื และการออกแบบ ผลิตภณั ฑ์ สถติ ิเบ้ืองตน้ และความน่าจะเปน็ ศึกษำและฝกึ ทักษะเกี่ยวกบั เรอ่ื งดังตอ่ ไปนี้ จำนวนและกำรดำเนินกำร จานวนจริง สมบตั ิของจานวนจรงิ เกี่ยวกับการบวกและการคูณ สมบตั ิการเท่ากนั และการไม่เท่ากนั ค่าสมั บูรณ์ เลขยกกำลังทีม่ เี ลขชี้กำลงั เปน็ จำนวนตรรกยะ การบวก การลบ การคณู การหาร จานวนทีม่ ี เลขชกี้ าลงั เปน็ จานวนตรรกยะ และจานวนจรงิ ท่ีอยู่ในรูปกรณฑ์ เซต เซต การดาเนนิ การของเซต แผนภาพเวนน์-ออยเลอรแ์ ละการแก้ปญั หา กำรให้เหตผุ ล การให้เหตุผลแบบอุปนยั และนริ นัย การอา้ งเหตุผล อัตรำส่วนตรโี กณมติ ิและกำรนำไปใช้ อัตราส่วนตรโี กณมิติ อตั ราสว่ นตรโี กณมิติของมุม 30 45 และ 60 การนาอัตราส่วนตรโี กณมติ ิไปใชใ้ นการแกป้ ัญหาเก่ียวกับการหาระยะทางและความสูง กำรใช้เครื่องมือและกำรออกแบบผลิตภัณฑ์ การสร้างรูปทางเรขาคณิตโดยใช้เครื่องมือ และ การออกแบบผลติ ภณั ฑ์ สถิติเบื้องต้น การวิเคราะห์ข้อมูลเบือ้ งต้น การหาค่ากลางของขอ้ มูลโดยใช้ค่าเฉล่ียเลขคณิต มธั ยฐาน และฐานนยิ ม และการนาเสนอข้อมูล ควำมน่ำจะเป็น กฎเกณฑเ์ บอ้ื งตน้ เกี่ยวกับการนับ ความนา่ จะเปน็ ของเหตกุ ารณ์ กำรจัดประสบกำรณก์ ำรเรียนรู้ จดั ประสบการณ์ หรือสถานการณ์ในชีวิตประจาวนั ให้ผู้เรยี นได้ศกึ ษาค้นคว้า โดยการปฏบิ ัติจริง ทดลอง สรุป รายงาน เพอ่ื พฒั นาทักษะ/กระบวนการในการคิดคานวณ การแก้ปัญหาการให้เหตผุ ล การสื่อ ความหมายทางคณิตศาสตร์ และนาประสบการณ์ดา้ นความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการท่ีได้ไปใช้ในการ เรียนรสู้ ่ิงต่าง ๆ และใช้ในชีวิตประจาวนั อยา่ งสร้างสรรค์ รวมท้ังเหน็ คุณค่าและมีเจตคติท่ีดีตอ่ คณิตศาสตร์ สามารถทางานอย่างเปน็ ระบบระเบยี บ มคี วามรอบคอบ มีความรบั ผดิ ชอบ มีวิจารณญาณและมคี วามเช่ือมน่ั ใน ตนเอง กำรวัดและประเมนิ ผล ใชว้ ิธีการทหี่ ลากหลายตามสภาพความเปน็ จริงให้สอดคลอ้ งกับเนอ้ื หา และทกั ษะที่ตอ้ งการวัด

84 รำยละเอียดคำอธบิ ำยรำยวชิ ำ พค31001 คณติ ศำสตร์ จำนวน 5 หน่วยกติ ระดับมัธยมศกึ ษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรยี นรูร้ ะดบั มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับจานวนและการดาเนินการ เลขยกกาลังท่ีมีเลขช้ีกาลังเป็นจานวน ตรรกยะ เซต และการใหเ้ หตผุ ล อตั ราสว่ น ตรีโกณมติ ิ และการนาไปใช้ การใชเ้ คร่ืองมือและการออกแบบ ผลิตภณั ฑ์ สถิตเิ บื้องต้นและความน่าจะเปน็ ท่ี หัวเร่ือง ตัวช้ีวัด เน้ือหำ จำนวน (ชั่วโมง) 1 จานวนและ 1. แสดงความสัมพันธข์ องจานวน 1. ความสมั พนั ธข์ องระบบ 1 การดาเนนิ การ ตา่ ง ๆ ในระบบจานวนจรงิ จานวนจรงิ 2. อธิบายความหมายและหา 2. สมบตั ขิ องการบวก การลบ 7 ผลลัพธ์ท่เี กดิ จากการบวก การลบ การคูณ และการหาร จานวนจรงิ การคณู และการหารจานวนจรงิ 3. อธิบายสมบตั ขิ องจานวนจรงิ 3. สมบัตกิ ารเทา่ กนั และ 7 ทเ่ี ก่ยี วกับการบวก การคณู การ การไม่เทา่ กนั เท่ากนั และการไมเ่ ท่ากัน และนาไปใช้ 4. อธบิ ายเก่ยี วกับค่าสัมบรู ณข์ อง 4. คา่ สัมบรู ณ์ 5 จานวนจริงและหาคา่ สัมบูรณข์ อง จานวนจรงิ 2 เลขยกกาลัง 1. อธิบายความหมายและบอก 1. จานวนตรรกยะ และ 1 ที่มีเลขชกี้ าลัง ความแตกตา่ งของจานวน ตรรกยะ อตรรกยะ เปน็ จานวน และอตรรกยะ ตรรกยะ 2. อธิบายเกีย่ วกับจานวนจรงิ ที่อยู่ 2. เลขยกกาลงั ทม่ี ีเลขชี้กาลงั เปน็ 8 ในรปู เลขยกกาลงั ทมี่ ีเลขชีก้ าลัง จานวนตรรกยะ และจานวนจริง เป็นจานวนตรรกยะ และ ในรปู กรณฑ์ จานวนจรงิ ในรูปกรณฑ์ 3. อธบิ ายความหมายและหา 3. การบวก การลบ การคูณ 11 ผลลพั ธท์ ่ีเกดิ จากการบวก การลบ การหาร จานวนที่มีเลขชก้ี าลัง การคูณ การหาร จานวนจรงิ ทีอ่ ยู่ เป็นจานวนตรรกยะ และจานวน ในรปู เลขยกกาลังท่ีมีเลขชี้กาลงั จรงิ ในรปู กรณฑ์ เปน็ จานวนตรรกยะ และ จานวนจรงิ ในรูปกรณฑ์

85 ที่ หวั เร่ือง ตัวชว้ี ดั เนือ้ หำ จำนวน 3 เซต 1. เซต (ชั่วโมง) 1. อธิบายความหมายเกย่ี วกบั เซต 2. การดาเนนิ การของเซต 2. สามารถหายูเนี่ยน 1 อินเตอร์เซกชน่ั คอมพลเี มนต์ และ 3. แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ และ 11 ผลต่างของเซต การแกป้ ัญหา 3. เขียนแผนภาพแทนเซต และ 8 นาไปใช้แก้ปัญหาท่ีเกีย่ วกบั การหา สมาชิกของเซต 4 การใหเ้ หตุผล 1. อธิบายและใช้การใหเ้ หตผุ ล 1. การให้เหตุผลแบบอุปนัยและ 10 10 แบบอปุ นัยและนริ นยั นริ นัย 5 2. บอกได้ว่าการอา้ งเหตผุ ล 2. การอา้ งเหตุผลโดยใช้ 5 10 สมเหตุสมผลหรอื ไม่ โดยใช้ แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ 5 แผนภาพเวนน์-ออยเลอร์ 12 5 อัตราสว่ น 1. อธบิ ายการหาคา่ อตั ราสว่ น 1. อตั ราสว่ นตรีโกณมติ ิ 8 ตรีโกณมิตแิ ละ ตรีโกณมิติ การนาไปใช้ 2. หาค่าอัตราสว่ นตรโี กณมิติ 2. อตั ราส่วนตรโี กณมิติ ของมุม 30,45และ 60 ของมมุ 30,45และ 60 3. นาอัตราส่วนตรีโกณมิตไิ ปใช้ 3. การนาอัตราสว่ นตรีโกณมิติไป แกป้ ญั หาเก่ียวกบั ระยะทาง ใชแ้ ก้ปัญหาเกีย่ วกบั ระยะทาง ความสูง และการวดั ความสูงและการวัด 6 การใช้ 1. สร้างรปู ทางเรขาคณิตโดยใช้ 1. การสรา้ งรูปทางเรขาคณิตโดย เครอื่ งมือและ เครือ่ งมือ ใชเ้ คร่ืองมอื การออกแบบ 2. วิเคราะหแ์ ละอธิบาย 2. การแปลงทางเรขาคณติ ผลติ ภณั ฑ์ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรูปตน้ แบบ - การเลื่อนขนาน และรูปทีไ่ ด้จากการเลอ่ื นขนาน - การหมนุ การสะทอ้ น และการหมุน - การสะทอ้ น 3. นาสมบัตเิ กี่ยวกับการเลือ่ น 3. การออกแบบสร้างสรรค์ งาน ขนาน การหมุน และการสะทอ้ น ศิลปะจากการแปลงทาง จากการแปลงทางคณิตศาสตรแ์ ละ คณติ ศาสตร์และ ทางเรขาคณติ ทางเรขาคณิตไปใชใ้ นการออกแบบ งานศลิ ปะ 7 สถติ ิเบือ้ งตน้ 1. อธิบายข้นั ตอนการวิเคราะห์ 1. การวิเคราะห์ข้อมลู เบื้องตน้ 7 ขอ้ มลู เบ้อื งต้น และสามารถนาผล 2. การหาคา่ กลางของขอ้ มูล 18 จากการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องตน้ ไปใชใ้ นการตัดสนิ ใจ 2. เลือกใชค้ ่ากลางทเี่ หมาะสมกับ

86 ท่ี หัวเรื่อง ตวั ชวี้ ัด เนอื้ หำ จำนวน (ชว่ั โมง) ขอ้ มลู ทกี่ าหนด และวัตถุประสงค์ โดยใชค้ า่ เฉลีย่ เลขคณติ มัธยฐาน 10 ที่ต้องการ และฐานนยิ ม 10 3. นาเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ 3. การนาเสนอข้อมลู 25 รวมทงั้ การอา่ น และตีความหมาย 5 จากการนาเสนอข้อมูล 8 ความนา่ จะเป็น 1. หาจานวนผลลัพธ์ทอี่ าจเกดิ ขน้ึ 1. กฎเกณฑ์เบ้อื งตน้ เก่ียวกบั ของเหตุการณ์ โดยใช้กฎเกณฑ์ การนับ และแผนภาพต้นไม้ เบื้องต้นเก่ียวกับการนับและ แผนภาพต้นไมอ้ ย่างง่าย 2. อธิบายการทดลองสุม่ เหตุการณ์ 2. ความน่าจะเปน็ ของเหตกุ ารณ์ ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ และ หาความนา่ จะเปน็ ของเหตุการณ์ท่ี กาหนดให้ 3. นาความรู้เกย่ี วกบั ความน่าจะ 3. การนาความนา่ จะเป็นไปใช้ เป็นไปใช้ในการคาดการณ์และชว่ ย ในการตดั สินใจ

87 คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ พว31001 วทิ ยำศำสตร์ จำนวน 5 หนว่ ยกติ ระดบั มธั ยมศึกษำตอนปลำย มำตรฐำนทีก่ ำรเรยี นรูร้ ะดบั มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และเห็นคุณค่าเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สง่ิ มชี วี ติ ระบบนเิ วศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม ในท้องถน่ิ ประเทศและโลก สาร แรง พลังงาน กระบวนการ เปลยี่ นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตรแ์ ละนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ในการดาเนินชวี ติ ศกึ ษำและฝกึ ทักษะเก่ียวกับเรอื่ งต่อไปน้ี 1. กระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตร์ และเทคโนโลยี ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ทักษ ะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. สงิ่ มชี ีวิตและสง่ิ แวดล้อม เซลล์ พันธกุ รรมและความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยชี วี ภาพ ทรพั ยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดลอ้ ม 3. สำรเพือ่ ชวี ติ ธาตแุ ละสมบตั ิของธาตุ กัมมันตภาพรงั สี สมการเคมี และปฏิกิรยิ าเคมี โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน ปิโตรเลยี ม และพอลเิ มอร์ สารเคมีกบั ชีวิต และส่ิงแวดล้อม 4. แรงและพลงั งำนเพือ่ ชวี ิต แรง และการเคลอ่ื นท่ี 5. ดำรำศำสตร์เพ่อื ชีวิต เทคโนโลยีอวกาศ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ ความคิด มีความสามารถในการ ตดั สินใจ นาความรไู้ ปใชใ้ นชีวิตประจาวัน มจี ติ วิทยาศาสตร์ คุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยมทเี่ หมาะสม กำรจดั ประสบกำรณก์ ำรเรยี นรู้ ให้ผูเ้ รียนศกึ ษา ค้นคว้า สารวจ ตรวจสอบ ทดลอง จาแนก อธบิ าย นาเสนอดว้ ยการจัดกระบวนการ เรียนรู้ด้วยการพบกลุ่ม การสอนเสริม การเรียนรู้ด้วยตนเอง การรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรยี นรู้ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ และประสบการณจ์ ากผูเ้ รียน กำรวัดและประเมินผล ประเมินจากการสังเกต การอภปิ ราย การสมั ภาษณ์ ทักษะปฏบิ ัติ รายงานการทดลอง การมสี ว่ นรว่ ม ในกจิ กรรมการเรียนรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมิน การนาไปใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั

88 รำยละเอยี ดคำอธบิ ำยรำยวิชำ พว31001 วิทยำศำสตร์ จำนวน 5 หนว่ ยกิต ระดบั มัธยมศึกษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรียนรูร้ ะดับ มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเห็นคุณคา่ เก่ียวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สง่ิ มชี วี ติ ระบบนเิ วศทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ในทอ้ งถิ่นประเทศและโลก สาร แรง พลังงาน กระบวนการ เปล่ยี นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตร์และนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ในการดาเนินชีวติ ที่ หัวเรอื่ ง ตัวชว้ี ัด เนอ้ื หำ จำนวน (ช่ัวโมง) 1 กระบวนกำรทำง วิทยำศำสตร์ และ เทคโนโลยี 1.1 กระบวนการทาง 1. อธิบายธรรมชาตแิ ละ 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 15 วทิ ยาศาสตร์ และ ความสาคญั ของวทิ ยาศาสตร์ 1.1 ความหมายและความสาคญั เทคโนโลยี และเทคโนโลยี ของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2. อธบิ ายกระบวนการทาง 1.2 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ วิธกี ารทาง 1.2.1 วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ทกั ษะ 5 ขน้ั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.2.2 ทกั ษะกระบวนการทาง และเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ 13 ทักษะ 3. นาความรู้ และ 1.2.3 เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ 6 ลกั ษณะ ไปใชแ้ กป้ ัญหาตา่ งๆ 1.2.4 จติ วิทยาศาสตร์ 4. เกิดเจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 2. เทคโนโลยี 5. มจี ิตวิทยาศาสตร์ 2.1 ความหมาย และความ 6. อธบิ ายความหมาย สาคญั ของเทคโนโลยที ีเ่ หมาะสม ความสาคญั และความสมั พันธ์ 2.2 ความสัมพันธ์ของ ของเทคโนโลยตี ่อชีวติ และ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สังคม ตอ่ ชวี ิต และสังคม 7. นาความรู้ และเลอื กใช้ 2.3 ความกา้ วหน้าของ เทคโนโลยีไดอ้ ย่างเหมาะสม เทคโนโลยใี นปัจจบุ นั

89 ที่ หวั เร่อื ง ตัวช้วี ัด เน้ือหำ จำนวน (ช่วั โมง) 1.2 โครงงาน 8. มีทักษะในการเลือกใช้วสั ดุ 2.4 เทคโนโลยีกับการประกอบ วทิ ยาศาสตร์ 10 อปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตร์ และ อาชีพ และการนาเทคโนโลยีไปใช้ 2 ส่ิงมชี ีวติ และ 20 สิง่ แวดลอ้ ม สารเคมีได้ ในชีวติ 2.1 เซลล์ 2.5 การเลอื กใชเ้ ทคโนโลยีที่ เหมาะสมในการประกอบอาชีพ กับการดารงชีวติ 2.6 เทคโนโลยพี ืน้ บ้าน 3. การใชว้ ัสดุ อปุ กรณส์ ารเคมี และหอ้ งปฏบิ ตั ิการทาง วทิ ยาศาสตร์ 1. อธบิ ายประเภท เลือก 1. ประเภทของโครงงาน หวั ขอ้ วางแผน วิธที า 2. การเลือกหวั ขอ้ โครงงาน นาเสนอและประโยชนข์ อง 3. การวางแผนการกระทา โครงงาน โครงงาน 2. นาความรู้เกี่ยวกบั 4. การนาเสนอโครงงาน วิทยาศาสตร์ กระบวนการทาง 5. ประโยชนข์ องโครงงานเพ่ือ วิทยาศาสตร์ และโครงงาน การพฒั นาคุณภาพชวี ติ ไปใช้ 3. วางแผนการทาโครงงาน 4. ทาโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 5. อธบิ ายและบอกแนวได้ใน การนาผลจากโครงงานไปใช้ 6. นาความร้เู กยี่ วกับ วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และโครงงาน ไปใช้ 1. อธิบายรูปร่าง ส่วนประกอบ 1. เซลล์ ความแตกต่างระบบการทางาน 1.1ระบบการทางานของเซลล์ การรักษาดุลยภาพของเซลลพ์ ืช พชื และเซลลส์ ตั ว์ และการรักษา และเซลลส์ ตั ว์ ดุลยภาพ 2. อธบิ ายการรกั ษาดุลยภาพ 1.2 กลไกและการรกั ษาดุลยภาพ ของพืชและสตั ว์ และมนุษย์ ของพชื สตั ว์ และมนษุ ย์ และการนาความรไู้ ปใช้ 1.3 การป้องกนั ดูแลรักษา 3. ศึกษา สืบค้นขอ้ มลู และ ภูมิคุ้มกนั ร่างกายและการนา อธิบายกระบวนการแบง่ เซลล์ ความร้ไู ปใช้ในชวี ิตประจาวัน แบบไมโทซิล และไมโอซิล 2. กระบวนการแบง่ เซลล์ 2.1 การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส 2.2 การแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ

90 ที่ หวั เรือ่ ง ตัวชีว้ ัด เนือ้ หำ จำนวน (ช่วั โมง) 2.2 พันธกุ รรมและ 1. อธบิ ายกระบวนการ 1. พันธุกรรม การถ่ายทอดทาง 20 ความหลากหลาย ถ่ายทอดทางพันธกุ รรม การ พันธุกรรม การแปรผันทาง ทางชีวภาพ แปรผนั ทางพนั ธกุ รรม พนั ธุกรรม และการผา่ เหลา่ การผา่ เหล่า และการเกดิ ความ 2. ความหลากหลายทางชีวภาพ หลากหลายทางชีวภาพ 2.1 กระบวนการถา่ ยทอดทาง 2. อธิบายลักษณะทาง พนั ธกุ รรม พันธุกรรมของบคุ คล 2.2 การเกดิ การผ่าเหล่า 3. อธบิ ายปัจจยั ทีท่ าให้ 2.3 การเกดิ ความหลากหลาย สิ่งแวดล้อมเกดิ การ ทางชีวภาพ เปลย่ี นแปลง 3. โรคท่ีเกดิ จากการถา่ ยทอดทาง พนั ธกุ รรม และการนาไปใชใ้ น ชวี ิตประจาวัน 4. ชนิดพนั ธต์ุ า่ งถ่ินท่สี ง่ ผล กระทบต่อระบบนเิ วศและ ส่งิ แวดลอ้ ม 2.3 เทคโนโลยี 1. อธบิ ายเกย่ี วกับเทคโนโลยี 1. ความหมายและลกั ษณะ 15 ชวี ภาพ ชวี ภาพ ประโยชน์ ของเทคโนโลยชี ีวภาพ 2. อธิบายผลของเทคโนโลยี 2. ปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ 2.4 ทรัพยากร ชวี ภาพตอ่ ชีวิตและส่ิงแวดล้อม เทคโนโลยีชีวภาพ ธรรมชาติและ 3. อธิบายบทบาทของภมู ิ 3. เทคโนโลยชี ีวภาพ ส่งิ แวดลอ้ ม ปญั ญาท้องถิน่ เกี่ยวกับ ในชวี ติ ประจาวนั เทคโนโลยชี ีวภาพ 4. ภมู ปิ ญั ญาท้องถ่ินเกยี่ วกับ เทคโนโลยีชีวภาพ 5. ประโยชน์และผลกระทบ 5.1 ความหลากหลายทางชวี ภาพ 5.2 ชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม 1. อธบิ ายกระบวนการ 1. กระบวนการเปลี่ยนแปลง 20 เปล่ยี นแปลงแทนท่ขี อง แทนทข่ี องสิง่ มชี วี ิตและ ส่ิงมชี วี ติ สิ่งแวดลอ้ มในชุมชน 2. อภบิ ายการใช้ 2. การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ สภาพ ระดับทอ้ งถน่ิ ประเทศและ ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มในระดับ ระดบั โลก

91 ที่ หวั เรื่อง ตวั ชี้วัด เนอ้ื หำ จำนวน (ชั่วโมง) 3 สำรเพ่อื ชีวิต ท้องถน่ิ ระดับ ระดับประเทศ 3. ปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา 3.1 ธาตุ สมบตั ิของ และระดบั โลก ท่ีมผี ลกระทบตอ่ ชวี ติ และ ธาตุ และธาตุ 3. อธบิ ายสาเหตขุ องปญั หา สิ่งแวดล้อม กมั มนั ตรงั สี วางแผน และลงมือปฏบิ ัติ 4. ปญั หาและผลกระทบของระบบ 4. อธิบายปอ้ งกัน แกไ้ ข เฝา้ นเิ วศ และสภาพสิง่ แวดล้อมใน ระวงั อนุรกั ษ์ และพฒั นา ชมุ ชน ทอ้ งถน่ิ ประเทศ และโลก ทรัพยากรธรรมชาติและ 5. แนวทางการแกไ้ ขปญั หา สงิ่ แวดลอ้ ม ทรัพยากรธรรมชาติ 5. อธิบายปรากฏการณ์ ของ และสิ่งแวดล้อมในชมุ ชน ธรณวี ทิ ยาท่ีมผี ลกระทบตอ่ 6. การวางแผนพฒั นา ชีวิตและสิง่ แวดลอ้ ม ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ 6. อธิบายปรากฏการณ์ สง่ิ แวดล้อม สภาวะโลกรอ้ น สาเหตุ และ 7. การปฏิบตั ิตน หรอื การร่วมมือ ผลกระทบต่อชีวติ มนษุ ย์ กับชมุ ชนในการป้องกัน พฒั นา หรือแกไ้ ขปญั หา ทรัพยากร 1. อธิบายทฤษฏี โครงสรา้ ง ธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม และการจัดเรียงอเิ ลก็ ตรอนใน 8. สภาวะโลกรอ้ น สาเหตุและ อะตอม ผลกระทบ การปอ้ งกัน 2. อธิบายสมบัตขิ องธาตุตาม และแกไ้ ขปญั หาโลกรอ้ น ตารางธาตุ 1. โครงสรา้ งอะตอมและทฤษฏี 10 อะตอม 2. การจัดเรยี งอิเล็กตรอนใน อะตอม 3. การจัดเรียงธาตใุ นตารางธาตุ 4. สมบัตขิ องธาตุตาม ตารางธาตุ 3. บอกประโยชนข์ องตาราง 5. ประโยชนข์ องตารางธาตุ ธาตุ 6. ความหมายและการเกดิ 4. อธิบายสมบตั ิธาตุ กมั มนั ตภาพรังสี กมั มนั ตรงั สี และ 7. ประโยชน์และโทษของ กัมมันตภาพรังสี กัมมนั ตภาพรงั สี 5. บอกประโยชน์ และ 8. ผลกระทบของสารกมั มันตรงั สี ผลกระทบจากกัมมนั ตภาพรังสี ตอ่ สิง่ มีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม

92 ที่ หวั เรื่อง ตัวชีว้ ดั เนอ้ื หำ จำนวน 3.2 สมการเคมีและ (ชัว่ โมง) ปฏิกิรยิ าเคมี 1. อธบิ ายการเกิดสมการเคมี 1. ความหมายของสมการเคมี 15 3.3 โปรตนี และปฏิกริ ยิ าเคมี และ ปฏกิ ริ ิยาเคมี และสญั ลกั ษณ์ใน คาร์โบไฮเดรต และ 15 ไขมัน ดลุ สมการเคมี สมการเคมี 15 3.4 ปิโตรเลยี ม และ 2. อธิบายปจั จยั ท่ีมผี ลตอ่ 2. การเขียนและการอ่านสมการ พอลิเมอร์ ปฏิกริ ยิ าเคมี เคมี 3. อธบิ ายผลทเี่ กิดจาก 3. ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ปฏกิ ิริยาเคมตี อ่ ชีวิตและ 4. ปฏิกริ ยิ าเคมใี นชีวติ ประจาวนั สง่ิ แวดลอ้ ม และผลของปฏิกริ ิยาเคมตี ่อชวี ติ และสิง่ แวดล้อม 1. อธบิ ายสมบตั ิ ชนดิ ประเภท 1. สมบตั ิ ชนิด ประเภท การเกิด การเกิด และประโยชนข์ อง และประโยชน์ของโปรตีน โปรตนี 2. อธบิ ายสมบัติ ชนดิ ประเภท 2. สมบตั ิ ชนิด ประเภท การเกดิ การเกิด และประโยชนข์ อง และประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรต คารโ์ บไฮเดรต 3. อธบิ ายสมบตั ิ ชนดิ ประเภท 3. สมบัติ ชนดิ ประเภท การเกดิ การเกดิ และประโยชนข์ อง และประโยชนข์ องไขมนั ไขมัน 1. อธบิ ายหลักการกล่นั ลาดับ 1. ปิโตรเลยี ม ส่วน 1.1 การกลน่ั ลาดับสว่ น 2. บอกผลิตภณั ฑ์และ 1.2 ผลิตภณั ฑท์ ไี่ ด้ จากการ ประโยชน์ของผลิตภณั ฑ์ กล่นั ปโิ ตรเลยี ม ปิโตรเลียม 1.3 ผลกระทบของการใช้ 3. อธิบายผลกระทบทเี่ กดิ จาก ปิโตรเลียม การใช้ผลิตภัณฑ์ปโิ ตรเลียมได้ 2. พอลเิ มอร์ 4. อธบิ ายความหมายประเภท 2.1 ความหมาย ประเภท ชนดิ ชนดิ การเกิดและสมบตั ิของ การเกดิ และสมบตั ิของพอลเิ มอร์ พอลเิ มอร์ 2.2 พอลเิ มอรใ์ นชวี ติ ประจาวนั 5. อธบิ ายสมบตั ิการเกดิ และ 1.2.1 พลาสติก ผลกระทบทเ่ี กดิ จากการใช้ 1.2.2 ยางและยางสังเคราะห์ พลาสติก ยาง ยางสงั เคราะห์ 1.2.3 เสน้ ใยธรรมชาตแิ ละใย เส้นและเสน้ ใยสังเคราะห์ สังเคราะห์ 2.3 ผลกระทบของการใช้ พอลิเมอร์ 3.5 สารเคมีกบั ชวี ิต 1. อธิบายความสาคญั และ 1.ความสาคัญของสารกับชีวิต 10 และสิ่งแวดล้อม ความจาเป็นทตี่ ้องใช้สารเคมี และส่งิ แวดลอ้ ม 2. อธิบายวธิ ีการใช้สารเคมี 2. ความจาเป็นท่ตี อ้ งใช้สารเคมี

93 ท่ี หวั เรื่อง ตัวชี้วัด เน้อื หำ จำนวน (ชวั่ โมง) บางชนดิ ไดถ้ กู ตอ้ ง 3. การใช้สารเคมีทีถ่ ูกต้อง 3. อธบิ ายผลกระทบท่ีเกิดจาก 4. ผลกระทบทเ่ี กิดจากการใช้ การใชส้ ารเคมีได้ สารเคมี 4 แรงและพลังงาน 1. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ 1. แรงและความสัมพันธ์ระหว่าง 20 15 เพือ่ ชวี ิต ระหวา่ งแรงกับการเคล่อื นทีใ่ น แรงกับการเคล่ือนทขี่ องอนุภาค แรงและการเคลือ่ นที่ สนามโน้มถว่ ง สนามแมเ่ หล็ก และสนามไฟฟา้ 2. ระบุและอธบิ ายการ 2. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งแรงและ เคลื่อนท่ขี องแรงแบบตา่ ง ๆ การเคลือ่ นที่ของอนภุ าคในสนาม และการนาไปใช้ประโยชน์ โน้มถว่ ง สนามแม่เหลก็ ไปใช้ ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวัน 5 ดาราศาสตร์เพอ่ื ชวี ิต 1. บอกความหมาย 1. ความหมายความสาคญั และ เทคโนโลยอี วกาศ ความสาคญั และความเป็นมา ความเปน็ มาของเทคโนโลยี ของเทคโนโลยีอวกาศ อวกาศ 2. อธิบายและระบุประเภท 2. ประเภทของเทคโนโลยีอวกาศ ของเทคโนโลยีอวกาศ 2.1 ดาวเทยี ม 2.2 ยานสารวจอวกาศ 2.3 ยานขนสง่ อวกาศ 3. อธบิ ายการนาเทคโนโลยี 2.4 สถานที ดลองอวกาศ อวกาศมาใชป้ ระโยชน์ 3. ประโยชนข์ องการใช้ เทคโนโลยีอวกาศ 3.1 ปรากฏการณบ์ นโลก 4. บอกโครงการสารวจอวกาศ 3.2 ปรากฏการณใ์ นอวกาศ ท่ีสาคัญในปจั จบุ นั 4. โครงการสารวจอวกาศทสี่ าคญั ในปจั จุบัน

94 คำอธิบำยรำยวิชำ พว32023 กำรใชพ้ ลงั งำนไฟฟ้ำในชวี ิตประจำวัน 3 จำนวน 3 หนว่ ยกิต ระดบั มัธยมศึกษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ระดบั มีความรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะและเห็นคุณค่าเกยี่ วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงิ่ มีชีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถ่ินประเทศและโลก สาร แรง พลังงาน กระบวนการเปล่ยี นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์และนา่ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการ ดาเนนิ ชวี ิต ศกึ ษำและฝึกทักษะเกยี่ วกับเรื่องต่อไปนี้ 1. พลังงานไฟฟา้ การกาเนดิ ของไฟฟา้ สถานการณพ์ ลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทย ประเทศในกลุม่ อาเซียน และโลก 2. การผลติ ไฟฟา้ หนว่ ยงานทีเ่ ก่ยี วขอ้ งดา้ นพลงั งานไฟฟา้ ในประเทศไทย เชอ้ื เพลงิ และพลงั งานทใี่ ช้ในการผลิต ไฟฟา้ โรงไฟฟา้ กบั การจัดการด้านสงิ่ แวดล้อม 3. อปุ กรณ์ไฟฟา้ และวงจรไฟฟา้ 4. การใช้และการประหยดั พลังงานไฟฟา้ กำรจดั ประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ ให้ผู้เรียน ศึกษา ค้นคว้า สารวจ ตรวจสอบ ทดลอง จาแนก อธิบาย อภปิ ราย นาเสนอดว้ ย การจัดกระบวนการเรยี นรู้ด้วยการพบกลุ่ม การสอนเสริม การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง การรายงาน การศกึ ษา จากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์ตรงโดยใช้สถานการณ์จริง ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และประสบการณ์ จากผเู้ รยี น กำรวัดและประเมินผล ประเมินจากการสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทกั ษะปฏบิ ัติ รายงานการทดลอง การมสี ่วนรว่ ม ในกิจกรรมการเรียนรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมนิ การนา่ ไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวัน

95 รำยละเอียดคำอธบิ ำยรำยวชิ ำ พว32023 กำรใชพ้ ลงั งำนไฟฟำ้ ในชีวิตประจำวนั 3 จำนวน 3 หนว่ ยกิต ระดบั มธั ยมศกึ ษำตอนปลำย มำตรฐำนทกี่ ำรเรยี นรรู้ ะดบั มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเห็นคุณค่าเก่ียวกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สง่ิ มีชีวิต ระบบนเิ วศ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มในทอ้ งถิ่น ประเทศและโลก สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจติ วทิ ยาศาสตรแ์ ละนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ในการ ดาเนนิ ชวี ิต ท่ี หัวเร่ือง ตวั ชวี้ ัด เนอ้ื หำ จำนวน (ช่วั โมง) 1 พลังงานไฟฟ้า 1. บอกการกาเนดิ ของไฟฟ้า - ราชบัณฑิตยสถานไดใ้ หค้ วามหมายของ คาว่า 120 2. บอกสดั ส่วนเชอื้ เพลงิ “ไฟฟา้ ” ไวว้ า่ “พลงั งานรูปหน่ึงซงึ่ เกย่ี วข้องกับ ท่ีใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ การแยกตวั ออกมา หรอื การเคลอื่ นทขี่ อง ประเทศไทย ประเทศใน อเิ ล็กตรอนหรอื โปรตอนหรืออนุภาคอน่ื ทมี่ ี กล่มุ อาเซียนและโลก สมบัติแสดงอานาจคล้ายคลงึ กับอเิ ลก็ ตรอน 3. ตระหนักถงึ สถานการณ์ หรอื โปรตอน ทก่ี อ่ ให้เกดิ พลังงานอ่ืน เช่น ของเชอื้ เพลงิ ท่ใี ช้ในการ ความรอ้ น แสงสวา่ ง การเคลื่อนท่ี”เป็นต้น โดย ผลติ ไฟฟา้ ของประเทศไทย การกาเนดิ พลังงานไฟฟ้าท่สี าคญั ๆ มี 5 วธิ ี 4. วิเคราะห์สถานการณ์ พลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทย - ปัจจุบนั พลังงานไฟฟ้าได้เขา้ มามบี ทบาทตอ่ 5. เปรียบเทยี บสถานการณ์ การดารงชีวิตประจาวันอย่างหลกี เลยี่ งไม่ได้ พลงั งานไฟฟ้าของประเทศ รวมท้งั เป็นปัจจัยสาคญั ในการขบั เคลอ่ื น ไทย ประเทศในกลุ่ม เศรษฐกิจของประเทศมากขนึ้ โดยในปี พ.ศ. อาเซยี นและโลก 2557 ประเทศไทยมกี ารใช้ไฟฟ้าเป็นอันดับท่ี 6. อธบิ ายองคป์ ระกอบใน 24 ของโลก ซึ่งเป็นที่นา่ กังวลว่าพลงั งานไฟฟ้า การจดั ทาแผนพฒั นากาลัง จะเพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการใช้ไฟฟ้าในอนาคต การผลติ ไฟฟา้ ของประเทศ หรอื ไม่ดงั นัน้ ความมัน่ คงทางพลงั งานไฟฟา้ จงึ มี ไทย (PDP) ประเด็นสาคัญทปี่ ระชาชนทุกคนควรรู้ 7. ระบชุ อ่ื และสงั กดั ของ หนว่ ยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งด้าน พลงั งานไฟฟา้ ในประเทศไทย 8. อธบิ ายบทบาทหนา้ ท่ี ของหน่วยงานทเี่ กยี่ วข้อง ด้านพลงั งานไฟฟา้ 9. แนะนาบริการของ หนว่ ยงานที่เกยี่ วข้องดา้ น พลังงานไฟฟ้าในประเทศ

96 ที่ หวั เร่อื ง ตวั ช้วี ดั เนอ้ื หำ จำนวน (ช่ัวโมง) การผลติ ไฟฟ้า ไทย 1. อธิบายกระบวนการ อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชีย ผลติ ไฟฟ้าจากเชือ้ เพลงิ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ (Association of แตล่ ะประเภท Southeast Asian Nation : ASEAN) เปน็ 2. วเิ คราะหศ์ กั ยภาพ องค์กรทีก่ ่อตั้งขึ้นเพ่ือสร้างสนั ตภิ าพในภูมภิ าค พลงั งานทดแทนทม่ี ีใน เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ อันนามาซง่ึ เสถยี รภาพ ชมุ ชนของตนเอง ทางการเมอื งและความเจริญ กา้ วหนา้ ทาง 3. เปรียบเทยี บข้อดี เศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม โดยมุ่งเนน้ ให้ ข้อจากัดของเชอ้ื เพลิงและ อาเซียนเป็นตลาดเดยี วกนั และเป็นฐานการผลิต พลงั งานท่ีใชใ้ นการผลิต รว่ มทีม่ ีศกั ยภาพในการแข่งขันทางการค้ากับ ไฟฟา้ ภูมิภาคอนื่ ๆ ของโลก ปัจจบุ นั มปี ระเทศ 4. เปรียบเทียบตน้ ทนุ การ สมาชิก 10 ประเทศ ผลติ พลงั งานไฟฟา้ ตอ่ เช้อื เพลงิ ฟอสซลิ (Fossil Fuel) หมายถงึ หนว่ ยจากเช้อื เพลิงแตล่ ะ เชอื้ เพลิงทเ่ี กิดจากซากพืช ซากสัตวท์ ่ีทบั ถมจม ประเภท อยใู่ ต้พื้นพิภพเป็นเวลานานหลายร้อยล้านปโี ดย 5. อธิบายผลกระทบดา้ น อาศัยแรงอัดของเปลือกโลกและความร้อนใตผ้ วิ ส่งิ แวดลอ้ มทีเ่ กิดจาก โลกมีท้งั ของแขง็ ของเหลวและก๊าซ เช่น ถา่ น โรงไฟฟา้ หนิ นา้ มัน ก๊าซธรรมชาติ เปน็ ตน้ แหล่งพลงั งาน 6. อธบิ ายการจัดการดา้ น นเี้ ป็นแหลง่ พลงั งานทสี่ าคัญในการผลิตไฟฟ้าใน สิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้า ปัจจุบนั สาหรบั ประเทศไทยได้มกี ารนาเอา 7. อธบิ ายข้อกาหนด พลงั งานฟอสซิล ใชใ้ นการผลติ ไฟฟา้ ประมาณ เกย่ี วกับการวิเคราะห์ ร้อยละ 90 เน่อื งจากแต่ละทอ้ งถนิ่ มโี ครงสรา้ ง ผลกระทบสง่ิ แวดล้อม พ้นื ฐาน สภาพแวดล้อมและวัตถุดิบทจ่ี ะนามา (EIA) และการวเิ คราะห์ แปลงสภาพเปน็ พลังงานเพื่อใชง้ านในทอ้ งถ่นิ ท่ี ผลกระทบส่ิงแวดล้อม แตกต่างกนั ออกไป ดงั นัน้ แต่ละทอ้ งถนิ่ หรอื สังคม และสุขภาพ (EHIA) อาจจะเร่มิ ต้นท่คี รัวเรอื น จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ มี 8. เปรยี บเทยี บการ อะไรบ้างที่มศี ักยภาพ เพยี งพอทจี่ ะนามาผลิต วเิ คราะห์ผลกระทบ เปน็ พลงั งานเพือ่ ใช้ในครัวเรอื น หรือทอ้ งถิ่น ส่งิ แวดลอ้ ม (EIA) และการ ของตนเองได้บา้ ง อาทเิ ช่น เชื้อเพลิงชวี มวล วเิ คราะหผ์ ลกระทบ (Biomass) ซึง่ เป็นวสั ดุ หรือสารอนิ ทรีย์ท่ี สง่ิ แวดล้อม สงั คม และ สามารถเปลยี่ นแปลงเปน็ พลงั งานได้ ชีวมวลนับ สุขภาพ (EHIA) รวมถงึ วัสดเุ หลือทิ้งทางการเกษตร เศษไม้ 9. มเี จตคตทิ ่ีดีตอ่ โรงไฟฟา้ ปลายไมจ้ ากอตุ สาหกรรมไม้ มลู สัตว์ ของเสยี แต่ละประเภท จากโรงงานแปรรปู ทางการเกษตรและของเสยี จากชมุ ชน หรือกากจากกระบวนการผลติ ใน อตุ สาหกรรมการเกษตร เชน่ แกลบชานอ้อย เศษไม้ กากปาลม์ กากมันสาปะหลงั ซัง ขา้ วโพด กาบและกะลา มะพร้าว และสา่ เหลา้

97 ท่ี หวั เร่อื ง ตัวชว้ี ดั เน้ือหำ จำนวน (ชัว่ โมง) การผลิตไฟฟา้ สามารถผลิตได้จากเชอ้ื เพลิงและ พลังงานหลายประเภท ซ่งึ เชื้อเพลงิ และ พลังงานแตล่ ะประเภทกม็ ีขอ้ ดขี อ้ จากดั ท้ังในแง่ ตน้ ทนุ และผลกระทบ สาหรับเชื้อเพลงิ ฟอสซลิ ซง่ึ เปน็ เช้ือเพลงิ หลกั ในการผลิตพลงั งานไฟฟ้า ในปจั จบุ นั กาลงั จะหมดไปในอนาคต สง่ ผลให้ ตอ้ งมกี ารจัดหาพลงั งานทดแทนอืน่ มาใช้ในการ ผลิตพลงั งานไฟฟ้า อยา่ งไรก็ตามการผลิต พลังงานไฟฟ้าไม่วา่ จะเชื้อเพลิงประเภทใด อาจ ส่งผลกระทบตอ่ ส่งิ แวดล้อมและประชาชน ดงั น้ันจงึ ตอ้ งมีข้อกาหนดให้โรงไฟฟา้ ต้องมีการ ดาเนินการเกีย่ วกบั การวเิ คราะหผ์ ลกระทบ ผลกระทบสิง่ แวดล้อม (EIA) และ การวเิ คราะหผ์ ลกระทบสิ่งแวดลอ้ มสังคมและ สขุ ภาพ (EHIA)

98 คำอธิบำยรำยวชิ ำ พว32034 วสั ดุศำสตร์ 3 จำนวน 3 หนว่ ยกิต ระดับมัธยมศึกษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรยี นรรู้ ะดับ มีความรคู้ วามเข้าใจ ทักษะและเหน็ คุณคา่ เก่ยี วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่ิงมีชวี ิต ระบบนเิ วศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทอ้ งถนิ่ ประเทศ โลก สาร แรง พลังงาน กระบวนการเปล่ียนแปลงโครงงานวิทยาศาสตรข์ องโลกและดาราศาสตร์ มจี ติ วทิ ยาศาสตร์และนาความรู้ไป ใช้ในการดาเนินชีวิต ศึกษำและฝึกทกั ษะเกยี่ วกบั เรื่องต่อไปน้ี 1. วัสดุศาสตร์ (Materials Science) หมายถึง การศกึ ษาทเ่ี กี่ยวข้องกับวตั ถเุ ปน็ การนาความรู้ทาง วทิ ยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ เพอื่ อธิบายถึงความสมั พนั ธ์ระหว่างองค์ประกอบพน้ื ฐานของวัสดุ และ สมบตั ิของวสั ดุ ซึ่งความรดู้ ังกลา่ ว จะนามาผลิตหรอื สรา้ งเปน็ ผลิตภณั ฑ์ เพ่ือแก้ปัญหาหรืออธบิ ายส่ิงต่างๆ ที่ เกย่ี วเน่ืองกับวัสดแุ ละสมบัติทสี่ นใจได้แก่โลหะพลาสติก หรือ พอลเิ มอร์และเซรามิกส์โดยวสั ดศุ าสตร์มี ความสาคัญตอ่ การดาเนนิ ชวี ติ ของมนษุ ย์ จงึ ถือได้ว่าจะเป็นสว่ นหน่ึงของปัจจยั พืน้ ฐานในการดาเนินชีวติ และ เปน็ สว่ นหนึ่งในการพัฒนาประเทศใหก้ า้ วทันเทคโนโลยที ่ีทันสมยั ในด้านตา่ งๆ ในอนาคต 2. มนษุ ย์มีความผกู พันกับวสั ดศุ าสตร์มาเป็นเวลาช้านาน โดยเราสามารถพฒั นาสมบัตขิ องวสั ดใุ ห้ สามารถใช้งานในด้านต่างๆ ในชีวติ ประจาวันในการพฒั นาสมบัติของวัสดุย่อมเกิดมลพิษจากการผลิตและการ ใช้งานวัสดุ และเกดิ ผลกระทบทเ่ี กิดจากการใช้วัสดุต่อสิง่ มีชีวิตและส่ิงแวดลอ้ มได้ 3. การคดั แยกวสั ดทุ ใ่ี ชแ้ ลว้ เปน็ วิธกี ารลดปริมาณวัสดทุ ใี่ ช้แล้วทเ่ี กิดขึน้ จากต้นทาง ได้แก่ ครวั เรือน สถานประกอบการตา่ ง ๆ กอ่ นท้งิ ในการจดั การวัสดุที่ใชแ้ ลว้ จาเป็นต้องจดั ใหม้ รี ะบบการคัดแยกวัสดทุ ใ่ี ช้ แล้วประเภทตา่ งๆ ตามแตล่ ักษณะองคป์ ระกอบโดยมวี ัตถุประสงคเ์ พ่อื น ากลบั ไปใชป้ ระโยชน์ใหม่ โดยจัดวาง ภาชนะให้เหมาะสม ตลอดจนวางระบบการเก็บรวบรวมวสั ดุทีใ่ ช้แลว้ อย่างมีประสิทธภิ าพ และสอดคลอ้ งกับ ระบบการคัดแยกวสั ดุท่ีใชแ้ ล้ว เพอ่ื เป็นการสะดวกแก่ผู้เก็บขนและสามารถนาวัสดุท่ีใชแ้ ล้วบางชนิดไปขาย เพอื่ เพม่ิ รายไดใ้ หก้ บั ตนเองและครอบครวั รวมทั้งง่ายตอ่ การนาไปกาจัดหลัก 3R เปน็ หลกั การจดั การเศษวัสดุ เพื่อลดปริมาณเศษวสั ดุ ไดแ้ ก่ รดี วิ ซ์ (Reduce) คอื การใช้นอ้ ยหรอื ลดการใช้รยี สู (Reuse) คอื การใช้ซา้ และ รีไซเคิล (Recycle) คือการผลติ ใช้ใหม่ใชเ้ ปน็ แนวทางปฏบิ ัติในการลดปรมิ าณเศษวสั ดใุ นครวั เรอื น โรงเรยี น และชุมชน 4. ปัจจบุ นั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยมี กี ารพฒั นาอย่างตอ่ เนอ่ื ง เพ่ือตอบสนองต่อการเจรญิ เตบิ โต ของเศรษฐกจิ และสงั คมในปัจจุบัน การพฒั นาวัสดุให้มสี มบัตทิ ่ีเหมาะกบั ความตอ้ งการใชง้ าน จึงเป็นสิง่ ท่มี ี ความจาเป็นอย่างยง่ิ อันจะชว่ ยให้การพฒั นาของเทคโนโลยีเตบิ โตไปพร้อมกับการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่กันไป โดยทศิ ทางการพฒั นาวัสดเุ พ่ือใหม้ คี วามเหมาะกบั การใชง้ านจึงมงุ่ เนน้ พฒั นาให้วสั ดุมีความเบา แขง็ แรงทนทานทนต่อสภาพอากาศ มีความยดื หยุ่นสูง น าไฟฟ้ายิ่งยวด หรือวัสดุที่มีความเปน็ มติ รต่อ สิ่งแวดล้อมตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม 5. สะเตม็ ศกึ ษา (STEM Education)คอื แนวทางการจดั การศึกษาท่บี รู ณาการความรู้ใน 4 สหวิทยาการ ไดแ้ ก่ วทิ ยาศาสตร์ วศิ วกรรม เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์ โดยเนน้ การน าความรูไ้ ปใช้แก้ปัญหาในชวี ติ จริง รวมทงั้ การพฒั นากระบวนการหรอื ผลผลติ ใหม่ทีเ่ ป็นประโยชนต์ อ่ การดาเนนิ ชวี ติ และการทางาน 6. การเผาเศษวัสดเุ หลอื ทิง้ เปน็ การจดั การเศษวสั ดเุ หลือท้งิ เปน็ วธิ ที ไี่ ดร้ ับความนิยมสามารถกาจัดของเสีย ทีม่ าจากการรกั ษาพยาบาลและของเสยี ทม่ี พี ษิ ไดด้ ีกว่าการกาจดั เศษวัสดุเหลือทงิ้ โดยวิธฝี ังกลบและอาจนาสว่ นที่

99 เหลอื นีไ้ ปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ผลกระทบทางระบบนิเวศน์ก็นอ้ ยกวา่ ความจา เป็นทจี่ ะต้องแสวงหาแหลง่ พลังงาน หมนุ เวียนทดแทนพลงั งานเชอื้ เพลิงฟอสซิลซ่ึงนับวนั จะมีปริมาณลดนอ้ ยลงและมรี าคาสูงขนึ้ เศษวสั ดเุ หลือท้ิงเปน็ อีก ทางเลือกหนึง่ ด้านการผลิตพลงั งานเพราะเศษวัสดุเหลือท้ิงมศี กั ยภาพท่สี ามารถนามาใช้เพื่อผลิตพลงั งานได้ ทงั้ น้ี เนือ่ งจากมปี รมิ าณมาก และไม่ตอ้ งซือ้ หาแตใ่ นปัจจุบันมกี ารนาเศษวัสดุเหลอื ทง้ิ มาผลิต เป็นพลังงานนอ้ ย มากเมอ่ื เทยี บกบั พลงั งานทดแทนด้านอนื่ ๆ กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ 1. บรรยาย 2. ศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองจากสื่อที่เกี่ยวข้อง 3. พบกล่มุ ท าการทดลอง อภปิ ราย แลกเปล่ยี นเรียนรู้ วิเคราะห์ และสรปุ การเรียนรทู้ ี่ไดล้ งใน เอกสารการเรยี นรู้ด้วยตนเอง (กรต.) กำรวัดผลและประเมินผล การสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงานการทดลอง การมสี ่วนรว่ มใน กจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลงาน การทดสอบ ประเมินการนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ

100 คำอธิบำยรำยวิชำ พว32034 วสั ดุศำสตร์ 3 จำนวน 3 หนว่ ยกิต ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนปลำย มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ระดับ มีความรูค้ วามเขา้ ใจ ทักษะและเหน็ คุณคา่ เกย่ี วกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงิ่ มีชีวิต ระบบนิเวศ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มในท้องถน่ิ ประเทศ โลก สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงงานวิทยาศาสตรข์ องโลกและดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตรแ์ ละนาความรู้ไป ใช้ในการดาเนนิ ชีวติ ท่ี หวั เร่อื ง ตัวช้วี ัด เนือ้ หา จำนวน 1 หลักวสั ดุศาสตร์ (ช่วั โมง) 1. บอกความหมายและ 1. หลักวสั ดศุ าสตร์ ประเภทของวสั ดุได้ 1.1 ความหมายของวัสดุ 20 2. สรปุ โครงสร้างและ สมบตั ขิ องวสั ดุได้ ศาสตร์และประเภทของวัสดุ 1.2 สมบตั วิ สั ดุ 2 การใช้ประโยชน์ 1. อธิบายการใช้ 2. การใช้ประโยชน์และ 20 และผลกระทบจาก ประโยชน์จากวัสดุได้ ผลกระทบจากวสั ดุ วสั ดุ 2. อธิบายสาเหตขุ อง มลพิษจากการผลิตและ 2.1 การใชป้ ระโยชนจ์ ากวสั ดุ การใชง้ านได้ 2.2 มลพษิ จากการผลิตและ 3. ตระหนักถงึ การใช้งาน ผลกระทบท่ีเกิดจาก 2.3 ผลกระทบจากการใช้วสั ดุ ต่อส่งิ มีชีวิตและสงิ่ แวดล้อม การใช้วัสดุต่อส่งิ มีชีวิต และสิ่งแวดล้อม 3 การคัดแยกและการ 1.อธบิ ายถงึ การคัดแยก . 3.การคัดแยกและการรไี ซเคิล 20 20 รีไซเคลิ วัสดุ วัสดไุ ด้ 3.1 การคัดแยกวสั ดุใช้แลว้ 2. อธิบายหลัก 3R 3.2 การจดั การวัสดุด้วยการ ในการจดั การวัสดไุ ด้ รไี ซเคิล 3. อธิบายวธิ กี ารรีไซเคลิ วัสดุแต่ละประเภทได้ 4 แนวโน้มการใช้วสั ดุ 1. อธิบายแนวโน้ม 4. แนวโนม้ การใช้วัสดแุ ละทศิ และทศิ ทางการ การใช้วัสดใุ นอนาคตได้ ทางการพัฒนาวัสดใุ นอนาคต พฒั นาวัสดุใน 2. อธิบายทศิ ทาง 4.1 แนวโนม้ การใชว้ ัสดุใน อนาคต การพัฒนาวัสดุในอนาคต อนาคต ได้ 4.2 ทิศทางการพฒั นาวสั ดใุ น อนาคต


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook