Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 32. สุขศึกษา พลศึกษา ทช21002 ม.ต้น สาระการดำเนินชีวิต

32. สุขศึกษา พลศึกษา ทช21002 ม.ต้น สาระการดำเนินชีวิต

Description: 32. สุขศึกษา พลศึกษา ทช21002 ม.ต้น สาระการดำเนินชีวิต

Keywords: 32. สุขศึกษา พลศึกษา ทช21002 ม.ต้น สาระการดำเนินชีวิต

Search

Read the Text Version

143 เร่ืองที่ 1 การปองกันอันตรายจากการประกอบอาชีพ สุขภาพกบั การประกอบอาชีพมีความสัมพันธกนั อยา งมาก คอื 1. การประกอบอาชีพทําใหเรามีความเปนอยูที่ดีและในขณะเดียวกันการที่เราจะ สามารถประกอบอาชีพไดจ ําเปน ตองมีสขุ ภาพทดี่ ีทง้ั รางกายและจติ ใจ ทัง้ สองสิง่ นีต้ องควบคกู นั ไปจึง จะทํางานไดอยา งมีประสิทธภิ าพ 2. ความสัมพันธในทางลบ คอื การประกอบอาชพี สง ผลเสยี ตอสุขภาพ ทําใหเ กดิ โรค และอนั ตรายได ดงั นัน้ จึงจาํ เปนทตี่ องควบคมุ และปอ งกนั โรค รวมทัง้ อันตรายจากการประกอบอาชีพ นอกจากนคี้ วรใหก ารศึกษาแกประชาชนใหประกอบอาชีพไดอยา งปลอดภัย ปจจยั ทเ่ี ปน สาเหตขุ องการเกิดโรคและอันตรายจากการประกอบอาชีพ ปจจัยท่ีสาํ คัญไดแ ก 1. บุคคลผูป ฏบิ ตั งิ านและควบคมุ การทาํ งาน เปนผูควบคมุ กาํ หนด และปฏิบัติการทาํ ส่งิ ตา ง ๆ องคป ระกอบตาง ๆ ของบคุ คลท่สี ง ผลใหเกดิ โรคหรอื อนั ตรายจากการทํางาน ไดแ ก 1.1 สภาวะทางรางกายและจิตใจ รางกายและจิตใจออนแอทําใหเกิดโรคหรือ อันตรายได 1.2 ลักษณะนิสัยการทํางาน ตองรักการทํางาน ละเอียด รอบคอบ จึงจะไมเกิด โรคหรืออนั ตราย 1.3 การขาดความรูความสามารถในการทาํ งานและประสบการณก็เปนอีกปจจัย หน่งึ ทีท่ ําใหเ กดิ โรค 2. สภาพแวดลอมทางกายภาพ ไดแก สถานทท่ี ํางาน แสง เสียง ฯลฯ 3. สารเคมี เปน ส่ิงทมี่ ีประโยชนแ ละโทษในการประกอบอาชพี 4. เชอื้ โรคและพษิ ของเชอ้ื โรค เมือ่ เขาสรู างกายอาจเกิดอนั ตรายได 5. เคร่ืองจักร เคร่อื งมอื และในการทาํ งาน หากใชอยา งไมถ กู ตอ ง อาจเกดิ อนั ตรายได

144 สภาพการณท ี่ไมป ลอดภัย (Unsafe Conditions) เครื่องจกั ร : ไมม อี ปุ กรณปองกนั สวนทีเ่ คลือ่ นไหว หรือมไี มเพียงพอ เคร่ืองมือ : อปุ กรณช ํารุด เปนอันตราย สิ่งของ : วสั ดุ วางไมเปนระเบยี บ อาคาร : ส่ิงปลูกสรางไมมัน่ คง สารเคมี : วตั ถุมพี ษิ ไมมีทเ่ี กบ็ โดยเฉพาะ สภาพ ความรอ น ความเยน็ แสงสวาง เสียงดัง ฝุนละออง ไอระเหย ฯลฯ การกระทําทไ่ี มป ลอดภยั (Unsafe Acts)  เดนิ เครอ่ื งจกั รหรือทาํ งานที่ไมใ ชหนา ทีข่ องตน หรือไมร ูงาน  เดินเครือ่ งเรว็ เกินควร  ถอดอุปกรณป อ งกนั อันตรายออก  ใชเ ครอ่ื งมอื ไมถูกวิธี ไมเ หมาะสม หรอื ไมปลอดภยั  ทาปฏบิ ัตงิ านไมเหมาะสม  ไมใ ชอ ปุ กรณป องกันสวนบุคคล  ประมาท มกั งา ย หรือหยอกลอ กนั ในขณะทํางาน  จงใจฝา ฝนกฎระเบยี บ  อน่ื ๆ 1.1 ความปลอดภยั ท่วั ไปในบรเิ วณโรงงาน ขอพงึ ปฏิบตั ิเพอ่ื ความปลอดภยั ในโรงงาน 1. หา มสูบบหุ รีใ่ นบรเิ วณโรงงาน ยกเวนบรเิ วณท่อี นุญาตใหส ูบได 2. หามท้ิงกนบหุ รล่ี งบนพนื้ ตอ งทิง้ ลงในภาชนะทจ่ี ดั ไวใ หเทาน้ัน 3. หามนําไมข ีดไฟ หรอื ไฟแชค็ ชนดิ จงั หวะเดียวเขา ไปในบริเวณท่ีหามสูบบหุ ร่ี 4. หา มหงุ ตม อาหารในบรเิ วณท่ีหามสูบบุหรี่ 5. หา มนําอาหารหรือเครื่องดืม่ เขา ไปในบริเวณทผ่ี ลิตสารเคมอี ันตรายและคลงั พสั ดุ 6. หา มเกบ็ เสื้อผา รองเทา หมวก ถงุ มือ และของใชสว นตัวอื่น ๆ ไวในท่ีตามใจชอบ ใหจดั เกบ็ ไวในตูทีจ่ ัดไวใหเทาน้ัน 7. หามบวนนาํ้ ลายลงบนพื้นโรงงาน หรอื ในบรเิ วณท่ที ํางาน 8. ใหท ง้ิ ขยะมูลฝอยในถังท่จี ดั ไวไหเทานั้น 9. ควรรักษาความสะอาดของเคร่ืองใชประจําตัวอยา งสมาํ่ เสมอ

145 10. ตอ งสวมเสือ้ ผา รองเทา ใหเรยี บรอ ยตลอดเวลาทที่ ํางานในโรงงาน และสวม หมวกพรอ มทง้ั อุปกรณปอ งกนั อันตรายอน่ื ๆ ท่จี าํ เปน เมื่อทํางานในโรงงาน 11.หากมอี ุบัตเิ หตเุ กิดขึ้น ใหรายงานตอผูบงั คับบัญชาทนั ที 12.หากรูส ึกเจบ็ ปว ยในเวลาทํางานใหร ีบรายงานตอผูบังคบั บัญชาเพอ่ื จะไดทําการ รักษาพยาบาลทันที 13.ใหเ ดินตามทางทจ่ี ัดไวใ นโรงงาน อยา ว่งิ เมือ่ ไมม ีเหตุจาํ เปน 14.จัดเกบ็ และเรียงสิ่งของใหเ ปน ระเบียบ เพ่ือใหมีทางเดินหรอื ทาํ งานไดสะดวกและ ปลอดภัย 15. หามเลน เยา แหย หรือหยอกลอกันในบริเวณท่ที าํ งาน 16. หา มฝกขับขี่ยานพาหนะในบริเวณโรงงาน 17. ตอ งเรียนรูถงึ วธิ ีการดบั เพลิงและการใชอ ปุ กรณด บั เพลงิ ประเภทตา ง ๆ การใชแ ละเกบ็ รกั ษาเครอ่ื งมอื อปุ กรณการทาํ งาน 1. ใหเก็บเครอ่ื งมอื และอุปกรณตาง ๆ ใหเ ปน ระเบียบเรียบรอยและเก็บรักษาใหอยู ในสภาพท่ีดี เมอ่ื จะใชห รอื เตรยี มจะใช ตองวางไวใ นทีท่ ี่ไมเปนอันตรายแกบุคคลอ่ืน 2. ในขณะปฏิบัตงิ านบนที่สูงหามวางเคร่ืองมือหรืออุปกรณอื่นใดบนนั่งรานแทน บนั ได หรือทสี่ ูง เวน แตจ ะไดม ีทเ่ี กบ็ ไวไ มใหต ก 3. เคร่ืองมือไฟฟาชนิดมือถือหรือชนิดเคลื่อนยายได และไมมีฉนวนหุมสองช้ัน จะตอ งมสี ายไฟฟาชนดิ สามสายและปลกั๊ ทีต่ อไปยังสายดนิ 4. ผูป ฏิบตั งิ านทุกคนเม่อื พบเห็นเครอ่ื งมือเคร่ืองใช หรืออุปกรณซ่ึงถาปลอยท้ิงไว อาจกอใหเ กดิ อันตราย หรือพบเหน็ เครื่องมืออปุ กรณที่ใชปองกันอันตรายน้ันไมไดมาตรฐาน ใหแจง ผบู งั คบั บญั ชาทราบโดยทันที 5. ในการปฏบิ ัตงิ านแตละครงั้ หา มผปู ฏบิ ตั ิงานใชเ ครอ่ื งมอื ทชี่ ํารุดบกพรอง การใชอปุ กรณย กยายสิ่งของ 1. อุปกรณยกของจะตอ งไมบ รรทุกน้ําหนักเกินกวามาตรฐานการใชงานท่ีกําหนด ไว 2. ผูป ฏิบตั งิ านทีท่ าํ งานเก่ยี วกบั อปุ กรณยกของจะตองสวมเครื่องปอ งกันอันตรายท่ี เหมาะสมกบั งาน เชน หมวกนิรภัย รองเทานิรภัยและถงุ มือนริ ภยั ฯลฯ 3. การทํางานเกีย่ วกบั อปุ กรณยกของจําเปน ท่ีจะตองมกี ารประสานงานกับเจาหนา ท่ี คนอนื่ ทท่ี าํ งานอยใู นบริเวณเดียวกนั 4. ผูใชปนจ่ัน กวาน และเครน จะตองเปนผูท่ีมีหนาที่และไดรับอนุญาตจาก ผบู ังคบั บัญชาแลว เทา นัน้

146 5. กอนทาํ การใชป นจน่ั กวาน และเครนในแตล ะวัน ผใู ชจ ะตอ งตรวจสอบใหแ นใจ วาปนจัน่ กวาน และเครนอยใู นสภาพทเ่ี หมาะสมกับการใชงานและสามารถใชงานไดอยางปลอดภัย เชน ตรวจหารอยรา ย รอยแตก การหลุดหลวมของนอตระบบไฮดรอลิกส ระบบควบคุมการทํางาน สมอ เกีย่ ว โซ และเชอื ก เปนตน 6. ผูใชปนจนั่ จะตองไมยกของหนกั ขามศีรษะบคุ คลอ่นื นอกจากหัวหนางานจะส่ัง และผูปฏิบัติงานที่ทํางานอยูใกล ๆ หรืออยูใตอุปกรณยกของนั้น จะตองระมัดระวังส่ิงของตกลงมา ตลอดเวลา 7. ในขณะทป่ี นจนั่ หรือเคร่อื งยกอ่นื ๆ กาํ ลงั ยกของคา งอยู ผใู ชจ ะตอ งเอาใจใสและ ควบคมุ อยางดี 8. ในการปฏิบัติงาน ผูใชปน จนั่ หรือเครือ่ งยกอ่ืน ๆ ตอ งดูสัญญาณจากพนักงานผูมี ความรูค วามชาํ นาญ และมีหนา ที่ในเรอ่ื งน้ีแตเ พยี งผูเดยี วเทานั้น 9. เม่ือใชปนจั่น กวาน และเครนในบริเวณที่มีสายไฟหรืออุปกรณไฟฟาที่มี กระแสไฟฟาไหลผานอยู ผใู ชจ ะตอ งไมนาํ สวนหนึ่งสว นใดของปนจัน่ กวาน และเครนซ่ึงไมมีเคร่ือง ปอ งกันเขาใกลส ายไฟหรอื อปุ กรณไ ฟฟา นอ ยกวา ระยะทีก่ ฎหมายกาํ หนดไว 10. สลิงที่ใชกับเคร่ืองยกตาง ๆ จะตองเปนชนิดที่ทําดวยลวด โซเหล็ก หรือเชือก มะนลิ า 11. สลิงทุกเสนจะตองมีความแข็งแรงพอที่จะรับนํ้าหนักไดไมนอยกวา 8 เทาของ สง่ิ ของทจี่ ะยก 12. กอ นท่ีจะใชส ลงิ จะตอ งตรวจดูใหละเอียดถีถ่ ว นวาจะใชไดอ ยางปลอดภยั หรือไม หา มใชสลงิ ทหี่ งกิ งอหรือมีเสนเกลียวขาดจนทาํ ใหค วามแขง็ แรงนอ ยกวาทก่ี าํ หนดไวใ นขอ 11 13. เมื่อจะใชสลิงยกของที่มีขอบแข็งคม จะตองใชไมหรือสิ่งรองรับอื่น ๆ ที่ เหมาะสมรองกันไวไ มใหส ลิงชาํ รดุ เสยี หาย การใชเ ครือ่ งกลงึ 1. หา มวางเครือ่ งมอื หรือวัตถตุ า ง ๆ ไวบ นแทน เลื่อนของเครอื่ งกลึง เวนแตเคร่ืองมือ ทจี่ าํ เปน ตอ งใชในงานทีก่ าํ ลังทาํ อยเู ทานน้ั 2. จะตอ งจดั หาลงั ถงั หรือภาชนะอน่ื ๆ ท่ีเหมาะสมไวส ําหรับใสเศษวตั ถุ 3. ผูปฏิบัติงานทุกคนท่ีปฏิบัติงานกับเครื่องจักรกลจะตองสวมแวนตานิรภัยเพื่อ ปอ งกันอนั ตรายซึงอาจเกิดข้นึ กับดวงตา และตองใชแ ผนปดหนาอกท่ีทําดวยผาท่ีมีสวนประกอบของ ใยสังเคราะหนอ ยทส่ี ุด เพอื่ ปอ งกนั เศษโลหะท่ีรอ น ซ่งึ อาจจะกระเด็นถูกผิวหนงั หรือเส้อื ผา ทสี่ วมใส 4. หา มวดั ขนาดช้ินงานขณะท่ีเครอ่ื งกลงึ กําลงั หมุน 5. หา มใชม ือไปจบั เพ่ือดึงเศษโลหะออกจากชิ้นงาน โดยเฉพาะขณะทกี่ าํ ลงั กลึงอยู

147 การใชเคร่ืองขัดหรือหินเจียร 1. จะตองติดตงั้ เคร่อื งขัดหรอื หินเจียรใหยึดแนนกับพื้นโตะหรือฐานอื่น ๆ ท่ีมั่นคง แข็งแรง 2. จะตองมีฝาครอบเคร่ืองขัดเพื่อปองกันไมใหผูปฏิบัติงานไดรับอันตรายจากเศษ โลหะท่กี ระเด็นออกมา 3. จะตองไมตั้งอัตรารอบหมุนของจานขัดเกินอัตรารอบหมุนเร็วท่ีบริษัทผูผลิต กําหนดไว 4. จะตองปรับแผนรองขัด (Work Rest) ใหพอเหมาะโดยใหหางจากจานขัดไมเกิน 1/8 นว้ิ 5. จานขัดท่ีสึกมากจนใชการไดไ มด ี จะตอ งเปล่ียนใหมท ันที 6. จานขัดทชี่ าํ รุดจะตอ งท้งิ ไป อยานาํ กลบั มาใชอีก 7. ผูป ฏบิ ัติงานทีป่ ฏิบตั ิงานกับเคร่ืองขัดจะตองสวมแวนนิรภัยเพื่อปองกันอันตราย อนั อาจจะเกดิ ขึน้ กบั ดวงตา และสวมเครือ่ งกรองอากาศหายใจปองกันอันตรายจากฝุนที่อาจจะเกิดกับ ระบบหายใจ และสวมถงุ มือปอ งกันเศษโลหะ การใชเ ครอ่ื งตดั 1. ในการทํางานกับเคร่ืองตัด ผูปฏิบัติงานจะตองสวมเคร่ืองปองกันอันตรายสวน บคุ คล เชน เครอ่ื งปองกนั ดวงตา ถงุ มือ รองเทา ผาหรอื หนังกนั เศษโลหะ 2. เครอื่ งตดั จะตองมีเคร่อื งปองกันอันตรายประจําเครื่อง เชน แผนใสนิรภัยปองกัน เศษชนิ้ งานกระเด็นเขาตา หรอื มฝี าครอบวงลอ 3. ในหองปฏิบัติงานจะตองมีระบบระบายอากาศท่ีเพียงพอ เพ่ือกําจัดฝุนโลหะท่ี เกิดขึ้น ถา ไมม ีระบบระบายอากาศ จะตองใหผูปฏิบัติงานสวมอุปกรณปองกันฝุนตลอดระยะเวลาท่ี ปฏบิ ัติงานกับเคร่อื งตัดดงั กลา ว การใชเ ครือ่ งปม โลหะ 1. ควรใชเ ครอ่ื งปม ท่ีอยูในสภาพท่ีปลอดภัยตอการใชงาน หรือมีการติดตั้งอุปกรณ ปองกนั อนั ตรายแลวเทา นัน้ 2. ถา ตอ งปม งานชิน้ เล็กหรืองานท่ีคอนขางยุง ยาก ควรใชเครอ่ื งมือชวยจบั ช้นิ งาน 3. เมื่อตองการตดิ ต้งั เคลือ่ นยาย และปรบั แตงแมพ มิ พ ควรใชบลอ็ กนริ ภยั ทกุ คร้ัง 4. การติดตั้ง เคล่ือนยาย หรือปรับแตงแมพิมพ ตองกระทําโดยบุคคลท่ีไดรับการ ฝก อบรมแลวเทานัน้

148 การใชเ ครอ่ื งจกั รทวั่ ไป 1. ขจัดสวนที่เปนอันตรายทุกสวนของเครื่องจักรใหหมดไป (อาจใชหุนยนตชวย ทาํ งานในจดุ ที่มีอนั ตราย เปน ตน ) หรอื ทําการปองกันสว นที่มีอนั ตรายน้ัน เชน ตดิ ต้งั ท่ปี อ งกัน หรือฝา ครอบ หรอื ใชเคร่ืองจกั รอตั โนมตั ิ 2. ทํางานตามระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ัติงานอยางเครง ครัด 3. สวมใสเสอ้ื ผา ท่รี ดั กมุ อยาสวมเสอื้ ปลอ ยชาย 4. สวมใสเคร่ืองปองกันและใชเคร่ืองมือที่ถูกตองและเหมาะสมกับงานท่ีทํา และ ตอ งระวังในการใชถ งุ มือ เพราะถุงมือบางอยา งอาจจะไมเหมาะกับงานบางอยา ง 5. ในการตรวจสอบ ซอมแซม และทําความสะอาดเครื่องจักรน้ัน จะตองหยุด เคร่อื งจักรใหเ รียบรอ ยและมเี ครื่องหมายช้ีบอกหรอื ตดิ ปายแขวนวา “หา มเดินเครอ่ื ง” 6. ใหตรวจตราเครื่องจักรกอนเดินเครื่องและตรวจสอบเปนระยะ ๆ และระวัง อนั ตรายขณะตรวจตราเครอ่ื งจักรและกอนเร่ิมเดนิ เครื่อง 7. เม่ือจะตองทํางานรวมกัน จะตองแนใ จวา ทุกคนเขาใจในสัญญาณเพื่อการสื่อสาร ตา ง ๆ อยา งชัดเจนและถกู ตองตรงกนั 8. อยาเขาไปในสวนท่ีเปนอันตรายของเครื่องจักร หรือสวนที่ทํางานเคลื่อนไหว ตลอดเวลาถา จําเปนตองเขา ไปในบรเิ วณน้ัน ตอ งแนใจวาเครอ่ื งจกั รไดหยุดเดินเคร่ืองแลว การใชเคร่ืองมอื 1. เลือกใชเ คร่อื งมือทเี่ หมาะสมกบั งานทที่ ํา 2. รกั ษาเคร่อื งมือใหอยูในสภาพที่ดีอยูเสมอ โดยตรวจสอบสภาพกอนการใชงานทุก ครง้ั 3. ซอ มแซมหรอื หาเครือ่ งมอื ใหมท ดแทนเครอื่ งมอื ท่ชี ํารดุ หรือแตกหักโดยทันที 4. ลา งนา้ํ มนั จากเครอื่ งมอื หรือชิ้นงาน เพือ่ ปองกนั อุบัติเหตจุ าการลื่นไถล 5. ตรวจสอบและปฏบิ ัตติ ามขอ แนะนําการใชเ ครื่องมือ 6. จบั หรือถอื เครอื่ งมือใหก ระชบั การจบั แบบหลวม ๆ อาจกอใหเ กิดอุบตั ิเหตไุ ด 7. อยา เรม่ิ งานโดยไมต รวจสอบสภาพตา ง ๆ โดยรอบหรือบรเิ วณพน้ื ทีท่ ่ีทาํ งานกอน การใชสายพานลาํ เลยี ง 1. สายพานลาํ เลียงตอ งมีสวติ ซห ยุดฉกุ เฉิน และตองตรวจสอบใหรูจุดที่ติดตั้งสวิตซ ฉุกเฉนิ กอนที่จะเริม่ ใชสายพานลาํ เลยี ง 2. มีอุปกรณค รอบหรือบังสวนทีห่ มุนไดของสายพาน เชน ลกู กล้งิ มเู ล ฯลฯ 3. ถา ของทีล่ าํ เลียงมีโอกาสตกลงมาได ตอ งมีสวนปดหรือครอบปองกัน

149 4. อยา กาวหรือกระโดดขา มสายพานลาํ เลียงขณะทํางาน 5. เมอื่ จําเปน ตองซอ มหรือตรวจตราสายพานลาํ เลยี งเพราะมีการทํางานผิดพลาดตอง ปดสวิตซทาํ งานกอนท่จี ะซอมหรอื ตรวจตราสายพานลําเลียงนน้ั การเชื่อมโลหะ 1. ขณะทําการเช่ือมดวยไฟฟาภายในอาคาร จะตองใชฉากกั้นกําบังเพื่อเปนเครื่อง ปอ งกนั อันตรายแกผ ูปฏิบัติงานคนอ่นื หรอื ผูท ีอ่ ยใู กลเ คียง 2. ขณะทาํ การเชื่อมหรือการตัดดวยกาซหรือไฟฟา ผูเชื่อมหรือตัดจะตองใชเครื่อง กําลงั หนา ท่เี หมาะสม มีเลนสป อ งกนั นัยนต าตามประเภทของการเชอ่ื มหรอื การตดั นน้ั และตอ งสวมถุง มอื หนังดว ย 3. จะตองมีเครื่องดับเพลิงประจําพื้นท่ี และพรอมท่ีจะใชไดเสมอในกรณีเกิดเพลิง ไหม 4. เมือ่ จะใชเครอื่ งเช่ือมไฟฟา ผูทําการเชอื่ มจะตองมั่นใจวาตนไมไดสัมผัสกับพ้ืนที่ เปย กชืน้ 5. หา มสวมถุงมอื ท่ีเปยกน้ํามันหรือจาระบหี ยิบจับเครือ่ งเช่อื ม 6. ถงั ออกซเิ จนและอะเซทิลีนจะตอ งมกี ารยึดใหแ นน เพอื่ ปองกนั การลม และจะตอง ไมว างทออะเซทลิ ีนนอนราบกบั พื้นเปนอันขาด 7. ใหใชไกบังคับแรงเคลื่อน (Pressure Regulator) บังคับใหออกซิเจนและ อะเซทลิ นี ไหลไปยังไฟเช่ือมอยางสมา่ํ เสมอ 8. ในขณะทําการเปดลิ้นถังออกซิเจน หามผูปฏิบัติงานคนหน่ึงคนใดยืนอยูหนา เคร่ืองบงั คับออกซเิ จน 9. หา มทําการเชือ่ ม ตดั หรอื บดั กรใี กลตวั ถงั หรอื ท่ีตัวถงั หรือภาชนะอื่น ที่เคยใสว ตั ถุ ตดิ ไฟหรือวตั ถุที่เกดิ ระเบิดได จนกวาจะไดทําการระบายอากาศ หรือลางถังหรือภาชนะเหลานั้นให สะอาดแลว 10. เม่อื ทาํ การเช่ือมหรือเผาหรือใหความรอนกับตะกั่ว แคดเมียม วัตถุอาบสังกะสี หรือวัตถุอ่ืนใด รวมท้ังสารท่ีใชชวยในการเชื่อม จนทําใหเกิดควันขึ้น จะตองจัดใหมีระบบระบาย อากาศทีด่ ีพอ เพือ่ ปอ งกนั มิใหผ ปู ฏบิ ัติงานสูดควันพิษท่ีเปนอันตรายเขาไป ถาหากไมสามารถทําการ ระบายอากาศได จะตองสวมหนากากหรือเครื่องชวยหายใจที่ไดรับการรับรองแลวตลอดเวลาที่ ปฏิบตั งิ าน 11. เมื่อทําการเช่ือมในสถานท่ีอับอากาศจะตองมีการระบายอากาศออกอยางมี ประสิทธิภาพ

150 คนละแหง 12. การเกบ็ รักษาถังออกซิเจนและถังอะเซทิลีนเปนจํานวนมาก จะตองแยกเก็บไว การเชอื่ ม 13. การเชอ่ื มดว ยไฟฟา หรอื กา ซใกลกับแบตเตอรี่ ตองยกแบตเตอรใี่ หพน จากบรเิ วณ การพน สี 1. ดวงโคม พัดลมดูดอากาศและสายไฟในหองพนสี จะตองใชชนิดที่มีความ ทนทานตอไอระเหยของสีไดด ี 2. สวติ ซดวงโคม เตาเสยี บ หรอื อุปกรณอ ่นื ๆ ท่อี าจกอใหเ กดิ ประกายไฟ จะตองไม ติดต้ังไวภายในหอ งพนสี 3. หามสบู บหุ ร่ี จดุ ไฟหรือทําใหเกิดประกายไฟภายในหองพน สี 4. ในขณะทําการพน สีในหองพนสี ผูปฏิบัติงานทุกคนจะตองสวมหนากาก หมวก เส้อื แขนยาวไมพ บั แขน ถุงมอื กางเกงขายาว และรองเทาหุม สน 5. ขณะท่ีกําลังทําการพนสี ทุกคนที่อยูในหองพนสีจะตองสวมหนากากแบบที่มี เครอื่ งกรอง หรือใชผ า ปด ปากและจมูก การทาํ งานเกีย่ วกับแบตเตอรี่ 1. หามสูบบุหร่ี จุดไฟ หรือทําใหเกิดประกายไฟภายในหองอัดแบตเตอรี่ หรือใน หองเกบ็ แบตเตอร่ี เพ่ือปอ งกันการระเบดิ ของกา ซไฮโดรเจน 2. เมอื่ จะปฏิบตั กิ ารใด ๆ เกี่ยวกบั นํา้ กรด ผูปฏบิ ัติงานจะตองสวมถุงมือยาง แวนตา นิรภยั และผา กนั เปอนทําดวยยาง 3. ในกรณที นี่ ้ํากรดหกหรอื กระเดน็ ถกู สวนหน่งึ สวนใดของรางกายใหใชน้ําสะอาด ลางออกทนั ที แลวรบี ไปพบแพทย 4. กอ นทําการตอ หรือปลดสายข้ัวแบตเตอร่ี ตองแนใ จวาไดต ดั วงจรไฟฟา แลว 5. ในการยกหรือเคลอื่ นยา ยแบตเตอรี่หรอื กลอ งบรรจุแบตเตอร่หี า มเอยี งหรือตะแคง แบตเตอรี่ เพอ่ื ปองกนั การหกหรอื กระเด็นของนํา้ กรด 6. ขว้ั ของแบตเตอรีข่ นาดใหญค วรปด กน้ั ดวยฉนวน เพ่อื ปองกนั การลดั วงจร 7. ในการเคล่อื นยา ยแบตเตอรตี่ อ งระมัดระวังไมใหแบตเตอร่ีกระทบซ่ึงกันและกัน หรือกระแทกกบั ส่ิงอื่นท่อี าจจะทาํ ใหแตกหรอื ราวได และหามวางแบตเตอรีซ่ อนกันโดยเด็ดขาด

151 การใชเคร่อื งปอ งกนั นัยนตาและหู 1. เมอ่ื ปฏิบัตงิ านในสถานที่ทีอ่ าจเกิดอันตรายกบั นัยนตา จะตองสวมเครื่องปองกัน นัยนตาชนิดทไ่ี ดม าตรฐาน 2. ผปู ฏบิ ัติงานทท่ี าํ งานเกย่ี วกับการติดตั้งหรือซอมบํารุง และลักษณะงานเปนงานที่ กอ ใหเกดิ ประกายไฟฟา เศษวัตถกุ ระจาย จะตอ งสวมแวน นิรภัยปอ งกันนยั นตา 3. การปฏิบัติงานในที่ท่ีมีเสียงดังมาก ๆ จนเปนอันตรายตอระบบการไดยินของ ผูปฏิบตั ิงาน จะตอ งกําหนดใหผ ปู ฏิบัติงานทุกคนใชเคร่ืองปองกันอันตรายตอหูชนิดเสียบหรือชนิด ครอบดวย 1.2 ความปลอดภยั ในการทํางานเกีย่ วกับไฟฟา กฎขอบังคับทัว่ ไป 1. พนกั งานที่ทาํ งานเกี่ยวกบั การซอ ม ตอเติม ติดตัง้ อปุ กรณไ ฟฟาตองสวมเส้ือผาที่ แหงและสวมรองเทาพื้นยาง พรอมท้ังตัดกระแสไฟฟาท่ีมายังจุดท่ีทํางานตลอดระยะเวลาท่ีทํางาน เกย่ี วกบั ไฟฟา 2. เครื่องมอื ทใี่ ชกับงานไฟฟา ชนิดใชมือจบั ตอ งมฉี นวนซง่ึ อยใู นสภาพดหี มุ ทด่ี า มจับ 3. ในกรณีทีม่ กี ารปฏิบัตงิ าน ตรวจสอบ ซอ มแซม หรอื ติดต้งั ไฟฟา ที่เก่ียวกับการผลิต ตองตัดสวิตซต ัวทเ่ี ก่ยี วขอ ง พรอมลอ็ กกญุ แจปองกันการสบั สวิตซ อุปกรณแ ละเครอื่ งจกั รไฟฟา 1. มอเตอรทใ่ี ชในบริเวณทม่ี ีวัตถไุ วไฟตองเปนชนิดกันระเบดิ 2. หลอดไฟฟา หรอื โคมไฟ ซ่ึงใชใ นบริเวณทมี่ ีวัตถุไวไฟ ตอ งเปนชนิดทม่ี ีฝาครอบ มิดชิด และมตี ะแกรงโลหะหมุ รอบนอกอกี ชนั้ หนึง่ 3. สวติ ซไ ฟฟา ในบริเวณท่ีมีวัตถุไวไฟตองเปนชนิดที่มีกลองโลหะหุมมิดชิด และ เตา เสียบที่ใชตอ งเปน ชนดิ ที่มีฝาปด 4. การติดตง้ั สวติ ซทกุ ตัวตอ งเลือกชนิดท่ีมีอัตราทนกระแสสูงพอที่จะใชกับกระแส สงู สุดในวงจรที่ใชน นั้ ได 5. การติดตงั้ แผงสวิตซตองมีตูปดมิดชิด และตองต้ังหางจากเครื่องจักรพอสมควร สว นทีเ่ ปน โลหะของแผงสวติ ซตอ งตอ ลงดนิ 6. เมื่อใชอ ุปกรณไ ฟฟา ท้ังหมดพรอมกนั ในวงจรแตล ะวงจร จะตองมีกระแสไฟฟา ไมเ กนิ ขนาดของกระแสไฟฟาสงู สุดทย่ี อมใหใชก บั ไฟฟาของวงจรน้ัน

152 7. การติดต้ังซอมแซม หรือแกไขดัดแปลงหมอแปลงไฟฟา ซ่ึงแปลงไฟจาก ไฟฟาแรงสูงต้งั แต 12,000 โวลตข้ึนไป ตอ งติดตอขอความชวยเหลือหรือขอคําแนะนําจากเจาหนาท่ี ของการไฟฟา เสยี กอ น 8. ตองมีการตรวจสอบ และทดสอบเคร่ืองกําเนิดไฟฟาฉุกเฉิน ใหอยูในสภาพท่ี พรอ มจะใชงานไดอ ยา งปลอดภัยอยูเสมอ 9. หา มพนักงานทํางานเก่ยี วกับหมอแปลงไฟฟาทีม่ ีความดันตั้งแต 380 โวลตขึ้นไป กอนไดร บั อนญุ าตจากหัวหนาฝายซอมบาํ รงุ 10. การซอมแซม ดดั แปลง หรอื แกไขอปุ กรณและเคร่ืองจักรไฟฟาเปนหนาท่ีของ พนักงานหนวยซอ มบาํ รุงเทานั้น วิธปี อ งกนั อันตรายจากไฟฟาช็อต 1. ผปู ฏบิ ตั ิงานที่เกย่ี วขอ งกบั ไฟฟา ตองมีความรเู กย่ี วกบั ไฟฟา 2. เม่อื พบสงิ่ ผิดปกติตาง ๆ เกดิ ข้นึ กับสายไฟ ตองแจง ใหผบู ังคับบญั ชาทราบทันที 3. ในการปฏิบตั งิ านท่ีเกย่ี วของกบั ไฟฟา ตองใชผ ชู ํานาญงานเทาน้ัน 4. ตองปดตูสวติ ซไฟฟา เสมอ และจะตอ งไมมสี ่งิ กีดขวางวางอยบู ริเวณตไู ฟฟา 5. ตอ งติดตงั้ สายดนิ เสมอ 6. ตรวจสอบอุปกรณป องกนั ไฟฟาดดู ไฟฟา รว่ั กอนใชอปุ กรณไ ฟฟานน้ั ๆ เสมอ 7. การเปดหรอื ปดระบบไฟฟา ตอ งแนใ จกอนวา ปลอดภยั แลว 8. เมื่อเลิกใชอ ปุ กรณไฟฟา แลวใหเกบ็ เขา ท่เี สมอ 9. ถา ตอ งทาํ งานอยใู กลระบบไฟฟา เชน มีสายไฟฟาอยูเ หนือศีรษะตองระมดั ระวัง อยาไปสมั ผสั ถูกสายไฟฟาดงั กลาว 10. หา มทํางานโดยไมส วมชดุ ปองกันไฟฟา ดดู โดยเด็ดขาด 1.3 ความปลอดภยั ในการทํางานกับวัตถอุ ันตราย วัตถอุ ันตราย วัตถุอันตราย หมายถึง วัตถุท่ีสามารถลุกไหมได ติดไฟได และระเบิดได วัตถุ อันตรายตาง ๆ เหลานี้ มักจะมีกฎหมายควบคุมเปนพิเศษ และมีขอบังคับเพ่ือใหทํางานไดโดย ปราศจากอบุ ตั เิ หตุ

153 วัตถอุ นั ตราย แบง ออกไดเปน 1. สารระเบดิ ได สารเหลา น้จี ะลกุ ติดไฟไดงา ยและระเบิดขึ้นเม่อื มคี วามรอน มีการกระแทกหรือ มีการเสียดสี สารระเบิดไดมีช่ือเรียกแตกตางกันไป ผูที่ทํางานกับสารเหลานี้ควรจะจดจําช่ือสาร เหลานใ้ี หไ ดและมีการตดิ ปา ยวาเปนสารอนั ตราย หรือวัตถุอันตราย นอกจากน้ียังควรรูถึงวิธีการใช สารเหลานี้อยางถกู ตอ งดวย 2. สารลุกไหมไ ด สารลกุ ไหมไ ด เชน สารฟอสฟอรัสแดงและสารฟอสฟอรัสเหลืองสามารถลุก ตดิ ไฟไดเองเมื่อสมั ผสั กบั อากาศ ตวั อยางสารลุกไหมไ ด เชน พวกคารไบด และสารประกอบโลหะ ของโซเดียม ซง่ึ จะลุกตดิ ไฟไดเ ม่อื สมั ผสั กบั นํ้า 3. สารไวไฟ กา ซไวไฟ เชน กาซถานหิน กาซอะเซทิลีน กาซโพรเพน ฯลฯ กาซเหลาน้ีมี คุณสมบัติไวไฟและยังสามารถระเบิดไดอีกดวยหากกาซเหลานี้ผสมอยูในอากาศในสัดสวนที่ พอเหมาะ นอกจากนี้สารละลายไวไฟตาง ๆ เชน น้ํามัน ทินเนอร ก็ยังมีคุณสมบัติไวไฟและยัง สามารถระเบิดอยา งรนุ แรงไดอ ีกดว ย สารเหลานจ้ี ะกอใหเ กดิ อุบัตเิ หตไุ ดง ายถา มีการเคล่อื นยา ยผิดวิธี ดงั นนั้ ผทู ที่ ําการ ขนยายจะตอ งรูวธิ ขี นยา ยทถี่ ูกตองดว ย อนั ตรายของวตั ถุอนั ตราย 1. กา ซคารบอนมอนอกไซด (Carbon Monoxide) กาซคารบอนมอนอกไซดเกิดจากการเผาไหมท่ีไมสมบูรณ เกิดขึ้นไดทั้งใน โรงงานและในสถานทที่ ํางาน กา ซคารบอนมอนอกไซดเ ปนกาซท่ีเบากวากา ซออกซิเจนเล็กนอย เปน กาซท่ีไมมสี ี ไมมกี ลิน่ และไมม กี ารกระตนุ เตอื นใด ๆ จงึ เปนกาซทีอ่ ันตรายตอ รา งกาย เพราะกาซน้จี ะ ทาํ ใหเ ม็ดเลอื ดขนถายออกซิเจนนอ ยลง เปนเหตุใหเกิดอาการขาดออกซเิ จน (Suffocation) ได เมอ่ื ตอ งทํางานในสถานทท่ี ม่ี ีกา ซคารบ อนมอนนอกไซด ควรปฏบิ ตั ิดงั น้ี 1. กอนเร่ิมงาน ตองตรวจดูความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดดวย เครอื่ งตรวจวัดกาซกอน 2. ใหร ะบายอากาศออกจนกวาความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดจะ ต่ํากวา 50 ppm (0.005%) 3. ตอ งสวมใสหนากากกรองที่เหมาะสม 4. ถาความหนาแนนของกาซคารบอนมอนอกไซดสูง หรือความเขมขนของ ออกซเิ จนตาํ่ ใหใชเ ครื่องชวยหายใจ หรอื หนา กากแบบมอี ากาศเสรมิ

154 2. สารละลายอินทรยี  (Organic Solvents) มีสารละลายอินทรียเปนจํานวนมากที่ใชในสถานที่ทํางานและบานพักอาศัย สารละลายอนิ ทรยี เหลา นีส้ ามารถแทรกซึมเขาสรู า งกายไดห ลายทางท้ังทางระบบหายใจในรูปของไอ ระเหย เพราะเปนสารที่สามารถระเหยไดในอุณหภูมิปกติ และแพรผานผิวหนังไดเพราะเปนตัวทํา ละลายไขมันนอกจากนี้ยังอาจทําใหหมดสติได เพราะจะไปรบกวนการทํางานของระบบประสาท สวนกลาง ดังนั้นจึงจําเปนอยางยิ่งท่ีจะตองรูคุณสมบัติของสารละลายอินทรียที่จะใชเหลาน้ัน และ จะตองใชอยา งถกู ตอ งเพื่อใหเ กดิ อนั ตรายนอ ยทีส่ ดุ ระบายอากาศ วิธีปฏิบตั ิงานกบั สารละลายอินทรียอ ยางปลอดภยั ประกายไฟ 1. ระวงั อยาใหสารละลายอินทรียห ก 2. ปดฝาภาชนะบรรจุสารละลายอนิ ทรยี เสมอ ทําได 3. ไมลางมอื ดว ยสารละลายอินทรยี  4. ตรวจตราระบบระบายอากาศอยูเสมอ อยา ใหมสี ่งิ ใดไปขดั ขวางทาง 5. หามใชส ารละลายอนิ ทรยี ใ กลบริเวณท่ีมไี ฟหรอื บรเิ วณทอ่ี าจเกดิ 6. สวมใสอ ุปกรณปอ งกนั ทีเ่ หมาะสมเสมอขณะใชสารละลายอนิ ทรีย 7. ตอ งใชระบบระบายอากาศเสมอในขณะใชสารละลายอนิ ทรีย 8. หลกี เล่ียงการสมั ผัสไอระเหยของสารละลายอนิ ทรยี ใหมากท่ีสดุ เทา ท่จี ะ 3. ฝนุ ปกติโรคปอดท่เี กดิ จากฝนุ ที่หายใจเขาไปจะมชี ื่อเรยี กวา โรคปอดฝุนหรือนิวโม โคนิซิส (Pneumoconiosis) ฝุนที่สูดดมเขามาจะฝงตัวอยูในปอดและปอดไมสามารถขจัดสิ่ง แปลกปลอมเหลานไี้ ด เม่อื มกี ารสะสมมากขึ้น ปอดจะรูสกึ แนน อดึ อดั ทาํ ใหหายใจไมออก วิธีแกไขท่ี ดีท่สี ุด คอื การปองกันโรคนี้ไวกอน โดยปรับปรุงสภาพแวดลอมในบริเวณท่ีทํางานและปรับเปลี่ยน วิธีการทาํ งาน เชน การขจดั ฝนุ ในสถานท่ีทํางาน หรอื การสวมใสห นากากปอ งกันฝุน

155 วิธีใชห นากากปอ งกนั ฝุน อยา งถกู วธิ ี 1. หนากากควรกระชบั กบั ใบหนา ซ่งึ ฝุนจะไมสามารถแทรกเขา ไประหวางรอง ของหนา กากกบั ใบหนา ได 2. แมสภาพของสถานท่ที ํางานโดยท่ัวไปจะสะอาด แตอ าจจะมีฝุนขนาดเล็กอยู ได จงึ ควรสวมหนากากปองกันฝุน ไว ถาบริเวณน้นั มฝี นุ ขนาดเล็กอยไู ด จงึ ควรสวมหนา กากปอ งกัน ฝุนไว ถาบรเิ วณนนั้ มีฝุนอยู 3. หามสวมหนากากกรองฝนุ ในบรเิ วณทอี่ บั อากาศ หรอื บริเวณท่ีมกี าซพิษ 4. ควรเก็บรักษาหนากากไวในที่ท่ีอากาศถายเทดี และเก็บอยางถูกหลักวิธี รวมทั้งควรเปลี่ยนไสกรองเมือ่ จําเปน 5. หนา กากกันฝนุ โดยทว่ั ไปจะใชสําหรับงานชว่ั คราวเทาน้นั 4. สารเคมีจําเพาะ สารเคมีจําเพาะจะถูกจัดเปนสารเคมีอันตราย เพราะจะกอใหเกิดอันตรายตอ สุขภาพรางกาย เชน กอใหเกิดโรคมะเร็งจากการทํางาน โรงผิวหนัง ระบบประสาทเสื่อม ฯลฯ ปจ จุบนั มีการใชสารเคมอี ยอู ยางกวา งขวางในงานอุตสาหกรรมจงึ ตอ งระมัดระวงั เปนอยางยิง่ การปอ งกันอันตรายจากการใชส ารเคมีจาํ เพาะ 1. อยา ทําหกหรอื กระเด็นลงบนพนื้ 2. กอนเรม่ิ ทํางานตองสวมอุปกรณป องกันอันตรายสวนบุคคลหรือติดตั้งระบบ ระบายอากาศทว่ั ไปในทที่ าํ งาน 3. จดั การปฏิบตั งิ านใหเ ปน ไปตามระเบียบขอ บังคับของกฎหมาย 4. เมือ่ ตอ งการขนยายหรอื เกบ็ สารเคมีเหลา นนั้ จะตองบรรจุลงภาชนะที่เหมาะสม ใหเ รียบรอ ย 5. หา มสบู บหุ ร่ี รบั ประทานอาหาร หรอื ด่ืมนาํ้ ในขณะทก่ี าํ ลงั ทาํ งานกบั สารเคมี 6. หา มสัมผัสเส้ือผาที่เปอ นสารเคมี 7. จัดใหม ีการสวมชดุ ปอ งกนั หรืออุปกรณปอ งกันอนั ตรายจากสารเคมี 8. หา มนาํ สารเคมนี อ้ี อกไปหรอื เขา ไปยงั หนว ยงานอนื่ โดยไมไ ดรบั อนุญาต 9. เสื้อผาท่ีสวมใสขณะทํางานยอมมีสารเคมีปนเปอนจึงควรท่ีจะชําระลาง รา งกายเปลย่ี นเสือ้ ผาใหม กอนท่จี ะรบั ประทานอาหารหรือกอนกลับบาน และนําเสื้อผาท่ีใสทํางาน น้นั ไปซักหรือทําความสะอาดทันที

156 5. สภาพไรอากาศหรืออบั อากาศ อบุ ัติเหตุจากการขาดอากาศหายใจมกั เกดิ ขน้ึ ไดในบรเิ วณท่เี ปน ใตถุนอาคาร ถัง หรือบริเวณอุโมงคขดุ เจาะ ฯลฯ อาการขาดอากาศมีผลโดยตรงตอการทํางานของสมอง และบอยคร้ังท่ีนําไปสู ความสูญเสยี อยา งใหญห ลวง ท้งั น้เี พราะการอยใู นที่แคบหรืออับอากาศซ่ึงมักไมคอยมีคนไดเขาไปบอย นกั กย็ ากท่จี ะพบหรอื ชว ยชวี ิตไดทนั หากมอี บุ ตั เิ หตเุ กดิ ขน้ึ วธิ ีปองกันการขาดอากาศหายใจมีดงั น้ี 1. ตรวจสอบความหนาแนน ของออกซิเจนกอ นลงมือปฏิบตั ิงาน 2. จัดระบบระบายอากาศทีเ่ หมาะสม 3. มกี ารปฐมพยาบาลอยา งถูกตอ งและเหมาะสม ขอพึงปฏบิ ตั เิ ม่ือตอ งทํางานในบรเิ วณทีม่ สี ภาพไรอากาศหรืออบั อากาศ 1. กอนเขา บริเวณอนั ตรายท่มี ีออกซเิ จนนอ ยหรือออกซิเจนใกลหมด เชน ในบอหรอื ถงั จาํ เปนตองจดั ใหมีระบบระบายอากาศท่ดี ี (อยา งไรกต็ ามก็เปนอันตรายมากเชน กัน ถา ใชออกซเิ จนบรสิ ุทธ์อิ ยางเดยี ว) ความหนาแนน ของออกซเิ จนทเี่ หมาะสมคอื ไมนอ ยกวา 18% 2. หามเขา ไปในบริเวณทีม่ สี ภาพขาดออกซเิ จน ยกเวน ผูมีหนาที่เก่ยี วขอ งเทานั้น 3. ผูจะเขาไปในบริเวณอับอากาศ ตองมีการเฝาดูและติดตามโดยหัวหนางาน หรือเพื่อนรว มงาน และระบบระบายอากาศจะตองจดั ใหม ีออกซเิ จนอยางนอ ย 18% ดว ย 4. ถา ลักษณะงานไมสามารถจดั ระบบระบายอากาศไดใหใชอุปกรณชวยหายใจ ทเี่ หมาะสม เชน เคร่ืองกรองอากาศ หรอื ระบบสายลม 5. ถาสภาพที่ทํางานน้ันขาดอากาศมาก ๆ ใหสวมใสอุปกรณนิรภัย เชน หนากาก เข็มขัดนริ ภยั หรอื สายสงอากาศในขณะท่ปี ฏิบัติงานอยใู นบริเวณนนั้ 6. ตรวจสอบอปุ กรณป อ งกันทุกคร้งั กอ นเริม่ ทาํ งาน 7. ถาไดรับอุบัติเหตุจะขาดอากาศหายใจ ผูทําการชวยเหลือจะตองสวมใส อุปกรณชวยหายใจท่ีมีระบบระบายอากาศท่ีดี ดังอธิบายไวในขอ 4 ขางตน (หนากากปองกันกาซ ไมไ ดจ ัดไวส ําหรบั กรณีขาดอากาศ ควรขนยา ยผปู ว ยออกไปสทู โี่ ลงโดยเร็วท่ีสุด และชวยหายใจดวย การเปา ปาก ฯลฯ ) การจัดใหมีระบบระบายอากาศ เพื่อสขุ ภาพทีด่ ีควรจัดใหมีระบบระบายอากาศทเ่ี หมาะสมในสถานประกอบการ จําเปนอยางย่ิงที่จะตองจัดระบบระบายอากาศในสถานประกอบการท่ีมีอุณหภูมิและความรอนสูง

157 หรือมีกาซหรือไอที่เกิดข้ึนจากตัวทําละลายอินทรียหรือสารอ่ืน ๆ การปลอยปละละเลยท่ีจะจัดทํา ระบบระบายอากาศจะเปนสาเหตุท่ีกอใหเกิดอาการปวดศีรษะและวิงเวียนศีรษะได และปญหาที่จะ ตามมาก็คอื ความเจบ็ ปวยตา ง ๆ ที่มสี าเหตจุ ากสารเคมอี นั ตราย การเปดหนาตางหรือประตูนั้นเปนการถายเทอากาศทั่วไปตามปกติ การติดตั้ง ระบบระบายอากาศเฉพาะที่หรือในตําแหนงที่จําเปนนั้น ควรติดต้ังใหเหมาะสมกับลักษณะของ สารเคมีอนั ตรายท่จี ะตอ งใช แตค วรตระหนักไววา ในบางครั้งการเปดหนาตางอาจใหผลที่ตรงขาม กันก็ได 1.4 ความปลอดภยั ในการทํางานกับผลิตภณั ฑเคมี ขอ พงึ ปฏบิ ตั ทิ ่วั ไปในการทํางานกับผลติ ภณั ฑเ คมี 1. กอนปฏิบัติงานตองทราบถึงชนิดของผลิตภัณฑและอันตรายที่อาจเกิดข้ึน ถา สงสัยใหปรึกษาผบู งั คบั บญั ชาท่เี กีย่ วของ 2. กอนขนยายผลิตภัณฑตองสังเกตวาหีบหอไมแตกหรือบุบสลายซ่ึงอาจจะทําให ตกหลน สภู ายนอกได 3. หลีกเล่ยี งการสมั ผสั กบั ผลิตภัณฑโดยตรง ใหสวมเครื่องปอ งกัน เชน ถงุ มือ เสอ้ื คลุม เครอื่ งกรองอากาศ หมวก แวน ตา ฯลฯ 4. หามรับประทานอาหาร เครื่องดมื่ หรอื สูบบุหร่ีในขณะปฏิบตั งิ าน 5. ขณะปฏิบัติงานหามใชมือขย้ีตา หรือใชมือสัมผัสกับปากจนกวาจะลางมือให สะอาดเสียกอน 6. กอนรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ หรือเขาหองสุขา ตองถอดอุปกรณปองกัน อนั ตรายและลางมือใหสะอาดเสยี กอน 7. หามผทู ี่ไมม ีหนา ท่ีเก่ียวขอ งปฏิบตั งิ านเกย่ี วกับผลติ ภณั ฑเ คมี 8. หากเกิดอุบัติเหตุ ภาชนะบรรจุผลิตภัณฑแตกเสียหาย ตองรีบรายงาน ผบู งั คับบัญชาทีร่ บั ผิดชอบทนั ที หรือจดั การเกบ็ กวาด เชด็ ถบู ริเวณใหสะอาดตามวิธีที่กําหนด ไมควร ปลอยทงิ้ ไว 9. ในขณะปฏบิ ตั ิงานหากพบวา มีการเจบ็ ปว ย หรอื วิงเวียนศีรษะใหหยุดปฏิบัติงาน ทันที พรอมทงั้ รายงานใหผบู ังคับบญั ชาผรู ับผิดชอบทราบ หรือทําการปฐมพยาบาลอยางถูกตองแลว รบี นาํ ไปพบแพทยพ รอ มนําฉลากหรอื ผลติ ภัณฑไ ปดว ย 10. อุปกรณปองกันอันตรายท่ีใชแลวตองทําความสะอาดหรือทําลายท้ิงตาม คําแนะนําทไ่ี ดกาํ หนดไว

158 11. เม่ือเสร็จส้ินการปฏิบัติงานแตละครั้ง ตองลางมือ อาบน้ํา และผลัดเปล่ียน เส้อื ผา ท่สี ะอาด ความปลอดภยั ในการใชผลติ ภัณฑเ คมีในการผลติ 1. พนกั งานตองอานคําแนะนาํ ขางกลอ งบรรจผุ ลติ ภัณฑเ คมที กุ ชนิดใหละเอยี ดกอ น ทจ่ี ะนําเขา โรงงานผลติ 2. กลอ งผลติ ภัณฑเ คมีทกุ กลอ งทีน่ ําเขาโรงงานผลิตตอ งอยูในสภาพดีไมแตกรว่ั 3. พนักงานตองสวมถุงมือ เสื้อคลุมแขนยาว หนากาก รองเทาหุมสน กอนเปด กลองสารเคมีทจี่ ะนํามาใชในการผลติ 4. ตอ งระมดั ระวงั เปนพเิ ศษในการบรรจผุ ลิตภัณฑเคมี พยายามใหฝุนหรือละออง ของสารเคมีปลวิ กระจายนอยที่สดุ 5. กลองเปลา ของผลติ ภัณฑเคมี หลังจากใชแลวตองนําไปเก็บรวมกันในท่ีมิดชิด (หากจําเปนตองมีกญุ แจปด) กอ นนาํ ไปทําลาย เผาท้งิ หรือฝงดิน 6. หลังจากท่ีพนักงานทํางานเรียบรอยแลว ใหลางมือ ลางหนาหรืออาบนํ้า และ เปลยี่ นเสอื้ ผา ใหมก อนรับประทานอาหารหรอื สูบบหุ รี่ 7. หา มสูบบหุ รข่ี ณะปฏบิ ตั ิงาน 8. หามรบั ประทานอาหารหรือเครอ่ื งด่ืมในบรเิ วณโรงงานผลิตหรอื โรงงานบรรจุ ความปลอดภัยในการเกบ็ ผลิตภณั ฑเคมใี นคลงั พสั ดุ 1. พนักงานตอ งอา นฉลากผลิตภณั ฑเ คมที กุ ครงั้ กอ นทาํ การเกบ็ เขา คลงั พัสดุ 2. ผลติ ภัณฑเคมบี างอยางตองเก็บในทแี่ หง สะอาด มีอากาศถายเทดี และ มี อุณหภมู ไิ มเ กิน 46 C 3. ผลิตภัณฑเ คมีตองเกบ็ ใหห างจากอาหารและภาชนะบรรจอุ าหาร 4. ไมควรเกบ็ ผลติ ภณั ฑเคมีวางซอนกันสงู เกินกวา 5 เมตร 5. หามสบู บุหร่ใี นคลงั พัสดุ ยกเวน บรเิ วณทกี่ าํ หนดให 6. พนักงานตองสวมถุงมือ หนากาก รองเทาและเสื้อแขนยาวขณะปฏิบัติงานซ่ึง สัมผัสกับสารเคมโี ดยตรง 7. ผลิตภัณฑเคมีท่ีตกหลนตามพื้นใหกวาดเก็บใสถังอยางระมัดระวังเพ่ือนําไป ทําลายหรือฝงดินในบริเวณท่ีกําหนด ถาเปน ผลิตภณั ฑชนดิ เหลวใหใ ชท รายแหง กลบแลวกวาดเก็บไป ฝง ดนิ หามลางดวยนา้ํ 8. ผลติ ภณั ฑเคมที กุ ชนิดตอ งปด ฉลากทกุ กลอ งกอ นนําเขาเก็บในคลังพัสดุ 9. คลังเก็บผลติ ภัณฑเคมี ตอ งปดกุญแจหลังจากเลิกงาน

159 การเกดิ ไอเคมไี วไฟ การเกดิ ไอเคมีไวไฟในโรงงาน หมายถึง การปลอ ยไอเคมไี วไฟจํานวนมาก ซ่ึงอาจ ลกุ ตดิ ไฟ หรือระเบดิ เมื่อมีแหลงทกี่ อใหเกดิ ประกายไฟ หรืออาจเกดิ จากการลุกไหมข องสารเคมีหรือ กา ซท่ีมีจดุ วาบไฟ (Flash Point) ตํา่ และมีชว งไวไฟกวาง จุดวาบไฟ (Flash Point) ของสารเคมเี หลว คือ อุณหภมู ิตํา่ สดุ ทีส่ ารเคมนี น้ั จะใหไอ เคมที สี่ ามารถผสมกบั อากาศเปน สวนผสมท่พี รอมจะลุกไหมเ ม่ือมีแหลง เกิดประกายไฟ ชวงไวไฟ (Flammability Limit) คือ ชว งระหวา งความเขมขนตาํ่ สุด และสูงสดุ ของ ไอเคมใี นอากาศซ่งึ จะเกิดการลุกไหมไดเม่ือมีแหลง เกิดประกายไฟ สว นผสมของไอเคมีและอากาศที่ ตา่ํ กวาชว งไวไฟนี้จะเจือจางเกินไปท่ีจะลกุ ไหมได และในทาํ นองเดียวกนั สว นผสมทีส่ ูงกวา ชวงไวไฟ นจ้ี ะเขมขน เกินไปที่จะติดไฟ เมอ่ื เกดิ กลุมไอเคมจี าํ นวนมาก หามพนักงานเขาไปในบริเวณท่ีเกิดไอเคมีนั้น ควร รบั แจงหนว ยดบั เพลิงประจาํ โรงงานเตรียมพรอ มเพื่อทาํ การชวยเหลอื ทันที วิธปี ฏิบัตเิ มือ่ เกดิ กลุมไอเคมี 1. ปลอดภัยไวกอน เมื่อพบไอเคมีจํานวนมากไมวาจะเกิดจากการหกราดบนพ้ืน หรือเกิดจากการรั่วจากทอสงเคมีหรือจากถังเคมีตาง ๆ หากมีขอสงสัยใหสมมุติไวกอนวากําลังเกิด กลมุ ไอเคมีไวไฟ อยาเสียเวลาไปหาเครอ่ื งวัดประมาณไอเคมี เพราะกวา จะรู ประมาณไอและอากาศ ก็มมี ากเพียงพอทจ่ี ะลุกไหมหรือระเบดิ ได และก็เปนเวลาท่ีทานไดเขาไปอยูในกลุมไอเคมีไวไฟเสีย แลว 2. ออกไปใหพ น จากบริเวณทเ่ี กิดกลมุ ไอเคมีไวไฟทันที และรับแจงใหหัวหนางาน หรอื ผูจดั การทราบ 3. ใหใชนํ้าฉีดเปนฝอยเพื่อไลไอเคมี โดยใชหัวฉีดนํ้าจากตูดับเพลิงในกรณีที่เกิด กลมุ ไอเคมีไวไฟบริเวณรีแอกเตอร ใหเ ปดวาลวน้าํ ปลอยนา้ํ จากหัวฝกบวั ซึ่งติดตงั้ อยูเหนือรีแอกเตอร เพอ่ื ไลไ อเคมี 4. หากกลุมไอเคมีไวไฟกาํ ลังลกุ ติดไฟใหฉ ดี นาํ้ หลอเครอ่ื งมอื เคร่อื งใชห รือถงั ตาง ๆ ที่อยูรอบ ๆ บริเวณนั้น เพือ่ ปอ งกนั การลุกลามขยายตัวของไฟและการระเบิด อยาพยายามเขาไปดับ ไฟท่ีจุดลุกไหม แตใหหาแหลงทมี่ าของไอเคมีและจัดการกําจัดตนตอของการเกิดไอเสียกอนโดยไม ตอ ง เขาไปในกลุมไอเคมี แลวจงึ เขาทาํ การดับไฟ

160 1.4 ความปลอดภัยเกีย่ วกับอคั คภี ยั การปอ งกนั อัคคภี ยั ในบริเวณโรงงาน พนักงานทุกคนจะตอ งปฏิบัตดิ ังน้ี 1. รูจักคุณสมบัติเคร่ืองดับเพลิงทุกชนิดท่ีใชอยูในโรงงาน และสามารถนํามาใช งานไดทนั ที และเหมาะสมกับลกั ษณะของไฟเมือ่ ตองการ 2. หา มนําเคร่ืองดับเพลิงมาฉีดเลน หรอื หยอกลอกัน 3. ใหค วามสนใจกบั เครื่องมอื ดบั เพลิงในแผนก และจะตองมีการตรวจสอบสภาพ ของเครื่องดบั เพลิงอยเู สมอ เมื่อพบหรอื สงสยั วาเครื่องดบั เพลิงเครื่องใดอยใู นสภาพชาํ รดุ หรอื น้าํ หนัก พรอ งไป ใหร ายงานผูบังคบั บญั ชาตามลําดับช้ันทนั ที 4. จะตอ งไมตดิ ตั้งหรอื วางเครื่องจักรหรือส่ิงของใด ๆ เอาไวในตําแหนงซ่ึงจะเปน อปุ สรรคหรอื กีดขวางการนาํ เครอื่ งดับเพลิงมาใชโดยสะดวก 5. วัตถุซงึ่ ไวไฟหรือนํา้ มันเชอ้ื เพลิงชนดิ บรรจุถัง เมอ่ื นํามาใชแลวจะตองปดฝาให สนทิ และทภ่ี าชนะบรรจุควรจะมเี ครื่องหมายแสดงวาเปนสารไวไฟ 6. หามนํานํา้ มันเชอ้ื เพลิง หรอื เคมีภณั ฑไวไฟใด ๆ ไปใชในการซกั ลา งเสื้อผา 7. พนกั งานทกุ คนจะตองทําความเขาใจกับวิธีปฏิบัติเม่ือเกิดเพลิงไหม พนักงานทุก คนจะตองใหความรวมมอื ในการซอ มภาคปฏิบตั โิ ดยพรอ มเพรยี งกัน 8. ไมวาเพลิงจะเกิดจากอะไรก็ตาม หากเกิดขึ้นใกลกับสายไฟฟา เครื่องมือ เคร่ืองใชหรอื แผงสวติ ซไ ฟฟา ใหปลดสะพานไฟตัดวงจรไฟฟาทนั ที เมอื่ เกิดเพลิงไหม 1. เมอ่ื เกิดเพลิงไหมข ้นึ ในบริเวณทท่ี ํางาน จงอยา ต่นื ตระหนกจนเสียขวญั พยายาม รักษาขวัญและกําลังใจไวใหมน่ั การตน่ื ตระหนกจนเสยี ขวญั อาจทาํ ใหเหตกุ ารณเลวรา ยลงอกี 2. รีบแจงใหเพื่อนรว มงานทุกคนในบรเิ วณเพลิงไหมและหนวยดบั เพลิงทราบ เพ่ือ ดาํ เนินการดบั เพลงิ และแจงเหตเุ พลิงไหมไ ปยังหนว ยดบั เพลงิ ของราชการ 3. พนักงานผไู มม หี นา ทเ่ี กย่ี วของกับการดับเพลิงตองรีบออกจากตัวอาคารโดยเร็ว ตามแผนอพยพหนีไฟ และไปรวมกันท่ีบริเวณหนาประตูทางเขาโรงงาน เพ่ือรอคําสั่งจากผู ประสานงานดบั เพลงิ ตอ ไป 4. พนักงานท่ีไดรับมอบหมายใหเปนหนวยดับเพลิงโรงงาน จะตองเตรียมหัวฉีด สายดับเพลิง เพอ่ื ตอ เขา กบั ขอตอ ทอ น้ําดับเพลิงและอยูในสภาพเตรียมพรอมโดยเร็วท่ีสุด ในกรณีที่ เพลงิ อยใู นตาํ แหนงทห่ี ัวฉีดใหญจะฉีดมาถึง อาจไมจําเปนตองใชทอดับเพลิงและหัวเล็กฉีดตอ ท้ังน้ี ใหข ึน้ อยกู บั ดุลยพนิ จิ ของหนว ยดับเพลิงโรงงาน

161 การปอ งกนั อคั คีภัยในสํานักงาน 1. พนักงานทกุ คนจะตองทราบขอ บงั คับเกย่ี วกบั ความปลอดภัยในสํานกั งานเปน อยา งดี 2. พนกั งานทกุ คนควรฝก ใชเ คร่ืองดับเพลงิ ใหเ ปน 3. พนักงานทุกคนตองปฏิบัติตามกฎขอบังคับความปลอดภัยในสํานักงานโดย เครงครดั เชน หา มสูบบหุ รใี่ นบริเวณหามสูบ 4. บริษัทอาจจัดใหมีการซอมดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหมหรือกรณีฉุกเฉิน ณ สาํ นักงานรวมกบั เจาหนา ท่ีของทางราชการ พนักงานทุกคนจะตองใหความรวมมือในการซอมโดย พรอมเพรยี งกัน 5. หามวางสง่ิ ของกดี ขวางทางออกฉุกเฉนิ เมอ่ื เกดิ เพลงิ ไหม 1. ใหพนักงานท่ีพบเพลิงไหมรีบดับเพลิงตามความสามารถทันทีหากเห็นวาไม สามารถดบั เพลงิ ดว ยตนเองได ใหร ีบแจงผปู ระสานงานดับเพลิงทราบทนั ที 2. ผูประสานงานจะแจง ใหเจา หนา ที่บรหิ ารของบริษทั ทราบ และเปด สัญญาณเพลิงไหม 3. เมื่อมีสัญญาณเพลิงไหมใหพนักงานทุกคนหยุดปฏิบัติงานทันทีและจัดเก็บ เอกสารทีส่ ําคญั พรอ มทง้ั ของมคี า ไวในท่ีปลอดภยั แลวรบี ออกจากบรเิ วณท่ีทาํ งานในทิศทางตรงขาม กบั บรเิ วณเกิดเพลงิ ไหม 4. การออกจากอาคาร หา มวิ่งและหา มใชล ฟิ ตโดยเดด็ ขาด 5. ใหพนกั งานทอี่ อกจากอาคารแลวทกุ คนไปรวมกันในบริเวณท่ีจอดรถอาคารเพ่ือ ตรวจสอบจาํ นวนและรอรบั คําส่ังจากผปู ระสานงานตอ ไป 1.5 ความปลอดภยั ในสํานักงาน พน้ื สาํ นกั งาน - ทางเดิน - ประตู 1. ควรใหพ ืน้ สํานักงานมคี วามสะอาดอยเู สมอ 2. พ้ืนสํานักงานควรอยูในแนวระดับราบไมลาดเอียงหรืออยูตางระดับกัน หากไม สามารถหลกี เลีย่ งได ใหใ ชสีสันแสดงใหเ ห็นชดั เจน 3. ใหใชว ัสดุกันลนื่ ปูทบั บนกระเบ้ืองหรือพ้นื ขดั มันทีล่ น่ื 4. ในขณะปฏิบตั ิงาน หามว่งิ หรอื ทําการลื่นไถลแทนการเดนิ 5. ในขณะท่ีมีการขัดหรือทําความสะอาดพื้น ผูปฏิบัติงานควรสังเกตปายคําเตือน และเดินหรือปฏบิ ัตงิ านดวยความระมัดระวังมากยิ่งขึน้ 6. ในกรณีที่มีนํ้า น้ํามัน หรือสิ่งที่ทําใหเกิดการล่ืนบนพ้ืนสํานักงานใหแจง เจาหนาที่ทรี่ ับผดิ ชอบโดยทันที โดยกอนแจงใหแ สดงเครือ่ งหมายเตอื นไวดว ย

162 7. ในกรณีที่พบเห็นวัสดุหรือเครื่องใชสํานักงาน เชน ดินสอ ที่หนีบกระดาษ ยางลบ หรือส่งิ อน่ื ใดตกหลน อยูบ นพ้นื ใหเก็บโดยทนั ทีเพราะอาจเปนสาเหตใุ หล่นื หกลมได 8. ในขณะเดินถึงมุมตึกใหเดินทางดานขวาของทางเดิน และเดินอยางชา ๆ ดวย ความระมดั ระวงั เพอ่ื หลีกเลย่ี งการชนกับผอู ื่นซง่ึ กาํ ลงั เดนิ มาจากอกี มมุ หนง่ึ 9. ควรตดิ ตัง้ กระจกเงาทํามุมในบรเิ วณมมุ อบั ทอ่ี าจเกดิ อุบัตเิ หตไุ ดงา ย 10. สายโทรศัพท สายเคร่ืองคิดเลข หรือสายไฟฟา ควรติดต้ังใหเรียบรอย เพ่ือ ไมใหกีดขวางทางเดนิ 11. อยายืนหรือเดินใกลบริเวณประตูท่ีปดอยู เพราะบุคคลอื่นอาจจะเปดประตูมา กระแทกได 12. เมอ่ื จะผานเขา ออกบังตา หรือเปดปดประตูบานกระจก ควรเขาออกหรือเปดปด ดวยความระมดั ระวังอยา งชา ๆ และในการใชบ งั ตาหรือประตูทเี่ ปด ปด สองบาน ใหใ ชบ ังตาหรือบาน ประตูทางดา นขวา 13. บังตาหรือประตูบานกระจกท่ีเปดปดสองทาง ใหติดเครื่องหมาย “ดึง” หรือ “ผลัก” ใหชดั เจน 14. ไมควรจัดเก็บวัสดุอุปกรณส่ิงของตาง ๆ หรือปลอยใหมีส่ิงกีดขวางบริเวณ ทางเดินหรอื ชองประตู การใชบันได การใชบ ันไดอยางปลอดภัย 1. กอนข้ึนหรือลงบนั ได ควรสังเกตส่งิ ที่อาจกอใหเกิดอนั ตรายขึน้ ได 2. ถาบริเวณบันไดมแี สงสวา งไมเพียงพอ หรือราวบันไดหรือขั้นบันไดชํารุด ให แจง เจาหนา ที่เพ่ือทาํ การแกไขใหเรยี บรอ ย 3. อยา ปลอยใหม ีเศษวัสดชุ น้ิ เล็กชิ้นนอ ยตกอยูตามข้ันบันได เชน เศษกรวด เศษ แกว ฯลฯ 4. ไมควรติดตั้งสิ่งท่ีดึงดูดความสนใจ เชน กระจกเงา ภาพโปสเตอร เคร่ืองประดับตกแตงตา ง ๆ ไวบ ริเวณบันได 5. ควรจดั ใหมีพรมหรอื ทเี่ ชด็ เทา บริเวณเชงิ บันได เพอื่ ความปลอดภัย 6. อยา ว่งิ ข้นึ หรอื ลงบนั ได ควรข้นึ ลงดวยความระมดั ระวัง 7. หา มเลนหรอื หยอกลอกนั ในขณะข้นึ หรือลงบนั ได 8. การขึน้ ลงบนั ได ใหข ึน้ ลงทางดา นขวาและจบั ราวบันไดทุกครง้ั 9. อยาปลอยราวบนั ไดจนกวาจะมกี ารข้ึนหรอื ลงบนั ไดเปน ท่ีเรียบรอยแลว

163 10. ในขณะขึ้นหรือลงบันได ใหใชสายตามองข้ันบันไดที่จะกาวตอไปและหาม กระทาํ สง่ิ ใด ๆ ในลักษณะทจ่ี ะกอ ใหเ กดิ อันตราย เชน การอา นหนังสอื หรือคนสง่ิ ของในกระเปาถอื เปนตน 11. อยาขึน้ หรอื ลงบันไดเปน กลมุ ใหญในเวลาเดียวกัน การใชบ ันไดพาดและบนั ไดยืนอยางปลอดภัย 1. กอนใชบันไดพาดหรือบันไดยืน ตองตรวจสอบความแข็งแรงโดยทั่วไป ตอง แนใ จวา ไมม ีรอยหัก รอยราว และมียางกนั ล่ืน 2. เมอื่ ใชบ ันไดพาดกับผนงั ตอ งพาดใหไ ดประมาณ 70 องศาและควรสงู กวาจดุ ท่ีจะ ทาํ งานอยางนอย 60 เซนตเิ มตร 3. ถาเปนไปได ควรยึดหวั และทายของบันไดดวยเชอื ก แตถา ทาํ ไมไดค วรใหค นอื่น ชว ยใชม อื จับยดึ ให 4. พ้ืนวางบันไดตองเรยี บ และปราศจากหลุม บอ หรอื โหนกนนู 5. ขณะปน บนั ไดขน้ึ หรือลงใหม องไปขา งหนาและไมท าํ งานบนบันไดดวยทาทางที่ ไมเ หมาะสม 6. กรณมี แี ผนรองยืนบนบันไดยืน ขาของบันไดตองหางกันไมเกิน 1.8 เมตร และ แผนรองยนื ตองสูงไมเกิน 2 เมตร 7. บนั ไดยนื ตอ งมีตัวล็อกขาท่กี างไวด วย 8. ถาใชบ ันไดยืนในจดุ ทีไ่ มแ นใ จวาจะมีความปลอดภัยเพียงพอตองมีผูชวยคอยยึด จับบนั ไดน้นั ไว 9. อยายืนบนแผน รองยืน เมอ่ื ตอ งอยสู งู เกิน 1.2 เมตร โตะ ทํางาน - เกาอี้ - ตู 1. ตลอดเวลาการทาํ งานไมควรเปดลนิ้ ชกั โตะ ล้นิ ชกั ตเู อกสาร หรอื ตอู นื่ ใดคา งไว ใหป ดทุกครั้งท่ไี มใ ชง าน 2. หา มวางพัสดุ ส่ิงของ หรอื กลอ งใตโตะ ทํางาน 3. หา มเอนหรือพงิ พนกั เกา อี้ โดยใหรับนํา้ หนักเพยี งขางใดขางหนงึ่ 4. ใหมพี นื้ ทเ่ี คล่อื นยา ยเกา อ้ี สาํ หรบั การเขา ออกทส่ี ะดวก 5. หา มวางพัสดุ สิ่งของตา ง ๆ บนหลังตเู พราะอาจตกหลน ลงมาเปนอนั ตราย 6. อยา เปดลน้ิ ชกั ตเู อกสารในเวลาเดียวกนั เกนิ กวา หนึง่ ล้ินชัก 7. การจดั เอกสารใสในลิน้ ชกั ตู ควรจดั ใสเ อกสารจากช้ันลางสุดข้ึนไป เพื่อเปนการ ถวงดุลน้าํ หนัก และใหหลีกเลยี่ งการใสเ อกสารในล้นิ ชกั มากเกนิ ไป 8. ใหใชห ูจบั ล้นิ ชกั ทุกครั้งเม่ือจะเปด ปดลิน้ ชกั เพ่อื ปอ งกันนิว้ ถกู หนบี 9. การจดั วางตลู น้ิ ชกั ตตู อ งไมเ กะกะชองทางเดนิ ในขณะที่ปดใชงาน

164 สายไฟฟา และเตาเสียบ 1. สายไฟฟา ท่มี ีรอยฉกี ขาด หรอื ปลั๊กไฟฟาท่ีแตกราว ตองทําการเปล่ียนทันที หาม พันดว ยเทปพนั สายไฟหรอื ดดั แปลงซอ มแซมอยา งใดอยา งหนึง่ 2. เตาเสียบท่ีชํารุดจะตองทําการซอมแซมโดยทันที ในระหวางรอการซอมแซม จะตองปดหรือครอบ เพ่อื ปอ งกนั ไมใหผูอื่นมาใชง าน 3. เครื่องมือหรืออุปกรณไ ฟฟาตาง ๆ ที่ใชภ ายในสาํ นักงาน ใหว างในตําแหนงท่ีใกล เตาเสยี บมากที่สดุ เพื่อหลีกเล่ียงสายไฟฟาท่ีทอดยาวไปตามพ้ืน หรอื หลีกเลย่ี งการใชส ายตอ ในกรณีที่ ไมอาจวางในตําแหนงใกลเตาเสียบได ใหแสดงเคร่ืองหมายใหชัดเจนเพื่อปองกันการเดินสะดุด สายไฟฟา 4. ในการใชอุปกรณไฟฟาใหแนใจวาแรงดันไฟฟาเหมาะสมกับความตองการ แรงดันไฟฟา ของอุปกรณนั้น ๆ 5. การวางหรือเคลือ่ นยา ยเคร่อื งใชส าํ นักงาน ตองระวงั อยา ใหมีการวางหรือเคล่ือนยาย ไปทับถกู สายไฟฟา การใชเครือ่ งใชส าํ นกั งาน 1. ในขณะขนยายกระดาษควรระมดั ระวังกระดาษบาดมอื 2. ใหเกบ็ ปากกาหรอื ดินสอ โดยการเอาปลายชลี้ ง หรอื วางราบในชิน้ ชัก 3. ใหทาํ การหบุ ขากรรไกรที่เปดซองจดหมาย ใบมดี คัดเตอร หรอื ของมีคมอื่น ๆ ให เขา ท่กี อ นทําการเก็บ 4. การใชเ ครื่องตัดกระดาษ ตองระวงั น้วิ มอื ใหอ ยูหางจากใบมีด ขณะที่กําลังทําการ ตดั กระดาษ และหลีกเลี่ยงการตัดกระดาษจํานวนมากเกินไปพรอมกันทีเดียว ถาไมไดใชงานใหลด ใบมีดลงใหต ่าํ ท่สี ดุ อยายกใบมดี คางเอาไว 5. การแกะลวดเยบ็ กระดาษไมควรใชมือหรอื เลบ็ ใหใ ชท่ดี ึงลวดเย็บกระดาษทกุ ครงั้ 6. เฟอรน ิเจอรทเ่ี ปน โลหะใหท าํ การลบมมุ ทกุ แหงเพ่อื ความปลอดภยั 7. ควรใชบันไดหรือช้ันเหยียบ เมื่อตองการหยิบของในที่สูง ไมควรยืนบนกลอง โตะ หรอื เกา อตี้ ิดลอ 8. หลงั เลกิ งานทกุ วัน ใหป ด ไฟฟาทุกดวงและตัดวงจรอุปกรณไฟฟาภายในหอ งทํางาน ท้งั หมด 9. เคร่อื งใชส ํานกั งานท่อี าจกอใหเกิดอันตราย เชน สายพาน ลูกกลิ้ง เกียร เฟอง ลอ ฯลฯ ถาไมมกี ารติดตั้งอุปกรณปอ งกันอนั ตรายเอาไว ใหตดิ ตัง้ อุปกรณป อ งกนั อนั ตรายน้ันใหเ รียบรอ ย กอนที่จะใชงาน

165 10. หามทําความสะอาด ปรับ แตง หรือเปลี่ยนแปลงสวนประกอบใด ๆ ของ เครอ่ื งใชสํานกั งานทอี่ าจกอ ใหเกิดอันตรายในขณะที่เครอ่ื งกาํ ลังทํางาน 11. ตองทําการศกึ ษาวิธีใชและขอ ควรระวงั ของเคร่อื งใชสํานักงานที่มีอันตรายใหดี กอ นปรับแตง 12. ถามีผูปฏิบัติงานสองคน หรือมากกวาสองคนข้ึนไปทํางานกับเคร่ืองใช สํานักงานที่มีอนั ตรายเครอื่ งเดียวกัน ผูปฏบิ ตั งิ านแตละคนจะตองระมัดระวังซงึ่ กนั และกนั 13. อยาถอดอุปกรณปองกันอันตรายหรือเปดแผงเครื่องใชสํานักงานที่มีอันตราย โดยเด็ดขาด กรณเี ครอ่ื งขดั ขอ งใหต ิดตอชางเพอื่ มาทาํ การซอ มแซม 14. เคร่ืองใชสํานักงานท่ีใชกําลังไฟฟาและมิไดเปนชนิดที่มีฉนวนหุมสองชั้น จะตองมีระบบสายดินติดอยูที่ครอบโลหะผานปลั๊ก และหามมีการดัดแปลงปล๊ักเพ่ือตัดวงจรสายดิน ออก 15. ใหตดั กระแสไฟฟาของเครอื่ งใชสํานกั งานที่ใชไ ฟฟาทุกครั้งที่ไมใชหรือเมื่อจะ ปรบั แตง เครื่อง การใชลิฟต 1. ในขณะเกิดเพลงิ ไหม หามทกุ คนใชล ิฟต ใหใชบ นั ไดหนีไฟเทานั้น 2. กอนใชลิฟตทุกครั้งใหสังเกตวาตัวลิฟตเล่ือนมาอยูในระดับเดียวกับพื้นแลว หรือไม ถา ตัวลิฟตอ ยูตางระดับกบั พ้นื ใหร ะมดั ระวังการสะดุดขณะเดินเขาลิฟต สําหรับสุภาพสตรีท่ี สวมรองเทา สน สูงหรอื สนเล็กตอ งกาวขา ม เพ่อื ปองกนั การลื่นและหกลม 3. ในการใชล ฟิ ต ใหเขา ลิฟตอ ยางรวดเรว็ และระมดั ระวัง อยาลงั เลใจ 4. หา มสบู บหุ ร่ีในลฟิ ต 5. เม่ือลิฟตเล่ือนถึงชั้นที่ตองการ ใหรอประตูลิฟตเปดเต็มท่ีแลวกาวออกจากลิฟต อยางรวดเร็ว

166 6. หา มใชม อื จับหรือดันประตูลิฟตเพื่อใหลิฟตรอบุคคลอื่น ใหใชปุมควบคุมประตู ลิฟตท ต่ี ิดตั้งอยภู ายในลฟิ ต 7. ในกรณีเกิดเหตฉุ กุ เฉนิ ขณะอยูในลิฟต ใหปฏิบัติตามขอแนะนํา ซ่ึงติดอยูภายใน ลิฟต พยายามควบคุมสติใหได อยา ตกใจเปนอันขาด กิจกรรม 5 ส สคู วามปลอดภยั สถานที่ทํางานจะปลอดภัยดว ยการปฏบิ ัติ 5 ส สถานทีด่ ําเนนิ กิจกรรม 5 ส จะปลอดภัยกวา ถูกสุขอนามัยกวา และมีการผลิตดีกวา ในการทาํ ใหสถานท่ที าํ งานนา อยู นาดู สะดวกสบายและปลอดภยั นน้ั จะตอ งกําจัดส่ิงที่ไมตองใชแลว ออกไปใหห มด และจดั ส่ิงที่จะเกบ็ ใหเปนหมวดหมู เพอ่ื ความสะดวก สะอาด และสวยงาม กิจกรรม 5 ส สะสาง : แยกรายการสง่ิ ของทจี่ ําเปนและไมจ ําเปน ทง้ิ สิ่งของทไ่ี มจ าํ เปน ออกไปใหม ากที่สดุ เทา ทีจ่ ะทาํ ได สะดวก : เก็บเครื่องมืออุปกรณไวในที่ท่ีใชไดสะดวกและเก็บในสภาพที่ ปลอดภัย สะอาด : จดั ระเบียบการดูแลความสะอาดของสถานที่ทํางาน เชน การกําจัด ฝนุ ละออง สขุ ลกั ษณะ : ดูแลเส้ือผาและรักษาสภาพสถานท่ีทํางานใหสะอาดเรียบรอย อยา ปลอยใหสกปรกรกรุงรงั เปน เดด็ ขาด สรางนสิ ยั : ปฏิบัติ 4 ส ขา งตน จนเปนนิสัย 1.6 ความปลอดภยั ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปจจบุ ันการประกอบอาชพี เกษตรกรรม มีการนําเคร่อื งจักรกล เชน รถแทรกเตอร

167 รถไถนา เคร่ืองเก็บเก่ียว เครื่องผอนแรง เปนตน และสารเคมี เชน ปุยเคมี สารกําจัดศัตรูพืช สารฆา แมลง เขามาใชอยางมากมาย เพ่อื ชว ยเพ่ิมผลผลติ ซึ่งสิ่งเหลานี้หากนาํ ไปใชอยางไมถูกตองจะมีผลเสีย ตอสขุ ภาพและชวี ิต อนั ตรายจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มี 5 ประการ ดงั น้ี ประการที่ 1 สารเคมี เชน ปุย สารกําจัดศัตรูพืช สารฆาแมลง สารพิษปราบวัชพืช สารกาํ จดั เชอื้ รา สารกําจดั สตั ว สารพิษกาํ จัดสาหราย ไสเ ดอื นฝอย หอยทาก สารเคมีเหลาน้ีหากใชถูก วธิ กี ็มปี ระโยชน หากใชผ ิดวิธีเปน โทษอยางมากเชน กนั เกษตรกรจาํ เปนตองทราบสิง่ เหลานี้  วิธีเกบ็ การใช โดยอานจากฉลากขา งภาชนะบรรจุ  เมอ่ื ใชหมดแลวตอ งทําลายภาชนะบรรจุโดยการเผาหรอื ฝง  ไมค วรสูบบุหรี่ขณะทําการฉดี พน  ระวังการสมั ผสั สารเคมีทผ่ี ิวหนงั เนอื่ งจากสามารถดดู ซมึ ทางผวิ หนังได  ระวงั การสูดดมหายใจเขาสูทางเดนิ หายใจ  ไมยืนใตลมขณะฉดี พน สารเคมี  เครอ่ื งใชตาง ๆ สาํ หรบั การฉดี พน ตอ งดูแลไมใหเส่อื มสภาพ รว่ั ซมึ  เวลาผสมยาหามใชมอื กวน ประการที่ 2 อันตรายจากฝุนท่ีเกิดจากเกษตรกรรม ฝุนเกิดขึ้นจํานวนมากใน กจิ กรรมนวดขาว และกจิ กรรมอ่ืน ๆ ในนา ปญหาที่เกิดขึ้นคือ ฝุนจะเปนสวนที่รับเอาเช้ือรา ละออง เกสรดอกไม และพวกสเปอรป ะปนอยู และจะนําโรคสูคนได ทําใหผูสัมผัสเกิดเช้ือรา โรคปอดฝุนฝาย โรคปอดชานออ ย โรคปอดชาวนา วิธปี องกัน คอื  เกษตรควรสวมหนา กากปอ งกันฝุน  รกั ษาความสะอาดของผิวหนงั หลงั เสรจ็ งานแลว  ใชวิธีพนนํา้ เพ่อื ลดการฟุง กระจายของฝุน  หาความรูเพื่อปองกันตัวเอง รวมท้ังเพ่ือใหทราบถึงภัยตาง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เชน อาการเกดิ โรค จะไดส ามารถปองกันตัวเองไมใหเ กดิ โรคลุกลามตอไป ประการท่ี 3 อนั ตรายจากการเปนโรคติดเชอ้ื จากสัตว ทส่ี าํ คญั คอื มา วัว ควาย แกะ แพะ สุกร สนุ ขั สัตวป า ทก่ี นิ เนื้อ นก เปด ไก เปน ตน โรคติดเชื้อท่ีสําคัญ ไดแก โรคแอนแทรกซ โรค กลวั นาํ้ บาดทะยัก เลพโตสไปโรซีส กลากเกลอ้ื น ของเช้ือรา วธิ ปี องกนั คอื

168  เกษตรกรควรทราบแหลง โรค วธิ ีการแพรโรค  เมือ่ สัตวปวยตองเผาหรือฝง ทาํ ลายเช้ือ ฉดี วัคซนี ปองกนั โรคแกสัตว  รักษาความสะอาดของผิวหนัง ระวังมิใหสัมผัสกับผิวหนังของสัตวที่เปน โรค  ทาํ ความสะอาดแผลทันทเี มื่อมีบาดแผลเกดิ ข้นึ ประการท่ี 4 อันตรายจากความรอน แสง เสยี ง ความสั่นสะเทอื น เกษตรกรอาจเปน ตะคริว ออ นเพลยี หรือเปน ลม อันเน่อื งมาจากการไดรับความรอนทีม่ าจากแสงอาทติ ย หรือไดร บั เสียง ดงั จากเคร่ืองจักรกล ซ่ึงมีผลตอสุขภาพจิตดวย รวมท้ังเกิดอาการหูตึง หรือหูหนวกได อันตรายจาก แสงจา ซงึ่ พบมากทําใหเ กิดตอ สูญเสยี การมองเห็น และในการใชเคร่อื งจักรกม็ ปี ญ หา การสน่ั สะเทือน จากเครอ่ื งจักร เชน รถแทรกเตอร เครอื่ งเกีย่ วขา ว เคร่อื งไถ เคร่อื งเจาะ เล่ือยไฟฟา ความส่ันสะเทือนมี อนั ตรายตอ มือและแขน ทําใหเกิดอาการปวดขอตอ เมื่อยลา ระบบยอยอาหารผิดปกติ กระดูกอักเสบ วิธปี องกนั อนั ตรายเหลา น้ไี ดแ ก  การสวมใสอุปกรณปองกนั อนั ตรายสวนบคุ คล เชน ถงุ มือ อุดหู  การปอ งกนั เก่ียวกบั ความรอน ทาํ ไดโ ดยใหส วมเสอื้ ผาหนา แขนยาว แตเปน ผา ที่ระบายอากาศไดด ี  ด่มื นํ้าผสมเกลือใหเขม ขน ประมาณ 0.1%  หยุดพกั ระหวางงานบอยขนึ้ หากอากาศรอนจัดมาก ประการท่ี 5 อุบัติเหตุในงานเกษตรกรรม เชน การถูกของมีคมบาด ไดแก มีด ขวาน เคยี ว เมื่อเกิดบาดแผลเกษตรกรไมมีเวลาที่จะทําความสะอาดแผลหรือปฐมพยาบาลโดยทันที โอกาสทจ่ี ะไดรับเช้อื โรค เชน โรคบาดทะยัก จึงพบบอย และเปนสาเหตุการตายท่ีสําคัญหรือการใช เคร่อื งยนตท่ใี ชไ ฟฟาก็อาจเกิดไฟฟา ดูด หรือเกิดการไหมต ามผวิ หนงั ข้ึนได ซึ่งควรตอ งเรยี นรเู รอ่ื งการ ใชไฟฟา ใหถ กู ตองดวย นอกจากน้ยี งั มอี ันตรายจากการใชเครอ่ื งยนต เชน เชอื ก โซ สายพาน หนบี หรอื บีบอัด ทาํ ใหม อี บุ ัตเิ หตุเกิดขึน้ ท่ีน้วิ มอื เปนสว นใหญ โรคจากการทํางานท่ีสําคัญและพบบอยที่สุดในเกษตรกรคือ การปวดหลังจากการ ทํางานอนั เน่อื งมาจากทาทางการทาํ งานที่ฝน ธรรมชาติ ทําใหเกิดอาการปวดเม่ือยกลามเน้ือ การปวด เมื่อยกลามเน้ือทเี่ กดิ ขน้ึ ซา้ํ ๆ ทกุ วนั เรียกวา โรคบาดเจ็บซํ้าซาก หรือโรคบาดเจ็บซํ้าบอย สามารถแกไข ได ควรจะไดเรยี นรวู ิธีการหาเครอ่ื งทุนแรงหรือประยุกตวิธีการทํางานเพื่อบรรเทาอาการเหลาน้ันให ลดนอ ยลง ตัวอยา งเชน การใชเ คร่ืองหวา นเมลด็ พชื แทนการกม เงยในการหวานโดยคนก็จะทําใหการ ทํางานเปนสุขขนึ้ ได

169 เร่ืองท่ี 2 การปฐมพยาบาลเบือ้ งตน การปฐมพยาบาล คือ การใหก ารชวยเหลือเบ้ืองตน ตอผปู ระสบอันตราย หรือเจบ็ ปว ย ณ สถานทเ่ี กดิ เหตุกอนท่ีจะถงึ มอื แพทย หรอื โรงพยาบาล เพ่อื ปอ งกนั มิใหเ กดิ อนั ตรายแกชีวติ หรือ เกิดความพกิ ารโดยไมสมควร วัตถุประสงคของการปฐมพยาบาล 1. เพื่อใหมชี วี ติ อยู 2. เพือ่ ไมใหไ ดร บั อันตรายเพมิ่ ขึ้น 3. เพ่ือใหกลับคืนสูส ภาพเดิมไดโดยเรว็ หลกั ทั่วไปในการปฐมพยาบาล 1. อยาต่นื เตน ตกใจ และอยา ใหคนมงุ เพราะจะแยง ผบู าดเจบ็ หายใจ 2. ตรวจดวู าผูบาดเจ็บยงั รสู ึกตวั หรือหมดสติ 3. อยากรอกยา หรอื นา้ํ ใหแกผ ูบาดเจบ็ ในขณะทไ่ี มรูสกึ ตวั 4. รีบใหการปฐมพยาบาลตอ การบาดเจ็บทอี่ าจทาํ ใหเ กดิ อันตรายถงึ แกช ีวติ โดยเร็ว กอ น สวนการบาดเจ็บอืน่ ๆ ทไี่ มรนุ แรงมากนักใหด าํ เนนิ การปฐมพยาบาลในลําดบั ถดั มา การบาดเจ็บทต่ี อ งไดรบั การชว ยเหลือโดยเร็ว คอื 1. การขาดอากาศหายใจ 2. การตกเลือด และมอี าการชอ็ ก 3. การสมั ผัส หรอื ไดรับสง่ิ มพี ิษทรี่ นุ แรง การปฐมพยาบาลเมื่อเกดิ อาการบาดเจบ็ ขอเคล็ด สาเหตุ เกิดจากการฉกี ขาด หรือการยดึ ตวั ของเน้อื เย่ือ กลา มเน้ือ หรอื เสนเอน็ รอบขอ ตอ อาการ - เวลาเคลือ่ นไหวจะรูสกึ ปวดบริเวณขอ ตอ ท่ีไดรับอนั ตราย - บวมแดงบริเวณรอบ ๆ ขอ ตอ

170 การปฐมพยาบาล - อยาใหขอ ตอ บรเิ วณทีเ่ จบ็ เคลอื่ นไหว - อยาใหของหนกั กดทบั บริเวณขอทเี่ จบ็ - ควรประคบดว ยความเย็นไวกอน - ถามีอาการปวดรนุ แรง ใหรีบนาํ ไปพบแพทย ขัดยอก สาเหตุ เกดิ จากการทก่ี ลา มเน้ือยึดตวั มากเกินไป ซึง่ เกดิ ขนึ้ เพราะการเคล่ือนไหวอยางรนุ แรง และรวดเรว็ มากเกนิ ไป อาการ เจบ็ ปวดบริเวณท่ไี ดรบั บาดเจบ็ ตอมามีอาการบวม การปฐมพยาบาล - ใหผ ูบาดเจบ็ นงั่ หรือนอนในทาที่สบาย และปลอดภัย - ถาปวดมากอาจบรรเทาอาการโดยการประคบความเย็นกอ น แลวตอดวยประคบ ความรอน ตาบาดเจบ็ การปฐมพยาบาลเกยี่ วกับตานนั้ ควรใหการปฐมพยาบาลเฉพาะตาท่บี าดเจ็บเลก็ นอ ย เทานนั้ ถาบาดเจ็บรุนแรงใหหาผา ปดแผลสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลว นาํ ผูบาดเจ็บสง โรงพยาบาล โดยเร็ว ผงเขาตา สาเหตุ - มสี ิง่ แปลกปลอมเขาตา - ระคายเคอื งตา คัน หรือปวดตา การปฐมพยาบาล - ใชน า้ํ สะอาดลางตาใหทั่ว - ถาผงไมอ อกใหห าผา สะอาดปดตาหลวม ๆ แลวนาํ ผบู าดเจบ็ ไปพบแพทย

171 สารเคมีเขาตา สาเหตุ กรด หรือดา งเขา ตา อาการ - ระคายเคอื งตา - เจบ็ ปวด และแสบตามาก การปฐมพยาบาล - ใหลางตาดว ยนา้ํ ทส่ี ะอาดโดยวิธกี ารใหน ํ้าไหลผา นลกู ตา จนกวาสารเคมี จะออกมา - ใชผา ปดแผลทสี่ ะอาดปดตาหลวม ๆ แลวนําผูบาดเจ็บไปพบแพทย โดยเร็วทส่ี ุด ไฟไหม หรอื นาํ้ รอ นลวก สาเหตุ บาดแผลอาจจะเกดิ จากถูกไฟโดยตรง ประกายไฟ ไฟฟา วตั ถุที่รอ นจดั นาํ้ เดือด สารเคมี เชน กรด หรอื ดา งทีม่ คี วามเขมขน อาการ แบง เปน 3 ลักษณะ - ลกั ษณะที่ 1 ผิวหนังแดง - ลกั ษณะท่ี 2 เกดิ แผลพอง - ลกั ษณะที่ 3 ทําลายชน้ั ผิวหนงั เขา ไปเปน อนั ตรายถงึ เนือ้ เยือ่ ทีอ่ ยใู ตผิวหนงั บางครง้ั ผูบ าดเจ็บจะมีอาการชอ็ ก การปฐมพยาบาล บาดแผลในลกั ษณะที่ 1 และ 2 ซงึ่ ไมส าหสั ใหปฐมพยาบาลดงั น้ี - ประคบดว ยความเย็นทนั ที - ใชน้าํ มนั ทาแผลได และปด แผลดวยผาทส่ี ะอาด ใชผ า พนั แผลพันแตอยา ใหแนน มาก บาดแผลในลักษณะที่ 3 ใหปฐมพยาบาลดงั นี้ - ถาผบู าดเจ็บมอี าการช็อก รีบใหก ารปฐมพยาบาลอาการชอ็ กกอ น

172 - หามดึงเศษผาทถ่ี ูกไฟไหมซึ่งตดิ อยูกับรา งกายออก - นาํ ผบู าดเจบ็ สงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สดุ เทาที่จะทาํ ได กระดูกเคลือ่ น สาเหตุ กระดกู เคลื่อนเกดิ ขึน้ เพราะปลายกระดูกขางหนง่ึ ซ่ึงประกอบกันเขาเปน ขอ ตอ เคลอ่ื นท่ีหลดุ ออกจากเสนเอ็นทห่ี ุม หอ บรเิ วณขอ ตอไว อาการ - ตึงและปวดมากบรเิ วณขอตอทหี่ ลุด - ขอ ตอ จะมรี ูปรา ง และตาํ แหนง ผิดไปจากเดมิ การปฐมพยาบาล - จดั ใหผ บู าดเจ็บอยใู นทาทีส่ บายท่ีสุด - หามกด หรอื ทําใหขอตอน้ันเคลอื่ นไหวเปนอนั ขาด - นาํ ผบู าดเจบ็ สง แพทยใ หเรว็ ท่ีสุด - การเคล่อื นยา ยผูบาดเจบ็ ควรใชเปลหาม กระดูกหกั กระดกู หกั มีอยู 2 แบบ คือ 1. กระดกู หักชนดิ ธรรมดา หรือชนดิ ปด ไดแ ก การมกี ระดกู หกั เพยี งอยา งเดยี ว ไมแทงทะลุผวิ หนังออกมา 2. กระดกู หักชนิดมีบาดแผล หรอื ชนิดเปด ไดแก การมกี ระดกู หักแลว แทงทะลุ ผวิ หนังออกมา หรอื วัตถุจากภายนอกแทงทะลุผวิ หนงั เขาไปกระทบกบั กระดูก ทําใหก ระดกู หัก อาการ - บวม - เวลาเคล่อื นไหวจะเจ็บบรเิ วณทไ่ี ดร บั อนั ตราย - ถา จบั บรเิ วณที่ไดรบั อันตรายจะรสู ึกนุมนิ่ม และอาจมเี สยี งปลายกระดกู ทห่ี กั เสียด สกี นั - อวัยวะเบย้ี วบดิ ผดิ รปู

173 การปฐมพยาบาล - อยาเคล่ือนยา ยผปู ระสบอนั ตราย นอกจากจะจําเปน จรงิ ๆ การเคลือ่ นยาย อาจทาํ ใหบ าดเจ็บมากขนึ้ ไปอกี - คอยระวังใหป ลายกระดกู ท่แี ตกอยนู ิง่ ๆ - ปอ งกันอยาใหเกดิ อาการช็อก - ถา กระดกู ทีห่ ักแทงทะลุผวิ หนังออกมาขางนอก ใหหา มเลือดโดยใชน ว้ิ กด หรือใชสายสําหรับรดั หา มเลือด - ใชผ า ปด แผลทีส่ ะอาด ปดปากแผล หรอื กระดกู ทโ่ี ผลอ อกมา - ถามคี วามจําเปน ทจี่ ะตองเคลือ่ นยา ยผูบาดเจบ็ ควรใชเ ฝอกชั่วคราว สายคลอ งแขน หมอน และเปลเฝอ กชวั่ คราวอาจทาํ ดวยวตั ถใุ ด ๆ ก็ไดท ่อี ยใู กลม อื เชน กระดาน มว น หนังสอื พิมพ มว นฟาง หรอื รม ใหผกู เฝอ กกบั แขน หรอื ขาตรงท่ีหักทั้งขางลาง และขา งบน และถา สามารถทาํ ไดใหผกู มัดจากท่ี ๆ แตกไปทงั้ สองขา ง จะทําใหเฝอ กชว่ั คราวแขง็ แรงขนึ้ ใชก ระดาษ ผา สําลี หรอื วัตถอุ ื่น ๆ ทค่ี ลา ยกันรองเฝอก เพือ่ ใหบรเิ วณที่ไดรบั อนั ตรายอยใู นระดบั เดยี วกัน ซง่ึ การทํา วธิ นี ี้เฝอกจะพอดี ไมก ดกระดกู บางแหง มากเกนิ ไป สําหรบั การใสเ ฝอกทแ่ี ขนหรอื ขาน้ัน ควรใสให รอบทกุ ดา นดกี วาใสเ ฉพาะดา นใดดา นหน่ึง และใหใ ชผ าเปนชน้ิ ๆ หรอื เชือกทีเ่ หนยี ว ๆ ผูกเฝอ ก แต ผา สาํ หรับผูกในยามฉุกเฉินทดี่ ีทส่ี ุดกค็ อื ผาพนั แถบยาว ๆ - บางครั้งกอ นจะเขา เฝอกจาํ เปน ตองเคล่อื นยายผบู าดเจบ็ บา งเล็กนอย ควรจะใหใคร คนหน่งึ จับแขน หรอื ขาสวนท่ีอยูเ หนอื และสวนทอี่ ยตู าํ่ กวาบรเิ วณทกี่ ระดกู นั้นหักใหอยูน ิ่ง ๆ สวนคน อน่ื ๆ ใหช ว ยกันรบั น้ําหนกั ของรา งกายไว วิธีทีด่ ที ่ีสดุ กค็ อื ใชเ ปลหาม - กระดูกสันหลัง หรือคอหัก หรือสงสัยวาจะหัก จะตองใชความระมัดระวังเปน พิเศษ ถา คนเจ็บหมดสติอาจจะไมร ูว ากระดูกคอ หรอื กระดกู สนั หลังหัก นอกจากผทู ําการปฐมพยาบาล น้ันจะมคี วามรูในเรอื่ งน้ีเปนพเิ ศษ กระดกู หกั ธรรมดาอาจจะกลายเปน กระดกู หกั ชนิดมีบาดแผลไดถา หากไมระมดั ระวังในการเคลอ่ื นยา ยผบู าดเจ็บ ดงั นั้น หากสามารถทาํ ไดค วรงดเวนการเคล่อื นยายใด ๆ จนกวาแพทยจ ะมาทําการชวยเหลือ การเคลอ่ื นยายผูทก่ี ระดูกคอหกั - เมื่อจะทําการเคลื่อนยายผูบาดเจ็บท่ีกระดูกคอหัก ใหเอาบานประตู หรือแผน กระดานกวา ง ๆ มาวางลงขางคนเจ็บ ใหปลายกระดานเลยศีรษะคนเจ็บไปประมาณ 4 น้ิว เปนอยาง นอ ย - ถาผูบาดเจ็บนอนหงาย ใหใ ครคนหนึ่งคกุ เขาลงเหนือศรี ษะ ใชมือทั้งสองจับศีรษะ ไวใหนิง่ ๆ เพอื่ ใหศรี ษะ และหัวไหลเ คลือ่ นไหวเปน จังหวะเดียวกันกับรางกาย สวนคนอื่น ๆ จะเปน คนเดียว หรอื หลายคนกไ็ ดชวยกนั จบั เสื้อผาของผบู าดเจ็บตรงหวั ไหล และตะโพก แลว

174 คอ ย ๆ เลอื่ นผูบาดเจบ็ น้นั วางลงบนแผน กระดาน หรอื บานประตู ใหผบู าดเจ็บนอนหงายอยายกศีรษะ ขึ้น และอยาใหค อบิดไปมา - ถาผูบาดเจ็บนอนควํ่าหนา ควรจะวางบานประตู หรือกระดานลงขาง ๆ ตัว ผูบาดเจบ็ นัน้ เอาแขนเหยยี ดไปทางศีรษะ คกุ เขาลงเอามือจับขางศีรษะของผูบาดเจ็บ โดยใหมือปดหู และมุมขากรรไกร แลวคอยพลิกคนเจ็บใหนอนหงายบนกระดาน เวลาพลิกใหนอนหงายจะตองให ศรี ษะอยนู ่ิง ๆ และใหอยรู ะดับเดยี วกับลาํ ตวั ทงั้ ศรี ษะ และลาํ ตวั จะตองพลิกใหพ รอ ม ๆ กัน - ระหวางทที่ าํ การเคลอ่ื นยาย ควรจะใชหนังรัด หรือผาพันแผลก็ไดหลาย ๆ อัน รัด รอบตัวของผบู าดเจบ็ ใหต ิดแนน กบั แผนกระดาษ หรอื ถามเี ปลก็ใหใ ชเ ปลหาม การเคลอ่ื นยา ยผทู กี่ ระดูกสนั หลงั หกั - อยารีบยกผูบาดเจ็บที่สงสัยวากระดูกสันหลังจะหัก ตองถามกอนวาสามารถ เคลื่อนไหว ไดห รือไม ถา ผบู าดเจบ็ ไมไดสติ และสงสยั วา จะไดร ับอนั ตรายทกี่ ระดกู สันหลงั ใหปฏิบัติ เชน เดยี วกบั ผูทีก่ ระดกู คอหัก - ถา พบคนท่ีสงสยั วากระดูกสันหลังหักนอนควํ่าหนาอยู คอย ๆ พลิกใหนอนหงาย ลงบนแผนกระดาน หรอื เปล แลวหาอะไรมารองสนั หลงั ตอนลา ง - ถาผบู าดเจ็บนอนหงาย คอ ย ๆ เลอื่ นใหน อนบนกระดาน โดยปฏบิ ัตเิ ชน เดยี วกับผูที่ กระดกู คอหกั - ผบู าดเจบ็ ทสี่ งสัยวา กระดูกสนั หลังหัก หามยกในทา น่งั โดยเดด็ ขาด กะโหลกศีรษะแตก สมองไดรบั ความกระทบกระเทอื น ผูทป่ี ระสบอนั ตรายจนกะโหลกศรี ษะแตก หรือสะเทือน จะมีอาการเลือดออกทางหู ตา และจมกู อาจมีของเหลวสขี าวไหลออกมาจากหู ตาดาํ อาจจะมีขนาดไมเทากัน หนาแดง หรือซีดก็ ได การปฐมพยาบาล - ถา หนา มีสปี กติ หรอื สีแดง ควรวางผูบ าดเจบ็ นอนลง แลวหนนุ ศรี ษะใหส ูงเล็กนอย ถาหนา ซดี ควรวางศีรษะในแนวราบ - พลกิ ศีรษะใหอ ยใู นลกั ษณะท่ไี มถ ูกทับบรเิ วณท่สี งสยั วา กระดกู จะแตก - ถามีบาดแผลปรากฏใหหามเลือด และปดบาดแผลดวยผาปดแผลที่สะอาด ผูก ผาพันแผลดา นตรงขา มกับบาดแผล - ใหค วามอบอุนแกผ บู าดเจ็บอยเู สมอ และอยา ใหส ารกระตุนใด ๆ แกผบู าดเจ็บ

175 การหา มเลอื ดเมอื่ เกดิ อนั ตรายจากของมคี ม วธิ หี ามเลอื ดมีหลายวธิ ี ไดแ ก 1. การกดดว ยนิว้ มือ มีวธิ ปี ฏบิ ตั ดิ งั น้ี - ในกรณีทบ่ี าดแผลเลือดออกไมม าก จะหา มเลอื ดโดยใชผาสะอาดปดท่บี าดแผลแลว พนั ใหแนน ถายังมีเลอื ดไหลซึม ใหใ ชนิ้วมอื กดตรงบาดแผลดว ยกไ็ ด - ในกรณีที่เสน โลหิตแดงใหญขาด หรือไดร บั อนั ตรายอยา งรุนแรงเปนบาดแผลใหญ ควรใชนว้ิ มือกดเพ่อื หา มเลอื ดไมใ หไ หลออกมา และใหก ดลงบรเิ วณระหวางบาดแผลกบั หัวใจ เชน - เลอื ดไหลออกจากหนังศีรษะ และสว นบนของศรี ษะ ใหกดทีเ่ สนเลือดบริเวณขมับ ดานที่มีบาดแผล - เลอื ดไหลออกจากใบหนา ใหกดทีเ่ สน เลือดใตข ากรรไกรลา งดา นทม่ี ีบาดแผลหาง จากมุมขากรรไกรไปขา งหนา ประมาณ 1 นวิ้ - เลือดไหลออกมาจากคอ ใหกดลงไปบริเวณตนคอขาง ๆ หลอดลมดานท่ีมี บาดแผล แตก ารกดตาํ แหนงนนี้ านๆ อาจจะทาํ ใหผูถกู กดหมดสติได ฉะนั้นควรใชว ิธีนี้ตอเมอ่ื ใชว ธิ อี น่ื ๆ ไมไดผลแลว เทา นัน้ - เลอื ดไหลออกมาจากแขนทอนบน ใหก ดลงไปท่ไี หปลาราตอนบนสดุ ใกลหัวไหล ของแขนดา นท่มี บี าดแผล - เลือดไหลออกมาจากแขนทอนลาง ใหกดที่เสนเลือดบริเวณแขนทอนบนดานใน กึ่งกลางระหวางหัวไหลกับขอ ศอก - เลือดออกทข่ี า ใหกดเสนเลือดบริเวณขาหนบี ดา นที่มบี าดแผล 2. การใชสายรดั หามเลอื ด ในกรณีทเ่ี ลือดไหลออกจากเสน โลหติ แดงทแ่ี ขน หรอื ขา ใชนิ้วมือกดแลว เลือด ไมห ยดุ ควรใชสายสําหรับหามเลือดโดยเฉพาะ - สายรัดสําหรับแขน ใหใชรัดเสนโลหิตที่ตนแขน สายรัดสําหรับขาใหใชรัดเสน โลหิตท่ีโคนขา - อยา ใชส ายรัดผกู รัดใหแนนเกินไป และควรจะคลายออกเปนเวลา 3 วินาที ทุก ๆ 10 นาที จนกวาเลือดจะหยุด - ถาไมม ีสายรัดแบบมาตรฐาน อาจใชวัตถุท่ีแบน ๆ เชน เข็มขัด หนังรัด ผาเช็ดตัว เนคไท หรอื เศษผา ทําเปน สายรัดได แตอยา ใชเ ชอื กเสน ลวด หรอื ดา ยทาํ เปนสายรัด เพราะอาจจะบาด หรือเปนอันตรายแกผ วิ หนงั บริเวณทีผ่ ูกได

176 3. การยกบริเวณทมี่ บี าดแผลใหส งู กวาหวั ใจ ในกรณีท่มี บี าดแผลเลือดออกที่เทา จดั ใหผบู าดเจ็บนอนลงแลวยกเทา ขึ้น กิจกรรม ใหผเู รยี นรวบรวมขอมูลการไดรบั อนั ตรายจากการทํางานของตนเอง สมาชิกใน ครอบครัว และเพอื่ นรวมงาน ดังนี้ 1. ขาพเจาเคยไดร บั อนั ตรายจากการทํางาน ดังนี้  งาน / หนาที่ทีป่ ฏบิ ัติ หรอื เคยปฏิบัต.ิ ..................................................................................... ...........................................................................................................................................  อันตรายที่เคยไดรับ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. ....................................................................................................................................  การปอ งกนั และแกไข 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... 2. สมาชิกในครอบครวั เคยไดรบั อนั ตรายจาการทาํ งาน คือ .........................................................  งาน / หนา ทีท่ ีป่ ฏบิ ัติ หรอื เคยปฏิบตั .ิ ................................................................................. .................................................................................................... ......................................  อันตรายทเี่ คยไดร ับ 1. .................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... 3. ....................................................................................................................................  การปองกนั และแกไข 1. ..................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .....................................................................................................................................

177 3. เพื่อนรวมงานท่ีเคยไดรบั อนั ตรายจากการทํางาน ดงั น้ี  งาน / หนา ทที่ ปี่ ฏิบัติ หรือเคยปฏิบัต.ิ ................................................................................. .................................................................................................... ......................................  อันตรายทเี่ คยไดรบั 1. ..................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .....................................................................................................................................  การปองกนั และแกไข 4. .................................................................................................................................... 5. .................................................................................................................................... 6. ....................................................................................................................................

178 บทท่ี 9 ทักษะชวี ิตเพอื่ การส่อื สาร สาระสําคญั การมคี วามรคู วามเขาใจเกี่ยวกบั ทักษะท่ีจําเปนสําหรับชีวิตมนุษย โดยเฉพาะทักษะ การสื่อสาร ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบคุ คล ทกั ษะการเขาใจผูอื่น จะชวยใหบ ุคคลดํารงชวี ติ อยูในครอบครัว ชมุ ชน และสงั คมอยางมคี วามสุข ผลการเรียนรทู ี่คาดหวงั เพอ่ื ใหผูเรยี น 1. มีความรูความเขาใจเก่ียวกับทักษะชีวิตที่จําเปน 3 ประการ ไดแก ทักษะการ ส่ือสาร ทักษะการสรางสมั พนั ธภาพระหวางบคุ คล และทกั ษะการเขา ใจผอู น่ื 2. ประยกุ ตใชท กั ษะชวี ติ ในการดาํ เนนิ ชีวิต และในการทํางานอยา งมีประสทิ ธิภาพ ขอบขายเน้อื หา เรอื่ งที่ 1 ความหมายของทักษะชีวิต เรอ่ื งท่ี 2 ทกั ษะชวี ิตท่จี าํ เปน 3 ประการ

179 เรื่องที่ 1 ความหมายของทกั ษะชวี ิต คําวา ทักษะ (Skill) หมายถงึ ความชดั เจน และความชํานาญในเรอ่ื งใดเร่อื งหนง่ึ ซึ่ง บคุ คลสามารถสรางขนึ้ ไดจากการเรยี นรู ไดแ ก ทักษะการอาชีพ การกฬี า การทํางานรวมกับผูอ่ืน การ อาน การสอน การจัดการ ทักษะทางคณติ ศาสตร ทกั ษะทางภาษา ทักษะทางการใชเทคโนโลยี ฯลฯ ซ่ึง เปนทักษะภายนอกทส่ี ามารถมองเห็นไดชัดเจนจากการกระทํา หรือจากการปฏิบัติ ซึ่งทักษะดังกลาว นั้นเปนทักษะท่ีจําเปนตอการดํารงชวี ิต ทีจ่ ะทาํ ใหผ ูมที ักษะเหลานั้นมีชีวิตที่ดี สามารถดํารงชีพอยูใน สังคมได โดยมโี อกาสที่ดีกวาผไู มมีทักษะดังกลาว ซึ่งทักษะประเภทนี้เรียกวา Livelihood skill หรือ Skill for living ซึ่งเปนคนละอยางกับทักษะชีวิต ที่เรียกวา Life skill (ประเสริฐ ตันสกุล) ดังน้ัน ทกั ษะชวี ิต หรอื Life skill จงึ หมายถงึ คุณลกั ษณะ หรอื ความสามารถเชงิ สงั คม จิตวทิ ยา (Psychosocial competence) ที่เปนทักษะภายในท่ีจะชวยใหบุคคลสามารถเผชิญสถานการณตาง ๆ ที่เกิดข้ึนใน ชีวิตประจาํ วนั ไดอ ยา งมีประสทิ ธภิ าพ และเตรียมพรอ มสําหรบั การปรบั ตวั ในอนาคต ไมวาจะเปนเรอ่ื ง การดแู ลสขุ ภาพ เอดส ยาเสพตดิ ความปลอดภัย ส่ิงแวดลอม คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพอ่ื ใหส ามารถมี ชีวติ อยูในสังคมไดอ ยา งมีความสุข หรือจะกลาวงา ย ๆ ทักษะชีวิต ก็คือ ความสามารถในการแกปญหา ท่ีตอ งเผชิญในชีวติ ประจําวัน เพ่ือใหอ ยรู อดปลอดภยั และสามารถอยูร วมกับผอู น่ื ไดอยา งมีความสขุ 1.1 องคป ระกอบของทกั ษะชวี ิต องคป ระกอบของทักษะชีวิต จะมีความแตกตางกันตามวัฒนธรรม และสถานที่ แต ทกั ษะชีวิตทจ่ี าํ เปนที่สุดที่ทุกคนควรมี ซ่ึงองคการอนามัยโลกไดสรุปไว และถือเปนหัวใจสําคัญใน การดํารงชวี ิต คอื 1. ทักษะการตัดสินใจ (Decision making) เปนความสามารถในการตัดสินใจ เกี่ยวกบั เรือ่ งราวตา ง ๆ ในชีวติ ไดอ ยางมีระบบ เชน ถา บคุ คลสามารถตัดสนิ ใจเกี่ยวกับการกระทําของ ตนเองทเ่ี ก่ยี วกับพฤติกรรมดา นสุขภาพ หรอื ความปลอดภยั ในชวี ติ โดยประเมินทางเลือก และผลที่ได จากการตัดสนิ ใจเลอื กทางที่ถูกตองเหมาะสม ก็จะมีผลตอ การมีสุขภาพที่ดีท้งั รา งกาย และจิตใจ 2. ทักษะการแกปญหา (Problem Solving) เปนความสามารถในการจัดการกับ ปญหาท่ีเกิดขึ้นในชวี ติ ไดอ ยางมีระบบ ไมเกิดความเครยี ดทางกาย และจิตใจ จนอาจลกุ ลามเปน ปญหา ใหญโตเกินแกไข 3. ทักษะการคิดสรางสรรค (Creative thinking) เปนความสามารถในการคิดที่จะ เปนสวนชวยในการตัดสินใจ และแกไขปญหาโดยการคิดสรางสรรค เพ่ือคนหาทางเลือกตาง ๆ รวมทง้ั ผลท่จี ะเกิดขน้ึ ในแตล ะทางเลอื ก และสามารถนําประสบการณมาปรับใชในชีวิตประจําวันได อยางเหมาะสม

180 4. ทักษะการคดิ อยา งมีวจิ ารณญาณ (Critical thinking) เปนความสามารถใน การ คดิ วเิ คราะหข อมูลตาง ๆ และประเมนิ ปญ หา หรอื สถานการณท่ีอยูรอบตัวเรา ที่มีผลตอการ ดําเนิน ชีวติ 5. ทักษะการสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เปน ความสามารถในการใชคําพูด และทาทาง เพื่อแสดงออกถึงความรูสึกนึกคิดของตนเองไดอยาง เหมาะสมกับวฒั นธรรม และสถานการณตาง ๆ ไมวาจะเปน การแสดงความคิดเห็น การแสดง ความ ตอ งการ การแสดงความชื่นชม การขอรอง การเจรจาตอรอง การตักเตือน การชวยเหลือการปฏิเสธ ฯลฯ 6. ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) เปน ความสามารถในการสรางความสัมพันธท่ีดีระหวางกันและกัน และสามารถรักษาสัมพันธภาพไวได ยืนยาว 7. ทกั ษะการตระหนกั รูในตน (Self awareness) เปนความสามารถในการคน หารจู กั และเขา ใจตนเอง เชน รูขอ ดี ขอ เสียของตนเอง รูความตองการ และส่ิงที่ไมตองการของตนเอง ซึ่งจะ ชว ยใหเ รารูต ัวเองเวลาเผชญิ กบั ความเครยี ด หรือสถานการณตา ง ๆ และทักษะน้ียงั เปนพืน้ ฐานของการ พัฒนาทักษะอืน่ ๆ เชน การสอื่ สาร การสรา งสัมพันธภาพ การตัดสนิ ใจ ความเห็นใจผอู ่ืน 8. ทักษะการเขาใจผูอื่น (Empathy) เปนความสามารถในการเขาใจความเหมือน หรือความแตกตางระหวา งบุคคล ในดา นความสามารถ เพศ วยั ระดับการศึกษา ศาสนา ความเช่ือ สี ผิว อาชีพ ฯลฯ ชวยใหสามารถยอมรับบุคคลอื่นที่ตางจากเรา เกิดการชวยเหลือบุคคลอ่ืนท่ีดอยกวา หรอื ไดร บั ความเดือดรอ น เชน ผูติดยาเสพตดิ ผตู ิดเชื้อเอดส 9. ทักษะการจัดการกับอารมณ (Coping with emotion) เปนความสามารถในการ รับรูอ ารมณข องตนเอง และผูอ่ืน รูวาอารมณมีผลตอการแสดงพฤติกรรมอยางไร รูวิธีการจัดการกับ อารมณโ กรธ และความเศราโศก ท่ีสง ผลทางลบตอรา งกาย และจิตใจไดอ ยา งเหมาะสม 10. ทกั ษะการจดั การกบั ความเครยี ด (Coping with stress) เปน ความสามารถในการ รับรูถึงสาเหตุของความเครียด รูวิธีผอนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดับ ความเครียด เพ่ือใหเกิดการเบี่ยงเบนพฤติกรรมไปในทางท่ีถูกตอง เหมาะสม และไมเกิดปญหาดาน สขุ ภาพ 1.2 กลวิธใี นการสรา งทักษะชีวิต จากองคป ระกอบของทักษะชีวติ 10 ประการ เมอ่ื จะนาํ ไปใชพ ัฒนาทักษะชีวติ สามารถแบง ไดเ ปน 2 สวน ดงั นี้

181 1. ทักษะชีวิตท่ัวไป คือ ความสามารถพื้นฐานท่ีใชเผชิญปญหาปกติใน ชีวิตประจําวัน เชน ความเครียด สุขภาพ การคบเพ่ือน การปรับตัว ครอบครัวแตกแยก การบริโภค อาหาร ฯลฯ 2. ทกั ษะชวี ิตเฉพาะ คือ ความสามารถท่จี ําเปน ในการเผชญิ ปญหาเฉพาะ เชน ยาเสพ ตดิ โรคเอดส ไฟไหม น้าํ ทว ม การถูกลว งละเมิดทางเพศ ฯลฯ เรอ่ื งที่ 2 ทกั ษะชวี ิตที่จําเปน 3 ประการ  ทกั ษะการส่ือสารอยางมีประสทิ ธิภาพ (Effective communication)  ทกั ษะการสรา งสัมพันธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship)  ทักษะการเขาใจผอู ื่น (Empathy) 2.1 ทักษะการสอื่ สารอยา งมีประสิทธภิ าพ การสื่อสาร เปนกระบวนการสรางความเขาใจกันระหวางบุคคล โดยอาจเปนการ ส่ือสารทางเดยี ว (one-way communication) คอื การส่อื ขาวสารจากผูสงสาร ไปยังผูรับสาร โดยไมมี การส่อื สารกลับ หรือสะทอ นความรูสึกกลับไปยังผสู ง สารอกี ครัง้ สวนการสอื่ สารสองทาง (Two-way Communication) เปน การสือ่ ขา วสารจากผูสง สารไปยังผูรับสาร และมีการส่ือสารกลับ หรือสะทอน ความรสู ึกกลบั จากผูร ับสาร ไปยงั ผสู ง สารอกี คร้งั จงึ เรียกวา เปนการสอ่ื สารสองทาง การสื่อสารระหวางบุคคล นับวาเปนความจําเปนอยางย่ิง เพราะในการดําเนินชีวิต ปกตใิ นปจจบุ ัน การส่อื สารเขามามบี ทบาทอยา งยิ่งในทุกกิจกรรม ไมวาจะเปนการสื่อสารดวย การ พูด การเขยี น การแสดงกริ ิยาทาทาง หรือการใชเคร่ืองมือสื่อสารที่เปนเทคโนโลยีสมัยใหม ตาง ๆ เชน โทรศพั ท Internet e-mail ฯลฯ ทงั้ นี้ การสื่อสารดวยวธิ ใี ด ๆ กต็ าม ควรทาํ ใหผูสง สาร และผูรับ สารเกดิ ความเขา ใจอนั ดีตอ กนั และเกิดสัมพันธภาพท่ดี ีตามมา ซึ่งทกั ษะท่ีจําเปนในการสื่อสาร ไดแก การรจู ักแสดงความคดิ เหน็ หรอื ความตองการใหถ กู กาลเทศะ และการรูจกั แสดงความชื่นชมผูอ ่ืน การ รจู ักขอรอ ง การเจรจาตอรองในสถานการณคับขันจําเปน การตักเตือนดวยความจริงใจ และใชวาจา สุภาพ การรจู ักปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนใหปฏิบัติในส่ิงที่ผิดขนบธรรมเนียมประเพณี หรือผิดกฎหมาย เปนตน การสื่อสารดว ยการปฏเิ สธ หลาย ๆ คนไมกลาปฏเิ สธคาํ ชกั ชวนของเพ่ือน หรือคนรัก เม่ือไปทําในส่ิงทีต่ นเองไม เหน็ ดว ย เชน การมีเพศสมั พันธที่ไมป ลอดภัย การเท่ียวซองโสเภณี การเสพยาเสพติด ฯลฯ อันท่ีจริง การปฏเิ สธเปน สิทธิของทุกคน การปฏิเสธคําชกั ชวนของเพอ่ื น หรอื คนรกั เม่อื ทาํ ในส่งิ ท่ตี นเองไมเ ห็น

182 ดวยอยางเหมาะสม และไดผลจะชวยปองกันการมีพฤติกรรมเสี่ยงได คนสวนใหญไมกลาปฏิเสธคํา ชกั ชวนของเพื่อน หรือคนรัก เพราะกลวั วาเพ่ือน หรือคนรักจะโกรธ แตถาสามารถปฏิเสธไดถูกตอง ตามข้นั ตอนจะไมทาํ ใหเสียเพอ่ื น การปฏิเสธท่ดี ี จะตองปฏิเสธอยางจริงจัง ท้ังทาทาง คําพูด และน้ําเสียง เพ่ือแสดงความต้ังใจอยาง ชดั เจนท่จี ะขอปฏิเสธ การปฏเิ สธมี 3 ข้ันตอน คอื 1. บอกความรสู กึ เปน ขออางประกอบเหตุผล เพราะการบอกความรูสึกจะโตแยง ยาก กวาการบอกเหตุผลอยา งเดยี ว 2. การขอปฏิเสธเปนการบอกปฏเิ สธชัดเจนดว ยคําพูด 3. การถามความเห็นชอบเพ่ือรักษานํ้าใจของผูชวน และความขอบคุณเมื่อผูชวน ยอมรับการปฏเิ สธ ตัวอยา งการปฏิเสธเม่ือถกู ชวนไปเสพยาเสพตดิ แดงเปน ผชู วน และแอมเปน ผปู ฏิเสธ แดง : คนื น้ีมีปารต ที้ ่ีหอ ง แอม ไปใหไดน ะ มขี องดอี ยางวาใหม ๆ มาใหลอง แอม : ของอยา งวา นั้นไมด ีตอสุขภาพ ขอไมล อง แดงคงไมว า นะ ขอบคณุ มากที่ชวน แดง : .................................... การหาทางออกเมื่อถูกเซาซี้ หรือสบประมาท บางครั้งผูชวนพูดเซาซี้เพื่อชวนให สาํ เรจ็ ผูถ ูกชวนไมควรหวน่ั ไหวกบั คําพดู เพราะจะทาํ ใหข าดสมาธิในการหาทางออก ควรยืนยันการ ปฏิเสธดว ยทา ทีม่นั คง และหาทางออกโดยวธิ ีตอ ไปนี้ ปฏเิ สธซ้าํ โดยไมต อ งใชขอ อา ง พรอมท้ังบอกลา แลว เดนิ จากไปทนั ที การตอ รอง โดยการชวนไปทํากจิ กรรมอืน่ ท่ีดกี วา การผดั ผอน โดยการยดื ระยะเวลาออกไปเพอ่ื ใหผูชวนเปลยี่ นความตัง้ ใจ เชน

183 ขน้ั ตอน ตัวอยา งคาํ พดู 1. อางความรูสึกประกอบเหตผุ ล “ฉนั ไมชอบ มนั ไมดตี อสขุ ภาพ” 2. ขอปฏิเสธ “ขอไมไปนะเพื่อน” 3. การขอความเหน็ ชอบ “เธอคงเขาใจนะ” 4. ถกู เซา ซี้ หรอื ถกู สบประมาท “ไมล องดีกวา เราขอกลบั กอนนะ” “ฉันคิดวา เรากลบั บานกันเลยดกี วา ” 4.1 การปฏเิ สธซํา้ “แดงคิดวา เราควรรอไปอีกสักระยะหนึ่ง เมือ่ เราทงั้ สอง 4.2 การตอรอง พรอ มท่จี ะรับผดิ ชอบครอบครวั คอยคิดเรือ่ งน”้ี 4.3 การผดั ผอ น สถานการณท่ชี วนไปเท่ยี วซอง ชัยเปน ผชู วน ยุทธเปน ผูปฏิเสธ ชัย : วันนกี้ นิ ขาวเย็นแลว ไปเทยี่ วอยา งวากนั นะ ยทุ ธ : เราไมช อบสถานทอี่ ยา งน้ัน กลัวติดโรคดว ย ขอไมไ ปนะเพอื่ น ชยั : เราไปหลายหนไมเหน็ เปนอะไรเลย ชกั สงสัยแลววา นายเปนผชู าย เตม็ รอยหรือเปลา ชวนท่ีไรไมไ ปสกั ที ยทุ ธ : ไมละ เอาไวค ราวหลงั พวกนายไปเท่ยี วทีอ่ น่ื เราจะไปดว ย คร้ังน้ีขอตวั กอนนะ ขอบใจมากทช่ี วน ในเรอ่ื งความรัก ผูหญิงเมื่อมีความรัก จะมีความรูสึกชอบ หรือรัก ตองการความรัก ความอบอุน ความใกลชิดผูกพันทางใจ ไมคาดคิดวาฝายชายตองการอะไรจากความใกลชิด จึงขาด ความระมดั ระวงั อาจเผลอตัวเผลอใจไปตามท่ีฝายชายตองการ เปนคานิยมของชาย โดยถือเปนเร่ือง ปกติท่ีจะมีเพศสัมพันธกับหญิงบริการ หรือคนรักเพื่อปลดเปลื้องความใคร เพราะเมื่อผูชายรัก หรือ ชอบผูหญิงมักจะตอ งการผกู พันทางกาย คือ ความรัก ความใคร เมื่อผูชายตองการผูกพันทางกายก็จะ คดิ หาวธิ กี ารตาง ๆ เพอ่ื ทาํ ใหเกิดพฤติกรรมที่จะนาํ ไปสูส ิ่งทต่ี นตองการ โดยคิดวาฝายหญิงก็ตองการ เชนกนั การมีเพศสัมพันธครั้งแรก ฝายหญิงไมไดมีความสุขทางเพศอยางที่ฝายชายเขาใจ ตรงกันขามจะมคี วามวิตกกังวล กลัวต้ังครรภ กลัวแฟนจะทอดทิ้ง หรือดูถูก กลัวเพื่อนรู กลัวพอแม เสยี ใจ แตฝ ายชายจะมคี วามสขุ ทางเพศ และภูมิใจท่ีไดเปนเจาของ การมีเพศสัมพันธในคร้ังตอ ๆ มา ฝายหญงิ มักจะยินยอมเพราะความรกั ความผูกพัน ความกังวล กลัวถูกทอดท้ิงหากไมยอม แตฝายชาย

184 ถอื เปน เรื่องปกติ เปน การหาความสุขรวมกัน ปญหาท่ีตามมาคือ การตั้งครรภ หรือโรคตาง ๆ ฉะน้ัน การคบเพอื่ นตางเพศ ผหู ญิงควรปฏิบตั ติ นอยางไรบา ง เชน - ไมค วรอยูด วยกนั ตามลาํ พังสองตอ สองในทลี่ ับตา เพราะความใกลชิดสามารถไปสู การมเี พศสัมพนั ธได - ผูห ญิงควรแตง กายมิดชิด ไมแตง กายลอแหลม - ผูหญิงควรระมัดระวังตัวขณะอยูใกลชิดกับเพ่ือนตางเพศ ควรรักนวลสงวนตัว ระวงั การสมั ผัส หรือถูกเนอ้ื ตองตวั สาํ หรับผชู าย เมือ่ มีโอกาสอยกู ันตามลําพังสองตอสองควรยับย้ังช่ังใจ และไมคิดหา วิธตี า ง ๆ ท่ีจะทาํ ใหเ กดิ พฤติกรรมท่จี ะนําไปสสู ่ิงทต่ี นตอ งการ โดยคาดคิดเอาเองวา ฝา ยหญงิ ก็ตอ งการ เชนเดียวกับตน ตวั อยางการสื่อสารดวยการปฏเิ สธ ปจจบุ นั ปญหาการมีเพศสัมพันธก อนวยั อันควร ลกุ ลาม รุนแรงถึงขั้นเปนปญหาการ ต้งั ครรภท ี่ไมพ ึงประสงคเพมิ่ สูงขึ้นในกลมุ วยั รนุ วยั เรียน ทาํ ใหต องออกกลางคัน หรือแอบไปทําแทง จนทาํ ใหเ กดิ อันตรายถงึ แกชวี ติ เปนจํานวนมาก ดงั น้นั เร่ืองท่ีพอแมไมอ ยากใหเ กดิ เรื่องหนึ่งคือ ไมอยากใหลูกมี “เซ็กส” กอนวัยอัน ควร อยากใหเ รียนหนังสอื จบ ใหเ ปนผูใ หญท่รี บั ผิดชอบตวั เองไดมากกวา น้ี แตขาวเดก็ วัยรนุ ตอนนี้ก็ออกมามากเหลอื เกนิ วา เหน็ เรื่อง “เซ็กส” เปนเร่ืองธรรมดา ไมเห็นจะเสยี หายตรงไหน บางคนเปลย่ี นคเู ปน วาเลน บางคูกเ็ ชาหอพักอยดู ว ยกัน เชาไปเรียนดวยกัน เยน็ กลับมานอนดว ยกนั พอแมอ ยตู า งจงั หวดั ไมรูเร่อื ง คดิ วา ลกู คงตงั้ ใจเรยี นอยา งเดยี ว ทีไ่ หนได เร่ืองน้ีพอ แมจ ะทาํ เฉยไมไ ดแ มลกู เราจะเปนเดก็ เรยี บรอย ยังไมมีทีทาวาจะสนใจเพศ ตรงขา มก็ตาม พอ แมกต็ อ งชวนคยุ เมื่อมีโอกาส หากพอแมลูกดูโทรทัศนดวยกัน จะมีฉากอยางวาใน ละครไทยอยูหลายเร่ือง เชน พระเอกเสียทีนางราย หรือนางเอกใจออนยอมพระเอกกอน แตสุดทาย ไมไดแ ตงงานกนั พอแมก็ถือโอกาสน้ีชวนลูกคุยเสียเลย ไมวาจะเปนลูกชาย หรือลูกสาวก็ตองระวัง เรื่องนีด้ ว ยกนั ท้ังนั้น ซงึ่ อาจแนะนําลกู ดงั น้ี อยา อยกู ันตามลาํ พงั สองตอสองในที่ลับตาคน แมอีกฝายจะชวนก็ไมตองตามใจ ให รูจักปฏเิ สธ  ถา ดูแลว อกี ฝา ยจะผกู มัดโดยอางวา “รกั จรงิ หวงั แตง” หรอื อะไรกแ็ ลวแต ท่จี ะสรรหามาพร่าํ พรรณนา ตองใหลูกเราพดู กบั อีกฝายแบบเปดใจ เปดเผย ดวยทาทีที่ม่ันใจวา “ไม ตอ งการใหม อี ะไรกนั เกนิ เลยกวาน้ี เพราะเรายังเด็กยังไมสมควร” หรือ “ยังไมพรอม” แมวาเราจะรัก เขามากก็ควรคบกนั แคเปน แฟนกอ น เวลายังมีอีกยาวนาน ใครจะรวู า คนน้ีใชค ูแทห รือไม  ตองรจู กั หลีกเล่ยี ง หรอื กลาปฏเิ สธท่จี ะมเี พศสมั พันธ ถาอีกฝายยงั ต้ือ

185 ตอ งใหร จู กั เอาตวั รอดใหได  ใหเ บ่ยี งเบนความสนใจของอีกฝา ยไปยงั เรือ่ งอื่น เชน อาจชวนไปเลน กีฬา หรอื ชวนคยุ ในเรอื่ งท่คี ดิ วา อีกฝา ยจะหยดุ ฟง  ถา อกี ฝายยงั ไมย อมฟง เหตผุ ล โดยอาจจะมีขอ อางวา “ถา ไมยอม แสดงวา ไมรกั จริง” หากถงึ ขนั้ นลี้ ะกอ ตองใหลกู คิดใหมแ ลววา ควรจะคบกนั เปนแฟนตอไปอกี ไหม เพราะอีก ฝายคงตอ งพยายามหาโอกาสอกี เรือ่ ย ๆ แลว แนใ จไหมวา ลกู จะไมใจออ นเขาสกั วัน  ท่ีสาํ คัญ พอแมตองชวนลกู คยุ ถงึ ผลเสียของการมีเพศสมั พนั ธก อนวยั อันควรดว ย 2.2 ทกั ษะการสรางสมั พันธภาพระหวา งบคุ คล คงไดยินคาํ พูดนี้บอย ๆ วา “คนเราอยูคนเดียวในโลกไมได” เราตองพ่ึงพาอาศัยกัน ซ่งึ จะตอ งมีสัมพันธภาพทด่ี ตี อ กนั การที่จะสรา งสัมพนั ธภาพใหเกิดข้นึ ระหวางกนั นัน้ เปน เรือ่ งไมยาก แรกเริม่ คอื 1. มีการติดตอ พบปะกัน เราจะตอ งมีการติดตอพบปะพูดคยุ กบั คนทตี่ องการมีสัมพันธภาพกับเขา ใหเวลากับ เขา ทาํ งานรวมกัน ทํากิจกรรมรวมกนั เลน กีฬาดว ยกนั และในที่สดุ เราก็มโี อกาสสรางมิตรภาพท่ีดีตอ กนั 2. มคี วามสนใจและประสบการณร วมกัน ประสบการณเปนส่ิงท่ีนําคนสองคนใหมารวมมือกัน การชวยเหลือกันในระหวาง การเลาเรียน หรือการทํางานดวยกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน การรวมประสบการณ และ แลกเปล่ยี นประสบการณระหวา งกนั เปนการสรา งมติ รภาพที่ดใี หเกิดข้นึ ได 3. มีทศั นคติและความเชอื่ ที่คลา ยคลงึ กัน ชวงวัยรุนเปนชวงท่ีความคิด ทัศนคติ และความรูสึกอาจมีการเปล่ียนแปลงอยาง รวดเร็ว ถา คนไหนมีความคิดเหน็ คลา ยคลงึ กับเรา เราจะรูส ึกพอใจ แตถาคนไหนมคี วามคดิ แตกตางกบั เรา เราจะรูส กึ ไมพอใจ แตในความเปนจริงตองเขา ใจวา คนสวนใหญไมไดมีความเห็นเหมือนกันทุก เรอ่ื ง แมในคนทเี่ ปน มติ รตอ กนั เพยี งใดก็ตาม จะสรา งสมั พันธภาพท่ีดีไดอ ยางไร การเรยี นรูวิธกี ารสรางสัมพนั ธภาพท่ีดีเปน สาํ คัญ และทุกคนควรจะคนหาเพ่ือใหเกิด มิตรภาพ ดังนี้ 1. ความใสใจ เอาใจใสซ่ึงกันและกัน ดูแลกันทั้งยามสขุ ยามทกุ ข

186 2. ความไวเน้อื เช่อื ใจ การอยูก บั ผูอนื่ อยา งมคี วามสุขเราตองไววางใจในตัวเขา และตองใหเขาไวว างใจในตวั เราดว ย 3. การยอมรับ เราจะตอ งรจู กั ใหก ารยอมรับ และนับถอื คนอืน่ รูจ กั แสดงความ ชืน่ ชม และยนิ ดกี บั ความสาํ เรจ็ ของผอู ื่น 4. การมสี วนรวม และการแบงปน สัมพนั ธภาพทด่ี ีคอื การไดมีสวนรวมแบงปนใน ประสบการณ รจู กั รับฟง ความคิด และยอมรับความจริงจากคนสว นมาก 5. การมีความยืดหยนุ คนทม่ี คี วามยืดหยุนจะเปนคนท่ีสามารถมีความสุข แมจะอยู กบั คนท่ีมีความเหน็ ตา งกนั 6. ความเห็นอกเห็นใจผูอ่ืน การแสดงความเห็นอกเห็นใจ จะทําไดงายถามี สมั พนั ธภาพท่ดี ีตอกนั เพราะจะไมเ กิดความเขาใจผดิ ตอกัน จากการท่คี นเราตอ งมีสมั พันธภาพทดี่ ีกบั ผอู นื่ น้ัน ก็เพ่ือท่ีจะสามารถอยูรวมกับผูอ่ืน ได โดยท่ีไดรับการชวยเหลือจากผูอ่ืนตามสมควร ไมวาจะเปนเพื่อน พอแม พ่ีนอง หรือคน อื่น ๆ โดยเฉพาะการมสี ัมพนั ธภาพที่ดรี ะหวางพอ แมกับลูกวยั รุน เปนสิ่งทีส่ าํ คญั มาก เพอ่ื ลูกจะไดเติบโตเปน ผใู หญทดี่ ี และประสบความสําเรจ็ ในชีวติ ตอไป การสรางสมั พันธภาพดว ยการให  การฝกใหเ ปน ผูเสียสละ หรอื เปนผูใหนน้ั พอแมจะตองสอนลูก หรือเปน ตวั อยา งในการเปน ผูใหเสมอ  การใหโดยทัว่ ไปนั้น เรามกั จะนึกถงึ แตการใหส่งิ ของ หรอื เงนิ ทอง แตค วาม จริงยงั มีส่ิงสําคญั ท่ที กุ คนควรใหแกก นั ไดแ ก การใหร อยย้ิม ใหค วามจริงใจ ใหการชวยเหลือ ให คําชมเชย ใหความเมตตา ใหอภยั ฯลฯ ซึง่ การใหส ิ่งเหลา นไ้ี มต องเสียเงนิ ทองซอื้ หา แตตอ งเปนการให ที่ออกมาจากใจจรงิ จะเปนการสรา งมติ รภาพท่ดี ตี อกัน  ใหน กึ เสมอวา จงเปนผใู หเถิด ใหผ อู ่ืนใหม ากข้นึ รับใหน อยลง จึงจะเปน การ ทาํ ใหครอบครัวเรามคี วามสขุ และสงั คมจะอบอุน เพ่อื ลูกไดซึมซับ และนาํ ไปใชในการเปนผูใหเสมอ กบั เพื่อน ๆ พี่ นอง และคนอนื่ ๆ ท่อี ยรู ว มกนั การฝกใหเ ปน คนนา รกั นา คบหา เคยไดย ินอาจารยท านหนึง่ พูดในรายการโทรทศั นน านมาแลววา “ลูกเราไมวาจะเปน อยา งไร มันก็ดนู ารักไปหมดในสายตาพอแม แตเ ราจะตองสอนลกู เราใหเ ปน คนนา รกั เพื่อท่ีคนอ่ืนเขา จะไดรกั ลกู เราดว ย”

187  พวกเราที่เปน ผใู หญคงเคยเหน็ เด็กประเภทน้ีบา ง เชน - เห็นผใู หญแลวไมไ หว ทําเปน มองไมเหน็ - พดู จาไมเ พราะ หนา บ้งึ ตึง - ไมรูจ กั กาลเทศะ - เอาแตใจตวั เอง - ทาํ ทาอวดดี เด็กท่เี ปน อยางน้ี ผูใหญก จ็ ะมองวา ไมน า รกั เลย บางทีทําใหอดคิดไมไ ดว า พอ แมค งไมมีเวลาสง่ั สอน  สวนในกลุมของเด็กวัยรุนดวยกัน ไดลองถามวาเพื่อนแบบไหนที่ไมอยากคบ ดว ย ก็ไดคาํ ตอบวา - ประเภทท่ีชอบดถู ูกเพ่ือน - เอาเปรยี บไมชวยงานกลมุ - ขี้อิจฉาเพื่อน เหน็ เพ่อื นมดี ีไมไ ด - ชอบพดู ใหค นอืน่ หนา แตก หมอไมร บั เยบ็ - คุยโมโ ออ วดตนเอง และวา คนอ่นื - ชอบแกลงเพอื่ น ถาเปน อยางน้ีเพ่ือนก็ไมอยากคบหาสมาคม และไมอ ยากใหเ ขา รวมกลมุ เพราะเขา ท่ไี หนก็วงแตกกระเจงิ ทุกที จนเพื่อน ๆ เออื มระอา  คนเปน พอแมค งเศรา ใจมาก ถาลูกเรากลายเปนคนนา รงั เกียจที่ไมม ใี คร อยากคบ ดังนัน้ พอแมตอ งพยายามพดู คยุ ยกตวั อยางคนท่ีทําตัวนารัก และคนที่ทําตัวไมนารักให ลูก เห็น เพ่ือเปรียบเทียบ และเอาเปนตัวอยาง ซ่ึงลักษณะของคนนารักน้ัน พระเทพวิสุทธิกวี แหง วัด โสมนสั วิหาร กรุงเทพมหานคร ไดกลาววา คนท่นี า รักยอ มมคี ณุ สมบตั ิ 9 ประการ คอื 1. ไมเ ปน คนอวดดี 2. ไมพ ูดมากจนเขาเบอื่ 3. เปน คนออ นนอ มถอมตน 4. รจู ักผอ นส้ันผอนยาว 5. พดู จาออ นหวาน 6. เปน คนเสยี สละ ไมเ อาเปรียบผูอนื่ 7. เปนคนกตัญกู ตเวที 8. เปนคนไมม นี สิ ยั ริษยา เสยี ดสีผอู ่นื 9. เปนคนมีนสิ ยั สขุ ุมรอบคอบ ไมย กตนขมทาน

188 “พอ แมท ห่ี วังใหลกู เปนทร่ี ักของผใู หญ และเพื่อนฝงู ตองพยายามเพาะนสิ ัย ดงั กลาวใหก บั ลูก กจ็ ะทําใหการอยูรวมกับผูอ่ืนในสังคมเกิดเปนสัมพันธภาพท่ีดีระหวางกันและกัน ทุกคนกจ็ ะมแี ตความสขุ ” 2.3 ทกั ษะการเขาใจผูอืน่ การที่บุคคลจะอยูในครอบครัว อยูในสังคมอยางมีความสุข จําเปนตองรูจักตนเอง และรจู ักผูทต่ี นเกีย่ วขอ งสัมพันธด ว ย ดงั ภาษิตจนี ที่วา “รูเ ขา รูเรา รบรอ ยครงั้ ชนะรอยครั้ง” ดงั นนั้ การทเี่ ราจะทําความรูจักผูอ่นื ซงึ่ เราจะตอ งเกย่ี วขอ งสัมพันธดวย ไมวาจะเปน ภายในครอบครัวของเราเอง หรอื ในสถานศกึ ษา ในสถานทีท่ าํ งาน เพราะเราไมสามารถอยูคนเดียวได ในทกุ ที ทกุ สถานการณ หลกั ในการเขาใจผอู ืน่ มดี ังนี้ 1. ตองคาํ นงึ วาคนทกุ คนมศี กั ดศ์ิ รีความเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา จึงควรปฏิบัติกับ เพอ่ื นมนุษยทุกคนดว ยความเคารพในศกั ดิศ์ รขี องความเปน มนษุ ยเทา เทียมกนั ไมวาจะเปน คนจน คนรวย คนแก เด็ก คนพิการ ฯลฯ 2. บุคคลทุกคนมีความแตกตางกัน ท้ังพื้นฐานความรู ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพ ความเปน อยู ระดบั การศึกษา การปลูกฝงคณุ ธรรม คา นยิ ม ระเบยี บ วินยั ความรับผิดชอบ ฯลฯ ดังนั้น หากเรายอมรับความแตกตา งระหวา งบุคคลดงั กลาว จะทําใหเ ราพยายามทาํ ความเขา ใจเขา และส่ือสาร กับเขาดว ยกิรยิ าวาจาสุภาพ ซึ่งหากยังไมเขาใจเรากจ็ ําเปน ตองอดทน และอธิบายดวยภาษาท่ีเขาใจงาย ไมแ สดงอาการดูถูกดแู คลน หรือแสดงอาการหงุดหงดิ รําคาญ เปน ตน 3. การเอาใจเขามาใสใจเรา บุคคลท่ัวไปมักชอบใหคนอื่นเขาใจตนเอง ยอมรับ ใน ความตองการ ควรเปน ตัวตนของตนเอง ดงั นั้นจึงมักมคี ําพูดตดิ ปากเสมอ เชน ฉันอยา งน้นั ฉันอยาง นี้ ทาํ ไมเธอไมท าํ อยา งนน้ั ทําไมเธอไมทาํ อยางนี้ ทาํ ไมเธอถึงไมเ ขาใจฉัน ฯลฯ ซึ่งเปนการเอาใจเรา ไปยดั เยียดใสใจเขา และมกั ไมพ ึงพอใจในทุกเรือ่ ง ทุกฝา ย ท้ังนใี้ นดา นกลบั กัน หากเราคดิ ใหม ปฏิบัติ ใหม โดยพยายามทาํ ความเขาใจผอู ืน่ ไมวาจะเปน พอ แมเขา ใจลูก หรือลูกเขา ใจ พอแม เพือ่ นเขาใจ เพื่อน โดยการทําความเขาใจวา เขาหรือเธอมเี หตผุ ลอะไร ทาํ ไมจงึ แสดงพฤติกรรมเชนนั้น เขามีความ ตองการอะไร เขาชอบอะไร ฯลฯ เมื่อเราพยายามเขาใจเขา และปฏิบัติใหสอดคลองกับความชอบ ความตอ งการของเขาแลว ก็จะทําใหการอยูรวมกัน หรือการทํางานรวมกันเปนไปดวยความราบร่ืน และแสดงความสงบสนั ติสุขในครอบครัว ชุมชน และสงั คม 4. การรับฟงผูอ่ืน การท่ีเราจะเขาใจผูอื่นไดดีหรือไม ขึ้นอยูกับวาเรารับฟงความ คดิ เหน็ ความตองการของเขามากนอ ยเพียงใด บคุ คลท่ัวไปในปจจุบันไมชอบฟงคนอ่ืนพูด แตชอบที่ จะพดู ใหค นอนื่ ฟง และปฏบิ ัติตาม ดงั น้นั สิง่ สาํ คญั ท่ีเปน พ้ืนฐานที่จะทําใหเราเขาใจผูอื่นก็คือ ทักษะ การฟง ซงึ่ จะตอ งเปนการฟงอยา งต้งั ใจ ไมขดั จงั หวะ หรือแสดงอาการเบ่ือหนาย และควรแสดงกิริยา

189 ตอบรบั เชน สบตา ผงกศรี ษะ ทั้งน้ี การฟงอยางตง้ั ใจ จะทําใหเรารับทราบความคดิ ความตอ งการ หรอื ปญหาของผูท่ีเราเกี่ยวของดวย ไมวาจะเปนในฐานะลูกกับพอแม พอแมกับลูก นายจางกับลูกจาง หวั หนา กบั ลูกนอ ง ฯลฯ ซึง่ จะทําใหเ ราเกดิ อาการเขา ใจ และสามารถแกป ญ หาไดอ ยา งถูกตองในทส่ี ุด กจิ กรรม 1 ใหผ เู รยี นยกตัวอยาง วธิ กี ารสือ่ สารกบั พอแม และหัวหนางาน หรอื ลูกนอ ง ดังนี้ 1. การสอ่ื สารกบั พอ แม กรณขี อไปเท่ยี วคา งคืนตา งจงั หวดั .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... ................................................. ...................................................................................................................................................... 2. การสอื่ สารกบั หัวหนา งาน หรือลกู นอ ง กรณขี อข้นึ เงินเดือน หรือลดโบนัส .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... ................................................. ..................................................................................................................................................... กิจกรรม 2 ถา ทานมีลูกวัยรุนท่กี ําลังมีปญหาอกหัก ถูกแฟนบอกเลกิ ทานจะมีแนวทางชวยเหลือ ลูกอยางไร โดยใชท ักษะการสื่อสาร การสรา งสมั พันธภาพ และทักษะการเขา ใจผอู นื่ .................................................................................................... ................................................. ...................................................................................................................................................... .................................................................................................... ................................................. ....................................................................................................................... .............................. .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... .................................................

190 บทท่ี 10 อาชีพแปรรูปสมนุ ไพร สมุนไพรกบั บทบาททางเศรษฐกจิ สมุนไพร หมายถึง พืชท่ีมีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บปวยตาง ๆ การใช สมุนไพรสําหรบั รกั ษาโรค หรอื อาการเจ็บปวยตา งๆ น้ี จะตอ งนาํ เอาสมนุ ไพรตง้ั แตสองชนดิ ขนึ้ ไปมา ผสมรวมกันซ่งึ จะเรยี กวา ยา ในตาํ รบั ยา นอกจากพืชสมนุ ไพรแลว ยังอาจประกอบดว ยสัตวและแรธ าตุ อีกดวย เราเรียกพืช สัตว หรือแรธาตุท่ีเปนสวนประกอบของยานี้วา เภสัชวัตถุ สมุนไพรเปนสวน หนง่ึ ในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหงชาติ กระทรวงสาธารณสุขไดดําเนิน โครงการ สมุนไพร กับสาธารณสขุ มูลฐาน โดยเนน การนําสมนุ ไพรมาใชบาํ บดั รักษาโรคใน สถานบริการสาธารณสขุ ของ รฐั มากข้นึ และ สง เสรมิ ใหป ลูกสมุนไพรเพ่ือใชภ ายในหมูบานเปน การสนบั สนนุ ใหมีการใชสมนุ ไพร มากย่ิงข้ึน อันเปนวิธีหน่ึงที่จะชวยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการสั่งซ้ือยาสําเร็จรูปจาก ตางประเทศไดปล ะเปนจาํ นวนมาก การผลิตสมนุ ไพรในรปู แบบการประกอบอาชพี ปจจุบันมีผูพยายามศึกษาคนควาเพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑสมุนไพรใหสามารถนํามาใชใน รปู แบบท่ีสะดวกยงิ่ ขน้ึ เชน นาํ มาบดเปนผงบรรจุแคปซูล ตอกเปนยาเม็ด เตรียมเปนครีมหรือยาขี้ผ้ึง เพื่อใชทาภายนอก เปนตน ในการศึกษาวจิ ัยเพ่ือนาํ สมุนไพรมาใชเ ปน ยาแผนปจจบุ ันน้ัน ไดมีการวิจัย อยางกวางขวาง โดยพยายามสกัดสารสําคัญจากสมุนไพรเพ่ือใหไดสารที่บริสุทธิ์ ศึกษาคุณสมบัติ ทางดานเคมี ฟสิกสของสารเพื่อใหทราบวาเปนสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ดานเภสัชวิทยาใน สตั วทดลองเพ่อื ดใู หไ ดผ ลดีในการรกั ษาโรคหรือไมเพียงใด ศึกษาความเปนพิษและผลขางเคียง เมื่อ พบวา สารชนดิ ใดใหผ ลในการรักษาที่ดี โดยไมม ีพษิ หรือมพี ิษขางเคียงนอ ยจึงนําสารนน้ั มาเตรียมเปน ยารปู แบบท่เี หมาะสมเพื่อทดลองใชตอไป การแปรรปู สมุนไพรเพอ่ื การจาํ หนาย สมุนไพรถูกนาํ มาใชสารพัดประโยชน และถูกแปรรูปออกมาในแบบตาง ๆ เพอ่ื การจําหนา ย ซ่ึงสามารถนํามาใชประกอบอาชีพ ทั่งอาชีพหลัก ละอาชีพเสริมได สิ่งสําคัญท่ีสุดของการแปรรูป สมุนไพร คือ การปรงุ สมุนไพร การปรุงสมุนไพร หมายถึง การสกัดเอาตัวยาออกมาจากเน้ือไมยา สารที่ใชสกัดเอาตัวยา ออกมาท่นี ิยมใชกัน ไดแ ก นํ้าและเหลา สมนุ ไพรท่นี าํ มาปรุงตามภมู ิปญ ญาดง้ั เดิมมี 7 รปู แบบ คือ

191 1.การตม เปนการสกดั ตัวยาออกมาจากไมยาดวยน้ํารอน เปนวิธีที่นิยมใชมากที่สุด ใชกับ สวนของเนื้อไมท แี่ นนและแข็ง เชน ลาํ ตนและราก ซ่ึงจะตองใชการตมจึงจะไดตัวยาที่เปนสารสําคัญ ออกมา ขอ ดีของการตม คือ สะอาด ปลอดจากเชื้อโรค มี 3 ลักษณะ การตมกินตางนํ้า คือการตมใหเดือดกอนแลวตมดวยไฟออน ๆอีก 10 นาที หลังจากนั้น นํามากนิ แทนนาํ้ การตมเคีย่ วคอื การตม ใหเดือดออ น ๆ ใชเ วลาตม 20-30 นาที การตม 3 เอา 1 คอื การตม จากนํ้า 3 สวน ใหเ หลือเพียง 1 สว น ใชเ วลาตม 30-45 นาที 2.การชง เปน การสกดั ตัวยาสมุนไพรดว ยนํ้ารอน ใชกับสวนท่ีบอบบาง เชน ใบ ดอก ท่ีไม ตองการโดนนํา้ เดอื ดนาน ๆ ตวั ยากอ็ อกมาได วิธีการชง คือ ใหนํายาใสแกวเติมนํ้ารอนจัดลงไป ปด ฝาแกว ทงิ้ ไวจนเยน็ ลักษณะนีเ้ ปน การปลอยตัวยาออกมาเต็มท่ี 3. การใชน้ํามัน ตัวยาบางชนิดไมยอยละลายน้ํา แมวาจะตมเค่ียวแลวก็ตาม สวนใหญยาที่ ละลายนํ้าจะไมละลายในนํ้ามันเชนกัน จึงใชน้ํามันสกัดยาแทน แตเนื่องจากยานํ้ามันทาแลวเหนียว เหนอะหนะ เปอนเส้อื ผา จงึ ไมนิยมปรุงใชกัน 4.การดองเหลา เปน การใชก บั ตวั ยาของสมนุ ไพรทไ่ี มละลายนํ้า แตละลายไดดีในเหลาหรือ แอลกอฮอล การดองเหลามักมกี ล่ินแรงกวายาตม เนื่องจากเหลามีกลิ่นฉุน และหากกินบอย ๆอาจทํา ใหต ิดได จึงไมนิยมกนิ กนั จะใชตอ เมื่อกินยาเมด็ หรอื ยาตม แลวไมไดผล 5.การตม ค้ันเอานํา้ เปนการนําเอาสวนของตนไมที่มีน้ํามาก ๆ ออนนุม ตําแหลกงาย เชน ใบ หัว หรือเหงา นํามาตําใหละเอียด และค้ันเอาแตนํ้าออกมา สมุนไพรที่ใชวิธีการน้ีกินมากไมได เชนกัน เพราะน้ํายาที่ไดจะมีกลิ่นและรสชาติที่รุนแรง ตัวยาเขมขนมาก ยากท่ีจะกลืนเขาไปท่ีเดียว ฉะนนั้ กินครงั้ ละหนึ่งถวยชากพ็ อแลว 6.การบดเปน ผง เปนการนําสมุนไพรไปอบหรือตากแหงแลวบดใหเปนผง สมุนไพรท่ีเปน ผงละเอยี ดมากย่งิ มสี รรพคณุ ดี เพราะจะถูกดูดซึมสูลําไสงาย จึงเขาสูรางกายไดรวดเร็ว สมุนไพรผง ชนดิ ใดท่กี นิ ยากก็จะใชปนเปนเม็ดท่ีเรียกวา \"ยาลูกกลอน\" โดยใชน้ําเชื่อมน้ําขาวหรือน้ําผ้ึง เพื่อให ตดิ กันเปนเมด็ สวนใหญนยิ มใชนํ้าผึ้งเพราะสามารถเกบ็ ไวไ ดน านโดย ไมข ึ้นรา 7.การฝน เปนวิธีการที่หมอพื้นบานนิยมกันมาก วิธีการฝน คือ หาภาชนะใสน้ําสะอาด ประมาณครงึ่ หน่งึ แลว นําหินลับมดี เล็ก ๆ จมุ ลงไปในหินโผลเหนือนํ้าเล็กนอย นําสมุนไพรมาฝนจน ไดนาํ้ สีขนุ เล็กนอย กนิ ครั้งละ 1 แกว

192 อยางไรกต็ าม การแปรรปู ผลติ ภณั ฑส มนุ ไพร ควรแปรรปู ในลักษณะอาหารหรือเครื่องใชท่ี ไมจดั อยใู นประเภทยารกั ษา คือไมมสี รรพคุณในการรักษาหรือปองกัน บรรเทา บําบัดโรค เน่ืองจาก ผลิตภณั ฑประเภทยาจะตองผา นการตรวจสอบท่ีมมี าตรฐานสูงและถกู ตอง มผี ชู าํ นาญการทม่ี คี ณุ วฒุ ใิ น การดําเนินการดว ย ลกั ษณะของผูท จี่ ะประกอบอาชพี ผลิตภณั ฑสมุนไพรในการปรุงผลิตภัณฑจากสมุนไพร ผู ปรงุ จาํ เปน ตอ งรูหลักการปรงุ ผลติ ภัณฑจากสมนุ ไพร 4 ประการคอื 1. เภสัชวัตถุ ผูปรุงตองรูจักชื่อ และลักษณะของเภสัชวัตถุท้ัง 3 จําพวก คือ พืชวัตถุ สัตว วัตถุ และธาตุวัตถุ รวมทง้ั รูป สี กลิ่นและรสของเภสชั วตั ถุนั้นๆ ตัวอยางเชน กะเพราเปนไมพุมขนาด เล็ก มี 2 ชนิด คือ กะเพราแดงและกะเพราขาว ใบมีกลิ่นหอม รสเผ็ดรอน หลักของการปรุงยาขอน้ี จําเปนตองเรยี นรจู ากของจริง 2. สรรพคุณเภสัช ผูปรุงตองรูจักสรรพคุณของยา ซึ่งสัมพันธกับรสของสมุนไพรเรียกวา รสประธาน แบงออกเปน 2.1 สมนุ ไพรรสเยน็ ไดแก ยาที่ประกอบดวยใบไมที่รสไมเผ็ดรอนเชน เกสรดอกไม สัตว เขา (เขาสัตว 7 ชนิด) เนาวเขย้ี ว (เข้ยี วสตั ว 9 ชนิด) และของที่เผาเปนถาน ตัวอยางเชน ยามหานิล ยา มหากาฬ เปนตน ยากลุมน้ีใชสําหรับรกั ษาโรคหรอื อาการผิดปกติทางเตโชธาตุ (ธาตไุ ฟ) 2.2 สมุนไพรรสรอน ไดแก ยาท่ีนําเอาเบญจกูล ตรีกฎก หัสคุณ ขิง และขามาปรุง ตัวอยางเชน ยาแผนโบราณท่ีเรียกวายาเหลืองทั้งหลาย ยากลุมน้ีใชสําหรับรักษาโรคและอาการ ผดิ ปรกตทิ างวาโยธาตุ (ธาตลุ ม) 2.3 สมุนไพรรสสุขมุ ไดแก ยาที่ผสมดว ย โกฐ เทยี น กฤษณา กระลําพกั ชะลดู อบเชย ขอนดอก และแกน จันทนเ ทศ เปน ตน ตัวอยา งเชน ยาหอมทั้งหลาย ยากลมุ นใี้ ชร กั ษาความผดิ ปรกติ ทางโลหิต นอกจากรสประธานของสมนุ ไพรดงั ท่ีกลาวน้ีเภสัชวัตถยุ งั มรี สตา งๆ อีก 9 รสคอื รสฝาด รส หวาน รสเบอื่ เมา รสขม รสมนั รสหอมเย็น รสเค็ม รสเปรี้ยว และรสเผ็ดรอน ในตําราสมุนไพรแผน โบราณบางตําราไดเพม่ิ รสจืดอีกรสหน่งึ ดว ย 3. คณาเภสัช ผูปรุงสมุนไพรตองรูจักเครื่องสมุนไพรที่ประกอบดวยเภสัชวัตถุมากกวา 1 ชนิด ท่ีนํามารวมกันแลว เรยี กเปน ช่อื เดียว ตวั อยา งเชน ทเวคนั ธา หมายถึงเคร่อื งสมุนไพรท่ีประกอบดว ยเภสัชวตั ถุ 2 ชนิด คอื รากบนุ นาค และ รากมะซาง