143 เร่ืองที่ 1 การปองกันอันตรายจากการประกอบอาชีพ สุขภาพกบั การประกอบอาชีพมีความสัมพันธกนั อยา งมาก คอื 1. การประกอบอาชีพทําใหเรามีความเปนอยูที่ดีและในขณะเดียวกันการที่เราจะ สามารถประกอบอาชีพไดจ ําเปน ตองมีสขุ ภาพทดี่ ีทง้ั รางกายและจติ ใจ ทัง้ สองสิง่ นีต้ องควบคกู นั ไปจึง จะทํางานไดอยา งมีประสิทธภิ าพ 2. ความสัมพันธในทางลบ คอื การประกอบอาชพี สง ผลเสยี ตอสุขภาพ ทําใหเ กดิ โรค และอนั ตรายได ดงั นัน้ จึงจาํ เปนทตี่ องควบคมุ และปอ งกนั โรค รวมทัง้ อันตรายจากการประกอบอาชีพ นอกจากนคี้ วรใหก ารศึกษาแกประชาชนใหประกอบอาชีพไดอยา งปลอดภัย ปจจยั ทเ่ี ปน สาเหตขุ องการเกิดโรคและอันตรายจากการประกอบอาชีพ ปจจัยท่ีสาํ คัญไดแ ก 1. บุคคลผูป ฏบิ ตั งิ านและควบคมุ การทาํ งาน เปนผูควบคมุ กาํ หนด และปฏิบัติการทาํ ส่งิ ตา ง ๆ องคป ระกอบตาง ๆ ของบคุ คลท่สี ง ผลใหเกดิ โรคหรอื อนั ตรายจากการทํางาน ไดแ ก 1.1 สภาวะทางรางกายและจิตใจ รางกายและจิตใจออนแอทําใหเกิดโรคหรือ อันตรายได 1.2 ลักษณะนิสัยการทํางาน ตองรักการทํางาน ละเอียด รอบคอบ จึงจะไมเกิด โรคหรืออนั ตราย 1.3 การขาดความรูความสามารถในการทาํ งานและประสบการณก็เปนอีกปจจัย หน่งึ ทีท่ ําใหเ กดิ โรค 2. สภาพแวดลอมทางกายภาพ ไดแก สถานทท่ี ํางาน แสง เสียง ฯลฯ 3. สารเคมี เปน ส่ิงทมี่ ีประโยชนแ ละโทษในการประกอบอาชพี 4. เชอื้ โรคและพษิ ของเชอ้ื โรค เมือ่ เขาสรู างกายอาจเกิดอนั ตรายได 5. เคร่ืองจักร เคร่อื งมอื และในการทาํ งาน หากใชอยา งไมถ กู ตอ ง อาจเกดิ อนั ตรายได
144 สภาพการณท ี่ไมป ลอดภัย (Unsafe Conditions) เครื่องจกั ร : ไมม อี ปุ กรณปองกนั สวนทีเ่ คลือ่ นไหว หรือมไี มเพียงพอ เคร่ืองมือ : อปุ กรณช ํารุด เปนอันตราย สิ่งของ : วสั ดุ วางไมเปนระเบยี บ อาคาร : ส่ิงปลูกสรางไมมัน่ คง สารเคมี : วตั ถุมพี ษิ ไมมีทเ่ี กบ็ โดยเฉพาะ สภาพ ความรอ น ความเยน็ แสงสวาง เสียงดัง ฝุนละออง ไอระเหย ฯลฯ การกระทําทไ่ี มป ลอดภยั (Unsafe Acts) เดนิ เครอ่ื งจกั รหรือทาํ งานที่ไมใ ชหนา ทีข่ องตน หรือไมร ูงาน เดินเครือ่ งเรว็ เกินควร ถอดอุปกรณป อ งกนั อันตรายออก ใชเ ครอ่ื งมอื ไมถูกวิธี ไมเ หมาะสม หรอื ไมปลอดภยั ทาปฏบิ ัตงิ านไมเหมาะสม ไมใ ชอ ปุ กรณป องกันสวนบุคคล ประมาท มกั งา ย หรือหยอกลอ กนั ในขณะทํางาน จงใจฝา ฝนกฎระเบยี บ อน่ื ๆ 1.1 ความปลอดภยั ท่วั ไปในบรเิ วณโรงงาน ขอพงึ ปฏิบตั ิเพอ่ื ความปลอดภยั ในโรงงาน 1. หา มสูบบหุ รีใ่ นบรเิ วณโรงงาน ยกเวนบรเิ วณท่อี นุญาตใหส ูบได 2. หามท้ิงกนบหุ รล่ี งบนพนื้ ตอ งทิง้ ลงในภาชนะทจ่ี ดั ไวใ หเทาน้ัน 3. หามนําไมข ีดไฟ หรอื ไฟแชค็ ชนดิ จงั หวะเดียวเขา ไปในบริเวณท่ีหามสูบบหุ ร่ี 4. หา มหงุ ตม อาหารในบรเิ วณท่ีหามสูบบุหรี่ 5. หา มนําอาหารหรือเครื่องดืม่ เขา ไปในบริเวณทผ่ี ลิตสารเคมอี ันตรายและคลงั พสั ดุ 6. หา มเกบ็ เสื้อผา รองเทา หมวก ถงุ มือ และของใชสว นตัวอื่น ๆ ไวในท่ีตามใจชอบ ใหจดั เกบ็ ไวในตูทีจ่ ัดไวใหเทาน้ัน 7. หามบวนนาํ้ ลายลงบนพื้นโรงงาน หรอื ในบรเิ วณท่ที ํางาน 8. ใหท ง้ิ ขยะมูลฝอยในถังท่จี ดั ไวไหเทานั้น 9. ควรรักษาความสะอาดของเคร่ืองใชประจําตัวอยา งสมาํ่ เสมอ
145 10. ตอ งสวมเสือ้ ผา รองเทา ใหเรยี บรอ ยตลอดเวลาทที่ ํางานในโรงงาน และสวม หมวกพรอ มทง้ั อุปกรณปอ งกนั อันตรายอน่ื ๆ ท่จี าํ เปน เมื่อทํางานในโรงงาน 11.หากมอี ุบัตเิ หตเุ กิดขึ้น ใหรายงานตอผูบงั คับบัญชาทนั ที 12.หากรูส ึกเจบ็ ปว ยในเวลาทํางานใหร ีบรายงานตอผูบังคบั บัญชาเพอ่ื จะไดทําการ รักษาพยาบาลทันที 13.ใหเ ดินตามทางทจ่ี ัดไวใ นโรงงาน อยา ว่งิ เมือ่ ไมม ีเหตุจาํ เปน 14.จัดเกบ็ และเรียงสิ่งของใหเ ปน ระเบียบ เพ่ือใหมีทางเดินหรอื ทาํ งานไดสะดวกและ ปลอดภัย 15. หามเลน เยา แหย หรือหยอกลอกันในบริเวณท่ที าํ งาน 16. หา มฝกขับขี่ยานพาหนะในบริเวณโรงงาน 17. ตอ งเรียนรูถงึ วธิ ีการดบั เพลิงและการใชอ ปุ กรณด บั เพลงิ ประเภทตา ง ๆ การใชแ ละเกบ็ รกั ษาเครอ่ื งมอื อปุ กรณการทาํ งาน 1. ใหเก็บเครอ่ื งมอื และอุปกรณตาง ๆ ใหเ ปน ระเบียบเรียบรอยและเก็บรักษาใหอยู ในสภาพท่ีดี เมอ่ื จะใชห รอื เตรยี มจะใช ตองวางไวใ นทีท่ ี่ไมเปนอันตรายแกบุคคลอ่ืน 2. ในขณะปฏิบัตงิ านบนที่สูงหามวางเคร่ืองมือหรืออุปกรณอื่นใดบนนั่งรานแทน บนั ได หรือทสี่ ูง เวน แตจ ะไดม ีทเ่ี กบ็ ไวไ มใหต ก 3. เคร่ืองมือไฟฟาชนิดมือถือหรือชนิดเคลื่อนยายได และไมมีฉนวนหุมสองช้ัน จะตอ งมสี ายไฟฟาชนดิ สามสายและปลกั๊ ทีต่ อไปยังสายดนิ 4. ผูป ฏิบตั งิ านทุกคนเม่อื พบเห็นเครอ่ื งมือเคร่ืองใช หรืออุปกรณซ่ึงถาปลอยท้ิงไว อาจกอใหเ กดิ อันตราย หรือพบเหน็ เครื่องมืออปุ กรณที่ใชปองกันอันตรายน้ันไมไดมาตรฐาน ใหแจง ผบู งั คบั บญั ชาทราบโดยทันที 5. ในการปฏบิ ัตงิ านแตละครงั้ หา มผปู ฏบิ ตั ิงานใชเ ครอ่ื งมอื ทชี่ ํารุดบกพรอง การใชอปุ กรณย กยายสิ่งของ 1. อุปกรณยกของจะตอ งไมบ รรทุกน้ําหนักเกินกวามาตรฐานการใชงานท่ีกําหนด ไว 2. ผูป ฏิบตั งิ านทีท่ าํ งานเก่ยี วกบั อปุ กรณยกของจะตองสวมเครื่องปอ งกันอันตรายท่ี เหมาะสมกบั งาน เชน หมวกนิรภัย รองเทานิรภัยและถงุ มือนริ ภยั ฯลฯ 3. การทํางานเกีย่ วกบั อปุ กรณยกของจําเปน ท่ีจะตองมกี ารประสานงานกับเจาหนา ท่ี คนอนื่ ทท่ี าํ งานอยใู นบริเวณเดียวกนั 4. ผูใชปนจ่ัน กวาน และเครน จะตองเปนผูท่ีมีหนาที่และไดรับอนุญาตจาก ผบู ังคบั บัญชาแลว เทา นัน้
146 5. กอนทาํ การใชป นจน่ั กวาน และเครนในแตล ะวัน ผใู ชจ ะตอ งตรวจสอบใหแ นใจ วาปนจัน่ กวาน และเครนอยใู นสภาพทเ่ี หมาะสมกับการใชงานและสามารถใชงานไดอยางปลอดภัย เชน ตรวจหารอยรา ย รอยแตก การหลุดหลวมของนอตระบบไฮดรอลิกส ระบบควบคุมการทํางาน สมอ เกีย่ ว โซ และเชอื ก เปนตน 6. ผูใชปนจนั่ จะตองไมยกของหนกั ขามศีรษะบคุ คลอ่นื นอกจากหัวหนางานจะส่ัง และผูปฏิบัติงานที่ทํางานอยูใกล ๆ หรืออยูใตอุปกรณยกของนั้น จะตองระมัดระวังส่ิงของตกลงมา ตลอดเวลา 7. ในขณะทป่ี นจนั่ หรือเคร่อื งยกอ่นื ๆ กาํ ลงั ยกของคา งอยู ผใู ชจ ะตอ งเอาใจใสและ ควบคมุ อยางดี 8. ในการปฏิบัติงาน ผูใชปน จนั่ หรือเครือ่ งยกอ่ืน ๆ ตอ งดูสัญญาณจากพนักงานผูมี ความรูค วามชาํ นาญ และมีหนา ที่ในเรอ่ื งน้ีแตเ พยี งผูเดยี วเทานั้น 9. เม่ือใชปนจั่น กวาน และเครนในบริเวณที่มีสายไฟหรืออุปกรณไฟฟาที่มี กระแสไฟฟาไหลผานอยู ผใู ชจ ะตอ งไมนาํ สวนหนึ่งสว นใดของปนจัน่ กวาน และเครนซ่ึงไมมีเคร่ือง ปอ งกันเขาใกลส ายไฟหรอื อปุ กรณไ ฟฟา นอ ยกวา ระยะทีก่ ฎหมายกาํ หนดไว 10. สลิงที่ใชกับเคร่ืองยกตาง ๆ จะตองเปนชนิดที่ทําดวยลวด โซเหล็ก หรือเชือก มะนลิ า 11. สลิงทุกเสนจะตองมีความแข็งแรงพอที่จะรับนํ้าหนักไดไมนอยกวา 8 เทาของ สง่ิ ของทจี่ ะยก 12. กอ นท่ีจะใชส ลงิ จะตอ งตรวจดูใหละเอียดถีถ่ ว นวาจะใชไดอ ยางปลอดภยั หรือไม หา มใชสลงิ ทหี่ งกิ งอหรือมีเสนเกลียวขาดจนทาํ ใหค วามแขง็ แรงนอ ยกวาทก่ี าํ หนดไวใ นขอ 11 13. เมื่อจะใชสลิงยกของที่มีขอบแข็งคม จะตองใชไมหรือสิ่งรองรับอื่น ๆ ที่ เหมาะสมรองกันไวไ มใหส ลิงชาํ รดุ เสยี หาย การใชเ ครือ่ งกลงึ 1. หา มวางเครือ่ งมอื หรือวัตถตุ า ง ๆ ไวบ นแทน เลื่อนของเครอื่ งกลึง เวนแตเคร่ืองมือ ทจี่ าํ เปน ตอ งใชในงานทีก่ าํ ลังทาํ อยเู ทานน้ั 2. จะตอ งจดั หาลงั ถงั หรือภาชนะอน่ื ๆ ท่ีเหมาะสมไวส ําหรับใสเศษวตั ถุ 3. ผูปฏิบัติงานทุกคนท่ีปฏิบัติงานกับเครื่องจักรกลจะตองสวมแวนตานิรภัยเพื่อ ปอ งกันอนั ตรายซึงอาจเกิดข้นึ กับดวงตา และตองใชแ ผนปดหนาอกท่ีทําดวยผาท่ีมีสวนประกอบของ ใยสังเคราะหนอ ยทส่ี ุด เพอื่ ปอ งกนั เศษโลหะท่ีรอ น ซ่งึ อาจจะกระเด็นถูกผิวหนงั หรือเส้อื ผา ทสี่ วมใส 4. หา มวดั ขนาดช้ินงานขณะท่ีเครอ่ื งกลงึ กําลงั หมุน 5. หา มใชม ือไปจบั เพ่ือดึงเศษโลหะออกจากชิ้นงาน โดยเฉพาะขณะทกี่ าํ ลงั กลึงอยู
147 การใชเคร่ืองขัดหรือหินเจียร 1. จะตองติดตงั้ เคร่อื งขัดหรอื หินเจียรใหยึดแนนกับพื้นโตะหรือฐานอื่น ๆ ท่ีมั่นคง แข็งแรง 2. จะตองมีฝาครอบเคร่ืองขัดเพื่อปองกันไมใหผูปฏิบัติงานไดรับอันตรายจากเศษ โลหะท่กี ระเด็นออกมา 3. จะตองไมตั้งอัตรารอบหมุนของจานขัดเกินอัตรารอบหมุนเร็วท่ีบริษัทผูผลิต กําหนดไว 4. จะตองปรับแผนรองขัด (Work Rest) ใหพอเหมาะโดยใหหางจากจานขัดไมเกิน 1/8 นว้ิ 5. จานขัดท่ีสึกมากจนใชการไดไ มด ี จะตอ งเปล่ียนใหมท ันที 6. จานขัดทชี่ าํ รุดจะตอ งท้งิ ไป อยานาํ กลบั มาใชอีก 7. ผูป ฏบิ ัติงานทีป่ ฏิบตั ิงานกับเคร่ืองขัดจะตองสวมแวนนิรภัยเพื่อปองกันอันตราย อนั อาจจะเกดิ ขึน้ กบั ดวงตา และสวมเครือ่ งกรองอากาศหายใจปองกันอันตรายจากฝุนที่อาจจะเกิดกับ ระบบหายใจ และสวมถงุ มือปอ งกันเศษโลหะ การใชเ ครอ่ื งตดั 1. ในการทํางานกับเคร่ืองตัด ผูปฏิบัติงานจะตองสวมเคร่ืองปองกันอันตรายสวน บคุ คล เชน เครอ่ื งปองกนั ดวงตา ถงุ มือ รองเทา ผาหรอื หนังกนั เศษโลหะ 2. เครอื่ งตดั จะตองมีเคร่อื งปองกันอันตรายประจําเครื่อง เชน แผนใสนิรภัยปองกัน เศษชนิ้ งานกระเด็นเขาตา หรอื มฝี าครอบวงลอ 3. ในหองปฏิบัติงานจะตองมีระบบระบายอากาศท่ีเพียงพอ เพ่ือกําจัดฝุนโลหะท่ี เกิดขึ้น ถา ไมม ีระบบระบายอากาศ จะตองใหผูปฏิบัติงานสวมอุปกรณปองกันฝุนตลอดระยะเวลาท่ี ปฏบิ ัติงานกับเคร่อื งตัดดงั กลา ว การใชเ ครือ่ งปม โลหะ 1. ควรใชเ ครอ่ื งปม ท่ีอยูในสภาพท่ีปลอดภัยตอการใชงาน หรือมีการติดตั้งอุปกรณ ปองกนั อนั ตรายแลวเทา นัน้ 2. ถา ตอ งปม งานชิน้ เล็กหรืองานท่ีคอนขางยุง ยาก ควรใชเครอ่ื งมือชวยจบั ช้นิ งาน 3. เมื่อตองการตดิ ต้งั เคลือ่ นยาย และปรบั แตงแมพ มิ พ ควรใชบลอ็ กนริ ภยั ทกุ คร้ัง 4. การติดตั้ง เคล่ือนยาย หรือปรับแตงแมพิมพ ตองกระทําโดยบุคคลท่ีไดรับการ ฝก อบรมแลวเทานัน้
148 การใชเ ครอ่ื งจกั รทวั่ ไป 1. ขจัดสวนที่เปนอันตรายทุกสวนของเครื่องจักรใหหมดไป (อาจใชหุนยนตชวย ทาํ งานในจดุ ที่มีอนั ตราย เปน ตน ) หรอื ทําการปองกันสว นที่มีอนั ตรายน้ัน เชน ตดิ ต้งั ท่ปี อ งกัน หรือฝา ครอบ หรอื ใชเคร่ืองจกั รอตั โนมตั ิ 2. ทํางานตามระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ัติงานอยางเครง ครัด 3. สวมใสเสอ้ื ผา ท่รี ดั กมุ อยาสวมเสอื้ ปลอ ยชาย 4. สวมใสเคร่ืองปองกันและใชเคร่ืองมือที่ถูกตองและเหมาะสมกับงานท่ีทํา และ ตอ งระวังในการใชถ งุ มือ เพราะถุงมือบางอยา งอาจจะไมเหมาะกับงานบางอยา ง 5. ในการตรวจสอบ ซอมแซม และทําความสะอาดเครื่องจักรน้ัน จะตองหยุด เคร่อื งจักรใหเ รียบรอ ยและมเี ครื่องหมายช้ีบอกหรอื ตดิ ปายแขวนวา “หา มเดินเครอ่ื ง” 6. ใหตรวจตราเครื่องจักรกอนเดินเครื่องและตรวจสอบเปนระยะ ๆ และระวัง อนั ตรายขณะตรวจตราเครอ่ื งจักรและกอนเร่ิมเดนิ เครื่อง 7. เม่ือจะตองทํางานรวมกัน จะตองแนใ จวา ทุกคนเขาใจในสัญญาณเพื่อการสื่อสาร ตา ง ๆ อยา งชัดเจนและถกู ตองตรงกนั 8. อยาเขาไปในสวนท่ีเปนอันตรายของเครื่องจักร หรือสวนที่ทํางานเคลื่อนไหว ตลอดเวลาถา จําเปนตองเขา ไปในบรเิ วณน้ัน ตอ งแนใจวาเครอ่ื งจกั รไดหยุดเดินเคร่ืองแลว การใชเคร่ืองมอื 1. เลือกใชเ คร่อื งมือทเี่ หมาะสมกบั งานทที่ ํา 2. รกั ษาเคร่อื งมือใหอยูในสภาพที่ดีอยูเสมอ โดยตรวจสอบสภาพกอนการใชงานทุก ครง้ั 3. ซอ มแซมหรอื หาเครือ่ งมอื ใหมท ดแทนเครอื่ งมอื ท่ชี ํารดุ หรือแตกหักโดยทันที 4. ลา งนา้ํ มนั จากเครอื่ งมอื หรือชิ้นงาน เพือ่ ปองกนั อุบัติเหตจุ าการลื่นไถล 5. ตรวจสอบและปฏบิ ัตติ ามขอ แนะนําการใชเ ครื่องมือ 6. จบั หรือถอื เครอื่ งมือใหก ระชบั การจบั แบบหลวม ๆ อาจกอใหเ กิดอุบตั ิเหตไุ ด 7. อยา เรม่ิ งานโดยไมต รวจสอบสภาพตา ง ๆ โดยรอบหรือบรเิ วณพน้ื ทีท่ ่ีทาํ งานกอน การใชสายพานลาํ เลยี ง 1. สายพานลาํ เลียงตอ งมีสวติ ซห ยุดฉกุ เฉิน และตองตรวจสอบใหรูจุดที่ติดตั้งสวิตซ ฉุกเฉนิ กอนที่จะเริม่ ใชสายพานลาํ เลยี ง 2. มีอุปกรณค รอบหรือบังสวนทีห่ มุนไดของสายพาน เชน ลกู กล้งิ มเู ล ฯลฯ 3. ถา ของทีล่ าํ เลียงมีโอกาสตกลงมาได ตอ งมีสวนปดหรือครอบปองกัน
149 4. อยา กาวหรือกระโดดขา มสายพานลาํ เลียงขณะทํางาน 5. เมอื่ จําเปน ตองซอ มหรือตรวจตราสายพานลาํ เลยี งเพราะมีการทํางานผิดพลาดตอง ปดสวิตซทาํ งานกอนท่จี ะซอมหรอื ตรวจตราสายพานลําเลียงนน้ั การเชื่อมโลหะ 1. ขณะทําการเช่ือมดวยไฟฟาภายในอาคาร จะตองใชฉากกั้นกําบังเพื่อเปนเครื่อง ปอ งกนั อันตรายแกผ ูปฏิบัติงานคนอ่นื หรอื ผูท ีอ่ ยใู กลเ คียง 2. ขณะทาํ การเชื่อมหรือการตัดดวยกาซหรือไฟฟา ผูเชื่อมหรือตัดจะตองใชเครื่อง กําลงั หนา ท่เี หมาะสม มีเลนสป อ งกนั นัยนต าตามประเภทของการเชอ่ื มหรอื การตดั นน้ั และตอ งสวมถุง มอื หนังดว ย 3. จะตองมีเครื่องดับเพลิงประจําพื้นท่ี และพรอมท่ีจะใชไดเสมอในกรณีเกิดเพลิง ไหม 4. เมือ่ จะใชเครอื่ งเช่ือมไฟฟา ผูทําการเชอื่ มจะตองมั่นใจวาตนไมไดสัมผัสกับพ้ืนที่ เปย กชืน้ 5. หา มสวมถุงมอื ท่ีเปยกน้ํามันหรือจาระบหี ยิบจับเครือ่ งเช่อื ม 6. ถงั ออกซเิ จนและอะเซทิลีนจะตอ งมกี ารยึดใหแ นน เพอื่ ปองกนั การลม และจะตอง ไมว างทออะเซทลิ ีนนอนราบกบั พื้นเปนอันขาด 7. ใหใชไกบังคับแรงเคลื่อน (Pressure Regulator) บังคับใหออกซิเจนและ อะเซทลิ นี ไหลไปยังไฟเช่ือมอยางสมา่ํ เสมอ 8. ในขณะทําการเปดลิ้นถังออกซิเจน หามผูปฏิบัติงานคนหน่ึงคนใดยืนอยูหนา เคร่ืองบงั คับออกซเิ จน 9. หา มทําการเชือ่ ม ตดั หรอื บดั กรใี กลตวั ถงั หรอื ท่ีตัวถงั หรือภาชนะอื่น ที่เคยใสว ตั ถุ ตดิ ไฟหรือวตั ถุที่เกดิ ระเบิดได จนกวาจะไดทําการระบายอากาศ หรือลางถังหรือภาชนะเหลานั้นให สะอาดแลว 10. เม่อื ทาํ การเช่ือมหรือเผาหรือใหความรอนกับตะกั่ว แคดเมียม วัตถุอาบสังกะสี หรือวัตถุอ่ืนใด รวมท้ังสารท่ีใชชวยในการเชื่อม จนทําใหเกิดควันขึ้น จะตองจัดใหมีระบบระบาย อากาศทีด่ ีพอ เพือ่ ปอ งกนั มิใหผ ปู ฏบิ ัติงานสูดควันพิษท่ีเปนอันตรายเขาไป ถาหากไมสามารถทําการ ระบายอากาศได จะตองสวมหนากากหรือเครื่องชวยหายใจที่ไดรับการรับรองแลวตลอดเวลาที่ ปฏิบตั งิ าน 11. เมื่อทําการเช่ือมในสถานท่ีอับอากาศจะตองมีการระบายอากาศออกอยางมี ประสิทธิภาพ
150 คนละแหง 12. การเกบ็ รักษาถังออกซิเจนและถังอะเซทิลีนเปนจํานวนมาก จะตองแยกเก็บไว การเชอื่ ม 13. การเชอ่ื มดว ยไฟฟา หรอื กา ซใกลกับแบตเตอรี่ ตองยกแบตเตอรใี่ หพน จากบรเิ วณ การพน สี 1. ดวงโคม พัดลมดูดอากาศและสายไฟในหองพนสี จะตองใชชนิดที่มีความ ทนทานตอไอระเหยของสีไดด ี 2. สวติ ซดวงโคม เตาเสยี บ หรอื อุปกรณอ ่นื ๆ ท่อี าจกอใหเ กดิ ประกายไฟ จะตองไม ติดต้ังไวภายในหอ งพนสี 3. หามสบู บหุ ร่ี จดุ ไฟหรือทําใหเกิดประกายไฟภายในหองพน สี 4. ในขณะทําการพน สีในหองพนสี ผูปฏิบัติงานทุกคนจะตองสวมหนากาก หมวก เส้อื แขนยาวไมพ บั แขน ถุงมอื กางเกงขายาว และรองเทาหุม สน 5. ขณะท่ีกําลังทําการพนสี ทุกคนที่อยูในหองพนสีจะตองสวมหนากากแบบที่มี เครอื่ งกรอง หรือใชผ า ปด ปากและจมูก การทาํ งานเกีย่ วกับแบตเตอรี่ 1. หามสูบบุหร่ี จุดไฟ หรือทําใหเกิดประกายไฟภายในหองอัดแบตเตอรี่ หรือใน หองเกบ็ แบตเตอร่ี เพ่ือปอ งกันการระเบดิ ของกา ซไฮโดรเจน 2. เมอื่ จะปฏิบตั กิ ารใด ๆ เกี่ยวกบั นํา้ กรด ผูปฏบิ ัติงานจะตองสวมถุงมือยาง แวนตา นิรภยั และผา กนั เปอนทําดวยยาง 3. ในกรณที นี่ ้ํากรดหกหรอื กระเดน็ ถกู สวนหน่งึ สวนใดของรางกายใหใชน้ําสะอาด ลางออกทนั ที แลวรบี ไปพบแพทย 4. กอ นทําการตอ หรือปลดสายข้ัวแบตเตอร่ี ตองแนใ จวาไดต ดั วงจรไฟฟา แลว 5. ในการยกหรือเคลอื่ นยา ยแบตเตอรี่หรอื กลอ งบรรจุแบตเตอร่หี า มเอยี งหรือตะแคง แบตเตอรี่ เพอ่ื ปองกนั การหกหรอื กระเด็นของนํา้ กรด 6. ขว้ั ของแบตเตอรีข่ นาดใหญค วรปด กน้ั ดวยฉนวน เพ่อื ปองกนั การลดั วงจร 7. ในการเคล่อื นยา ยแบตเตอรตี่ อ งระมัดระวังไมใหแบตเตอร่ีกระทบซ่ึงกันและกัน หรือกระแทกกบั ส่ิงอื่นท่อี าจจะทาํ ใหแตกหรอื ราวได และหามวางแบตเตอรีซ่ อนกันโดยเด็ดขาด
151 การใชเคร่อื งปอ งกนั นัยนตาและหู 1. เมอ่ื ปฏิบัตงิ านในสถานที่ทีอ่ าจเกิดอันตรายกบั นัยนตา จะตองสวมเครื่องปองกัน นัยนตาชนิดทไ่ี ดม าตรฐาน 2. ผปู ฏบิ ัติงานทท่ี าํ งานเกย่ี วกับการติดตั้งหรือซอมบํารุง และลักษณะงานเปนงานที่ กอ ใหเกดิ ประกายไฟฟา เศษวัตถกุ ระจาย จะตอ งสวมแวน นิรภัยปอ งกันนยั นตา 3. การปฏิบัติงานในที่ท่ีมีเสียงดังมาก ๆ จนเปนอันตรายตอระบบการไดยินของ ผูปฏิบตั ิงาน จะตอ งกําหนดใหผ ปู ฏิบัติงานทุกคนใชเคร่ืองปองกันอันตรายตอหูชนิดเสียบหรือชนิด ครอบดวย 1.2 ความปลอดภยั ในการทํางานเกีย่ วกับไฟฟา กฎขอบังคับทัว่ ไป 1. พนกั งานที่ทาํ งานเกี่ยวกบั การซอ ม ตอเติม ติดตัง้ อปุ กรณไ ฟฟาตองสวมเส้ือผาที่ แหงและสวมรองเทาพื้นยาง พรอมท้ังตัดกระแสไฟฟาท่ีมายังจุดท่ีทํางานตลอดระยะเวลาท่ีทํางาน เกย่ี วกบั ไฟฟา 2. เครื่องมอื ทใี่ ชกับงานไฟฟา ชนิดใชมือจบั ตอ งมฉี นวนซง่ึ อยใู นสภาพดหี มุ ทด่ี า มจับ 3. ในกรณีทีม่ กี ารปฏิบัตงิ าน ตรวจสอบ ซอ มแซม หรอื ติดต้งั ไฟฟา ที่เก่ียวกับการผลิต ตองตัดสวิตซต ัวทเ่ี ก่ยี วขอ ง พรอมลอ็ กกญุ แจปองกันการสบั สวิตซ อุปกรณแ ละเครอื่ งจกั รไฟฟา 1. มอเตอรทใ่ี ชในบริเวณทม่ี ีวัตถไุ วไฟตองเปนชนิดกันระเบดิ 2. หลอดไฟฟา หรอื โคมไฟ ซ่ึงใชใ นบริเวณทมี่ ีวัตถุไวไฟ ตอ งเปนชนิดทม่ี ีฝาครอบ มิดชิด และมตี ะแกรงโลหะหมุ รอบนอกอกี ชนั้ หนึง่ 3. สวติ ซไ ฟฟา ในบริเวณท่ีมีวัตถุไวไฟตองเปนชนิดที่มีกลองโลหะหุมมิดชิด และ เตา เสียบที่ใชตอ งเปน ชนดิ ที่มีฝาปด 4. การติดตง้ั สวติ ซทกุ ตัวตอ งเลือกชนิดท่ีมีอัตราทนกระแสสูงพอที่จะใชกับกระแส สงู สุดในวงจรที่ใชน นั้ ได 5. การติดตงั้ แผงสวิตซตองมีตูปดมิดชิด และตองต้ังหางจากเครื่องจักรพอสมควร สว นทีเ่ ปน โลหะของแผงสวติ ซตอ งตอ ลงดนิ 6. เมื่อใชอ ุปกรณไ ฟฟา ท้ังหมดพรอมกนั ในวงจรแตล ะวงจร จะตองมีกระแสไฟฟา ไมเ กนิ ขนาดของกระแสไฟฟาสงู สุดทย่ี อมใหใชก บั ไฟฟาของวงจรน้ัน
152 7. การติดต้ังซอมแซม หรือแกไขดัดแปลงหมอแปลงไฟฟา ซ่ึงแปลงไฟจาก ไฟฟาแรงสูงต้งั แต 12,000 โวลตข้ึนไป ตอ งติดตอขอความชวยเหลือหรือขอคําแนะนําจากเจาหนาท่ี ของการไฟฟา เสยี กอ น 8. ตองมีการตรวจสอบ และทดสอบเคร่ืองกําเนิดไฟฟาฉุกเฉิน ใหอยูในสภาพท่ี พรอ มจะใชงานไดอ ยา งปลอดภัยอยูเสมอ 9. หา มพนักงานทํางานเก่ยี วกับหมอแปลงไฟฟาทีม่ ีความดันตั้งแต 380 โวลตขึ้นไป กอนไดร บั อนญุ าตจากหัวหนาฝายซอมบาํ รงุ 10. การซอมแซม ดดั แปลง หรอื แกไขอปุ กรณและเคร่ืองจักรไฟฟาเปนหนาท่ีของ พนักงานหนวยซอ มบาํ รุงเทานั้น วิธปี อ งกนั อันตรายจากไฟฟาช็อต 1. ผปู ฏบิ ตั ิงานที่เกย่ี วขอ งกบั ไฟฟา ตองมีความรเู กย่ี วกบั ไฟฟา 2. เม่อื พบสงิ่ ผิดปกติตาง ๆ เกดิ ข้นึ กับสายไฟ ตองแจง ใหผบู ังคับบญั ชาทราบทันที 3. ในการปฏิบตั งิ านท่ีเกย่ี วของกบั ไฟฟา ตองใชผ ชู ํานาญงานเทาน้ัน 4. ตองปดตูสวติ ซไฟฟา เสมอ และจะตอ งไมมสี ่งิ กีดขวางวางอยบู ริเวณตไู ฟฟา 5. ตอ งติดตงั้ สายดนิ เสมอ 6. ตรวจสอบอุปกรณป องกนั ไฟฟาดดู ไฟฟา รว่ั กอนใชอปุ กรณไ ฟฟานน้ั ๆ เสมอ 7. การเปดหรอื ปดระบบไฟฟา ตอ งแนใ จกอนวา ปลอดภยั แลว 8. เมื่อเลิกใชอ ปุ กรณไฟฟา แลวใหเกบ็ เขา ท่เี สมอ 9. ถา ตอ งทาํ งานอยใู กลระบบไฟฟา เชน มีสายไฟฟาอยูเ หนือศีรษะตองระมดั ระวัง อยาไปสมั ผสั ถูกสายไฟฟาดงั กลาว 10. หา มทํางานโดยไมส วมชดุ ปองกันไฟฟา ดดู โดยเด็ดขาด 1.3 ความปลอดภยั ในการทํางานกับวัตถอุ ันตราย วัตถอุ ันตราย วัตถุอันตราย หมายถึง วัตถุท่ีสามารถลุกไหมได ติดไฟได และระเบิดได วัตถุ อันตรายตาง ๆ เหลานี้ มักจะมีกฎหมายควบคุมเปนพิเศษ และมีขอบังคับเพ่ือใหทํางานไดโดย ปราศจากอบุ ตั เิ หตุ
153 วัตถอุ นั ตราย แบง ออกไดเปน 1. สารระเบดิ ได สารเหลา น้จี ะลกุ ติดไฟไดงา ยและระเบิดขึ้นเม่อื มคี วามรอน มีการกระแทกหรือ มีการเสียดสี สารระเบิดไดมีช่ือเรียกแตกตางกันไป ผูที่ทํางานกับสารเหลานี้ควรจะจดจําช่ือสาร เหลานใ้ี หไ ดและมีการตดิ ปา ยวาเปนสารอนั ตราย หรือวัตถุอันตราย นอกจากน้ียังควรรูถึงวิธีการใช สารเหลานี้อยางถกู ตอ งดวย 2. สารลุกไหมไ ด สารลกุ ไหมไ ด เชน สารฟอสฟอรัสแดงและสารฟอสฟอรัสเหลืองสามารถลุก ตดิ ไฟไดเองเมื่อสมั ผสั กบั อากาศ ตวั อยางสารลุกไหมไ ด เชน พวกคารไบด และสารประกอบโลหะ ของโซเดียม ซง่ึ จะลุกตดิ ไฟไดเ ม่อื สมั ผสั กบั นํ้า 3. สารไวไฟ กา ซไวไฟ เชน กาซถานหิน กาซอะเซทิลีน กาซโพรเพน ฯลฯ กาซเหลาน้ีมี คุณสมบัติไวไฟและยังสามารถระเบิดไดอีกดวยหากกาซเหลานี้ผสมอยูในอากาศในสัดสวนที่ พอเหมาะ นอกจากนี้สารละลายไวไฟตาง ๆ เชน น้ํามัน ทินเนอร ก็ยังมีคุณสมบัติไวไฟและยัง สามารถระเบิดอยา งรนุ แรงไดอ ีกดว ย สารเหลานจ้ี ะกอใหเ กดิ อุบัตเิ หตไุ ดง ายถา มีการเคล่อื นยา ยผิดวิธี ดงั นนั้ ผทู ที่ ําการ ขนยายจะตอ งรูวธิ ขี นยา ยทถี่ ูกตองดว ย อนั ตรายของวตั ถุอนั ตราย 1. กา ซคารบอนมอนอกไซด (Carbon Monoxide) กาซคารบอนมอนอกไซดเกิดจากการเผาไหมท่ีไมสมบูรณ เกิดขึ้นไดทั้งใน โรงงานและในสถานทที่ ํางาน กา ซคารบอนมอนอกไซดเ ปนกาซท่ีเบากวากา ซออกซิเจนเล็กนอย เปน กาซท่ีไมมสี ี ไมมกี ลิน่ และไมม กี ารกระตนุ เตอื นใด ๆ จงึ เปนกาซทีอ่ ันตรายตอ รา งกาย เพราะกาซน้จี ะ ทาํ ใหเ ม็ดเลอื ดขนถายออกซิเจนนอ ยลง เปนเหตุใหเกิดอาการขาดออกซเิ จน (Suffocation) ได เมอ่ื ตอ งทํางานในสถานทท่ี ม่ี ีกา ซคารบ อนมอนนอกไซด ควรปฏบิ ตั ิดงั น้ี 1. กอนเร่ิมงาน ตองตรวจดูความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดดวย เครอื่ งตรวจวัดกาซกอน 2. ใหร ะบายอากาศออกจนกวาความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดจะ ต่ํากวา 50 ppm (0.005%) 3. ตอ งสวมใสหนากากกรองที่เหมาะสม 4. ถาความหนาแนนของกาซคารบอนมอนอกไซดสูง หรือความเขมขนของ ออกซเิ จนตาํ่ ใหใชเ ครื่องชวยหายใจ หรอื หนา กากแบบมอี ากาศเสรมิ
154 2. สารละลายอินทรยี (Organic Solvents) มีสารละลายอินทรียเปนจํานวนมากที่ใชในสถานที่ทํางานและบานพักอาศัย สารละลายอนิ ทรยี เหลา นีส้ ามารถแทรกซึมเขาสรู า งกายไดห ลายทางท้ังทางระบบหายใจในรูปของไอ ระเหย เพราะเปนสารที่สามารถระเหยไดในอุณหภูมิปกติ และแพรผานผิวหนังไดเพราะเปนตัวทํา ละลายไขมันนอกจากนี้ยังอาจทําใหหมดสติได เพราะจะไปรบกวนการทํางานของระบบประสาท สวนกลาง ดังนั้นจึงจําเปนอยางยิ่งท่ีจะตองรูคุณสมบัติของสารละลายอินทรียที่จะใชเหลาน้ัน และ จะตองใชอยา งถกู ตอ งเพื่อใหเ กดิ อนั ตรายนอ ยทีส่ ดุ ระบายอากาศ วิธีปฏิบตั ิงานกบั สารละลายอินทรียอ ยางปลอดภยั ประกายไฟ 1. ระวงั อยาใหสารละลายอินทรียห ก 2. ปดฝาภาชนะบรรจุสารละลายอนิ ทรยี เสมอ ทําได 3. ไมลางมอื ดว ยสารละลายอินทรยี 4. ตรวจตราระบบระบายอากาศอยูเสมอ อยา ใหมสี ่งิ ใดไปขดั ขวางทาง 5. หามใชส ารละลายอนิ ทรยี ใ กลบริเวณท่ีมไี ฟหรอื บรเิ วณทอ่ี าจเกดิ 6. สวมใสอ ุปกรณปอ งกนั ทีเ่ หมาะสมเสมอขณะใชสารละลายอนิ ทรีย 7. ตอ งใชระบบระบายอากาศเสมอในขณะใชสารละลายอนิ ทรีย 8. หลกี เล่ียงการสมั ผัสไอระเหยของสารละลายอนิ ทรยี ใหมากท่ีสดุ เทา ท่จี ะ 3. ฝนุ ปกติโรคปอดท่เี กดิ จากฝนุ ที่หายใจเขาไปจะมชี ื่อเรยี กวา โรคปอดฝุนหรือนิวโม โคนิซิส (Pneumoconiosis) ฝุนที่สูดดมเขามาจะฝงตัวอยูในปอดและปอดไมสามารถขจัดสิ่ง แปลกปลอมเหลานไี้ ด เม่อื มกี ารสะสมมากขึ้น ปอดจะรูสกึ แนน อดึ อดั ทาํ ใหหายใจไมออก วิธีแกไขท่ี ดีท่สี ุด คอื การปองกันโรคนี้ไวกอน โดยปรับปรุงสภาพแวดลอมในบริเวณท่ีทํางานและปรับเปลี่ยน วิธีการทาํ งาน เชน การขจดั ฝนุ ในสถานท่ีทํางาน หรอื การสวมใสห นากากปอ งกันฝุน
155 วิธีใชห นากากปอ งกนั ฝุน อยา งถกู วธิ ี 1. หนากากควรกระชบั กบั ใบหนา ซ่งึ ฝุนจะไมสามารถแทรกเขา ไประหวางรอง ของหนา กากกบั ใบหนา ได 2. แมสภาพของสถานท่ที ํางานโดยท่ัวไปจะสะอาด แตอ าจจะมีฝุนขนาดเล็กอยู ได จงึ ควรสวมหนากากปองกันฝุน ไว ถาบริเวณน้นั มฝี นุ ขนาดเล็กอยไู ด จงึ ควรสวมหนา กากปอ งกัน ฝุนไว ถาบรเิ วณนนั้ มีฝุนอยู 3. หามสวมหนากากกรองฝนุ ในบรเิ วณทอี่ บั อากาศ หรอื บริเวณท่ีมกี าซพิษ 4. ควรเก็บรักษาหนากากไวในที่ท่ีอากาศถายเทดี และเก็บอยางถูกหลักวิธี รวมทั้งควรเปลี่ยนไสกรองเมือ่ จําเปน 5. หนา กากกันฝนุ โดยทว่ั ไปจะใชสําหรับงานชว่ั คราวเทาน้นั 4. สารเคมีจําเพาะ สารเคมีจําเพาะจะถูกจัดเปนสารเคมีอันตราย เพราะจะกอใหเกิดอันตรายตอ สุขภาพรางกาย เชน กอใหเกิดโรคมะเร็งจากการทํางาน โรงผิวหนัง ระบบประสาทเสื่อม ฯลฯ ปจ จุบนั มีการใชสารเคมอี ยอู ยางกวา งขวางในงานอุตสาหกรรมจงึ ตอ งระมัดระวงั เปนอยางยิง่ การปอ งกันอันตรายจากการใชส ารเคมีจาํ เพาะ 1. อยา ทําหกหรอื กระเด็นลงบนพนื้ 2. กอนเรม่ิ ทํางานตองสวมอุปกรณป องกันอันตรายสวนบุคคลหรือติดตั้งระบบ ระบายอากาศทว่ั ไปในทที่ าํ งาน 3. จดั การปฏิบตั งิ านใหเ ปน ไปตามระเบียบขอ บังคับของกฎหมาย 4. เมือ่ ตอ งการขนยายหรอื เกบ็ สารเคมีเหลา นนั้ จะตองบรรจุลงภาชนะที่เหมาะสม ใหเ รียบรอ ย 5. หา มสบู บหุ ร่ี รบั ประทานอาหาร หรอื ด่ืมนาํ้ ในขณะทก่ี าํ ลงั ทาํ งานกบั สารเคมี 6. หา มสัมผัสเส้ือผาที่เปอ นสารเคมี 7. จัดใหม ีการสวมชดุ ปอ งกนั หรืออุปกรณปอ งกันอนั ตรายจากสารเคมี 8. หา มนาํ สารเคมนี อ้ี อกไปหรอื เขา ไปยงั หนว ยงานอนื่ โดยไมไ ดรบั อนุญาต 9. เสื้อผาท่ีสวมใสขณะทํางานยอมมีสารเคมีปนเปอนจึงควรท่ีจะชําระลาง รา งกายเปลย่ี นเสือ้ ผาใหม กอนท่จี ะรบั ประทานอาหารหรือกอนกลับบาน และนําเสื้อผาท่ีใสทํางาน น้นั ไปซักหรือทําความสะอาดทันที
156 5. สภาพไรอากาศหรืออบั อากาศ อบุ ัติเหตุจากการขาดอากาศหายใจมกั เกดิ ขน้ึ ไดในบรเิ วณท่เี ปน ใตถุนอาคาร ถัง หรือบริเวณอุโมงคขดุ เจาะ ฯลฯ อาการขาดอากาศมีผลโดยตรงตอการทํางานของสมอง และบอยคร้ังท่ีนําไปสู ความสูญเสยี อยา งใหญห ลวง ท้งั น้เี พราะการอยใู นที่แคบหรืออับอากาศซ่ึงมักไมคอยมีคนไดเขาไปบอย นกั กย็ ากท่จี ะพบหรอื ชว ยชวี ิตไดทนั หากมอี บุ ตั เิ หตเุ กดิ ขน้ึ วธิ ีปองกันการขาดอากาศหายใจมีดงั น้ี 1. ตรวจสอบความหนาแนน ของออกซิเจนกอ นลงมือปฏิบตั ิงาน 2. จัดระบบระบายอากาศทีเ่ หมาะสม 3. มกี ารปฐมพยาบาลอยา งถูกตอ งและเหมาะสม ขอพึงปฏบิ ตั เิ ม่ือตอ งทํางานในบรเิ วณทีม่ สี ภาพไรอากาศหรืออบั อากาศ 1. กอนเขา บริเวณอนั ตรายท่มี ีออกซเิ จนนอ ยหรือออกซิเจนใกลหมด เชน ในบอหรอื ถงั จาํ เปนตองจดั ใหมีระบบระบายอากาศท่ดี ี (อยา งไรกต็ ามก็เปนอันตรายมากเชน กัน ถา ใชออกซเิ จนบรสิ ุทธ์อิ ยางเดยี ว) ความหนาแนน ของออกซเิ จนทเี่ หมาะสมคอื ไมนอ ยกวา 18% 2. หามเขา ไปในบริเวณทีม่ สี ภาพขาดออกซเิ จน ยกเวน ผูมีหนาที่เก่ยี วขอ งเทานั้น 3. ผูจะเขาไปในบริเวณอับอากาศ ตองมีการเฝาดูและติดตามโดยหัวหนางาน หรือเพื่อนรว มงาน และระบบระบายอากาศจะตองจดั ใหม ีออกซเิ จนอยางนอ ย 18% ดว ย 4. ถา ลักษณะงานไมสามารถจดั ระบบระบายอากาศไดใหใชอุปกรณชวยหายใจ ทเี่ หมาะสม เชน เคร่ืองกรองอากาศ หรอื ระบบสายลม 5. ถาสภาพที่ทํางานน้ันขาดอากาศมาก ๆ ใหสวมใสอุปกรณนิรภัย เชน หนากาก เข็มขัดนริ ภยั หรอื สายสงอากาศในขณะท่ปี ฏิบัติงานอยใู นบริเวณนนั้ 6. ตรวจสอบอปุ กรณป อ งกันทุกคร้งั กอ นเริม่ ทาํ งาน 7. ถาไดรับอุบัติเหตุจะขาดอากาศหายใจ ผูทําการชวยเหลือจะตองสวมใส อุปกรณชวยหายใจท่ีมีระบบระบายอากาศท่ีดี ดังอธิบายไวในขอ 4 ขางตน (หนากากปองกันกาซ ไมไ ดจ ัดไวส ําหรบั กรณีขาดอากาศ ควรขนยา ยผปู ว ยออกไปสทู โี่ ลงโดยเร็วท่ีสุด และชวยหายใจดวย การเปา ปาก ฯลฯ ) การจัดใหมีระบบระบายอากาศ เพื่อสขุ ภาพทีด่ ีควรจัดใหมีระบบระบายอากาศทเ่ี หมาะสมในสถานประกอบการ จําเปนอยางย่ิงที่จะตองจัดระบบระบายอากาศในสถานประกอบการท่ีมีอุณหภูมิและความรอนสูง
157 หรือมีกาซหรือไอที่เกิดข้ึนจากตัวทําละลายอินทรียหรือสารอ่ืน ๆ การปลอยปละละเลยท่ีจะจัดทํา ระบบระบายอากาศจะเปนสาเหตุท่ีกอใหเกิดอาการปวดศีรษะและวิงเวียนศีรษะได และปญหาที่จะ ตามมาก็คอื ความเจบ็ ปวยตา ง ๆ ที่มสี าเหตจุ ากสารเคมอี นั ตราย การเปดหนาตางหรือประตูนั้นเปนการถายเทอากาศทั่วไปตามปกติ การติดตั้ง ระบบระบายอากาศเฉพาะที่หรือในตําแหนงที่จําเปนนั้น ควรติดต้ังใหเหมาะสมกับลักษณะของ สารเคมีอนั ตรายท่จี ะตอ งใช แตค วรตระหนักไววา ในบางครั้งการเปดหนาตางอาจใหผลที่ตรงขาม กันก็ได 1.4 ความปลอดภยั ในการทํางานกับผลิตภณั ฑเคมี ขอ พงึ ปฏบิ ตั ทิ ่วั ไปในการทํางานกับผลติ ภณั ฑเ คมี 1. กอนปฏิบัติงานตองทราบถึงชนิดของผลิตภัณฑและอันตรายที่อาจเกิดข้ึน ถา สงสัยใหปรึกษาผบู งั คบั บญั ชาท่เี กีย่ วของ 2. กอนขนยายผลิตภัณฑตองสังเกตวาหีบหอไมแตกหรือบุบสลายซ่ึงอาจจะทําให ตกหลน สภู ายนอกได 3. หลีกเล่ยี งการสมั ผสั กบั ผลิตภัณฑโดยตรง ใหสวมเครื่องปอ งกัน เชน ถงุ มือ เสอ้ื คลุม เครอื่ งกรองอากาศ หมวก แวน ตา ฯลฯ 4. หามรับประทานอาหาร เครื่องดมื่ หรอื สูบบุหร่ีในขณะปฏิบตั งิ าน 5. ขณะปฏิบัติงานหามใชมือขย้ีตา หรือใชมือสัมผัสกับปากจนกวาจะลางมือให สะอาดเสียกอน 6. กอนรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ หรือเขาหองสุขา ตองถอดอุปกรณปองกัน อนั ตรายและลางมือใหสะอาดเสยี กอน 7. หามผทู ี่ไมม ีหนา ท่ีเก่ียวขอ งปฏิบตั งิ านเกย่ี วกับผลติ ภณั ฑเ คมี 8. หากเกิดอุบัติเหตุ ภาชนะบรรจุผลิตภัณฑแตกเสียหาย ตองรีบรายงาน ผบู งั คับบัญชาทีร่ บั ผิดชอบทนั ที หรือจดั การเกบ็ กวาด เชด็ ถบู ริเวณใหสะอาดตามวิธีที่กําหนด ไมควร ปลอยทงิ้ ไว 9. ในขณะปฏบิ ตั ิงานหากพบวา มีการเจบ็ ปว ย หรอื วิงเวียนศีรษะใหหยุดปฏิบัติงาน ทันที พรอมทงั้ รายงานใหผบู ังคับบญั ชาผรู ับผิดชอบทราบ หรือทําการปฐมพยาบาลอยางถูกตองแลว รบี นาํ ไปพบแพทยพ รอ มนําฉลากหรอื ผลติ ภัณฑไ ปดว ย 10. อุปกรณปองกันอันตรายท่ีใชแลวตองทําความสะอาดหรือทําลายท้ิงตาม คําแนะนําทไ่ี ดกาํ หนดไว
158 11. เม่ือเสร็จส้ินการปฏิบัติงานแตละครั้ง ตองลางมือ อาบน้ํา และผลัดเปล่ียน เส้อื ผา ท่สี ะอาด ความปลอดภยั ในการใชผลติ ภัณฑเ คมีในการผลติ 1. พนกั งานตองอานคําแนะนาํ ขางกลอ งบรรจผุ ลติ ภัณฑเ คมที กุ ชนิดใหละเอยี ดกอ น ทจ่ี ะนําเขา โรงงานผลติ 2. กลอ งผลติ ภัณฑเ คมีทกุ กลอ งทีน่ ําเขาโรงงานผลิตตอ งอยูในสภาพดีไมแตกรว่ั 3. พนักงานตองสวมถุงมือ เสื้อคลุมแขนยาว หนากาก รองเทาหุมสน กอนเปด กลองสารเคมีทจี่ ะนํามาใชในการผลติ 4. ตอ งระมดั ระวงั เปนพเิ ศษในการบรรจผุ ลิตภัณฑเคมี พยายามใหฝุนหรือละออง ของสารเคมีปลวิ กระจายนอยที่สดุ 5. กลองเปลา ของผลติ ภัณฑเคมี หลังจากใชแลวตองนําไปเก็บรวมกันในท่ีมิดชิด (หากจําเปนตองมีกญุ แจปด) กอ นนาํ ไปทําลาย เผาท้งิ หรือฝงดิน 6. หลังจากท่ีพนักงานทํางานเรียบรอยแลว ใหลางมือ ลางหนาหรืออาบนํ้า และ เปลยี่ นเสอื้ ผา ใหมก อนรับประทานอาหารหรอื สูบบหุ รี่ 7. หา มสูบบหุ รข่ี ณะปฏบิ ตั ิงาน 8. หามรบั ประทานอาหารหรือเครอ่ื งด่ืมในบรเิ วณโรงงานผลิตหรอื โรงงานบรรจุ ความปลอดภัยในการเกบ็ ผลิตภณั ฑเคมใี นคลงั พสั ดุ 1. พนักงานตอ งอา นฉลากผลิตภณั ฑเ คมที กุ ครงั้ กอ นทาํ การเกบ็ เขา คลงั พัสดุ 2. ผลติ ภัณฑเคมบี างอยางตองเก็บในทแี่ หง สะอาด มีอากาศถายเทดี และ มี อุณหภมู ไิ มเ กิน 46 C 3. ผลิตภัณฑเ คมีตองเกบ็ ใหห างจากอาหารและภาชนะบรรจอุ าหาร 4. ไมควรเกบ็ ผลติ ภณั ฑเคมีวางซอนกันสงู เกินกวา 5 เมตร 5. หามสบู บุหร่ใี นคลงั พัสดุ ยกเวน บรเิ วณทกี่ าํ หนดให 6. พนักงานตองสวมถุงมือ หนากาก รองเทาและเสื้อแขนยาวขณะปฏิบัติงานซ่ึง สัมผัสกับสารเคมโี ดยตรง 7. ผลิตภัณฑเคมีท่ีตกหลนตามพื้นใหกวาดเก็บใสถังอยางระมัดระวังเพ่ือนําไป ทําลายหรือฝงดินในบริเวณท่ีกําหนด ถาเปน ผลิตภณั ฑชนดิ เหลวใหใ ชท รายแหง กลบแลวกวาดเก็บไป ฝง ดนิ หามลางดวยนา้ํ 8. ผลติ ภณั ฑเคมที กุ ชนิดตอ งปด ฉลากทกุ กลอ งกอ นนําเขาเก็บในคลังพัสดุ 9. คลังเก็บผลติ ภัณฑเคมี ตอ งปดกุญแจหลังจากเลิกงาน
159 การเกดิ ไอเคมไี วไฟ การเกดิ ไอเคมีไวไฟในโรงงาน หมายถึง การปลอ ยไอเคมไี วไฟจํานวนมาก ซ่ึงอาจ ลกุ ตดิ ไฟ หรือระเบดิ เมื่อมีแหลงทกี่ อใหเกดิ ประกายไฟ หรืออาจเกดิ จากการลุกไหมข องสารเคมีหรือ กา ซท่ีมีจดุ วาบไฟ (Flash Point) ตํา่ และมีชว งไวไฟกวาง จุดวาบไฟ (Flash Point) ของสารเคมเี หลว คือ อุณหภมู ิตํา่ สดุ ทีส่ ารเคมนี น้ั จะใหไอ เคมที สี่ ามารถผสมกบั อากาศเปน สวนผสมท่พี รอมจะลุกไหมเ ม่ือมีแหลง เกิดประกายไฟ ชวงไวไฟ (Flammability Limit) คือ ชว งระหวา งความเขมขนตาํ่ สุด และสูงสดุ ของ ไอเคมใี นอากาศซ่งึ จะเกิดการลุกไหมไดเม่ือมีแหลง เกิดประกายไฟ สว นผสมของไอเคมีและอากาศที่ ตา่ํ กวาชว งไวไฟนี้จะเจือจางเกินไปท่ีจะลกุ ไหมได และในทาํ นองเดียวกนั สว นผสมทีส่ ูงกวา ชวงไวไฟ นจ้ี ะเขมขน เกินไปที่จะติดไฟ เมอ่ื เกดิ กลุมไอเคมจี าํ นวนมาก หามพนักงานเขาไปในบริเวณท่ีเกิดไอเคมีนั้น ควร รบั แจงหนว ยดบั เพลิงประจาํ โรงงานเตรียมพรอ มเพื่อทาํ การชวยเหลอื ทันที วิธปี ฏิบัตเิ มือ่ เกดิ กลุมไอเคมี 1. ปลอดภัยไวกอน เมื่อพบไอเคมีจํานวนมากไมวาจะเกิดจากการหกราดบนพ้ืน หรือเกิดจากการรั่วจากทอสงเคมีหรือจากถังเคมีตาง ๆ หากมีขอสงสัยใหสมมุติไวกอนวากําลังเกิด กลมุ ไอเคมีไวไฟ อยาเสียเวลาไปหาเครอ่ื งวัดประมาณไอเคมี เพราะกวา จะรู ประมาณไอและอากาศ ก็มมี ากเพียงพอทจ่ี ะลุกไหมหรือระเบดิ ได และก็เปนเวลาท่ีทานไดเขาไปอยูในกลุมไอเคมีไวไฟเสีย แลว 2. ออกไปใหพ น จากบริเวณทเ่ี กิดกลมุ ไอเคมีไวไฟทันที และรับแจงใหหัวหนางาน หรอื ผูจดั การทราบ 3. ใหใชนํ้าฉีดเปนฝอยเพื่อไลไอเคมี โดยใชหัวฉีดนํ้าจากตูดับเพลิงในกรณีที่เกิด กลมุ ไอเคมีไวไฟบริเวณรีแอกเตอร ใหเ ปดวาลวน้าํ ปลอยนา้ํ จากหัวฝกบวั ซึ่งติดตงั้ อยูเหนือรีแอกเตอร เพอ่ื ไลไ อเคมี 4. หากกลุมไอเคมีไวไฟกาํ ลังลกุ ติดไฟใหฉ ดี นาํ้ หลอเครอ่ื งมอื เคร่อื งใชห รือถงั ตาง ๆ ที่อยูรอบ ๆ บริเวณนั้น เพือ่ ปอ งกนั การลุกลามขยายตัวของไฟและการระเบิด อยาพยายามเขาไปดับ ไฟท่ีจุดลุกไหม แตใหหาแหลงทมี่ าของไอเคมีและจัดการกําจัดตนตอของการเกิดไอเสียกอนโดยไม ตอ ง เขาไปในกลุมไอเคมี แลวจงึ เขาทาํ การดับไฟ
160 1.4 ความปลอดภัยเกีย่ วกับอคั คภี ยั การปอ งกนั อัคคภี ยั ในบริเวณโรงงาน พนักงานทุกคนจะตอ งปฏิบัตดิ ังน้ี 1. รูจักคุณสมบัติเคร่ืองดับเพลิงทุกชนิดท่ีใชอยูในโรงงาน และสามารถนํามาใช งานไดทนั ที และเหมาะสมกับลกั ษณะของไฟเมือ่ ตองการ 2. หา มนําเคร่ืองดับเพลิงมาฉีดเลน หรอื หยอกลอกัน 3. ใหค วามสนใจกบั เครื่องมอื ดบั เพลิงในแผนก และจะตองมีการตรวจสอบสภาพ ของเครื่องดบั เพลิงอยเู สมอ เมื่อพบหรอื สงสยั วาเครื่องดบั เพลิงเครื่องใดอยใู นสภาพชาํ รดุ หรอื น้าํ หนัก พรอ งไป ใหร ายงานผูบังคบั บญั ชาตามลําดับช้ันทนั ที 4. จะตอ งไมตดิ ตั้งหรอื วางเครื่องจักรหรือส่ิงของใด ๆ เอาไวในตําแหนงซ่ึงจะเปน อปุ สรรคหรอื กีดขวางการนาํ เครอื่ งดับเพลิงมาใชโดยสะดวก 5. วัตถุซงึ่ ไวไฟหรือนํา้ มันเชอ้ื เพลิงชนดิ บรรจุถัง เมอ่ื นํามาใชแลวจะตองปดฝาให สนทิ และทภ่ี าชนะบรรจุควรจะมเี ครื่องหมายแสดงวาเปนสารไวไฟ 6. หามนํานํา้ มันเชอ้ื เพลิง หรอื เคมีภณั ฑไวไฟใด ๆ ไปใชในการซกั ลา งเสื้อผา 7. พนกั งานทกุ คนจะตองทําความเขาใจกับวิธีปฏิบัติเม่ือเกิดเพลิงไหม พนักงานทุก คนจะตองใหความรวมมอื ในการซอ มภาคปฏิบตั โิ ดยพรอ มเพรยี งกัน 8. ไมวาเพลิงจะเกิดจากอะไรก็ตาม หากเกิดขึ้นใกลกับสายไฟฟา เครื่องมือ เคร่ืองใชหรอื แผงสวติ ซไ ฟฟา ใหปลดสะพานไฟตัดวงจรไฟฟาทนั ที เมอื่ เกิดเพลิงไหม 1. เมอ่ื เกิดเพลิงไหมข ้นึ ในบริเวณทท่ี ํางาน จงอยา ต่นื ตระหนกจนเสียขวญั พยายาม รักษาขวัญและกําลังใจไวใหมน่ั การตน่ื ตระหนกจนเสยี ขวญั อาจทาํ ใหเหตกุ ารณเลวรา ยลงอกี 2. รีบแจงใหเพื่อนรว มงานทุกคนในบรเิ วณเพลิงไหมและหนวยดบั เพลิงทราบ เพ่ือ ดาํ เนินการดบั เพลงิ และแจงเหตเุ พลิงไหมไ ปยังหนว ยดบั เพลงิ ของราชการ 3. พนักงานผไู มม หี นา ทเ่ี กย่ี วของกับการดับเพลิงตองรีบออกจากตัวอาคารโดยเร็ว ตามแผนอพยพหนีไฟ และไปรวมกันท่ีบริเวณหนาประตูทางเขาโรงงาน เพ่ือรอคําสั่งจากผู ประสานงานดบั เพลงิ ตอ ไป 4. พนักงานท่ีไดรับมอบหมายใหเปนหนวยดับเพลิงโรงงาน จะตองเตรียมหัวฉีด สายดับเพลิง เพอ่ื ตอ เขา กบั ขอตอ ทอ น้ําดับเพลิงและอยูในสภาพเตรียมพรอมโดยเร็วท่ีสุด ในกรณีที่ เพลงิ อยใู นตาํ แหนงทห่ี ัวฉีดใหญจะฉีดมาถึง อาจไมจําเปนตองใชทอดับเพลิงและหัวเล็กฉีดตอ ท้ังน้ี ใหข ึน้ อยกู บั ดุลยพนิ จิ ของหนว ยดับเพลิงโรงงาน
161 การปอ งกนั อคั คีภัยในสํานักงาน 1. พนักงานทกุ คนจะตองทราบขอ บงั คับเกย่ี วกบั ความปลอดภัยในสํานกั งานเปน อยา งดี 2. พนกั งานทกุ คนควรฝก ใชเ คร่ืองดับเพลงิ ใหเ ปน 3. พนักงานทุกคนตองปฏิบัติตามกฎขอบังคับความปลอดภัยในสํานักงานโดย เครงครดั เชน หา มสูบบหุ รใี่ นบริเวณหามสูบ 4. บริษัทอาจจัดใหมีการซอมดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหมหรือกรณีฉุกเฉิน ณ สาํ นักงานรวมกบั เจาหนา ท่ีของทางราชการ พนักงานทุกคนจะตองใหความรวมมือในการซอมโดย พรอมเพรยี งกัน 5. หามวางสง่ิ ของกดี ขวางทางออกฉุกเฉนิ เมอ่ื เกดิ เพลงิ ไหม 1. ใหพนักงานท่ีพบเพลิงไหมรีบดับเพลิงตามความสามารถทันทีหากเห็นวาไม สามารถดบั เพลงิ ดว ยตนเองได ใหร ีบแจงผปู ระสานงานดับเพลิงทราบทนั ที 2. ผูประสานงานจะแจง ใหเจา หนา ที่บรหิ ารของบริษทั ทราบ และเปด สัญญาณเพลิงไหม 3. เมื่อมีสัญญาณเพลิงไหมใหพนักงานทุกคนหยุดปฏิบัติงานทันทีและจัดเก็บ เอกสารทีส่ ําคญั พรอ มทง้ั ของมคี า ไวในท่ีปลอดภยั แลวรบี ออกจากบรเิ วณท่ีทาํ งานในทิศทางตรงขาม กบั บรเิ วณเกิดเพลงิ ไหม 4. การออกจากอาคาร หา มวิ่งและหา มใชล ฟิ ตโดยเดด็ ขาด 5. ใหพนกั งานทอี่ อกจากอาคารแลวทกุ คนไปรวมกันในบริเวณท่ีจอดรถอาคารเพ่ือ ตรวจสอบจาํ นวนและรอรบั คําส่ังจากผปู ระสานงานตอ ไป 1.5 ความปลอดภยั ในสํานักงาน พน้ื สาํ นกั งาน - ทางเดิน - ประตู 1. ควรใหพ ืน้ สํานักงานมคี วามสะอาดอยเู สมอ 2. พ้ืนสํานักงานควรอยูในแนวระดับราบไมลาดเอียงหรืออยูตางระดับกัน หากไม สามารถหลกี เลีย่ งได ใหใ ชสีสันแสดงใหเ ห็นชดั เจน 3. ใหใชว ัสดุกันลนื่ ปูทบั บนกระเบ้ืองหรือพ้นื ขดั มันทีล่ น่ื 4. ในขณะปฏิบตั ิงาน หามว่งิ หรอื ทําการลื่นไถลแทนการเดนิ 5. ในขณะท่ีมีการขัดหรือทําความสะอาดพื้น ผูปฏิบัติงานควรสังเกตปายคําเตือน และเดินหรือปฏบิ ัตงิ านดวยความระมัดระวังมากยิ่งขึน้ 6. ในกรณีที่มีนํ้า น้ํามัน หรือสิ่งที่ทําใหเกิดการล่ืนบนพ้ืนสํานักงานใหแจง เจาหนาที่ทรี่ ับผดิ ชอบโดยทันที โดยกอนแจงใหแ สดงเครือ่ งหมายเตอื นไวดว ย
162 7. ในกรณีที่พบเห็นวัสดุหรือเครื่องใชสํานักงาน เชน ดินสอ ที่หนีบกระดาษ ยางลบ หรือส่งิ อน่ื ใดตกหลน อยูบ นพ้นื ใหเก็บโดยทนั ทีเพราะอาจเปนสาเหตใุ หล่นื หกลมได 8. ในขณะเดินถึงมุมตึกใหเดินทางดานขวาของทางเดิน และเดินอยางชา ๆ ดวย ความระมดั ระวงั เพอ่ื หลีกเลย่ี งการชนกับผอู ื่นซง่ึ กาํ ลงั เดนิ มาจากอกี มมุ หนง่ึ 9. ควรตดิ ตัง้ กระจกเงาทํามุมในบรเิ วณมมุ อบั ทอ่ี าจเกดิ อุบัตเิ หตไุ ดงา ย 10. สายโทรศัพท สายเคร่ืองคิดเลข หรือสายไฟฟา ควรติดต้ังใหเรียบรอย เพ่ือ ไมใหกีดขวางทางเดนิ 11. อยายืนหรือเดินใกลบริเวณประตูท่ีปดอยู เพราะบุคคลอื่นอาจจะเปดประตูมา กระแทกได 12. เมอ่ื จะผานเขา ออกบังตา หรือเปดปดประตูบานกระจก ควรเขาออกหรือเปดปด ดวยความระมดั ระวังอยา งชา ๆ และในการใชบ งั ตาหรือประตูทเี่ ปด ปด สองบาน ใหใ ชบ ังตาหรือบาน ประตูทางดา นขวา 13. บังตาหรือประตูบานกระจกท่ีเปดปดสองทาง ใหติดเครื่องหมาย “ดึง” หรือ “ผลัก” ใหชดั เจน 14. ไมควรจัดเก็บวัสดุอุปกรณส่ิงของตาง ๆ หรือปลอยใหมีส่ิงกีดขวางบริเวณ ทางเดินหรอื ชองประตู การใชบันได การใชบ ันไดอยางปลอดภัย 1. กอนข้ึนหรือลงบนั ได ควรสังเกตส่งิ ที่อาจกอใหเกิดอนั ตรายขึน้ ได 2. ถาบริเวณบันไดมแี สงสวา งไมเพียงพอ หรือราวบันไดหรือขั้นบันไดชํารุด ให แจง เจาหนา ที่เพ่ือทาํ การแกไขใหเรยี บรอ ย 3. อยา ปลอยใหม ีเศษวัสดชุ น้ิ เล็กชิ้นนอ ยตกอยูตามข้ันบันได เชน เศษกรวด เศษ แกว ฯลฯ 4. ไมควรติดตั้งสิ่งท่ีดึงดูดความสนใจ เชน กระจกเงา ภาพโปสเตอร เคร่ืองประดับตกแตงตา ง ๆ ไวบ ริเวณบันได 5. ควรจดั ใหมีพรมหรอื ทเี่ ชด็ เทา บริเวณเชงิ บันได เพอื่ ความปลอดภัย 6. อยา ว่งิ ข้นึ หรอื ลงบนั ได ควรข้นึ ลงดวยความระมดั ระวัง 7. หา มเลนหรอื หยอกลอกนั ในขณะข้นึ หรือลงบนั ได 8. การขึน้ ลงบนั ได ใหข ึน้ ลงทางดา นขวาและจบั ราวบันไดทุกครง้ั 9. อยาปลอยราวบนั ไดจนกวาจะมกี ารข้ึนหรอื ลงบนั ไดเปน ท่ีเรียบรอยแลว
163 10. ในขณะขึ้นหรือลงบันได ใหใชสายตามองข้ันบันไดที่จะกาวตอไปและหาม กระทาํ สง่ิ ใด ๆ ในลักษณะทจ่ี ะกอ ใหเ กดิ อันตราย เชน การอา นหนังสอื หรือคนสง่ิ ของในกระเปาถอื เปนตน 11. อยาขึน้ หรอื ลงบันไดเปน กลมุ ใหญในเวลาเดียวกัน การใชบ ันไดพาดและบนั ไดยืนอยางปลอดภัย 1. กอนใชบันไดพาดหรือบันไดยืน ตองตรวจสอบความแข็งแรงโดยทั่วไป ตอง แนใ จวา ไมม ีรอยหัก รอยราว และมียางกนั ล่ืน 2. เมอื่ ใชบ ันไดพาดกับผนงั ตอ งพาดใหไ ดประมาณ 70 องศาและควรสงู กวาจดุ ท่ีจะ ทาํ งานอยางนอย 60 เซนตเิ มตร 3. ถาเปนไปได ควรยึดหวั และทายของบันไดดวยเชอื ก แตถา ทาํ ไมไดค วรใหค นอื่น ชว ยใชม อื จับยดึ ให 4. พ้ืนวางบันไดตองเรยี บ และปราศจากหลุม บอ หรอื โหนกนนู 5. ขณะปน บนั ไดขน้ึ หรือลงใหม องไปขา งหนาและไมท าํ งานบนบันไดดวยทาทางที่ ไมเ หมาะสม 6. กรณมี แี ผนรองยืนบนบันไดยืน ขาของบันไดตองหางกันไมเกิน 1.8 เมตร และ แผนรองยนื ตองสูงไมเกิน 2 เมตร 7. บนั ไดยนื ตอ งมีตัวล็อกขาท่กี างไวด วย 8. ถาใชบ ันไดยืนในจดุ ทีไ่ มแ นใ จวาจะมีความปลอดภัยเพียงพอตองมีผูชวยคอยยึด จับบนั ไดน้นั ไว 9. อยายืนบนแผน รองยืน เมอ่ื ตอ งอยสู งู เกิน 1.2 เมตร โตะ ทํางาน - เกาอี้ - ตู 1. ตลอดเวลาการทาํ งานไมควรเปดลนิ้ ชกั โตะ ล้นิ ชกั ตเู อกสาร หรอื ตอู นื่ ใดคา งไว ใหป ดทุกครั้งท่ไี มใ ชง าน 2. หา มวางพัสดุ ส่ิงของ หรอื กลอ งใตโตะ ทํางาน 3. หา มเอนหรือพงิ พนกั เกา อี้ โดยใหรับนํา้ หนักเพยี งขางใดขางหนงึ่ 4. ใหมพี นื้ ทเ่ี คล่อื นยา ยเกา อ้ี สาํ หรบั การเขา ออกทส่ี ะดวก 5. หา มวางพัสดุ สิ่งของตา ง ๆ บนหลังตเู พราะอาจตกหลน ลงมาเปนอนั ตราย 6. อยา เปดลน้ิ ชกั ตเู อกสารในเวลาเดียวกนั เกนิ กวา หนึง่ ล้ินชัก 7. การจดั เอกสารใสในลิน้ ชกั ตู ควรจดั ใสเ อกสารจากช้ันลางสุดข้ึนไป เพื่อเปนการ ถวงดุลน้าํ หนัก และใหหลีกเลยี่ งการใสเ อกสารในล้นิ ชกั มากเกนิ ไป 8. ใหใชห ูจบั ล้นิ ชกั ทุกครั้งเม่ือจะเปด ปดลิน้ ชกั เพ่อื ปอ งกันนิว้ ถกู หนบี 9. การจดั วางตลู น้ิ ชกั ตตู อ งไมเ กะกะชองทางเดนิ ในขณะที่ปดใชงาน
164 สายไฟฟา และเตาเสียบ 1. สายไฟฟา ท่มี ีรอยฉกี ขาด หรอื ปลั๊กไฟฟาท่ีแตกราว ตองทําการเปล่ียนทันที หาม พันดว ยเทปพนั สายไฟหรอื ดดั แปลงซอ มแซมอยา งใดอยา งหนึง่ 2. เตาเสียบท่ีชํารุดจะตองทําการซอมแซมโดยทันที ในระหวางรอการซอมแซม จะตองปดหรือครอบ เพ่อื ปอ งกนั ไมใหผูอื่นมาใชง าน 3. เครื่องมือหรืออุปกรณไ ฟฟาตาง ๆ ที่ใชภ ายในสาํ นักงาน ใหว างในตําแหนงท่ีใกล เตาเสยี บมากที่สดุ เพื่อหลีกเล่ียงสายไฟฟาท่ีทอดยาวไปตามพ้ืน หรอื หลีกเลย่ี งการใชส ายตอ ในกรณีที่ ไมอาจวางในตําแหนงใกลเตาเสียบได ใหแสดงเคร่ืองหมายใหชัดเจนเพื่อปองกันการเดินสะดุด สายไฟฟา 4. ในการใชอุปกรณไฟฟาใหแนใจวาแรงดันไฟฟาเหมาะสมกับความตองการ แรงดันไฟฟา ของอุปกรณนั้น ๆ 5. การวางหรือเคลือ่ นยา ยเคร่อื งใชส าํ นักงาน ตองระวงั อยา ใหมีการวางหรือเคล่ือนยาย ไปทับถกู สายไฟฟา การใชเครือ่ งใชส าํ นกั งาน 1. ในขณะขนยายกระดาษควรระมดั ระวังกระดาษบาดมอื 2. ใหเกบ็ ปากกาหรอื ดินสอ โดยการเอาปลายชลี้ ง หรอื วางราบในชิน้ ชัก 3. ใหทาํ การหบุ ขากรรไกรที่เปดซองจดหมาย ใบมดี คัดเตอร หรอื ของมีคมอื่น ๆ ให เขา ท่กี อ นทําการเก็บ 4. การใชเ ครื่องตัดกระดาษ ตองระวงั น้วิ มอื ใหอ ยูหางจากใบมีด ขณะที่กําลังทําการ ตดั กระดาษ และหลีกเลี่ยงการตัดกระดาษจํานวนมากเกินไปพรอมกันทีเดียว ถาไมไดใชงานใหลด ใบมีดลงใหต ่าํ ท่สี ดุ อยายกใบมดี คางเอาไว 5. การแกะลวดเยบ็ กระดาษไมควรใชมือหรอื เลบ็ ใหใ ชท่ดี ึงลวดเย็บกระดาษทกุ ครงั้ 6. เฟอรน ิเจอรทเ่ี ปน โลหะใหท าํ การลบมมุ ทกุ แหงเพ่อื ความปลอดภยั 7. ควรใชบันไดหรือช้ันเหยียบ เมื่อตองการหยิบของในที่สูง ไมควรยืนบนกลอง โตะ หรอื เกา อตี้ ิดลอ 8. หลงั เลกิ งานทกุ วัน ใหป ด ไฟฟาทุกดวงและตัดวงจรอุปกรณไฟฟาภายในหอ งทํางาน ท้งั หมด 9. เคร่อื งใชส ํานกั งานท่อี าจกอใหเกิดอันตราย เชน สายพาน ลูกกลิ้ง เกียร เฟอง ลอ ฯลฯ ถาไมมกี ารติดตั้งอุปกรณปอ งกันอนั ตรายเอาไว ใหตดิ ตัง้ อุปกรณป อ งกนั อนั ตรายน้ันใหเ รียบรอ ย กอนที่จะใชงาน
165 10. หามทําความสะอาด ปรับ แตง หรือเปลี่ยนแปลงสวนประกอบใด ๆ ของ เครอ่ื งใชสํานกั งานทอี่ าจกอ ใหเกิดอันตรายในขณะที่เครอ่ื งกาํ ลังทํางาน 11. ตองทําการศกึ ษาวิธีใชและขอ ควรระวงั ของเคร่อื งใชสํานักงานที่มีอันตรายใหดี กอ นปรับแตง 12. ถามีผูปฏิบัติงานสองคน หรือมากกวาสองคนข้ึนไปทํางานกับเคร่ืองใช สํานักงานที่มีอนั ตรายเครอื่ งเดียวกัน ผูปฏบิ ตั งิ านแตละคนจะตองระมัดระวังซงึ่ กนั และกนั 13. อยาถอดอุปกรณปองกันอันตรายหรือเปดแผงเครื่องใชสํานักงานที่มีอันตราย โดยเด็ดขาด กรณเี ครอ่ื งขดั ขอ งใหต ิดตอชางเพอื่ มาทาํ การซอ มแซม 14. เคร่ืองใชสํานักงานท่ีใชกําลังไฟฟาและมิไดเปนชนิดที่มีฉนวนหุมสองชั้น จะตองมีระบบสายดินติดอยูที่ครอบโลหะผานปลั๊ก และหามมีการดัดแปลงปล๊ักเพ่ือตัดวงจรสายดิน ออก 15. ใหตดั กระแสไฟฟาของเครอื่ งใชสํานกั งานที่ใชไ ฟฟาทุกครั้งที่ไมใชหรือเมื่อจะ ปรบั แตง เครื่อง การใชลิฟต 1. ในขณะเกิดเพลงิ ไหม หามทกุ คนใชล ิฟต ใหใชบ นั ไดหนีไฟเทานั้น 2. กอนใชลิฟตทุกครั้งใหสังเกตวาตัวลิฟตเล่ือนมาอยูในระดับเดียวกับพื้นแลว หรือไม ถา ตัวลิฟตอ ยูตางระดับกบั พ้นื ใหร ะมดั ระวังการสะดุดขณะเดินเขาลิฟต สําหรับสุภาพสตรีท่ี สวมรองเทา สน สูงหรอื สนเล็กตอ งกาวขา ม เพ่อื ปองกนั การลื่นและหกลม 3. ในการใชล ฟิ ต ใหเขา ลิฟตอ ยางรวดเรว็ และระมดั ระวัง อยาลงั เลใจ 4. หา มสบู บหุ ร่ีในลฟิ ต 5. เม่ือลิฟตเล่ือนถึงชั้นที่ตองการ ใหรอประตูลิฟตเปดเต็มท่ีแลวกาวออกจากลิฟต อยางรวดเร็ว
166 6. หา มใชม อื จับหรือดันประตูลิฟตเพื่อใหลิฟตรอบุคคลอื่น ใหใชปุมควบคุมประตู ลิฟตท ต่ี ิดตั้งอยภู ายในลฟิ ต 7. ในกรณีเกิดเหตฉุ กุ เฉนิ ขณะอยูในลิฟต ใหปฏิบัติตามขอแนะนํา ซ่ึงติดอยูภายใน ลิฟต พยายามควบคุมสติใหได อยา ตกใจเปนอันขาด กิจกรรม 5 ส สคู วามปลอดภยั สถานที่ทํางานจะปลอดภัยดว ยการปฏบิ ัติ 5 ส สถานทีด่ ําเนนิ กิจกรรม 5 ส จะปลอดภัยกวา ถูกสุขอนามัยกวา และมีการผลิตดีกวา ในการทาํ ใหสถานท่ที าํ งานนา อยู นาดู สะดวกสบายและปลอดภยั นน้ั จะตอ งกําจัดส่ิงที่ไมตองใชแลว ออกไปใหห มด และจดั ส่ิงที่จะเกบ็ ใหเปนหมวดหมู เพอ่ื ความสะดวก สะอาด และสวยงาม กิจกรรม 5 ส สะสาง : แยกรายการสง่ิ ของทจี่ ําเปนและไมจ ําเปน ทง้ิ สิ่งของทไ่ี มจ าํ เปน ออกไปใหม ากที่สดุ เทา ทีจ่ ะทาํ ได สะดวก : เก็บเครื่องมืออุปกรณไวในที่ท่ีใชไดสะดวกและเก็บในสภาพที่ ปลอดภัย สะอาด : จดั ระเบียบการดูแลความสะอาดของสถานที่ทํางาน เชน การกําจัด ฝนุ ละออง สขุ ลกั ษณะ : ดูแลเส้ือผาและรักษาสภาพสถานท่ีทํางานใหสะอาดเรียบรอย อยา ปลอยใหสกปรกรกรุงรงั เปน เดด็ ขาด สรางนสิ ยั : ปฏิบัติ 4 ส ขา งตน จนเปนนิสัย 1.6 ความปลอดภยั ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปจจบุ ันการประกอบอาชพี เกษตรกรรม มีการนําเคร่อื งจักรกล เชน รถแทรกเตอร
167 รถไถนา เคร่ืองเก็บเก่ียว เครื่องผอนแรง เปนตน และสารเคมี เชน ปุยเคมี สารกําจัดศัตรูพืช สารฆา แมลง เขามาใชอยางมากมาย เพ่อื ชว ยเพ่ิมผลผลติ ซึ่งสิ่งเหลานี้หากนาํ ไปใชอยางไมถูกตองจะมีผลเสีย ตอสขุ ภาพและชวี ิต อนั ตรายจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มี 5 ประการ ดงั น้ี ประการที่ 1 สารเคมี เชน ปุย สารกําจัดศัตรูพืช สารฆาแมลง สารพิษปราบวัชพืช สารกาํ จดั เชอื้ รา สารกําจดั สตั ว สารพิษกาํ จัดสาหราย ไสเ ดอื นฝอย หอยทาก สารเคมีเหลาน้ีหากใชถูก วธิ กี ็มปี ระโยชน หากใชผ ิดวิธีเปน โทษอยางมากเชน กนั เกษตรกรจาํ เปนตองทราบสิง่ เหลานี้ วิธีเกบ็ การใช โดยอานจากฉลากขา งภาชนะบรรจุ เมอ่ื ใชหมดแลวตอ งทําลายภาชนะบรรจุโดยการเผาหรอื ฝง ไมค วรสูบบุหรี่ขณะทําการฉดี พน ระวังการสมั ผสั สารเคมีทผ่ี ิวหนงั เนอื่ งจากสามารถดดู ซมึ ทางผวิ หนังได ระวงั การสูดดมหายใจเขาสูทางเดนิ หายใจ ไมยืนใตลมขณะฉดี พน สารเคมี เครอ่ื งใชตาง ๆ สาํ หรบั การฉดี พน ตอ งดูแลไมใหเส่อื มสภาพ รว่ั ซมึ เวลาผสมยาหามใชมอื กวน ประการที่ 2 อันตรายจากฝุนท่ีเกิดจากเกษตรกรรม ฝุนเกิดขึ้นจํานวนมากใน กจิ กรรมนวดขาว และกจิ กรรมอ่ืน ๆ ในนา ปญหาที่เกิดขึ้นคือ ฝุนจะเปนสวนที่รับเอาเช้ือรา ละออง เกสรดอกไม และพวกสเปอรป ะปนอยู และจะนําโรคสูคนได ทําใหผูสัมผัสเกิดเช้ือรา โรคปอดฝุนฝาย โรคปอดชานออ ย โรคปอดชาวนา วิธปี องกัน คอื เกษตรควรสวมหนา กากปอ งกันฝุน รกั ษาความสะอาดของผิวหนงั หลงั เสรจ็ งานแลว ใชวิธีพนนํา้ เพ่อื ลดการฟุง กระจายของฝุน หาความรูเพื่อปองกันตัวเอง รวมท้ังเพ่ือใหทราบถึงภัยตาง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เชน อาการเกดิ โรค จะไดส ามารถปองกันตัวเองไมใหเ กดิ โรคลุกลามตอไป ประการท่ี 3 อนั ตรายจากการเปนโรคติดเชอ้ื จากสัตว ทส่ี าํ คญั คอื มา วัว ควาย แกะ แพะ สุกร สนุ ขั สัตวป า ทก่ี นิ เนื้อ นก เปด ไก เปน ตน โรคติดเชื้อท่ีสําคัญ ไดแก โรคแอนแทรกซ โรค กลวั นาํ้ บาดทะยัก เลพโตสไปโรซีส กลากเกลอ้ื น ของเช้ือรา วธิ ปี องกนั คอื
168 เกษตรกรควรทราบแหลง โรค วธิ ีการแพรโรค เมือ่ สัตวปวยตองเผาหรือฝง ทาํ ลายเช้ือ ฉดี วัคซนี ปองกนั โรคแกสัตว รักษาความสะอาดของผิวหนัง ระวังมิใหสัมผัสกับผิวหนังของสัตวที่เปน โรค ทาํ ความสะอาดแผลทันทเี มื่อมีบาดแผลเกดิ ข้นึ ประการท่ี 4 อันตรายจากความรอน แสง เสยี ง ความสั่นสะเทอื น เกษตรกรอาจเปน ตะคริว ออ นเพลยี หรือเปน ลม อันเน่อื งมาจากการไดรับความรอนทีม่ าจากแสงอาทติ ย หรือไดร บั เสียง ดงั จากเคร่ืองจักรกล ซ่ึงมีผลตอสุขภาพจิตดวย รวมท้ังเกิดอาการหูตึง หรือหูหนวกได อันตรายจาก แสงจา ซงึ่ พบมากทําใหเ กิดตอ สูญเสยี การมองเห็น และในการใชเคร่อื งจักรกม็ ปี ญ หา การสน่ั สะเทือน จากเครอ่ื งจักร เชน รถแทรกเตอร เครอื่ งเกีย่ วขา ว เคร่อื งไถ เคร่อื งเจาะ เล่ือยไฟฟา ความส่ันสะเทือนมี อนั ตรายตอ มือและแขน ทําใหเกิดอาการปวดขอตอ เมื่อยลา ระบบยอยอาหารผิดปกติ กระดูกอักเสบ วิธปี องกนั อนั ตรายเหลา น้ไี ดแ ก การสวมใสอุปกรณปองกนั อนั ตรายสวนบคุ คล เชน ถงุ มือ อุดหู การปอ งกนั เก่ียวกบั ความรอน ทาํ ไดโ ดยใหส วมเสอื้ ผาหนา แขนยาว แตเปน ผา ที่ระบายอากาศไดด ี ด่มื นํ้าผสมเกลือใหเขม ขน ประมาณ 0.1% หยุดพกั ระหวางงานบอยขนึ้ หากอากาศรอนจัดมาก ประการท่ี 5 อุบัติเหตุในงานเกษตรกรรม เชน การถูกของมีคมบาด ไดแก มีด ขวาน เคยี ว เมื่อเกิดบาดแผลเกษตรกรไมมีเวลาที่จะทําความสะอาดแผลหรือปฐมพยาบาลโดยทันที โอกาสทจ่ี ะไดรับเช้อื โรค เชน โรคบาดทะยัก จึงพบบอย และเปนสาเหตุการตายท่ีสําคัญหรือการใช เคร่อื งยนตท่ใี ชไ ฟฟาก็อาจเกิดไฟฟา ดูด หรือเกิดการไหมต ามผวิ หนงั ข้ึนได ซึ่งควรตอ งเรยี นรเู รอ่ื งการ ใชไฟฟา ใหถ กู ตองดวย นอกจากน้ยี งั มอี ันตรายจากการใชเครอ่ื งยนต เชน เชอื ก โซ สายพาน หนบี หรอื บีบอัด ทาํ ใหม อี บุ ัตเิ หตุเกิดขึน้ ท่ีน้วิ มอื เปนสว นใหญ โรคจากการทํางานท่ีสําคัญและพบบอยที่สุดในเกษตรกรคือ การปวดหลังจากการ ทํางานอนั เน่อื งมาจากทาทางการทาํ งานที่ฝน ธรรมชาติ ทําใหเกิดอาการปวดเม่ือยกลามเน้ือ การปวด เมื่อยกลามเน้ือทเี่ กดิ ขน้ึ ซา้ํ ๆ ทกุ วนั เรียกวา โรคบาดเจ็บซํ้าซาก หรือโรคบาดเจ็บซํ้าบอย สามารถแกไข ได ควรจะไดเรยี นรวู ิธีการหาเครอ่ื งทุนแรงหรือประยุกตวิธีการทํางานเพื่อบรรเทาอาการเหลาน้ันให ลดนอ ยลง ตัวอยา งเชน การใชเ คร่ืองหวา นเมลด็ พชื แทนการกม เงยในการหวานโดยคนก็จะทําใหการ ทํางานเปนสุขขนึ้ ได
169 เร่ืองท่ี 2 การปฐมพยาบาลเบือ้ งตน การปฐมพยาบาล คือ การใหก ารชวยเหลือเบ้ืองตน ตอผปู ระสบอันตราย หรือเจบ็ ปว ย ณ สถานทเ่ี กดิ เหตุกอนท่ีจะถงึ มอื แพทย หรอื โรงพยาบาล เพ่อื ปอ งกนั มิใหเ กดิ อนั ตรายแกชีวติ หรือ เกิดความพกิ ารโดยไมสมควร วัตถุประสงคของการปฐมพยาบาล 1. เพื่อใหมชี วี ติ อยู 2. เพือ่ ไมใหไ ดร บั อันตรายเพมิ่ ขึ้น 3. เพ่ือใหกลับคืนสูส ภาพเดิมไดโดยเรว็ หลกั ทั่วไปในการปฐมพยาบาล 1. อยาต่นื เตน ตกใจ และอยา ใหคนมงุ เพราะจะแยง ผบู าดเจบ็ หายใจ 2. ตรวจดวู าผูบาดเจ็บยงั รสู ึกตวั หรือหมดสติ 3. อยากรอกยา หรอื นา้ํ ใหแกผ ูบาดเจบ็ ในขณะทไ่ี มรูสกึ ตวั 4. รีบใหการปฐมพยาบาลตอ การบาดเจ็บทอี่ าจทาํ ใหเ กดิ อันตรายถงึ แกช ีวติ โดยเร็ว กอ น สวนการบาดเจ็บอืน่ ๆ ทไี่ มรนุ แรงมากนักใหด าํ เนนิ การปฐมพยาบาลในลําดบั ถดั มา การบาดเจ็บทต่ี อ งไดรบั การชว ยเหลือโดยเร็ว คอื 1. การขาดอากาศหายใจ 2. การตกเลือด และมอี าการชอ็ ก 3. การสมั ผัส หรอื ไดรับสง่ิ มพี ิษทรี่ นุ แรง การปฐมพยาบาลเมื่อเกดิ อาการบาดเจบ็ ขอเคล็ด สาเหตุ เกิดจากการฉกี ขาด หรือการยดึ ตวั ของเน้อื เย่ือ กลา มเน้ือ หรอื เสนเอน็ รอบขอ ตอ อาการ - เวลาเคลือ่ นไหวจะรูสกึ ปวดบริเวณขอ ตอ ท่ีไดรับอนั ตราย - บวมแดงบริเวณรอบ ๆ ขอ ตอ
170 การปฐมพยาบาล - อยาใหขอ ตอ บรเิ วณทีเ่ จบ็ เคลอื่ นไหว - อยาใหของหนกั กดทบั บริเวณขอทเี่ จบ็ - ควรประคบดว ยความเย็นไวกอน - ถามีอาการปวดรนุ แรง ใหรีบนาํ ไปพบแพทย ขัดยอก สาเหตุ เกดิ จากการทก่ี ลา มเน้ือยึดตวั มากเกินไป ซึง่ เกดิ ขนึ้ เพราะการเคล่ือนไหวอยางรนุ แรง และรวดเรว็ มากเกนิ ไป อาการ เจบ็ ปวดบริเวณท่ไี ดรบั บาดเจบ็ ตอมามีอาการบวม การปฐมพยาบาล - ใหผ ูบาดเจบ็ นงั่ หรือนอนในทาที่สบาย และปลอดภัย - ถาปวดมากอาจบรรเทาอาการโดยการประคบความเย็นกอ น แลวตอดวยประคบ ความรอน ตาบาดเจบ็ การปฐมพยาบาลเกยี่ วกับตานนั้ ควรใหการปฐมพยาบาลเฉพาะตาท่บี าดเจ็บเลก็ นอ ย เทานนั้ ถาบาดเจ็บรุนแรงใหหาผา ปดแผลสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลว นาํ ผูบาดเจ็บสง โรงพยาบาล โดยเร็ว ผงเขาตา สาเหตุ - มสี ิง่ แปลกปลอมเขาตา - ระคายเคอื งตา คัน หรือปวดตา การปฐมพยาบาล - ใชน า้ํ สะอาดลางตาใหทั่ว - ถาผงไมอ อกใหห าผา สะอาดปดตาหลวม ๆ แลวนาํ ผบู าดเจบ็ ไปพบแพทย
171 สารเคมีเขาตา สาเหตุ กรด หรือดา งเขา ตา อาการ - ระคายเคอื งตา - เจบ็ ปวด และแสบตามาก การปฐมพยาบาล - ใหลางตาดว ยนา้ํ ทส่ี ะอาดโดยวิธกี ารใหน ํ้าไหลผา นลกู ตา จนกวาสารเคมี จะออกมา - ใชผา ปดแผลทสี่ ะอาดปดตาหลวม ๆ แลวนําผูบาดเจ็บไปพบแพทย โดยเร็วทส่ี ุด ไฟไหม หรอื นาํ้ รอ นลวก สาเหตุ บาดแผลอาจจะเกดิ จากถูกไฟโดยตรง ประกายไฟ ไฟฟา วตั ถุที่รอ นจดั นาํ้ เดือด สารเคมี เชน กรด หรอื ดา งทีม่ คี วามเขมขน อาการ แบง เปน 3 ลักษณะ - ลกั ษณะที่ 1 ผิวหนังแดง - ลกั ษณะท่ี 2 เกดิ แผลพอง - ลกั ษณะที่ 3 ทําลายชน้ั ผิวหนงั เขา ไปเปน อนั ตรายถงึ เนือ้ เยือ่ ทีอ่ ยใู ตผิวหนงั บางครง้ั ผูบ าดเจ็บจะมีอาการชอ็ ก การปฐมพยาบาล บาดแผลในลกั ษณะที่ 1 และ 2 ซงึ่ ไมส าหสั ใหปฐมพยาบาลดงั น้ี - ประคบดว ยความเย็นทนั ที - ใชน้าํ มนั ทาแผลได และปด แผลดวยผาทส่ี ะอาด ใชผ า พนั แผลพันแตอยา ใหแนน มาก บาดแผลในลักษณะที่ 3 ใหปฐมพยาบาลดงั นี้ - ถาผบู าดเจ็บมอี าการช็อก รีบใหก ารปฐมพยาบาลอาการชอ็ กกอ น
172 - หามดึงเศษผาทถ่ี ูกไฟไหมซึ่งตดิ อยูกับรา งกายออก - นาํ ผบู าดเจบ็ สงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สดุ เทาที่จะทาํ ได กระดูกเคลือ่ น สาเหตุ กระดกู เคลื่อนเกดิ ขึน้ เพราะปลายกระดูกขางหนง่ึ ซ่ึงประกอบกันเขาเปน ขอ ตอ เคลอ่ื นท่ีหลดุ ออกจากเสนเอ็นทห่ี ุม หอ บรเิ วณขอ ตอไว อาการ - ตึงและปวดมากบรเิ วณขอตอทหี่ ลุด - ขอ ตอ จะมรี ูปรา ง และตาํ แหนง ผิดไปจากเดมิ การปฐมพยาบาล - จดั ใหผ บู าดเจ็บอยใู นทาทีส่ บายท่ีสุด - หามกด หรอื ทําใหขอตอน้ันเคลอื่ นไหวเปนอนั ขาด - นาํ ผบู าดเจบ็ สง แพทยใ หเรว็ ท่ีสุด - การเคล่อื นยา ยผูบาดเจบ็ ควรใชเปลหาม กระดูกหกั กระดกู หกั มีอยู 2 แบบ คือ 1. กระดกู หักชนดิ ธรรมดา หรือชนดิ ปด ไดแ ก การมกี ระดกู หกั เพยี งอยา งเดยี ว ไมแทงทะลุผวิ หนังออกมา 2. กระดกู หักชนิดมีบาดแผล หรอื ชนิดเปด ไดแก การมกี ระดกู หักแลว แทงทะลุ ผวิ หนังออกมา หรอื วัตถุจากภายนอกแทงทะลุผวิ หนงั เขาไปกระทบกบั กระดูก ทําใหก ระดกู หัก อาการ - บวม - เวลาเคล่อื นไหวจะเจ็บบรเิ วณทไ่ี ดร บั อนั ตราย - ถา จบั บรเิ วณที่ไดรบั อันตรายจะรสู ึกนุมนิ่ม และอาจมเี สยี งปลายกระดกู ทห่ี กั เสียด สกี นั - อวัยวะเบย้ี วบดิ ผดิ รปู
173 การปฐมพยาบาล - อยาเคล่ือนยา ยผปู ระสบอนั ตราย นอกจากจะจําเปน จรงิ ๆ การเคลือ่ นยาย อาจทาํ ใหบ าดเจ็บมากขนึ้ ไปอกี - คอยระวังใหป ลายกระดกู ท่แี ตกอยนู ิง่ ๆ - ปอ งกันอยาใหเกดิ อาการช็อก - ถา กระดกู ทีห่ ักแทงทะลุผวิ หนังออกมาขางนอก ใหหา มเลือดโดยใชน ว้ิ กด หรือใชสายสําหรับรดั หา มเลือด - ใชผ า ปด แผลทีส่ ะอาด ปดปากแผล หรอื กระดกู ทโ่ี ผลอ อกมา - ถามคี วามจําเปน ทจี่ ะตองเคลือ่ นยา ยผูบาดเจบ็ ควรใชเ ฝอกชั่วคราว สายคลอ งแขน หมอน และเปลเฝอ กชวั่ คราวอาจทาํ ดวยวตั ถใุ ด ๆ ก็ไดท ่อี ยใู กลม อื เชน กระดาน มว น หนังสอื พิมพ มว นฟาง หรอื รม ใหผกู เฝอ กกบั แขน หรอื ขาตรงท่ีหักทั้งขางลาง และขา งบน และถา สามารถทาํ ไดใหผกู มัดจากท่ี ๆ แตกไปทงั้ สองขา ง จะทําใหเฝอ กชว่ั คราวแขง็ แรงขนึ้ ใชก ระดาษ ผา สําลี หรอื วัตถอุ ื่น ๆ ทค่ี ลา ยกันรองเฝอก เพือ่ ใหบรเิ วณที่ไดรบั อนั ตรายอยใู นระดบั เดยี วกัน ซง่ึ การทํา วธิ นี ี้เฝอกจะพอดี ไมก ดกระดกู บางแหง มากเกนิ ไป สําหรบั การใสเ ฝอกทแ่ี ขนหรอื ขาน้ัน ควรใสให รอบทกุ ดา นดกี วาใสเ ฉพาะดา นใดดา นหน่ึง และใหใ ชผ าเปนชน้ิ ๆ หรอื เชือกทีเ่ หนยี ว ๆ ผูกเฝอ ก แต ผา สาํ หรับผูกในยามฉุกเฉินทดี่ ีทส่ี ุดกค็ อื ผาพนั แถบยาว ๆ - บางครั้งกอ นจะเขา เฝอกจาํ เปน ตองเคล่อื นยายผบู าดเจบ็ บา งเล็กนอย ควรจะใหใคร คนหน่งึ จับแขน หรอื ขาสวนท่ีอยูเ หนอื และสวนทอี่ ยตู าํ่ กวาบรเิ วณทกี่ ระดกู นั้นหักใหอยูน ิ่ง ๆ สวนคน อน่ื ๆ ใหช ว ยกันรบั น้ําหนกั ของรา งกายไว วิธีทีด่ ที ่ีสดุ กค็ อื ใชเ ปลหาม - กระดูกสันหลัง หรือคอหัก หรือสงสัยวาจะหัก จะตองใชความระมัดระวังเปน พิเศษ ถา คนเจ็บหมดสติอาจจะไมร ูว ากระดูกคอ หรอื กระดกู สนั หลังหัก นอกจากผทู ําการปฐมพยาบาล น้ันจะมคี วามรูในเรอื่ งน้ีเปนพเิ ศษ กระดกู หกั ธรรมดาอาจจะกลายเปน กระดกู หกั ชนิดมีบาดแผลไดถา หากไมระมดั ระวังในการเคลอ่ื นยา ยผบู าดเจ็บ ดงั นั้น หากสามารถทาํ ไดค วรงดเวนการเคล่อื นยายใด ๆ จนกวาแพทยจ ะมาทําการชวยเหลือ การเคลอ่ื นยายผูทก่ี ระดูกคอหกั - เมื่อจะทําการเคลื่อนยายผูบาดเจ็บท่ีกระดูกคอหัก ใหเอาบานประตู หรือแผน กระดานกวา ง ๆ มาวางลงขางคนเจ็บ ใหปลายกระดานเลยศีรษะคนเจ็บไปประมาณ 4 น้ิว เปนอยาง นอ ย - ถาผูบาดเจ็บนอนหงาย ใหใ ครคนหนึ่งคกุ เขาลงเหนือศรี ษะ ใชมือทั้งสองจับศีรษะ ไวใหนิง่ ๆ เพอื่ ใหศรี ษะ และหัวไหลเ คลือ่ นไหวเปน จังหวะเดียวกันกับรางกาย สวนคนอื่น ๆ จะเปน คนเดียว หรอื หลายคนกไ็ ดชวยกนั จบั เสื้อผาของผบู าดเจ็บตรงหวั ไหล และตะโพก แลว
174 คอ ย ๆ เลอื่ นผูบาดเจบ็ น้นั วางลงบนแผน กระดาน หรอื บานประตู ใหผบู าดเจ็บนอนหงายอยายกศีรษะ ขึ้น และอยาใหค อบิดไปมา - ถาผูบาดเจ็บนอนควํ่าหนา ควรจะวางบานประตู หรือกระดานลงขาง ๆ ตัว ผูบาดเจบ็ นัน้ เอาแขนเหยยี ดไปทางศีรษะ คกุ เขาลงเอามือจับขางศีรษะของผูบาดเจ็บ โดยใหมือปดหู และมุมขากรรไกร แลวคอยพลิกคนเจ็บใหนอนหงายบนกระดาน เวลาพลิกใหนอนหงายจะตองให ศรี ษะอยนู ่ิง ๆ และใหอยรู ะดับเดยี วกับลาํ ตวั ทงั้ ศรี ษะ และลาํ ตวั จะตองพลิกใหพ รอ ม ๆ กัน - ระหวางทที่ าํ การเคลอ่ื นยาย ควรจะใชหนังรัด หรือผาพันแผลก็ไดหลาย ๆ อัน รัด รอบตัวของผบู าดเจบ็ ใหต ิดแนน กบั แผนกระดาษ หรอื ถามเี ปลก็ใหใ ชเ ปลหาม การเคลอ่ื นยา ยผทู กี่ ระดูกสนั หลงั หกั - อยารีบยกผูบาดเจ็บที่สงสัยวากระดูกสันหลังจะหัก ตองถามกอนวาสามารถ เคลื่อนไหว ไดห รือไม ถา ผบู าดเจบ็ ไมไดสติ และสงสยั วา จะไดร ับอนั ตรายทกี่ ระดกู สันหลงั ใหปฏิบัติ เชน เดยี วกบั ผูทีก่ ระดกู คอหัก - ถา พบคนท่ีสงสยั วากระดูกสันหลังหักนอนควํ่าหนาอยู คอย ๆ พลิกใหนอนหงาย ลงบนแผนกระดาน หรอื เปล แลวหาอะไรมารองสนั หลงั ตอนลา ง - ถาผบู าดเจ็บนอนหงาย คอ ย ๆ เลอื่ นใหน อนบนกระดาน โดยปฏบิ ัตเิ ชน เดยี วกับผูที่ กระดกู คอหกั - ผบู าดเจบ็ ทสี่ งสัยวา กระดูกสนั หลังหัก หามยกในทา น่งั โดยเดด็ ขาด กะโหลกศีรษะแตก สมองไดรบั ความกระทบกระเทอื น ผูทป่ี ระสบอนั ตรายจนกะโหลกศรี ษะแตก หรือสะเทือน จะมีอาการเลือดออกทางหู ตา และจมกู อาจมีของเหลวสขี าวไหลออกมาจากหู ตาดาํ อาจจะมีขนาดไมเทากัน หนาแดง หรือซีดก็ ได การปฐมพยาบาล - ถา หนา มีสปี กติ หรอื สีแดง ควรวางผูบ าดเจบ็ นอนลง แลวหนนุ ศรี ษะใหส ูงเล็กนอย ถาหนา ซดี ควรวางศีรษะในแนวราบ - พลกิ ศีรษะใหอ ยใู นลกั ษณะท่ไี มถ ูกทับบรเิ วณท่สี งสยั วา กระดกู จะแตก - ถามีบาดแผลปรากฏใหหามเลือด และปดบาดแผลดวยผาปดแผลที่สะอาด ผูก ผาพันแผลดา นตรงขา มกับบาดแผล - ใหค วามอบอุนแกผ บู าดเจ็บอยเู สมอ และอยา ใหส ารกระตุนใด ๆ แกผบู าดเจ็บ
175 การหา มเลอื ดเมอื่ เกดิ อนั ตรายจากของมคี ม วธิ หี ามเลอื ดมีหลายวธิ ี ไดแ ก 1. การกดดว ยนิว้ มือ มีวธิ ปี ฏบิ ตั ดิ งั น้ี - ในกรณีทบ่ี าดแผลเลือดออกไมม าก จะหา มเลอื ดโดยใชผาสะอาดปดท่บี าดแผลแลว พนั ใหแนน ถายังมีเลอื ดไหลซึม ใหใ ชนิ้วมอื กดตรงบาดแผลดว ยกไ็ ด - ในกรณีที่เสน โลหิตแดงใหญขาด หรือไดร บั อนั ตรายอยา งรุนแรงเปนบาดแผลใหญ ควรใชนว้ิ มือกดเพ่อื หา มเลอื ดไมใ หไ หลออกมา และใหก ดลงบรเิ วณระหวางบาดแผลกบั หัวใจ เชน - เลอื ดไหลออกจากหนังศีรษะ และสว นบนของศรี ษะ ใหกดทีเ่ สนเลือดบริเวณขมับ ดานที่มีบาดแผล - เลอื ดไหลออกจากใบหนา ใหกดทีเ่ สน เลือดใตข ากรรไกรลา งดา นทม่ี ีบาดแผลหาง จากมุมขากรรไกรไปขา งหนา ประมาณ 1 นวิ้ - เลือดไหลออกมาจากคอ ใหกดลงไปบริเวณตนคอขาง ๆ หลอดลมดานท่ีมี บาดแผล แตก ารกดตาํ แหนงนนี้ านๆ อาจจะทาํ ใหผูถกู กดหมดสติได ฉะนั้นควรใชว ิธีนี้ตอเมอ่ื ใชว ธิ อี น่ื ๆ ไมไดผลแลว เทา นัน้ - เลอื ดไหลออกมาจากแขนทอนบน ใหก ดลงไปท่ไี หปลาราตอนบนสดุ ใกลหัวไหล ของแขนดา นท่มี บี าดแผล - เลือดไหลออกมาจากแขนทอนลาง ใหกดที่เสนเลือดบริเวณแขนทอนบนดานใน กึ่งกลางระหวางหัวไหลกับขอ ศอก - เลือดออกทข่ี า ใหกดเสนเลือดบริเวณขาหนบี ดา นที่มบี าดแผล 2. การใชสายรดั หามเลอื ด ในกรณีทเ่ี ลือดไหลออกจากเสน โลหติ แดงทแ่ี ขน หรอื ขา ใชนิ้วมือกดแลว เลือด ไมห ยดุ ควรใชสายสําหรับหามเลือดโดยเฉพาะ - สายรัดสําหรับแขน ใหใชรัดเสนโลหิตที่ตนแขน สายรัดสําหรับขาใหใชรัดเสน โลหิตท่ีโคนขา - อยา ใชส ายรัดผกู รัดใหแนนเกินไป และควรจะคลายออกเปนเวลา 3 วินาที ทุก ๆ 10 นาที จนกวาเลือดจะหยุด - ถาไมม ีสายรัดแบบมาตรฐาน อาจใชวัตถุท่ีแบน ๆ เชน เข็มขัด หนังรัด ผาเช็ดตัว เนคไท หรอื เศษผา ทําเปน สายรัดได แตอยา ใชเ ชอื กเสน ลวด หรอื ดา ยทาํ เปนสายรัด เพราะอาจจะบาด หรือเปนอันตรายแกผ วิ หนงั บริเวณทีผ่ ูกได
176 3. การยกบริเวณทมี่ บี าดแผลใหส งู กวาหวั ใจ ในกรณีท่มี บี าดแผลเลือดออกที่เทา จดั ใหผบู าดเจ็บนอนลงแลวยกเทา ขึ้น กิจกรรม ใหผเู รยี นรวบรวมขอมูลการไดรบั อนั ตรายจากการทํางานของตนเอง สมาชิกใน ครอบครัว และเพอื่ นรวมงาน ดังนี้ 1. ขาพเจาเคยไดร บั อนั ตรายจากการทํางาน ดังนี้ งาน / หนาที่ทีป่ ฏบิ ัติ หรอื เคยปฏิบัต.ิ ..................................................................................... ........................................................................................................................................... อันตรายที่เคยไดรับ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... การปอ งกนั และแกไข 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... 2. สมาชิกในครอบครวั เคยไดรบั อนั ตรายจาการทาํ งาน คือ ......................................................... งาน / หนา ทีท่ ีป่ ฏบิ ัติ หรอื เคยปฏิบตั .ิ ................................................................................. .................................................................................................... ...................................... อันตรายทเี่ คยไดร ับ 1. .................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... การปองกนั และแกไข 1. ..................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .....................................................................................................................................
177 3. เพื่อนรวมงานท่ีเคยไดรบั อนั ตรายจากการทํางาน ดงั น้ี งาน / หนา ทที่ ปี่ ฏิบัติ หรือเคยปฏิบัต.ิ ................................................................................. .................................................................................................... ...................................... อันตรายทเี่ คยไดรบั 1. ..................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. ..................................................................................................................................... การปองกนั และแกไข 4. .................................................................................................................................... 5. .................................................................................................................................... 6. ....................................................................................................................................
178 บทท่ี 9 ทักษะชวี ิตเพอื่ การส่อื สาร สาระสําคญั การมคี วามรคู วามเขาใจเกี่ยวกบั ทักษะท่ีจําเปนสําหรับชีวิตมนุษย โดยเฉพาะทักษะ การสื่อสาร ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบคุ คล ทกั ษะการเขาใจผูอื่น จะชวยใหบ ุคคลดํารงชวี ติ อยูในครอบครัว ชมุ ชน และสงั คมอยางมคี วามสุข ผลการเรียนรทู ี่คาดหวงั เพอ่ื ใหผูเรยี น 1. มีความรูความเขาใจเก่ียวกับทักษะชีวิตที่จําเปน 3 ประการ ไดแก ทักษะการ ส่ือสาร ทักษะการสรางสมั พนั ธภาพระหวางบคุ คล และทกั ษะการเขา ใจผอู น่ื 2. ประยกุ ตใชท กั ษะชวี ติ ในการดาํ เนนิ ชีวิต และในการทํางานอยา งมีประสทิ ธิภาพ ขอบขายเน้อื หา เรอื่ งที่ 1 ความหมายของทักษะชีวิต เรอ่ื งท่ี 2 ทกั ษะชวี ิตท่จี าํ เปน 3 ประการ
179 เรื่องที่ 1 ความหมายของทกั ษะชวี ิต คําวา ทักษะ (Skill) หมายถงึ ความชดั เจน และความชํานาญในเรอ่ื งใดเร่อื งหนง่ึ ซึ่ง บคุ คลสามารถสรางขนึ้ ไดจากการเรยี นรู ไดแ ก ทักษะการอาชีพ การกฬี า การทํางานรวมกับผูอ่ืน การ อาน การสอน การจัดการ ทักษะทางคณติ ศาสตร ทกั ษะทางภาษา ทักษะทางการใชเทคโนโลยี ฯลฯ ซ่ึง เปนทักษะภายนอกทส่ี ามารถมองเห็นไดชัดเจนจากการกระทํา หรือจากการปฏิบัติ ซึ่งทักษะดังกลาว นั้นเปนทักษะท่ีจําเปนตอการดํารงชวี ิต ทีจ่ ะทาํ ใหผ ูมที ักษะเหลานั้นมีชีวิตที่ดี สามารถดํารงชีพอยูใน สังคมได โดยมโี อกาสที่ดีกวาผไู มมีทักษะดังกลาว ซึ่งทักษะประเภทนี้เรียกวา Livelihood skill หรือ Skill for living ซึ่งเปนคนละอยางกับทักษะชีวิต ที่เรียกวา Life skill (ประเสริฐ ตันสกุล) ดังน้ัน ทกั ษะชวี ิต หรอื Life skill จงึ หมายถงึ คุณลกั ษณะ หรอื ความสามารถเชงิ สงั คม จิตวทิ ยา (Psychosocial competence) ที่เปนทักษะภายในท่ีจะชวยใหบุคคลสามารถเผชิญสถานการณตาง ๆ ที่เกิดข้ึนใน ชีวิตประจาํ วนั ไดอ ยา งมีประสทิ ธภิ าพ และเตรียมพรอ มสําหรบั การปรบั ตวั ในอนาคต ไมวาจะเปนเรอ่ื ง การดแู ลสขุ ภาพ เอดส ยาเสพตดิ ความปลอดภัย ส่ิงแวดลอม คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพอ่ื ใหส ามารถมี ชีวติ อยูในสังคมไดอ ยา งมีความสุข หรือจะกลาวงา ย ๆ ทักษะชีวิต ก็คือ ความสามารถในการแกปญหา ท่ีตอ งเผชิญในชีวติ ประจําวัน เพ่ือใหอ ยรู อดปลอดภยั และสามารถอยูร วมกับผอู น่ื ไดอยา งมีความสขุ 1.1 องคป ระกอบของทกั ษะชวี ิต องคป ระกอบของทักษะชีวิต จะมีความแตกตางกันตามวัฒนธรรม และสถานที่ แต ทกั ษะชีวิตทจ่ี าํ เปนที่สุดที่ทุกคนควรมี ซ่ึงองคการอนามัยโลกไดสรุปไว และถือเปนหัวใจสําคัญใน การดํารงชวี ิต คอื 1. ทักษะการตัดสินใจ (Decision making) เปนความสามารถในการตัดสินใจ เกี่ยวกบั เรือ่ งราวตา ง ๆ ในชีวติ ไดอ ยางมีระบบ เชน ถา บคุ คลสามารถตัดสนิ ใจเกี่ยวกับการกระทําของ ตนเองทเ่ี ก่ยี วกับพฤติกรรมดา นสุขภาพ หรอื ความปลอดภยั ในชวี ติ โดยประเมินทางเลือก และผลที่ได จากการตัดสนิ ใจเลอื กทางที่ถูกตองเหมาะสม ก็จะมีผลตอ การมีสุขภาพที่ดีท้งั รา งกาย และจิตใจ 2. ทักษะการแกปญหา (Problem Solving) เปนความสามารถในการจัดการกับ ปญหาท่ีเกิดขึ้นในชวี ติ ไดอ ยางมีระบบ ไมเกิดความเครยี ดทางกาย และจิตใจ จนอาจลกุ ลามเปน ปญหา ใหญโตเกินแกไข 3. ทักษะการคิดสรางสรรค (Creative thinking) เปนความสามารถในการคิดที่จะ เปนสวนชวยในการตัดสินใจ และแกไขปญหาโดยการคิดสรางสรรค เพ่ือคนหาทางเลือกตาง ๆ รวมทง้ั ผลท่จี ะเกิดขน้ึ ในแตล ะทางเลอื ก และสามารถนําประสบการณมาปรับใชในชีวิตประจําวันได อยางเหมาะสม
180 4. ทักษะการคดิ อยา งมีวจิ ารณญาณ (Critical thinking) เปนความสามารถใน การ คดิ วเิ คราะหข อมูลตาง ๆ และประเมนิ ปญ หา หรอื สถานการณท่ีอยูรอบตัวเรา ที่มีผลตอการ ดําเนิน ชีวติ 5. ทักษะการสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เปน ความสามารถในการใชคําพูด และทาทาง เพื่อแสดงออกถึงความรูสึกนึกคิดของตนเองไดอยาง เหมาะสมกับวฒั นธรรม และสถานการณตาง ๆ ไมวาจะเปน การแสดงความคิดเห็น การแสดง ความ ตอ งการ การแสดงความชื่นชม การขอรอง การเจรจาตอรอง การตักเตือน การชวยเหลือการปฏิเสธ ฯลฯ 6. ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) เปน ความสามารถในการสรางความสัมพันธท่ีดีระหวางกันและกัน และสามารถรักษาสัมพันธภาพไวได ยืนยาว 7. ทกั ษะการตระหนกั รูในตน (Self awareness) เปนความสามารถในการคน หารจู กั และเขา ใจตนเอง เชน รูขอ ดี ขอ เสียของตนเอง รูความตองการ และส่ิงที่ไมตองการของตนเอง ซึ่งจะ ชว ยใหเ รารูต ัวเองเวลาเผชญิ กบั ความเครยี ด หรือสถานการณตา ง ๆ และทักษะน้ียงั เปนพืน้ ฐานของการ พัฒนาทักษะอืน่ ๆ เชน การสอื่ สาร การสรา งสัมพันธภาพ การตัดสนิ ใจ ความเห็นใจผอู ่ืน 8. ทักษะการเขาใจผูอื่น (Empathy) เปนความสามารถในการเขาใจความเหมือน หรือความแตกตางระหวา งบุคคล ในดา นความสามารถ เพศ วยั ระดับการศึกษา ศาสนา ความเช่ือ สี ผิว อาชีพ ฯลฯ ชวยใหสามารถยอมรับบุคคลอื่นที่ตางจากเรา เกิดการชวยเหลือบุคคลอ่ืนท่ีดอยกวา หรอื ไดร บั ความเดือดรอ น เชน ผูติดยาเสพตดิ ผตู ิดเชื้อเอดส 9. ทักษะการจัดการกับอารมณ (Coping with emotion) เปนความสามารถในการ รับรูอ ารมณข องตนเอง และผูอ่ืน รูวาอารมณมีผลตอการแสดงพฤติกรรมอยางไร รูวิธีการจัดการกับ อารมณโ กรธ และความเศราโศก ท่ีสง ผลทางลบตอรา งกาย และจิตใจไดอ ยา งเหมาะสม 10. ทกั ษะการจดั การกบั ความเครยี ด (Coping with stress) เปน ความสามารถในการ รับรูถึงสาเหตุของความเครียด รูวิธีผอนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดับ ความเครียด เพ่ือใหเกิดการเบี่ยงเบนพฤติกรรมไปในทางท่ีถูกตอง เหมาะสม และไมเกิดปญหาดาน สขุ ภาพ 1.2 กลวิธใี นการสรา งทักษะชีวิต จากองคป ระกอบของทักษะชีวติ 10 ประการ เมอ่ื จะนาํ ไปใชพ ัฒนาทักษะชีวติ สามารถแบง ไดเ ปน 2 สวน ดงั นี้
181 1. ทักษะชีวิตท่ัวไป คือ ความสามารถพื้นฐานท่ีใชเผชิญปญหาปกติใน ชีวิตประจําวัน เชน ความเครียด สุขภาพ การคบเพ่ือน การปรับตัว ครอบครัวแตกแยก การบริโภค อาหาร ฯลฯ 2. ทกั ษะชวี ิตเฉพาะ คือ ความสามารถท่จี ําเปน ในการเผชญิ ปญหาเฉพาะ เชน ยาเสพ ตดิ โรคเอดส ไฟไหม น้าํ ทว ม การถูกลว งละเมิดทางเพศ ฯลฯ เรอ่ื งที่ 2 ทกั ษะชวี ิตที่จําเปน 3 ประการ ทกั ษะการส่ือสารอยางมีประสทิ ธิภาพ (Effective communication) ทกั ษะการสรา งสัมพันธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) ทักษะการเขาใจผอู ื่น (Empathy) 2.1 ทักษะการสอื่ สารอยา งมีประสิทธภิ าพ การสื่อสาร เปนกระบวนการสรางความเขาใจกันระหวางบุคคล โดยอาจเปนการ ส่ือสารทางเดยี ว (one-way communication) คอื การส่อื ขาวสารจากผูสงสาร ไปยังผูรับสาร โดยไมมี การส่อื สารกลับ หรือสะทอ นความรูสึกกลับไปยังผสู ง สารอกี ครัง้ สวนการสอื่ สารสองทาง (Two-way Communication) เปน การสือ่ ขา วสารจากผูสง สารไปยังผูรับสาร และมีการส่ือสารกลับ หรือสะทอน ความรสู ึกกลบั จากผูร ับสาร ไปยงั ผสู ง สารอกี คร้งั จงึ เรียกวา เปนการสอ่ื สารสองทาง การสื่อสารระหวางบุคคล นับวาเปนความจําเปนอยางย่ิง เพราะในการดําเนินชีวิต ปกตใิ นปจจบุ ัน การส่อื สารเขามามบี ทบาทอยา งยิ่งในทุกกิจกรรม ไมวาจะเปนการสื่อสารดวย การ พูด การเขยี น การแสดงกริ ิยาทาทาง หรือการใชเคร่ืองมือสื่อสารที่เปนเทคโนโลยีสมัยใหม ตาง ๆ เชน โทรศพั ท Internet e-mail ฯลฯ ทงั้ นี้ การสื่อสารดวยวธิ ใี ด ๆ กต็ าม ควรทาํ ใหผูสง สาร และผูรับ สารเกดิ ความเขา ใจอนั ดีตอ กนั และเกิดสัมพันธภาพท่ดี ีตามมา ซึ่งทกั ษะท่ีจําเปนในการสื่อสาร ไดแก การรจู ักแสดงความคดิ เหน็ หรอื ความตองการใหถ กู กาลเทศะ และการรูจกั แสดงความชื่นชมผูอ ่ืน การ รจู ักขอรอ ง การเจรจาตอรองในสถานการณคับขันจําเปน การตักเตือนดวยความจริงใจ และใชวาจา สุภาพ การรจู ักปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนใหปฏิบัติในส่ิงที่ผิดขนบธรรมเนียมประเพณี หรือผิดกฎหมาย เปนตน การสื่อสารดว ยการปฏเิ สธ หลาย ๆ คนไมกลาปฏเิ สธคาํ ชกั ชวนของเพ่ือน หรือคนรัก เม่ือไปทําในส่ิงทีต่ นเองไม เหน็ ดว ย เชน การมีเพศสมั พันธที่ไมป ลอดภัย การเท่ียวซองโสเภณี การเสพยาเสพติด ฯลฯ อันท่ีจริง การปฏเิ สธเปน สิทธิของทุกคน การปฏิเสธคําชกั ชวนของเพอ่ื น หรอื คนรกั เม่อื ทาํ ในส่งิ ท่ตี นเองไมเ ห็น
182 ดวยอยางเหมาะสม และไดผลจะชวยปองกันการมีพฤติกรรมเสี่ยงได คนสวนใหญไมกลาปฏิเสธคํา ชกั ชวนของเพื่อน หรือคนรัก เพราะกลวั วาเพ่ือน หรือคนรักจะโกรธ แตถาสามารถปฏิเสธไดถูกตอง ตามข้นั ตอนจะไมทาํ ใหเสียเพอ่ื น การปฏิเสธท่ดี ี จะตองปฏิเสธอยางจริงจัง ท้ังทาทาง คําพูด และน้ําเสียง เพ่ือแสดงความต้ังใจอยาง ชดั เจนท่จี ะขอปฏิเสธ การปฏเิ สธมี 3 ข้ันตอน คอื 1. บอกความรสู กึ เปน ขออางประกอบเหตุผล เพราะการบอกความรูสึกจะโตแยง ยาก กวาการบอกเหตุผลอยา งเดยี ว 2. การขอปฏิเสธเปนการบอกปฏเิ สธชัดเจนดว ยคําพูด 3. การถามความเห็นชอบเพ่ือรักษานํ้าใจของผูชวน และความขอบคุณเมื่อผูชวน ยอมรับการปฏเิ สธ ตัวอยา งการปฏิเสธเม่ือถกู ชวนไปเสพยาเสพตดิ แดงเปน ผชู วน และแอมเปน ผปู ฏิเสธ แดง : คนื น้ีมีปารต ที้ ่ีหอ ง แอม ไปใหไดน ะ มขี องดอี ยางวาใหม ๆ มาใหลอง แอม : ของอยา งวา นั้นไมด ีตอสุขภาพ ขอไมล อง แดงคงไมว า นะ ขอบคณุ มากที่ชวน แดง : .................................... การหาทางออกเมื่อถูกเซาซี้ หรือสบประมาท บางครั้งผูชวนพูดเซาซี้เพื่อชวนให สาํ เรจ็ ผูถ ูกชวนไมควรหวน่ั ไหวกบั คําพดู เพราะจะทาํ ใหข าดสมาธิในการหาทางออก ควรยืนยันการ ปฏิเสธดว ยทา ทีม่นั คง และหาทางออกโดยวธิ ีตอ ไปนี้ ปฏเิ สธซ้าํ โดยไมต อ งใชขอ อา ง พรอมท้ังบอกลา แลว เดนิ จากไปทนั ที การตอ รอง โดยการชวนไปทํากจิ กรรมอืน่ ท่ีดกี วา การผดั ผอน โดยการยดื ระยะเวลาออกไปเพอ่ื ใหผูชวนเปลยี่ นความตัง้ ใจ เชน
183 ขน้ั ตอน ตัวอยา งคาํ พดู 1. อางความรูสึกประกอบเหตผุ ล “ฉนั ไมชอบ มนั ไมดตี อสขุ ภาพ” 2. ขอปฏิเสธ “ขอไมไปนะเพื่อน” 3. การขอความเหน็ ชอบ “เธอคงเขาใจนะ” 4. ถกู เซา ซี้ หรอื ถกู สบประมาท “ไมล องดีกวา เราขอกลบั กอนนะ” “ฉันคิดวา เรากลบั บานกันเลยดกี วา ” 4.1 การปฏเิ สธซํา้ “แดงคิดวา เราควรรอไปอีกสักระยะหนึ่ง เมือ่ เราทงั้ สอง 4.2 การตอรอง พรอ มท่จี ะรับผดิ ชอบครอบครวั คอยคิดเรือ่ งน”้ี 4.3 การผดั ผอ น สถานการณท่ชี วนไปเท่ยี วซอง ชัยเปน ผชู วน ยุทธเปน ผูปฏิเสธ ชัย : วันนกี้ นิ ขาวเย็นแลว ไปเทยี่ วอยา งวากนั นะ ยทุ ธ : เราไมช อบสถานทอี่ ยา งน้ัน กลัวติดโรคดว ย ขอไมไ ปนะเพอื่ น ชยั : เราไปหลายหนไมเหน็ เปนอะไรเลย ชกั สงสัยแลววา นายเปนผชู าย เตม็ รอยหรือเปลา ชวนท่ีไรไมไ ปสกั ที ยทุ ธ : ไมละ เอาไวค ราวหลงั พวกนายไปเท่ยี วทีอ่ น่ื เราจะไปดว ย คร้ังน้ีขอตวั กอนนะ ขอบใจมากทช่ี วน ในเรอ่ื งความรัก ผูหญิงเมื่อมีความรัก จะมีความรูสึกชอบ หรือรัก ตองการความรัก ความอบอุน ความใกลชิดผูกพันทางใจ ไมคาดคิดวาฝายชายตองการอะไรจากความใกลชิด จึงขาด ความระมดั ระวงั อาจเผลอตัวเผลอใจไปตามท่ีฝายชายตองการ เปนคานิยมของชาย โดยถือเปนเร่ือง ปกติท่ีจะมีเพศสัมพันธกับหญิงบริการ หรือคนรักเพื่อปลดเปลื้องความใคร เพราะเมื่อผูชายรัก หรือ ชอบผูหญิงมักจะตอ งการผกู พันทางกาย คือ ความรัก ความใคร เมื่อผูชายตองการผูกพันทางกายก็จะ คดิ หาวธิ กี ารตาง ๆ เพอ่ื ทาํ ใหเกิดพฤติกรรมที่จะนาํ ไปสูส ิ่งทต่ี นตองการ โดยคิดวาฝายหญิงก็ตองการ เชนกนั การมีเพศสัมพันธครั้งแรก ฝายหญิงไมไดมีความสุขทางเพศอยางที่ฝายชายเขาใจ ตรงกันขามจะมคี วามวิตกกังวล กลัวต้ังครรภ กลัวแฟนจะทอดทิ้ง หรือดูถูก กลัวเพื่อนรู กลัวพอแม เสยี ใจ แตฝ ายชายจะมคี วามสขุ ทางเพศ และภูมิใจท่ีไดเปนเจาของ การมีเพศสัมพันธในคร้ังตอ ๆ มา ฝายหญงิ มักจะยินยอมเพราะความรกั ความผูกพัน ความกังวล กลัวถูกทอดท้ิงหากไมยอม แตฝายชาย
184 ถอื เปน เรื่องปกติ เปน การหาความสุขรวมกัน ปญหาท่ีตามมาคือ การตั้งครรภ หรือโรคตาง ๆ ฉะน้ัน การคบเพอื่ นตางเพศ ผหู ญิงควรปฏิบตั ติ นอยางไรบา ง เชน - ไมค วรอยูด วยกนั ตามลาํ พังสองตอ สองในทลี่ ับตา เพราะความใกลชิดสามารถไปสู การมเี พศสัมพนั ธได - ผูห ญิงควรแตง กายมิดชิด ไมแตง กายลอแหลม - ผูหญิงควรระมัดระวังตัวขณะอยูใกลชิดกับเพ่ือนตางเพศ ควรรักนวลสงวนตัว ระวงั การสมั ผัส หรือถูกเนอ้ื ตองตวั สาํ หรับผชู าย เมือ่ มีโอกาสอยกู ันตามลําพังสองตอสองควรยับย้ังช่ังใจ และไมคิดหา วิธตี า ง ๆ ท่ีจะทาํ ใหเ กดิ พฤติกรรมท่จี ะนําไปสสู ่ิงทต่ี นตอ งการ โดยคาดคิดเอาเองวา ฝา ยหญงิ ก็ตอ งการ เชนเดียวกับตน ตวั อยางการสื่อสารดวยการปฏเิ สธ ปจจบุ นั ปญหาการมีเพศสัมพันธก อนวยั อันควร ลกุ ลาม รุนแรงถึงขั้นเปนปญหาการ ต้งั ครรภท ี่ไมพ ึงประสงคเพมิ่ สูงขึ้นในกลมุ วยั รนุ วยั เรียน ทาํ ใหต องออกกลางคัน หรือแอบไปทําแทง จนทาํ ใหเ กดิ อันตรายถงึ แกชวี ติ เปนจํานวนมาก ดงั น้นั เร่ืองท่ีพอแมไมอ ยากใหเ กดิ เรื่องหนึ่งคือ ไมอยากใหลูกมี “เซ็กส” กอนวัยอัน ควร อยากใหเ รียนหนังสอื จบ ใหเ ปนผูใ หญท่รี บั ผิดชอบตวั เองไดมากกวา น้ี แตขาวเดก็ วัยรนุ ตอนนี้ก็ออกมามากเหลอื เกนิ วา เหน็ เรื่อง “เซ็กส” เปนเร่ืองธรรมดา ไมเห็นจะเสยี หายตรงไหน บางคนเปลย่ี นคเู ปน วาเลน บางคูกเ็ ชาหอพักอยดู ว ยกัน เชาไปเรียนดวยกัน เยน็ กลับมานอนดว ยกนั พอแมอ ยตู า งจงั หวดั ไมรูเร่อื ง คดิ วา ลกู คงตงั้ ใจเรยี นอยา งเดยี ว ทีไ่ หนได เร่ืองน้ีพอ แมจ ะทาํ เฉยไมไ ดแ มลกู เราจะเปนเดก็ เรยี บรอย ยังไมมีทีทาวาจะสนใจเพศ ตรงขา มก็ตาม พอ แมกต็ อ งชวนคยุ เมื่อมีโอกาส หากพอแมลูกดูโทรทัศนดวยกัน จะมีฉากอยางวาใน ละครไทยอยูหลายเร่ือง เชน พระเอกเสียทีนางราย หรือนางเอกใจออนยอมพระเอกกอน แตสุดทาย ไมไดแ ตงงานกนั พอแมก็ถือโอกาสน้ีชวนลูกคุยเสียเลย ไมวาจะเปนลูกชาย หรือลูกสาวก็ตองระวัง เรื่องนีด้ ว ยกนั ท้ังนั้น ซงึ่ อาจแนะนําลกู ดงั น้ี อยา อยกู ันตามลาํ พงั สองตอสองในที่ลับตาคน แมอีกฝายจะชวนก็ไมตองตามใจ ให รูจักปฏเิ สธ ถา ดูแลว อกี ฝา ยจะผกู มัดโดยอางวา “รกั จรงิ หวงั แตง” หรอื อะไรกแ็ ลวแต ท่จี ะสรรหามาพร่าํ พรรณนา ตองใหลูกเราพดู กบั อีกฝายแบบเปดใจ เปดเผย ดวยทาทีที่ม่ันใจวา “ไม ตอ งการใหม อี ะไรกนั เกนิ เลยกวาน้ี เพราะเรายังเด็กยังไมสมควร” หรือ “ยังไมพรอม” แมวาเราจะรัก เขามากก็ควรคบกนั แคเปน แฟนกอ น เวลายังมีอีกยาวนาน ใครจะรวู า คนน้ีใชค ูแทห รือไม ตองรจู กั หลีกเล่ยี ง หรอื กลาปฏเิ สธท่จี ะมเี พศสมั พันธ ถาอีกฝายยงั ต้ือ
185 ตอ งใหร จู กั เอาตวั รอดใหได ใหเ บ่ยี งเบนความสนใจของอีกฝา ยไปยงั เรือ่ งอื่น เชน อาจชวนไปเลน กีฬา หรอื ชวนคยุ ในเรอื่ งท่คี ดิ วา อีกฝา ยจะหยดุ ฟง ถา อกี ฝายยงั ไมย อมฟง เหตผุ ล โดยอาจจะมีขอ อางวา “ถา ไมยอม แสดงวา ไมรกั จริง” หากถงึ ขนั้ นลี้ ะกอ ตองใหลกู คิดใหมแ ลววา ควรจะคบกนั เปนแฟนตอไปอกี ไหม เพราะอีก ฝายคงตอ งพยายามหาโอกาสอกี เรือ่ ย ๆ แลว แนใ จไหมวา ลกู จะไมใจออ นเขาสกั วัน ท่ีสาํ คัญ พอแมตองชวนลกู คยุ ถงึ ผลเสียของการมีเพศสมั พนั ธก อนวยั อันควรดว ย 2.2 ทกั ษะการสรางสมั พันธภาพระหวา งบคุ คล คงไดยินคาํ พูดนี้บอย ๆ วา “คนเราอยูคนเดียวในโลกไมได” เราตองพ่ึงพาอาศัยกัน ซ่งึ จะตอ งมีสัมพันธภาพทด่ี ตี อ กนั การที่จะสรา งสัมพนั ธภาพใหเกิดข้นึ ระหวางกนั นัน้ เปน เรือ่ งไมยาก แรกเริม่ คอื 1. มีการติดตอ พบปะกัน เราจะตอ งมีการติดตอพบปะพูดคยุ กบั คนทตี่ องการมีสัมพันธภาพกับเขา ใหเวลากับ เขา ทาํ งานรวมกัน ทํากิจกรรมรวมกนั เลน กีฬาดว ยกนั และในที่สดุ เราก็มโี อกาสสรางมิตรภาพท่ีดีตอ กนั 2. มคี วามสนใจและประสบการณร วมกัน ประสบการณเปนส่ิงท่ีนําคนสองคนใหมารวมมือกัน การชวยเหลือกันในระหวาง การเลาเรียน หรือการทํางานดวยกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน การรวมประสบการณ และ แลกเปล่ยี นประสบการณระหวา งกนั เปนการสรา งมติ รภาพที่ดใี หเกิดข้นึ ได 3. มีทศั นคติและความเชอื่ ที่คลา ยคลงึ กัน ชวงวัยรุนเปนชวงท่ีความคิด ทัศนคติ และความรูสึกอาจมีการเปล่ียนแปลงอยาง รวดเร็ว ถา คนไหนมีความคิดเหน็ คลา ยคลงึ กับเรา เราจะรูส ึกพอใจ แตถาคนไหนมคี วามคดิ แตกตางกบั เรา เราจะรูส กึ ไมพอใจ แตในความเปนจริงตองเขา ใจวา คนสวนใหญไมไดมีความเห็นเหมือนกันทุก เรอ่ื ง แมในคนทเี่ ปน มติ รตอ กนั เพยี งใดก็ตาม จะสรา งสมั พันธภาพท่ีดีไดอ ยางไร การเรยี นรูวิธกี ารสรางสัมพนั ธภาพท่ีดีเปน สาํ คัญ และทุกคนควรจะคนหาเพ่ือใหเกิด มิตรภาพ ดังนี้ 1. ความใสใจ เอาใจใสซ่ึงกันและกัน ดูแลกันทั้งยามสขุ ยามทกุ ข
186 2. ความไวเน้อื เช่อื ใจ การอยูก บั ผูอนื่ อยา งมคี วามสุขเราตองไววางใจในตัวเขา และตองใหเขาไวว างใจในตวั เราดว ย 3. การยอมรับ เราจะตอ งรจู กั ใหก ารยอมรับ และนับถอื คนอืน่ รูจ กั แสดงความ ชืน่ ชม และยนิ ดกี บั ความสาํ เรจ็ ของผอู ื่น 4. การมสี วนรวม และการแบงปน สัมพนั ธภาพทด่ี ีคอื การไดมีสวนรวมแบงปนใน ประสบการณ รจู กั รับฟง ความคิด และยอมรับความจริงจากคนสว นมาก 5. การมีความยืดหยนุ คนทม่ี คี วามยืดหยุนจะเปนคนท่ีสามารถมีความสุข แมจะอยู กบั คนท่ีมีความเหน็ ตา งกนั 6. ความเห็นอกเห็นใจผูอ่ืน การแสดงความเห็นอกเห็นใจ จะทําไดงายถามี สมั พนั ธภาพท่ดี ีตอกนั เพราะจะไมเ กิดความเขาใจผดิ ตอกัน จากการท่คี นเราตอ งมีสมั พันธภาพทดี่ ีกบั ผอู นื่ น้ัน ก็เพ่ือท่ีจะสามารถอยูรวมกับผูอ่ืน ได โดยท่ีไดรับการชวยเหลือจากผูอ่ืนตามสมควร ไมวาจะเปนเพื่อน พอแม พ่ีนอง หรือคน อื่น ๆ โดยเฉพาะการมสี ัมพนั ธภาพที่ดรี ะหวางพอ แมกับลูกวยั รุน เปนสิ่งทีส่ าํ คญั มาก เพอ่ื ลูกจะไดเติบโตเปน ผใู หญทดี่ ี และประสบความสําเรจ็ ในชีวติ ตอไป การสรางสมั พันธภาพดว ยการให การฝกใหเ ปน ผูเสียสละ หรอื เปนผูใหนน้ั พอแมจะตองสอนลูก หรือเปน ตวั อยา งในการเปน ผูใหเสมอ การใหโดยทัว่ ไปนั้น เรามกั จะนึกถงึ แตการใหส่งิ ของ หรอื เงนิ ทอง แตค วาม จริงยงั มีส่ิงสําคญั ท่ที กุ คนควรใหแกก นั ไดแ ก การใหร อยย้ิม ใหค วามจริงใจ ใหการชวยเหลือ ให คําชมเชย ใหความเมตตา ใหอภยั ฯลฯ ซึง่ การใหส ิ่งเหลา นไ้ี มต องเสียเงนิ ทองซอื้ หา แตตอ งเปนการให ที่ออกมาจากใจจรงิ จะเปนการสรา งมติ รภาพท่ดี ตี อกัน ใหน กึ เสมอวา จงเปนผใู หเถิด ใหผ อู ่ืนใหม ากข้นึ รับใหน อยลง จึงจะเปน การ ทาํ ใหครอบครัวเรามคี วามสขุ และสงั คมจะอบอุน เพ่อื ลูกไดซึมซับ และนาํ ไปใชในการเปนผูใหเสมอ กบั เพื่อน ๆ พี่ นอง และคนอนื่ ๆ ท่อี ยรู ว มกนั การฝกใหเ ปน คนนา รกั นา คบหา เคยไดย ินอาจารยท านหนึง่ พูดในรายการโทรทศั นน านมาแลววา “ลูกเราไมวาจะเปน อยา งไร มันก็ดนู ารักไปหมดในสายตาพอแม แตเ ราจะตองสอนลกู เราใหเ ปน คนนา รกั เพื่อท่ีคนอ่ืนเขา จะไดรกั ลกู เราดว ย”
187 พวกเราที่เปน ผใู หญคงเคยเหน็ เด็กประเภทน้ีบา ง เชน - เห็นผใู หญแลวไมไ หว ทําเปน มองไมเหน็ - พดู จาไมเ พราะ หนา บ้งึ ตึง - ไมรูจ กั กาลเทศะ - เอาแตใจตวั เอง - ทาํ ทาอวดดี เด็กท่เี ปน อยางน้ี ผูใหญก จ็ ะมองวา ไมน า รกั เลย บางทีทําใหอดคิดไมไ ดว า พอ แมค งไมมีเวลาสง่ั สอน สวนในกลุมของเด็กวัยรุนดวยกัน ไดลองถามวาเพื่อนแบบไหนที่ไมอยากคบ ดว ย ก็ไดคาํ ตอบวา - ประเภทท่ีชอบดถู ูกเพ่ือน - เอาเปรยี บไมชวยงานกลมุ - ขี้อิจฉาเพื่อน เหน็ เพ่อื นมดี ีไมไ ด - ชอบพดู ใหค นอืน่ หนา แตก หมอไมร บั เยบ็ - คุยโมโ ออ วดตนเอง และวา คนอ่นื - ชอบแกลงเพอื่ น ถาเปน อยางน้ีเพ่ือนก็ไมอยากคบหาสมาคม และไมอ ยากใหเ ขา รวมกลมุ เพราะเขา ท่ไี หนก็วงแตกกระเจงิ ทุกที จนเพื่อน ๆ เออื มระอา คนเปน พอแมค งเศรา ใจมาก ถาลูกเรากลายเปนคนนา รงั เกียจที่ไมม ใี คร อยากคบ ดังนัน้ พอแมตอ งพยายามพดู คยุ ยกตวั อยางคนท่ีทําตัวนารัก และคนที่ทําตัวไมนารักให ลูก เห็น เพ่ือเปรียบเทียบ และเอาเปนตัวอยาง ซ่ึงลักษณะของคนนารักน้ัน พระเทพวิสุทธิกวี แหง วัด โสมนสั วิหาร กรุงเทพมหานคร ไดกลาววา คนท่นี า รักยอ มมคี ณุ สมบตั ิ 9 ประการ คอื 1. ไมเ ปน คนอวดดี 2. ไมพ ูดมากจนเขาเบอื่ 3. เปน คนออ นนอ มถอมตน 4. รจู ักผอ นส้ันผอนยาว 5. พดู จาออ นหวาน 6. เปน คนเสยี สละ ไมเ อาเปรียบผูอนื่ 7. เปนคนกตัญกู ตเวที 8. เปนคนไมม นี สิ ยั ริษยา เสยี ดสีผอู ่นื 9. เปนคนมีนสิ ยั สขุ ุมรอบคอบ ไมย กตนขมทาน
188 “พอ แมท ห่ี วังใหลกู เปนทร่ี ักของผใู หญ และเพื่อนฝงู ตองพยายามเพาะนสิ ัย ดงั กลาวใหก บั ลูก กจ็ ะทําใหการอยูรวมกับผูอ่ืนในสังคมเกิดเปนสัมพันธภาพท่ีดีระหวางกันและกัน ทุกคนกจ็ ะมแี ตความสขุ ” 2.3 ทกั ษะการเขาใจผูอืน่ การที่บุคคลจะอยูในครอบครัว อยูในสังคมอยางมีความสุข จําเปนตองรูจักตนเอง และรจู ักผูทต่ี นเกีย่ วขอ งสัมพันธด ว ย ดงั ภาษิตจนี ที่วา “รูเ ขา รูเรา รบรอ ยครงั้ ชนะรอยครั้ง” ดงั นนั้ การทเี่ ราจะทําความรูจักผูอ่นื ซงึ่ เราจะตอ งเกย่ี วขอ งสัมพันธดวย ไมวาจะเปน ภายในครอบครัวของเราเอง หรอื ในสถานศกึ ษา ในสถานทีท่ าํ งาน เพราะเราไมสามารถอยูคนเดียวได ในทกุ ที ทกุ สถานการณ หลกั ในการเขาใจผอู ืน่ มดี ังนี้ 1. ตองคาํ นงึ วาคนทกุ คนมศี กั ดศ์ิ รีความเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา จึงควรปฏิบัติกับ เพอ่ื นมนุษยทุกคนดว ยความเคารพในศกั ดิศ์ รขี องความเปน มนษุ ยเทา เทียมกนั ไมวาจะเปน คนจน คนรวย คนแก เด็ก คนพิการ ฯลฯ 2. บุคคลทุกคนมีความแตกตางกัน ท้ังพื้นฐานความรู ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพ ความเปน อยู ระดบั การศึกษา การปลูกฝงคณุ ธรรม คา นยิ ม ระเบยี บ วินยั ความรับผิดชอบ ฯลฯ ดังนั้น หากเรายอมรับความแตกตา งระหวา งบุคคลดงั กลาว จะทําใหเ ราพยายามทาํ ความเขา ใจเขา และส่ือสาร กับเขาดว ยกิรยิ าวาจาสุภาพ ซึ่งหากยังไมเขาใจเรากจ็ ําเปน ตองอดทน และอธิบายดวยภาษาท่ีเขาใจงาย ไมแ สดงอาการดูถูกดแู คลน หรือแสดงอาการหงุดหงดิ รําคาญ เปน ตน 3. การเอาใจเขามาใสใจเรา บุคคลท่ัวไปมักชอบใหคนอื่นเขาใจตนเอง ยอมรับ ใน ความตองการ ควรเปน ตัวตนของตนเอง ดงั นั้นจึงมักมคี ําพูดตดิ ปากเสมอ เชน ฉันอยา งน้นั ฉันอยาง นี้ ทาํ ไมเธอไมท าํ อยา งนน้ั ทําไมเธอไมทาํ อยางนี้ ทาํ ไมเธอถึงไมเ ขาใจฉัน ฯลฯ ซึ่งเปนการเอาใจเรา ไปยดั เยียดใสใจเขา และมกั ไมพ ึงพอใจในทุกเรือ่ ง ทุกฝา ย ท้ังนใี้ นดา นกลบั กัน หากเราคดิ ใหม ปฏิบัติ ใหม โดยพยายามทาํ ความเขาใจผอู ืน่ ไมวาจะเปน พอ แมเขา ใจลูก หรือลูกเขา ใจ พอแม เพือ่ นเขาใจ เพื่อน โดยการทําความเขาใจวา เขาหรือเธอมเี หตผุ ลอะไร ทาํ ไมจงึ แสดงพฤติกรรมเชนนั้น เขามีความ ตองการอะไร เขาชอบอะไร ฯลฯ เมื่อเราพยายามเขาใจเขา และปฏิบัติใหสอดคลองกับความชอบ ความตอ งการของเขาแลว ก็จะทําใหการอยูรวมกัน หรือการทํางานรวมกันเปนไปดวยความราบร่ืน และแสดงความสงบสนั ติสุขในครอบครัว ชุมชน และสงั คม 4. การรับฟงผูอ่ืน การท่ีเราจะเขาใจผูอื่นไดดีหรือไม ขึ้นอยูกับวาเรารับฟงความ คดิ เหน็ ความตองการของเขามากนอ ยเพียงใด บคุ คลท่ัวไปในปจจุบันไมชอบฟงคนอ่ืนพูด แตชอบที่ จะพดู ใหค นอนื่ ฟง และปฏบิ ัติตาม ดงั น้นั สิง่ สาํ คญั ท่ีเปน พ้ืนฐานที่จะทําใหเราเขาใจผูอื่นก็คือ ทักษะ การฟง ซงึ่ จะตอ งเปนการฟงอยา งต้งั ใจ ไมขดั จงั หวะ หรือแสดงอาการเบ่ือหนาย และควรแสดงกิริยา
189 ตอบรบั เชน สบตา ผงกศรี ษะ ทั้งน้ี การฟงอยางตง้ั ใจ จะทําใหเรารับทราบความคดิ ความตอ งการ หรอื ปญหาของผูท่ีเราเกี่ยวของดวย ไมวาจะเปนในฐานะลูกกับพอแม พอแมกับลูก นายจางกับลูกจาง หวั หนา กบั ลูกนอ ง ฯลฯ ซึง่ จะทําใหเ ราเกดิ อาการเขา ใจ และสามารถแกป ญ หาไดอ ยา งถูกตองในทส่ี ุด กจิ กรรม 1 ใหผ เู รยี นยกตัวอยาง วธิ กี ารสือ่ สารกบั พอแม และหัวหนางาน หรอื ลูกนอ ง ดังนี้ 1. การสอ่ื สารกบั พอ แม กรณขี อไปเท่ยี วคา งคืนตา งจงั หวดั .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... ................................................. ...................................................................................................................................................... 2. การสอื่ สารกบั หัวหนา งาน หรือลกู นอ ง กรณขี อข้นึ เงินเดือน หรือลดโบนัส .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... ................................................. ..................................................................................................................................................... กิจกรรม 2 ถา ทานมีลูกวัยรุนท่กี ําลังมีปญหาอกหัก ถูกแฟนบอกเลกิ ทานจะมีแนวทางชวยเหลือ ลูกอยางไร โดยใชท ักษะการสื่อสาร การสรา งสมั พันธภาพ และทักษะการเขา ใจผอู นื่ .................................................................................................... ................................................. ...................................................................................................................................................... .................................................................................................... ................................................. ....................................................................................................................... .............................. .................................................................................................... ................................................. .................................................................................................... .................................................
190 บทท่ี 10 อาชีพแปรรูปสมนุ ไพร สมุนไพรกบั บทบาททางเศรษฐกจิ สมุนไพร หมายถึง พืชท่ีมีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บปวยตาง ๆ การใช สมุนไพรสําหรบั รกั ษาโรค หรอื อาการเจ็บปวยตา งๆ น้ี จะตอ งนาํ เอาสมนุ ไพรตง้ั แตสองชนดิ ขนึ้ ไปมา ผสมรวมกันซ่งึ จะเรยี กวา ยา ในตาํ รบั ยา นอกจากพืชสมนุ ไพรแลว ยังอาจประกอบดว ยสัตวและแรธ าตุ อีกดวย เราเรียกพืช สัตว หรือแรธาตุท่ีเปนสวนประกอบของยานี้วา เภสัชวัตถุ สมุนไพรเปนสวน หนง่ึ ในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหงชาติ กระทรวงสาธารณสุขไดดําเนิน โครงการ สมุนไพร กับสาธารณสขุ มูลฐาน โดยเนน การนําสมนุ ไพรมาใชบาํ บดั รักษาโรคใน สถานบริการสาธารณสขุ ของ รฐั มากข้นึ และ สง เสรมิ ใหป ลูกสมุนไพรเพ่ือใชภ ายในหมูบานเปน การสนบั สนนุ ใหมีการใชสมนุ ไพร มากย่ิงข้ึน อันเปนวิธีหน่ึงที่จะชวยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการสั่งซ้ือยาสําเร็จรูปจาก ตางประเทศไดปล ะเปนจาํ นวนมาก การผลิตสมนุ ไพรในรปู แบบการประกอบอาชพี ปจจุบันมีผูพยายามศึกษาคนควาเพ่ือพัฒนาผลิตภัณฑสมุนไพรใหสามารถนํามาใชใน รปู แบบท่ีสะดวกยงิ่ ขน้ึ เชน นาํ มาบดเปนผงบรรจุแคปซูล ตอกเปนยาเม็ด เตรียมเปนครีมหรือยาขี้ผ้ึง เพื่อใชทาภายนอก เปนตน ในการศึกษาวจิ ัยเพ่ือนาํ สมุนไพรมาใชเ ปน ยาแผนปจจบุ ันน้ัน ไดมีการวิจัย อยางกวางขวาง โดยพยายามสกัดสารสําคัญจากสมุนไพรเพ่ือใหไดสารที่บริสุทธิ์ ศึกษาคุณสมบัติ ทางดานเคมี ฟสิกสของสารเพื่อใหทราบวาเปนสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ดานเภสัชวิทยาใน สตั วทดลองเพ่อื ดใู หไ ดผ ลดีในการรกั ษาโรคหรือไมเพียงใด ศึกษาความเปนพิษและผลขางเคียง เมื่อ พบวา สารชนดิ ใดใหผ ลในการรักษาที่ดี โดยไมม ีพษิ หรือมพี ิษขางเคียงนอ ยจึงนําสารนน้ั มาเตรียมเปน ยารปู แบบท่เี หมาะสมเพื่อทดลองใชตอไป การแปรรปู สมุนไพรเพอ่ื การจาํ หนาย สมุนไพรถูกนาํ มาใชสารพัดประโยชน และถูกแปรรูปออกมาในแบบตาง ๆ เพอ่ื การจําหนา ย ซ่ึงสามารถนํามาใชประกอบอาชีพ ทั่งอาชีพหลัก ละอาชีพเสริมได สิ่งสําคัญท่ีสุดของการแปรรูป สมุนไพร คือ การปรงุ สมุนไพร การปรุงสมุนไพร หมายถึง การสกัดเอาตัวยาออกมาจากเน้ือไมยา สารที่ใชสกัดเอาตัวยา ออกมาท่นี ิยมใชกัน ไดแ ก นํ้าและเหลา สมนุ ไพรท่นี าํ มาปรุงตามภมู ิปญ ญาดง้ั เดิมมี 7 รปู แบบ คือ
191 1.การตม เปนการสกดั ตัวยาออกมาจากไมยาดวยน้ํารอน เปนวิธีที่นิยมใชมากที่สุด ใชกับ สวนของเนื้อไมท แี่ นนและแข็ง เชน ลาํ ตนและราก ซ่ึงจะตองใชการตมจึงจะไดตัวยาที่เปนสารสําคัญ ออกมา ขอ ดีของการตม คือ สะอาด ปลอดจากเชื้อโรค มี 3 ลักษณะ การตมกินตางนํ้า คือการตมใหเดือดกอนแลวตมดวยไฟออน ๆอีก 10 นาที หลังจากนั้น นํามากนิ แทนนาํ้ การตมเคีย่ วคอื การตม ใหเดือดออ น ๆ ใชเ วลาตม 20-30 นาที การตม 3 เอา 1 คอื การตม จากนํ้า 3 สวน ใหเ หลือเพียง 1 สว น ใชเ วลาตม 30-45 นาที 2.การชง เปน การสกดั ตัวยาสมุนไพรดว ยนํ้ารอน ใชกับสวนท่ีบอบบาง เชน ใบ ดอก ท่ีไม ตองการโดนนํา้ เดอื ดนาน ๆ ตวั ยากอ็ อกมาได วิธีการชง คือ ใหนํายาใสแกวเติมนํ้ารอนจัดลงไป ปด ฝาแกว ทงิ้ ไวจนเยน็ ลักษณะนีเ้ ปน การปลอยตัวยาออกมาเต็มท่ี 3. การใชน้ํามัน ตัวยาบางชนิดไมยอยละลายน้ํา แมวาจะตมเค่ียวแลวก็ตาม สวนใหญยาที่ ละลายนํ้าจะไมละลายในนํ้ามันเชนกัน จึงใชน้ํามันสกัดยาแทน แตเนื่องจากยานํ้ามันทาแลวเหนียว เหนอะหนะ เปอนเส้อื ผา จงึ ไมนิยมปรุงใชกัน 4.การดองเหลา เปน การใชก บั ตวั ยาของสมนุ ไพรทไ่ี มละลายนํ้า แตละลายไดดีในเหลาหรือ แอลกอฮอล การดองเหลามักมกี ล่ินแรงกวายาตม เนื่องจากเหลามีกลิ่นฉุน และหากกินบอย ๆอาจทํา ใหต ิดได จึงไมนิยมกนิ กนั จะใชตอ เมื่อกินยาเมด็ หรอื ยาตม แลวไมไดผล 5.การตม ค้ันเอานํา้ เปนการนําเอาสวนของตนไมที่มีน้ํามาก ๆ ออนนุม ตําแหลกงาย เชน ใบ หัว หรือเหงา นํามาตําใหละเอียด และค้ันเอาแตนํ้าออกมา สมุนไพรที่ใชวิธีการน้ีกินมากไมได เชนกัน เพราะน้ํายาที่ไดจะมีกลิ่นและรสชาติที่รุนแรง ตัวยาเขมขนมาก ยากท่ีจะกลืนเขาไปท่ีเดียว ฉะนนั้ กินครงั้ ละหนึ่งถวยชากพ็ อแลว 6.การบดเปน ผง เปนการนําสมุนไพรไปอบหรือตากแหงแลวบดใหเปนผง สมุนไพรท่ีเปน ผงละเอยี ดมากย่งิ มสี รรพคณุ ดี เพราะจะถูกดูดซึมสูลําไสงาย จึงเขาสูรางกายไดรวดเร็ว สมุนไพรผง ชนดิ ใดท่กี นิ ยากก็จะใชปนเปนเม็ดท่ีเรียกวา \"ยาลูกกลอน\" โดยใชน้ําเชื่อมน้ําขาวหรือน้ําผ้ึง เพื่อให ตดิ กันเปนเมด็ สวนใหญนยิ มใชนํ้าผึ้งเพราะสามารถเกบ็ ไวไ ดน านโดย ไมข ึ้นรา 7.การฝน เปนวิธีการที่หมอพื้นบานนิยมกันมาก วิธีการฝน คือ หาภาชนะใสน้ําสะอาด ประมาณครงึ่ หน่งึ แลว นําหินลับมดี เล็ก ๆ จมุ ลงไปในหินโผลเหนือนํ้าเล็กนอย นําสมุนไพรมาฝนจน ไดนาํ้ สีขนุ เล็กนอย กนิ ครั้งละ 1 แกว
192 อยางไรกต็ าม การแปรรปู ผลติ ภณั ฑส มนุ ไพร ควรแปรรปู ในลักษณะอาหารหรือเครื่องใชท่ี ไมจดั อยใู นประเภทยารกั ษา คือไมมสี รรพคุณในการรักษาหรือปองกัน บรรเทา บําบัดโรค เน่ืองจาก ผลิตภณั ฑประเภทยาจะตองผา นการตรวจสอบท่ีมมี าตรฐานสูงและถกู ตอง มผี ชู าํ นาญการทม่ี คี ณุ วฒุ ใิ น การดําเนินการดว ย ลกั ษณะของผูท จี่ ะประกอบอาชพี ผลิตภณั ฑสมุนไพรในการปรุงผลิตภัณฑจากสมุนไพร ผู ปรงุ จาํ เปน ตอ งรูหลักการปรงุ ผลติ ภัณฑจากสมนุ ไพร 4 ประการคอื 1. เภสัชวัตถุ ผูปรุงตองรูจักชื่อ และลักษณะของเภสัชวัตถุท้ัง 3 จําพวก คือ พืชวัตถุ สัตว วัตถุ และธาตุวัตถุ รวมทง้ั รูป สี กลิ่นและรสของเภสชั วตั ถุนั้นๆ ตัวอยางเชน กะเพราเปนไมพุมขนาด เล็ก มี 2 ชนิด คือ กะเพราแดงและกะเพราขาว ใบมีกลิ่นหอม รสเผ็ดรอน หลักของการปรุงยาขอน้ี จําเปนตองเรยี นรจู ากของจริง 2. สรรพคุณเภสัช ผูปรุงตองรูจักสรรพคุณของยา ซึ่งสัมพันธกับรสของสมุนไพรเรียกวา รสประธาน แบงออกเปน 2.1 สมนุ ไพรรสเยน็ ไดแก ยาที่ประกอบดวยใบไมที่รสไมเผ็ดรอนเชน เกสรดอกไม สัตว เขา (เขาสัตว 7 ชนิด) เนาวเขย้ี ว (เข้ยี วสตั ว 9 ชนิด) และของที่เผาเปนถาน ตัวอยางเชน ยามหานิล ยา มหากาฬ เปนตน ยากลุมน้ีใชสําหรับรกั ษาโรคหรอื อาการผิดปกติทางเตโชธาตุ (ธาตไุ ฟ) 2.2 สมุนไพรรสรอน ไดแก ยาท่ีนําเอาเบญจกูล ตรีกฎก หัสคุณ ขิง และขามาปรุง ตัวอยางเชน ยาแผนโบราณท่ีเรียกวายาเหลืองทั้งหลาย ยากลุมน้ีใชสําหรับรักษาโรคและอาการ ผดิ ปรกตทิ างวาโยธาตุ (ธาตลุ ม) 2.3 สมุนไพรรสสุขมุ ไดแก ยาที่ผสมดว ย โกฐ เทยี น กฤษณา กระลําพกั ชะลดู อบเชย ขอนดอก และแกน จันทนเ ทศ เปน ตน ตัวอยา งเชน ยาหอมทั้งหลาย ยากลมุ นใี้ ชร กั ษาความผดิ ปรกติ ทางโลหิต นอกจากรสประธานของสมนุ ไพรดงั ท่ีกลาวน้ีเภสัชวัตถยุ งั มรี สตา งๆ อีก 9 รสคอื รสฝาด รส หวาน รสเบอื่ เมา รสขม รสมนั รสหอมเย็น รสเค็ม รสเปรี้ยว และรสเผ็ดรอน ในตําราสมุนไพรแผน โบราณบางตําราไดเพม่ิ รสจืดอีกรสหน่งึ ดว ย 3. คณาเภสัช ผูปรุงสมุนไพรตองรูจักเครื่องสมุนไพรที่ประกอบดวยเภสัชวัตถุมากกวา 1 ชนิด ท่ีนํามารวมกันแลว เรยี กเปน ช่อื เดียว ตวั อยา งเชน ทเวคนั ธา หมายถึงเคร่อื งสมุนไพรท่ีประกอบดว ยเภสัชวตั ถุ 2 ชนิด คอื รากบนุ นาค และ รากมะซาง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208