Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สวรรค์ มนุษย์ ความดี สุคติภูมิ

สวรรค์ มนุษย์ ความดี สุคติภูมิ

Published by Dhammanava, 2021-02-07 05:13:08

Description: เรื่องราวของสวรรค์ชั้นต่างๆที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

หลวงปู่ดลู ย์ อตโุ ล ขอ้ คดิ ขอ้ ธรรมจาก “หลวงปู่ฝากไว”้

บ้ า น ท่ี อ บ อุ่ น ข อ ง ค น รั ก ห นั ง สื อ



บ้านทีอ่ บอุน่ ของคนรักหนงั สอื ชาญ พญิ ญู : เรยี บเรียง เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสอื ๙๗๘-๙๗๔-๘๔๔๘-๐๖-๐ สงวนลขิ สทิ ธ์ติ ามพระราชบญั ญัติ พ.ศ. ๒๕๓๗ พิมพ์ครง้ั ที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๐ บรรณาธกิ ารบรหิ าร นวรัตน์ เอมโอษฐ ผู้ช่วยบรรณาธกิ ารบริหาร ชาตรี ปานพงคษ์ า หัวหนา้ กองบรรณาธกิ าร เจริญ แก้วรตั น์ บรรณาธกิ ารเลม่ เพียงคำ กองบรรณาธกิ าร วริ ัช นโุ ยค, ชนก สามติ ,ิ บญั ญัติ พนั สุรีย์ ศลิ ปกรรม/รูปเล่ม Go! Go! Kosintr พิสูจนอ์ ักษร ดาราเกตุ ออกแบบปก ธรี วฒั น์ เอีย่ มพทิ กั ษ์พร ภาพประกอบ โกสินทร์รวมใจ ควบคุมการผลติ รุ่งนภา นาคละออ การตลาด อรอนงค์ เพิ่มพลู , สิรกิ าญจน์ ระวังภยั จดั พมิ พ์โดย สำนกั พมิ พ์บา้ นหนังสอื โกสนิ ทร์ ๖๗๙/๔๓ ซอย ๔๕ ถนนประชาอทุ ศิ แขวงบางมด เขตทงุ่ ครุ กรงุ เทพมหานคร ๑๐๑๔๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๘๗๒ ๘๕๐๐ www.kosintr.com e-mail : [email protected] จัดจำหน่ายโดย ห้างหนุ้ สว่ นจำกัด ดที ยู ู โทร. ๐ ๒๘๗๒ ๕๔๕๒ โทรสาร ๐ ๒๘๗๒ ๖๖๔๔ ราคา ๑๗๐.- บาท

หากใครสักคนผายมือไปยังฟ้า และกล่าวว่า ดินแดนแห่งความสุขอยู่บนนั้น ท่านคงทำได้เพียงแหงน มองตาม ดว้ ยว่าทงั้ สูงและห่างไกลจากชวี ติ เกินเออื้ มคว้า กล่าวในแง่หนึ่ง ความเชื่อเรื่อง “สวรรค์” มหานครแห่งสุข ก็มี ลักษณะเช่นเดียวกัน ทั้งโดยบันทึกจากตำรับตำราต่างๆ และการกล่าว ขานเปน็ ปกรณมั แห่งภพภมู ิเทพยดา ท่ีฟังไดไ้ ม่รูเ้ บื่อ ชาญ พิญญู เป็นใครสักคนนั้น ที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวแห่ง สวรรค์ช้ันฟ้า ซ่ึงคล้ายเป็นเรื่องเกินจับต้อง นำมาวางไว้เบื้องหน้าผู้อ่าน ให้ได้สัมผัสรับรู้และเข้าใจทุกรายละเอียดของ “สวรรค์” ราวเข้าไปอยู่ใน เหตุการณ์จริง ด้วยลีลาภาษาเรียบง่าย แต่เปยี่ มดว้ ยความสนกุ สนานของ ผแู้ ตกฉานทางธรรม มิเพียงเท่าน้ัน ส่ิงที่ผู้เขียนกำลังสื่อถึงผู้อ่านทุกท่าน โดยมิให้ทัน รู้ตัวก็คือ “การทำความดี” นำพาเราไปสู่ดินแดนแห่งความสุขได้จริง และอยู่ใกลเ้ พยี งปลายลมหายใจนเ่ี อง ฉะนัน้ อย่าแปลกใจ! หากเผลอพลิกอ่านแล้วไม่สามารถวางลงได้ สิ่งท่ีท่านควรทำ ต่อไป ก็เพยี งแต่ “อ่านให้จบโดยพลนั ” เพื่ออม่ิ เอมกับความหฤหรรษแ์ ละ สาระธรรม ท่ีจะทำให้ท่านมี “แผนที่ไปสวรรค์” โดยไม่มีวันหลงทาง แน่นอน บุญรักษา สำนักพิมพ์บา้ นหนงั สอื โกสินทร์

ชีวิตของคนเรา ล้วนเก่ียวข้องกับความดี และความชั่ว ในแต่ละวันหากนำส่ิงท่ีคนเราคิด พูด ทำ มาเรยี งตอ่ กนั จะเหน็ วา่ บางอย่างดี บางอยา่ งไม่ ดี ส่วนท่ีดีน้ันมักทำให้เกิดผลดีแก่ผู้ทำเองอย่างน้อยก็รู้สึกดี หรือภูมิใจ เบาใจ สบายใจ ลองนึกสวิ า่ จรงิ หรือเปลา่ ? ส่วนการคิด พูด ทำท่ีไม่ดีนั้น มักทำให้เกิดผลที่ไม่ดีแก่ผู้ทำเอง ว่ากันต้ังแต่รู้สึกแย่ เร่าร้อน หวาดกลัว อับอาย หลบหน้าหลบตาผู้คน หรอื แมก้ ระท่ังถูกทำรา้ ยจนได้รบั ความเสียหาย โบราณเปรียบให้เราฟังว่า “ทำดีแล้วมีสุข สบายใจ เบาใจน้ันก็ เท่ากับไปสวรรค์ ส่วนทำช่ัว ทำไม่ดี เกิดความเดือดร้อนต่างๆ ก็เท่ากับ ตกนรก” เปน็ กรอบงา่ ยๆ ท่ีใครกจ็ ำได้ คนโบราณฉลาดเหลือเกินท่ีรู้จักนำเรื่องเหล่านี้มาแทรกไว้กับ นิทาน เร่ืองเล่าต่างๆ นอกจากคนรุ่นเราเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน แลว้ ยงั ได้ขอ้ คิดติดตวั นำไปใช้ในชวี ติ ประจำวันได้ดว้ ย ว่าเฉพาะสวรรค์น้ัน ชาญ พิญญู อาศัยทักษะการเล่าเร่ืองด้วย สำนวนเรียบง่าย กลมกล่อม สมสมัย ท้ังยังบริบูรณ์ด้วยข้อคิดครบถ้วน ภาพของสวรรคจ์ งึ กลบั มาแพรวพรายในความนึกคิดของคนรุ่นเราอกี ครัง้ เขาทำไดอ้ ยา่ งไร...ลองอ่านดซู คิ รับ! ด้วยความปรารถนาดี ปัญญาวฒั น์ ผเู้ ขยี น “พทุ ธทำนาย”

หลังจากท่ีท่านผู้อ่านได้อ่านหนังสือเร่ือง “นรก เป็น - ตาย อบายภูมิ” แล้ว ได้มองเห็น จุดจบของคนช่ัวว่าต้องได้รับความทุกข์ทรมานสัก เพียงใด คงต้องการทราบดินแดนท่ีอยู่ตรงข้ามกับ นรก นัน่ คอื “สวรรค”์ สวรรคเ์ ป็นดนิ แดนแหง่ ความสขุ จรงิ หรอื ? คนธรรมดาเช่นเรา สามารถไปเกิดเปน็ เทวดาได้จรงิ หรือ ? และเพราะทำกรรมอะไรไว้ จึงจะไดไ้ ปเกิดในดนิ แดนสวรรค์ ? ชาญ พิญญู ผู้ทรงความรู้ด้านศาสนา ได้ศึกษาเรื่องสวรรค์ใน แง่มุมต่างๆ และได้รวบรวมคำตอบเกี่ยวกับเร่ืองสรรค์ท่ีมีผู้คนสงสัยไว้ อย่างมากมาย ด้วยภาษาท่ีทันสมัย อ่านแล้วได้ความรู้และความ เพลิดเพลนิ เมื่อผู้อ่านอ่านจบแล้ว ท่านจะรู้ว่าการไปเกิดเป็นเทวดานั้น “ไม่ ยากอยา่ งทคี่ ิดเลย” ขอสวรรค์จงเกดิ ในใจทกุ ท่าน ว. วสิ ุทธิสารี ผู้เขียน “นรก เป็น - ตาย อบายภมู ิ”

ไม่ใช่แต่เฉพาะสมัยน้ีเท่านั้น ทุกยุคทุก สมัย ก็ยงั มคี นสงสยั วา่ นรก - สวรรค์ มีจรงิ หรือไม่ เพียงแต่สมัยก่อน ถ้าตนเองพิสูจน์ไม่ได้จริง ก็เช่ือครูอาจารย์หรือผู้มี คุณวิเศษทั้งหลาย เพราะเชื่อว่าท่านเหล่านั้นมีสติปัญญาและสายตา อนั บริสุทธิ์กว่าเรา แต่สมัยนี้ สมัยที่วิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับ เร่ืองใดก็ตามท่ี วทิ ยาศาสตร์พสิ ูจนไ์ ม่ได้ กเ็ ขา้ ใจโดยนัยว่า ยังรบั รองไมไ่ ด้ว่าเป็นจรงิ แนท่ เี ดียว การไมเ่ ชอื่ อะไรงา่ ยๆ เป็นเรอื่ งดี ที่น่าแปลกก็คือ เร่ืองราวของนรก - สวรรค์ ศาสดาของแทบ ทุกศาสนาถึงได้รับรองเรื่องนี้ไว้ ท้ังที่แต่ละท่านก็อยู่กันคนละซีกโลก ยกเว้นขงจ้ือกบั เลา่ จอื้ แลว้ ตา่ งก็ไม่เคยรู้จกั กนั แม้แต่ศาสนาแนวอเทวนิยมอย่างพุทธศาสนา องค์พระ ศาสดา ก็รับรองเรื่องน้ีไว้ เพียงแต่ไม่ถือเป็นเร่ืองสลักสำคัญในการ สอนศาสนาเท่าน้นั เป็นไปได้หรือไม่ว่า พระพุทธองค์และเหล่าศาสดาทั้งหลาย มีดวงตาอันบริสุทธ์ิเหนือปุถุชน จนสามารถมองเห็นภพภูมิอันละเอียด อ่อนกว่าโลกมนุษย์ได้ ข้อน้ีก็แล้วแต่ความคิดสติปัญญาของแต่ละคนจะพิจารณา ปลงใจเชือ่ หรือไมเ่ ชื่อ

ในขณะท่ีหนังสือเล่มน้ีก็ไม่ได้ชี้ชวน หรือชักนำให้เช่ือแต่ ประการใด เพียงนำเรื่องอันวิจิตรพิสดารเหล่านั้น ซ่ึงได้ศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์เทียบเคียงมาเล่า พร้อมท้ังให้ข้อคิดเห็นไวเ้ พื่อเปิดโลกทัศน์อีก ดา้ นหนง่ึ แก่ผอู้ ่าน ในส่วนของ “นรก” นน้ั อาจารย์ ว.วสิ ุทธสิ ารี (ป.ธ.๙) ได้เขยี น ไปแล้ว “สวรรค์” จึงเป็นธุระอันชอบธรรมที่ผู้เขียนจะได้เขียนออกมา เป็นค่กู นั ขอเรยี นไว้ ณ ตรงน้ีวา่ คมั ภีรห์ ลักคือพระไตรปฎิ ก ซง่ึ ผู้เขยี นใช้ เป็นแกนหลักในการนำเสนอเร่ืองสวรรค์ เมื่อผ่านมาหลายยุคหลาย สมัย มีบางยุคกระแสศรัทธาของชาวพุทธถูกสั่นคลอนด้วยความเช่ือ ของศาสนาอื่น ก็อาจมีบ้างท่ีนักปราชญ์รุ่นหลังแต่งเติมเข้าไป หรือยืม พระโอษฐ์พระพุทธเจ้าพูด ดึงเอาความเช่ืออ่ืนเข้ามาประยุกต์ไว้ เพื่อ “ขม่ ” กนั และเรียกศรทั ธากลับคืนมา เช่น การกำเนดิ โลก กำเนิดมนษุ ย์ เร่ืองราวของเทพเจ้าบางองค์ เรื่องพระราหู พระจันทร์ พระอาทิตย์ เป็นต้น ผเู้ ขียนก็จะเลย่ี งไป ถา้ เลี่ยงไม่ไดก้ ใ็ ห้ขอ้ วนิ จิ ฉัยเทยี บเคยี งเอา ไว้ใหเ้ ห็นเบือ้ งลกึ เบอ้ื งหลงั ของแนวคิดนนั้ ๆ เมือ่ อา่ นหนังสือเลม่ นีจ้ บ ผเู้ ขยี นเชื่อวา่ คงทำใหท้ กุ ทา่ นไดเ้ ปิด หูเปิดตาไม่น้อย เหนือสิ่งอื่นใดคือ ให้ผู้อ่านเกิดความปรารถนาอันแรง กลา้ ทจ่ี ะทำความดียงิ่ ๆ ข้นึ ไป วนั หนา้ จะได้ประสพแต่เรอ่ื งดีๆ มีความสขุ กายสขุ ใจตลอดไป แด.่ ..ว่าทเ่ี ทวดา ชาญ พิญญู

คำนยิ ม ปัญญาวัฒน์ คำนิยม ว. วสิ ทุ ธสิ ารี ภพภูมิหรอื โลกอ่นื มจี รงิ หรอื ? ระบบเวียนวา่ ยตายเกดิ ของสตั ว์ ตายแลว้ ไปเกิดได้อยา่ งไร ? คนตายบญุ - บาป ติดตวั ไปได้อย่างไร ? สวรรค์ในอก สวรรค์ในบา้ น สวรรค์ของชีวติ คู่ สวรรค์ในทีท่ ำงาน สวรรค์ในสถานศกึ ษา คนไมใ่ ช่คน มาเปน็ เทวดากันเถอะ

ชาวสวรรค์ การกำเนดิ ของชาวสวรรค์ ชนชัน้ บนสวรรค์ บนสวรรค์ไม่มีสัตว์ดิรจั ฉาน เทวดา ๓ ประเภท เห็นเทวดา...เหน็ ตนเอง เหนอื โลกมนุษย์ คอื เทวโลก ๖ ช้ัน ชน้ั ที่ ๑ จาตมุ มหาราชิกา ช้ันท่ี ๒ ดาวดึงส์ หรือ ไตรตรึง แดนอสูร สวรรค์ใตพ้ ื้นพิภพ ชน้ั ท่ี ๓ ยามา ชั้นที่ ๔ ดสุ ติ ชั้นท่ี ๕ นมิ มานรดี ชั้นที่ ๖ ปรนมิ มติ วสวัตดี เทวดาตกสวรรค์ ทอี่ ยขู่ องผู้ประเสริฐ พรหมโลก ๒๐ ช้นั กำเนิดพรหม ชั้นของพรหม จะไปเกิดในชั้นพรหมไดอ้ ย่างไร พรหมทส่ี ำคัญ สถานทส่ี ำคญั ในพรหมโลก

เลือกสถานภาพให้ถกู ตอ้ ง โลกมนุษย์ศนู ย์กลางทำความดีทด่ี ีท่ีสดุ แผนท่ีไปสวรรค์ จองพน้ื ทีส่ วรรค์ สร้างวมิ านไวร้ อ ทำชัว่ ไวม้ าก แตอ่ ยากไปเกดิ สวรรค์ ทำอยา่ งไร

มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร ท่านเรียกว่าพรหม ว่าบุรพาจารย์ ว่าอาหุไนยบุคคล เพราะฉะน้ันบัณฑิต พึงนอบน้อมและบูชามารดาบิดา ด้วย ข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การอบกล่ิน การให้อาบน้ำ และการล้างเท้าท้ังสอง เพราะการปรนนิบัติมารดาบิดาน่ันแล บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกน้ีเอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์... พรหมสตู ร ตกิ . อํ. (๖๗๐)



มหัศจรรย์ ใกล้... แค่เอื้อม

นรก-สวรรค์ มีจริงหรือไม่ ? สวรรค์ในอก นรกในใจ เป็นเรื่องที่มีในชาติน้ี โลกอื่นหรือชาติหน้ามีจริงหรือไม่ ? นรก สวรรค์ แม้ในชาติ หน้า มันก็สืบไปจากท่ี เทวดามีจริงหรือไม่ ? มีในชาติน้ี เ ป็ น ค ำ ถ า ม ที่ มี ม า ทุ ก ยุ ค ทุ ก พระพรหมคุณาภรณ์ สมัย และก็มีผู้ตอบมาโดยตลอด (ป.อ.ปยุตฺโต) แต่ก็น่ันเอง ประเด็นเหล่าน้ีเป็น เร่ืองปัจเจก คือ รู้เห็นได้เฉพาะตน ตราบใดท่ีคนเรายังไม่รู้แจ้งเห็น จริงทุกเรื่อง ก็ต้องมีคนสงสัยกันต่อไป... ความจริงอย่างหน่ึงที่ไม่อาจ ปฏิเสธได้ คือ โลกที่เราอาศัยอยู่น้ี มีท้ัง สิ่งท่ีหยาบท่ีสุดไปจนถึงสิ่งอันละเอียด อ่อนที่สุด ชนิดสายตามนุษย์ไม่สามารถ มองเห็นได้ มีความสลับซับซ้อนต่างๆ กันออกไป บางอย่างต้องอาศัยเทคโนโลยี

17 ท่ีคิดค้นขึ้นเท่านั้นจึงสามารถพิสูจน์ให้ ตา เน้ือเห็นได้ เช่น เช้ือจุลินทรีย์ แร่ธาตุ สาร เคมีต่างๆ และก็ต้องมีอีกหลายสิ่งหลาย อย่างท่ีมนุษย์เองยังไม่สามารถจะคิดค้น เคร่ืองไม้เครื่องมือมาพิสูจน์ได้ เช่น วิญญาณ เทวดา รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตในภพ ภูมิอื่นๆ ท่ีทับซ้อนหรือเหนือไปกว่าความ หยาบของมนุษย์โลก เรื่องเหล่าน้ี ถือเป็นเร่ืองปกติของ นักพิสูจน์ว่าครั้นพอพิสูจน์ให้ประจักษ์ไม่ สามเหล่ยี มเบอรม์ วิ ด้า ได้ด้วยเคร่ืองไม้เครื่องมือ ก็ต้องป้องกัน เชือ่ วา่ เป็นบรเิ วณทีม่ ีอำนาจล้ลี บั ช่ือเสียงของตนเองไว้ก่อนว่า เป็นเร่ือง เหลวไหล พิสูจน์ไม่ได้ ด้านคนเดินดินท่ีเกลือกกลั้วกับ กิน กาม เกียรติ มักทึกทักเอาตามวิสัย ของตนเองว่า เม่ือไม่เห็นด้วยตาตนเองก็ ไม่ใช่เร่ืองจริงท้ังส้ิน วิธีคิดแบบนี้จะเอาเป็นมาตรฐาน มาปฏิเสธสิ่งต่างๆ เห็นจะไม่ถูกต้องนัก ต้องไม่ลืมว่า สัตว์บางชนิดมอง แอตแลนทสิ เห็น อย่าง สุนัข มด เป็นต้น ได้ยิน ได้กลิ่น ตำนานทวปี ใตส้ มุทร ซึ่งตา หู จมูก มนุษย์ ไม่สามารถสัมผัสได้

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 18 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ โลกหยาบๆ ท่ีเราอาศัยอยู่นี้ ก็มีอีกหลายท่ีหลายแห่งที่มนุษย์ ยังไม่มีปัญญาจะเข้าไปพิสูจน์ความล้ีลับซับซ้อนของมันได้ เช่น สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ความมีอยู่จริงของทวีปแอตแลน ติส เป็นต้น ไม่ต้องว่าไปถึงส่ิงละเอียดอ่อนอย่างภพภูมิอ่ืนๆ ซ่ึง ละเอียดอ่อนเหนือวิสัยมนุษย์ปกติหลายเท่า เรื่องภพภูมินอกเหนือจากโลกมนุษย์น้ี ยากต่อการ พิสูจน์ให้เห็นก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าจะหมดหนทางเสียทีเดียว มนุษย์มีวิธีพิสูจน์ส่ิงเหล่าน้ีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ว่าผู้ พิสูจน์จะต้องเห็นเองประจักษ์เอง คนอื่นไปเห็นด้วยไม่ได้เท่านั้น นั่นก็คือการพิสูจน์ด้วยดวงจิตอันละเอียดอ่อน อาศัยคุณ วิเศษที่เกิดจากจิตอันละเอียดอ่อนน้ันเข้าไปสัมผัสรู้เห็น เพียงแต่ในสมัยนี้ คนส่วนมากมองข้ามไป เห็นเป็นเร่ืองยาก ต่อการปฏิบัติบ้าง บางคนก็มองว่าไม่น่าเป็นไปได้บ้าง เป็นเร่ืองน่าคิดเหมือนกันว่า ศาสนาทุกศาสนามีเรื่องนรก สวรรค์เข้ามาเกี่ยวข้องท้ังส้ิน หลายศาสนาถือเป็นแนวคิดหลักในการ ประกาศศาสนาเลยทีเดียว เช่น ยูดา คริสต์ อิสลาม ฮินดู ถึงกับมีการ แจกแจงรายละเอียดบนสวรรค์อย่างละเอียดลออ แม้แต่ศาสนาแนวอเทวนิยมอย่าง “พุทธ” และ “เชน” ก็ไม่ได้ ปฏิเสธเรื่องน้ีแต่อย่างใด เพียงแต่มองว่านรกสวรรค์เป็นส่วนหน่ึงของ ระบบเวียนว่ายตายเกิดเท่าน้ัน ไม่นำมาเป็นจุดหมายสูงสุดในการ

19 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . สอนศาสนิกชน ความเช่ือเร่ืองนี้ จะว่าศาสดาและสาวกทั้งหลายโมเมตามๆ กันมาคงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะแต่ละท่านก็อยู่กันคนละทวีป แม้จะ ไม่ใช่ความจริงเสียท้ังหมด ก็ต้องมีเค้าความจริงอยู่หลายส่วน โดยเฉพาะกับศาสนาท่ีเน้นการปฏิบัติทางจิตเพื่อบรรลุ ภาวะรู้แจ้ง อย่าง พุทธ ฮินดู หรือลัทธิโยคีทั้งหลาย ย่ิงไม่ควรมอง ข้ามอย่างเด็ดขาด อย่างน้อยก็เป็นที่ประจักษ์อยู่อย่างหนึ่งหรือไม่ว่า บุคคลใน ศาสนาหรือลัทธิเหล่านี้ มีความละเอียดทางจิตและพลังจิตที่แตกต่าง จากคนทั่วไป เรียกตามศัพท์เฉพาะว่า อภิญญา* สมาบัติ* สำหรับผู้เขียนยืนยันว่า เป็นไปได้...! เร่ืองอภิญญาสมาบัตินี้ ในสมัยที่เทคโนโลยียังไม่เจริญ ถือ เป็นเรื่องธรรมดามาก พวกโยคีเขามีสำนักสอนและปฏิบัติกันเป็นล่ำ เป็นสัน ส่วนจะได้น้อยได้มาก ก็ข้ึนกับความพยายามของแต่ละคน ปัจจุบันก็ยังมีให้พิสูจน์ได้ในประเทศอินเดีย คุณสมบัติทางจิตเหล่าน้ีนั่นเอง จะสามารถสัมผัสกับภพภูมิ อภิญญา แบบทัว่ ไป มี ๕ คือ ๑. แสดงฤทธ์ิต่างๆ ได้ ๒. หูทพิ ย์ ๓. ร้วู าระจติ ของคนอืน่ ว่าคิดอะไร ๔. ระลึกชาตขิ องตนเองและคนอื่นได้ ๕. มตี าทิพย์และรวู้ า่ ใครตาย จากไหนแล้วไปเกดิ ทีไ่ หนอย่างไร ส่วนอีกขอ้ หน่ึง เป็นชัน้ วิเศษคอื มีเฉพาะในพระพทุ ธ- ศาสนาเทา่ นัน้ คือ ๖. ขจัดกิเลสให้หมดสน้ิ ไปจากใจ สมาบัติ เป็นภาวะความสงบทางจิต ซ่ึงจะเป็นการปูฐานจิตให้ได้อภิญญา พระพุทธศาสนาเรยี กวา่ “การบำเพญ็ สมถกรรมฐาน” มรี ะดบั ภมู ขิ องจติ ๒ ภมู ิคือ รูปฌาน ๔ และ อรปู ฌาน ๔ ดรู ายละเอยี ดท่ีหน้า ๑๙๘

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 20 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ อันละเอียดอ่อนได้ พระพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็ทรงปฏิบัติขัดเกลาจิตตนเองจน แน่วแน่ (ได้ปฐมฌาน) มาตั้งแต่ยังอายุได้ ๗ ขวบ แล้วยังทรงปฏิบัติ ในขั้นอุกฤษฏ์จนได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๗ ตั้งแต่ออกผนวช พรรษาแรก (แต่ก็ไม่ทรงถือเป็นเรื่องสลักสำคัญ) และในยุคต่อๆ มาจนถึงปัจจุบันก็ยังมีพระภิกษุและคน สามัญปฏิบัติได้กันอยู่ เช่น ประวัติของ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และพระอาจารย์อ่ืนๆ หลายต่อหลายท่าน ซ่ึงมีประสบการณ์สัมผัสที่ สอดคล้องตรงกันท้ังสิ้น หากจะเอาความเชื่อของแต่ละคนมาพูดกัน ก็คงไม่มีวันจบ ส้ิน หลายคนก็หลายความเชื่อหลายความเห็น ผู้เขียนเองก็ไม่ได้รู้ได้ เห็นมากกว่าคนธรรมดา เพียงแต่เชื่อในการปฏิบัติจนรู้แจ้งเห็นจริง ทุกสิ่งอันของพระพุทธเจ้า องค์บรมครูของพระพุทธศาสนาเท่านั้น และมั่นใจว่า เร่ืองท่ีตรัสไม่ใช่เร่ืองโกหกพกลม หาไม่ แล้วคำสอนของพระองค์คงไม่ยืนยง เป็นที่ยอมรับมาจนถึงทุก วันน้ี ดังน้ัน ความรู้ใดๆ อันเก่ียวกับภพภูมิที่ผู้อ่านได้จากหนังสือ เล่มนี้ ผู้เขียนอ้างอิงตามคำบอกเล่าของพระพุทธองค์ รวมทั้งบรรดา สาวกของพระองค์เป็นพ้ืนทั้งส้ิน หาได้เกิดจากการรู้เองประจักษ์เอง ของผู้เขียนแต่ประการใด ไม่แน่ว่า ในอนาคตจะมีนักวิทยาศาสตร์สักคนประดิษฐ์ เครื่องมือที่สามารถติดต่อส่ือสารกับภพอื่นได้ ถ่ายรูปพวกเขาได้ ถึง

วันนั้น คำกล่าวกันว่า นรก . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . สวรรค์ เป็นเร่ืองเหลวไหลลวง คนคงตกไป เช่นเดียวกันคำทำนาย ของพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๖ ข้อ ใครจะเชื่อว่าเป็นจริงทั้งหมด แต่ตกมาวันน้ี “ถูกทุกข้อ” อย่างน่าท่ึง หรือแม้กระทั่งพระองค์ บอกว่าโลกกลม ใครจะเช่ือ? จนกระท่ัง “กาลิเลโอ” ออกมา ยืนยันต่อชาวโลก...ด้วยชีวิต...



ภพล้ีลับ ที่คุณ สัมผัสได้

ภพภมู ิ หรือโลกอน่ื มีจรงิ หรือ? กับคำถามว่า ภพภูมิหรือโลกอื่นมีจริง หรือ ? แน่ทีเดียว ด้วยภาวะของมนุษย์ ปุถุชนคนมีกิเลส ไม่สามารถตอบได้ หรือ แม้ตอบไป ก็ไม่น่าเช่ือถือนัก เหมือนคน ตาบอดบอกคนตาบอดว่า ตนเองเคยไป เห็นอนุสาวรีย์เทพีสันติภาพในอเมริกามา แล้วนั่นทีเดียว ตาบอดคลำช้างน่ันยังพอไหว แต่ ตาบอดบอกตาบอดว่าเทพีสันติภาพมีจริง ตนเองไปยืนแหงนมองคอต้ังบ่ามาแล้ว นั่นออกจะเชื่อยากอยู่เหมือนกัน สำหรับพระพุทธศาสนาน้ัน พระ- พุทธเจ้าทรงมีข้อสรุปแล้ว ทรงช้ีแจง แถลงไขจนยุติไปนับตั้งแต่วันที่ทรงสอน ปัญจวัคคีย์แล้ว ท้ังยังไม่ทรงบอกว่ามีจริง แบบตรงๆ แต่จะเลียบเคียงถามถึงเหตุ ถึง ผลเสียก่อน หรือบางกรณียังไม่ตรัสออกมาเอง

25 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . แต่รอให้พระสาวกรูปใดรูปหนึ่งไปพบเห็นแล้วนำมาเล่าเสียก่อน ถึง ตรัสรับรองทีหลัง ว่าเราก็ได้เห็นเหมือนกัน แต่ไม่พูดเพราะแม้จะเป็น เร่ืองจริง แต่พูดออกไปโดยคนอ่ืนไม่รู้เห็นเป็นพยานก่อน หากมีคนไม่ เช่ือ ก็จะมีจิตคิดไปต่างๆ หาว่าโกหกพกลม ป้ันน้ำป้ันเร่ืองมาหลอก คนบ้าง แล้วการคิดและพูดเช่นนั้นจะกลายเป็นกรรมติดตัวผู้น้ันให้ไป ตกนรกอีก สู้รอจนกว่าจะมีผู้รู้เห็นแล้วมาถามค่อยทรงยืนยันตามน้ัน จะดีกว่า พระอานนท์ (ท่านไม่มีฤทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น) เคยยกเรื่องนี้ขึ้นถาม พระพุทธองค์เหมือนกันว่า “ภพ” น้ันเป็นอย่างไร พระองค์ย้อนถามว่า “หากไม่มีกรรมเป็นตัวปรุงแต่ง จะมีภพ หรือไม่” ท่านตอบว่า “ไม่มี” พระองค์จึงว่า “อานนท์ กรรมเป็นเหมือนนา กรรมเป็น เหมือนดิน วิญญาณเป็นเหมือนพืช ตัณหา (ความทะยานอยาก) เป็นเหมือนยางพืช (เนื้อในเมล็ดที่พร้อมจะแตกหน่อ)” ทรงสรุปว่า ตราบใดท่ียังมีคน คนยังมีกิเลส กิเลสนั่นเอง ส่งผลให้เกิดการกระทำทั้งดีและไม่ดี และผลอันเกิดจากความดี และไม่ดีน้ัน ก็จะส่งผลให้คนต้องรับผลของมัน เมื่อนั้น “ภพ” ก็ต้องมีไว้รองรับ ตัณหา คือ ความทะยานอยาก มี ๓ คือ ๑. ความอยากได้โน่นได้นี่ อันเป็น สิ่งบำเรอตน ๒. ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ไม่มีจบสิ้น ๓. ความรังเกียจสิ่งโน้นสิ่งนี้ ไม่ต้องการเป็น

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 26 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ การตอบคำถามนี้ ผู้มืดบอดด้วยปราศจากคุณวิเศษที่จะทะลุ ทะลวงไปเหน็ สวรรคอ์ ยา่ งผเู้ ขยี นไมส่ ามารถตอบได้ แตเ่ ชอื่ พระพทุ ธเจา้ ไว้เป็นปฐม เพราะเช่ือในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำส่ัง สอนที่พระองค์สอน ส่ิงที่พระองค์ชี้ เม่ือศึกษาอย่างละเอียดจะเกิด ความทึ่งว่า ต่อให้คนมีปัญญาเพียงใดก็ตาม จะให้รอบด้านเช่นคำ สอนของพระพุทธเจ้า น้ันไม่มีเด็ดขาด เหมือนกับคนไข้ เม่ือไม่เห็นเช้ือโรค ไม่รู้จักเช้ือโรค จะว่าไม่มี ไม่เช่ือย่อมไม่ใช่ อย่างไรก็ต้องเชื่อหมอ เพราะหมอเขารู้เขาเห็น คำตอบนี้ นอกจากพระพุทธองค์แล้ว ยังมีที่เข้มข้นกว่าน้ัน เรื่องน้ีเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้วหลายปี มีเจ้านครเสตัพยะองค์หนึ่ง พระนามว่า “ปายาสิราชา” ทรงมีความรู้ กว้างขวางแต่ไม่ทรงเช่ือเรื่องนรกสวรรค์หรือโลกน้ีโลกหน้า คร้ันได้ยินกิตติศัพท์ของ “พระกุมารกัสสปะ” พระสาวกของ พระพุทธองค์ จึงเข้าไปโต้คารมกับพระเถระ ท่ามกลางพุทธบริษัทนับ พัน ท้าวท่านเปิดประเด็นว่า “มีแต่โลกน้ีเท่านั้น โลกหน้าไม่มี โลกอื่นไม่มี” พระกุมารกัสสปะย้อนถามว่า “พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ รวมทั้งดวงดาวอื่นๆ ท่ีเห็นอยู่ เป็น โลกนี้ หรือเป็นโลกอ่ืน” พระเจ้าปายาสิ : “เป็นโลกอ่ืนสิ” พระกุมารกัสสปะ : “แล้วไยท่านจึงว่า โลกอื่นไม่มี” โดนตลบหลังเช่นนี้ ท้าวท่านก็งันไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็ว่า

27 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . “ข้อน้ันเอาไว้ก่อน แล้วถ้าโลกหน้ามีจริง ไฉนญาติมิตรของ เราท่ีทำกรรมชั่วเอาไว้ คร้ันจวนสิ้นใจ เราส่ังว่า ถ้าไปตกนรกแล้ว จง รีบกลับมาบอกให้เรารู้ด้วยว่า นรกมีจริง แต่เราก็รอมาหลายปี ก็ไม่ เห็นว่าจะมีใครมาส่งข่าวเสียที นี่ก็แสดงว่า นรกไม่มีจริง คนตายแล้ว ก็หมดกัน” พระเถระจึงว่า “ถ้าโจรท่ีถูกจับและตัดสินว่าต้องประหารชีวิต โจรนั้นขอร้องว่า ขออนุญาตให้เขาไปบอกพวกพ้องเสียก่อน เจ้า หน้าท่ีจะอนุญาตหรือไม่” พระเจ้าปายาสิ : “ไม่ได้” พระกุมารกัสสปะ : “นี่ก็เหมือนกัน สัตว์ที่หมกไหม้อยู่ใน นรก ย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาเล่าให้พระองค์ทราบเช่นกัน” พระเจ้าปายาสิ : “ยังมีอีก พวกสมณพราหมณ์ท่ีปฏิบัติดี เมื่อพวกท่านจวนจะส้ินใจ เราได้ส่ังว่า ถ้าท่านไปเกิดในสวรรค์ จง กลับมาบอกแก่เราด้วยว่า สวรรค์มีจริง แต่ก็คอยมาปีแล้วปีเล่า จะมี ใครกลับมาบอกข่าวก็หาไม่ น่ีเท่ากับว่าตายแล้วก็หมดกัน” พระกุมารกัสสปะ : “มีชายคนหนึ่ง จมลงไปในหลุมอุจจาระ จนมิดศีรษะ แล้วมีชายอีกคนหน่ึงช่วยให้พ้นขึ้นมาได้ นำไปอาบน้ำ ชำระร่างกาย แล้วพาไปอยู่ด้วยในคฤหาสน์ใหญ่โต มีความสุข สำราญเต็มที่ ถามว่าชายคนนั้นยังจะพอใจตกลงไปในหลุมคูถอีก กระนั้นหรือ” พระเจ้าปายาสิ : “ไม่มีใครต้องการอย่างแน่นอน” พระกุมารกัสสปะ : “พวกที่ไปเกิดบนสวรรค์ก็เช่นกัน ย่อม

28 เพลิดเพลินด้วยความสุขในสวรรค์ เสวย กามคุณทั้ง ๕ อันเป็นทิพย์อย่างสำราญ สำหรับโลกมนุษย์แล้วก็เหมือนหลุมคูถ สำหรับพวกเทวดา ไม่มีทางที่เขาจะกลับ มาทูลให้พระองค์ทราบได้ อีกประการ วันเวลาในสวรรค์ก็ นานกว่าโลกมนุษย์หลายเท่า ร้อยปีใน โลกมนุษย์ เท่ากับวันหนึ่งคืนหนึ่งบน สวรรค์ช้ันดาวดึงส์ เมื่อพวกคนดีเหล่านั้น ไปเกิดบนสวรรค์แล้ว คิดว่าอีกสองสาม วันค่อยมาทูลให้พระองค์ทราบ พระองค์ จะอยู่ทันถึงวันนั้นหรือไม่” พระเจ้าปายาสิ : “ไม่ได้ คงตาย ไปเสียก่อน” แล้วก็ทรงย้อนบ้างว่า “ใครหนอ ช่างรู้ได้ว่า วันเวลาในสวรรค์กับมนุษย์ ต่างกัน ท้ังยังรู้ว่า เทพชั้นดาวดึงส์มีอายุ ยืนขนาดนั้น เราไม่อยากเช่ือ” พระกุมารกัสสปะ : “มีคน ตาบอดแต่กำเนิด เที่ยวบอกว่า สีดำ สี ขาว สีเหลือง ไม่มี คนท่ีเห็นสีเช่นน้ันก็ ไม่มี ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ก็ ไม่มี คนที่เห็นดวงดาวพวกน้ันก็ไม่มี

29 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เหมือนกัน เพราะว่าเราไม่รู้ไม่เห็น ส่ิงน้ันจึงไม่มี จะมีคนเชื่อท่ีเขา บอกรึเปล่า” พระเจ้าปายาสิ : “กล่าวพูดไม่ถูก จะเชื่อได้อย่างไร” พระกุมารกัสสปะ : “ท่ีพระองค์ปฏิเสธเรื่องเทพชั้นดาวดึงส์ ก็นัยเดียวกัน เพราะพวกสมณะและพราหมณ์บางท่าน ซึ่งอยู่ในที่อัน สงัด ไม่ประมาทในการทำความเพียร ฝึกจิตตนเองจนได้ทิพยจักษุ สามารถมองเห็นโลกอื่น และเห็นสัตว์จำพวกโอปปาติกะ อันตาเน้ือ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถเห็นได้ เรื่องของโลกหน้า ต้องเห็นได้ด้วยวิธีนี้ ถ้าเข้าใจว่าตาเน้ือเห็น ไม่ได้ก็ไม่ใช่เร่ืองจริงน้ันไม่ถูกต้อง” ความในปายาสิสูตร ยาวพอสมควร ซึ่งตามความเพียงเท่าน้ี ก็พอได้ข้อสรุปบ้างแล้ว กับหากจะถกเถียงกับความเช่ือของคนน้ัน ไม่มีท่ีสิ้นสุด โดย เฉพาะเร่ืองซ่ึงไม่สามารถพาไปเห็นไปสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัส ปกติ แต่หากมีผู้รู้ผู้เห็นยืนยันไว้เป็นมั่นคงว่า “ใช่! เป็นความจริง” ย่อมจะเป็นอันเชื่อได้ ความจริงท่ีถูกยืนยันนั้น ก็เป็นความจริงรอการ พิสูจน์อยู่ตลอดไป ข้ึนอยู่กับความสามารถเฉพาะของผู้พิสูจน์เองว่า จะหาทางไปรู้ไปเห็นตามน้ันหรือไม่ ดังนั้น “ความจริง” กับ “เชื่อไม่เชื่อ” เป็นคนละเรื่องกัน ชนิดแยกจากกันได้เด็ดขาด



ผ่านตาคำว่า “สัตว์” สำหรับ ผู้ไม่คุ้น ระบบ เวยี นวา่ ย กับวัดกับศัพท์พุทธศาสนา อาจรู้สึก ตายเกิด แปลก ของสัตว์ จึงขอทำความเข้าใจไว้เป็นเบื้อง ต้นว่า “สัตว์” หรือ “สัตว์โลก” ไม่ได้หมาย ถึงเฉพาะสัตว์ดิรัจฉานเท่านั้น เพราะคำน้ี แปลว่า “ผู้ยังข้องหรือติดอยู่” คือยังเวียน ว่ายตายเกิดอยู่ในภพต่างๆ ทั้ง ๓๑ ภพ ด้วยอำนาจของกิเลส กรรม และผลของ การกระทำ (วิบาก) พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ส่ิงมีชีวิต จิตใจทุกชนิดท่ียังเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่ เข้าสู่พระนิพพานเรียกว่า “สัตว์” ทั้งหมด ส่วนภูมิอันเป็นระบบเวียนว่ายตาย เกิดของสัตว์มีทั้งหมด ๓๑ ภูมิ ซ่ึงผู้เขียนไม่ แบ่งตามท่ีตำราว่าไว้ เพราะอาจเข้าใจยาก สำหรับผู้ไม่ได้เรียนด้านศาสนามาโดยตรง จึงขอแบ่งให้เห็นภาพง่ายๆ แต่ถูกต้องตาม

32 หลัก ดังน้ี ภมู มิ ที งั้ หมด ๓๑ ภมู ิ จดั เปน็ ๒ ฝา่ ย คอื ทคุ ติ และ สคุ ติ สุคติ แบ่งออกเป็น มนุษย์ เทวโลก และ พรหมโลก (รูปภพ และ อรปู ภพ) ทุคติ แบ่งออกเป็น นรก เปรต อสุรกาย และ ดิรัจฉาน ดู ร า ย ล ะ เ อี ย ด จ า ก แ ผ น ผั ง จำลองระบบเวียนว่ายตายเกิด ดังน้ี

33 เนวสัญญานาสัญญายตนะ อรปู พรหม อากาสานัญจายตนะ (ไรร้ ปู ในเรอื งรอง) วิญญานัญจายตนะ ฝา่ ยสุคติ สุทธาวาส* อากิญจัญญายตนะ รูปพรหม เวหปั ผลา อสัญญสี ัตตา (สุขกายใจสงบ) จตุตถฌาน ปริตตาสภุ า อัปปมานาสภุ า สภุ กิณหา ตติยฌาน เทวโลก ทุติยฌาน ๖ ช้ัน ปรติ ตาภา อปั ปมานาภา อาภัสสรา ปฐมฌาน . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ปารสิ ชั ชา ปุโรหิต มหาพรหม ปรนิมมิตวสวสั ดี นมิ มานรดี ดุสติ ยามา ดาวดึงส์ จาตุมมหาราชกิ า ฝา่ ยทคุ ติ มนุษย์ ดิรัจฉาน อสุรกาย เปรต นรก *สุทธาวาส มีชั้นย่อยอีก ๕ ช้ัน คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา

ตายแลว้ ไปเกิด ได้อยา่ งไร? หลังจากทราบว่ามีภพ มีชาติ และ ภพชาติน้ันเท่าไรแล้ว ก็ควรทราบต่อ ไปว่า สัตว์โลกหลังจากจุติหรือตายจาก ภพหนึ่งแล้ว จะไปเกิดอีกภพหนึ่งได้ อย่างไร ปกติร่างกายของคนนั้น วันหน่ึงๆ มีเซลล์ตายไปไม่รู้ก่ีร้อยก่ีพันเซลล์ แต่ เ พ ร า ะ มี เ ซ ล ล์ ใ ห ม่ เ กิ ด ขึ้ น ม า ท ด แ ท น เสมอๆ จึงมีการชำรุดให้ปรากฏน้อยยิ่ง กว่าน้อย ทางวิทยาศาสตร์บอกว่า ๗ ปี ร่างกายของคนจะไม่มีเซลล์เก่าเหลือเลย เป็นเซลล์ที่ผลัดใหม่หมด ซึ่ ง ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ห ลั ก พุ ท ธ - ศาสนาท่ีว่า สังขารน้ันไม่เท่ียง มีการเกิด ขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เกิด ต้ังอยู่ ดับ สืบ ต่อกันอยู่อย่างน้ีทุกขณะ (สันตติ) ร่างกาย จึงไม่ได้ตายลงทันที แต่ค่อยๆ เส่ือมไปเรื่อยๆ

35 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เอ่ยถึงตรงนี้ทำให้ผู้เขียน นึกถึงคำว่า “วัย” ท่ีเราเอามาใช้ เรียกอายุกัน คำนี้แปลว่า “เสื่อม” วัย ๓๐ ก็หมายความว่า เสื่อมมา ได้ ๓๐ ปีเข้าน่ีแล้ว จะเส่ือมจนเสียใช้การไม่ได้เม่ือไรก็ยังไม่ทราบได้ ตามหลักพุทธศาสนา ร่างกายของสัตว์โลก เกิดจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันเข้าเป็นรูปร่าง จากนั้นมี “ความรู้สึก” (ทั้งทางกายและทางใจ) มี “ความจำได้หมายรู้” มี “ความคิดอ่าน” และ “อารมณ์ความรู้สึก” แล้วก็มีศูนย์กลางของ ระบบ คือ ตัวรับรู้ ซึ่งสถิตเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกับจิต การเกิดของสัตว์น้ี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ละเอียดมาก เริ่มต้ังแต่ ต้องมีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง ถึงจะมีการเกิด ตัวสเปิร์มมีขนาด เท่าไร และหลังจากตัวเสปิร์มเข้าไปในรังไข่แล้ว จะเกิดมีพัฒนาการ อย่างไร ซึ่งผู้เขียนไม่ขอนำมาเล่าไว้ในที่นี้ จะเป็นการเย่ินเย้อเกินไป วิญญาณของสัตว์จะมาปฏิสนธิขณะที่รังไข่เริ่มฟักตัวเลยที เดียว รวบรัดมาจนถึง คราวร่างกายใช้การไม่ได้แล้ว มีอันต้องดับ ดิ้นส้ินชีพไปนั่นเองจึงเข้าสู่ประเด็นว่า “แล้วอะไรที่ตายบ้าง” ตายท้ังหมด รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดับไปหมด พร้อมๆ กัน แต่ท่ีดับไปอย่างถาวร คือ ร่างกาย และ เวทนา หรือการ รับรู้อารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น สัญญา สังขาร วิญญาณ ดับไปเพียง ชั่วขณะจิตหน่ึง แต่ถ้าหากมีกิเลสผูกมันไว้อยู่ ก็จะเกิดข้ึนใหม่ โดยมี กระบวนการนี้เรียกว่า ธาตุ ๔ รวมกันเป็น ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 36 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ กรรมเป็นตัวกำหนดว่า จะเกิดข้ึนอีก ณ ภพภูมิใด จิตสุดท้ายก่อนตายเรียกว่า จุติจิต คือจิตท่ีเคล่ือนออกไป ซ่ึงไม่ได้หมายความว่าล่องลอยออกไป แต่จะดับไปวูบหนึ่ง เร็วมาก แล้วเกิดขึ้นใหม่ในภพใหม่ทันที เรียกว่า ปฏิสนธิจิต ท่ีกล่าวว่าวิญญาณเป็น สัมภเวสี* ล่องลอยไปหาที่เกิดน้ัน ความจริงแล้วเขาเกิดแล้ว เกิดใน “ภพอสุรกาย” ก่อนเท่านั้น ถ้าบุญ หรือบาปแรง เขาจะไปปฏิสนธิในนรก หรือสวรรค์ชนิดเฉียบพลัน ทันที ร ะ บ บ ที่ ท ำ ใ ห้ สั ต ว์ เ วี ย น ว่ า ย ต า ย เ กิ ด อ ยู่ เ ช่ น นี้ มี เ พี ย ง ๓ วงจรใหญ่ คือ กิเลส กรรม วิบาก กิเลส วิบาก กรรม กิเลสเป็นเหมือนเชื้อเพลิง เป็นตัวกระตุ้นให้การขับเคล่ือน หรือการกระทำทั้งท่ีดีและไม่ดี (กรรม) เมื่อมีการกระทำดีและไม่ดี ก็ ย่อมมีผลลัพธ์จากการกระทำน้ันตามมา และผู้ทำน่ันเองต้องเป็นผู้รับ ผล (วิบาก) สัมภเวสี หมายถึง สัตว์ทุกชนิดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ยกเว้นพระอรหันต์ เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงวิญญาณคนตายที่ล่องลอยหาที่เกิด เพราะน่ันเขาเกิดในภพของ อสุรกายแล้ว

37 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . ซึ่งถ้าอยากจะหลุดจากวงจรอันนี้ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ ชำระ กิเลสให้หมดส้ินไปจากใจเสีย เมื่อไม่มีกิเลส ก็ไม่มีแรงผลักดันให้ ทำกรรม พระพุทธองค์ตรัสว่า “พระอรหันต์เป็นผู้มีบุญบาปอันลอย แล้ว” คือบาปเก่าท่ีเคยมี ถ้าตามมาสนองทันก็ทัน ถ้าไม่ทัน ก็เป็นอัน สิ้นสุดกัน ความดีก็เช่นกัน ส่วนกรรมที่ท่านทำ ณ ปัจจุบันนั้น แน่นอนว่าไม่มีกรรมชั่ว อย่างเด็ดขาด มีแต่กรรมดีซึ่งทำเพื่อเก้ือกูลชาวโลก ผลบุญจากการ กระทำนั้น คือมีกับผู้ที่ท่าน อนุเคราะห์ แต่ไม่ให้ผลกับท่านแล้ว พระพุทธองค์ยืนยันไว้ในนิพพานสูตรว่า “กรรมท่ีกระทำด้วย อโลภะ อโทสะ อโมหะ เกิดจากอโลภะ อโทสะ อโมหะ มี อโลภะ อโทสะ อโมหะ เปน็ แหลง่ กำเนิด เมื่อโลภะ โทสะ โมหะ ส้ินไปแล้ว กรรมนั้นก็เป็นอันละสิ้น มี รากเหง้าท่ีถอนข้ึนแล้ว เป็นประหนึ่งตาลยอดด้วน เป็นสิ่งท่ีไม่มี ไม่ เกิดข้ึนอีกต่อไปแน่นอน เหมือนคนเอาเมล็ดพืชไปเผาไฟ แล้วป่นให้เป็นผุยผง โปรย ไปกับสายลมและสลายไปกับสายน้ำ ย่อมไม่มี ไม่เกิดอีกต่อไปเป็น ธรรมดา...” เป็นอันจบส้ินกันทั้ง ๒ อย่างทั้งบุญและบาป หลุดจากวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างเด็ดขาด

คนตาย จิตมีลักษณะพิเศษคือ เป็นตัวส่ังสม บุญ-บาป ตดิ ไป บุญบาป และกิเลสเอาไว้ เก็บทุกส่ิงทุก ไดอ้ ย่างไร? อย่างไว้ใน “ภวังคจิต” ตามปกติของจิตนั้น มีเกิด ดับ อยู่ ตลอดเวลา ปรับเปล่ียนอารมณ์อยู่ทุกขณะ เหมือนหลอดไฟฟ้าที่เห็น “สว่าง” น้ัน ความจริงมีการกะพริบของแสงอยู่ตลอด เวลา เพียงแต่กะพริบถ่ีมากจนไม่สามารถ จับสังเกตได้เท่าน้ัน จิตที่เกิด ดับ ตลอดเวลานี้ จิตดวง สุดท้ายจะท้ิงบุญ บาป กรรม กิเลส ไว้ให้ ดวงจิตดวงต่อไป และติดต่อกันเช่นนี้ ตลอดไป บุญ บาป กรรม กิเลส จึงไม่ได้หาย ไปไหน ยังส่ังสมกันแบบสืบพันธุกรรมไป เรื่อยๆ เหมือนพันธุกรรมของมนุษย์และ สัตว์ แม้ว่าปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ท่านจะเสีย ไปแล้ว แต่ยีนของท่านยังสืบต่อไปเรื่อยๆ

39 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เหมือนโรคติดต่อทางพันธุกรรม ซ่ึงไม่ต่างจากบุญและบาป มันฝังเช้ืออยู่ในพันธุกรรมของจิต สืบต่อไปเร่ือยๆ ทุกภพทุกชาติ โดยมีกิเลสเป็นตัวหล่อเล้ียงไว้ จนกว่า จะตัดตัวหล่อเลี้ยงของมันออกไปเสียเท่านั้น จึงจะไม่มีการสืบต่อ พันธุกรรมอีกต่อไป บุญบาปมีลักษณะอย่างไร ขอยกข้อความใน “พระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก- นิบาต” ท่ีกล่าวถึงลักษณะของบุญและบาปไว้ ดังน้ี ลักษณะของบุญ ๑. ได้แก่ การทำความดีทุกชนิด ๒. ได้แก่ ความสุขกายสุขใจท้ังในชาตินี้และชาติต่อไป ๓. ได้แก่ จิตที่ผ่องใสบริสุทธ์ิ พระพุทธองค์ตรัสไว้ย่อๆ ว่า “บุญเป็นชื่อของความสุข” ลักษณะของบาป ๑. ได้แก่ การทำช่ัวทุกชนิด ๒. ได้แก่ ความทุกข์กายทุกข์ใจทั้งในชาติน้ีและชาติหน้า ๓. ได้แก่ ความเศร้าหมองของจิตใจ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างน่าฟังว่า “ความช่ัว (เม่ือทำแล้ว) ย่อมเผาผลาญเขาในภายหลัง”



สวรรค์ บน แดนดิน

เอ่ยถึงสวรรค์ ทุกคนมักจะนึกถึง “...ดูก่อนท่านผู้เห็นภัย ในวัฏฏะทั้งหลาย ดินแดนที่มีแต่ความสุข ดินแดนแห่ง ก็เมื่อบุคคลยึดถือ ความร่ืนรมย์ ซ่ึงเป็นที่ปรารถนาของคน การสร้างสรรค์ บนโลกนี้ ทำบุญทำทานก็หวังถึงความ สุขสบาย หวังความรื่นรมย์ให้แก่ชีวิต ของเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่ เป็นสำคัญ คงไ ม่มี ใครทำความดีแ ล้ว อยากตกนรกหมกไหม้ ความ “พอใจ” หรือ ความ “พยายาม” การหวังได้ไปสวรรค์หลังจาก ว่า กิจนี้ควรทำหรือไม่ จากโลกน้ีไปแล้ว ก็หวังได้ แต่อย่าลืม ว่ากิจนี้ไม่ควรทำ ว่านั่นเปน็ เรือ่ งของอนาคต หวงั แล้วตอ้ ง ย่อมจะมีไม่ได้...” ทบทวนปจั จบุ นั ขณะเสยี ทางหนง่ึ หนั มา คดิ สรา้ งสวรรคบ์ นดนิ ใหส้ มบรู ณท์ สี่ ดุ ใน พุทธพจน์ ขณะยงั มชี วี ติ อยนู่ ี้ ชีวิตก็เหมือนได้ข้ึนสวรรค์ ทั้งที่ยังไม่ตายจากโลกมนุษย์

43 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . สวรรค์ในอก จิตใจของคนเราเป็นเรื่องสำคัญ เป็นตัวกำหนดกระบวนการ คิด และการกระทำท้ังหมด พระพุทธองค์ยงั ตรสั ว่า “ธรรมท้ังหลายมีใจนำ มีใจเป็นใหญ่ มีใจบงการ คนจะดีหรือ ช่ัวอยู่ที่ใจ ถ้ามีจิตใจดีคิดดี ก็เป็นคนดี ถ้ามีจิตใจหม่นหมองกอปร ด้วยความคิดร้ายๆ ก็มีทางจะพาตัวเองลงสู่ที่ต่ำ” คนเราส่วนใหญ่พากันด้ินรนแสวงหาความสุขกัน แต่ช่ัวชีวิต ก็ยังไม่พบว่า ความสุขน้ันมันอยู่ท่ีไหน คิดว่าได้สิ่งนี้มา คิดว่าทำสิ่งนี้ แล้วจะได้รับความสุข แต่สุดท้ายการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น น่ันเพราะลืมกันไปว่า ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ท่ีใจเท่านั้น ถ้าทำใจให้เป็นสุข มองโลกในแง่ดี คิดแต่เร่ืองดีๆ ระงับจิตระงับใจ จากอารมณ์อันร้อนแรงทั้งมวล พอใจกับสิ่งท่ีมีที่เป็น ไม่ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิมอยากได้ตามกระแส ตามคนอื่นไปเสียทุกอย่าง ถ้าใช้ชีวิต อย่างน้ี ความสุขก็จะมาเยือนทีละน้อย ไม่มีใครในโลกนี้ มีได้ทุกอย่างที่ต้องการ ขณะเดียวกัน คนที่ เขามีในส่ิงท่ีเราอยากมี ก็ใช่ว่าจะมีความสุขอย่างท่ีเราเข้าใจเสมอไป มหาเศรษฐีร้อยล้าน มีทุกอย่างราวกับเนรมิตได้ เขายังฆ่าตัว ตาย นั่นเพราะเศรษฐีก็มีความทุกข์ของเศรษฐี หากไม่รู้จักสร้าง สวรรค์ในใจ ในขณะท่ีขอทานข้างถนน ยังไม่เห็นว่าจะมีใครเคยฆ่าตัวตาย เลย น่ันเพราะเขามองเห็นสวรรค์ของเขา เขารู้จักมองโลกให้เป็นสวรรค์

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 44 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ความสุขหรือสวรรค์ ถ้าจะแสวงหาได้ในเมืองมนุษย์ ก็ไม่มี อื่นใดอีกแล้ว นอกจากหาจาก “ใจ” ของเรานี้เอง มันอยู่ที่การคิด น่ีเอง คิดให้ดี มองให้ดีมีปัญญารู้เท่าทันส่ิงต่างๆ มองด้วยความ เข้าใจและมีใจเป็นสุข หากคนมีสวรรค์ในใจ ณ ขณะจิตนี้ และขณะจิตต่อๆ ไป สวรรค์ในโลกหน้า จะมีจริงหรือไม่จริงย่อมไม่ใช่เร่ืองสำคัญอีกแล้ว ขอเพียงไม่ประมาท สร้างความสุขไว้ต้ังแต่วันนี้เท่าน้ัน ส้ินชีพตายไป จะได้ทราบเอง สวรรค์ในบ้าน บ้าน ไม่ว่าจะเป็นกระต๊อบมุงหญ้าคา ห้องเช่า หรือคฤหาสน์ ใหญ่โต หากอยู่แล้วมีแต่ความสุข “บ้านก็คือวิมานของเรา” สวรรค์ย่อมเกิดได้ก็ต่อเม่ือผู้อยู่อาศัยเป็นเทวดา มีคุณธรรม ความดีประหน่ึงเทวดา หากบ้านใหญ่โต พื้นท่ีกว้างขวาง มีส่ิงอำนวยความสะดวก ทุกอย่าง แต่คนท่ีอาศัยอยู่มีใจหม่นหมองตกต่ำ ขาดคุณธรรมและ ความรับผิดชอบต่อกัน บ้านก็ไม่ต่างจากแดนเถื่อน ป่าช้า ร้อนรุ่มเป็น ขุมนรก คนอยู่เองก็ไม่น่าสบายใจ คนเยือนก็ท่าจะไม่กล้าย่างเหยียบ เข้าไป ดังนั้น บ้านจะเป็นสวรรค์หรือแดนอบายภูมิน้ัน ก็ล้วนอยู่ท่ี “ผู้อยู่” จะบันดาลทั้งส้ิน ลักษณะของครอบครัวที่ดี จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ

45 . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . อยู่ ๗ ประการ คือ ๑. ให้ความนับถือ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เป็นเหมือนเทวดา เป็น เจดีย์ประจำครอบครัว ๒. สามี ภรรยา เป็นหลักของ ครอบครัว ๓. บุตร ธิดา เป็นอนาคต เป็น ความหวังของครอบครัว ๔. ญาติพ่ีน้อง เป็นร่มเงาของ ครอบครัว ๕. เพ่ือนบ้าน เป็นร้ัว เป็นกำแพง ของครอบครัว ๖. อาชีพ เป็นฐานะของครอบครัว ๗. ศีลธรรม เป็นทิศทางที่ถูกต้อง ของครอบครัว ข้อท่ีจะบันดาลบ้านให้เป็นวิมาน ได้แน่นอนเด็ดขาด คือ ศีลธรรม คำโบราณติดปากว่า “บ้านเมืองมี ขื่อมีแป” คือมีขนบธรรมเนียม มีศีลธรรม อันเป็นตัวกำหนดทิศทางในการใช้ชีวิต ร่วมกันที่ถูกต้อง ผู้คนจึงจะอยู่กันอย่าง ราบรื่น สงบสุข

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 46 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ บ้านก็เช่นกัน จำเป็นต้อง “มีขื่อ มีแป” กำกับไว้เป็นอันดับ สุดท้าย ไม่เช่นนั้นเห็นท่าว่าต้องพังลงอย่างแน่นอน เม่ือบ้านพัง คน อยู่นั่นเองจะพบกับความพินาศ สวรรค์ของชีวิตคู่ มีคำกล่าวว่า “คนเกิดมาคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วจากกัน” ซ่ึงก็ถูกส่วนหน่ึง แต่ต่างคนต่างมาแล้วผูกรักผูกสัมพันธ์กัน ขึ้นใหม่ ก็ได้เช่นกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ความรักเกิดได้ ๒ ทางคือ ความผูกพัน กันแต่ปางก่อน และความสนิทสนมเก้ือกูลกันในปัจจุบัน” กับคู่ที่ผูกพันกันมาก่อนน้ันไม่ค่อยมีปัญหา เพราะว่า “จูน” กันมาเป็นอันดีแล้ว หากสำหรับคู่ท่ีเริ่มและคิดว่าจะร่วมชีวิตกัน จำเป็นต้องจูนให้เข้ากันให้ได้ลงตัวที่สุด แต่อีกเหมือนกัน มีคำกล่าวแบบให้กำลังใจว่า “คู่รักกันก็ เหมือนล้ินกับฟัน” มีสิทธ์ิกระทบกันได้ตลอดเวลา อยู่ที่ว่ากระทบแล้ว เลิกแล้วกันไป หรือยกเป็นมาเป็นเรื่องใหญ่ ยอมกันไม่ได้ ในการใช้ชีวิตคู่ ข้อหน่ึงที่หลีกเลี่ยงแทบไม่ได้ก็คือ “การคิด ไม่เหมือนกัน” แล้วไม่จูนให้ตรงกันเสียที เม่ือเกิดกรณีขึ้น คนหนึ่งเห็น เป็นเรื่องเล็กน้อย คนหนึ่งกลับเอามาเป็นเรื่องใหญ่ สลับกันไปมา จน บางครั้งน่าปวดหัว ยากหาทางออก ว่ากันว่า สามี ภรรยาในโลกน้ีมี ๔ ลักษณะ คือ ๑. สามี เป็นเทวดา ภรรยา เป็นผี

47 ๒. สามี เป็นผี ภรรยา เป็นเทวดา ๓. สามี เป็นผี ภรรยา เป็นผี ๔. สามี เป็นเทวดา ภรรยา เป็นเทวดา สวรรค์จะเกิดกับชีวิตคู่ได้ ก็ต่อเม่ือสามีภรรยา “ทำตัว” เป็น “เทวดา” ทั้งคู่ พระพุทธศาสนามีคำสอนไว้ว่า “คู่รัก” จะครองรักกันอยู่เป็น . . . . . ชาญ พิญญ ู . . . . . เทวดาในวิมานเดียวกันได้ ก็เพราะรู้จักปรับตัวด้วยคุณธรรม ๔ ประการ คือ ๑. มีรสนิยมคล้ายกัน (สมสัทธา) คนเราต่างคนต่างคิด ต่าง คนต่างชอบเป็นเรื่องปกติ แต่ควรจูนให้ตรงกัน ยอมรับและปรับบาง อย่างให้ตรงกัน รสนิยมใดที่ดีอยู่แล้ว ก็ควรใช้ต่อไปและชักชวนให้อีก ฝ่ายมีด้วย รสนิยมใดท่ีไม่ดี อีกฝ่ายยอมรับไม่ได้ก็จำเป็นต้องปรับ ต้องเปล่ียน ต้องตกลงกันให้ชัดเจน ข้อสำคัญคือ หากไม่ตรงกันโดยความชอบส่วนตัวจริงๆ และ ปรับยาก เช่น คนหนึ่งชอบดูหนังชีวิต อีกคนชอบดูหนังสยองขวัญ ต้องโอนอ่อนผ่อนปรน ยอมรับความชอบของกันและกัน อย่าดูหม่ิน รสนิยมอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด ยามรักชอบกันใหม่ๆ อาจไม่มีปัญหา ชี้นกเป็นนก ช้ีไม้เป็น ไม้ ต่างโอนอ่อนให้กันได้ทุกเรื่อง แต่พอนานวันไป ความเกรงอก เกรงใจซ่ึงกันและกันหดหายไป รสนิยมที่ไม่เหมือนกันจะก่อให้เกิดความขัดแย้งได้ง่าย เมื่อ ขัดแย้งบ่อยๆ ก็เกิดเบ่ือหน้ากัน สุดท้ายจำต้องแยกทางเพราะข้อสรุป

. . . . . . สวรร ์ค . . . . . . 48 ม ุนษย์ ความดี ุสคติภูมิ ว่า ทัศนะของเราไม่ตรงกัน เป็นเร่ืองน่า กลัวอย่างหน่ึง ๒. มีความประพฤติเหมือนกัน (สมสีลา) ข้อน้ีเป็นเรื่องการวางตัว และ ประพฤติกรรม รวมไปถึงจริตนิสัย เช่น ชอบทำบุญเหมือนกัน ชอบเที่ยว ชอบเล่น อะไรเหมือนกัน ถ้าไม่ตรงกันบ้างก็ควร ปฏิบัติอย่างข้อแรก เพราะความรักทำให้ คนเปลี่ยนจากดีเป็นช่ัว จากช่ัวเป็นดีได้ ปรับสิ่งท่ีดีเข้าหากัน เปลี่ยนสิ่ง ท่ีไม่ดีออกไป ปรับไม่ได้ก็ต้องยอมรับ อย่างเข้าใจ ๓. เสียสละเหมือนๆ กัน (สม- จาคา) คือ ใจกว้างไม่เห็นแก่ตัว การครอง คู่ชีวิตก็เหมือนตกลงเป็นหุ้นส่วนชีวิตของ กันและกัน จึงต้องมีการเสียสละเอื้อเฟื้อ เผ่ือแผ่กัน ภาษาสมัยใหม่เรียก เทคแคร์ กันให้มากๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือ เม่ือเกิดข้อขัด แย้งทะเลาะกัน ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง ทำตัวอ่อนลง เป็นผู้ยอมให้บ้าง แม้จะรู้ว่า ถูกหรือผิดอย่างไร ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะ คู่รักยามขัดแย้งและเกิดอารมณ์ จะถกกัน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook