๗๑ ตารางท่ี ๔.๒.๑๙ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “คูม่ ือมนุษย์ ๖ ฉบบั อ่านง่าย เขา้ ใจง่าย เร่ือง สมาธิและวปิ ัสสนา ตามธรรมชาติ (การทาใหร้ ู้แจง้ ตามวธิ ีธรรมชาติ)” [ป.๒-๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด -ทางท่ีจะเป็ นไปเองตาม -ความ -สมาธิ -การเห็นส่ิงท้งั หลายถูกตอ้ งตามเป็น ธรรมชาติการทาจิตใหม้ ีปี ติ ระงบั -แนวทางทา จริงเรียกวา่ ยถาภูตญาณทสั สนะ ปราโมทยเ์ ป็ นอยบู่ ริสุทธ์ิ ทุก ความสงบ ใหจ้ ิตรู้แจง้ หมายถึง ความรู้แจง้ รู้เห็นตามความ ลมหายใจเขา้ ออก เป็ นจริ งควร -ปัญญาหลุดพน้ จากสมมติบญั ญตั ิ -การเร่งรัดเอาดว้ ยกาลงั บงั คบั -ไมเ่ ศร้า -จิตหน่าย -แนวทางไตรลกั ษณ์ คือรู้แจง้ ใน คือ ไปศึกษาและปฏิบตั ิตาม หมองจาก เบื่อหน่าย อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา วชิ าความรู้ หลักการ วธิ ีเทคนิคโดยเฉพาะในการ กิเลส -จิตคลาย ของพระพุทธเจา้ ทาสมาธิ ออก คลาย - นิพพาน คือ ดบั ไมม่ ีเหลือสาหรับ กาหนดั จะเกิดมาทุกขอ์ ีก ปราศจากกิเลส -จิตหลุด ท่ิมแทงความเผาลน ความผกู พนั ออก ร้อยรัด ความไม่มีทุกข์ -สมาธิตามวธิ ีทาง -ความ -เห็นโลก -ปราโมทยแ์ ละปี ติ คือ ความอ่ิมใจ ธรรมชาติ ผอ่ งใส ตามความ ในธรรม ทาดี ปัสสัทธิ คือ ความสงบ -การเจริญวปิ ัสสนา เยอื กเยน็ เป็นจริง รู้ ระงบั ใจ สมาธิ คือ ควรแก่การงาน วิ ีธการ เม่ือมีอุปนิสัยและ ส่ิงท้งั หลาย ทางจิตยถาภูตญาณทสั สนะ คือ อินทรียเ์ หมาะสม ตามความ ความรู้แจง้ นิพพิทา คือ ความเบ่ือ -ความอ่ิมใจ ในธรรม เป็ นจริ ง หน่าย วมิ ุตติ คือ จิตหลุด วสิ ุทธิ ปราโมทยแ์ ละปิ ติ คือ บริสุทธ์ิ สนั ติ คือ ความสงบเยน็ -ปัญญา คือ หลุดพน้ จากสมมติ บญั ญตั ิ ไตรลกั ษณ์ รู้แจง้ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ธรรมท้งั ปวง ไม่ควรจะเขา้ ไปยดึ ถือเลย
๗๒ ตารางท่ี ๔.๒.๒๐ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“มนุษย.์ .เกิดมาทาไม? เล่ม ๑๖ ตอน จบพรหมจรรย์ (กิจอ่ืนท่ีพงึ กระทายงิ่ ไปกวา่ น้ีไม่มี) ” [ป.๒-๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สติตามดูกายใจ -คุมผัสสะได้ก็ -จิตยอ่ มคิด -ศีลสมาธิปัญญา ไตรสิกขา ทาง เกิดปัญญา รู้ ขนั ธ์ ๕ คุมโลกได้ ปรุงแตง่ สิ้นสุดความทุกขด์ ว้ ยวปิ ัสสนา แนวคิด อายตนะ ๑๒ -อารมณ์ ๖ หลง ธรรมรมณ์ ปัญญา ทางสิ้นสุดแห่งทุกขด์ ว้ ย -ร่างกายประกอบ ในอารมณ์ เพยี ร -ดูจิต วปิ ัสสนา อริยมรรค อริยมรรค ๘ ธาตุ ๔ ทนอยไู่ ม่ได้ สลดั อารมณ์ หนทางแห่งความพน้ ทุกข์ นานเปล่ียนแปลง -ก่อนปฏิบตั ิปริยตั ิตอ้ งรู้ถูกตอ้ ง -คน้ หาตวั เองใหพ้ บ -อารมณ์หน่วงจิต -จิตยอ่ มคิด ปัญญา ๓ ทาง คือ ฟัง ดว้ ยร่างกายและ ใหร้ ู้ทนั ปัจจุบนั ดูจิต (สุตมยปัญญา) คิดแลว้ จา จิตใจ ดว้ ยโยนิโส อารมณ์ -เอาความ (จินตมยปัญญา) เจริญภาวนา หลักการ มนสิการ คือกระทา - กิเลสเขา้ มา รู้สึกตวั ไป (ภาวนามยปัญญา) ในใจอยา่ งแยบคาย กระทบมโน รับอารมณ์ ทางสิ้นสุดความทุกขด์ ว้ ย -รูปขนั ธ์ ๕ ทวาร - คนเรา วปิ ัสสนาปัญญา -ท้งั รูปนาม ไมใ่ ช่ ทุกขเ์ พราะ -พระพุทธเจา้ สอนอะไร ของเรา คิด -กรรมฐานลืมตา -อารมณ์ -พิจารณา -โยนิโสมนสิการ กระทาไวใ้ นใจ ภาวนาทาได้ ความหน่วงจิต จิตดูจิตใน โดยอุบายอนั แยบคายกระทาดว้ ย ตลอดเวลา จิตมีนิวรณ์จิตมี จิตเน่ืองๆ ใจท่ีฉลาด -ต้งั กายอยอู่ ยา่ งไร กิเลส ทาจิตให้ อยู่ รู้ทนั จิต -สมถกรรมฐานคือทาจิตใหส้ งบต้งั ใหร้ ู้ชดั อาการกาย วา่ ง รู้ทนั อารมณ์ รู้ทนั คิด มน่ั มีพลงั กาลงั จิตไดฌ้ านสมบตั ิ วิ ีธการ เมื่อนง่ั ยนื เดิน ปัจจุบนั ดูจิตจิต -ทาจิตต้งั -วปิ ัสสนากรรมฐาน คืออุบายเรือง นอน กใ็ ห้รู้ชดั ยอ่ มคิด มน่ั มีพลงั ปัญญาเจริญสติระลึกตวั รูปนาม อาการของกายน้นั ๆ -ความรู้สึกไป กาลงั จิต สติตามรู้กายใจเกิดปัญญา เกิดข้ึน พยายามจบั ความ รับรู้ทวาร ๖ เกิด เจริญสติ ต้งั อยดู่ บั ไป เป็ นอนิจจงั ทุกขงั รู้สึกตวั ใหร้ ู้สึกตวั วญิ ญาณ ระลึกรู้ตวั อนตั ตา ปัญญาญาณหยงั่ รู้ ต้งั แตห่ วั จรดปลาย -รู้ถูกในปัจจุบนั มีรูปนาม ความจริงอริยสัจ ๔ เทา้ อารมณ์ รับรู้ทนั -กรรมฐานแบบลืมตา -พงึ สารวจกาย วาจา ปัจจุบนั อารมณ์ -เกิดดับรูปนามในกาย เวทนา จิต ใจ หมน่ั เฝ้าสงั เกต ธรรม เป็นอุบายเรืองเจริญปัญญา
๗๓ ตารางท่ี ๔.๒.๒๑ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “หลวงป่ ูมน่ั ” [ป.๒-๖] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ศาสนา คือ ตวั ของ - -ฝึกจิตตาม -แนวทางหลวงป่ ูมนั่ คือความมกั นอ้ ย เราอยทู่ ี่ตวั เรา เพราะ พจิ ารณา หลกั กายค สันโดษ ไม่คลุกคลีมว่ั สุม อยใู่ นท่ีสงดั วเิ วก หลักการ แนวคิด ตวั ตนเราเป็นท่ีตอ้ ง ตวั ทุกข์ ตาสติให้ ปรารถนาความเพียรใหม้ ากมีวนิ ยั เคร่งครัด หูจมูกลิ้นกายใจให้ กาย สมาธิเป็น (ศีล)มีความต้งั มน่ั (สมาธิ) มีความรอบรู้ใน ปฏิบตั ิ ทุกข์ ฐาน ธรรม (ปัญญา) มุง่ สู่ความหลุดพน้ (วมิ ุตติ) -ละสังโยชน์ ๑๐ กาหนดจิต เพื่อให้รู้แจง้ ชดั ในความหลุดพน้ -ความบริสุทธ์ิคือ -ไม่ติด -อบรมจิต -บิดาแห่งพระป่ าสายหลวงป่ ูมนั่ บิดาแห่ง ศีล พระวนิ ยั เจตนา ใจใน การ พระกรรมฐานยคุ ก่ึงพทุ ธกาล เป็นตวั ศีล กามคุณ ปฏิบตั ิการ -ละสงั โยชน์ คือ ต่ืนจากความไม่รู้แจง้ -กาหนดจิตพิจารณา ความ ทางจิต ถือ ในสัจธรรมไม่มีความยดึ มน่ั ถือมน่ั วา่ ร่างกาย กายไมว่ า่ ยนื เดินนง่ั ข่นุ เป็น เป็นของตนไม่มีความลงั เลสงสัยไมย่ ดึ มน่ั ใน นอนจิตจดจ่อที่กาย หมอง ความสาคญั ศีลแบบผดิ ๆงมง่าย ไม่ติดใจในกามคุณ ไมม่ ี ตลอดเวลาทุก หลงรูป ทาจิตให้ ความขนุ่ ขอ้ งหมองใจ ไม่ติดหลงในวตั ถุ อิริยาบถ ฌาน สงบ รูปธรรม รูปฌาน ไม่ติดใจในอรูปฌาน ไม่ลุ่ม -ไมม่ ีความยดึ มน่ั อรูป -ฝึกจิตตาม หลงในตวั ตน จิตไมฟ่ ุ้งซ่านร้อนรน ร่างกายเป็นของตน ฌาน ไม่ หลกั กายค - พจิ ารณาอริยสัจ ถือเป็นการถูกตอ้ งศรัทธา (สกั กายทิฏฐิ) ฟุ้งซ่าน ตาสติได้ พระธรรมคาส่งั สอนของพระพุทธเจา้ เป็น -ไมล่ ุ่มหลงในตวั ตน ร้อนรน สมาธิเป็น อกาลิโก ต่ืนจากความไมร่ ู้ในสัจธรรม (มานะ) ฐาน - ยงิ่ กาหนดยง่ิ พิจารณามากเขา้ ทุกคร้ังท่ี เขา้ สมาธิจิตจะเขา้ ไปสู่ทางเดิมตลอดเวลา -พจิ ารณาตวั ทุกข์ คือ -ใหเ้ ห็น -การ -แนวทางปฏิบตั ิหลวงป่ ูมน่ั ดงั ต่อไปน้ี อยา่ เป็นใบลานเปล่า อยา่ เมาวฏั สงสาร กายเป็นตวั ทุกข์ และ ตวั ทุกข์ ปฏิบตั ิการ คุณค่าของตน คุณค่าของคนอื่น ทรัพยแ์ ทค้ ือ จิต ยกลืมยกระดบั วาสนา วาสนากาหนด ใหเ้ ห็นตวั ทุกขจ์ ึงได้ จิตจดจอ่ ทางจิตเป็ น ชะตาชีวติ ไมไ่ ด้ เกิดมาอยา่ ใหใ้ จอาภพั ปัจจุบนั เท่าน้นั ที่ไมส่ ุดวสิ ัย เลิกฝึกตนเม่ือตาย วิ ีธการ ช่ือวา่ เป็นผดู้ าเนินจิต อยกู่ าย สาคญั ทา คนดีคนชว่ั รากเหงา้ ความเป็ นมนุษย์ สมบตั ิ โลกสมบตั ิเรา ตวั ของเขาใจของเรา อยใู่ นมรรค ใหจ้ ิตสงบ เป็ นกาลงั
๗๔ ตารางที่ ๔.๒.๒๒ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “มนุษย…์ เกิดมาทาไม? เล่ม ๒๐ ตอน โปรดสงั สารวฏั ” [ป.๒-๗] ดา้ น กาย เวทนา จิต ธรรม -เตรียมตวั ตาย -ทุกขจ์ าก -ธรรมชาติ จิตเดิมแท้ -การปฏิบตั ิสมาธิทางพุทธศาสนา ความตายเป็น เวทนา คือธรรมชาติทุกส่ิง เป็นสภาพธรรมชาติของจิตเดิมแท้ แนวคิด โอกาส ตณั หา สมาธิไมแ่ บง่ แยก และธรรมชาติท้งั หมดของจิตเดิมแท้ ปลดปล่อยทาง อุปทาน ภพ สรรพส่ิง กลมกลืน การเจริญสมาธิ คือ การนาจิตสู่เหยา้ ความทุกขท์ ุก เกิดแก่เจบ็ ชีวติ บริสุทธ์ิกบั ปลดปล่อย ผอ่ นคลาย จิตอิสระ ชนิด ตาย ธรรมชาติ -ปล่อยวาง -เฝ้าดู -ภาวนาเป็ นสิ่งที่ -สมาธิไมบ่ ริกรรมในใจ ไมย่ ดึ ติดตวั รู้ ปัจจุบนั เรียบ ความรู้สึกนิ่ง กลมกลืนกบั ตดั ตวั รู้ ไมม่ ีผรู้ ู้ ไม่มีสิ่งที่ถูกรู้ สงบดว้ ย นวล รับ ธรรมชาติ ถา้ หลงโลก ไม่มีผดู้ ู สมาธิ หลักการ สมั ปชญั ญะ กระทบ จิตฌาน จะหนีโลก -สมาธิภาวนา เป็นส่ิงท่ีกลมกลืน -ออกมาจาก อารมณ์ ๖ ปลง ปล่อย วาง วา่ ง ธรรมชาติ ไมห่ ลงโลกจิตฌาน อตั ตา ไมป่ รุง วา่ งเปล่า ไม่ ต่ืนโพล่งโล่งชา้ ๆ ไม่หนีโลก แต่ง ยดึ ติด กวา้ งๆไกลๆ ความไร้ ขอบเขต -กรรมฐานแบบ - อิสระจาก -นาจิตคืนสู่เหยา้ -เป็นไปดงั่ ท่ีมนั เป็น นง่ั ฟังความเงียบ ลืมตาเปิ ดตา การรบกวน คลี่คลายเห็นความดี จากดวงจิต เขา้ ใจตนเองอยา่ งแทจ้ ริง กวา้ งๆไมว่ า่ จะ ของอารมณ์ งามในตวั เรายอมรับมี ลืมตาเปิ ดตากวา้ งๆ อยใู่ นอิริยาบถ -ฌานเป็น เมตตาปลดปล่อยผอ่ น -สมาธิเป็นอิสระจากทุกส่ิง เดิน ยนื นงั่ นอน ของต่า กิจ คลายทาสมาธิแบบ ธรรมชาติจิตเดิมแท้ ทาเหมือน เปิ ดตากวา้ งๆ อื่นพึงกระทา สงบน่ิงสลายอกศุ ลใน ธรรมชาติท้งั หมดของจิต คือ วิ ีธการ ปล่อยวา่ ง ไมต่ ิดไมย่ ดึ ตวั เรา สั่งสมหลายภพ สมาธิ สมาธิไมย่ ากไม่ง่าย อายตนะ 6 ไม่ยดึ ไมต่ ิด ชาติ -วางทา่ ทีของจิตใหเ้ ขา้ ถึงหวั ใจการ อิริยาบถเฝ้าดู คลายจิตออก -สมาธิไมใ่ ช่การหนี ปฏิบตั ิ เน้ือเดียวกบั ชีวิต ประจกั ษแ์ จง้ ดว้ ย รับกระทบ โลกหลบโลกมาอยใู่ น สารัตถะของธรรมชาติจิต อารมณ์วา่ งเปล่า จิตคลา้ ยฌานแตส่ มาธิ ตอ้ งเปิ ดตาดูโลกทวาร ๖ ใหเ้ ขา้ ใจตนเอง อยา่ งแทจ้ ริง
๗๕ ตารางท่ี ๔.๒.๒๓ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “โรดแมพ็ ธรรมปฎิบตั ิทางเดินสู่โลกุตรธรรม” [ป.๒-๘] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -เห็นกายในกาย -อารมณ์ -ฝึกจิตให้ต้งั มน่ั -มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นเส้นทางเดินสู่ -ความรู้ในขนั ธ์ ๕ บญั ญตั ิ สงบ ความ โลกุตรธรรม เป้าหมายการปฏิบตั ิธรรมมี แนวคิด เป็นของไม่เท่ียงเป็น -อารมณ์ รู้สึกตวั ญาณ ๓ เส้นทาง คือ ๑)ใชป้ ัญญานาสมาธิ ๒) ทุกข์ รู้รูปนามตาม รูปนาม สมบตั ิ ปัญญา ใชส้ มาธินาปัญญา ๓) ใชส้ มาธิและ ความเป็ นจริ ง -อารมณ์ -จิตต้งั มนั่ เป็ นผู้ ปัญญาควบกนั ปัญญาเห็นตามความจริง -อานาปานสติเป็น นิพพาน ดูผรู้ ู้เวทนา เกิด -สัมมาทิฏฐิ เป็นสาระสาคญั คือความรู้ ท้งั สมถะวปิ ัสสนา สติปัญญา แจง้ ในอริยสจั ๔ เดินทางสู่โลกุตรธรรม -หายใจแลว้ รู้สึกตวั -วหิ าร -จิตต้งั มนั่ เป็ นผรู้ ู้ -มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นวธิ ีการปฏิบตั ิ ไป มีสติจิตต้งั มน่ั ธรรม ฝึกจิตใหเ้ กิดสติ ธรรม เพ่ือใหเ้ กิดสติกากบั กายเวทนาจิต รู้ทนั มีสติกากบั เวทนา เห็น จิตสง่ั ใหเ้ กิด ศีล ธรรม วธิ ีการปฏิบตั ิธรรมให้เกิดปัญญา หลักการ ความรู้ทนั เวทนาเป็ น สมาธิ ปัญญา เห็นสภาวธรรมตามความเป็ นจริง -การเห็นทุกข์ เป็น ท่ีอยขู่ อง -ผรู้ ู้ เดินปัญญา -ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็น การเห็นธรรม จิต เห็นไตรลกั ษณ์ กรอบการปฏิบตั ิธรรม ไตรลกั ษณ์ คือ -สติกากบั กาย -รู้อารมณ์ ของรูปนาม ได้ เห็นรูปนาม คลายความยดึ มนั่ รู้รูปนาม ฌาน คือ อปั ป ตามความเป็นจริง ธรรมท้งั หลายเกิดจาก นาสมาธิ เหตุ ยอมรับความจริงของชีวิต -อานาปานสติหายใจ -มีความ -จิตผูร้ ู้ เคร่ืองอยู่ -เจริญปัญญา คือ ธรรม ตามสังเกตความ เขา้ ออกรู้สึกตวั เป็ น เพียรเผา ของจิต คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกขเ์ ป็นอนตั ตา กายใจจิต ท้งั สมถะและ กิเลส คอย วหิ ารธรรม เห็น นาไปสู่ความรู้ความเขา้ ใจท่ีถูกตอ้ ง วปิ ัสสนา ดูรูปนาม กายในกาย เห็น -โยนิโสมนสิการ คือ รู้จกั คิดพิจารณา -ตอ้ งรู้เรื่องวสิ ุทธิ ๗ ทางาน สติ เวทนาในเวทนา ศึกษาปริยตั ิและปฏิบตั ิ ตลอดสายปฏิบตั ิ วิ ีธการ ศีลวสิ ุทธิ จิตวสิ ุทธิ รู้ตามความ เห็นจิตในจิต เห็นสภาวะแท้ สู่การเห็นไตรลกั ษณ์ ทิฏฐิวสิ ุทธิ ฯ เป็นจริง เห็นธรรมใน เจริญปัญญา มีสติกากบั รู้ทนั ๔ ดา้ น -องคธ์ รรมของผู้ ของรูป ธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม ภาวนา ศรัทธา ความ นาม -นาสติปัฏฐาน ๔ มาใชใ้ นชีวิตประจาวนั เพยี ร ซ่ือตรง เจริญ คือ ถอนความยนิ ดียนิ ร้าย ปัญญา
๗๖ ตารางท่ี ๔.๒.๒๔ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “คู่มือการเจริญสติแบบเคล่ือนไหว” [ป.๒-๙] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -กายาคตาสติปัฏฐาน การ -สมาธิคือ -การบาเพญ็ -ดบั ทุกขม์ ีทางเดียวคือ มหาสติปัฏฐาน เจริญสติแบบเคล่ือนไหว การสารวม ทางจิต ๔ ตวั คิดเหตุแห่งทุกข์ แนวคิด เฝ้าดูกายเคลื่อนไหว เฝ้าดู อินทรีย์ ๖ กาหนดรู้ -วปิ ัสสนาญาณคือ เห็นกายเห็นใจ หยาบ ใจนึกคิด คือ หูตา จิตอยกู่ บั กลางละเอียดเกิดข้ึนต้งั อยดู่ บั ไป คือ -สารวมอินทรีย์ ๖ ตา หู จมูกลิ้น ปัจจุบนั เห็นแจง้ เห็นกายชดั เห็นรูปชดั จมูก ลิ้น กาย ใจ กายใจ ปิ ด สร้างปัญญา -พฒั นาญาณปัญญาเห็นความคิดละเอียด ประตูท้งั ๖ - ตวั คิด เป็นเหตุแห่งทุกข์ -สงั ขาร คือ -จิตเป็ นฐาน -การมีสติรู้ไตรลกั ษณ์ ถอนอุปทานได้ หลักการ พน้ ทุกขด์ ว้ ยเจริญสติ ความคิด ปัจจุบนั ตดั เห็นทุกอยา่ งตามความเป็ นจริง อยกู่ บั -อยกู่ บั ความรู้สึกปัจจุบนั ปรุงแต่ง ความคิด ความรู้สึกตวั ปัจจุบนั ถา้ อยใู่ นความคิด คือ ออกจากทุกข์ ออกจากคิด จะไมอ่ ยใู่ นความรู้สึกตวั ปัจจุบนั -รู้ตวั ชดั สร้างจงั หวะตดั -อยา่ ให้ -จิตมาอยู่ -ถา้ เรารู้ตวั เป็นช่วง ๆขาดๆหายๆ ไม่ ความคิด ขณะเคล่ือนไหว อารมณ์ กบั ปัจจุบนั ต่อเน่ืองไม่เรียก “วปิ ัสสนาญาณ” ใหใ้ จรู้ ตามรู้เบาสบาย ไหล ไมอ่ ยใู่ น เรียกวา่ สติธรรมดา ถา้ รู้ตวั จิตสามารถ บรรจงพลิกมือเป็นจงั หวะ ออกไป ความคิด ถา้ เขา้ สู่กลไกการทางานของจิต เรียก ใจรู้คือรู้สมั ผสั คิดฟุ้งซ่าน - ตวั คิด อยใู่ น “วปิ ัสสนาญาณ” เขา้ มาใหต้ ดั ทิ้งทนั ที เหตุแห่ง ความคิดไม่ -ระดบั ปรมตั ถ์ คือ การปฏิบตั ิเพ่ือให้ - ขณะเคล่ือนไหวมือไป ทุกข์ หลง เป็นปัจจุบนั จิตใจเขา้ ถึงธรรมจริงๆ ภาวนาวปิ ัสสนา ให้ ใจรู้ ตามรู้เบาๆสบายๆ สงสัย หลง -เจริญสติ เจริญสติ ทาบ่อยๆตอ่ เนือง เป็ นเหตุให้ วิ ีธการ บรรจงพลิกมือเบาๆเป็น ใน ฝึกจิต ฝึก เกิดปัญญาญาณนาไปสู่การดบั ทุกขไ์ ด้ จงั หวะ ใจใหร้ ู้ คือ รู้ ความคิด ความรู้สึก -วธิ ีการปฏิบตั ิ คอ่ ยๆไปตามธรรมชาติ สัมผสั คิดฟุ้งโผล่เขา้ มา -คิดปรุง -จิตอยกู่ บั ทาบอ่ ย ๆ ต่อเนื่องเหตุเกิดปัญญาญาณ ใหต้ ดั ทิง้ ทนั ที แต่งเหตุ ความรู้ตวั และความดบั ทุกขท์ ้งั ปวงได้ -ทาความรู้สึกตวั ใหม้ ากๆ เกิดกิเลส ชดั อยกู่ บั -สิ่งท้งั หลายเกิดข้ึนและดบั ลงที่ใจท้งั สิ้น ความคิดปรุงแต่งหลุด ไดท้ ุกชนิด ปัจจุบนั สร้างสภาวะวปิ ัสสนาใหเ้ กิดมี ออกไป เวทนามีสติ -เวทนาจาก ข้ึนในใจได้ กาหนดรู้อาการมนั ไม่ อิริยาบถ -วปิ ัสสนาญาณ คือ เห็นแจง้ เห็นกายชดั ตอ้ งทุกข์ กบั มนั เห็นรูปชดั รู้เห็นทุกอยา่ งตามเป็นจริง
๗๗ ตารางที่ ๔.๒.๒๕ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “คิดแบบพระโสดาบนั ” [ป.๒-๑๐] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ศีล ๕ สมบูรณ์ -กรรมคือ -จิตเดิมของทุกคน -คิดแบบโสดาบนั คือ คิดแบบเอาใจเขา มีสมาธิ มี เจตนาเป็น บริสุทธ์ิ ประภสั สร มาใส่ใจเราคิดแบบเห็นอกเห็นใจกนั คิด แนวคิด ปัญญา ท่ีต้งั ของ งดงามอยกู่ ่อนเพยี งแต่ เพ่ือเก้ือกูล -ละสกั กายทิฏฐิ เวทนา ส่ิงแวดลอ้ มหลากหลายท่ี -วธิ ีคิดแบบโสดาบนั คือแบบเมตตา คือ ผสั สะ จรผา่ นเขา้ มาทางผสั สะ สงสาร เจตนาดียอ่ มเป็ นสุขเจตนาร้าย ใหค้ ุณโทษ ยอ่ มเป็นทุกข์ -มีสติเห็นจิตคิด -คุณสมบตั ิพระโสดาบนั -ต้งั สติเห็นกาย -มองโลก -ธรรมชาติประภสั สร แต่ -เจตนาเป็ นสภาวธรรมไมใ่ ช่คน เห็น ในกาย มีสติ ดว้ ยความ จิตความเศร้าหมองเพราะ สุข เห็นทุกขเ์ วทนาเป็นสภาวธรรม รักษาใจให้ เป็นมิตร อุปกิเลส อาศยั ภาวนา เป็นคลื่นพลงั งาน กระแสเหตุปัจจยั ที่ หลักการ ปกติ ไม่คิดร้าย -คิดเพ่ือ เป็นเครื่องอยขู่ องจิต สุข เกิดข้ึน ประจกั ษด์ ว้ ยปัญญา วา่ สิ่งน้ีมี จาสภาวะการ เก้ือกลู ทุกขไ์ มใ่ ช่อยทู่ ่ีอื่นแต่อยู่ สิ่งน้ีจึงมี ยอ่ มไมม่ ีตวั ตนดว้ ยตนเอง เกิดดบั เจตนาดียอ่ ท่ีผสั สะทางใจ ไมห่ ลง -สุขทุกขไ์ ม่ไดม้ าจากคนอ่ืนทา หรือ -สงบจาก มีสุข ปรุงแต่ง มีสติรักษาจิตอยู่ ตนเองทา ทุกขไ์ ม่ไดม้ าจากการกระทา นิวรณ์ ๕ -คิดบวก เสมอ ทุกขเ์ กิดจากผสั สะท่ีไม่ใช่ตวั ตน -ทากบั เขา -สุขทุกข์ -เจตนาเป็ นสภาวธรรม -พระโสดาบนั ละธรรมได้ ๖ อยา่ ง อยา่ งไรไดอ้ ยา่ ง เกิดจาก ไม่ใช่คน เห็นสุขเห็น ๑)ละสกั กายทิฐิ(ละความเห็นผดิ วา่ เป็น น้นั ผสั สะ ทุกขเวทนา เป็ น ตวั ตน) ๒)ละวจิ ิกิจฉา(หายสงสัยใน -เราไมใ่ ช่เรา -ผสั สะ คือ สภาวธรรม เป็ นคล่ืน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ)์ เป็นเพียง เจตนาทาง พลงั งาน กระแสเหตุ ๓)ละลีลพั พตปรามาส(รู้จกั เหตุและ ความคิด ใจใน ปัจจยั ท่ีอาศยั กนั เกิดข้ึน ผลลพั ธ์ของศีล ละความงมงาย) วิ ีธการ -สุขทุกขไ์ ม่ ปัจจุบนั ประจกั ษด์ ว้ ยปัญญาวา่ ๔)ละราคะท่ีควรแก่อบาย ไดม้ าจากผอู้ ่ืน -มีสติเห็น ส่ิงน้ีมีส่ิงน้ีจึงมี ยอ่ มไมม่ ี ๕)ละโทสะท่ีควรแก่อุบาย หรือตน ความคิด ตวั ตนดว้ ยตนเอง ๖)ละโมหะที่ควรแก่อุบาย -รอยยมิ้ ของจิต -สุขทุกขม์ าจากผสั สะ -คนโชคดีเป็นคนไดท้ างานในส่ิงท่ีตน แบ่งปัน ปรุงแตง่ ผสั สะเกิดดบั รัก แตค่ นโชคดีกวา่ คือ คนที่รักในการ ความสุขให้ ความคิดปรุงแตง่ ตา่ งๆ งานทุกอยา่ งที่ทา ทางานอยา่ งเป็นสุข ผอู้ ่ืน -นากฎธรรมชาติมาใช้ ความซื่อสัตยต์ ่อ ความจริง
๗๘ ตารางที่ ๔.๒.๒๖ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “บรรลุธรรมตามหลกั วชิ าการ(สมาธิและวปิ ัสสนา ๒)” [ป.๒-๑๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -“สีลวสิ ุทธิ” ศีล -ญาณ ๘ -วปิ ัสสนา คือ การ -วปิ ัสสนาในรูปแบบเทคนิค เป็นระเบียบ ความบริสุทธ์ิ ควรวาง กระทาของจิต ๒ วธิ ีปฏิบตั ิเพอื่ เกิด ญาณทสั สนะ คือ แนวคิด ความหมดจด เฉยใน ประเภท ๑)ให้เกิด ความเห็นแจ้ง แจ่มแจง้ อริยมรรค รู้แจง้ แทง ท่ีต้งั วปิ ัสสนา สังขาร สมาธิ ๒) ใหเ้ กิด ตลอด กาจดั กิเลสสูญสิ้นไปจากสิ่งท้งั ปวง รักษากาย วาจา ปัญญา หลกั วสิ ุทธิ ๗ ข้นั ตอน และปัญญาญาณ ๙ ไม่ใหเ้ กิดโทษ ข้นั ตอนตามลาดบั คือตวั ปัญญา -สงั ขารุเปกขา -ความรู้ -“จิตตวสิ ุทธิ” -หลกั การวสิ ุทธิ ๗ ข้นั ตอน ความบริสุทธ์ิ ญาณ คือ ให้ เป็นเหตุ ความหมดจดดีแห่ง สะอาด การปฏิบตั ิเป็ นข้นั ตอน ไดแ้ ก่ สีลวิ พจิ ารณาเห็นวา่ ใหว้ าง จิต สภาพเหมาะ สุทธิ จิตตวสิ ุทธ ทิฏฐิวสิ ุทธิ กงั ขาวติ รณ หลักการ ควรวางเฉยใน เฉยใน แห่งจิตในการ วสิ ุทธิ มคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ สงั ขาร วางเฉยใน สังขาร ปฏิบตั ิงาน “ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ” สิ่งท้งั ปวง วาง ท้งั ปวง -ความหมดจด -หลกั วปิ ัสสนาญาณ ๙ ลาดบั (ตวั ปัญญา) จากตวั กขู องกู ดี แห่งจิต สภาพ หรือ “ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ุทธิ” ๙ อยา่ ง ความรู้ในเหตุวาง เหมาะสมแห่งจิต ความรู้แจง้ ในการปฏิบตั ิ ความหมดจดแห่ง เฉยในสังขาร ในการปฏิบตั ิ ความรู้ความเห็นในการปฏิบตั ิ -“ศีล”ท่ีต้งั -เบื่อ -หมดจดแห่งรู้เห็น -มีทิฏฐิบริสุทธ์ิหมดจด รู้ เขา้ ใจ แจม่ แจง้ วปิ ัสสนารักษา หน่าย ในการปฎิบตั ิ ในเหตุปัจจยั ของส่ิงท้งั ปวง รู้แจง้ ปฏิบตั ิวา่ กาย วาจา ไมใ่ ห้ ใน ความแจ่มแจง้ อยา่ งไหนถูกผดิ มีทิฏฐิบริสุทธ์ิหมดจด เกิดโทษ ใหห้ มด สังขาร อริยมรรค รู้แจง้ รู้เขา้ ใจแจม่ แจง้ ในเหตุปัจจยั ส่ิงท้งั ปวง จดบริสุทธ์ิ -วางเฉย แทงตลอด รู้แจง้ การปฏิบตั ิวา่ อยา่ งถูกผิด -บาทฐาน ใน -ความรู้แจง้ ใน หมดจดแห่งรู้เห็นในการปฏิบตั ิ แจม่ แจง้ วิ ีธการ วปิ ัสสนา คือ ศีล สังขาร สงั ขารทุกขณะจิต อริยมรรค รู้แจง้ แทงตลอด และสมาธิ -รู้แจง้ ความแตกทาลาย -ญาณ ๙ อยา่ ง ไดแ้ ก่ ๑) อุทยพั พยานุปัสส -วา่ งจากตวั กู ใน สังขารท้งั ปวง นาญาณ ๒) ภงั คานุปัสสนาญาณ ๓) ภยตุ ของกู สังขาร ปัฏฐานญาณ ๔) อาทีนวานุปัสสนาญาณ ทุกขณะ ๕) นิพพิทานปัสสนาญาณ ๖) มุญจิตุกมั ย จิต ตาญาณ ๗) ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ๘) สงั ขารุเปกขาญาณ ๙) สัจจานุโลมิกญาณ
๗๙ ตารางท่ี ๔.๒.๒๗ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “สนั ติสุขทุกลมหายใจ:วธิ ีปฏิบตั ิสาหรับคนไมม่ ีเวลา” [ป.๒-๑๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -การฝึกลมหายใจ -การใส่ใจที่ -การฝึกฝนทางจิต -ความเขา้ ใจปัญญารู้แจง้ สติ สมาธิ อยา่ งมีสติ สมควร วญิ ญาณ ความสุข ปัญญา คือแก่นแทภ้ าวนา พจิ ารณา หลักการ แนวคิด -ต่ืนรู้ ตระหนกั รู้ ประสาท แทจ้ ริงไมไ่ ดม้ า ธรรมชาติแห่งความไม่เที่ยง กลบั บา้ นท่ีตวั เรา สัมผสั ท่ี ๖ จากภายนอกแต่มา -การเจริญสติ คือ การใส่ใจ ขนั ธ์ ๕ ติดต่อโลก จากส่ิงภายในใจ สติ คือ ศกั ยภาพในการตระหนกั รู้ถึง ภายนอก สิ่งที่กาลงั เกิดข้ึนแต่ละชว่ั ขณะ -ฝึ กลมหายใจ -ความรู้สึก -สมาธิ คือ จิตต้งั -สติ คือ ลมหายใจของการปฏิบตั ิ ประสานกบั ขนั ธ์ ๕ เนน้ ใหอ้ ยใู่ น มน่ั ต่ืนรู้ตระหนกั ภาวนา ภาวนา คือ ความตระหนกั รู้ อยา่ งมีสติ ตระหนกั ปัจจุบนั ขณะ รู้ มองอยา่ งลึกซ้ึง ถึงสิ่งท่ีกาลงั ดาเนินอยใู่ นปัจจุบนั รู้ลงบนทุกการ - ฝึกฝนการ เขา้ ไป -สตินามาปัญญารู้แจง้ ความหมาย กระทา สิ่งที่อยใู่ น ฟังอยา่ ง -คลงั วญิ ญาณ อริยสัจ ๔ ร่างกาย กรุณา (อาลยวญิ ญาณ) -ทาส่ิงใดใหม้ ีสติ ทาส่ิงน้นั ดว้ ยความ -เป็นหน่ึงเดียวกบั ลม -สติตอ้ ง จิตใตส้ านึก อนุ ตระหนกั รู้อยา่ งชดั เจน พิจารณา หายใจและขนั ธ์ ๕ เจริญ นิสยั จิตปรุงแต่ง ธรรมชาติแห่งความไมต่ ิดในรูป -ฝึกอิริยาบถใหญ่ -คลงั แห่ง -อารมณ์คือการ -สวดคาถาที่เหมาะสม ประพนั ธ์ ยอ่ ย กระทาสิ่งใด วญิ ญาณ ปรุงแตง่ จิต คาถาที่เหมาะสมกบั สถานการณ์ อยา่ งมีสติ ดว้ ยความ -พจิ ารณาการ -เอาความรู้สึกใส เฉพาะ ของตนเอง ฝึกเจริญสติ บทกวี ตระหนกั รู้และ ไร้ความ ใจลงไปในสิ่งที่ทา บทภาวนา ในชีวิตประจาวนั ชดั เจน อยาก กาลงั เกิดข้ึนแตล่ ะ -ต่ืนนอนยามเชา้ มองสรรพสิ่งดว้ ย -ตระหนกั รู้ลม -พจิ ารณา ขณะ การรับรู้เบิก สายตาแห่งความรัก ความเขา้ ใจความ วิ ีธการ หายใจอยา่ งสมบูรณ์ ความไม่ บานทุกการ รักในตวั เธอ โอบกอดเด็กนอ้ ย อานาปานสติ มุ่งหวงั เคล่ือนไหว -ฝึกการมองอยา่ งลึกซ้ึง ฟังอยา่ ง -ร่างกาย ความรู้สึก -พ้นื ที่ -ดูแลความโกรธ ลึกซ้ึงดว้ ยความกรุณา การรับรู้ รับรู้เบิก อิสระภาพ ควบคุมลมหายใจ -ถา้ จิตใจสงบ จิตจะสะทอ้ นภาพ บานทุกขณะ ปล่อยวาง ดูอารมณ์ตนเอง ดู ความเป็นจริงไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง มน่ั คง เคล่ือนไหว -ใส่ใจ ลมหายใจ พลงั สติ หายใจดว้ ยความตระหนกั รู้ ฝึ ก กาหนดรู้ ปฏิบตั ิเพือ่ นาสู่ความมน่ั คงสู่ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ
๘๐ ตารางท่ี ๔.๒.๒๘ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “สติเคล็ดลบั มองดา้ นใน” [ป.๒-๑๓] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -การเคล่ือนไหว -กาหนดความ -จิตปกติสงบ -การวปิ ัสสนาญาณ คือ ความเห็น เป็ นอุปกรณ์ รู้สึกตวั จากปรุงแตง่ แจง้ ในรูปนาม ทาความเขา้ ใจรูปนาม กรรมฐานไดท้ ุก -เอาสติมาอยใู่ น จิตเดิมแท้ ใหช้ ดั เจน อ่านตวั เราอา่ นรูปนาม แนว ิคด รูปแบบกาหนด อารมณ์ปัจจุบนั -สงบจาก เห็นอาการของกายใจ ความเคลื่อนไหว รูป คือ ผสั สะ อารมณ์ จาก -อาตาปี คือ ตอ้ งกาหนดความเพียร ทวนเหนืออารมณ์ กระทบ เวทนา ปรุงแตง่ คือ จิต อยเู่ ป็นประจา สัมปชาโน คือ ไม่ -เจริญสติแบบ คือ รู้สึกต่อรูป เดิมแท้ เผลอ ภายในภายนอกกายใจ สติมา เคลื่อนไหว คือ ตอ้ งรู้ตวั ทว่ั พร้อมหวั จรดเทา้ -ร่างกายเป็นท่ีต้งั -ผสั สะ อายตนะ -จิตเฝ้าดู -ปฏิบตั ิใหเ้ กิดปัญญา ทาใหถ้ ูกโดย ของความรู้สึกสิ่งท่ี ภายในภายนอก ความรู้สึก แยบคลาย คือ ๑)ปรโตโฆษะ ๒) ปรากฏทางทวาร ๖ กระทบกนั เกิด -ออกจาก โยนิโสมนสิการ หลักการ ใหพ้ ิจารณา การสนั ดาป ความคิดมาอยู่ -ปัญญาญาณ หมายถึง ตวั รู้ท่ีเกิดเห็น -ฐานกายแน่น แสดงออกมา ดี กบั ความ อยา่ งชานาญ ผูเ้ ล่น คือ จิต อารมณ์ อารมณ์ความคิดไม่ ใจ เสียใจ เฉยๆ รู้สึกตวั ตา่ ง ๆ ต้งั จิตใหถ้ ูก สมั ปชญั ญะ คือ ผู้ ติดอารมณ์ อยกู่ บั -เฝ้าดูจิตคิดให้ ดูการเล่น ความรู้สึกทางกาย อิสระ -รู้อาการกาย เวทนา จิต ธรรม -การสร้างจงั หวะ -กาหนดความ -สมาธิโดย -ความทุกขเ์ กิดจากความคิด เกบ็ จะเห็นความรู้สึกตวั รู้สึกตวั กบั ขนั ธ์ มรรค ทาจิตให้ อารมณ์ คือ การเฝ้าดูตวั เอง เวลามีความคิดเขา้ ๕ ผอ่ งแผว้ จิตให้ -การปฏิบตั ิธรรม ตอ้ งมีศรัทธา วริ ิยะ มา รู้แลว้ ปล่อยไป -ออกจากเวทนา ต้งั มน่ั จิต ความเพยี ร อาพาธนอ้ ย ซ่ือตรง -เห็นอาการรูปนา มาอยกู่ บั ความ คล่องแคล่ว สติสัมปชญั ญะ วิ ีธการ มาชดั เจน รูปกาย รู้สึกตวั วอ่ งไว -เป็นทุกขต์ อ้ งปฏิบตั ิธรรม รู้รูปนาม ไม่เที่ยง สมมติ -เอาความรู้สึก -เอาสติกาหนด รูปขนั ธ์(ธาตุ ๔) เวทนา(พอใจไม่ -กายคตาสติให้ มากาหนดรู้ รู้อาการจิต พอใจ) สัญญา(จา) สังขาร(คิดปรุง แน่นไว้ ปักฐานกาย -รู้เวทนา คือ รู้ -ดูจิตดูใจตวั เอง แตง่ ) วิญญาณ(คิดจบ) ใหม้ นั่ คงไวก้ ่อน ความรู้สึก รู้ รู้จิตมีอารมณ์ -พฒั นาสติตามหลกั อริยสัจ ๔ ทุกข์ -รู้กาย วา่ สกั แตว่ า่ ธรรม คือ รู้วา่ คิด คิด สมุทยั นิโรธ มรรค ทางแห่ง กาย อะไร ดีหรือชวั่ ความสาเร็จ
๘๑ ตารางท่ี ๔.๒.๒๙ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “พ้ืนฐานการทาสมาธิ” [ป.๒-๑๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -เอาจิตมา -อุบายทา - ควบคุมจิต ผทู้ าสมาธิ คือ ผู้ -พิจารณาไตรลกั ษณ์เป็นอุบาย พจิ ารณากายเห็น ใหใ้ จ ฝึกจิตใหช้ านาญในการ ปล่อยวา่ งไดร้ ากฐานรองรับ หลักการ แนวคิด กายไปถึง ปล่อยวา่ ง ควบคุมจิต สมาธิได้ จุดหมายใครคือ -ทาสมาธิ คือฝึกหดั จิต ทา -มหาสติปัฏฐาน คือ ที่ต้งั ของ ผรู้ ู้ สมาธิ คือ การสะสมพลงั งาน จิต จิต กระแสจิตเกิด -ร่างกายไม่เที่ยง -ปฐมฌาน -ข้นั ตอนการทาสมาธิ คือ -สมาธิ คือ การทาดว้ ยความ เป็นอนิจจงั ทุก วติ ก หนา้ ผากจมูก กาหนดใจ เพง่ ต้งั ใจ สม่าเสมอ ๒ อยา่ ง คือ ๑) ขงั อนตั ตาไมใ่ ช่ วจิ ารณ์ กายทวนกระแสจิต สมาธิแบบธรรมชาติ (พกั ผอ่ น ตวั ตน ปิ ติสุข -จิตตงั ทนั ตงั สุขาวะหงั นอนหลบั อตั โนมตั ิ) สมาธิ -ร่างกายไมใ่ ช่ ความสุขใจ เกิดจากใจท่ีฝึกดี แบบสร้างข้ึน (ต้งั ใจ กาลงั ใจ มี ตวั ตนเป็นธาตุ ๔ ความบริสุทธ์ิแห่งจิต ระบบ มีข้นั ตอน) เป็นของชว่ั คราว -ฝึกจิตใหช้ านาญ ในการเขา้ -ไปถึงจุดหมาย ใคร คือ ผรู้ ู้ สัมผสั องคฌ์ าน กระแสจิตต้งั อยผู่ รู้ ู้ท่ีต้งั จิต -ร่างกาย เป็น -สมั ผสั -จิตปล่อยวางจิต เกิดการ -ทาสมาธิเหมือนเขียนหนงั สือ อนิจจงั ไม่เท่ียง องคฌ์ าน ปล่อยวางจิต จิตเป็น ดีบา้ งไม่ดีบา้ ง เรามีหนา้ ท่ีทา ทุกขงั เป็นทุกข์ -เขา้ ภวงั ค์ ฐานรองรับพลงั งานจิต ทาให้ สมาธิเราทาไป อนตั ตา ไม่ใช่ -ออกฌาน สงบ สร้างพลงั จิตเป็นหน่ึง - ฝึกไปเร่ือย ๆ ตอ้ งมีสักวนั ตวั ตน ปล่อยวาง เขา้ ฌาน -ความบริสุทธ์ิแห่งจิต การฝึก หน่ึง จะผดิ จะถูกก็ฝึกไป ได้ เป็นรากฐาน อยใู่ นฌาน จิตใหบ้ ริสุทธ์ิต่อไปทาไป -สมาธิช้นั สูง การฝึกจิตตอ้ งให้ วิ ีธการ รองรับสมาธิได้ -วา่ งจาก เร่ือย ๆ มีความชานาญ จิตเขา้ สู่ภวงั ค์ -การงานของใจ อุปทาน -การทาสมาธิ คือ การฝึก เขา้ ออกต้งั อยู่ เกิดพลงั งานจิต กรรมฐาน งานจิต สะสมพลงั จิต เกิดพลงั ในจิต จิตนาไปสู่วปิ ัสสนา พิจารณา เกสา นาไปวปิ ัสสนา ฝึกจิตไป โลมา นะขา ทนั ถูกผดิ ตอ้ งมีสักวนั หน่ึง ตา ตะโจ งานของ -ฝึกจิต จะถูกจะผดิ กฝ็ ึก จิต ๕ อยา่ ง ตอ่ ไปจนชานาญ
๘๒ ตารางท่ี ๔.๒.๓๐ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “มนุษยเ์ กิดมาทาไม? เล่ม ๑๘ ตอน จบกิจ-จบกรรมสังสารวฏั ” [ป.๒-๑๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม - ดูกาย -ดูเวทนา -จิตคิด “ช่าง”ทุก -แจง้ ในอริยสัจ ๔ มรรค ๘ ปล่อยวาง ยตุ ิ แนวคิด - กายธาตุ ดิน -ตวั เจตนา อารมณ์เขา้ มาให้ ตณั หา ใหป้ ลง เป็นอนิจจงั ทุกขงั น้า ลม ไฟ คือ ตวั ปล่อย “ช่าง”ทุก อนตั ตาเจริญรู้สติ รู้ปัญญา ใหเ้ จริญ กรรม ทวารออกทุก ปัญญาญาณ อารมณ์ -วา่ งจากอตั ตา -ทุก -ดูจิต -สติปัฏฐาน ๔ ท่ีตรงตอ่ พระสจั ธรรม ให้ ตวั ตน หลุดพน้ อารมณ์ให้ -มโนกรรม คือ เจริญปัญญาญาณ จากขนั ธ์ ช่าง ใหต้ ดั หลงคิด คิดก็ช่าง รู้ -สติตดั ใหจ้ บยตุ ิ ไม่ต้งั ไม่ตอ้ ง คือใหต้ ดั หลักการ -ใหพ้ น้ เหนือ ไม่ใหค้ ่า ไมร่ ู้กช็ ่าง ช่างคือ ตวั รู้ ตดั ขนั ธ์(ละปล่อยวาง) วางขนั ธ์ ข้ึนไปจาก ตวั รู้ -ตวั หลงรู้ ปล่อยวาง จิตคิด (เหนือขนั ธ์) เหนือคิด รู้แลว้ จะ สติตดั ญาณทสั สนะ คือ ช่างทุกอารมณ์ทุก ปัญญาตดั “ช่าง-ปลง-ปล่อย-วาง” วญิ ญาณ ทวารท่ีเขา้ มา ไม่ให้ -การนงั่ หลบั ตาภาวนา เป็นหินทบั หญา้ ขนั ธ์ ความหมาย ไม่ฆา่ กิเลส การเจริญสติ คือ ลืมตาภาวนา รู้เท่าทนั กิเลส -กายธาตุ ดิน -“ช่าง”เป็น -ขอขมากรรม คลาย -แก่นศาสนา คือ อยบู่ นพ้ืนฐาน ของ น้าลมไฟ ไม่ ตวั ตดั จิตออกไป วา่ งๆ ความไมย่ ดึ ติด (ไม่อุปทาน) ไมม่ ี หลงเขา้ เจริญ ผสั สะ ให้ กวา้ งๆไกลๆ ไมค่ ิด พธิ ีกรรมไมม่ ีเงื่อนไข ไมม่ ีรูปแบบ รูปนาม กายจิต ละก่อนรู้ ไม่หลงคิด -ต่ืนโพล่งนอกเหนือความเป็ นอิสระ ไม่เจริญ ช่างแลว้ -ใหจ้ ิตปล่อยออก โปร่งโล่ง เช่นเดียวกบั ทอ้ งฟ้า ปลง ปล่อย สภาวธรรมให้ ไมต่ ิดในรู้ คลายออกให้ วาง วา่ งๆ วิ ีธการ ตดั ฉบั พลนั ตดั โมหะ ออกมาจากนอกคิด -ขอขมากรรม อนุสยั เก่า ตรงประเด็น -ปล่อยวาง เบ่ือ ปัจจุบนั เห็นคิด ใหร้ ู้คิดเห็น กรรมของตน พร้อมท้งั ยุติ สมุทยั ตณั หา หน่าย คลาย คิด รู้คิดคลายจิต ปัจจุบนั ไปเร่ือย ๆ ดว้ ย “ช่าง” และ “วาง” กาหนดั ตามรู้ ออกไปตวั รู้ เกิด ปล่อยผา่ นทิ้งไปทุกอารมณ์ เมื่อวบิ ากเบา กายในกาย ทางจิต เป็ น บาง ยอ่ มมีวาสนาบารมีบรรลุธรรม ชีวติ เจริญสติเอา มโนกรรม จิตช่าง แตล่ ะชีวติ เกิดมาเพ่อื รับใชว้ บิ ากอนุสัย ความรู้ตวั อยู่ คือ สติตวั ตดั ผสั สะ กรรมเก่า หลุดพน้ จากอตั ตาตวั ตน ไมม่ ี นอกคิด ดูกาย ที่กระทบฉบั พลนั ตวั ตนไม่เป็นกายเวทนาจิตธรรม
๘๓ ตารางที่ ๔.๒.๓๑ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “มนุษย.์ เกิดมาทาไม ? เล่ม ๑๔ ตอน กรรมฐานลืมตา (ในชีวติ ประจาวนั )” [ป.๒-๑๖] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -มีสติตามรู้ -มีสติตามรู้ -มีสติตามรู้ -การเจริญสติ คือ สติปัฏฐาน ๔ สติตามรู้กาย กายในกาย เวทนาใน จิตในจิต เวทนา รู้จิต รู้ธรรม ส่ิงที่ปรากฏรูปนาม เกิดดบั เอาสติไปต้งั เวทนา ใหร้ ู้ กรรมฐาน เป็นอารมณ์ปัจจุบนั องคธ์ รรมใหม้ ีปัญญารู้ หลักการ แนวคิด ไวร้ ูปขนั ธ์ ทุกขต์ ้งั ไว้ ต้งั คือ ท่ีต้งั อริยสจั ๔ วปิ ัสสนา คือ เห็นแจง้ เห็นปัญญาเป็ น -พิจารณากาย ไวส้ ัญญาขนั ธ์ แห่งการ ความรู้ทาใหเ้ กิดปัญญา เป็นแจง้ เขา้ ใจ ในกาย สงั ขารขนั ธ์ ต้งั ทางานของ สภาวธรรมท้งั หลายตามความเป็นจริง ตอ้ งรู้ อิริยาบถ ๔ ไวท้ ี่เวทนาขนั ธ์ จิต จิตต้งั เห็นสภาวะการเกิดดบั ของรูปนาม ไตรลกั ษณ์ เจริญสติ มน่ั ใน -ธรรมมานุปัสสนาใหร้ ู้อนตั ตาเอาสติไปไวร้ ูป สมั มาสมาธิ นาม ขนั ธ์ ๕ -เจริญกายให้ -เจริญเวทนาใน -ขดั เกลาจิต -ธรรมะ คือ ธรรมชาติของโลก เกิดข้ึน ต้งั อยู่ รู้อสุภะ เอา เวทนาใหร้ ู้ทุกข์ ใหบ้ ริสุทธ์ิ และดบั ไป โพธิปักขิยธรรม องคธ์ รรมแห่งการ สติต้งั ไวร้ ูป สุก ต้งั ไวใ้ น ถึงข้นั ตรัสรู้ ๓๗ ประการ ไดแ้ ก่ สติปัฏฐาน ๔ มีสติ นาม และ สญั ญาขนั ธ์ อริยบุคคล ตามรู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ขนั ธ์ ๕ สงั ขารขนั ธ์ ธรรมในธรรม เอาสติไปต้งั ไว้ รูปขนั ธ์ -ศีลสัมปทาน -อารมณ์ดีมา -กรรมฐาน -การนงั่ หลบั ตา หรือเดินจงกรม เป็นท่าทาง ถึงพร้อมศีล กระทบปล่อย คือที่ต้งั แห่ง ประดิษฐ์ ดดั จนผดิ ปกตินาไปสู่การใชใ้ น -พละ ๕ วาง อารมณ์ไม่ การทางาน ชีวติ ประจาวนั ไมไ่ ด้ เพราะชีวติ ประจาวนั ตอ้ ง ความเพียร ดีมากระทบ ของจิต ลืมตาดูโลก ตอ้ งมีสัมปชญั ญะอยตู่ ลอดเวลา -อินทรีย์ ๕ ปล่อยวาง ให้ -จิตต้งั มนั่ -กรรมฐานแบบลืมตา คือ การเจริญภาวนา ความเป็น หมดทุกส่ิง อุเบกขา วปิ ัสสนา โดยเจริญสติ เขา้ ไปกาหนดรู้แจง้ ดว้ ย วิ ีธการ ใหญ่ -สติระลึกได้ -รู้จิต หา ปัญญาวา่ รูปนาม กายใจ ไมใ่ ช่เรา ไมใ่ ช่เขา -อิทธิบาท ๔ เฟ้นส่องธรรม ของจริงมา เห็นรูปนามตามสภาวะการเกิดดบั เปล่ียนแปลง -บุญกิริยา ๑๐ เพยี รประคอง ใคร่ครวญ อยเู่ สมอ ตลอดเวลา ต้งั แต่เกิดจนถึงตาย หรือ ทาน ศีล ปี ติอ่ิมใจ ส่ิงท่ีปรากฎ ต้งั แต่ลืมตาต่ืน กรรมฐานลืมตา คือการเจริญสติ ภาวนา ปัสสัทธิ สมาธิ ทางทวาร ๖ ท้งั วนั รูปนาม เกิดดบั ท้งั วนั อารมณ์กระทบ -กาย ทวาร ชอบชงั ยนิ ดียนิ ร้าย เกิดท้งั วนั เขา้ ไปรู้ให้ เคลื่อนไหวรู้ ทนั เพยี ร เอาสติเขา้ ไปรับใหท้ นั
๘๔ ตารางที่ ๔.๒.๓๒ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “สมถวปิ ัสสนาแห่งยคุ ปรมาณู” [ป.๒-๑๗] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -อานาปานสติ กาหนด -จิตตภาวนา ทาใหจ้ ิต -สมถะ มีการเพง่ ในอารมณ์ไดส้ มาธิ เทคนิควธิ ีการท่ี รูปนาม เจริญ เนน้ จิตอานาจจิต แลว้ จิตรวมกาลงั วปิ ัสสนา แพง่ แลว้ ได้ ดีที่สุด วธิ ีการส่ิง รูป เป็นตวั กาหนด คือ การ ความจริง ไดป้ ัญญาท่ีรู้ความจริง จิต แนวคิด ที่กาหนดคือ ลม อาการที่ ทาใหจ้ ิตเจริญ อยา่ ง หายโง่ดว้ ยการทาสมถะและวปิ ัสสนา หายใจและ เขา้ สมถะ อยา่ งวปิ ัสสนา ภาวนาคือ การทาความเจริญดว้ ยอานาจ อิริยาบถ เคลื่อน ทาจิตใหเ้ ป็ นสมาธิ จิตตภาวนาคือ เคร่ืองมือที่จะพฒั นาทา ท้งั หลาย ไป สมาธิ ใหจ้ ิตสูงข้ึน หลักการ สติรู้ ยกหนอ -กาหนด -เขา้ ใจจิตวา่ ง แลว้ เขา้ ใจ -วธิ ีทาจิตเจริญ คือ สมถะ และวปิ ัสสนา ยา่ งหนอ เหยยี บ รู้อาการ โลกวา่ ง ไม่มีตวั ตน วา่ ง กาหนดหนอ สติปัญญาตามอิริยาบถ หนอกาหนด เกิดดบั จากตวั ตน วา่ งหนอ ธรรมชาติ กาหนด ๑)สิ่งที่ถูกกาหนด ภายในวา่ นาม -ปฏิบตั ิเพอ่ื ความมีจิต ๒)อาการแห่งการกาหนดเป็ นอารมณ์ คือ เห็นท้งั รูป -ฝึ กเพง่ วา่ ง ข้นั ตอนทุกอยา่ งจบ รูปนาม อยา่ ทอ้ ถอย ทาใหม้ าก ตอ้ งทา นาม ใหร้ ู้จกั ลงดว้ ยคาวา่ “วา่ ง” ตอ่ ไปจนชานาญ -ละลายความ รูปนาม -การเห็นความเป็ นอิทปั ปัจจยตา หวั ใจ เป็นตวั ตน -กาหนด -จิตกาหนดรู้อาการน้นั พระพุทธศาสนา ความเป็นไปตามเหตุ -กาย คือ ลม ขนั ธ์ ๕ เรียกวา่ นาม อาการที่ ปัจจยั กฎ แห่งเหตุปัจจยั กฎแห่งกรรม หายใจ ฌาน ความ กาหนด ๑๐ ประการ สูงสุด จงอยใู่ นโลกอยา่ งไม่มีอะไร อปั ปนาสมาธิ ทุกข์ ไดแ้ ก่ อารมณ์ รูปนาม ต่ืนเตน้ จะไดไ้ ม่โง่ ไม่มีอะไร -เห็นสกั แต่วา่ เกิดดบั อนิจจงั ทุกขงั น่ายนิ ดียนิ ร้าย น่าเป็น น่าเอา วิ ีธการ เป็ นธาตุ อนตั ตา วริ าคะ นิโรธะ - เห็นธรรม เห็นความไม่เที่ยง ความไม่ -ลมหายใจสติ ปฏินิสสคั คะ สุญญตา เท่ียงกาหนดเร่ือยๆ ไป ลมหายใจที่ กาหนด สติมา -พฒั นาความรู้สึกของ คลายความพอใจ ความยดึ ถือ สติมาอยู่ อยกู่ บั ลมหายใจ จิตใหเ้ กิดข้ึนไดเ้ อง กบั ลมหายใจเขา้ ออก ใหเ้ ห็นแจง้ ตามที่ ฝึกใหเ้ กิดปัญญา ญาณท่ีเกิดข้ึนไดเ้ อง เป็ นจริ งสิ่งที่ควรเห็นแจง้ ในสิ่งท่ีกาหนด ละลายความเป็นตวั ตน -สมถวปิ ัสสนา มีสติและบงั คบั จิตได้ เห็นแจง้ รูปนาม รวมกาลงั จิตรวมอานาจ ฝึกเพง่ ดูใหร้ ู้รูปนาม กาหนดดูใหร้ ู้จกั เกิดดบั สลดั คืน จิตใหเ้ ขม้ แขง็ เบญจขนั ธ์ กาหนดเห็นอนิจจงั ทุกขงั -ฝึกฝนบงั คบั อบรมใช้ อนตั ตา กาหนดลมหายใจ ฝึกหนอ จิต
๘๕ ตารางท่ี ๔.๒.๓๓ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “เรื่องเก่ียวกบั การปฏิบตั ิธรรมศิลปะอนั จาเป็ นสาหรับชีวิตมนุษย”์ [ป.๒-๑๘] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -กายเหมือน -สังโยชน์ -สมาธิคือ การบงั คบั จิตใหด้ ิ่ง -มรรค ๘ คือ เป็นทางแห่งความดบั ทุกข์ หอ้ งทดลองใน ๑๐ คือ แน่นอยกู่ บั สิ่งใดสิ่งหน่ึง เราให้ การดบั ตณั หา ทะเยอทะยาน สัมมาทิฐิ หลักการ แนว ิคด การปฏิบตั ิ เครื่องผกู รัด อารมณ์สงบเกิดปิ ติ เกิดสุข เป็นประธานแห่งมรรค ความคิดเห็น ธรรม กายเป็น มนุษยไ์ วก้ บั ปฏิวตั ิดวงจิต อบรมจิตใหเ้ ป็ น ถูกตอ้ ง ปัญญา ที่ประชุมแห่ง ทุกข์ สมาธิ กริยาจิตไปจบั อารมณ์ -สร้างดวงจิตดว้ ยปัญญาท่ีตอ้ งอบรม ความเป็ นจริ ง จิตใจผอ่ งแผว้ ดว้ ยวปิ ัสสนาภาวนา -ปัญญา ชาระ -กริยาจิตที่ -สมถะ คือ การประกอบการ -พบความสุขแทจ้ ริงตอ้ งปฏิบตั ิธรรม กายวาจา ให้ ไปจบั งานทางจิต อบรมจิตในข้นั เป็นวปิ ัสสนาธุระ คือ การฝึกฝนเป็น บริสุทธ์ิ อารมณ์ สมาธิ ต้งั มน่ั ผอ่ งใส ควรแก่ ลาดบั ติดต่อกนั ทุก ๆ วนั ตามวธิ ีท่ี เครื่องช่วยให้ ประกอบงานทางจิต ฌาน คือ พระพุทธเจา้ ทางสง่ั สอน ทาลาย เกิดสมาธิ การ ความเพง่ จิตเพง่ ต่อสิ่งใดส่ิง รากเหงา้ แห่งความทุกข์ ที่จิตใจผอ่ งใส หน่ึงจนสมาธิแจง้ -สติปัฏฐาน คือ การต้งั ไวเ้ ฉพาะซ่ึงสติ เป็นจุดกาลงั ให้ -วปิ ัสสนาภาวนา คือ การ กาหนดสติที่ส่ิงใดสิ่งหน่ึงแลว้ พจิ ารณา เกิดปัญญา ประกอบการงานทางจิตข้ึน จนรู้แจง้ ตามความเป็นจริง ของสิ่งท้งั พยายามทาใหแ้ จง้ ปัญญา ปวง กาย เวทนา จิต ธรรม -ความเห็นถูกตอ้ ง คือ ปัญญา -พิจารณา กิเลส ชวั่ ร้าย -จิตเป็ นสมาธิ คือ จิตสงบเป็ น -การปฏิบตั ิธรรม คือ ยอดศิลปะอนั ร่างกายคน้ พบ ในใจ หยาบ ธรรมชาติอยใู่ ตอ้ านาจสติได้ จาเป็นสาหรับชีวติ มนุษย์ กิเลสถูกขดู สภาวะธรรมดา คือมีเจตนา สนิทแนบเนียน นอ้ มนาไป เกลา ตามวธิ ีที่ถูกตอ้ ง ตรงตามหลกั ที่เป็นจริง อยา่ ง อะไรท่ีตอ้ งการ ความจริง การบาเพญ็ เพียรดว้ ยขอ้ อยา่ งไร คลาย ละเอียดคือ -อบรมจิตใหเ้ ป็นสมาธิแสวงหา ปฏิบตั ิ ศีล สมาธิ ปัญญา ทาลายรากเหงา้ วิ ีธการ ความยดึ มนั่ นอนนิ่งใน หนทางพน้ ทุกข์ ความทุกข์ คือ อวชิ ชา สลดั เครื่องเศร้า สนั ดาน -ศีล สมาธิ ปัญญา คือ ชาระกาย -ปริยตั ิ คือ การศึกษาทอ่ ง ปฏิบตั ิ คือ หมองของจิต อนุสยั วาจา ใหบ้ ริสุทธ์ิ เมื่อบริสุทธ์ิ การทาจริงตามที่ไดศ้ ึกษามา ปฏิเวธ คือ ออกไป อาสวะ แลว้ เป็นเครื่องช่วยใหเ้ กิดสมาธิ เกบ็ เกี่ยวผลท่ีเกิดจากการปฏิบตั ิ หายความยดึ มนั่ สลดั ความเศร้า หมองออกจากจิต
๘๖ ตารางท่ี ๔.๒.๓๔ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “เจริญกรรมฐาน ๗ วนั ไดผ้ ลแน่นอน” [ป.๒-๑๙] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -กาย จะยนื เดิน นงั่ -สุขทุกข์ -จิตเป็ นธรรมชาติ -กรรมฐานคือ ทางสายเอกเชิง แนวคิด นอน มีสติควบคุม อุเบกขา ตอ้ ง คิดอา่ นอารมณ์ ปฏิบตั ิการเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ทา จิต ตอ้ งกาหนด ทุก วางตวั เป็ น รับรู้อารมณ์ ตอ้ ง กรรมฐาน รู้อดีตและอนาคต ตนเอง อิริยาบถ ต้งั สติไว้ กลาง กาหนดจิต ทาใหจ้ ิตเกาะอยทู่ ี่ความดี เป็ นปัจจุบนั -ศีล ปกติ ทาใหจ้ ิต -สร้างขนั ติทน -สมาธิคือการ -การพจิ ารณาสภาวะธรรมใหถ้ ูกตอ้ ง เป็นปกติ ใหร้ ะวงั ต่อความลาบาก อบรมจิต จิตมี ตามความเป็นจริง ตา หู จมูก กาย ใจ ตรากตราทน สติสมั ปชญั ญะ -การเจริญกรรมฐาน คือ การทาใหจ้ ิต หลักการ รักษาอุเบกขา ตอ่ ความเจบ็ ใจ สติบอกวา่ จิต เกาะอยทู่ ่ีความดี จิตบริสุทธ์ิ ต้งั มนั่ อารมณ์ไว้ ในสงั คมได้ เคล่ือนยา้ ย ควรแก่งาน -อยากรู้ มีปฏิภาณ อดทน อยา่ งไร สติ -การกาหนดมีความสาคญั มากปฏิบตั ิ ไหวพริบ หายใจเขา้ กาหนดจิต- ตอ่ เน่ือง มีอารมณ์กรรมฐาน รู้ หายใจออกรู้ สารวจจิต -การเดินจงกรมตอ้ ง -สมั ปชญั ญะ -สมาธิ คือ ภาวะ -ตอ้ งท่องจาสติปัฏฐาน ๔ ใหไ้ ดว้ า่ มี เดินชา้ ๆ เหมือนคน ควบคุมจิตไว้ ท่ีจิตต้งั มนั่ ความ อะไรบา้ ง กายยนื เดินนงั่ ตอ้ งมีสติ ตาย สติเขา้ ไปทุก เวทนาอาศยั รูป ต้งั มน่ั แห่งจิต -การเจริญกรรมฐานเป็นการใชห้ น้ี อิริยาบถ มี เกิด ปรุงแต่ง ภาวะที่จิตต้งั มนั่ กรรมที่เราทาไวช้ าติก่อน เป็ นการ สมั ปชญั ญะรู้ตวั ท้งั ปวดตรงท่ีใด -มองจิตตนเอง อโหสิกรรม เป็นการใชบ้ ุญคุณ ภายในภายนอก ลม ใหก้ าหนด คน้ หาจิต ควบคุม -ปฏิบตั ิธรรม ตอ้ งคน้ หาตวั เอง หา หายใจเขา้ ออกรู้มีสติ ตรงที่น้นั จิต พระที่อยใู่ นจิต พระประจาใจกาย วิ ีธการ ตามไป พองหนอยบุ เวทนาเกิดท่ี -กายทาตามจิต -สวดมนตไ์ หวพ้ ระ หนอ มีสติติดตามไป ไหนกาหนดที่ ตอ้ งกาหนดจิต -สารวม สังวร ระวงั ต้งั สติไว้ ให้ สะดือทอ้ ง เอาจิตไว้ น้นั ยบุ หนอพองหนอ กาหนดรู้บ่อย ๆ สารวมสติต้งั สติ ตวั ท่ีสะดือ -เวทนา เกิดข้ึน เอาจิตไปไวท้ ่ี ธรรมะ คือตวั รู้เหตุ รู้ผล -ยนื ๕ คร้ัง ต้งั สติท่ี ต้งั อยดู่ บั ไป รูป สะดือ รู้ปัจจุบนั กระหม่อม เอาสติ นามแยก เห็นพองยบุ ตามจิตใหท้ นั ยนื ถึง ออกไป สะดือ กาหนด กาย กาหนดเรียนรู้ ยนื เดินนง่ั นอน เวทนา อดทน
๘๗ ตารางท่ี ๔.๒.๓๕ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “หลวงป่ ูชาสอนกรรมฐาน” [ป.๒-๒๐] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สติ คือ ความระลึก -อายตนะ -สร้างสติชดั เจน เห็น -อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ปัญญาท่ีคิด ได้ สมั ปชญั ญะคือ ตามความ อารมณ์ชดั จิตมีสติระลึก ไม่เป็นปัญญาเกิดจากธรรมะ แต่ หลักการ แนวคิด ความรู้ตวั กาหนด เป็นจริง กรรมฐาน คือ การฝึกจิต สังขารปรุงแต่งไปเร่ือย ๆ ถา้ สงบ ระลึกอยเู่ สมอ เกิด ฝึกจิตใหพ้ จิ ารณากาย แลว้ ไม่คิดเห็นสติสมั ปชญั ญะ เห็น -ลมหายใจเขา้ ออก ปัญญา ลมหายใจเขา้ ออก เอา ปัญญาเห็นไปทุกอยา่ ง ทาจิตสงบเกิดปัญญา ตรงน้ีเป็ นกรรมฐาน -กายเป็นสภาวธรรม -ความ -จิตรับรู้อารมณ์ -กรรมฐานเป็ นฐานท่ีต้งั การงานที่ เป็นรูปธรรมที่ วนุ่ วาย อายตนะแห่งปัญญา ตอ้ งทาข้ึน มองเห็นดว้ ยตา ทาง พจิ ารณาตามความเป็น -สจั ธรรมในความเป็นจริง ศึกษา นามธรรมเป็ น อารมณ์ จริง อยดู่ ว้ ยปัญญา ดว้ ยสติสมั ปชญั ญะ สภาวะไม่มีรูป -ทาความรู้สึกตวั จิตต้งั เห็นธรรมอนั แทจ้ ริง เกิดข้ึน ต้งั อยู่ มองเห็นดว้ ยตา มน่ั จิตสบายอยกู่ บั แปรเปลี่ยน สลายไป ความคิด ไมไ่ ด้ กายเป็นเหตุ อารมณ์เป็ นหน่ึง เกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป ใหเ้ กิดปัญญา -กายมองเห็นดว้ ยตา -ออกจาก -จิตเป็ นนาย กายเป็น -เขา้ ใจตวั ตน เห็นตนโดยตา คือ ตา เน้ือ จิตมองเห็นดว้ ย อุปทาน บา่ ว อบรมจิตดว้ ยจิต เน้ือ คือ ความเขา้ ใจตนที่วา่ ไม่ใช่ ตาใจ ไมต่ อ้ งยดึ ของเรา ภาษากาย ภาษา ตน ตาใน คือ ไม่ใช่ตาเน้ือ -สติคือความระลึก มน่ั ถือมนั่ จิต รับอายตนะ ตา หู มองเห็นปัญญาดว้ ยตาใน เห็นตน ได้ สัมปชญั ญะ คือ -ไมม่ ี จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่ีวา่ ไม่ใช่ตน เห็นตนวา่ เป็นเรา ความรู้ตวั อนั เกิดจาก เวทนา -กายมองเห็นดว้ ยตา จิต เป็นเขา โดยยดึ มน่ั เป็นอุปทาน รู้ลมหายใจออก -มีสติชดั มองเห็นดว้ ยใจ ภาษาจิต -มีสติมีความระลึกได้ สมั ปชญั ญะ วิ ีธการ ลมหายใจเขา้ เป็น เห็น คือ รับรู้อายตนะ ทาจิต ความรู้ตวั เสมอ เราทาอะไรอยู่ อารมณ์ปัจจุบนั อารมณ์ บริสุทธ์ิรักษาอายตนะ โกหกตวั เอง โกหกผอู้ ่ืน พากเพียรใหต้ ่อเน่ือง ชดั ได้ ทาความเขา้ ใจรู้ทุก -สมาธิภาวนาใหต้ ้งั ใจฝึกแมส้ งบ มีสติอยู่ สิ่งทุกอยา่ งได้ บา้ งไม่สงบบา้ ง เป็นเรื่องธรรมดา -รูปกายตอ้ งพิจารณา -อารมณ์จิตเยน็ จิต -คิดไมใ่ ชต้ วั ปัญญา อยา่ คิด ใหม้ าก สะอาด จิตเหนื่อยวง่ิ ตอ้ งทาจิตใหส้ งบ รู้ทนั ระลึกได้ ตามอารมณ์หลาย จิตผู้ พากเพยี รเขา้ สมาธิสงบตอ่ เนื่อง รู้สึกอารมณ์ -ถ่องแทเ้ หตุผลในธรรม รู้เทา่ ทนั
๘๘ ตารางที่ ๔.๒.๓๖ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “วธิ ีฝึกสมาธิวปิ ัสสนา ฉบบั นานาแบบอยา่ งสมบูรณ์” [ป.๒-๒๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -อานาปานสติกาหนดลม -ดูเวทนา -จิตกาหนด -ธรรมานุปัสสนา หมายถึง ส่ิง แนวคิด หายใจเขา้ ออก กายจดั การ เครื่องปรุงแต่ง จิต ท่ีมาปรากฏอยใู่ นความรู้สึก โดยตรงเรื่องลมหายใจ ทา จิต ความรู้สึก พจิ ารณาความไม่เท่ียง กายสงั ขารระงบั สุข ทุกข์ -สติกาหนดธรรมอยา่ งใด -การรู้ตวั ทวั่ -อานาจจิต -เราสร้างนิพพานไมไ่ ด้ แตเ่ รา อยา่ งหน่ึงอยทู่ ุกลมหายใจ พร้อม กาหนด บงั คบั จิตได้ สร้างเหตุปัจจยั ได้ -คาวา่ “หนอ” เอาสติไปกาหนดลม จิต มีโลภะ ไมม่ ี -จิตตสังขาร คือ การกาหนดรู้ วา่ ไม่มีตวั ตน ไม่ หายใจเพอื่ พจิ ารณาธรรม มีโทสะไม่มี มี ความรู้สึก มีบุคคล ระงบั ตวั กู ของกู ทาลาย หลักการ วธิ ีทาลมหายใจระงบั เป็น รูปฌาน ไม่มี อยใู่ นจิตใช้ ความยดึ มนั่ ถือมนั่ ฌาน ทากายสงั ขารระงบั -เวทนาเป็นมายา เป็นอารมณ์ -กาหนดรูปนาม นาม คือ -ใหส้ ังเกตวา่ ลมหายใจส้ัน กาหนดผสั สะ กาหนด ความรู้สึกท่ีกาหนด รูป คือ ส่ิงที่ หรือยาว ศึกษากาหนด รู้ -ฌาน คือเพง่ ถูกกาหนด ตวั ความรู้ท่ีกาหนด พร้อมกนั ไปดว้ ย ทาไดท้ ุก เพง่ เขา้ ไปไดล้ ึก จิตที่กาหนด นามหนอ รู้ท้งั รูป อิริยาบถ รักษาความรู้สึก และนาม -ขอใหม้ ีสติกากบั ลม -ในขณะที่มี -กาหนดจิต -สมถวปิ ัสสนาเป็นเรื่องของจิต หายใจ ฝึกสติเอาสติมา ผสั สะ ตอ้ งมีสติ ทุกชนิดจน เมื่อจิตเป็นสมาธิพอควร ไป กากบั สงบ รักษา ใหพ้ อและเร็วมา รู้ทนั ต้งั มนั่ พจิ ารณาความไม่เที่ยงอยเู่ ร่ือย ๆ ความรู้สึก เป็นสมาธิ ทนั มีปัญญา กาหนดจิต ทุกคร้ัง ท่ีหายใจเห็นความไม่เท่ียง -ลมหายใจยาว ลมหายใจ -มีสติในขณะมี กาหนด คลายความยดึ มนั่ ในชีวติ การฝึก ส้ัน รู้จกั กายท้งั ปวง กาย ผสั สะจะไดไ้ ม่ ความรู้สึก สติอยตู่ ลอดเวลา บงั คบั จิต สังขาร คือ ลมหายใจ ทุกข์ -รู้จกั จิตทุก ตลอดเวลามีสมาธิโดยอตั โนมตั ิ วิ ีธการ บงั คบั กายสังขาร สงบ -ควบคุมเวทนา ชนิด ทุก -กูไมเ่ อาอะไร กบั มึงอีกต่อไป ละ ระงบั เกิดสมาธิ หายใจเขา้ ไดค้ วบคุมจิตได้ รูปแบบ วางดว้ ยความเห็นวา่ “มนั เป็นเช่น หายใจออกมีอยตู่ ลอดเวลา เวทนาไมเ่ ที่ยง บงั คบั จิต ก็ น้นั เอง” ไมเ่ ที่ยงเป็นทุกขไ์ ม่ใช่ -อานาปาสติ ๑๖ ข้นั เป็น ฝึกกาหนดตาม ใชจ้ ิตทางาน ตน ชีวติ เป็นของหนกั เพราะมี สติปัฏฐานสมบูรณ์ ความรู้สึก เกิด เป็นอนิจจงั กรรมเป็ นเคร่ืองถ่วง ความยดึ มนั่ ดบั ไดต้ าม คลาย ถือมน่ั เป็นตวั การปฏิบตั ิ ตอ้ งการมนั กาหนดั ยดึ -กาหนดรู้รูปนาม สนั ทิฏฐิโก ระงบั มน่ั ถือมน่ั รู้อยใู่ นใจ ไม่ไดเ้ กิดมาเพื่อทุกข์
๘๙ ตารางที่ ๔.๒.๓๗ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “อยกู่ บั มาร” [ป.๒-๒๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ความไมม่ ี -กาจดั ความ -เฝ้าดูจิตในจิต -มีความเพียร มีสติสมั ปชญั ญะ เฝ้าดูกายในกาย แนวคิด ตวั ตน พอใจไม่ เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ภายใน -ความรู้สึกตวั ชดั พอใจใน และภายนอก มีสติปรากฏชดั กายมีอยู่ (เวทนา ในปัจจุบนั อารมณ์โลก จิต ธรรม มีอย)ู่ เพ่ือรู้ เพ่ือระลึกไว้ -พลิกมารเป็นปัญญา การมีใจต้งั มน่ั -สมั ปชญั ญะ -อุเบกขา -การมีสติ คือ -การเห็นไตรลกั ษณ์ จะพฒั นาปัญญา ข้นั สู่ ความรู้สึกชดั ที่ ทุกขเวทนา อารักขาจิตท่ี ปัญญารู้แจง้ ปัญญาญาณ หลักการ กายและใจ คือ ความไม่ ปกติอยกู่ ่อน -ความจริงในโลกท่ีใชร้ ่วมกนั ๒ ระดบั ๑) ความรู้ตวั ถึงการ รู้เท่าทนั ไม่ถูกครอบงา สมมติสัจจะ คือสร้างบญั ญตั ิตกลงร่วมกนั ใน เคล่ือนไหว ขนั ธ์ ๕ ดว้ ยมาร สงั คมกลุ่ม ๒)ปรมตั ตสัจจะ คือ ความจริงตาม ธรรมชาติเดิม -สงั โยชน์ เคร่ือง -มาร คือ -สติ -การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพือ่ ความไมป่ ระมาท ร้อยรัด สภาวธรรม องคป์ ระกอบ รู้ทนั มาร ขนั ธ์ ๕ แสดงสภาวธรรม อาตาปี คือ -กลไก การ ท่ีขวาง คือ ๑)ไม่เหมอ ความเพยี ร ปิ ดก้นั อกศุ ลใหม่ ละอกศุ ลเก่า ทางานขนั ธ์ ๕ ความสุข ดี ไม่เผลอ ๒) สัมปชาโน คือ ตวั ปัญญาสอดส่อง สติมา คือ รูปขนั ธ์ วญิ ญาณ ใหบ้ รรลุ สติคอย ความระลึกรู้สภาวะที่ปรากฏตามความเป็ นจริ ง ขนั ธ์ เวทนาขนั ธ์ ความดีงาม สอดส่องดูการ เร่ืองรูปนาม กายใจ สัญญาขนั ธ์ -กาจดั ความ ทางานของ -ความวปิ ลาส ๑)วา่ ส่ิงท่ีทุกขว์ า่ เป็นสุข ๒)ส่ิงไม่ สงั ขารขนั ธ์ พอใจไม่ ร่างกายจิตใจ เท่ียงวา่ เท่ียง ๓)ส่ิงท่ีไม่เป็น ๔)ส่ิงที่ไม่งามวา่ วิ ีธการ -ขนั ธมาร ภาวะ พอใจ ๓)การมีสติ งาม ความไมค่ งท่ี ตวั แปรมากมาย รู้สภาวะกฎ ท่ีตอ้ งดูแล อารมณ์ใน อารักขาจิต ธรรมชาติ ร่างกายอนั ไม่ โลกออก ของมาร - ความวปิ ลาส ๑) สญั ญาวปิ ลาส ๒) จิตวปิ ลาส คงท่ี เสียได้ กาม กระทบ ๓) ทิฏฐิวปิ ลาส ความขาดสติไม่รู้สภาวธรรม เปลี่ยนแปลงตาม ราคะ อายตนะ ๕) คิดผดิ คลาดเคล่ือนจากความเป็นจริง องคป์ ระกอบ ปฏิฆะ สติตอ้ งทาให้ -ตอ้ งมีสติเห็นความจริง ความรู้สึกเกิดจาก เหตุปัจจยั ไมม่ ี พยาบาท เกิดเนือง ๆ ผสั สะ ขาดสติระหวา่ งผสั สะ เขา้ ไปเน้ือหา ใครบงั คบั สัง่ การ -อุปทานไป การรู้จกั จา สมมติ ปรุงแตง่ ให้ค่าสิ่งสมมติ ได้ ยดึ ติด หลง สภาวธรรม ไปยดึ
๙๐ ตารางท่ี ๔.๒.๓๘ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จาก วรรณกรรมเร่ือง“ปฏิบตั ิธรรมใหถ้ ูกทาง:คาถามสาหรับชาวพทุ ธ(สารวจตวั ก่อนปฏิบตั ิธรรม)”[ป.๒-๒๓] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ขนั ธ์ ๕ -ฌาน -ภาวนา -การปฏิบตั ิธรรม คือ เอาธรรมมาปฏิบตั ิใชธ้ รรมมาให้ แนวคิด -อุเบกขา คือ เกิดในชีวติ จริง ศึกษาปฏิบตั ิคูป่ ริยตั ิ วางใจเป็น ฝึกอบรม -ปัจจยั แห่งสัมมาทิฏฐิ คือ กลั ยาณมิตร และโยนิโส กลาง ดา้ นจิต มนสิการ การรู้จกั คิดเป็ นทาใหเ้ กิดความเขา้ ใจที่ จิตภาวนา ถูกตอ้ ง -สติเร่ง -ทุกข์ - -วปิ ัสสนา มีวธิ ีปฏิบตั ิเทคนิคตามสาระหรือหลกั การ วริ ิยะ กาหนดรู้ กรรมฐาน คือ การรู้เห็นตามความเป็นจริง วปิ ัสสนาเกิดญาณมี -สร้าง เอาอริยสัจ คือ ความรู้แจ่มแจง้ รู้ตามที่เป็ นจริง เห็นตามท่ีเป็นจริง จิต หลักการ ฉนั ทะ ๔ แกป้ ัญหา เคร่ืองมือ เป็นอิสระหลุดพน้ แรงจูงใจ การปฏิบตั ิ ฝึกงาน -ธรรมที่เป็นภูมิของวปิ ัสสนา ไตรลกั ษณ์เห็นเมื่อ ในการ ดูหนา้ ท่ี ต่อ ของจิตใจ ปฏิบตั ิวปิ ัสสนา หยงั่ รู้ญาณเป็นผลวปิ ัสสนา ปฏิบตั ิ ธรรมตา่ ง ๆ จิตจดจ่อ -ญาณ คือ วปิ ัสสนา รู้เห็นตามความเป็นจริง ธรรม ท่ี กบั ส่ิง -ฉนั ทะ เป็นตวั เร่ิมตน้ เป็นมูลแห่งธรรมท้งั ปวง ธรรม ถูกตอ้ ง เดียว ฉนั ทะ ความอยากในธรรม ความจริง -กรรมฐาน -อายตนะ -สมถะ -ถา้ สติปัญญาดีพอสมควร จะเลือกเฟ้นปริยตั ิดว้ ย ๔๐ เทคนิค ๑๒ ภาวนา ทา ตนเองเอาไปศึกษาคน้ ควา้ ตารา คมั ภีร์ดว้ ยตนเอง เอา กาหนดลม -เฉย ไม่เอา ใหจ้ ิต ประสบการณ์ของพระอาจารยท์ ้งั หลายมาประกอบกนั หายใจ เร่ือง คือ แน่วแน่ พิจารณาเสริมสร้างความรู้ในปริยตั ิ เป็ นการปฏิบตั ิ -ศีลถึง ปฏิบตั ิธรรม อยกู่ บั ส่ิง ตอ่ ไปใหเ้ ป็ นเรื่องของเรา พร้อม เป็ น วางใจเป็น เดียวที่ -ปริยตั ิ คือ การเล่าเรียนสดบั ฟังจากผอู้ ื่น แมแ้ ต่ วิ ีธการ สีลสัมปทา กลาง กาหนด พระไตรปิ ฎก ซ่ึงเป็นคาสอนพระพุทธเจา้ ทางสอนไว้ -บุพนิมิต -ความอยาก ได้ ปริยตั ิเป็ นเครื่องช่วยใหป้ ฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เป็น มรรค ในความจริง -ฝึกอบรม ประสบการณ์ของผปู้ ฏิบตั ิมาช่วยใหเ้ ดินทางสะดวก เขา้ ถึงความ จิตไดเ้ ป็ น ข้ึน ใชป้ รับปริยตั ิมีประสบการณ์ของตนเอง รู้วา่ อนั จริง ตอ้ ง จิตต ไหนจาเป็ นตอ้ งใชเ้ มื่อใด อยากรู้ ภาวนา -วดั ผลจากการปฏิบตั ิธรรม คือ ตรวจสอบ ประสบการณ์ตนเอง วา่ โลภ โกรธ หลง มากนอ้ ย เพียงใดไดล้ ดละหรือเบาบางหรือหมดไป
๙๑ ตารางที่ ๔.๒.๓๙ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “พทุ โธ ผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผเู้ บิกบาน” [ป.๒-๒๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด -กาหนดลม -อุเบกขา -ภาวนาพุทโธ ทา -อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา พทุ โธ คือ ผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผู้ หายใจเขา้ ออก ความมีใจ ใหจ้ ิตสงบ ทาจิต เบิกบาน สติสาคญั มาก ดว้ ยภาวนาพุทโธ เป็นกลาง รวมเป็ นสมาธิ -ศีล เคร่ืองก้นั -สงั เกต -จิตไดร้ ับการ -พจิ ารณาสจั ธรรมอนั ประเสริฐที่มีอยกู่ บั ตวั หลักการ ความเบียดเบียน ตวั เอง ตาม อบรมที่ถูกตอ้ ง ภาวนา คือ อบรมใจใหเ้ ท่ียงตรงต่อเหตุผล ลมหายใจ -ใหด้ ูจิต -ใหร้ ะลึกถึงความตาย ใหบ้ ริกรรม เขา้ ออก -ขณิกสมาธิ คือ พทุ โธ สมั มาอรหงั มรณงั จิตต้งั มนั่ -ธุดงควตั ร คือ ปฏิบตั ิ -มีสติกากบั ตวั -ทุกขส์ ุข -ทาจิตใหผ้ อ่ งใส -ใหค้ ิดถึงความตาย ถามจิตชีวติ น้ีไม่แน่นอน ตลอดใหท้ า ใหด้ ู เกิดจาก เอาจิตพจิ ารณา จิตเป็ นผสู้ ะสมบุญบาป บนั ทึกไวใ้ นใจ จิตใหด้ ูใจตวั เอง ความคิด กาย หดั สติให้ -นกั พูดหาง่าย นกั ปฏิบตั ิหายาก อยา่ ไปดูคนอื่น ของเรา มาก “ธมั มวจิ ยะ” พระพุทธศาสนาไมไ่ ดส้ อนใหถ้ ือ แต่สอนให้ ใหน้ ึกพทุ โธ -พจิ ารณา สติสมั โพฌงค์ ปฏิบตั ิ การปฏิบตั ิธรรมในกาย วา หนา คืบ ตลอดเวลา สังขารไม่ จิตรวมเป็นสมาธิ เป็นตวั ธรรมเกิดแห่งธรรม -ปฏิบตั ิอยา่ ง เที่ยง -ตอ้ งครบท้งั ศีล -อ่อนนอ้ ม ถ่อมตน ยอ่ มเป็ นคนดีภายใน ฝึก จริงจงั มีสติมา -จงอยา่ สมาธิ ปัญญา ตนตอ้ งอดทนพากเพยี ร ต้งั ใจไปเร่ือยๆ เทา่ ใดยงิ่ ดี ประมาท จิตตภาวนามี ประพฤติใหอ้ ยใู่ นกรอบศีลธรรม วิ ีธการ -ระลึกถึงพทุ โธ อยา่ เป็นใบ อานาจ มี -ทาน เครื่องแสดงน้าใจ จิตใจสูง มีเมตตาจิต ใหม้ ีสติ ร่างกาย ลานเปล่าไม่ พลงั งาน สง่างาม เด่นในปวงชน ศีล ไมเ่ บียดเบียน เป็นธาตุ ๔ มีธรรมอนั -ภาวนาพุทโธ ทา ภาวนา อบรมใจใหเ้ ที่ยงตรงตอ่ เหตุผล อรรถ -สติต้งั ที่ใจ อยทู่ ่ี เป็นสมบตั ิ ใหจ้ ิตสวย อยู่ ธรรม ใจ มองท่ีใจ ของตน ไหนก็ไดข้ อให้ -การปฏิบตั ิพระกรรมฐานมีคน ๒ ประเภท กาหนดที่ใจ -ฝึกฝน ปฏิบตั ิ ตวั เองให้ ๑)ไม่เคยไดร้ ับการศึกษาดา้ นปริยตั ิ จิตสงบ พิจารณา อิริยาบถ อดทน ดี คือ ปฏิบตั ิ ไดเ้ ร็วแต่เสียเวลาถา้ ไมฝ่ ึกฝน ๒)ศึกษาบาลี ๔ ยนื เดินนงั่ นอน ต้งั ใจ ไป พระพทุ ธศาสนา ฝึกสมาธิยากจิตไมส่ งบ ตอ้ งใชว้ ปิ ัสสนาไป -ความเพยี ร ฝึก เร่ือย ๆ ก่อนคือปัญญา อบรมสมาธิ ตน อดทน
๙๒ ตารางท่ี ๔.๒.๔๐ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรม เรื่อง “ดูจิตเพ่ือรู้แจง้ : วธิ ีปฏิบตั ิภาวนาอยา่ งง่ายๆ ดว้ ยการดูจิตในชีวติ ประจาวนั ” [ป.๒-๒๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ความรู้สึกตวั -สภาวะเป็นรูป จิตต่ืน คือ จิต -สติปัฏฐาน คือ สติที่รู้กายรู้ใจ เป็ นทาง หวั ใจการ นาม กายใจ ดู รู้ตวั ข้ึนมา รู้สึก สายเอกทาให้หลุดพน้ ได้ ต้องทาความ หลักการ แนวคิด ปฏิบตั ิ คือ ความรู้สึก กายรู้สึกใจ ไม่ รู้สึกตวั คอยรู้สึกความมีอยูร่ ่างกายและ ความรู้สึกตวั อาการจิต จิตเกิด หลงเพลินอยใู่ น จิตใจเนืองๆ ความรู้สึกตวั ต้นทางการ เป็ นแก่น ดบั โลกความคิด ปฏิบตั ิ ทาภาวนาทุกๆอยา่ งตอ้ งมีความ รู้สึกตวั เป็นพ้ืนฐาน -กายทุกข์ -ผสั สะรุนแรง -สภาวธรรมจิต -ทากรรมฐาน พุทโธ รู้ลมหายใจ ท้อง -เจริญวปิ ัสสนา ทาร้ายคนท่ี เป็นกลาง ไม่ พองยุบ ยกเทา้ ย่างเทา้ รู้อิริยาบถ ๔ ทา มีสติรู้ใจรู้กาย ภาวนาไม่เป็น ยนิ ดียนิ ร้าย จงั หวะเคลื่อนไหว ทาให้จิตมีเครื่องอยู่ ตามความเป็น นาความทุกขม์ า ปัญญาสติระลึก น้อมจิตไปเขา้ มีเคร่ืองอยู่ ไดส้ มถะโดย จริง รู้ซ้าแลว้ ซ้า บีบค้นั รุนแรง รู้ จิตเห็นจิต อตั โนมตั ิ ไม่ว่าปฏิบัติกรรมฐานอะไร อีก เจริญปัญญา -หดั ดู อยา่ งแจ่มแจง้ ตอ้ งมีความรู้สึกตวั ตอ้ งทา สภาวธรรมตาม เป็นตวั -วปิ ัสสนาปัญญา เป็ นความรู้ความเขา้ ใจ วปิ ัสสนา ความเป็นจริง “อรหตั ตมรรค” รู้วา่ ร่างกาย ยนื เดิน นง่ั นอน เป็นวตั ถุ -เม่ือลืมกายลืม -ภาวนาเป็ น -ภาวนาจิตมี -ศึกษาธรรม ใหว้ างความคิดลงปล่อย ใจหลงไปอยกู่ บั ผสั สะที่รุนแรง ขนั ติ ความ ความคิดความเช่ือมาดูที่จิต มาดูจิตท่ีเป็น โลกความคิด จะเป็นครูสอน อดทน ต่อการ ปัจจุบนั สติรู้กาย สติรู้เวทนา สติรู้จิต เมื่อหลงไปใน ธรรมะที่ดีที่สุด ปรุงแต่ง -สัจจบารมี คือ ยอมตายเพ่ือให้ได้เห็น โลกความคิด -หมดความยดึ -ฝึกทาความ ความจริง ดูไปเรื่อย ๆ ตามดูสุดสายการ ความเป็นตวั ตน มนั่ ในกายในใจ รู้สึกตวั ไม่นาน ปฏิบตั ิ ใจตอ้ งเขม้ แข็งต่อสู้กบั มาร เพื่อ วิ ีธการ เกิดข้ึน เพราะ จะเขา้ ใจความ ข้าม ภ พ ข้ามช าติ ต้องส ะส ม ความ ความเป็นตวั ตน จริงของกายใจ แข็งแกร่งในใจมาก กลา้ สละความสบาย ไม่มีอยจู่ ริง -ภาวนารู้สึกใน เพลิดเพลินอยา่ งโลกๆ ความเป็นตวั ตน ตวั รู้สึกในกาย -เรียนธรรมะ ใหด้ ูจากของจริง ความจริง เป็ นแต่ความคิด ปัญญาเกิด ของกายและใจ ใหด้ ูจากกายใจ “รู้ตวั ไว”้ เท่าน้นั -จิตต้งั มน่ั เป็ น เห็นไตรลกั ษณ์ รู้สึกแลว้ ไมล่ ืมกายลืมใจ สัมมาสมาธิ มี ศึกษาธรรมะเป็นการลงทุนระยะยาว สติรักษาจิต
๙๓ ตารางท่ี ๔.๒.๔๑ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “อศั จรรยส์ มาธิพระโพธิสตั วห์ ลวงป่ ูดู่ พรหมปัญโญ” [ป.๒-๒๖] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด -ละสักกายทิฏฐิ - -จิตสงบเป็นฐาน -พทุ ธานุสติ คือ ความเคารพรักใน ถือตวั ถือตน นอ้ ม อภิญญา พระพทุ ธเจา้ โดยตลอดเป็นจริยวตั ร ศีล คือ จิตพิจารณากาย -ฐานจิตพลงั งานมาก หวั ใจ ฝึกสมาธิไดใ้ จตอ้ งมีศีล -กาพระ อาศยั - -ฐานจิตพลงั มากคือ -วชิ าสมาธิแห่งพลงั งาน ปรับระดบั จิตให้ พลงั งานจากองค์ ละเอียดลง หมนั่ ทากรรมฐานละกิเลส กลางกระหมอ่ ม จิต หลักการ พระ ช่วยใหจ้ ิตเขา้ รวมวง่ิ ไปตามฐาน หยาบๆไป ภาวนาสม่าเสมอ สู่กระแสสมาธิได้ ตา่ งๆ -มโนมยทิ ธิ (ฤทธ์ิทางใจ) ทาจิตแนบแน่น เร็วข้ึน -จิตลงสู่โสดาบนั สิ่ง อยกู่ บั คาภาวนา จิตตอ้ งแนบอยกู่ บั คา ใดสิ่งหน่ึงเกิดข้ึน สิ่ง ภาวนาใหไ้ ดก้ ่อน น้นั ดบั ไป -สร้างบารมี ๑๐ - -กรรมฐานผปู้ ฏิบตั ิ -สมาธิช้นั สูง คือ ๑)ประมวลเอาศกั ยภาพ หล่อหลอมตวั เรา ของจิตท้งั หมดมาพจิ ารณาในกายสังขาร ชานาญกาหนดฝึ ก กระแส โยกยา้ ยจิต กองขนั ธ์ ๕ รวมสติ สมาธิ ปัญญา รวม พทุ ธานุภาพ -จิตลงพระไตรลกั ษณ์ พลงั การพิจารณาขนั ธ์ ๒) อาศยั พลงั งาน จิต เห็นแจง้ สรรพสัตว์ สัมมาสมาธิ ประมวงสติ พิจารณายอ้ นเขา้ ละเอียด ท้งั หลายเกิดข้ึนดบั ไป มาในขนั ธ์ เขา้ ใจไตรลกั ษณ์ ถอนอุปทาน -รัศมีกายแสงวชิ า -จิตเห็นการเกิดดบั เขา้ ขนั ธ์ ๕ ยดึ มนั่ ตวั กขู องกู ๓)พน้ จาก เป็นสิ่งที่อยกู่ บั ทุก สู่อริยมรรค สงั สารวฏั อานาจอวชิ ชา ๔)ภาวนาทุก วิ ีธการ คนแต่รัศมีกาย -กระแสพทุ ธานุภาพ รูปแบบสร้างพลงั งานทางจิต หมน่ั ภาวนา แตล่ ะคนส่อง พลงั งาน จิตละเอียด เติมพลงั งาน จิตกบั คาภาวนาตอ้ งแนบสนิท สวา่ งไมเ่ ท่ากนั จิต คลื่นความถี่ ปรับคลื่น เป็นหน่ึงเดียวกนั พลงั งานมหาศาล หยาบแสงกาย ความถ่ี เริ่มรู้ถึงกระแส -พทุ ธานุสติ สายหลวงป่ ูมน่ั ภาวนาพุทโธ หม่นหมอง พลงั งาน คล่ืนพลงั งาน ตลอด ๒๔ ชว่ั โมง หลอมตวั เราเขา้ กบั -กลางกระหมอ่ ม -จิตสงบเป็นฐานการ พุทธะ ปรับคลื่นความถ่ีของจิตใหล้ ะเอียด ฐานจิตมีพลงั งาน หลุดพน้ -กระแสพลงั งาน บุคคลท่ีมีเทพยดามาคุม มาก -จิตเห็นการเกิดดบั แบบน้ีความรู้สึกอยากทาสมาธิเสมอ -หมน่ั ทา -สมาธิจิตตอ้ งเมตตา อานาจสมาธิสมั พนั ธ์กบั เทวดาการเชื่อม กรรมฐาน ญาณ ญาณสมั ผสั จากเทวดา
๙๔ ตารางที่ ๔.๒.๔๒ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “พุทธานุสสติหวั ใจกรรมฐาน” [ป.๒-๒๗] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -กายานุปัสสนา -เวทนานุปัสส -จิตตานุปัสสนาสติ -สติปัฏฐาน ๔ ที่ต้งั แห่งสติ ธมั มา สติปัฏฐาน คือ นาสติปัฏฐาน ปัฏฐาน คือ จิตสักแต่ นุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ ธรรมที่เป็น แนวคิด กายน้ีสักแตว่ า่ คือ เวทนาสัก วา่ จิต ไม่ใช่สตั ว์ กศุ ล และอกศุ ล เขา้ ใจวา่ สักแตว่ า่ กาย ไม่ใช่สตั ว์ แตว่ า่ เวทนา บุคคล ตวั ตน เราเขา ธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตวั ตน เราเขา บุคคล ตวั ตน เรา สติกาหนด เป็นอารมณ์สติ -การต้งั สมาธิ ตอ้ งมีโยนิโสมนสิการ เขา สติพิจารณา เวทนา กาหนดจิต คือ กาหนดในใจอยา่ งแยบคาย ใหท้ นั กายเป็ นอารมณ์ ในอารมณ์ปัจจุบนั -วปิ ัสสนาพละ -สภาวธรรม -จิต คือ การรู้ การคิด -ทางแห่งวปิ ัสสนา คือ เห็นแจง้ ตาม ความคานึงเห็นวา่ -วางเฉยใน การนึก จิตตวสิ ุทธิ ความเป็นจริง ต้งั สมาธิไดแ้ ลว้ จิตจึง สงั ขารท้งั หลาย อารมณ์จิตไม่ -จิตเป็ นเอกคั คตา เห็นตามความเป็นจริง ปัญญาเกิดทีละ เป็นทุกข์ ธรรม ซดั ส่าย ไปใน เบ้ืองตน้ ปฐมฌาน นอ้ ยจิตเป็นประตูไปสู่กรรมฐานอ่ืน หลักการ ท้งั หลายเป็น อารมณ์ อดีต -การฝึกปฏิบตั ิ -วปิ ัสสนาภูมิ ๖ ประการ คือ ขนั ธ์ อนตั ตา สังขาร อนาคต ใหจ้ ิต สมถกรรมฐานเป็ น อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ อริยสจั ท้งั หลายเบ่ือ อยใู่ นอารมณ์ การฝึกจิตฝึกใจต้งั ปฏิจจสมุปบาท โพธิปักขิยธรรม หน่าย คลาย ปัจจุบนั สติไดแ้ ลว้ จิตยอ่ ม เรียนกรรมฐาน ตอ้ ง มอบตวั ตอ่ พระ กาหนดั ในสงั ขาร เห็นตามจริง รัตนตรัย -ใชค้ าภาวนา พุทโธ -พละ ๕ คือ -ความระงบั ไป -ฝึกจิตเป็ นสมาธิ -วธิ ีการนงั่ ภาวนา ก่อนนง่ั ให้อธิษฐาน ศรัทธา วริ ิยะ สติ แห่งสังขารการ แนวทางสัมมาสมาธิ จิต วางอารมรณ์จิตใหแ้ น่วแน่ นง่ั คูบ้ งั สมาธิ ปัญญา ปรุงแตง่ ๓ คือ ฝึกกรรมฐานโดยวธิ ี ลงั ก์ เทา้ ขาวทบั เทา้ ซา้ ย มือขวาทบั มือ -อินทรีย์ ๕ คือ วจีสังขาร กาย บาบดั ซา้ ย ต้งั กายตรง บริกรรมพทุ โธ สิทธินทรีย์ สังขาร จิต -กาหนดจิต ๑)สมาธิ -วปิ ัสสนาญาณ ๑๐ ไดแ้ ก่ สัมมสน วิ ีธการ วริ ิยนิ ทรีย์ สังขาร นิมิต ๒)ปัคคหนิมิต นุปัสสนาญาณ อุทยพั พยนุปัสสนา สะตินทรีย์ -ระอาความ ๓)อุเบกขานิมิต ญาณ วปิ ัสสนูกิเลส ภงั คนุปัสสนา ปัญญินทรีย์ ปรุงแต่งสังขาร ญาณ ภยภูปัฏฐานุปัสสนาญาณ -ระงบั แห่งสังขาร อาทีนวนุปัสสนาญาณ นิพพทา นุปัสสนาญาณ มุญจิตุกามยตานุปัสส นาญาณ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ สงั ขารุเบกขานุปัสสนาญาณ
๙๕ ตารางที่ ๔.๒.๔๓ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมฐานจากหลวงป่ ูทวดสู่หลวงป่ ูดู่” [ป.๒-๒๘] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด -พจิ ารณากาย ไมม่ ี -ความ -สร้างพระในใจเรา -วชิ าของพระพุทธเจา้ ภาวนาเพ่ือตดั เรา ไม่มีเขา ขนั ธ์ ๕ รู้สึก เขา้ ถึงพระแท้ ความหลงในสงั สารวฏั -ศีลพ้นื ฐานสาคญั -สมาธิจิต -พทุ ธานุสติกรรมฐาน -เจริญอสุภ -เห็น -พฒั นาจิตใหม้ ีกาลงั จิต -ปัญญาอบรมสมาธิ พฒั นาศกั ยภาพ กรรมฐาน (ซากศพ) โลก อยกู่ บั คาบริกรรม สมองเกิดจากการเขา้ สมาธิเจริญปัญญา มรณานุสติ เป็น -โคจรจิตไปตามร่างกาย เจริญภาวนา “ญาณ” ศกั ยภาพของจิต -ละสักกายทฏิ ฐิ ตดั ของ -ปี ติ ๕ เป็นปฐม ไมพ่ ่ึงสมอง หลักการ ขนั ธ์ ๕ เป็นของ วาง ลกั ษณะกรรมฐาน -พระคุณพระพทุ ธเจา้ ๑)พระบริสุทธิ หนกั พจิ ารณากาย สมยั ก่อน กรรมฐาน คุณ ๒)พระมหากรุณาธิคุณ ๓)พระ บรรลุธรรม แบบโบราณ ไดแ้ ก่ ปัญญาธิคุณ -ผวู้ า่ งไดล้ ะตวั ตน ขทุ ทกาปี ติ ขณิกาปี ติ -กรรมฐาน คือ ผเู้ จริญพทุ ธานุสติ โลกเป็นของวา่ ง โอกนั ติกาปี ติ กรรมฐานรูปแบบพลงั งาน พลงั พทุ ธา -พิจารณาทุกข์ อุเพง็ คาปี ติ ผรณาปี ติ นุภาพ สังขาร -ฝึกประโยชน์การ - -ปี ติ เป็นอาการเม่ือจิต -ธรรมะออกจากใจ ไม่ตอ้ งอา่ นที่ไหน โคจรจิตไปตาม ภาวนา เริ่มเขา้ สู่สมาธิเบ้ืองตน้ -คนเราทุกขเ์ พราะยดึ มนั่ ถือมนั่ ร่างกาย ชานาญการ ต่อสู้ เป็นประตูสู่ฌานที่ -วธิ ีการเรียนกรรมฐาน แบบแผนก่อน เขา้ สมาธิและเป็น กิเลส สูงข้ึนไป ผนู้ ึก เริ่มที่จะไปเรียนตามอธั ยาศยั หรือ ตาม การฝึกกีฬาสมาธิทา ในใจ คล่องแคล่ว สามารถเขา้ ความถนดั ตามทกั ษะ ตามวาสนาท่ีเคย ใหไ้ ม่เบื่อหน่าย ปี ติเพื่อรักษาตวั และใช้ มีมา กรรมฐานมชั ฌิมาตามลาดบั ได้ เพ่ือความชานาญ ตา่ งๆ ปี ติ ๕ ฝึกตามความคล่องแคลว วิ ีธการ -ละความยดึ มนั่ ถือ -ตอ้ งเชี่ยวชาญเดินจิต เขา้ สมาธิแบบกลบั ไปมา มน่ั ในขนั ธ์ ๕ ท้งั สมถะและวปิ ัสสนา -รักท่ีจะภาวนา ขยนั ทาเป็นนิสยั ท่องคา -พิจารณาความ จิตเป็ นแกว้ สารพดั นึก ภาวนาไดข้ ้ึนใจ ทาคาภาวนาทบั ใจเป็น สกปรกของร่างกาย -คาบริกรรมเป็ นอุบาย หน่ึงเดียวกนั เป็ นส่ิงปฏิกูล เพียงทาใหจ้ ิตสงบ -พิจารณาไตรลกั ษณ์ เกิดดบั ละความ เทา่ น้นั อานาจอยทู่ ่ีการ ยดึ มนั่ ถือมน่ั หมนั่ อบรมปัญญา รวมจิตเทา่ น้นั พจิ ารณาสรรพส่ิง การมองไม่ตามความ จริง พจิ ารณาอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา
๙๖ ตารางท่ี ๔.๒.๔๔ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “อบรมกรรมฐาน” [ป.๒-๒๙] ด้า กาย เวทนา จติ ธรรม น แนวคิด -อานาปานสติ -ขนั ติ -จิตรู้เป็ น -การพจิ ารณาไตรลกั ษณ์ สภาวธรรม ๓ กรรมฐาน อดทน ประจกั ษ์ ลกั ษณะ อนิจจา ทุกขตา อนตั ตา ความเป็นจริง ตกอยใู่ นความไมเ่ ที่ยง -ยดึ ลมหายใจเป็น -อาการใน -ตามรู้จิตตามรู้ -พิจารณาอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา อารมณ์ ดูลมหายใจ สมาธิ ความคิด ปรากฏไมม่ ีภาษา สมมติบญั ญตั ิใด ๆ ละเอียด -องคฌ์ าน ๕ -จิตละเอียด เกิดข้ึน ถา้ มีแสดงวา่ วปิ ัสสนึก ไมใ่ ช่ -พจิ ารณาร่างกาย วติ ก วจิ าร ปิ ติ ลงไปดูทุกส่ิง วปิ ัสสนากรรมฐาน ไมใ่ ช่ความรู้แจง้ หลักการ ของตนเองและผอู้ ่ืน สุข เอกคั คตา ละเอียดลงไป เห็นโดยสภาวะ ไม่สวยงาม จิตสงบเป็ น -สมาธิในฌาน สมาธิในองคม์ รรค -สภาวธรรมกายและ อปั ปนาสมาธิ อาศยั ความวเิ วก กายวเิ วก สถานที่วเิ วก ใจ สังขารปรุงแต่ง ลมหายใจหาย จิตวเิ วก ฝึกฝนอยใู่ นอปั ปานาสมาธิ ขาดไป ตวั ท้งั ตวั ชานาญ ยกพิจารณาปัญญาเขา้ ใจ หายไปหมด สภาวธรรม -ศีล สมาธิ ปัญญา -หยบิ ยก -กาหนดคาภาวนา - จิตในข้นั วปิ ัสสนากรรมฐาน หมายถึง หลกั แห่งการปฏิบตั ิ สภาวธรรม -เมื่อจิตสงบลงจิต จิตท่ีรับรู้อารมณ์ ปราศจากความยนิ ดี -กรรมฐานเก่ียวกบั อยา่ งใดมา จะละวางคา ยนิ ร้าย จิตดารงตนเป็ นกลางเป็นเท่ียง ลมหายใจ กาหนด พจิ ารณา คือ บริกรรม ลม ธรรม เรียก มชั ฌิมา ไมม่ ีความยนิ ดียนิ ร้าย ตวั ผรู้ ู้ไว้ ท่ีลมหายใจ รูป เวทนา หายใจหายไป ไม่ กาจดั กิเลส สมาธิอาศยั ความวเิ วก เขา้ สัมผสั ปลายจมูก สัญญา สงั ขาร ปรากฏวา่ มี กายไม่ -ข้นั ตอนกรรมฐาน ๑)สมถกรรมฐาน พร้อมพทุ โธ วญิ ญาณ นอ้ ง มี ลมหายใจไมม่ ี คือ กรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ ๒) วิ ีธการ -เจริญกายคตาสติ สู่ไตรลกั ษณ์ - กาหนดจิต วปิ ัสสนากรรมฐาน คือ กรรมฐานเป็น อาการ ๓๒ เจริญ ความไมเ่ ที่ยง บริกรรมภาวนา อุบายเรืองปัญญา การบริกรรม ธาตุววฏั ฐาน ยกเอา สมาธิ สงบต้งั มนั่ ของจิต ภาวนาพทุ โธเป็ นส่ิงจาเป็น ธาตุ ๔ พิจารณา -สงั ขารทาให้ -กาหนดจิตรู้ตาม -ความรู้ข้นั สัจธรรม ไมม่ ีภาษา -เป็นอปั ปนาสมาธิ เกิด สิ่งที่ปรากฏข้ึน สมมติบญั ญตั ิประการใด ใชป้ ัญญา ลมหายใจหายไป ตวั สภาวธรรม ความรู้ปรากฏข้ึน พิจารณาสภาวะตา่ ง ๆ หายไปหมด ปรุงแต่ง -สารวมจิตอยกู่ บั -การบริกรรมภาวนา เป็ นการรวมความคิด -ศีลสังวร อารมณ์ คาบริกรรม รอบทิศไปสู่จุดเดียว เรียกวา่ สมาธิ
๙๗ ตารางที่ ๔.๒.๔๕ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “วปิ ัสสนาสมาธิภาวนารักษาใจ” [ป.๒-๓๐] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ปัญญา คือ -เวทนา -กาหนดจิตดบั -กายใจ เป็นที่ต้งั แตง่ พระพุทธศาสนา ความรอบรู้ อนิจจา สังขาร จงใชโ้ ยนิโสมนสิการ กาหนดจดจา ในกองสังขาร ความรู้สึกอยู่ -พุทโธ คือ ผูร้ ู้ นาไปจงใชโ้ ยนิโสมนสิการ กาหนดจดจา แนวคิด ตรงไหนให้ -ญาณ คือ ความรู้ นาไปประพฤติ ประพฤติปฏิบตั ิฝึกหดั ตน ต้งั สติอยตู่ รง จิตเป็ นผรู้ ู้ รูปเป็ น หมนั่ เจริญภาวนา เห็นตามความเป็นจริง น้นั อารมณ์ -ศีล สมาธิ ปัญญา หลกั พระพุทธศาสนา -จิตเห็นแลว้ จิตสงบ ปัญญา คือ ความรู้วา่ จิตของเรามีอยู่ ปล่อยวาง อยา่ งไร จิตเคลื่อนไหวใหร้ ู้ -หมนั่ -เวทนาไม่ -สมาธิภาวนา -วปิ ัสสนาเพ่ือการดบั ทุกข์ โดยสิ้นเชิง อาศยั พิจารณาสิ่งที่ เที่ยง สุข ฐานที่ต้งั ทาง พระพทุ ธศาสนาเป็นเคร่ืองแกท้ ุกข์ พุทโธ เรียกวา่ เวทนา เม่ือ จิตใจ ระลึกอยใู่ นใจ ความรู้สึกอยตู่ รงไหนให้ต้งั สติ หลักการ ตวั ตน สิ่งน้นั ไม่ -สมาธิ คือ จิตต้งั อยตู่ รงน้นั วปิ ัสสนากรรมฐาน คือ ผูร้ ู้จกั ที่เกิด -มีปัญญารอบ เที่ยงส่ิงน้นั มนั่ ไมห่ วนั่ ไหว แห่งสังขาร รู้จกั ที่ดบั แห่งสงั ขาร เป็นทุกข์ รู้ในกอง เป็นทุกข์ อาศยั จิตสงบ เห็นโทษเห็นภยั ในสังขาร เป็ นวปิ ัสสนา คือ สังขาร สิ่งใด -สมาธิ คือ -ใจ เป็นที่ต้งั แห่ง ความรู้แจง้ เห็นจริง เกิดข้ึนให้รู้ วา่ งจาก สมาธิ ทุกอยา่ ง -ทุกข์ ควรกาหนดทา่ นไม่ให้ละ ทุกขม์ าจาก อารมณ์ สาเร็จดว้ ยใจ ไหน อะไรเป็นเหตุปัจจยั -ละ -สุขทุกขอ์ ยู่ -จิตดีสิ่งท้งั หลาย -ทุกข์ ควรกาหนดท่านไมใ่ หล้ ะ สกั กายทิฏฐิ ที่ใจคิด ดีไปหมด ทุกขม์ าจากไหน อะไรเป็นเหตุปัจจยั ความเป็นตวั -เวทนามา -สมาธิ คือ จิตต้งั -หมน่ั พจิ ารณาวา่ ส่ิงที่เรียกวา่ ตวั ตน เป็นตน จากผสั สะ มน่ั จิตใส คือ สม รูปกาย คือ ธาตุ ๔ นามกาย คือ เวทนา วิ ีธการ รู้เห็นสังขาร ถูกกระทบ ถกรรมฐาน ทา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ พจิ ารณาขนั ธ์ไม่เที่ยง เห็นธรรม ผสั สะมาจาก จิตสงบภายใน -ความรู้ในกองสังขาร นงั่ สมาธิเพง่ ดู อายตนะ ตา -จิตเห็นแลว้ ปรุงแตง่ สิ่งใดไมเ่ ที่ยงสิ่งน้นั เป็นทุกข์ หู จมูก ลิ้น ปล่อยวาง สิ่งใดที่เป็นทุกข์ ส่ิงน้นั ไมใ่ ชเ้ รา กาย ใจ เพง่ ใหร้ ู้เทา่ ทนั คือ วปิ ัสสนาญาณ
๙๘ ตารางท่ี ๔.๒.๔๖ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมฐานแกก้ รรมพน้ ทุกขด์ ว้ ยกรรมฐาน” [ป.๒-๓๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -เจริญกรรมฐาน รับ -ต้งั สติ -จิตไม่มีตวั ตน -การปฏิบตั ิกรรมฐาน ขนั ธ์ ๕ กาหนด คิดอา่ นอารมณ์ ตอ้ งการให้จิตเขา้ ถึงพระพุทธเจา้ หลักการ แนวคิด ไปปฏิบตั ิ สร้างความ เวทนา ตลอดเวลา -แกก้ กรรมดว้ ยการกาหนด ดีในขนั ธ์ ๕ อุเบกขา กรรมมาจากการกระทา เวทนา -รู้กายในกาย เวทนา หลกั -ตดั กรรมดว้ ยการ -แยกรูปนาม ได้ จะรู้วา่ จิตรู้การเคลื่อนไหว ๓ ประการ ๑) กาหนดจิต ไม่มีตวั ตน ไมม่ ีเราไมม่ ีเขา ของกาย สุขเวทนา ๒) -ควบคุมจิตได้ สภาวะเกิดข้ึนต้งั อยดู่ บั ไป ทุกขเวทนา ตลอดเวลา รู้แจง้ ถึง ตวั เราไมม่ ีอะไร มีแต่รูปนาม ๓)อุเบกขา จิต มีสมั ปชญั ญะ ขนั ธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เวทนา -กายจะยนื เดิน นงั่ -ต้งั สติ -จิต คือธรรมชาติการ -ธรรมรู้แจง้ ดว้ ยตวั เอง กศุ ล อกศุ ล นอน เอาสติกาหนด กาหนดตลอด คิดอา่ นอารมณ์ รับ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คือ ตวั ธรรมะ -เวทนาอาศยั อารมณ์ไวไ้ ด้ ปัจจตั ตงั เวทิตพั โพ วิญญูหิ สมั ปชญั ญะ คือ รู้ตวั รูปนาม เวลานานเหมือนเทป รู้ไดเ้ ฉพาะตวั เรา คนอ่ืนหารู้ไม่ -ต้งั สติทุกอิริยาบถ เวทนา เอาสติไปคุมจิต ต้งั -การกาหนดมีความสาคญั มาก -จิตกาหนดยนื เดิน สัญญา สติไวใ้ หไ้ ด้ ปัญญา ทาอะไรชา้ เพื่อฝึกสติ นง่ั นอน มี สังขารปรุง เกิดเอง -วปิ ัสสนา ตอ้ งรู้เขา้ ใจ สติสมั ปชญั ญะ แต่ง อาศยั -กาหนดรู้ กาหนดคิด ในเชิงปฏิบตั ิการไมใ่ ช่รู้ วิ ีธการ ควบคุม รู้ในกาย จะรู้ กาย -จิตข้นั ขนั ธ์ ๕ รูป ตามที่หนงั สือ มาอ่านตามที่ ไดด้ ว้ ยการกาหนด -ปวด นาม คือ รูปแยกไป ฟังพระสวด สภาวธรรมภายใน ตรงไหน คือ เวทนาและรูป -คุณค่าของชีวติ อยทู่ ี่การปฏิบตั ิหนา้ ที่ กาหนดตรง สงั ขารปรุงแต่ง จิต ท้งั ภายในภายนอก เกิดสัมผสั น้นั แยกไป ไมป่ วดกาย รู้ เกิดจิต ความคิดปัญญา รสพระธรรม ตรงน้นั การเจริญสติปัฏฐาน ๔ -รู้จริง ตอ้ งรู้ สร้างทางเดินของชีวิตจิตสงบภายใน แจง้ ถึงจิต กาลงั ภายในเขม้ แขง็ ต้งั สมั ปชญั ญะ กาหนดจิตต้งั สติ
๙๙ ตารางที่ ๔.๒.๔๗ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “บริกรรมพทุ โธสมาธิรักษาโรคกาจดั ภยั ” [ป.๒-๓๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ศีลเบ้ืองตน้ ของ -หยบิ อารมณ์ จิต คือ ผรู้ ู้ ผนู้ ึก ผู้ -สมาธิภาวนา จิตฝึกอบรมเต็มท่ี แนวคิด สมาธิ จิตจดจ่อ ปรุงแต่ง ใช้ เอาสติไปควบคุมให้อยใู่ นพุทโธ พิจารณาเกิด อายตนะ ๖ เป็น คาบริกรรมหายไป สอนบริกรรมไป แก่ เจบ็ ตาย เคร่ืองมือ เร่ือย ๆ เป็นท่ีต้งั ของจิต -อานาปานสติ ดึง -อารมณ์ -จิตต้งั มนั่ เจริญ -เครื่องมือการปฏิบตั ิธรรม จิตมาอยกู่ บั พุทโธ กระทบดีชวั่ แนวฌาน ๔ กาย วาจา ใจ เป็นอยูโ่ ดยชอบ สอนกาหนดลม ตอ้ งทาสมาธิ -ต้งั สติแน่วแน่ใน พยายามชอบ เพียรชอบ มรรค ๘ หลักการ หายใจเขา้ ออก จิต ไดท้ นั ทีทนั ใด อารมณ์เดียว -การฝึกหดั สมาธิ โดยการบริกรรม มน่ั คงอยกู่ บั ลม -สมาธิ คือ ทาจิต พทุ โธ นงั่ สมาธิขาขวาทบั ขาซา้ ย มือ หายใจเป็ นอารมณ์ สงบแน่วแน่เป็ น ขวา ทบั มือซา้ ย ต้งั ตวั ให้ตรง จิตเป็ นอารมณ์ อารมณ์เดียว บริกรรมพุทโธ ไวท้ ่ีกลางหนา้ อก เดียวกบั พทุ โธ คือ หวั ใจ ต้งั สติสารวจจิตให้คงท่ี เป็นเอกคั ตาจิต จิตเขา้ ถึงสมาธิ -รูปสงั ขาร กายธาตุ -มีเวทนา เกิด -จิตรวมอยใู่ นคา วธิ ีเจริญสมาธิภาวนา ๒ วธิ ี ๑)ปล่อย ๔ ดินน้าลมไฟ ใหห้ ยบิ บริกรรม วางอารมณ์ท้งั หมด มีต้งั สติกาหนด -เห็นขนั ธ์ เป็น เวทนา มา พทุ โธ นึกถึงคา เอาผรู้ ู้ ๒)ใหห้ ยบิ เอาอารมณ์อนั ใดจิต อนิจจงั ทุกขงั พิจารณา บริกรรมชดั เจน พิจารณา ชานาญในการยกอุบายข้ึน อนตั ตา มีสภาวะ ปล่อยวางจิต -ยง่ิ อบรมจิตให้ พิจารณา ภาวนาสมาธิใหม้ น่ั คงอยไู่ ด้ เกิดดบั จนไมร่ ู้ตวั เลย ละเอียดเท่าใด ตามวถิ ีของสมาธิ -ปล่อยวาง อุปทาน -เจบ็ ป่ วย กิเลสยง่ิ ละเอียดไป ปัญญาญาณเป็ นโลกตุ รการพน้ ทุกข์ วิ ีธการ ขนั ธ์เห็นตามความ เวทนาแรงๆ ตามน้นั -กรรมฐาน ๔๐ วธิ ี ใชว้ ธิ ีไหนก็ได้ ที่ เป็ นจริ ง ตอ้ งต่อสู้ดว้ ย ตอ้ งใชป้ ัญญา ถูกจริตตน เจริญสติคู่กบั ปัญญา -ภาวนายบุ หนอ ความสงบ ละเอียดแหลมลึก -ผลปฏิบตั ิธรรม คือ ธรรมที่บุคคล พองหนอให้ คือ เม่ือเกิดปัญญา ปฏิบตั ิดีแลว้ ยอ่ มนาความสุขมาให้ กาหนดจิตไวท้ ี่ ปล่อยวาง สามารถพิจารณา ไมโ่ ลภ ไม่โกรธ ไมห่ ลง อิริยาบถยา่ งเทา้ ข้ึน ท้งั หมด อะไรไดช้ ดั เจน ไม่เดือดร้อนท้งั กายวาจาใจ ยกหนอเหยยี บหนอ -พละ ๕ ตอ่ สู้กบั กิเลสภายใน พจิ ารณาเห็นการ อยา่ งเขม้ แขง็ ศรัทธา วริ ิยะ เกิดดบั อิริยาบถ สติ สมาธิ ปัญญา
๑๐๐ ตารางที่ ๔.๒.๔๘ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “คูม่ ือมนุษยฉ์ บบั สมบูรณ์ (วชิ าที่วา่ ดว้ ยอะไรเป็นอะไร)” [ป.๒-๓๓] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา -เวทนาคือ -จิตตสิกขา -อริยสจั ๔ ไตรลกั ษณ์ อนิจจงั ทุกขงั แนวคิด ส่วนที่รู้สึกสุข อนตั ตา วสิ ุทธิ ๗ ยถาภูตญาณทสั สนะ ทุกข์ ไม่ทุกข์ สิกขา ๓ ไมส่ ุข -ญาณ รู้เห็นตาม -เวทนามีท้งั -ทาจิตใหห้ ลุด - ไตรลกั ษณ์ อนิจจงั (ไม่เท่ียง) ทุกขงั ความเป็นจริง ชอบไมช่ อบ มี พน้ จากอุปทาน (ดูแลว้ สงั เวชใจ) อนตั ตา (ไมม่ ีตวั ตนอยา่ ง -ศีล ประพฤติ ทางใหย้ ดึ มน่ั -สมาธิ ใหฝ้ ึก แทจ้ ริง) การเห็นแจง้ แลว้ ปล่อยวาง ทุกส่ิง หลักการ กาย วาจา ไมใ่ ห้ ถือมนั่ โลกตุ ระ ข่มอบรมจิต ไม่ควรยดึ มน่ั ถือมน่ั โทษ พน้ โลกเตม็ ไป บงั คบั จิตใหอ้ ยู่ -ตามหลกั รูปแบบเทคนิค ศึกษาธรรมตอ้ งมีศรัทธา -ละสักกายทิฏฐิ ดว้ ยความทุกข์ ในอานาจ มาก่อน เรื่องใดไมศ่ รัทธาเพียงจาช่ือก็ยากแลว้ และสังโยชน์ ๑๐ สงบเยน็ เป็นสุข สอนศิลปะการเป็นคน คือ มีปัญญาท่ีจะใหแ้ ละ เป็นอยูโ่ ดยไมท่ ุกข์ รูปแบบตามธรรมชาติเหมาะ กบั ปัญญาฝึกเกิดปิ ติปราโมชยก์ ่อน อาการสมาธิ -สังขารเป็นทุกข์ -ถา้ รู้เทา่ ทนั -หลกั การ -สิ่งท้งั ปวงในโลกสรุปลงอยูใ่ นเบญจขนั ธ์ คนหน่ึงมี รูป ๑ เวทนาและ ปฏิบตั ิ เพอ่ื รู้ส่ิง แตล่ ะสิ่งลว้ นเป็นมายา ไร้ตวั ตน ตอ้ งอาศยั ใจ ๔ รวมเป็น ๕ ควบคุม จิตจะ ท้งั ปวงตามที่ ไตรสิกขา ถอนอุปทาน มองเห็นความวา่ ง เรียกวา่ เบจขนั ธ์ เหนือเวทนาได้ เป็นจริง ปฏิบตั ิ ของสิ่งท้งั ปวงเป็นของวา่ งเป็ นสุญญตา ๕ รูปขนั ธ์ -ฝึกจิตใหอ้ ยใู่ น ศีล สมาธิ ไม่ติดสมมติบญั ญตั ิ เห็นโลกแจง้ ถอน เวทนาขนั ธ์ อานาจไม่ให้ ปัญญา เบ่ือ อุปทานไมอ่ ยากในสิ่งท้งั ปวง ปัญญา สัญญาขนั ธ์ รู้สึกในทุกข์ หน่ายคลาย อบรมบ่มทิฏฐิ ดูสิ่งท้งั ปวงตามจริง วิ ีธการ สงั ขารขนั ธ์ อะไร กาหนดั -สมาธิถูกตอ้ งจะทาใหเ้ กิดยถาภูตญาณทสั นะ วญิ ญาณขนั ธ์ -หลุดพน้ จาก หลุดพน้ คือ ความรู้ทนั ความเห็นในสังขารท้งั ปวง -บาทฐาน อานาจสิ่งที่ อนิจจงั ถูกตอ้ งตามเป็ นจริง รู้ตามความเป็นจริง วปิ ัสสนา คือ ศีล พอใจและไม่ ทุกขงั อนตั ตา พบวา่ ไมม่ ีอะไร น่าเป็ นน่าเอา น่ายดึ ถือ สมาธิ ปัญญา พอใจดว้ ย -จิตบริสุทธ์ิ ไม่มีอะไรน่าเอา ไม่มีอะไรน่าเป็น อานาจปัญญา ตอ้ งอิสระจาก ความยดึ ถือไดจ้ างคลายออกจากสิ่งท้งั ปวง ทุกสิ่ง ก็หลุดความอยากได้ คือ วมิ ุตติ ใหเ้ หนือดี -วปิ ัสสนาธุระการเรียนภายในใหเ้ กิดวปิ ัสสนา เหนือชว่ั ตวั เห็นแจง้
๑๐๑ ตารางที่ ๔.๒.๔๙ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “อดีตกรรม ประสพการณ์..ประสพกรรม” [ป.๒-๓๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด สร้างบุญทางกายใหม้ ี -ปัญญา -กาหนดจิตตลอด จิตมี -กรรมฐาน การเจริญสติปัฏฐาน ศีล ตาหูจมูกปากลิ้น พจิ ารณา ความรอบรู้ในกอง ๔ เกิดปัญญา ปัญญาพจิ ารณา กายใจ อารมณ์ สงั ขาร สารวมจิต อารมณ์ -กายานุปัสสนาสติปัฏ -กาหนด -ฝึกกาหนดจิตทุก -กาหนดสจั จะ ความอดทน ฐาน ยนื เดิน นง่ั นอน ปวดหนอ อิริยาบถตลอดรายการ สารวมกาย ศีล สารวมจิต คือ มีสติสมั ปชญั ญะ ครบ ไมฟ่ ุ้งซ่าน หายใจยาวๆ เสียใจ สมาธิ ใหม้ ีความต้งั ใจ หลักการ ต้งั สติไวท้ ่ีกาย มีสติไว้ จิตเป็ น กาหนด โกรธกาหนด -กรรมฐาน แปลวา่ อดทน ต่อสู้ ท่ีกาย สารวมกาย กศุ ล เด๋ียวหาย ชนะจิตโดยมี กบั อุปสรรคท่ีขดั ขวาง สกดั ก้นั -ลมหายใจไม่ สติควบคุมเอาไว้ ความดี นิวรณ์ เคร่ืองก้นั การ เหมือนกนั แกท้ ี่ลม -คิดอ่านอารมณ์รับรู้ ปฏิบตั ิธรรม หายใจ คิดหนอ รับรู้ -กาหนดสติทุก -ปวดหนอ -เจริญกรรมฐานเพิ่ม -ไมส่ บายใจเจริญกรรมฐาน อิริยาบถ กาหนดจิตทุก เกิดข้ึน พลงั จิต เกิดความรัก ต้งั สติเอาไวพ้ ิจารณาทุกข์ แก้ ลมหายใจ ไปไหนใหม้ ี ต้งั อยดู่ บั ตวั เองใหม้ าก สอน ทุกข์ อดทนดว้ ยสติสมั ปชญั ญะ สติ พูดแบบมีสติ เทป ไป แยกรูป ตวั เองไดเ้ ม่ือใด สอน จากการเจริญสติปัฏฐาน ๔ บนั ทึกเสียงติดจิตท่าน นาม คนอ่ืนได้ ปลงตกแกป้ ัญญาชีวติ เกิดมาเพ่ือ -เดินไว ขาดสติ ทา เวทนา -ความสุขยอ่ มเกิดจาก อะไร ชนะใจตนเปรียบชนะคน อะไรเร็วมกั ขาดสติ แยกออก ภายใน ชีวติ ก่อนตาย ท้งั โลก ชนะจิตใจของเราไดช้ นะ ขาดสติเม่ือใดจิตจะ ปัญญาเกิด คนไขต้ อ้ งการกาลงั ใจ คนอ่ืนไม่ยาก วิ ีธการ เป็ นทาส -มีเวทนา วางจิตเป็ นเรื่องสาคญั -การสร้างบุญ แปลวา่ ความสุข -ยนื หนอ ๕ คร้ัง รู้กฎ ปวด รักษาจิต รักษาใจดว้ ย เหตุเกิดแห่งความสุข แห่งกรรม ทบทวน ตรงไหน สติมน่ั คงทาใจไม่ให้ ๑)ชาระจิตใหส้ ะอาด ๒)สงบ ชีวติ รู้เห็นดว้ ยตวั เอง กาหนด อยกู่ บั การครอบงาของ -อยากรู้ความจริงของชีวติ ตอ้ ง ลืมตาเห็นคนอื่น เห็น ตรงน้นั ความแปรปรวน ปฏิบตั ิกรรมฐาน หนอ ปลายเทา้ ถึง กาหนด ร่างกาย มีสติ จิตไม่ -“หนอ” เขา้ ถึงธรรมแลว้ จิต ศีรษะ ศีรษะเห็นปลาย ปวดหนอ ปรุงแต่ง ต้งั อยดู่ บั ไป เวทนา แยกออกจาก เทา้ จะไดส้ ภาวะวา่ ง รู้ -อายตนะ คือ รู้จกั จิต จิต ทาดีแลว้ ดีไปหมด ศีลสมาธิ คนน้ีนิสยั ไมด่ ี จิตเป็ นสุขดว้ ย ปัญญา เป็นกรรมฐาน ตอ้ งทาให้ อโหสิกรรม แผเ่ มตตา ได้
๑๐๒ ตารางที่ ๔.๒.๕๐ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะจากพระไพศาล วสิ าโล” [ป.๒-๓๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม - ทาใหต้ วั กูตาย -เห็นอารมณ์ -กรรมฐาน ฐาน -วปิ ัสสนา เป็นการเจริญสติปัฏฐาน แนว ิคด ก่อนหมดลม ตามความเป็น ท่ีต้งั แห่งจิต การ การเห็นความจริง ความจริงไม่มีเรา -สติทางานอตั โนมตั ิ จริง สติมีอะไร สร้างต่อเติมฐาน ต้งั แต่แรก ปฏิบตั ิมากมีสติมากข้ึน สติปัดกวาดจิตใต้ กระทบ -ดูจิต จิตใตส้ านึก รักษาจิตปกติ สานึก เฝ้าดูจิต -ปัญญาแยกแยะ -รู้จกั และเขา้ ใจชีวิต -ทุกขเวทนาบีบ -ทาสมาธิภาวนา -ดาเนินชีวติ สอดคลอ้ งตามความ หลักการ -ร่างกายแตกดบั ทา ค้นั จิตใจไม่ได้ สร้างความสงบใจ เป็นจริง ความเป็ นอิสระทางใจ ใจใหถ้ ูกตอ้ ง -ผสั สะ กระแส -สร้างฐานทางจิตใจ อตั ตา ตวั ตน ใชป้ ัญญาในการ ตณั หา เวทนา มากข้ึน ฝึ กฝน -อยวู่ เิ วกคนเดียว -เรียนรู้อยกู่ บั ส่ิง -จิตวา่ ง จากความ -ดบั ตวั กูหมด ไมม่ ีทุกข์ ดบั ไมม่ ี ตาม ไมพ่ อใจ ศิลปะ เป็นตวั ตน เหลือ ไม่ยดึ มน่ั วา่ เป็นของเรา จิต พระพทุ ธศาสนา แห่งความสุข -จิตสงบปล่อยวาง นึกเร่ืองต่าง ๆ ใหม้ ีสติรู้เทา่ ทนั ตวั ไม่เพลินกบั ทาใจนิ่งยอมรับ -ระวงั ความคิด คุม กไู มม่ ี อายตนะ ทุกส่ิงที่เกิดข้ึน ใจใหไ้ ด้ -เจริญมรณสติ เตรียมใจรับ -อยกู่ บั ปัจจุบนั การ -สติสาคญั -จิตวา่ งจากความยดึ -หากมีความกลวั ที่ไหน จงไปอยทู่ ี่ มีสติเป็นเพ่ือน สงบ อะไรมากระทบ มนั่ ถือมน่ั น้นั การทากรรมฐานทาใหจ้ ิต สงดั มีความสันโดษ -เวลามีอะไรมา -ธรรมะจาก ปลอดโปร่ง มีสติ -แผเ่ มตตา พดู กบั กระทบ กป็ รุง ธรรมชาติสอน -สร้างนิสัยใหม่ อยกู่ บั กายได้ วิ ีธการ อวยั วะ รู้เขา้ ใจชีวติ แต่งตลอดเวลา ธรรม จิตวา่ งรู้ อยทู่ ี่ไหนกไ็ ด้ การรักษาใจใหเ้ ป็น -ฉนั ทะ การสร้าง เห็นอะไร รู้สึก พิจารณาธรรมชาติ ปกติ ตอ้ งสร้างนิสยั ใหม่ มีสติ แรงผลกั ในการ พอใจไม่พอใจ ธรรมะปรากฏ ทนั ความคิด จิตอยกู่ บั ปัจจุบนั ปฏิบตั ิธรรม -อารมณ์ดบั -เดินจงกรม ดูจิต ปัจจุบนั สิ่งที่เรากาลงั ทาอยใู่ น -วา่ งจากตวั ตน วา่ ง ธรรมชาติรู้เรื่อง ควบคุมแลว้ ขณะน้นั จากความทุกข์ เดียวแตล่ ะขณะ ควบคุมเล่า กาหนด -ประสบการณ์การปฏิบตั ิส่วนตวั -ทาอะไรใหอ้ ยกู่ บั จิตไว้ ผลจากการใคร่ครวญสิ่งท่ีประสบ ความรู้สึกตวั สร้าง -จิตน่ิมนวลเม่ือ พบเห็น ผอู้ า่ นไมค่ วามเช่ือท้งั หมด นิสัยใหม่ ปฏิบตั ิ ยอมรับความจริง นาไปทดลองปฏิบตั ิดู ซ้า ๆ จนเคยชิน สร้างนิสัยใหม่ -ขา้ มใหพ้ น้ จากภาษา ปฏิบตั ิธรรม ปฏิบตั ิซ้า ๆ แบบเล่นๆ พอใจที่จะทา
๑๐๓ ตารางท่ี ๔.๒.๕๑ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “อตุโล จิต คือ พุทธะ เล่ม ๒” [ป.๒-๓๖] ดา้ น กาย เวทนา จิต ธรรม -ศีล สมาธิ -จิตอยกู่ บั -จิต คือ พทุ ธะ -พุทโธ รู้ต่ืน เบิกบาน ตวั รู้ คือ สติ แนวคิด ปัญญา แต่ละ เวทนา หลกั ธรรมท่ีแทจ้ ริง คือ การต่ืนรู้อยกู่ บั สมาธิจิต พทุ โธ ระดบั สังขาร จิต จิตเป็นอิสระจาก อยา่ ส่งใจไปถึงเร่ืองอื่นๆ นิวรณ์ จิต คือหลกั ธรรม -จิตเป็ นตวั ปัญญา ปัญญาคิดนึก -สะอาดท้งั กาย -ดีใจก็ไมด่ ี -ความรู้แจง้ คือ จิตตน้ -ปริยตั ิ คูป่ ฏิบตั ิ โดยปริยตั ิเรียน ท้งั ใจ จนเกินไป กาเนิดด้งั เดิมปราศจาก นกั ธรรม บาลี ไวยากรณ์ เรียนรู้ หลักการ -ศีล สมาธิ สามารถ รูป จิตแทไ้ ม่มีรูปร่าง ศีล ธรรม พระวนิ ยั ปฏิบตั ิ กรรมฐาน ปัญญา เป็น พฒั นารู้ได้ มรรคจิต พฤติกรรมจิต ฝึกกายฝึกจิต ใหเ้ ห็นความจริงใน สภาวธรรม ทนั ที ส่ิงน้ี -สัมมาสมาธิ คือ จิตที่ สภาพที่เป็นจริง ไมไ่ ดอ้ า่ นจากตารา คือ อะไร เป็นสมาธิตามลาดบั -การพจิ ารณาธรรม สัมเพ สังขารา ขณิกสมาธิ อปั ปนาสมาธิ ใหล้ ะเลิกความยดึ มนั่ ถือมน่ั -การบริโภค -ละวาง -ปฏิบตั ิจิต ปฏิบตั ิใจ -บาเพญ็ ภาวนา ไป ไม่สนใจกบั ตามท่ีตามได้ มี อารมณ์ หยดุ การปรุงแตง่ ของ ภายนอก วตั ถุมงคลศกั ด์ิสิทธ์ิจริง นอ้ ยใชน้ อ้ ย ไม่ ต่าง ๆ ต้งั ความคิด ความยดึ มน่ั ถือ หรือ ไมม่ ีอะไรเพียงช่วยดา้ น มีไมใ่ ช้ หลวงป่ ู มนั่ อยใู่ น มนั่ จากรูปธรรม เจริญจิต กาลงั ใจเท่าน้นั จะใชส้ ่ิงของ ท่ี อารมณ์ อยบู่ นความไมม่ ีอะไร -เป็นอยา่ งไรใหเ้ ทียบดู เพราะธรรม มีอยไู่ ปจนกวา่ เดียวกนั เกิด -ทาความเขา้ ใจจิตของเรา ของใครกข็ องมนั ส่ิงน้นั จะใช้ สมาธิ -จิตมีพลงั งานมากยอ่ ม ธรรมพระพทุ ธเจา้ ของพระพุทธเจา้ ไม่ไดอ้ ีกตอ่ ไป นาไปใชใ้ นทางใดกไ็ ด้ และธรรมท่านอาจารยใ์ หญข่ องทา่ น วิ ีธการ -เมื่อหิวก็กิน เร่ืองจิตเรื่องอิทธิฤทธ์ิ อาจารยใ์ หญ่ ธรรมของคุณกข็ องคุณ เม่ือง่วงกน็ อน -จิตที่ส่งออก เป็นสมุทยั แมม้ ีเป้าหมายเดียวกนั แตก่ ไ็ ม่ ทาตามหนา้ ที่ ผลอนั กิดจากจิตท่ีส่งออก เหมือนกนั ทางใครทางมนั รับผดิ ชอบใส่ นอนเป็นทุกข์ จิตเห็นจิต -วนิ ยั สมณะ คือ ใจ เป็นมรรค ผลอนั เกิดจาก เจริญดว้ ยสนั โดษ จิตเห็นจิตเป็ นนิโรธ -จิตยอ่ มอยบู่ นความไม่มี อะไรท้งั สิ้น จิตเป็นตวั รู้สึกคิด วญิ ญาณเป็ นคูหา ใหจ้ ิตอาศยั อยู่
๑๐๔ ตารางที่ ๔.๒.๕๒ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะจากพระราชวฒุ าจารย์ (หลวงป่ ูดูลย์ อตุโล)” [ป.๒-๓๗] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ศีล คือ ปกติที่ -จิตเป็ นสภาพรับ -เจริญจิต ดูจิต พจิ ารณา -หลกั ธรรมแทจ้ ริง คือ อยอู่ ยา่ ง อารมณ์ จิต จิต คือ พทุ ธะ กริยาของจิต พฤติของจิต บาเพ็ญ หลักการ แนวคิด ปราศจากโทษ -มีจิตมีการรับรู้ -เนน้ เร่ืองจิตการภาวนา เพยี ร อารมณ์ ปรุงแตง่ จิต ทาญาณใหเ้ ห็นจิต -ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา -ตวั รู้ คือ สติ เอา ธรรมชาติของจิต -ปัญญาคือ ผรู้ ู้ คือ จิตที่วา่ งเบาสบาย สติไปกากบั ตวั รู้ -ดูกริยาอาการของจิต รู้แจง้ แทงตลอด ตามความเป็นจริง -เอาสติไป -เวทนาหนกั แต่ไม่ -หลกั ธรรม ที่แทจ้ ริง -กรรมฐาน คือ การแยกจิตออกจาก กากบั ความ หนกั ดว้ ยเวทนา คือ จิต ใหด้ ูจิต กิเลส เพยี ร จิตสงบ แยกจิต เขา้ ใจ รู้ตวั เสมอ ไมไ่ ดเ้ สวยเวทนา -จิตคือหลกั ธรรมสูงสุด สภาพจิตเดิมแท้ -มองลึกความ ไม่วา่ เกิด ในจิตใจ -จิตคิดจิตเกิด จิตไม่คิดจิตไม่เกิด เป็นตวั ตน สภาวธรรมใดๆ -นาจิตพิจารณาจิต -รู้ธรรมในจิต -นงั่ ภาวนาให้ -สงั เกตอาการ -อยา่ ส่งจิตออกนอก -เรียนปริยตั ิให้ตายก็พน้ ทุกขไ์ มไ่ ด้ สงบ กิริยาจิตไปเร่ือยๆ ภาวนาใหด้ ูจิตดูใจ เดินทางตามแนวปริยตั ิอยา่ ง -ตอ้ งนง่ั สมาธิ เขา้ ใจเหตุปัจจยั ตวั เอง แตกฉาน มาก่อนจึงมุ่งสู่การปฏิบตั ิ ทาจิตใหส้ งบ ของอารมณ์ ความ -จงทาญาณให้เห็นจิต -จิตอยเู่ หนือภาวการณ์นึกคิด ภาวนา นึกคิดตา่ งๆได้ จิต เมื่อจิตเห็นได้ จะ เมื่อคิดยอ่ มไม่รู้ เมื่อไมค่ ิดยอ่ มรู้ -จิตสงบคา จะรู้ทนั การเกิด สามารถถอดวชิ าดว้ ย เจริญจิตเพิกถอนรูปปรมาณู และ ภาวนาหายไป อารมณ์ตา่ งๆความ มรรคจิต เพื่อแยกรูป วญิ ญาณที่เล็กท่ีสุดภายในจิตได้ วิ ีธการ เป็นวมิ ุติ นาสู่ นึกคิดตา่ งๆ จิต นามอยคู่ นละส่วน และ -ความรู้ท้งั ปวงอยา่ ไปยดึ ตารา ปัญญา วา่ งจากอารมณ์ เขา้ ใจพฤติกรรมของจิต ครูบาอาจารย์ อยา่ เอามียงุ่ ตดั -เป็นทุกข์ แลว้ จิตจะเป็ น -จิตเห็นจิต ดูจิตอยา่ ง อารมณ์ออกให้หมด ผหู้ ลงใหลใน เพราะ อิสระ อยตู่ ่างหาก เดียวอะไรๆ ก็ออกจาก ตาราและอาจารย์ ผนู้ ้นั ไม่อาจพน้ ความคิด หยดุ จากเวทนา จิต อยา่ งแจ่งแจง้ ใน ทุกขไ์ ด้ แต่ผคู้ นจะพน้ ทุกขไ์ ด้ ตอ้ ง คิดปรุงแตง่ -จิตส่งออกนอก มรรค อาศยั ตาราและอาจารยเ์ หมือนกนั -สังขารดบั รับสนองอารมณ์ -พุทโธ ให้จิตอยู่ ให้จิต -มรรค ผล นิพพาน ความเป็น เป็นสมุทยั อยู่ จิตสงบลึกซ้ึง เป็นปัจจตั ตงั คือ รู้ไดเ้ ฉพาะตน ตวั ตนไม่มี หวน่ั ไหวเป็นทุกข์ -จิต คือ ความบริสุทธ์ิ
๑๐๕ ตารางท่ี ๔.๒.๕๓ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “สนั ติภาพทุกยา่ งกา้ ว ติช นทั ฮนั ห์” [ป.๒-๓๘] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ลมหายใจเขา้ ออก เป็น - รักษาความ -ฝึกพิจารณา -ภาวนา คือ การมองใหล้ ึก แนวคิด ตวั เช่ือมระหวา่ ง กายและจิต ตระหนกั รู้ ความรู้สึก จิต วตั ถุ ลงไปยงั สิ่งต่าง ๆ กายหายใจอยา่ งมีสติ สมั ผสั ชีวติ แห่งจิต -ปัจจุบนั ขณะสาคญั ท่ีสุด -การหายใจอยา่ งมีสติ ปัจจุบนั ขณะ คิดนอ้ ยลง -เสริมสร้างความรู้ตวั ทวั่ -เรียนรู้ -การเปล่ียนแปลง -ความรักความเมตตา ความ พร้อมในทุกขณะ วธิ ีการเฝ้า จิต คือ การ ไมเ่ ห็นแก่ตวั คือ รากฐาน -การหายใจอยา่ งมีสติ การคิด สังเกตุ เปลี่ยนแปลง ของสนั ติภาพ คุณภาพชีวติ ชา้ ลง เราสงบ ผอ่ นคลาย ความรู้สึก สถานการณ์ ไดพ้ ฒั นาภายในแตล่ ะ หลักการ -การสร้างความรู้สึกตวั ทว่ั -ขณะนงั่ เพราะวา่ ปัจเจกชน พร้อมทุกขณะ เราฝึกลม สมาธิตอ้ ง สถานการณ์ คือ -ชีวติ เป็ นงานศิลปะอยา่ ง หายใจอยา่ งมีสติ แลว้ ยมิ้ อดทนตอ่ จิต จิต คือ หน่ึง ร่างกายของเรามนั ใหก้ บั ตวั เอง ไม่วา่ อยทู่ ่ีใด ทุกขเวทนา สถานการณ์ หมดอายขุ ยั ของมนั เอง หายใจอยา่ งมีสติ อยา่ งมาก นงั่ -ฝีกปฏิบตั ิ อยอู่ ยา่ งมีสติ -ทา่ นงั่ สมาธิสบายและมนั่ คง เพ่ือความ -สันติภาพทุกยา่ งกา้ ว ไม่วา่ -หายใจเขา้ กายระงบั สงบ อยทู่ ี่ไหน หายใจอยา่ งมีสติ -วธิ ีการหายใจ นามาเพ่ือทา -ใช้ -จิตที่เป่ี ยมดว้ ย -พูดดว้ ยชีวติ เธอ ไมใ่ ช่ ใหช้ ีวติ สดใส หายใจเขา้ ออก ทุกขเวทนา ความรักตวั เรา มี ถอ้ ยคา ปัจจุบนั ขณะเป็ น หายใจเขา้ บอกกบั ตวั เองวา่ เป็นอารมณ์ ความรักจริง เวลาอนั ประเสริฐ เราหายใจเขา้ หายใจออกบอก แห่งการ ประจกั ษใ์ น -ฝึกสมาธิอยา่ งอ่อนโยนใน กบั ตวั เองวา่ หายใจออก เรา ภาวนากบั ชีวติ ประจาวนั วถิ ี ชีวติ ประจาวนั คงเส้นคงวา ระลึกรู้วา่ ลมหายใจเขา้ ออก ผคู้ นที่ก่อ ความสมั พนั ธ์กบั เพ่ือใหเ้ ห็นลึกลงไปใน วิ ีธการ ประคองจิตไวท้ ่ีลมหายใจ ทุกขแ์ ก่เรา ผคู้ นและสังคม ธรรมชาติแทจ้ ริงของจิต อยา่ งละเอียดอ่อน ใหต้ ิดตาม ใครก็ตามที่ -ความรักแผเ่ ป็น รวมท้งั ปัญหาตา่ ง ๆ ใน ลมหายใจใหล้ ึก ทาใหเ้ รา คลื่นเสียงแสงสี มี ชีวติ ประจาวนั การฝึ กทา -หายใจออก ฉนั ยมิ้ รู้วา่ การ ทุกขเ์ ขายอ่ ม คุณสมบตั ิส่งผา่ น ใหเ้ ราเขา้ ถึงชีวติ และการใช้ ยมิ้ คลายกลา้ มเน้ือ เน้ือตา่ ง ๆ ทุกขด์ ว้ ย ไปทุก ๆ ท่ี ชีวติ อยา่ งลึกซ้ืง บนใบหนา้ ดารงอยปู่ ัจจุบนั -พยายามดึงส่วนท่ีดีที่สุด ขณะ ประสานการ ของตวั เราออกมา เคลื่อนไหวกบั ลมหายใจ
๑๐๖ ตารางที่ ๔.๒.๕๔ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “ปัจจุบนั เป็นเวลาประเสริฐสุด” [ป.๒-๓๙] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -การฝึกลมหายใจเขา้ ออก -กาหนดรู้ ใช้ -กาหนดจิต -การภาวนา คือ รู้วา่ อะไรเป็น เสริมสร้างความรู้ตวั ทว่ั ความเป็นกลาง พจิ ารณาธรรม อะไรในร่างกายของเรา แนวคิด พร้อม ในความรู้สึก การทาจิตใหผ้ อ่ ง ในความรู้สึก ในจิตใจ ใน -หายใจเขา้ คือชีวติ ธรรม เวทนา ๓ คือ ใส เอาจิต โลก สงบขณะปัจจุบนั ธาตุ คือ สิ่งท่ีปรากฎออกมา ทุกขเวทนา สุข พิจารณากาย หดั เขา้ ใจสรรพสิ่ง เวทนา ไมส่ ุขไม่ จิต หดั รู้เร่ืองจิต ทุกข์ นอ้ มจิตพจิ ารณา -ตามลมหายใจ หายใจเขา้ -มโน คือ ใจ -พจิ ารณาจิตเพ่ือ - เขา้ ใจความหมายแทจ้ ริง ร่างกายสงบ หายใจออก มหาฐานใหญ่ ปฏิบตั ิสมาธิ ของพระธรรม การภาวนา หลักการ ร่างกายยมิ้ แยม้ พูดอะไรยอ่ ม สร้างความสงบ เพอ่ื เกิดสติ กาหนดจิต -พจิ ารณากาย มีอารมณ์ เป็นไปจากใจ ใจ รู้จกั จิต จิต พิจารณาธรรม เดียว การหายใจอยา่ งมีสติ เป็นอยา่ งไร ทาชา้ ๆ ทุกอิริยาบถ -วธิ ีเจริญอานาปานสติ ลม -ปัจจยั ปรุงแต่ง -กาย วาจา ใจ -บทสวดสาหรับพทุ ธศาสนา หายใจกระทบปลายจมูก สังขาร รวมเป็ นหน่ึง นิกชน ร่วมสมยั บทสวด ละเอียด คาบริกรรมกาหนด -เวทนามาแลว้ ก็ ทาใจสงบ สาหรับการช่วยการภาวนา จิตพิจารณา หายใจอยา่ งมีสติ -หายใจอยา่ ง -ธรรมะ หมายถึง -การนง่ั ภาวนา เป็นการ -เวทนามาแลว้ ก็ รู้ตวั ทว่ั พร้อม ปรากฎการณ์ท้งั หลายใน สร้างสนั ติสุข จิตผบู้ าเพญ็ ไป ขา้ เห็นจิตตวั เอง ชีวติ ประจาวนั ถา้ ผสั สะ ภาวนา เขา้ สู่ความสงบดึง หายใจออก และภาวนาอยา่ งเขา้ ใจ เป็น วิ ีธการ ฐานเดิมของจิตพกั หาที่นง่ั อยา่ งรู้ตวั ทว่ั อิทปั ปจยตา เหมาะสม ต้งั จิตมนั่ คง พร้อม ร่างกาย -สรรเสริญคุณพระพุทธเจา้ -เดินจงกรม จิตไปไดห้ ลาย ของขา้ เปิ ดพระสูตร พระธรรมล้าลึก ทาง ทุกกา้ วยา่ งสงบ มี คือ สมาธิจิต งดงาม เขา้ ใจความหมายพระ ความสุข เกิดพลงั จากตวั เรา ธรรม เปิ ดโอกาสศึกษา และ เทา้ ยา่ งอยา่ งมีสติ จิตใจ ปฏิบตั ิ เจริญพุทธมนตร์ ปล่อยวาง ลมหายใจ การภาวนา ใหเ้ กิดสติ ประสานสอดคลอ้ งกา้ วยา่ ง
๑๐๗ ตารางที่ ๔.๒.๕๕ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “สงบ” [ป.๒-๔๐] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ธาตุ มี ๖ ธาตุ คือ ดิน -สารวม -สมาธิเป็นกิริยา ของ -ปัญญารู้อริยสัจ ๔ น้า ลม ไป อากาศธาตุ อินทรีย์ ตา หู จิต จิตมีสิ่งรู้ ใหม้ ีสติฝึก -สมาธิ เป็นการฝึกจิตใหม้ ีอานาจ หลักการ แนวคิด วญิ ญาณธาตุ จมูก สิ้น กาย สติ สติกลายเป็นตวั เป็นอิสระแก่ตวั เอง ไม่ตอ้ งพ่ึง -ศีลเป็นรากฐานการ ใจ ปัญญา สมาธิ ฝึกจิตอยู่ พออาศยั อะไร สมาธิปลุกจิตใต้ ภาวนา ตลอดเวลา จิตมีความ สานึกต่ืนข้ึนมา -ทาสติตามรู้อิริยาบถ รู้ตวั -การตรวจศีลของ -ความอดทน -กาหนดจิตใหอ้ ยกู่ บั -การปฏิบตั ิสมาธิ คือ การทาจิต ตวั เองใหม้ าก ๆ ศีล อดกล้นั ปัจจุบนั ฝึกจิตสานึก ใหม้ ีอารมณ์สิ่งรู้ สติมีความ เป็นหลกั สาคญั -สภาวธรรม ตลอดเวลา จิตใตส้ านึก ระลึก จะเป็นอะไร กไ็ ด้ ยนื เดิน -ทาอะไรทาจริงจงั คือ สงั ขาร ต่ืน สติรู้จิตบริกรรม นงั่ นอน เป็นอารมณ์จิต การฝึ ก จริงใจ พดู จริง ทาจริง เป็นอารมณ์ -สร้างสัจจะบารมี เพ่ือ สติตามรู้ ในที่สุดตอ้ งไดส้ มาธิ -สติกาหนดลมหายใจ ส่ิงรู้ของจิต การตรัสรู้วธิ ีสร้างพลงั ไดส้ ติ ไดป้ ัญญา ส้ันยาว หยาบละเอียด จิต วหิ ารธรรม - สอนสมาธิยดึ วธิ ีการมากไป จิตเป็ นผรู้ ู้ -ทาจิตให้อยกู่ บั ปัจจุบนั ปิ ดบงั ความจริง -ภาวนา พิจารณา -ออกจาก กาหนดจิต สติรู้จิต -สมาธิที่ถูกตอ้ ง ยอ่ มไม่เบ่ือโลก ความตายของตวั เอง สมาธิแลว้ กาหนดสติ จิตยดึ มนั่ เบ่ือสงั คม เอามรณานุสติ รู้ตวั วา่ มีตวั มี แน่วแน่อยู่ สิ่งใดอยา่ ง -หมดความคิด คือ ความวา่ งของ พิจารณาเห็นความ กาย เกิดข้ึน มน่ั คง เกิดพลงั งานน้ี ทา จิต วปิ ัสสนา คือ ปัญญา ตายแลว้ ไดห้ ลาย ทนั ที เมื่อการ จิตใหห้ ยดุ นิ่ง นอ้ มพลงั -สมาธิ การฝึกบงั คบั จิตใหน้ ิ่ง เรา กรรมฐาน มรณานุสติ ความคิดให้ ของจิต ไปใชป้ ระโยชน์ บงั คบั จิตใหน้ ิ่งบ่อย ๆ จน กรรมฐาน อสุภ สติตามรู้ ไป นานปั การ คล่องตวั การปฏิบตั ิ คือ เมื่อจิต วิ ีธการ กรรมฐาน ธาตุ เรื่อย ๆ อยา่ -จิตพร้อมอยทู่ ่ีจิต สติรู้ ตอ้ งการคิด ก็ปล่อยใหค้ ิดไป กรรมฐาน ราคาญ พร้อมอยทู่ ี่จิต คือ ฌาน ตอ้ งการน่ิงปล่อยใหน้ ิ่งไป -พทุ โธ เม่ือจิตสงบก็ ความคิด -กาหนดรู้อารมณ์จิต หนา้ ท่ีเรามีแตก่ าหนดรู้เทา่ น้นั ทิง้ ได้ จิตนิ่ง ต่ืนรู้ เบิก เพราะ บริกรรมภาวนา -สติเพง่ อยทู่ ่ีจิต คือ ฌาน แลว้ สติ บาน ความคิดเป็น -เอาอาการยนื เดิน นง่ั รู้จิต คือ ญาณ พอจิตไหวตวั เกิด อารมณ์ ของ นอน รับประทาน เป็น ภูมิความรู้ความคิดข้ึนมา คือ จิต เป็ นที่ อารมณ์จิต สติมากากบั ปัญญา สติตวั ผรู้ ู้ธรรมทุกขณะ ระลึกสติ ตลอด มีสติรู้พร้อม จิต คือ วชิ ชาความรู้แจง้ เห็นจริง
๑๐๘ ตารางท่ี ๔.๒.๕๖ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “สวา่ ง” [ป.๒-๔๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สติตามดูความคิด -ทุกขเ์ ทา่ น้นั -จิตเป็ นกลาง มชั ฌิมาปฏิปทา -พทุ ธะแห่งพระพทุ ธเจา้ แลว้ เกิดปัญญา ทา ที่เกิดข้ึน ทุก จิตกาหนดรู้ ใหถ้ ึงสภาวะความเป็นผรู้ ู้ หลักการ แนวคิด สติกาหนดรู้ ยืนเดิน เท่าน้นั ที่ดบั -จิตวา่ งเป็นพลงั ฌาน อริยมรรค ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบาน ผรู้ ู้ คือ มี นง่ั นอนทุกลม ไป สร้างพลงั เหนือพลงั อุบายสร้าง สติกาหนดรู้จิตของเรา หายใจ เป็นอุบายฝึก สมรรถภาพของจิต จิตรวม ตลอดเวลาเป็นพทุ ธะ ผู้ สติสมั ปชญั ญะ พลงั ทาจิตใหม้ ีส่ิงรู้ เบิกบาน คือ จิตแช่มช่ืน -เห็นกายในกาย -ทุกส่ิงคือ -เห็นจิตในจิตเป็ นจิตไม่ให้ -ถา้ ไมม่ ีสมาธิก็ไมม่ ีญาณ กายสกั แต่วา่ กาย อารมณ์จิต ความสาคญั วา่ จิตเป็นตวั ตน ไม่มีวปิ ัสสนาปัญญา ไม่มี สมมุติวา่ กาย สภาวธรรม เห็นจิตเป็ นเพียงสมมติ ความรู้แจง้ เห็นจริง -พิจารณากาย -ดูการเกิด -ภาวนาพุทโธ ฝึกจิตใหต้ ิดกบั -สมถะวปิ ัสสนาเป็นเพยี ง กายคตาสติสูตร ทุก ดบั รู้ อารมณ์ส่ิงใดส่ิงหน่ึงให้เหนียว ช่ือแห่งวธิ ีการเท่าน้นั เดิน สิ่งเป็นสิ่งปฏิกูลน่า เปล่ียนแปลง แน่น บริกรรมภาวนาจิตสงบ วปิ ัสสนาเห็นไตรลกั ษณ์ เกลียด อารมณ์เกิด จิตต้งั มนั่ เกิดวปิ ัสสนา -ญาณ แปลวา่ ความรู้ ดบั อตั โนมตั ิ อาศยั คาบริกรรม -ลกั ษณะของฌาน -วธิ ีปฏิบตั ิสมาธิ -รูป เวทนา -จิตเป็ นสมาธิเป็นเองอตั โนมตั ิ -สติตามดูความคิดแลว้ พระพทุ ธเจา้ เร่ิม สัญญา ดูจิตตวั เองตลอดคืน เม่ือจิตเป็น เกิดปัญญา กาหนดจิตทา จากการดูลมหายใจ สังขาร สมาธิเวลาผา่ นไป ๑ วนั เทา่ กบั สติรู้ไวท้ ่ีจิตของเรา สติ -ละสักกายทิฏฐิ วญิ ญาณ เส้ียววนิ าที ธรรมชาติของจิต รู้เทา่ ทนั ความคิดเป็ น -สร้างพลงั ดว้ ยพละ เป็นอารมณ์ -จิต ๓ มิติ คือ ๑)พิจารณาเอง ปัญญาของจิต ทาจิตใหม้ ี ๕ ศรัทธา วริ ิยะ สติ -เขา้ ใจ ๒)จอ้ งมองอยู่ ๓)มาเฉยอยใู่ น ส่ิงรู้ทาสติของเราใหม้ ีสิ่ง สมาธิ ปัญญา สังขาร ทา่ มกลางร่างกาย ระลึก วิ ีธการ -เคารพตนเอง -ไม่เที่ยงไม่ -จิตอยทู่ ่ีความเกิดดบั จิตยอ่ มรู้ -รู้ธรรมเห็นธรรมตาม เคารพสิทธ์ิตนเอง ยนิ ดียนิ ร้าย การเปลี่ยนแปลงกาหนดความ ความเป็นจริง พิจารณา เคารพสิทธ์ิผอู้ ่ืน ไมถ่ ูกอยู่ ไมเ่ ท่ียง ความคิดจิตกา้ วสู่ กายใจตามความเป็นจริง -วธิ ีปฏิบตั ิสมาธิเร่ิม อานาจสิ่งใด วปิ ัสสนาอตั โนมตั ิ ลกั ษณะไตรลกั ษณ์ จากการดูลมหายใจ เวทนาเกิด -จิตเป็ นพลงั คือจิตบริสุทธ์ิ -ถา้ ความคิดไมม่ ี -รักษาศีล จากอารมณ์ สะอาด บรรลุถึงนิพพาน สร้าง สติสัมปชญั ญะตามรู้ทนั -กาหนดสติรู้กาย ไมม่ ี จิตใหม้ ีพลงั พุทธะ ผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผู้ ความคิดก็เป็นความ เบิกบาน ฟุ้งซ่าน
๑๐๙ ตารางท่ี ๔.๒.๕๗ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “กรรมฐาน ๔๐ สมาธิแบบพระพทุ ธเจา้ ” [ป.๒-๔๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -กายาคตาสติสูตร เจริญให้ -มโนทวาร -พจิ ารณาเรื่องจิตเพอ่ื -สมาธิ ๓ ข้นั คือ ขณิกส แนวคิด มากมีผลมาก พจิ ารณากาย ปฏิบตั ิสมาธิ มาธิ อุปจารสมาธิ อปั ป -พจิ ารณากายดว้ ยโยนิโส -จริต ๖ พ้ืนฐานการ นาสมาธิ มหาสติปัฏฐาน มนสิการ เจริญใหม้ ากทาให้ โนม้ เอียง ๔ เป็นชยั ภูมิดบั กิเลส มาก -เอาจิตมาพจิ ารณากาย -อุเบกขา วาง -ผรู้ ู้คือจิต หดั สติเป็น -กรรมฐาน ๔๐ วธิ ี เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏ เฉย การไป มหาสติ รู้เทา่ ทนั สมมติ -ปฏิบตั ิทางพน้ ทุกขด์ ว้ ย ฐาน เขา้ ใจเอาเอง -ธรรมชาติของจิตผอ่ ง มรรค ๘ -กรรมฐานอานาปานสติ วา่ เป็นวมิ ุตติ ใสยงิ่ กวา่ อะไร -บริกรรมภาวนา อุปจาร กาหนดลมหายใจ นง่ั ขาขวา ธรรม ความ -กาหนดจิตพิจารณา ภาวนา อปั ปนาภาวนา หลักการ ทบั ขาซา้ ย ต้งั กายตรงดารงสติ ละเอียดแห่ง ธรรม เรียกวา่ บริกรรม จิตเพยี รแนบมีองคฌ์ าน มน่ั กาหนดลมหายใจเขา้ ออก จิต -จิตที่กาลงั ทาการ ปรากฏครบบริบูรณ์ อารมณ์หน่ึงเดียว กาหนดพจิ ารณาธรรม -บริกรรมภาวนา -พจิ ารณากายชดั แจง้ โดย อยา่ งเอาใจใส่ เม่ือได้ หมายถึง เจริญกรรมฐาน นิพพทาญาณ ความเบ่ือหน่าย ความแน่ใจในเหตุผล ระยะแรกเร่ิมใชส้ ติ ร่างกายเราเป็นตวั ทุกข์ ธรรมที่พิจารณาน้นั จิต ประคองใจ กาหนด จะสงบรวมลงสู่ภวงั ค์ พจิ ารณาในอารมณ์ เรียกวา่ ขณิกสมาธิ กรรมฐานอนั ใดอนั หน่ึง -พงึ ดูจริตตนใหร้ ู้ชดั ดว้ ย -ปี ติ ความอ่ิม -จิตเดิมเป็ นจิต -ใหร้ ู้แจง้ ประจกั ษช์ ดั ดว้ ย วปิ ัสสนาปัญญาวา่ สังขาร ใจแรงกลา้ ประภสั สรแจง้ สวา่ ง วปิ ัสสนาปัญญาวา่ ท้งั หลายไม่เท่ียงเป็นทุกข์ ซาบซ่านแก่ผู้ อาศยั อุปกิเลสเคร่ือง สงั ขารท้งั หลายไมเ่ ที่ยง ธรรมท้งั หลายเป็นอนตั ตา ฝึกสมาธิ เศร้าหมองเป็ นอาคนั ตุ เป็นทุกข์ ธรรมท้งั หลาย วิ ีธการ -มูลกรรมฐานเรียกวา่ เกศา เยอื กเยน็ กระ สญั จรปกคลุม ทา เป็นอนตั ตา โลมา นขา ทนั ตา บวชพระ อยา่ งไมเ่ คย จิตตนใหผ้ อ่ งใส -วธิ ีปฏิบตั ิผเู้ รียนมาก -การยดึ ขนั ธ์ ๕ วา่ ของตน จึง เป็น -จิตผนั แปรไม่แน่นอน ตอ้ งเอาความรู้เกบ็ ไวท้ ่ีตู้ ไมพ่ น้ ทุกข์ ตอ้ งมาหดั ผรู้ ู้ คือ จิต หดั -พจิ ารณากายใหม้ ีสติพิจารณา สติใหเ้ ป็นมหาสติ มหา ไดท้ ุกสถานที่ ทุกกาล ปัญญา
๑๑๐ ตารางที่ ๔.๒.๕๘ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “นิพพานระหวา่ งวนั ” [ป.๒-๔๓] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ฐานกาย เป็น -ฐาน -ฐานจิต เป็ นท่ี -ฐานธรรม การสงั เกตธรรมเป็นฐาน ฐานระลึกของ เวทนาคือ ระลึกของสติ คือ ของสติ ธรรมคือ ส่ิงท่ีเนื่องอยกู่ บั จิต แนวคิด สติ คือ กาย กาย ฐานที่ จิต หรือความคิด เวลาจิตคิด สรุปวา่ เจริญสติปัฏฐานใชส้ ติ ภายใน กาย ระลึกของ คิดวา่ เป็นอยา่ งไร พจิ ารณาผา่ น กาย เวทนา จิต ธรรม ภายนอก สติ ปรุงแต่งอยา่ งไร -มรรคมีองค์ ๘ กลบั มาดูกาย เวทนา จิต -ละสักกายะทิฐิ ความรู้สึก เฝ้าดูความคิด จิต ธรรม ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ตวั กขู องกู กบั มาอยกู่ บั ปัจจุบนั ศีล สมาธิ ปัญญา -กาย คือ รูปร่าง -เวทนา คือ -จิต คือ ความคิด -อริยสัจ ๔ ความจริง ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ กายภายนอกคือ อารมณ์ ของเรา ทฤษฏี การดบั ทุกขข์ องพระพุทธเจา้ ทุกข์ รูปร่างสังขาร ของเรา -สติ คือ พลงั งาน คือ สัจธรรมสาหรับรู้ สมุทยั คือ หลักการ เป็นตวั รู้ ไม่ผา่ น ต่อเนื่อง ชนิดหน่ึง เติมสติลง จริยธรรมสาหรับปฏิบตั ิ นิโรธ คือ สจั การไตร่ตรอง จากกาย ในทุกเรื่องที่คิด สติ ธรรมสาหรับรู้วา่ มีอยเู่ ป็นภาระท่ีควรยดึ ของสมอง รู้สึก เป็นธรรมเคร่ืองต่ืน -แนวทางปฏิบตั ิธรรมในเมืองไทย คือ เอา -อยกู่ บั ปัจจุบนั อยา่ งไรกบั รู้อยใู่ นโลก ครูบาอาจารยเ์ ป็ นมาตรฐาน “ ฉนั บรรลุ ตามลมหายใจ ตาหูจมูก ดว้ ยวธิ ีไหน ฉนั จะใชว้ ธิ ีน้นั สอนลูกศิษย์ ” รู้สึกทวั่ พร้อม ลิ้นกายใจ -กลบั มาดูลม -สังเกต -ตามรู้ทุกเรื่องท่ีคิด - นิพพาน โดยปถุชน เพือ่ ปถุชน นิพพาน หายใจใหบ้ อ่ ย เวทนา ทุกกิจที่ทา ทุกคาที่ ระหวา่ งวนั จดั สรร ผบู้ รรลุนิพพาน ท่ีสุดระหวา่ ง อยา่ งคน พดู ทุกคร้ังที่ ระหวา่ งวนั เคร่ืองแบบพระไมใ่ ช่ วนั ขอเป็น นอก ไม่ เคล่ือนไหว สงั เกต หลกั ประกนั วา่ เขา้ สู่นิพพานไดท้ ุกคน มนุษยท์ ุกคนมี เอาอารมณ์ มีปัญญา ประกอบ -บรรลุธรรม เป็ นการบรรลุอะไร ไม่อาลยั วิ ีธการ สิทธ์ินิพพานได้ เขา้ ไปร่วม -เจริญสติ คือ ทา ในชีวติ ไม่คิดเอาอะไรจากโลก จิตใจดงั่ -ระลึกรู้ลงไปท่ี -สติอยกู่ บั อะไรก็ไดใ้ หส้ ติ หินผา หนกั แน่นมน่ั คง เป็นกายเหนือ ตา ลมหายใจ ปัจจุบนั เจริญข้ึน หมน่ั เจริญ หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมเ่ ป็นทาสโลกธรรม -จริตสอดคลอ้ ง ปรุงแตง่ สติสม่าเสมอ ละสกั กายะทิฐิ วจิ ิกิจฉา สีสัพพตปรามาส กบั วธิ ีท่ีปฏิบตั ิ ลดลง -นิพพาน ใหห้ มนั่ เจริญสติในชีวติ หรือไม่ ร่างกาย หรือไม่ ประจาวนั อยเู่ นือง ๆ ใหม้ ีพลงั สติมากข้ึน พร้อมหรือไม่ ถึงจิตมาอยกู่ บั ปัจจุบนั เป็นกิเลส ดบั ลง
๑๑๑ ตารางที่ ๔.๒.๕๙ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ทางเอก” [ป.๒-๔๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ตา หู จมูก ลิ้น - ความรู้สึก -จิตทาหนา้ ที่ทาง -เจริญวปิ ัสสนา คือ การเห็นรูปนาม กาย ใจ เป็นส่ิงที่ -รู้อารมณ์ที่ อายตนะ คือต่อ มีสติตามรูปนาม กายใจของตนเอง แนวคิด ทาใหจ้ ิตทาหนา้ ท่ี ถูกตอ้ ง ภายนอกกบั ภายใน ตามความเป็นจริง รู้ชดั ตาม ภายนอกกบั อารมณ์รูป -มรรคผลนิพพานเป็ น ความเป็นจริงเขา้ ใจสภาวธรรม ภายใน นาม รู้ จิตตภาวนา -นิพพานคือความหมดกิเลส สภาวธรรม -จิต คือ ธรรมชาติท่ีรู้ สิ้นความยดึ ถือวา่ ตวั ตน อารมณ์ จิตต้งั มน่ั รู้ ความเยน็ ในอารมณ์ -โลกท้งั หมดอยทู่ ่ี -ผสั สะเกิด -ควบคุมอายตนะได้ -สุญญตา ความวา่ งจากตวั ตน ตาม อายตนะ เวทนา คือ ควบคุมจิตได้ ควบคุม ธรรมชาติ ไมไ่ ปยนิ ดียนิ ร้าย ไมห่ ลง -ความรู้สึกตวั ความรู้สึกสุข จิตไดต้ อ้ งมีปัญญา รัก หลงเกลียด วธิ ีการรู้กาย ทุกข์ เฉยๆ -พฒั นาจิต คือพฒั นา -ศีล สมาธิ ปัญญา คือ แก่นสาระ หลักการ วธิ ีการรู้จิต -สติสมบูรณ์ ชีวติ ปัญญาเห็นแจง้ ความจริง -รู้รูปนาม รู้ มีผสั สะแลว้ -จิตรับการภาวนาดี สุข -วปิ ัสสนาไมใ่ ช่การคิด อารมณ์อยา่ ง ไม่เกิดกิเลส สงบในทิฏฐิธรรม ปรุงแตง่ ปัญญา ตอ่ เน่ือง สติเป็น เม่ือใดก็ได้ จิตสงบ -มีสติสมั ปชญั ญะ เคร่ืองนา สะอาด ตดั กิเลสไดห้ มด ความรู้มา -ความต้งั มนั่ จิต -ปัญญารู้รูปนาม -จิตแสดงบทบาท -อายตนะ ๖ -ความอยากเกิดท่ีจิต -เมื่อจิตดี จิตเหมาะกบั ความรู้ ที่ตาหูจมูกสิ้นกาย ปรุงแต่ง -คุณสมบตั ิจิต ปัญญามนั ออกมาเอง ใจ ๖ ทาง ตวั ตน ประภสั สรเศร้าหมอง - มีสมั มาทิฏฐิ ไมเ่ ตม็ ไปดว้ ยความ -มีสติสัมปชญั ญะ -หากไดร้ ับ เป็นคราวๆ เมื่อ โง่ เตม็ ไปดว้ ยอตั ตา เดิม ๆ ไมห่ ลง ตดั กิเลสได้ อารมณ์ดีเรา อุปกิเลสเขา้ มา กิเลส รักหลงเกลียด ไม่ยนิ ดียนิ ร้าย วิ ีธการ -วปิ ัสสนา เป็นสุข หาก อวดดีติดตวั มาใน -หลกั เจริญวปิ ัสสนา คือ กรรมฐานเร่ิมตน้ ไดร้ ับอารมณ์ สันดาน ๑)ตอ้ งรู้อารมณ์ที่ถูกตอ้ ง ท่ีผปู้ ฏิบตั ิมีสติ ไม่ดีเราเป็น -โลกท้งั หมดอยทู่ ี่ ๒)มีวธิ ีที่ถูกตอ้ งกาหนดรู้อารมณ์ ระลึกรู้สภาวะ ทุกข์ อายตนะ จะควบคุม ๓)เครื่องมือในการรู้ ๓)ละเห็นผดิ ของอารมณ์รูป -รู้อารมณ์รูป อายตนะได้ ตอ้ ง ๔)จิตปล่อยวาง ๕)รู้แจง้ อริยสัจ นาม ที่ปรากฎ นามให้ ควบคุมจิต -วปิ ัสสนาไม่ใช่เร่ืองการคิด แต่เป็น ทวาร ๖ ถูกตอ้ ง เร่ืองการมีสติปัญญา
๑๑๒ ตารางที่ ๔.๒.๖๐ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ผลของจิตภาวนาคือนิพพาน” [ป.๒-๔๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด -อายตนะ ๖ -รู้สึก -จิตภาวนา คือ ผลของจิต -ภาวนา คือ การทาให้เจริญ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ภาวนา คือนิพพาน พฒั นาชีวติ -มรรค ผล นิพพาน เป็ นเรื่อง ใจ -ธรรมชาติจิตเป็นประภสั สร ของจิตตภาวนา -จิตทาหนา้ ท่ีทาง -ความ -อะไรรวมท่ีจิต เกิดข้ึน - เรียนพระพทุ ธศาสนาอยา่ ง อายตนะ คือ ที่สืบ รู้สึก ที่จิต อาศยั จิต ปรัชญาให้เรียนจนตาย ก็ หลักการ ตอ่ ระหวา่ งภายใน สุขทุกข์ -การศึกษาจิตตอ้ งศึกษา ไม่มีทางท่ีจะรู้ และภายนอก มีตา ทาตาม อยา่ งเป็นวทิ ยาศาสตร์ พระพุทธศาสนา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความ -จิตแสดงบทบาททาง -ธรรมะเป็ นสนั ทิฏฐิโก อยาก อายตนะ ๖ สืบตอ่ ไม่ใช่ตรรกะ ภายนอกและภายใน -อายตนะ ๖ สัมผสั -เศร้า -จิตประกอบดว้ ยองคธ์ รรม -ถา้ ไม่มีความเขา้ ใจ จะไมม่ ี แลว้ เกิดเวทนา คือ หมอง แห่งสมาธิ บริสุทธ์ิเทา่ ท่ีควร ความเห็นแจง้ ไม่มีอะไรที่จะ ความรู้สึกสุขทุกข์ เป็น แก่หนา้ ท่ีการงานของจิต เกิด และไม่มีอะไรที่จะดบั ได้ คราว ๆ -สมถะ คือ สงบจิต เพราะมนั เป็ นสงั ขาร -ตณั หา คือ ความ กิเลส เป็นเรื่องของการดู -ธรรมะท้งั หมดเท่ากบั อยาก ๒ อยา่ ง คือ มาจร -วปิ ัสสนา คือ การเห็น เป็น ใบไมใ้ นป่ า ธรรมท่ีเอามาสอน ๑)สติปัญญา ๒) เรื่องของการเห็น น้นั กามือเดียว อวชิ ชา ถา้ อยากดว้ ย -การพฒั นาชีวติ คือ -ตอ้ งศึกษาอยา่ งเป็น วิ ีธการ โง่เขลา ไมร่ ู้ตาม การทาจิตให้เจริญ ชีวติ พฒั นา วทิ ยาศาสตร์ ความเป็ นจริ ง ทาใหม้ ากข้ึน ทาใหด้ ีข้ึน -ปัญญากระทบผสั สะ เรียกวา่ ตณั หา -ความอยากเกิดข้ึนท่ีจิต ไม่ตอ้ งเป็ นทุกข์ จิตมีความรู้สึก แลว้ ปรุงแต่ง อุปทาน คือ -มนั เป็นเช่นน้นั เอง ไม่หลงรัก ตณั หา ความรู้สึกข้ึนมาวา่ ไมห่ ลงเกลียด ไมย่ นิ ดียนิ ร้าย -โลกท้งั หมด กูอยาก อุปทานคือ ความยดึ -สติเป็นเครื่องนาความรู้ อยทู่ ่ีอายตนะ มน่ั ถือมนั่ จิตสนั ดานของแต่ มา สมั ปชญั ญะเป็นความรู้ ละคน ทาตามความอยาก ก็ สติสมบูรณ์มีผสั สะ เบียดเบียนตนและผอู้ ื่น แลว้ ไม่เกิดกิเลส
๑๑๓ ตอนที่ ๔.๒.๓ การสังเคราะห์องค์ความรู้เรื่องมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ จากประเภทวรรณกรรม ๓) แนวผ้เู ขียนคดิ ค้น ตารางที่ ๔.๒.๖๑ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “ศิลปะการปฏิบตั ิสมาธิ The art of meditation” [ป.๓-๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม หลักการ แนวคิด -สติอยกู่ บั กาย -สติอยกู่ บั -นาจิตไปสู่สมาธิเพ่ือ -บูรณาการคาตอบใหล้ ึกซ้ึง -ลมหายใจเคร่ืองมือ เวทนา สงบภายใน เห็น ในตวั เรา การเห็นอยา่ งลึกซ้ึง ฝึ กสมาธิ อยา่ งลึกซ้ึง ฝึกจิต -เพง่ จิตท่ีกาย เดินรู้ -เพง่ -การเห็นอยา่ งลึกซ้ึง -สมาธิเพ่อื สติ คือ การรู้ทุกขณะถึง นงั่ รู้ เอาลมหายใจมา ความรู้สึก (วปิ ัสสนา) ตอ้ ง สิ่งที่เกิดข้ึนภายในตวั เรา รอบตวั ฝึกจิต รับรู้ลมหายใจ ไปตาม เขา้ ใจธรรมชาติจิต -ส่ิงท่ีควรพิจารณาในการปฏิบตั ิ เขา้ ออกอยา่ ง ส่วนต่างๆ เจริญเมตตาอุทิศผล สมาธิ คือ เห็นความจริงถูกตอ้ ง ต่อเน่ือง สงบเป็ น ของ -ตอ้ งเขา้ ใจธรรมชาติ ประสบการณ์ ใหค้ าตอบดว้ ย ธรรมชาติ ร่างกาย ของจิต ตวั เรา คน้ ควา้ ตวั เอง บูรณาการ คาตอบใหล้ ึกซ้ึงในตวั เรา -ดูลมหายใจใหถ้ ูก -จงใช้ - อยกู่ บั ความสงบ -จงอยกู่ บั ปัจจุบนั ขณะ สมถะ คือ วธิ ีโดยเปลี่ยนแปลง ความรู้สึก ภาวะจิตสงบ ฝึกจิต อยกู่ บั ความสงบ วปิ ัสสนาคือ การ ภายในโดยฝึกจิต เจบ็ ปวด อาศยั ความเพยี ร เห็นอยา่ งลึกซ้ึง เกิดความคิดแลว้ สติปัฏฐาน ๔ ทางกายที่ พยายาม เขา้ ใจ จิตเป็ นอยา่ งไร ธรรมสติอยกู่ บั เพง่ จิตที่กาย เดินรู้นง่ั เกิดข้ึนเพื่อ ธรรมชาติของจิต ปรากฎการณ์ รู้ ลมหายใจเพง่ เจริญสติ ความคิดเกิดแลว้ ดู -เป้าหมายการปฏิบตั ิสมาธิ ความรู้สึกไปตาม -จดั การ มนั จิตเป็นอยา่ งไร การเปลี่ยนแปลง ฝึกจิต ไปทางดี วิ ีธการ ส่วนตา่ งๆร่างกาย อารมณ์ ตอ้ งเขา้ จะธรรมชาติ ไม่จาตอ้ งเป็นเร่ืองทางศาสนา เวทนา -อารมณ์ ความคิด หาวธิ ีการ เทา่ น้นั เพ่ือพฒั นาฝึกฝนคุณภาพ สติอยกู่ บั ความรู้สึก ทาใหจ้ ิต ปลดปล่อย ชีวติ ภายใน การเพง่ ความสนใจอยู่ ตรวจสอบรับรู้ เคลื่อน -ฐานสติคือ การรู้ ท่ีกาย การรู้ลมหายใจอยา่ งต่อเน่ือง ความรู้สึก ไหว เป็นฐาน -การมีสติ การรู้ทุกขณะถึงส่ิงท่ี -การรู้ลมหายใจดว้ ย -แยกจิต ปรากฎการณ์ของจิต เกิดข้ึนท้งั ภายในตวั เรา รอบตวั เรา ความสงบแจม่ ใส กบั อารมณ์ จิตฝึกจิต ปลูกกุศล รู้ทุกสิ่งท่ีเราเห็น ไดย้ นิ รู้สึกนึกคิด เป็นไปตามธรรมชาติ ใชส้ ติ กาหนดจิต รู้จิต จงอยกู่ บั สิ่งท่ีทาในขณะน้นั ๆ ตรวจ กาหนด กระทาสติ
๑๑๔ ตารางท่ี ๔.๒.๖๒ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “ไมใ่ ช่กู” [ป.๓-๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -เกิดพลงั อยู่ -ผสั สะ -จิตเป็ นจิต เป็นอนิจจงั ทุก -การมีสติมองโลกวา่ ง วา่ งจาก แนวคิด เหนือ ขงั อนตั ตา จิตวา่ งจากตวั กู ตวั ตน ศึกษาธรรมเพ่ือไม่ให้ชีวติ ความรู้สึกกวา่ -จิตวา่ งจากตวั ตน จิตไมม่ ี ทุกขเ์ รียนวชิ าเหนือโลก มองโลก ตวั กขู องกู ตวั ตน เป็นนามธรรม เป็นของวา่ ง -อยเู่ หนือโลก -เมื่อวา่ งก็ -ภาวนาใหเ้ กิดความวา่ ง -เนน้ บริกรรมพุทโธ ต่ืนรู้ เบิกบาน ภายใน ตดั ตอน สมถะยกจิตสู่วปิ ัสสนาให้ -พลงั สูญญตา คือ พลงั วา่ งจากความ -สังขาร เวทนาก็ จิตเห็นอนิจจงั ทุกขงั เป็นตวั ตน กไู ม่มี ไมใ่ ช่กู พทุ โธเกิด หลักการ ท้งั หลาย ต้งั อยู่ อนตั ตา ดูจิตตวั เอง จิตวา่ ง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตวั ตน ไม่เท่ียงเกิดข้ึน ไมไ่ ด้ โลกวา่ ง -มองโลกเป็ นของวา่ ง ไม่เที่ยงเป็น ดบั ไปเป็น -ยกจิตข้ึนสู่ไตรลกั ษณ์ ทุกขไ์ ม่มีตวั ตน ธรรมดา ปัญญาเกิดตาม วิ ีธการ -พทุ โธ คือ ตวั -เวทนา -มีสติมองโลกดว้ ยความ -การนาจิตมาฝึกปฏิบตั ิดว้ ย รู้ ตื่นเบิกบาน เกิดจาก วา่ ง จิตวา่ งจากตวั กขู องกู ความวา่ งจากตวั กู ของ กู คือตวั จิต ดูจิต กระทบ เมื่อจิตเขา้ ถึงธรรมชาติแลว้ -การเพง่ เป็ นสมถะยกจิตข้ึนสู่ มีจิตวา่ ง ผสั สะ ระลึกดว้ ยความเยน็ ความ วปิ ัสสนา เมื่อจิตเป็นสมถะ - ปฏิบตั ิธรรม โลก สงบ ความสบาย มีสมาธิเห็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา คือ การปฏิบตั ิ ภายใน -ตื่นเชา้ ลา้ งจิต พจิ ารณาจิต -นิพพาน คือ จิตที่สงบเยน็ กายที่ เพอ่ื ใหเ้ กิดพลงั และโลก ทาความสะอาดจิต ก่อน สงบเยน็ หยดุ ปรุงแต่ง หยดุ คิดเพ่อื แห่งความสงบ ภายนอก นอนไหวพ้ ระ สวดมนต์ ตวั กูของกู ไม่เอาจิตมาเป็นตวั กู เยน็ เกิดจาก -หยดุ การ ทาสมาธิ ของกู จิตวา่ งโลกวา่ ง อวชิ ชาไมม่ ี การดบั จิต อยู่ ปรุงแตง่ -ใจคิดจิตรู้ รู้อารมณ์ รูป -แก่นแทข้ องพทุ โธ ทุกคร้ังท่ี เหนือพลงั ท้งั -เกิด เสียง กลิ่น รส สมั ผสั เคล่ือนไหวทุกอยา่ งพทุ โธ เราจะได้ ปวง ถอนพลงั ความรู้สึก ธรรมารมณ์ สมาธิจาก “พทุ โธ” คือ ตวั จิต จิตท่ี แห่งอุปทาน ข้ึนมา -วธิ ีเปล้ืองทุกข์ อยา่ เอาจิต มี พทุ โธ จิตเป็ นพทุ โธ การยดึ มน่ั ถือ ตอ้ งรู้เทา่ มาเป็นกู เอาจิตมาเป็นกู โง่ -พลงั แห่งศีล สมาธิ ปัญญา แห่ง มนั่ จาก ตาหู ทนั สติ เกิด ใชแ้ รงแห่งปัญญา ดู ฌาน พลงั เหนือจิต เหนือกาย เหนือ จมูกลิ้นกายใจ เห็นตาม จิต ดูอารมณ์ท่ีกาหนดจิต ความตาย เหนือความรู้สึก วา่ เป็นกู เป็นจริง จิตมีปัญญาไมย่ ดึ ปรุงแตง่ ตวั กไู ม่ใช่ตวั กู
๑๑๕ ตารางที่ ๔.๒.๖๓ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “จะเสียอะไรถา้ ไดป้ ฏิบตั ิธรรม” [ป.๓-๓] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -โรคทุกข์ -นาอุปกิเลส -ทาสมาธิ ยก -การทาใหเ้ กิดปัญญารู้จกั ธรรมหลกั สมั มาทิฐิ เราเป็ นผู้ ๑๖ จิตพิจารณา -พจิ ารณาธรรมดว้ ยปัญญาการศึกษาปฏิบตั ิธรรมท่ี แนวคิด ถูกความ มาพิจารณา ธรรม ถูกตอ้ ง คือ การทาใหเ้ กิดปัญญา รู้วา่ อะไรดี ทุกขห์ ยงั่ คน้ หา ไม่ดี ผดิ ถูก อะไรคือความจริงในชีวติ เอาแลว้ -มงคล -สติรู้ โลภ -จิตเรียนรู้ -การปฏิบตั ิธรรมมีหลายวธิ ีข้ึนอยกู่ บั จริต ชีวติ ๓๘ โกรธ หลง อะไร เรียนรู้ ปัญญาเกิดข้ึนไดเ้ ม่ือคิดรู้จดั หยาบ ๆ ตอ่ สู้ การเห็น -การปฏิบตั ิธรรม คือ การศึกษาความจริงในโลกน้ี หลักการ กิเลส ธรรมชาติ ใหร้ ู้ถึงกฎธรรมชาติ ยอมรับความจริงธรรมชาติ ระดบั ปัญญาสอน และปรับตวั ใชป้ ัญญาพิจารณา ละเอียด ป้อนขอ้ มูลที่ -ฝึกการเกิดของปัญญาตอ้ งรู้จกั คิดนาขอ้ ธรรมมา เพอ่ื ทุกขน์ อ้ ย ถูกตอ้ งใหจ้ ิต โยนิโสมนสิการ ความรู้คือสมอง สญั ญาคือความจาได้ ท่ีสุด ปัญญาเป็นเร่ืองของใจ ยอมรับความรู้สิ่งท่ีรู้ วิ ีธการ -การนงั่ -ชอบไม่ชอบ -ทาจิตเป็ น -กฎแห่งกรรม สมาธิ จิต อยากไม่ สมาธิดีแลว้ ยก -เรียนรู้ยอมรับ ปรับตวั ไตรลกั ษณ์ น่ิงวา่ ง อยาก จิตข้ึน อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ชีวติ เต็มไปดว้ ยความทุกข์ สงบ การ หา้ มไมไ่ ด้ พิจารณาขอ้ -เราหวงั อะไรจากการปฏิบตั ิธรรม ใชป้ ัญญาพิจารณา ใชป้ ัญญา ทุกอยา่ งอยู่ ธรรมใหเ้ กิด เพอ่ื พน้ ทุกข์ ฝึกฝนตนเองใหเ้ กิดสติปัญญา ฝึกใจ พจิ ารณา ใน ปัญญา ยอมรับความจริงชีวติ น้ีมีแต่ทุกข์ ใชป้ ัญญาพิจารณา ขอ้ ธรรม กฎไตร -หมนั่ ตรวจจิต เหตุแห่งทุกข์ รู้ตามความเป็ นจริง -สารวม ลกั ษณ์ พฒั นา -พิจารณาธรรม พร่าสอนใจทุกวนั ใชป้ ัญญาคิด อุบาย -จริต ๖ -จิตรู้อะไร ธรรม หาเหตุผล ดูตวั เองออก บอกตวั เองได้ ใชต้ วั เอง ราคจริต ตอ้ งใชป้ ัญญา เป็น เห็นตวั เองชดั ศึกษาธรรมตอ้ งรู้ความจริงแทโ้ ลก โทสจริต สอน -ธรรมะแกไ้ ด้ ตอ้ งใชป้ ัญญาพจิ ารณาใหเ้ ห็นโทษ นิสยั โมหจริต สัทธาจริต ทาใหเ้ ราทุกข์ ยกหลกั ธรรมพิจารณาในหมวดธรรม พุทธจริต ตอ้ งใชป้ ัญญาเลือกเอา หลกั ธรรมตามตารา ครูบา วติ กจริต อาจารยม์ าประยกุ ตใ์ ช้ ผสมผสานไป แบบไหนทาตรง กบั เราเป็ นแนวปฏิบตั ิตามจริตเรา
๑๑๖ ตารางที่ ๔.๒.๖๔ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ทางสายเอก สติปัฏฐานสี่ ” [ป.๓-๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด - สติระลึกส่วนตา่ งๆ -เวทนา คือ -ฝึกจิตดว้ ยจิต -แนวทางแห่งความบริสุทธ์ิ ของร่างกาย จิตแยกแยะ ความเจบ็ ปวด จิตพิจารณา มรรค ๘ ร่างกาย ธรรมารมณ์ -อริยสจั ๔ เป็นวตั ถุการฝึกฝน -เพง่ จิตให้น่ิงโดยเพง่ ลม -สติในเวทนา -สติกาหนด -สติพจิ ารณาธรรมในอริยสจั ๔ หลักการ หายใจ ความรู้สึกทุกข์ พจิ ารณาจิต เพง่ -สารวจตวั เอง สารวจธรรม -กาหนดลมหายใจเพง่ สมั ผสั ๕ จิต -มองรับรู้ความเป็ นจริ ง สติที่ลมหายใจ เป้าหมายวปิ ัสสนา -ฝึกนิ่งสมาธิในท่าเดิม -ความรู้สึกทุกข์ -เพง่ จิตใหน้ ิ่ง -ระดบั สมาธิ คือ สมาธิตอ้ ง เป็ นประจา ภายนอกสมั ผสั โดยลมหายใจ เป็นกุศลเสมอ มีลกั ษณะจุด -มุ่งมน่ั ปฏิบตั ิจริง ฝึก ภายใน ส่วนลึก -เฝ้าดูสภาวะจิต เดียวเพง่ ความสนใจ อยา่ งต่อเนื่องเพียรดว้ ย ในจิตเม่ือ ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน จุดมุ่งหมายการฝึก คือ การ สติ สมั ผสั และผา่ นไป จิต รักษาใหส้ ติอยเู่ พ่อื ใหส้ มาธิ -ลมหายใจละเอียดกาย ธรรมารมณ์ เกิดข้ึนแลว้ ไหลต่อเน่ืองไปทุกขณะจิต จะนิ่งมาก เพง่ จิตให้นิ่ง -พจิ ารณาความ หายไป พร้อม และต่อเนื่องกนั ไปโดยไมม่ ี ดว้ ยลมหายใจ เมื่อจิตน่ิง เจบ็ ปวดอยกู่ บั การรับรู้ ช่องวา่ ง ลมหายใจนาสู่สภาวะ ความเจบ็ ปวด ประสาทสัมผสั -ปล่อยวางส่ิงที่เราไปแบกมนั วิ ีธการ ความเป็ นกลาง ทุกส่ิงไม่มี หายไป พน้ ทุกข์ มรรค คือ การที่นาเรา -สติพิจารณากาย ลม ตวั ตน ไม่จีรัง -เพง่ จิตทาให้น่ิง ไปสู่การปลดวางภาระ หายใจเป็นวตั ถุเพง่ ไมม่ ีอะไรน่า จากลมหายใจ -หดั ทาสมาธิเป็นประจาเป็น สมาธิ นาไปสู่ความ ผกู พนั อยกู่ บั ลมหายใจ นิสัย ตอนเชา้ และก่อนนอน หลุดพน้ ไดจ้ ริง -คอ่ ยฝึกฝน สังเกตลมหายใจ หาเวลาอยกู่ บั ตวั เองเงียบ -สติกาหนดอิริยาบถ เรียนรู้ ละเอียด จิตกาย -ควรฝึกอยา่ งต่อเน่ือง ความ รู้ตวั ตลอดเวลา เดิน นง่ั -ความสุขทาง น่ิงกวา่ เพง่ จิต เขา้ ใจ ความเพียร สติ สะอาด นอน ยนื มีสติคอย ประสาทสมั ผสั ไปท่ีลมหายใจ บริสุทธ์ิ จะไดน้ าความเขา้ ใจ กาหนดอิริยาบถร่างกาย ๕ไม่ยง่ั ยนื -จิตสมั พนั ธ์กบั ไปสู่ทางพน้ ทุกข์ ลมหายใจ เป็น -หวั ขอ้ ธรรมเชื่อมโยงการทา อนิจจงั ทุกขงั สมาธิ พฒั นาการปฏิบตั ิธรรม อนตั ตา เขา้ ถึงสมาธิในข้นั สูง
๑๑๗ ตารางที่ ๔.๒.๖๕ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การปฏิบตั ิธรรม” [ป.๓-๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สมาธิโดย -สติไปต้งั -ความต้งั มน่ั ของ -การเรียนรู้ทาความเขา้ ใจการปฏิบตั ิ แนวคิด ธรรมชาติ ไวใ้ น จิตใจ เพียรต้งั สติ ใหเ้ กิดผล ปัญญาคือความหลุดพน้ การฝึก อารมณ์ ระลึกรู้ ได้ -สติปัฏฐาน ๔ คือ การต้งั สติไวใ้ นอารมณ์ ๔ อยา่ ง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม -สติปัญญา -อยกู่ บั -กระบวนการทาง -วปิ ัสสนาญาณ ๑๖ ความรู้ในวปิ ัสสนา ผู้ ในชีวติ ประจา อารมณ์ จิต พฒั นาปัญญา บรรลุมรรคผลตอ้ งผา่ น ญาณ ๑๖ วนั ขดั เกลา หลักการ นิสัยให้ ปัจจุบนั ญาณทสั สนะ -สมาธิ ๒ อยา่ ง ๑)สมาธิท่ีทุกคนมีอยโู่ ดย สะอาด -ศีลสิกขา กาลงั ทา ใจ อภิญญา ธรรมชาติ ๒) สมาธิท่ีเกิดจากการฝึก เรียนรู้ทา ความเขา้ ใจ ไมท่ ุกข์ -สมถกรรมฐาน และวปิ ัสสนากรรมฐาน เร่ืองศีล ถูกตอ้ ง บาทฐานซ่ึงกนั และกนั -ศีล สมาธิ ปัญญา ทา -การต้งั สติ -วธิ ีทาใหจ้ ิตวา่ ง -ยดึ หลกั ฐานทางพระไตรปิ ฎก ยดึ ท่านผรู้ ู้ท่ี แบบ ธรรมชาติ เพียรต้งั สติ อยา่ ไปยดึ มน่ั ถือ เชื่อถือไดใ้ นเร่ืองน้นั ๆ ยดึ ทา่ นผรู้ ู้ปริยตั ิ มีศีลธรรม เรียบง่ายๆ เป็นเหตุจิต มนั่ สิ่งใด ๆ ไวว้ า่ ปฏิบตั ิ ใชป้ ัญญารู้จกั คิดรู้จกั ใชป้ ัญญา -พละ ๕ อินทรีย์ ๕ สงบ เกิด เป็นเรา เป็นเขา โยนิโสมนสิการปฏิบตั ิดู ปัญญา จิต -จิตตสิกขา เรียนรู้ -วปิ ัสสนา มีวธิ ีทาหลายอยา่ ง แต่สาคญั สงบ กาย ทาความเขา้ ใจ การ ต้งั สติ และ ตวั รู้ (สมั ปชญั ญะ และสัมปชาโน) วาจา ใจ ปฏิบตั ิเร่ืองจิตเร่ือง เป็นไตรลกั ษณ์ ไม่เท่ียง เป็นทุกข์ อนตั ตา สงบ สมาธิ -ปัญญา คุณธรรมสูงสุด ความหลุดพน้ วิ ีธการ -จิตสงบ กาย วาจา -ทาไมตอ้ งศึกษาท้งั ปริยตั ิ และปฏิบตั ิ สงบ ปริยตั ิทาใหค้ วามรู้กวา้ ง ถา้ มีปฏิบตั ิเป็น -จิตสงบ เยน็ เห็น พยานทาใหห้ นกั แน่นข้ึน ปริยตั ิ คือ เรียนรู้ ถูกตอ้ ง เป็นจริง ทาความเขา้ ใจ ตอ้ งรู้ท้งั ปริยตั ิและปฏิบตั ิ ทางานไปดว้ ยดี -ปัญญาสิกขา ตอ้ งอบรม มีการปฏิบตั ิ พฒั นา เหมาะสม สวา่ งจิต ปัญญา ลงมือปฏิบตั ิใหไ้ ดผ้ ล (วปิ ัสสนา)จิตสงบ -พจิ ารณาเห็นโทษความยดึ มน่ั ถือมน่ั (สมถะ) สิ่งใดที่เราเขา้ ไปยดึ ไมก่ ่อโทษ ไม่มีในโลก หดั ปล่อยวาง ปล่อยวางไดเ้ ห็นปัญญา -ปรึกษาพระพทุ ธเจา้ ให้อ่านพระไตรปิ ฎก
๑๑๘ ตารางที่ ๔.๒.๖๖ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “ถึงโสดาบนั ในชาติน้ี ” [ป.๓-๖] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด -การเป็นอริยบุคคล -อารมณ์ -จิตพจิ ารณากาย -พฒั นาปัญญาเห็นแจง้ พิจารณา โสดาบนั กาหนด เวทนา จิต ธรรม ธรรมโดยแยบคาย โยนิโสมนสิการ -ศีล นาไปสู่ความ -รูปฌาน คือ -เขา้ ถึงการพฒั นาจิต -ญาณ๑๖ วปิ ัสสนาญาณ เขา้ ถึง เป็ นอริ ยบุคคล ๑) มีอารมณ์ -การพฒั นาจิตต้งั จิต โลกตุ รธรรม หลักการ -มีศีลคุมใจ ศีลเป็น วติ กวจิ าร แน่วแน่ปัญญาเห็นแจง้ -สงั โยชน์ ๑๐ เคร่ืองผกู จิตไวใ้ ห้ พระอริยเจา้ ปี ติ จิตหมนั่ พิจารณาธรรม ติดอยกู่ บั สิ่งตา่ งๆ รวมถึงภพภูมิ - สจั จะสนบั สนุน ๒)ปี ติ สุข จิตเกิดปัญญาเห็นแจง้ ต่าง ๆ และสังสารวฏั สม่าเสมอ ตอ่ เน่ือง ๓)เอกคั ตา ทาจิตไมเ่ ป็นอิสระ ตอ้ งตกอยู่ ยาวนาน ๔) อุเบกขา กบั ทาสสิ่งน้นั -นาฌานสู่ญาณ ๑๖ อรูปฌาน -ใชจ้ ิตตาดูกายเวทนา -อบรมสัง่ สมบารมียาวนาน -ละสักกายทฏิ ฐิ ๑) คือ ๑)ความ จิตธรรม วา่ เป็ นไปตาม ปิ ดอุบายภูมิ ใจปราศจาก กาจดั ความเห็นผดิ วา่ วา่ งหาที่สุด กฎไตรลกั ษณ์ สงั โยชน์ มีตวั ตน ๒)กาจดั ไมไ่ ด้ (อนิจจงั ทุกขงั -จะนาพาชีวติ พน้ ทุกขต์ อ้ ง ความลงั เลสงสัย ๓) ๒)วญิ ญาณ อนตั ตา) ปฏิบตั ิธรรม กาจดั สีลพั พตปรา หาท่ีสุด -พฒั นาจิตเป็นสมาถะ -ผใู้ ดมีความศรัทธาเลื่อมใสใน มาส ไมไ่ ด้ ๓) จิตต้งั มน่ั ในฌาน พระพุทธศาสนาแลว้ ประพฤติ -ผมู้ ีศีล นาตวั ไป เขา้ ภาวะไม่มี อารมณ์ฌานป้องกนั ได้ ตวั สมควรแก่ธรรม โดยมีบุญ ปฏิบตั ิ จิตไม่ฟุ้งซ่าน อะไรเลย ชวั่ คราว บารมีสะสมมาแตอ่ ดีตชาติ วิ ีธการ ไมม่ ีอารมณ์ ปรุง ความมี -เขา้ ฌาน ถอยจิตใหต้ ้งั ส่งผลสนบั สนุนแลว้ ความมีจิต แต่งอื่นใด รบกวน ๔)สัญญาก็ มนั่ สมาธิระดบั ฌาน เป็นอริยบุคคลยอ่ มเกิดข้ึน อารมณ์กรรมฐาน ไม่ใช่ไมม่ ี -จิตต้งั มน่ั มี ๓ ระดบั ในช่วงอายุ วยั แตกต่างกนั ได้ จิตมีกาลงั สติกลา้ สัญญาก็ ๑)ขณิกสมาธิ -ปฏิบตั ิธรรม โดยสมควรแก่ แขง็ นาไปสู่ความต้งั ไม่ใช่ ๒)อุปจารสมาธิ ธรรม เหตุปัจจยั พร้อม มนั่ ของสมาธิไดง้ ่าย ๓)อปั ปนาสมาธิ -การเขา้ ถึงโลกตุ ระธรรม -ศีลนาไปสู่ความต้งั -ปัญญาญาณ ๑๖ อยทู่ ่ี ไมไ่ ดม้ าจากการอา่ นตารา มนั่ สมาธิจิต จิตของผฝู้ ึก พฒั นาจิต คมั ภีร์ -สะอาดกาย สะอาด วญิ ญาณพน้ กิเลส หรือชีวติ คิดจินตนาการ วาจา สะอาดใจ ผกู มดั ใจ “สงั โยชน์”
๑๑๙ ตารางที่ ๔.๒.๖๗ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จาก วรรณกรรมเรื่อง “ฝึกจิต ชีวติ เปลี่ยน” [ป.๓-๗] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม - พุทโธ กาหนด -อุเบกขา -สมาธิคือพลงั -สมาธิทาใหเ้ กิดปัญญาหยง่ั รู้ แนวคิด ลมหายใจ อานาจ มหศั จรรย์ -นิพพานโมเดล คือ ภาพจาลองอยา่ งง่าย (อานาปานสติ) ที่ธรรมชาติมอบ แสดงถึงระดบั ความเขม้ ขน้ ของกิเลส -ศีล สมาธิปัญญา ให้ ดึงพลงั สมาธิ ภายในจิตใจ ออกมาใชง้ าน ออกแบบชีวติ ดว้ ยสมาธิ -ฆราวาสธรรม ๔ -วางใจ - พรหมวิหาร ๔ -ใชส้ มาธิแกโ้ จทยป์ ัญหาชีวิต คือ ๑) สจั จะ ใหเ้ ป็น เมตตา แกป้ ัญญาชีวิตดว้ ยปัญญา ซื่อสัตยจ์ ริงใจ มชั ฌิมา กรุณา -คนเราจะทุกข์ สุข ดูไดจ้ าก บุคลิก คาพดู หลักการ ๒) ทมะ คือ ข่มใจ ปฏิปทา มุทิตา การกระทา ปฏิบตั ิถูกตอ้ งตอ่ มิตร ๑) มิตร ๓) คุมจิตใจ ขนั ติ อุเบกขา ชวั่ ตกต่าทาทุกขใ์ จ ๒) มิตรแท้ คือ ความอดทน กลั ยาณมิตร ๓) พนั ธมิตร พบเพอื่ ๔) จาคะ คือ ผลประโยชนค์ บไดช้ ว่ั คราว เสียสละ -วธิ ีพทุ โธ กาหนด -แก้ -สมาธิตอ้ งฝึก -เปิ ดใจใหก้ วา้ งข้ึน ชีวติ ที่ถูกตอ้ ง ลมหายใจ ให้ ปัญหา บ่อย ๆ ทา ชีวติ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม ความรู้สึกท้งั หมด การเกิด ตอ่ เน่ือง เป็น -ขยายใจใหส้ มดุล เพ่อื รองรับเป้าหมาย อยทู่ ่ีปลายจมูก เป็นคน ประจา สม่าเสมอ ใหญ่ของชีวติ ปัญญาสร้างดว้ ยสมาธิ กาหนดลมหายใจ อดทน -ปัญญาท่ีเกิดจาก -ใหล้ ะชวั่ ทาความดี ทาจิตใจใหผ้ อ่ งใส -รักษาศีล ๕ และ ตราก สมาธิ รักษาใจไว้ -สาระแห่งความสุข และ แผเ่ มตตา ตรา ใหเ้ ป็นปัจจุบนั สาระแห่งความทุกข์ วิ ีธการ ทุกข ทาใหใ้ จเขม้ แขง็ -พจิ ารณาเร่ืองกฎแห่งกรรม จนเกิดความ เวทนา กาจดั ความขดั ยงั ศรัทธา เชื่อมนั่ ดว้ ยปัญญาเราเอง ความ ในจิตใจ “กฎแห่งกรรมมีจริง” เจบ็ ใจ -ปัญญาคือความหยงั่ รู้ อานาจ -การฝึกสมาธิเพอ่ื รวมจิตเป็นหน่ึง กิเลส การดึงฤทธ์ิ และพลงั อานาจที่มีอยใู่ นตวั เรา ออกมา บุญบารมีสั่งสมต้งั แต่ชาติก่อนจะ ปกป้อง คุม้ ครอง กา้ วขา้ มอุปสรรคไปได้ ในท่ีสุด
๑๒๐ ตารางที่ ๔.๒.๖๘ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “จิตอยสู่ ุข”[ป.๓-๘] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ทาใหจ้ ิตให้ -รู้แจง้ -การใชจ้ ิตเป็นตวั ดูตวั รู้ -การเจริญวปิ ัสสนา กรรมฐาน อยกู่ บั ลม สจั ใชจ้ ิตทบทวนไตร่ตรอง เป็นวธิ ีท่ีทาใหเ้ กิดสตินาไปสู่สัมมาสมาธิ แนวคิด หายใจไม่ ธรรม -ทาจิตบริสุทธ์ิ เจริญ ทาใหเ้ กิดปัญญาดว้ ยจิตต้งั มนั่ และเป็น ปรุงแตง่ -สภาวะ ภาวนา กลาง ชาระลา้ งจิต ปัญญาคือความเมตตา สุขทุกข์ -จิตวิญญาณ -ปัญญา คือ การเรียนรู้ที่จะอยกู่ บั ความ จริงแห่งชีวติ อยา่ งสงบสุข -การเจริญ -ความ -การพิจารณาจิตตอ้ ง -มองมุมมองภายใน ปรับตวั ปรับเขา้ สู่ ภาวนาใหอ้ ยู่ คลาย อาศยั จิตเป็ นตวั ดูตวั รู้ (เกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป) กบั ปัจจุบนั ออก -กา้ วขา้ มภาษาไปสู่ตา -นวดเฟ้นขอ้ คิดเชิงวปิ ัสสนา หลักการ -พากเพียร ไมม่ ี ของจิตพิจารณาปัญญา -วธิ ีการเกิดความคิดของแต่ละประเภท ฝึกฝน อะไร -จิตเป่ี ยมดว้ ยปัญญา ควรไดร้ ับการวเิ คราะห์ ความคิดเกิด เสียสละ สภาวะ นาไปสู่ความหลุดพน้ ปัญญา แตล่ ะช่วงของจิต ความคิดเกิดข้ึน ทวนนิสยั อนั สุข เพ จากพนั ธการความยดึ เจตนา ความคิด มาก่อนการกระทา เคยชิน กิเลส ลิด มน่ั ถือมนั่ และอตั ตา -พลงั งานภายในเป็นตวั สร้างโลก ต่าง ๆ เพลิน เช่ือมต่อปัญญาไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ -ประยกุ ตจ์ น -แผ่ -ยกระดบั จิตด้งั เดิมท่ี -ทาจิตใหส้ งบเม่ือสงบแลว้ ลงตวั รูปแบบ เมตตา ปราศจากกิเลสปรุงแต่ง ยกจิตสู่ไตรลกั ษณ์ การคลายออกมาคือ และวธิ ีการ จิตเกิด ไปสู่สภาวะจิตเดิมแท้ ความไม่มีอะไร ท้งั น้นั - การอยกู่ บั พลงั น่ิง -การฝึกจิตดว้ ยขอ้ ธรรม -การเห็นการเกิดข้ึน ต้งั อยู่ และดบั ไป ปัจจุบนั สงบ -สมาถะ ทาจิตสงบนิ่ง จุดเร่ิมตน้ การรู้แจง้ สจั จะธรรมของ -ตอ้ งมีความ -ความ เป็นวธิ ีท่ีดีที่สุด เพื่อทา ธรรมชาติ จากการปฏิบตั ิภาวนา วิ ีธการ เพยี รใชค้ วาม รัก ใหจ้ ิตมีสมาธิ ภาวะแห่ง -วธิ ีปฏิบตั ิ นาปัญญาญาณ เนน้ การเกิดข้ึน พยายาม ความ ความเป็นหน่ึงสามารถ ต้งั อยู่ ดบั ไป ความกา้ วหนา้ เป็นหน่ึง ฝึกฝน ใหเ้ กิด ปรารถ เห็นทุกสิ่งตามความเป็น เดียวกบั สรรพส่ิงท้งั หลาย วฒุ ิภาวะรู้ใน นาดี แผ่ จริง เกิดใจเป็นกลาง -แก่นปัญญา คือ ความจริงท่ีวา่ สาเหตุ ธรรมชาติ รัศมี ความชดั เจนการรับรู้ หลกั ของความทุกขม์ าจากความเห็นผดิ ความละเอียด เก้ือกลู อยา่ งตรงไปตรงมาทา หรือ มิจฉาทิฏฐิ แปรมาเป็นการกระทา ของปัญญา ผอู้ ื่น ใหเ้ กิดความตระหนกั รู้ ทาใหเ้ กิดความขดั แยง้ หลงผดิ ส่งผลต่อ ภายใน ความทุกข์ เจบ็ ปวด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300