๑๒๑ ตารางที่ ๔.๒.๖๙ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง ภาวนา เร่ิมตน้ ณ กม.๐” [ป.๓-๙] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ภาวนาเป็ นการ -เวทนาเป็น -ภาวนา -การภาวนาคือ การบม่ เพาะใหเ้ กิดปัญญา บม่ เพาะกุศล ความรู้สึก จุดเริ่มตน้ ที่ใจ ญาณ ๑) เขา้ ถึงภาวนาดว้ ยการปฏิบตั ิ ๒) หลักการ แนวคิด ธรรมใหเ้ จริญ เป็นเน้ือเป็ น ประยกุ ตจ์ นลง ประยกุ ตจ์ นลงตวั รูปแบบและเทคนิค งอกงามข้ึน ตวั ตวั ภาวนา ๔)ภาวนาเพ่ือเกิดญาณความรู้ ๔) ภายในเน้ือตวั -คิดเป็น -ขนั ติ จิต ภาวนาคือ การหนั หนา้ ไปเผชิญความจริง ของผบู้ าเพญ็ สัมมาทิฏฐิ แกร่งดว้ ย -ภาวนามยปัญญา สาระสาคญั ของภาวนา ภาวนา ความนิ่มนวล อยเู่ หนือความคิด ปรากฏชดั ตอ่ ผปู้ ฏิบตั ิ -เจริญอานาปาน -ทุกข -จุดเริ่มตน้ อยู่ -ทาความเขา้ ใจความหมาย “ภาวนา”ไมใ่ ช่ สติแทจ้ ริงคือทา เวทนา ท่ีใจ เฉพาะครุ่นคิด หาความหมายของคา แต่ จิตใหอ้ ยกู่ บั ลง ทุกขสภาวะ -จิตคิดเป็น สามารถเขา้ ถึงดว้ ยการปฏิบตั ิภาวนา หายใจไมป่ รุง -มองภายใน กศุ ล -ภาวนาเพื่อใหเ้ กิดญาณ ญาณ คือ ความรู้ แตง่ -จิตตอ้ งรู้จิต ไม่ใชค้ วามรู้โลกความคิด -นาเทคนิคการ -มี -สงบ -ภาวนา คือ การที่เรากลบั มาสู่ความเป็นจริง ปฏิบตั ิธรรมมาใช้ ความรู้สึก ปราศจากปรุง ดว้ ยจิตวสิ ัย ภาวนา คือ ยาป้องกนั โรค เหมาะสม ทุกขเวทนา แต่ง ภาวนาฝึกฝน บ่มเพาะใหเ้ รารู้ฉลาดพอ -ภาวนาคือการมี ความรู้สึก -จิตคิดเป็น ที่จะเบิกบาน มีความสุข แจ่มใส ชีวติ อยอู่ ยา่ งเบิก สุขเวทนา เห็นชอบ กา้ ว สภาวะทุกขไ์ ด้ บาน ไม่ปรุงแต่ง ความรู้สึก แรกบน -ภาวนาใครวา่ หนีโลก ความจริงดา้ นใน -ศีลบริสุทธ์ิเกิด เฉยๆ สุขก็ หนทางเปล่ียน โลกแห่งความจริงภายในสาคญั ความจริง จากจิตบริสุทธ์ิ ไม่ใช้ ทุกข์ ความคิดให้ โลกภายนอก ความยตุ ิธรรมในมิติสงั คม วิ ีธการ ศีลฝึกใจใหเ้ ป็น ก็ไมใ่ ช่ เป็น “รู้” -ปัจจยั เก้ือหนุน ครูดีอยทู่ ่ีใคร ศรัทธา คือ ปกติ เพียรอดทน -ญาณ คือ สัมมาทิฏฐิ พลงั ภาวะจิตเป็นพละ ๕ ตอ้ งศรัทธา วริ ิยะ เสียสละ วริ ิยะ ความรู้ที่จะ -จิตตวั ท่ีรู้ทา สติ สมาธิ ปัญญา ความอดทน ความเพยี ร ขนั ติ จาคะ คน้ หา ไม่ใหท้ ุกข หนา้ ที่รู้ ส่ิงถูก ตวั วดั ความพร้อมของจิต เทคนิคการ สภาวะ รู้คือจิตที่มี -หนงั สือธรรมะอ่านมาก ยากนาน หนงั สือ ภาวนา กลายเป็น อารมณ์เป็น มีคุณคา่ มีอิทธิพล ตอ่ ความคิด กระตุน้ ทุกขเวทนา เจตสิก ความคิด ประยกุ ตจ์ นลงตวั อานาปานสติ ยบุ หนอพองหนอ ดูเวทนา ดูจิต ดูการ เคลื่อนไหว มีหลายวธิ ีนามาใชเ้ หมาะสม
๑๒๒ ตารางท่ี ๔.๒.๗๐ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“รู้แลว้ ละได”้ [ป.๓-๑๐] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -อานาปานสติ - ใจรู้สึกสุข - เป็นการรู้ -นิวรณ์ ๕ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๖ แนวคิด อิริยาบถ ธาตุ ๔ ทุกข์ เฉยๆ อารมณ์จิตมี โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ หลกั พจิ ารณา ปฏิกลู มนสิการ อสุภะ -อาศยั กายเกิด หลากหลาย -เป้าหมายใหจ้ ิตเกิดปัญญาเห็นตามความ -ฐานกาย ฐานหยาบ เวทนา เป็นจริง อาตาปี สมั ปะชาโน สติมา วเิ นย เห็นง่าย สมั ผสั ง่าย ยะ โลเก อภิชฌาโทมนสั สงั -อานาปานสติ สติอยู่ -เอาความรู้สึก -จิตเกิดดบั -ความเป็นจริงทางธรรมวธิ ีแห่งการบรรลุ กบั ลมหายใจเขา้ ออก หรือเวทนา ตลอดเวลา ธรรม๑) หวั ใจการปฏิบตั ิวปิ ัสสนา คือ ระลึกรู้ตน้ ลมปลาย เป็นเครื่องมือ เกิดข้ึน ต้งั อยู่ การเอารูปนามมาเป็นเครื่องมือการปฏิบตั ิ หลักการ จมูก ปฏิบตั ิ ดบั ไป สติรับรู้ ๒) พิจารณาสู่ไตรลกั ษณ์วางใจเป็น -การรู้สึกความ กรรมฐาน ทา อารมณ์จิต อุเบกขาต่อทุกสภาวธรรม๓)วางใจให้ เคลื่อนไหวของกาย โดยมีสติรับรู้ ปัญญาเขา้ ใจ ถูกตอ้ งตามความเป็นจริง ยนื เดินนงั่ นอน ความจริง ธรรมชาติจิต -ขนั ธ์ ๕ ไมใ่ ช่ตวั เรา -อุเบกขา -รูปแบบเป็นเทคนิค -เอาความรู้สึก -การพฒั นาจิต -เห็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา วธิ ีท่ีใชฝ้ ึกปฏิบตั ิ เป็นเครื่องมือ คือ ภาวนา ในกฎไตรลกั ษณ์ วธิ ีแห่งการบรรลุธรรม มีสติรู้ตวั ในอิริยาบถ ปฏิบตั ิ เครื่องมือ คือ ปฏิบตั ิอยา่ งถูกตอ้ ง ถูกจริต และบารมี -ธาตุ ๔ การรับรู้ถึง กรรมฐาน มี พฒั นา ๑)สมถ ถึงพร้อม ๑)ปฏิบตั ิใหถ้ ูกทาง มรรค ๘ ธาตุ ๔ ตามความเป็ น สติรับรู้ความ ภาวนา การทา ปัญญา ศีล สมาธิ ไตรลกั ษณ์ มีปัญญา จริง ใหร้ ะลึกรู้สภาวะ จริง ร่างกาย สมาธิ ๒) มองเห็นความจริง ๒)ปฏิบตั ิใหถ้ ูกจริต ของธาตุ ดินน้าลมไฟ และจิตใจ วปิ ัสสนา ๓)บารมีถึงพร้อม คุณธรรมความดี วิ ีธการ ท่ีมีอยใู่ นกายตามจริง -ความรู้สึก ภาวนา ท่ีตอ้ งบาเพญ็ -อสุภะ พิจารณากาย เป็นไตร การเจริญ -ภาวนามยปัญญา คือ จิตสงั่ สมอบรม ไมง่ ามเป็นซากศพ ลกั ษณ์ เกิดข้ึน ปัญญา ธรรมมาดี บรรลุธรรมตอ้ งบรรลุ ปฏิกูลมนสญั ญา เห็น ต้งั อยู่ -จิตเกิดดบั วปิ ัสสนาญาณ การเห็นไตรลกั ษณ์อยา่ ง ตามความเป็นจริงวา่ แปรปรวน ดบั ตลอดเวลา เดียวกบั บรรลุธรรมได้ ร่างกายสกปรกมีส่ิง -วางใจท่ีถูก -ความรู้ตวั ใน -สัมมาสมาธิ ความต้งั ใจมน่ั ชอบ หมกั หมมภายใน คือ วา่ งตาม จิต อยใู่ นความสงบ ๑) ขณิกสมาธิ ภายนอกน่าเกลียด ความเป็นจริง ๒)อุปจารสมาธิ ๓)อปั ปนาสมาธิ
๑๒๓ ตารางที่ ๔.๒.๗๑ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“หายใจใหเ้ ป็น”[ป.๓-๑๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ลมหายใจ คือ ชีวติ คือ ปัญญา - ลมหายใจ - เจริญโพธิจิต -วธิ ีฝึกโยคะ ลมหายใจ แนวคิด มีผลต่อจิต อารมณ์ กายกบั ลม คือชีวติ จิตต่ืนรู้ สุขภาพทางจิตวญิ ญาณ หายใจควบคุม สร้างความ เปล่ียนไป -ลมแห่งจิต รู้สึกเชื่อมโยงกนั ตระหนกั รู้ทางจิตวญิ ญาณได้ ตามอารมณ์ -ลมหายใจ เป็นปัญญา -การฝึกลมหายใจ บาบดั และ -ควบคุม -การฝึกทางจิต -พจิ ารณาความไมเ่ ท่ียง ปลดปล่อยความทุกขท์ างกาย ความสมดุล วญิ ญาณ ต้งั จิต ระดบั ปัญญา พิจารณา และจิตใจ สงบ ชาระลา้ งความ กาย อารมณ์ หายใจ ปรับลม ความไมเ่ ที่ยงดว้ ยการรู้ลม หลักการ ข่นุ ขอ้ งหมองใจ จิตวญิ ญาณ หายใจ หายใจ การต่ืนรู้ ปัญญา -พจิ ารณาความไมเ่ ท่ียงของลม ดว้ ยลม -ประสบการณ์ -ควบคุมสานึก ความ หายใจ การฝึกสมาธิเพื่อ หายใจ แห่งการตื่นรู้ สมดุล กาย อารมณ์ จิต ควบคุมลมหายใจ ควบคุมลมหายใจ วญิ ญาณ เราดว้ ยลมหายใจ วิ ีธการ -พ้นื ฐานสติ คือ การฝึกลม -สติ คือ การ -สภาวะทางจิตใจ -เนน้ การฝึกลมหายใจ หายใจ สติคือ ส่ิงท่ีเช่ือมโยง เช่ือมโยง แสดงออกทางลม เขา้ ออกเพ่ือการปฏิบตั ิทาง การฝึ กลมและอารมณ์ การฝึ กลม หายใจ การฝึกลม จิตวญิ ญาณตามพุทธ ตอบสนอง ต้งั จิตหายใจ และ หายใจ และ หายใจเป็นวธิ ี ศาสนาทิเบต ลมหายใจ ปรับลมหายใจ เอาลมหายใจ อารมณ์ จาเป็นตอ่ จิตใจ เชื่อมโยงประสาทส่วน เป็ นฐานควบคุมจิต ตอบสนอง -จิตใจทวลิ กั ษณ์ นอกและส่วนใน ดึง -รูปแบบการหายใจ ๒ แบบ ของเราเขา้ อดทน และ อากาศโลกภายนอกเขา้ มา คือ เกิดหายใจภายในร่างกาย ดว้ ยกนั ยอมรับกลา้ หาญ สู่ฐานกายดว้ ยลมหายใจ ช่องอก ช่องทอ้ ง บริเวณ -พจิ ารณา -ต้งั จิต หายใจ เพ่ือชาระลา้ งจิตใจและ ช่องอกอยภู่ ายใตโ้ ครงกระดูก ความไม่ ปรับลมหายใจ อกุศลท้งั ปวง ยอมรับทุกข์ ช่องทอ้ งอยบู่ ริเวณท่ีใตก้ ระบงั เท่ียงดว้ ย รูปแบบการ ทุกขน์ อ้ ย ลม บริเวณรอบสะดือ การรู้ลม หายใจของเรา -สร้างนิสัยใหม่ พิจารณา -การหายใจบริเวณช่องทอ้ ง หายใจ แนวโนม้ ความไม่เท่ียงดว้ ยการรู้ลม ส่งเสริมสุขภาพที่ดี เกิดการหด -ชาระลา้ ง ตอบสนอง หายใจ ทุกสิ่งในชีวติ เป็น ตวั คลายกลา้ มเน้ือใตป้ อด ความไม่ อารมณ์แบบใด เช่นความฝัน เรียกวา่ กระบงั ลม บริสุทธ์ิ -จิตใจผอ่ นคลาย -รูปแบบลมหายใจนา -ตวั นิมิตเหนือกระหมอ่ ม อารมณ์เหตุ อตั ตาการหายใจ ความสงบสุขมาสู่จิตใจ เศร้าหมอง ของเรานอ้ ยลง สงบชาระข่นุ ขอ้ งหมองใจ
๑๒๔ ตารางท่ี ๔.๒.๗๒ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“คลายเครียดดว้ ยลมหายใจ เยยี วยาความเครียดดว้ ยวถิ ีพุทธ” [ป.๓-๑๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ลมหายใจฐาน -เรียนรู้ มิติทางจิตวญิ ญาณ คือ -คาสอนเร่ืองอริยสจั 4 คือ ท่ีต้งั ของสติ ฝึก ความรู้สึกสงบ การใชช้ ีวติ ปัจจุบนั กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางจิต สติอยกู่ บั -เฝ้าดูความรู้สึก ขณะ โดยเร่ิมตน้ ปล่อย วญิ ญาณ คือ ทุกข์ สาเหตุทุกข์ แนวคิด ปัจจุบนั ขณะ -ความคิดและ วางตวั ตน และปล่อย หลกั การในการดบั ทุกข์ และวถิ ี -ตระหนกั รู้ ความรู้สึก ให้ มีสติหยง่ั ลึก ลม ชีวติ ที่นาไปสู่การดบั ทุกข์ ปรับสมดุล แยกกนั ไมอ่ อก หายใจ คือ ฐานแห่งสติ -สติคืออริยสจั ๔ รู้จกั ทุกข์ -ศรัทธา ความ -มีสติมีความ เพ่ือฝึกจิตไมเ่ ป็น มิติจิตวิญญาณ การใชช้ ีวติ อยา่ ง เพยี ร มีสติต้งั มน่ั รู้สึกตวั อกศุ ลกรรม ปัจจุบนั ขณะ อยา่ งตระหนกั รู้ -ลมหายใจ คือ -ฝึกอุเบกขา คือ -หลกั การ กระบวนการ -รู้จกั ความยดึ มนั่ ถือมน่ั และจดั การ ฐานท่ีต้งั แห่งสติ การวางใจเป็น เปลี่ยนแปลงทางจิต ปล่อยวางความยดึ มนั่ ถือมนั่ อยดู่ ว้ ย กลางตอ่ วญิ ญาณ เส้นทางการ จนถึงความตระหนกั รู้ ตลอดเวลา ความรู้สึกต่างๆ พฒั นาจิตวญิ ญาณ ขดั ปรากฎการณ์ความจริง และเรียนรู้ ความคิด ต่อทุกสิ่งที่เขา้ เกลาจิตวญิ ญาณใน อยา่ งมีสติกบั สิ่งท่ีเกิดข้ึน หลักการ ความรู้สึก มา เห็นมนั แลว้ ตวั เอง อดทนต่อนิวรณ์ -ใหค้ วามสาคญั การมีสติ ฝึกสติรู้ แยกกนั ไม่ออก ปล่อยวาง ๕ มีสติอยา่ งต่อเน่ือง อยา่ งสม่าเสมอ ปล่อยวางความยดึ แต่สติจะแยก กลบั มามีสติ -ความกา้ วหนา้ ทางจิต มน่ั ถือมน่ั เขา้ สู่กระบวนการรู้แจง้ ออกจากกนั และเฝ้าดูความ วญิ ญาณ -ปล่อยวา่ งความยดึ มนั่ ถือมนั่ ปล่อยวา่ ง รู้สึกตวั -เปลี่ยนแปลงจิต เปล่ียนความคิด สติสงบนิ่ง กระแส ประคองจิตให้ -ตอ้ งมีสติแยก วญิ ญาณ มีสติมีสมาธ ความคิด จิตตระหนกั รู้ธรรมาชาติ ตระหนกั รู้ทุก ออกจากกนั สวดมนต์ ภาวนา -กาหนดเวลาแน่นอนในการฝึกสติ คร้ัง ปล่อยวา่ ง เชื่อมโยงโลก สมาธิไดต้ ่อเน่ืองและสม่าเสมอ -จงยอมรับ -ทาสมาธิ -ขดั เกลาจิตวญิ ญาณ -สมาธิหมน่ั ฝึกฝน ต่อเนื่อง ฝึ กสติ ตวั เองอยา่ งท่ีเรา พยายามมีสติ ภายใน ความกา้ วหนา้ อยกู่ บั ปัจจุบนั ขณะ ทาสมาธิเพ่อื เป็ น รู้อยใู่ น ทางจิตวญิ ญาณ ฝึกสติ ความคิดส่งผลต่อความรู้สึก วิ ีธการ -เผชิญทุกสิ่ง ความรู้สึกและ ติดตามดูภาวการณ์ ตอ้ งฝึกจิตตามรูปแบบการพฒั นา ดว้ ยสติ จดจ่อ ปล่อยวาง เปล่ียนแปลงภายใน จิตเพ่ือใหบ้ ริสุทธ์ิ อยกู่ บั ลมหายใจ -เห็นมนั แลว้ -มิติทางจิตวญิ ญาณ -รู้จกั ทุกข์ มีสติอยกู่ บั ทุกขร์ ับรู้ไป รับรู้ทุกสิ่งดว้ ย ปล่อยวาง -ปล่อยความยดึ มนั่ พร้อมลมหายใจ เผชิญอยา่ ง สติ ส่ิงรบกวนจิต ตรงไปตรงมา
๑๒๕ ตารางท่ี ๔.๒.๗๓ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“สติ กุญแจไขชีวติ ” [ป.๓-๑๓] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -กรรมฐาน สติเป็น -ฐานความรู้สึก -ผกู สติลงฐานจิตตาม -สูตรสาเร็จในการสร้าง บาทฐาน ผกู สติลง ต่าง ๆ เกิดข้ึน ดูรู้ทนั จิต ฝีกหดั จิต สติปัฏฐาน ๔ คือ เห็นกายใน แนวคิด สติปัฏฐาน 4 กาย กาย จิต ผกู สติ เป็นการอบรมจิตให้ (ท่ี)กาย เห็นเวทนาใน(ท่ี)เวทนา เวทนา จิต ธรรม ลงไป เกิดสติ มีความรู้สึกตวั เห็นจิตใน(ที่)จิต เห็นธรรมใน -รู้สึกตวั ทวั่ พร้อม มีความรู้สึกใจ ต่ืนใจ (ท่ี)ธรรม จิตผอ่ งแผว้ -ความหมายสติ ความรู้สึกตวั ตื่นตวั ความรู้สึกใจ ตื่นใจ - กาหนดสติลง -อายตนะ ๖ - วธิ ีสร้างสติคือ การ -ผกู สติลงฐานแห่งธรรม ความ กาย กาหนดเห็น ผสั สะ เวทนา รู้ทนั จิต จริงเกิดข้ึนในจิตปรุงแตง่ จิต หลักการ ตามความเป็นจริง สัญญา ตณั หา -มีสติมีความรู้สึก ผกู อารมณ์ความโลภ โกรธ หลง อิริยาบถ ผกู สติดู วติ ก วจิ าร จิต เห็นสภาวธรรม นิวรณ์ ๕ อายตนะ ๖ ขนั ธ์ ๕ ลมหายใจ ความ -มีความรู้สึกตวั รู้เทา่ ทนั จิต อยู่ อริยสจั ๔ โพชฌงค์ ๗ เคล่ือนไหวกาย มีความรู้สึกใจ ตลอดเวลา ผกู จิตไว้ -เห็นทุกส่ิงตามความเป็นจริง หยาบ ตื่นใจ ในอารมณ์เดียว -ผกู สติลงที่ - การปฏิบตั ิ -สมถกรรมฐาน คือ -สติมีความสาคญั มาก สติคือ อิริยาบถใหญ่และ อบรมจิต การปฏิบตั ิอบรมจิต ธรรมอุปการะ ๑)สติคือความ ยอ่ ย อานาปานสติ เรียกวา่ ใหส้ งบรวมจิตสมาธิ ระลึกได้ ๒)สัมปชญั ญะคือ ปฏิกูล ธาตุ ฯ การ กรรมฐาน ผกู จุดเดียว ผกู จิตไว้ ความรู้ตวั ทว่ั พร้อม หรือความ สร้างความรู้สึกตวั สติลงบน อารมณ์เดียว รู้สึกตวั รู้เห็นตามความเป็ นจริง คือ สติ คือ ความ ความรู้สึกตา่ งๆ -วปิ ัสสนากรรมฐาน -สมั ปชญั ญะตวั นาไปสู่ปัญญา วิ ีธการ ระลึกได้ ท่ีเกิดข้ึน คือ การมีสติรู้สึกตวั มีความรู้สึกตวั ไม่ลุ่มหลง สัมปชญั ญะ คือ -ชีวติ ขนั ธ์ ๕ ผกู จิตเห็นสภาวธรรม ปัญญาแทนท่ี ความรู้ตวั ทวั่ รูป กาย เวทนา รู้เท่าทนั จิตอยู่ -ทางสายกลาง ความเห็นชอบ พร้อม เป็ นตวั นา ความรู้สึก ตลอดเวลา ใหต้ ามดู เห็นจริง สมั มาสติ สติดาเนิน ปัญญา มีความ สัญญา หมาย ทว่ั พร้อมท่ีกายเวทนา ชีวติ ใหถ้ ูกตอ้ ง ความรู้สึกตวั รู้สึกตวั เกิดข้ึน ถา้ ไดจ้ าได้ สังขาร จิตธรรม ไม่มวั เมา โลภ โกรธ หลง ไมผ่ กู สติไวท้ ่ีกาย คิดปรุงแตง่ -จิตเปล่ียนรูปลกั ษณ์ -ตอ้ งสร้างสติ ขาดสติ คือ ความ ที่ใจ จะไมเ่ ห็น วญิ ญาณ ธาตุรู้ ไปตามความคิด โลภ รู้สึกตวั ไม่ไดผ้ กู สติลงไวท้ ่ี กาย ความคิด โกรธ หลง ที่ใจ จะไมเ่ ห็นความคิด
๑๒๖ ตารางท่ี ๔.๒.๗๔ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกกาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“เรื่องสติ..ใครวา่ ยาก คาอธิบายสติและการปฏิบตั ิธรรม ดว้ ยภาษาที่เขา้ ใจง่าย”[ป.๓-๑๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ส่ิงเป็นฐาน -ดูความคิด - ฝึกจิตอยา่ งเป็นระบบ -สติปัฏฐาน ๔ เฝ้าดูลมหายใจ หลักการ แนวคิด ปฏิบตั ิภาวนา ความรู้สึกท่ีเกิด มุ่งหมายการเรียนรู้เห็น สติ คือ สภาวะท่ีทาหนา้ ที่ คือลมหายใจ ความเจบ็ ปวด ความจริงไม่เท่ียง ต้งั จิต มองเห็นสิ่งตา่ งๆตามความเป็ น อยา่ งปรุงแต่ง ใหเ้ ป็นปัจจุบนั จริง และมองเห็นธรรมแทจ้ ริง -เฝ้าดูลมหายใจ -ใชค้ วาม -การคน้ พบความจริง -วปิ ัสสนาภาวนา คือ การอบรม ก่อน ค่อยดู เจบ็ ปวดจบั ดว้ ยการตรวจสอบดว้ ย จิตใหร้ ู้วธิ ีการอนั พเิ ศษที่นาไปสู่ ปรากฏการณ์ ความรู้สึกไม่ ตนเอง เฝ้าดู ปัญญา และความเขา้ ใจอนั ทางกายจิต ฝึก ปรุงแต่ง สังเกตการณ์ทางานของ สมบูรณ์ ปัญญาเกิดจากปฏิบตั ิ สติ สร้างการ อารมณ์ จิต เกิดปัญญา ฝึกจิตให้ -การเตรียมการปฏิบตั ิ ทาตาราง ระลึกรู้ พฒั นา -หยดุ ความคิด เป็นระบบ และเวลาเฉพาะ ทาตามพ้นื ฐาน ความรู้สึกตวั แลว้ หยดุ -ต้งั จิตเป็นปัจจุบนั พฒั นาทกั ษะ จิต “สติ” ความรู้สึก มองเห็นตามเป็ นจริง -ปัญญาเกิดจากการปฏิบตั ิ -เอาจิตไปจด -ตอ้ งหยดุ -ทาใหจ้ ิตบริสุทธ์ิ เพอ่ื -มองเห็นตามความเป็นจริงฝึ ก จ่อแน่วแน่ท่ีลม ความคิดแลว้ การมองเห็นตามความ สติเฝ้าดูกายและจิต ปัญญาเกิด หายใจเพือ่ ความรู้สึกหยดุ เป็นจริง จิตอยกู่ บั ลม จากการปฏิบตั ิ การคน้ พบความ สมาธิ สมาธิ -การเลือกใช้ หายใจและเกิดปัญญา จริงดว้ ยการตรวจสอบดว้ ย สาคญั คือ ความ ตามสภาว เขา้ ใจความไม่เท่ียง ไม่ ตนเอง พฒั นาความรู้สึกตวั รู้ตวั หรือ อารมณ์ท่ีตน มีตวั ตน จิตหยงั่ รู้ความ -ฝึกเจริญเมตตา เมตตาต่อตนเอง สัมปชญั ญะ สนใจ เป็ นจริ งทางกาย บ่มเพาะยอมรับตนเอง วิ ีธการ เพือ่ ฝึกสติ -จิตหยง่ั รู้ความ ความรู้สึก สภาวะจิต ขอ้ บกพร่องปฏิบตั ิอ่อนโยน เบ้ืองตน้ เป็นจริงทาง ต่างๆ จิตอิสระจากคิด -เป้าหมายวปิ ัสสนา การ -สูดลมหายใจ กาย ความรู้สึก -จิตยกข้ึนต่อสมาธิ เปล่ียนแปลงถึงรากโคน เขา้ เตม็ ปอด สภาวจิตต่างๆ เพยี งพอต่อการทา กระบวนการรับรู้ของเราท้งั หมด หายใจละเอียด เป็นเคร่ืองมือ วปิ ัสสนา ใชล้ มหายใจ บม่ เพาะนิสัยใหม่ หยาบ เอาจิต เกิดปัญญา เป็นฐานในการรวมจิต -จิตอยกู่ บั ลมหายใจเกิดปัญญา ไปจดจอ่ -บม่ เพาะสติ จิตอยกู่ บั ปัจจุบนั ได้ เรา เขา้ ใจความไม่เท่ียง ไมพ่ ึงพอใจ ตาแหน่งที่มีลม อยกู่ บั ปัจจุบนั จะรู้ความ ไม่มีตวั ตนไดอ้ ยา่ งลึกซ้ึง มี มากระทบ ไม่เท่ียงของลมหายใจ ปัญญามากข้ึน
๑๒๗ ตารางท่ี ๔.๒.๗๕ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “บรรลุธรรมไดไ้ มต่ ิดรูปแบบ” [ป.๓-๑๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -พิจารณาร่างกาย -ความ -อาการของ -การเจริญภาวนาแบบวปิ ัสสนา สติปัฏฐาน ๔ แนวคิด เป็ นสิ่งไม่ รู้สึกสุข จิต จิตรับรู้ ประกอบ กาย(ร่างกาย) เวทนา(ความรู้สึกสุข ทุกข์ สวยงาม ศูนย์ ทุกข์ เองตาม เฉยๆ) จิต(อาการของจิต) ธรรม(สภาวธรรมที่เกิด) รวมความทุกข์ เฉยๆ ความเป็น ความเขา้ ใจที่ถูกตอ้ งเร่ืองเจริญภาวนา -รักษาศีล จริง -อา่ นพระไตรปิ ฎกสะสมความรู้ไปทีละนอ้ ย การเจริญสติโดย -ใหม้ ี -แนวฝึกจิต -สติปัฏฐาน ๔ ทาไดห้ ลายรูปแบบ ทาไดท้ ุกท่ี ใชฐ้ าน ๔ ฐาน ศรัทธา ที่เหมาะสม ทุกเวลา เจริญสติไปพร้อมกบั ทุกกิจกรรม ใน กาย(ร่างกาย) วริ ิยะ ตามอาการ ชีวติ ประจาวนั ได้ ไม่ตอ้ งอาศยั การนงั่ สมาธิ หรือเดิน เวทนา เจตนา และจิต คือ จงกรม การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ทาไดห้ ลายรูปแบบ หลักการ (ความรู้สึกสุข แรง การพสิ ูจน์ -มรรค ๘ ขอ้ ปฏิบตั ิใหถ้ ึงความดบั ทุกข์ อริยสจั ๔ ทุกข์ เฉยๆ) จิต กลา้ ดว้ ยตนเอง ไตรลกั ษณ์ สรรพส่ิงตอ้ งเปล่ียนแปลงไม่คงเดิม การ (อาการของจิต) เล่ือม เลือกสะสม สะสมอินทรีย์ ๕ ไดแ้ ก่ ศรัทธา วริ ิยะ ปัญญา สมาธิ ธรรม ใส อินทรียท์ ่ี สติ อินทรียแ์ ก่กลา้ ยอ่ มเกิดความเขา้ ใจคาสอนที่ (สภาวธรรม) เหมาะสม สาคญั ของพระพุทธเจา้ อยา่ งลึกซ้ึง กบั ตวั -มีหลายรูปแบบไม่จาตอ้ งนง่ั สมาธิหรือเดินจงกรม -อาศยั ความเพียร - นอ้ ม -เลือก -บรรลุธรรมควรฝึกเจริญสมถะนา วปิ ัสสนานา หรือ และต้งั ใจปฏิบตั ิ นอบ สะสม ท้งั สมถะและวปิ ัสสนาควบคูก่ นั ไป -ผมู้ ีอินทรียแ์ ก่ -สวด อินทรียใ์ น -การบรรลุธรรมไมไ่ ดเ้ กิดจากการปฏิบตั ิฌานตาม กลา้ การสะสม มนต์ วธิ ีการที่ รูปแบบ คือ นง่ั สมาธิเดินจงกรม เทา่ น้นั แตส่ ามารถ อินทรียก์ ารเจริญ ตอ้ ง เหมาะสม เกิดโดยวธิ ีอ่ืนได้ การเจริญสติปัฏฐาน มีหลาย ภาวนา อินทรีย์ สวด กบั ตนเอง รูปแบบทาไดท้ ุกที่ทุกเวลา เจริญสติไปพร้อมทุก วิ ีธการ ๕ คือ ศรัทธา ดว้ ยใจ ทาทาน กิจกรรมในชีวติ ประจาวนั พยายามใหม้ ากพอ วริ ิยะ ปัญญา รักษาศีล ฟัง -พระไตรปิ ฎกอธิบายวา่ สิ่งที่ทาใหเ้ กิดวนิ าทีบรรลุ สมาธิ สติ ธรรม ธรรม ๕ อยา่ ง คือ ๑)ฟังธรรม เขา้ ใจธรรม ๒)แสดง -สะสมอินทรีย์ -การฝึกจิต ธรรม ศึกษาธรรมของพระพุทธเจา้ นาธรรมไป ทุกทีทุกเวลา ท่ีเหมาะสม บรรยาย ๓)การสาธยายธรรม นาบทธรรมท่องอ่าน ไตรสรณะ แสดง คือ การ ใหค้ นฟัง ๔)การตรึกตรองธรรม นาบทธรรม เจตนาแรงกลา้ มี พสิ ูจน์ดว้ ย พิจารณา ๕)การนง่ั สมาธิพิจารณาธรรม ฝึกสมาธิ สมั มาทิฏฐิ ตนเอง พจิ ารณาสิ่งต่าง ๆท่ีเกิดข้ึน เกิดความเขา้ ใจลึกซ้ึง
๑๒๘ ตารางท่ี ๔.๒.๗๖ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“ ฆราวาสบรรลุธรรม” [ป.๓-๑๖] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -กายเป็นบา้ นของจิต -ตดั กิเลสตอ้ งดู -วางจิตอุเบกขาได้ -อเุ บกขาเกิดไดด้ ว้ ยกาลงั จิต จิต อาศยั อยู่ เป็น เวทนา เป็น เฝ้าดูความรู้สึก กระทบความมีตวั ตนเกิดอาการหลง พลงั งานหยาบมอง สะพานใหจ้ ิตขา้ ม การหลุดพน้ เป็น ในความรู้สึก แนวคิด ดว้ ยตาเปล่าเห็น ไปสู่โลกตุ รธรรม เร่ืองของจิต จิตต่ืน -สมาธิคือการทาใหจ้ ิตเป็นหน่ึง -จิตอิสระตอ้ งฝึ ก รู้พาจิตใหเ้ ป็น วิปัสสนากรรมฐานคือการฝึ กจิตใหม้ ี อุเบกขา อิสระปฏิบตั ิจึง สติสมั ปชญั ญะ ฝึ กวางอุเบกขา เขา้ ถึง -วิปัสสนามีหลกั แม่บทในสติปัฏฐาน ประสบการณ์ ๔ ต้งั สติในกาย เวทนา จิต ธรรม -จิตอาศยั กาย -เวทนาเผชิญ -กิเลสอยใู่ นจิต -สมถกรรมฐาน สมาธิ ความต้งั มน่ั สงั ขารถูกกระทบ ทุกข์ กายสังขาร จิตอยใู่ นกาย จิต ของจิต ฝึกจิตให้อยอู่ ารมณ์เดียว อาศยั กายสังขารอยู่ เกิดข้ึน มีกิเลส ปรุงแต่งอารมณ์ วปิ ัสสนากรรมฐานเป็นการเจริญ -อุเบกขาเกิดได้ มาอาศยั ในจิต ตลอดเวลา เจาะ ปัญญา ปฏิบตั ิสติสมั ปชญั ญะ คือ หลักการ ดว้ ยกาลงั จิต จิต -อายตนะ ๖ คน้ รหสั จิตสะสม การรู้ตวั ทวั่ พร้อมจะตอ้ งฝึกจิต กระทบ ความมี ประตูเขา้ ของ อะไรในสังขาร -การเจริญปัญญา หยง่ั รู้เป็นกาลงั ตวั ตน เกิดอาการ กิเลส หากปล่อย การบรรลุธรรม ของจิต อาตาปี สัมปชาโน สติมา หลงความรู้สึก ใหจ้ ิตไหลไปกบั ฝึกฝนจิตอยา่ ง คือ มีความเพยี รเผากิเลสท่ีเร่าร้อน -ตดั ขนั ธ์ ๕ อารมณ์ ประตู จริงจงั ประหาร กิเลสอยใู่ นจิต จิตอยใู่ นกาย เปิ ดทางเขา้ กิเลส กิเลสบีบค้นั จิต -ทาจิตเกิดปัญญา -สัมผสั ธรรมชาติ -กายเวทนา อุเบกขา วางเฉย -เตโชวปิ ัสสนา ใหเ้ พง่ ท่ีฝ่ ามือที่ รูป เสียง กล่ิน รส ปะทะสังขาร ต่อสิ่งที่กระทบ ประกบกนั มีความเพียรเผากิเลส สัมผสั ปรุงแต่ง ตา่ ง ๆ ตอ้ งวาง จิต จิตไม่ ท่ีร้อน วางจิตใหน้ ิ่งจนเป็นกาลงั เป็ นอารมณ์ อุเบกขา เกิดปฏิกิริยาปรุง ฌานพฒั นาไปสู่วปิ ัสสนาญาณ อุเบกขา คือ ความ -ใหม้ ี แต่ง การบรรลุ -วธิ ีการฝึกมีหลายวธิ ีแลว้ แต่ วิ ีธการ เสถียรของจิต สมั ปชญั ญะ รู้ ธรรมจิตเกิด ครูบาอาจารยต์ า่ ง ๆ วธิ ีดูเวทนา มน่ั คงไม่ส่ันคลอน เวทนาท่ีสมั ผสั ปัญญา จิตอิสระ วธิ ีฝึกอิริยาบถ วธิ ีเพง่ ดูจิต คือจิตเป็นอุเบกขา ใหไ้ ด้ วธิ ีการฝึก ทุกขค์ ือ อะไร เขา้ -ประสบการณ์ภาวนาแบบปัจจตั ตงั -กายเครื่องรับส่ง ดูเวทนา ไปตามหลกั (คิดเอาเอง) ปฏิบตั ิอยา่ งเอาชีวติ จิตสงั ขาร คือ -รู้ชดั อะไร อริยสจั ดว้ ยจิต เป็นเดิมพนั ฐานขอ้ มูล กระทบ อตั ตา การเพง่ จิตของ -สภาวะโพธิญาณ คือ การหยงั่ รู้ อารมณ์ ตนใหร้ ู้ถึงอริยสจั ระดบั ปรมตั ถ์
๑๒๙ ตารางที่ ๔.๒.๗๗ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“ชีวติ ไม่ไดม้ ีดา้ นเดียว” [ป.๓-๑๗] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -เจริญสติดูกาย -เพง่ -งานของจิต ตอ้ งจงใจ -เจริญสติปัฏฐาน จิตเห็นไตรลกั ษณ์ แนวคิด แต่ละขณะ ธรรม อารมณ์ เจตนาต้งั ใจ การเจริญสติ ความจริงโดยสมมติ โดยมปรมตั ถ์ ที่ควรเจริญดว้ ย จงใจ จิตเห็นไตรลกั ษณ์ จริงตามความเป็นจริง สรรพสิ่งลว้ น ปัญญา บริกรรม กรรมฐานเป็นงานภายใน สมมติชวั่ คราว เมื่อกศุ ลเกิดอกศุ ล ระบบความรู้สึกจิตสัมผสั ยอ่ มไม่เกิด สติระลึกรู้ในธรรม -ดูลมหายใจ -เห็นการ -จิตเม่ือมีอะไรมากระทบ -อาตาปี สัมปะชา โนสติมา และ บริกรรม หลบั ตา เกิดดบั ตอ้ งเห็นความรู้สึกของจิตท่ี ศรัทธา วริ ิยะ สมาธิ การปฏิบตั ิธรรม ลืมตากไ็ ด้ เขา้ ไป เป็น สมั ผสั กรรมฐานไมน่ อกใจ คือ การฝึกจิตเมื่อมีอะไรมากระทบ หลักการ เป็นผรู้ ู้จริงของ อนิจจงั ตวั เอง สตินอกตวั สติในตวั เกิดข้ึน ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผสั สติ ตวั เรากายใจ ใจ ทุกขงั รู้กายรู้ใจอยกู่ นั ตวั เอง จิต สมาธิเกิดข้ึนเอง ฝึกจนถึงเกิดข้ึนเอง อยกู่ บั ปัจจุบนั รู้ อนตั ตา อยกู่ บั ปัจจุบนั อารมณ์ ของ อตั โนมตั ิใชง้ านไดจ้ ริง ความเคล่ือนไหว จริงเกิดจากคนจริงเท่าน้นั -วปิ ัสสนา คือ การเห็นเปิ ดตา ไมใ่ ช่ พน้ จากขนั ธ์ ๕ งานทางจิตจงใจ เจตนา แค่หลบั ตา ในโลกแห่งความเป็นจริง เห็นจริง เห็นแลว้ เกิดอะไรข้ึนกบั จิต -สติอยทู่ ี่กายใจ -สติรู้ -สมาธิต้งั มนั่ จิตต้งั มนั่ -สมถะและวปิ ัสสนา ไม่ตอ้ งแยกกนั ต้งั ใจเจริญสติปัฏ กายใจ สติอยกู่ บั กายใจอตั โนมตั ิ ก็ได้ การศึกษาธรรมไมค่ วรจากดั โดย ฐาน ๔ กศุ ลเกิด อารมณ์ -จิตบรรลุธรรมไดด้ ว้ ย วธิ ีการ วปิ ัสสนาเป็นศิลปะทุกอยา่ ง อกุศลยอ่ มไมเ่ กิด ปัจจุบนั ตนเอง ปัญหาคือ ขาดความ ไม่มีแบบฉบบั ตายตวั ตาม -จงใจบริกรรม ที่เกิดข้ึน ต้งั มน่ั ใจจิต สถานการณ์ อิริยาบถ สัปปา ขณะน้นั -จิตต้งั มน่ั จะเห็นความเป็น -เจริญสติต้งั มนั่ เป็น วิ ีธการ ยะ หลบั ตาได้ -เห็น จริง การมีสมาธิ มีจิตต้งั มน่ั “ขณิกสมาธิ” จะเป็น สัมมาสมาธิ ลืมตาได้ เมื่อเดิน อารมณ์ จะเห็นรูปนามตามความ โดยอตั โนมตั ิ เมื่อสติประกอบเขา้ กบั เรารู้วา่ เราเดินอยู่ เห็น เป็นจริง กายและใจ เม่ือเกิดบอ่ ยๆประกอบต้งั ยนื อยู่ ใหร้ ู้วา่ เรา ความ -จิตมีหนา้ ท่ีรู้ เม่ือรู้อยา่ งอ่ืน มนั่ จนเห็นความเป็นรูปนาม เป็นจริง ยนื อยู่ เป็นจริง ได้ ยอ่ มรู้ตวั เองได้ จิตธาตุรู้ ปัญญาตอ้ งอาศยั สมาธิ -อนุโมทนากบั อารมณ์ จิตเห็นจิตอยา่ งแจ่มแจง้ คือ -สรรพส่ิงลว้ นชว่ั คราว ท้งั หลายท้งั การกระทาของ ต่าง ๆ เห็นตามความเป็นจริงของ ปวงเป็นเจา้ ของชว่ั คราวเทา่ น้นั สติ ตวั เอง ใหไ้ ด้ จิต ปัฏฐาน ๔ คือ การระลึกรู้ในธรรม
๑๓๐ ตารางท่ี ๔.๒.๗๘ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“วธิ ีปฏิบตั ิธรรมในชีวติ ประจาวนั อยา่ งง่ายๆ” [ป.๓-๑๘] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -การรับรู้ลมหายใจ -ฝึกหยดุ คิด -ควบคุมจิตได้ -แก่นแทข้ องพระพทุ ธศาสนา คือ อริยสจั -สติ คือ การมี ปรุงแต่ง คือ ผทู้ ี่มีสติ ๔ ความทุกข์ สาเหตุความทุกข์ ความดบั แนวคิด ความต้งั ใจ มีจิตจด อารมณ์ เผลอ หยดุ ความคิด ทุกข์ ทางปฏิบตั ิเพือ่ ดบั ทุกข์ ธรรมผตู้ รัส จอ่ อยกู่ บั กิจที่ ปรุงแตง่ ให้ และควบคุม รู้ความจริงอนั ประเสริฐ ๔ ประการ เจตนาทาอยู่ ฝึก สติกลบั มา คิด อานาจ -เร่ืองการเจริญสติ เป็นเร่ืองการควบคุม ตลอดเวลา รับรู้ลม ควบคุมคิด ความคิด หายใจ เหนือจิตใจ - รับรู้ลมหายใจ มี - นิพพาน -ความดบั ทุกข์ - สติ คือ การมีความต้งั ใจ มีจิตใจจดจ่อ สติรู้ลมหายใจที่ ชว่ั คราว คือ ภาวะจิตท่ี อยกู่ บั กิจที่เจตนาทาอยู่ เพยี รฝึกตนเอง มี ผา่ นเขา้ ออก เจริญสมาธิ มีความ สติในอริยสัจ ๔ ดูแลจิตไม่ใหค้ ิดอกุศล บริเวณรูจมูก และต้งั มนั่ บริสุทธ์ิ ผอ่ ง - หวั หนา้ ใหญ่ในกิเลส คือความหลง ตอ้ ง หลักการ ระงบั การ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ใส ไม่ทุกข์ พยายามเห็นคิด ควบคุมคิด ไมใ่ หค้ ิด เคล่ือนไหว ไม่ ไมค่ ิดอกศุ ล สบายสงบ ไม่ อกศุ ล ฝึกสติในขณะลืมตาปล่อยวาง ตอ้ งบริกรรม เผลอ หลุดพน้ คิด ปัญญา คือ ความรู้ตา่ ง ๆ เป็ นขอ้ มูลอยใู่ น สติ มีสติฟุ้งซ่าน ชว่ั คราว อกศุ ลกรรม ความทรงจา ใหก้ ลบั มา ควบคุม ความคิด มีสติ -ใชล้ มหายใจเป็น -รากเหงา้ -ควบคุมจิตได้ -วธิ ีฝึกปฏิบตั ิธรรม ตาม มรรค ๘ เพียร ฐาน สารวจ แห่งความชวั่ คือผมู้ ีสติหยดุ ศึกษาอริยสจั ๔ ฝึกปฏิบตั ิตามมรรค ๘ ความคิดโดยมีสติ คือ โลภ ความคิด -สมองทางานตามท่ีมีเจตนา คิดทากิจ อยกู่ บั ลมหายใจ ความอยาก ควบคุมคิด ต่าง ๆ ตามเจตนา กายวาจาใจ สมอง รับรู้ลมหายใจเขา้ โกรธ ความ อานาจควบคุม ควบคุมคิด มีสติจะควบคุมคิดได้ ต้งั ใจ วิ ีธการ ออกรูจมูก มีความ ข่นุ เคืองใจ คิดเหนือจิตใจ เพยี รสอนตวั เอง ฝึกปฏิบตั ิตลอดเวลา เพยี ร มีสติ มีจิตจด หลง ความ -สารวจ -มีความเพยี ร ฝึกตนเอง มีสติในอริยสจั ๔ จ่อ อยกู่ บั การรับรู้ ไมร่ ู้ใน ความคิด มีสติ ดูแลจิตใจไมใ่ หค้ ิดอกุศล ทาจิตใจผอ่ งใส ความรู้สึกลม อริยสัจ ๔ อยกู่ บั ลม -ฝึกในชีวติ ประจาวนั ๑)พยายามมีสติอยู่ หายใจตอ่ เนื่อง -รับรู้ หายใจ เสมอ รู้คิดควบคุมคิด ๒)มีสติพิจารณา ความรู้สึกลม ธรรม ๓)ใชส้ ติปัญญาทางโลกทางธรรม หายใจ ควบคู่ในชีวติ ประจาวนั
๑๓๑ ตารางที่ ๔.๒.๗๙ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง“รหสั ลบั บรรลุธรรมแบบเซน” [ป.๓-๑๙] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ขนั ธ์ ๕ -เวทนา -จิตพทุ ธะ มีปัญญาญาณตาม -สรรพสิ่งลว้ นสูญญตา สิ่งท้งั หลายในโลก แนวคิด รูปนาม เป็น ธรรมชาติ เหตุปัจจยั ลว้ นสมมติบญั ญตั ิ เกิดข้ึนต้งั อยดู่ บั ไป -สภาว อารมณ์ เหมาะสม จิตลุกโพลงออก ไมม่ ีความจริง เป็ นความคิดปรุงแต่ง ธรรม จิตวา่ งคือจิตนิพพาน ปราศจากความจริง -ต่ืนรู้ -สญั ญา -ปลุกจิตเห็นพทุ ธะภายในตน -หลกั ธรรมพ้ืนฐานพทุ ธแบบเซน สรรพส่ิง อยา่ งเซน ความรู้สึก ประจกั ษแ์ จง้ ดว้ ยตนเอง เขา้ สู่ ลว้ นมีความเป็นสูญญตา ความวา่ ง ส่ิง หลักการ วา่ ทุกส่ิง -สังขาร สภาวะน้นั ดว้ ยจิตตนเอง ท้งั หลายเป็นมายาภาพ ลว้ นมายา ความ -หยง่ั รู้ต่อธรรมชาติกายและ -สมมติบญั ญตั ิ สิ่งท้งั หลายในโลก ไมม่ ีส่ิง จานง จิต ประจกั ษแ์ จง้ สรรพส่ิง ลว้ นสมมติ คาพูดและภาษาลว้ นเป็นสมมติ ใดท่ีดารง -วญิ ญาณ -จิตเดิมแท้ เสมือนความวา่ ง สัจจะ สรรพสิ่งเป็นอยา่ งที่มนั เป็น อยจู่ ริง ความคิด จากส่ิงปรุงแตง่ และความคิด พุทธธรรมเป็นการรู้ไดเ้ ฉพาะตน -ทุกส่ิง -แรง -มรรควธิ ีการปฏิบตั ิธรรม -เซนสอนให้รู้แจง้ กระตุกจิตใหผ้ คู้ นตรัสรู้ ตกอยใู่ น บนั ดาล ของเซน ๑)จิตสู่จิต ๒)ไม่ติด หยง่ั รู้ถึงธรรมชาติสรรพสิ่ง ไร้ภาวะใด ๆ ไตร ใจ ยดึ คาพูดภาษา ๓)มีเอกลกั ษณ์ -การปฏิบตั ิสมาธิแบบเซน คือ ลกั ษณ์ -รับรู้ทาง “จิตพุทธะ”พทุ ธภาวะ จิตเดิม การปฏิบตั ิโดยไม่มีการกระทาส่ิงใด เห็น ขนั ธ์ ๕ อายตนะ แทพ้ น้ จากสิ่งสมมติ ๔)พทุ ธ ความเป็นจิตเดิมแทต้ ามธรรมชาติ ร่างกาย เป็นมายา ภาวะ สภาวะสูงสุดแห่งจิต -ผรู้ ู้แจง้ สรรพสิ่งบนโลกไม่มีอะไร และ ไร้ ความ -พจิ ารณาให้เห็นสภาวธรรม ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นของเรา เป็นของใคร จิตใจ จริงแท้ แห่งการปรุงแต่งเป็นมายา นอกจากความวา่ งเปล่า ผใู้ ดมองเห็น วิ ีธการ -รูปนาม หากเป็น เป็นพฤติจิต สภาวธรรมลว้ น ๆ แจม่ แจง้ ยอ่ มเบื่อหน่าย ขนั ธ์ ๕ ความจริง -พฤติการณ์แห่งจิต สะสม ในการทุกทุกข์ ซ้าๆซากๆ ไมใ่ ช่ ก็เพยี ง การรับรู้ และจิตปรุงแต่งตาม -ปัญญาญาณ กุญแจไขความรู้แจง้ ตวั มายา ตวั ตน สมมติ สญั ญา ความจาท่ีสมอง สรรพส่ิงลว้ นไมม่ ีอยจู่ ริง อะไรกไ็ มจ่ ริง -หยง่ั รู้ -จิตสังขารการปรุงแตง่ จิต -เซน ไร้คาสอน ไร้การปฏิบตั ิ ธรรมชาติ การนึกคิดปรุงแตง่ เป็น ไมส่ อนดว้ ยภาษา มุง่ ใหถ้ ึง กาย จิต สภาวธรรม หรือเป็น สภาวธรรมดว้ ยตนเอง ประจกั ษ์ ธรรมชาติท้งั หลาย “ปรากฎ แจง้ ต่อ แห่งจิต” เห็นความคิดปรุง สรรพส่ิง แต่งอยตู่ ลอดเวลา
๑๓๒ ตารางที่ ๔.๒.๘๐ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“ศาสตร์แห่งภาวนาการหลอมรวมพุทธศาสนากบั ประสาทวทิ ยา” [ป.๓-๒๐] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ความเบิก -ความสงบสุข -กระบวนการทางจิต -หลกั การเพือ่ บรรลุญาณทศั นะ บานนาไปสู่ มีสมดุลทาง เชิงอตั วสิ ัย ไมใ่ ช่เชิงภาว เรียกวา่ สติปัฏฐาน ๔ การมอง แนวคิด ความจริง อารมณ์ วสิ ัย การรับรู้ดว้ ยจิต รับรู้ ความจริงใชพ้ รหมวหิ าร ๔ -มุ่งมนั่ ใส่ใจ -การรับรู้ ดว้ ยใจ การปฏิบตั ิสมาธิ -พุทธปัญญา สืบคน้ ประจกั ษ์ รับรู้อารมณ์ อารมณ์ต่างๆ ภาวนาเป็นวธิ ีการเพ่ือ เหตุผลตามอตั วสิ ยั ต่าง ๆ จิตรู้อารมณ์ ฝึกฝนจิตเป็นเคร่ืองมือไป ดว้ ยตนเอง สงั เกตปรากฎการณ์จิต - กาหนดรู้ -การปฏิบตั ิโดย -การมีสติคือเครื่องมือ -การเพง่ ภายในบ่มเพาะพลงั งาน กายเรา ใชส้ ติไปทากบั หลกั การบรรลุธรรม การจดจ่อจดั ระเบียบความเป็ นจริง สังเกตการ ความรู้สึกตา่ ง สมถะตอ้ งอาศยั ภายในสอดคลอ้ งภายนอก เกิดดบั ใน ๆ (เวทนา) สมั ปชญั ญะ -หลกั ปฏิบตั ิเพอื่ บรรลุถึงฌาน หลักการ กาย การ สังเกตความ -สมาธิภาวนาเป็นวธิ ีการ เรียกวา่ สติปัฏฐาน ๔ จดจอ่ รับรู้กาย เกิดข้ึนและจาง ฝึกฝนจิตเป็นเครื่องมือ พิจารณากายเวทนาจิตธรรม ผอู้ ่ืนจดจ่อ หายไป ของ สงั เกตปรากฎการณ์จิต นาไปสู่ ภายใน ความรู้สึก -การสืบคน้ ทางจิต คือการ -นากลวธิ ีสมาธิภาวนาใน ภายนอก พ้ืนฐานของ บม่ เพาะพลงั การจดจอ่ ต้งั พทุ ธศาสนา มาบูรณาการ อยา่ งตอ่ กายและจิต สุข มน่ั ตระหนกั รู้ อารมณ์ วทิ ยาศาสตร์ตะวนั ตก เป็น เนือง ทุกขเ์ ฉยๆ ภาวนา “ศาสตร์แห่งการภาวนา” -การฝึก -เฝ้าสังเกต -ควบคุมจิตได้ จะควบคุม -แนวหลกั การปฏิบตั ิเพ่อื บรรลุ ความจดจ่อ อารมณ์ สรรพส่ิงได้ จิตมาก่อน ฌานเรียกวา่ สติปัฏฐาน ๔ จดจ่อ กบั ลม ความรู้สึก ปรากฏการณ์ เมื่อเราเขา้ ใจ พจิ ารณา กาย เวทนา จิต ธรรม หายใจ คือ ภายใน ดูการ จิตเราเขา้ ใจปรากฎการณ์ -สติปัฏฐาน ๔ นาไปสู่ความ กาหนดรู้ลม เกิดข้ึนและการ ไดก้ ระบวนการทางจิต ตระหนกั รู้หน่ึงเดียว คือ จิตสานึก วิ ีธการ หายใจ สิ้นสุด ของ พิจารณาดว้ ยตนเอง เดิมแท้ นอ้ มจิตไปใน ความรู้สึก ความรู้สึก -การตระหนกั รู้สิ่งเดียวคือ สภาวธรรมชาติได้ ลมหายใจที่ ตา่ ง ๆ ใน จิตสานึกเดิมแท้ นอ้ มจิต -การฝึกฝนเพื่อบรรลุญาณทสั นะ รูจมูก ตนเอง ไปในสภาวะธรรมชาติ เป็นศาสตร์แห่งการพิจารณา -รู้จกั ตวั เอง การเพง่ พจิ ารณาภายในบ่ม ภายในความรู้เกี่ยวกบั จิตผา่ น เพาะพลงั การจดจอ่ ประสบการณ์
๑๓๓ ตารางท่ี ๔.๒.๘๑ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง“อริยทรัพย์ แห่ง ผรู้ ู้แจง้ หลกั ปฏิบตั ิวา่ ดว้ ยสมั มาทิฏฐิ สัมมาภาวนา และสัมมาจริยา” [ป ๓-๒๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -รูป คือ หวั ใจการ -เวทนา คือ -การชาระจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ -สมั มาทิฏฐิ คือ มีความเขา้ ใจถูกตอ้ ง แนวคิด ปฏิบตั ิ บว่ งรัดจิต -โพธิจิต จิตที่รู้แจง้ ในคาสอนเพยี รคร้ังแลว้ คร้ังเล่า รับรู้รูปตาม และวตั ถุเขา้ ปรารถนาบรรลุธรรม -จงใชอ้ ุบายที่เป็นแก่น ธรรมชาติ ไว้ เพอ่ื สรรพสตั ว์ คาสอนละวางความคิดแลว้ สวด มนตร์ -ใชช้ ีวติ สมถะ -การยดึ ติด -ต้งั จิตปรารถนาการ -แก่นแทข้ องมหายาน คือ โพธิจิต มีมรณสติเป็ น กบั อายตนะ บรรลุ สมั ผสั ธรรมชาติ ความปรารถนาจะบรรลุธรรมเพือ่ หลักการ ฐาน สุญญตา ตา่ งๆ คือ ของจิต เขา้ ใจโพธิจิต ประโยชน์สรรพสัตว์ กรุณา สาเหตุท่ีทา ระดบั ปรมตั ถ์ -สลดสังเวชกบั การเวยี นวา่ ยตายเกิด มุทิตา อุเบกขา ใหเ้ วยี นวา่ ย -โยคะ ๔ ต้งั จิตอยใู่ น สร้างแรงจูงใจอยากพาตนเองออก เอ้ือสงเคราะห์ ใน อารมณ์เดียว จากอวชิ ชา สงั สารวฏั สงั สารวฏั -จิตมีความเพียรต่อเน่ือง -พละแห่งการเก้ือกูล - การปฏิบตั ิข้นั -ตระหนกั รู้ -การอบรมจิตใหด้ ีงาน -การปฏิบตั ิเขา้ ใจถูกตอ้ ง สมบูรณ์ เป็นรส อาศยั มานะ อุตสาหะ มีสมั มาทิฏฐิ เป็นอิสระจากกิเลส ธรรมชาติ เดียวกนั -ต้งั จิตปรารถนาบรรลุ บดบงั จิต ภาวนาท่ีถูกตอ้ ง ของจิต ทุกสิ่ง กายจิตอยู่ ธรรม สัมผสั ธรรมชาติ -หนั กลบั มามองขา้ งใน ทฤษฎีไม่มี ปรากฎลว้ นมายา รวมกนั ของจิตเขา้ ใจโพธิจิต ประโยชน์อะไร ควบคุมจิตใจตนเอง มิไดม้ ีตวั ตน -เวทนา เป็น ระดบั ปรมตั ถ์ ใหด้ ีข้ึนเรื่อย ๆ ไมว่ า่ สถานการณ์ใด แทจ้ ริง ความรู้สึก -จงสารวจจิตตนเองซ้า นอ้ มเอาสมั มาทิฏฐิ รู้ไวใ้ นจิต พงึ วิ ีธการ จิตอาศยั อยใู่ น -ความอยาก แลว้ ซ้าอีก ทุกสิ่งที่ทา สารวมความคิด คาพูด การกระทา ร่างกาย ไมว่ า่ คือ ตวั ก่อ เป็นมรรคธรรม ของตนอยตู่ ลอดเวลา เผชิญอะไร กรรม ทาให้ เป้าหมายคือนายแห่งจิต -ปรากฎการณ์ท้งั ปวงวา่ งเปล่า จิตจะเป็ นผเู้ ห็น ตอ้ งเวยี นใน ควบคุมจิตได้ ควบคุม จริงเทจ็ เปล่ียนไปตามธรรมชาติของ ไดย้ นิ ไดก้ ลิ่น มี สังสารวฏั กาย วาจา ไดเ้ ป็นนายจิต มนั ปฏิบตั ิดว้ ยจิตท่ีปราศจากยดึ ติด ความรู้สึกต่อส่ิง -สานกั รู้ คือ -จิตเป็ นไปอยา่ ง -พระธรรม เป็นเคร่ืองเตือนใจ วา่ น้นั วญิ ญาณ สอดคลอ้ งคาสอน ควรทาอะไร ควรหลีกเล่ียงอะไร ขนั ธ์ หรือไม่ ต้งั อยู่ ถูกประมวลไวอ้ ยา่ งสมบูรณ์ ในความระลึกรู้
๑๓๔ ตารางท่ี ๔.๒.๘๒ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “จิตดวงสุดทา้ ย” [ป.๓-๒๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สติ คือ จงใจเจตนา -กายป่ วย -สญั ญา คือ ความจาไดห้ มาย -กรรมจาแนกจิตเป็ น ระลึกรู้กายใจ อยา่ ใหใ้ จ รู้ของจิต จดจา บนั ทึกภาพ พลงั งาน กฎแห่งกรรม กาย แนวคิด -การรับรู้ความรู้สึก ป่ วยตาม เหตุการณ์ เหมือนถ่ายภาพ เป็นสสาร จิตดวงสุดทา้ ย จิต ของลมหายใจท่ีเขา้ วดิ ิโอเกบ็ ตลอดทุกภพ จิต ต้งั มน่ั กบั ลมหายใจเขา้ ออก ออก ดวงสุดทา้ ยคลายขอ้ มูล รับรู้ ตลอดเวลา -จงใจระลึกรู้กายใจ อารมณ์ กรรมสง่ั จิตบนั ทึกไว้ -กรรมฐานมรณาสติ -ศีลเป็ น -ความ -จิตสุดทา้ ยคลายขอ้ มูลใหจ้ ิต -สัญญา คือ ความจาไดห้ มาย หลกั ประกนั ชีวติ รู้สึกคิด รับรู้อารมณ์ พาจิตจดจา รู้ของจิต ทาหนา้ ท่ี จดจา เหนือบุญบาปชาระ ฟุ้ง ปรุง สภาวะต่าง ๆ แมน่ ยากรรม บนั ทึกภาพเหตุการณ์ หลักการ จิตใหส้ ะอาด แต่ง ไม่ จาแนกจิตเป็นพลงั งาน กฎ เหมือนภาพถ่ายวดี ิโอ เกบ็ ไว้ -กรรมจาแนกจิต คิดปรุง แห่งกรรม กายเป็นสสาร จิต ตลอดทุกภพ เป็นพลงั งาน กฎ แต่ง ดวงสุดทา้ ย จิตต้งั มนั่ กบั ลม -นกั ปฏิบตั ิตวั จริงตอ้ งพร้อม แห่งกรรม หายใจเขา้ ออกตลอดเวลา ออกเดินทางไดท้ ุกเม่ือ กายเป็ นสสาร -การรับรู้ความรู้สึก -การมีสติ -การฝึกจิต คือ การปฏิบตั ิ -วธิ ีการต่างๆ ตามดูตามรู้ลม ของลมหายใจที่เขา้ อยกู่ บั คา ธรรมเป็ นการหดั ใหจ้ ิตรู้จกั หายใจ การรู้กายใจมี 2 อยา่ ง ออก บริเวณรูจมูก บริกรรม สภาวะต่าง ๆ วา่ มีลกั ษณะ คือ รู้ขา้ งนอก (สติ) รู้ขา้ งใน อยา่ งตอ่ เนื่อง -ระลึกรู้ อยา่ งไร มีความเพยี รสร้าง คือ (สติปัฏฐาน) ความ -ระงบั ความฟุ้งซ่าน กายใจ สมั ปชญั ญะเกิดข้ึนตลอดเวลา เป็นอยขู่ องกายใจเป็นที่ต้งั ดว้ ยความรู้สึก รับรู้ -สติรู้ ไมข่ าดสาย มีความ ของสติ เรียกวา่ สติปัฏฐาน วิ ีธการ ลมหายใจ ท่ีผา่ นเขา้ เตรียมพร้อมกบั ความตาย -กรรมฐานมีหลายรูปแบบ ออกบริเวณรูจมูก -ชาระจิตใหส้ ะอาด วาระสุดทา้ ยชีวติ ฝึกลม -ต้งั ใจมีสติเพยี รฝึก -ระลึกถึงความตายบอ่ ย ๆ หายใจดีที่สุด ใน ตน เอาจิตจดจอ่ เนือง ๆ ไม่ประมาท นึกทุก พระไตรปิ ฎกมีหลายวธิ ี การ ความรู้สึกของลม ลมหายใจเขา้ ออก รู้ทนั ความ เจริญอานาปาสนติ ไม่คิด หายใจ ผา่ นเขา้ ออก ตาย สติอยกู่ บั ปัจจุบนั เร่ืองอ่ืนใดนอกจากจิต จมูก -จิตแนบแน่นอยกู่ บั ลมหายใจ บริสุทธ์ิ -ศีลบริสุทธ์ิได้ จิตเป็ นสมาธิต้งั มนั่ อยลู่ ม -ฝึกภาวนาใหย้ อมรับความ เพราะธรรม หายใจเขา้ ออกตลอดเวลา จริง ไม่หนีความจริง
๑๓๕ ตารางท่ี ๔.๒.๘๓ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “เตโชวิปัสสนา เปิ ดประตูนิพพาน” [ป.๓-๒๓] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -จิตคือกาย กาย -ปรุงแต่งเวทนา -พลงั แห่งสติปฏิบตั ิ -ต้งั สติสงั เกตกาย เวทนา จิต คือจิต แยกกนั หรืออารมณ์ท้งั วปิ ัสสนาอยา่ งตอ่ เนื่อง ธรรม จิตคืออาณาจกั ร จิตอยู่ แนวคิด ไมอ่ อก กายใจ ผา่ น ตา จิตลงสู่จิตใหส้ านึก กลางเป็นรากเหงา้ กิเลส อาตาปี -ต้งั สติสังเกต หู จมูก สิ้น กาย ชาระจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ สมั ปชาโน สติมา มีความเพยี ร กาย เพง่ ดูกาย ใจ อาศยั เวทนา วปิ ัสสนาเพ่ือชาระจิต เผา่ กิเลส วธิ ีการเตโชวปิ ัสสนา -ปลงอสุภะเบ่ือ -ต้งั สติสงั เกต ใหบ้ ริสุทธ์ิ ฝึกวางจิต -จิตมนั่ คง ศีลมนั่ คง หน่ายในสังขาร เวทนา เป็ นอุเบกขา ปฏิบตั ิภาวนา -จุดธาตุไฟใน -ฝึกวางอุเบกขา -เอาจิตไปพจิ ารณากาย -วปิ ัสสนากรรมฐานเป็ นการดูให้ กายเผากิเลส คือ ไมป่ รุงใจไป สังขารคือจิตส่วน รู้แจง้ ให้เกิดปัญญาหยงั่ รู้ไปถึง วธิ ีการเตโช รับเขา้ มาและ สุดทา้ ยที่สะสมปรุง รากเหงา้ กิเลส กาจดั ความเศร้า วปิ ัสสนา ส่งออก อุเบกขา แตง่ ตามอารมณ์ ชาระ หมองในจิตโดยสิ้นเชิง หลักการ หมายถึงการ คือ แค่รับรู้แลว้ จิตใหบ้ ริสุทธ์ิ จิตเป็น -การตดั กรรมมี ๒ วธิ ี คือ ๑)การ เพง่ ดูโดยใช้ วางเฉย พลงั งานท่ีมีกระแส ขออโหสิกรรม ๒)การปฏิบตั ิ ธาตุไฟในกาย -ไม่หวนั่ ไหวต่อ ความถี่ ท้งั ตาและสูง สมาธิและวปิ ัสสนากรรมฐาน เป็นเครื่องมือ สิ่งท่ีมากระทบ แลว้ แต่สถาวะของจิต -วปิ ัสสนา คือ การปฏิบตั ิเผชิญ การเห็นการ ทางอายตนะ คนน้นั คลื่นต่าคือบาป ความจริง ดว้ ยการใชป้ ัญญา แตกดบั สังขาร -ไม่ปรุงแต่งและ มาก คล่ืนถี่คือจิต พจิ ารณาขดุ รากถอนโคนกิเลส รับเขา้ อารมณ์ สะอาดมาก เคร่ืองดองสนั ดาน -ธาตุ ๔ ดิน -วธิ ีฝึกอุเบกขา -จิต คือ มหาอาณาจกั ร -วปิ ัสสนากรรมฐานคือการ (เน้ือหนงั คือการรับรู้ ชาระจิตใหบ้ ริสุทธ์ิได้ เผชิญหนา้ กบั ความจริงดว้ ยการ กระดูก) ความรู้สึกทาง คือ ตอ้ งมีปัญญารู้วา่ ใชป้ ัญญาพิจารณาขดุ รากกิเลส น้า(ของเหลว กายและใจวาง จิตสะสมอะไรไวบ้ า้ ง เครื่องดองสนั ดาน ในร่างกาย) ลม เฉยตอ่ อารมณ์ที่ ตอ้ งชาระลา้ งออก -เตโชวปิ ัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่ วิ ีธการ (อากาศหายใจ) เกิดข้ึน -ญาณการล่วงรู้อนาคต เตโชกสิณไมใ่ ชส้ มถภาวนา แต่ ไฟ (ความ -รับรู้และวางเฉย จิตตอ้ งละเอียด ญาณรู้ เป็นวปิ ัสสนากรรมฐาน จุดธาตุ อบอุน่ ใน วางอุเบกขาใหร้ ู้ วาระจิต ผสู้ ่งคลื่นกบั ไฟเผากิเลสในกาย ร่างกาย) อนิจจงั ไมเ่ ท่ียง ผรู้ ับกระแส -เพง่ ฝ่ ามือนานจนจิตร้อน เมื่อจิต -เห็นแตกดบั -สังขารคือจิตส่วน น่ิงจะมีพลงั งานข้ึนเตโชธาตุ สงั ขาร สุดทา้ ยท่ีสะสมอารมณ์ วปิ ัสสนาตดั กรรมไดแ้ ทจ้ ริง
๑๓๖ ตารางท่ี ๔.๒.๘๔ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเรื่อง “นิพพานไมไ่ กลเกินเอ้ือม” [ป.๓-๒๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ศีล สาคญั ตอ่ -อุเบกขา -พฒั นาจิต -บรรลุธรรม คือ ผลที่ไดร้ ับความรู้จากทฤษฎี แนวคิด การปฏิบตั ิธรรม คือ ความ การชาระ หรือปริยตั ิ นาพระธรรมคาสอน เป็นกลาง กิเลส การให้ พระพุทธเจา้ ท่ีไดอ้ ่านจากตารา ฟังครูบาอาจารย์ จิตทางาน มาปฏิบตั ิจิตยอมรับ กระจ่างปัญญารู้เห็นธรรม วปิ ัสสนา ดว้ ยปัญญา พิจารณาทุกส่ิงตามความเป็นจริง - รักษาศีล ๕ ศีล -สภาวะไม่ -พิจารณา -ปฏิบตั ิตามแนวสัมมาทิฐิ คือ ความเห็นท่ีถูกตอ้ ง สาคญั ตอ่ การ ทุกขไ์ มส่ ุข เห็นส่ิงตา่ ง ๆ รู้ทนั ใชป้ ัญญาเห็นความจริง ฝึกสร้างปัญญา หลักการ ปฏิบตั ิธรรม -ผสั สะ ตามความ รู้จกั ความคิดตนเอง รู้จกั เส้นทางบรรลุธรรม สวดมนต์ นงั่ กระทบ เป็นจริงไตร ใชป้ ัญญาพจิ ารณาธรรม สมาธิ เดิน กิเลสเบา ลกั ษณ์ -ยดึ หลกั ธรรม ๑)การไมท่ าบาปท้งั ปวง ๒)ทา จงกรม บาง กศุ ลใหถ้ ึงพร้อม ๓)การชาระจิตใหบ้ ริสุทธ์ิ -ไม่มีตวั เราทุก -สภาวะที่ -ชาระจิตให้ -ข้นั ตอนเกิดปัญญา ๑)สุตมยปัญญา ปัญญาท่ีเกิด อยา่ งเป็นเพียง เป็น บริสุทธ์ิ คือ จากการอ่านฟังเล่าเรียนและ โยนิโสมนสิการให้ สมบตั ิโลก ไม่มี อุเบกขา การเจริญ เป็น ๒)จินตมยปัญญา ๓)ภาวนามยปัญญา ใครเป็นเจา้ ของ รมณ์ คือ ภาวนาจิตต่อ ฝึกจิตใหร้ ู้จกั คิดพิจารณาขอ้ ธรรมที่พระพุทธเจา้ อยา่ งแทจ้ ริง ตวั ความเป็น ยอดจาก นาสอนพฒั นาจิตใจ จนจิตเห็นแจง้ ในธรรม เราไม่มี กลาง อายตนะ -ฝึกคิดดว้ ยปัญญาพิจารณาใหเ้ กิดความชานาญ -เพียรสอนใจ -วธิ ีการ -จิตสง่ั สมอง แตกฉานเห็นอะไรนามาคิดพิจารณา ดว้ ยปัญญา สติ ปฏิบตั ิมี ไปที่กาย ให้ เป็นโยนิโสมนสิการสร้างปัญญาข้ึนมาคิดอุบาย วิ ีธการ รู้ทนั หมด หลายวธิ ี อารมณ์ สอนใจเห็นใหถ้ ูกตอ้ งคิดใหเ้ ป็นยอมรับความจริง -เผชิญผสั สะ มี -ทาใจให้ ออกมา -สมถะกบั วปิ ัสสนา อุบายท้งั สองหนุนกนั ผู้ อุเบกขา ไดม้ าก เป็น -จิตเห็นความ ปฏิบตั ิตอ้ งเขา้ ใจอาการจิตของตวั เอง นอ้ ยเพยี งใด การ อุเบกขา จริงที่เป็ น เม่ือจิตสงบใหป้ ัญญาพจิ ารณาหลกั สจั ธรรม บรรลุธรรมเป็น ไม่ปรุง ปรมตั สัจจะ -ช่วงใดจิตเราชอบนึก ชอบคิด ไมอ่ ยเู่ ป็นปกติ เรื่องแตล่ ะคน แต่งไป จะกาหนดคาบริกรรม กาหนดอานาปานสติ ปฏิบตั ิธรรมให้ ตามกิเลส ถา้ ลืมตวั ไปใชป้ ัญญาพิจารณาไปก่อน สมควรแก่ธรรม ตณั หา -ตอ้ งทาตวั เองเป็ นนกั ทดลองนาวธิ ีตา่ ง ๆ ที่ อ่านเจอ หรืออาจารยส์ อนมาลองทาดู ใชก้ ารสงั เกต ตอ้ งทาจริง
๑๓๗ ตารางที่ ๔.๒.๘๕ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกตาม กาย เวทนา จิต ธรรม จากวรรณกรรมเร่ือง “กรรมตามสมอง” [ป.๓-๒๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -รู้ตวั แลว้ นาจิต -บริหาร -หวั ใจการฝึก -การฝึกสมาธิ โดยนง่ั สมาธิ ช่วยให้ มาอยกู่ บั ปัจจุบนั อารมณ์ ทุก สมาธิ คือ รู้เท่าทนั วอ่ งไวต่อการจบั ความเคล่ือนไหวของ -การฝึกโดยการ ประเภทไดด้ ี จิต จิตและ ความคิด เกิดดบั ในจิตเบ้ืองตน้ เพมิ่ สติ หลักการ แนวคิด นง่ั สมาธิ ช่วยให้ -ฝึกเป็นผดู้ ู ความคิดเกิดดบั เพิ่มเส้นประสาทสมองได้ วอ่ งไวต่อการจบั ความคิด วอ่ งไว การเขา้ ไป -การฝึกรู้ทนั ความคิด คือ วธิ ีการฝึกเจริญ ความ ความอยาก ดูจิตท่ีวงิ่ ไปจบั สติ การนง่ั สมาธิ คือ การนง่ั ดูลมหายใจ เคล่ือนไหว ไมเ่ อาตวั เอง อารมณ์ตา่ งได้ จิตไปไหนดึงจิตกลบั มาอยกู่ บั ลมหายใจ ความคิด เกิดดบั ไปมว่ั สุมกบั ตอ้ งฝึกฝนอยา่ ง ปัจจุบนั ไดบ้ ่อย ๆ ฝึกสมาธิทุกวนั ทา ของจิต เบ้ืองตน้ มนั สม่าเสมอ บ่อย ๆ ทาจนเป็นนิสัย ตอ้ งทาสม่าเสมอ -ความรู้สึก - ฝึกสมาธิ -ฝึกสมาธิจิตน่ิงแค่ -สติ คือ เบรกที่จะถึงจิตของเรากลบั มาอยู่ กลบั มาอยกู่ บั ลม ควบคุมความ ไหน ไมส่ าคญั กบั ปัจจุบนั ขณะ สติจะช่วยใหด้ ึงพลงั งาน หายใจปัจจุบนั โกรธ ความ เท่ากบั เรา ดึงจิต ของจิตสานึกและจิตใตส้ านึกออกมาใช้ จิตวง่ิ จากลม กลวั ไดด้ ี เพ่ิม กลบั มาอยกู่ บั ลม งานอยา่ งเตม็ ที่ นง่ั สมาธิ คือการนง่ั ดูลม หายใจไป ใหส้ ูด เส้นประสาท หายใจไดบ้ ่อยแค่ หายใจ จิตไปไหนจนจิตกลบั มาอยู่ ลมหายใจลึกๆ เช่ือมโยง ไหน สุดทา้ ยผล กบั ลมหายใจไดบ้ ่อย ๆ จิตสงบเป็นสุข พาจิตมา คาสั่ง สมอง การฝึกดึงจิต ฝึกจิตกลบั มาปัจจุบนั ทาสม่าเสมอ สมองจาก บริหาร กลบั มาอยกู่ บั ฝึกสมาธิทุกวนั ทาบอ่ ย ๆ ทาจนเป็นนิสัย ความคิด คาพูด อารมณ์ ปัจจุบนั คือ จิต -หลกั การทางานของสมองและจิต เป็ นการกระทา ตอ้ งน่ิงสงบ สุข หวั ใจการฝึกสติ คือ รู้เท่าทนั จิต -นง่ั สมาธิ -ใชจ้ ิตนาการ -จิต พลงั จิต การ -การดบั ทุกข์ คือการปฏิบตั ิธรรมจน สม่าเสมอเอา ควบคุม ทางานจิต เรียนรู้ สามารถรับรู้ทุกอยา่ งโดยไม่ผา่ นการปรุง ออกซิเจนไป ความคิด การ เพื่อเปล่ียนจิตใช้ แต่ง การเอาชนะใจตนเองดว้ ยการสะกด เล้ียงสมองส่วน รับรู้โลก สานึก เปล่ียนนิสัย จิต สติควบคุมจิตใตส้ านึกไม่ตกเป็นทาส วิ ีธการ หนา้ รู้ตวั บ่อย ภายนอกมา เปล่ียนชีวติ การ กรรม สติคือเครื่องแกก้ รรม -เวลามีความ จากการ ฝึกรู้เท่าทนั จิตคือ -ดบั ทุกข์ คือ การปฏิบตั ิธรรมจน อยาก โตค้ ลื่น สังเคราะห์ วธิ ีเจริญสติ เปลี่ยน สามารถรรับรู้ทุกอ่างโดยไม่ผา่ นการปรุง ความคิด ๔ เส้นประสาท ส่ิงท่ีอยใู่ นจิตใต้ แต่ง สิ่งที่จิตรับรู้หากจิตไม่ละเอียดพอ ข้นั ตอน คือ รู้ ในสมอง สานึก ยอ่ มเห็นปรากฎการณ์ไมท่ นั เห็น เยน็ วาง เพ่ือใหจ้ ิตรู้
๑๓๘ ตอนที่ ๔.๒.๔ การสังเคราะห์องค์ความรู้เรื่องสติปัฏฐาน ๔ จากประเภทวรรณกรรม ๔) แนวบูรณาการกบั ศาสตร์สมยั ใหม่ ตารางที่ ๔.๒.๘๖ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเรื่อง “ไอน์สไตน์พบ พระพทุ ธเจา้ เห็น” [ป ๔-๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -กาหนดพ้ืนฐานดา้ น -เอาสติไปเกาะ -กาหนดจิตอยู่ -หวั ใจพุทธศาสนา การเจริญสติ กายานุปัสสนา ไวท้ ่ี สมาธิญาณสูง ตามหลกั วปิ ัสสนากรรมฐาน หลักการ แนวคิด สติปัฏฐาน แขง็ แรง ความรู้สึก จิตเกิดดบั อยา่ ง -สติปัฏฐาน พอ เกิดปัญญาเห็น -พิจารณา รวดเร็วเห็น การนาจิตไปวางท่ีฐานท้งั ๔ ฐาน ไตรลกั ษณ์ ความ สภาวะทุกข์ ชดั เจน กายเวทนาจิตธรรม แทจ้ ริงแห่งธรรมชาติ สุข เฉย - กาหนดจิต พิจารณาเป็ นไป -กายานุปัสสนา -หลกั เอาเวทนา -ความยดื หด -ปัญญา ๓ ระดบั ไดแ้ ก่ เห็นง่ายที่สุด เป็นอารมณ์เกิด ของเวลามีอยู่ จิตมยปัญญา การคิด สุตมยปัญญา พ้นื ฐานมหาสติปัฏ เป็นปัญญาเห็น จริงทางพระ เรียน ภาวนามยปัญญา ฐาน เขา้ ใจการเกิด อนิจจงั ทุกขงั พุทธ หยงั่ รู้กาหนดสมาธิ ดบั กายเวทนาจิต อนตั ตา ศาสนา จิตน่ิงจะ -การหยง่ั รู้ญาณทศั นะ ธรรม -ระบบประสาท เห็นการเกิดดบั -ความเขา้ ใจความไมม่ ีอยจู่ ริงของ -สมาธิแยกกายจิต สัมผสั ชดั เจน เวลาเป็น รูปนาม ตอ้ งใชป้ ัญญาระดบั ความจริงผุดข้ึน สิ่งท่ียดื หดได้ ภาวนามยปัญญา -ฝึกสติไวท้ ่ีกาย -พจิ ารณา -จิตนิ่งเมื่อแนบ -กาหนดสติสัมปชญั ญะใหร้ ู้เทา่ ทนั กาหนดสติไปเกาะไว้ ทุกขเวทนา มีสติ แน่นมน่ั คงเวลา การเกิดข้ึน ต้งั อยู่ และดบั ไป ท่ีกาย กาหนดรู้ตาม รู้เทา่ ทนั เสวย จะผา่ นไปอยา่ ง นาไปสู่การพจิ ารณาไตรลกั ษณ์ สภาวะตามความเป็น อารมณ์ รวดเร็ว ยกจิตสู่ เขา้ ใจอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา จริง ความรู้สึก วปิ ัสสนาญาณ เกิดมรรคญาณ วิ ีธการ -รู้ลมหายใจเขา้ ออก ชวั่ คราวดบั ไป -กาหนดจิตจด -พ้ืนฐานสติปัฏฐาน ทอ้ งพองยบุ การ -นาสติไปจบั จ่อสิ่งใดส่ิงหน่ึง เขา้ ใจการเกิดดบั เคลื่อนไหวอิริยาบถ ความรู้สึกได้ อารมณ์ใด เป็น ของกายเวทนาจิตธรรม การเคลื่อนไหวกายทุก เวลานาน จิตนิ่ง -สติปัฏฐาน ๔ เทคนิควธิ ีการ ขณะ ยนื เดินนง่ั นอน เจริญสติ สมาธิ ปัญญา การนาสติ ไปวาง ๔ ฐาน กายเวทนาจิตธรรม
๑๓๙ ตารางที่ ๔.๒.๘๗ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเรื่อง “ไอนส์ ไตน์พบ พระพทุ ธเจา้ เห็น II” [ป ๔-๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สมองเป็น -ความรู้สึก -เน้ือแทข้ องโลก เน้ือแท้ -จุดมุง่ หมายการปฏิบตั ิธรรม โครงสร้าง ฝังอยใู่ นจิต ของจิต จกั รวาลมาจากจิต การฝึ กสติให้รู้เท่าทันโลก รู้อารมณ์ ธรรมชาติ เกิดเป็น เขา้ ใจจิตจะเขา้ ใจจกั รวาล ความรู้สึก ตดั กิเลส ตณั หา หลักการ แนวคิด ๓ มิติ มิติที่ สัญญา -จิตเดิมแทป้ ระภสั สร หยงั่ -ความรู้สึกตวั ตนจากการทางานสมอง ๔ เวทนา รู้สรรพสิ่งในทุกมิติของ ถา้ ตดั ตวั กขู องกูเมื่อใดได้ จิตเป็นอิสระ ภาวนามย -พลงั กรรม จกั รวาล ถา้ จิตไมร่ องรับอารมณ์ เวทนา ตณั หา ปัญญา แปลผลรูป -จิตบนั ทึกวบิ ากกรรม ไมเ่ กิด อุปทานไมม่ ี สภาวะจิตเป็น ความรู้สึก อิสระ สงบ พบความสุข -สมอง -ความรู้สึก -จิตจกั รวาล สติเป็ น -ภาวนามยปัญญาเป็ นปัญญาที่ ทางานแปล เป็นตวั ตน องคป์ ระกอบของจิต ครอบคลุมความจริงท้งั หมด ผลผสั สะ เป็นผลมา (เจตสิก) สะสมขา้ มภพ ทรงหยง่ั รู้ความจริง ของทวาร จากสมอง ขา้ มชาติได้ -การฝึกสติใหส้ ติกาหนดรอยต่อ ท้งั ๖ -จิตส่งผลต่อความรู้สึก ระหวา่ งผสั สะ เวทนา ใหช้ ดั -จิตกบั -การหยง่ั รู้ภายใน ใชก้ าลงั -การฝึกสติ ๔ ฐาน ซ่ึงเพียงฐานใดฐาน สมองคนละ สติสูงวเิ คราะห์ถึง หน่ึงบรรลุพระอรหนั ตไ์ ด้ ส่วน ปรากฎการณ์ -วปิ ัสสนา -ความรู้สึก -เรื่องของจิตสารวจในการ -ภาวนามยปัญญา เกิดปัญญาแยกจิต กรรมฐาน กายใจ ให้ พสิ ูจนจ์ ิตใจของตนเองให้ ออกจากสมองได้ ตอ้ งฝึกเจริญ ฐานใดฐาน กาหนดสติ รู้เทา่ ทนั ถ่องแท้ สติปัฏฐาน ๔ แยกรูปนาม หน่ึงตรงกบั ไปเฝ้าดู รู้สึก -ความลบั ตามธรรมชาติ -มิติที่ ๔ ปัญญาระดบั ภาวนามย จริตตนเอง หนอ -ฝึกจิตใหก้ ลา้ แขง็ รู้เทา่ ปัญญา หยง่ั รู้ดว้ ยการเจริญสติ วิ ีธการ -ฝึ กสะสม ทนั ความรู้สึก เปล่ียนชีวติ ตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ตอ่ เน่ือง ได้ จิตอยเู่ หนือกาลเวลา -การเจริญสติ ฝึกสติรู้ทนั โลก เขา้ ใจ กาลงั สติ -จิตกาหนดเวลา ไมใ่ ช่ ปัญญาระดบั ภาวนามยปัญญา ตอ้ งซอ้ มทุก เวลากาหนดจิต -ปัญญาเห็นความไมเ่ ที่ยง จิตเห็นการ วนั -พลงั จิตเป็นการส่ือสาร เกิดดบั เกิดข้ึนไร้คล่ืน -ญาณ ๑๖ เห็นปรากฎการณ์
๑๔๐ ตารางที่ ๔.๒.๘๘ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเร่ือง “ทวาร ๖ : ศาสตร์แห่งการรู้ทนั ตนเอง” [ป ๔-๓] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ก า ย ฐ า น ที่ ต้ั ง -กรรมเก่าเกิด -จิตเป็ นธาตุรู้ -กรรมเก่า เกิดจาก ผสั สะ ๖ อายตนะ ทวารอ่ืนท้ังหมด จากผสั สะ ๖ เห็น ไดย้ นิ กลิ่น ๖ กรรมเก่า ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย หลักการ แนวคิด กาหนดสติใหร้ ับรู้ อายตนะ ๖ รส สัมผสั จิตเกิด ใจ ครอบงาดว้ ยตณั หา ผสั สะและอาการ -ตา หู จมูก ดบั เป็นทวาร -ฝึกสติปัฏฐาน ๔ กาหนดสติ รู้เท่าทนั ทางกายลมหายใจ ลิ้น กาย ใจ แสดงความรู้สึก ตนเอง กาหนดสติเฝ้าดูผสั สะท้งั หลาย ตน้ เวทนา นามธรรม ท่ีเกิดจากทวาร ๖ จนหยงั่ รู้เกิดปัญญา -ทวารท้งั ๕ เป็น -พลงั แห่ง -จิตเกบ็ ขอ้ มูล -วปิ ัสสนากรรมฐาน เนน้ ไปที่การเกิด ทางผา่ นของคล่ืน ความรู้สึก ขา้ มภพขา้ มชาติ ดบั รูปรสกล่ินเสียงสมั ผสั ดวงจิต อยู่ -ตวั กูของกู และ สะสมในจิต ความรู้สึก กบั ตาหูจมูกลิ้นกายใจ กาหนดสติเฝ้าดู กาย เป็นทวารทา (เวทนา)ความจา ตามทวาร ใหร้ ู้สึกถึงความ หมาย(สญั ญา) -กาหนดสติตดั เวทนา ตณั หา ผ่านเขา้ เป็นตวั ตน การปรุงแตง่ ออกทวาร ๖ -ความจาสมองไม่ (สังขาร) การรับรู้ ทน ลืมง่าย (วญิ ญาณ) -การเดินจงกรม -ใจทวารที่ -ปิ ดทวาร การ -สมถะ ใชค้ วามไม่สนใจ เพยี งอยา่ งเดียวจะ สกดั ไดย้ าก ใชส้ ติสัมปชญั ญะ จึงปิ ดทวารได้ ไมบ่ รรลุถึงญาณ สุด สกดั ไปควบคุมจิต ให้ -วปิ ัสสนา ใชค้ วามสนใจท่ีมากขนาด ในระดบั สูง ขณะ เวทนาท่ีใจ จิตเป็ นผดู้ ู เพง่ ดูกป็ ิ ดทวารได้ แต่เป็นการปิ ด เดินจะกาหนดให้ เป็นนามธรรม ปรากฏการณ์ ทวารแบบเทา่ ทนั ดว้ ยปัญญา วา่ ความ ไดส้ ติปัฏฐาน ๔ ตอ้ งใชส้ ติ ภายนอกของ จริงสิ่งท้งั หลายเป็นอนิจจงั ไม่เท่ียง เป็นเร่ืองยาก ส่วน สมั ปชญั ญะ ทวารท้งั ๖ การ ไม่คงท่ี เกิดแลว้ ดบั เปลี่ยนแปลง วิ ีธการ ใหญ่จะใหผ้ ลทาง ระดบั สูง เกิดดบั จิตเห็น ตลอดเวลา เป็นทุกขงั คงทนอยสู่ ภาพ กาย และเวทนา ทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ เดิมไมไ่ ด้ เป็ นอนตั ตา ไมม่ ีตวั ตน เป็น ๒ ใน ๔ -การตดั กรรมจากทวารท้งั ๖ ใช้ ตอ้ งอาศยั การนง่ั สติสัมปชญั ญะเฝ้าดูทวารไม่ให้ สมาธิพจิ ารณา กระทบสู่ใจ สมองเป็นเรื่องความคิด ไตรลกั ษณ์ ใจเป็นเรื่องความรู้สึก ชอบไม่ชอบ -วิธีกาหนดสติ เฝ้าดูผสั สะ เวทนา ทวารท้งั ๖ เขา้ ถึงความจริง
๑๔๑ ตารางที่ ๔.๒.๘๙ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเร่ือง “เดอะท็อปซีเคร็ต” [ป ๔-๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม สติสมั ปชญั ญะเฝ้า -อายตนะ -สมาธิ กญุ แจเปิ ดจิตใต้ -กฎแรงดึงดูดความคิด ตวั ทวาร ๖ สกดั ภายในภายนอก สานึก กาหนดภาพในอนาคตได้ ไมใ่ หร้ ูป รส กลิ่น กระทบกนั เกิด -ความรู้สึกเป็นเร่ือง ชดั เจนดว้ ยภาพ หลักการ แนวคิด เสียง สัมผสั เขา้ ไป เวทนา เก่ียวกบั จิต จงพยายามทา -กรรมฐานวปิ ัสสนา ก่อใหเ้ กิดเวทนา ความรู้สึกชอบ ความรู้สึกเป็นบวกเสมอ การหยงั่ รู้องคร์ วม กาย กิเลส ตณั หาในใจ ไม่ชอบ -กรรมเก่าฝังในภวงั คจิต เวทนา จิต ธรรม -แรงบนั ดาลใจ บนั ทึกขอ้ มูลในอดีต จิตใต้ -สมาธิจดั ระเบียบความคิด สานึกอยเู่ หนือมิติที่ ๔ ใหเ้ ป็นพลงั งานออกมา -อยกู่ บั ความทุกข์ -ความรู้สึก -จิตสร้างจกั รวาล สร้างภาพ -ฝึกสติสัมปชญั ญะใหเ้ ท่า ทางกาย เวทนาทาง กาหนดวถิ ีชีวติ เชิงนามธรรม จิตใตส้ านึก ทนั ความคิดและความรู้สึก ความรู้สึก คน ๙๐ % เป็น พลงั จกั รวาล ติดต่อกบั คน -ฝึกกาหนดสติบ่อย ๆ -พลงั ความรู้สึกสูง กรรมเก่า อ่ืนๆได้ ทาใหเ้ กิดกระแสความคิด ตอ้ งฝึก ความคิดเป็น -กาหนดสติรู้ทนั ความคิด และความรู้สึก สติสัมปชญั ญะใหม้ ี กรรมปัจจุบนั -เจริญสติสะสมสติในจิตใต้ -ความคิดเป็ นสมอง กาลงั กลา้ แกร่งตอ่ สู้ สานึก ความรู้สึกเป็นจิตวญิ ญาณ กบั ความรู้สึก -ความรู้สึกฝังจิตใตส้ านึก -กาหนดสติไปเกาะ -ใหอ้ ภยั แผ่ -พลงั จิตใตส้ านึก แปล -หา้ มความรู้สึกไม่ไดแ้ ต่ ไวท้ ี่กาย กาหนดดู เมตตา ให้ ความรู้สึก บนั ทึก หา้ มความคิดได้ ความเคล่ือนไหว ความรู้สึก เหตุปัจจบั ยั เหมาะนาไปเจอ -ฝึกการใชส้ ติสมั ปชญั ญะ -กาหนดการคิดและ แสดงออกเชิง -ต้งั จิตอธิษฐาน สิ่งที่ จบั ความรู้สึกคล่อง ฝึกความ การควบคุมการคิด บวก ยอมรับจุด ปรารถนา บอกจิตและ ไวสติตามหลกั สติปัฏฐาน ๔ ศรัทธาสร้างแรง ที่แย่ เอา ประทบั จิต จะไดร้ ับรู้ความเป็นจริงการ วิ ีธการ บนั ดาลใจ ความรู้สึกลบ -สร้างภาพแห่งความรู้สึก เกิดดบั ออกจากใจ และจิตใตส้ านึกคิดบวก -การหยง่ั ่รู้ยอ้ นกลบั ขนั ธ์ ๕ ดึงดูดภาพแห่งความรู้สึก อริยสัจ ๔ ไตรลกั ษณ์ จิตใตส้ านึก เป้าหมาย โพชฌงค์ ธาตุ ๔ อายตนะ ความสาเร็จชดั เจน -โยนิโสมนสิการเหตุปัจจยั พจิ ารณาวธิ ีการ ข้นั ตอน เหตุผล สู่ปัญญา
๑๔๒ ตารางที่ ๔.๒.๙๐ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเร่ือง “เดอะทอ็ ปพาวเวอร์พลงั จิตใตส้ านึกพลงั สู่ความสาเร็จ” [ป ๔-๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สร้างแรง -ผสั สะแบบเดิมๆ -สติเป็นกุญแจเปิ ดจิตใตส้ านึก -การปฏิบตั ิกรรมฐานเกิด ขบั มากระทบ มาใช้ สติปัญญาดึงจิตใตส้ านึก ปัญญาแต่ละระดบั ญาณ แนวคิด แรงจูงใจ ตอบสนองแบบ -กลไกภายในจิตเรียนรู้โดยการ -ภาพแห่งความรู้สึก ภาพ แรงบนั ดาล ซ้าๆ ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ท่ีจิตใตส้ านึกเขา้ ใจภาพ ใจ การยมิ้ -การทางาน -จิตเห็นจิตยอ้ นดูจิตใตส้ านึก แห่งความสาเร็จ การ หวั เราะ ความรู้สึก การ นาพลงั จิตมาใช้ ทางานของสมอง ส่ิงท่ีพบ สมองวา่ ง ชดใชก้ รรม -จิตใตส้ านึกสะสมสัญญาเก่าๆ จากจิตนาการสาคญั -สมอง -ความรู้สึก ๔ -จิตไวกวา่ กายหม่ืนเทา่ -สติปัญญาเปลี่ยนความคิด เครื่องมือ อยา่ ง กาย ใจ จิต ความรู้สึกมาจากจิตใตส้ านึก ใหเ้ ร็ว ควรฝึกสติควบคู่ หลักการ บนั ทึก ธรรม เอาสติมา แสดงออกมาในรูปแบบกิเลสท่ี การสร้างอารมณ์ดา้ นบวก ความจาเพอื่ จบั ความรู้สึกตอ้ ง ละเอียดข้ึน เกิดการเปลี่ยนแปลงตวั เอง เก็บขอ้ มูล เริ่มท่ีกาย -ภวงั คจิตส่วนลึกจิตใตส้ านึก -พรหมวหิ าร ๔ เมตตา ใหจ้ ิต -กาหนดสติรับรู้ หยง่ั รู้เจริญสติเขา้ ไป จิตใต้ กรุณา มุทิตา อุเบกขา เรียกใชง้ าน ปัจจุบนั สานึกเขา้ ใจภาพแบบองคร์ วม -เดินจงกรม -คนท่ีจบั -มองดว้ ยสติและสมองอยา่ ง -หาบทสวดประจาไว้ การทา ความรู้สึกเก่งๆ มองดว้ ยอารมณ์และความรู้สึก จงั หวดั ทานอง สามารถ สมาธิไป จะไวต่อการจบั จบั ความรู้สึกกายเวทนาจิต เขา้ ถึงจิตใตส้ านึกไดด้ ี พร้อมกบั ความรู้สึก ธรรม ฝึกคิดอยา่ งเป็นระบบ -การเคล่ือนไหวอยา่ งมีสติ การ -หมน่ั สร้าง เป็นนิสัยพฒั นาพลงั จิตข้ึนมา ช่วยการเพ่ิมพลงั จิต การ เคลื่อนไหว ความรู้สึก -วเิ คราะห์ความรู้สึกจิตท่ีส่งมา ปฏิบตั ิธรรม ฝึกการ ร่างกาย ทางบวกเกิดข้ึน รับอารมณ์ แสดงออกภาษากาย ยนื วิ ีธการ -ทาสมาธิ ในใจ -จิตใตส้ านึกรับรู้ทาอะไรเป็ น เดิน นงั่ นอน อยา่ งมีสติ ทา กระตุน้ -จบั ความรู้สึกทาง นิสัย บอกตวั เองความรู้สึกรูป ใหม้ ีสง่าราศี จงฝึกสติทุก ฮอร์โมน กายไดค้ ล่องแคล่ว ของอารมณ์ตวั เราเป็นผกู้ าหนด อิริยาบถยอ่ ยตามหลกั สติ ฝ่ ายบวก ไปพร้อมกบั ใจ ชะตาชีวติ ปัฏฐาน อยา่ งสม่าเสมอ -เส้นเลือดมี -จิตรับรู้แบบ -กลไกของจิตภายในเรียนรู้โดย -เปิ ดจิตใต้สานึ กกาแพง ความไวต่อ ปรมตั ถ์ วปิ ัสสนากรรมฐาน รูปเสียง แห่งตัวตน หัดเป็ นคนมือ อารมณ์มาก กลิ่นรส สัมผสั มีสติอยเู่ สมอ ไมอ้ ่อน ยกมือไหวล้ ดอตั ตา ป้องกนั ไมใ่ หเ้ ขา้ จิตใตส้ านึก
๑๔๓ ตารางที่ ๔.๒.๙๑ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเร่ือง “การปฏิบตั ิสมาธิเพอื่ การเยยี วยาสุขภาพ” [ป ๔-๖] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -แนวจิตประสานกาย -การควบคุมและ -สมาธิ การที่จิต -สมาธิบาบดั แบบ SKT การปฏิบตั ิสมาธิจะเพมิ่ ฝึกระบบประสาท ต้งั มน่ั นึกถึงส่ิง ปฏิบตั ิสร้างสมดุลใน หลักการ แนวคิด ความหนาของช้นั สมอง สัมผสั ท้งั ๖ ไดแ้ ก่ ใดส่ิงเดียว จิตมี ร่างกาย ๗ ทา่ ทางฝึก ส่วนหนา้ ประสาท ตา หู จมูก ลิ้น ความสงบ เทคนิคหายใจ ๙ ท่า สมั ผสั หู ตา เน้ือสมอง สมั ผสั ขา้ งใน -การเคลื่อนไหวตอ่ -ฝึกสมาธิแบบ -เป็นการบงั คบั -ปฏิบตั ิสมาธิดว้ ยตนเองทุก ระบบประสาท SKT ปรับการรับรู้ จิตใตส้ านึกใหต้ ้งั วนั คน้ ควา้ ทดลองฝึกฝน ส่วนกลาง อตั โนมตั ิ ประสาทสมอง มน่ั อยกู่ บั สิ่งใด -ต้งั ใจฝึกอยา่ งตอ่ เน่ืองทุก ระบบอารมณ์พฤติกรรม -เริ่มส่วนท่ีต้งั ของ ส่ิงหน่ึง พฒั นาจิต วนั ระบบอื่น ๆ ในร่างกาย สติ เป็นตวั กรอง ใตส้ านึก บริหาร -ฝึกอยา่ งจดจอ่ จุดพลงั เฝ้าดู -สมาธิเป็นกระบวนการ สญั ญาจาก จิตใตส้ านึกเพื่อ การไหลเวยี น จดั ระบบการทางาน อายตนะสญั ญาถูก ดึงเอาพลงั งาน -ทดสอบพลงั โดยการสงั เกต ประสาท ส่งไปตามท่ีตา่ ง ๆ ออกมาใช้ เคลื่อนไหวอยา่ งมีสมาธิ ฝึก ประโยชน์ กากบั ลมหายใจ -การปฏิบตั ิสมาธิ -ท่ีต้งั สัญชาตญาณ -การฝึกจิตมี -นงั่ ผอ่ นคลายประสานกาย ดว้ ยการหายใจ ทาใหเ้ กิดอารมณ์ หลายวธิ ี ประสานจิต เทคนิคการหายใจ สงั ขาร ๑)การจดจอ่ -ยนื ผอ่ นคลายประสานกาย การรับรู้ลมหายใจ ท่ีต้งั อารมณ์ทาให้ ๒)การเพง่ ประสานจิต เป็นการสร้างความ เกิดความรู้สึก ๓)การไมย่ ดึ ติด -นง่ั ยดื เหยยี ดผอ่ นคลาย รู้สึกตวั จาก เวทนา เม่ือนาจิต ประสานกายประสานจิต วิ ีธการ การหายใจ เปลี่ยนแปลงไป วญิ ญาณเกิดความ -กา้ วยา่ งอยา่ งไทยเยยี วยา -หายใจลึก อตั โนมตั ิ ตระหนกั และ กายประสานจิต หายใจเพ่ือเยยี วยาพลงั ร่างกายสงบ -ยดื เหยยี ดอยา่ งไทย เยยี วยา -จบั จดอยกู่ บั ส่ิง กายประสานจิต ใดส่ิงหน่ึง -เทคนิคสมาธิแบบ เคล่ือนไหวไทยซี่กง -เทคนิคฝึกสมาธิเยยี วยาไทย จินตภาพ
๑๔๔ ตารางที่ ๔.๒.๙๒ การสังเคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเรื่อง “พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวทิ ยาศาสตร์” [ป ๔-๗] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -จริยธรรม -อุเบกขา -โยนิโส -พทุ ธศาสนาเป็นรากฐานของวทิ ยาศาสตร์ รักษา แนวคิด ข้ึนอยกู่ บั ตวั ปัญญา มนสิการ และเผยแพร่ หลกั ของตนออกไปดว้ ยวธิ ีการแห่งปัญญา สจั จธรรม สืบคน้ ความรู้ในความจริงอยา่ งคอ่ ยเป็นค่อยไป ศรัทธาเริ่มตน้ นาไปสู่ปัญญา นาไปสู่วมิ ุตติ -ส่งเสริม -รับรู้โดยสติ -หลกั วธิ ีการ -พุทธศาสนาเนน้ ปัญญาใหค้ วามสาคญั ศรัทธาเร่ิมตน้ มี ฉนั ทะ ความ ไม่ยนิ ดี คิดอยา่ งถูก ความเพียรพยายามอุทิศเขา้ หาความเป็นจริง หลักการ ใฝ่ รู้ ใฝ่ กระทา ยนิ ร้าย รับรู้ วธิ ี คิดตอ้ ง -ศาสนาและวทิ ยาศาสตร์ ศรัทธาคู่ปัญญา -มองดว้ ยทา่ ที แบบการ เป็นระเบียบ หลกั สติปัฏฐาน เป็นวธิ ีการปฏิบตั ิเชิงวปิ ัสสนา แห่งการเรียนรู้ เรียนรู้ คิดตามลาดบั วธิ ีการดู สังเกต โดยประสบการณ์ตรง เชิงเหตุผล -วธิ ีคิดแบบโยนิโสมนสิการนาไปสู่สัมมาทิฏฐิ ความเขา้ ใจ การมองเห็นถูกตอ้ งตามความเป็นจริง -ความทุกข์ -ปลุกเร้า -ทานาย -วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ไม่สามารถเขา้ ถึงความจริง สภาพบีบค้นั อารมณ์ เกิด ปรากฏการณ์ หรือสัจจะภาวะไดโ้ ดยตรง การแสวงหาสัจธรรม ติดขดั คบั ขอ้ ง ศรัทธา ของจิต ทางพุทธศาสนา พฒั นาศกั ยภาพภายใน ปัญหามนุษย์ -เกิดสานึก -ปรับความ เพ่อื ใหเ้ กิดปัญญาในระดบั ที่รู้ทนั การปรุงแตง่ -หลกั กรรม ตื่นตวั เป็น เขา้ ใจ โลกมายาแห่งสมมติบญั ญตั ิประจกั ษต์ ามความเป็ นจริง การกระทา ผนู้ าและผใู้ ห้ ความสุข -ความทุกขข์ องมนุษยเ์ กิดจากปัจจยั ภายนอกและภายใน ของมนุษย์ -วางทา่ ทีเฉย ความทุกข์ กระบวนการตามธรรมชาติ เช่ือกฎธรรมชาติ -มองตามเหตุ ไปก่อน -ความใฝ่ -การรู้เขา้ ใจธรรมชาติเขา้ ถึงความจริง พฒั นา วิ ีธการ ปัจจยั ท่าที ถา้ ไมม่ ี ปรารถนา ๑) ความดีงามบรรลุอิสรภาพได้ สจั ธรรม ตวั ความจริง แห่งการ ปัญญา ใฝ่ รู้ความ -การเรียนรู้แบบมองเห็นตามความเป็นจริง มองส่ิง วา่ อุเบกขาให้ จริงใน หรือวธิ ีการเขา้ ถึงความเป็ นจริง ๑) การรับรู้ ท้งั หลาย เฉยโง่ ธรรมชาติ ประสบการณ์อยา่ งเที่ยงตรง รับรู้ตามท่ีมนั เป็ น ตามเหตุปัจจยั ๒)ใฝ่ ความ เนน้ การเขา้ ถึงความจริงต้งั แต่ข้นั ตอนการรับรู้ เป็นการ -ท่าทีในการ ปรารถนา รับรู้ตามท่ีเป็น ๒)ตอ้ งมีความคิดเป็นระเบียบ ดาเนินชีวติ ความไร้ทุกข์ มีวธิ ีคิดท่ีถูกตอ้ ง ๓)พสิ ูจนส์ ืบหาความรู้ หรือวธิ ีที่จะหา -ตวั ความรู้ ความจริง -วทิ ยาศาสตร์เกิดจากความใฝ่ รู้ ความจริงใน ความจริง ธรรมชาติ เสริมดว้ ยใฝ่ ความดีงามสูงสุด
๑๔๕ ตารางที่ ๔.๒.๙๓ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมชาติของร่างกายและจิต” [ป ๔-๘] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ขนั ธ์ ๕ รูป -วญิ ญาณ -สติปัฏฐาน ๔ เป็ นการปฏิบตั ิ -สติปัฏฐาน ๔ การพิจารณาใหเ้ ห็น แนวคิด พจิ ารณากาย การ จิตมีสติ ระลึกรู้อารมณ์ ความจริง กาย เวทนา จิต ธรรม -กาย input รับรู้ ตามความเป็นจริง - อริยสจั ๔ ระบบการเรียนรู้ ส่ิงเร้าอนั เป็น -ความ -ระดบั การรับรู้ของจิตสานึก ในพทุ ธศาสนา เรียนรู้ความจริง อายตนะ รู้สึก การทางานเซลลส์ มอง ของชีวติ พฒั นาปัญญาเห็นแจง้ -การพจิ ารณา -อายตนะ -จิตเป็ นผนู้ าสรรพส่ิง -สติปัฏฐาน ๔ เป็ นการปฏิบตั ิ กาย มีสติ เช่ือมโยง จิตเป็ นใหญ่ สภาวธรรมของ ใหจ้ ิตมีสติ ระลึกรู้อารมณ์ตาม หลักการ พจิ ารณาในทุก ส่ง จิตแห่งการรู้สึกตวั วญิ ญาณ ความเป็นจริง การเรียนรู้ภายใน ท่ี ในกาลทุก สัญญาณ การรับรู้การรับรู้ทางจิต จิต ดว้ ยการปฏิบตั ิ สมถกรรมฐานและ เมื่อ มีสติ รับรู้ เป็นธาตุรู้ การรับรู้ของจิต ทา วปิ ัสสนากรรมฐาน รอบคอบในกาย อารมณ์ ใหเ้ กิดการมีชีวิต จิตเป็นธาตุรู้ อยเู่ สมอ ตา่ งๆ วญิ ญาณรับรู้ รูปธรรมของจิต -ในสมองมนุษย์ -สมั พนั ธ์ -จิตสานึก วิญญาณ -การเรียนรู้ชีวติ จากอริยสจั ๔ ประกอบดว้ ย กบั การ เป็นการรับรู้ท่ีแสดงถึงการ ไดแ้ ก่ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค เซลลป์ ระสาท ทางาน ทางานของจิต เมื่อรวม เป็นการพฒั นาใหเ้ กิดปัญญา หลายลา้ นเซลล์ สมอง ประสานงานของจิตร่วมกนั รู้แจง้ ท่ีเชื่อมต่อกนั ความรู้สึก กบั กายเกิดเป็นชีวติ ข้ึนมาก -การเรียนรู้จากอาจารย์ และตารา ทาหนา้ ท่ีกลุ่ม ต่างๆ -การอบรมใหจ้ ิตมีสมาธิ เป็นปริยตั ิ การเรียนรู้จากภายใน ขนั ธ์ เป็นเวทนา สุข ทุกข์ ดว้ ยอานาปานสติ ไมใ่ ชก้ ารทอ่ งจาแตเ่ ป็น สญั ญา สงั ขาร ตวั ตน -จิตเกิดดบั ต่อเน่ืองเป็น ประสบการณ์ การเรียนรู้จาก วิ ีธการ วญิ ญาณ เซลลร์ ับ กระบวนการของจิต ธรรมชาติ ดีชว่ั ข้ึนอยกู่ บั จิต -สมองเป็น สญั ญา -การอบรมสติปัฏฐาน -ผมู้ ีสติตื่นตวั มีสติอยู่ มีจิตเป็ น เคร่ืองมือของ โลก เป็นการอบรมพฒั นาการ อิสระจากราคะ โทสะ โมหะ จิต มีวญิ ญาณ ภายนอก ทางานของจิตท้งั ระบบ ละบุญบาปไดย้ อ่ มไมเ่ กรงกลวั ตอ่ ทาหนา้ ท่ีรับรู้ -ความ ใหจ้ ิตมีสติปัญญา เกิด สิ่งใด สัญญาณ รู้สึก ความรู้สึกต่อ ประสานสัมผสั -เช่ือมโยงองคค์ วามรู้วทิ ยาศาสตร์ อายตนะ เกิด ตวั ตน ระบบจิตสามารถรับรู้ ส่ือ ทฤษฎีจิตสานึก และวญิ ญาณการ เป็ นจิตสานึก ความหมาย ตามความเป็ นจริง รับรู้ ประยกุ ตน์ า ระบบจิตในสติปัฏฐาน ๔
๑๔๖ ตารางที่ ๔.๒.๙๔ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเร่ือง “จิตวทิ ยาของความดบั ทุกข”์ [ป ๔-๙] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สมั ปชญั ญะ -การมีสติต้งั -จิตวสิ ุทธิ -วปิ ัสสนาญาณ ๑๖ เร่ือง ญาณ ๑-๑๖ ความรู้ตวั ทว่ั ไว้ ดูเวทนา ความบริสุทธ์ิ ท้งั แนวทฤษฎีและปฏิบตั ิ แนวคิด พร้อม สติระลึกรู้ ท้งั หลาย ของจิต -ญาณ กาหนดรู้โดยไตรลกั ษณ์ ยนื เดิน นง่ั นอน -ผสั สะ ปราศจาก ปัญญากาหนดรู้รูปนาม โดยอาการปรากฎ อิริบาบถ อ่ืน ๆ กระทบ ความเศร้า ทางไตรลกั ษณ์ อนิจจงั ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง อารมณ์ หมอง -พทุ ธศาสนาและวธิ ีวทิ ยาศาสตร์ หลกั อริยสจั ๔ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค -กาหนดรู้อาการ -กาหนดการ -การฝึกสมาธิ -การเจริญกรรมฐาน อาศยั แนวปริยตั ิ พอง ยบุ เกิดดบั รูปนาม การฝึกจิต เป็นข้นั ตอนตามวสิ ุทธ์ิ ๗ และวปิ ัสสนา ๑๖ หลักการ -สารวมอินทรีย์ เร็วและถ่ีข้ึน -จิตเป็ น อยา่ งตอ่ เนื่อง ทาลายแรงขบั สัญชาตญาณ ๖ ตา หู จมูก สิ้น ไป นามธรรม ไมม่ ี อตั ตา ใหห้ มดไป กาย ใจ ป้องกนั รูปร่าง -ญาณ ๑๐ ภาวนามยปัญญา บาปอกุศล -ทุกอยา่ งตอ้ ง -ไตรลกั ษณ์ - จิต -ญาณสาคญั เพิกถอนอารมณ์บญั ญตั ิ ซ่ึงเป็น เร่ิม จากตน้ จิต ปรากฏชดั แก่ ธรรมชาติ รับรู้ สิ่งสมมติมา ต้งั แตแ่ รกเกิด เอาอารมณ์ “อยากหนอ” ๒- ผปู้ ฏิบตั ิ อารมณ์ บญั ญตั ิหายไปรับอารมณ์ปรมตั ถ์ มาแทน ๓ คร้ัง การ ทุกขเวทนาที่ -พฒั นาจิตให้ - วปิ ัสสนากรรมฐาน ตามแนวทาง กาหนดอิริยาบถ มีอาการต่าง พน้ จากทุกข์ สติปัฏฐาน ๔ กายมีสติเขา้ ไปต้งั ติดตามดู ใหญ่ อาการปวด วสิ ุทธ์ิ ๗ ความ กาย เวทนา มีสติเขา้ ไปต้งั ดูเวทนาท้งั หลาย -พากเพียร เมื่อย ผปู้ ฏิบตั ิ บริสุทธ์ิ ๗ จิต มีสติเขา้ ไปต้งั ดูจิต ธรรม มีสติเขา้ ไป วิ ีธการ ปฏิบตั ิอาการ ตอ้ งต้งั สติ อยา่ ง ติดตามธรรมท้งั หลาย ตาเห็นรูป(เห็นหนอ) พองยบุ กาหนด อยา่ ง -จิตประภสั สร -ความหมายของทุกข์ ในอริยสัจ เกิด แก่ เจบ็ -ความบริสุทธ์ิ ใดอยา่ งหน่ึง แต่ขนุ่ มวั เพราะ ตาย เศร้าโศก คร่าครวญ ทุกขใ์ จ คบั แคน้ ใจ แห่งศีล ตามความเป็น อาคนั ตุกะกิเลส ประสบสิ่งไม่เป็นที่รัก -ปัจจยั ทางจิต มี จริง เขา้ มาจร ปรารถนาสิ่งใดไม่ไดส้ ่ิงน้นั ผลตอ่ ร่างกาย -นิวรณ์ ๕ สิ่ง -ปฏิจจสมุปบาทในชีวติ ประจาวนั สังสารวฏั ก้นั จิตไมใ่ ห้ วงจรแห่งความทุกข์ นามาประยกุ ตใ์ ช้ กา้ วหนา้ กาหนดในใจ มนสิการ ทาในใจพิจารณา คุณธรรม ใส่ใจ อวชิ ชา สงั ขาร วญิ ญาณ นามรูป ผสั สะ
๑๔๗ ตารางที่ ๔.๒.๙๕ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเรื่อง “ชีวติ พระพทุ ธศาสนา และ วทิ ยาศาสตร์” [ป ๔-๑๐] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม แนวคิด -การสงั เกต -ผสั สะ -จิตภาวนา อบรม -พฒั นาแบบจาลองชีวติ ตามแนวพทุ ธปรัชญา เรียนรู้ภายใน จิต ภาวนาเฝ้าดูจิต -การศึกษาเร่ืองชีวติ ธรรมชาติ ไตรลกั ษณ์ กาย ธรรมชาติของธรรมชาติ -พจิ ารณาการ -การหยง่ั -ความวา่ ง -พระพทุ ธศาสนาอธิบายปรากฎการณ์ทาง ทางาน ของ เห็นความ ปรากฎการณ์ ความ ธรรมชาติ อาศยั ขอ้ เทจ็ จริงประจกั ษ์ นามธรรม สติปัฏฐาน ๔ วา่ งเปล่า จริงของจิต -วปิ ัสสนาอาศยั การเรียนรู้ การสงั เกตตามความ กาย เวทนา -เป็น -การใชจ้ ิตเป็น เป็นจริง พจิ ารณาชีวติ กายและจิต ไตรลกั ษณ์ จิต ธรรม อารมณ์ จิต เคร่ืองมือ เป็นผู้ สอดคลอ้ งกบั ปรากฎการณ์ ตามธรรมชาติ หลักการ -ทุกข์ ตวั ลว้ นเป็น สังเกต จิตผรู้ ู้ -ชีวติ อะไร การมีชีวิต เป็ นรูป นาม กาย จิต ทุกข์ สงั ขาร อนิจจงั ปรากฎการณ์ และ ทาหนา้ ท่ีของชีวติ จิตสานึก ปรุงแต่งทุกข์ -รู้ธรรมชาติ อาการของจิต จน -การบรรจบกนั ของพระพุทธศาสนา และ แปรปรวน ของชีวติ เห็นธรรมชาติ ตาม วทิ ยาศาสตร์ แนวทางการศึกษาเร่ืองจิต ๑) เกิดดบั ทุกข์ เหตุปัจจยั ศึกษาจากภายนอก ผา่ นบุคคลที่ ๓ ดว้ ยการ ดวงตาเห็น -จิตสานึก ประมวล ทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ ๒)การศึกษาจาก ธรรม การรับรู้ ภายใน ศึกษาจิตเชิงอตั วสิ ัย -มนุษยด์ ีชวั่ -แบบจาลอง -อารมณ์จิต ลว้ น -ส่ิงหน่ึงมีความเกิดข้ึนเป็นธรรมดา ส่ิงน้นั มี ข้ึนอยกู่ บั การรับรู้ เป็นอนิจจงั ความดบั ไปเป็นธรรมดา เห็นแจง้ ตามความ การทางาน และการ -พฒั นาจิต ใหจ้ ิตมี เป็นจริงพฒั นาปัญญาญาณ ของจิต ตอบสนอง สติต้งั มนั่ เป็ นสมาธิ -สังเกตปรากฎการณ์ใน กาย เวทนา จิต ธรรม -ชีวติ -อายตนะ -อบรมจิตใน สม เป็นการเรียนรู้การทางานของจิตตาม ประกอบดว้ ย ภายนอก ถกรรมฐาน เห็นจิต ความเป็นจริง เห็นแจง้ ธรรมชาติกายและจิต วิ ีธการ ๕ ส่วน รูป -การทางาน เกิดกบั อยา่ ง -ภาวนา การเฝ้าดูที่อยใู่ นสภาวะ ตาม เวทนา ของชีวติ ตอ่ เน่ือง การเกิดดบั ธรรมชาติของจิต เห็นความคิดฟุ้งซ่านตา่ ง ๆ สญั ญา สัปยทุ ธ ของจิต ที่ผดุ ข้ึนมาในจิต สังขาร ระหวา่ ง รูป -องคค์ วามรู้เร่ืองจิต -การพฒั นาพทุ ธศาสนาเป็ นวทิ ยาศาสตร์ วญิ ญาณ นาม เจตสิก ความรู้จากการ ผสมผสานนาความจริงประจกั ษ์ ความรู้ สังเกตภายใน เป็น ทางวทิ ยาศาสตร์ มาอธิบายประกอบการเรียนรู้ วปิ ัสสนาญาณ เขา้ ใจธรรมชาติจิต
๑๔๘ ตารางท่ี ๔.๒.๙๖ การสงั เคราะห์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเร่ือง “ความลบั ของจกั รวาลทางแห่งนิพพาน” [ป ๔-๑๑] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -รูป -กาหนดปัญญา -ปฏิบตั ิธรรม การแยกจิตออก -ความรู้ความเขา้ ใจอภิญญา แนวคิด ขนั ธ์ ๕ เขา้ ถึงสาเหตุ จากสมอง ความยดื หดของเวลา เวทนา พน้ จากอิทธิพลส่วนสมอง จิต -ญาณหยง่ั รู้อนาคตจาก กบั สมองคนละส่วนกนั การฝึกสติปัฏฐาน ๔ -แยก -แยกสติออกมา -จกั รวาลเกิดจากจิต เขา้ ใจจิต -สรรพส่ิงลว้ นเกิดจากความวา่ ง สมอง เป็นผดู้ ู มองเห็น เขา้ ใจจกั รวาล -การแยกสติออกจากจิตพน้ ออก เวทนา สัญญา -สติไว จบั ปรากฏการณ์ จิต อานาจแห่งจิต ราคะ โทสะ หลักการ จากจิต สงั ขาร วญิ ญาณ เกิดดบั อยา่ งตอ่ เนื่องรับ โมหะ บรรลุญาณระดบั โลกุต ได้ -แยกสติออกมา อารมณ์ จิตเกิดดบั เร็วมาก ตระ เม่ือตายจิตเป็นตวั เลือก จากจิต บรรลุญาณ ปัจจุบนั ขณะแทจ้ ริง อายตนะรับผสั สะในภพต่อไป ระดบั โลกตุ ตระ -จิตเห็นจิต ตดั ผสั สะ ทวาร ๖ -สภาวะนิพพาน สภาวะที่เป็ น สมองวา่ ง จิตวา่ ง กลางวา่ งจากกิเลสตณั หา -การ วธิ ีพน้ ทุกข์ อยา่ -การตดั สินใจทาอะไรเป็นการ -แยกสติดออกมาเป็นผดู้ ูมองเห็น บรรลุ ลงไปกบั อารมณ์ เลือกจิตใตส้ านึก เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ สภาวะ แยกจิตและสติ -กาหนดจิตปัจจุบนั ขณะอยา่ ง -กาลงั สติเหนือสมอง ปัญญาจึง นิพพาน ออกมาเป็ นผดู้ ู จิต แทจ้ ริง ตกอยใู่ ตก้ ฎไตรลกั ษณ์ เกิด ความอยากเป็ นตัณหาสกัด ทาได้ วา่ ง ขนั ธ์ ๕ รูป -นงั่ สมาธิน่ิงๆเงียบๆกาหนด กาลงั สติ กาลงั สมาธิ ขณะมี เวทนาจะหายไป จิตใหว้ า่ งไม่คิดถึงสิ่งใด ฌาน -การเกิดปัญญาสูงสุด จะรู้วา่ ท้งั ชีวติ ดว้ ยความสุขแท้ วา่ ง การเอาความวา่ งมาเป็ น ร่างกายและจิต ไม่ใช้ตัวเราเลย สติจะ จากภายใน อารมณ์เกิดปี ติ สุข วา่ งจาก เม่ือไม่ยึดติดกบั จิต ไม่มีการเกิด วิ ีธการ แยก -แยกใจจาก ความคิดท้งั ปวง ลมหายยงั ไม่ อีกต่อไป แต่ตวั รู้ท่ีเรียกวา่ ออกไป ความชอบ และ รับรู้ จิตตดั กระแสการรับรู้จาก สติยงั อยู่ จากจิต ความไมช่ อบ จิต ผสั สะท้งั ๖ -ตอ้ งหยง่ั รู้ดว้ ยภาวนาปัญญา และ เขา้ ถึงความจริงแท้ -ฝึกสติอยา่ งสม่าเสมอเกิดเหตุ ญาณ การคิด การพูดภายใน สมอง เกิดเวทนาปัญญา ฉุกเฉิน สติแยกออกมาเป็นผดู้ ู สมอง ภาษา หลกั ตรรกะ หรือ แตย่ งั มี เขา้ ถึงเวทนา ทนั ที สภาวะที่แยกสติออก คานวณทางคณิตศาสตร์เป็น รูปขนั ธ์ จากจิตไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด จึงรู้ทนั เพยี งสมมติบญั ญตั ิ ไม่อธิบาย อยู่ อาการละเอียดทาง จิตทุกชนิด ความจริงแท้ นิพพานไม่มีจิต
๑๔๙ ตารางท่ี ๔.๒.๙๗ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมชาติของสรรพส่ิง : การเขา้ ถึงความจริงท้งั หมด” [ป ๔-๑๒] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ขนั ธ์ ๕ กอง -ความรู้สึกนึกคิด -จิตวญิ ญาณ มิติ -เจริญสติปัฏฐาน ๔ การรู้ตวั ทว่ั พร้อม แนวคิด การรวมกนั อายตนะภายใน ๖ สูงส่งของจิต กาย เวทนา จิต ธรรม มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็นหมู่ (อินทรีย์ ๖) มีสติอยใู่ นฐานท้งั ๔ เป็นการระลึกรู้ ร่างกาย (รูป) -เอาปัญญาเป็นตวั ต้งั แสวงหาความรู้ใด ๆ -เจริญสติให้ -เจริญสติให้รู้ -เจริญสติให้รู้จิต -เจริญสติใหร้ ู้ธรรม หวั ขอ้ ธรรม นิวรณ์ ๕ กายรู้ รู้ใน เวทนา เกิด สภาพจิตในขณะ อายตนะ โพชฌงค์ อริยสจั หลักการ กายท้งั ปวง ความรู้สึก รู้ทนั กาหนดรู้ มีราคะ -การเจริญสติ เป็นการฝึกตวั เอง เกิด -การฝึกให้ ความรู้สึกเวทนา ไมม่ ีราคะ มีโทสะ อิสรภาพ หลุดพน้ กาลเวลา บาปกรรมท้งั รู้จกั ตวั เอง จะทาใหเ้ วทนาไม่ ไมม่ ีโทสะ ปวง เป็นการฝึกให้รู้ตวั เชื่อมต่อตณั หา การเรียนรู้ให้รู้ตวั กายจิต -การเขา้ ถึง -ความจาไดห้ มาย -จิตกบั สมอง -การรู้จกั ตวั เอง วธิ ีการพฒั นาตวั เอง ความจริง รู้ สญั ญา -วถิ ีแห่งการ มองชีวติ ประกอบดว้ ยขนั ธ์ ๕ ท้งั หมด -ความคิดปรุงแตง่ พฒั นา จิต -บูรณาการศาสนา กบั วทิ ยาศาสตร์ เปล่ียนแปลง สังขาร วญิ ญาณ ธรรมชาติสรรพส่ิง การเชื่อมโยงเป็นหน่ึง ภายใน -การรู้ วญิ ญาณ -จิต ๑)สิ่งที่คิด เดียว จิตหลุดจากความคบั แคบในตวั เอง -การเรียนรู้ที่ -ความรู้สึกเวทนา เป็น ๒)สิ่งที่รู้สึก เชื่อมโยงธรรมชาติ บรรลุความจริง ก่อใหเ้ กิดการ สุข ทุกข์ เป็น ๓)สิ่งที่ ความดี ความงาม เปลี่ยนแปลง -สงั ขาร จาเป็น ๔)สิ่งที่มี -กระบวนการภายใน การเรียนรู้ท่ี ภายใน การ สิ่งตา่ ง ๆ ปรุงแต่ง อารมณ์ ๕)ส่ิงที่รู้ ก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงของผเู้ รียน วิ ีธการ เห็น ตามเหตุปัจจยั เป็น ๖)ส่ิงท่ีอิสระ -วธิ ีการฝึกเจริญสติ ใหร้ ู้จกั กาย ธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไป -วธิ ีการพฒั นาจิต เวทนา จิต ธรรม เกิดการเปล่ียนแปลงใน ตามเป็นจริง ตามเหตุปัจจยั วญิ ญาณ ตวั เอง ความรู้เพ่ือเช่ือมโยงภายใน -เราไมไ่ ดเ้ ป็น -การเขา้ ถึงความ การอยรู่ ่วมกนั ตวั บูรณาการจากการเรียนรู้ ศูนย์ กลาง จริง ภายในตวั อยา่ งสันติ การทา -การคิดแบบอิทปั ปัจจยตา วา่ อะไรทาให้ สรรพสิ่ง และ นอกตวั เกิด จิตใจใหส้ งบ เกิดอะไร อะไรเป็ นปัจจยั ให้เกิดอะไร คลายความยดึ การเปลี่ยนแปลง ปัญญา การเขา้ ถึง ทาแผนที่ความคิด พยายามเช่ือมโยงท้งั มนั่ ถือมน่ั ภายใน ความจริง ระบบ ปัญญาแตกฉาน นาไปสู่การเห็นท้งั ตวั ตน ตวั กู ธรรมชาติ ระบบ ตอ้ งการเรียนรู้ อยา่ งปฏิสมั พนั ธ์ ของกู ระหวา่ งคนท่ีเกี่ยวท้งั หมด ในทางปฏิบตั ิ
๑๕๐ ตารางที่ ๔.๒.๙๘ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเรื่อง “พระพทุ ธเจา้ พลิกใจ ไอน์สไตน์พลิกโลก” [ป ๔-๑๓] ดา้ น กาย เวทนา จิต ธรรม แนวคิด -พิจารณา -พิจารณา -พจิ ารณา -อธิบายการเชื่อมโยงส่งท่ีพระพทุ ธเจา้ พบกบั รูปขนั ธ์ เวทนาขนั ธ์ วญิ ญาณขนั ธ์ ทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์ -ขนั ธ์ ๕ -เพง่ -สติ เป็น -หลกั ปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน สติปัฏฐาน ๔ ธาตุ ๔ พจิ ารณา องคป์ ระกอบ การใชก้ าลงั สติเขา้ ไปเพือ่ พิจารณาขนั ธ์ ๕ รองรับตวั เวทนา ของจิต ถา้ แยก -การหยง่ั รู้ธรรมชาติของจกั รวาลดว้ ยภาวนามย หลักการ มนุษย์ ไมม่ ี ตณั หา จน สติออกมาเป็ น ปัญญา ญาณหยง่ั รู้จะเกิดข้ึนไดเ้ มื่อจิตปราศจาก อยู่ จริง เกิดปัญญา ผดู้ ู สามารถดึง ตณั หา ความจริงแทต้ อ้ งใจจิตและสติ เขา้ ใจเวทนา จิตออกมาจาก -อภิญญา ความรู้ยงิ่ ปัญญาความรู้เหนือกวา่ ปกติ และตณั หา ความคิด โดย เกิดจากการฝึกเจริญสติบาเพญ็ กรรมฐาน ปัญญา ไม่มีอยจู่ ริง อตั โนมตั ิ เกิดจากการฝึกจิตแบบภาวนามยปัญญา -ใชก้ าลงั สติ -ต้งั สติ -แยกสติออกมา -สติปัฏฐาน ๔ กาหนดสติรู้ทนั กาย เวทนา จิต พิจารณา พจิ ารณา เป็นผดู้ ู จะ ธรรม เป็ นการกาหนดโดยไม่เพง่ เฝ้าดูอาการ ขนั ธ์ อาการน้นั ๆ สามารถดึงจิต ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน เปลี่ยนแปลง กายเคลื่อนไหวรู้ เขา้ ใจ ใหอ้ ยกู่ บั ใหห้ ลุดออกมา ใจเคล่ือนไหวก็รู้ จิตเคลื่อนไหวกร็ ู้ องคป์ ระกอบ ปัจจุบนั ติด จากความคิด สภาวธรรมปรากฎก็รู้ ภายใน รู้เทา่ อารมณ์ ได้ โดย -การปล่อยจิตใหป้ รุงแต่งผสมผสานกบั ความคิด ทนั ความรู้สึก อตั โนมตั ิ ในสมอง เกิด โลภ โกรธ หลง จิตเดิมเป็น -ขนั ธ์ ๕ ธาตุ ดว้ ยสติ คนส่วนใหญ่ ประภสั สร เมื่อสติดึงจิตแยกออกมาเป็ นผดู้ ู วิ ีธการ ๔ รวมเป็ น -หยดุ ปล่อยจิตผสม มองเห็นการกระทาของความคิดไดช้ ดั เจน คน ความรู้สึกไว้ ไปกบั ความคิด -เพราะฉนั คิด ฉนั จึงมีอยู่ เพราะฉนั รู้สึก ฉนั จึงมี -พลงั จิตแนบ ที่สมอง ท่ี -ปัญญาท่ีเกิด อยู่ เพราะฉนั มีผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปทาน แน่น เป็ น ไมป่ ล่อยจิต จากจิต ที่ไดจ้ า (ตวั กู ของกู) ฉนั จึงมีตวั ตนข้ึนมา อารมณ์เดียว ข้ึนมารับ กาลงั สติสูง - หลวงป่ ูดุล “คิดเท่าไร ก็ไม่รู้ ตอ่ เม่ือหยดุ คิดได้ -ผเู้ ขา้ ถึง อารมณ์ มากเขา้ ถึง จึงรู้ แตต่ อ้ งอาศยั ความคิด จึงรู้” ความจริงได้ พยายามแยก ความจริง -วธิ ีการคิดยอ้ นกลบั ทาใหเ้ กิดปัญญา เขา้ ใจ ตอ้ งตดั รูปขนั ธ์ แท้ หยงั่ รู้ ธรรมชาติก่อน แลว้ จึงนาสูตรคณิตศาสตร์ ความรู้สึก ออกจาก สรรพส่ิง ท้งั รูป ไปใส่ในภายหลงั ทางทวาร ๖ นามขนั ธ์ นาม -สมมติฐาน จิตนาการของคาตอบ
๑๕๑ ตารางท่ี ๔.๒.๙๙ การสงั เคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเรื่อง “พทุ ธปรัชญา : มองพุทธศาสนาดว้ ยทรรศนะทางวทิ ยาศาสตร์” [ป ๔-๑๔] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -สิ่งที่มีอยู่ -คาสอนเรื่อง -กรรมปรุง -ญาณวทิ ยาของพทุ ธศาสนา การกาเนิดความรู้ แนวคิด อนั ผสั สะ มโนสมั ผสั แต่งจิต ของมนุษย์ ปัญญา วทิ ยาการวา่ ดว้ ยความ แจง้ ต่อเรา ฝากรอยไวก้ บั หลุดพน้ และวถิ ีทางนาไปสู่ความหลุดพน้ จิตผทู้ ากรรม จากกิเลส -เรารู้ส่ิงมีอยู่ -ผสั สะ ๖ -จิตเป็ น -ปัญญาในพทุ ธศาสนา หลักการ ไดท้ าง ประการ อนตั ตา วทิ ยาการวา่ ดว้ ยความหลุดพน้ และวถิ ีทาง ประสาท นาไปสู่ความหลุดพน้ จากกิเลส สมั ผสั -มองพระพทุ ธศาสนาดว้ ยทรรศนะทาง วทิ ยาศาสตร์ -ผลสมอง -ทุกสิ่งเป็น -จิตปรุงแตง่ -การนง่ั สมาธิทาใหจ้ ิตหลุดพน้ จากทางโลก ดบั กรรม กรรม อนตั ตา ยอ่ ม กรรม อวชิ ชา ท่ีเกิดข้ึนในใจ เรา เกิดจากการ มีเหตุเกิด -จงเรียนรู้ใหร้ ู้ -มนุษยม์ ีอวชิ ชาเป็ นมูลฐานแต่เดิม ตอ่ มาเมื่อ กระทา และตน้ เหตุ วา่ จะกระทา เรียนรู้ จึงค่อย ๆ รู้ที่จะนอ้ ยจนมากข้ึน ก่อใหเ้ กิด แห่งการดบั อยา่ งใด จึงนา การรู้เทา่ ทนั เหตุและผล ของสิ่งท้งั หลาย สามารถ การ ของมนั ผลมามาสู่เรา ทาใหจ้ ิตใจของผรู้ ู้หลุดพน้ จากกิเลสได้ เคลื่อนไหว แลว้ กระทา -คาสอนเถรวาทวา่ ดว้ ยจิต คาสอนวา่ ดว้ ยการมีอยู่ กรรมน้นั ลง -คาสอนวา่ ดว้ ยเหตุผล วิ ีธการ ไป จงเรียนรู้ -ทุกขเ์ ป็นส่ิงอนิจจงั อนตั ตา ยอ่ มมีตน้ เหตุการณ์ ไว้ ฝากรอยไว้ เกิด และตน้ เหตุแห่งการดบั ของมนั ในจิต ไม่สูญ -สงสยั ไวก้ ่อน และการรู้แจง้ เห็นจริงดว้ ยตนเอง หาย เขาอาจไม่ใช่คนโกหกและไมม่ ีเจตนาโกหกใคร แต่ตกอยใู่ นความสาคญั ผดิ -หลกั แห่งการทดสอบขอ้ เทจ็ จริง ความถูกตอ้ ง ขอ้ เทจ็ จริง เรารู้ส่ิงท่ีมีไดท้ างประสารทสัมผสั ลกั ษณะสิ่งที่มี สงสยั ในความรู้ที่ไดจ้ ากผอู้ ่ืน ตน้ กาเนิดความรู้ของมนุษย์ ความรู้เดิมของคนเรา ยอ่ มไดท้ างประสาทสมั ผสั
๑๕๒ ตารางท่ี ๔.๒.๑๐๐ การสังเคราะห์เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ จากวรรณกรรมเร่ือง“ปัญญา” [ป ๔-๑๕] ด้าน กาย เวทนา จติ ธรรม -ความรู้ -ส่ิงท่ี -จิต สะทอ้ น -ญาณ ความรู้ ความรู้มาจากไหน แนวคิด ท่ีไดม้ า กระทบ ของผสั สะ ธรรมชาติเป็นอยา่ งไร จาก อวยั วะรับ อนั มีต่อโลก -ธรรม ตรรกวทิ ยาแบบ Formal Logic และ ผสั สะ ผสั สะเรา ภายนอก วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ Scientific Method ช้นั ในสมอง เป็นการคิดแบบหลกั Induction -การ -ผสั สะท่ีถูก -ความรู้ที่ไดม้ า -การนง่ั คิด หรือบาเพญ็ เพียร อาศยั ตรรกะเท่าใด รับรู้ ควบคุม ดี จากผสั สะ ไม่ทาใหเ้ ขา้ ใจกฎธรรมชาติ หรือล่วงรู้ การคิด จะไม่ลวง ความรู้เกิด ความมีอยขู่ องส่ิงภายนอกกายไดเ้ ลย หลักการ คืบไป เรา จาก -การคิดแบบวเิ คราะห์ การคิดมโนภาพ จากการ -จากผสั สะ การรับรู้ทาง ฉีกออกมาเป็นเส่ียง ๆ รับรู้ ไปสู่ ผสั สะ -การคิดแบบสงั เคราะห์ การเอามโนภาพส่วนใด -สัญชาต วทิ ยาศาสตร์ ส่วนหน่ึงมาประกอบกนั เขา้ ใจ ญาณ ความคิดใหเ้ ป็นมโนภาพรวม -มี -เวทนา -เรามีทางทราบ -ความรู้ของมนุษยไ์ ดม้ าอยา่ งไร ความรู้ สะทอ้ นไป ความคิดผอู้ ื่น -ความรู้มาจากการคิด ตรรกวทิ ยา หรือ Formal จาก ยงั สมอง ได้ Logic สอนใหค้ นเรารู้จกั ใชเ้ หตุผลใหถ้ ูกตอ้ ง ผสั สะ เป็นมโน ทราบมโนภาพ สรรพสิ่งเป็นไปตามหลกั เหตุผล -สังเกต ภาพ ของเขานึกคิด -จงพยายามหาขอ้ เท็จจริง ใหไ้ ดม้ าก ๆ และคิดให้ พจิ ารณา -มโนภาพ อะไร นอ้ ย ๆ สัจธรรมสมบูรณ์ ขอ้ เทจ็ จริงลว้ น ๆ -อุปมา เป็นการรับรู้ การคิดต่อตรง ที่ยอดเกี่ยวโยงกนั -สงสยั อุปกรณ์การ จากจิต -คนหาความจริงใหม้ าก คิดให้นอ้ ย วิ ีธการ ต้งั รับรู้ นงั่ ฟังจิต ความคิดบญั ญตั ิประเภท กฎหรือทฤษฎี โดยไมม่ ี ปัญหา สิ่งท่ี ของผอู้ ื่นดว้ ย ขอ้ เทจ็ จริงเพยี งพอ ยอ่ มนาไปยงั ความเทจ็ -ปัญญา รับทราบ วธิ ีสมาธิ หรือ ความ คลาดเคล่ือน เป็น เป็นความ จิตและ -การมองโลกในแง่ต่าง ๆ กนั ตามโลกทรรศน์ ปรากฎ ตรึงตรา วญิ ญาณเป็น ปัญญา หลกั โลกภายนอกท่ีมนุษย์ ไดผ้ า่ น การใน ภาพใน อิสระจาก วทิ ยาศาสตร์แลว้ เป็ นการผสมผสานขอ้ เทจ็ จริง สมอง สมอง ร่างกาย จากโลกภายนอก เป็ นเวลานาน ดว้ ยเทคนิคอยา่ งสูง -ปัญญา พระวสิ ุทธิมรรค วิชาท่ีทาใหเ้ รารู้แจง้ โลก ตดั กิเลสออกไปจากจิตใจ
๑๕๓ บทที่ ๕ สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวจิ ัย เพื่อเป็ นการตอบวตั ถุประสงค์ภาพรวมของงานวิจยั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ โดยการศึกษา วเิ คราะห์และสังเคราะห์ จากวรรณกรรม โดยนาวรรณกรรมมาจากการถอดความคิดจากแผนที่ความคิด เป็ นคาสาคญั เป็ นขอ้ ความสาคญั และความหมายสาคญั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ จาแนกการนาเสนอเป็ น ประเภทวรรณกรรม ๔ ประเภท ๑) แนววิชาการ ๒) แนวคาสอนครูบาอาจารย์ ๓) แนวนกั เขียนคิดคน้ ๔) แนวบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่ เพ่ือเป็ นการศึกษาลกั ษณะเชิงวรรณกรรมแต่ละเร่ือง เพื่อเห็นภาพรวมแต่ละเล่มโดยใช้วิธีการ วิเคราะห์และสังเคราะห์แบบ Mind Mapping ถอดความคิดของวรรณกรรมแต่ละเรื่อง ใชแ้ กนสาระเร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นหลกั ประเด็นศึกษา แลว้ มาหาคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่องน้นั ออกมาเป็นบทสรุป เป็นขอ้ ตามคาถามผศู้ ึกษาวิจยั ไดเ้ ตรียมสร้างไวแ้ ลว้ เพอ่ื นาไปสู่การเขียนคาตอบอยา่ งเป็นประเด็นๆ เรื่องท่ี ตอ้ งการหาคาตอบจากวรรณกรรม ขอ้ ๑ ประเด็นคาถามสาระเน้ือหา หมายถึง จุดเด่น/จุดเน้น เน้นเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ น อยา่ งไร ดา้ นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดา้ นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดา้ นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดา้ นธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็น ขอ้ สรุป (๑) ขอ้ ๒ ประเด็นคาถามองคค์ วามรู้ หมายถึง ความรู้ท่ีไดจ้ ากวรรณกรรมเร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 เป็ น อย่างไรเป็ นอย่างไร มีประเด็นเป็ นอย่างไร สรุปแนวคิด หลกั การ และวิธีการ อธิบายเช่ือมโยง เป็ น ขอ้ สรุป (๒) ข้อ ๓ ประเด็นคาถามกลวิธีการประพันธ์ หมายถึง วิธีการเขียน/แต่ง/เรียบเรียง วรรณกรรม วรรณกรรม เป็ นอย่างไร คุณค่าวรรณกรรมวรรณกรรมเล่มน้ีดีอย่างไร? ทาไมจึงชอบ? และทาไมจึงควร อ่าน? ความเหมาะสมของผอู้ ่านควรเป็นลกั ษณะอยา่ งไร เป็น ขอ้ สรุป (๓) ขอ้ ๔ ประเด็นคาถามแนะนาวรรณกรรมวรรณกรรม หมายถึง บทวิจารณ์ของผศู้ ึกษาวิจยั มีความ คิดเห็นประการใด ผศู้ ึกษามีความคิดเห็นเพ่มิ เติมอยา่ งไร เป็น ขอ้ สรุป (๔) เพื่อให้ข้อสรุปผลของการศึกษางานวรรณกรรมเป็ นระบบความคิดและระบบเรียบเรียงการ นาเสนอเป็ นความคิดผูศ้ ึกษาไดต้ ้งั ประเด็นไวเ้ บ้ืองหลงั คาถาม แสวงหาคาตอบที่นาไปสู่ขอ้ สรุปผลจาก วรรณกรรมแต่ละเร่ือง ดงั แสดงแผนภาพท่ี ๕.๑ ถึง แผนภาพที่ ๕.๑๐๐ คน้ หาคาสาคญั อธิบายจาก วรรณกรรมวรรณกรรมเรื่องน้นั และสร้างตารางตอบตามขอ้ คาถาม ๑ ถึง ๔ เป็น ตารางที่ ๕.๑ ถึง ตาราง ท่ี ๕.๑๐๐ ตามรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี
๑๕๔ ตอนที่ ๕.๑ บทสรุปจากวรรณกรรมประเภท ๑) แนววชิ าการ แผนภาพที่ ๕.๑ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๖” คาสาคญั [ป.๑-๑] อานา สมั ปชญั ญะ ธาตุ อริยมรรค ปานสติ มนสิการ รู้สึกทาง ใจ อายตนะ เสวย ทุกขเวทนา ธาตุ อารมณ์ มนสิการ สติสูตร นิวรณ์ ๕ สงั โยชน์ ขนั ธ์ ๕ อริยสจั โพชฌงค์ พระ โสดาบนั ๒.อง ์คความ ู้ร ๑.เ ืน้อหา ุจดเ ้นนตารางท่ี ๕.๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๖” [ป.๑-๑] ๓.กลวิ ีธเขียนข้อ สรุป ๔.แนะนาวรรณกรรม๑. เน้นครบ ๔ ด้าน กาย เวทนา จิต ธรรม ตามหลกั การในพระไตรปิ ฎก เน้นครบทุกด้านที่ เกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ทุกดา้ น หลกั การและวิธีการปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานใน มหาสติปัฏฐานสูตร สติสูตร จาแนกการบรรลุผลและคุณธรรมพระอริยบุคคล ๒. หลกั การและวิธีการปฏิบตั ิวิปัสสนากมั มฎั ฐานในมหาสติปัฏฐานสูตร กายานุปัสสาสติปัฏ ฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตาม แนวทางและวธิ ีการปฏิบตั ิ อธิบายตามเน้ือหาสาระขยายความตามพระไตรปิ ฏก ๓. เป็ นวรรณกรรมวิชาการ การอ่านทาความเขา้ ใจตอ้ งอาศยั ผูร้ ู้มาเป็ นเร่ืองยากตอ้ งการอธิบาย ให้เขา้ ใจ จากผูม้ ีความรู้ เป็ นวรรณกรรมใช้ภาษาบาลีเป็ นวิชาการ จาตอ้ งอาศยั ความรู้ความ เขา้ ใจศพั ทบ์ าลีเป็ นพ้ืนฐานเพ่ือใหเ้ กิดความเขา้ ใจในเน้ือหาสาระ เป็นวรรณกรรมเรียนในวชิ า พระพทุ ธศาสนา เป็นการอธิบายหลกั การและวธิ ีการปฏิบตั ิกมั มฏั ฐาน ในพระสูตรท่ีเชื่อมโยง กบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔อธิบายความเห็นภาพความเชื่อมโยงสาระประเด็นต่างๆ สอดคลอ้ ง ไปดว้ ยกนั ในแตล่ ะเร่ือง ๔. เป็ นวรรณกรรมเรียนในวิชาพระพุทธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั เป็ น การอธิบายหลกั การและวธิ ีการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ในพระสูตรเชื่อมโยงกบั เร่ืองมหา สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ อปัณณกสูตร สติสูตร การบรรลุผลพระอริยบุคคล และการปฏิบตั ิ วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ๖ ระยะ การอธิบายเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ข้ึนอยกู่ บั วา่ เอาไปวางอธิบาย ความท่ีจุดใดแลว้ ทาให้การสื่อสารมาในรูปแบบใด มองกวา้ งทาให้เกิดความครอบคลุม มอง ใกล้ทาให้เข้าใจลึก เป็ นเรื่ องเฉพาะทางอยู่ท่ีผู้เขียน เอาไว้ที่จุดใดในเรื่ องราวของ พระพทุ ธศาสนาแลว้ นามาอธิบายขยายความ
๑๕๕ แผนภาพที่ ๒ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๗” [ป.๑-๒] คาสาคญั คา กาหนด สภาวะ รูปนาม บริกรรม รู้ อานา รูปขนั ธ์ ธรรมชาติ สติต้งั มนั่ ปานสติ จิต จิต พองยบุ พทุ โธ นิวรณ์ ภาวนา นิมิต มโนยทิ ธิ ใหร้ ู้ตวั เคล่ือนไหว ตารางท่ี ๕.๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๗ ” [ป.๑-๒]๑.เ ื้นอหา ุจดเ ้นน ข้อ สรุป๒.อง ์คความ ู้ร ๔.แนะนาวรรณกรรม ๓.กลวิ ีธเขียน๑. ครบทุกดา้ น กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ คือ การต้งั สัมปชัญญะเพียรพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม เพ่ือกาจดั อภิชฌาและโทมนสั สติปัฏฐาน ๔ เป็นธรรมท่ีต้งั แห่งสติ การปฏิบตั ิ มีสติเป็ นประธาน เนน้ เรื่องธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สัมมาสมาธิ ตามมรรค ๘ ฝึกฝนอบรม จิตในข้นั ลึกซ้ึง ระดบั สมาธิ ภาวนามยปัญญา คือ รู้ข้ึนมาโดยไม่ตอ้ งคิด หลกั สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง พระสูตรวา่ ดว้ ยการเจริญสติปัฏฐานใหญ่ ๒. ครบรูปแบบองคค์ วามรู้การปฏิบตั ิสายแต่ละสายในประเทศไทย รวบรวมสายการปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ พองยุบ พุทโธ เคลื่อนไหว อานาปานสติ มโนมยิทธิ ภาวนามยปัญญา คือ รู้มาเองโดยไมต่ อ้ ง คิด จิตเดินไตรลกั ษณ์ให้รู้อริยสัจ การเดินจิตเป็ นท้งั วิปัสสนาและมาถะ การพิจารณาธรรม ยกข้ึนสู่วปิ ัสสนา เห็นธรรมในธรรมท้งั หลาย สติระลึกรู้ปัจจุบนั ฐานไหนสบายให้เลือกฐาน น้นั กาหนดไปพร้อมกบั อาการแต่ละอยา่ ง ๓. หนงั สือวชิ าการการเรียนรู้จากตารา ตอ้ งอาศยั คาอธิบายจากครูบาอาจารยผ์ รู้ ู้ อธิบายตามหวั ขอ้ พระไตรปิ ฎก เป็ นการปฏิบตั ิตามสายการปฏิบตั ิอยา่ งแต่ละสายการปฏิบตั ิที่นิยม และนาไปสู่ การเช่ือมโยงกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ อ่านเขา้ ใจยากเน่ืองจากสายการปฏิบตั ิตอ้ งมี ประสบการณ์ในการปฏิบตั ิมาดว้ ย ๔. เป็ นหนังสือวรรณกรรมวิชาการเขียนเพ่ือประกอบการเรียนการสอน ข้อดี คือ อธิบายได้ ละเอียดแลว้ เป็ นองคค์ วามรู้ความเขา้ ใจท่ีเชื่อมโยงจากพระไตรปิ ฎก และแนวทางการปฏิบตั ิที่ ถูกบนั ทึกไวอ้ ยา่ งเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร มีการอธิบายตามประไตรปิ ฎก ตามเสริมดว้ ยพระคมั ภีร์ ต่าง ๆ ขอ้ ดอ้ ย คือ ภาษาบาลีทาให้เขา้ ใจได้ยาก ขอ้ ดี คือ มีการอา้ งอิงอย่างถูกตอ้ งตามหลกั วชิ าการ แบง่ เน้ือการเขียนหลายท่านทาใหไ้ มเ่ ช่ือมโยงกนั ในภาพรวม
๑๕๖ แผนภาพที่ ๓ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๓” อภิญญา ๖ คาสาคญั [ป.๑-๓] ทิฏฐิ สงั วรศีล อินทรีย์ วสิ ุทธิ ๗ วปิ ลาส สงั วร วริ ิยนิ ทรีย์ วชิ ชา ๘ อินทรีย์ สญั ญา โพชฌงค์ ๕ วปิ ลาส ๗ จิต เสวย สทั ธินทรีย์ วปิ ลาส อารมณ์ สมาธิ ปัญญิน พองหนอ นทรีย์ ทรีย์ ยบุ หนอ ๑.เ ื้นอหา ุจดเ ้นนตารางที่ ๕.๓ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๓ ” [ป.๑-๓] ข้อ สรุป๒.อง ์คความ ู้ร ๑. เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็ นการศึกษาต่อเนื่องกนั ไม่สามารถแยกจากกนั ได้ กายเป็ นท่ีต้งั เวทนา จิตเป็ นความคิดสภาวะคิดรู้อารมณ์ ธรรมคือ นิวรณ์ ๕ อุปทานขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๖ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ เนน้ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็ นการศึกษาต่อเน่ืองจาก กาย เพ่ือเขา้ ใจความหมายเวทนา เวทนาหมายถึงการเสวยอารมณ์ สภาวะเสวยอารมณ์ เป็ นสุข เป็นทุกข์ ไม่เป็นท้งั สุขและทุกข์ ตกอยใู่ นสภาวะความไม่เท่ียง ๒. การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือ การกาหนดรูปนามเป็ นอารมณ์ การกาหนดรูปนามเป็ น อารมณ์วิปัสสนา โดยนาคาสาคญั กล่าวแทรกความรู้เรื่องอื่นไวใ้ นเล่ม ไดแ้ ก่ อินทรีย์ วิปลาส อภิญญา ๖ วิชชา ๘ วิสุทธิ ๗ อธิบายความหมายการปฏิบตั ิเวทนาได้เชื่อมโยงกับลกั ษณะ ผลไดเ้ ป็นอยา่ งดี ๓.กลวิ ีธเขียน ๓. เป็ นหนงั สือวิชาการ เรียงตามความเขา้ ใจเร่ิมตน้ จาก กาย เวทนา จิต ธรรม การอา้ งที่มาแหล่ง การคน้ ควา้ เรียบเรียงอยา่ งเป็ นระบบวชิ าการ เนน้ หลกั กการและวธิ ีการปฏิบตั ิเวทนานุปัสสนา ๔.แนะนาวรรณกรรม สติปัฏฐานสูตร ต้องอธิบายเป็ นตอนๆ หนังสือแทรกเรื่องอื่นเขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง เป็ นคานิยาม วรรณกรรม ความหมายคาสาคญั แต่ละตอน บางคร้ังเน้ือหาไมค่ ่อยไปดว้ ยกนั ๔. การทาหนงั สือวิชาการแยกเป็ นตอนๆ แลว้ เพ่ิมคานิยามความหมายเฉพาะเพื่อเสริมจาแนกเป็ น บทๆ ให้ครบลักษณะเรื่องสติปัฏฐาน ๔ และวิปัสสนากรรมฐานภาคปฏิบัติ ตอน ๓ ฝึ ก หลกั การและวิธีการเดินจงกรม ๓ ระยะ ไดแ้ ก่ ยกหนอ ย่างหนอ เหยยี บหนอ สติกาหนดอยูท่ ่ี เทา้ กาหนดตน้ จิต วธิ ีการนงั่ ๓ ระยะ ไดแ้ ก่ พองหนอ ยบุ หนอ นง่ั หนอ กาหนดตอ้ งใหต้ รงกบั สภาวะอาการพองยบุ ทาใหก้ ารเขา้ ใจเน้ือหาไม่ติดต่อกนั
๑๕๗ แผนภาพท่ี ๔ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “สมาธิ:ฐานสู่สุขภาพจิตและปัญญาหยง่ั รู้” คาสาคญั [ป.๑-๔] จิตต้งั มน่ั อินทรีย์ ภาวะจิต นิวรณ์ ๕ องคฌ์ าน อิทธิ สมั มาสมาธิ สภาวธรรม บาท โพชฌงค์ โพธิ จิตบริสุทธ์ิ อภิญญา ปักขิย ธรรม โลกีย มรรค วธิ ี โยนิโส อภิญญา ๘ ธรรมชาติ มนสิการ ๒.อง ์คความ ู้ร ๑.สาระ ุจดเ ้นนตารางที่ ๕.๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “สมาธิ : ฐานสู่สุขภาพจิตและปัญญาหยงั่ รู้” [ป.๑-๔] ข้อ สรุป ๑. เน้นเรื่องธรรมนุปัสสนา อธิบายจากสัมมาสมาธิ มรรค ๘ จากสาระจากธรรมานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน ฝึ กฝนอบรมจิตในข้ันลึกซ้ึง แบ่งตามระดับสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอปั ปนาสมาธิ ครบรูปแบบองคค์ วามรู้เร่ืองสมาธิ ลกั ษณะจิตท่ีเป็นสมาธิอยา่ งไร ๒. ฝึกจิตดว้ ยกระบวนการสมาธิภาวนาใหเ้ ป็ นฐานการเจริญปัญญาจริงจงั เครื่องนาฝึกใหเ้ กิด สมาธิ คือ องคธ์ รรมพ้ืนฐานท่ีเรียกวา่ สติ สติเป็ นเคร่ืองดึงและกมุ จิตไวก้ บั อารมณ์ คือ สิ่งท่ี พงึ เกี่ยวกบั และกิจท่ีตอ้ งทาเวลาน้นั สติเป็นที่พ่ึงของใจ ๔.แนะนาวรรณกรรม ๓.กลวิ ีธเขียน ๓. วรรณกรรมมีการอา้ งอิงเชิงวิชาการ เป็ นความกระชบั นาไปเป็ นประโยชน์มุมมองวิชาการ การอธิบายความด้วยภาษาเข้าใจง่าย และมีความรู้ภาคทฤษฎีที่ถูกต้อง นาไปสู่การเป็ น ตวั อยา่ งงานการเขียนวรรณกรรมงานวิชาการเป็ นอยา่ งมาก เป็ นวรรณกรรมท่ีทรงคุณค่าใน ยคุ ปัจจุบนั ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ใชภ้ าษาเขา้ ใจง่ายแต่องคค์ วามรู้สาระมากมาย ๔. เป็นวรรณกรรมตน้ แบบของการเรียนรู้เร่ืองสมาธิ อธิบายไดอ้ ยา่ งครอบคลุม เขา้ ใจง่าย อา้ งอิง ได้ถูกต้อง น่าเช่ือถือ เป็ นการรวมความรู้ท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ได้เป็ นอย่างดี วรรณกรรมเขียนสร้างความรู้ความเข้าใจได้เป็ นอย่างดี เหมาะนาไปสู่การศึกษาเพ่ือการ อา้ งอิงทางวชิ าการไดเ้ ป็นอยา่ งดี ตอ้ งควรอา่ นเป็นอยา่ งยง่ิ
๑๕๘ แผนภาพที่ ๕ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๕ ” คาสาคญั [ป.๑-๕] อายตนะ ๖ ไตรลกั ษณ์ นิวรณ์ ๕ อปุ ทาน ขนั ธ์ ๕ โพธิปักขิย ธรรม ๓๗ โพชฌงค์ มรรค ๘ รูปนาม ขนั ธ์ ๕ ๗ อินทรีย์ ๕ สมั มปทาน เจโต นิวรณ์ ๕ ๔ วมิ ุตติ บริหารจิต พละ ๕ อิทธิบาท ๔ ตารางท่ี ๕.๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๕ ” [ป.๑-๕] ๑.สาระ ุจดเ ้นนข้อ สรุป ๒.อง ์คความ ู้ร ๑. เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ พิจารณากายในกาย พิจารณาเวทนา ความรู้สึกเกิดข้ึนในจิตใจตน พิจารณาอารมณ์ท่ีเกิดข้ึน พิจารณาสภาวธรรมที่เกิดข้ึนท้งั ๓ ข้นั ตอน โดยเน้นเร่ืองธรรมา ๓.กลวิ ีธเขียน นุปัสสนาสติปัฏฐาน หลักการพิจารณาหมวดธรรมเขา้ สู่ไตรลกั ษณ์ การพิจารณาสภาวะ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา กากบั เสมอเช่ือมโยงหลกั ธรรมไปสู่หมวดอ่ืนๆ การพิจารณาเห็นตาม ๔.แนะนาวรรณกรรม ความเป็ นจริ ง ๒. หลกั การประเมินวธิ ีการถูกตอ้ งหรือไม่ ใหด้ ูวา่ ธรรมปรากฏในความรู้สึก การกาหนดธรรม ภายในกบั ธรรมปรากฎภายนอกเช่ือมกนั มองเห็นสภาวธรรมเสมอกนั ตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาการพิจารณาเห็นธรรม สติปัฏฐาน ๔ หมายถึง แนวทางปฏิบตั ิวิปัสสนา การบรรลุ นิพพานได้ พิจารณาธรรมให้เห็นปรากฏไตรลกั ษณ์ พิจารณาหลกั ธรรมต่าง ๆ นอ้ มสู่ภายใน ไดแ้ ก่ นิวรณ์ ๕ อุปทานขนั ธ์ ๕ อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ มรรค ๘ โดยหลกั การเป็นแนวทางปฏิบตั ิสาคญั ช่วยใหว้ ธิ ีการเป็นไปอยา่ งถูกตอ้ ง ๓. เป็ นหนงั สือแนววิชาการ เนน้ ความเขา้ ใจแนวคิด ทฤษฎี นาเชื่อมโยงไปสู่การปฏิบตั ิ การนา ภาษาบาลีกล่าวเป็ นประเด็นแลว้ อธิบายความ ทาให้เขา้ ใจยาก สาหรับคนไม่มีพ้ืนฐานทวั่ ไป ทาให้ธรรมะเข้าใจต้องการคาอธิบายความจากผูร้ ู้ การเป็ นหนังสือวิชาการท่ีอ้างอิงจาก พระไตรปิ ฎก การเป็ นหนังสือเชิงวิชาการตอ้ งมีการอา้ งอิงทาให้แนวการปฏิบตั ิไม่แสดง ความตกผลึกทางความคิดตอ่ วธิ ีการปฏิบตั ิไดด้ ี ๔. การที่ผแู้ ต่งหนงั สือมีหลายท่าน แบ่งบทเป็ นเร่ืองแต่ละตอน บางคร้ังแทรกความคิดเห็นของผู้ แต่ง มกั ไม่ค่อยสอดคลอ้ งไปดว้ ยกนั เนื่องจากเป็ นงานเขียนแต่ละบท แลว้ มีการเขียนวธิ ีการ ฝึ กปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน ตอนท่ี ๕ แยกเป็ นตอนๆ ในแล่ม ไดแ้ ก่ การเดินจงกรม ๕ ระยะ ไดแ้ ก่ ยกส้นหนอ ยกหนอ ยา่ งหนอ ลงหนอ ถูกหนอ
๑๕๙ แผนภาพท่ี ๖ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๔ ” คาสาคญั [ป.๑-๖] สมาบตั ิ ๘ รับรู้อารมณ์ ปรับ ฌาน ๔ อินทรีย์ ๕ ไตรลกั ษณ์ ฝึกจิต สารวมจิต กาหนด รู้รูปนาม ตน้ จิต อปั ปนา ไตรสิกขา สภาวธรรม วิปัสสนา สมาธิ ญาณ ๑๖ วิปัสสณู สภาวธรรม ขณิกสมาธิ กิลส ๑.สาระ ุจดเ ้นนตารางท่ี ๕.๖ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๔ ” [ป.๑-๖] ๒.อง ์คความ ู้รข้อ สรุป ๓.กลวิ ีธเขียน๑. เนน้ เรื่องจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการฝึ กจิต อบรมจิตจากการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน เพ่ือพจิ ารณาเห็นจิตในจิตภายในอยู่ พิจารณาจิตเห็นจิตภายนอกอยู่ การปฏิบตั ิจิตตานุปัสสนา สติ ตอ้ งศึกษาธรรมาชาติจิตให้เขา้ ใจถ่องแท้ หลกั การฝึ กจิตอยา่ งเป็ นระบบ กาย คือ ฝึ กจิตไป ทางกาย กายเป็ นฐานฝึ กเวทนา เวทนา คือ ฝึ กจิต เพื่อรู้เขา้ ใจเก่ียวกบั เวทนา จิต คือ ฝึ กจิตท่ี ศึกษาจิต ความคิดหยาบ ระเอียดภายในและภายนอก ธรรม คือ ฝึ กจิตที่มีธรรมเป็ นอารมณ์ เนน้ ศูนยก์ ลางคือ การฝึกจิตเป็นสาคญั ๒. การปฏิบตั ิจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั อภิชฌา และโทมนสั ในโลกได้ กาหนดจิตแต่ละขณะ การพิจารณาจิตในจิต คือ การต้ังสติกาหนดรู้จิตภายในของผู้ปฏิบัติ กาหนดรู้จิตสัมพันธ์กับกาย กาหนดต้นจิต อธิบายวิปัสสนาญาณ ๑๖ เห็นการเกิดดบั พละ ๕ กาลงั ความรู้ความเขา้ ใจเร่ืองสติปัฏฐาน ๔ เบ้ืองตน้ แลว้ ยกจิตข้ึนสู่ไตรลกั ษณ์ ๓. เขียนหนังสือสาหรับเรียนวิชาการ ตามแนวการเขียน ขอ้ สังเกต ยุคสมยั เปล่ียนไปภาษามกั เปล่ียนไปตามยคุ สมยั ความเขา้ ใจเร่ืองยากระดบั นามธรรมอธิบายไดย้ ากข้ึน ความรู้เรื่องจริง หากไม่ปฏิบตั ิ ก็เขา้ ใจยากมาก ภาษาวิชาการเกินไปจนธรรมะกลายเป็ นของยากกวา่ คนปกติ ทว่ั ไปจะเขา้ ใจได้ แลว้ ความเขา้ ถึงสาหรับคนยคุ ใหม่ยงิ่ มีความห่างไกลตวั เกินไป ๔.แนะนาวรรณกรรม ๔. เป็ นหนังสือเรียนในรายวิชาธรรมะภาคปฏิบตั ิ วิชาแกนพระพุทธศาสนาระดับปริญญาตรี หมวดวิชาแกนศึกษาทว่ั ไป หลกั สูตรพุทธศาสตรบณั ฑิต มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั หนงั สือเรียน ควรมีความถูกตอ้ งน่าเช่ือถือเป็ นอยา่ งย่ิง ไม่เฉพาะเผยแพร่เป็ นตารา แต่เป็ นมาตรฐานให้ผูค้ นทว่ั ไปสนใจใฝ่ ศึกษาใช้อา้ งอิง และสร้างประโยชน์หลากหลายได้ ดว้ ย
๑๖๐ แผนภาพท่ี ๗ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๑ ” คาสาคญั [ป.๑-๗] สงั ขาร สมถะ อายตนะ ฌาน สมาบตั ิ อินทรีย์ ๒๒ วปิ ัสสนา รูปฌาน อรูป อาตาปี ฌาน สติมา ธรรมารมณ์ โลกตุ ระ นิมิต ๓ กรรมฐาน นิวรณ์ ๕ สมั ปชา โน ตารางที่ ๕.๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๑ ” [ป.๑-๗]๑.สาระ ุจดเ ้นน ข้อ สรุป๒.อง ์คความ ู้ร ๑. ความเบ้ืองต้นเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ หลักการ การเร่ิมต้นเพ่ือให้เกิดความเข้าใจเรื่อง๓.กลวิ ีธเขียน มหาสติปัฏฐาน ๔ เพื่อให้เกิดความเขา้ ใจในภาพรวม กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ เป็ นธรรมอนั เป็ นท่ีต้งั แห่งสติ ขอ้ ปฏิบตั ิที่ใช้สติเป็ นประธาน ฝึ กสติ ใช้สติ พิจารณา กาย๔.แนะนาวรรณกรรม เวทนา จิต ธรรม ตามความเป็ นจริง การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ใหไ้ ดผ้ ลคือ อาตาปี คือ ต่ืนตวั อยู่ เสมอ เพียรพยายาม สติมา คือ ตอ้ งมีสติ ระลึกนึกได้ ก่อนทาพูดคิดอะไร สัมปชาโน คือ ความ มีสัมปชญั ญะ ความรู้ตวั ทว่ั พร้อม เป็นตวั ปัญญา รู้ตระหนกั ชดั ถึงส่ิงที่สติกาหนด ๒. อธิบายประวตั ิวิวฒั นาการ ตามความหมาย หลกั การ และวิธีการปฏิบตั ิกรรมฐาน ประโยชน์ ของกรรมฐาน อารมณ์กรรมฐาน ความหมายหลักธรรมการปฏิบตั ิกรรมฐาน รูปแบบ กรรมฐานประเทศไทย ๕ สาย ได้แก่ สายบริกรรมภาวนาพุทโธ สายพองยุบ สาย เคล่ือนไหว สายวิชาธรรมกาย สายอานาปานสติ วธิ ีการปฏิบตั ิ สมถกรรมฐานและวปิ ัสสนา กรรมฐาน ๓. เป็ นวรรณกรรมวิชาการอธิบาย ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เป็ นการรวบรวมเรียบเรียง วรรณกรรมวิชาการ เป็ นวรรณกรรมโครงการผลิตตาราเรียนรู้พระพุทธศาสนาวิชาการแกน พระพุทธศาสนา รูปแบบวรรณกรรม ตาราเรียน ภาษาไม่ยากและไม่งาน เนื่องจากยงั เป็ นการ อธิบายศพั ท์วิชาการเป็ นภาษาบาลี เป็ นภาษาทว่ั ไป และการอธิบายวิชาการปฏิบตั ิให้เป็ นท่ี เขา้ ใจ เป็นการอธิบายภาพรวมของมหาสติปัฏฐาน ๔ ๔. แนะนาให้อ่านทาความเขา้ ใจเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ แต่เน่ืองจากเป็ นเล่มที่ ๑ ใน ๗ เล่มเป็ น ภาพย่อยของเร่ือง วรรณกรรมวิชาการอ้างอิงวิชาการทางพระไตรปิ ฎก นาไปอธิบาย ผสมผสานกบั แนวผูเ้ ขียนไดเ้ รียบเรียง เป็ นลกั ษณะ ธรรมภาคปฏิบตั ิ เล่ม ๑ เรียบเรียงเป็ น ตอน ๆ ท้งั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบตั ิ
๑๖๑ แผนภาพที่ ๘ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “วปิ ัสสนากรรมฐาน ตามรอยพระพทุ ธองค”์ คาสาคญั [ป.๑-๘] ขนั ธ์ ๕ ญาณ บริกรรม สภาวธรรม พทุ โธ สมั มาสมาธิ เสวย โยนิโส ธรรมธาตุ เวทนา มนสิการ อริยมรรค ๘ วปิ ัสสนึก สภาวธรรม ธรรม สญั ญา ยถาภตู ญาณ สภาวธรรม โพชฌงค์ สมาธิญาณ ทสั สนะ ของจิต ๗ ตารางท่ี ๕.๘ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง “วปิ ัสสนากรรมฐานตามรอยพระพทุ ธองค”์ [ป.๑-๘] ข้อ สรุป ๑.สาระเ ื้นอหา ุจดเ ้นน ๑. เน้นครบ ๔ ดา้ น กาย เวทนา จิต ธรรม ให้ความสาคญั อธิบายเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ อย่าง หลากหลายเชื่อมโยงมากมาย แนวคิดทฤษฎีและแนวปฏิบตั ิ กาย เวทนา จิต ธรรม ผสมผสาน กนั อาศยั การปฏิบตั ิเป็ นตวั นาความรู้เสริมดว้ ยการอธิบายภาคปริยตั ิและปฏิบตั ิอยา่ งผสมผสาน กนั การแทรกความคิดเห็นเชิงการปฏิบตั ิของผูเ้ ขียนเขา้ ไปทาให้วรรณกรรมเล่มน้ี น่าอ่านเป็ น อยา่ งยงิ่ ๒. วิปัสสนากรรมฐานเป็ นการอธิบายองค์ความรู้เน้นโยนิโสมนสิการเป็ นการเช่ือมโยงธรรม ๒.อง ์คความ ู้ร อธิบายหลากหลายประเด็นความเขา้ ใจลึกซ้ึง มองโลกอย่างผูร้ ู้ ผูต้ ่ืน ผูเ้ บิกบาน วิปัสสนา กรรมฐานอาศยั คาบริกรรม “พุทโธ” ตัวคาบริกรรมเป็ นอุบายเกิดเป็ น สัมมาสมาธิ และ สมั มาสมาธิ โลกศาสนาพุทธ คือ ธรรมธาตุ ธรรมนิยามธาตุ และ อิทปั ปัจจยตธาตุ การเกิดจาก อายตนะภายในภายนอก วญิ ญาณ ๖ ผสั สะทางใจ เวทนา ตณั หา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ๔.แนะนาวรรณกรรม ๓.กลวิ ีธเขียน ๓. การเขียนแนววิชาการอธิบายได้เป็ นอย่างรายละเอียดเห็นภาพ การยกตวั อย่างเปรียบเทียบ อธิบายการปฏิบตั ิและผลการปฏิบตั ิอย่างเป็ นข้นั ตอน หนงั สือวรรณกรรมมีสาระมากมายใน เชิงทฤษฎีและปฏิบตั ิ “ขา้ พเจา้ อาศยั กายทิพย์ คือ สภาวธรรมของจิตอนั เป็ นสัมมาสมาธิในการ เขียนหนงั สือ วปิ ัสสนากรรมฐาน จากภาษาจิตอนั มีสภาวธรรมของสัมมาสมาธิ” ๔. เป็ นหนังสือที่เน้ือหาสาระดี แต่อ่านทาความเขา้ ใจยาก จาตอ้ งมีผูอ้ ธิบายความเขา้ ใจ ผูเ้ ขียน หนงั สืออาศยั พระไตรปิ ฎกเป็ นฐานความรู้ความเขา้ ใจ การเขียนมีเหตุผลการสนบั สนุนอย่าง เป็ นตรรกะ ภาษาสละสลวยในการเช่ือมโยง เล่มน้ีดีมาก แนะนาให้อ่านทาความเขา้ ใจไดท้ ้งั สาระท่ีเป็ นวิชาการและเชิงครูบาอาจารย์ และแนวทางผูเ้ ขียนคน้ พบ รวบรวมกนั เขา้ เป็ นสาระ งานได้ มีความหลากหลาย แนะนาใหอ้ า่ นเป็นอยา่ งยงิ่ แลว้ จะพบเจอองคค์ วามรู้ใหม่ ๆ
๑๖๒ แผนภาพที่ ๙ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔” คาสาคญั [ป.๑-๙] กาหนด เพง่ กสิณ จิตต สภาวะของ นามรูป ภาวนา จิต วปิ ัสสนา วสิ ุทธิ ๗ ญาณ ๑๖ โพชฌงค์ ๗ ญาณ ปรมตั จิตตวิ ธาตุ ๑๘ วปิ ัสสนา ธรรม ๔ สุทธิ อินทรีย์ จริต อุปจาร อปั ปนา ขณิกสมาธิ สมาธิ สมาธิ ตารางที่ ๕.๙ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ตามแนวมหาสติปัฏฐาน ๔” [ป.๑-๙] ข้อ สรุป ๑. เน้นครบท้ังด้านกาย เวทนา จิต ธรรม แนวทางเจริญกัมมัฏฐานในพระไตรปิ ฎก เรื่ อง ๑.สาระ ุจดเ ้นน สติปัฏฐาน ๔ นาไปสู่ในชีวิตประจาวนั การพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ต่าง ๆ กมั มฏั ฐานท่ี เหมาะสมกบั จริต ประเภทจริต ๖ อยา่ ง ญาณ ๑๖ กบั วปิ ัสสนาญาณต่างกนั กาหนดรูปนามของ อายตนะ ทางขนั ธ์ ๕ และการฝึ กจิต สมาธิตามระดบั จิต เนน้ ตามพระไตรปิ ฎกและคาสอนท่าน พระธรรมธีรราชมหามุนี (ทา่ นโชดก ญาณสิทธิ) ๒. เน้นการอธิบายเร่ือง จิตวิสุทธิของสมถยานิก และ วิปัสสนายานิก จิตต้งั มน่ั อยูใ่ นสติปัฏฐาน เป็ นบาทฐานเห็นการเกิดดบั สติปัฏฐาน ๔ คือ การเจริญสมาธิโดยการใช้สติเป็ นตวั นา และ ๒.อง ์คความ ู้ร ญาณ ๑๖ เป็ นความรู้สึกตวั ดว้ ยปัญญา หยงั่ รู้ กาหนดรู้ ที่ไดม้ าจากการเจริญวิปัสสนา ประเภท จริต กมั มฏั ฐานที่เหมาะสมกบั จริต สมาธิภาวนาเน้นการเจริญสมาธิ จิตต้งั มน่ั ย่อมรู้ชดั ตาม ความเป็ นจริง สมาธิเป็ นสุขภาพจิต ตอ้ งผา่ นการพฒั นาดว้ ยวธิ ีการฝึ กเป็ นระบบ การเกิดดบั รูป นาม เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ๔.แนะนาวรรณกรรม ๓.กลวิ ีธเขียน ๓. อธิบายเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ตามแนวทางพระไตรปิ ฎก เนน้ แนวทฤษฎีและวธิ ีการปฏิบตั ิ ผสมผสานกบั ความเห็นความละเอียดการปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งชดั เจน อธิบายเรื่องญาณ ๑๖ การเรียบ เรียงและเนน้ ความหมายสาคญั ของคานิยามศพั ทท์ ี่เก่ียวขอ้ งกบั เรื่องราวพร้อมอธิบายความและ ขยายความเพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจตอ่ ไป โดยมากอา้ งภาษาบาลีและพระไตรปิ ฎก ๔. การอธิบายเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ อย่างเป็ นระบบแนวทางวิปัสสนากรรมฐาน หนังสือ ประกอบดว้ ยภาพประกอบท่ีสวยงามอยา่ งมากมายนาความพระไตรปิ ฎกมากล่าวอา้ งเรียบเรียง ประกอบรู้ภาพ น่าสนใจ หนงั สือสวยเน้ือหาสาระดี ควรค่าเป็นการทาความเขา้ ใจและศึกษา
๑.สาระ ุจดเ ้นน ๑๖๓ ๒.อง ์คความ ู้รแผนภาพท่ี ๑๐ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๒” คาสาคญั [ป.๑-๑๐] ๔.แนะนาวรรณกรรม ๓.กลวิ ีธเขียน องค์ อุเบกขา สามญั ญาณ ฌาน ลกั ษณะ ทสั สนะ วปิ ัสส ธาตุ ๑๘ อายตนะ อุเบกขา ภูมิ ๑๒ ขนั ธ์ ๕ อริยสจั วชิ ชา ๓ วจิ ิกิจฉา ๔ สมถะ วปิ ัสสนา ปัญญา ไตร ญาณ ลกั ษณ์ ตารางท่ี ๕.๑๐ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “ธรรมะภาคปฏิบตั ิ ๒” [ป.๑-๑๐] ข้อ สรุป ๑. เนน้ ดา้ นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน วิธีปฏิบตั ิดา้ นกาย การพฒั นาสภาวธรรมที่เป็ นรูปกาย คือ ที่ประชุมรูปนาม การพินิจพิจารณาประกอบดว้ ย ความเพียร สัมปชญั ญะ และสติ เป็นวธิ ีการ ให้เกิดปัญญา เห็นชีวิตตามความเป็ นจริง เน้นอานาปานสติสูตรเพ่ิมเต่ิมการอธิบายการ กาหนดสติจากลมหายใจเขา้ ออก ๑๖ ข้นั ลาดบั กรรมวธิ ีอานาปานสติ ๒. การทาความรู้สึกตวั สมั ปชญั ญะบรรพ กาหนดตามอิริยาบถต่างๆ อาการที่ประกอบ ลกั ษณะ สมาธิ คือ ความต้งั มนั่ แห่งจิต ความสงบน่ิงแห่งจิต ดารงจิตและเจตสิกไวส้ งบคงท่ี ฌาน คือ ความเพง่ ดูความจริง (สัจจะภาวะ) เพื่อความหลุดพน้ จิตสงบ ปล่อยวาง เกิดสมาธิ ๓. เป็ นหนงั สือ แนววิชาการ อธิบายเช่ือมโยงหลกั ธรรม ความหมาย วิธีการ เพื่อนาไปสู่ความ เขา้ ใจ และวิธีการปฏิบตั ิ นาการปฏิบตั ิมาอธิบายความ ให้รายละเอียดประกอบ ให้ไดห้ ลกั ตามวิชาการ อาศยั ความหมายของคาสาคญั เป็ นหลักธรรม การนาแนวทางเขียนหนังสือ วชิ าการใหอ้ ธิบายความเขา้ ใจง่าย ดว้ ยภาษาง่าย และมีคาเฉพาะทางวชิ าการไวเ้ ชื่อมโยง ๔. แนวปฏิบตั ิหนงั สือเขียนเป็นวชิ าการ รายละเอียดมาก ตอ้ งอาศยั อาจารยผ์ รู้ ู้มาอธิบายความอีก คร้ังเพ่ือความเขา้ ใจ อธิบายความเหมาะเป็นหนงั สือเรียน ตารา การอธิบายความ คาต่อคา หรือ ประโยคตอ่ ประโยค บางคร้ังไม่คอ่ ยไปดว้ ยกนั การแนวทางการปฏิบตั ิ หรือ เหมือนกนั เน่ืองจาก เทคนิควธิ ีการมีความแตกตา่ งกนั หลายรูปแบบ
๑.สาระ ุจดเ ้นน ๑๖๔ ๒.อง ์คความ ู้รแผนภาพที่ ๑๑ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “สติปัฏฐานส่ีฐานแห่งสติและ วธิ ีฝึกสติเพอ่ื ความพน้ ทุกข”์ ๔.แนะนาวรรณกรรม ๓.กลวิ ีธเขียน คาสาคญั [ป.๑-๑๑] ลมหายใจ ธาตุ ๔ อารมณ์ สญั ญา ธรรมชาติ โพชฌงค์ สงั โยชน์ อปุ ทาน จิต ๗ นิวรณ์ วญิ ญาณ อริยสจั สมั ปชญั ญะ ขนั ธ์ ๔ กาหนด สญั ญา มรรค ๘ สภาวะจิต ๑๐ ตารางท่ี ๕.๑๑ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “สติปัฏฐานสี่ฐานแห่งสติและ วธิ ีฝึกสติเพ่ือความพน้ ทุกข์ ” [ป.๑-๑๑] ข้อ สรุป ๑. สติปัฏฐาน ๔ ฐานแห่งสติและวธิ ีฝึกสติเพ่ือความพน้ ทุกข์ การปฏิบตั ิภาวนา การมีสติระลึกรู้จิต เฝ้ามองความคิดโดยไม่คลอ้ ยตามความคิด ฝึ กเจริญสติเขา้ ไปมองในกายในจิต ชาระจิตให้ บริสุทธ์ิ ฝึกสติใหร้ ับรู้ หมน่ั ฝึกสติปฏิบตั ิภาวนา สมถภาวนาและวปิ ัสสนาภาวนา เนน้ เร่ืองมหา สติปัฏฐาน ๔ ครบทุกดา้ น อธิบายตามเรื่องสาระในมหาสติปัฏฐาน ๔ เน้นสติ แจกแจกการ เจริญสติอย่างเป็ นข้นั เป็ นตอน การเจริญสติควบคู่กบั การเจริญมรรค ๘ สติปัฏฐาน เป็ นฐาน การเจริญสติอธิบายคาสอนเร่ืองสติ นาวธิ ีคาสอนมาพฒั นาการปฏิบตั ิพฒั นาสติ ๒. สติปัฏฐาน ๔ เป็ นวธิ ีการปฏิบตั ิภาวนา มีเน้ือหากวา้ งขวางถึงการชาระจิตให้บริสุทธ์ิ บ่มเพาะ ความคิดกุศลแทนอกุศลกรรม ให้มาก ๆ และคุณธรรมอื่น ๆ เฝ้าสังเกตความคิดโดยไม่คลอ้ ย ตาม พิจารณาสภาวะจิต เป้าหมายสูงสุด คือ การเป็นอิสระจากความโลภ โกรธ หลง เกียจคลา้ น จะไมม่ ีวนั เขา้ ถึงความสงบสุขอยา่ งแทจ้ ริง ๓. การใช้ภาษาง่ายเรียบง่าย ไม่เนน้ บาลี แต่เป็ นการใชเ้ น้ือหาอธิบายดว้ ยคาธรรมดา อธิบายหลกั และวิธีการปฏิบตั ิ ฌานสมาธิ การฝึกฌานสมาธิ เรียกวา่ “สมถภาวนา” การปฏิบตั ิเก้ือหนุนการ เจริญสติวปิ ัสสนา เพราะสติปัฏฐาน ๔ คือ ฐานแห่งสมาธิท้งั ปวง อธิบายการเจริญสติอยา่ งเป็ น ข้นั ตอน ผปู้ ฏิบตั ิธรรมอนั เป็นผบู้ รรลุพึงเห็นเอง ๔. หนงั สือเล่มน้ีจะกวา่ ดีที่สุดใน ๑๐๐ เล่ม ตามความคิดเห็นของผศู้ ึกษาวจิ ยั เนื่องจากบางประเด็น ไม่มีคาอธิบายท่ีมีความสอดคล้องระหวา่ ง แนวคิดทฤษฎีกบั การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน วรรณกรรมเล่มน้ีตรงกบั ประสบการณ์ขณะปฏิบตั ิท่ียงั ไม่ได้รับคาตอบ แลว้ มีกรอบประเด็น ตามเน้ือหาพระสูตรเรื่องสติปัฏฐาน ๔ อธิบายได้มีเหตุผลสมจริงต่อการปฏิบัติภาวนา กรรมฐาน การใชภ้ าษาง่ายอธิบายดว้ ยภาษาธรรมดาแตค่ วามเขา้ ใจสาระธรรมอนั สูงส่งอยา่ งยง่ิ
๑.สาระ ุจดเ ้นน ๑๖๕ ๒.อง ์คความ ู้รแผนภาพที่ ๑๒ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “พุทธปรัชญาแห่งชีวติ ” [ป.๑-๑๒] คาสาคญั ๓.กลวิ ีธเขียน วปิ ัสสนา เรือง นิวรณ์ ๕ อาหาร ๔.แนะนาวรรณกรรม ปัญญา เรปฏิกลู ภูมิ พรหม อสุภะ ๑๐ พระ วหิ าร นิพพาน สมถ อนุสติ กสิณ ๑๐ ภพภูมิ กรรมฐาน ๑๐ สงั โยชน์ ฌาน อินทรีย์ โลกตุ ตร ๑๐ ภูมิ ตารางท่ี ๕.๑๒ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “พุทธปรัชญาแห่งชีวติ ” [ป.๑-๑๒] ข้อ สรุป ๑. เน้นเร่ื องธรรมานุ ปั สสนาสติปั ฏฐาน สร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่ องราวต่างๆทาง พระพุทธศาสนา วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน หมายถึง เป็ นอุบายเรืองปัญญา สืบต่อสมถกรรมฐานท่ี เป็ นอุบายสงบใจ สมถกรรมฐาน เป็ นที่ต้งั การกระทาใจให้สงบ สมาธิเป็ นการทาใจสงบเพ่ือ ไม่ใหน้ ิวรณ์ครอบใจ ใหค้ วามหมายคาวา่ นิพพาน อธิบายความเป็นนิพพาน วธิ ีการปฏิบตั ิเขา้ สู่ พระนิพพาน เป็นปรัชญา ๒. การบริกรรม แปลว่า การท่องบ่น หรือ กาหนดใจ การอ่านออกเสียงในใจ บริกรรมภาวนา อธิบายเร่ืองโลกุตตระภูมิและวิธีการดาเนินทางเขา้ สู่ ความเขา้ เรื่องนิพพาน วิธีการเพ่ือไปสู่ นิพพาน เน้นการอธิบายความหมายธรรมชาติ การเกิด ความสาคญั ของชีวิต การระลึกชาติ วญิ ญาณ ภพภูมิ และความเป็นไปในภพภูมิตา่ ง ๆ กรรมนาสัตวไ์ ปสู่ทุคติภูมิ สุคติภูมิ ๓. การนาความอธิบายแต่ละความหมายคา ความหมายแต่ละคานาไปสู่การอธิบายความและการ ปฏิบตั ิได้ หนงั สือวิชาการจาเป็ นตอ้ งมีผูร้ ู้ผูเ้ ขา้ ใจมาอธิบายความ ต่าง ๆ ไม่เหมาะอ่านเล่น หรือทาความเขา้ ใจพ้ืนฐานที่ผูอ้ ่านแตกต่างกนั มีผลต่อความรู้ความเขา้ ใจเร่ืองพระพุทธศาสนา เป็ นอย่างมาก ต้องให้ผูม้ ีความเข้าใจอธิบายเล่าเร่ือง ในการอ่านงานเขียนท่ีเข้าใจยากอาจ ตีความหมายทางธรรมผดิ ไป ส่งผลใหก้ ารเขา้ ใจวธิ ีการปฏิบตั ิธรรม ก็จะมีความผดิ พลาดดว้ ย ๔. เป็ นหนงั สือวรรณกรรมที่อ่านเขา้ ใจยากมาก แมว้ ่าเน้ือหาจะมีความสนุก ตอ้ งใชจ้ านวนอ่าน มากกว่า ๓ คร้ังข้ึนไปน่าจะอ่านเขา้ ใจ เนื่องจากเป็ นความสาระมากมาย ภาษาที่ใช้เป็ นภาษา วิชาการช้นั สูง ตอ้ งอาศยั ผูร้ ู้ในอธิบายความหรือตีความหมายอีกคร้ัง และผูอ้ ่านตอ้ งมีความรู้ พ้ืนฐานมากพอควร จึงทาให้เกิดความเขา้ ใจหนงั สือวรรณกรรมเล่มน้ีได้ ถา้ ภาษามีความยาก ศพั ทเ์ ฉพาะมาก ทาใหเ้ ป็นอุปสรรคตอ่ ความเขา้ ใจเน้ือหาสาระของเร่ือง
๑๖๖ แผนภาพท่ี ๑๓ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง“กรรมฐานและฌานสมาบตั ิ ตามรอยพระพุทธองค”์ คาสาคญั [ป.๑-๑๓] รูปฌาน ปฐมฌาน มนสิการ ขนั ธ์ ๕ อรูป ทุติยฌาน สมาธิ สมั มาสติ ฌาน ปัญญา อินทรีย์ ตติยฌาน อปั ปนา สมั มนา สมาธิ สมาธิ สมาบตั ิ จตุตถ นิวรณ์ ๕ สภาวธรรม ๘ ฌาน ๑.สาระ ุจดเ ้นนตารางท่ี ๕.๑๓บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “กรรมฐานและฌานสมาบตั ิตามรอยพระพทุ ธองค์”[ป.๑-๑๓] ๒.อง ์คความ ู้รข้อ สรุป ๓.กลวิ ีธเขียน๑. อธิบายเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ไดค้ รอบคลุมทุกดา้ น อธิบายวิธีการเจริญกรรมฐานได้อย่าง ละเอียดมาก วิธีการปฏิบตั ิในสมถกรรมฐานภาวนา อริยมรรค ๘ กรรมฐานและฌานสมาบตั ิ ๘ วิปัสสนาแห่งจิตคือความรู้แจง้ แห่งใจของวิชชา สมถกรรมฐานภาวนา คือ ความสงบจิต๔.แนะนาวรรณกรรม อนั มีอารมณ์เป็ นเคร่ืองยึดหน่วงจิต วปิ ัสสนาคือ ปัญญาญาณ วชิ ชา ยถาภูตญาณทศั นะ ความรู้ แจง้ แห่งใจ ฌานสมาบตั ิ คือ อารมณ์เครื่องยดึ หน่วงแห่งจิต ๒. ทางปฏิบตั ิกรรมฐาน ผูบ้ าเพญ็ เพียรจาเป็ นตอ้ งใชส้ มถะแห่งจิตและวิปัสสนาแห่งจิตจดั พร้อม กนั ไป ไม่สามารถแยกเป็ นสมถกรรมฐานและวปิ ัสสนากรรมฐานไดอ้ ย่างเด็ดขาด เน้นฌาน สมาบตั ิ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ รวมเป็ นฌานสมาบตั ิ ลาดบั อารมณ์เครื่องหน่วงจิต เนน้ สัมมาสมาธิ การมีจิตต้งั มน่ั เสวยอารมณ์ใดเพ่ือความหลุดพน้ สงบจิต ในข้นั จตุตถฌาน เป็ น อริยสมาธิโดยแทจ้ ิตบริสุทธ์ิผอ่ งใส ๓. เน้นการอธิบายความตามพระไตรปิ ฎกและการใชศ้ พั ท์เฉพาะที่เป็ นภาษาบาลี อธิบายความ เป็ นหลกั มีความเขา้ ใจยาก การกาหนดรู้ทางใจ เกิดความแตกฉานชานาญในสังขารธรรม อุปทานขนั ธ์ ๕ เกิดสัญญาความจาหมายแห่งสังขารธรรมภายในจิต การนาประสบการณ์ ทางการปฏิบตั ิของผเู้ ขียนมาเชื่อมโยงภาคแนวคิดทฤษฎีจากพระไตรปิ ฎกไดอ้ ยา่ งดี เป็นความ ตกผลึกความคิดเช่ือมโยงอ่านแลว้ เขา้ ใจหลกั ธรรมไดม้ าก เป็นจุดเด่น ๔. หนังสือวรรณกรรมอ่านแล้วทาความเข้าใจยาก ผูศ้ ึกษาอ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เหตุ เน่ืองมาจากระดบั ธรรมผศู้ ึกษาและการปฏิบตั ิยงั ไม่สามารถเขา้ ไปถึงเน้ือความได้ ดงั น้นั ความ เขา้ ใจธรรมข้ึนอยกู่ บั ภาวะธรรมการปฏิบตั ิกรรมฐานเป็ นปัจจยั
๑๖๗ แผนภาพที่ ๑๔ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “มหาสติปัฏฐานสูตรแปล มรรค ๘ (ฉบบั ปรังปรุง)” กาหนดรู้ คาสาคญั [ป.๑-๑๔] นิวรณ์ ๕ อริยสจั ๔ ระงบั สงั ขาร ขนั ธ์ ๕ สภาวธรรม รูปขนั ธ์ อายตนะ รู้หนอ บุญศีล ญาณ๑.สาระ ุจดเ ้นน ๑๒ ๒.อง ์คความ ู้ร โพชฌงค์ กายเป็ น ธาตุ ๔ รูปนาม ๓.กลวิ ีธเขียน ๗ ปฏิกลู ตารางที่ ๕.๑๔ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง“มหาสติปัฏฐานสูตรแปล (ฉบบั ปรังปรุง)” [ป.๑-๑๔]๔.แนะนา วรรณกรรม ข้อ สรุป ๑. เป็ นบทสวดมนต์เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ครบกายเวทนาจิตธรรม ๔ ดา้ น อธิบายตามพระสูตร เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ แห่งท่ีมาจากพระไตรปิ ฎก ความหมายสติปัฏฐาน คือ การต้ัง สติสัมปชัญญะเพียรพิจารณา กายเวทนาจิตธรรม เพื่อกาจดั อภิชชาและโทมนัสในโลกได้ สมาธิ คือ จิตสงบจากกิเลส คือ บุญภาวนามยั พิจารณาจิต “บุญภาวนาหรือปัญญา” ขณะที่สติ กาหนดรู้จิต พิจารณาเห็นการอาการรูปนามและขนั ธ์ ๕ โดยความไม่เท่ียงเป็ นทุกข์ กาหนด พิจารณาใหร้ ู้ชดั ๒. การอธิบายวิปัสสนาญาณ ๙ (ญาณในวปิ ัสสนา) คือ ความรู้ทาใหเ้ กิดความเห็นแจง้ ไปสู่สภาวะ ของสิ่งท้งั หลายตามความเป็ นจริง ทาให้เขา้ สภาวะส่ิงท้งั หลายตามความเป็ นจริง ทาไม่ตอ้ ง ท่องพระสูตรให้ได้ เพ่ือความเขา้ ใจตามอกั ษร มหาสติปัฏฐาน มีองคค์ ุณ ๓ ประการ คือ ๑)อา ตาปี คือ มีความเพียร เผากิเลส ใหเ้ ร่าร้อน เพียรละกิเลส ๒)สัมปชาโน คือ ความรู้ตวั ทว่ั พร้อม ปัญญา ๓)สติมา คือ ความระลึกได้ กิริยาที่ระลึกได้ ๓. เป็ นคาบาลีแปล เร่ือง มหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ นภาษาไทย จากพระสูตรเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ การนาพระสูตรเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ มาทาความเขา้ ใจ มาสวด มาท่องจา และนาไปสู่การ ปฏิบตั ิ สร้างบุญสมาธิ คือ กาหนดสติระลึกรู้ สารวมจิตกาหนดอยา่ งต่อเน่ือง จิตต้งั มนั่ อยกู่ บั องคบ์ ริกรรมภาวนาเสมอ ๔. หนังสือเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ แปล จะเป็ นประโยชน์ต่อผูป้ ฏิบัติธรรม ทาให้เกิดความรู้ ความหมายของภาษาบาลี สร้างความบนั ดาลใจต่อการเขา้ ถึงธรรมเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ เป็ น บทสวดมนต์ นาไปสู่แนวทางการปฏิบตั ิต่อไป การท่องพระสูตรเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ อยา่ ง จาได้ มีผลต่อความรู้ความเขา้ ใจได้
๑.สาระ ุจดเ ้นน ๑๖๘ ๒.อง ์คความ ู้รแผนภาพท่ี ๑๕ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “พุทธปรัชญา ๒๕ ศตวรรษ” คาสาคญั [ป.๑-๑๕] ๓.กลวิ ีธเขียน อาจิณ บญั ญติ สจั จะ ตรรกวทิ ยา ๔.แนะนาวรรณกรรม ไตย วสิ ุทธิ ตรรกวทิ ยา เพง่ นิพพาน อารมณ์ วปิ ัสสนา ปรมตั ถ สมมติ สงั สารวฏั ฏ์ ญาณ สจั จะ สจั จะ มหาภูต พทุ ธ ฝึ กจิต เจตสิก รูป จิตวทิ ยา ตารางท่ี ๕.๑๕ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “พุทธปรัชญา ๒๕ ศตวรรษ” [ป.๑-๑๕] ข้อ สรุป ๑. เนน้ เรื่องธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน และจิตตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เรื่องราวเก่ียวกบั ปรัชญา ปรัชญา คือ วิชาที่ว่าด้วยความจริงอนั ย่ิงใหญ่เปรียบเทียบวิธีการศึกษา บญั ญัติ และปัญญา สมถภาวนาย่อมเป็ นเคร่ืองมือดับขันธ์ เข้าสู่นิพพาน พุทธศาสนิกชนไม่ควรละเลยสมถะ วปิ ัสสนาตอ้ งผา่ นญาณตา่ ง ๆ คลา้ ยกบั ฌานของสมถภาวนา โดยเพง่ รูปนาม สติ คือ การรู้ก่อน กระทาสิ่งใดส่ิงหน่ึง ลงไป สัมปชญั ญะ คือ การรู้เม่ือกระทาแลว้ ในสิ่งหน่ึงลงไปแลว้ ๒. ความจริงแทข้ องพุทธปรัชญา คือ รูปนาม ความจริงมี ๒ อย่าง คือ สมมติสัจจะ และปรมตั ถ สัจจะ และการปฏิบตั ิสมาธิ ให้เกิด ผูใ้ ดต้งั จิตมน่ั ไวใ้ นสมาธิย่อมทากิจกรรมทุกอย่างได้ดี วางรากฐานการปฏิบตั ิท้งั ปวงเพ่อื ใหจ้ ิตบริสุทธ์ิ การทาจิตให้เป็นปัจจุบนั ธรรมชาติการเกิดดบั ของจิตวญิ ญาณ กาเนิดของสภาพแห่งจิต ประเภทจิต วถิ ีจิต ในเชิงปรัชญา ๓. ผูเ้ ขียนมีความสามารถอยา่ งมาก และมีองคค์ วามรู้สูง เขียนไดส้ าระเขม้ ขน้ ท้งั แนวคิดทฤษฏี และวธิ ีการปฏิบตั ิ ชอบหนงั สือวรรณกรรมเล่มน้ีมาก และยกยอ่ งผเู้ ขียนหนงั สือเป็นอยา่ งสูงที่มี องค์ความรู้แล้วได้นามาถ่ายทอดความรู้ทางพุทธศาสนาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะเป็ น วรรณกรรมท่ีทาความเขา้ ใจไดย้ ากมาก เพราะเป็ นธรรมช้นั สูง ยงั ตอ้ งอาศยั ประสบการณ์ใน การปฏิบตั ิวปิ ัสสนาภาวนามาดว้ ยจึงจะทาความเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งดี ๔. แนะนาหนงั สือวรรณกรรมเล่มน้ี และงานของผูเ้ ขียนท่านทุกเล่ม มีเน้ือหาสาระองค์ความรู้ที่ อธิบายความเร่ืองธรรม ปรัชญา และพระพุทธศาสนา ไดอ้ ยา่ งดี ให้ศึกษาต่อไปอยา่ งละเอียด องค์ความรู้มากมายในหนังสือวรรณกรรมเล่มน้ี แต่อาจอ่านเขา้ ใจยากตามเน้ือหาสาระที่มี ระดบั ธรรมหลากหลายมากมาย อธิบายในเชิงนามธรรมเป็ นสิ่งที่เขา้ ใจยาก ข้ึนอยู่กบั ระดบั ธรรมของผอู้ า่ นดว้ ยเป็นสาคญั
๑๖๙ ตอนท่ี ๕.๒ บทสรุปจากวรรณกรรมประเภท ๒) แนวคาสอนครูบาอาจารย์ แผนภาพที่ ๕.๑๖ แผนท่ีความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเร่ือง “พระอรหนั ตส์ อนกรรมฐาน” คาสาคญั [ป.๒-๑] อานา กาหนดรู้ กาหนดลม คา ปานสติ หายใจ บริกรรม คา อนุสติ ปรากฎการณ์ ฌาณ ภาวนา ๑๐ ทางจิต ธรรม อินทรีย์ ลมหายใจ พทุ โธ วจิ ยั ๕ ตลอดสาย อรูปฌาน มรรค ๘ ยบุ หนอ อินทรีย์ ๔ พองหนอ ๕ ๔.แนะนาวรรณกรรม ๓.กลวิ ีธเขียน ๒.อง ์คความ ู้ร ๑.เ ื้นอหา ุจดเ ้นนตารางที่ ๕.๑๖ บทสรุปจากวรรณกรรมเร่ือง“พระอรหนั ตส์ อนกรรมฐาน” [ป.๒-๑] ข้อ สรุป ๕. เร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ เนน้ ครบท้งั ๔ ดา้ นกาย เวทนา จิต ธรรม วธิ ีการเจริญสมาธิ ไดแ้ ก่ วิธีธรรมชาติ วิธีตามแบบแผน วิธีเดินจงกรม วิธีนอนสมาธิ วิธีกาหนดอิริยาบถย่อย การ ปฏิบตั ิธรรม คือ การดบั ทุกขป์ ฏิบตั ิตามกระบวนการเจริญอริยมรรค ๘ วธิ ีการเจริญสมาธิ โดยธรรมชาติ และ วธิ ีเจริญโดยแบบแผน เป็นการทาอุบายการปฏิบตั ิท่ีอรรถาจารยแ์ นะนา ๖. การนาเรื่องมหาสติปัฏฐาน ๔ ไปอธิบายความและนาเช่ือมโยงไปสู่การปฏิบตั ิโดยแทจ้ ริง อานาปานสติกาหนดรู้จากลมหายใจ หรือคาภาวนาพุทโธ สัมมาอรหงั ยุบพอง หายใจเขา้ ออก อิริยาบถโดยธรรมชาติ กาลงั อยู่ในอิริยาบถใด ให้มีสติรู้ตวั เอง ปรากฏเด่นชัดให้มี สัมปชญั ญะ รู้ตวั เอง ระลึกรู้อิริยาบถยอ่ ย ตามท่ีเป็นอยจู่ ริงในขณะน้นั ๆ ๗. เป็ นหลกั พ้ืนฐานด้านสมาธิโดยทวั่ ไปเน้นการปฏิบตั ิเห็นความเหมือนความต่าง เป็ นการ รวบรวมและเรียบเรียงคาสอน ยกตวั อยา่ งตามแนวคาสอนครูบาอาจารย์ ไดแ้ ก่ หลวงพ่อพุธ หลวงพอ่ จรัญ หลวงป่ ูมนั่ หลวงป่ ูดุลย์ ๘. อธิบายเรียบเรียงหลกั การพ้ืนฐานสมาธิทว่ั ไปและแนวคาสอนครูบาอาจารย์ การปฏิบตั ิตาม ลกั ษณะสายครูบาอาจารยเ์ หมาะสาหรับผเู้ รียนรู้พ้ืนฐานธรรมมีความพ้ืนฐานความเขา้ ใจตาม คาสอนเป็ นวรรณกรรมเหมาะสาหรับบุคคลทั่วไปใช้ภาษาเข้าใจง่ายๆ มองเห็นความ แตกต่างและความเหมือนในการนาเร่ืองมหาสติปัฏฐาน ๔ ไปอธิบายความนาไปสู่การ ปฏิบตั ิอยา่ งแทจ้ ริง เป็นหนงั สือแนะนาคาสอนครูบาอาจารย์
๓.กลวิ ีธเขียน ๒.อง ์คความ ู้ร ๑.เ ื้นอหา ุจดเ ้นน ๑๗๐ ๔.แนะนาวรรณกรรมแผนภาพท่ี ๕.๑๗ แผนที่ความคิดและคาสาคญั จากวรรณกรรมเรื่อง “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน ตามแนวของหลวงป่ ูมน่ั ภูริทตฺโต” คาสาคญั [ป.๒-๒] บริกรรม กาหนดลม อบรม พทุ โธ หายใจ จิต ปัญญา วปิ ัสสนา จิตสงบ ฝึ กจิต กรรมฐาน บรรลุ สมถกรรม ควบคุม นิวรณ์ ๕ ธรรม ฐาน จิต กายาคตา ไตรสิกขา รูป อรูป สติ ฌาน ๔ ฌาน ๔ ตารางที่ ๕.๑๗ บทสรุปจากวรรณกรรมเรื่อง “การปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐานตามแนวของ หลวงป่ ูมน่ั ภูริทตฺโต” [ป.๒-๒] ข้อ สรุป ๑. การปฏิบตั ิที่ปรากฏตามแนวพระไตรปิ ฎก เน้นครบท้งั ๔ ดา้ นกาย เวทนา จิต ธรรม การ ปฏิบตั ิธรรมตามแนวทางหลกั ไตรสิกขา การปฏิบตั ิสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน การ ปฏิบตั ิแนวทางหลวงป่ ูมนั่ เน้นดา้ นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไปสู่ดา้ นธรรมานุปัสสนา สติปัฏฐาน และวตั รปฏิบตั ิท่ีงดงาม ๒. แนวทางหลวงป่ ูมัน่ คือ บริกรรมพุทโธ การเจริญภาวนาแนวพุทโธ เน้นกายาคตาสติ กาหนดลมหายใจบริกรรมพุทโธเพิ่มเขา้ มาพอจิตสงบแลว้ จึงปล่อยคาบริกรรม น่าแปลกใจ ที่งานวิทยานิพนธ์เนน้ เรื่องจิต และการชาระลา้ งจิตให้สะอาด การทาใหจ้ ิตมีความมน่ั คงจด จ่ออยใู่ นอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึง ไม่ใหจ้ ิตส่ายฟุ้งซ่านไปในอารมรณ์ต่างๆ ๓. วรรณกรรมเป็นงานวทิ ยานิพนธ์ระดบั ปริญญาเอกนามาศึกษาเป็ นวรรณกรรมเนน้ คาสอนครู บาอาจารย์ คือ หลวงป่ ูมนั่ ภูริตโต พระอาจารยใ์ หญ่แห่งสายวิปัสสนา เป็ นการศึกษาแนว ปฏิบตั ิเปรียบเทียบกบั สาระในพระไตรปิ ฎก ๔. เป็ นแนวการเขียนด้านตวั อย่างนางานพระพุทธศาสนามาสู่งานวรรณกรรมรูปแบบงาน วิทยานิพนธ์ มาทาเป็ นวรรณกรรมตีพิมพเ์ พื่อการเผยแพร่ ในรูปลกั ษณะวรรณกรรมเรื่อง เก่ียวกบั งานพระพทุ ธศาสนา งานวทิ ยานิพนธ์ถือวา่ เป็นงานดา้ นวชิ าการ เป็นวรรณกรรมใน ยคุ ปัจจุบนั ความสืบทอดของพระพุทธศาสนาในรูปแบบงานวชิ าการหรืองานวิจยั ปัจจุบนั เป็นที่นิยมศึกษางานเป็นงานวชิ าการ มีการบูรณาการศาสตร์สมยั ใหม่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300