โรคเหย่ี วจากเชอื้ รา สาเหตุ เชอ้ื ราฟวิ ซาเล่ืยม ออกซีส่ ปอร์ลัม (Fusarium oxysporum) ลักษณะอาการ เชื้อสาเหตุเข้าสู่ต้นพืชทางราก ในระยะต้นอ่อนใบเลี้ยงจะเหี่ยว เปล่ียนเป็นสี เหลือง ร่วง พืชแสดงอาการเหี่ยวเฉาจากส่วนยอดลงมา ส่วนของเถาของต้นท่ีโตแล้ว จะแสดงอาการใบล่างเหลืองโดยอาการเริ่มต้นแสดงหลายอย่างเช่น ต้นแตก เกิด อาการเน่าที่โคนและซอกใบ ถ้าเกิดอาการเน่า และพบเช้ือราสีขาวบริเวณรอยแตก หลังจากนั้นพชื จะแสดงอาการเห่ียวและตาย การปอ้ งกันก้าจดั 1. ปรับสภาพความเป็นกรด – ด่าง ของดิน ปลูกให้เหมาะสมคอื อย่ทู ี่ pH 6.5 2. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพ่ือเพ่ิมความอุดม สมบูรณ์ของดนิ 3. ถอนต้นท่ีเป็นโรค(เผา)ท้ิงและป้องกันโรค โดยการใช้ไตรโคเดอร์มาฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน หรือราดดนิ ก่อนปลูก 101
แมลงศตั รพู ชื ตระกูลแตงที่ ส้าคัญ 102
เพลี้ยไฟ ลักษณะการทา้ ลาย เพล้ียไฟเป็นแมลงท่เี ขา้ ท้าลายพืชตระกลู แตงหลายชนดิ เช่น แตงโม เมล่อน โดย การดูดนา้ เลย้ี ง และใชป้ ากเข่ยี เซลใหเ้ ป็นแผลเพอ่ื ดูดน้าเลี้ยง การทา้ ลายของเพลย้ี ไฟ ต่อส่วนการเจริญเติบโต จะท้าให้ยอดอ่อนแคระแกร็น เติบโตช้า พืชอ่อนแอ และท้า ให้ใบ ล้าต้น แห้งตายได้ เพลี้ยไฟจะมีการแพร่กระจายโดยลม ท้าให้การระบาด เปน็ ไปอย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว การป้องกันก้าจดั 1. ฉีดพน่ เช้ือราบิวเวอรเ์ รยี ทกุ ๆ 5-7 วัน 2. เพิม่ การให้น้าเมลอ่ น ในช่วงอากาศรอ้ น ในตอนกลางวันจะช่วยลดการระบาดได้ 3. ใช้กับดักกาวเหนียว เพื่อดักจับเพลี้ยไฟ ลดการระบาด 103
แมลงวันทอง แมลงวันทองจะท้าลายโดยการเจาะและวางไข่ท่ีผล ตัวอ่อนถ้ามีการระบาด รุนแรงจะท้าใหผ้ ลร่วงเนา่ หรือแกก่ ่อนเวลา ท้าใหไ้ ดผ้ ลมีคุณภาพต่้า การป้องกนั ก้าจัด 1.ใช้กับดักแมลงวันทอง โดยใชส้ ารเมทลิ ยจู นี นอล 2. ฉดี พ่นสารสกัด ขา่ สะเดา ยาสูบ เพอ่ื ขับไลแ่ มลงวนั ทอง 104
เต่าแตง โดยปกติท่ัวไปเต่าแตงจะมสี ีของ ล้าตัว 2 สี คือ ชนิดสีด้า และเต่า แตงชนิดสีแดง เต่าแตงเปน็ แมลงปีก แข็งขนาดล้าตัวยาวประมาณ 0.8 เซนติเมตร มีท้ังสีแดง สีน้าตาล เกื อ บ ด้ า แ ต่ สี แ ด งจ ะ พ บ เห็ น มากกว่า อย่างไรก็ตามในต่างประเทศลกั ษณะของเต่าแตงจะมสี ี และ ลักษณะต่างกัน ออกไปเช่นตัวอ่อนอาศัยอยู่ในดิน การเข้าท้าลายจะเข้าแทะกัดกินใบและยอดอ่อน นอกจากนีเ้ ต่าแตงยังสามารถเปน็ พาหะของเชอ้ื ไวรสั ได้อกี ด้วย การปอ้ งกันก้าจัด 1. ใช้กับดกั แมลงหรือกาวดกั แมลงหรือจบั ทา้ ลาย 2. ไส้เดอื นฝอยก้าจัดแมลงฉีดพน่ เพื่อทา้ ลายตวั อ่อนในดิน 3. ฉีดพน่ สารสกดั ตะไครห้ อม ยาสบู บอระเพด็ สะเดา ช่วยขับไลด่ ว้ งเต่าแตง 105
แมลงหวี่ขาว ลักษณะการทา้ ลาย แมลงหวี่ขาวเข้าท้าลายพืช ตระกูลแตงค่อนข้างกว้างขวาง โดยทั่วไปแมลงหวี่ขาวจะอยู่ บริเวณใต้ใบอ่อน แมลงชนิดน้ี จะเป็นพาหะของโรค ไวรัส ใน พชื ตระกลู แตงหลายชนดิ การป้องกนั กา้ จดั 1. ฉดี พน่ เชื้อราบวิ เวอร์เรีย ทกุ ๆ 5-7 วัน ใช้ป้องกนั ก้าจดั แมลงหวีข่ าว 2. ฉดี พ่นสารสกัดยาสบู วา่ นนา้ หรือหางไหล ฉีดพน่ ทกุ ๆ 5-7 วันสลับกนั 3. เก็บใบทม่ี ตี วั ออ่ นแมลงหวขี่ าวไปทา้ ลาย 106
การเกบ็ เก่ียวแตงกวา การเก็บเก่ยี วแตงมักเร่มิ เก็บเก่ยี วหลงั จากหยอดเมล็ดได้ประมาณ 40 วนั และจะ เก็บไปเรื่อยๆ ได้อีกประมาณ 1 เดือน การเก็บควรค้านึงถึงขนาดของผลและ จุดประสงค์ของการใช้ ส้าหรับใช้ในการดองนั้นมักเก็บเมื่อผลมีอายุได้ 3-4 วัน หลงั จากผสมเกสร ในการบริโภคสดมักเก็บเมอ่ื อายุ 6-7 วัน หลงั จากผสมเกสร ระยะ ผสมเกสรเป็นระยะที่ดอกแตงบาน หากท้ิงผลท่มี ีอายุมากไว้กับต้น ต้นจะโทรม ผลจะ มีสีเขียวปนขาว แตงแก่จะมีสีเหลือง หลังจากเก็บเกี่ยวมาได้ 2-3 วัน คุณภาพจะ เสื่อมลง แตงกวาพันธ์ุพื้นเมืองของไทยจะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 7-10 เซนติเมตร พันธ์ุต่างประเทศจะมีขนาดของผลประมาณ 20-25 เซนติเมตร และผลอ่อนจะมีสี เขียวเขม้ มาก 107
การปลกู ผักกาดหอมอนิ ทรีย์ 108
การเตรยี มดิน ไถพรวนดินตากไว้ประมาณ 7-10 วัน เพื่อท้าลายวัชพืช และศัตรูพืชบางชนิดท่ี อยู่ในดิน จากนั้นจึงไถพรวนเก็บเอาเศษวัชพืชออก แล้วเตรียมแปลงขนาดกว้าง 1- 1.2 เมตร โดยมีความยาวตามลักษณะของพ้ืนที่ แล้วจึงใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไป เพ่ือปรับ โครงสร้างของดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโต สภาพดินควรร่วนซุย มีความอุดม สมบูรณ์ และมีอินทรียวัตถุสูง ควรมีหน้าดินลึก และอุ้มน้าได้ดีปานกลาง พ้ืนท่ีปลูก ควรโล่ง และได้รับแสงแดดอย่างเต็มท่ี เน่ืองจากผักกาดหอมมีลักษณะบาง ไม่ทนต่อ ฝน ดังน้ันในชว่ งฤดูฝนควรมแี สลนดว้ ย วิธปี ลูก 1. การปลกู ผักกาดหอม โดยใช้เมลด็ พันธุป์ ระมาณ 50 กรัม ซึง่ จะได้กลา้ สา้ หรับปลกู ในแปลง 1 ไร่ เมอ่ื ท้าการหว่านเมล็ดพันธุแ์ ลว้ ใหใ้ ชด้ นิ ผสมมลู สัตว์หวา่ นโรยทบั หน้า แปลงอีกคร้งั คลุมด้วยฟาง หรือจะใช้วธิ ีโรยเป็นแถว ให้แต่ละแถวหา่ งกนั ประมาณ 10 เซนตเิ มตรคลมุ ด้วยฟาง และรดน้าให้ชมุ่ 109
2. เม่อื มีอายปุ ระมาณ 15-20 วัน หลงั เมลด็ งอก หรือมใี บแท้ 3-5 ใบ เลือกต้นกล้าที่ สมบรู ณ์ไว้โดยมีระยะระหว่างตน้ และแถวท่ี 30-40 ซม. 3. รดน้าเป็นประจ้าทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นไม่รดจนแฉะเกินไปและใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักทุก 10-15 วัน ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และปริมาณปุ๋ย คอกทใี่ ช้ 4. ควรกา้ จดั วชั พชื เปน็ ประจา้ เพอื่ ปอ้ งกันการเกดิ โรคและแมลง 5. ในพื้นท่ีปลูก 100 ตารางวา หวา่ นเมล็ดประมาณ 0.2 กิโลกรัม จะได้ผลผลิตเฉลี่ย ประมาณ 150 กิโลกรมั โดยในฤดูหนาวจะเหมาะสมการปลูกผักกาดหอมมากที่ และ มีรอบระยะเวลาในการหว่านเมล็ดทุกๆ 10-15 วัน/ครั้ง เพื่อให้ได้ผลผลิตท่ีต่อเน่ือง ทุกวนั สภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสม ผักกาดหอมเป็นพืชท่ีสามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นดิน เหนียว ดินร่วน หรือดินร่วนปนทราย แต่สามารถปลกู ผักกาดหอม ได้ผลดีที่สุดในดิน ร่วน ซ่ึงมีการระบายน้า และระบายอากาศดี มีความช้ืนในดินพอสมควร พื้นที่ปลูก ผักกาดหอมควรให้ได้รับแสงเต็มที่ตลอดวัน เพราะผักกาดหอมต้องการแสงเต็มที่ ตลอดวัน ผักกาดหอมเป็นพืชฤดูเดียวเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น ระดับ อุณหภูมิที่เหมาะสมน้ันถ้าเป็นผักกาดหอมใบจะอยู่ระหว่าง 21-26 องศาเซลเซียส และผกั กาดหอมสามารถปลูกไดต้ ลอดทง้ั ปี 110
การดแู ลรกั ษา การรดน้า เน่ืองจากผักกาดหอมเป็นผักรากต้ืนจึงไม่สามารถดูดน้าในระดับลึกได้ จึงควรให้ น้าอย่างสม่้าเสมอและเพียงพอ โดยในระยะ 2 สัปดาห์ แรกหลังจากย้ายปลูกควรให้ น้าทุกวันในตอนเช้าและเย็น โดยใช้บัวฝอยละเอียดรดรอบๆ โคนต้น ไม่รดจนแฉะ เกินไป และให้น้าแบบวันเว้นวนั ในสปั ดาหต์ อ่ ๆ มา สา้ หรบั ผักกาดหอมใบนน้ั ควรจะมี การให้น้าอย่างสม้่าเสมอและเพียงพอ เนื่องจากอายุการเก็บเกี่ยวสั้น ส่วน ผกั กาดหอมห่อหัวนั้นควรดจู ากสภาพความชน้ื ในดินเป็นสา้ คญั แต่ในระยะท่ีกา้ ลังห่อ หัวอย่นู น้ั ไมค่ วรใหน้ า้ ไปถกู หวั เพราะอาจทา้ ใหเ้ กดิ โรคเนา่ เละได้ การใส่ปยุ๋ ช่วงเตรียมดินควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองพ้ืนประมาณ 1-2 ตันต่อไร่ เม่ือ ผกั กาดหอมอายุได้ 7 วนั ควรใส่ปุ๋ยนา้ หมัก โดยละลายน้ารดในอัตรา 100ซซี ีตอ่ น้า 1 ป๊ีบ รดวันเว้นวัน เพื่อเร่งการเจริญเติบโตในระยะแรก เม่ือผักการหอมอายุได้ 15-20 วัน ให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตรา 300-500 กิโลกรัมต่อไร่ และใส่ทุกๆ 7-10 ครั้ง ตลอดจนเกบ็ เก่ียว ทั้งนขี้ ้ึนอยกู่ ับความอดุ มสมบรู ณ์ของดินแตล่ ะแห่งด้วย 111
โรคของพืช ตระกลู ผกั กาดหอม 112
โรคเนา่ เละ สาเหตุเกิด จากเช้อื แบคทเี รยี เออรว์ เิ นยี (Erwinia sp.) ลักษณะอาการ อาการทว่ั ไปท่ีเกิดกับผักกาดหอมห่อเร่ิมจากแผลรอยช้าเล็ก ๆ เป็นจุดฉ่า้ น้า เม่ือ ส่ิงแวดล้อมเหมาะสมแผลจะขยายตัวทุกทิศทาง ท้ังด้านยาว กว้างและลึก เนื้อเย่ือ ของพืชส่วนนั้นจะอ่อนยุบตัวลงและเน่าอย่าง รวดเร็ว มีเมือกเย้ิม มีกล่ินแรงมาก กลิ่นนี้จะเป็นกล่ินเฉพาะของโรคนี้ หลังจากน้ันผกั จะเนา่ ยุบตายไปทั้งต้น ซ่ึงอาจแห้ง เป็นสีนา้ ตาลอยบู่ นผิวดิน อาการเนา่ มักจะเรม่ิ ทโี่ คนกา้ นใบ หรอื ตรงกลางลา้ ตน้ กอ่ น การปอ้ งกันก้าจัด 1. ในการเก็บเก่ียวควรใช้มีดท่ีคมตัดให้ขาดเพียงคร้ังเดียว เพ่ือไม่ให้เกิดรอยแผลช้า เพื่อป้องกันการเกิดแผลซงึ่ จะเปน็ ทางเข้าทา้ ลายของเชอื้ 2. หลังจากเก็บเก่ียวควรผ่ึงผักไว้ในท่ีโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี เพ่ือให้แผลตรงรอยตัด แห้ง และทาปนู แดงท่แี ผลด้วย 3. การบรรจุภาชนะต้องระวังอย่าให้เกิดการเบียด ซึ่งจะท้าให้เกิดแผลช้าหรือฉกี ขาด ควรลา้ งหรอื ทา้ ความสะอาดภาชนะเสยี กอ่ น 4. ฉีดพน่ เชอ้ื จุลินทรยี ป์ ฏิปกั ษ์ บาซลิ ลัส หรอื บเี อส (Bacillus subtilis) 113
โรคขอบใบทอง สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียซานโทโมแนสแคมเพสทริส (Xanthomonas campestris) พบระบาดท่ัวไปในฤดูฝนหรอื ฤดูที่มคี วามชน้ื สงู ลกั ษณะอาการ เชื้อสาเหตุสามารถเข้าท้าลายได้ทุกระยะการเจริญเติบโต โดยจะพบว่าท่ีขอบใบ หรือใบเล้ียงมีอาการไหม้แห้ง เส้นใบเน่าเป็นสีด้า ใบที่แสดงอาการจะบางกว่าปกติ โดยอาการจะเร่ิมเหลืองและแห้งตายบริเวณขอบใบขึ้นก่อน แล้วค่อย ๆ ลามลึกเข้า มาในเน้อื ใบตามแนวเสน้ ใบที่อยูร่ ะดับเดียวกันจนจรดแกนกลางของใบ การป้องกันก้าจดั 1. ปลูกพืชหมนุ เวียน โดยหลีกเลี่ยงพืชตระกูลกระหล้า่ 2. เลือกใชเ้ มลด็ พันธุ์ท่สี ะอาดปราศจากโรค 3. ในช่วงการเตรียมดินปลูกควรฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาลงในดิน หรือคลุกเมล็ด กอ่ นปลกู 4. หากพบการระบาดใหฉ้ ดี พน่ เช้ือราไตรโคเดอร์มาทกุ ๆ 5-7 วัน 5. ฉดี พน่ เช้อื จลุ นิ ทรยี ์ปฏปิ ักษ์ บาซลิ ลสั หรือบเี อส (Bacillus subtilis) 114
โรคใบจุด สาเหตุ เกิดจากเชื้อราเคอร์โคสโปร่า ลองกิสสิมา (Cercospora longissima) ลกั ษณะอาการ อาการมักพบท่ีใบแก่และใบล่างของต้น โดยอาการเร่ิมแรกจะเกิดเป็นจุดเล็ก ๆ สีน้าตาล โดยเร่ิมจากขอบใบแล้วต่อมาจดุ แผลจะขยายสู่ส่วนกลางของใบ ขอบแผลมี สีน้าตาลเข้ม ส่วนกลางของแผลจะแห้งและเป็นจุดสีฟางข้าว ท้าใหด้ ูคล้ายตากบ เม่ือ แผลลุกลามมารวมกันมาก ๆ จะทา้ ใหเ้ กิดอาการใบไหม้ ทงั้ ใบ การปอ้ งกันก้าจดั 1. โดยการก้าจัดวัชพืชในแปลงปลูกอยู่เสมอ และเก็บใบหรือส่วนที่เป็นโรคไปเผา ทา้ ลาย 2. ฉดี พ่นหรือรดเชอื้ ราไตรโคเดอร์มากอ่ นปลูกหรือเม่ือพบการระบาด ของเช้อื รากอ่ โรค 115
แมลงศัตรพู ชื ตระกลู ผักกาดหอม ที่สา้ คัญ 116
เพลี้ยออ่ น ลกั ษณะการทา้ ลาย จะเกาะติดเป็นกลุ่มสีด้าตามต้น, ใบ โดยดูดกินน้าเลี้ยง ท้าให้ชะงักการ เจริญเติบโต มีมดเป็นตัวน้าพามา จึงควรหาทางก้าจัดมดไม่ให้เข้าไปในแปลงปลูก การปลูกบนร่องท่ีมีน้าล้อมรอบ ไม่ควรให้ไม้ทอดสะพานติดกับร่อง เพราะมดจะใช้ เปน็ ทางเดินนา้ เพล้ียออ่ นเขา้ มาภายในแปลง การปอ้ งกนั และกา้ จดั 1. หม่ันส้ารวจว่ามีการระบาดของเพล้ียอ่อนหรือไม่ หากพบ ให้เก็บท้าลาย และฉีด พ่น เช้ือราบิวเวอร์เรีย หรือสารสกัดยาสูบ ผสมกับน้ายาล้างจานหรือสารจับใบ เลก็ น้อย ทกุ ๆ 3-7 วนั ควรฉดี พ่นในช่วงเย็น 2. อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยอ่อน คือด้วงเต่า จะช่วยควบคุมปริมาณของเพลี้ย ออ่ นไมใ่ ห้เกดิ การระบาดมากเกนิ 117
หนอนกระทผู้ กั ลักษณะการทา้ ลาย จ ะ เ ช้ า กั ด กิ น ใ บ แ ล ะ ล้ า ต้ น ต ล อ ด ช่ ว ง ร ะ ย ะ เ ว ล า ช อ ง ก า ร เจริญ เติ บ โตข องผัก ก าด ห อ ม ลักษณ ะหนอนจะมีล้าตัวอ้วน ผวิ หนังเรียบ ลายสีดา้ จะสงั เกตเห็น แถบด้าท่ีคอชัดเจน ตัวโตเต็มท่ี ประมาณ 3-4 ซม. และเคล่ือนไหว ชา้ การป้องกันและก้าจัด 1. หนอนกระทู้ผักสามารถป้องกันจา้ กัดได้ไม่ยาก เมื่อพบกลุ่มไขห่ รือหนอนท่ีฟักออก จากไข่ควรเก็บท้าลาย หากปล่อยให้หนอนโตจนหนอนจะแยกย้ายหลบซ่อนตัว กัด กินเจาะเป็นรูลึกในใบ ดอก และฝัก 2.ฉีดพน่ เช้อื แบคทีเรีย บีที ทกุ 5-7 วัน สลับกับฉดี พ่น สารสกัด สะเดา ยาสูบ หนอน ตายอยาก โดยฉีดพ่นในชว่ งเย็น 3. ควบคุมปริมาณของตัวแม่ผีเส้ือ โดยฉีดพ่น สารสกัดขมิ้นชัน บอระเพ็ด สาบเสือ ในชว่ งเย็นเพ่อื ขบั ไล่ ป้องกนั การวางไข่ 4. ใช้ไส้เดือนฝอยก้าจัดแมลง อัตรา 1 ภาชนะบรรจุ/น้า 10 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน คร้ัง 118
การเก็บเก่ยี วผกั กาดหอม ผักกาดหอมจะเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกได้ประมาณ 40-45วัน ควรตัดทันที เพราะถ้าผักกาดหอมแก่จะท้าให้มีความเหนียวกระด้าง และมีรสชาติขม ไม่น่า รับประทาน และราคายังตกอีกด้วย วิธีตัดผักกาดหอมก็ง่ายๆ โดยใช้มีดตัดตรงโคน แล้วนา้ ไปชบุ น้าเพ่อื ลา้ งน้ายางออก มดั รวมเป็นมดั ๆและจดั จ้านา่ ยต่อไป 119
การปลกู พริกอนิ ทรยี ์ 120
การเตรยี มดินแปลงปลกู พริกสามารถปลูกไดด้ ีในดินเกือบทุก ชนิด แต่ควรเป็นดินร่วนที่มีความอุดม สมบูรณ์ มีการระบายน้าดี ควรไถดิน ตากไว้ 7-10 วัน ควรใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ย หมัก อัตรา 500 กก./ไร่ และควรใส่ปูน ขาวหรือปูนมาร์ล เพ่ือลดความเป็นกรด ของดนิ pH ท่เี หมาะสม 6.0-6.8 การเพาะกล้า ควรเพาะเมล็ดเป็นต้นกล้าในกระบะ เพาะก่อน โดยห่อเมล็ดในถุงผ้า และแช่น้า ไว้ 1 คืนหรือแช่เช้ือราไตรโครเดอร์มา จากน้ันน้าไปล้างผ่านน้าไหลอย่างน้อย 30 นาที เก็บถุงผา้ ไว้ในทีร่ ่มและชืน้ อกี 2-3 วัน เม่ือเมล็ดงอกตมุ่ รากสีขาวเลก็ ๆแล้ว จึงน้าไปเพาะใช้เมล็ด 50 กรัม/ไร่ เพาะ กล้าในถาดเพาะขนาด 104 หลุม โดย ผสมดินปลูก ขุยมะพร้าวหรือแกลบเผา และปุ๋ยหมัก อัตรา 1:1:1 จากนั้นอกี 30 วัน สามารถน้าต้นกล้าจากถาดเพาะลง ปลกู ในแปลงไดต้ อ่ ไป 121
การปลกู ควรปลูกให้มีระยะห่าง ระหว่างต้น 50-60 ซม. ระหว่างแถว 100 ซม.ปลูกเป็น แถวในเขตชลประทาน ควรยกแปลงให้ให้มีขนาดกว้าง 1 เมตร ยาวประมาณ 20 เมตร มีรอ่ งทางเดินกว้าง 1 เมตร ร่องน้ากว้าง 50 ซม. 122
การดแู ลรักษาพรกิ การให้น้า พริกเป็นพืชท่ีไม่ต้องการน้ามากเกินไปควรให้น้าอย่างสม่้าเสมอ เฉพาะในช่วง แรกของการเจริญเติบโต การให้น้าทุกคร้ังอย่าให้จนเปียกแฉะเกินไป และไม่ควร ปล่อยให้ดินแห้งมากจะท้าให้ชะงักการเจริญเติบโต ควรเตรียมการระบายน้าไว้ ส้าหรบั ในฤดูฝนด้วย การกา้ จัดวัชพชื หลังจากปลูกพริกแล้ว เมื่อพริกมีอายุประมาณ 20 วัน ควรถอนวัชพืชท่ีงอก ข้ึนมาและถ้าพบว่าดินจับตัวกันแน่นก็ให้พรวนดิน เพราะถ้าดินแน่นจะท้าให้พริก แคระแกรน็ ได้ การใสป่ ยุ๋ 1. ใช้ปุ๋ยฮอร์โมนน้าหมัก (น้าหมักปลา) อัตรา1 ลิตร/น้า 50 ลิตร ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน จนพรกิ เรม่ิ แตกตายอด 2. หลกั ปลกู 15 วัน ใส่ปยุ๋ มลู ไก่ อตั รา 200 กโิ ลกรัม/ไร่ หวา่ นหรือโรยใหท้ ว่ั แปลง 3. เม่ือพริกเร่ิมออกดอก ใส่ปุ๋ยมูลไก่ อัตรา 200 กก./ไร่ หลังจากนั้นใส่ปุ๋ยมูลไก่ อตั รา 300 กก./ไร่ เดอื นละ 1 ครั้ง 123
โรคที่สา้ คัญ ของพริก 124
โรคแอนแทรกโนส (กุ้งแห้ง) สาเหตุ เชื้อรา คอเลกโตรไทครัม แคปซิไซ (Colletotrichum capsici) ลกั ษณะอาการ อ า ก า ร เร่ิ ม แ ร ก จ ะ ป ร า ก ฏ เป็ น วงกลมช้าสีน้าตาล เน้ือเย่ือบุ๋มลึกลง ไป จุดช้าสีน้าตาลน้ีจะค่อยๆ ขยายวง กว้างออกไปเปน็ แผลวงกลม หรือวงรีรปู ไข่ ซ่ึงจะท้าให้ผลพริกเน่าหมดทั้งผลและร่วง ก่อนท่ีผลจะแดงเต็มที่ และเมื่อน้าไปตากแห้งก็มักจะเกิดการเน่ามากข้ึนอีก เมล็ด พริกจากผลทเี่ ป็นโรคน้จี ึงไมค่ วรนา้ ไปเกบ็ ไวท้ า้ พนั ธต์ุ ่อไป การป้องกันกา้ จดั 1. แช่เมล็ดพันธ์ุในน้าอุ่น อุณ หภูมิ ประมาณ 50-55 องศาเซลเชียล 15-20 นาทกี อ่ นปลูกจะช่วยท้าลายเชอื้ ที่อาจติด มากบั เมลด็ พนั ธไ์ุ ด้ 2. การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ฉีดพ่น ในช่วงเตรียมดิน เพ่ือท้าลายเชื้อราท่ีพัก ตวั อยู่ และควรเก็บผลพรกิ ท่เี ป็นโรคออก จากแปลงไปท้าลาย 3. ใชเ้ ชอ้ื แบคทีเรีย บาซลิ รัส ซับทิรสิ ฉีด พ่นทุกๆ 5-7 วนั 125
โรคกลา้ เน่าตาย สาเหตุ เกดิ จากเช้ือราพเิ ที่ยม อะฟานเิ ดอร์มาตัม(Pythium aphanidermatum) ลกั ษณะอาการ อาการท่ัวไปที่พบเห็นคือ ต้นกล้าพริกจะเหี่ยวแห้งตาย เนื่องจากเช้ือราจะเข้า ทา้ ลายบรเิ วณโคนต้นและราก การป้องกันก้าจดั 1. แช่เมล็ดพนั ธ์ดุ ว้ ยเช้อื ราไตรโคเดอร์มากอ่ นนา้ ไปเพาะกลา้ 2. ในวัสดุเพาะหรือดินเพาะให้คลุกหรือพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาลงไปก่อนท้าการ เพาะกลา้ 3. หลงั กลา้ งอก 3วัน ใหฉ้ ีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาหรอื แบคทีเรียบาซลิ ลสั ซบั ทริ ิส 126
โรคเหีย่ วท่ีเกดิ จากเช้อื แบคทเี รยี สาเหตุ เกดิ จากเชือ้ แบคทเี รยี ลาสโตรเนยี โซลานาซเี อลมั (Ralstonia solanacearum) ลักษณะอาการ ต้นพริกท่ีเป็นโรคจะแสดงอาการเห่ียวท้ังต้นในวนั ท่ีมีอากาศร้อน และอาจจะพ้ืน คืนดีใหม่ในเวลากลางคืน ต้นพริกจะมีอาการเช่นน้ีอยู่ 2-3 วัน แล้วก็จะเห่ียวตายไป ในที่สุด การเห่ียวของต้นพริกที่เป็นโรคนี้จะไม่แสดงอาการใบเหลืองของใบที่อยู่ ตอนล่างๆ มาก่อนเลย การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นพริกท่ีแสดงอาการเห่ียว ก็ให้ถอนไปเผาท้าลายทิ้ง ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ ระบาดของโรค 2. ฉดี พน่ เช้อื แบคทเี รียบาซิลลัส ซบั ทิริส ทกุ 5-7 วัน 3. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพ่ือท้าลายเชือ้ สาเหตโุ รค หรือท้าการปลูกพืช หมนุ เวียน โดยหลีกเลีย่ งการปลกู พืชในกล่มุ พริก มะเขือ ติดต่อกันเปน็ เวลานาน 127
โรคเห่ียวทเี่ กดิ จากเชือ้ รา สาเหตุ เกิดจากเช้ือรา ฟิวซาเรียม ออกซี่ สปอรล์ ัม (Fusarium oxysporum) ลกั ษณะอาการ อาการของโรคนี้จะแตกต่างจากอาการ เหี่ยวท่ีเกิดจากเช้ือแบคทีเรีย เริ่มแรกใบ พริกที่อยู่ต้านล่างจะมีสีเหลือง ต่อมาใบที่ อยู่ถัดช้ืนมาจะค่อย ๆ เหลือง เพ่ิมมากชื้น ต้นพริก มักจะแสดงอาการของโรคน้ี ใน ระยะท่ีพริกก้าลงั ใหผ้ ลผลติ การป้องกันก้าจัด 1. ถ้าพบต้นที่แสดงอาการ ให้ถอนท้าลาย โดยการเผาไฟ ราดด้วยเช้ือไตรโคเดอร์มา ในบริเวณทีเ่ กิดอาการโรคเหี่ยว 2. ก่อนท้าการปลูกให้ท้าการไถตากดินเพ่ือ ท้าลายเชื้อสาเหตุโรค และพ่นเชื้อราไตรโค เดอร์มาลงไปในดินก่อนท้าการปลูก หรือ ท้าการปลกู พืชหมุนเวียน โดยหลกี เลีย่ งการ ปลูกพืชในกลุ่มพริก มะเขือ ติดต่อกันเป็น เวลานาน 128
โรคใบด่างของพรกิ สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส ไวรัสโทเมโท โมเสกไวรสั (Tomato mosaic virus ) ลกั ษณะอาการ ใบพริกแสดงอาการต่าง บางครั้งพบจุด แผลสีน้าตาลเฉพาะแห่งบนใบ ใบเสียรูป บิด เบี้ยว ใบเรียวเล็กคล้ายเน้นด้าย เนื่องจาก เนื้อใบไม่เจริญเป็นปกติใบร่วงหลุดได้ ง่าย ดอกร่วง ผลมีขนาดเล็ก ปริมาณผลผลิตพริก ลดลง ผลอาจมีอาการด่างและผิวขรุขระบิด เบ้ียว ต้น เตี้ยแคระแกร็น การแพร่ระบาด ไวรัส CMV ถ่ายทอดได้โดยวิธีกล มีเพลี้ย ออ่ นเปน็ พาหะนา้ โรค การปอ้ งกนั ก้าจัด 1. ก้าจัดต้นพริกที่เป็นโรคในแปลงปลูกทันทีท่ีพบอาการของโรค ด้วยการถอนไป ทา้ ลายทันที 2. ควบคุมพาหะของโรคด้วยการใช้เช้ือราบิวเวอร์เรียฉีดพ่นสลับกับสารสกัดยาสูบ เพอ่ื กา้ จัด เพล้ียอ่อน 129
โรคใบหงิกเหลืองของพริก สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส เปปเปอร์ เยลโล่ ลีฟ เคอ ไวรัส(Pepper yellow leaf curl virus) ลกั ษณะอาการ ใบพริกด่างเหลืองเป็นขีดหรือหย่อมโปร่งแสง ระหว่างเส้นใบ บางคร้ังมี เส้น ใบเหลืองเป็นร่างแหบริเวณโคนใบ ใบโค้งงอ หงิกย่นบิดเบี้ยว ยอดเป็นกระจุก และ ตน้ แคระแกร็น การแพรร่ ะบาด ไวรสั แพร่ระบาดโดยแมลงหวขี่ าว เปน็ พาหะน้าโรค การป้องกนั กา้ จดั 1. ควบคุมจ้านวนประชากรแมลงหว่ีขาว ซึ่งเป็นพาหะน้าโรค โดยฉีดพ่นเช้ือราบิว เวอรเ์ รยี ทกุ ๆ 5-7 วนั หากมกี ารระบาดอาจจา้ เปน็ ตอ้ งฉีดพน่ ทกุ ๆ 3 วัน 2. ขดุ ต้นพริกที่เป็นโรคไปเผาท้าลาย 3. ไม่ปลกู พืชหมนุ เวยี นที่เป็นพืชอาศัยของเชื้อไวรสั พืชตระกลู มะเขอื เช่นมะเขือเทศ มะเขอื เปราะ 130
การขาดธาตุแคลเซยี มของพรกิ หรอื โรคกุง้ แห้งเทียม สาเหตุ ขาดธาตุแคลเซยี ม ลกั ษณะอาการ พริกท่ีขาดธาตุแคลเซียม จะพบอาการผิดปกติเกิดข้ึนท่ีผล พบท้ังผลอ่อนและผล แก่ ใกล้เก็บเก่ียว เร่ิมแรกผลพริกจะมีอาการผิดปกติเหมือนถูกแดดเผา หรือเหมือน ถูกน้าร้อนลวกเป็นรอยไหม้ หรือมีลักษณะด่างเป็นทางยาวสีน้าตาล โดยเฉพาะด้านท่ี ลูกแสงแดดมาก การปอ้ งกันก้าจดั 1. เม่ือพบว่าผลพริกแสดงอาการขาดแคลเซียม ให้รีบด้าเนินการเก็บเกี่ยวผลพริกที่ แสดง อาการผิดปกติดังกล่าวออกจากแปลงปลูกท้ังหมด ท้ังผลขนาดเล็กและขนาด ใหญ่ หากเก็บไว้จะสิ้นเปลอื งอาหารจากตน้ พริก 2. ในการปลูกพริกในช่วงฤดูแล้ง ควรรดน้าพริกท่ีปลูกอย่างสม้่าเสมอไม่มาก หรือ น้อย เกินไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนแสงแดดจัด อุณหภูมิสูง ควรรดน้าพริกทุกวัน โดยเฉพาะช่วงตอนเช้า น้าจะช่วยละลายแร่ธาตุให้รากพืชดูดธาตุแคลเซียมไปใช้ ประโยชน์ไดม้ ากขึ้น 3. ใส่ปนู ขาวหรอื โดโลไมทใ์ นช่วงการเตรียมดินอย่างน้อย 50-100 กก.กรมั ต่อไร่ หรือ ใชร้ องกน้ หลุมปลกู พรกิ 131
แมลงศัตรทู สี่ า้ คัญ ของพริก 132
เพลย้ี ไฟพริก ลกั ษณะและการท้าลาย เพล้ียไฟเป็นแมลงประเภทที่มีปากแหลม ยาวใช้ดูดน้าเล้ียงจากสว่ นของพืช ชอบท้าลาย ส่วนอ่อน ๆ เช่น ยอด ตาดอก ใบอ่อน และใบ โดยท่ัวไป เพล้ียไฟจะระบาดมากในฤดูแล้ง หรือในช่วงฝนท้ิงช่วงเป็นเวลานานเมื่อพริกถูก เพลีย้ ไฟดูดกินน้าเลี้ยงบริเวณยอดอ่อน หรอื ใบ อ่อนจะท้าให้ ใบอ่อน หรือยอดอ่อนน้ันหงิก ขอบใบจะหงิกและม้วนห่อขึ้นด้านบนทั้งสอง ขา้ ง การป้องกนั ก้าจดั 1. ควรหมั่นตรวจดูเพลี้ยไฟ ในขั้นต้นควรเพ่ิมความช้ืนโดยการให้น้าในช่วงเวลา กลางวัน จะชว่ ยลดการระบาดได้ 2. ฉดี พ่นเชอ้ื ราบวิ เวอรเ์ รีย สลบั กับสารสกดั ยาสบู ทุกๆ 5-7 วนั 3. ใช้กับดักกาวเหนียวทาถุงพลาสติกติดบนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีเหลือง จะช่วยลด ปริมาณเพล้ียไฟ 133
ไรขาว ลกั ษณะและการทา้ ลาย ไรขาวไม่ใช่แมลง แต่เป็นสัตว์ จ้าพวกเดียวกับแมงมุมขนาดเล็ก มาก จนมองด้วยตาเปล่าเกือบไม่ เห็น ไรขาวจะดูดกินน้าเล้ียงของ พริก เชน่ เดียวกับแมลงประเภทปาก ดูด อ่ืนๆโดยเฉพาะตามตาดอกใบอ่อนหรือยอดท่ีแตกใหม่ ไรขาวระบาดท่ัวไป โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนในช่วงที่มีความชื้นสูงไรขาวจะดูดกินน้าเลี้ยงในส่วนอ่อน ๆ ของพริก ใบอ่อนท่ียอดจะหงิกเล็กเรียว แหลม ก้านใบยาวเปราะหักง่ายใบพริกจะ ม้วนงอลง ด้านล่าง การปอ้ งกนั ก้าจัด 1. ตดั ส่วนของพชื ท่ถี กู ท้าลายนา้ ไปทา้ ลาย 2. พน่ สารปอ้ งกันก้าจดั ไร เชน่ ก้ามะถนั ผง ไมค่ วรพน่ ขณะทม่ี ีแดดจดั จะทา้ ให้ใบไหม้ 134
เพลีย้ ออ่ น ลักษณะและการทา้ ลาย เป็นแมลงจ้าพวกปากดูด ดูด กินน้าเล้ียง พริกท่ีถูกเพลี้ยอ่อน ท้าลายจะเห็นใบเป็นคลื่น ผิวใบ เป็นมันคล้ายถูก ชะโลมด้วย น้า มัน ใบส่วนยอดจะเรียวเล็กหงิก ใบแก่จะมีขนาดพื้นท่ีใบเกือบเท่า ใบปกติ แต่เนื้อใบเป็นคลื่น และ ม้วนงอเห็นได้ชัดเจน เพล้ียอ่อนนอกจากจะดูด กินน้าเล้ียงจากส่วนอ่อน ๆ ของพริกแล้ว เพลี้ยอ่อนยังเป็นพาหะแพร่เช้ือไวรัสมายัง ต้นพรกิ ได้อกี ด้วย การปอ้ งกนั กา้ จัด 1. เนื่องจากเพลี้ยอ่อนมีแมลงศัตรูธรรมชาติหลายชนิด จึงควรอนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติ ต่างๆ เช่น ดว้ งเตา่ ลายหยัก หรือ ด้วงเตา่ สีสม้ หรอด้วงเต่าลายขวาง 2. ฉีดพ่นเชือ้ ราบิวเวอร์เรยี สลบั กบั สารสกดั จากยาสบู ฉดี พน่ ทกุ ๆ 5-7 วนั โดยผสม น้ายาลา้ งจานเล็กน้อย และฉดี พ่นในชว่ งเย็นหรอื แสงแดดไม่จัด 135
เพล้ียแปง้ ลักษณะการทา้ ลาย เพลี้ยแป้งจะดูดกินน้าเล้ียงจากบริเวณกิ่ง ใบ ช่อดอก ผลอ่อน ผลแก่ มีมดเป็น พาหะช่วยพาไปตามส่วนต่าง ๆ ของพืช ส่วนของพืชท่ีถูกท้าลายจะแคระแกรนและ เกิดราสดี า้ ท้าให้ผลผลิตเสียหาย การป้องกนั และก้าจัด 1. หม่ันส้ารวจแปลงปลูก หากพบการระบาดของเพล้ียแป้งให้เก็บท้าลายท้ิงแล้วฉีด พ่นด้วย เชื้อราบิวเวอร์เรีย หรือ สารสกัดยาสูบทุกๆ 3-5 วัน โดยผสมน้ายาล้างจาน เลก็ น้อย 2. ควบคุมปริมาณมด เพราะมดเปน็ พาหะของเพลยี้ แปง้ 3. เพล้ียแป้ง มีศัตรูตามธรรมชาติอยู่มาก เช่น ด้วงเต่า แมลงช้างปีกใส แมลงเหล่าน้ี จะชว่ ยควบคุมปริมาณของเพลี้ยแปง้ ได้ 136
แมลงหวข่ี าว ลกั ษณะและการทา้ ลาย แมลงหวี่ขาวมกี ารระบาดตลอดท้ังปี และมกั ท้าความเสียหายใหก้ ับพริกที่ปลูกใน ฤดูแล้งและต้นฤดูฝน ซ่ึงมีอากาศร้อนแห้งแล้ง อุณหภูมิและความช้ืนสูง ถ้าการ ระบาดของแมลงหว่ีขาวเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับการระบาดของเพล้ียอ่อนจะเพ่ิม ความรุนแรงของการท้าลายพืชได้มาก ท้าความเสียหายโดยทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย ดูดกินน้าเลี้ยงจากใบพริกท้าให้ใบเหลืองซีด ถ้าระบาดมากในระยะแรกของการ เจรญิ เติบโต จะทา้ ใหต้ น้ แคระแกรน็ ผลผลิตลดลง และแมลงหว่ขี าวยังเป็นพาหะของ โรคไวรสั อกี ด้วย การปอ้ งกนั ก้าจดั 1. หมั่นตรวจแปลงเม่ือพบแมลงหว่ีขาวให้ ฉีดพ่นเชื้อราบิวเวอร์เรีย สลับกับสารสกัด จากยาสูบ ฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน โดยผสมน้ายาล้างจานหรือสารจับใบเล็กน้อยจะช่วย เพ่มิ ประสทิ ธภิ าพ 2. ใช้กับดักกาวเหนียวทาถุงพลาสติกติดบนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีเหลือง จะช่วยลด ปริมาณแมลงหว่ขี าว 137
การเกบ็ เก่ยี วพริก พริกจะออกดอกหลังจากย้ายปลูกแล้วประมาณ 60-70 วัน หลังจากน้ันจะเริ่ม เก็บเกี่ยวผลสุกได้เม่ือพริกมีอายุประมาณ 90 - 100 วัน ซึ่งจะสามารถเก็บเก่ียวได้ ทุกๆ 5-7 วัน หรือเดือนละ 4-6 รุ่น ถ้ามีการบ้ารุงรักษาดีและให้น้าอย่างเพียงพอ พริกอาจจะมอี ายุการเกบ็ เกีย่ วได้ถงึ 1 ปี 138
การปลูก เมลอ่ นอนิ ทรีย์ 139
เมลอ่ น การเตรียมดินและแปลงปลกู • ดินท่ีปลูกควรเป็นดินท่ีมีค่าความ เป็นกรด ดา่ ง (pH) ควรอยู่ระหว่าง 6.5-7 เนื่องจากแตงเมล่อนมีระบบ ร า ก แ ก้ ว อ า จ เจ ริ ญ ใน แ น ว ดิ่ งลึ ก 80-120 cm.รากแขนงจะเจริญใน แนวนอนอยู่อย่างหนาแน่น ใน ระดบั 30 cm.จากผิวดิน • ไม่ร้อนจนเกินไป อุณหภูมิจะอยู่ ที่ ป ร ะ ม า ณ 2 5 – 3 5 อ งศ า เซลเซียส ตอ้ งการแสงแดดท่ีเพียงพอใหอ้ บอนุ่ และความชน้ื สัมพัทธ์ต่้า • การเตรียมดินควรไถดะหน้าเพ่ือตากแดดฆ่าเชื้อโรคประมาณ 14 วัน(โดยปิด โรงเรือนใหม้ ิดชดิ พยายามไม่ให้มีอากาศภายในและภายนอกมกี ารถ่ายเทอากาศ เพื่อ เพมิ่ อุณหภมู ิในโรงเรือนใหส้ งู มากย่งิ ข้ึน) •หลังจากน้ันให้พรวนดิน พร้อมกับยกแปลงให้สูงข้ึน 35 ซม. สันแปลงห่างกัน 1.5 เมตร • วางสายนา้ หยด ในลกั ษณะหงาย ให้น้า เพือ่ ความช่มุ ชื่นของดิน • คลุมด้วยพลาสติก เพ่ือรักษาความชื้นให้กับดินและกับวัชพืช พร้อมกับเจาะหลุม ปลกู ไวใ้ หห้ ่างกนั ประมาณ 50 x 60 ซม. หากเปน็ พ้ืนที่ ที่มีการเพาะปลูกติดต่อมาหลายคร้ัง ควรกระท้าดงั นี้ - ควรจะพกั การเพาะปลกู ประมาณ 2-4เดอื น - เปล่ยี นไปปลูกพืชชนดิ อนื่ บา้ ง เช่นพืชตระกูลถวั่ - ใช้เชือ้ ราไตรโคเดอร์มา พร้อมกับปุ๋ยคอก ในการช่วยปรบั ปรงุ สภาพของดิน 140
การเพาะกล้าการเพาะกลา้ และการยา้ ยกล้า วธิ กี ารเพาะกล้า 1. การบม่ เมลด็ 1.1 น้าเมล็ดพันธ์ุเมล่อนแช่ในน้าสะอาด โดยให้เมล็ดทุกส่วนถูกน้า แช่เมล็ดนาน 20 นาที 1.2 น้าเมล็ดมาวางในกระดาษเพาะกล้าหรือผ้าขาวบางชุบน้ามาดๆ แล้วจึงห่อเมล็ด (ไมค่ วรวางหนาแนน่ เกินไป ) 1.3 ห่อกระดาษเพาะเมล็ดอีกครั้งด้วยถุงพลาสติกใสหรือถุงใส่แกง เก็บในที่อุณหภูมิ 28- 30 องศาเซลเซียส โดยใส่ในภาชนะท่ีมิดชิด เช่น กระติกน้าเพื่อรักษาอุณหภูมิ นานประมาณ 24 ชว่ั โมง * ค้าแนะน้า เมื่อเปิดซองเมล็ดพันธ์ุแล้วควรเพาะให้หมดในคราวเดียว เพราะเมล็ดพันธุ์ท่ี เหลือเปอร์เซน็ ต์ความงอกจะลดลง จงึ ควรเลือกซอ้ื ปรมิ าณตามความตอ้ งการใช้ 2. การเพาะกลา้ • บรรจวุ ัสดเุ พาะกล้า (พีทมอส เปน็ วัสดุเพาะ) ลงในถาดเพาะกลา้ ขนาด 50 หลมุ ไม่ แนน่ เกินไป รดน้าให้ชมุ่ • น้าเมล็ดจากข้อ 1.3 มาหยอดลงในถาดเพาะ โดยวางให้เมล็ดอยู่ในแนวนอนท้ามุมประมาณ 45 องศา และปลายรากแทงลงวัสดุเพาะ ระวัง อย่าให้รากอ่อนของเมล็ดหักหรือแห้ง กลบด้วย วสั ดเุ พาะกลา้ แล้วกดทบั เบาๆ • รดน้าให้ชุ่ม น้าไปเก็บในโรงเรือนเพาะกล้า หรือบริเวณทีม่ ีแสงแดด • รดน้าทุกวัน เพื่อให้วัสดุเพาะกล้าชุ่มอยู่เสมอ จนอายกุ ล้าได้ 10 - 12 วัน 141
3. การย้ายกลา้ ควรย้ายกล้าเมื่อมีใบแท้ 2 ใบ หรืออายุ ไม่เกิน 12 วัน(หลังจากหยอดเมล็ด) ข้อควร ระวังในการย้ายกล้าลงปลูกในแปลง ควร ปฏิบตั ิดงั น้ี • กอ่ นปลกู 2 วัน ควรรดน้าแปลงใหช้ มุ่ • ควรยา้ ยกล้าในช่วง เย็น อากาศไม่ร้อนแดด ไมจ่ ัด • หลุมปลูกควรมีความลึกและกว้าง เท่ากับ ขนาดหลุมของถาดเพาะกลา้ • ควรระวังอย่าให้วัสดุเพาะแตกหรือรากขาด เพราะจะท้าให้ต้นกล้าชะงักการ เจริญเตบิ โต(ควรฉีดพน่ ไตรโคเดอร์มาปอ้ งกนั เชอื้ รา) • เวลาย้ายต้นกล้าจากถาดเพาะลงแปลง ให้จับบริเวณปลายยอดไม่ควรดึงหรือบีบ บริเวณโคนต้น • กลบดนิ ครอบคลุมโดนตน้ กลา้ การขนึ้ ยอดและเตรยี มคา้ ง •ชว่ งเวลาทค่ี วรใชใ้ นการขึน้ ยอดทสี่ ุดคอื ช่วงเช้า •การจัดเถาของเมล่อนคือ 1เถา ต่อ เมล่อน 1ต้น และเม่ือเริ่มออกยอด ให้ท้าการพัน ยอดไวก้ บั เชือก พยายามอย่าปลอ่ ยให้ยอดเลอ้ื ย ควรท้าอยา่ งน้อย 2วัน/คร้งั การเด็ดแขนง • ใหเ้ ด็ดแขนงขอ้ ท่ี 1 – 8 ออก เมอื่ เมลอ่ นอายุ 9 - 14 วนั หลงั ย้ายปลูก • การเด็ดแขนงควรท้าในขณะที่แขนงยังมีขนาดเล็ก และท้าในตอนเช้าจะท้าให้แผล แห้งเรว็ แลว้ ใหฉ้ ีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอรม์ า • เมอ่ื เด็ดออกจะท้าใหย้ อดแตงเจรญิ เติบโตไดเ้ รว็ 142
การเตรยี มค้างผกู เชอื ก และข้ึนยอด • การขน้ึ ยอดควรทา้ ชว่ งเชา้ • ควรจัดเถาเมลอ่ น 1 เถาต่อต้น เมอ่ื เมล่อนเรมิ่ ทอดยอด ให้พนั ยอดกบั เชือก 2 วนั ตอ่ ครง้ั อยา่ ปลอ่ ยให้ยอดเลื้อย การตดั แตง่ แขนงและไวแ้ ขนงกอ่ นผสม ต้าแหนง่ ที่ไว้แขนงผสมดอก • ให้เล้ยี งแขนงข้อ 9 -12 เอาไวผ้ สม • ควรเด็ดยอดแขนงให้เหลือ 2 ใบ • เหนอื ข้อที่ 12 ให้เด็ดแขนงยอ่ ยออก • เดด็ ยอดในข้อที่ 25 ให้มีจา้ นวนใบ 22 - 25 ใบ การผสมเกสร • ดอกเมล่อนเปน็ สมบูรณ์ คือมีเกสรตวั ผ้แู ละดอกตัวเมียอยู่บนต้นเดียวกัน • ดอกตวั ผู้จะอยรู่ ะหวา่ งข้อบนลา้ ตน้ • การผสมเกสรควรท้าในตอนเช้าเวลา 7.00 – 10.00 น. • เลือกผสมดอกเพยี ง 2 - 3 แขนงต่อตน้ • ควรจดบันทึกท่ีดอกบานหรือจ้านวนดอกท่ี ผสมในแต่ละวัน(ใช้ไหมพรมหลากสีพนั ขว้ั ผล เพ่ือกา้ หนดวันเกบ็ เกย่ี ว) 143
การคดั เลอื กผล • เลือกแขนงที่มผี ลรปู ทรงไข่ ผลใหญ่ • ผลสมบูรณ์ท่ีสุด ไมม่ ีรอยขีดขว่ น • ไม่มโี รค และแมลงเข้าทา้ ลาย • เมือ่ ไดล้ ูกที่สมบรู ณ์แล้ว ควรตดั ลกู ท่ไี ม่ตอ้ งการทิ้งใหเ้ หลือไวเ้ พยี ง 1 ผล • ควรปรับเพม่ิ ปรมิ าณการให้น้าและใส่ปุ๋ยคอก ปยุ๋ หมักเพื่อใหผ้ ลโตไดเ้ ต็มที่ไมเ่ กิน 18 วนั หลังผสมเกสร • ให้น้าเชอื กมาแขวนผลให้อยใู่ นที่โปร่งและได้รับแสงสมา้่ เสมอ การแขวนผล • ใช้เชอื กคลอ้ งท่ขี ว้ั ผลไวเ้ พ่ือรบั นา้ หนกั โดยยึดผลไวก้ บั คา้ งท่ยี ึดต้นเมล่อน • ควรแขวนผลใหข้ นานกบั พ้ืนเพือ่ ความสะดวกในการปฏบิ ัติงานในฟาร์ม การแขวนผลเมลอ่ น 144
โรคทสี่ ้าคัญของ เมล่อน 145
โรคเห่ยี วจากเชอื้ รา เชอื้ สาเหตุ เชื้อราฟวิ ซาเลยี ม ออกซีสปอร์ลัม (Fusarium oxysporum) ลกั ษณะอาการ เช้ือสาเหตุเข้าสู่ต้นพืชทางราก ในระยะต้นอ่อนใบเล้ียงจะเหี่ยว เปล่ียนเป็นสี เหลือง ร่วง พืชแสดงอาการเหี่ยวเฉาจากส่วนยอดลงมา ส่วนของเถาของต้นท่ีโตแล้ว จะแสดงอาการใบล่างเหลืองโดยอาการเริ่มต้นแสดงหลายอย่างเช่น ต้นแตก เกิด อาการเน่าท่ีโคนและซอกใบ ถ้าเกิดอาการเน่า และพบเช้ือราสีขาวบริเวณรอยแตก หลงั จากนนั้ พชื จะแสดงอาการเหีย่ วและตาย การป้องกนั กา้ จัด 1. ปรับสภาพความเปน็ กรด – ดา่ ง ของดินปลกู ให้เหมาะสมคอื อยู่ท่ี pH 6.5 2. ใส่ปยุ๋ คอกหรือปุ๋ยหมกั เพือ่ เพ่มิ ความอุดมสมบูรณข์ องดนิ 3. ถอนต้นทเ่ี ป็นโรคท้ิง (เผาท้าลาย)และป้องกนั โรคโดยการใช้สารจลุ นิ ทรีย์เช่น ไตรโคเดอรม์ าฉดี พ่นทกุ ๆ 5-7 วนั หรือราดลงดินก่อนปลูก 146
โรคต้นแตกหรือยางไหล สาเหตุ เกิดจากเชื้อราไมโคสเฟอเรลลา่ เมโล นสิ (Mycosphaerella melonis) ลกั ษณะอาการ อาการท่ีแสดงในใบแก่ แผลจะมีลักษณะ กลม สีน้าตาลอมแดง หรือมีสีด้า ขนาด ประมาณ 5 มิลลิเมตร รอบแผลจะมีสีเหลือง หลังจากนั้นแผลจะฉีกขาดหรือร่วง อาการเริ่มแรกจะปรากฏที่ขอบใบและขยายเข้า ไปทีส่ ว่ นกลางของใบ การเขา้ ท้าลายส่วนของล้าตน้ อาการทีป่ รากฏคือ จะมีแผล เชื้อ สาเหตจุ ะสรา้ งเมอื กเหนยี วสนี า้ ตาล หรือน้าตาลอมแดง การป้องกันก้าจัด 1. การปลกู พชื หมุนเวียน 2. ใช้พนั ธตุ์ า้ นทานโรค 3. ป้องกันโรคโดยการใช้สารจุลินทรีย์เช่น ไตรโคเดอร์มาฉีดพ่นทุกๆ 5-7 วัน หรือ ราดลงดนิ ก่อนปลกู 147
โรคราแปง้ สาเหตุ เชอ้ื ราอออเิ ดยี ม (Oidium sp.) ลกั ษณะอาการ เช้ือสาเหตุเข้าท้าลายพืชตระกูลแตงทุกชนิดแพร่กระจายโดยลม ลักษณะอาการ ข้นั ตน้ จะปรากฏเป็นจดุ เหลืองออ่ นที่ ลา้ ต้น ยอดอ่อน ทั้งด้านบนและด้านลา่ งของใบ เมอ่ื แผลมกี ารขยายใหญ่ขน้ึ จะมีสปอร์ของเชื้อราสขี าวคล้ายแป้งปกคลมุ หลังจากนั้น ใบจะเปล่ียนเปน็ สเี หลอื งอมนา้ ตาลและแห้งกรอบ การป้องกนั และการกา้ จดั 1. ฉดี พ่นเชอ้ื ราไตรโคเดอร์มา เพ่ือป้องกนั ทกุ ๆ 5-7 วัน 2. ฉดี พ่นด้วยก้ามะถนั ชนิดละลายนา้ อัตรา 30- 40 กรัม ต่อนา้ 20 ลติ ร ฉีดในสภาพ อุณหภูมิต่้า ในกรณที ี่อณุ หภูมิสงู จะมีผลทา้ ให้ใบของเมล่อนไหม้ได้ 148
โรคราน้าค้าง สาเหตุ เชื้อรา ซูโดเฟอโรโนสปอร์ร่า คูเบนซิส (Pseudoperonospora cubensis) เป็นโรคท่ีส้าคัญของพืชตระกูลแตงในเขตร้อนและกึ่งร้อน แพร่กระจายโดยลม ฝน และเครอื่ งมือการเกษตร ลกั ษณะอาการ อาการเร่ิมแรกจะพบทใี่ บล่าง โดยเกิดเป็นจุดสเี หลืองหรอื สีน้าตาลขนาดเล็ก แล้ว ขยายขนาดใหญ่ข้ึนเป็นรูปเหล่ียมอยู่ระหว่างเส้นใบ นอกจากนี้สามารถตรวจสอบ บรเิ วณใต้ใบโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในตอนเช้ามืด จะปรากฏเสน้ ใยเช้อื ราสขี าว หรือสีเทา ใบพืชจะแหง้ ตายแต่กา้ นใบจะชขู ้นึ ขอบใบม้วน ใบจะรว่ ง การปอ้ งกนั กา้ จัด 1. ฉดี พ่นเชื้อราไตรโรเดอร์มาเป็นระยะๆ เพอ่ื ป้องกนั การระบาด ทุกๆ 5-7 วัน 2. ราน้าค้างจะพบมาในช่วงที่อากาศชื้นและเย็น ดังน้ันในช่วงอากาศดังกล่าว ให้ฉีด พน่ เชอ้ื แบคทีเรียบาซลิ ลัส ซบั ทริ สิ ทุกๆ 3-5 วนั 3. เมื่อเก็บเก่ียวผลผลิต ควรเก็บซากพืชออกจากแปลงให้หมดเพราะจะเป็นแหล่ง สะสมโรค 4. ควรสลับหมนุ เวยี นพืชปลูกบา้ งเพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของโรค 149
แมลงศัตรูพืชที่ สา้ คญั ในเมลอ่ น 150
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238