สขุ ใจท่ีไดอ้ า่ นสารธรรมเพอื่ ชีวติ ท่ดี ีงาม อยากให้ทา่ นท้งั หลายได้เหลยี วหน้าแลหลัง และมองพลงั ปัจจุบันวา่ ปลงเลยี เถดิ อยา่ หลงระเริงกับลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข มากจนเกนิ ไปอยา่ หลงมวั เมากับความหน่มุ สาวของชีวติ มากจนเกินไป อยา่ หลงทางกับกาลเวลาแหง่ โลกยิ สขุ - สุขตามประสาชาวบา้ นมากจนเกินไป และในทางตรงกันขา้ ม ก็อยา่ เศร้าโศกเสียใจกับความเสอื่ มลาภ เส่อื มยศ ถูกนินทาว่ารา้ ยและเปน็ ทกุ ขม์ ากจนเกินไป อย่าเศร้าโศกเสยี ใจหรอื ทอ้ แทก้ ับชวี ติ สงั ขารของตนเอง ท่ีด้องเส่ือมสภาพไปตามกาลเวลามากจนเกนิ ไป มัวแต่ท้อแท้และเสียใจกับความเจบ็ ไขไดป้ ่วยแล้วเราได้อะไร ตอ้ งพยายามมองแยกรปูแยกนามให้ไดแ้ ล้วทำความดใี หก้ ับชวี ิตที่ยงั มอี ยู่ จงึ จะได้ดี จึงฝากไวใิ นตอนทา้ ยน้ีวา่ “ชีวิตนีอ้ ย่าทอ้ ความดียังรออย”ู่
สุขใจทีไ่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพื่อชวี ิตท่ดี ีงาม โดย...พนั เอก สรุ ินทร์ อ้วนศรี “ การสำรวบอินทรีย์” ตา หู จมูก ล้นิ กาย ใจ ซ่ือวา่ อนิ ทรีย์ เพราะแต่ละอยา่ งเปน็ ใหญ่ในหนา้ ท่ขี องตน ตาเปน็ ใหญ่ในหนา้ ท่ีเห็นรูป หูเป็นใหญใ่ นหนา้ ทฟ่ี ้งเสียงจมกู เปน็ ใหญใ่ นหน้าทด่ี มกลิ่น ลน้ิ เปน็ ใหญในหนา้ ทีล่ ิ้มรส กายเปน็ ใหญ่ในหนา้ ท่ีถูกต้องสมั ผัส ใจเปน็ ใหญ่ในหนา้ ท่ีร้ธู รรมารมณ์ ความสำรวมระวังเอาชนะตาในขณะเหน็ รูป เอาชนะหูในขณะฟังเสยี ง เอาชนะจมกู ในขณะดมกลนิ่ เอาชนะลิ้นในขณะลิ้มรส เอาชนะกายในขณะถกู ตอ้ งสมั ผัส เอาชนะใจในขณะรบั รธู้ รรมารมณ์ นเี้ รียกวา่ อินทรยี ์สงั วร ๑ . ตา ตรงกบั ศพั ทว์ า่ จักษุ มีหนา้ ทด่ี ูหรอื เห็น ท่านเปรยี บตาเหมือนงู รปู เหมือนทีล่ มุ่ ๆ ดอนๆ โดยท่ตี าชอบดอู ยา่ งล่มุ ๆ ดอนๆ และมอี าการลอกแลกยง่ิ ตาท่ีมืกิเลสด้วยแลว้ กย็ ่ิงมองในท่ีอันไม่ควรมอง เพราะกิเลสยัว่ ยตุ าให้มองสอดสา่ ยไปในท่ลี ่มุ ๆ ดอนๆ และแสดงอาการสอ่ กแส่กเหมือนงู แตง่ ูลอกแลกเพราะระวงั ภัย สว่ นตาลอกแลกเพราะสอดสา่ ยหากามคุณไปทกุ แหง่ หน สว่ นตาทีอ่ ยูใ่ นกรอบแห่งความสำรวมระวงั ดูเป็น เหน็เปน็ ดสู ่ิงใด เห็นสงิ่ ใด กด็ ูสิง่ น้นี เหน็ สง่ิ น้นั ดว้ ยมสื ตคิ รอง ต้ังสมั ปชัญญะกำหนด รู้ตัวอยู่ทีก่ ารดูการเหน็ ใหผ้ ู้ดูผเู้ หน็ ไตป้ ระโยชน์คุ้มค่า คือไตค้ วามรจู้ รงิ เห็นแจง้ เกิดความเล่อื มใสและความสลดใจ หรอื ไตต้ วั อย่างจากสง่ิ ที่ดูท่เี ห็นนั้น ปรับปรงุ ตนให้ดงี ามขนึ้ กวา่ เดมิ เช่นน้ี ชือ่ ว่า สำรวจระวงั ตาจัดเป็นมงคล แตต่ าทดี่ สู ิ่งใดเหน็ ส่งิ ใด มกั ดูสง่ิ นนั้ เหน็ สงิ่ นนั้ ดว้ ยอารมณร์ ักโลภโกรธหลงเขา้ สงิ ใจ ย่วั ให ก้ ำห นัดขดั เคอื ง ลุ่ม ห ลงม วั เม าใน ส ง่ิ น ้นั ๆ ซ่ือวา่ ไฝสำรวมระวังตา ไม่จัดเป็นมงคล เพราะทำให้ผู้ดูผเู้ ห็นเส่ือมประโยชน์เสียเวลา ใจแตกเพลดิ เพลิน เพลนิ แลว้ เปน็ สอื่ ให้หลง หลงแลว้ ทา่ ใหเ้ หลิงและเหลงิ แลว้ กจ็ ะทำใหเ้ สียคนไปในทส่ี ุด ๑๔๗
สขุ ใจทไ่ี ดอ้ ่านสารธรรมเพือ่ ชีวติ ทสี่ งื าม ๒. หู ตรงกับศัพทว์ ่า โสตะ มีหนา้ ทฟี่ ังเสียงท้ังเสยี งมงคลและเสียงอัปมงคล ท่านเปรยี บหูเปน็ ดังจระเข้ เสียงเหมอื นวังนาํ้ วน เพราะสญั ชาติจระเข้มักชอบอยใู่ นวังน้าํ วน อา้ ปากคอยอบุ กนิ ปลาทีต่ ามนาํ้ วนมา แม้หกู ็ชอบฟังเสยี งคอยรบั ความยินดี และความยนิ ร้ายอยู่ทุกขณะ เป็นเสยี งตบิ ้างเสียงชมบา้ ง เมอื่ หไู ดฟ้ ังเสยี งท่ีเขาตกิ ็มกั จะดอื้ ด้านถอื รน้ั เม่อื ไดฟ้ งั เสยี งซมกม็ ักจะยา่ มใจและอา้ รับการซมน้นั แลว้ เดือดรอ้ นเคยี ดแคน้ ต่อคำติ และช่ืนซมเพลดิ เพลินในคำชม นนั่ คือ หกู เิ ลส หูท่ฟี ังไม่เป็น ฟังด้วยอารมณ์ รักโลภโกรธหลง ไมอ่ ยใู่ นกรอบแหง่ ความสำรวมระวงั ชอบฟงั เสียงมากกวา่ ฟังเหตุผล ฟังแล้วหลงเชือ่ ไปทกุ อยา่ ง ถูกกเิ ลส จูงไปใบเ้ สยี คนได้ ส่วนหทู ่อี ยใู่ นกรอบแห่งความสำรวมระวัง ชอบฟงั เหตุฟังผลมากกว่าฟังเสยี ง หไู วทันกบั เหตุการณ์ ฟงั แลว้ ลอดส่อง หยั่งเหตุหย่งั ผลสบื ค้นตน้ ปลายของเร่อื งทันทีและฟังเสยี งใกลไกลทุกอยา่ ง แต่ฟงั แลว้ไมถ่ อื เสยี งเปน็ สำคญั ฟังหูไวห้ กู อ่ น ต้งั สตริ ะวงั ในขณะฟังเสียง ฟังเอาจนร้วู า่ นเี่ สืยงมงคล และขา่ วที่เป็นกุศล นั่นเสียงอปั มงคล หรือ'ขา่ วทีเ่ ป็นอกศุ ลเสอื กเฟ้นเอาเสยี งทีเ่ ปน็ มงคลและข่าวกศุ ล คัดเสยี งอปั มงคลและขา่ วทเี่ ป็นอกศุ ลออกทงิ้ ใชพ้ ูดแต่คำมงคลและข่าวกศุ ล เช่นนี้ ชือ่ ว่า สำรวมระวงั หูมีข้อท่คี วรจำไวว้ ่า หไู วเพราะมีปัญญา หูทรงคณุ คา่ เพราะมสี ติมขี อ้ ทค่ี วรระวงั เกยี่ วกบั หู คอื หหู นกั อยทู่ ี่โง่เขลา หูเบาอย่ทู ีข่ าดสติ ต. จมูก ตรงกบั ศัพท์ว่า ฆานะ มีหน้าท่รี ะบายลมหายใจเขา้ ออกและดมกลิน่ ทา่ นเปรียบจมกู เหมอื นนก กล่นิ เหมือนอากาศ โดยท่สี ญั ชาตินกอาศัยอากาศเป็นโคจร โผผินบินไปมาเปน็ อสิ ระ ล้านกถูกกกั ขังไวใ่ นกรงมันจะดน้ิ รนดันซกี่ รงหาทางออกจนคอถลอกปอกเปิก หรือดนิ้ แทบหวั ฉีกปีกหัก แม้จมกู ก็เช่นกันชอบดมกลิ่นและอาศยั อากาศระบายลมหายใจ ท้งัชอบอากาศโปร่งบริสุทธึ๋สดช่ืน ล้าเราอยใู่ นบ้องอบอ้าว อากาศถ่ายเทเข้าออกไมส่ ะดวก จมกู กจ็ ะคดั ตงึ แน่นหายใจร]ี ดอึดอดั จะตอ้ งดนิ้ รนสอดสา่ ยหาอากาศโปร่ง ทจี่ ริงอากาศสดช่นื ผสมกับแสงสว่างของดวงอาทติ ย์นนั้ คอืมารดาตามธรรมชาติ บำรงุ รา่ งกายใบม้ ีกำลงั แข็งแรงว่องไว บำรงุ ใจใบม้ ีกำลัง( ช ๊)ุ
สขุ ใจทไี่ ดอ้ า่ น สารธรรมเพอื่ ชีวติ ทีด่ ีงามเขม้ แขง็ คลอ่ งตัว และบำรุงเลยี้ งชวี ติ ให้อยู่ยืนนานและเป็นสุขสำราญ ส่วนกลน่ิ ทีม่ าตามอากาศน้ันจดั เปน็ กามคณุ คอื ส่ิงทนี่ า่ ใคร่น่าพงึ ใจ ล่อใหเ้ กิดกิเลสเข้าสงิ ใจยัว่ ให้ใจกำหนดั ในอารมณ์เป็นท่ตี ัง้ แห่งความกำหนัด ยุใหใ้ จขัดเคืองในอารมณเ์ ปน็ ท่ีต้ังแหง่ ความลุ่มหลง ยยี วนให้ใจมวั เมาในอารมณ์เป็นท่ตี งั้ แห่งความมวั เมา จมูกย่อมสอดส่ายหากล่ินท่ียงั ไม,ได้ เมอื่ ไดก้ ลิ่นที่นา่ ยินร้ายก็ด้ินส่ายหน้าหนี แตเ่ ม่อื ไดก้ ลนิ่ ที่นา่ ยินดี ก็ด้ินเข้าหาตดิ พันเป็นลงิ ติดตัง เรา้ ใจให้หวงจนเกิดกำหนดั ยุใจทกี่ ำหนัดใหห้ ึงจนขัดเคือง ย่วั ใจทข่ี ดั เคอื งใหห้ มกมุ่นจนเกดิ ล่มุ หลง ลวงให้สติฟน้ เพึอนจนเกิดมัวเมา เมอื่ ใจมีกำหนัดขดั เคอื งลุ่มหลงมวั เมาแลว้ ก็เกดิ หวงห่วงถึงกับยอมลงเปน็ ทาสของกลิ่นน้นั เซน่ น้ี ซอื่วา่ ไม่สำรวมระวังจมกู เปน็ อัปมงคล สว่ นจมกู ที่มีสตคิ รอง คอยควบคุมใจฤเห4/ร่ร/ู้ส9 ำนรักกIอ่ น'จะดมกลน ม01 สี I/ ํมป10ช^ ัญญะก๐ำกบั ฤเหร/่รร/ูต้ 0--วั ลเนขณะดมก^ะล! น ตXVงิ 6]เจรกั ษาอนามยั ระวังฝ่นละอองหรอื เชื้อโรคจะปลิวเข้าจมูก ไม่ดมดอกไมจ้ นชิดจมกู ซงึ่ อาจมีเชอ้ื โรคอยู่ในเกสรดอกไม้ เข้าไปทำอันตรายแกจ่ มูกจนเกดิโรคได้รกั ษาประเพณีไม่กอดจูบกนั ในที่ตอ่ หนา้ ธารกำนัลและรกั ษาคณุ ธรรมไมเ่ กดิ กเิ ลส เป็นเหตุกำหนัดขัดเคืองลมุ่ หลงมัวเมาเพราะดมกลิน่ น้ัน เซ่นน้ีซื่อว่า สำรวมระวังจมกู จดั เปน็ มงคล ๔. ลิ้น ตรงกบั ศัพท์ว่า ชิวหา ทำหน้าทรี่ ู้รส กลวั้ อาหารใหเ้ ข้ากันส่งลงในสำคอ และชว่ ยในการออกเสยี ง ท่านกล่าวว่า รสเปน็ ส่ิงท่ีเลวร้ายเพราะเปน็ กามคณุ เพิม่ ความตอ้ งการแกล่ ิน้ โดยทวคี ณู ซวนลิน้ ใหก้ นิ จุบกนิจบิ ชอบลมิ้ รสโดยไม่เลือกอาหารว่างอาหารหนกั กนิ อยา่ งไม่ยบั ยงั้ ขอให้ได้กนิ เปน็ พอ ลนิ้ ทอ่ี ยใู่ ตอ้ ำนาจของรสเซน่ น้ี ย่อมเปน็ ลนิ้ ไมม่ ีสตกิ ำกบั ส่วนลน้ิ ท่อี าศยั สติควบคุม คอยระมัดระวังก่อนจะลม้ิ รส ตัง้ สัมปชัญญะกำหนดร้ตู วั ในขณะล้ิม และล้ิมรสทคี่ วรล้ิม แม่ไดล้ ม้ิ รสท่คี วรล้มิ แล้ว กร็ ้จู ักยับยัง้ให้อยใู่ นความพอดี หักหา้ มใจไวิไมใหก้ ำหนดั ขัดเคอื งลุ่มหลงมวั เมาเพราะล้ิมรสนั้นๆ น่ีคอื สำรวมระวงั ล้ิน ซ่ึงจัดวา่ เปน็ มงคล ๑๔๙
สุขใจทีไ่ ดอ้ ่านสารธรรมเพื่อชีวิตที่ดงี าม ๕ . กาย หมายเอาอัตภาพ รา่ งกายตวั ตนของเราทุกสว่ น แมก้ ายท่ีเราสมควรจะตอ้ งสำรวมระวังนอกจากตาหูจมูกล้นิ ตังบรรยายมาแล้ว ก็คอื การยนื เดิน น่งั นอน แขน มือ ขา เทา้ ดวงหน้า เคา้ หนา้ ทา่ ทางและทว่ งที ควรระมัดระวงั กิรยิ าของทกุ ส่วนแห่งร่างกาย รู้จักหลีกเลี่ยงกริ ิยาเลวฉลาดวางตัวไวในลกั ษณะทสี่ มควรเข้าใจ ใช้กิรยิ าดงี ามแสดงออกทางการยนื เดิน นั่ง นอน และวางแขน ขา มือ เทา้ ดวงหน้า เคา้ หนา้ ทา่ ทางทว่ งที ให้สมฐานะของบคุ คล ถกู กาลเทศะ เหมาะแก่สังคม นแ่ี ลคือ การสำรวมระวังกาย อีกอยา่ งหน่ึงการแกหัดกิริยาให้เคลื่อนไหวปราดเปรยี วใหไ้ มแ่ ข็งกระคา้ งเกะกะ ปรบั ปรุงให้มืลกั ษณะกระฉบั กระเฉง และละมุนไปท่วั สรรพางค์กาย พรอ้ มดว้ ยความแข็งแรงและว่องไว ให้มรี ะเบยี บวนิ ยั และศีลธรรม จัดเป็นการสำรวมระวงั กาย อนั เป็นมงคลอีกอยา่ งหนง่ึ ๖. ใจ ตรงกบั ศพั ทว์ ่า มโน มมี หาภูตรูปคือร่างกายของเราทัง่ หมดเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั มีลกั ษณะดิน้ รนกวดั แกวง่ วอกแวกเหมือนลิง อารมณ์เหมือนป่าไม้ โดยที่ใจทำหน้าทรี่ แู้ ละคิดนกึ ตอ้ งคิดถึงอารมณ์น้บี า้ ง คิดถงึอารมณ์นัน่ บ้าง ปลอ่ ยวางอารมณน์ ้แี ลว้ ไปรับเอาอารมณ์อื่นอกี เหมือนลงิ อย่บู นต้นไม้ จับก่ิงนบ้ี า้ ง กิง่ นนั่ บา้ ง กระโดดจากก่ิงน่ันไปสูก่ ่ิงโนน้ ส่วนอารมณ์ท่ีใจคดิ นกึ นน่ั มีอยู่ ๒ อยา่ ง คอื อฏิ ฐารมณ์ อารมณ์ท่นี า่ ยินดีรักใคร่ได้แก่ มลี าภ ยศ สรรเสรญิ สขุ อนิฏฐารมณ ์ อารมณท์ ่นี า่ ยินร้ายเกลียดชังไดแ้ ก่ เลียลาภ เลือ่ มยศ ถูกนินทา ได้'ทุกขใ์ จ กจ็ ะตดิ จมอยใู่ นอิฏฐารมณ์จนแกต้ นไมห่ ลุด แมใ่ จทปี่ ระจวบกับอนิฏฐารมณ์ กเ็ กิดโทมนสั โศกเศรา้เจ่าจกุ ทกุ ขร์ ้อน จนเสียสตสิ ัมปชญั ญะ นีใจทไม่สำร\"วมระวงั นบั เปน็ อปั มงคลส่วนการสำรวมระวงั ใจ ไมใหเ้ พลิดเพลนิ ในอิฏฐารมณ์ และไมใหย้ ินรา้ ยในอนิฏฐารมณอ์ ย่างน้เี ปน็ การดี สมกับพระพุทธดำรสั ว่า “ มนสา สงวฺ โร สาธ”ุการสำรวมระวังทางใจ เปน็ คณุ ยังประโยชน้ใหส้ ำเร็จ จัดเป็นมงคล เม่ือเราทราบวา่ คนผไู ม่สำรวมระวังตาหจู มกู ลิน้ กายใจ มักจะยนิ ดีในบาป เหน็ บาปปานนํ้าผงึ้ แตไ่ มม่ องเหน็ ทุกขอ์ ันจะตามมาเหมือนปลามอง๑๕๐
สขุ ใจทีไ่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพ่อื ชีวติ ทีด่ ีงามเห็นแต่เหยือ่ ไมแ่ ลเห็นเบ็ดเซ่นนแี้ ล้ว กพ็ ากันสำรวมระวงั ตา หู จมกู ลนิ้กายใจ ปอ้ งกันบาปอกศุ ลไวไมใหเ้ ข้ามากล้าํ กรายตนสละละวางบาปอกศุ ลออกจากกาย วาจา ใจกด็ ี บำเพญ็ บญุ กุศลใหเ้ กดิ ขนึ้ และรักษาบญุ กศุ ลที่มีอยไู่ วใ้ ห้เหมอื นเกลือรกั ษาความเค็มก็ดี ยอ่ มจะพ้นจากทุกข์ บรรลุถึงความสุขได้ตามประสงคจ์ ำนงหมายไดท้ ั้งหมด แลว้ ยอ่ มหลุดพ้นจากทกุ ข์ทง้ั ปวงได้ ดังพระพทุ ธดำรสั ว่า ผเู้ หน็ ภยั ในสังสารวฏั มาสำรวมระวังในประตู คอืตา หู จมูก ล้ิน กาย ใจ ยอ่ มหลุดพน้ จากทุกขไ์ ด้ (ช ุ) (5 )
สขุ ใจท่ใี ด้อ่านสารธรรมเพื่อชวี ิตทด่ี งี ามโดย...พนั เอก สรุ นิ ทร์ อว้ นศรี “ บุคคล ๔ ประเกก” เร่อื งของมนษุ ย์ ถ้าจะคดิ ว่าเป็นเรอื่ งงา่ ยก็งา่ ย ถ้าจะคดิ ว่าเปน็เร่ืองยากก็ยาก แตแ่ ทท้ ีจ่ ริงมนุษยเ์ ราบางทกี ็ง่ายบางทกี ็ยาก เหมือนหลกัคำสอนในทางศาสนาลอนไวว้ า่ มนุษย์เรามีทั้งสขุ และทุกข์ แต่แท้ที่จริงแลว้มแี ตท่ ุกข์ ทีว่ า่ สุขนั้น คือ ทกุ ขน์ ้อยตา่ งหาก จึงนบั ได้วา่ มนษุ ยเ์ ราน้ันดำรงตนอย่บู นพืน้ ฐานของความยุ่งยาก และสบั สนว่นุ วาย ดงั พระบาลวี า่ “อนุโตชฏา พหชิ ฏา ซฏาย ชฏติ า ปชา” แปลความวา่ หม่มู นุษย์ยุ่งทงั้ ภายนอกยงุ่ ทง้ั ภายใน ยงุ่ ตลอดกาล คอื มีปัญหาตลอด1โป มนษุ ย์ต้องคอยแก้ปญั หาให้กับชีวติ ของตนเองมาโดยตลอด จนกระท่งั วาระสดุ ท้ายของชวี ติ คอื ความตาย ใครมภี มู ิปัญญาสามารถแก้ปัญหาได้ ผนู้ ้นั จะประสบผลสำเร็จและมีความสงบสขุ เป็นกำไร สว่ นผทู้ ด่ี อ้ ยภมู ปิ ญั ญา ย่อมไดร้ บั ผลตรงกนั ข้ามคือ ความยอ่ ยยับ และมีความทุกขย์ ากสำบากเปน็ ผล เพราะฉะนน้ั จึงใครข่ อจดั แบง่ กลุ่มของมวลมนษุ ย!์ นสงั คมปัจจบุ ันตามพฤตกิ รรมนิยม ทปี่ รากฏมาเล่าสู่กนั ฟงั ดงั นี้ บุคคล ๔ ประเภท แล้ว๑ . ร ู้ ทำ ๒. รู้แต1่ไม,ทำ ๓ . ไม่ร แู้ ต่ทำ ๔. ไม่รไู มท่ ำ บคุ คลประเภทที่ 0 “รูแ้ ลว้ ทำ” หมายความวา่ บคุ คลประเภทนี้เป็นผู้ท่'ี ไดผ้ า่ นประลบการณก์ ารเรยี นรูม้ าแล้วทัง้ ภาคทฤษฎแี ละภาคปฏบิ ตั ิทัง้ ทางตรงและทางออ้ ม แลว้ นำความรูอ้ นั เกิดประสบการณ์น้ัน ๆ ไป๑๕๒
สุขใจทไี่ ดอ้ า่ น สารธรรมเพี่อชวี ิตทดี่ ีงามประยุกตไชI้ นการปฏิบ้ตงิ านหรือหนา้ ทข่ี องตนไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสมจนมีผลงานดมี ีประสทิ ธภิ าพเป็นทีย่ อมรับของหนว่ ยงาน และสงั คมสว่ นรวม ชนดิท่ีวา่ มีผลงานสำเร็จผลดีเป็นรูปธรรมท่ีเดน่ ชดั จัดไดว้ า่ เปน็ บคุ คลผู้ประเสริฐควรแก,การยกยอ่ งสรรเสรญิ และถือเปน็ แบบอย่างที่ดีได้ บุคคลประเภทนี้ได้ชอ่ื วา่ เป็นคนเกง่ และดี ตามพระบรมราโชวาทขององคพ์ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั รชั กาลที่ ๙ เพราะวา่ คนเราน้นั จะเก่งแตเ่ พยี งอย่างเดียวคงไม่ได้จะด้องเปน็ คนดดี ว้ ย จึงจะไชไดห้ รอื หากจะเป็นคนดเี พยี งฝา่ ยเดยี วแตท่ ำอะไรไม่เปน็ หรอื ทำไม่เก่ง ก็คงใช!้ ด้ไม่ดีเทา่ ท่ีควร บคุ คลจงึ ต้องเก่งและดปี ระกอบกนั ผลงานจงึ จะสมั ฤทธผิ ลดี เปน็ รปู ธรรมที่เดน่ ชดั ดงั กล่าวแล้วนน้ัฉะนัน้ บุคคลประเภทท่ี ๑ น้จี ึงตอ้ งรตู้ ว้ ย ทำไตด้ ้วย โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงเร่ืองความรูจ้ ะต้องเปน็ ความร้ปู ระเภท “รจู้ รงิ ” มิใช่ “รูไม่จริง” บุคคลประเภทนมี้ ิอย่ใู นบ้านเมอื งของเราเปน็ จำนวนมากพอลมควร พอทีจ่ ะสร้างสรรคค์ วามเจรญิ รุง่ เรืองใหแ้ กช่ าตบิ า้ นเมอื งไดเ้ ปน็ อเนกประการ จงึ กล่าวไตว้ า่ สังคมใดมบื ุคคลประเภท “รแู้ ล้วทำ” นี้ เป็นจำนวนมากสังคมนัน้ กจ็ ะเจรญิ ร่งุ เรืองและประสบผลสำเร็จในการทำงานเปน็ อยา่ งดี ในทางตรงกนั ข้ามก็จะไม่ประสบผลดีแต่อย่างใดเลย บคุ คล1เจ•ะเภทท่ี ๒ “รู้แต่ไมท่ ำ” หมายความวา่ บคุ คลประเภทนี้เป็นคนที่ไดผ้ ่านประสบการณ์การเรยี นรมู้ าครบถว้ นแล้วทุกประการ เชน่ เดียวกบั บคุ คลประเภทท่ี ๑ แตไ่ มย่ อมทำงานหรอื ภารกจิ ทไี่ ดร้ บั มอบหมายตามหน้าทขี่ องตน เปน็ บุคคลท่ีจัดวา่ เป็นคนเกียจครา้ น เป็นคนทอดธุระ ไมเ่ อาใจใสในหนา้ ที่ เปน็ คนละเลยหรอื เพิกเฉยต่อหนา้ ที่ ไมร่ ับผดิ ชอบหน้าท่ีมกั อา้ งน่นั อา้ งน่ีแลว้ หนงี าน บคุ คลประเภทนเ้ี ขาเรยี กวา่ “คนดีแตพ่ ดู ” มแี ต่ราคาคยุ ไมม่ รื าคางาน เลยเปน็ คนไม่มีค่า เป็นคนไรร้ าคา ถ้าสงั คมใดมีบคุ คลประ๓ทน้ี อยู่เป็นจำนวนมาก สงั คมน้ันจะประสบกับปิญหาความยุ่งยากมากมายมห าศาล ไม,สามารถทีจ่ ะบรหิ ารงานใหป้ ระสบผลสำเร็จได้ดังประสงค์ และจะกลายเปน็ สังคมลม่ สลายในกาลต่อไป ถา้ พูดถงึ เรอ่ื งการคบคนแล้ว บุคคลประเภทนไ้ี มค่ วรคบหาสมาคมโดยประการทั้งปวง ๑๕๓
สุขใจท่ีไต้อา่ นสารธรรมเพอ่ื ชวี ิตที่ดงี าม บุคคลประเภทท่ี ๓ “ไม1รแู้ ต่ทำ” บุคคลประเภทน้ี เป็นคนเกยี จครา้ นตั้งแตเ่ กดิ ไมใ่ ฝ่รู้ ไมใฝศ่ ึกษาหาความรู้ พูดตรง ๆ วา่ ไม่อยากเรยี นหนงั สือ มกั หาเร่ืองหนเี รยี นอย่เู ปน็ ประจำ เวลาเรยี นกไ็ ม่ต้ังใจเรยี นเกาะเพื่อนกนิ เกาะเพือ่ นเรียนจนจบการศึกษาตามหลกั สตู ร เมอื่ สำเรจ็ การศึกษา มงี านมีการทำ ก็ไม่ใฝร่ ู้ในหน้าท่ีการงาน มักทำงานแบบ “เชา้ ชามเยน็ ชาม” ไมม่ แี นวความคดิ ก้าวหนา้ ไม,คิดสรา้ งสรรค์ แตม่ ักชอบทำงานเอาหน้า ประจบประแจง สอพลอ ผลทีเ่ กิดขึ้นคือ ทำงานผดิ พลาด เน่อื งจากขาดความรู้และประสบการณ์ ทเี่ รียกว่า “ไมร่ ู้แล้วทำ” เพราะฉะน้นั ในระบบการทำงานจึงตอ้ งใหไ้ ปเรยี นรู้มาเสียก่อน แล้วจงึ คอ่ ยทำ มใิ ชไ่ ม1ร้เู ร่อื งอะไรเลยแล้วมาทำผลเสียหายเกิดขึน้ มากมาย ทนุ กห็ าย กำไรก็หด หมดประสทิ ธิผลของงานเลยครบั บคุ คลประเภทนไ้ี มเ่ ป็นทตี่ อ้ งการของลังคม แต่กย็ งั คงมีปรากฏใหเ้ ห็นอยูม่ ากมายพอสมควร จึงไม่ควรเปิดโอกาสให้บคุ คลประเภทน้ีมาทำงาน เพราะบคุ คลประเภทน้ี คือ “คนผ้ผู ดิ พลาด” บคุ คลประเภทท่ี ๕ คือ “ไม่รูไม่ทำ” กลา่ วไดก้ ่อนเลยครบั ว่า บคุ คลประเภทน้เี ปน็ “คนหนักแผ่นดิน” เป็นคนที่เสียนั้งสองทาง คือ ไมเ่ รยี นรู้และไมย่ อมทำงานในหน้าที่ มกั ไปทำงานนอกหนา้ ท่ี คอยแต่จะลอกเลียนแบบและคอยหากนิ กบั สมบัติเก่าอยู่ร่ํา1ไป ถา้ จะถามว่าในปัจจุบนั น้ใี นบ้านเมอี งของเรา มีบุคคลประเภทน้ีอยู่บ้างไหม กต็ อบได้ ยงั คงมีอยมู่ ากพอสมควร พวกเขาจะเป็นกล่มุ บุคคลท่ีถ่วงความเจรญิ มกั จะสร้างปญั หาและความเดือดรอ้ นใหเ้ กดิ ขนึ้ ในสังคมอยู่เปน็ ประจำ สงั คมใดมบี ุคคลประ๓ทนี้สงั คมน้ันไม่มีวนั เจริญ ไดเ้ ลย “น ส ยิ า โลกวฑฒฺ โน - ไม่ควรเป็นคนหนกัแผ่นดนิ ” ครับ จงึ เปน็ อนั กล่าวได้วา่ บุคคล ®: ประเภทน้ี ยงั มีอยู่ในลงั คมในทางพระพุทธศาสนาจงึ สอนใหเ้ ลอื กคนมาทำงานใหถ้ ูกกับงาน อยา่ ใหผ้ ดิ งานผิดคน และใหเ้ ลอื กคบคนดว้ ยว่าใหค้ บหาสมาคมแต่คนดิและทำดิเทา่ นั้นอย่าได้คบกับคนช่วั และทำช่ัวโดยเด็ดขาด ฉะนัน้ จึงต้องเลอื กคนดใี ห้คนดีมโี อกาสไปทำงาน๑๕๔
สขุ 'ใจทใ่ี ตอ้ า่ น สารธรรมเพือ่ ชวี ติ ที่ดีงามเพราะฉะน้ัน “ประเภทคน ในโลกนี้ มีสฝี่ า่ ยทงั้ หญงิ ชาย เหมือนกนั ตามฃัน้ น้ีหนึง่ รแู้ ล้ว ทำไป ในวธิ ีสองรแู้ ล้ว ไม่ทำดี ทใี่ คร่ครวญ สามไมร่ ู้ แต่ทำ แบบล้าํ เส้นสไ่ี ม่รู้ ไม่เหน็ ประเด็นถ้วนแถมไม,ทำ อะไร ให้คูค่ วรท้ังส่ลี ว้ น ประเภทคน บนโลกเรา” ๑๕๕
สขุ ใจที่ได้อ่านสารธรรมเพ่ือชวี ิตที่ดงี ามโดย...พันเอก เสนห่ ์ เขียวมณี “ ว ธิ ีระงับความโกรธ” จติ ใจของคนเราที่ยงั ไม่ส้นิ กิเลสนี่มนั ปรุงแตง่ ไดต้ ่าง ๆ นานา สง่ิ ท่ีมาปรุงแตง่ ใจ กเ็ ข้ามาจากทศิ ทางต่างๆ เรยี กวา่ ผา่ นประตทู งั้ ๖ คือ ทางตาทางหู ทางจมกู ทางสน้ิ ทางกาย และทางใจคิดไปเอง ซ่ึงสงิ่ เหล่านีภ้ าษาธรรมะเรยี กว่า อารมณ์ อารมณเ์ หล่านีถ้ า้ จะวา่ ไปมันกค็ ืออาหารใจ ใจคนไม่มเี วลาว่างมนั เสวยอารมณอ์ ยตู่ ลอดเวลา หรือพดู ภาษาชาวบา้ นกว็ ่าใจมันกินอารมณเ์ ป็นอาหาร ทนี ้ีพอกินเขา้ ไปแล้ว มันมีอาหารแสดงออกมา ๓ อย่าง คอื มคี วามสขุ มีความทุกข์ หรือเฉย ๆ ไม่สขุ ไม่ทุกข์ แล้วแตใ่ จ จะเห็นไดว้ า่ อารมณ์นีแ่ หละเปน็ ตัวกำหนดความสขุ ความทกุ ข์ ทางใจของคนเรา อารมณห์ นงึ่ ที่ใจใครกินเขา้ ไปแล้ว จะไม'มคี วามสขุ เลย น่ันคืออารมณ์เกรธ ทพ่ี ูดว่าใจมันกนิ เข้าไปนกี้ ็เพอ่ื ใหเ้ ห็นวา่ อารมณ์ชนิดนี้มนั อยู่กับเราตลอดเวลา ตามวสิ ัยปุถุชน ความโกรธนีถ้ ือเป็นอารมณ์ทใี่ จเสพเขา้ ไปแลว้ มแี ตโ่ ทษจึงถือวา่เปน็ เหมือนเชือ้ โรคทางใจชนิดหนงึ่ เรียกวา่ โรคโทสะ อาการของโรคโทสะนี้ตอนต้นๆ ยังไมก่ ำเรบิ มากนัก มันมจี ุดเริ่มต้นมาจาก อรติ คอื การไมช่ อบมาก่อน จากนัน่ เป็น ปฏิฆะ ความขัดเคอื ง ในระดับนี้ทา่ นเรียกว่ายังเปน็อนสุ ยั เหมือนตะกอนนอนจมอยู่ก้นแก้วนา้ํ ไม่ฟ้งเพราะยงั ไม่มีใครเขยา่แกว้ ,นาํ้ แตพ่ อถูกใครกระตุน้ เข้า อาการก็กำเรบิ เกดิ การเดอื ดดาล ฉุนเฉยี วท่านเรยี กวา่ โกธะ ถ้าเดอื ดมากจนถงึ กับลน้ ออกมาทางใจ ทางวาจา และทางกาย ทา่ นกเ็ รยี กวา่ พยาบาทบ้าง, ผรุสวาทบา้ ง, ปาณาตบิ าตบา้ ง ตามพฤติการทท่ี ำไป ตั้งแต่ขัน้ อรติถึงขัน้ โกธะ ทา่ นเรียกว่า กเิ ลส เพราะทำให้จติ ใจเศร้าหมอง สกปรกโสมม ถา้ ถงึ ขนั้ พยาบาท ผรสุ วาท และปาณาตบิ าตเปน็ ตน้ ท่านเรยี กวา่ กรรม คือเปน็ อกุศลกรรม๑๕๖
สุขใจทีไ่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพือ่ !!วติ ที่คีงาม ความโกรธ คอื ความฉุนเฉยี ว เดือดดาลของจติ ใจ ใจเดือดกเ็ หมือนกบั นาํ้ เดือด คือมลี ักษณะคลา้ ยกัน คือ ๑ . ร้อน ๒. พลา่ นอยู่ในกาหรอื หม้อท่ีต้มจนล้น และ ๓. ระเหยตวั ไปทีละนอ้ ย เม่อื เดือดนานเข้ากร็ ะเหยไปจนหมด ไมม่ นี ํ้าเหลอื เลย ในทีส่ ุดกาหรือหมอ้ ที่ตม้ จะถกู ไหม้เกรียมไปจนทะลุใจกเ็ ซน่ เดียวกัน เมื่อถกู เพลงิ โทละเผาจนเดือดดาล คอื โกรธแลว้ ถ้าระงบัไมไ่ ต้ ยัง้ ไวไมอ่ ยู่ จะแสดงลักษณะอาการออกมา ๓ อยา่ ง คือ ๑ . ร้อนผ่าวไปทัง้ ตัว ๒. ใจพลา่ นวนุ่ วาย ๓ . คณุ ธรรมระเหดิ ไปจากใจ ถา้ จะลำดบั ความรุนแรงของอาการกจ็ ะเรม่ิ จากฃน้ั ที่ ๓ กอ่ นคือ คุณธรรมระเหิดไปจากใจ จะสงั เกตไดง้ ่ายๆ เมื่อความโกรธคอื ความเดอื ดดาลเกดิ ขนึ้ แล้ว คุณธรรมตา่ งๆ ที่เคยมืกค็ อ่ ยๆ ระเหดิ ไปจากจติ ใจเช่นแต่ก่อนเคยมีความรกั ใครไมตรจี ิต เม่ือถกู ความโกรธเผามากเข้าก็เหอิ ดหายไปหมด แต่ก่อนเคยมีความสงสารโอบออ้ มอารี เม่ือถูกความโกรธเผาให้เดือด ความสงสารกร็ ะเหดิ ไปจากจติ ใจ เม่ือก่อนเคยมคี วามจงรักภักดีความกดัญฌูกตเวที และอน่ื ๆ อีก กจ็ ะเหอื ดแหง้ หายไปจากใจหมด เพราะถกู ความโกรธเผา เหมือนนกท่ีเดอื ดนานๆ กร็ ะเหยจนแห้ง เม่ือใจเหอื ดแห้งจากคุณธรรมแล้ว ทีเ่ คยใจดกื เ็ ปน็ คนใจร้าย ที่อ่อนโยนกเ็ ป็นคนเห้ียมโหดไป ใจทเี่ ห้ียมโหดมงุ่ แต่จะลา้ งผลาญผลประโยชนแ์ ละความสขุ ของผอู้ นื่ ซ่งึทา่ นเรยี กวา่ ปองร้าย คือมุ่งจะทำร้ายเขา เม่อื ทำรา้ ยไม่ไดก้ อ็ าฆาตมาดร้ายไว้อนั เป็นต้นเหตุใหผ้ ูกเวรกันตอ่ ไป ความโกรธทเี่ กิดรุนแรงข้ึนมาอกี ขน้ั หนง่ึ ถงี ขนาดใจพล่านวุ่นวายจะสังเกตได้ว่า เม่อื เวลาโกรธ คอื ใจฉุนเฉยี วขน้ึ มา จติ ใจจะว่นุ วาย คดิ หาทางออก คดิ หาทางโต้ตอบ ตอ้ งดา่ ใหล้ มใจ หรือต้องตบตี หรือเมอ่ื ไมม่ ีโอกาสทีจ่ ะทำอยา่ งน้ันได้ ก็นึกสาปแชง่ ในใจ เพื่อให้เขามอี นั เป็นไปตา่ งๆนานา น้ีกเ็ ท่ากับวา่ ความโกรธล้นออกมาทางใจแล้ว ทา่ นเรียกความโกรธ ๑๕๗
สปุ ใ็ จทไี่ ด้อา่ นสารธรรมเพื่อ!!วิตท่ีดีงามขัน้ น้ี กลายเปน็ พยาบาท ซ่งึ แปลวา่ ทำความพนิ าศหรอื ฉบิ หาย ถามว่าอะไรพินาศ อะไรฉิบหาย กป็ ระโยชนแ์ ละความสุขทง้ั ของตนและของผ้อู ืน่นั่นแหละพนิ าศฉบิ หาย ความรนุ แรงของความโกรธน้ี เมอ่ื ถึงขดี สดุ แล้ว อาการก็จะเรา่ ร้อนไปท้งั ตวั สีหนา้ ทำทาง นํา้ เสยี ง เปลีย่ นไปหมดลิ้น อย่างทเี่ รยี กว่า คนธรรมดาก็กลายเปน็ ยักษ็ไปได้ด้วยอานุภาพของความโกรธน้นั ที่บรรยายสรรพโทษของความโกรธมาน้ี กเ็ พอ่ี จะซ๋ีใหเ้ ห็นว่า ความโกรธน้ัน เป็นสง่ิ นา่ กลวั แตก่ ็เป็นเพยี งอารมณ์ชนิดหนงึ่ หรืออาจจะเรยี กว่าเป็นอาหารอยา่ งหน่ึง ทค่ี นเราเผลอใจไปเสพไปกนิ เขา้ เทา่ นน้ั เอง วธิ ปี อ้ งกันความโกรธ ทา่ นแนะนำดงั น้ี ๑. ตอ้ งคบมติ รทด่ี ไี ว้ เพ่ีอจะไดพ้ ดู ชักจงู แนะนำในทางท่ีดี หา้ มไม่ให้ทำในสิ่งทีช่ ว่ั เช่นการเบียดเบยี นผ้อู ่นื เปน็ ตน้ ๒. ศกึ ษาวิธีผูกมิตรและปลกู ฝงื เมตตาจิตใหเ้ กดิ ข้นึ ดว้ ยการสงเคราะหก์ นั ตามหลกั ลงั คมสงเคราะห์ และตามหลกั ลงั คหวตั ถุ เปน็ ดน้และหมัน่ แผเ่ มตตาอย่างสมาื่ เสมอ ๓ . พยายามพดู แตค่ ำไพเราะอ่อนหวาน สมานสามัคคี หลีกเลยี่ งคำพูดท่ียว่ั ยใุ ห้เกดิ ความโกรธ ความพยาบาท ๔. พยายามนกึ ถึงโทษของความพยาบาทอาฆาตจองเวรว่า เมอื่ทํๆไปแลว้ ตอ้ งไดร้ บั ผลแน่'นเอ'นเ หลบหลกี ไมพ่ น้ เราทำเขา เขาก็ต้องท ำเราแก้แด้นกนั และกันอย่างน้ีไม,มวี ันล้นิ สุด (โกรธคีอโง่ โมโหคือนา้ เกลยี ดขีห้ น้าเขาเท่ากับจดุ ไฟเผาใจเราเอง) ๕. หมน่ั พิจารณาหาทางคลายความโกรธ ความพยาบาท โดยวธิ กี ารใหอ้ ภัย โกธํ ฆตุวา สุฃํ เสติ คนฆ่าความโกรธเสียได้ ยอ่ มอยู่เป็นสุข๑๕๘
สุขใจทไี่ ดอ้ า่ น สารธรรมเพื่อชวี ิตท่ีดงี าม สดุ ท้ายกค็ งต้องพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเปน็ อนจิ จงั ทุกขงัอนัตตา คือหมายความว่าอันความโกรธน้นั เปน็ เพยี ง “อารมณ์ช่ัววบู ” ผ่านมาแล้วกผ็ ่านไป ยดึ ถือเป็นแกน่ สารอะไร ไม่ไตเ้ ลย ดงั นนั้ ถา้ จะใท้ดคี วรพิจารณาโคลงโลกนติ ทิ ท่ี ่านว่าไว้ผจญคนมกั โกรธดว้ ย ไมตรีผจญหมทู่ รชน ดี ตอ่ ตงผจญคนจิตโลภ มี ทรพั ย์แผ่ เผอ่ื นาผจญอสตั ยไ์ ห้ยัง้ หยดุ ด้วย สัตยา ๑๕๙
สขุ ใจทไ่ี ดอ้ า่ นสารธรรมเพือ่ ชีวติ ที่ดงี ามโดย...พันเอก เสน่ห์ เขียวมณี “ เก็บอาการ” ในระยะนี้แม้จะอยู่ในหว้ งฤดหู นาว แต่อากาศเรมิ่ จะรอ้ นมากยง่ิ ข้ึน โดยเฉพาะในพนื้ ทลี่ ังคมเมอื งหรอื ชมุ ชนแออัด เพราะอากาศถ่ายเทไมค่ อ่ ยสะดวก ทำให้คนในพืน้ ทนี่ ้ันๆ ตอ้ งประสบกับภาวะอากาศรอ้ นอบอา้ ว รู้สึกหงุดหงดิ กระวนกระวายไปตาม ๆ กนั เป็นเหตุใหเ้ กิดอารมณ์ผันผวนปรวนแปรไปตามเหตุตามปจั จัยของธรรมชาติ คนเรกจึงมีอาการแตกต่างกันออกไป บางคนอารมณ์ร้อน บางคนมคื วามตอ้ งการอยากได้นนั่ อยากได้นี่ไม่มืทีล่ ิน้ สุด บางคนถึงกบั ซมึ เซอ่ น่ังบน่ เพอ้ อยคู่ นเดียว เพราะไมร่ ูจ้ ะทำอะไรดี ตัวอย่างอาการของคนเราดงั กล่าวแลว้ นี้ เป็นอาการท่ีเร่มิจะผดิ ปกตถิ ึงผดิ ปกตแิ ล้วครับ จำเปน็ จะตอ้ งเยียวยาแกไขหรือปรบั แกให้อยู่ในสภาวะปกติ ตามธรรมดาของลังขาร เรยี กวา่ “เก1็ เคาการ” คำว่า “เกบ็ อาการ” คืออะไร? อาการอยา่ งไรบ้างทจี่ ะตอ้ งเก็บ?และเกบ็ อาการแลว้ เราจะได้อะไร? หรือเกบ็ อาการมปี ระโยชน์อย่างไร? คำถามประการแรก “เก็บอาการ” คอื อะไร? ตอบได้วา่ เก็บอาการคือ การควบคมุ พฤตกิ รรมของตนใหอ้ ยู่ในสภาวะปกติ มิใหแ้ สดงออกนอกลู่นอกทาง เพราะถ้าไมค่ วบคมุ กำกบั ดูแลอาการนัน้ ๆ แลว้ จะทำใหแ้ สดงพฤติกรรมหรอื กระทำการอนั มบิ ังควร จนเกิดผลเสยี หายนานปั การ ในทางตรงกันข้ามหากเก็บอาการไว่ได้ ผลดกี ็จะเกดิ ข้นึ เปน็ อเนกประการ เซ่น ทำให้เป็นคนน่ารัก นา่ เคารพ น่านบั ถอื นา่ เกรงขามยำเกรง หรือมองดูแลว้ ภมู ิฐานมีคุณธรรม ซาํ้ ยังช่วยใหเ้ กิดความเปน็ ผมู้ ีเกียรตมิ ีช่อื เสียง อีกส่วนหนึง่ ดว้ ย ปญั หาประการท่ีสอง คือ อาการอย่างไรบา้ งที่จะต้องเกบ็ ? ตอบวา่อาการทีจ่ ะตอ้ งเกบ็ ซ่็งมลี ักษณะเด่นชดั ที่สุด มอี ยู่ ๓ อาการ คอื(ร)ิ ^ ) 0
สุขใจท่ไี ดอ้ า่ น สารธรรมเพ่ือซวี ตท่ดี ีป๋'เม ๑ . อยากได้ ๒. ใจร้อน ๓. ออ่ นไหว อาการแรก “อยากได้” เป็นอาการของคนที่ไมร่ ้จู กั พอมกั อยากได้น่ันอยากไดน้ อี่ ย่รู ๋ัาไป ไดม้ าแลว้ ก็เหมือนไม่ได้อะไรเลย จติ ใจยังพรอ่ งอยู่เรอ่ื ยไป เซน่ ได้คนนี้แลว้ ก็ยงั ไม่พอใจ อยากได้คนใหม่ อีกหลาย ๆ คน ได้สง่ิ นี้แล้วกย็ ังไมพ่ อใจ อยากไดส้ งิ่ อน่ื ๆ อกี ต่อไปไม่มืท่สี ้นิ สดุ สมยั เปน็ เด็กวัยร่นทำไดข้ นาดน้ัน สงั ขารมนั ยงั ไหว แตพ่ อแก่ตัวลงอยา่ งทุกวนั นี้ สังขารมนั ไมไ่ หวแล้ว แตใจยงั เรยี กรอ้ งวา่ จะต้องทำให้ไดเ้ หมอื นเดิม เมื่อทำไม่ได้กเ็ กดิ ความทุกขเ์ สยี อกเสียใจ จนกระทง่ั เสียหนา้ แล้วเกิดอาการอยา่ งอ่ืนตามมา ตวั อยา่ ง เซ่น - อยากไดเ้ สือ้ ผ้าอาภรณม์ าเป็นเคร่ืองประดบั กายในเรอ่ื งน้ีความเพียงพอของมนุษย์อยู่ท่กี ารใชป้ ระโยชนไ์ ต้อย่างคุม้ คา่ และเหมาะสม คือให้สวมใสเ่ พื่อปอ็ งกันลมแดด รอ้ น เยน็ หรือผองภยั จากธรรมชาติ แตบ่ างคนตอ้ งสวมใส,ตกแตง่ ใหส้ วยงามตามโลกนยิ ม จงึ ตอ้ งจดั ซ้ือจัดหาเส้อื ผ้าอาภรณ์ด้วยราคาแพงๆ เกินเหตุเกินปจั จัย เกนิ ความจำเป็น เกนิ ตวั เกินตนเกนิ คน และเกนิ งบประมาณหรือเกนิ เงินเกินทอง เกินขา้ วเกนิ ของทต่ี นมืตอ้ งหยบิ ยืมจากท่ีอน่ื มาจัดซอ้ื จัดหา จดั สวมใสต่ ามแฟชั่นนิยม ท่ีโลกสมมตวิ า่ทันสมยั ผลท่ีไดค้ ือ ความสิ้นเปลือง ความสญู เสยี ทรพั ย์สนิ เงนิ ทองโดยใช่เหตุ แถมดว้ ยหนส้ี ินที่เพิ่มทวีคณู ขนึ้ มาเรอื่ ยๆ เพราะความอยากอนั ไมม่ ืท่สี นิ้ สดุ ของตนเอง อยากไดจ้ นเกนิ การณ์ อยากไดจ้ นไม่มปี ระมาณ นแ่ี หละควๆมเดือดรอ้ น - ขออีกหนึง่ ตวั อย่างในเรอ่ื งของความอยาก เซ่น อยากได้ลาภ ยศสรรเสริญ สุข จนเหลือประมาณ จนทำใหเ้ กดิ ความทรมานท้งั ดา้ นรา่ งกายและจติ ใจ ยง่ิ กว่าจุดไฟเผาตวั เอง ทำงานโดยหวงั ส่ิงตอบแทนจนเกินเหตุ ® *) ®
สุขใจทีไ่ ด้อา่ นสารธรรมเพอื่ ชีวติ ทดี่ ีงามเกินการณ์อยากไดเ้ มด็ งานหรือผลงานให้ทนั ตาเหน็ แตก่ ย็ ังไมไ่ ด้รับ เพราะมันยงั ไม่ถงึ กาลเวลาและสถานการณ์อันสมควร เหมือนการปลูกไม้ผลเพื่อให้!ด้ผลไม้มารับประทาน แมจ้ ะผลไม้ผลนน้ั ๆ จะมรี ูปพรรณสณั ฐานใหญ่โตและนา่ รับประทานสกั ปานใดก็ตาม แต่มันยงั ไม่หา่ ม มนั ยังไมล่ ุกงอม ก็ยอ่ มจะรับประทานไมได้ จะไปบีบไปบม่ หรอื ขม่ ขนื มนั อย่างไร มันก็ยงั ไม่สกุผลลัพธ์คอื ยังกินไมไ่ ด้ ตอ้ งรอให้ สกุ งอมเสียก่อน จึงจะรบั ประทานได้อย่างเอร็ดอร่อย คนเราน่กี ็แปลก มวั อยากไดแ้ ต่ของเขา แตข่ องเราไมย่ อมดูแลวา่ มันคคู่ วรกนั หรือไม่ จงึ ใครข่ อแนวทางเปน็ แนวคิดไวว้ ่า ถ้าอยากจะได้อะไรมาเป็นของตนเอง จะตอ้ งพจิ ารณาให้รอบคอบเสยี กอ่ น เหมือนพระสงฆ์ท่านต้องพิจารณาปัจจยั ต่างๆ ทง้ั กอ่ นไต้ ขณะได้ และหลังจากท่ีไดม้ าแลว้ ครบ ๓ กาล คือ อดีต ปจั จบุ นั และอนาคต ถา้ เราพจิ ารณาได้ มันจะทำให้จติ ใจของเราอยใู่ นสภาวะปกติ ไมด่ ้นิ รนกระวนกระวาย เพราะความอยากไดแ้ ล้วไมไ่ ด้ดงั ทอ่ี ยากได้ หรือเพราะไมอ่ ยากไดม้ นั เลย แต่จำต้องได้มาเป็นของตนเอง อยา่ งนี้เขาเรยี กว่า “ตอ้ งรจู้ กั ทำใจ” ครับ เพราะคนเราเกิดมาในหล้าโลกนี้ ยอ่ มมีท้ังสง่ิ ท่นี า่ ชอบใจ และสง่ิ ทไี่ ม่นา่ ชอบใจ มทื ้งัสงิ่ ทีน่ า่ ปรารถนาและส่งิ ทไี่ ม'น่าปรารถนาควบคกู่ นั ไป บางทีก็มีลาภ บางทีก็เสื่อมลาภ บางทไี ด้ยศไดต้ ำแหน่ง บางทีตอ้ งหลดุ จากตำแหนง่ บางทีได้รับเกียรติยศ ซ่อื เสยี ง บางทีกถ็ ูกนนิ ทาว่าร้าย โดยสรปุ บางทีกส็ 'ุ ขมากๆแตบ่ างทตี ้องทกุ ข์จนนํา้ ตาเลด็ เข็ดหลาบไปจนวนั ตาย จงึ ตอ้ ง “รูจ้ กั ทำใจ”ไวบ้ า้ งครบั อย่าหลงระเรงิ กบั ความสุข และอย่าเศร้าโศกเสียใจกบั ความทกุ ข์มากจนเกินไป ทำใจเปน็ กลางๆ เก็บอาการไวบ้ า้ งจะดี อาการทีส่ อง คือ “ใจร้อน\" เป็นอาการของคนเจ้าอารมณ์ มกั มีอารมณ์หงุดหงดิ เอาแตใ่ จตวั เอง เอาตัวเองเปน็ ศูนย์กลาง คนอน่ื ใครจะเป็นเซ่นไรก็ชา่ ง ฉันไม่!ใจ ไม,สนใจ ไมเ่ ขา้ ไจ ไม่รจู้ กั ระงับสตอิ ารมณ์ ทีห่ ุนหนัพลนั แลน่ ไมร่ ู้จักทต่ี ่ําทสี่ ูง ไมร่ ู้จกั ฐานะของตัวเอง และผ้อู ่ืนท่เี กยี่ วข้อง เวลาโกรธหรอื มอี ารมณร์ อ้ นขน้ึ มา กป็ ล่อยออกไปเลย ออกทั้งหบา้ ทงั้ ตา ออกทง้ั มอื ท้ังเท้า ออกทั้งวาจา คำหยาบ คำเสยี ดสี คำเสยี ดแทง ตอ่ ว่าตอ่ ขาน๑๖๒
สุขใจท่ีไตอ้ า่ น สารธรรมเพ่อื ชีวิตทดี่ ปี ๋ามดันทรุ ังไมย่ อมหยดุ จนเสยี อาการ หรือเสยี ความเป็นปกติของตนเองไปอย่างน่าเสยี ดาย เขาได้พดู ไดท้ ำได้แสดงพฤติกรรมอนั ไมพ่ งึ ประสงค์ออกไปแลว้ มากมาย จนกลายเป็นการจดุ ไฟเผาตัวเองให้มอดไหม้ เปน็ ท่ีรังเกยี จของหมคู่ ณะและสงั คม ต้องสูญสิ้นความไวว้ างใจในฐานะทีเ่ ปน็ กัลยาณมิตรเพอื่ นคู่คิดหรือมติ รทดี่ ีตอ่ กนั ไปอย่างน่าเสยี ดาย อาการใจรอ้ นอย่างท่ีว่าแลว้นแ่ี หละครับ ท่านผู้ฟงั ทีเ่ คารพ ที่เราจะตอ้ งรจู้ กั เก็บมันไว้ภายใน เมือ่ มันโกรธ มันร้อน มันกระวนกระวายขนึ้ มา เราต้องพยายามใช้ธรรมะขอ้ “ทมะคือ ข่มใจ” เชา้ ไว้ ขม่ มนั ไว้ กดมันไว้ บงั คบั มันไวใ่ ห้อยูใ่ นใจ คดิ ไดแ้ ตใ่ นใจอยา่ ให้มนั ออกมาช้างนอก มันจะหลอกเราใหเ้ สียคน จึงกล่าวไดว้ ่า “คดิ ได้แต่ไม่ควรทำ” อาการใจรอ้ น จึงเปน็ อาการท่ีจะต้องเกบ็ เหมือนนกั มวยตอ้ งรู้จกั การเก็บอาการครับ และอาการทีล่ าม “ค่อนไหว” เปน็ อาการของคนทมี่ จื ิตใจไมม่ ั่นคงหลงงมงาย เชอ่ื คนงา่ ย ไร้ภูมิปญั ญา ไมส่ ามารถตัดสินใจอะไรไดด้ ว้ ยตนเองมกั เห็นผิดเป็นชอบและเหน็ ชอบเปน็ ผดิ เชื่อคำยุยงของผูอ้ น่ื จนตอ้ งสญู เสียอิสรภาพทางความคดิ และการกระทำอนั เปน็ ของตนเอง อาการอ่อนไหวตงั กลา่ วแล้วน้ี เราก็ตอ้ งรจู้ ักวธิ ีการเก็บไวภ้ ายในเชน่ กนั ต้องหมน่ั พยายามรกั ษาปกติภาพของตนเองให้ได้ ทางทีค่ ืต้องหมัน่ เจรญิ จติ ภาวนา หรอื แกอบรมจิตใจของตนเองด้วยการเจริญวปิ ัสสนากรรมฐานครับ ชีวติ จงึ จะอยรู่ อดปลอดภยั เรยี กว่า ตอ้ งมาสร้างภมู ิปญั ญาใหเ้ ปน็ ภูมคิ มุ้ กันชีวติ ใหม่ครบั จงึ จะเปน็ มงคล และปัญหาประการสุดทา้ ย “เกบ็ อาการแลว้ เราจะไดอ้ ะไร” หรือ“เกบ็ อาการมืประโยชนอ์ ยา่ งไร” ขอยกตวั อยา่ งผลดีของการเก็บอาการได้ดงั นี้ ๑ . ทำให้งานสำเร็จเรยี บรอ้ ยด้วยด ี ๒. ทำให้มสื ขุ ภาพดที ัง้ รา่ งกายและจติ ใจ ๓. ทำให้ม คี วามเจริญร่งุ เรืองตังปรารถนา ๑๖๓
สุขใจทไี่ ด้อ่านสารธรรมเพอ่ื ชวี ิตทต่ี ีงาม ๔. ทำให้ไมม่ ีเวรไม่มภี ยั ไม,มอี นั ตราย ๕. ทำใหโ้ ซคดแี ละปลอดภัยในท่ที กุ สถานและในกาลทกุ เม่ือ จึงใครข่ อเชิญซวนทา่ นผู้ฟง้ ท้งั หลายทีม่ อี าการ “อยากได้ ใจรอ้ นออ่ นไหว” มาเกบ็ อาการกนั เถดิ ครบั จะได้สุขสบายและรม่ เย็นเป็นสขุ กันถว้ นหนา้๑๖๔
สอใจทีไ่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพ่ือชีวิตทด่ี งี าม โดย...พันเอก เสน่ห์ เขียวมณี “ บารมี ะความดีชั้นผีเศษ” ตามหลกั พระพุทธศาสนา คนทุกคนเกดิ มาเพื่อสรา้ งบารมี การสร้างบารมี เป็นส่ิงสำคญั ท่สี ดุ เพราะว่าบารมีจะช่วยใหเ้ รานั้นรอดพ้นจากวัฏทุกข์ แต่การสรา้ งบารมีมใิ ชท่ ำกันงา่ ยนักตอ้ งอาศัยสตปิ ญั ญาและความอดทนอยา่ งยงิ่ ยวด พุทธศาสนายกย่องปญั ญาว่าเป็นธรรมสงู สดุ ธรรมที่รองลงมาจากปญั ญาคอื ขันติ ความอดทน ดงั นนั้ เมื่อใดก็ตามท่ซี าวพทุ ธคดิ จะทำความดี หรอื สรา้ งบารมี ธรรมท่ีควรกระทำไวใ่ นใจคอื ปญั ญาและธรรม ทจี่ ะเสรมิ ให้ปัญญาแสดงบทบาทไตเ้ ต็มที่คอื ขันติ เพราะฉะนั้นขอเชญิ ทุกทา่ น รีบสร้างบารมี บทตง้ั : ความหมายของคำว่า บารม,ี บารมมี เี ทา่ ไร อะไรหา้ ง,ประโยชน์ทจ่ี ะพงึ ไตร้ ับจากการบำเพญ็ บารมี บารมี มคี วามหมายหลายประการ ๑. บารมี หมายถงึ ความดี เพราะปราบขา้ ศึก คือความชัว่ หรอืบาปทั้งหลาย ที่เกิดขนึ้ ทางกาย ทางวาจาและทางใจ ซ่งึ เรียกว่า กิเลส ๒. บารมี หมายถึง การรกั ษาความเป็นผสู้ ูงสุดของตนไว้ เซน่สงู สดุ ด้วยทาน ๓. บารมี หมายถึง สามารถระงับความเดือดรอ้ น ความทุกข์ ในวฏั สงสารไต้ ๔. บารมี หมายถึง การกระทำของท่านผปู้ ระเสริฐ มีพระโพธิสตั ว์เป็นตน้ ๕. บารมี หมายถึง ธรรมเครื่องถงึ ฝืง (ฝืงที่ถงึ หรือข้ามไตย้ ากท่ีสุดคอื พระนพิ พาน) ( ร ิ) * )
สุขใจที่ได้อ่านสารธรรมเพื่อชีวติ ที่ดงี าม ๖. บารมี หมายถึง คณุ สมบัติที่พงึ ยินดีกอ่ น คือ พงึ ยนิ ดีในการบำเพ็ญบารมีกอ่ นแล้ว จึงบรรลุพระโพธิญาณ สรุปความวา่ การบำเพญ็ บารมี คอื การพฒั นาตนด้วยการประกอบคณุ งามความดตี า่ งๆ สรา้ งสรรค์สงิ่ ที่ดีงาม ส่งิ ท่ีเป็นกศุ ล โดยเฉพาะการช่วยเหลอื ผอู้ ื่น โดยเสยี สละไดแ้ ม้แต่ชวี ิตของตน พระพทุ ธเจ้า คือ มนุษย์คนหนึง่ ทไี่ ดพ้ ฒั นาตนเอง การพฒั นาตนเองของพระพทุ ธเจา้ น้ี เราเรียกว่า การบำเพ็ญบารมี คือ การสรา้ งสรรค์คณุ งามความดอี ย่างยวดยิ่ง บารมี มี ๑๐ ประการ คอื ๑ . ทานบารมี “ไม,ไยดที รัพยห์ รอื ยศหรอื ลูกเมียหรอี องคาพยพใหข้ องรักแก,พวกยาจก ท่ีมาถึงแลว้ ตามความปรารถนาจนไมเ่ หลือ เหมือนหม้อนํ้าทีเ่ ขาควาไวย้ อ่ มคายนา้ํ จนไมเ่ หลือ” ๒. ศีลบารมี “ต้องไมไ่ ยดแี ม้ซึง่ ชวี ิต รักษาแตศ่ ลี เท่านั้น เหมือนจามรี ยอ่ มไม่ไยดีแม้แต่ชวี ิต รักษาแตข่ นหางของตนเทา่ น้ัน” ๓. เนกขมั มบารมี “กระทำภพทัง้ ปวงใหเ้ หมือนกับเรือนจำ เปน็ผรู้ ะอาใครจ่ ะพันจากภพท้งั ปวง มุ่งต่อเนกขมั มะอย่อู ย่างเดยี ว เหมอื นคนทีอ่ ยูใ่ นเรือน'จำ ยอ่ มไมไ่ ยดใี นเรอื นจำนนั้ ยอ่ มระอาและไม่อยากอยูเ่ ลย” ๕. ปัญญาบารมี “พึงเข้าไปถามปัญหากะทา่ นที่เป็นบัณฑติ จะเป็นคนซนตาหรอื ซ'นเกลวงหรือซนสงู ไม่เวน้ ใครท้ังหมด เหมือนอยๆ่ งภกิ ษผุ ูม้ ีการบณิ ฑบาตเป็นวตั ร ย่อมเทย่ี วบิณฑบาตตามลำดับไมเ่ ว้นตระกูลประ๓ทไร ๆชัน้ ต่าํ หรอื ชนั้ กลาง หรือชัน้ สงู กต็ าม ยอ่ มได้อาหารพอเลี้ยงชีวิตไดเ้ รว็ ” ๕. วริ ยื บารมี “มคี วามเพียรมนั่ ไม,ท้อถอยทุกอิริยาบถ เหมอื นราชสีหย์ ่อมมีความเพียรมัน่ ทกุ อริ ยิ าบถ” ๖. ขนั ติบารมี “เปน็ ผู้อดทน ท้งั ในการนบั ถือ ท้งั ในการดหู ม่ินเหมือนแผ่นดนิ ยอ่ มไมย่ นิ ดยี ินร้ายทง้ั ของสะอาดและของไม่สะอาด”(5) 0)
สุขใจทไ่ี ด้อ่าน สารธรรมเพื่อชีวิตทด่ี ง้ าม ๗. สัจจบารมี “อย่าไดก้ ระทำการพูดเทจ็ ดว้ ยอำนาจของรกัมีทรพั ย์ เป็นด้น แม้จะถกู อสนีฟาดลงกลางศีรษะ” ๘. อธษิ ฐานบารมี “อธิษฐานอย่างใด เป็นผคู้ งทใี่ นอธษิ ฐานอยา่ งนั้น เหมือนภูเขาเมอื่ ลมพัดอยู่ทกุ ทิศยอ่ มไมห่ วัน่ ไหว” ๙. เมตตาบารมี “มีจิตเมตตาคงทใ่ี นสรรพสัตว์ท้งั ท่เี ป็นผูท้ ีเ่ ก้อื กูลและไมเ่ กื้อกลู เหมือนน้าํ ยอ่ มแผค่ วามเย็นเซน่ เดยี วกนั แม้แกค่ นชว่ั แมแ้ ก่คนด”ี ๑๐. อุเบกขาบารมี “เปน็ ผ้มู ัธยสั ถ์ไนสุขและทกุ ข์ เหมอื นแผน่ ดินยอ่ มมัธยสั ถใ์ นบคุ คลทั้งที่ท้ิงของสะอาดและของไมส่ ะอาด” บารมที ้งั ๑๐ ประการนี้ แบ่งตามความย่งิ และหย่อนของบารมีแตล่ ะประการเปน็ ๓ ชน้ั คือ ๑. บารมี ๑๐ ยกตัวอย่าง ทานบารมี คอื การให้วตั ถุภายนอกเปน็ ทานสามารถให้ทรพั ย์สมบัติทม่ี อี ยู่ท้ังหมดเป็นทานได้ เซ่น พระเวสสันดร ๒. อปุ บารมี ๑๐ บารมีชน้ั รอง คอื บารมีท่บี ำเพ็ญย่งิ กวา่ บารมตี ามปกติ ยกตวั อยา่ ง ทานอปุ บารมี คือการสละอวัยวะเป็นทานได้ เซน่ พระเจ้าสีวริ าช ควักดวงตาใหเ้ ปน็ ทาน ๓. ปรมัตถบารมี ๑๐ บ ารมยี อดเยย่ี ม, บารมีระดับสงู สดุยกตัวอย่าง ทานปรมตั ถบารมี คือการสละชีวติ ให้เปน็ ทาน เซน่ สสบณั ฑิตสละชวี ิตของตนใหเ้ ปน็ อาหารแกบ่ ุคคลผ้หู วิ โหย รวมเป็นบารมี ๓๐ หรอื ทีช่ าวบา้ นเรียกว่า บารมี ๓๐ ทัศประโยชน์ที่จะพึงได้รับจากการบำเพญ็ บารมี - บารมี จัดเป็นพทุ ธการกธรรม คือคุณธรรมทท่ี ำให้ผู้บำเพ็ญเตม็สมบูรณแ์ จว้ ได้บรรลุพระสมั มาสมั โพธญิ าณ ๑๖๗
สขุ ใจทไี่ ด้อ่านสารธรรมเพือ่ ชีวิตท่ีดปี า่ ม -บารมี เป็นคุณธรรมสำหรับพฒั นามนุษยไ็ หป้ ระเสริฐขึน้ ตามลำดบั ซ่ึงกค็ ือการกระทำความดี หรอื ทำบญุ นั่นเอง แตเ่ ปน็ การทำความดีหรือทำบญุ อยา่ งยวดยิง่ - บารมี ทบี่ คุ คลท่วั ไปซึ่งไมไ่ ด้ตง้ั ความปรารถนาเปน็ พระพทุ ธเจา้บำเพ็ญแล้วยอ่ มใหส้ ำเรจ็ ผลตามที่ปรารถนาไดท้ ุกประการ - บารมี คือ การส่ังสมคณุ ความดี เพราะฉะนนั่ ผู้ประพฤตปิ ฏิบตั ิยอ่ มจะได้รับผลได้รบั อานิสงสเ์ ปน็ อเนกประการ ตามอานสิ งสข์ องบญุ นธิ ิ คอื ๑ . เปน็ เหตุใหไดส้ มบัติที่ปรารถนาทุกอยา่ ง ทัง้ แก'เทวดาและมนษุ ยท์ ้ังหลาย ๒. เป็นเหตุไหได้ความเปน็ ผมู้ วี รรณะงาม, เปน็ ผู้มีเสยี งไพเราะ,เปน็ ผ้มู ีทรวดทรงสมส่วน, เป็นผูม้ ีรปู งาม, เป็นใหญ,่ เปน็ ผ้มู ีบริวาร ๓ . เป็นเหตใุ ห!้ ดเ้ ปน็ เจา้ ผ ูค้ รองประเทศราช, เปน็ พระเจา้ จกั รพรรด,ิเป็นห้าวสกั กเทวราช เป็นเหตใุ หไ้ ด้มนษุ ย์สมบัต,ิ สวรรคส์ มบตั ิ และนพิ พานสมบัติ ๕. เปน็ เหตุให้ได้ความเป็นผู้ชำนาญในวิชชาและวิมุตติ ๖. เปน็ เหตุให้ไดป้ ฏสิ ัมภิทาและวิโมกข์ ๗. เปน็ เหตใุ หไ้ ดส้ าวกบารมี, ปจั เจกโพธิ และพุทธภูมิ ส รุป ก ารบ ำเพ ็ญ บ วรม นี ัน่ เป น็ เห ตใุ ห ้ผู้ประพ ฤติปฏิบตั ไิ ด้รับการพัฒนาตนข้นึ ตามลำดับ คือจากมนษุ ย์ท่ตี ัา้ กว่ามาตรฐานมนษุ ยป์ ถุ ชุ นสามญัเปน็ มนุษยป์ ุถชุ นสามัญ, จากมนุษยป์ ุถุชนสามัญ เปน็ มนุษย์ที่พฒั นาแล้ว,จากมนุษยท์ พ่ี ฒั นาแล้ว เปน็ มนุษยท์ ี่ประเสริฐที่สดุ ๑ . มนุษยท์ ่ีตัา้ กวา่ มาตรฐานปุถชุ นสามัญ คือพวกท่ีเจอทุกข์ก็ไม,ดนิ้ ถูกภยั คกุ คามกไ็ มต่ ืน่ ตวั ได้แตห่ อ้ แห้ ระทดระทวย จบั เจ่า หรือไม,ก็นอนเฉือ่ ย เพราะตดิ ยากล่อม เพลนิ ไปเรอ่ื ยๆ ส่วนในเวลาท่ีสุขสบาย ๑๖๘
สขุ ใจทไ่ี ด้อ่าน สารธรรมเพื่อชวี ิตทดี่ ีป๋ามไม่ตอ้ งพูดถงึ กย็ งิ่ เพลดิ เพลนิ หมกมนุ่ มวั เมา เรยี กว่า ทุกขก์ ไ็ มด่ ้ิน สุขกน็ อนซมึหรอื ทกุ ข์ก็ซม สขุ ก็ซมึ ๒. มนษุ ยป์ ุถุชนสามญั คือพวกทีว่ ่าถูกทกุ ข์บบี คั้น หรอื ถกูภัยคุกคาม กล็ ุกข้ึนดน้ิ รนขวนขวาย พอสบายกล็ งนอนเสวยสุขเฉอ่ื ยเร่ือยไป ๓ . มนษุ ยท์ ่ีพัฒนาแล้ว คอื พวกท ่ีว่าเมื่อถูกทกุ ขบ์ ีบค้ัน หรอื ถูกภัยคุกคาม กล็ ุกข้นึ ดน้ิ รนขวนขวาย แตแ่ ม้จะสขุ สบายแลว้ ก็ยงั เพยี รสร้างสรรคต์ อ่ ไปไมห่ ยุด พวกนนี้ บั วา่ เข้าสู่ทางของอารยชนแลว้ ๔. มนษุ ยท์ ีป่ ระเสริฐทส่ี ุด คือยามทกุ ข์บบี คั้น หรอื ภยั คุกคาม กไ็ ม่พลอยทุกข์ จิตใจยงั ปลอดโปร่งผ่องใสอยไู่ ต้ แล้วก็ขวนขวายทำสิ่งทคี่ วรทำต่อไป หมายความว่า ในตา้ นการกระทำ ก็มีความเพียรพยายามสรา้ งสรรค์และในต้านจิตใจ ก็มคี วามสุข ไมถ่ ูกทกุ ข์ครอบงำดว้ ย และแม้จะสุขแลว้ ก็ยังขวนขวายสร้างสรรคต์ ่อไป ๑๖๙
สุขใจทไี่ ด้อา่ นสารธรรมเพอื่ ชวี ิตทีด่ ปี ๋ามโดย...พนั เอก อคั รินทร์ กำใจบญุ “ เงินปากผี” พูดถงึ เรอ่ื ง “เงินปากผี” ถอื กนั ว่าเปน็ หนง่ึ ในวัตถอุ าถรรพ์หลาย ๆอยา่ งท่ีคนโบราณมกั เสาะแสวงหากัน แตผ่ ทู้ จี่ ะเปน็ เจ้าของได้นน้ั ต้องมวี ชิ าความรู้ทางด้านไสยศาสตรเ์ พื่อป้องกนั ตนเอง และเม่อื ไดม้ าแล้วจะนำมาผสมผสานกับข้ันตอนพิธีกรรมทีโ่ บราณาจารย!ดบ้ ันทึกไวต้ ามตำรา เพอ่ืสรา้ งเปน็ เคร่อื งรางของขลงั ตอ่ ไป ความเชอ่ื เกย่ี วกบั เรื่องอาถรรพ์ของเงินปากผนี ้ี นำจะเกดิ จากความหวาดกลัวของคนสมยั ก่อน ซึง่ มกั จะพบกับปรากฏการณท์ อี่ ยเู่ หนือคำอธิบาย ถ้า'โม’ใชผ่ ทู้ ี,มี'วิชาอาคม'จริง ๆ กไ็ ม,สามารถจะนำมาครอบครองได้ อาจจะเปน็ เพราะเหตุผลท่ีวา่ การทำศพในสมัยโบราณมกั จะนำศพไปผีงไวท้ ป่ี ่าช้า (ถ้าไม่เผา)ซ่งึ สถานทแี่ ห่งนนั้ เปน็ แหล่งรวมของอาถรรพต์ า่ งๆมากมาย ทั้งที่สามารถสัมผัสได้ (ซากศพ) และสัมผสั ไมไ่ ด้ เซ่น วญิ ญาณปศี าจ การท่จี ะนำเอาเงินปากผีมาทำพิธีกรรมตา่ งๆ เพอ่ื ผสมสรา้ งเปน็เครื่องรางของขลัง จะตอ้ งมีการทำพธิ ที ถ่ี ูกตอ้ ง ถา้ ทำโดยสมุ่ สี่ลมุ่ ห้าอาจมีอันตรายถงึ ชีวิตได้ โดยเจ้าของเงินปากผี คอื วิญญาณของผูต้ ายอาจจะมาทวงคนื ได้ ท,ี เรยี กว่า “เงินปากผ”ี เพราะเงนิ อันนถ้ี ูกใสไ่ ว[้ นปากของคนตายคอื ศพ และคนทต่ี ายแล้วมกั จะถกู เรียกว่า “ผ”ี ดงั คำพดู ทีว่ า่ “ตายไปเป็นผ”ีน่ันเอง ทีม่ าของประเพณกี ารใส่เงินในปากผี เร่ิมมาต้ังแต่ครัง้ โบราณหรอือาจจะมขี น้ึ พรอ้ มๆ กับประเพณีการทำศพก็วา่ ได้เพราะมีหลกั ฐานปรากฏในเรอิ่ งของความเชื่อประเภทน้ี!นหลายชนชาติ เซ่น กรีก ฮินดู จนี ยวิ แต่ทจ่ี ะกล่าวในท่ีน้ีเป็นประเพณคี วามเชือ่ ของชนชาตไิ ทย คนไทยโบราณเช่อื ว่า เมอ่ื ญาติพ่ีนอ้ งเสยี ชีวิตลงจะตอ้ งมีการจดั พธิ กี รรมต่างๆ ให้ถูกต้อง การใสเ่ งนิ ในปากของผู้ตาย เปน็ ข้ันตอนกอ่ น๑๗ ๐
สฃใจทไี่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพ่ือชีวติ ทีด่ ีงามนำศพใสล่ งในโลง ญาตขิ องผตู้ ายมกั จะเย็บถุงผา้ เล็กๆ พอท่จี ะใสเ่ งินหรอืของมคี า่ ต่าง ๆ แล้วแตฐ่ านะของผู้ตายลงไปในถุง จากนน้ั ก็จะใชเ้ ชือกมัดปากถุงใหเ้ หลอื ปลายเอาไว้ แลว้ บรรจุถงุ นั้นลงไปในปากของศพ จึงเรียกวา่“เงินปากผี’ ใหป้ ลายเชือกที่มัดไวห้ ้อยออกมาพ้นจากปาก สว่ นเชือกทผ่ี ูกกับถงุ ไว้ นยั วา่ เพอื่ ไม่ให้ถุงหรอื เงินน้นั รว่ งหล่นไปในคอของศพ เงินที่ใสใ่ นปากศพมกั จะเปน็ ชนดิ ที่เป็นเหรียญ ไม่ใช่เปน็ ธนบตั ร บางแห่งก็อาจจะใส่เปน็ เหรียญลงไปในปากศพเลยทเี ดยี วโดยไมใ่ สในถุงก่อน จากนน้ั จงึ กระทำพธิ ีกรรมต่าง ๆ ต่อไป จนนำศพใส่ลงในโลง การกระทำทเ่ี รยี กวา่ “เงินปากผ”ี น้ี แสดงให้เห็นถึงภูมปิ ัญญาในการสอนหลกั ธรรมและข้อคดิ ทางพุทธศาสนาเซิงปริศนาธรรม ๓ ประการ คือ ประการแรก การนำเงนิ ใสป่ ากศพก็เพื่อผู้ตายจะไดเ้ อาทรัพย์ตดิ ตวั ไปใช้สอยในเมอื งผี แต่มชี ้อสงสยั วา่ ทำไมจงึ ใส่เงินในปากเพยี งแค1หนึ่งบาทเท่านัน้ แต่ตามความเชือ่ ของคนจีนจะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปใหผ้ ตู้ ายคราวละมาก ๆ จะเห็นไดว้ า่ มคี วามแตกตา่ งกนัระหว่างความเชอื่ ของคนไทยกบั คนจนี ประการทส่ี อง เพอ่ื ใหพ้ ิจารณาเห็นวา่ บรรดาทรพั ย์สนิ เงนิ ทองท่เี ราสะสมไวแ้ ม้มากลกั เท่าใดก็ตาม ทรัพย์สินเงนิ ทองเหล่าน้ัน เมือ่ เราตายแลว้ เขาเอายัดใสป่ าก เรายังเอาไปไม่ได้ นำตดิ ตัวไปไมไ่ ด้ เขายอ่ มควกั เอาออกจากปาก สดุ ทา้ ยจะเอาไปไดก้ แ็ ต่กรรมทที่ ำไว้ ซ่งึ ยอ่ มตดิ ตามไปคลา้ ยเงาตน และจะสง่ ผลใหไ่ ด้รับทกุ ข์ หรอื ลฃุ กต็ ามแตก่ รรมที่ตนไดก้ ระทำไว้เพราะฉะน้นั คนเราเกดิ มาอย่าได้สุ่มหลงอยู่กับทรพั ย์สมบัติ จงึ ควรหมัน่แสวงหาทรพั ยภ์ ายใน คอื การบำเพ็ญบญุ ไว้ซงึ่ สามารถนำตดิ ตัวไปไดต้ ลอดเวลา ประการทส่ี าม เพอ่ื ให้เป็นค่าจา้ งแก1สปั เหรอ่ ท่จี ะนำศพไปเผาที่ต้องนำไปใส่ไวใ่ นปากเพราะว่า ๑๗ ๑
สุขใจทไ่ี ดอ้ ่านสารธรรมเพอื่ ชวี ติ ท่ดี งี าม จะไดค้ ้นหาได้สะดวก เพราะถ้าเจ้าภาพบิดพลิ้วสัญญาคา่ จา้ งภายหลงั เงนิ ใส่ปากศพจะกลายเปน็ เงินค่าจ้าง เพราะในสมยั ก่อนเงนิ บาทมีคา่ มาก ตามความเชื่อของกรีกโบราณทีเ่ ล่าต่อ ๆ กันมาว่า ผู้ทต่ี ายวิญญาณจะไปสู่เมืองผี ซ่งึ เมืองนอ้ี ย่ใู ตเ้ มืองมนษุ ย์ ทางทศิ ตะวันตกอันไกลแสนไกลจะมแี มน่ ้ําปนิ แดนความสวา่ งและความมดื ช่ือวา่ “แม่น้ําสตกิ ษ์” (แปลว่าดำมดื )วญิ ญาณของผู้ตายไปสเู่ มืองผไี ดก้ ต็ อ้ งขา้ มแม่นํ้านี้ มีมนษุ ยช์ ือ่ วา่ “การน”มรี ปู รา่ ง เปน็ คนแกผ่ มหยกิ ดำ หนวดเครารงุ รงั แจวเรอื รับสง่ วญิ ญาณข้ามฟากโดยคิดคา่ จา้ งรับสง่ เป็นเงนิ หน่งึ อะบะสสั จริงอยทู่ ีม่ ผี ้เู สยี ชีวติ ตามธรรมดาของโลก แตใ่ นการทำพิธเี กยี่ วกับความตาย เซน่ การใสเ่ งนิ ปากผกี ไ็ ม่ได้ทำกนั ท่ัวไป เน่ืองจากสมัยโบราณ เงนิทองเปน็ ของที'หายากและมคี า่ ผู้ทมี่ ืฐานะไมด่ ีจงึ ไมใส่เงนิ ในปากของศพ แต่อาจจะตำหมากใสแ่ ทนก็ไต้ ความเชื่อเรอ่ื งเงนิ ปากผีโนป็จจบุ ัน อาจจะยงั มีอยู่ในท้องก่นี ทยี่ งั คงรักษาความเชือ่ นี้เอาไว้ แต่สิ่งเหล่าน้ีบางสว่ นได้สญู ลิน้ ไปจากความเช่ือของคนในสังคมเมืองหลวงที่มืความเจริญแจ้ว เพราะฉะนน้ั การกระทำความดี การเสาะแสวงหาทรัพยภ์ ายในต้วยการทำบญุ ใหท้ าน รกั ษาศลี เจรญิ จิตภาวนา จึงเป็นการแสวงหาทรัพย์ท่ถี กู ต้องทสี่ ดุ เพราะเป็นทรพั ยท์ ี่สามารถนำติดตัวไปไตท้ กุ ภพทกุ ชาติส่วนทรัพย์สมบัติทเ่ี ราหาไดีในชาตนิ ้ี เม่อื เราตายแจ้วเราต้องท้งิ ไปท้ังหมดติดตามเราไปไม่ไดเ้ ลย ดังคำประพันธ์ทีว่ ่า ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ เว้นเสยี แตต่ ้นทุนบญุ กศุ ล ทง้ิ ทรัพย์สมบตั ทิ ัง้ หลายใหป้ วงชน รา่ งของตน เขายังเอาไปเผาไฟ ฯ๑๗๒
สุขใจท่ไี ดอ้ ่าน สารธรรมเพอื่ ชวี ติ ทด่ี ีงาม โดย...พันเอก อคั รนิ ทร์ กำใจบุญ “ฝาบังสุกุล” จะหนีอืน่ หมน่ื แสนในแดนโลก พอย้ายโยกหลบล้หี นพี ้นได้, แตห่ นหี นึง่ ซง่ึ มชี อื่ คอื หนีตาย หนีไม,ได,้หลบไม่พ้นสกั คนเดียว เมือ่ มคี นในครอบครวั เสียชีวติ ในขนบธรรมเนยี มประเพณีไทย สงิ่ หนึง่ ทีเ่ ราจะตอ้ งทำใหแ้ ก่คนตาย คือ การทอดผ้าบังสกุ ุล ถามว่า“ผ้าบงั สุกุล คือ อะไร” คำวา่ บงั สกุ ุล มาจากคำภาษาบาลี ๒ คำ คือ คำว่า ปงั สุ แปลว่าฝน่ และคำวา่ กลุ ะ แปลว่า เบเ้ื อน เม่ือรวม ๒ คำเขา้ ต้วยกนั เป็น ปงั สกุ ลุ ะอ่านเปน็ คำไทยว่า บังสกุ ุล แปลว่า เปอี นฝ่น หรอื เปอี นเศษธลุ ี เปอี นหยากเยื่อเบึเ้ อนสง่ิ สกปรก ผ้าหอ่ ศพ หรอื ผา้ ทเ่ี ขาท้ิงแล้ว เป็นผ้าเปีอนฝนุ ผ้าเปอี นธุลี คนท้ิงไว้ตามท่ีตา่ งๆ ไม่มเี จา้ ของ พระสงฆก์ จ็ ะเกบ็ ผ้านัน้ มาใช้โดยการประกาศขึ้นสามคร้ัง สิง่ น้ี มีเจา้ ของหรอื ไม่ ถ้าไมม่ ี ท่านก็จะถือเอาเป็นของบงั สกุ ลุโดยจะกลา่ วว่า “ อมิ งั ปงิ สุกูลัง ลัสสามกิ งั มัยหงั ป าปุณ าต”ิ แปลว่า“ผ้าบงั สกุ ุล (ผ้าเบื้เอนฝน่ ) นี้ ไม่มีเจ้าของ ย่อมถงึ แกเ่ รา” ผ้าท!ี่ ดม้ าเซ่นนีเ้ รยื กว่า“ผา้ บงั สุกุล” แลว้ ก็จะน ำผ้าน น้ั มาซกั ตัด เย็บ ยอ้ ม ท ำเป น็ ผา้ ไตรจีวร คือเปน็ ผ้าสำหรบั นงุ่ เรียกวา่ อันตรวาสก หรอื ผา้ สบง เปน็ ผา้ สำหรบั ห่มเรียกว่า อตุ ตราสงค์ หรอื จวี ร และเป็นผา้ ลำหรับใชท้ าบหรือห่มช้อนอุตตราสงค์ เรยี กวา่ สังฆาฏิ ๑๗๓
สธุ ใจทีไ่ ดอ้ ่านสารธรรมเพ่อื ชวี ิตทด่ี ีงาม การใช้ผ้าบังสกุ ุล เป็นเรอ่ื งที่พระสงฆ์ทำมาแตเ่ ดิม ในสมัยแรกท่ีพระพุทธศาสนายงั ไม,แพรห่ ลาย ชาวบา้ นยงั ไม่ไดศ้ รทั ธาพระสงฆ์มากมายการได้ผา้ จวี รก็ไดม้ าจากการหาผา้ เกา่ ๆ มาทำเอง ต่อมา มผี ูศ้ รัทธาในพระพทุ ธศาสนามากขนึ้ แล้วพระพุทธเจา้ ทรงอนุญาตใหพ้ ระสงฆ์รบั การถวายจวี รจากญาติโยมผศู้ รทั ธาได้ จีวรท่ีมีผศู้ รัทธาถวายน้ี เรียกวา่“คหปติจวี ร” พระสงฆ์บางรูปท่มี กั น้อย และถือปฏบิ ัตใิ นธดุ งคบ์ างขอ้ เช่น ถือปฏบิ ัตใิ ชแ้ ตผ่ ้าบงั สกุ ุล ทา่ นกจ็ ะไม่รบั การถวายจีวรจากญาติโยม แต่จะแสวงหาผ้าเก่าหรือผ้าทิง้ แล้วจากทีต่ ่างๆ มาตัดเยบ็ ทำเปน็ จวี ร ชาวบ้านท่ศี รัทธาพระสงฆ์อยากจะถวายผ้า จงึ ใชวธิ ีนำผ้า (ส่วนมากจะใหม)่ ไปท้งิหรอื วางไว้ตามทตี่ า่ ง ๆโดยอาจทำใหม้ รี อยเบ้เื อนบา้ ง เพอ่ื ให้เหน็ วา่ เป็นของเบ้]ื อนฝน่ ของทง้ิ แล้ว โดยมกั สงั เกตวา่ ทางไหนทีพ่ ระสงฆม์ ักเดนิ ผ่าน หรอืจะไปแสวงหาผ้า ก็จะไปท้งิ หรือวางตามท่นี น้ั ก็เปน็ การถวายผา้ เหมอื นกันเป็นการถวายทางอ้อม ไมไ่ ดถ้ วายโดยตรง ผา้ บังสกุ ลุ นี้ มีความเก่ียวข้องกบั เร่ืองศพหรอื พธิ ีศพ เพราะในสมัยก่อน ศพทไี่ ม'ได้เผา เขาก็จะนำไปทิง้ ไว้ทป่ี ่าชา้ เปน็ ทีท่ ้งิ ศพ พระสงฆ์ท่ถี อืปฏบิ ตั ใิ ช้แต่ผ้าบังสุกลุ กจ็ ะไปหาผา้ เก่าตามป่าชา้ ซงึ่ ก็คอื ผา้ ท่หี ่อศพนนั่ เองเมอื่ พบแล้ว ท่านกจ็ ะเอาไมเ้ ขี่ยผ้าออกจากศพ แลว้ นำไปดำเนินการตอ่ ในสมยั ปัจจุบัน พระสงฆ์ไมไ่ ด้แสวงหาผ้าห่อศพหรอื ผ้าทที่ ิ้งตามป่าเพอ่ื มาตัดเยบ็ เปน็ จวี รแล้ว ซาวบ้านก็ไม่ได้นำเอาผ้าไปทิ้งตามทตี่ า่ ง ๆเพื่อถวายพระสงฆ์ทางอ้อม แต่กย็ ังคงมเี รือ่ งการถวายผ้าจวี รเปน็ ผา้ บงั สุกุลโดยยดึ ถอื คติทีม่ มี าแต่เตมิ วา่ ผ้าบงั สกุ ุลได้มาจากผ้าท่หี ่อศพ เม่อื มกี ารจัดงานศพแล้ว มีการถวายผา้ แด,พระสงฆเ์ พือ่ อุทิศส่วนกุศลแก,ผู้ล่วงลบัในงานศพนัน้ เลยเรยี กผา้ ทถ่ี วายในงานนนั้ ว่า ผ้าบงั สกุ ลุ โดยแบ่งวิธีการถวายเป็นสองลักษณะ คือ๑๗๔
สุขใจท่ีไดอ้ ่าน สารธรรมเพอื่ ชวี ติ ท่ีดงี าม ๑) ถวายผา้ บงั สุกุล ในพธิ ีสวดพระอภธิ รรมแตล่ ะคืน หรือในการบำเพญ็ บญุ ประเภทอืน่ ๆ เชน่ ในการถวายภัตตาหาร เปน็ ต้น และ ๒) ถวายผา้ บังสุกลุ ในพิธเี มาปนกจิ ศพ ท่เี รยื ก'วา่ “ทอดผ้าบังสกุ ลุ ”“ทอดผา้ ไตรบังสกุ ลุ ” ท่านทีเ่ คยไปร่วมงานฌาปนกิจศพ กค็ งจะเคยเหน็ พิธีการน้ี โดยกอ่ นจะมกี ารเผาศพ กม็ ีการถ1วายผา้ บงั สุกลุ ซ่ึงถอื วา่ เป็นพิธบี ำเพ็ญบญุประการสุดท้ายก่อนจะมกี ารเมาปนกิจศพ และพิธกี ารนก้ี จ็ ะนมิ นต์พระสงฆ์ไป “ชกั ผ้าบังสุกุล” กอ่ นจะมีพิธเี ผา เหตทุ ี่มีพิธถี วายผา้ บังสุกุล และนิมนต์พระสงฆ์ไปชกั ผ้าบังสกุ ลุกเ็ นอ่ื งจากวา่ ชาวบา้ นต้องการให้พระสงฆ์ไตพ้ จิ ารณาสังขารร่างกายของผลู้ ่วงสบั เป็นการสนบั สนุนใหพ้ ระสงฆ์ไตป้ ฏบิ ตั ธิ รรม คือ มรณานุสสติกรรมฐาน และอสภุ กรรมฐานไตม้ องเหน็ ศพ มองเหน็ ความไมส่ วยงามของรา่ งกาย เห็นความไม่เท่ยี งแท้ ซ่งึ จะทำใหเ้ กิดความไมป่ ระมาท ในสมัยก่อนนนั้ ก่อนท่ีจะมพี ิธีการเผาศพ ซาวบ้านกจ็ ะนำผ้าไตรจวี รหรือผ้าขาวไปวางทอดไว้ที่ศพ แลว้ นมิ นต์พระสงฆ์ “ชกั ผา้ บงั สกุ ุล”พระสงฆท์ ไ่ี ตร้ บั นมิ นต์ก็ต้องไปหยบิ ผา้ ที่วางทอดไว้ท่ศี พออกมา เวลานั้นก็ไตเ้ ห็นสภาพศพ อาจมกี ารขนึ้ อดื พองเขียว มีการเนา่ เปอี ย เนือ่ งจากสมยั นน้ัวธิ ีการรักษาสภาพศพยังไมเ่ จรญิ ก้าวหนาั นํ้ายาฟอร์มาสนึ น้ํายาฉดี รกั ษาสภาพศพกย็ ังไม่มี เมอ่ื พระสงฆ์ไตเ้ ห็นสภาพศพเน่าเปอี ย ก็จะเกดิ ความสลดสงั เวชในสงั ขารรา่ งกาย เปน็ การยํา้ เตอื นให้ไม,ประมาทในชวี ติเรง่ ปฏิบัติธรรม หรอื อย่างนอั ยกจ็ ะเกดิ ความรู้สกึ ไม,ยินดชี มชอบในผ้าที่ไตม้ ากนกั เพ ราะอ าจจ ะเป อี น น าเลือ ด น าเห ลือ งอ ะไรต่างๆ หากน่าไปใช้นงุ่ หม่ กจ็ ะไม,รู้สึกยึดติด แต่ใชผ้ า้ นัน้ ตามจุดหมายแท้ คอื ใช้เพื่อปกปิดรา่ งกาย กันความหนาวความร้อนเทา่ น้นั ชาวบา้ นเองก็เทา่ กบั วา่ ไต้บญุสองตอ่ คอื นอกจากไตบ้ ุญจากการถวายผ้าแด'พระสงฆแ์ ลว้ ก็ยงั ชว่ ยเออื้ ใหพ้ ระสงฆไ์ ต้ปฏบิ ตั ธิ รรมอกี ตว้ ย ๑๗๕
สขุ ใจท่ีได้อ่านสารธรรมเพอื่ ชวี ิตท่ีดีงาม แตป่ ัจจบุ นั น้ี วธิ ีการรกั ษาสภาพศพเจริญกา้ วหนา้ แถมยังไมม่ ีการเปีดโลงก่อนจะเผาอีกด้วย (บางแหง่ อาจมีการเปีดโลงครั้งสดุ ทา้ ยกอ่ นเขาเตาเพีอ่ ใหญ้ าติได้ดูผลู้ ว่ งลบั เปน็ คร้ังสุดทา้ ย แตกไม,มกี ารเปิดโลงในพธิ กี ารทอดผา้ บังสกุ ุล) กเ็ ลยทำให้คติทีจ่ ะช่วยใหพ้ ระสงฆ[์ ดป้ ฏบิ ตั ธิ รรม ไดพ้ ิจารณาอสภุ กรรมฐานลดลงไป แถมโลงสมัยน้กี ็ประดับประดาสวยงาม รูปภาพคนตายกม็ ีการตกแต่งให้ดดู ขี ้ึน การวางทอดผา้ กว็ างท่ีแถบผา้ ภษู าโยง หรอืลายโยง (สายสญิ จน)์ ทีโ่ ยงมาจากโลงศพ ไม,เหน็ สภาพของศพ พระสงฆ์ก็เลยไม่เห็นอสภุ กรรมฐาน ปัจจบุ นั นี้ คำว่า “นมิ นตพ์ ระสงฆ์ซักผา้ บงั สกุ ุล” เร่ิมจะเลือนหายไป หรือแทบไมค่ ่อยมี แตม่ ีการเลอื กใชค้ ำว่า “นมิ นต์พระสงฆ์พิจารณาผ้าบงั สกุ ุล” ขึ้นมาแทน ซึ่งความจริง การใชค้ ำวา่ “ซกั ผ้าบังสกุ ลุ ” จะตรงกับอาการของพระสงฆ์ เพราะพระสงฆต์ ้อง “ซกั ” (ดงึ , หยบิ ) ผ้าออกมาจากตัวศพ หรอื จากผ้าภูษาโยง, สายโยง (สายสิญจน)์ ท่ีโยงมาจากตวั ศพ แตก่ ารใชค้ ำว่า “พจิ ารณาผ้าบงั สกุ ุล” นนั้ ก็ไม่ใชจ่ ะเป็นการใช้ท่ผี ิดโดยมผี พู้ ยายามอธบิ ายเพ่มิ เติมว่า ความจรงิ คำว่า “พิจารณาผ้าบังสุกุล”นี้ เป็นรูปแบบวิธี “ย่อคำ” ของคนไทย โดยคำเต็มๆ ของคำวา่ พิจารณาผา้ บังสกุ ุล กค็ ือ “นิมนตพ์ ระสงฆ์พจิ ารณาอสุภะ (ศพหรอื สังขาร) และซักผ้าบงั สกุ ลุ ”๑๗๖
สฃใจทไี่ ดอ้ า่ น สารธรรมเพอื่ ชวี ติ ทด่ี ีงาม โดย...พนั เอก อคั รินทร์ กำใจบุญ “ อาบหรือรดบาศผกำไม” การอาบนาํ้ ศพ จะเป็นธรรมเนยี มอยา่ งหนง่ึ ทีจ่ ะทำใหแ้ ก่ศพโดยจะทำก่อนการบรรจศุ พหรือนำศพใสในโลง เหตุท่ีต้องมีการอาบนํ้าศพเพราะต้องการใหร้ า่ งกายของคนตายละอาดบรสิ ุทธ้ี ซงึ่ คล้ายกับความเชอื่ของศาสนาพราหมณีไนอินเดยี คือ การชำระล้างบาปตว้ ยการลงอาบนํา้ ในแมน่ ้ําคงคาประเพณีไทยในสมัยกอ่ นๆ การอาบนา้ํ ศพจะทำการอาบจริงๆคือ ตม้ นาํ้ ด้วยหมอ้ ดนิ หรอื ภาชนะอน่ื (หรอื อาจจะไม่ตม้ กไ็ ด)้ ซึ่งในหม้อดนิหรือภาชนะอื่นทใี่ ส่น้ํานั้น อาจใสใบไม้ต่างๆ ลงไปด้วย เช่น ใบหนาด ใบส้มปอย ใบมะขาม โดยมีความเช่ือกันวา่ ใบหนาดนนั้ เปน็ ใบไมท้ ่ผี กี ลวั และใชป้ ัดรงั ควาน การอาบนา้ํ ศพ'จะอาบดว้ ยนั้าอนุ่ กอ่ น แลว้ จงึ อาบดว้ ยนาํ้ เย็นอีกคร้ัง หรอื จะอาบด้วยน้ําเยน็ เลยทเี ดยี วกไ็ ด้ แลว้ ฟอกดว้ ยล้มมะกรูดเมือ่ ลา้ งจนสะอาดหมดจดแล้ว จงึ ฟอกด้วยขมิ้นชนั สดเพือ่ ใหร้ า่ งกายศพมีผิวพรรณเหลืองประดุจดงั ทอง ตอ่ จากนั้นจงึ ทำการแต่งตัวใหศ้ พ การอาบหรอื รดน้ําศพ มีจดุ หมายโดยตรง คอื เพ่อื ขอขมาลาโทษต่อผตู้ าย หรือไปอโหสิกรรมใหแ้ ก'กัน อย่าไดมั ีเวรมกี รรมหรอื จองเวรจองกรรมตอ่ กนั อีกขอให้ส้นิ สุดกันแคน่ ีแ้ ตถ่ ้าผตู้ ายมีอาวุโสน้อยกว่าไม่นิยมรดนํ้าศพเพ่ือขอขมา แต่ไปในงานเพ่อื ใหเ้ กยี รติและไวอ้ าลยั แก'ผู้ตาย สว่ นจดุ มุ่งหมายโดยออ้ มกเ็ พ่ือเป็นคตสิ อนใจแกค่ นเปน็ นั่นเอง ของเดมิ แทๆ้ ไม1มกี ารรดนาํ้ ศพที่ทำเปน็ พิธีการอยา่ งเด๋ียวนี้อาบนา้ํ ศพเทา่ นัน้ พอ แมป้ ัจจบุ ันนีต้ ามชนบทก็มแี คก่ ารอาบนา้ํ ศพเทา่ นัน้โดยอาบเป็นพธิ กี าร เรียกลกู หลานญาติพน่ี อ้ งมาอาบน้ัาใหแ้ กศ่ พเปน็ การใหญ่ไม'มกี ารรดนาํ้ ศพอยา่ งท่ที ำกันในบดั น้ี แต่เฉพาะ'ในที่ท่ีเจริญแลว้ เช่นในเมีอง นยิ มมกี ารอาบนํ้าศพดว้ ย รดนา้ํ ศพดว้ ยในปัจจุบันในสงั คมเมอื ง ๑๗ ๗
สขุ ใจท่ีไดอ้ า่ นสารธรรมเพอ่ื ชวี ิตทด่ี งี าม *พธิ อี าบนํา้ ศพมักไม,ปรากฏใหเ้ หน็ เนอ่ื งจากบคุ คลท่เี สียชีวติ ทีโ่ รงพยาบาลทางโรงพยาบาลจะดำเนินการอาบนาํ้ ศพทำความละอาดให้เรยี บรอ้ ย ถ้าบคุ คลเสียชีวิตทีบ่ ้าน การอาบน้ําศพกม็ ักเป็นเรื่องภายในครอบครัวและญาตสิ นทิ ทำกัน เมอ่ื อาบน้ําศพแลว้ กแ็ ตง่ ตัวศพเสยี ใหม่ ญาติๆ กจ็ ะนำศพไปวดั เพื่อประกอบพธิ รี ดนํ้าศพเฉพาะท่ีฝ่ามือเทา่ น้ัน โดยใช้นํา้ ผสมกับน้ําอบเพอ่ื ใหเ้ กิดความหอม ซึ่งจะทำหลังจากท่คี นได้ตายไปแลว้ ไม่นานนักโดยจดั ศพใหน้ อนในทีอ่ ันสมควร จบั มือขา้ งหน่งึ ย่นื ออกมา ลกู หลานของผู้ตายจะทำหน้าท่ีใช้ขนั ใบเลก็ ๆ ตักนาํ้ จากขันใบใหญ่ ส่ง'ไห้กับผูท้ ม่ี าทำการรดนา้ํ ศพ โดยการเทนํ้าลงมือของผู้ตาย กล่าวคำไวอ้ โหสกิ รรม หรอี กล่าวขอให้วญิ ญาณของผ้ตู ายจงไปสสู่ คุ ติ วธิ ีรดน้าํ ศพ ถา้ เปน็ ศพคฤหสั ถ์ซง่ึ มอื าวโุ สสูงกวา่ ตัว หากศพถูกวางไวก้ ับพนื้ หรอื บนเตยี งทไี่ มส่ ูงมากนกั ผู้รดนาํ้ ก็น่ังคกุ เขา่ หากศพถูกวางไว้บนเตียงทส่ี ูงกใ็ ห้ผรู้ ดนา้ํ ยืน น้อมไหว้ศพก่อนพร้อมกับนึกในใจวา่ “กายะกัมมงัวะจีกัมมัง มโนกัมมัง อโหสกิ มั มงั โหต”ุ แปลวา่ “ขา้ พเจ้าได้ล่วงเกินตอ่ ทา่ นทางกายก็ดี ทางวาจากต็ ี ทางใจกด็ ี ขอทา่ นโปรดอโหสกิ รรมใหแ้ กข่ า้ พเจ้าด้วยเถดิ ” เม่อื ยกมือไหวข้ อขมาศพแลว้ ก็รับภาชนะนํา้ สำหรับรด ประคองเท น ํา้ ดว้ ยมอื ท ้งั สองรดลงบ น ฝ่ามอื ขวาของศพ พรอ้ มนำในใจว่า“อทิ งั มะตะ กะสะรีรัง อาสญิ จโิ ตทะกงั วยิ ะ อะโหสิกัมมงั ” แปลว่า “รา่ งกายทีต่ ายแลว้ นย้ี ่อมเปน็ อโหสกิ รรม ไมม่ ี'โทษ เหมือนนํ้าทีร่ ดแล้ว” จะว่าเป็นภาษาบาลหี รือเฉพาะภาษาไทยอยา่ งเดยี ว หรอื ทั้งสองอยา่ งเปน็ อันใซได้ท้งั น้ัน เมื่อรดเสรจ็ แลว้ ก็ยกมอื ไหวพ้ ร้อมกับนึกอธิษฐานในใจว่า “ขอจงไปสู่สุคต ๆ เถด” นเ่ี ป็นระเบียบปฏิบตั ิเวลารดน้าํ ศพคฤหสั ถ์ ถา้ เป็นศพพระสงฟไ้ ห้เปลย่ี นจากนอ้ มไหว้มาเปน็ กราบด้วยเบญจางคประดษิ ฐ์ ๓ ครง้ั ส่วนการนกึ ในใจคงใช้เซน่ เดียวกัน๑๗๘
สขุ ใจท่ไี ดอ้ า่ น สารธรรมเพอื่ ชวี ิตทด่ี ีงาม การรดนา้ํ ศพทฝี่ ่ามอื เป็นปรศิ นาธรรมใหเ้ หน็ วา่ ท่ฝี า่ มือของคนเราเมอ่ื ตายไปแล้วไมส่ ามารถหยบิ ส่งิ ใดไปได้ เหมือนจะใหศ้ พประกาศความหมายออกมาวา่ “นแี่ นะ่ ท่านทง้ั หลาย ดูมือฉันสิ ฉนั ไปมอื เปลา่ นะฉนั ไม,ได้นำเอาอะไรในโลกนี้ไปเลยแม้แตน่ ้อยหนึ่ง แมท้ ่านกจ็ กั เปน็ เซ่นฉันเหมือนกนั ” ผมู้ ืชีวิตอยู่จึงไมค่ วรล่มุ หลงไมค่ วรยึดติดในทรพั ย์สนิ เงนิ ทองใหม้ าก ไมค่ วรประมาท ควรเร่งขวนขวายในการใชท้ รพั ย์สมบตั ิทต่ี นมืนนั้เพอ่ื การสรา้ งกศุ ลและคณุ งามความดตี า่ งๆ เพราะยงั มโื อกาลไดท้ ำ ส่วนคนทีต่ ายไปแลว้ หมดโอกาสทจี่ ะใชท้ รพั ยส์ มบัตทิ ่ตี นมเื พอื่ สร้างกศุ ลหรือทำคณุ งามความดีตา่ งๆ และไมส่ ามารถหยบิ ทรัพย์สนิ เงินทองใดๆ ไปได้ดังคำประพันธท์ ่วี า่ เมอ่ื เกิดมามือะไรมาดว้ ยเด้า เดา้ จะเอาแตส่ ขุ สนุกไฉน เมื่อเดา้ มามือเปลา่ จะเอาอะไร เดา้ กไ็ ปมือเปล่าเหมอื นเดา้ มา ๑๗๙
สขุ ใจทีไ่ ด้อา่ นสารธรรมเพ่อื ชวี ิตท่ตี ปี ๋ามโดย...พันเอก อัครินทร์ กำใจบญุ “ บท นะโม” การไหว้พระสวดมนต์ บทแรกที่พระสงฆแ์ ละชาวพทุ ธตอ้ งสวด คือบทนมัสการพระพทุ ธเจา้ มจี ำนวน ๕ ศัพท์ ว่า “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโตอะระหะโต สมั มาสมั พุทธสั สะ” โดยลวด จำนวน ๓ จบ ซ่งึ แปลความหมายวา่“ขอความนอบน้อม จงมแี ด'พระผูม้ ีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ผูเ้ ปน็ พระอรหันต์ ตรัสร้ชู อบไดโดยพระองคเ์ อง” ศัพทท์ ง้ั ๕ ศพั ท์น้ี ล้วนเป็นศพั ท์ทก่ี ลา่ วนมสั การพระพุทธเจ้าทงั้ ส้ิน จึงประมวลไวเ้ ป็นบทเดียวกัน ถามวา่ ผ้กู ลา่ วบทนมัสการพระพทุ ธเจ้าน้เี ป็นคร้งั แรกในโลกคอื ใคร? ตอบวา่ ผ้กู ล่าวบทนมัสการพระพทุ ธเจา้ เปน็ ครั้งแรกในโลก ไดแ้ ก่เทวดา จำนวน ๕ ตน โดยเทวดาแต่ละตนไต้กลา่ วตนละ ๑ ศพั ท์ คอื ศัพทว์ า่ นะโม กล่าวโดย สาตาคริ ยิ ักษ์ ศพั ท์ว่า ตลั ละ กล่าวโดย อสรุ ินทราหู ศัพท์วา่ ภะคะวะโต กลา่ วโดย ทา้ วจาตุมหาราชิกา ศพั ท์วา่ อะระหะโต กล่าวโดย ทา้ วสกั กเทวราช ศพั ทว์ ่า สัมมาสัมพทุ ธสั สะ กลา่ วโดย ท้าวมหาพรหม นกั ปราชญบ์ างท่านสนั นษิ ฐานวา่ บทนมัสการพระพุทธเจ้านี้เป็นคำกล่าวนอบนอ้ มพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ สบั หลงั ไมใชเ่ ฉพาะพระพกั ตร์พระองค์ สามารถรวบรวมยอดพรรณนาความสำคญั ๓ อย่าง คอื พระมหากรุณาธิคุณ (ภะคะวะโต) พระวิสทุ ธิคณุ (อะระหะโต) และพระปญั ญาคณุ(สมั มาสมั พุทธัสละ) ของพระพทุ ธเจ้าตามลำดบั อยา่ งนา่ อัศจรรย์(ริ) (ฬ่ึ 0
สขใจทไี๋ ด้อ่าน สารธรรมเพ่อื ชวี ิตทดี่ งี าม ถามวา่ บทนมัสการพระพุทธเจา้ นีจ้ ะใช้ลวดหรอื กล่าวเพียง ๑ จบจะได้หรอื ไม?่ ตอบว่า จะใช้สวดหรือกลา่ วเพยี ง ๑ จบกไ็ ด้ แต่นกั ปราชญ์โบราณาจารย์ทา่ นไดก้ ล่าว จำนวน ๓ ครัง้ ดว้ ยเหตผุ ล ๒ ประการ คอื ๑ . เพ่ือกระทำการนมัสการนน้ั ให้ม่งั คง ขจัดความฟง้ ซ่านออกจากจติ เป็นการตงั้ จติ ใหม้ ่ันคงและสำรวมจิตไม่ใหห้ วนั่ ไหว เพ่ือเป็นแนวทางของสมาธิ ๓ ระดับ คือ ฃณกิ สมาธิ อุปจารสมาธิ และอปั ปนาสมาธิ ๒. เพอื่ เป็นการนมสั การพระพุทธเจ้า ๓ ประ๓ท ประ๓ทละ ๑ จบ คือ ๒.๑ จบท่ี ๑ นมัสการพระพุทธเจ้าประเภทปญั ญาธิกะ ที,ทรงบำเพ็ญบารมเี ปน็ เวลา ส่อี สงไขยแสนมหากัป ๒.๒ จบท่ี ๒ นมัสการพระพุทธเจา้ ประเภทสทั ธาธิกะ ท่ที รงบำเพ็ญบารมีเปน็ เวลา แปดอสงไขยแสนมหากปั ๒.๓ จบท่ี ๓ นมสั การพระพทุ ธเจ้าประเภทวริ ืยาธิกะ ที่ทรงบำเพญ็ บารมีเปน็ เวลา สิบหกอสงไขยแสนมหากัป บางท่านกลา่ วอธบิ ายว่า จบท่ี ๑ เปน็ คำกล่าวนมสั การพระพทุ ธเจ้าจบท่ี ๒ เป็นคำกลา่ วนมสั การพระธรรม และจบท่ี ๓ เป็นคำกลา่ วนมสั การพระสงฆ์ ในหนงั สอื พระอโุ บสถศีลกถา พระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั ฯ ทรงมพี ระบรมราชวินจิ ฉยั ไว้วา่ “ทถี่ กู ดอ้ ง คงเป็นคำนมสั การพระสมั มาล้มพทุ ธเจา้ โดยเฉพาะ แตท่ ่ีกลา่ ว ๓ ครง้ั กเ็ พื่อยา้ํ ดว้ ยความเคารพและม่ันใจ’' ผลของการสวดบทนมัสการ คือ แสดงความเคารพนอบนอ้ มพระพทุ ธเจา้ จัดเปน็ พุทธานสุ สติ ด้วยจติ ทีป่ ระกอบดว้ ย ศรทั ธาเลอ่ื มใสจนเกิดความปีติปราโมทยด์ ว้ ยความด่มื ดาในพระพุทธคณุ จดั เป็นกระแสห้วงบุญอนั ยงิ่ ใหญห่ ลวงทีย่ ังกิรยิ าการนอบน้อมใหส้ ำเร็จเป็นไปทกุ ๆ ขณะซวนะจติ (ร ) (ฬ ^ )
สุขใจที่ได้อ่านสารธรรมเพ่ือชวี ิตที่ดงี าม๗ ขณะตลอดมาหลายแสนโกฏคิ ร้ัง กระแสบญุ น้นั แผไ่ พศาลมีอานภุ าพมากเพราะเจรญิ ในนาบุญอนั สงู สดุ คอื พระพุทธเจา้ ย่อมล่งผลใหผ้ ูน้ อบน้อมบูชานัน้ ไดร้ ับผลท้งั ในปจั จุบันและอนาคต ทง้ั ท่เี ป็นโลกยิ ะและโลกุตตระ สมดังพระพุทธดำรสั ที่ตรสั ไว้ในฃุททนิกาย ธรรมบทวา่ “แมม้ นษุ ย์ เทวดา พรหมในโลกน้ี ย่อมไมอ่ าจนบั ผลบญุ ของผูน้ อบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพทุ ธเจา้ และพระสาวก ผสู้ งบระงบั ปลอดภัยโดยประการท้งั ปวง เธอจงเจริญพุทธานสุ สตภิ าวนาทีย่ อดเยยี่ มในภาวนาธรรม เพราะผ้เู จริญพุทธานุสสติภาวนาน้ี สมหวงั ดังมโนรถ” ในคัมภีรว์ ิลุทธมรรค พระอรรถกถาจารยไ่ ดแ้ สดงผลของการเจรญิ พทุ ธ'านลุ ติ คือ การระลกึ ถึงพระพุทธเจา้ และคุณของพระพุทธเจา้ ไว้๙ ประการ คือ ๑ . ก่อใหเ้ กดิ ความยำเกรงในพระพทุ ธเจ้า ๒. กอ่ ให้เกดิ ศรัทธา สติ ปัญญา และกศุ ลอยา่ งย่ิง ๓ . กอ่ ให้เกิดป ีต ปิ ราโมทยเ์ ป็นอนั มาก ๔. ทำให้อดทนตอ่ ความกลวั ความตกใจ และทกุ ขไ์ ด้ ๕. ทำให้เกิดความรู้สกึ วา่ เหมือนไดอ้ ยู่กับพระพทุ ธเจ้า ๖. กายเปน็ เหมอื นเรอื นเจดยี ์ทคี่ วรบชู า ๗. จติ น้อมไปเป็นพทุ ธภูมิ ๔. เม่อื พบสิง่ ที่ควรละเมดิ จะเกดิ หิรโิ อตตัปปะ ด่ังได้เห็นพระพุทธเจา้ อยเู่ บื้องหน้า ๙. จะไปเกิดในสคุ ติภพ ในเมอ่ื ยงั ไม่บรรลุคณุ ธรรมเบอื้ งสงู๑๘๒
สุขใจทไี่ ด้อ่าน สารธรรมเพือ่ ชีวติ ท่ีดง้ าม โดย...พนั เอก วานิช ฉอสนั เทยี ะ “ คนขยันย่อมหาทรัผยใด” ช่อื วา่ ทรพั ย์ใครกอ็ ยากได้ เพราะทรัพยน์ ้ัน คล้ายกบั แกว้ สารพัดนกึสามารถดลบนั ดาลทกุ สิง่ ทุกอย่างใหก้ ับเจ้าของได้ ปจิ จุบนั 'น้ีคนมที รัพย์ใคร ๆก็นับเปน็ ญาติไ!]!หนมาไหนทกุ คนกเ็ กรงใจให้เกยี รติ ทกุ คนจงึ แสวงหาแตท่ รพั ย์กัน วันหนึง่ ๆ คนเราจะยงุ่ อยู่กับธุระหน้าท่ีการงานเพ่ือทรพั ยท์ ง้ั นัน้ คนไม่ขยนั กไ็ มส่ ามารถจะหาทรัพย์!ด้ ต้องเปน็ คนขยนัเท่าน้นั คนขยันจะกม้ หน้าก้มตาทำงานโดยไม่เกี่ยงว่า อากาศหนาวเกินไปร้อนเกินไป ทำงานได้ท้ังนนั้ ไม่ผดั วนั ประกันพร่งุ ว่า เวลาน้ีเย็นแล้วพร่งุ นี้ค่อยทำเถอะ เวลานี้ยังเชา้ อยู่ สายหน่อยค่อยทำ ไม่บน่ วา่ หิวมากขอกนิ ก่อน กระหายนกั ขอด่มื ก่อน คนขยนั ตอ้ งขยันในการทำงานท่ีเกดิ ขึ้นจากนํา้ พกั นํา้ แรงของตนอยา่ งมีเกียรติ ไม1กินแรงหรือเอาเปรยี บผ้อู ่ืนคนพิการทางรา่ งกาย อวัยวะไมส่ มประกอบ ไมส่ ามารถประกอบกจิ ในหน้าท่ีการงาน คือ ทำมาหากินได้ อยา่ งน้สี มควรจะไดร้ ับความเมตตาจากผคู้ นคนขยนั เท่านนั้ จึงจะหาทรพั ย์ได้ ความสำคญั ของการท่ไี ด้ทรพั ย์มาแลว้จะทำอย่างไร จึงจะรกั ษาทรัพยน์ น้ั ไวไ่ ด้ ถา้ หากหามาได้แลว้ เก็บไวไ่ มอ่ ยมู่ นัก็ไม,มีประโยชน์ เหมือนเอาภาชนะก้นกลวง1ไปตักนํา้ ตักไดน้ ้าํ เตม็ ภาชนะแลว้ น้าํ ไม่อยจู่ ะมีประโยชน์อะไร ประโยชนข์ องการมที รพั ย์จงึ อยู่ทก่ี ารรจู้ ักรกั ษาทรัพยท์ ีห่ ามาได้นัน้ ไว้ให้ได้ พระสัมมาส้มพทุ ธเจา้ ไดแ้ นะวิธรี ักษาทรัพยท์ ี่หามาไดว้ า่ “ผู้ขยันในหน้าที่การงาน ไมป่ ระมาท เชา้ ใจจดั การเลยี้ งชีวติ พอสมควร จึงรักษ าท รัพ ย์ท ่หี าม าได”้ พ ระพ ทุ ธภาษ ิตบ ท น ้ไี ดต้ รสั ลอนผูท้ ีแ่ สวงหาทรพั ย์มาได้แลว้ จะรักษาทรัพยน์ ั้นไว้ให้ได้ จะตอ้ งไม่ประมาทในทรพั ยน์ นั้ อยา่ งไรจึงได้ชอื่ ว่า ประมาทในทรัพย์ คนบางคนแสวงหาทรพั ยม์ าไดโ้ ดยงา่ ย เม่ือไดม้ าแลว้ กใ็ ชจ้ า่ ยอยา่ งสรุ ุ่ยสรุ า่ ย ไม่รู้จักเกบ็ เอาไว้ใซในยามคับขนั จำเปน็ ด้วยคิดว่า เงนิ ทองจะเอาเท่าไรกไ็ ด้ บางรายใช้จา่ ย ( 5 บ ั® (ม ั)
สุขใจที่ไดอ้ ่านสารธรรมเพอ่ื ชวี ติ ทด่ี งี ามเกนิ ตัว อยา่ งนีจ้ ะมเี งินทีไ่ หนไปเกบ็ การทจ่ี ะรักษาทรัพยไ์ วได้อยู่ท่กี ารรูจ้ กัประหยัด รูจ้ ักมธั ยสั ถโ์ ดยนสิ ัยคนไทยเราเป็นคนใชจ้ ่ายฟุมเทืเอยไมค่ อ่ ยรู้จกัประหยดั ชอบ'ฟ้งเฟอ้ ไปตามกระแสแฟชนั่ อะไรทใ่ี หมๆ่ เขา้ มากจ็ ะพากันนยิ มชมชอบ ถึงแมร้ าคาจะแพง ก็พยายามแข่งขนั กนั มใี หไ้ ด้เขา้ ใจจดั การเลีย้ งชีวติพอสมควร หมายความว่า ใหจ้ บั จา่ ยใช้สอยเลย้ี งชีวิตให้พอเหมาะพอควรแกท่ รัพย์ทห่ี ามาได้ ไมให้'ฝืดเคืองจนเกินไป บางคนหามาได้ แทนท่ีจะนำทรพั ยน์ ัน้ มาใช้จ่ายใหม้ คี วามสขุ บ้าง ก็เกบ็ ไวห้ มด แตต่ ัวเองกลบั อดอยากอยา่ งนกี้ ็ไม,ถูก หรอื ฟุมเทเื อยเกินไป พอหามาไดก้ ็กินแตอ่ าหารแพงๆไม1พอเหมาะพอควรแกท่ รัพยท์ ี่หามาได้ การทีจ่ ะใช้จ่ายทรพั ยท์ หี่ ามาได้น้ัน ตอ้ งใช้จา่ ยในสง่ิ ท่เี ปน็ ประโยชน์ คือ ใชเ้ ล้ยี งตวั เอง บดิ ามารดา บุตรภรรยา และบริวารให้เป็นสุข ใช้เล้ยี งเพื่อนฝูงให้เปน็ สุข ใชบ้ ำบดั อันตรายทเ่ี กดิ แก่เหตุต่างๆ ใช้ทำพลกี รรม คอื สงเคราะหญ์ าติ ทำบญุ อทุ ศิ ให้ผตู้ ายเสยี ภาษีอากร เปน็ ด้น ทำบุญอุทศิ ให้เทวดา และบริจาคทานแก1สมณะซีพราหมณ์ ผู้ประพฤตชิ อบ ใชจ้ ่ายอย่างนจี้ งึ จะถกู ด้อง จงึ จะดี(ริ) (ฬ(&
สุขใจที่ไดอ้ ่าน สารธรรมเพ่อื ชวี ติ ทดี่ งี าม โดย...พันเอก วานิช ฉอสันเทยี ะ “ สุขเลือกได้” ขนึ้ ซ่อื วา่ “ความสขุ ” ใครๆ ก็ปรารถนาจะมี ปรารถนาจะไดแ้ ละปรารถนาจะดำรงอยูใ่ นความสุขตลอดไปดว้ ยกนั ทงั้ นน้ั “ความสุข” มที ั้ง“ความสขุ กาย” จากการไดก้ นิ อ่มิ ไดพ้ ักผอ่ นนอนหลบั หรอื กลา่ วรวมๆวา่ มีความอยดู่ กี นิ ดีและมสี ขุ ภาพอนามัยดี มที ้งั “ความสขุ ใจ หรือ ความสบายใจ” จากการทีไ่ ด้สมหวงั หรือการได้ตามปรารถนา “ความสขุ ” ดงั ท่กี ลา่ วมาน้ันจดั เปน็ ความสุขทีม่ วี ตั ถุเครอื่ งลอ่ ใจซอื่ วา่ “สามิสสขุ ” ซึง่ มีลกั ษณะทีเ่ ปน็ โทษโดยสว่ นเดียว เปรียบดว้ ยยาพษิกม็ ี เชน่ ส่งิ เสพติดมนึ เมา ท่เี ป็นโทษ เม่ือเกินพอดี เปรยี บดว้ ยของมีนเมาก็มี เช่น สรุ า เมรยั การติดการละเล่น ติดเที่ยวกลางคืน การหมกมุ่นในกามการตดิ การพนนั เปน็ ตน้ ที่เปน็ อปุ การะ เปรียบดว้ ยอาหาร และยาบำบัดโรคแต่ถ้าถูกใชใ่ นทางท่ผี ิดกอ็ าจใหโทษได้ กม็ ี อำนาจราชคกั ดี้ อำนาจเงินอำนาจพวกพ้อง กช็ ่วยให้เกดิ ความสุขความเจริญในทางโลกได้ แต่ถา้ ใชอ้ ำนาจเหล่าน้ันผิดศีล ผิดธรรม ผิดกฎหมายของบ้านเมอื ง ก็มโี ทษได้ เปน็ ต้น “พาลชน” คือคนโง1เขลาเบาปัญญาไม,พิจารณาให้เหน็ คณุ และโทษท่แี ท้จรงิ ของสามิสสุข คอื ความสขุ ทม่ี ีวัตถุเครอ่ื งลอ่ ใจเหล่าน้ี บางคนจึงหลงเพลดิ เพลนิ ในสิง่ ทใ่ี ห้โทษ บางคนหลงระเรงิ จนเกนิ พอดีในสงิ่ ท่ีอาจให้โทษ บางคนหลงติดอยูใ่ นสิง่ อนั เป็นอปุ การะ บคุ คลผูใม่พิจารณาเห็นคุณและโทษของสามิสสขุตามท่เี ปน็ จริงเหล่าน้ี จึงได้เสวยความสุขบา้ ง ทกุ ข์บา้ ง ส่วน “บณั ฑิต” ผู้มืปญั ญาอันเห็นชอบพิจารณาเหน็ คุณและโทษของสามิสลขุ โดยถอ่ งแท้ ย่อมรู้ ๑๘๕
สขุ ใจที่ใด้อา่ นสารธรรมเพอื่ ชวี ติ ทีด่ ีปา๋ ม ข้อปฏบิ ัติใหถ้ งึ ความสขุ ความเจริญ คอื สามารถถอื เอาประโยชน์สุขในปจั จบุ นั ประโยชนส์ ุขในกาลขา้ งหนา้ ทงั้ สามารถถอื เอาประโยชน์สขุอย่างย่ิงดว้ ย ยอ่ มรขู้ ้อปฏิบัติท่จี ะนำไปส่คู วามเสอื่ ม เปน็ โทษ เปน็ ความทกุ ขเ์ ดือดร้อน อันควรละเวน้ ดว้ ย และยอ่ มรโู้ ทษของการตดิ อยู่ใน ลามิสสุขคอื ความสุขด้วยเครื่องล่อใจเหล่าน้ันด้วย จงึ เปน็ ผถู้ ืงความสันตสิ ุข คอืความสุขด้วยความสงบอนั ถาวร ผ้มู ีปัญญาอันเหน็ ชอบ ยอ่ มสามารถถือเอาประโยชน์สุขในปัจจุบันได้ ด้วยการปฏบิ ตั ธิ รรม ๔ ประการ คอื ๑ . ความถงึ พรอ้ มดว้ ยความขยันหม่ันเพยี ร ๒. ความถงึ พร้อมด้วยการรกั ษาทรัพย์ ๓. การเลอื กคบแตค่ นดื มีสติปญั ญาอนั เหน็ ชอบเปน็ มติ ร ๔. และรจู้ ักใชส้ อยทรัพยท์ ี่ทำมาหาไดืโดยสุจริต(ร ิ) ( ฬ ® )
สขใจทีไ่ ดอ้ า่ น สารธรรมเพือ่ ชีวิตที่ดีงาม โดย...พันเอก วานิช ฉอสันเทยี ะ “ ศีลธรรม” ศลี เป็นสง่ิ ทดี่ งี าม ศีลตอ้ งอยู่ท่กี าย ท่ีวาจา ธรรมอยทู่ ใี่ จ เมื่อเรามกี าย มีวาจา ท่ีมศี ลี มธี รรมแล้ว นั่นแหละเป็นเครื่องนำชวี ติ ของเราใหไปถึงจุดหมายทีต่ อ้ งการไต้ ศลี แปลวา่ สมบัติ ทุกคนต้องการสมบตั ิ กเ็ อาศีลมาเป็นเครือ่ งประดบั เคร่อื งประดับคือศลี น้ี ท่านบอกว่า งามทกุ เพศ ทุกวัย เด็กเอาไปประดับกง็ าม หนุ่มสาวเอาไปประดบั กง็ าม คนแกเ่ อาไปประดบั ก็งาม มนั ไม่เหมือนกับเครอ่ื งประดับคือเสอื้ ผา้ เสือ้ ผา้ นนั่ งามเฉพาะเพศ เฉพาะวัย เสื้อผา้ ของเดก็ ผ!ู้ ,หญ'เอาไปใส่กไ็ มง่ าม เส้ือผ้าของหนมุ่ สาว คนแก่เอาไปใส่กไ็ ม,งาม เส้ือผ้าของคนแก่ หนุม่ สาวเอาไปใสก่ ไ็ ม่งาม งามเฉพาะเพศ เฉพาะวัย แต่เครื่องประดบัคอื ศลี นี้ งามทกุ เพศ ทุกวยั ดงั น่นั ศีล จงึ แปลวา่ สมบตั ิ และสมบตั ทิ ่ีเราจะไต้น่นั จำเป็นตอ้ งมศี ีลก่อน ถ้าขาดศีล ก็ขาดสมบัติ จะรักษากายวาจาให้เรยี บร้อย ก็ต้องมศี ลีซ่งึ ตามปกติกายวาจามักจะเรยี บร้อยยาก แตถ่ า้ มศี ลี เข้าไปกำกับ มนั กจ็ ะเรยี บร้อยดี สว่ น ธรรมะ หมายถึง ทรงไว้ซงึ่ ผปู้ ฏิบัติ ดงั น่ัน ผู้ทตี่ '้ องการความเจริญกา้ วหน้าในชีวติ ต้องมี ธรรมะ ๔ ขอ้ ไวป้ ระจำใจ นน่ั กค็ ือ ๑ . ความจริงใจ ซ่อื ตรง ชื่อสตั ย์ พูดจรงิ ทำจรงิ จะอยู่ท ไ่ี หน อยู่ในฐานะเชน่ ใด กฃ็ อใหเ้ ป็นคนซอึ่ สตั ย์ทงั้ ต่อตนเองและคนอ่ืนรอบขา้ ง ๑๘๗
สุขใจที่ไดอ้ า่ นสารธรรมเพื่อชีวติ ทด่ี ปี า๋ ม ๒. การแกฝนขม่ ใจ เมือ่ มีความซื่อสตั ย์ จริงใจแล้วยังไม่พอ ต้องมีการขม่ ใจ ‘ฝึกฝนแกนสิ ัยและปรบั ตวั รจู้ ักควบคมุ จิตใจ แกหัดตัดนสิ ยั แกไขข้อบกพรอ่ ง ปรบั ปรงุ ตนเองให้เจรญิ กา้ วหนา้ ดว้ ยปญั ญาความรู้ ๓. ความอดทน เมอื่ มีความซอื่ สัตย์ จริงใจแล้ว แกฝนขม่ ใจแลว้ก็ยงั ไม่พอจำต้องมีความอดทน ตั้งหนา้ ทำหน้าทก่ี ารงานดว้ ยความขยันหมั่นเพยี ร เข้มแขง็ ทนทาน ไม่หวน่ั ไหวในจุดมงุ่ หมาย บางคนซ่อื สัตย์จรงิข่มใจจริง แตไ่ ม่อดทน เจอเรื่องหนกั ใจกย็ อมแพ้ สไู ม'่ โหว ต้องอดทนดว้ ยจึงจะถงึ จดุ หมาย ๕. ความเสียสละเป็นเรอ่ื งสำคญั อย่างมากตอ้ งมคี วามเสียสละเสียสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพอ่ื ประโยชนส์ ่วนใหญข่ องบ้านเมืองผมู้ ีนาํ้ ใจเสียสละ มจี ิตใจโอบออ้ มอารี เออ้ื เพื่อเผื่อแผท่ กุ คนในสงั คม ชว่ ยเหลอืเท่าท่ีเห็นวา่ สมควรจะชว่ ยเหลือได้ เหน็ ใครควรแก่การชว่ ยเหลอื ก็ช่วยเหลอืตามกำลงั มากบา้ งนอ้ ยบา้ ง หรือบางคร้งั ก็ชว่ ยเหลือด้วยกำลงั กาย บางครง้ัก็ช่วยเหลือดว้ ยกำลงั ทรัพย์ บางครัง้ กช็ ่วยเหลอื ด้วยกำลังสตปิ ัญญา ทกุ ๆครั้งทชี่ ว่ ยเหลอื ก็มคี วามกรุณาสงสารเปน็ เบอื้ งหนา้ มงุ่ ทจี่ ะปลดเปลอื้ งความทุกข์ของผู้อืน่ ด้วยความเต็มใจ การอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมหม,ู มากจำต้องมีความจรงิ ใจตอ่ กน้ เมือ่กระทบกระทัง่ กันด้วยเรอ่ื งเลก็ นอ้ ยกพ็ ยายามอดทนขม่ ใจ ไมใหเ้ ร่ืองเล็กนอ้ ยกลายเป็นเร่ืองราวใหญ่โต อีกท้งั ควรพยายามเสียสละแบง่ ปนั ให้แก'คนรอบข้าง ชวี ติ จงึ จะประสบแต่ความสขุ ตลอดไป0*)(*9(ฬ
สุขใจทีไ่ ด้อ่าน สารธรรมเพอื่ ชวี ิตท่ีดีงาม โดย...พันเอก สมคิด สวยล้าํ “ การสงเคราะห์ภรรยา” คำสอนทางพระพทุ ธศาสนาได้ไห้ความสำคญั เกยี่ วกบั หลักปฏิบ้ติสำหรบั คนทุกเพศทกุ ชนั้ วรรณะของลงั คม ถ้าศึกษายอ้ นไปดูภูมิหลังกน่ี ที่อุบตั ขิ องพระพุทธศาสนา จะเหน็ ได้ว่ามีการจัดชนชนั้ เปน็ วรรณะใหญ่ ๆกนั อยู่ ๔ วรรณะดว้ ยกัน คอื วรรณะกษตั รยิ ์ พราหมณ ์ แพศย์ และศทู รในสว่ นที่เป็นเพศภรรยาจดั วา่ เป็นสตรเี พศ การดูแลภรรยา ทา่ นเรียกว่าการสงเคราะหภ์ รรยา หลกั คำสอนตรงน้ีเป็นการเน้นย้าํ ไปทใี่ หช้ ายผเู้ ป็นสามไี ด้ตระหนักถึงความสำคญั ในการทำหน้าท่ดี ูแลภรรยาให้เกียรตภิ รรยาไมก่ ดฃีข่ ่มเหงลบหลู่ ดูหมน่ิ เหยยี ดหยามประมาณเกยี รติศักดศรีของสตรีการทช่ี ายผ'นเ้ ปน็ สามไี ต้ทำอจุปการะภรรยาด้วยฬฐานะต่าง่ ๆ1โดยใหก้ ารยกยอ่ งนับถือ ใหเ้ กียรตไิ ม่ดถู กู ไม่ดหู มนิ่ ไมป่ ระพฤตนิ อกใจ มอบความเปน็ ใหญ่ในบ้านให้ภรรยาดูแลกิจการได้ มอบเครอ่ื งประดับแต่งตวั ใหเ้ ซ่นนี้ ซอ่ื วา่สามไี ด้ทำการสงเคราะหภ์ รรยา ดูแลภรรยา พระพทุ ธเจา้ ตรสั ถงึ การสงเคราะหภ์ รรยาวา่ เป็นหนา้ ทขี่ องสามีที่จะตอ้ งสงเคราะห์ภรรยา การทต่ี รสั ไวเ้ ซน่ นน้ั ก็เพราะพระองค์ทรงคำนึงถงึปัญหาของสตรใี นดา้ นต่าง ๆ น้ันคือ ๑. สตรี เม่อื เป็นสาวไปสสู่ กลุ แหง่ สามี ย่อมพลัดพรากจากญาติท้งั หลายของตน ๒. สตรี ย่อมมปิ ระจำเดือน ๓. สตรี ยอ่ มม ีครรภ์ ๔. สตรี ย่อมคลอดบุตร ๕. สตรี ทำหนา้ ทีป่ รนนิบตั ิบรุ ุษ ๑๘๙
สขุ ใจทไี่ ดอ้ า่ นสารธรรมเพีอ่ ชวี ิตที่ดปี า่ ม ถา้ ยอ้ นกลบั ไปดสู ังคมของประเทศอนิ เดยี ในสมยั โบราณ จะเหน็ได้ว่าสตรีถูกกดขีข่ ม่ เหงเปน็ อย่างมาก จนภายหลงั พระพทุ ธเดา้ ได้ยกฐานะของสตรใี ห้สูงเด่นขึ้น ด้วยการรบั สตรใี ห้เข้ามาบวชในพระพทุ ธศาลนาได้ แต่ถ้าศึกษาดูแล้ว ไมว่ า่ จะเป็นสมัยโบราณหรอื สมยั ปจั จบุ ันก็ดเู หมอื นว่า มใิ ช่แตส่ ตรอี นิ เดียเทา่ นัน้ แตน่ า่ จะเปน็ สตรที ง้ั โลก สตรีหลายลา้ นคนที่ยงั ไม่ได้รับเกยี รติจากบรุ ุษในสังคมต่าง ๆ พระพุทธเดา้ ไดต้ รสั กับสิงคาลกมานพว่า สามีพึงทำหนา้ ที่สงเคราะหภ์ รรยา ๕ ประการ หนา้ ท่ดี ังกลา่ วนน้ี ำมาสูก่ ารปฏบิ ัติตอ่ ภรรยาใหเ้ ปน็ รปู ธรรมเดน่ ซดั ได้ คือ ๑ . ยกยอ่ งนบั ถอื วา่ เปน็ ภรรยา ยกย่องใหเ้ กียรตทิ ้งั ทางพฤตินัยประพฤตปิ ฏิบัตติ นต่อกันดว้ ยยอมรบั ในความเปน็ สามภี รรยากนั ประกาศจตดอ่ ทชจิะมุ เบช นอยา่ งเหมาะสมในฐานะภรรยาและ ท า ง น ิต ิน ัย ใหก้ ารยกยอ่ ง ียนสมรสถกู ต้องตามก43 ฎหมายบา้ นเมือ ง ๒. ไมด่ ูหมิน่ ไมใซคั ำกลา่ วลบหสู่ดูหมน่ิ เหยยี ดหยามประมาณเกยี รติศักดศ้ี รีของสตรเี หมอื นอยา่ งทค่ี นทง้ั หลายทบุ ตีเบยี ดเบยี น'ทาสและกรรมกร ดว้ ยเหตุท่ีวา่ คนขา้ งเคยี งท้งั หมดจะพลอยดถู กู ดูหมิ่นสตรีที่สามีดหู มิน่ ไปด้วย ๓ . ไมป่ ระพฤตนิ อกใจ ไมไ่ ปม คี วามสมั พันธท์ างเพศกบั หญงิ อน่ืท่ีไมใชภ่ รรยาของตน ๔. มอบความเป็นใหญ่ในครอบครวั ใหม้ อบหนา้ ท่ีดแู ลบ้านเรือนให้ทัง้ หมด รวมท้ังให้เป็นผ้มู ีอำนาจจัดการเก็บทำคุ้มครองทรพั ย์สมบตั ิทีส่ ามีหามาไดใ่ หเ้ ปน็ การเกบ็ ทำท่เี รยี บร้อย ๕. ใหเ้ ครื่องประดบั แตง่ ตัว คอื มอบของขวญั มขี องฝากใหภ้ รรยาบ้างตามโอกาสอนั เหมาะลม๑๙๐
สุขใจทไ่ี ด้อา่ น สารธรรมเพี่อชวี ิตท่ดี ีปา๋ ม ภรรยาที่ดีน้นั ได้ซือ่ ว่าเปน็ แมศ่ รเี รอื น เป็นเสมือนรากแกว้ ของต้นไม้ นน้ั คือตน้ ไมท้ มี่ รื ากแก้วจะก่อให้เกิดความมัน่ คงแผไ่ พศาลบ้านที่ขาดแมบ่ ้านขาดแม่ศรเี รือนทดี่ ืก็เหมอื นต้นไมข้ าดรากแก้ว ไม1มน่ั คงดำรงตนอยู่ลำบาก สามีท่านใดทำการสงเคราะห์ดแู ลภรรยาได้เป็นอยา่ งดี สามีทา่ นนัน้ จะไดร้ ับความเลอื่ มใสจากคนท่ัวไป แม้แตเ่ ทวดากย็ งั เล่อื มใสคนที่เลี้ยงดภู รรยาดแู ลภรรยาดี ดง้ ในเรอื่ งของท้าวสกั กเทวราช ทต่ี รัสกับมาตลุ ีมีข้อความปรากภ^ อย‘บ1ูในปฬฐ่ มสกั กนมัสสนส‘บู่ตร ทจํ ตุ ยิ วรรคสักกสังยจตุ ว่า“ มาตุลี คฤหสั ถ์เหลา่ ใดทำบ ญุ มีศลี เป็น อบุ าสกเลีย้ งภ รรยาโดยธรรมเรานอบนอ้ มคฤหัสถ์เหล่านน้ั ” สำหรบั ภรรยา เมือ่ ไต้รบั การสงเคราะหด์ แู ลจากขอ้ ปฏบิ ต้ ิของสามีดงั กล่าวแล้ว เมอ่ื ประสงคจ์ ะทำหนา้ ทีข่ องตนให้ดีท่ีสุดตอ้ งปฏิบตั หิ น้าที่ต่อสามี ๕ ประการดว้ ยกน้ คอื ๑ . จัดการงานในบ้านเรยี บรอ้ ย ๒. สงเคราะห์ญาตทิ ้ังสองฝา่ ยด้วยดี ๓. ไม่ประพฤตินอกใจ ๔. รักษาทรพั ย์ทีส่ ามีหามาไดไี วใ่ หด้ ี ๕. ขยันไมเ่ กยี จครา้ นในการงานท้งั ปวง นอกจากน้ีแลว้ ทา่ นผูร้ ซู้ ง่ึ มีประสบการณ์ผ่านวัยผา่ นชวี ิตมานานไดก้ ล่าวถงึ ขอ้ ปฏิบัติของภรรยาเอาไวว้ า่ ภรรยาต้องทำกจิ ของครอบครวั ไมใ่ ห้ขาดตกบกพ ร่องน้ันคอื จะตอ้ งมี ๔ เก่ง และ ๔ ยอด ประการแรกมี เก่ง คอื - เกง่ ครัว เก่งทำกับขา้ ว ท้งั คาวหวาน งานครวั สะอาด - เกง่ คลงั เกง่ ด้านการเงินการทองการเศรษฐกจิ รจู้ ักคิดใช้จา่ ยประหยัด ๑๙๑
สขุ ใจท่ไี ดอ้ ่านสารธรรมเพ่ือชีวติ ที่ดีปา๋ ม - เกง่ ชา่ ง รูจ้ กั เย็บปกั ถักรอ้ ย ปรบั ปรงุ เปลีย่ นแปลงเครอื่ งแต่งบ้านแต่งเรือน เครอ่ื งแต่งกาย ใหเ้ ป็นระเบยี บเรียบร้อย สวยงามน่าดูนา่ ชม - เก่งพยาบาล รู้วธิ ีพยาบาลขนั้ ตน้ เจบ็ ป่วยเลก็ ๆ น้อย ๆ ไม่ตอ้ งไปหาหมอให้เสยี เวลา ๔ ยอด คอื - ยอดหา สรรหาสิง่ ทเี่ ปน็ ประ'โยชน์ แสวงหาบญุ ไม่หมกมุ่น ในอบายมขุ หมัน่ หางานทำหาเงนิ หาอาหารการกนิ - ยอดทำ ทำงานเกง่ ดี เรียบร้อย งานครัว ปรุงอาหารอร่อยมรี สโอชาน่ารับประทาน - ยอดคำ พดู จาออ่ นหวานไพเราะนา่ ฟัง โอภาปราศรยั ด้วยมิตรไมตรี - ยอดใจ มีจติ ใจเต็มเปยี มดว้ ยเมตตาปรานี มีคุณธรรม นอกจากขอ้ ปฏิบัติดงั กลา่ วน้แี ลว้ สามตี อ้ งใหก้ ำลังใจภรรยาดว้ ยตอ้ งขยันหารายไดล้ ดรายเสียห่างไกลจากอบายมุขทุกชนิดหว่ งบา้ นหว่ งลกูห่วงภรรยา ต้องประพฤติปฏิบตั ิตนใหต้ ั้งม่นั อยู่ในหลักธรรม ๔ ประการ คือ ๑. สัจจะ ซ่อื สัตย์ตอ่ กัน เป็นคนซ่อื ตรงม่ันคง ไม1หลอกลวงไมก่ ลับกลาย เปน็ สามภี รรยากนั จริงๆ ไมใชเ่ ปน็ เลน่ ๆ ถ้าเปน็ ไม,จรงิ เป็นเลน่ ๆ เด๋ียวก็เลิก ตอ้ งมีสัจจะ จรงิ ใจตอ่ กัน ๒. ทมะ รู้จกั ขม่ จติ ใจตนเองได้ ร!ี กตนเองใหม้ ีสมรรถภาพพร้อมท่ีจะทำมาหากินรบั ผิดชอบตอ่ ครอบครวั ไต้ ๓. ขันติ อดทนอดกลน้ั ต่อเหตุการณ์ตา่ งๆ อดทนสู้กับความยากลำบากในการทำงาน อดทนตอ่ ความปว่ ยไขอ้ ดทนต่อความเจ็บใจในเม่ือผ้อู ื่นทำให่ไม่พอใจ๑๙๒
สขุ ใจท่ีได้อ่าน สารธรรมเพื่อชีวติ ที่ดีงาม ๕. จาคะ เสยี สละ คือ มนี ํ้าใจเอื้อเทืเ้ อเผื่อแผ่ชว่ ยเหลือกนั และสงเคราะหผ์ ้อู ่ืนตามสมควรแก่ฐานะแก่โอกาส สละอารมณ์ทข่ี ่นุ ข้องหมองใจรู้จักใหอ้ ภยั กนั และกันต้อง'ฝึกปลอ่ ยวาง และทำใจเอาไวห้ ้าง วนั นี้เราอยู่ใต้หอ้ งฟ้า วันหน้าอยู่ใตฝ้ าโลง นอกจากขอ้ ปฏิบัติดงั กล่าวนี้แล้ว ท่านผ้เู ปน็ สามี คือเป็นผู้มีหนา้ ท่ีดแู ลบุตรและภรรยา เป็นหัวหน้าครอบครัวจะตอ้ งหลีกเล่ยี งและมีหลกัในทางท่ีดีนัน่ คือ ๑ . หลีกเลี่ยง จากการเอาเปรียบภรรยาดว้ ยการหนไี ปหาความสขุคนเดยี ว ๒. มีหลกั คอื หันกลบั มาชิงความไต้เปรียบภรรยาในตา้ นตา่ งๆเช่น ค1ู สามีภรรยาทต่ี อ้ งทำงานนอกหา้ นต้วยกัน เม่ือเลกิ จากงานกลับมาถงึ ห้านสามตี ้องชิงความไต้เปรียบภรรยาดว้ ยการ-กวาดหา้ นกอ่ น-ถูหา้ นก่อน-ลา้ งจานก่อน-หงุ ข้าวกอ่ น-แช่เส้อื ผา้ กอ่ น-ซกั เสอ้ื ผ้าก่อน ทำไตเ้ ช่นนีแ้ ล้วกจ็ ะเห็นภรรยายม้ิ และมีความสุข ถา้ อยากเห็นภรรยายมิ้ และมีความสขุต้องลองปฏิบตั ดิ ู เมื่อปฏบิ ัติแลว้ ทา่ นก็จะเห็นว่าความสขุ เล็กๆ ความสขุน้อย ๆในครอบครวั นนั้ หาได้ไม่ยากเลย เมอ่ื กล่าวตามหลักธรรมะ พระทา่ นสอนวา่ ให้เช่อื กฎของการกระทำและผลของการกระทำลี่งทที่ ำไปแลว้ ย่อมเป็นผลงาน สามีท่านใดท่ีปฏบิ ัติตนดังกลา่ วนี้ กช็ ื่อวา่ เปน็ ผูท้ ่ีมผี ลงานเม่ือทำไปนานๆ ถงึ ช่วงงบประมาณถึงสนิ้ ปี ก็ลองใหค้ ณะกรรมการคือลกู ๆ ช่วยกนั พจิ ารณาดูวา่ ระหวา่ งพ่อกับแม่น้นั ปีนใี่ ครควรจะไต้สองขั้น ก็นับไตว้ า่ เป็นผลงานทนี่ ่าสนใจไปอกี แบบหน่ึงนะครับ ข้อปฏิบัตติ ามทกี่ ล่าวมานี้ เม่ือนำไปปฏบิ ตั ิไตด้ คี รบสมบรู ณ์แลว้ กเ็ ปน็ ความดีงามของผู้ปฏิบตั ิ ท้ังกอ่ เกดิ ความสุขแก1คนใกลเ้ คียงโดยเฉพาะการสงเคราะหด์ ูแลภรรยาตามหลกั คำสอนทางพระพทุ ธศาสนานัน้ ๑๙๓
สขุ ใจทีไ่ ด้อ่านสารธรรมเพ่อื ชวี ิตทดี่ งี ามทา่ นจดั วา่ เปน็ อดุ มมงคลแก,ผปู้ ฏิบตั ิ เพราะเหตุท่วี ่าการสงเคราะหก์ ันด้วยการยดึ เหนี่ยวนํ้าใจของกันและกนั เอาไว้ ทำใหเ้ กิดความเขา้ ใจกนัรใู้ จ กนั ไวใ้ จกนั ครองรักครองเรือนกันได้นานม่ันคงครอบครวั มคี วามสุขมคี วามพร้อมและสะดวกตอ่ การสรา้ งหลักฐานของครอบครวั กายและใจได้รับการพฒั นาใหม้ คี วามสะอาด สว่าง สงบ เปน็ สุขอย่ตู ลอดเวลาพระพุทธเจ้าตรสั รับรองไว้ว า่ ....ทารสฺส สงคฺ โห เอตมฺมงฺคลม ตุ ตฺ มํการสงเคราะห์ (ดูแล) ภรรยา เปน็ มงคลอนั สงู สดุ ฯ๑๙๔
ได้สขุ ใจที่ อ่าน เ^ สารธรรมเพื่อชีวิตทด่ี ้ปา๋ ม โ ด ย . . . พ ัน เ อ ก ส ม ค ิด ส ว ย ล ํา้ “ ต ั้งใจ ” ทำอะไร ต้ังใจ ทำให้ดีตง้ั ใจนี้ มีชัย ไปกวา่ ครงึ่สชู้ วี ติ พชิ ตี งาน ไมพ่ ร่นั พรึงเปน็ ทีห่ นง่ึ สขุ สมหวงั เพราะตงั้ ใจ ตัง้ ใจ เป็นคำพูดทีเ่ ขา้ ใจง่าย พดู กันบอ่ ยครั้ง ฟังกนั มานาน เด็กก็ฟงั เข้าใจ ผใู้ หญ่กฟ็ งั เขา้ ใจ เวลาจะทำอะไร ผ้ใู หญ่หรอื ผู้นำในการประกอบพิธีกรรมน้นั ๆจะบอกให้ต้งั ใจ เซน่ ตั้งใจทำบุญต้งั ใจไหว้พระสวดมนต์ตงั้ ใจลด ละ เลกิ อบายมขุ ตัง้ ใจศกึ ษาเลา่ เรยี น ต้งั ใจทำงานใหด้ ี รวมความกค็ อืจะทำ จะเปน็ ในตำแหนง่ หน้าท่ีใด กต็ งั้ ใจทำ ตงั้ ใจเป็นให้ดี บางทีมผี 'ู้ ทำงานบกพร่อง กจ็ ะได้รบั คำตำหนจิ ากท่านผ้รู ูว้ ่าใหต้ ั้งใจทำงานให้ดี ต้ังใจได้กลายเปน็ คำทม่ี พี ลงั มหัศจรรยไ์ นการประกอบภารกิจสำหรับดำเนนิ ชีวติ ของคนในสงั คม ให้สามารถเป็นไปในทางทดี่ ีงามได้ ข้อคดิ พจิ ารณ าถงึ ความมหัศจรรย์ของคำวา่ ต้ังใจ นีส้ ามารถจะพิสจู น์ได้ตามหลักการงา่ ยๆ คือ ๑ . ทกุ ครงั้ ที่มคี วามตัง้ ใจ จติ ย่อมม ีการเปลีย่ นแปลง ต้งั ใจท ำ ด ี จติย่อมเปลีย่ นไปในทางท่ีดี ตง้ั ใจทำชัว่ จติ ย่อมเปล่ียนไปทางทช่ี ่วั ๒. การกระทำส่ิงใดโดยตงั้ ใจไว้ ยอ่ มสำเร็จผลเร็วกว่าการกระทำโดยไม,ตั้งใจไว้ เซ่น บคุ คลท่ีเดินออกจากนา้ นไปเรื่อยๆ โดยไมม่ เี ปา้ หมายไมไ่ ดต้ ัง้ ใจวา่ จะไปทใี่ ด กรณีอย่างนี้!ห้เดนิ ทัง้ วัน ท้งั เดอื น ท้งั ปี หรือเดินจนตาย กไ็ ปไมถ่ ึงไหน และก็กำหนดไม่ได้ว่าจะถงึ เมือ่ ไร เพราะไม่ไดต้ ั้งใจ ๑๙๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281