Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สุขใจที่ได้อ่าน ๒

สุขใจที่ได้อ่าน ๒

Description: สุขใจที่ได้อ่าน ๒

Search

Read the Text Version

สขใจที่ได้อา่ น สารธรรมเพื่อชวี ติ ท่ดี ปี ๋ามความเจริญในดา้ นวัตถุ ไม่นำพาตอ่ ความเจริญในดา้ นจติ ใจ ส่วนศีลธรรมสรา้ งความเจรญิ ในสว่ นจติ ใจใหแ้ กม่ นุษยฉ์ ะนน้ั วทิ ยาศาสตรก์ ับศลี ธรรมจงึ ควรค่กู นั ไป วทิ ยาศาสตรเ์ จรญิ ขนึ้ เพียงไร ศีลธรรมก็ควรเจริญขน้ึ เพียงนน้ัความเจริญใหด้ ้านวัตถุกา้ วไปไกลเพียงใด ความเจริญในดา้ นจิตใจก็ควรก้าวไปใหไ้ กลเพยี งน้นั โลกจะหมนุ ไปหาความเจริญเพียงไรกต็ าม ความต้องการในต้านศีลธรรมก็จำต้องให้มปี รมิ าณมากข้นึ ขนานกันไป ฉะนนั้ ศีลธรรมจึงเป็นของจำเป็นสำหรับโลกทุกยุคทุกสมัย ดง้ เหตผุ ลท่ไี ด้กล่าวมาแล้ว ( ร ิ) ( & ( ช ุ้)

สุขใจท่ีไดอ้ า่ นสารธรรมเพือ่ ชวี ิตที่ดีงามโตย...พันเอก วสิ ทิ ธิ วไิ ลวงศ์ “ วงจรชวี ติ ” “ชวี ติ ของคนเรามีการเกิดขึ้น ตั้งอย่แู ละดับไปเป็นธรรมดา เกดิ ข้นึแลว้ ยอ่ มดบั ไปดำรงชีวติ อยู่ไดักส็ บาย” นค่ี ือสัจธรรมแหง่ ชีวิตของมนุษย์ทต่ี อ้ งตกอยูในไตรลักษณ์ คอื อนจิ จงั - ทกุ ขงั - อนตั ตา โดยทวั่ หนา้ กันทกุ รปู ทุกนาม โดยเสมอเหมอื นกนั ไมม่ ขี ้อยกเวน้ ไม่วา่ จะยากดีมจื น ดบั แคน้แสนลาหัส หรืออุบัติเปน็ เศรษฐีมหาเศรษฐกี ต็ ามที ย่อมหนไี มพ่ น้ กฎแหง่ธรรมชาตนิ ท้ี จ่ี ะตอ้ งทรงไวซ้ ง่ึ สภาพความเป็นจรงิ คือ เกิด - แก่ - เจบ็ - ตาย อนิจจงั คือ ชวี ิตท,ีไม่เท่ยี งแทแ้ นน่ อน ทกุ ขงั คอื ชีวติ ทที่ นไคย้ ากตอ้ งทนทุกข์อยู่ราํ่ ไปและอนัตตา คือ ชวี ิตทบี่ ังคับบญั ชาไม,ได้ สจั ธรรมแห่งชีวติ ดงั กลา่ วแลว้ น้ี จงึ เป็นของจริงหรือเป็นความแทจ้ ริงตามธรรมชาตขิ องสงิ่ มีชีวิต ท่งั คน สตั ว์ และพืชพันธุต่างๆ โดยภาพรวมเรียกวา่ “สังขาร”คอื ธรรมชาตทิ ไี่ ต้รบั การปรงุ แต่ง เซน่ คน ไต้รบั การปรุงแต่งตามสายพนั ธุใหเ้ กดิ เปน็ คน จนเจริญเติบโตเรือ่ ยมาตามลำดับ โดยเฉพาะในเรือ่ งของคนน้ี จะขอกลา่ วเนน้ ใหเ้ ห็นถงึ ความเปลีย่ นแปลงตามลำดบั ของวงจรชีวิต ดังน้ี วงจรชวี ิตอนิจจงั สภาพของมนุษยเ์ ร่ืมตัง้ แตค่ ลอดแลว้ อยูร่ อดเปน็ ทารก เจริญเตบิ โตเรือ่ ยมาเขา้ สวู่ ยั เด็ก วยั ผใู้ หญ่ วยั ชรา และเขา้ สภู่ าวะแหง่ มรณะ คอืความตายตามลำดับ สภาพของสงั ขารเมอ่ื เกิดใหม่ ๆ กย็ งั อ่อนแอ ยังไม,แข็งแรง ยงั ช่วยเหลอื ตัวเองไมไ่ ต้ ต้องมีผ'ู้ ช่วยคือ ผ้เู ลี้ยงดู เซ่น บิดา มารดาและผู้ปกครอง เป็นต้น ค่อยๆ เจรญิ รงุ่ เรือง แขง็ แรงขึน้ เร่ือยๆ ตามลำดับพอเจรญิ เติบโตถงึ ขดี สงู สดุ หรอื เติบโตจนสุดท่แี ล้วกจ็ ะค่อย ๆ ทยอยลดตา่ํลงๆ คอื คอ่ ยถอยแรงลงมาเรือ่ ยๆ แก,ตวั ลงตามลำดบั จนถึงภาวะหมด๑๔๒

สุขใจทไี่ ดอ้ า่ น สารธรรมเพ่ือชีวติ ที่ดงี ามแรงท่จี ะต่อส้ใู นชีวติ อกี ตอ่ ไป น่นั หมายถงึ ความเสอื่ มโทรมทางสงั ขารเขา้มาเยือนแล้ว เรา - ท่านทัง้ หลายต้องเตรียมรบั กันให้ดี รา่ งกายของเราทงั้ โดยอนุโลม - ตามลำดับ และปฏิโลมคอื ทวนลำดบั ยอ่ มตกอย่ใู นภาวะอนจิ จังท้งั สน้ิ เชน่ ผมง Iนศรี ษะ เม่ือก่อนนนั้ ดกดำเป็นเงางาม แตเ่ ด๋ียวนเี้ หี่ยวเฉามีรังแคแถมหงอกโดยส่วนมาก ถา้ จะถอนผมหงอกกันแลว้ คงไมเ่ หมาะน่าจะถอนผมดำมากกวา่ เพราะผมดำมีนอ้ ยกว่าผมหงอก เพราะอะไร เพราะผมมันตกอยใู่ นอนิจจงั - ไมเ่ ท่ียงแทแ้ น่นอน ดวงตา/นัยน์ตา/สายตา เมอื่ กอ่ นอย่ใู นลภาพดมี าก ใชง้ านไต้ดีจริงๆ ทัง้ มองระยะใกลแ้ ละมองระยะไกลไม่ตอ้ งสวมแว่นตา แต่พอมาถงึปัจจบุ ันความครา่ื คร่าของสงั ขารก็มาเยอื น ทำใหส้ ายตาสนั้ บ้าง สายตายาวบ้าง สายตาเอียงบ้าง เจ็บตาขัดเคืองตา และตาฝืาฟางหรอื มืดมัว เปน็ ตน้เลยตอ้ งดัดแว่นตาใส่กันทกุ ถว้ นหนา้ สำหรับคนสงู อายุ ผมู้ ี1วยั ต้ังแต่ ๓๐ - ๔๐ปี เปน็ ต้นไป ตอ้ งขยับรอบของแวน่ ตาข้ึนไปเร่ือยๆ จาก ๑๐๐ เปน็ ๑๕๐เป็น ๒๐๐ - ๒๕๐ - ๓๐๐ ขยับไปเรื่อยๆ น่ีแหละอนจิ จังของนัยนต์ าหรือสายตาไม่เที่ยงเลยจรงิ ๆ ตอ่ ไปเปน็ หู หรอื โสตใ.!ระสาท เมือ่ ก่อนเสียงดัง ฟ้งชัด ไต้ยินไต้เต็มท่บี รบิ รู ณ์ไม่ผิดเพย้ี น ทุกวนั น้ี ฟ้งอะไรไม่คอ่ ยไต้ยิน ตอ้ งพดู ดัง ๆ หรือตะโกนดัง ๆ จงึ จะไต้ยิน บางคร้งั ตอ้ งตะแคงหฟู งั เพราะฟงั ไต้ถนัดชดั ดีที่หูขา้ งเดียว หรอื บางรายกอ็ นิจจงั เกินไป คือ หูหนวกกอ่ นวัยอนั ควร ต่อไปเป็น 1เากและฟนั เมอ่ื แรกเรมิ่ ฟนั ยอ่ มจะคอ่ ยๆ งอกมาทีละซี่ ใช้'งาน,ไตด้ ี พอสมควรแก่กาลเวลาแลว้ ธรรมชาตกิ เ็ รยี กคืน ฟนั แท้ก็คอ่ ยๆ หกั ไปทีละซๆ่ี อีกเช่นกนั ต้องใชฟ้ ันปลอมกันท้งั ปาก ถอดงา่ ย ลา้ งง่าย ใชไต้ง่าย แต่ลำบาก เพราะผิดธรรมชาติ เมือ่ ฟันเสือ่ มสภาพ ปากและริมรี]ปากก็ย่อมเส่ือมสภาพตามไปด้วย พรอ้ มท้ัง่ฬ้นิ ซึง่ อยูในปาก เป็นตวั คอยร้ปรส ๑๔ ๓

สขุ ใจทีไ่ ด้อ่านสารธรรมเพือ่ ชวี ติ ที่ดงี ามและคอยกระดก หรอกระดกุ กระดิก ตะหวัดไปตะหวดั มา หดเข้า ยืดออกทำให้พดู ได้ สือ่ ความหมายไดน้ านาประการ มันกพ็ ลนั เสือ่ มสภาพไปตามลำดับด้วย กินไมค่ ่อยอร่อย ลนิ้ ไมค่ ่อยจะรรู้ ส พูดไม่ค่อยถนัด หรือพูดไม่คอ่ ยชัดเหมือนกบั เดก็ หัดพูด ออ้ ๆ แอๆ้ สัน่ เครอื คลา้ ยคนเมา พยายามพูดส่อื ความหมาย แต่ไมค่ อ่ ยจะได้ความ เพราะล้นิ มันเส่อื มสภาพหรือทำงานไม่ได้ตามปกติ นี่กอ็ นจิ จังอกี เซ่นกัน ตวั อย่างตอ่ ไปคือ มอื และเท้า พร้อมท้งั แขนและขา เม่ือกอ่ นแรกเกิดยงั ออ่ นแอ ทำงานไม่ไดพ้ อแขง็ แรงเตบิ โตขึ้นมาเร่อื ย ๆ กเ็ รม่ิ ทำงานได้ตามลำดบั พอทำงานได้เตม็ ทล่ี กั พกั หนง่ึ แลว้ กค็ อ่ ย ๆ อ่อนแรงลงมาเรอื่ ย ๆจนกระท่งั เขา้ ส่วู ัยชรา ทำอะไรไมค่ ่อยได้ จะเดนิ จะนั่ง จะนอน ก็ต้องมีคนคอยพยุงลกุ พยงุ นง่ั พยงุ นอน เหมอื นตอนเด็ก ๆ เลย อนจิ จัง มันเปน็ ระบบหมุนเวยี น เกิดขนึ้ - ตง้ั อยู่ - ดับไป อีกวาระหนึ่ง เปน็ ภพใหม่ ชาติใหมต่ ่อไป ตวั อย่างสดุ ทา้ ยของอนจิ จังกค็ ือ ระา II เการกนิ และกา?ขัา เก่ายชีวติ เมอ่ื แรกเรม่ิ เปน็ ทารก ตอ้ งมคื นป็อนข้าว ปอ็ นน้ํา และ'ไห'้ นกนม พรอ้ มท้งัชว่ ยเหลือในเรือ่ งของการขับถา่ ย พอเติบโตขน้ึ แขง็ แรงแล้ว ก็ชว่ ยตวั เองไดม้ าโดยตลอด ไมร่ สู้ กึ วา่ มนั เป็นอนจิ จงั แต่พอเข้าส,ู วยั ชรา หรอื สงั ขารมันออ่ นล้า อนิจจังกป็ รากฏชดั ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ตอ้ งมคื นคอย'ชว่ ยปอ้ นขา้ ว ปอ้ นน้ํา ให้ดืม่ นม และคอยชว่ ยเหลอื ในเรื่องของการขับถ่ายอีกวาระหน่ึง ท้งั ๆ ท่คี วามดำรงอยขู่ องสงั ขารกร็ า่ งกายอันเดมิ ชวี ิตของคนคนเดิมนน่ั แหละ แตม่ นั เปลยี่ นแปลงไปแล้ว วงจรชวี ติ ประการสดุ ทา้ ยประการต่อไป พกู 1ขัง - ความเปน็ พูกข์เม่อื ทนได้ยาก เปน็ ความลำบากของสงั ขารรา่ งกายเป็นผลสะทอ้ นมาจากอนจิ จงั นน่ั เอง เมอ่ื มนั ไมเ่ ทย่ี งแท้แนน่ อน มันกย็ ่อมเปน็ ทุกข์ ท้งั ทกุ ข์กายและทุกข์ไจ ใครทนไต้ อดไดก้ ป็ ระเสรฐิ และพอจะเปน็ สขุ ใครอดไมไ่ ด้ ทนไม่ได้ ก็ยาแยแ่ ละ เปน็ ทกุ ข์ ท่านผู้ฟง้ ลองนกึ มองตามสภาพของอนจิ จังที่กล่าวแลว้ ก็ได้ครบั ท่ีใดเปน็ อนิจจงั ทนี่ น่ั ย่อมเป็นทุกข์คอื ไม่สบาย เช่น ผมหงอก๑๔๔

สขุ ใจท่ไี ด้อา่ น สารธรรมเพอื่ ชีวิตทดี่ ปี ๋ามหรือคันศีรษะกเ็ ปน็ ทกุ ข์ หนา้ ตาเป็นรอยเห่ยี วยน่ บนใบหนา้ หรือท่เี รยื กว่า รอยตีนกา ก็เปน็ ทุกข์ สายตาส้นั สายตายาว สายตาเอียง ตามองอะไรไมค่ ่อยเหน็ ตาฝา่ ฟาง หรอื ตามดื บอดกเ็ ปน็ ทกุ ข์ หูฟังเสียงไม,ค่อยชัดหอู อื้ อึง หรือแม้กระท่ังหูหนวกก็เป็นทุกข์ ท่ังปากและฟนั พร้อมทั่งลิน้ ใช้งานไมไ่ ด้ตามปกติเพราะมันเส่อื มสภาพ ก็เป็นทุกข์ มอื ไมแ้ ขนขาอวัยวะตา่ ง ๆของรา่ งกาย ทำงานตามปกติไมไ่ ดก้ เ็ ป็นทกุ ข์ แค'รบั ประทานอาหารไมไ่ ด้ตามปกติ ระบบขับถา่ ยทำงานผิดปกติ แคน่ ก้ี ็,ทุกขม์ ากแลว้ น่แี หละ ทุกขังความเปน็ ทกุ ข์ของร่างกาย ซ่งึ เราไมอ่ ยากมือยากเป็น ไม่อยากได้ แตบ่ ดั นี้เราได้มนั แลว้ เป็นทกุ ข์ไหม วงจรชวี ติ ประการสุดท้าย อนัตตา ■ ไม1มตี วั ตนหรอื บงั คบั บัญชาไม'ได้ เป็นผลสืบเนอ่ื งมาจากอนจิ จงั และทกุ ขังเซ่นเดียวกัน เม่อื สังขารไม่เที่ยงและเป็นทุกขม์ ้นก็ย่อมเป็นอนัตตาเป็นเรื่องธรรมดาคอื ไมส่ ามารถท่ีจะบงั คับบญั ชาได้ว่า อย่าเกิด อยา่ แก่ อยา่ เจ็บ และอยา่ ตาย เส้นผมก็บังคับไม่ได้วา่ อยา่ หงอกใบหน้าก็บงั คบั ไม่ได้วา่ อย่างเห่ียวยน่ เป็นรอยตีนกาตาหรอื นัยน์ตากบ็ ังคับไมไ่ ด้ว่าสายตาอยา่ สน้ั อยา่ ยาว อย่าเอนเอยี ง หรืออย่าเสียหาย จมูกกบ็ งั คบั ไม่ได้วา่ อย่าเสื่อมสภาพ หูก็บงั คับไม่ได้ว่าหอู ย่าหนวก หูอย่าออื้ อึง อวยั วะในสังขารรา่ งกายทกุ ช้ินส่วน เราไม่สามารถบังคบัใหม้ ันเป็นไปอยา่ งทีต่ ้ังใจได้เลย พอจะบงั คบั ไดบ้ า้ งกบ็ างครงั้ บางคราวหรอืในโอกาสอันสมควรแก่การใช้งานเทา่ นนั้ แม้แตส่ รรพสิ่งท่งั ท่เี ปน็ รปู ธรรมและนามธรรม ทีเ่ กดิ ขน้ึ แก'หม่มู นุษย์ กไ็ มเ่ ท่ียงแท้แนน่ อน ยอ่ มเป็นทกุ ขแ์ ละเป็นอนตั ตาเหมือนกนัเชน่ เรอ่ื งของโลกธรรม ๒ ฝ่าย ๔ คู่ ๘ ประการ กเ็ ซน่ เดียวกนั เม่ือมลี าภก็ย่อมเสือ่ มลาภ มืยศถาบรรดาศกั ดีต้ ำแหนง่ หน้าที่ก็ต้องเส่อื มสูญไปจากสิ่งนี้เซ่นกัน บางคร้ังไดร้ ับคำยกยอ่ งสรรเสรญิ แต่บางทีต้องถูกนินทาว่าร้ายจนอารมณ์หงุดหงิดเอาชวี ิตแทบไม'อยู่ โดยสรุปชีวิตย่อมมืทัง่ สขุ และทกุ ข์คละเคลา้ กันไป แลว้ แต่ใครจะมลื ขุ มากสขุ นอ้ ย หรือทกุ ข์มากทกุ ข์นอ้ ยประการใด &( ช )ุ๊ ป &็

สุขใจท่ีไค้อา่ นสารธรรมเพีอ่ ชีวิตทด่ี งี าม อยากใหท้ า่ นทงั้ หลายได้เหลียวหน้าแลหลัง และมองพลงั ปจั จุบนัวา่ ปลงเสียเถดิ อย่าหลงระเริงกบั ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มากจนเกินไปอยา่ หลงมัวเมากับความหนุ่มสาวของชีวติ มากจนเกินไป อย่าหลงทางกับกาลเวลาแห่งโลกยิ สุข - สขุ ตามประสาชาวบา้ นมากจนเกินไป และในทางตรงกันข้าม ก็อย่าเศรา้ โศกเสียใจกบั ความเส่อื มลาภ เส่ือมยศ ถกู นนิ ทาว่าร้ายและเปน็ ทกุ ขม์ ากจนเกนิ ไป อย่าเศรา้ โศกเลียใจหรือทอ้ แทก้ บั ชวี ติ สงั ขารของตนเอง ท่ีดอ้ งเสือ่ มสภาพไปตามกาลเวลามากจนเกนิ ไป มัวแตท่ อ้ แท้และเสียใจกบั ความเจบ็ ไขได้ป่วยแลว้ เราได้อะไร ตอ้ งพยายามมองแยกรปูแยกนามใหใ่ ด้แล้วทำความดใี ห้กับชวี ิตที,ยังมีอยู่ จงึ จะไดด้ ี จงึ ฝากไวใิ นตอนทา้ ยนีว้ ่า “ชวี ติ นอี้ ย่าท้อ ศวามดียังรออย”ู่(5)(6

สุขใจทไ่ี ดอ้ า่ น สารธรรมเพื่อซวี ตท่ีดีงาม โดย...พนเอก สรุ ินทร์ อว้ นศรี “ การสำรวมอนิ ทรยี ”์ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ช่อื ว่า อนิ ทรยี ์ เพราะแตล่ ะอยา่ งเป็นใหญ่ในหนา้ ท่ีของตน ตาเป็นใหญใ่ นหนา้ ที่เห็นรูป หเู ป็นใหญ่ในหนา้ ทฟี่ ้งเสยี งจมูกเป็นใหญ่ในหนา้ ทดี่ มกลนิ่ ล้นิ เปน็ ใหญ่ในหนา้ ทล่ี มิ้ รส กายเป็นใหญ่ในหนา้ ท่ีถูกต้องสมั ผสั ใจเป็นใหญใ่ นหน้าทร่ี ู้ธรรมารมณ์ ความสำรวมระวังเอาชนะตาในขณะเหน็ รปู เอาชนะหใู นขณะฟังเสียง เอาชนะจมูกในขณะดมกลนิ่ เอาชนะลนิ้ ในขณะลิ้มรส เอาชนะกายในขณะถกู ต้องสมั ผสั เอาชนะใจในขณะรบั ร้ธู รรมารมณ์ นเ้ี รยี กวา่ อนิ ทรีย์สงั วร ๑ . ตา ตรงกับศัพทว์ ่า จักษุ มีหน้าทด่ี หู รือเหน็ ท่านเปรียบตาเหมอื นงู รปู เหมอื นทลี่ มุ่ ๆ ดอนๆ โดยท่ีตาชอบดอู ยา่ งล่มุ ๆ ดอนๆ และมอื าการลอกแลกยง่ิ ตาทม่ี ืกิเลสดว้ ยแลว้ กย็ ่งิ มองในทีอ่ นั ไมค่ วรมอง เพราะกเิ ลสยว่ั ยุตาใหม้ องสอดสา่ ยไปในท่ลี มุ่ ๆ ดอนๆ และแสดงอาการล่อกแล่กเหมอื นงู แต่งลู อกแลกเพราะระวงั ภัย ส่วนตาลอกแลกเพราะสอดส่ายหากามคณุ ไปทุกแหง่ หน สว่ นตาท่ีอยู่ในกรอบแหง่ ความสำรวมระวงั ดเู ป็น เหน็เปน็ ดสู งิ่ 'ใด เหน็ สงิ่ ใด ก็ดูส่ิงน้นั เห็นสิง่ น้นั ดว้ ยมสื ตคิ รอง ต้ังสมั ปชัญญะกำหนด รู้ตวั อยทู่ ่ีการดูการเห็น ใหผ้ ู้ดูผู้เหน็ ไตป้ ระโยชนค์ มุ้ ค่า คอื ไดค้ วามรูจ้ ริงเห็นแล้ง เกดิ ความเล่ือมใสและความสลดใจ หรอื ไดต้ วั อยา่ งจากส่ิงที่ดทู ีเ่ หน็ น้ัน ปรบั ปรุงตนให้ดงี ามขึ้นกว่าเดมิ เชน่ นี้ ชอื่ วา่ สำรวจระวงั ตาจัดเป็นมงคล แตต่ าท่ดี ูสงิ่ ใดเห็นส่งิ ใด มักดสู ่งิ นั้นเหน็ ส่งิ นั้น ดว้ ยอารมณร์ กัโลภโกรธหลงเข้าลิงใจ ย่วั ใหก้ ำหนดั ขัดเคอื ง ลมุ่ ห ลงมัวเมาไน สิ่งน ั้น ๆ ซ่อืว่า ไม ่สำรวมระวงั ตา ไมจ่ ัดเป็นมงคล เพราะทำใหผ้ ูด้ ูผู้เหน็ เสือ่ มประโยชน์เสยี เวลา ใจแตกเพลดิ เพลนิ เพลินแลว้ เปน็ สือ่ ให้หลง หลงแล้วทำให้เหลิงและเหลิงแลว้ ก็จะทำใหเ้ สียคนไปในท่ีสดุ ๑๔๗

สุ'ยใจทไ่ี ด้อา่ นสารธรรมเพื่อชีวิตท่ีดีปา๋ ม ๖. หู ตรงกบั ศพั ทว์ า่ โสตะ มหี นา้ ท่ีฟงั เสียงทัง้ เสยี งมงคลและเสียงอปั มงคล ท่านเปรยี บหเู ปน็ ดงั จระเข้ เสยี งเหมอื นวงั นํ้าวน เพราะสญั ชาติจระเขม้ ักชอบอยใู่ นวงั นํ้าวน อ้าปากคอยอบุ กินปลาทีต่ ามนํ้า1วนมา แม้'หกู ็ชอบฟังเสียงคอยรับความยนิ ดี และความยินร้ายอยทู่ กุ ขณะ เปน็ เสยี งตบิ ้างเสยี งชมบ้าง เม่ือหไู ดฟั งั เสยี งที่เขาติก็มกั จะด้อื ดา้ นถอื ร้ัน เมือ่ ได้ฟงั เสยี งชมกม็ กั จะยา่ มใจและอ้ารับการชมน้ัน แลว้ เดอื ดร้อนเคียดแคน้ ตอ่ คำติ และช่ืนซมเพลดิ เพลนิ ในคำชม นนั่ คอื หกู ิเลส หทู ่ีฟ้งไมเ่ ปน็ ฟังด้วยอารมณ์ รกัโลภโกรธหลง ไม่อยใู่ นกรอบแห่งความสำรวมระวัง ชอบฟังเสยี งมากกวา่ ฟงัเหตผุ ล ฟงั แลว้ หลงเชอ่ื ไปทกุ อยา่ ง ถกู กิเลส จูงไปใหเ้ สยี คนได้ ส่วนหูทอ่ี ย,ูในกรอบแห่งความสำรวมระวงั ชอบฟงั เหตฟุ งั ผลมากกว่าฟงั เสียง หไู วทนั กับเหตุการณ์ ฟังแล้วสอดส่อง หยง่ั เหตหุ ย่งั ผลสบื ค้นต้นปลายของเร่ืองทนั ทแี ละฟังเสียงใกล้ไกลทุกอย่าง แต่ฟังแลว้ไมถ่ ือเสียงเปน็ สำคัญ ฟังหูไว้'หกู ่อน ตงั้ สตริ ะวงั ในขณะฟังเสียง ฟังเอาจนร้วู า่ นี่เสยี งมงคล และขา่ วทเ่ี ป็นกศุ ล นน่ั เสยี งอปั มงคล หรีอข่าวท่เี ป็นอกศุ ลเสือกเฟนิ เอาเสียงที่เปน็ มงคลและขา่ วกศุ ล คัดเสยี งอปั มงคลและข่าวท่ีเป็นอกศุ ลออกท้งิ ใช้'พดู แต่คำมงคลและขา่ วกุศล เช่นน้ี ชื่อวา่ สำรวมระวงั หูมีข้อที่ควรจำไวว้ ่า หไู วเพราะมปี ญั ญา หูทรงคุณค่า เพราะมสี ตมิ ขี อ้ ทีค่ วรระวงั เก่ียวกับหู คอื หหู นักอยทู่ ่ีโง่เขลา หูเบาอยู่ท่ขี าดสติ ต. จมกู ตรงกบั ศพั ทว์ า่ ฆานะ มีหนา้ ทีร่ ะบายลมหายใจเขา้ ออกและดมกลิน่ ทา่ นเปรียบจมูกเหมอื นนก กล่นิ เหมอื นอากาศ โดยทส่ี ัญชาตินกอาศัยอากาศเป็นโคจร โผผินบนิ ไปมาเป็นอิสระ ถา้ นกถกู กกั ขังไว่ในกรงมนั จะดน้ิ รนดนั ช่ีกรงหาทางออกจนคอถลอกปอกเปกิ หรือด้นิ แทบหัวฉีกปีกหัก แมจ้ มกู ก็เซ่นกนั ชอบดมกลิน่ และอาศัยอากาศระบายลมหายใจ ทัง้ชอบอากาศโปรง่ บริสุทธี้สดชน่ื ถา้ เราอยู่ในห้องอบอา้ ว อากาศถ่ายเทเขา้ออกไม1สะดวก จมูกกจ็ ะคดั ตึงแนน่ หายใจ!]ดอึดอัด จะตอ้ งด้ินรนสอดสา่ ยหาอากาศโปรง่ ทีจ่ ริงอากาศสดช่ืนผสมกับแสงสวา่ งของดวงอาทติ ยน์ ้ัน คือมารดาตามธรรมชาติ บำรงุ ร่างกายให้มีกำลังแขง็ แรงวอ่ งไว บำรุงใจให้มกี ำลัง6 ) (ฬ{ ร ี่.

สขุ ใจทไ่ี ด้อ่าน สารธรรมเพอื่ ชวี ติ ท่ีดีงามเข้มแข็งคล่องตัว และบำรงุ เลี้ยงชีวติ ใหอ้ ยูย่ นื นานและเป็นสุขสำราญ ส่วนกลนิ่ ท่มี าตามอากาศน้ันจดั เปน็ กามคุณ คือส่ิงที่น่า'ใคร่น่าพึง'ใจ ล่อให้เกิดกเิ ลสเข้าสิงใจยัว่ ใหใ้ จกำหนดั ในอารมณ์เป็นทต่ี ั้งแหง่ ความกำหนดั ยุใหใ้ จขัดเคืองในอารมณ์เปน็ ท่ตี ั้งแหง่ ความลมุ่ หลง ยียวนใหใ้ จมวั เมาในอารมณ์เปน็ ทีต่ ้ังแหง่ ความมัวเมา จมูกย่อมสอดส่ายหากล่นิ ท่ยี ังไมไ่ ด้ เมื่อได้กล่ินทนี่ ่ายนิ รา้ ยก็ดิ้นส่ายหน้าหนี แต่เม่ือได้กลิน่ ท่นี า่ ยินดี ก็ดน้ิ เข้าหาติดพนั เปน็ สงิ ตดิ ตัง เรา้ ใจให้หวงจนเกิดกำหนดั ยุใจท่กี ำหนัดใหห้ งึ จนขัดเคือง ยวั่ ใจที่ขัดเคืองใหห้ มกมุน่จนเกิดลมุ่ หลง ลวงใหส้ ตฟิ นั เฟอิ นจนเกิดมวั เมา เม่ือใจมีกำหนดั ขดั เคืองลุ่มหลงมัวเมาแล้วกเ็ กิดหวงหว่ งถงึ กบั ยอมลงเปน็ ทาสของกล่นิ น้นั เช่นน้ี ซ่อืว่า ไมส่ ำรวมระวงั จมูก เปน็ อัปมงคล ส่วนจมกู ท่มี สี ตคิ รอง คอยควบคุมใจให้รสู้ ำนึกกอ่ นจะดมกลิน่ มสี มั ปชญั ญะกำกบั ใหร้ ้ตู วั ในขณะดมกลน่ิ ตง้ั ใจรักษาอนามยั ระวังฝ่นละอองหรอื เชือ้ โรคจะปลิวเข้าจมูก ไม่ดมดอกไมัจนชดิ จมูก ซึ่งอาจมเี ชอ้ื โรคอยู่ในเกสรดอกไมั เข้าไปทำอันตรายแก่จมกู จนเกิดโรคไดร้ ักษาประเพณีไมก่ อดจบู กนั ในทต่ี อ่ หนา้ ธารกำนัลและรักษาคุณธรรมไมเ่ กดิ กิเลส เปน็ เหตกุ ำหนดั ขัดเคืองลุ่มหลงมวั เมาเพราะดมกล่นิ น้นั เช่นน้ีช่อื วา่ สำรวมระวงั จมกู จดั เป็นมงคล ๔. ล้ิน ตรงกับศัพท์ว่า ชวิ หา ทำหนา้ ทรี่ ู้รล กล้วั อาหารใหเ้ ขา้ กันส่งลงในสำคอ และช่วยในการออกเสยี ง ทา่ นกลา่ วว่า รสเป็นสงิ่ ท่ีเลวรา้ ยเพราะเปน็ กามคณุ เพิ่มความตอ้ งการแกล่ ้นิ โดยทวคี ณู ซวนล้ินให้กินจบุ กินจิบ ชอบลมิ้ รสโดยไม่เลอื กอาหารว่างอาหารหนกั กินอย่างไม่ยบั ยั้ง ขอให้ไดก้ นิ เป็นพอ ลิ้นทอ่ี ยู่ใต้อำนาจของรสเชน่ นี้ ยอ่ มเปน็ ล้ินไม่มสี ตกิ ำกับ สว่ นล้นิ ที่อาศยั สตคิ วบคมุ คอยระมัดระวงั ก่อนจะล้มิ รล ต้งั สมั ปชัญญะกำหนดรตู้ วั ในขณะล้มิ และลิ้มรสท่ีควรล้ิม แม่ไดล้ ิม้ รสที่ควรลมิ้ แลว้ ก็รจู้ ักยบั ย้งัให'้ อยใู่ นความพอดี หักหา้ มใจไวิไม่ใหก้ ำหนัดขัดเคืองลุ่มหลงมวั เมาเพราะลมิ้ รสนน้ั ๆ น่คี ือ สำรวมระวงั ล้นิ ซึง่ จดั วา่ เป็นมงคล ๑๔๙

สขุ ใจทไ่ี ดอ้ า่ นสารธรรมเพือ่ ชวี ติ ท่ีดีงาม ๕. กาย หมายเอาอตั ภาพร่างกายตวั ตนของเราทุกสว่ น แม้กายทีเ่ ราสมควรจะต้องสำรวมระวงั นอกจากตาหูจมูกลิ้นตังบรรยายมาแล้ว ก็คือ การยนื เดิน น่ัง นอน แขน มือ ขา เทา้ ดวงหน้า เค้าหน้า ทา่ ทางและหว่ งที ควรระมัดระวังกริ ยิ าของทกุ สว่ นแหง่ ร่างกาย รู้จกั หลีกเลี่ยงกิริยาเลวฉลาดวางตัวไวในลกั ษณะทส่ี มควรเข้าใจ ใชก้ ริ ยิ าดงี ามแสดงออกทางการยนื เดิน นง่ั นอน และวางแขน ขา มือ เท้า ดวงหนา้ เค้าหน้า ท่าทางหว่ งที ใหส้ มฐานะของบคุ คล ถกู กาลเทศะ เหมาะแกส่ ังคม น่แี ลคือ การสำรวมระวังกาย อีกอย่างหน่งึ การ‘ฝกื หดั กริ ิยาให้เคลื่อนไหวปราดเปรียวใหัไม,แขง็ กระคา้ งเกะกะ ปรับปรุงใหม้ ืลกั ษณะกระฉบั กระเฉง และละมุนไปทว่ั สรรพางค์กาย พรอ้ มด้วยความแขง็ แรงและวอ่ งไว ให้มรี ะเบียบวนิ ัยและศลี ธรรม จัดเป็นการสำรวมระวังกาย อันเปน็ มงคลอีกอยา่ งหนง่ึ ๖ .ใจ ตรงกบั ศพั ทว์ า่ มโน มมี หาภตู รูปคือรา่ งกายของเราท่งั หมดเป็นทอ่ี ยู่อาศัย มีลักษณะดน้ิ รนกวัดแกวง่ วอกแวกเหมือนลิง อารมณ์เหมือนปา่ ไม้ โดยท่ใี จทำหน้าทีร่ ู้และคิดนกึ ต้องคิดถงึ อารมณน์ ้บี า้ ง คิดถึงอารมณ์นั้นบา้ ง ปล่อยวางอารมณ์นีแ้ ลว้ ไปรบั เอาอารมณอ์ ื่นอีก เหมือนลิงอยบู่ นต้นไม้ จบั กิ่งนีบ้ ้าง ก่งิ นัน้ บ้าง กระโดดจากกงิ่ นัน้ ไปสกู่ งิ่ โน้น สว่ นอารมณท์ ่ใี จคดิ นกึ นน้ั มีอยู่ ๒ อยา่ ง คือ อิฏฐารมณ์ อารมณท์ ีน่ ่ายินดรี ักใคร่ได้แก่ มีลาภ ยศ สรรเสรญิ สุข อนฏิ ฐารมณ ์ อารมณ์ท่นี า่ ยนิ ร้ายเกลยี ดชงัได้แก่ เสียลาภ เสอ่ื มยศ ถูกนนิ ทา ไตท้ กุ ขไ็ จ ก็จะติดจมอยใู่ นอฏิ ฐารมณ์จนแกต้ นไม'หลุด แม้!จทป่ี ระจวบกบั อนิฏฐารมณ์ ก็เกิดโทมนสั โศกเศร้าเจา่ จกุ ทกุ ข์รอ้ น จนเสยี สติสัมปชัญญะ นีใจทีไมส่ ำรวมระวงั นบั เปน็ อปั มงคลสว่ นการสำรวมระวงั ใจ ไมใ่ หเ้ พลิดเพลนิ ในอิฏฐารมณ์ และไม่ให้ยนิ รา้ ยในอนฏิ ฐารมณ์อย่างน้ีเป็นการดี ลมกับพระพทุ ธดำรัสว่า “ มนสา สงว'โร สาธ”ุการสำรวมระวงั ทางใจ เปน็ คณุ ยงั ประโยซนให้สำเร็จ จัดเปน็ มงคล เม่อื เราทราบวา่ คนผู้!มส่ ำรวมระวังตาหจู มกู ลิ้นกายใจ มักจะยินดีในบาป เห็นบาปปานนํ้าผงึ้ แต่ไม่มองเห็นทุกข์อนั จะตามมาเหมือนปลามอง๑๕๐

สฃใจทไ่ี ด้อา่ น สารธรรมเพี่อชีวติ ท่ีดีงามเหน็ แต่เหยือ่ ไมแ่ ลเหน็ เบ็ดเช่นน้แี ล้ว กพ็ ากนั สำรวมระวงั ตา หู จมกู ลิ้นกาย ใจ ปอ้ งกันบาปอกุศลไวไมใหเ้ ข้ามากล้ํากรายตน สละละวางบาปอกศุ ลออกจากกาย วาจา ใจก็ดี บำเพญ็ บญุ กุศลให้เกิดขน้ึ และรกั ษาบุญกุศลท่ีมีอยไู ว้ไห้เหมอื นเกลอื รักษาความเคม็ ก็ดี ยอ่ มจะพน้ จากทกุ ข์ บรรลถุ ึงความสุขไดต้ ามประสงคจ์ ำนงหมายได้ทั้งหมด แล้วย่อมหลุดพน้ จากทกุ ขท์ ง้ั ปวงได้ ดงั พระพทุ ธดำรัสวา่ ผู้เหน็ ภยั ในสังสารวัฏ มาสำรวมระวงั ในประตู คือตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ย่อมหลดุ พ้นจากทุกขไ์ ด้ (ริ) & (ริ)

สุขใจทีไ่ ด้อ่านสารธรรมเพือ่ ชีวติ ท่ดี งี ามโตย...พนั เอก สุรนิ ทร์ อว้ นศรี “ บคุ คล ๔ ประเกท” เรอ่ื งของมนษุ ย์ ถ้าจะคิดว่าเป็นเร่ืองง่ายกง็ ่าย ถา้ จะคดิ วา่ เปน็เร่อื งยากกย็ าก แต่แท'้ ท'่ี จรงิ มนุษยเ์ ราบางทีกง็ ่ายบางทีก็ยาก เหมือนหลักคำสอนในทางศาสนาสอนไวว้ ่า มนษุ ยเ์ รามที ้ังสขุ และทุกข์ แต่แท้ท่จี ริงแลว้มแี ต'่ ทกุ ข์ ทีว่ ่าสขุ นน้ั คือ ทุกข์น้อยตา่ งหาก จึงนับได้วา่ มนษุ ยเ์ รานนั้ ดำรงตนอย่บู นพน้ื ฐานของความย่งุ ยาก และสบั สนวนุ่ วาย ดังพระบาลวี ่า “อนุโตชฏา พหซิ ฏา ซฏาย ซฏติ า ปชา” แปลความวา่ หมมู่ นษุ ย์ยุ่งทงั้ ภายนอกย่งุ ทง้ั ภายใน ย่งุ ตลอดกาล คือมีปญิ หาตลอด1โป มนษุ ย์ตอ้ งคอยแก้ปญั หาให้กบั ชีวติ ของตนเองมาโดยตลอด จนกระทัง่ วาระสุดท้ายของชีวิต คือ ความตาย ใครมภี ูมปิ ญั ญาสามารถแก้ปญั หาได้ ผูน้ ัน้ จะประสบผลสำเรจ็ และมีความสงบสุขเปน็ กำไร สว่ นผทู้ ี่ดอ้ ยภมู ปิ ัญญา ย่อมได้รับผลตรงกันขา้ มคือ ความยอ่ ยยบั และมคี วามทุกข์ยากสำบากเป็นผล เพราะฉะน้ันจึงใคร่ขอจัดแบง่ กลุ่มของมวลมนุษย[์ นสังคมปจั จบุ นัตามพฤติกรรมนยิ ม ที่ปรากฏมาเลา่ ส่กู นั ฟงั ดังน้ี บคุ คล ๔ ประเภท ๑. ร แู้ ล้วทำ ๒. รแู้ ต่ไมท่ ำ ๓ . ไมร่ ้แู ตท่ ำ ๒ . ไ ม ่ร ู้ไ ม ่ท ำ บุคคลประเภทที่ ๑ “รแู้ ลว้ ทำ” หมายความวา่ บุคคลประเภทนี้เปน็ ผทู้ ่ีไดผ้ ่านประสบการณ์การเรียนรู้มาแล้วท้งั ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติท้ังทางตรงและทางออ้ ม แล้วนำความรอู้ นั เกิดประสบการณ์นัน้ ๆ ไป๑๕๒

สขุ ใจทไี่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพอ่ื ชวี ติ ทด่ี ีงามประยกุ ต้!ช!ั นการปฏิบต้ ิงานหรอื หนา้ ทข่ี องตนไดอ้ ยา่ งถกู ต้องและเหมาะสมจนมีผลงานดมี ปี ระสิทธิภาพเป็นท่ยี อมรับของหนว่ ยงาน และสังคมสว่ นรวม ชนดิทวี่ า่ มีผลงานสำเรจ็ ผลดีเป็นรูปธรรมท่ีเด่นชดั จัดไดว้ ่าเป็นบุคคลผปู้ ระเสรฐิควรแก'การยกย่องสรรเสริญและถอื เปน็ แบบอยา่ งที่ดีได้ บุคคลประเภทน้ีไดช้ ือ่ ว่าเปน็ คนเกง่ และดี ตามพระบรมราโชวาทขององคพ์ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๙ เพราะว่าคนเราน้ันจะเกง่ แต่เพยี งอย่างเดียวคงไม่ได้ จะต้องเป็นคนดดี ว้ ย จงึ จะใช้!ดห้ รอิ หากจะเปน็ คนดเี พยี งฝา่ ยเดยี วแต่ทำอะไรไม่เปน็ หรอื ทำไม่เก่ง กค็ งใช!้ ด้ไม่ดเี ทา่ ทคี่ วร บคุ คลจึงต้องเกง่ และดีประกอบกัน ผลงานจึงจะสมั ฤทธผิ ลดี เป็นรูปธรรมทีเ่ ดน่ ชัดดงั กลา่ วแล้วนน้ัฉะนั้นบคุ คลประเภทท่ี ๑ นจ้ี งึ ตอ้ งรดู้ ้วย ทำได้ดว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยิงเร่ืองความร้จู ะต้องเปน็ ความรปู้ ระเภท “ร้จู รงิ ” มิใซ่ “รูไ้ มจ่ ริง” บุคคลประเภทน้ีมีอยู่ในบ้านเมีองของเราเปน็ จำนวนมากพอสมควร พอทจ่ี ะสร้างสรรคค์ วามเจรญิ รุ่งเรอื งใหแ้ กช่ าตบิ า้ นเมอื งไดเ้ ปน็ อเนกประการ จึงกลา่ วไดว้ า่ สังคมใดมบี ุคคลประเภท “รแู้ ล้วทำ” นี้ เปน็ จำนวนมากสงั คมนนั้ ก็จะเจริญรุ่งเรอื งและประลบผลสำเร็จในการทำงานเปน็ อยา่ งดี ในทางตรงกนั ขา้ มก็จะไม่ประสบผลดีแตอ่ ยา่ งใดเลย บุคคลไ เระเภทท่ี ๒ “ร้แู ต่ไม่ทำ” หมายความวา่ บคุ คลประเภทน้ีเป็นคนทไี่ ด้ผ่านประสบการณ์การเรยี นรู้มาครบถ้วนแล้วทุกประการ เซ่นเดยี วกับบุคคลประเภทท่ี ๑ แตไ่ มย่ อมทำงานหรอื ภารกจิ ท่ีไดร้ ับมอบหมายตามหนา้ ที่ของตน เปน็ บคุ คลท่ีจดั วา่ เป็นคนเกียจครา้ น เป็นคนทอดธรุ ะ ไม่เอาใจใสในหน้าที่ เป็นคนละเลยหรือเพิกเฉยตอ่ หน้าท่ี ไมร่ ับผิดชอบหนา้ ท่ีมกั อา้ งน่นั อ้างนีแ่ ล้วหนีงาน บุคคลประเภทน้ีเขาเรียกว่า “คนดีแตพ่ ดู ” มีแต่ร าค าค ยุ ไม ่ม ีร าค าง าน เล ยเป็นคนไม่มีคา่ เปน็ คนไรร้ าค า ถา้ สังคมใดมีบุคคลประ๓ทนี้ อยู่เปน็ จำนวนมาก สงั คมนั้นจะประสบกบั ปัญหาความยงุ่ ยากมากมายมห าศาล ไม่สามารถท่จี ะบรหิ ารงานใหป้ ระสบผลสำเร็จได้ดังประสงค์ และจะกลายเป็นสังคมล่มสลายในกาลตอ่ ไป ถ้าพดู ถึงเรอื่ งการคบคนแล้ว บคุ คลประเภทนไ้ี ม่ควรคบหาสมาคมโดยประการทง้ั ปวง ๑๕๓

สขุ ใจที่ได้อ่านสารธรรมเพอื่ ชีวิตท่ีตีปา๋ ม ใ1)คคลประเภทท่ี ๓ “ไม'รแู้ ตท่ ำ” บคุ คลประเภทน้ี เปน็ คนเกียจคร้านตัง้ แต่เกิด ไมใ่ ฝร่ ู้ ไมใฝศ่ กึ ษาหาความรู้ พูดตรง ๆ วา่ ไมอ่ ยากเรยี นหนงั สอื มักหาเร่ืองหนเี รียนอยู่เปน็ ประจำ เวลาเรียนกไ็ มต่ งั้ ใจเรยี นเกาะเพอ่ื นกนิ เกาะเพอื่ นเรยี นจนจบการศึกษาตามหลักสตู ร เม่ือสำเร็จการศกึ ษา มีงานมกี ารทำ กไ็ มใฝ่รใู้ นหน้าที่การงาน มักทำงานแบบ “เชา้ ชามเยน็ ชาม” ไม,มีแนวความคิดก้าวหนา้ ไม่คดิ สร้างสรรค์ แต่มักชอบทำงานเอาหน้า ประจบประแจง สอพลอ ผลท่เี กิดข้ึนคือ ทำงานผดิ พลาด เน่อื งจากขาดความรูแ้ ละประสบการณ์ ท่เี รียกว่า“ไมร่ แู้ ลว้ ทำ” เพราะฉะน้นั ในระบบการทำงานจงึ ตอ้ งให้ไปเรยี นรู้มาเสียกอ่ น แล้วจงึ ค่อยทำ มใิ ช่'โม,รู้เรือ่ งอะไรเลยแล้วมาทำผลเสียหายเกิดขึ้นมากมาย ทนุ ก็หาย กำไรก็หด หมดประสทิ ธผิ ลของงานเลยครบั บุคคลประเภทนี้ไม่เปน็ ท่ีต้องการของสงั คม แต่กย็ ังคงมีปรากฏให้เหน็ อย่มู ากมายพอสมควร จงึ ไม่ควรเปิดโอกาสให้บคุ คลประเภทนี้มาทำงาน เพราะบุคคลประเภทน้ี คือ “คนผู้ผดิ พลาด” บุคคลประเภทที่ (ฮ คือ “ไมร่ ูไม่ทำ” กล่าวได้กอ่ นเลยครับว่า บุคคลประเภทนี้เป็น “คนหนกั แผน่ ดิน” เปน็ คนทเ่ี สยี ทั้งสองทาง คือ ไมเ่ รยี นรู้และไม่ยอมทำงานในหนา้ ที่ มักไปทำงานนอกหน้าที่ คอยแต่จะลอกเลยี นแบบและคอยหากินกับสมบตั ิเก่าอยู่รืา่ ไป ถ้าจะถามวา่ ในปัจจบุ ันนใี้ นบา้ นเมอื งของเรา มบี ุคคลประเภทน้ีอยูบ่ า้ งไหม ก็ตอบได้ ยงั คงมีอยูม่ ากพอสมควร พวกเขาจะเป็นกลมุ่ บคุ คลที่ถว่ งความเจริญ มักจะสร้างปัญหาและความเดอื ดรอ้ นให้เกิดขนึ้ ในสงั คมอยู่เป็นประจำ สังคมใดมีบุคคลประ๓ทนี้สงั คมน้นั ไมม่ วี นั เจริญ ไดเ้ ลย “น ส ยิ า โลกวฑฺฒโน - ไม่ควรเป็นคนหนักแผ่นดิน” ครับ จงึ เป็นอนั กล่าวได้ว่า บคุ คล ®: ประเภทน้ี ยงั มีอยใู่ นสังคม ในทางพระพุทธศาสนาจงึ ลอนใหเ้ ลือกคนมาทำงานให้ถูกกับงาน อยา่ ใหผ้ ดิ งานผดิ คน และให้เลือกคบคนดว้ ยว่าให้คบหาสมาคมแต่คนดแิ ละทำดเี ทา่ นัน้อย่าได้คบกับคนชั่วและทำช่ัวโดยเด็ดขาด ฉะนั้น จึงต้องเลอื กคนดใื หค้ นดีมโี อกาสไปทำงาน6* ) & ( & .

สุขใจที่ใด้อ่าน สารธรรมเพ่ือชวี ติ ทด่ี ีงามเพราะฉะนน้ั “ประเภทคน ในโลกน้ี มีลฝ่ี า่ ยทง้ั หญงิ ชาย เหมือนกัน ตาม1ขน้ั นี้หนึ่งรู้แล้ว ทำไป ในวธิ ีสองรู้แล้ว ไม่ทำดี ท่ีใครค่ รวญ สามไม่รู้ แตท่ ำ แบบลํ้าเล้นสไ่ี มร่ ู้ ไม่เห็น ประเดน็ ถว้ นแถมไมท่ ำ อะไร ให้ค่คู วรทั้งส่ลี ว้ น ประเภทคน บนโลกเรา” ๑๕๕

สขุ ใจทีไ่ ด้อ่านสารธรรมเพื่อชวี ติ ทดี่ ีงามโดย...พันเอก เสน่ห์ เขียวมณี “ ว ธิ รี ะงบั ความโกรธ” จติ ใจของคนเราทยี่ งั ไมส่ ้ินกเิ ลสนมี่ นั ปรุงแตง่ ได้ต่าง ๆ นานา สิ่งทมี่ าปรงุ แต่งใจ กเ็ ขา้ ม่าจากทศิ ทางต่างๆ เรียกวา่ ผา่ นประตูท้งั ๖ คอื ทางตาทางหู ทางจมูก ทางสิ้น ทางกาย และทางใจคดิ ไปเอง ซง่ึ สิง่ เหล่านภ้ี าษาธรรมะเรียกว่า อารมณ์ อารมณเ์ หล่านถี้ ้าจะว่าไปมันกค็ อื อาหารใจ ใจคนไม่มเี วลาวา่ งมันเสวยอารมณ์อยูต่ ลอดเวลา หรือพดู ภาษาชาวบ้านกว็ ่าใจมนั กนิ อารมณ์เปน็อาหาร ทนี พ้ี อกินเข้าไปแลว้ มนั มอี าหารแสดงออกมา ๓ อยา่ ง คือ มคี วามสุข มคี วามทุกข์ หรือเฉยๆ ไมส่ ขุ ไม่ทุกข์ แลว้ แต่ใจ จะเห็นได้ว่า อารมณ์นีแ่ หละเป็นตัวกำหนดความสุข ความทุกข์ ทางใจของคนเรา อารมณ์หนง่ึ ทีใ่ จใครกินเข้าไปแล้ว จะไม,มีความสุขเลย นัน่ คอือารมณเ์ กรธ ท่ีพูดว่าใจมันกนิ เข้าไปนก้ี เ็ พ่ือให้เหน็ ว่า อารมณ์ชนดิ นมี้ ันอยู่กับเราตลอดเวลา ตามวสิ ยั ปุถุชน ความโกรธน้ีถือเปน็ อารมณ์ทีใ่ จเสพเข้าไปแลว้ มีแต่โทษจึงถือวา่เป็นเหมอื นเชอ้ื โรคทางใจชนิดหนง่ึ เรยี กว่าโรคโทสะ อาการของโรคโทสะนี้ตอนต้นๆ ยงั ไมก่ ำเริบมากนกั มนั มจี ดุ เริ่มต้นมาจาก อรติ คอื การไมช่ อบมากอ่ น จากนน้ั เปน็ ปฏิฆะ ความขัดเคือง ในระดับนที้ ่านเรียกวา่ ยังเป็นอนุสยั เหมอื นตะกอนนอนจมอยู่กนั แกว้ น้ํา ไม่ฟง้ เพราะยงั ไม่มีใครเขย่าแกว้ นา้ํ แตพ่ อถูกใครกระต้นุ เขา้ อาการกก็ ำเรบิ เกดิ การเดอื ดดาล ฉุนเฉียวทา่ นเรียกว่าโกธะ ถา้ เดือดมากจนถึงกบั ลน้ ออกมาทางใจ ทางวาจา และทางกาย ทา่ นก็เรยี กว่า พยาบาทบา้ ง, ผรุสวาทบา้ ง, ปาณาตบิ าตบา้ ง ตามพฤติการท่ีทำไป ต้ังแต่ขนั้ อรตถิ ึงขัน้ โกธะ ทา่ นเรยี กวา่ กเิ ลส เพราะทำให้จติ ใจเศรา้ หมอง สกปรกโสมม ถา้ ถงึ ขน้ั พยาบาท ผรุสวาท และปาณาติบาตเป็นตน้ ทา่ นเรยี กว่ากรรม คือเป็นอกุศลกรรม๑๕๖

สขุ ใจทไี่ ดอ้ า่ น สารธรรมเพอื่ ชวี ติ ท่ีดงี าม ความโกรธ คือความฉนุ เฉียว เดือดดาลของจติ ใจใจเดือดกเ็ หมือนกบั นาํ้ เดอื ด คือมีลกั ษณะคล้ายกนั คือ ๑ . ร้อน ๒. พล่านอยู่ในกาหรอื หมอ้ทต่ี ้มจนลน้ และ ๓ . ระเหยตวั ไปทลี ะน้อย เมอ่ื เดือดนานเขา้ ก็ระเหยไปจนหมด ไมม่ ืนํ้าเหลือเลย ในท่ีสุดกาหรอื หม้อท่ีตม้ จะถูกไหมเ้ กรยี มไปจนทะลุใจกเ็ ชน่ เดียวกนั เมอื่ ถกู เพลงิ โทสะเผาจนเดอื ดดาล คอื โกรธแล้ว ถา้ ระงบัไม่ไต้ ยง้ั ไวไม่อยู่ จะแสดงลกั ษณะอาการออกมา ๓ อย่าง คือ ๑ . ร้อนผ่าวไปท้งั ตัว ๒. ใจพลา่ นวุน่ วาย ๓ . คณุ ธรรมระเหิดไปจากใจ ถา้ จะลำดบั ความรุนแรงของอาการก็จะเริ่มจากขั้นที่ ๓ ก่อนคือ คุณธรรมระเหดิ ไปจากใจ จะสังเกตไต้ง่ายๆ เมือ่ ความโกรธคอื ความเดือดดาลเกดิ ข้นึ แลว้ คุณธรรมต่างๆ ทเ่ี คยมกี ็ค่อยๆ ระเหิดไปจากจติ ใจเซน่ แต่ก่อนเคยมีความรกั ใครไมตรีจิต เมอื่ ถกู ความโกรธเผามากเข้าก็เหอิ ดหายไปหมด แต่ก่อนเคยมีความสงสารโอบอ้อมอารี เมื่อถูกความโกรธเผาใหเ้ ดอื ด ความสงสารก็ระเหดิ ไปจากจิตใจ เมอื่ กอ่ นเคยมีความจงรกั ภักดีความกตัญณูกตเวที และอ่ืนๆ อกี ก็จะเหือดแห้งหายไปจากใจหมด เพราะถกู ความโกรธเผา เหมือนนกทีเ่ ดือดนานๆ กร็ ะเหยจนแห้ง เมื่อใจเหอื ดแหง้จากคุณธรรมแล้ว ท่เี คยใจดกื ็เปน็ คนใจร้าย ทีอ่ ่อนโยนกเ็ ป็นคนเหย้ี มโหดไป ใจที,เหยี้ มโหดมงุ่ แต่จะลา้ งผลาญผลประโยชน์และความสุขของผ้อู น่ื ซึง่ทา่ นเรยี กวา่ ปองร้าย คอื มุง่ จะทำร้ายเขา เม่อื ทำรา้ ยไมไ่ ตก้ อ็ าฆาตมาดร้ายไว้อันเปน็ ต้นเหตุใหผ้ กู เวรกนั ตอ่ ไป ความโกรธที่เกิดรนุ แรงขน้ึ มาอีกขน้ั หนงึ่ ถงึ ขนาดใจพลา่ นวุ่นวายจะสังเกตไตว้ า่ เมอ่ื เวลาโกรธ คือใจฉนุ เฉียวข้ึนมา จติ ใจจะวนุ่ วาย คิดหาทางออก คิดหาทางโตต้ อบ ตอ้ งดา่ ใหส้ มใจ หรือตอ้ งตบตี หรือเมอื่ ไมม่ ีโอกาสท่ีจะทำอยา่ งนน้ั ไต้ ก็นึกสาปแชง่ ในใจ เพื่อใหเ้ ขามอี นั เป็นไปต่างๆนานา น้ีก็เท่ากบั ว่าความโกรธลน้ ออกมาทางใจแลว้ ทา่ นเรยี กความโกรธ ๑๕๗

สุขใจทไ่ี ด้อ่านสารธรรมเพ่ือชวี ิตทีด่ ีงามขนั้ น้ี กลายเปน็ พยาบาท ซงึ่ แปลวา่ ทำความพินาศหรือฉิบหาย ถามว่าอะไรพนิ าศ อะไรฉิบหาย กป็ ระโยชนแ์ ละความสุขท้ังของตนและของผอู้ ื่นนน่ั แหละพินาศฉิบหาย ความรนุ แรงของความโกรธนี้ เมื่อถงึ ขดี สุดแลว้ อาการก็จะเร่ารอ้ นไปทง้ั ตวั สหี นา้ ทำทาง นา้ํ เสยี ง เปลย่ี นไปหมดสน้ิ อยา่ งทีเ่ รืยกวา่ คนธรรมดาก็กลายเป็นยักษ์ไปได้ด้วยอานุภาพของความโกรธน้ัน ที่บรรยายสรรพโทษของความโกรธมานี้ กเ็ พื่อจะชใ่ี หเ้ ห็นว่า ความโกรธน้นั เปน็ สิ่งน่ากลวั แต่ก็เปน็ เพยี งอารมณช์ นดิ หนงึ่ หรอื อาจจะเรียกวา่เปน็ อาหารอย่างหนึ่ง ทคี่ นเราเผลอใจไปเสพไปกินเขา้ เทา่ นนั้ เอง วิธปี ้องกันความโกรธ ท่านแนะนำดังนี้ ๑. ต้องคบมิตรทด่ี 1ีไว้ เพื่อจะได้พูดชักจงู แนะนำในทางทด่ี ี หา้ มไม่ให้ทำในสิ่งทชี่ ่วั เซ่นการเบยี ดเบยี นผอู้ ื่น เป็นต้น ๒. ศกึ ษาวธิ ีผกู มติ รและปลกู ฝังเมตตาจิตให้เกิดข้นึ ดว้ ยการสงเคราะหก์ นั ตามหลกั ลงั คมสงเคราะห์ และตามหลักลงั คหวัตถุ เป็นตน้และหม่ันแผเ่ มตตาอยา่ งสมํ่าเสมอ ๓. พยายามพูดแตค่ ำไพเราะออ่ นหวาน สมานสามัคคี หลีกเลยี่ งคำพูดทย่ี ว่ั ยุใหเ้ กิดความโกรธ ความพยาบาท ๔. พยายามนกึ ถงึ โทษของความพยาบาทอาฆาตจองเวรวา่ เม่อืทำไปแลว้ ตอ้ งไดร้ ับผลแน ่น อน หลบหลกี ไมพ่ ้น เราทำเขา เขากต็ อ้ งท ำเราแกแ้ คน้ กันและกันอยา่ งนีไ้ มม่ ีวนั ส้นิ สุด (โกรธคอื โงโ่ มโหคอื บ้า เกลียดข้หี น้าเขาเท่ากับจุดไฟเผาใจเราเอง) ๕. หม่ันพิจารณาหาทางคลายความโกรธ ความพยาบาท โดยวธิ กี ารให้อภยั โกธํ ฆต'วา สขุ 0 เสติ คนฆา่ ความโกรธเสยี ได้ ยอ่ มอยู่เปน็ สขุ๑๕๘

สุขใจทไี่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพอ่ื ชีวิตทีด่ ีงาม สุดทา้ ยก็คงต้องพิจารณาว่าทุกส่งิ ทุกอย่างมนั เป็นอนิจจัง ทุกขงัอนัตตา คือหมายความว่าอันความโกรธน้ัน เปน็ เพียง “อารมณช์ ัว่ วูบ” ผ่านมาแลว้ กผ็ า่ นไป ยดึ ถือเปน็ แกน่ สารอะไร ไมไ่ ต้เลย ดังนั้น ถา'จะ'ไทด้ ีควรพิจารณาโคลงโลกนติ ทิ ี่ท่านว่าไว้ผจญคนมักโกรธด้วย ไมตรีผจญหมทู่ รชน ดี ต่อตงัผจญคนจติ โลภ มี ทรัพยแ์ ผ่ เผอื่ นาผจญอสัตยใ่ หย้ ั้ง หยดุ ด้วย สตั ยา ๑๕๙

สุขใจทไี่ ดอ้ า่ นสารธรรมเพือ่ ชีวติ ทต่ี ีงามโดย...พันเอก เสนห่ ์ เขียวมณี “ เกบ็ อาการ” ในระยะน้แี มจ้ ะอยู่ในห้วงฤดูหนาว แต่อากาศเรม่ิ จะร้อนมากยงิ่ ขึ้น โดยเฉพาะในพนื้ ทีส่ งั คมเมืองหรือชุมชนแออดั เพราะอากาศถ่ายเทไม่ค่อยสะดวก ทำใหค้ นในพืน้ ท่นี ั้นๆ ต้องประสบกับภาวะอากาศรอ้ นอบอา้ ว รู้สึกหงุดหงดิ กระวนกระวายไปตาม ๆ กนั เปน็ เหตุใหเ้ กดิ อารมณ์ผนั ผวนปรวนแปรไปตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติ คนเราจงึ มีอาการแตกต่างกนั ออกไป บางคนอารมณ์รอ้ น บางคนมีความต้องการอยากได้นนั่ อยากไต้นไี่ ม่มืท่สี ิน้ สดุ บางคนถงึ กบั ซมึ เซ่อนง่ั บ่นเพ้ออยคู่ นเดยี ว เพราะไม่ร้จู ะทำอะไรดี ตัวอยา่ งอาการของคนเราดังกลา่ วแลว้ นี้ เปน็ อาการทีเ่ รม่ิจะผดิ ปกตถิ งึ ผิดปกตแิ ลว้ ครับ จำเปน็ จะตอ้ งเยียวยาแกไขหรอื ปรบั แกใิ ห้อยใู่ นสภาวะปกติ ตามธรรมดาของสังขาร เรยี กวา่ “เกา เคากา?” คำวา่ “เก็บอาการ” คอื อะไร? อาการอย่างไรบ้างทจี่ ะต้องเก็บ?และเก็บอาการแลว้ เราจะไต้อะไร? หรือเก็บอาการมีประโยชนอ์ ย่างไร? คำถามประการแรก “เก็บอาการ” คืออะไร? ตอบไตว้ า่ เกบ็ อาการคือ การควบคุมพฤติกรรมของตนใหอ้ ยใู่ นสภาวะปกติ มิใหแ้ สดงออกนอกลู่นอกทาง เพราะถา้ ไม1ควบคุมกำกับดูแลอาการนั้นๆ แล้ว จะทำให้แสดงพฤตกิ รรมหรอื กระทำการอันมิบงั ควร จนเกดิ ผลเสียหายนานปั การ ในทางตรงกันข้ามหากเก็บอาการไว่ไต้ ผลดกี จ็ ะเกดิ ข้ึนเป็นอเนกประการ เชน่ ทำให้เปน็ คนนา่ รัก นา่ เคารพ นา่ นับถือ นา่ เกรงขามยำเกรง หรอื มองดูแล้วภูมฐิ านมคิ ณุ ธรรม ซํา้ ยังชว่ ยให้เกิดความเปน็ ผู้มเี กยี รติมีชื่อเสียง อีกส่วนหนง่ึ ตว้ ย ปญั หาประการทส่ี อง คอื อาการอย่างไรบ้างท่ีจะต้องเก็บ? ตอบวา่อาการท่จี ะตอ้ งเก็บชงื่ มีลกั ษณะเดน่ ชดั ที่สุด มีอยู่ ๓ อาการ คอื(ชุ)^)0

สขุ ใจทไ่ี ด้อ่าน สารธรรมเพื่อซวิตทดี่ ีงาม ๑ . อยากได้ ๒. ใจรอ้ น ๓ . ออ่ นไหว อาการแรก “อยากได้” เป็นอาการของคนที่ไม่รจู้ ักพอมกั อยากได้นัน่ อยาก1ได'้ น่ีอยรู่ า้ 'ไป ไดม้ าแล้วก็เหมอื นไมไ่ ดอ้ ะไรเลย จิตใจยังพร่องอยู่เร่ือยไป เซ่น ได้คนนี้แลว้ กย็ ังไมพ่ อใจ อยากไดค้ นใหม่ อกี หลาย ๆ คน ได้ส่งิ น้ีแลว้ กย็ งั ไม่พอใจ อยากไดส้ งิ่ อืน่ ๆ อกี ตอ่ 1ไป'ไม่มทื ่สี น้ิ สุด สมยั เป็นเด็กวัยรุน่ ทำไดข้ นาดนนั้ สงั ขารมนั ยังไหว แตพ่ อแก่ตัวลงอยา่ งทกุ วนั นี้ สงั ขารมันไม่ไหวแล้ว แตใ่ จยังเรยี กร้องว่าจะตอ้ งทำใหไดเ้ หมือนเดิม เมอื่ ทำไม่ได้กเ็ กิดความทุกข์เสยี อกเลยี ใจ จนกระท่ังเสียหนา้ แล้วเกิดอาการอยา่ งอ่ืนตามมา ตวั อยา่ ง เซน่ - อยากไดเ้ สอ้ื ผ้าอาภรณ์มาเป็นเคร่อื งประดบั กายในเร่ืองน้ีความเพียงพอของมนษุ ย์อยู่ทีก่ ารใชป้ ระโยชน์ได้อย่างคมุ้ คา่ และเหมาะสม คอืให้สวมใสเ่ พ่อื ป้องกันลมแดด ร้อน เย็น หรอื ผองภยั จากธรรมชาติ แตบ่ างคนต้องสวมใส,ตกแต่งให้สวยงามตามโลกนิยม จงึ ต้องจดั ซื้อจดั หาเส้อื ผ้าอาภรณด์ ้วยราคาแพงๆ เกนิ เหตุเกนิ ป้จจยั เกนิ ความจำเปน็ เกนิ ตัว เกนิ ตนเกนิ คน และเกินงบประมาณหรือเกนิ เงินเกนิ ทอง เกนิ ช้าวเกนิ ของที่ตนมืตอ้ งหยิบยืมจากทีอ่ ื่นมาจัดซ้ือจดั หา จัดสวมใส่ตามแฟช่ันนิยม ทโี่ ลกสมมติวา่ทนั สมยั ผลทีไ่ ต้คือ ความสิน้ เปลือง ความสูญเสยี ทรัพย์สนิ เงนิ ทองโดยใช่เหตุ แถมด้วยหน้สี นิ ท่เี พม่ิ ทวคี ูณขึน้ มาเรอ่ื ย ๆ เพราะความอยากอนั ไม่มีท่สี น้ิ สดุ ,ของตนเอง อยากได้จนเกินการณ์ อยากไดจ้ นไมม่ ีประมาณ นแ่ี หละความเดือดร้อน -ฃออีกหนง่ึ ตวั อย่างในเร่ืองของความอยาก เซ่น อยากได้ลาภยศสรรเสริญ สุข จนเหลอื ประมาณ จนทำให้เกิดความทรมานทงั่ ดา้ นรา่ งกายและจิตใจ ยิง่ กว่าจุดไฟเผาตัวเอง ทำงานโดยหวังสิ่งตอบแทนจนเกินเหตุ ( ช ุ๊) 6 )

สขุ ใจท่ีใด้อา่ นสารธรรมเพ่อื ชวี ติ ทด่ี งี ามเกนิ การณ์อยากได้เมด็ งานหรอื ผลงานใหท้ ันตาเหน็ แตก่ ็ยงั 1ไม\"ไดร้ ับ เพราะมันยงั ไม่ถงึ กาลเวลาและสถานการณอ์ นั ลมควร เหมือนการปลูกไม้ผลเพอ่ืให!้ ดผ้ ลไม้มารบั ประทาน แม้จะผลไมผ้ ลนัน้ ๆ จะมีรูปพรรณสณั ฐานใหญโ่ ตและนา่ รบั ประทานสักปานใดกต็ าม แตม่ ันยงั ไมห่ า่ ม มนั ยังไมส่ กุ งอม ก็ย่อมจะรบั ประทานไม่ได้ จะไปปบี ไปบม่ หรอื ข่มขืนมันอย่างไร มันกย็ งั ไม่ลุกผลลัพธ์คือ ยงั กินไมไ่ ด้ ต้องรอให้ สุกงอมเสยี กอ่ น จึงจะรบั ประทานได้อยา่ งเอ?ดอร่อย คนเรานี่กแ็ ปลก มวั อยากได้แต่ของเขา แตข่ องเราไมย่ อมดแู ลวา่ มันคูค่ วรกนั หรือไม่ จงึ ใครข่ อแนวทางเปน็ แนวคิดไวว้ ่า ถา้ อยากจะไดอ้ ะไรมาเปน็ ของตนเอง จะต้องพจิ ารณาให้รอบคอบเสยี กอ่ น เหมอื นพระสงฆ์ท่านต้องพิจารณาปจั จยั ต่างๆ ทงั้ กอ่ นได้ ขณะได้ และหลงั จากทไ่ี ด้มาแล้ว ครบ ๓ กาล คือ อดีต ปัจจบุ ัน และอนาคต ถา้ เราพิจารณาได้ มนั จะทำใหจ้ ิตใจของเราอยู่ในสภาวะปกติ ไม่ดิน้ รนกระวนกระวาย เพราะความอยากได้แลว้ ไมไ่ ดด้ งั ที่อยากได้ หรือเพราะไมอ่ ยากไดม้ นั เลย แตจ่ ำตอ้ งได้มาเปน็ ของตนเอง อย่างนเี้ ขาเรยี กว่า “ต้องร้จู ักทำใจ” ครับ เพราะคนเราเกดิ มาในหล้าโลกนี้ ยอ่ มมีท้งั สงิ่ ทน่ี ่าชอบใจ และสิ่งที่ไม,นา่ ชอบใจ มที ง้ัสงิ่ ที่นา่ ปรารถนาและสิง่ ทีไ่ ม่นา่ ปรารถนาควบคกู่ ันไป บางทกี ็มลี าภ บางทีก็เส่อื มลาภ บางทไี ดย้ ศได้ตำแหน่ง บางทตี ้องหลดุ จากตำแหน่ง บางทไี ด้รบั เกียรตยิ ศ ช่ือเสยี ง บางทกี ็ถกู นนิ ทาวา่ รา้ ย โดยสรุป บางทกี ส็ ุ'ขมากๆแตบ่ างทีต้องทกุ ข์จนน้าํ ตาเล็ดเขด็ หลาบไปจนวนั ตาย จึงต้อง “รูจ้ กั ทำใจ”ไว้บ้างครับ อยา่ หลงระเริงกับความสุข และอย่าเศรา้ โศกเสยี ใจกบั ความทกุ ข์มากจนเกินไป ทำใจเปน็ กลางๆ เกบ็ อาการไวบ้ ้างจะดี อาการทีส่ อง คอื “ใจร้อน” เปน็ อาการของคนเด้าอารมณ์ มกั มีอารมณห์ งุดหงิด เอาแตใ่ จตัวเอง เอาตัวเองเป็นศนู ยก์ ลาง คนอ่นื ใครจะเปน็เซน่ ไรกช็ า่ ง ฉันไมร่ ้ใู จ ไม่สนใจ ไมเ่ ขา้ ใจ ไม่ร้จู ักระงับสตอิ ารมณ์ ทหี่ ุนหนัพลนั แล่น ไม่ร้จู กั ท่ีตาที่สูง ไม่รู้จกั ฐานะของตัวเอง และผอู้ ่นื ที่เกีย่ วขอ้ ง เวลาโกรธหรอื มอี ารมณ์รอ้ นขึ้นมา ก็ปล่อยออกไปเลย ออกทงั้ หน้าทง้ั ตา ออกทัง้ มอื ทงั้ เทา้ ออกทั้งวาจา คำหยาบ คำเสยี ดสิ คำเสยี ดแทง ตอ่ วา่ ตอ่ ขาน๑๖๒

สขุ ใจทไ่ี ดอ้ า่ น สารธรรมเพอื่ ชีวิตที่ดงี ามดันทรุ งั ไม,ยอมหยุด จนเสียอาการ หรือเสยี ความเปน็ ปกติของตนเองไปอย่างน่าเสียดาย เขาไดพ้ ูดได้ทำได้แสดงพฤตกิ รรมอนั ไม,พงึ ประสงค์ออกไปแลว้ มากมาย จนกลายเปน็ การจุดไฟเผาตัวเองใหม้ อดไหม้ เปน็ ที่รงั เกียจของหมู่คณะและสงั คม ต้องสญู ส้นิ ความไว้วางใจในฐานะที่เปน็ กลั ยาณมิตรเพ่ือนคู่คิดหรอื มติ รทีด่ ตี ่อกันไปอยา่ งน่าเลยี ดาย อาการใจรอ้ นอย่างที่วา่ แล้วน่แี หละครบั ทา่ นผู้พึงท่เี คารพ ที่เราจะต้องร้จู กั เก็บมนั ไว้ภายใน เมือ่ มนัโกรธ มันร้อน มันกระวนกระวายขนึ้ มา เราตอ้ งพยายามใช้ธรรมะข้อ “ทมะคือ ขม่ ใจ” เขา้ ไว้ ข่มมนั ไว้ กดมันไว้ บังคบั มันไว่ใหอ้ ยูในใจ คิดไดแ้ ตใ่ นใจอยา่ ให้มนั ออกมาขา้ งนอก มนั จะหลอกเราใหเ้ สยี คน จึงกล่าวได้ว่า “คิดได้แตไ่ มค่ วรทำ” อาการใจรอ้ น จึงเปน็ อาการทีจ่ ะต้องเกบ็ เหมือนนกั มวยต้องรูจ้ กั การเก็บอาการครบั และอาการท่สี าม “คอ่ นไหว’’ เป็นอาการของคนที่มืจิตใจไมม่ ั่นคงหลงงมงาย เชื่อคนงา่ ย ไรภ้ ูมปิ ญิ ญา ไมส่ ามารถตัดสินใจอะไรไดด้ ้วยตนเองมกั เห็นผดิ เป็นชอบและเหน็ ชอบเปน็ ผิด เชื่อคำยุยงของผู้อ่นื จนต้องสญู เสียอิสรภาพทางความคดิ และการกระทำอันเปน็ ของตนเอง อาการอ่อนไหวตงั กลา่ วแล้วนี้ เรากต็ อ้ งรู้จกั วิธกี ารเก็บไว้ภายในเช่นกนั ตอ้ งหมัน่ พยายามรกั ษาปกตภิ าพของตนเองให้ได้ ทางทีด่ ีต้องหมัน่ เจรญิ จิตภาวนา หรอื แกอบรมจติ ใจของตนเองด้วยการเจรญิ วปิ สั สนากรรมฐานครับ ชวี ติ จึงจะอยรู่ อดปลอดภัย เรียกวา่ ตอ้ งมาสร้างภูมิปญั ญาให้เปน็ ภูมิคุ้มกนั ชวี ติ ใหม่ครบั จึงจะเปน็ มงคล และปัญหาประการสุดท้าย “เกบ็ อาการแล้วเราจะไดอ้ ะไร” หรอื“เกบ็ อาการมืประโยชน์อย่างไร” ขอยกตัวอยา่ งผลดขี องการเกบ็ อาการได้ด ัง น ้ี ๑. ทำใหง้ านสำเรจ็ เรียบร้อยดว้ ยดี ๒. ทำให้มีสุขภาพดีท้งั รา่ งกายและจิตใจ ๓ . ทำให้มืความเจริญรงุ่ เรอื งตงั ปรารถนา ๑๖๓

สุขใจท่ีไค้อา่ นสารธรรมเพอ่ื ชวี ติ ทดี่ งี าม ๔. ท0าใหไม,มเี วรไมม่ ภี ยั ไม่มอี ันตราย ๕. ทำไหโซคดแี ละปลอดภยั ในท่ีทุกสถานและในกาลทุกเมื่อ จงึ ใครข่ อเชญิ ซวนทา่ นผู้ฟง้ ทัง้ หลายท่มี ีอาการ “อยากได้ ใจร้อนอ่อนไหว” มาเกบ็ อาการกันเถิดครบั จะไดส้ ุขสบายและรม่ เย็นเปน็ สุขกันถ้วนหน้า

สุขใจทึไ่ ดอ้ า่ น สารธรรมเพือ่ ชีวิตท่ีดงี าม โดย...พันเอก เสน่ห์ เขียวมณี “ บารมี ะความดชี น้ั ผเี ศษ” ตามหลักพระพทุ ธศาสนา คนทุกคนเกิดมาเพอื่ สรา้ งบารมี การสร้างบารมี เป็นสิง่ สำคัญที่สดุ เพราะว่าบารมีจะชว่ ยให้เรานั้นรอดพ้นจากวฎั ทุกข์ แตก่ ารสรา้ งบารมมี ีใช่ทำกนั ง่ายนักต้องอาศัยสติปัญญาและความอดทนอย่างยิง่ ยวด พุทธศาสนายกย่องปัญญาวา่ เป็นธรรมสูงสดุ ธรรมท่ีรองลงมาจากปัญญาคอื ขนั ติ ความอดทน ดงั นัน้ เม่อื ใดก็ตามท่ีชาวพุทธคิดจะทำความดี หรือสร้างบารมี ธรรมที่ควรกระทำไวใ่ นใจคือ ปญั ญาและธรรม ท่จี ะเสรมิ ใหป้ ญั ญาแสดงบทบาทไต้เต็มทีค่ อื ขันติ เพราะฉะนน้ัขอเชญิ ทุกท่าน รบี สร้างบารมี บทตัง้ : ความหมายของคำวา่ บารมี, บารมีมีเทา่ ไร อะไรบา้ ง,ประโยชน์ที่จะพงึ ไต้รบั จากการบำเพญ็ บารมี บารมี มคี วามหมายหลายประการ ๑. บารมี หมายถึง ความดี เพราะปราบข้าศกึ คอื ความช่วั หรอืบาปทัง้ หลาย ที่เกดิ ขึน้ ทางกาย ทางวาจาและทางใจ ซง่ึ เรยี กว่า กิเลส ๒. บารมี หมายถงึ การรักษาความเปน็ ผูส้ งู สุดของตนไว้ เชน่สูงสดุ ต้วยทาน ๓ . บารมี หมายถงึ สามารถระงับความเดอื ดรอ้ น ความทุกข์ ในวัฏสงสารไต้ ๔. บารมี หมายถึง การกระทำของทา่ นผป้ ระเสรฐิ มพี ระโพธสิ ัตว์ •บ่ ฬ ่เปน็ ตน้ ๕. บารมี หมายถึง ธรรมเคร่ืองถึงฝืง (ฝงิ ที่ถึงหรอื ข้ามไตย้ ากท่ีสดุคือพระนิพพาน) ๑๖๕

ส'ุ ยใจทไ่ี ดอ้ ่านสารธรรมเพอื่ ชวี ิตท่ดี ีงาม ๖. บารมี หมายถงึ คณุ สมบัติท่พี ึงยนิ ดกี ่อน คอื พงึ ยินดีในการบำเพ็ญบารมีก่อนแล้ว จึงบรรลพุ ระโพธิญาณ สรุปความว่า การบำเพญ็ บารมี คือการพัฒนาตนดว้ ยการประกอบคุณงามความดตี า่ งๆ สร้างสรรค์ส่งิ ที่ดงี าม สงิ่ ท่เี ป็นกศุ ล โดยเฉพาะการช่วยเหลอื ผู้อนื่ โดยเสยี สละไดแ้ มแ้ ตช่ ีวิตของตน พระพุทธเจา้ คอื มนษุ ย์คนหนึง่ ทไี่ ดพ้ ฒั นาตนเอง การพัฒนาตนเองของพระพุทธเจ้าน้ี เราเรียกว่า การบำเพ็ญบารมี คอื การสร้างสรรค์คณุ งามความดีอย่างยวดยิ่ง บารมี มี อ๐ ประการ คอื ๑. ทานบารมี “ไม่ไยดีทรัพยห์ รือยศหรือลูกเมียหรือองคาพยพใหข้ องรกั แกพ่ วกยาจก ท่มี าถึงแล้วตามความปรารถนาจนไมเ่ หลือ เหมือนหม้อนํ้าท่ีเขาควาไวย้ อ่ มคายนํา้ จนไม่เหลอื ” ๒. ศลี บารมี “ต้องไมไ่ ยดีแม้ซึง่ ชีวติ รักษาแตศ่ ลี เท่าน้ัน เหมอื นจามรี ยอ่ มไมไ่ ยดแี มแ้ ต่ชวี ติ รกั ษาแตข่ นหางของตนเท่านน้ั ” ๓. เนกขมั มบารมี “กระทำภพทง้ั ปวงให้เหมอื นกับเรอื นจำ เปน็ผรู้ ะอาใคร่จะพันจากภพท้งั ปวง มุ่งต่อเนกขัมมะอยู่อย่างเดยี ว เหมือนคนทอื่ ย\"ู ในเรอื น'จำ ย่อมไม,ไยดีในเรอื นจำนน้ั ยอ่ มระอาและไม,อยากอยู่เลย” ๔. ปัญญาบารมี “พึงเขา้ ไปถามปญั หากะท่านทีเ่ ปน็ บัณฑติ จะเปน็ คนซนตๆหรือช้นั กลวงหรือช้นั สงู ไมเ่ ว้นใครทงั้ หผด เหมือนอยา่ งภกิ ษุผมู้ ืการบิณฑบาตเป็นวัตร ยอ่ มเที่ยวบณิ ฑบาตตามลำดบั ไมเ่ ว้นตระกลู ประ๓ทไร ๆชัน้ ตํา่ หรอื ช้ันกลาง หรือชนั้ สูงกต็ าม ย่อมได้อาหารพอเลี้ยงชวี ติ ได้เรว็ ” ๕. วริ ยื บารมี “มคี วามเพยี รมั่นไม่ท้อถอยทุกอิริยาบถ เหมือนราชสหี ์ยอ่ มมคี วามเพียรมัน่ ทกุ อิริยาบถ” ๖. ขนั ติบารมี “เปน็ ผู้อดทน ทง้ั ในการนับถอื ท้งั ในการดูหม่ินเหมือนแผ่นดนิ ยอ่ มไม,ยนิ ดยี ินร้ายทง้ั ของสะอาดและของไมส่ ะอาด”(รุ๊) ^!)

สขุ ใจทีไ่ ด้อา่ น สารธรรมเพอ่ื ชีวติ ท่ดี ีงาม ๗. สัจจบารมี “อย่าได้กระทำการพูดเท็จด้วยอำนาจของรักมีทรพั ย์ เป็นต้น แม้จะถูกอสนีฟาดลงกลางศีรษะ” อธิษฐานบารมี “อธษิ ฐานอยา่ งใด เป็นผู้คงที่ในอธษิ ฐานอยา่ งน้ัน เหมือนภูเขาเมื่อลมพดั อยู่ทุกทศิ ยอ่ มไม่หวน่ั ไหว” ๙. เมตตาบารมี “มีจิตเมตตาคงท่ีในสรรพสัตว์ ทงั้ ท่ีเปน็ ผูท้ เ่ี กอื้ กลูและไม่เกอ้ื กลู เหมือนน้าํ ย่อมแผ่ความเยน็ เชน่ เดียวกนั แมแ้ ก่คนชว่ั แม้แก่คนด”ี ๑๐. อุเบกขาบารมี “เป็นผูม้ ้ธยัสถใ์ นสขุ และ,ทุกข์ เหมอื นแผน่ ดินยอ่ มมธั ยสั ถ์ไนบคุ คลทัง้ ทท่ี ง้ิ ของสะอาดและของไม่สะอาด” บารมีทงั้ ๑๐ ประการน้ี แบ่งตามความย่งิ และหย่อนของบารมีแต่ละประการเปน็ ๓ ชัน้ คอื ๑. บารมี ๑๐ ยกตัวอยา่ ง ทานบารมี คอื การให้วตั ถุภายนอกเป็นทานสามารถให้ทรพั ยส์ มบตั ิท่มี ีอย่ทู ้ังหมดเปน็ ทานได้ เช่น พระเวสสนั ดร ๒. อปุ บารมี ๑๐ บารมีชัน้ รอง คือบารมที ี่บำเพญ็ ยิ่งกว่าบารมตี ามปกติ ยกตัวอยา่ ง ทานอุปบารมี คอื การสละอวยั วะเปน็ ทานได้ เชน่ พระเจา้สีวิราช ควักดวงตาใหเ้ ป็นทาน ๓. ปรมัตถบารมี ๑๐ บ ารม ยี อดเยย่ี ม , บารมรี ะตบั สูงสดุยกตัวอยา่ ง ทานปรม้ตถบารมี คอื การสละชีวิตให้เป็นทาน เช่น สสบณั ฑิตสละชีวิตของตนให้เปน็ อาหารแก่บุคคลผู้หวิ โหย รวมเปน็ บารมี ๓๐ หรือท่ีซาวบ้านเรยี กว่า บารมี ๓๐ ทัศประโยชนท์ จ่ี ะพึงไดร้ บั จากการบำเพญ็ บารมี - บารมี จดั เปน็ พทุ ธการกธรรม คือคุณธรรมที่ทำใหผ้ ้บู ำเพญ็ เตม็สมบูรณ์แลว้ ไดบ้ รรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ๑๖๗

สุขใจทีไ่ ด้อา่ นสารธรรมเพ่อื ชวี ติ ท่ีดีงาม -บารมี เปน็ คุณธรรมสำหรับพฒั นามนุษยํไห้ประเสรฐิ ขน้ึ ตามลำดับ ซ่ึงกค็ อื การกระทำความดี หรือทำบุญนนั่ เอง แตเ่ ปน็ การทำความดีหรอื ทำบญุ อย่างยวดยิง่ - บารมี ท่ีบุคคลทั่วไปซึ่งไม่ไดต้ ั้งความปรารถนาเป็นพระพทุ ธเจา้บำเพญ็ แล้วยอ่ มใหส้ ำเรจ็ ผลตามท่ปี รารถนาได้ทกุ ประการ - บารมี คอื การสัง่ สมคุณความดี เพราะฉะน้ัน ผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ัติยอ่ มจะได้รับผลได้รบั อานิสงส์เป็นอเนกประการ ตามอานิสงส์ของบญุ นิธิ คอื ๑ . เปน็ เหตุให้ได้สมบตั ทิ ่ีปรารถนาทุกอยา่ ง ท่ังแก'เทวดาและมนษุ ย์ทัง่ หลาย ๒. เปน็ เหตใุ ห้ได้ความเป็นผูม้ วี รรณะงาม, เป็นผมู้ ีเสยี งไพเราะ,เป็นผู้มีทรวดทรงสมสว่ น, เป็นผู้มีรูปงาม, เปน็ ใหญ,่ เปน็ ผ้มู บี รวิ าร ๓. เป็นเหตใุ หไ้ ดเ้ ปน็ เจ้าผคู้ รองประเทศราช, เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ,เปน็ ทา้ วสกั กเทวราช ๕. เปน็ เหตใุ ห้ได้มนุษยส์ มบตั ,ิ สวรรค์สมบตั ิ และนพิ พานสมบตั ิ ๕. เปน็ เหตใุ หไ้ ดค้ วามเป็นผ้ชู ำนาญในวชิ ชาและวมิ ตุ ติ ๖. เป็นเหตุให้ไดป้ ฏสิ ัมภิทาและวิโมกข์ ๗. เปน็ เหตใุ ห้ได้สาวกบารมี, ปจั เจกโพธิ และพุทธภมู ิ สรุป การบ ำเพ ็ญ บ ารม บี ัน เปน็ เหตใุ ห้ผ้ปู ระพฤตปิ ฏิบตั ไิ ดร้ ับกๆรพัฒนาตนข้ึนตามลำดับ คอื จากมนุษย์ทีต่ าื่ กว่ามาตรฐานมนุษยป์ ถุ ุชนสามัญเปน็ มนุษยป์ ถุ ชุ นสามญั , จากมนุษย์ปุถุชนสามัญ เปน็ มนษุ ยท์ ่ีพฒั นาแล้ว,จากมนษุ ยท์ ี่พัฒนาแล้ว เป็นมนษุ ย์ที่ประเสรฐิ ที่สดุ ๑ . มนุษย์ท่ตี า้ั กว่ามาตรฐานปถุ ุชนสามญั คือพวกทเ่ี จอทุกขก์ ็ไม่ดน้ิ ถกู ภัยคุกคามกไ็ มต่ นื่ ตวั ไดแ้ ตท่ อ้ แท้ ระทดระทวย จับเจ่า หรือไมก่ ็นอนเฉือ่ ย เพราะติดยากล,อม เพลินไปเรอ่ื ยๆ ส่วน'ในเวลาท่สี ฃุ สบาย(ชุ๊)ไฮ(ฬ

สุขใจทไี่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพื่อชีวติ ทีด่ งี ามไม่ตอ้ งพูดถงึ ก็ย่งิ เพลิดเพลินหมกม่นุ มวั เมา เรยี กว่า ทกุ ขก์ ็ไมด่ ิน้ สุฃกน็ อนซึมหรอื ทกุ ขก์ ็ซม สขุ ก็ชมึ ๒. มนุษย์ปุถุชนสามญั คอื พวกท่ีว่าถกู ทกุ ข์บบี ค้ัน หรือถกูภยั คุกคาม ก็ลกุ ขน้ึ ดนิ้ รนขวนขวาย พอสบายก็ลงนอนเสวยสุขเฉอ่ื ยเร่ือยไป ๓. มนุษย์ทีพ่ ฒั นาแล้ว คือพวกทีว่ ่าเมื่อถูกทุกขบ์ บี คัน้ หรือถกูภยั คุกคาม ก็ลุกข้นึ ดนิ้ รนขวนขวาย แต่แมจ้ ะสุขสบายแล้วก็ยังเพียรสรา้ งสรรคต์ ่อไปไม,หยดุ พวกนีน้ บั วา่ เขา้ สู่ทางของอารยชนแลว้ ๔. มนษุ ย์ท่ีประเสรฐิ ที่สุด คอื ยามทกุ ข์บบี คนั้ หรอื ภัยคุกคาม กไ็ ม่พลอยทุกข์ จิตใจยงั ปลอดโปรง่ ผอ่ งใสอยูไ่ ด้ แล้วกข็ วนขวายทำสิง่ ทคี่ วรทำต่อไป หมายความวา่ ในดา้ นการกระทำ กม็ ีความเพียรพยายามสรา้ งสรรค์และในด้านจิตใจ ก็มีความสุข ใมถ่ ูกทกุ ขค์ รอบงำดว้ ย และแม้จะสขุ แล้วกย็ ังขวนขวายสร้างสรรค์ตอ่ ไป ๑๖๙

สุขใจที่ได้อา่ นสารธรรมเพอ่ื ชวี ิตที่ดีงามโดย...พนั เอก อัครนิ ทร์ กำใจบุญ “ เงนิ ปากผ”ี พูดถงึ เร่ือง “เงินปากผ”ี ถึอกนั ว่าเปน็ หนงึ่ ในวตั ถอุ าถรรพ์หลาย ๆอยา่ งทค่ี นโบราณมกั เสาะแสวงหากนั แต่ผทู้ ่จี ะเปน็ เจา้ ของได้นน้ั ตอ้ งมวี ิชาความรู้ทางต้านไลยศาสตรเ์ พ่อื ปอ้ งกันตนเอง และเมอ่ื ได้มาแลว้ จะนำมาผสมผสานกับขน้ั ตอนพิธกี รรมท่ีโบราณาจารยไ่ ดบ้ นั ทกึ ไวต้ ามตำรา เพือ่สร้างเป็นเคร่อื งรางของขลังตอ่ ไป ความเชอื่ เก่ยี วกบั เรอื่ งอาถรรพข์ องเงนิ ปากผนี ี้ น่าจะเกดิ จากความหวาดกลัวของคนสมยั ก่อน ซ่ึงมักจะพบกับปรากฏการณท์ ่ีอย่เู หนือคำอธบิ าย ถา้ ไมไช่ผทู้ ม่ี วี ซิ าอาคมจริง ๆ ก็ไมส่ ามารถจะนำมาครอบครองได้ อาจจะเป็นเพราะเหตผุ ลทว่ี า่ การทำศพในสมัยโบราณมักจะนำศพไปฝืงไวัท่ีป่าช้า (ถ้าไม'เผา)ซึง่ สถานทแี่ ห่งนั้นเปน็ แหลง่ รวมของอาถรรพ์ตา่ งๆมากมาย ทง้ั ทส่ี ามารถสัมผัสได้ (ซากศพ) และสัมผสั ไม่ได้ เช่น วิญญาณปีศาจ การทจ่ี ะนำเอาเงินปากผีมาทำพธิ ีกรรมตา่ งๆ เพ่อื ผสมสร้างเป็นเคร่ืองรางของขลงั จะต้องมีการทำพธิ ีทถ่ี ูกต้อง ถา้ ทำโดยสุ่มสี่ลมุ่ หา้ อาจมีอนั ตรายถึงชีวติ ได้ โดยเจา้ ของเงนิ ปากผี คอื วิญญาณของผู้ตายอาจจะมาทวงคนื ได้ ท่เี รยี กวา่ “เงนิ ปากผ”ี เพราะเงินอันน้ีถกู ใส่ไวิในปากของคนตายคือศพ และคนทีต่ ายแลว้ มกั จะถกู เรียกวา่ “ผี” ดังคำพูดทวี่ า่ “ตายไปเป็นผ”ีนน้ั เอง ทมี่ าของประเพณกี ารใส,เงนิ ในปากผี เรมิ่ มาต้ังแต่คร้งั โบราณหรืออาจจะมขี น้ึ พรอ้ ม ๆ กบั ประเพณีการทำศพก็ว่าได้ เพราะมีหลกั ฐานปรากฏในเรื่องของความเชอื่ ประเภทนี้!นหลายซนชาติ เชน่ กรกื ฮนิ ดู จนี ยวิ แต่ท่ีจะกล่าวในทีน่ ้เี ป็นประเพณีความเช่อื ของชนชาตไิ ทย คนไทยโบราณเชอื่ วา่ เมอื่ ญาติพีน่ อ้ งเสยี ชวี ติ ลงจะตอ้ งมีการจดั พิธีกรรมตา่ งๆ ใหถ้ ูกต้อง การใสเ่ งนิ ในปากของผตู้ าย เปน็ ขนั้ ตอนก่อน๑๗ ๐

สขุ ใจท่ไี ด้อ่าน สารธรรมเพอ่ื ชวี ติ ทคี่ ีงามนำศพใส่ลงในโลง ญาติของผูต้ ายมักจะเย็บถุงผา้ เลก็ ๆ พอทจ่ี ะใสเ่ งนิ หรอืของมคี า่ ตา่ ง ๆ แล้วแต่ฐานะของผูต้ ายลงไปในถุง จากนน้ั ก็จะใช้เชอื กมัดปากถงุ ใหเ้ หลือปลายเอาไว้ แล้วบรรจถุ งุ น้ันลงไปในปากของศพ จึงเรยี กว่า“เงินปากผี” ใหป้ ลายเชอื กท่มี ัดไว้ห้อยออกมาพ้นจากปาก สว่ นเชือกทีผ่ กูกบั ถุงไว้ นัยวา่ เพ่อื ไม่ให้ถงุ หรอื เงินน้ันรว่ งหล่นไปในคอของศพ เงนิ ท่ใี สใ่ นปากศพมักจะเปน็ ชนิดท่ีเป็นเหรียญ ไมใช่เปน็ ธนบัตร บางแห่งก็อาจจะใส่เปน็ เหรียญลงไปในปากศพเลยทีเดียวโดยไมใสในถงุ ก่อน จากนน้ั จึงกระทำพธิ กี รรมตา่ ง ๆ ตอ่ ไป จนนำศพใสล่ งในโลง การกระทำที่เรียกว่า “เงินปากผี” นี้ แสดงให้เห็นถึงภูมปิ ัญญาในการสอนหลกั ธรรมและข้อคดิ ทางพทุ ธศาลนาเชิงปรศิ นาธรรม ๓ ประการ คือ ประการแรก การนำเงินใสป่ ากศพก็เพ่ือผ้ตู ายจะได้เอาทรพั ย์ตดิ ตวั ไปใชส้ อยในเมอื งผี แต่มีช้อสงสัยว่าทำไมจงึ ใส,เงินในปากเพยี งแค'หน่ึงบาทเท่านัน้ แตต่ ามความเชื่อของคนจีนจะมกี ารเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ผูต้ ายคราวละมาก ๆ จะเห็นไดว้ ่ามคี วามแตกตา่ งกนัระหวา่ งความเชือ่ ของคนไทยกับคนจีน ประการทส่ี อง เพอื่ ใหพ้ ิจารณาเห็นวา่ บรรดาทรัพย์สินเงินทองทีเ่ ราสะสมไวแ้ มม้ ากลักเทา่ ใดกต็ าม ทรพั ยส์ ินเงินทองเหลา่ นนั้ เมอื่ เราตายแลว้ เขาเอายัดใส่ปาก เรายงั เอาไปไม่ได้ นำตดิ ตัวไปไม่ได้ เขาย่อมควกั เอาออกจากปาก สุดท้ายจะเอาไปไดก้ ็แตก่ รรมทีท่ ำไว้ ซ่ึงย่อมติดตามไปคล้ายเงาตน และจะส่งผลให้ไดร้ บั ทุกข์ หรือสขุ กต็ ามแตก่ รรมที่ตนไดก้ ระทำไว้เพราะฉะน้ัน คนเราเกดิ มาอยา่ ได้ลุ่มหลงอยู่กับทรัพย์สมบัติ จงึ ควรหม่ันแลวงหาทรัพย์ภายใน คือการบำเพญ็ บญุ ไวซ้ ่ึงสามารถนำติดตัวไปไดต้ ลอดเวลา ประการที่สาม เพ่ือใหเ้ ป็นคา่ จา้ งแก1สัปเหรอ่ ที่จะนำศพไปเผาท่ตี ้องนำไปใส่ไวใ่ นปากเพราะว่า ๑๗๑

สุขใจทีไ่ ด้อา่ นสารธรรมเพือ่ ชวี ิตที่คงี าม จะได-้ คน้ หาได,สะดวก เพราะถ้าเจา้ ภาพบิดพลิ้วสัญญาค่าจ้างภายหลงั เงนิ ใสป่ ากศพจะกลายเปน็ เงินค่าจ้าง เพราะในสมยั ก่อนเงนิ บาทมคี ่ามาก ตามความเช่อื ของกรีกโบราณทเี่ ลา่ ตอ่ ๆ กนั มาว่า ผู้ทตี่ ายวญิ ญาณจะไปสเู่ มอี งผี ช่ืงเมอี งน้ีอยใู่ ต้เมอื งมนษุ ย์ ทางทิศตะวันตกอนั ไกลแสนไกลจะมแี ม่นาํ้ ปินแดนความสวา่ งและความมดื ช่อื ว่า “แม่นา้ํ สตกิ ษ”์ (แปลว่าดำมดี )วญิ ญาณของผู้ตายไปสู่เมอื งผีไดก้ ็ตอ้ งขา้ มแม่น้าํ นี้ มีมนษุ ยช์ ื่อว่า “การน”มรี ปู รา่ ง เป็นคนแกผ่ มหยกิ ดำ หนวดเครารุงรัง แจวเรอื รบั สง่ วิญญาณข้ามฟากโดยคดิ คา่ จ้างรับลง่ เป็นเงินหนงึ่ อะบะสลั จรงิ อยทู่ ่มี ีผูเ้ สียชีวติ ตามธรรมดาของโลก แตใ่ นการทำพิธเี กี่ยวกบัความตาย เช่น การใสเ่ งินปากผกี ไ็ มไ่ ด้ทำกนั ท่วั ไป เนอ่ื งจากสมัยโบราณ เงนิทองเปน็ ของทีห่ ายากและมคี า่ ผูท้ ีม่ ฐี านะไมด่ จี ึงไม่ใสเ่ งนิ ในปากของศพ แต่อาจจะตำหมากใสแ่ ทนกไ็ ด้ ความเชอื่ เร่อื งเงนิ ปากผใี นปจิ จุบนั อาจจะยังมีอยู่ในทอ้ งถน่ิ ท่ียงั คงรกั ษาความเชอ่ื นเ้ี อาไว้ แต่สิ่งเหล่าน้บี างส่วนได้สญู ลิน้ ไปจากความเชอ่ื ของคนในสงั คมเมืองหลวงทม่ี คี วามเจรญิ แล้ว เพราะฉะน้ัน การกระทำความดี การเสาะแสวงหาทรพั ยภ์ ายในดว้ ยการทำบญุ ใหท้ าน รกั ษาศีล เจรญิ จติ ภาวนา จงึ เปน็ การแสวงหาทรพั ย์ที่ถูกต้องที่สุด เพราะเป็นทรพั ยท์ สี่ ามารถนำติดตวั ไปไต้ทุกภพทุกชาติส่วนทรัพย์สมบตั ิทีเ่ ราหาได้ในชาตินี้ เม่ือเราตายแลว้ เราตอ้ งทิ้งไปทัง่ หมดตดิ ตามเราไปไมไ่ ด้เลย ดงั ค่าประพันธ์ท่ีว่า ยศและลาภหาบไปไมไ่ ดแ้ น่ เวน้ เลียแตด่ น้ ทนุ บุญกศุ ล ทงิ้ ทรพั ยส์ มบัตทิ ง่ั หลายใหป้ วงซน รา่ งของตน เขายังเอาไปเผาไฟ ฯ๑๗๒

สขุ ใจท่ไี ด้อ่าน สารธรรมเพอ่ึ ซีวตทค่ี ีปา๋ ม โดย...พันเอก อคั รนิ ทร์ กำใจบุญ “ ผา้ บงั สกุ ลุ ” จะหนีอ่ืนหมนื่ แสนในแดนโลก พอยา้ ยโยกหลบลี้หนีพ้นได้ แต่หนีหน่ึงซงึ่ มีซื่อคือหนตี าย หนไี มไ่ ด้หลบไม,พ้นลักคนเดยี ว เมื่อมคี นในครอบครวั เลียชีวิต ในฃนบธรรมเนียมประเพณีไทย ส่งิ หนง่ึ ท่ีเราจะตอ้ งทำใหแ้ ก่คนตาย คือ การทอดผา้ บังสกุ ลุ ถามวา่“ผ้าบังสกุ ลุ คอื อะไร” คำวา่ บงั สกุ ลุ มาจากคำภาษาบาลี ๒ คำ คอื คำว่า ปงั สุ แปลว่าฝน่ และคำวา่ กุละ แปลว่า เบเ้ื อน เมื่อรวม ๒ คำเข้าดว้ ยกันเปน็ ปังสุกุละอา่ นเป็นคำไทยว่า บงั สุกลุ แปลว่า เปีอนฝ่น หรอื เปอี นเศษธลุ ี เปอี นหยากเยอื่เบเ้ื อนสิ่งสกปรก ผา้ หอ่ ศพ หรอื ผ้าทเี่ ขาทิ้งแลว้ เปน็ ผ้าเปีอนฝนุ ผา้ เปอี นธลุ ี คนทิ้งไว้ตามทตี่ ่างๆ ไมม่ เี จา้ ของ พระสงฆก์ ็จะเกบ็ ผ้านั้นมาใชโ้ ดยการประกาศข้ึนสามครงั้ สง่ิ น้ี มีเจา้ ของหรือไม่ ถ้าไม่มี ท่านก็จะถอื เอาเปน็ ของบังสุกลุโดยจะกล่าวว่า “ อิมงั ป ้งสุกลู งั อ ัสสามิกงั มัยหัง ปาปณุ าติ” แปลวา่“ผ้าบังสุกลุ (ผ้าเปอี นฝุน) นี้ ไม่มีเจา้ ของ ยอ่ มถงึ แกเ่ รา” ผ้าทีไ่ ดม้ าเซ่นนี้เรยื กวา่“ผ้าบ งั สุกุล” แลว้ ก็จะน ำผา้ น ัน้ มาซกั ตดั เย็บ ยอ้ ม ทำเป็นผ้าไตรจีวร คือเปน็ ผา้ สำหรับนงุ่ เรียกวา่ อันตรวาสก หรือผา้ สบง เปน็ ผ้าสำหรบั หม่เรียกว่า อตุ ตราสงค์ หรอื จีวร และเปน็ ผา้ สำหรบั ใชท้ าบหรอื ห่มซ้อนอตุ ตราสงค์ เรยี กว่า สงั ฆาฏิ ๑๗ ๓

สุขใจที่ได้อา่ นสารธรรมเพือ่ ชวี ติ ท่ดี ปี ๋าม การใชผ้ า้ บังสกุ ุล เปน็ เรอื่ งที่พระสงฆท์ ำมาแต่เดมิ ในสมัยแรกท่พี ระพทุ ธศาสนายังไมแ่ พร่หลาย ชาวบา้ นยังไม่ได้ศรัทธาพระสงฆม์ ากมายการได้ผ้าจวี รก็ได้มาจากการหาผา้ เก่าๆ มาทำเอง ต่อมา มีผ้ศู รัทธาในพระพทธศาสนามากข้นึ แล้วพระพทธเด้าทรงอนณาตใหพ้ ระสงฆ์“คหปติจีวร” พระสงฆบ์ างรูปทมี่ ักน้อย และถอื ปฏบิ ตั ใิ นธดุ งคบ์ างข้อ เซ่น ถอืปฏบิ ตั ใิ ช้แต่ผ้าบังสุกลุ ท่านก็จะไม1รับการถวายจวี รจากญาติโยม แตจ่ ะแสวงหาผ้าเกา่ หรือผา้ ท้ิงแลว้ จากทีต่ า่ งๆ มาตดั เย็บทำเปน็ จีวร ชาวบา้ นที่ศรัทธาพระสงฆอ์ ยากจะถวายผา้ จงึ ใซ่วิธีนำผา้ (สว่ นมากจะใหม่) ไปทิง้หรอื วางไวต้ ามทีต่ า่ ง ๆโดยอาจทำใหม้ รี อยเบ้เื อนบา้ ง เพื่อใหเ้ หน็ วา่ เป็นของเปีอนฝ่นของท้ิงแล้ว โดยมักสงั เกตว่าทางไหนท่ีพระสงฆ์มกั เดินผ่าน หรอืจะไปแสวงหาผ้า กจ็ ะไปท้งิ หรือวางตามท่ีนน้ั ก็เปน็ การถวายผ้าเหมือนกนัเป็นการถวายทางออ้ ม ไม่ไดถ้ วายโดยตรง ผา้ บังสุกุลน้ี มคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั เร่ืองศพหรอื พิธีศพ เพราะในสมัยก่อน ศพทีไ่ ม่ไดเ้ ผา เขาก็จะนำไปทิ้งไวท้ ี่ป่าช้าเป็นที่ทงิ้ ศพ พระสงฆท์ ีถ่ ือปฏิบตั ิใชแ้ ต่ผ้าบังสกุ ุลก็จะไปหาผ้าเก่าตามปา่ ช้า ช่งึ ก็คือผ้าทีห่ ่อศพน่ันเองเม่ือพบแลว้ ท่านก็จะเอาไม้เขย่ี ผา้ ออกจากศพ แล้วนำไปดำเนินการต่อ ในสมยั ปัจจบุ ัน พระสงฆไ์ ม่ไดแ้ สวงหาผ้าห่อศพหรอื ผา้ ทที่ ้งิ ตามป่าเพ่ือมาตัดเย็บเปน็ จีวรแลว้ ซาวบ้านกไ็ ม่ไดน้ ำเอาผ้าไปทงิ้ ตามท่ตี ่าง ๆเพ่ือถวายพระสงฆ์ทางออ้ ม แตก่ ็ยังคงมีเรอื่ งการถวายผ้าจวี รเป็นผา้ บงั สุกลุโดยยึดถือคติทมี่ มี าแตเ่ ดมิ วา่ ผ้าบังสกุ ุลไดม้ าจากผา้ ที่ห่อศพ เม่อื มีการจดั งานศพแลว้ มกี ารถวายผ้าแด,พระสงฆเ์ พอ่ื อุทศิ สว่ นกศุ ลแก'ผลู้ ว่ งลบัในงานศพน้นั เลยเรียกผ้าทถ่ี วายในงานน้ันว่า ผ้าบงั สุกลุ โดยแบ่งวธิ ีการถวายเป็นสองลักษณะ คอื๑๗๔

สขุ ใจท่ไี ด้อา่ น สารธรรมเพ่อื ชีวิตทดี่ งี าม ๑) ถวายผ้าบังสกุ ุล ในพธิ ีสวดพระอภิธรรมแตล่ ะคืน หรือในการบำเพญ็ บุญประเภทอืน่ ๆ เชน่ ในการถวายภตั ตาหาร เป็นต้น และ ๒) ถวายผาบังสกุ ลุ ในพธิ เี มาปนกจิ ศพ ทเี่ รยี กวา่ “ทอดผา้ บังสกุ ลุ ”“ทอดผ้าไตรบังสุกุล” ทา่ นทเี่ คยไปรว่ มงานเมาปนกจิ ศพ ก็คงจะเคยเหน็ พิธีการน้ี โดยก่อนจะมกี ารเผาศพ ก็มีการถ1วายผา้ บังสุกลุ ซงึ่ ถือว่าเป็นพิธีบำเพ็ญบุญประการสดุ ท้ายกอ่ นจะมีการเมาปนกิจศพ และพธิ กี ารน้ีกจ็ ะนิมนตพ์ ระสงฆ์ไป “ชกั ผ้าบังสุกลุ ” ก่อนจะมพี ิธเี ผา เหตุทีม่ พี ิธถี วายผ้าบังสกุ ุล และนมิ นต์พระสงฆ์ไปชักผ้าบงั สุกลุก็เนอ่ื งจากวา่ ชาวบ้านตอ้ งการใหพ้ ระสงฆ์ไต้พิจารณาสังขารร่างกายของผู้ลว่ งสบั เปน็ การสนบั สนนุ ใหพ้ ระสงฆไ์ ต้ปฏิบัตธิ รรม คอื มรณานุสสติกรรมฐาน และอสุภกรรมฐานไต้มองเห็นศพ มองเห็นความไมส่ วยงามของรา่ งกาย เหน็ ความไมเ่ ทีย่ งแท้ ซง่ึ จะทำใหเ้ กดิ ความไม่ประมาท ในสมยั ก่อนนัน้ ก่อนทจ่ี ะมพี ธิ ีการเผาศพ ชาวบา้ นกจ็ ะนำผา้ไตรจีวรหรือผา้ ขาวไปวางทอดไวท้ ี่ศพ แล้วนมิ นต์พระสงฆ์ “ชักผา้ บังสกุ ลุ ”พระสงฆท์ ี่ไตร้ ับนมิ นต์ก็ตอ้ งไปหยบิ ผา้ ท่วี างทอดไว้ทีศ่ พออกมา เวลาน้ันก็ไต้เหน็ สภาพศพ อาจมกี ารข้นึ อดื พองเขียว มกี ารเน่าเปีอย เนอ่ื งจากสมัยนน้ัวิธีการรกั ษาสภาพศพยังไม่เจรญิ ก้าวหนา้ นั้ายาฟอรม์ าลนี นา้ํ ยาฉดี รกั ษาสภาพศพก็ยังไม,มี เม่อื พระสงฆไ์ ตเ้ หน็ สภาพศพเนา่ เบ่ืเอย กจ็ ะเกดิ ความสลดสังเวชในสังขารรา่ งกาย เป็นการยาํ้ เตือนใหใ้ ม1ประมาทในชีวติเร่งปฏิบตั ิธรรม หรืออย่างน้อยก็จะเกดิ ความรสู้ กึ ไม่ยนิ ดชี มชอบในผ้าที่ไตม้ ากนัก เพราะอาจจะเปีอนนา้ั เลือดนัา้ เหลอื งอะไรต่างๆ หากนา่ ไปใช้นุ่งหม่ ก็จะไม,รูส้ ึกยดึ ติด แตใ่ ชผ้ า้ น้ันตามจดุ หมายแท้ คือใชเ้ พอ่ื ปกปิดร่างกาย กันความหนาวความร้อนเท่านั้น ชาวบ้านเองก็เท่ากับว่าไตบ้ ญุสองตอ่ คือนอกจากได้บุญจากการถวายผ้าแด,พระสงฆ์แลว้ ก็ยังช่วยเอ้อื ให้พระสงฆไ์ ต้ปฏิบัตธิ รรมอกี ดว้ ย ๑๗๕

สขุ ใจท่ีไดอ้ ่านสารธรรมเพอื่ ชวี ติ ท่คี งี าม แต่ปจั จุบันน้ี วธิ ีการรักษาสภาพศพเจรญิ กา้ วหน้า แถมยังไมม่ ีการเปดี โลงก่อนจะเผาอีกดว้ ย (บางแหง่ อาจมกี ารเปดี โลงครัง้ สุดทายก่อนเขา้ เตาเพื่อใหญ้ าติได้ดูผลู้ ว่ งลบั เปน็ ครัง้ สุดท้าย แต่กไ็ มม่ กี ารเปิดโลงในพธิ ีการทอดผา้ บังสกุ ลุ ) ก็เลยทำใหค้ ติท่ีจะชว่ ยใหพ้ ระสงฆ์ไดป้ ฏบิ ตั ธิ รรม ได้พจิ ารณาอสุภกรรมฐานลดลงไป แถมโลงสมัยนีก้ ็ประดบั ประดาสวยงาม รูปภาพคนตายก็มีการตกแตง่ ให้ดูดีขน้ึ การวางทอดผา้ กว็ างทแ่ี ถบผ้าภษู าโยง หรือสายโยง (ลายสิญจน์) ที่โยงมาจากโลงศพ ไม่เห็นสภาพของศพ พระสงฆก์ ็เลยไมเ่ หน็ อสภุ กรรมฐาน ปัจจุบันนี้ คำวา่ “นมิ นตพ์ ระสงฆ์ซกั ผา้ บังสกุ ลุ ” เรม่ิ จะเลือนหายไป หรือแทบไม,ค่อยมี แตม่ ีการเลือกใช้คำวา่ “นมิ นตพ์ ระสงฆพ์ จิ ารณาผา้ บงั สุกุล” ขนึ้ มาแทน ซึง่ ความจรงิ การใชค้ ำว่า “ซักผา้ บังสกุ ลุ ” จะตรงกบัอาการของพระสงฆ์ เพราะพระสงฆ์ต้อง “ซกั ” (ดงึ , หยิบ) ผ้าออกมาจากตวั ศพ หรือจากผ้าภูษาโยง, สายโยง (สายสญิ จน์) ท่ีโยงมาจากตวั ศพ แตก่ ารใช้คำวา่ “พจิ ารณาผา้ บังสุกุล” น้นั กไ็ มใชจ่ ะเป็นการใชท้ ีผ่ ดิโดยมีผู้'พยายามอธบิ ายเพ่มิ เติม1วา่ ความจรงิ คำว่า “พจิ ารณาผ้าบังสุกุล”นี้ เปน็ รปู แบบวิธี “ยอ่ คำ” ของคนไทย โดยคำเต็ม ๆ ของคำวา่ พจิ ารณาผ้าบังสกุ ลุ ก็คือ “นิมนตพ์ ระสงฆ์พิจารณาอสภุ ะ (ศพหรือลงั ขาร) และซกั ผา้บงั สกุ ลุ ”๑๗๖

สขุ ใจทีไ่ ดอ้ ่าน สารธรรมเพอ่ื ชีวติ ทด่ี ีงาม โดย...พนั เอก อัครนิ ทร์ กำใจบญุ “ อาบหรอื รดนาศผทำไม” การอาบน้าํ ศพ จะเปน็ ธรรมเนยี มอย่างหน่ึงทจ่ี ะทำให้แกศ่ พโดยจะทำก่อนการบรรจุศพหรือนำศพใสในโลง เหตทุ ต่ี ้องมกี ารอาบน้ําศพเพราะต้องการให้รา่ งกายของคนตายสะอาดบริสทุ ธ้ี ซึง่ คล้ายกบั ความเชื่อของศาสนาพราหมณี!.นอินเดยี คือ การชำระล้างบาปด้วยการลงอาบนํ้าในแมน่ ้าํ คงคา ประเพณีไทยในสมัยกอ่ นๆ การอาบน้ําศพจะทำการอาบจริง ๆคอื ต้มน้ําด้วยหม้อดินหรือภาชนะอืน่ (หรืออาจจะไม่ตม้ กไ็ ด้) ซงึ่ ในหมอ้ ดนิหรือภาชนะอ่นื ทใ่ี ส่นํ้านัน้ อาจใสใบไม้ต่าง ๆ ลงไปดว้ ย เช่น ใบหนาด ใบลม้ ปอย ใบมะขาม โดยมีความเชื่อกนั ว่าใบหนาดน้นั เปน็ ใบไมท้ ผี่ กี ลวั และใช้ปดั รังควาน การอาบน้ําศพจะอาบด้วยนํ้าอนุ่ กอ่ น แลว้ จึงอาบด้วยน้ัาเยน็อีกครง้ั หรอื จะอาบด้วยนา้ั เย็นเลยทีเดียวก็ได้ แลว้ ฟอกดว้ ยล้มมะกรูดเม่ือลา้ งจนสะอาดหมดจดแล้ว จึงฟอกดว้ ยขม้นิ ชนั สดเพือ่ ใหร้ า่ งกายศพมผี ิวพรรณเหลืองประดจุ ดงั ทอง ตอ่ จากนัน้ จงึ ทำการแต่งตวั ใหศ้ พ การอาบหรอื รดน้ําศพ มีจุดหมายโดยตรง คอื เพอ่ื ขอขมาลาโทษต่อผู้ตาย หรอื ไปอโหสกิ รรมใหแ้ ก'กัน อยา่ ได้มเี วรมีกรรมหรอื จองเวรจองกรรมต่อกันอกี ขอให้สน้ิ สุดกนั แค่น้ี แตถ่ า้ ผูต้ ายมอี าวุโสนอ้ ยกว่า ไม่นิยมรดนํ้าศพเพ่ือขอขมา แตไ่ ปในงานเพอ่ื ให้เกยี รติและไวอ้ าลัยแก่ผู้ตาย สว่ นจุดม่งุ หมายโดยออ้ มกเ็ พื่อเปน็ คติลอนใจแก่คนเปน็ นั่นเอง ของเดิมแท้ๆ ไม1มกี ารรดน้ําศพที่ทำเปน็ พิธกี ารอย่างเดีย๋ วน้ีอาบนา้ํ ศพเทา่ น้นั พอ แม้ปจั จุบนั นตี้ ามชนบทก็มแี คก่ ารอาบนํา้ ศพเท่านน้ัโดยอาบเปน็ พิธกี าร เรยี กลูกหลานญาติพีน่ อ้ งมาอาบนา้ํ ให้แกศ่ พเปน็ การใหญ่ไมม่ กี ารรดน้าํ ศพอยา่ งทท่ี ำกนั ในบัดน้ี แด1เฉพาะ'ในทีท่ เ่ี จริญแลว้ เช่นในเมือง นิยมมีการอาบนาํ้ ศพด้วย รดนาํ้ ศพด้วยในปัจจุบันในสังคมเมือง ๑๗๗

สขุ ใจท่ีไดอ้ ่านสารธรรมเพ่ือชีวิตทดี่ งี าม 4พธิ อี าบนา้ํ ศพมกั ไม1ปรากฏให้เหนิ เนื่องจากบุคคลท่ีเสยี ชวี ิตท่โี รงพยาบาลทางโรงพยาบาลจะดำเนินการอาบนํา้ ศพทำความละอาดใหเ้ รียบรอ้ ย ถา้บุคคลเสยี ชวี ติ ทีบ่ า้ น การอาบน้ําศพกม็ กั เปน็ เรอื่ งภายในครอบครวั และญาตสิ นิททำกนั เม่ืออาบนาํ้ ศพแล้วกแ็ ตง่ ตวั ศพเสยี ใหม่ ญาติๆ กจ็ ะนำศพไปวดั เพอ่ื ประกอบพธิ รี ดน้ําศพเฉพาะท่ีฝา่ มอื เท่าน้นั โดยใชน้ าํ้ ผสมกบัน้ําอบเพอื่ ให้เกดิ ความหอม ซึง่ จะทำหลังจากที่คนได้ตายไปแลว้ ไม่นานนกัโดยจัดศพให้นอนในท่ีอันสมควร จับมอื ข้างหน่ึงยน่ื ออกมา ลกู หลานของผู้ตายจะทำหนา้ ท่ใี ช้ขันใบเล็ก ๆ ตักนาํ้ จากขันใบใหญ่ ส่ง'ไห้กบั ผู้ทมี่ าทำการรดน้ําศพ โดยการเทนา้ํ ลงมอื ของผตู้ าย กล่าวคำไว้อโหสิกรรม หรือกลา่ วขอใหิวิญญาณของผู้ตายจงไปสสู่ ุคติ วธิ รี ดนั้าศพ ถ้าเป็นศพคฤหสั ถซ์ ึง่ มอี าวุโสสงู กว่าตวั หากศพถูกวางไวก้ บั พ้นื หรือบนเตยี งทีไ่ มส่ ูงมากนักผรู้ ดนา้ํ ก็นง่ั คุกเข่า หากศพถกู วางไวบ้ นเตยี งทีส่ งู กใ็ หผ้ ู้รดนา้ํ ยืน น้อมไหว้ศพก่อนพรอ้ มกบั นกึ ในใจวา่ “กายะกมั มงัวะจกี มั มงั มโนกัมมงั อโหสิกมั มงั โหต”ุ แปลว่า “ข้าพเจ้าได้ลว่ งเกนิ ตอ่ ทา่ นทางกายก็ดี ทาง1วาจาก็ดี ทางใจกด็ ี ขอทา่ นโปรดอโหสกิ รรมให้แก่ขา้ พเจา้ด้วยเถิด” เม่ือยกมอื ไหวข้ อขมาศพแลว้ กร็ ับภาซนะนํา้ สำหรบั รด ประคองเท น ํ้าดว้ ยมอื ท ้งั สองรดลงบ น ฝา่ มอื ขวาของ ศพ พร้อมนำในใจว่า“อทิ งั มะตะกะสะ รรื งั อาลญิ จิโตทะกังวิยะอะโหสกิ มั มงั ” แปลว่า“ร่างกายท่ีตายแลว้ นย้ี อ่ มเป็นอโหสกิ รรม ไมม่ 'ี โทษ เหมอื นนํา้ ท่ีรดแล้ว” จะวา่ เป็นภาษาบาลหี รอื เฉพาะภาษาไทยอยา่ งเดียว หรอื ทัง้ สองอย่างเปน็ อันใชได้ทั้งนั้น เม อื่ รดเสรจ็ แล้วก็ยกมอื ไห วพ้ ร้อมกับ น กึ อธษิ ฐาน ใน ใจวา่ “ขอจงไปสสู่ ุคติๆ เถดิ ” นเ่ี ปน็ ระเบียบปฏบิ ตั ิเวลารดนาํ้ ศพคฤหัสถ์ ถา้ เปน็ ศพพระสงฆไห้เปลยี่ นจากนอ้ มไหว้มาเปน็ กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง สว่ นการนกึ ในใจคงใช้เช่นเดียวกัน๑๗๘

สขใจทีไ่ ด้อ่าน สารธรรมเพื่อชีวติ ท่ดี งี าม การรดนาํ้ ศพทีฝ่ า่ มือเปน็ ปริศนาธรรมให้เห็นว่า ทฝ่ี า่ มือของคนเราเมอ่ื ตายไปแล้วไม่สามารถหยิบส่ิงใดไปได้ เหมือนจะให้ศพประกาศความหมายออกมาว่า “น่แี นะ่ ท่านทงั้ หลาย ดมู อื ฉนั สิ ฉันไปมือเปล่านะฉันไม,ไดน้ ำเอาอะไรในโลกน้ไี ปเลยแมแ้ ต่น้อยหนง่ึ แมท้ า่ นกจ็ ักเปน็ เช่นฉันเหมือนกนั ” ผูม้ ืชีวติ อยู่จงึ ไมค่ วรลุ่มหลงไม,ควรยดึ ตดิ ในทรัพย์สนิ เงนิ ทองใหม้ าก ไม,ควรประมาท ควรเรง่ ขวนขวายในการใชท้ รัพยส์ มบตั ิทต่ี นมืนั้นเพ่ือการสร้างกศุ ลและคณุ งามความดีต่างๆ เพราะยงั มืโอกาสได้ทำ สว่ นคนทต่ี ายไปแล้วหมดโอกาสท่ีจะใชท้ รพั ยส์ มบตั ิท่ตี นมเื พอื่ สร้างกุศลหรอิทำคณุ งามความดีต่างๆ และไม่สามารถหยิบทรัพย์สินเงนิ ทองใดๆ ไปได้ดงั คำประพันธท์ ี่ว่า เมือ่ เกิดมามือะไรมาด้วยเจา้ เจ้าจะเอาแต่สุขสนกุ ไฉน เมือ่ เจา้ มามอื เปลา่ จะเอาอะไร เจ้ากไ็ ปมอื เปลา่ เหมือนเจา้ มา ๑๗๙

สขุ ใจท่ไี ดอ้ า่ นสารธรรมเพอื่ ชวี ิตทีด่ งี ามโดย...พันเอก อคั รนิ ทร์ กำใจบญุ “ บท นะโบ” การไหวพ้ ระลวดมนต์ บทแรกทพี่ ระสงฆ์และชาวพทุ ธต้องสวด คอืบทนมสั การพระพุทธเจ้า มีจำนวน ๕ ศัพท์ วา่ “นะโม ตัสละ ภะคะวะโตอะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธัสสะ” โดยสวด จำนวน ๓ จบ ซ่งึ แปลความหมายว่า“ขอความนอบนอ้ ม จงมีแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ พระองค์นน้ั ผ้เู ป็นพระอรหนั ต์ ตรัสรู้ชอบไดโดยพระองค์เอง” ศัพท์ทั้ง ๕ ศัพทน์ ้ี ลว้ นเปน็ ศัพท์ที่กล่าวนมัสการพระพทุ ธเจา้ ทั้งส้ิน จึงประมวลไว้เปน็ บทเดียวกัน ถามวา่ ผู้กลา่ วบทนมสั การพระพุทธเจา้ น้ีเปน็ ครั้งแรกในโลกคือใคร? ตอบว่า ผูก้ ลา่ วบทนมัสการพระพทุ ธเจา้ เป็นคร้ังแรกในโลก ไดแ้ ก่เทวดา จำนวน ๕ ตน โดยเทวดาแตล่ ะตนไต้กลา่ วตนละ ๑ ศพั ท์ คอื ศัพทว์ า่ นะโม กลา่ วโดย สาตาคิริยกั ษ์ ศพั ท์ว่า ตัสสะ กล่าวโดย อสรุ ินทราหู ศพั ทว์ า่ ภะคะวะโต กลา่ วโดย ทา้ วจาตุมหาราชิกา ศัพทว์ ่า อะระหะโต กลา่ วโดย ทา้ วสกั กเทวราช ศัพทว์ ่า สมั มาสมั พุทธัสสะ กลา่ วโดย ทา้ วมหาพรหม นกั ปราชญบ์ างท่านสันนษิ ฐานวา่ บทนมสั การพระพุทธเจ้าน้ีเป็นคำกลา่ วนอบน้อมพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ลบั หลัง ไมใช่เฉพาะพระพกั ตร์พระองค์ สามารถรวบรวมยอดพรรณนาความสำคัญ ๓ อย่าง คือ พระมหากรุณาธิคณุ (ภะคะวะโต) พระวิสุทธคิ ณุ (อะระหะโต) และพระปญั ญาคณุ(สัมมาสมั พทุ ธัสสะ) ของพระพุทธเจ้าตามลำดับ อยา่ งน่าอศั จรรย์( ร ุ) (*9 0

สขใจท่ีได้อา่ น สารธรรมเพ่อื ฃวี ติ ทด่ี งี าม ถามว่า บทนมัสการพระพทุ ธเจ้านีจ้ ะใชล้ วดหรอื กล่าวเพียง ๑ จบจะไดห้ รือไม่? ตอบวา่ จะใชส้ วดหรอื กล่าวเพยี ง ๑ จบกไ็ ด้ แต่นักปราชญ์โบราณาจารย์ท่านไดก้ ล่าว จำนวน ๓ ครง้ั ดว้ ยเหตผุ ล ๒ ประการ คือ ๑. เพอ่ื กระทำการนมสั การนนั้ ใหม้ ั่งคง ขจัดความฟ้งซ่านออกจากจติ เป็นการตง้ั จติ ให้ม่ันคงและสำรวมจติ ไม่ให้หวน่ั ไหว เพอื่ เป็นแนวทางของสมาธิ ๓ ระดับ คอื ฃณกิ สมาธิ อปุ จารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ ๒. เพื่อเป็นการนมสั การพระพุทธเจ้า ๓ ประ๓ท ประ๓ทละ ๑ จบ คือ ๒.๑ จบที่ ๑ นมัสการพระพทุ ธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ที่ทรงบำเพ็ญบารมเี ป็นเวลา สี่อสงไขยแสนมหากปั ๒.๒ จบที่ ๒ นมสั การพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกะ ทีท่ รงบำเพญ็ บารมีเปน็ เวลา แปดอสงไขยแสนมหากปั ๒.๓ จบท่ี ๓ นมสั การพระพุทธเจา้ ประเภทวริ ยิ าธิกะ ท่ที รงบำเพ็ญบารมีเปน็ เวลา สบิ หกอสงไขยแสนมหากปั บางท่านกลา่ วอธบิ ายว่า จบที่ ๑ เป็นคำกลา่ วนมสั การพระพุทธเจ้าจบท่ี ๒ เป็นคำกลา่ วนมัสการพระธรรม และจบท่ี ๓ เป็นคำกล่าวนมัสการพระสงฆ์ ในหนังสอื พระอุโบสถศลี กถา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ฯ ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยไวว้ ่า “ทีถ่ ูกตอ้ ง คงเปน็คำนมสั การพระสัมมาสมั พุทธเจา้ โดยเฉพาะ แต่ท่ีกลา่ ว ๓ ครัง้ ก็เพอื่ ย้าํ ดว้ ยความเคารพและมน่ั ใจ” ผลของการสวดบทนมสั การ คือ แสดงความเคารพนอบนอ้ มพระพุทธเจ้า จัดเป็นพุทธานุสสติ ด้วยจติ ที่ประกอบด้วย ศรัทธาเลอ่ื มใสจนเกดิ ความปีตปิ ราโมทย์ด้วยความดม่ื ด่ําในพระพทุ ธคุณจดั เป็นกระแสห้วงบญุอนั ยงิ่ ใหญห่ ลวงที่ยังกิริยาการนอบนอ้ มใหส้ ำเรจ็ เปน็ ไปทกุ ๆ ขณะชวนะจติ (ริ) (ฬ(ช)ุ้

สขุ ใจทีไ่ ด้อา่ นสารธรรมเพื่อชวี ิตท่ดี ีป๋าม๗ ขณะตลอดมาหลายแสนโกฏิครัง้ กระแสบุญนนั้ แผ่ไพศาลมีอานภุ าพมากเพราะเจริญในนาบุญอนั สงู สดุ คอื พระพทุ ธเจ้า ย่อมสง่ ผลให้ผู้นอบน้อมบูชาน้นั ได้รบั ผลท้ังในปจั จบุ นั และอนาคต ทั้งท่ีเปน็ โลกิยะและโลกตุ ตระ สมด้งพระพทุ ธดำรสั ท่ีตรัสไว่ในฃุททนิกาย ธรรมบทวา่ “แม้มนุษย์ เทวดา พรหมในโลกน้ี ย่อมไม่อาจนับผลบุญของผนู้ อบนอ้ มบูชาพระพุทธเจา้ พระปัจเจกพทุ ธเจ้า และพระสาวก ผู้ลงบระงบั ปลอดภยั โดยประการท้ังปวง เธอจงเจรญิพุทธานุสสติภาวนาทย่ี อดเย่ียมในภาวนาธรรม เพราะผู้เจรญิ พทุ ธานสุ สติภาวนาน้ี สมหวังด้งมโนรถ” ในคมั ภรี ว์ สิ ทุ ธมรรค พระอรรถกถาจารยไ์ ด้แสดงผลของการเจริญพุทธานุสติ คอื การระลึกถงึ พระพุทธเจ้า และคณุ ของพระพทุ ธเจ้าไว้๙ ประการ คือ ๑ . กอ่ ใหเ้ กดิ ความยำเกรงในพระพุทธเจ้า ๒. ก่อให้เกดิ ศรทั ธา สติ ปัญญา และกศุ ลอย่างย่งิ ๓ . ก่อให้เกดิ ป ีต ปิ ราโมทยเ์ ป็นอันมาก ๔. ทำใหอ้ ดทนตอ่ ความกลัว ความตกใจ และทกุ ขไ์ ด้ ๕. ทำใหเ้ กดิ ความร้สู กึ วา่ เหมอื นไดอ้ ยกู่ ับพระพุทธเจา้ ๖. กายเปน็ เหมือนเรือนเจดียท์ ี่ควรบูชา ๗. จติ นอ้ มไปเปน็ พทุ ธภมู ิ ๔. เมอ่ื พบสงิ่ ทค่ี วรละเมดิ จะเกดิ หิริโอตตัปปะ ดัง่ ได้เหน็ พระพทุ ธเจา้ อยู่เบื้องหนา้ ๙. จะไปเกิดในสคุ ติภพ ในเมอ่ื ยงั ไม่บรรลคุ ุณธรรมเบ้อื งสูง๑๘๒

สุขใจทีไ่ ด้อ่าน สารธรรมเพ่อื ชวี ิตทด่ี งี าม โดย...พันเอก วานิช ฉอสนั เทียะ “ คบขยบั ยอ่ มหาทรพั ยไ์ ด”้ ช่ือว่า ทรพั ย์ใครก็อยากได้ เพราะทรัพยน์ ้นั คล้ายกบั แก้วสารพัดนกึสามารถดลบันดาลทุกส่งิ ทุกอยา่ งให้กบั เจ้าของได้ ปิจจบุ นั นีค้ นมที รพั ยใ์ คร ๆก็นบั เป็นญาติไป!หนมาไหนทุกคนก็เกรงใจใหเ้ กยี รติ ทกุ คนจึงแสวงหาแต่ทรพั ย์กัน วนั หนึ่ง ๆ คนเราจะยุ่งอยกู่ บั ธุระหนา้ ที่การงานเพอ่ื ทรัพยท์ ้งั น้นั คนไมข่ ยันท!ี ม่สามารถจะหาทรพั ย!์ ด้ ต้องเปน็ คนขยนัเท่านนั้ คนขยันจะก้มหนา้ กม้ ตาทำงานโดยไม่เกย่ี งว่า อากาศหนาวเกินไปร้อนเกินไป ทำงานไดท้ ั้งนัน้ ไม,ผัดวันประกันพร่งุ วา่ เวลานีเ้ ย็นแลว้พรงุ่ น้ีคอ่ ยทำเถอะ เวลานยี้ งั เช้าอยู่ สายหน่อยค่อยทำ ไม่บน่ ว่า หิวมากขอกนิ ก่อน กระหายนกั ขอดื่มก่อน คนขยนั ต้องขยนั ในการทำงานที่เกดิ ข้ึนจากนํา้ พักนาํ้ แรงของตนอยา่ งมเี กยี รติ ไมก่ ินแรงหรือเอาเปรยี บผู้อ่นืคนพกิ ารทางรา่ งกาย อวัยวะไม่สมประกอบ ไมส่ ามารถประกอบกิจในหนา้ ที่การงาน คอื ทำมาหากินได้ อยา่ งน้ีสมควรจะไดร้ ับความเมตตาจากผู้คนคนขยนั เทา่ น้นั จึงจะหาทรัพย์ได้ ความสำคัญของการทไ่ี ด้ทรพั ยม์ าแลว้จะทำอยา่ งไร จึงจะรักษาทรัพย์น้นั ไว่ได้ ถา้ หากหามาไดแ้ ลว้ เกบ็ ไว่ไม่อย่มู ันกไ็ มม่ ปี ระโยชน้ เหมอื นเอาภาชนะกน้ กลวงไปตกั นา้ํ ตักได้นํา้ เตม็ ภาชนะแล้วน้าํ ไมอ่ ยู่จะมีประโยชนอ์ ะไร ประโยชน์ของการมีทรพั ย์จงึ อย่ทู ีก่ ารรูจ้ กัรักษาทรัพย์'ทหี่ ามา'ได'้ นน้ั 'ไว้ให้ได้ พระสมั มาส้มพุทธเจา้ ได้แนะวิธีรกั ษาทรพั ย์ทหี่ ามาไดว้ ่า “ผขู้ ยันในหน้าทีก่ ารงาน ไม่ประมาท เช้าใจจัดการเล้ียงชีวิตพ อลมควร จึงรกั ษ าท รพั ย์ท ี่ห าม าได”้ พ ระพ ุทธภาษติ บท นี้ไดต้ รสั สอนผู้ทแี่ สวงหาทรัพยม์ าไดแ้ ล้ว จะรักษาทรัพยน์ ้นั ไวใิ ห!ด้ จะตอ้ งไม,ประมาทในทรัพยน์ ัน้ อยา่ งไรจงึ ไดช้ อ่ื วา่ ประมาทในทรัพย์ คนบางคนแสวงหาทรพั ยม์ าไดโ้ ดยง่าย เมอ่ื ได้มาแล้วกใ็ ชจ้ ่ายอยา่ งสุรุย่ สุรา่ ย ไม่รู้จักเกบ็ เอาไวใ้ ,ซ!นยามคับขัน'จำเปน็ ด้วยคดิ วา่ เงินทองจะเอาเทา่ ไรก็ได้ บางรายใชจ้ ่าย ๑๘๓

สขุ ใจท่ีได้อ่านสารธรรมเพือ่ ชวี ติ ทดี่ ีป๋ามเกินตัว อยา่ งนจ้ี ะมีเงนิ ท่ีไหนไปเกบ็ การท่จี ะรักษาทรัพย์ไวได้อยู่ท่ีการรู้จกัประหยดั รู้จกั มธั ยัสถ์โดยนิสัยคนไทยเราเป็นคนใชจ้ า่ ยฟมุ เทเื อยไม่ค่อยรู้จกัประหยดั ชอบฟ้งเฟ้อไปตามกระแสแฟช่นั อะไรทใี่ หม่ ๆ เข้ามาก็จะพากันนยิ มซมชอบ ถงึ แม้ราคาจะแพง ก็พยายามแข่งขนั กนั มีใหไ์ ด้ เขา้ ใจจดั การเลยี้ งชวี ิตพอสมควร หมายความว่า ให้จบั จา่ ยใช้สอยเลยี้ งชีวิตใหพ้ อเหมาะพอควรแกท่ รัพย์ท่หี ามาได้ ไมไห!]ดเคอื งจนเกนิ ไป บางคนหามาได้ แทนทจี่ ะนำทรัพยน์ น้ั มาใชจ้ า่ ยให้มีความสขุ บ้าง กเ็ ก็บไว้หมด แตต่ ัวเองกลับอดอยากอยา่ งน้กี ็ไม1ถกู หรือฟมุ เพเื อยเกินไป พอหามาไดก้ ก็ ินแต่อาหารแพงๆไมพ่ อเหมาะพอควรแก,ทรัพย์ที่หามาได้ การทีจ่ ะใชจ้ า่ ยทรัพยท์ ่หี ามาได้นน้ั ด้องใชจ้ ่ายในสง่ิ ทเี่ ป็นประโยชน์ คือ ใช้เล้ียงตวั เอง บดิ ามารดา บตุ รภรรยา และบรวิ ารใหเ้ ปน็ สุข ใช้เลีย้ งเพือ่ นฝูงใหเ้ ปน็ สุข ใช้บำบดั อันตรายที่เกดิ แกเ่ หตุตา่ งๆ ใช้ทำพลีกรรม คือ สงเคราะหญ์ าติ ทำบญุ อุทิศใหผ้ ตู้ ายเลยี ภาษอี ากร เปน็ ด้น ทำบญุ อุทศิ ใหเ้ ทวดา และบริจาคทานแก,สมณะชีพราหมณ์ ผ้ปู ระพฤตชิ อบ ใชจ้ ่ายอย่างนจ้ี ีงจะถกู ตอ้ ง จงึ จะดี( ร )ิ (ริ0

สุขใจทีไ่ ด้อ่าน สารธรรมเพือ่ ชีวติ ทด่ี ีงาม โดย...พันเอก วานชิ ฉอสนั เทียะ “ สขุ เสอื กได”้ ขึ้นช่ือวา่ “ความสุข” ใครๆ ก็ปรารถนาจะมี ปรารถนาจะได้และปรารถนาจะดำรงอยู่ในความสุขตลอดไปดว้ ยกนั ทั้งนัน้ “ความสุข” มีทงั้“ความสุขกาย” จากการไดก้ นิ อิ่ม ได้พกั ผอ่ นนอนหลบั หรอื กลา่ วรวมๆว่ามคี วามอยดู่ ีกนิ ดแี ละมีสขุ ภาพอนามยั ดี มที งั้ “ความสุขใจ หรอื ความสบายใจ” จากการทไี่ ดส้ มหวัง หรือการได้ตามปรารถนา “ความสขุ ” ดังที่กล่าวมานน้ั จดั เปน็ ความสขุ ทม่ี วี ัตถเุ ครอื่ งลอ่ ใจซ่อื วา่ “สามิสสขุ ” ชึ่งมีลกั ษณะทีเ่ ป็นโทษโดยสว่ นเดยี ว เปรยี บด้วยยาพิษก็มี เช่น สิ่งเสพติดมนึ เมา ที่เป็นโทษ เมอื่ เกินพอดี เปรียบด้วยของมนึ เมากม็ ี เชน่ สรุ า เมรัย การติดการละเลน่ ตดิ เที่ยวกลางคืน การหมกมุ่นในกามการตดิ การพนนั เป็นดน้ ทเ่ี ปน็ อุปการะ เปรยี บด้วยอาหาร และยาบำบดั โรคแต่ถา้ ถกู ใซในทางที่ผิดกอ็ าจใหโทษได้ กม็ ี อำนาจราชศักด้ี อำนาจเงินอำนาจพวกพ้อง กช็ ่วยให้เกิดความสขุ ความเจริญในทางโลกได้ แตถ่ า้ ใช้อำนาจเหล่าน้นั ผดิ ศลี ผดิ ธรรม ผิดกฎหมายของบ้านเมือง ก็มี'โทษ1ได้ เปน็ ด้น “พาลซน” คือคนโงเ่ ขลาเบาปัญญาไม่พจิ ารณาให้เหน็ คณุ และโทษทแี่ ทจ้ ริงของสามสิ สขุ คือ ความสุขทม่ี วี ตั ถเุ ครื่องลอ่ ใจเหล่านี้ บางคนจงึ หลงเพลิดเพลินในสิง่ ท่ใี หโ้ ทษ บางคนหลงระเรงิ จนเกินพอดใี นส่งิ ท่อี าจให้โทษ บางคนหลงติดอยู่ในส่ิงอันเป็นอุปการะ บุคคลผไู ม่พิจารณาเห็นคุณและโทษของสามสี สฃุตามที่เป็นจรงิ เหล่านี้ จึงได้เสวยความสขุ บา้ ง ทุกขบ์ ้าง ส่วน “บัณฑติ ” ผูม้ ีปัญญาอันเหน็ ชอบพิจารณาเห็นคุณและโทษของสามีสสุฃโดยถอ่ งแท้ ย่อมรู้ ๑๘๕

สขุ ใจท่ไี ค้อา่ นสารธรรมเพือ่ ชีวิตทด่ี ีงาม ข้อปฏบิ ัตใิ ห้ถงึ ความสขุ ความเจริญ คอื สามารถถือเอาประโยชน์สุขในปจั จบุ ัน ประโยชนส์ ขุ ในกาลข้างหนา้ ทงั้ สามารถถือเอาประโยชน์สขุอยา่ งยิง่ ดว้ ย ย่อมรู้ข้อปฏบิ ตั ทิ ่จี ะนำไปสู่ความเส่ือม เปน็ โทษ เปน็ ความทุกขเ์ ดือดรอ้ น อันควรละเวน้ ด้วย และยอ่ มร้โู ทษของการตดิ อยู่ใน สามิลสขุคือ ความสุขดว้ ยเครอ่ื งล่อใจเหลา่ น้ันด้วย จึงเปน็ ผู้ถึงความสันตสิ ุข คอืความสุขดว้ ยความสงบอันถาวร ผมู้ ปี ัญญาอันเห็นชอบ ยอ่ มสามารถถือเอาประโยชนส์ ขุ ในปจั จุบันได้ ดว้ ยการปฏิบัตธิ รรม ๔ ประการ คือ ๑. ความถึงพรอ้ มดว้ ยความขยันหม่ันเพยี ร ๒. ความถึงพร้อมดว้ ยการรกั ษาทรัพย์ ๓ . การเลอื กคบแตค่ นดี มีสติปญั ญาอันเหน็ ชอบเป็นมติ ร ๔. และร้จู ักใช้สอยทรัพยท์ ท่ี ำมาหาไดืโดยสุจริต( ร ิ) ( ฬ ึ่

ส'ยใจทไ่ี ดอ้ า่ น สารธรรมเพอื่ ฃีวติ ทีด่ ้งาม โดย...พันเอก วานชิ ฉอสันเทยี ะ “ ศลี ธรรม” ศลี เป็นส่งิ ท่ดี งี าม ศีลต้องอย่ทู ก่ี าย ทวี่ าจา ธรรมอยูท่ ใ่ี จ เมื่อเรามกี าย มีวาจา ที่มศี ีลมีธรรมแล้ว น่ันแหละเป็นเคร่ืองนำชีวิตของเราให้ไปถึงจดุ หมายท่ตี อ้ งการไต้ ศีล แปลว่า สมบตั ิ ทุกคนต้องการสมบัติ ก็เอาศีลมาเป็นเครื่องประดับ เคร่อื งประดบั คอื ศลี นี้ ท่านบอกว่า งามทุกเพศ ทกุ วยั เด็กเอาไปประดบั ก็งาม หนุ่มสาวเอาไปประดบั กง็ าม คนแก่เอาไปประดบั ก็งาม มันไมเ่ หมอื นกบั เครอ่ื งประดับคอื เส้อื ผ้า เสอ้ื ผ้าน้ัน งามเฉพาะเพศ เฉพาะวยั เสื้อผ้าของเดก็ ผใู หญ'เอาไปใส่ก็ไมง่ าม เส้อื ผา้ ของหนมุ่ สาว คนแก,เอาไปใส่กไ็ มง่ าม เส้ือผา้ ของคนแก่ หนมุ่ สาวเอาไปใสก่ ไ็ ม่งาม งามเฉพาะเพศ เฉพาะวัย แตเ่ ครอ่ื งประดบัคอื ศีลนี้ งามทุกเพศ ทุกวัย ดงั น้นั ศลี จงึ แปลวา่ สมบัติ และสมบตั ทิ เี่ ราจะไตน้ ัน้ จำเป็นตอ้ งมีศีลกอ่ น ถา้ ขาดศลี กข็ าดสมบตั ิ จะรักษากายวาจาให้เรียบรอ้ ย กต็ ้องมศี ีลซึง่ ตามปกตกิ ายวาจามักจะเรยี บรอ้ ยยาก แตถ่ า้ มีศลี เขา้ ไปกำกบั มนั ก็จะเรยี บรอ้ ยดี สว่ น ธรรมะ หมายถงึ ทรงไว้ซ่งึ ผ้ปู ฏบิ ตั ิ ดังน้ัน ผู้ท่ตี ้องการความเจริญกา้ วหนา้ ในชีวติ ตอ้ งมี ธรรมะ ๔ ขอ้ ไวป้ ระจำใจ น่ันกค็ ือ ๑ . ความจรงิ ใจ ซือ่ ตรง ซอ่ื สตั ย์ พดู จรงิ จทำ รงิ จะอยทู่ ไ่ี หน อยูใ่ นฐานะเช่นใด ก็ขอใหเ้ ปน็ คนซอื่ สัตย์ท้งั ตอ่ ตนเองและคนอ่ืนรอบข้าง ๑๘๗

สุขใจทีไ่ ด้อา่ นสารธรรมเพอื่ ชีวติ ทด่ี ปี ๋าม ๒. การ‘ฝึกฝนข่มใจ เม่อื มีความซ่ือสัตย์ จรงิ ใจแลว้ ยังไม่พอ ต้องมีการข่มใจ 'ฝึกฝน แกนิสยั และปรับตัวรู้จกั ควบคุมจิตใจ แกหดั ตัดนิสยั แก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรงุ ตนเองใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ด้วยปัญญาความรู้ ๓ . ความอดทน เมื่อมคี วามซอ่ื สัตย์ จรงิ ใจแลว้ แกฝนข่มใจแลว้ก็ยังไม่พอจำต้องมีความอดทน ตัง้ หน้าทำหน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพยี ร เข้มแขง็ ทนทาน ไมห่ ว่ันไหวในจุดมุ่งหมาย บางคนซ่ือสตั ย์จรงิขม่ ใจจรงิ แตไ่ ม่อดทน เจอเรือ่ งหนกั ใจก็ยอมแพ้ ส้ไู ม่ไหว ต้องอดทนดว้ ยจงึ จะถึงจุดหมาย ๔. ความเลียสละเป็นเรอ่ื งสำคญั อย่างมากตอ้ งมคี วามเสียสละเลยี สละประโยชนส์ ่วนน้อยของตนเพ่อื ประโยชน์สว่ นใหญข่ องบา้ นเมอื งผู้มีนา้ํ ใจเลียสละ มีจิตใจโอบอ้อมอารี เออ้ื เพ่อื เผอ่ื แผท่ กุ คนในสงั คม ชว่ ยเหลือเท่าทเ่ี หน็ ว่าสมควรจะชว่ ยเหลือไต้ เห็นใครควรแก่การชว่ ยเหลอื กช็ ว่ ยเหลอืตามกำลังมากบา้ งน้อยบ้าง หรอื บางครัง้ ก็ช่วยเหลอื ด้วยกำลงั กาย บางครั้งก็ช่วยเหลอื ด้วยกำลังทรพั ย์ บางครั้งก็ช่วยเหลือดว้ ยกำลงั สติปัญญา ทกุ ๆครง้ั ทีช่ ว่ ยเหลือ ก็มีความกรุณาสงสารเปน็ เบอื้ งหน้า มุง่ ที่จะปลดเปลือ้ งความทกุ ข์ของผู้อืน่ ด้วยความเตม็ ใจ การอยูร่ ว่ มกนั ในลงั คมหมู่มากจำต้องมคี วามจรงิ ใจต่อก้น เม่ือกระทบกระท่ังกนั ด้วยเรอ่ื งเลก็ นอ้ ยก็พยายามอดทนขม่ ใจ ไมใหเ้ รือ่ งเล็กน้อยกลายเป็นเรือ่ งราวใหญโ่ ต อีกทงั่ ควรพยายามเลยี สละแบง่ ปันใหแ้ ก'คนรอบข้าง ชวี ติ จึงจะประสบแต่ความสขุ ตลอดไป(^)(ฬ(ฬึ่

สขุ ใจทไี่ ด้อ่าน สารธรรมเพอื่ ชวิตทีด่ ีงาม โดย...พนั เอก สมคดิ สวยลาํ้ “ การสงเคราะหภ์ รรยา” คำลอนทางพระพทุ ธศาสนาได้ให้ความสำคญั เกีย่ วกับหลกั ปฏิบัติสำหรับคนทกุ เพศทุกชัน้ วรรณะของลังคม ถ้าศกึ ษาย้อนไปดภู ูมหิ ลงั ถิน่ ท่ีอบุ ตั ขิ องพระพทุ ธศาลนา จะเห็นไดว้ ่ามีการจัดชนช้ันเปน็ วรรณะใหญ่ ๆกันอยู่ ๕ วรรณะด้วยกนั คือ วรรณะกษัตริย์ พราหมณ ์ แพศย์ และศูทรในสว่ นทเ่ี ป็นเพศภรรยาจัดวา่ เปน็ สตรีเพศ การดูแลภรรยา ท่านเรยี กว่าการสงเคราะหภ์ รรยา หลกั คำสอนตรงนเ้ี ปน็ การเนน้ ยาํ้ ไปทใ่ี หช้ ายผู้เป็นสามีไดต้ ระหนักถงึ ความสำคัญในการทำหนา้ ที่ดูแลภรรยาให้เกียรติภรรยาไม,กดข่ีข่มเหงลบหลู่ ดูหมิ่นเหยยี ดหยามประมาณเกียรตคิ ักดศ้ี รขี องสตรีการทช่ี ายผู้เปน็ สามีไดท้ ำอปุ การะภรรยาดว้ ยฐานะต่าง ๆโดยให้การยกย่องนบั ถือ ให้เกยี รติ ไม่ดถู ูก ไม่ดหู ม่ิน ไม่ประพฤตินอกใจ มอบความเป็นใหญ่ในบา้ นใหภ้ รรยาดแู ลกิจการได้ มอบเคร่ืองประคับแตง่ ตวั ให้เซ่นนี้ ซ่อื ว่าสามไี ดท้ ำการสงเคราะหภ์ รรยา ดแู ลภรรยา พระพทุ ธเจ้าตรัสถงึ การสงเคราะห์ภรรยาวา่ เป็นหน้าทีข่ องสามที ่ีจะต้องสงเคราะห์ภรรยา การท่ีตรัสไว้เซ่นนั้น กเ็ พราะพระองค์ ทรงคำนึงถงึปัญหาของสตรใี นด้านต่าง ๆ น่ันคอื ๑ . สตรี เมอ่ื เปน็ สาวไปล สู่ กุลแห่งสามี ยอ่ มพลัดพรากจากญาติทง้ั หลายของตน ๒. สตรี ยอ่ มมีประจำเดอื น ๓ . สตรี ย่อมม คี รรภ์ ๕. สตรี ยอ่ มคลอดบุตร ๕. สตรี ทำหนา้ ทปี่ รนนิบัติบุรุษ ๑๘๙

สุขใจที่ไดอ้ ่านสารธรรมเพ่อื ชีวติ ท่ีดงี าม ถา้ ยอ้ นกลับไปดสู ังคมของประเทศอินเดียในสมยั โบราณ จะเหน็ได้วา่ สตรถี กู กดขขี่ ่มเหงเปน็ อยา่ งมาก จนภายหลงั พระพุทธเจา้ ไดย้ กฐานะของสตรีให้สงู เดน่ ขน้ึ ดว้ ยการรับสตรใี หเ้ ข้ามาบวชในพระพุทธศาลนาได้ แต่ถ้าศึกษาดูแล้ว ไมว่ ่าจะเปน็ สมัยโบราณหรือสมัยปจั จุบนั กด็ เู หมือนว่า มใิ ช่แดส่ ตรอี นิ เดยี เท่านนั้ แตน่ ่าจะเป็นสตรีท้งั โลก สตรหี ลายลัานคนทย่ี ังไม่ได้รับเกยี รตจิ ากบุรุษในสังคมด่าง ๆ พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั กบั สงิ คาสกมานพวา่ สามพี งึ ทำหนา้ ที่สงเคราะห์ภรรยา ๕ ประการ หนา้ ทด่ี ังกลา่ วนีน้ ำมาสูก่ ารปฏิบัติต่อภรรยาใหเ้ ป็นรูปธรรมเดน่ ชดั ได้ คือ ๑. ยกยอ่ งนบั ถือว่าเป็นภรรยา ยกยอ่ งใหเ้ กียรติทัง้ ทางพฤตินัยประพฤตปิ ฏิบัตติ นตอ่ กันด้วยยอมรบั ในความเปน็ สามภี รรยากนั ประกาศต่อชุมชนอยา่ งเหมาะสมในฐานะภรรยาและทางนติ นิ ยั ให้การยกยอ่ งจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง ๒. ไม่ดูหม่นิ ไมใ่ ช้คำกลา่ วลบหลดู่ ูหมิน่ เหยยี ดหยามประมาณเกียรติศักด้ีศรีของสตรีเหมือนอย่างท่คี นทัง้ หลายทุบตเี บียดเบียนทาสและกรรมกร ดว้ ยเหตทุ ี่วา่ คนขา้ งเคียงท้งั หมดจะพลอยดูถูกดหู มนิ่ สตรีท่สี ามีดหู มน่ิ ไปดว้ ย ๓. ไมป่ ระพฤตินอกใจ ไมไ่ ปมีความสัมพนั ธท์ างเพศกบั หญงิ อื่นท่ไี มใชภ่ รรยาของตน ๕. มอบความเป็นใหญ่ในครอบครัวใหม้ อบหนา้ ที่ดแู ลบ้านเรีอนให้ท้งั หมด รวมท้ังใหเ้ ป็นผูม้ อื ำนาจจัดการเกบ็ ทำคุ้มครองทรพั ยส์ มบัติท่สี ามหี ามาได่ใหเ้ ป็นการเกบ็ ทำท่เี รียบรอั ย ๕. ให้เคร่อื งประดบั แต่งตัว คือมอบของขวัญมขี องฝากให้ภรรยาบา้ งตามโอกาสอนั เหมาะสม๑๙๐


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook