46 รหสั ตวั ช้ีวดั รำยละเอียดตัวช้ีวัด สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ 2.2 ป.3/4 - จากหลกั ฐานเชิง กบั แมเ่ หล็กแมเ่ หลก็ มี 2 ขวั้ คอื ขัว้ ประจกั ษ์ เหนือและขวั้ ใต้ ขั้วแม่เหล็กชนิด 4. ระบุข้ัวแมเ่ หล็ก เดียวกันจะผลกั กนั ต่างชนดิ กันจะ และพยากรณ์ผลท่ี ดงึ ดดู กัน เกดิ ข้นึ ระหว่าง ขัว้ แมเ่ หลก็ เมื่อ นามาเขา้ ใกลก้ นั จาก หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ สำระท่ี ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ รูเ้ ทา่ ทนั และมจี รยิ ธรรม รหสั ตัวชี้วดั รำยละเอียด สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถนิ่ ตัวชี้วัด ว4.2 ป.3/1 1. แสดง - อลั กอริทึมเป็นข้ันตอนที่ใชใ้ นการ - อลั กอริทมึ ในการ แกป้ ัญหา ทางาน หรอื การ - การแสดงอลั กอรทิ ึมทาได้โดยการเขียน แกป้ ญั หาอยา่ ง บอกเล่า วาดภาพ หรือใชส้ ญั ลกั ษณ์ งา่ ยโดยใช้ภาพ - ตวั อย่างปญั หา เชน่ เกมเศรษฐี เกม สญั ลักษณ์ หรือ บันไดงู เกมTetris เกม OX การเดินไป ข้อความ โรงอาหาร การทาความสะอาดหอ้ งเรียน ว4.2 ป.3/2 2. เขยี นโปรแกรม - การเขียนโปรแกรมเป็นการ สรา้ งลาดับ - อย่างงา่ ย โดยใช้ ของคาส่ังใหค้ อมพวิ เตอร์ทางาน ซอฟตแ์ วร์หรือสื่อ - ตวั อย่างโปรแกรม เชน่ เขยี นโปรแกรม และตรวจหา ที่ส่งั ให้ ตวั ละครทางานซ้าไมส่ ้ินสดุ ขอ้ ผดิ พลาดของ - การตรวจหาขอ้ ผิดพลาดทาไดโ้ ดย โปรแกรม ตรวจสอบคาสง่ั ทีแ่ จง้ ขอ้ ผิดพลาด หรือ หากผลลพั ธ์ไมเ่ ป็นไปตามทตี่ ้องการให้ ตรวจสอบการทางานทีละคาสั่ง - ซอฟตแ์ วร์หรือสื่อที่ใชใ้ นการเขียน โปรแกรม เชน่ ใช้บตั รคาส่ังแสดงการ เขียนโปรแกรม, Code.org
47 ตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรยี นรทู้ ้องถนิ่ ช้นั ประถมศกึ ษำปีที่ 3 ภำคเรียนท่ี 2 สำระที่ ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้อง กบั เสยี งแสง และคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหัสตวั ชี้วัด รำยละเอียดตัวชี้วัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ ้องถ่ิน ว2.3 ป.3/1 1. ยกตัวอยา่ งการ - พลงั งานเป็นปริมาณที่แสดงถงึ - เปลี่ยนพลังงานหนึง่ ไป ความสามารถ ในการทางาน เปน็ อีกพลังงานหนง่ึ พลงั งานมหี ลายแบบ เช่น พลงั งาน จากหลักฐานเชงิ กล พลังงานไฟฟ้า พลังงานแสง ประจักษ์ พลังงานเสียงและพลงั งานความ ร้อน โดยพลังงานสามารถเปลี่ยนจาก พลงั งานหนง่ึ ไปเปน็ อีกพลังงานหนง่ึ ได้ เชน่ การถมู ือจนรู้สึกร้อนเป็น การเปลย่ี นพลังงานกลเป็นพลังงาน ความรอ้ นแผงเซลล์สุรยิ ะเปลี่ยน พลังงานแสง เปน็ พลังงานไฟฟา้ หรอื เครือ่ งใช้ไฟฟา้ เปลี่ยนพลังงาน ไฟฟ้าเปน็ พลังงานอ่ืน ว2.3 ป.3/2 2. บรรยายการทางาน - ไฟฟา้ ผลิตจากเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า - ของเครือ่ งกาเนิดไฟฟา้ ซ่ึงใช้พลังงานจากแหลง่ พลงั งาน และระบุแหล่งพลังงาน ธรรมชาติหลายแหลง่ เชน่ พลังงาน ในการผลติ ไฟฟ้า จาก จากลม พลงั งานจากน้า พลงั งาน ขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ จากแกส๊ ธรรมชาติ ว2.3 ป.3/3 3. ตระหนักใน - พลังงานไฟฟา้ มคี วามสาคัญต่อ - ประโยชน์และโทษของ ชวี ิตประจาวัน การใช้ไฟฟ้า ไฟฟา้ โดยนาเสนอ นอกจากต้องใชอ้ ยา่ งถูกวธิ ี วธิ กี ารใช้ไฟฟ้าอย่าง ประหยดั และค้มุ คา่ แล้ว ยังตอ้ ง ประหยดั และปลอดภัย คานึงถึงความปลอดภยั ด้วย
48 สำระที่ 3 วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.1 เขา้ ใจองค์ประกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และววิ ัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อส่ิงมีชีวิตและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกาศ รหสั ตัวชี้วัด รำยละเอยี ดตัวช้ีวัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถน่ิ ว3.1 ป.3/1 1. อธิบายแบบรูป - คนบนโลกมองเหน็ ดวงอาทิตย์ - เส้นทางการขน้ึ และตก ปรากฏขนึ้ ทางด้านหนงึ่ และตกทาง ของดวงอาทติ ยโ์ ดยใช้ อกี ด้านหน่ึงทุกวัน หมุนเวียนเป็น หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ แบบรูปซา้ ๆ ว3.1 ป.3/2 2. อธบิ ายสาเหตกุ าร - เกิดปรากฏการณก์ าร ขึน้ และตกของดวง อาทิตย์ การเกดิ กลางวันกลางคืน และ การกาหนดทศิ โดยใช้ แบบจาลอง ว3.1 ป.3/3 3. ตระหนักถงึ - โลกกลมและหมนุ รอบตวั เองขณะ - ความสาคัญของดวง โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทาให้บริเวณ อาทิตย์ โดยบรรยาย ของโลกไดร้ บั แสงอาทติ ย์ไม่พรอ้ ม ประโยชน์ของดวง กนั โลกดา้ นที่ไดร้ ับแสงจากดวง อาทติ ยต์ ่อสง่ิ มชี วี ติ อาทิตยจ์ ะเปน็ กลางวนั สว่ นดา้ น ตรงขา้ มท่ีไม่ไดร้ ับแสงจะเป็น กลางคนื นอกจากน้ีคนบนโลกจะ มองเหน็ ดวงอาทิตยป์ รากฏขึ้น ทางด้านหน่ึงซ่งึ กาหนดให้เปน็ ทิศ ตะวันออก และมองเห็นดวงอาทติ ย์ ตกทางอกี ด้านหนงึ่ ซงึ่ กาหนดให้ เป็นทิศตะวนั ตก และเมือ่ ให้ด้าน ขวามอื อยทู่ างทิศตะวันออก ดา้ น ซา้ ยมืออยู่ทางทศิ ตะวันตก ด้านหน้าจะเป็นทิศเหนอื และ ดา้ นหลังจะเป็นทิศใต้ - ในเวลากลางวันโลกจะได้รับ พลังงานแสงและพลังงานความรอ้ น จากดวงอาทิตย์ ทาให้ส่ิงมชี วี ติ ดารงชีวิตอยไู่ ด้
49 สำระที่ 3 วิทยำศำสตร์โลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี ิบัติภยั กระบวนการเปลีย่ นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลกรวมทงั้ ผลต่อ สง่ิ มีชีวติ และสงิ่ แวดล้อม รหสั ตวั ช้ีวัด รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ อ้ งถนิ่ ว3.2 ป.3/1 1. ระบสุ ว่ นประกอบ - อากาศโดยทวั่ ไปไม่มีสี ไม่มีกล่ิน - ขอ้ มลู ปญั หามลพิษ ของอากาศ บรรยาย ประกอบด้วยแกส๊ ไนโตรเจน แก๊ส ทางอากาศในชุมชน ความสาคญั ของอากาศ ออกซิเจน แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ และแนวทางแกป้ ญั หา และผลกระทบของ แกส๊ อนื่ ๆ รวมท้งั ไอนา้ และฝุ่น มลพิษทางอากาศตอ่ ละออง อากาศมีความสาคัญต่อ สง่ิ มชี วี ิตจากขอ้ มูล ที่ สง่ิ มชี ีวิตหากส่วนประกอบของ รวบรวมได้ อากาศไม่เหมาะสมเนื่องจากมีแก๊ส บางชนิดหรือฝ่นุ ละอองในปริมาณ มาก อาจเป็นอนั ตรายตอ่ สิ่งมีชีวติ ชนดิ ต่างๆ จดั เปน็ มลพิษ ทาง อากาศ ว3.2 ป.3/2 2. ตระหนักถงึ - แนวทางการปฏบิ ตั ติ นเพอ่ื ลดการ - ความสาคัญของอากาศ ปล่อยมลพิษทางอากาศ เช่น ใช้ โดยนาเสนอแนว พาหนะ รว่ มกัน หรือเลอื กใช้ ทางการปฏิบตั ิตนใน เทคโนโลยีท่ีลดมลพิษทางอากาศ การลด การเกดิ มลพิษ ทางอากาศ ว3.2 ป.3/3 3. อธิบายการเกิดลม - ลม คอื อากาศท่เี คลื่อนท่ีเกิดจาก - ทศิ ทางลมในเวลา จากหลกั ฐานเชิง ความแตกต่างกนั ของอุณหภมู ิ ต่างๆ (เช้า กลางวนั ประจกั ษ์ อากาศบริเวณท่ีอยูใ่ กล้กัน โดย ก่อนเลิกเรยี น) ใน อากาศบริเวณท่ีมอี ุณหภมู สิ ูงจะ บรเิ วณตา่ ง ๆ ลอยตัวสงู ขนึ้ และอากาศบรเิ วณที่มี อณุ หภูมติ ่ากวา่ จะเคล่อื นเข้าไป แทนท่ี ว3.2 ป.3/4 4. บรรยายประโยชน์ - ลมสามารถนามาใช้เปน็ แหล่ง - และโทษของลม จาก พลังงานทดแทน ในการผลิตไฟฟา้ ขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ และนาไปใชป้ ระโยชน์
50 สำระท่ี ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ รเู้ ท่าทนั และมีจริยธรรม รหสั ตัวชี้วดั รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู อ้ งถ่ิน ว4.2 ป.3/3 3. ใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ - อินเทอร์เนต็ เป็นเครือข่ายขนาด - ค้นหาความรู้ ใหญช่ ว่ ยให้ การตดิ ตอ่ ส่ือสารทำได้ สะดวกและรวดเรว็ และเป็น แหลง่ ขอ้ มูลความรทู้ ่ีช่วยในการ เรยี นและการดาเนินชีวติ - เวบ็ เบราว์เซอร์เปน็ โปรแกรม สาหรบั อ่านเอกสารบนเว็บเพจ - การสืบค้นข้อมลู บนอนิ เทอร์เนต็ ทาไดโ้ ดยใชเ้ วบ็ ไซตส์ าหรับสืบค้น และตอ้ งกาหนดคาคน้ ท่ีเหมาะสม จึงจะได้ขอ้ มูลตามต้องการ – ขอ้ มลู ความรู้ เชน่ วิธที าอาหาร วิธีพบั กระดาษ เปน็ รปู ต่างๆ ขอ้ มูล ประวัตศิ าสตรช์ าตไิ ทย (อาจเป็น ความรใู้ นวชิ าอน่ื ๆ หรือเร่ืองท่ีเป็น ประเดน็ ที่สนใจ ในช่วงเวลาน้นั ) - การใชอ้ ินเทอร์เนต็ อย่างปลอดภยั ควรอยใู่ นการดูแลของครู หรือ ผู้ปกครอง ว4.2 ป.3/4 4. รวบรวมประมวลผล - การรวบรวมข้อมูล ทาได้โดย - และนาเสนอขอ้ มูล โดย กาหนดหัวข้อทต่ี ้องการ เตรียม ใชซ้ อฟต์แวร์ตาม อปุ กรณ์ในการจดบันทกึ วตั ถุประสงค์ - การประมวลผลอย่างงา่ ย เช่น เปรียบเทยี บ จัดกล่มุ เรยี งลาดบั - การนาเสนอข้อมลู ทาได้หลาย ลักษณะตาม ความเหมาะสม เชน่ การบอกเลา่ การทาเอกสารรายงาน การจัดทาป้ายประกาศ - การใช้ซอฟต์แวร์ทางานตาม วัตถปุ ระสงค์ เช่น ใชซ้ อฟต์แวร์ นาเสนอหรือซอฟต์แวรก์ ราฟิก สร้างแผนภูมิรปู ภาพ ใช้ซอฟต์แวร์ ประมวลคา ทาป้ายประกาศ หรือ เอกสารรายงาน ใช้ซอฟต์แวร์
51 รหสั ตัวชี้วดั รำยละเอยี ดตัวช้ีวัด สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ - ว4.2 ป.3/5 5. ใช้เทคโนโลยี ตารางทางานในการประมวลผล สารสนเทศอยา่ ง ขอ้ มูล ปลอดภัยปฏิบัติตาม ข้อตกลงในการใช้ - การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง อนิ เทอร์เนต็ ปลอดภัยแลว้ เช่น ปกปอ้ งข้อมูล สว่ นตวั - ขอความชว่ ยเหลอื จากครหู รือ ผปู้ กครองเม่ือเกิดปญั หาจากการใช้ งาน เมือ่ พบข้อมลู หรอื บคุ คลที่ทา ใหไ้ มส่ บายใจ - การปฏิบตั ติ ามข้อตกลงในการใช้ อนิ เทอรเ์ น็ต จะทาใหไ้ ม่เกิดความ เสียหายตอ่ ตนเองและผู้อ่นื เช่น ไม่ ใช้คาหยาบ ล้อเลยี น ดา่ ทอ ทาให้ ผอู้ ่นื เสยี หายหรอื เสยี ใจ
52 ตวั ชี้วดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรียนรูท้ ้องถิ่น ช้นั ประถมศกึ ษำปีท่ี 4 ภำคเรียนท่ี 1 สำระท่ี 1 วิทยำศำสตรช์ ีวภำพ มำตรฐำน ว1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้นื ฐานของสิ่งมีชวี ิต การลาเลยี งสารผ่านเซลล์ ความ สัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์ที่ทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าทขี่ องอวัยวะต่างๆ ของพืชทท่ี างานสมั พันธก์ นั รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหสั ตัวชี้วดั รำยละเอียดตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ อ้ งถิ่น ว1.2 ป.4/1 1. บรรยายหนา้ ที่ของ - ส่วนตา่ งๆ ของพืชดอกทาหน้าที่ - พืชทพ่ี บในบรเิ วณ ราก ลาต้น ใบ และ แตกตา่ งกัน รากทาหน้าที่ดูดน้า ตา่ งๆ เช่น ใกลโ้ รงเรยี น ดอกของพชื ดอกโดยใช้ และแรธ่ าตุข้ึนไปยงั ลาตน้ ลาตน้ ริมทะเล ฯลฯ ได้แก่ ข้อมูลท่รี วบรวมได้ ทาหนา้ ทล่ี าเลียงนา้ ต่อไปยังสว่ น ต่างๆ ของพชื ใบทาหน้าทีส่ ร้าง อาหาร อาหารทพ่ี ชื สร้างขน้ึ คือ นา้ ตาลซ่ึงจะเปลย่ี นเป็นแปง้ ดอก ทาหนา้ ทสี่ ืบพนั ธุ์ ประกอบดว้ ย ส่วนประกอบต่างๆ ได้แก่ กลีบ เล้ียง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และ เกสรเพศเมยี ซงึ่ ส่วนประกอบแต่ ละสว่ นของดอก ทาหน้าทีแ่ ตกตา่ ง กัน สำระที่ 1 วิทยำศำสตรช์ ีวภำพ มำตรฐำน ว1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรม การเปลยี่ นแปลงทางพนั ธุกรรมท่ีมผี ลต่อส่ิงมชี ีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวฒั นาการของ ส่ิงมชี วี ิต รวมทัง้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ รหัสตัวชี้วดั รำยละเอยี ดตัวชี้วดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู ้องถน่ิ ว1.3 ป.4/1 1. จาแนกสงิ่ มีชีวติ โดย - สง่ิ มชี วี ิตมีหลายชนดิ สามารถจดั - สิ่งมชี วี ติ ท่พี บบริเวณ ใชค้ วามเหมือนและ กล่มุ ไดโ้ ดยใชค้ วามเหมอื นและ โรงเรยี น ชมุ ชนโดยรอบ ความแตกต่างของ ความแตกตา่ งของลกั ษณะตา่ งๆ และอื่น ๆ ลักษณะของส่ิงมชี วี ิต เชน่ กลมุ่ พืชสร้างอาหารเองได้ ออกเปน็ กลมุ่ พชื กลุ่ม และเคลื่อนทดี่ ้วยตนเองไมไ่ ด้ กลุ่ม สัตว์ และกล่มุ ท่ีไมใ่ ช่ สตั วก์ ินสงิ่ มชี วี ิตอนื่ เป็นอาหารและ พืชและสตั ว์ เคลอ่ื นท่ีได้ กลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ เช่น เห็ดรา จุลินทรยี ์ ว1.3 ป.4/2 2. จาแนกพืชออกเป็น - การจาแนกพชื สามารถใช้การมี - ข้อมลู พืช และสัตว์ ที่ พืชดอกและพืชไม่มดี อก ดอกเป็นเกณฑ์ในการจาแนก ได้ พบในบรเิ วณโรงเรยี น โดยใชก้ ารมดี อกเป็น เป็นพืชดอกและพืชไม่มีดอก ชมุ ชนโดยรอบ และอ่ืนๆ
53 รหสั ตัวชี้วัด รำยละเอียดตัวช้ีวัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู อ้ งถิ่น ว1.3 ป.4/3 - เกณฑ์ โดยใช้ข้อมลู ท่ี ว1.3 ป.4/4 - รวบรวมได้ 3. จาแนกสตั ว์ออกเป็น - การจาแนกสตั ว์ สามารถใช้การมี สัตว์มีกระดูกสนั หลัง กระดูกสนั หลงั เป็นเกณฑ์ในการ และสตั ว์ไมม่ ีกระดูกสัน จาแนกได้เป็นสัตว์มกี ระดกู สันหลัง หลงั โดยใชก้ ารมี และสตั วไ์ ม่มีกระดกู สันหลัง กระดูกสันหลังเปน็ เกณฑ์ โดยใช้ข้อมลู ท่ี รวบรวมได้ 4. บรรยายลกั ษณะ - สัตว์มีกระดูกสันหลงั มีหลายกลุ่ม เฉพาะท่ีสงั เกตได้ของ ไดแ้ ก่ กลุม่ ปลา กลุม่ สัตวส์ ะเทินน้า สตั ว์มีกระดูกสันหลังใน สะเทนิ บก กลมุ่ สตั วเ์ ล้ือยคลาน กลุม่ ปลากลมุ่ สัตว์ กลุม่ นก และกล่มุ สตั ว์เล้ียงลูกดว้ ย สะเทนิ น้าสะเทินบก นา้ นม ซ่ึงแต่ละกลุม่ จะมลี กั ษณะ กล่มุ สัตวเ์ ลื้อย คลาน เฉพาะท่สี งั เกตได้ กลุ่มนก และกล่มุ สัตว์ เลยี้ งลกู ดว้ ยนา้ นม และ ยกตวั อยา่ งส่งิ มีชีวติ ใน แต่ละกลุม่ สำระที่ 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ ลักษณะการ เคล่ือนท่ีแบบต่างๆ ของวตั ถุ รวมท้ังนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ รหัสตวั ชี้วดั รำยละเอียดตัวช้ีวัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ อ้ งถ่นิ ว2.2 ป.4/1 1. ระบผุ ลของแรงโนม้ - แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดดู - ถว่ งท่มี ตี ่อวตั ถุจาก ท่ีโลกกระทาตอ่ วัตถุ มที ิศทางเขา้ สู่ หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ศนู ย์กลางโลก และเป็นแรงไม่สมั ผสั ว2.2 ป.4/2 2. ใช้เครือ่ งชงั่ สปรงิ ใน แรงดงึ ดดู ทโี่ ลกกระทากบั วตั ถุ - การวดั นา้ หนกั ของวัตถุ หน่ึงๆ ทาให้วัตถตุ กลงสู่พื้นโลก และทาให้วตั ถมุ ีน้าหนกั วดั น้าหนกั ของวตั ถุไดจ้ ากเคร่ืองชั่งสปริง นา้ หนกั ของวตั ถขุ น้ึ กบั มวลของวตั ถุ โดยวตั ถุทม่ี มี วลมากจะมนี า้ หนัก มาก วัตถุท่ีมมี วลน้อยจะมนี ้าหนกั นอ้ ย ว2.2 ป.4/3 3. บรรยายมวลของ - มวล คือ ปรมิ าณเน้ือของสาร - วัตถทุ ่ีมผี ลต่อการ ทง้ั หมดทีป่ ระกอบกันเปน็ วตั ถุ ซึ่งมี เปลี่ยนแปลงการ ผลต่อความยากงา่ ยในการ
54 รหสั ตวั ชี้วดั รำยละเอยี ดตัวชี้วดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ ้องถิ่น เคลื่อนท่ีของวตั ถุจาก เปลีย่ นแปลงการเคลื่อนทข่ี องวัตถุ หลักฐานเชงิ ประจักษ์ วตั ถทุ ่มี มี วลมากจะเปลี่ยนแปลง การเคลือ่ นทีไ่ ดย้ ากกวา่ วตั ถุท่ีมีมวล น้อย ดงั นั้น มวลของวัตถนุ อกจาก จะหมายถึงเนื้อทัง้ หมดของวตั ถนุ นั้ แลว้ ยังหมายถึงการต้านการ เปลีย่ นแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ นั้นด้วย สำระท่ี 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว2.3 เข้าใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งสสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ติ ประจาวนั ธรรมชาตขิ องคล่ืน ปรากฏการณท์ เี่ ก่ยี วข้อง กบั เสียง แสง และคลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหสั ตัวช้ีวดั รำยละเอียดตัวชี้วัด สำระกำรเรียนรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถิ่น ว2.3 ป.4/1 1. จาแนกวตั ถเุ ปน็ - เมอ่ื มองส่งิ ต่างๆ โดยมีวัตถุต่าง - ตวั กลางโปรง่ ใส ชนิดกันมาก้นั จะทาให้การมองเห็น ตวั กลางโปรง่ แสง และ สิ่งน้นั ๆ ชัดเจนตา่ งกัน จงึ จาแนก วัตถทุ ึบแสง โดยใช้ วตั ถุทมี่ าก้นั ออกเป็นตัวกลาง ลกั ษณะการมองเห็นส่งิ โปรง่ ใส ซ่งึ ทาใหม้ องเหน็ ส่ิงต่างๆ ต่างๆ ผ่านวตั ถนุ น้ั เปน็ ไดช้ ัดเจน ตวั กลางโปรง่ แสงทาให้ เกณฑจ์ ากหลกั ฐานเชิง มองเหน็ ส่งิ ตา่ งๆ ได้ไมช่ ดั เจน และ ประจกั ษ์ วัตถุทบึ แสงทาใหม้ องไมเ่ ห็นสิ่ง ตา่ งๆ น้นั สำระท่ี 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว4.2 เขา้ ใจและใชแ้ นวคดิ เชิงคานวณในการแก้ปญั หาทีพ่ บในชีวติ จรงิ อยา่ งเป็นขน้ั ตอน และเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจรยิ ธรรม รหัสตัวชี้วัด รำยละเอยี ดตัวชี้วัด สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ อ้ งถ่ิน ว4.2 ป.4/1 1. ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ - การใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะเป็นการ - ในการแก้ปัญหา การ นากฎเกณฑ์ หรอื เงื่อนไขที่ อธบิ ายการทางาน การ ครอบคลุมทกุ กรณีมาใช้พิจารณาใน คาดการณ์ผลลัพธ์ จาก การแก้ปัญหา การอธิบายการ ปัญหาอยา่ งง่าย ทางาน หรอื การคาดการณ์ผลลัพธ์ - สถานะเริม่ ตน้ ของการทางานท่ี แตกตา่ งกันจะใหผ้ ลลัพธท์ ่แี ตกตา่ ง กัน
55 รหสั ตัวชี้วดั รำยละเอยี ดตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว4.2 ป.4/2 - 2. ออกแบบ และเขียน - ตวั อยา่ งปญั หา เชน่ เกม OX, โปรแกรมอย่างง่าย โดย โปรแกรมท่ีมีการคานวณ, ใช้ซอฟต์แวร์ หรือสอ่ื โปรแกรมทม่ี ตี ัวละครหลายตัวและ และตรวจหา มกี ารสัง่ งานทีแ่ ตกตา่ ง หรือมีการ ข้อผิดพลาดและแก้ไข ส่ือสารระหว่างกนั , การเดนิ ทางไป โรงเรียนโดยวธิ กี ารต่างๆ - การออกแบบโปรแกรมอย่างงา่ ย เชน่ การออกแบบโดยใช้ storyboard หรือการออกแบบ อลั กอริทมึ - การเขียนโปรแกรมเปน็ การสร้าง ลาดับของคาส่งั ให้คอมพิวเตอร์ ทางาน เพ่ือให้ไดผ้ ลลัพธต์ าม ความ ตอ้ งการ หากมีข้อผิดพลาดให้ ตรวจสอบ การทางานทีละคาสงั่ เมอ่ื พบจุดทีท่ าให้ผลลัพธ์ ไม่ถูกตอ้ ง ใหท้ าการแกไ้ ขจนกวา่ จะได้ผลลพั ธ์ ท่ีถูกต้อง - ตัวอย่างโปรแกรมที่มีเรอ่ื งราว เช่น นิทานทมี่ ี การตอบโตก้ ับผู้ใช้ การ์ตนู สน้ั เล่ากิจวตั รประจาวัน ภาพเคล่ือนไหว - การฝึกตรวจหาข้อผดิ พลาดจาก โปรแกรมของผอู้ น่ื จะชว่ ยพัฒนา ทักษะการหาสาเหตขุ องปัญหาได้ดี ย่งิ ขนึ้ - ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขียน โปรแกรม เชน่ Scratch, logo
56 ตัวชวี้ ัดสำระกำรเรียนรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรียนร้ทู ้องถิน่ ชน้ั ประถมศึกษำปที ่ี 4 ภำคเรียนท่ี 2 สำระท่ี 2 วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสมบัติของสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเกิด สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี รหสั ตัวช้ีวดั รำยละเอยี ดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถน่ิ ว2.1 ป.4/1 1. เปรยี บเทียบสมบัติ - วัสดุแตล่ ะชนดิ มสี มบัตทิ าง - วสั ด/ุ อปุ กรณ์ตา่ งๆ ทางกายภาพด้านความ กายภาพแตกตา่ งกัน วัสดทุ ่มี ีความ แขง็ สภาพยดื หยุ่น การ แข็งจะทนตอ่ แรงขดู ขีด วสั ดทุ ม่ี ี นาความร้อน และการ สภาพยืดหยนุ่ จะเปลย่ี นแปลง นาไฟฟ้าของวสั ดโุ ดยใช้ รูปรา่ งเม่อื มแี รงมากระทา และกลับ หลักฐานเชิงประจกั ษ์ สภาพเดิมได้ วสั ดทุ ี่นาความร้อนจะ จากการทดลองและ รอ้ นได้เรว็ เมื่อได้รับความร้อน และ ระบกุ ารนาสมบัตเิ รอื่ ง วสั ดุทีน่ าไฟฟา้ ได้ จะให้ ความแข็ง สภาพ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ ดังนั้นจงึ ยืดหยุ่น การนาความ อาจนาสมบตั ติ า่ งๆ มาพิจารณาเพ่ือ รอ้ น และการนาไฟฟ้า ใชใ้ นกระบวนการออกแบบช้ินงาน ของวัสดุไปใชใ้ น เพ่ือใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจาวนั ชีวติ ประจาวัน ผ่าน กระบวนการออกแบบ ชน้ิ งาน ว2.1 ป.4/2 2. แลกเปล่ียนความคิด - กบั ผู้อ่นื โดยการ อภปิ รายเกย่ี วกับสมบัติ ทางกายภาพของวสั ดุ อย่างมีเหตุผลจากการ ทดลอง ว2.1 ป.4/3 3. เปรียบเทียบสมบัติ - วัสดเุ ปน็ สสารเพราะมมี วลและ - ของสสารทั้ง 3 สถานะ ต้องการทอี่ ยู่ สสารมีสถานะเปน็ จากข้อมูลท่ีได้จากการ ของแขง็ ของเหลว หรือแกส๊ สั ง เ ก ต ม ว ล ก า ร ของแข็งมปี ริมาตรและรปู รา่ งคงท่ี ต้องการที่อยู่ รูปร่าง ของเหลวมปี รมิ าตรคงที่ แต่มี และปริมาตรของสสาร รปู รา่ งเปล่ยี นไปตามภาชนะเฉพาะ ว2.1 ป.4/4 4. ใชเ้ คร่อื งมือเพื่อวดั สว่ นทบี่ รรจุของเหลว ส่วนแก๊สมี - มวล และปรมิ าตรของ ปริมาตรและรูปรา่ งเปลยี่ นไปตาม สสารทงั้ 3 สถานะ ภาชนะท่บี รรจุ
57 สำระที่ 3 วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมท้ังปฏิสัมพนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะทส่ี ่งผลต่อส่ิงมชี ีวิต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อวกาศ รหัสตัวชี้วดั รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ ้องถิ่น ว3.1 ป.4/1 1. อธิบายแบบรปู - ดวงจันทรเ์ ปน็ บริวารของโลก โดย - เสน้ ทางการขน้ึ และตก ดวงจันทร์โคจรรอบโลกพร้อมกับ ของดวงจนั ทร์ โดยใช้ หมนุ รอบตวั เอง ขณะทโ่ี ลกก็ หลักฐานเชิงประจักษ์ หมนุ รอบตัวเองดว้ ยเชน่ กนั การ หมนุ รอบตวั เองของโลกจากทิศ ตะวนั ตกไปทศิ ตะวนั ออกในทิศทาง ทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองจากขั้วโลก เหนอื ทาให้มองเห็นดวงจันทร์ ปรากฏขนึ้ ทางด้านทิศตะวันออก และตกทางดา้ นทศิ ตะวนั ตก หมนุ เวียนเปน็ แบบรปู ซ้าๆ ว3.1 ป.4/2 2. สรา้ งแบบจาลองท่ี - ดวงจนั ทร์เปน็ วตั ถุทเ่ี ป็นทรงกลม - อธบิ ายแบบรปู การ แต่รปู รา่ งของดวงจนั ทรท์ ่ีมองเห็น เปลี่ยนแปลงรูปรา่ ง หรอื รปู รา่ งปรากฏของดวงจนั ทร์ ปรากฏของดวงจนั ทร์ บนทอ้ งฟ้าแตกตา่ งกันไปในแตล่ ะ และพยากรณร์ ปู รา่ ง วนั โดยในแตล่ ะวันดวงจนั ทรจ์ ะมี ปรากฏของดวงจนั ทร์ รปู ร่างปรากฏเปน็ เสีย้ วที่มีขนาด เพมิ่ ข้นึ อย่างต่อเน่ืองจนเต็มดวง จากนนั้ รปู ร่างปรากฏของดวงจันทร์ จะแหว่งและมขี นาดลดลงอย่าง ตอ่ เนื่องจนมองไมเ่ หน็ ดวงจันทร์ จากนั้นรปู ร่างปรากฏของดวงจนั ทร์ จะเป็นเสี้ยวใหญข่ น้ึ จนเต็มดวงอกี ครัง้ การเปล่ยี นแปลงเช่นน้เี ป็น แบบรูปซา้ กนั ทุกเดือน ว3.1 ป.4/3 3. สรา้ งแบบจาลอง - ระบบสุริยะเป็นระบบทีม่ ดี วง - แสดงองค์ประกอบของ อาทิตย์เป็นศนู ยก์ ลางและมีบรวิ าร ระบบสุริยะ และอธบิ าย ประกอบดว้ ย ดาวเคราะห์แปดดวง เปรยี บเทียบคาบการ และบรวิ าร ซ่ึงดาวเคราะห์แต่ละ โคจรของดาวเคราะห์ ดวงมีขนาดและระยะหา่ งจากดวง ต่างๆ จากแบบจาลอง อาทิตยแ์ ตกตา่ งกนั และยัง ประกอบด้วยดาวเคราะหแ์ คระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุ ขนาดเลก็ อ่ืนๆ โคจรอยู่รอบดวง
58 รหัสตัวช้ีวดั รำยละเอยี ดตัวช้ีวัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ อาทิตย์ วตั ถุขนาดเลก็ อื่นๆ เมอื่ เข้า มาในช้นั บรรยากาศเน่ืองจากแรง โน้มถว่ งของโลก ทาใหเ้ กดิ เป็นดาว ตกหรือผพี ุ่งไต้และอุกกาบาต สำระท่ี 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชงิ คานวณในการแก้ปัญหาทพี่ บในชีวิตจริงอยา่ งเปน็ ขั้นตอน และเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปญั หาไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ รู้เทา่ ทนั และมีจริยธรรม รหัสตัวช้ีวัด รำยละเอียดตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถนิ่ ว4.2 ป.4/3 3. ใชอ้ ินเทอรเ์ นต็ - การใชค้ าคน้ ทีต่ รงประเดน็ - คน้ หาความรู้ และ กระชับ จะทาใหไ้ ดผ้ ลลัพธ์ที่รวดเร็ว ประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถือ และตรงตามความต้องการ ของข้อมูล - การประเมนิ ความน่าเชอื่ ถอื ของ ขอ้ มูล เช่น พจิ ารณาประเภทของ เวบ็ ไซต์ (หนว่ ยงานราชการสานัก ข่าว องค์กร) ผเู้ ขียน วนั ที่เผยแพร่ ข้อมลู การอ้างอิง - เม่ือได้ขอ้ มูลท่ตี ้องการจาก เว็บไซตต์ ่างๆ จะต้องนาเน้อื หามา พจิ ารณา เปรยี บเทยี บ แลว้ เลือก ข้อมลู ท่ีมีความสอดคล้องและ สัมพนั ธ์กนั - การทารายงานหรือการนาเสนอ ขอ้ มลู จะตอ้ ง นาข้อมลู มาเรียบเรียง สรปุ เป็นภาษาของตนเอง ที่ เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและ วิธกี ารนาเสนอ (บูรณาการกบั วิชา ภาษาไทย) ว4.2 ป.4/4 4. รวบรวม ประเมิน - การรวบรวมขอ้ มูล ทาได้โดย - นาเสนอข้อมลู และ กาหนดหวั ขอ้ ทต่ี อ้ งการ เตรยี ม สารสนเทศ โดยใช้ อปุ กรณ์ในการจดบนั ทกึ ซอฟตแ์ วร์ท่หี ลากหลาย - การประมวลผลอยา่ งงา่ ย เช่น เพ่อื แก้ปญั หาใน เปรียบเทียบ จดั กลุม่ เรียงลาดบั ชวี ิตประจาวัน การหาผลรวม - วเิ คราะหผ์ ลและสร้างทางเลือกที่ เป็นไปได้ ประเมินทางเลือก (เปรียบเทยี บ ตัดสนิ )
59 รหสั ตัวชี้วดั รำยละเอยี ดตัวชี้วัด สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว4.2 ป.4/5 5. ใช้เทคโนโลยี - การนาเสนอข้อมูลทาได้หลาย สารสนเทศอยา่ ง ปลอดภยั เขา้ ใจสิทธิ ลกั ษณะตามความเหมาะสม เชน่ และหน้าทีข่ องตน เคารพในสิทธิของผู้อืน่ การบอกเลา่ เอกสารรายงาน แจ้งผ้เู กี่ยวข้องเม่ือพบ ขอ้ มลู หรือบุคคลท่ีไม่ โปสเตอร์ โปรแกรมนาเสนอ เหมาะสม - การใช้ซอฟต์แวร์เพ่ือแก้ปญั หาใน ชวี ิตประจาวัน เชน่ การสารวจ เมนูอาหารกลางวันโดยใช้ ซอฟต์แวรส์ ร้างแบบสอบถามและ เก็บข้อมูล ใช้ซอฟต์แวรต์ าราง ทางานเพื่อประมวลผลขอ้ มูล รวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกับคุณค่าทาง โภชนาการและสรา้ งรายการอาหาร สาหรบั 5 วนั ใช้ซอฟตแ์ วร์นาเสนอ ผลการสารวจ รายการอาหารท่เี ปน็ ทางเลือก และข้อมูลด้านโภชนา การ - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง - ปลอดภยั เข้าใจสิทธแิ ละหน้าท่ขี อง ตน เคารพในสิทธิของผู้อืน่ เช่น ไม่ สร้างข้อความเทจ็ และส่งใหผ้ ู้อนื่ ไม่ สรา้ งความเดือดร้อนต่อผู้อืน่ โดย การส่งสแปม ข้อความลูกโซ่ สง่ ตอ่ โพสต์ที่มขี ้อมลู ส่วนตวั ของผู้อื่น สง่ คาเชญิ เล่นเกม ไมเ่ ข้าถึงข้อมูล ส่วนตัวหรือการบ้านของบคุ คลอ่ืน โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าต ไม่ใชเ้ ครื่อง คอมพิวเตอร์/ชื่อบัญชีของผ้อู ื่น - การส่ือสารอย่างมีมารยาทและรู้ กาลเทศะ - การปกปอ้ งข้อมลู ส่วนตวั เชน่ การออกจากระบบเม่อื เลกิ ใชง้ าน ไม่บอกรหัสผา่ น ไม่บอกเลข ประจาตวั ประชาชน
60 ตัวช้ีวัดสำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรียนรู้ท้องถิน่ ชน้ั ประถมศึกษำปีที่ 5 ภำคเรยี นที่ 1 สำระท่ี ๑ วิทยำศำสตรช์ วี ภำพ มำตรฐำน ว๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ ไม่มีชีวติ กบั สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลง แทนทใี่ นระบบนิเวศ ความหมายของประชากรปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมรวมทงั้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ รหัสตวั ช้ีวดั ตวั ชี้วัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถน่ิ ว1.1 ป.5/1 1. บรรยายโครงสร้าง - สง่ิ มีชีวิตท้ังพืชและสัตวม์ ี - และลักษณะของ โครงสรา้ งและลักษณะ ท่ีเหมาะสม สิ่งมีชวี ติ ทีเ่ หมาะสมกับ ในแต่ละแหล่งทอี่ ยู่ ซงึ่ เป็นผลมา การดารงชีวิตซ่ึงเป็นผล จาก การปรับตัวของส่งิ มีชวี ติ มาจากการปรับตวั ของ เพื่อใหด้ ารงชีวิตและอยู่รอดได้ใน สง่ิ มชี วี ิตในแต่ละแหลง่ แตล่ ะแหลง่ ที่อยู่ เช่น ผักตบชวามี ท่ีอยู่ ชอ่ งอากาศในกา้ นใบ ชว่ ยให้ลอย น้าได้ ต้นโกงกางท่ีขนึ้ อยูใ่ น ป่าชาย เลนมีรากคา้ จุนทาใหล้ าต้นไม่ล้ม ปลามคี รีบช่วยในการเคลื่อนท่ีในนา้ ว1.1 ป.5/2 2. อธิบายความสมั พนั ธ์ - ในแหล่งท่ีอยหู่ นึง่ ๆ สิง่ มชี ีวติ จะ - สิ่งมชี วี ิตที่พบใน ระหว่างสง่ิ มชี ีวิตกับ มคี วามสัมพันธซ์ ง่ึ กันและกันและ โรงเรยี น และบรเิ วณ สง่ิ มีชวี ิต และ สัมพันธ์กับสิ่งไม่มชี วี ิตเพ่ือ ตา่ งๆ เชน่ ป่าชายเลน ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง ประโยชนต์ อ่ การดารงชีวติ เชน่ เปน็ ตน้ สิง่ มชี วี ิตกบั ส่ิงไม่มชี ีวิต ความสมั พันธ์กัน ด้านการกนิ กนั เพือ่ ประโยชนต์ ่อการ เปน็ อาหาร เป็นแหลง่ ท่ีอยู่อาศยั ดาเนนิ ชีวิต หลบภยั และเล้ยี งดลู ูกอ่อนใช้ ว1.1 ป.5/3 3. เขียนโซ่อาหารและ อากาศในการหายใจ - ระบุ บรเิ วณหน้าอาคาร - สิง่ มีชีวิตมกี ารกนิ กันเปน็ อาหาร เรียนบทบาทหน้าท่ีของ โดยกินต่อกนั เป็นทอด ๆ ใน สง่ิ มชี ีวิตที่เป็นผ้ผู ลติ รปู แบบของโซ่อาหารทาให้สามารถ และผู้บรโิ ภคในโซ่ ระบบุ ทบาทหน้าทีข่ องสิ่งมชี ีวิตเป็น อาหาร ผู้ผลิตและผู้บรโิ ภค ว1.1 ป.5/4 4. ตระหนักในคุณคา่ - ของสงิ่ แวดล้อมท่ีมตี อ่ การดารงชีวติ ของ ส่งิ มชี วี ติ โดยมีส่วนร่วม ในการดูแลรักษา สง่ิ แวดล้อม
61 สำระที่ ๑ วทิ ยำศำสตรช์ วี ภำพ มำตรฐำน ว๑.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธกุ รรม การเปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมท่ีมีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ฒั นาการของ สิ่งมีชวี ติ รวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ รหสั ตัวชี้วัด ตัวชี้วดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถนิ่ ว1.3 ป.5/1 1. อธบิ ายลักษณะทาง - สิ่งมชี ีวติ ทั้งพืช สตั ว์ และมนษุ ย์ -ศกึ ษาลักษณะการ พันธกุ รรมท่ีมีการ เมอ่ื โตเต็มท่จี ะมีการสืบพันธุเ์ พื่อ ถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม ถา่ ยทอดจากพอ่ แม่สู่ลกู เพิ่มจานวนและดารงพันธุ์ โดยลูกท่ี ของตนเองและ ของพชื สตั ว์ และ เกดิ มาจะไดร้ บั การถา่ ยทอด ครอบครวั มนุษย์ ลักษณะทาง ว1.3 ป.5/2 2. แสดงความอยากรู้ - พันธกุ รรมจากพ่อแมท่ าให้มี - อยากเห็นโดยการถาม ลักษณะทางพนั ธกุ รรมท่ีเฉพาะ คาถามเกีย่ วกบั ลกั ษณะ แตกต่างจากส่งิ มชี วี ติ ชนดิ อน่ื ทคี่ ล้ายคลึงกันของ - พชื มกี ารถ่ายทอดลักษณะทาง ตนเองกับพ่อแม่ พนั ธุกรรม เช่น ลกั ษณะของใบ สี ดอก - สัตว์มีการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธกุ รรม เช่น สีขน ลกั ษณะของ ขน ลักษณะของหู - มนุษยม์ ีการถา่ ยทอดลักษณะทาง พนั ธุกรรม เชน่ เชิงผมทห่ี น้าผาก ลกั ยิ้ม ลักษณะหนังตา การห่อล้ิน ลักษณะของต่ิงหู สำระท่ี ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุลักษณะการ เคลื่อนทแ่ี บบตา่ งๆ ของวตั ถุ รวมทัง้ นาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ รหสั ตัวชี้วัด ตัวชี้วดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่ิน ว2.2 ป.5/1 1. อธิบายวิธีการหาแรง - แรงลัพธเ์ ป็นผลรวมของแรงท่ี - ลัพธ์ของแรงหลายแรง กระทาต่อวตั ถุ โดยแรงลัพธ์ของแรง ในแนวเดยี วกนั ท่กี ระทา 2 แรงทีก่ ระทาต่อวตั ถุเดียวกันจะมี ตอ่ วัตถใุ นกรณีทีว่ ตั ถุอยู่ ขนาดเทา่ กับผลรวมของแรงทั้งสอง นง่ิ จากหลักฐานเชิง เมือ่ แรงทงั้ สองอยใู่ นแนวเดยี วกัน ประจกั ษ์ และมีทิศทางเดยี วกนั แตจ่ ะมีขนาด ว2.2 ป.5/2 2. เขยี นแผนภาพแสดง เทา่ กบั ผลตา่ งของแรงท้ังสองเมือ่ - แรงทกี่ ระทาต่อวัตถุที่ แรงทั้งสองอยูใ่ นแนวเดยี วกันแต่มี อยใู่ นแนวเดียวกันและ ทศิ ทางตรงข้ามกัน สาหรับวัตถุท่ี แรงลพั ธ์ทีก่ ระทาต่อ อยนู่ ง่ิ แรงลพั ธ์ท่ีกระทาต่อวตั ถุมีคา่ วตั ถุ เปน็ ศูนย์
62 รหัสตัวชี้วดั ตัวช้วี ดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ ้องถ่ิน ว2.2 ป.5/3 - 3. ใช้เคร่อื งชัง่ สปรงิ ใน - การเขียนแผนภาพของแรงท่ี ว2.2 ป.5/4 - การวดั แรงที่กระทาต่อ กระทาต่อวัตถุสามารถเขยี นไดโ้ ดย ว2.2 ป.5/5 - วตั ถุ ใช้ลกู ศร โดยหัวลกู ศรแสดงทิศทาง ของแรง และความยาวของลูกศร แสดงขนาดของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ 4. ระบุผลของแรงเสยี ด - แรงเสยี ดทานเป็นแรงทเี่ กิดขน้ึ ทานที่มตี ่อ การ ระหว่างผวิ สัมผสั ของวัตถเุ พื่อตา้ น เปลีย่ นแปลงการ การเคลื่อนทขี่ องวัตถุนนั้ โดยถา้ เคลื่อนท่ีของวัตถุจาก ออกแรงกระทาตอ่ วตั ถุท่อี ย่นู ่ิงบน หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ พื้นผวิ หนึง่ ให้เคลอื่ นที่ แรงเสียด 5. เขยี นแผนภาพแสดง ทานจากพ้นื ผิวนั้นก็จะต้านการ แรงเสยี ดทานและแรง เคล่ือนท่ีของวตั ถุ แตถ่ ้าวตั ถุกาลัง ทอี่ ยู่ในแนวเดยี วกันที่ เคลอื่ นท่ี แรงเสียดทานกจ็ ะทาให้ วัตถุน้ันเคลอ่ื นที่ชา้ ลง หรือหยุดน่ิง กระทาตอ่ วัตถุ สำระที่ ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กบั เสยี งแสง และคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทงั้ นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ รหัสตวั ชี้วดั ตวั ชีว้ ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถิ่น ว2.3 ป.5/1 1. อธบิ ายการได้ยนิ เสียง - การไดย้ นิ เสียงนั้นต้องอาศัย - ผา่ นตวั กลาง จากหลกั ฐาน ตัวกลางโดยอาจเป็นของแขง็ เชิงประจกั ษ์ ของเหลว หรืออากาศ เสยี งจะ ว2.3 ป.5/2 2. ระบุตัวแปร ทดลองและ สง่ ผา่ นตวั กลางมายังหู - อธิบาย ลกั ษณะและการ - เสียงท่ไี ด้ยินมีระดับสงู ตา่ ของ เกิดเสียงสงู เสียงตา่ เสยี งตา่ งกนั ขึ้นกบั ว2.3 ป.5/3 3. ออกแบบการทดลอง ความถ่ขี องการสน่ั ของ - และอธบิ าย ลักษณะและ แหลง่ กาเนดิ เสียง โดยเมื่อ การเกิดเสียงดัง เสยี งค่อย แหลง่ กาเนดิ เสียงสนั่ ดว้ ยความถี่ ว2.3 ป.5/4 4. วัดระดับเสียงโดยใช้ ต่าจะเกิดเสียงตา่ แต่ถ้าสั่นด้วย เครือ่ งมือวัดระดบั เสยี ง ความถส่ี งู จะเกดิ เสียงสงู ส่วน - ว2.3 ป.5/5 5. ตระหนักในคณุ คา่ ของ เสียงดงั ค่อยท่ไี ดย้ ินขึ้นกบั - ความรเู้ ร่อื งระดบั เสียงโดย พลงั งานการสนั่ ของแหล่งกาเนิด เสนอแนะแนวทางในการ เสยี ง โดยเมือ่ แหลง่ กาเนดิ เสยี ง หลีกเลีย่ งและลดมลพษิ สัน่ พลงั งานมากจะเกิดเสียงดัง แต่ถา้ แหลง่ กาเนดิ ทางเสียง
63 สำระที่ ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมจี ริยธรรม รหัสตัวช้ีวัด ตัวชีว้ ดั สำระกำรเรียนรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู อ้ งถ่ิน ว4.2 ป.5/1 1. ใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะ - การใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะเป็นการ - ในการแก้ปัญหา การ นากฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไขท่ี อธิบายการทางาน การ ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พจิ ารณา คาดการณผ์ ลลัพธ์ จาก ในการแก้ปญั หา การอธบิ ายการ ปัญหาอย่างง่าย ทางานหรือการคาดการณ์ผลลพั ธ์ - สถานะเริ่มต้นของการทางานท่ี แตกต่างกันจะใหผ้ ลลพั ธท์ ่ีแตกตา่ งกัน - ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม Sudoku, โปรแกรมทานายตวั เลข, โปรแกรม สรา้ งรูปเรขาคณิตตามคา่ ข้อมูลเขา้ , การจัดลาดับการทางานบ้านในช่วง วันหยุด, จดั วางของในครัว ว4.2 ป.5/2 2. ออกแบบและเขยี น - การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้ - โปรแกรมทมี่ ีการใช้ โดยเขยี นเปน็ ข้อความ หรือผงั งาน เหตผุ ลเชงิ ตรรกะอย่าง - การออกแบบและเขียนโปรแกรม ง่ายตรวจหา ท่มี ีการตรวจสอบเง่อื นไขท่ี ข้อผดิ พลาดและแก้ไข ครอบคลุมทุกกรณีเพอ่ื ใหไ้ ด้ผลลัพธ์ ท่ีถกู ต้องตรงตามความตอ้ งการ - หากมีข้อผดิ พลาดให้ตรวจสอบ การทางาน ทีละคาสัง่ เมือ่ พบจดุ ที่ ทาให้ผลลัพธไ์ ม่ถูกต้อง ใหท้ าการ แก้ไขจนกวา่ จะได้ผลลพั ธ์ที่ถูกตอ้ ง - การฝกึ ตรวจหาข้อผดิ พลาดจาก โปรแกรมของผู้อนื่ จะช่วยพฒั นา ทกั ษะการหาสาเหตุของปัญหาไดด้ ี ย่ิงข้นึ - ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ โปรแกรม ตรวจสอบเลขคู่เลขค่ี โปรแกรมรบั ข้อมลู นา้ หนักหรอื สว่ นสูงแล้ว แสดงผลความสมส่วนของร่างกาย, โปรแกรมสั่งให้ตัวละครทาตาม เง่อื นไขท่ีกาหนด - ซอฟตแ์ วรท์ ่ีใช้ในการเขียน โปรแกรม เชน่ Scratch, logo
64 ตวั ช้วี ดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรียนรทู้ อ้ งถนิ่ ชน้ั ประถมศึกษำปีท่ี 5 ภำคเรยี นที่ 2 สำระที่ ๒ วทิ ยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๑ เข้าใจสมบตั ขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหว่างสมบัตขิ องสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารการ เกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี รหสั ตัวชี้วัด ตวั ช้วี ดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ ้องถน่ิ ว2.1 ป.5/1 1. อธบิ ายการเปล่ียน - การเปลี่ยนสถานะของสสารเป็น - สถานะของสสาร เม่ือ การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ เมือ่ ทาให้สสารร้อนข้นึ หรือ เพม่ิ ความรอ้ นให้กับสสารถงึ ระดบั เยน็ ลงโดยใช้หลกั ฐาน หน่งึ จะทาให้สสารท่เี ป็นของแขง็ เชงิ ประจักษ์ เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกวา่ การหลอมเหลว และเมื่อ เพ่มิ ความร้อนต่อไปจนถงึ อีกระดบั หน่ึงของเหลวจะเปลี่ยนเปน็ แกส๊ เรยี กวา่ การกลายเปน็ ไอ แต่เมอ่ื ลด ความร้อนลงถึงระดับหนึ่งแก๊สจะ เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น และถา้ ลด ความรอ้ นต่อไปอีกจนถงึ ระดับหนงึ่ ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็น ของแข็งเรียกว่า การแข็งตวั สสาร บางชนิดสามารถเปลี่ยนสถานะจาก ของแข็งเป็นแก๊สโดยไม่ผ่านการเป็น ของเหลว เรียกวา่ การระเหิด สว่ น แก๊สบางชนิดสามารถเปลย่ี นสถานะ เปน็ ของแข็งโดยไม่ผ่าน การเปน็ ของเหลว เรยี กว่า การระเหดิ กลับ ว2.1 ป.5/2 2. อธิบายการละลาย - เมอื่ ใสส่ ารลงในน้าแล้วสารนั้นรวม - ของสารในน้า โดยใช้ เป็นเนื้อเดียวกนั กับนา้ ทัว่ ทุกส่วน หลกั ฐานเชิงประจักษ์ แสดงว่าสารเกิดการละลาย เรยี ก สารผสมทีไ่ ดว้ า่ สารละลาย ว2.1 ป.5/3 3. วเิ คราะหก์ าร - เมื่อผสมสาร 2 ชนิดขนึ้ ไปแล้วมี - เปลยี่ นแปลงของสาร สารใหมเ่ กิดขนึ้ ซง่ึ มีสมบัติต่างจาก เมอ่ื เกดิ การ สารเดิม หรือเมื่อสารชนิดเดยี ว เกิด เปลย่ี นแปลงทางเคมี การเปล่ยี นแปลงแลว้ มีสารใหม่ เกิดขึ้น การเปล่ยี นแปลงน้ีเรยี กวา่
65 รหัสตวั ชี้วดั ตัวช้วี ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรูท้ ้องถน่ิ ว2.1 ป.5/4 โดยใชห้ ลกั ฐานเชิง ประจกั ษ์ การเปล่ียนแปลงทางเคมี ซึ่งสงั เกตได้ 4. วเิ คราะหแ์ ละระบุ จากมสี ี หรือกลนิ่ ต่างจากสารเดิม การเปลีย่ นแปลงทผี่ นั กลบั ไดแ้ ละการ หรอื มีฟองแกส๊ หรือมีตะกอนเกิดข้ึน เปลย่ี นแปลงทีผ่ ันกลบั ไมไ่ ด้ หรอื มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ อุณหภูมิ - เม่อื สารเกดิ การเปลย่ี นแปลงแล้ว - สารสามารถเปล่ยี นกลับเป็น สารเดมิ ได้ เป็นการเปล่ียนแปลงท่ี ผนั กลับได้เชน่ การหลอมเหลว การ กลายเปน็ ไอ การละลายแต่สาร บางอยา่ งเกิดการเปล่ยี นแปลง แลว้ ไม่สามารถเปล่ียนกลับเปน็ สารเดิม ได้ เป็นการเปลี่ยนแปลงทผ่ี นั กลบั ไม่ได้ เช่น การเผาไหม้การเกิดสนมิ สำระท่ี 3 วิทยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ รวมท้ังปฏิสมั พนั ธ์ภายในระบบสุริยะทส่ี ่งผลต่อส่ิงมีชวี ติ และการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยี อวกาศ รหสั ตวั ช้ีวัด ตัวชี้วดั สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถิ่น ว3.1 ป.5/1 1. เปรียบเทียบความ - ดาวท่มี องเห็นบนท้องฟ้าอยู่ใน - แตกต่างของดาว อวกาศซึ่งเปน็ บรเิ วณที่อยนู่ อก เคราะหแ์ ละดาวฤกษ์ บรรยากาศของโลกมีทัง้ ดาวฤกษ์ จากแบบจาลอง และดาวเคราะหด์ าวฤกษ์เป็น แหลง่ กาเนิดแสงจึงสามารถ มองเหน็ ไดส้ ว่ นดาวเคราะห์ไม่ใช่ แหล่งกาเนิดแสง แต่สามารถ มองเห็นได้เนื่องจากแสงจากดวง อาทติ ย์ตกกระทบดาวเคราะห์แล้ว สะท้อนเขา้ สูต่ า ว3.1 ป.5/2 2. ใช้แผนทด่ี าวระบุ - การมองเห็นกลมุ่ ดาวฤกษ์มีรูปรา่ ง - ตาแหนง่ และเส้นทาง ตา่ งๆ เกดิ จากจินตนาการของผู้ การข้นึ และตกของกล่มุ สังเกต กลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ ท่ี ดาวฤกษบ์ นทอ้ งฟ้า ปรากฏในท้องฟ้าแต่ละกลุม่ มีดาว และอธบิ ายแบบรูป ฤกษ์แต่ละดวงเรียงกันท่ีตาแหนง่ เส้นทางการขน้ึ และตก คงที่ และมเี สน้ ทางการข้นึ และตก ของกลุ่มดาวฤกษบ์ น ตามเสน้ ทางเดิมทุกคืน ซ่ึงจะ ท้องฟ้าในรอบปี ปรากฏตาแหน่งเดิมการสังเกต
66 รหสั ตัวชี้วัด ตัวช้วี ดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ อ้ งถิ่น ตาแหนง่ และการขนึ้ และตกของ ดาวฤกษ์และกลุ่มดาวฤกษ์สามารถ ทาไดโ้ ดยใช้แผนที่ดาว ซงึ่ ระบุมุม ทิศและมุมเงยท่ีกลุม่ ดาวนั้นปรากฏ ผสู้ งั เกตสามารถใช้มอื ในการ ประมาณค่าของมมุ เงยเม่อื สังเกต ดาวในทอ้ งฟ้า สำระท่ี 3 วทิ ยำศำสตร์โลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณพี ิบัตภิ ัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลกรวมทง้ั ผลต่อ ส่ิงมีชวี ิตและสงิ่ แวดล้อม รหสั ตวั ชี้วัด ตัวช้ีวัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ อ้ งถิ่น ว3.2 ป.5/1 1. เปรยี บเทยี บปรมิ าณ - โลกมที ้ังนา้ จดื และนา้ เคม็ ซึ่งอยูใ่ น - แหล่งนา้ ต่างๆ ใน นา้ ในแต่ละแหล่ง และ แหลง่ นา้ ต่างๆ ที่มีทง้ั แหลง่ น้าผวิ ดนิ ท้องถิน่ /จงั หวัด ระบปุ รมิ าณน้าทมี่ นุษย์ เช่น ทะเล มหาสมุทร บงึ แม่น้า - ขอ้ มูลแหล่งน้าใน สามารถนามาใช้ และแหล่งน้าใต้ดิน เช่น นา้ ในดนิ ทอ้ งถ่นิ ในจังหวัด และ ประโยชน์ได้ จากข้อมลู และนา้ บาดาลนา้ ท้งั หมดของโลก จังหวดั ใกล้เคียง ทร่ี วบรวมได้ แบ่งเป็นนา้ เค็มประมาณร้อยละ 97.5 ซ่งึ อยู่ในมหาสมทุ รและแหลง่ นา้ อืน่ ๆ และท่เี หลืออกี ประมาณ ร้อยละ 2.5 เปน็ น้าจดื ถ้า เรยี งลาดับปริมาณนา้ จดื จากมาก ไปนอ้ ยจะอยู่ทีธ่ ารน้าแขง็ และพืด นา้ แขง็ น้าใต้ดิน ชนั้ ดินเยือกแขง็ คง ตวั และน้าแขง็ ใตด้ ินทะเลสาบ ความชนื้ ในดินความช้นื ใน บรรยากาศ บงึ แม่นา้ และน้าใน สิ่งมีชวี ิต ว3.2 ป.5/2 2. ตระหนกั ถงึ คุณค่าของ - น้าจืดท่มี นุษย์นามาใชไ้ ด้ มี นา้ โดยนาเสนอแนว ปริมาณนอ้ ยมาก จึงควรใชน้ ้า ทางการใช้นา้ อยา่ ง ประหยดั และร่วมกันอนุรักษน์ ้า ประหยัดและการอนรุ ักษ์ น้า ว3.2 ป.5/3 3. สร้างแบบจาลองท่ี - วัฏจกั รนา้ เป็นการหมนุ เวียนของ - อธิบายการหมุนเวียน น้าทม่ี ีแบบรูปซ้าเดิมและต่อเนื่อง ของนา้ ในวัฏจักรนา้ ระหวา่ งน้าในบรรยากาศน้าผิวดนิ และน้าใต้ดินโดยพฤติกรรมการดารง
67 รหสั ตัวชี้วัด ตวั ชีว้ ดั สำระกำรเรียนรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ ชีวติ ของพชื และสัตว์ส่งผลต่อวัฏจกั ร นา้ ว3.2 ป.5/4 4. เปรียบเทียบ - ไอน้าในอากาศจะควบแน่นเป็น - กระบวนการเกิดเมฆ หมอก นา้ คา้ ง และ ละอองนา้ เลก็ ๆ โดยมีละอองลอย น้าค้างแข็ง จาก แบบจาลอง เชน่ เกลือ ฝนุ่ ละออง เกสรดอกไม้ เป็นอนภุ าคแกนกลาง เมอื่ ละออง น้าจานวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอย อยู่สูงจากพ้นื ดินมาก เรยี กวา่ เมฆ แต่ละอองนา้ ท่ีเกาะกลุ่มรวมกันอยู่ ใกลพ้ นื้ ดินเรียกว่า หมอก ส่วนไอ นา้ ทคี่ วบแนน่ เปน็ ละอองน้าเกาะ อยบู่ นพ้นื ผวิ วัตถุใกลพ้ ้ืนดนิ เรียกวา่ น้าค้าง ถ้าอุณหภมู ิ ใกล้พนื้ ดินตา่ กว่าจุดเยือกแขง็ นา้ ค้างก็จะ กลายเป็นน้าคา้ งแข็ง ว3.2 ป.5/5 5. เปรยี บเทียบ - ฝน หมิ ะ ลกู เห็บ เปน็ หยาดน้าฟา้ - กระบวนการเกิดฝน หมิ ะและลกู เหบ็ จาก ซึง่ เปน็ น้าท่ีมสี ถานะต่างๆ ทตี่ กจาก ขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ ฟา้ ถงึ พืน้ ดิน ฝน เกิดจากละอองนา้ ในเมฆท่ีรวมตัวกันจนอากาศ สำระที่ ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รเู้ ท่าทนั และมจี ริยธรรม รหัสตวั ชี้วดั ตัวชวี้ ัด สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถนิ่ ว4.2 ป.5/3 3. ใช้อนิ เทอร์เนต็ - การค้นหาข้อมูลในอนิ เทอรเ์ น็ต - ค้นหาข้อมูล และการพิจารณาผลการคน้ หา ติดต่อส่อื สารและ - การตดิ ต่อสื่อสารผา่ นอินเทอร์เนต็ ทางานร่วมกัน ประเมิน เชน่ อเี มล บล็อก โปรแกรมสนทนา ความนา่ เช่อื ถือของ - การเขียนจดหมาย(บูรณาการกับ ขอ้ มูล วิชาภาษาไทย) - การใช้อนิ เทอร์เน็ตในการติดต่อ สอ่ื สารและทางานรว่ มกัน เช่น ใช้ นดั หมายในการประชุมกลุ่ม ประชาสัมพันธก์ จิ กรรมในห้องเรยี น การแลกเปลยี่ นความรู้ ความ คดิ เหน็ ในการเรียน ภายใต้การดูแล ของครู
68 รหัสตวั ช้ีวดั ตวั ชี้วัด สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว4.2 ป.5/4 - การประเมินความน่าเชอ่ื ถอื ของ ว4.2 ป.5/5 ขอ้ มูล เชน่ เปรยี บเทียบความ สอดคลอ้ ง สมบูรณข์ องขอ้ มูลจาก หลายแหล่งแหล่งตน้ ตอของข้อมลู ผเู้ ขียน วันทเี่ ผยแพร่ข้อมูล - ข้อมูลที่ดีต้องมีรายละเอยี ดครบทุก ด้าน เช่น ข้อดีและข้อเสียประโยชนแ์ ละ โทษ 4. รวบรวม ประเมิน - การรวบรวมข้อมลู ประมวลผล - นาเสนอข้อมลู และ สรา้ งทางเลือกประเมินผล จะทาให้ สารสนเทศ ตาม ไดส้ ารสนเทศเพื่อใชใ้ นการ วตั ถปุ ระสงคโ์ ดยใช้ แกป้ ัญหาหรือการตดั สนิ ใจได้อย่าง ซอฟต์แวรห์ รอื บริการ มีประสิทธภิ าพ บนอินเทอร์เนต็ ที่ - การใช้ซอฟต์แวรห์ รือบรกิ ารบน หลากหลายเพอ่ื อินเทอร์เนต็ ทหี่ ลากหลายในการ แก้ปัญหาใน รวบรวมประมวลผล สร้างทางเลอื ก ชวี ิตประจาวนั ประเมนิ ผล นาเสนอ จะชว่ ยใหก้ าร แก้ปัญหาทาได้อย่างรวดเรว็ ถูกต้อง และแมน่ ยา - ตัวอย่างปัญหา เช่น ถา่ ยภาพและ สารวจแผนท่ใี นท้องถ่นิ เพื่อนาเสนอ แนวทางในการจัดการพื้นที่ว่างให้ เกดิ ประโยชนท์ าแบบสารวจ ความคิดเหน็ ออนไลน์ และ วเิ คราะหข์ ้อมูล นาเสนอขอ้ มูลโดย การใช้ Blog หรอื web page 5. ใชเ้ ทคโนโลยี - อนั ตรายจากการใชง้ านและ - สารสนเทศอยา่ ง อาชญากรรม ทางอนิ เทอร์เน็ต ปลอดภัยมมี ารยาท - มารยาทในการติดต่อสื่อสารผ่าน เข้าใจสิทธิและหนา้ ท่ี อินเทอร์เนต็ (บูรณาการกับวิชาท่ี ของตน เคารพในสิทธิ เก่ยี วข้อง) ของผู้อื่น แจ้ง ผเู้ ก่ียวขอ้ งเม่ือพบข้อมูล หรือบคุ คลท่ีไม่ เหมาะสม
69 ตัวช้วี ัดสำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรียนรทู้ ้องถิ่น ชนั้ ประถมศึกษำปที ี่ 6 ภำคเรียนท่ี 1 สำระท่ี ๑ วิทยำศำสตรช์ วี ภำพ มำตรฐำน ว๑.๒ เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางานสัมพันธ์กันความสัมพันธ์ ของโครงสร้าง และหนา้ ที่ของอวัยวะต่างๆ ของพชื ท่ีทางานสมั พันธ์กันรวมท้ังนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ รหสั ตัวช้ีวดั ตวั ชี้วดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถน่ิ ว1.2 ป 6/1 1. ระบุสารอาหารและ - สารอาหารทอ่ี ยู่ในอาหาร มี 6 -อาหารทน่ี กั เรยี น บอกประโยชน์ของ ประเภท ไดแ้ ก่ คาร์โบไฮเดรต รับประทานท่ีโรงเรียน สารอาหารแตล่ ะประเภท โปรตีน ไขมนั เกลือแร่ วิตามินและ และอาหารประเภท ต่างๆ ในท้องถ่ิน จากอาหารทต่ี นเอง น้า รับประทาน ว1.2 ป 6/2 2. บอกแนวทางในการ - อาหารแตล่ ะชนดิ ประกอบด้วย - เลอื กรับประทานอาหาร สารอาหาร ที่แตกต่างกันอาหาร ให้ได้สารอาหาร บางอยา่ งประกอบด้วยสารอาหาร ครบถว้ นในสดั สว่ นที่ ประเภทเดียวอาหารบางอยา่ ง เหมาะสมกบั เพศและ ประกอบดว้ ยสารอาหารมากกว่า วยั รวมทั้งความ หน่งึ ประเภท ปลอดภัยต่อสุขภาพ - สารอาหารแตล่ ะประเภทมี ว1.2 ป 6/3 3. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ตอ่ ร่างกายแตกต่างกนั - ความสาคญั ของ โดยคารโ์ บไฮเดรต โปรตีนและ สารอาหาร โดยการ ไขมนั เปน็ สารอาหารที่ให้พลังงาน เลอื กรับประทานอาหาร แกร่ ่างกายสว่ นเกลอื แร่ วิตามิน ท่ีมีสารอาหารครบถ้วน และนา้ เปน็ สารอาหารทไ่ี มใ่ ห้ ในสดั ส่วนที่เหมาะสม พลังงานแก่ร่างกาย แต่ช่วยให้ กับเพศและวยั รวมทงั้ ร่างกายทางานได้เป็นปกติ ปลอดภยั ตอ่ สขุ ภาพ – การรับประทานอาหารเพ่ือให้ ร่างกายเจริญเติบโตมีการ เปลีย่ นแปลงของรา่ งกายตามเพศ และวยั และ มสี ุขภาพดจี าเป็นต้อง รับประทานให้ได้พลงั งานเพยี งพอ กบั ความต้องการของรา่ งกายและ ให้ได้สารอาหารครบถว้ นในสัดส่วน ที่เหมาะสมกบั เพศ และวยั รวมท้ัง ตอ้ งคานึงถึงชนดิ และปรมิ าณของ วัตถุ เจอื ปนในอาหารเพ่ือความ ปลอดภยั ตอ่ สขุ ภาพ
70 รหัสตัวช้ีวัด ตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว1.2 ป 6/4 - 4. สร้างแบบจาลอง - ระบบยอ่ ยอาหารประกอบด้วย ว1.2 ป 6/5 - ระบบยอ่ ยอาหารและ อวยั วะตา่ งๆ ได้แก่ ปาก หลอด บรรยายหน้าทข่ี อง อาหาร กระเพาะอาหารลาไสเ้ ล็ก อวัยวะในระบบย่อย ลาไสใ้ หญ่ ทวารหนกั ตับ และตบั อาหาร รวมทั้งอธบิ าย ออ่ น ซง่ึ ทาหน้าทรี่ ว่ มกนั ในการย่อย การยอ่ ยอาหารและการ และดดู ซึมสารอาหาร ดูดซึมสารอาหาร - ปาก มีฟันช่วยบดเคยี้ วอาหารใหม้ ี 5. ตระหนกั ถงึ ขนาดเล็กลงและมลี ิ้นช่วยคลกุ เคลา้ ความสาคัญของระบบ อาหารกับน้าลาย ในน้าลาย มี ยอ่ ยอาหารโดยการบอก เอนไซม์ย่อยแปง้ ใหเ้ ป็นนา้ ตาล แนวทางในการดูแล – หลอดอาหาร ทาหน้าที่ลาเลยี ง รักษาอวยั วะในระบบ อาหารจากปาก ไปยังกระเพาะ ยอ่ ยอาหารให้ทางาน อาหาร ภายในกระเพาะอาหารมี การย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ เป็นปกติ ท่สี รา้ งจากกระเพาะอาหาร - ลาไส้เลก็ มีเอนไซม์ทส่ี ร้างจากผนัง ลาไสเ้ ลก็ เองและจากตับออ่ นทช่ี ่วย ย่อยโปรตนี คาร์โบไฮเดรตและ ไขมัน โดยโปรตนี คาร์โบไฮเดรต และไขมนั ทผ่ี ่านการยอ่ ยจนเป็น สารอาหารขนาดเล็กพอทจ่ี ะ ดูดซมึ ได้ รวมถึงน้า เกลือแร่ และวิตามนิ จะถูกดดู ซมึ ท่ีผนงั ลาไสเ้ ลก็ เข้าสู่ กระแสเลือด เพื่อลาเลยี งไปยังส่วน ต่างๆ ของร่างกาย ซ่ึงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั จะถูก นาไปใชเ้ ปน็ แหล่งพลงั งานสาหรับ ใชใ้ นกิจกรรมต่างๆ ส่วนนา้ เกลือแร่ และวติ ามิน จะชว่ ยใหร้ า่ งกาย ทางานได้เปน็ ปกติ - ตบั สร้างนา้ ดแี ลว้ สง่ มายงั ลาเลก็ ชว่ ย ให้ไขมันแตกตัว - ลาไส้ใหญท่ าหนา้ ที่ดดู น้าและ เกลอื แร่ เป็นบริเวณทมี่ ีอาหารที่ ย่อยไม่ได้ หรือย่อยไมห่ มด เป็นกาก อาหาร ซ่ึงจะถูกกาจดั ออกทาง ทวารหนัก
71 รหสั ตวั ช้ีวัด ตัวชีว้ ัด สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ อ้ งถน่ิ - อวัยวะต่างๆ ในระบบยอ่ ยอาหาร มคี วามสาคญั จึงควรปฏบิ ตั ิตน ดแู ล รักษาอวัยวะให้ทางานเปน็ ปกติ สำระท่ี ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุลักษณะการ เคลอื่ นทแ่ี บบตา่ งๆ ของวตั ถุ รวมท้ังนาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ รหสั ตัวชี้วดั ตวั ชว้ี ดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ ้องถ่นิ ว2.2 ป.6/1 1. อธิบายการเกิดและ - วตั ถุ ๒ ชนดิ ที่ผา่ นการขดั ถูแลว้ - ผลของแรงไฟฟา้ ซ่ึงเกิด เมอื่ นาเขา้ ใกล้กนั อาจดึงดูดหรอื จากวัตถุท่ผี า่ นการขดั ถู ผลักกัน แรงทีเ่ กิดข้ึนน้เี ป็นแรง โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ไฟฟ้าซึ่งเปน็ แรงไมส่ มั ผสั เกดิ ขึน้ ประจกั ษ์ ระหว่างวตั ถุที่มปี ระจุไฟฟา้ ซง่ึ ประจุ ไฟฟ้ามี 2 ชนิดคือ ประจุไฟฟ้าบวก และประจุไฟฟา้ ลบ วตั ถทุ ี่มปี ระจุ ไฟฟา้ ชนิดเดียวกนั ผลกั กนั ชนดิ ตรง ขา้ มกนั ดึงดดู กัน สำระท่ี ๒ วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้อง กบั เสยี งแสง และคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหสั ตวั ชี้วดั ตวั ช้ีวดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถ่ิน ว2.3 ป.6/1 1. ระบสุ ่วนประกอบ - วงจรไฟฟา้ อย่างง่ายประกอบดว้ ย - และบรรยายหนา้ ท่ี ของ แหลง่ กาเนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และ แตล่ ะส่วนประกอบของ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าหรอื อปุ กรณ์ไฟฟา้ วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย แหลง่ กาเนิดไฟฟา้ เชน่ ถา่ นไฟฉาย จากหลกั ฐานเชงิ หรอื แบตเตอร่ี ทาหนา้ ท่ีใหพ้ ลังงาน ประจักษ์ ไฟฟา้ สายไฟฟ้าเป็นตวั นาไฟฟ้าทา ว2.3 ป.6/2 2. เขยี นแผนภาพและ หนา้ ที่เช่ือมต่อระหวา่ งแหล่งกาเนดิ - ตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย ไฟฟ้า และเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าเข้า ด้วยกนั เครื่องใช้ไฟฟา้ มีหน้าท่ี เปลี่ยนพลงั งานไฟฟ้าเป็นพลงั งาน อนื่ ว2.3 ป.6/3 3. ออกแบบการทดลอง - เมือ่ นาเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มา - และทดลองดว้ ยวิธที ่ี ต่อเรยี งกนั โดยให้ข้วั บวกของ เหมาะสมในการอธิบาย เซลลไ์ ฟฟ้าเซลลห์ นึ่งต่อกบั ขั้วลบ วิธกี ารและผลของการ ของอกี เซลล์หนง่ึ เป็นการต่อแบบ
72 รหัสตวั ช้ีวดั ตัวชีว้ ดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ ว2.3 ป.6/4 - ต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบ อนกุ รม ทาใหม้ ีพลงั งานไฟฟา้ ว2.3 ป.6/5 - ว2.3 ป.6/6 อนกุ รม เหมาะสมกับเคร่ืองใช้ ไฟฟ้า ซ่งึ การ - ว2.3 ป.6/7 4. ตระหนักถงึ ตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบอนุกรมสามารถ - ว2.3 ป.6/8 - ประโยชน์ของความรู้ นาไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน ของการต่อเซลลไ์ ฟฟ้า เช่น การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย แบบอนกุ รมโดยบอก ประโยชนแ์ ละการ ประยุกตใ์ ชใ้ น ชีวิตประจาวัน 5. ออกแบบการทดลอง - การตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรม และทดลองดว้ ยวธิ ที ่ี เม่อื ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนงึ่ เหมาะสมในการอธบิ าย ออกทาให้หลอดไฟฟ้าท่ีเหลอื ดบั การต่อหลอดไฟฟ้าแบบ ท้ังหมด สว่ นการต่อหลอดไฟฟา้ อนกุ รมและแบบขนาน แบบขนานเมื่อถอดลอดไฟฟ้าดวง 6. ตระหนกั ถงึ ใดดวงหน่งึ ออก หลอดไฟฟ้าที่เหลือ ประโยชน์ของความรู้ ก็ยังสว่างได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ ของการต่อหลอดไฟฟา้ ละแบบสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ แบบอนุกรมและแบบ ได้ เชน่ การตอ่ หลอดไฟฟ้าหลาย ขนาน โดยบอก ดวงในบา้ นจึงตอ้ งต่อหลอดไฟฟา้ ประโยชน์ ข้อจากัด แบบขนานเพื่อเลือกใช้หลอดไฟฟ้า และการประยุกต์ใช้ใน ดวงใดดวงหน่ึงไดต้ ามต้องการ ชวี ิตประจาวนั 7. อธบิ ายการเกิดเงา - เม่อื นาวัตถุทบึ แสงมากน้ั แสงจะ มดื เงามัวจากหลักฐาน เกิดเงาบนฉากรับแสงท่ีอยดู่ ้านหลัง เชิงประจกั ษ์ วตั ถุ โดยเงามีรูปรา่ งคล้ายวตั ถทุ ที่ า 8. เขียนแผนภาพรงั สี ให้เกดิ เงา เงามวั เปน็ บริเวณท่ีมแี สง ของแสงแสดงการเกิด บางส่วนตกลงบนฉาก ส่วนเงามดื เป็นบริเวณท่ีไม่มีแสงตกลงบนฉาก เงามดื เงามัว เลย สำระท่ี ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ รเู้ ทา่ ทนั และมีจรยิ ธรรม รหสั ตัวช้ีวัด ตวั ช้วี ดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถ่นิ ว4.2 ป.6/1 1. ใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ - การแกป้ ญั หาอยา่ งเปน็ ขนั้ ตอนจะ - ในการอธบิ ายและ ชว่ ยให้แกป้ ญั หาได้อย่างมี ออกแบบวิธีการ ประสิทธภิ าพ
73 รหสั ตัวช้ีวัด ตัวชวี้ ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว4.2 ป.6/2 - แกป้ ญั หาท่ีพบใน - การใช้เหตุผลเชงิ ตรรกะเปน็ การ ชีวิตประจาวนั นากฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่ ครอบคลุมทกุ กรณีมาใชพ้ จิ ารณา ในการแกป้ ัญหา - การพจิ ารณากระบวนการทางาน ทม่ี ีการทางานแบบวนซ้า หรือ เงอ่ื นไขเปน็ วิธกี ารทีจ่ ะช่วยใหก้ าร ออกแบบวิธกี ารแก้ปญั หาเปน็ ไป อย่างมีประสิทธภิ าพ - ตัวอยา่ งปัญหา เช่น การคน้ หา เลขหน้าท่ตี ้องการใหเ้ ร็วทีส่ ดุ , การ ทายเลข 1 – 1,000,000 โดย ตอบให้ถูกภายใน 20 คาถาม, การ คานวณเวลาในการเดนิ ทาง โดย คานงึ ถงึ ระยะทาง เวลาจดุ หยุดพัก 2. ออกแบบและเขยี น - การออกแบบโปรแกรมสามารถ โปรแกรมอยา่ งง่าย เพื่อ ทาไดโ้ ดยเขียนเป็นข้อความ หรอื ผงั แกป้ ญั หาใน งาน ชวี ติ ประจาวันตรวจหา - การออกแบบและเขยี นโปรแกรม ขอ้ ผิดพลาดของ ท่ีมีการใช้ตวั แปรการวนซ้า การ โปรแกรมและแก้ไข ตรวจสอบเงือ่ นไข – หากมีข้อผิดพลาดใหต้ รวจสอบ การทางาน ทีละคาส่งั เมอื่ พบจดุ ที่ ทาใหผ้ ลลัพธไ์ ม่ถูกต้อง ใหท้ ำการ แกไ้ ขจนกว่าจะไดผ้ ลลัพธท์ ่ีถูกต้อง - การฝึกตรวจหาขอ้ ผิดพลาดจาก โปรแกรมของผู้อ่ืนจะช่วยพัฒนา ทักษะการหาสาเหตขุ องปญั หาได้ดี ยิ่งขึน้ - ตัวอย่างปญั หา เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรมหาคา่ ค.ร.น เกมฝึกพิมพ์ - ซอฟตแ์ วร์ท่ีใชใ้ นการเขียน โปรแกรม เช่น Scratch, logo
74 ตวั ช้ีวัดสำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรยี นรทู้ อ้ งถิ่น ช้ันประถมศกึ ษำปที ่ี 6 ภำคเรยี นท่ี 2 สำระที่ ๒ วทิ ยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๑ เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสารการ เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี รหัสตวั ชี้วดั ตวั ช้ีวดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู อ้ งถน่ิ ว2.1 ป.6/1 1. อธิบายและ - สารผสมประกอบดว้ ยสารตั้งแต่ - เปรยี บเทียบการแยก 2 ชนิดข้ึนไปผสมกัน เชน่ นา้ มัน สารผสม โดยการหยบิ ผสมนา้ ข้าวสารปนกรวดทราย ออก การร่อน การใช้ วธิ ีการท่เี หมาะสมในการแยกสาร แมเ่ หลก็ ดึงดูด การริน ผสมขึน้ อยู่กับลักษณะและสมบตั ิ ออก การกรอง และการ ของสารท่ผี สมกันถา้ องค์ประกอบ ตกตะกอนโดยใช้ ของสารผสมเป็นของแขง็ กับ หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ของแข็งที่มีขนาดตกต่างกันอย่าง รวมทง้ั ระบุวิธีแก้ปญั หา ชดั เจนอาจใชว้ ธิ ีการหยบิ ออกหรอื ในชีวติ ประจาวนั การรอ่ นผา่ นวัสดุ ทม่ี ีรู ถา้ มีสารใด เกย่ี วกบั การแยกสาร สารหนึง่ เปน็ สารแมเ่ หลก็ อาจใชว้ ธิ ี การใชแ้ มเ่ หลก็ ดึงดดู ถา้ องค์ประกอบเป็นของแข็งท่ีไม่ ละลายในของเหลวอาจใชว้ ิธีการรนิ ออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซึ่งวิธกี ารแยกสารสามารถนาไปใช้ ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวนั ได้ สำระท่ี 3 วทิ ยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยอี วกาศ รหัสตัวชี้วดั ตวั ชวี้ ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถ่ิน ว3.1 ป.6/1 1. สร้างแบบจาลองที่ - เมื่อโลกและดวงจนั ทร์โคจรมาอยู่ - อธิบายการเกดิ และ ในแนวเสน้ ตรงเดียวกนั กบั ดวง เปรยี บเทยี บ อาทติ ยใ์ นระยะทางที่เหมาะสม ทา ปรากฏการณ์ ใหด้ วงจนั ทรบ์ งั ดวงอาทติ ย์เงาของ สรุ ิยปุ ราคา และ ดวงจนั ทรท์ อดมายังโลก ผสู้ ังเกตท่ี จันทรปุ ราคา อยบู่ ริเวณเงาจะมองเหน็ ดวง อาทติ ย์มดื ไป เกดิ ปรากฏการณ์
75 รหสั ตวั ชี้วัด ตวั ชี้วดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู ้องถน่ิ ว3.1 ป.6/2 2. อธบิ ายพัฒนาการ สุรยิ ปุ ราคา ซง่ึ มที ั้งสรุ ิยปุ ราคาเตม็ ของเทคโนโลยีอวกาศ และยกตัวอยา่ งการนา ดวงสรุ ยิ ุปราคาบางส่วน และ เทคโนโลยอี วกาศมาใช้ ประโยชน์ใน สรุ ยิ ปุ ราคาวงแหวน ชวี ติ ประจาวัน จาก ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ - หากดวงจนั ทรแ์ ละโลกโคจรมาอยู่ ในแนวเสน้ ตรงเดียวกนั กบั ดวง อาทิตย์ แล้วดวงจนั ทรเ์ คล่ือนทผี่ า่ น เงาของโลก จะมองเหน็ ดวงจันทร์ มืดไป เกิดปรากฏการณ์ จนั ทรปุ ราคาซึ่งมีทั้งจนั ทรุปราคา เตม็ ดวงและจนั ทรุปราคาบางส่วน - เทคโนโลยีอวกาศเร่ิมจากความ - ตอ้ งการของมนษุ ย์ในการสารวจ วัตถุท้องฟ้าโดยใชต้ าเปลา่ กล้อง โทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การ ขนส่งเพ่ือสารวจอวกาศด้วยจรวด และยานขนส่งอวกาศ และยังคง พฒั นาอย่างต่อเนื่อง ปจั จุบันมีการ นาเทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาวัน เชน่ การใช้ดาวเทียมเพื่อการสอื่ สาร การพยากรณ์อากาศ หรอื การ สารวจทรัพยากรธรรมชาตกิ ารใช้ อปุ กรณ์วดั ชีพจรและการเต้นของ หัวใจ หมวกนริ ภยั ชดุ กฬี า สำระท่ี 3 วทิ ยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลกและบนผวิ โลก ธรณพี บิ ตั ภิ ยั กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลกรวมท้งั ผลต่อ สงิ่ มชี ีวติ และสิง่ แวดล้อม รหัสตัวช้ีวัด ตวั ชี้วดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ อ้ งถิ่น ว3.2 ป.6/1 1. เปรียบเทยี บ - หินเปน็ วสั ดุแข็งเกิดข้ึนเองตาม - หนิ ท่พี บในท้องถิน่ กระบวนการเกดิ หิน ธรรมชาติ ประกอบ ดว้ ยแรต่ ้ังแต่ และทั่ว ๆ ไป อัคนี หนิ ตะกอน และ หน่งึ ชนิดข้นึ ไป สามารถจาแนกหิน หินแปรและอธบิ ายวัฏ ตามกระบวนการเกิดไดเ้ ป็น 3 จักรหนิ จากแบบจาลอง ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หนิ ตะกอน และหนิ แปร - หนิ อคั นีเกดิ จากการเยน็ ตวั ของ แมกมา เนอื้ หิน มลี กั ษณะเป็นผลึก
76 รหสั ตัวชี้วดั ตวั ชี้วัด สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรทู้ ้องถนิ่ ว3.2 ป.6/2 ทงั้ ผลึกขนาดใหญแ่ ละขนาดเลก็ ว3.2 ป.6/3 บางชนิดอาจเปน็ เน้ือแก้วหรือมีรู พรุน - หนิ ตะกอน เกิดจากการทบั ถม ของตะกอนเมื่อถูกแรงกดทับและมี สารเชื่อมประสานจงึ เกิดเปน็ หนิ เน้ือหินกลุ่มนีส้ ว่ นใหญ่มลี ักษณะ เป็นเม็ดตะกอน มที งั้ เน้ือหยาบและ เนือ้ ละเอยี ด บางชนิดเป็นเนื้อผลกึ ท่ยี ดึ เกาะกันเกิดจากการตกผลกึ หรอื ตกตะกอนจากน้าโดยเฉพาะนา้ ทะเลบางชนดิ มลี ักษณะเป็นชั้นๆ จงึ เรียกอีกช่อื ว่าหนิ ชน้ั - หนิ แปร เกิดจากการแปรสภาพ ของหินเดิมซ่ึงอาจเปน็ หนิ อัคนี หนิ ตะกอนหรอื หินแปร โดยการกระทา ของความร้อนความดนั และ ปฏิกิริยาเคมีเน้ือหินของหนิ แปร บางชนดิ ผลึกของแร่เรยี งตวั ขนาน กนั เปน็ แถบ บางชนดิ แซะออกเปน็ แผ่นได้บางชนดิ เป็นเนื้อผลกึ ทมี่ ี ความแข็งมาก - หนิ ในธรรมชาตทิ ั้งประเภท มกี าร เปลย่ี นแปลงจากประเภทหน่งึ ไป เปน็ อีกประเภทหนึ่ง หรือประเภท เดมิ ได้โดยมีแบบรูปการณ์ เปล่ียนแปลงคงท่ีและต่อเนอื่ ง เปน็ วฏั จกั ร 2. บรรยายและ - หนิ และแรแ่ ต่ละชนดิ มีลักษณะ - หนิ และแรท่ มี่ ใี น ยกตวั อยา่ งการใช้ และสมบัตแิ ตกต่างกนั มนษุ ย์ใช้ ทอ้ งถน่ิ และในจงั หวดั ประโยชน์ของหนิ และ ประโยชนจ์ ากแรใ่ นชีวิตประจาวนั แร่ในชวี ติ ประจาวนั จาก ในลักษณะต่างๆ เชน่ นาแรม่ าทา ขอ้ มูล ทร่ี วบรวมได้ เครอื่ งสาอาง ยาสฟี นั เครอื่ งประดับ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และนาหิน มาใช้ในงานก่อสรา้ งต่างๆ เป็นตน้ 3. สร้างแบบจาลองที่ - ซากดึกดาบรรพเ์ กิดจากการทับถม - ซากดกึ ดาบรรพ์ท่ีมีใน อธิบายการเกิด ซากดึก หรอื การประทับรอยของส่ิงมชี วี ติ ใน ท้องถ่นิ และสถานท่ี ดาบรรพ์และคาดคะเน อดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของซาก ตา่ งๆ ในจงั หวัด
77 รหัสตัวชี้วดั ตวั ช้วี ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนร้ทู อ้ งถน่ิ ว3.2 ป.6/4 สภาพแวดล้อมในอดตี หรือร่องรอยของส่ิงมีชีวติ ทป่ี รากฏ ว3.2 ป.6/5 ของซากดึกดาบรรพ์ อยใู่ นหนิ ในประเทศไทยพบซากดึก ดาบรรพ์ ท่ีหลากหลาย เชน่ พืช ปะการงั หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตีนสัตว์ - ซากดึกดาบรรพ์สามารถใช้เปน็ หลักฐานหนึง่ ท่ชี ว่ ยอธบิ าย สภาพแวดล้อมของพนื้ ที่ในอดีต ขณะเกิดสงิ่ มชี ีวิตน้นั เช่น หากพบ ซากดกึ ดาบรรพ์ของ หอยน้าจืด ภาพแวดลอ้ มบริเวณนัน้ อาจเคย เป็นแหล่งน้าจืดมากอ่ น และหาก พบซากดกึ ดาบรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อมบรเิ วณน้นั อาจเคย เป็นป่ามาก่อน นอกจากนี้ซากดึก ดาบรรพย์ งั สามารถใช้ระบุอายขุ อง หนิ และเปน็ ข้อมูลในการศกึ ษา ววิ ัฒนาการของสิง่ มชี วี ิต 4. เปรียบเทียบการเกิด - ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิด ลมบก ลมทะเล และ จากพนื้ ดนิ และ พน้ื น้าร้อนและเยน็ มรสมุ รวมทงั้ อธิบายผล ไมเ่ ท่ากนั ทาใหอ้ ุณหภูมอิ ากาศ ทีม่ ตี อ่ สิง่ มชี ีวิตและ เหนือพ้ืนดินและพ้ืนน้าแตกต่างกนั สง่ิ แวดลอ้ ม จาก จึงเกดิ การเคลอ่ื นทขี่ องอากาศจาก แบบจาลอง บริเวณท่มี อี ุณหภมู ิต่าไปยังบริเวณ ทมี่ ีอุณหภมู ิสงู - ลมบกและลมทะเลเปน็ ลมประจา ถ่ินทีพ่ บบริเวณชายฝง่ั โดยลมบก เกดิ ในเวลากลางคนื ทาใหม้ ลี มพัด จากชายฝั่งไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเล เกดิ ในเวลากลางวนั ทาให้มีลมพดั จากทะเลเข้าสูช่ ายฝัง่ 5. อธิบายผลของมรสมุ - มรสุมเปน็ ลมประจาฤดูเกิดบริเวณ ตอ่ การเกดิ ฤดูของ เขตร้อนของโลก ซ่ึงเปน็ บรเิ วณ ประเทศไทย จากข้อมลู กว้างระดับภูมภิ าค ประเทศไทย ทรี่ วบรวมได้ ไดร้ ับผลจากมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี ง เหนือในช่วงประมาณกลางเดือน ตลุ าคมจนถงึ เดอื นกุมภาพนั ธ์ทาให้ เกิดฤดูหนาวและได้รบั ผลจากมรสมุ
78 รหัสตวั ช้ีวัด ตัวชวี้ ัด สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู อ้ งถน่ิ ว3.2 ป.6/6 ตะวันตกเฉยี งใตใ้ นชว่ งประมาณ ว3.2 ป.6/7 ว3.2 ป.6/8 กลางเดอื นพฤษภาคมจนถงึ ว3.2 ป.6/9 กลางเดือนตุลาคมทาให้เกิดฤดฝู น สว่ นช่วงประมาณกลางเดือน กุมภาพนั ธ์จนถึงกลางเดือน พฤษภาคมเป็นช่วงเปลยี่ นมรสมุ และประเทศไทยอยู่ใกล้เสน้ ศูนย์ สตู รแสงอาทิตยเ์ กือบตั้งตรงและตัง้ ตรงประเทศไทย ในเวลาเท่ียงวันทา ใหไ้ ด้รบั ความร้อนจากดวงอาทติ ย์ อยา่ งเต็มท่อี ากาศจึงร้อนอบอ้าวทา ใหเ้ กดิ ฤดูร้อน 6. บรรยายลักษณะ - นา้ ทว่ ม การกดั เซาะชายฝัง่ ดนิ - ภัยธรรมชาติและธรณี และผลกระทบของ น้า ถลม่ แผ่นดินไหว และ สนึ ามิ มี พิบัติภยั ที่อาจเกดิ ใน ท่วม การกัดเซาะ ผลกระทบต่อชวี ิตและสิ่งแวดล้อม ท้องถิน่ หรอื จังหวดั ชายฝัง่ ดนิ ถล่ม แตกตา่ งกัน ใกล้เคียง แผ่นดนิ ไหว สนึ ามิ - มนุษย์ควรเรยี นรู้วิธปี ฏบิ ตั ติ นให้ 7. ตระหนกั ถึง ปลอดภัย เช่น ติดตามขา่ วสารอย่าง ผลกระทบของภัย สม่าเสมอ เตรยี มถงุ ยังชีพให้พร้อม ธรรมชาติและธรณีพิบัติ ใชต้ ลอดเวลาและปฏบิ ัตติ ามคาส่งั ภยั โดยนาเสนอ ของผ้ปู กครองและเจ้าหน้าท่ีอยา่ ง แนวทางในการเฝ้าระวัง เครง่ ครดั เม่ือเกิดภัยทางธรรมชาติ และธรณพี ิบตั ิภยั และปฏิบัติตนให้ ปลอดภัยจากภยั ธรรมชาติและธรณพี ิบตั ิ ภยั ที่อาจเกิดในท้องถิ่น 8. สร้างแบบจาลองท่ี - ปรากฏการณเ์ รือนกระจกเกิดจาก - สภาพหรือเหตูการณ์ อธิบายการเกิด แก๊สเรือนกระจกในชนั้ บรรยากาศ ในท้องถนิ่ ที่เกิดจากผล ปรากฏการณ์เรือน ของโลก กักเกบ็ ความร้อนแล้วคาย ผลกระทบของ กระจกและผลของ ความรอ้ นบางสว่ นกลบั สผู่ ิวโลก ทา ปรากฏการณเ์ รือน ปรากฏการณ์เรือน ใหอ้ ากาศบนโลกมีอุณหภูมิเหมะสม กระจก กระจกต่อส่ิงมชี วี ิต ตอ่ การดารงชวี ิต 9. ตระหนักถึง - หากปรากฏการณเ์ รือนกระจก ผลกระทบของ รนุ แรงมากข้ึน จะมีผลต่อการ ปรากฏการณเ์ รือน เปลย่ี นแปลงภูมิอากาศโลก มนุษย์ กระจกโดยนาเสนอแนว จึงควรรว่ มกันลดกิจกรรมที่ ทางการปฏิบัติตนเพ่ือ กอ่ ให้เกิดแก๊สเรือนกระจก
79 รหัสตัวชี้วดั ตวั ชี้วดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ ลดกจิ กรรมท่ีก่อให้เกิด แกส๊ เรือนกระจก สำระที่ ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ รูเ้ ทา่ ทัน และมจี รยิ ธรรม รหสั ตวั ช้ีวัด ตวั ชวี้ ดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถนิ่ ว4.2 ป.6/2 2. ออกแบบและเขียน - การออกแบบโปรแกรมสามารถ - โปรแกรมอย่างง่าย เพ่ือ ทาไดโ้ ดยเขียนเป็นข้อความ หรอื ผัง แกป้ ญั หาใน งาน ชวี ิตประจาวันตรวจหา - การออกแบบและเขียนโปรแกรม ขอ้ ผิดพลาดของ ที่มีการใชต้ ัวแปร การวนซ้า การ โปรแกรมและแก้ไข ตรวจสอบเง่อื นไข – หากมีข้อผดิ พลาดให้ตรวจสอบ การทางาน ทีละคาสัง่ เมือ่ พบจุดที่ ทาใหผ้ ลลัพธ์ไม่ถกู ต้อง ใหท้ ำการ แกไ้ ขจนกว่าจะไดผ้ ลลัพธท์ ่ีถูกตอ้ ง - การฝกึ ตรวจหาข้อผดิ พลาดจาก โปรแกรมของผอู้ ่ืนจะช่วยพัฒนา ทักษะการหาสาเหตุของปญั หาได้ดี ยงิ่ ขึน้ - ตัวอยา่ งปญั หา เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรมหาค่า ค.ร.น เกมฝึกพมิ พ์ - ซอฟต์แวร์ที่ใชใ้ นการเขียน โปรแกรม เช่น Scratch, logo ว4.2 ป.6/3 3. ใชอ้ นิ เทอร์เนต็ ใน - การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ - การคน้ หาข้อมูลอย่างมี เปน็ การคน้ หาข้อมูลท่ีไดต้ รงตาม ประสทิ ธิภาพ ความต้องการในเวลาทีร่ วดเร็วจาก แหล่งข้อมูลทน่ี า่ เช่อื ถือหลายแหลง่ และข้อมูล มีความสอดคล้องกนั – การใช้เทคนิคการคน้ หาขั้นสูง เชน่ การใช้ ตวั ดาเนนิ การ การระบุ รูปแบบของข้อมูล หรือชนดิ ของ ไฟล์ - การจัดลาดบั ผลลัพธจ์ ากกาค้นหา ของโปรแกรมคน้ หา - การเรียบเรียง สรุปสาระสาคญั
80 รหัสตัวช้ีวดั ตวั ชี้วดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว4.2 ป.6/4 - 4. ใช้เทคโนโลยี - อันตรายจากการใช้งานและ สารสนเทศทางาน อาชญากรรม ทางอนิ เทอร์เน็ต รว่ มกันอย่างปลอดภยั แนวทางในการป้องกนั เขา้ ใจสิทธแิ ละหน้าท่ี - วิธกี าหนดรหัสผา่ น ของตน เคารพในสิทธิ - การกาหนดสทิ ธิ์การใชง้ าน (สิทธิ์ ของผู้อน่ื แจง้ ในการเขา้ ถึง) ผู้เกย่ี วขอ้ งเมื่อพบข้อมูล - แนวทางการตรวจสอบและ หรอื บคุ คลที่ไม่ ปอ้ งกันมลั แวร์ เหมาะสม – อันตรายจากการติดตัง้ ซอฟต์แวร์ ทอ่ี ยู่บนอนิ เทอร์เนต็
81 ตัวช้วี ัดสำระกำรเรียนรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรยี นรู้ท้องถิน่ ชน้ั มธั ยมศกึ ษำปที ่ี 1 ภำคเรียนท่ี 1 สำระที่ ๑ วทิ ยำศำสตรช์ วี ภำพ มำตรฐำน ว๑.๒ เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางานสัมพันธ์กันความสัมพันธ์ ของโครงสร้าง และหนา้ ทขี่ องอวัยวะตา่ งๆ ของพืชท่ีทางานสัมพนั ธก์ นั รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ รหัสตวั ชี้วัด ตัวชวี้ ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่ิน ว1.2 ม.1/1 ๑. เปรียบเทยี บรูปร่าง - เซลล์เป็นหนว่ ยพ้นื ฐานของ -ศูนย์การเรียนรู้ ลกั ษณะและโครงสรา้ ง ส่งิ มชี ีวิต สง่ิ มชี วี ิตบางชนิดมเี ซลล์ การเกษตร ของเซลล์พชื และเซลล์ เพียงเซลลเ์ ดยี ว เชน่ อะมีบา พารา -สวนสมนุ ไพร สตั ว์รวมทงั้ บรรยาย มเี ซียม ยีสต์ บางชนดิ มีหลายเซลล์ -ป่าชมุ ชน หนา้ ที่ ของผนงั เซลล์ เช่น พชื สตั ว์ -สระน้า/แหลง่ น้าใน เยือ่ หุม้ เซลลไ์ ซโทพลา - โครงสร้างพ้นื ฐานที่พบทัง้ ในเซลล์ ชุมชน ซมึ นิวเคลียส แวคิวโอล พืชและเซลล์สัตว์ และสามารถ ไมโทคอนเดรีย และ สังเกตไดด้ ้วยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สง คลอโรพลาสต์ ไดแ้ ก่ เย่ือหุม้ เซลล์ ไซโทพลาซึม ว1.2 ม.1/2 ๒. ใช้กลอ้ งจุลทรรศน์ใช้ และนิวเคลียสโครงสรา้ งที่พบใน แสงศกึ ษาเซลล์ และ เซลลพ์ ชื แต่ไม่พบในเซลลส์ ัตว์ โครงสร้างต่างๆ ภายใน ได้แก่ ผนังเซลลแ์ ละคลอโรพลาสต์ เซลล์ - โครงสร้างต่างๆ ของเซลล์มีหน้าท่ี แตกตา่ งกนั - ผนงั เซลล์ ทาหน้าทใ่ี ห้ความ แข็งแรงแก่เซลล์ - เยื่อหมุ้ เซลล์ ทาหน้าทีห่ ่อหุ้มเซลล์ และควบคุมการลาเลยี งสารเข้าและ ออกจากเซลล์ - นิวเคลยี ส ทาหนา้ ทีค่ วบคุมการ ทางานของเซลล์ - ไซโทพลาซึม มีออรแ์ กเนลล ทที่ า หน้าทแี่ ตกต่างกนั แวคิวโอล ทา หนา้ ที่เก็บน้าและสารต่างๆ - ไมโทคอนเดรยี ทาหนา้ ทเ่ี กี่ยวกับ การสลายสารอาหารเพื่อให้ได้ พลังงานแก่เซลล์ - คลอโรพลาสต์ เปน็ แหลง่ ทเ่ี กดิ การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
82 รหสั ตวั ชี้วัด ตวั ชวี้ ดั สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นรทู้ อ้ งถิ่น ว1.2 ม.1/3 ๓. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ - เซลล์ของสิ่งมีชีวติ มีรปู รา่ ง ว1.2 ม.1/4 ว1.2 ม.1/5 ระหว่างรปู ร่างกับการ ลกั ษณะทห่ี ลากหลาย และมีความ ว1.2 ม.1/6 ทาหน้าทขี่ องเซลล์ เหมาะสมกับหน้าท่ีของเซลลน์ น้ั เช่นเซลลป์ ระสาทสว่ นใหญ่ มีเสน้ ใย ประสาทเป็น แขนงยาวนากระแส ประสาทไปยังเซลล์อน่ื ๆ ท่ี อยไู่ กล ออกไป เซลล์ขนรากเปน็ เซลลผ์ ิวของราก ที่ มผี นังเซลล์และเย่ือหมุ้ เซลลย์ ื่นยาว ออกมาลักษณะคล้ายขนเส้นเลก็ ๆ เพอ่ื เพ่มิ พื้นท่ีผิวใน การดูดน้าและ ธาตุอาหาร 4. อธบิ ายการจดั ระบบ - พืชและสตั วเ์ ป็นสิง่ มีชวี ิตหลาย ของสิง่ มีชวี ิต โดยเริ่ม เซลล์มกี ารจัด ระบบโดยเริ่มจาก จากเซลล์ เนือ้ เยื่อ เซลล์ไปเปน็ เนื้อเย่ืออวัยวะระบบ อวัยวะ ระบบอวัยวะ อวยั วะและ สิ่งมชี วี ตี ิตามลาดับ จนเป็นสง่ิ มีชวี ติ เซลลห์ ลายเซลลม์ ารวมกันเป็น เน้ือเยือ่ เนื้อเย่ือหลายชนิดมา รวมกนั และทางานรว่ มกนั เป็น อวัยวะ อวยั วะตา่ งๆ ทางานร่วมกัน เปน็ ระบบอวัยวะ ระบบอวยั วะ ทุก ระบบทางานรว่ มกันเป็นสง่ิ มีชีวติ ๕. อธิบายกระบวนการ - เซลล์มีการนาสารเขา้ สูเ่ ซลล์ เพอื่ -วัสดุ อุปกรณก์ าร แพร่และออสโมซิสจาก ใช้ในกระบวนการต่างๆ ของเซลล์ ทดลองท่ีอยใู่ น หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ และมกี ารขจดั สารบางอย่าง ท่เี ซลล์ ชวี ิตประจาวนั เช่น ไข่ และยกตัวอยา่ งการแพร่ ไม่ต้องการออกนอกเซลลก์ ารนา ไก่ ไข่เป็ด เป็นต้น และออสโมซิสใน สารเขา้ และออกจากเซลล์มหี ลาย ชวี ิตประจาวนั วธิ ี เชน่ การแพร่ เป็นการเคล่ือนท่ี ของสารจากบรเิ วณท่ีมีความเขม้ ขั้น ของสารสงู ไปสบู่ ริเวณที่มีความ เขม้ ข้นของสารต่า สว่ นออสโมซสิ เปน็ การแพร่ของน้า ผ่านเย่ือหุ้ม เซลล์ จากด้านท่มี ีความเข้มข้นของ สารละลายต่าไปยังด้านทม่ี ีความ เขม้ ข้นของ สารละลายสูงกวา่ ๖. ระบปุ จั จัยทจ่ี าเป็น - กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง -ใบพชื ที่มีในบริเวณ ในการสงั เคราะหด์ ้วย ของพืชท่ีเกิดข้นึ ในคลอโรพลาสต์ โรงเรียนและชมุ ชน เชน่ แสงและผลผลิตท่ี จาเป็นตอ้ งใช้คาร์บอนไดออกไซด์
83 รหัสตวั ชี้วดั ตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู อ้ งถ่นิ เกิดข้ึนจากการ คลอโรฟลิ ล์ และนา้ ผลผลติ ที่ได้ ชบาดา่ ง และใบพชื สังเคราะห์ดว้ ยแสงโดย จาก การสังเคราะห์ดว้ ยแสง ไดแ้ ก่ ต่างๆ ที่มสี เี ขียว ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ น้าตาลและแก๊สออกซิเจน ว1.2 ม.1/7 ๗. อธิบายความสาคญั - การสังเคราะห์ดว้ ยแสงเป็น ของการสังเคราะหด์ ว้ ย กระบวนการทีส่ าคญั ต่อส่งิ มชี ีวิต แสงของพชื ต่อส่ิงมีชวี ติ เพราะเปน็ กระบวนการเดียว ท่ี และส่งิ แวดล้อม สามารถนาพลงั งานแสงมา ว1.2 ม.1/8 ๘. ตระหนักในคุณค่า เปลี่ยนเป็นพลังงาน ในรูป ของพชื ทม่ี ตี ่อส่งิ มชี ีวติ สารประกอบอินทรีย์ และเก็บสะสม และส่ิงแวดลอ้ ม โดย ในรูปแบบตา่ งๆ ในโครงสร้างของ การร่วมกนั ปลกู และ พืชพืชจึงเปน็ แหลง่ อาหารและ ดแู ลรักษาตน้ ไม้ใน พลงั งานท่สี าคญั ของสิง่ มชี วี ติ อน่ื โรงเรียนและชุมชน นอกจากนกี้ ระบวนการสงั เคราะห์ ดว้ ยแสงยงั เปน็ กระบวนการหลกั ใน การสร้างแกส๊ ออกซเิ จนให้กบั บรรยากาศเพื่อให้ส่งิ มชี วี ติ อืน่ ใชใ้ น กระบวนการหายใจ ว1.2 ม.1/9 ๙. บรรยายลักษณะ - พชื มไี ซเลม็ และโฟลเอ็ม ซ่งึ เป็น -พชื ทม่ี อี ยู่ในท้องถน่ิ และหน้าท่ขี องไซเล็ม เน้ือเยอื่ มีลกั ษณะคล้ายท่อเรียงตวั เชน่ ผักกระสงั ต้นเทยี น และโฟลเอ็ม กันเปน็ กลุ่มเฉพาะทโ่ี ดยไซเล็มทา หรอื พืชท่มี ลี าต้น ว1.2 ม.1/10 ๑๐. เขยี นแผนภาพท่ี หนา้ ที่ลาเลยี งนา้ และธาตุอาหาร มี ลักษณะใส บรรยายทิศทางการ ทิศทางลาเลยี งจากรากไปสู่ลาตน้ ลาเลียงสารในไซเล็ม ใบและ ส่วนต่างๆ ของพชื เพ่ือใช้ และโฟลเอ็มของพืช ในการสังเคราะห์ดว้ ยแสง รวมถึง กระบวนการอน่ื ๆ ส่วนโฟลเอ็มทา หน้าทีล่ าเลยี งอาหารทีไ่ ดจ้ ากการ สังเคราะหด์ ว้ ยแสง มีทิศทาง ลาเลยี งจากบริเวณท่มี ีการ สงั เคราะห์ดว้ ย แสงไปสู่ส่วนต่างๆ ของพชื ว1.2 ม.1/11 ๑๑. อธบิ ายการสบื พนั ธ์ุ - พืชดอกทุกชนิดสามารถสบื พนั ธุ์ -พืชดอกในชมุ ชน แบบอาศัยเพศและไม่ แบบอาศยั เพศได้ และบางชนิด อาศยั เพศของพชื ดอก สามารถสืบพันธ์แุ บบไม่อาศยั เพศได้ ว1.2 ม.1/12 ๑๒. อธบิ ายลักษณะ - การสบื พันธ์ุแบบอาศัยเพศเป็น โครงสร้างของดอกทีม่ ี การสบื พันธ์ุท่ีมีการ ผสมกันของ ส่วนทาให้เกิดการถ่าย สเปริ ์มกบั เซลลไ์ ข่การสบื พันธ์ุแบบ เรณูรวมท้งั บรรยายการ อาศยั เพศของพืชดอกเกิดขน้ึ ที่ดอก ปฏิสนธขิ องพชื ดอก โดยภายในอบั เรณูของสว่ นเกสร
84 รหสั ตัวชี้วัด ตวั ชว้ี ดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถิ่น การเกิดผลและเมลด็ เพศผู้มีเรณู ซง่ึ ทาหน้าท่สี ร้าง สเปริ ์ม ภายในออวลุ ของสว่ นเกสร การกระจายเมลด็ และ เพศเมยี มถี งุ เอ็มบริโอทาหน้าท่ี สร้างเซลลไ์ ข่ การงอกของเมลด็ - การสบื พนั ธแุ์ บบไม่อาศัยเพศเป็น การสืบพันธทุ์ ่ีพืชต้นใหม่ไมไ่ ด้เกิด ว1.2 ม.1/13 ๑๓. ตระหนกั ถึง จากการปฏสิ นธริ ะหว่างสเปริ ์ม กบั เซลลไ์ ขแ่ ตเ่ กดิ จากสว่ นต่างๆ ของ ความสาคญั ของสตั ว์ที่ การสบื พนั ธุแ์ บบไม่อาศยั เพศเป็น ไม่ได้เกิดจากการปฏิสนธิระหวา่ ง ชว่ ยในการ ถ่ายเรณู สเปริ ์มกบั เซลลไ์ ข่ แตเ่ กิดจากส่วน ต่างๆ ของพืชเช่น ราก ลาต้น ใบ มี ของพชื ดอก โดยการไม่ การเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาข้ึนมา เป็นต้นใหม่ได้ ทาลายชีวติ ของสัตว์ท่ี - การถา่ ยเรณู คือ การเคล่อื นยา้ ย ของเรณูจากอับเรณูไปยังยอดเกสร ช่วยในการถา่ ยเรณู เพศเมีย ซ่ึงเก่ียวข้องกับลักษณะ และโครงสรา้ งของดอก เชน่ สขี อง กลบี ดอก ตาแหนง่ ของเกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี โดยมีสงิ่ ทีช่ ่วยใน การถ่ายเรณู เชน่ แมลง ลม - การถ่ายเรณจู ะนาไปสู่การปฏิสนธิ ซงึ่ จะเกิดขน้ึ ท่ี ถุงเอ็มบริโอภายใน ออวุลหลงั การปฏิสนธิจะไดไ้ ซโกต และเอนโดสเปิร์มไซโกตจะพัฒนา ต่อไป เปน็ เอม็ บรโิ อ ออวุลพัฒนา ไปเป็นเมล็ดและรังไข่ พัฒนาไปเปน็ ผล - ผลและเมล็ดมีการกระจายออก จากต้นเดมิ โดยวธิ กี ารต่างๆ เม่ือ เมลด็ ไปตกในสภาพแวดล้อมท่ี เหมาะสมจะเกดิ การงอกของเมลด็ โดยเอม็ บริโอ ภายในเมล็ดจะเจรญิ ออกมา โดยระยะแรก จะอาศัย อาหารท่สี ะสมภายในเมล็ด จนกระทั่ง ใบแท้พฒั นาจนสามารถ สังเคราะหด์ ว้ ยแสงได้ เต็มที่ และ สร้างอาหารได้เองตามปกติ
85 รหสั ตัวชี้วดั ตวั ช้วี ดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถิ่น ว1.2 ม.1/14 ๑๔. อธบิ าย - พชื ต้องการธาตุอาหารทจี่ าเป็น - ความสาคัญของธาตุ หลายชนิดในการเจรญิ เตบิ โตและ อาหารบางชนิดที่มีผล การดารงชวี ติ ต่อการเจรญิ เตบิ โตและ - พชื ต้องการธาตุอาหารบางชนิดใน การดารงชวี ติ ของพืช ปริมาณมาก ได้แก่ไนโตรเจน ว1.2 ม.1/15 ๑๕. เลือกใช้ปุย๋ ท่มี ีธาตุ ฟอสฟอรสั โพแทสเซยี ม แคลเซยี ม อาหารเหมาะสมกับพืช แมกนีเซียม และกามะถัน ซงึ่ อาจไม่ ในสถานการณ์ท่ีกาหนด เพียงพอสาหรับการเจริญเตบิ โต ของพืช จงึ ต้องมกี ารให้ ธาตอุ าหาร ในรปู ของปุ๋ยกบั พืชอย่างเหมาะสม ว1.2 ม.1/16 ๑๖. เลือกวิธีการ - มนุษย์สามารถนาความรู้เรือ่ งการ -การขยายพันธุ์พชื โดย ขยายพนั ธ์พุ ืชให้ สบื พันธุ์แบบอาศยั เพศและไม่อาศยั ใช้พืชในโรงเรยี นและ เหมาะสมกบั ความ เพศ มาใช้ในการขยายพันธุ์เพ่ือเพิ่ม ชมุ ชน ตอ้ งการของมนษุ ย์ โดย จานวนพชื เช่น การใชเ้ มล็ดที่ได้ ใช้ความรเู้ กี่ยวกบั การ จากการสืบพนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศมา สบื พันธุข์ องพืช เพาะเล้ยี ง วธิ ีการนจี้ ะได้พืชใน ว1.2 ม.1/17 ๑๗. อธิบาย ปริมาณมาก แต่อาจมลี ักษณะ ท่ี - ความสาคัญของ แตกต่างไปจากพ่อแม่ สว่ นการตอน เทคโนโลยกี าร กง่ิ การปักชา การต่อกิง่ การติดตา เพาะเลี้ยงเนอ้ื เยื่อพชื ใน การทาบกง่ิ การเพาะเลยี้ งเน้ือเยอื่ การใช้ประโยชน์ ด้าน เปน็ การนาความรูเ้ รื่องการสืบพันธุ์ ต่าง ๆ แบบ ไม่อาศยั เพศของพชื มาใชใ้ น การขยายพนั ธเุ์ พื่อให้ได้พืชท่ีมี ว 1.2 ม. ๑๘. ตระหนักถึง - 1/18 ประโยชนข์ องการ ลกั ษณะเหมือนต้นเดมิ ซึ่งการ ขยายพันธพ์ุ ืชโดยการ ขยายพันธุ์ แตล่ ะวิธี มขี นั้ ตอน นาความรไู้ ปใชใ้ น แตกตา่ งกัน จงึ ควรเลอื กให้ เหมาะสมกบั ความต้องการของ ชวี ติ ประจาวัน มนุษย์ โดยต้องคานึงถึงชนิดของพชื และลักษณะการสบื พันธ์ุ ของพืช สาระสาคญั ในพชื และอ่ืน ๆ สำระท่ี ๒ วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสารการ เกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี รหสั ตวั ชี้วดั ตัวชีว้ ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู ้องถ่ิน ว2.1 ม.1/1 ๑. อธบิ ายสมบัตทิ าง - ธาตแุ ต่ละชนิดมีสมบัตเิ ฉพาะตวั - กายภาพบางประการ และมีสมบัติทางกายภาพบาง
86 รหสั ตัวช้ีวัด ตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ของธาตโุ ลหะ อโลหะ ประการเหมือนกนั และ บาง - ว 2.1 ม.1/2 และกึง่ โลหะ โดยใช้ ประการตา่ งกัน ซึง่ สามารถนามา - ว2.1 ม.1/3 หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ท่ี จัดกลมุ่ ธาตุ เปน็ โลหะ อโลหะ และ ว2.1 ม.1/4 ได้จากการสงั เกตและ กึง่ โลหะ ธาตุโลหะมจี ดุ เดือดจุด การทดสอบและใช้ หลอมเหลวสูง มีผวิ มนั วาว นาความ สารสนเทศท่ีได้จาก รอ้ น นาไฟฟ้าดึงเป็นเส้นหรือตี เป็น แหล่งขอ้ มูลตา่ งๆ แผ่นบาง ๆ ได้ และมคี วามหนา รวมทงั้ จดั กลมุ่ ธาตเุ ปน็ แนน่ ท้ังสงู และตา่ ธาตุอโลหะ มจี ุด โลหะ อโลหะและก่ึง เดอื ด จดุ หลอมเหลวต่า มผี วิ ไมม่ นั โลหะ วาว ไมน่ าความรอ้ น ไม่นาไฟฟ้า เปราะ แตกหักง่ายและมีความหนา ๒. วิเคราะห์ผลจากการ แนน่ ต่า ธาตกุ งึ่ โลหะมีสมบัติบาง ใช้ธาตุโลหะ อโลหะ ก่งึ ประการเหมือนโลหะและสมบตั บิ าง โลหะ และธาตุ ประการเหมือนอโลหะ กัมมันตรงั สี ท่ีมีต่อ - ธาตุโลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ ท่ี ส่งิ มีชวี ติ สิ่งแวดล้อม สามารถแผ่รังสไี ดจ้ ัดเปน็ ธาตุ เศรษฐกจิ และสังคมจาก กมั มนั ตรงั สี ขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ - ธาตุมที ้ังประโยชนแ์ ละโทษ การ ๓. ตระหนักถงึ คุณคา่ ใชธ้ าตุโลหะอโลหะ กึง่ โลหะ ธาตุ ของการใช้ธาตุโลหะ กมั มนั ตรังสี ควรคานงึ ถึงผลกระทบ อโลหะ กงึ่ โลหะ ธาตุ ตอ่ สิง่ มีชีวิตส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจ กัมมนั ตรงั สี โดยเสนอ และสงั คม แนวทาง การใชธ้ าตุ อย่างปลอดภยั คุม้ ค่า - สารบรสิ ทุ ธิ์ประกอบดว้ ยสารเพยี ง ๔. เปรยี บเทยี บจุดเดือด ชนิดเดียวส่วนสารผสม จุดหลอมเหลวของสาร ประกอบด้วยสารตั้งแต่ ๒ ชนิดข้ึน บริสทุ ธิ์ และสารผสม ไป สารบริสุทธ์แิ ตล่ ะชนดิ มสี มบตั ิ โดยการวัดอุณหภูมิ บางประการทีเ่ ป็นค่าเฉพาะตัว เชน่ เขียน จุดเดอื ดและ จุดหลอมเหลวคงที่ กราฟ แปลความหมาย แตส่ ารผสมมจี ดุ เดอื ดและจุด ข้อมลู จากกราฟหรือ หลอมเหลวไม่คงที่ขน้ึ อยู่กับชนิด สารสนเทศ และ สดั ส่วนของสารที่ผสมอยู่ ด้วยกนั
87 รหสั ตวั ชี้วดั ตวั ช้ีวดั สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรูท้ ้องถน่ิ ว2.1 ม.1/5 ๕. อธบิ ายและ ว2.1 ม.1/6 เปรยี บเทียบความหนา - สารบรสิ ุทธแ์ิ ต่ละชนิดมคี วามหนา - ว2.1 ม.1/7 แนน่ ของสารบรสิ ุทธ์ิ และสารผสม แนน่ หรือมวลตอ่ หน่ึงหน่วย ว2.1 ม.1/8 ๖. ใชเ้ ครือ่ งมือเพ่ือวัด มวลและปรมิ าตรของ ปริมาตรคงที่ เปน็ คา่ เฉพาะของสาร สารบรสิ ุทธ์แิ ละสาร ผสม นั้น ณ สถานะและอุณหภูมิหนงึ่ แต่ ๗. อธบิ ายเกี่ยวกบั ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง สารผสมมีความหนาแน่นไมค่ งที่ - อะตอม ธาตุ และ สารประกอบ โดยใช้ ขน้ึ อยกู่ ับชนิด และสัดสว่ นของสาร แบบจาลอง และ สารสนเทศ ทผ่ี สมอยู่ดว้ ยกัน ๘. อธิบายโครงสร้าง - สารบรสิ ทุ ธแ์ิ บ่งออกเปน็ ธาตแุ ละ - อะตอมท่ีประกอบด้วย โปรตอน นิวตรอนและ สารประกอบธาตปุ ระกอบดว้ ย อิเลก็ ตรอน โดยใช้ แบบจาลอง อนภุ าคท่ีเลก็ ท่ีสุดท่ียังแสดง สมบัติ ของธาตุนนั้ เรยี กว่า อะตอม ธาตุแต่ ละชนิด ประกอบด้วยอะตอมเพยี ง ชนิดเดียวและไม่ สามารถ แยกสลายเปน็ สารอ่ืนไดด้ ว้ ยวธิ ที าง เคมี ธาตุเขยี นแทนด้วยสัญลักษณ์ ธาตุสารประกอบเกดิ จากอะตอม ของธาตตุ งั้ แต่ ๒ ชนดิ ข้นึ ไปรวมตวั กันทางเคมใี นอตั ราสว่ นคงที่มี สมบตั ิแตกต่างจากธาตุทเ่ี ปน็ องค์ประกอบสามารถแยกเป็นธาตุ ไดด้ ้วยวิธีทางเคมี ธาตแุ ละ สารประกอบสามารถเขยี นแทนได้ ดว้ ยสูตรเคมี - อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน -ตัวอย่างองค์ประกอบ นวิ ตรอน และอิเล็กตรอน โปรตอน ของสารใน มีประจไุ ฟฟา้ บวก ธาตุชนิดเดียวกัน ชีวิตประจาวัน มีจานวนโปรตอนเท่ากนั และเปน็ ค่า เฉพาะของธาตุนน้ั นวิ ตรอนเปน็ กลางทางไฟฟ้าสว่ นอเิ ล็กตรอนมี ประจไุ ฟฟา้ ลบ เมื่ออะตอมมีจานวน โปรตอนเท่ากบั จานวนอเิ ล็กตรอน จะเป็นกลางทางไฟฟ้า โปรตอน และนวิ ตรอนรวมกนั ตรงกลาง อะตอมเรียกว่า นวิ เคลยี ส ส่วน อิเล็กตรอนเคล่อื นที่อยู่ในทว่ี ่างรอบ นวิ เคลียส
88 รหัสตวั ช้ีวัด ตวั ชวี้ ัด สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถน่ิ ว2.1 ม.1/9 ๙. อธบิ ายและ เปรียบเทยี บการ - สสารทกุ ชนดิ ประกอบดว้ ย -วตั ถุที่มีอยรู่ อบๆตัว 2.1 ม.1/10 จดั เรยี งอนภุ าค แรงยดึ เหน่ียวระหว่างอนุภาค อนภุ าคโดยสาร ชนดิ เดยี วกนั ท่มี ี และการเคล่อื นท่ี ของ อนุภาคของสสารชนิด สถานะของแข็ง ของเหลว แก๊ส จะ เดียวกนั ในสถานะ ของแขง็ ของเหลวและ มกี ารจดั เรียงอนุภาค แรงยึดเหนีย่ ว แกส๊ โดยใช้แบบจาลอง ระหวา่ ง อนภุ าค การเคลื่อนที่ของ ๑๐. อธิบาย ความสัมพันธร์ ะหว่าง อนภุ าคแตกตา่ งกนั ซง่ึ มีผลต่อ พลงั งานความร้อนกับ การเปลี่ยนสถานะของ รูปร่างและปรมิ าตรของสสาร สสารโดยใชห้ ลกั ฐาน เชิงประจักษ์และ - อนุภาคของของแขง็ เรียงชิดกนั มี แบบจาลอง แรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนภุ าคมาก ทส่ี ดุ อนุภาคสัน่ อยู่กบั ท่ีทาให้มี รูปรา่ งและปริมาตรคงที่ - อนภุ าคของของเหลวอยู่ใกลก้ ัน มี แรงยึดเหน่ียว ระหว่างอนภุ าคนอ้ ย กว่าของแข็งแต่มากกว่าแกส๊ อนุภาค เคลอ่ื นท่ีได้แต่ไมเ่ ป็นอิสระเท่าแกส๊ ทาให้ มรี ูปร่างไม่คงท่ี แตป่ รมิ าตร คงที่ - อนุภาคของแก๊สอยูห่ ่างกันมาก มี แรงยดึ เหนยี่ วระหว่างอนภุ าคนอ้ ย ท่ีสุดอนภุ าคเคลื่อนที่ได้ อย่างอสิ ระ ทุกทิศทาง ทาใหม้ ีรูปร่างและ ปริมาตร ไม่คงที่ - ความร้อนมผี ลตอ่ การเปลย่ี น -สารใกลต้ ัว สถานะของสสารเมื่อใหค้ วามรอ้ น แก่ของแขง็ อนภุ าคของของแข็ง จะ มีพลังงานและอณุ หภูมิเพิ่มข้ึน จนถึงระดบั หน่งึ ซึ่งของแข็งจะใช้ ความร้อนในการเปล่ียนสถานะ เปน็ ของเหลว เรยี กความร้อนทีใ่ ช้ ในการเปล่ยี นสถานะจากของแขง็ เป็นของเหลวว่าความร้อนแฝงของ การหลอมเหลวและอณุ หภูมิขณะ เปล่ยี นสถานะจะคงที่ เรียก อณุ หภูมนิ ีว้ า่ จุดหลอมเหลว - เมอื่ ใหค้ วามร้อนแกข่ องเหลว อนุภาคของของเหลว จะมีพลังงาน และอุณหภูมเิ พ่ิมข้นึ จนถึงระดับ หนึ่ง ซึง่ ของเหลวจะใชค้ วามร้อนใน
89 รหสั ตัวชี้วดั ตวั ชี้วัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่นิ การเปลยี่ นสถานะ เปน็ แกส๊ เรยี ก ความรอ้ นที่ใชใ้ นการเปลี่ยนสถานะ จากของเหลวเปน็ แกส๊ วา่ ความรอ้ น แฝงของการกลายเปน็ ไอและ อณุ หภมู ขิ ณะเปล่ียนสถานะจะคงท่ี เรยี กอุณหภูมนิ ้วี ่า จดุ เดือด - เมอื่ ทาให้อณุ หภูมิของแก๊สลดลง จนถึงระดบั หน่ึงแกส๊ จะเปลีย่ น สถานะเปน็ ของเหลว เรยี กอุณหภูมิ น้วี ่า จดุ ควบแน่ ซ่งึ มีอุณหภูมิ เดยี วกบั จดุ เดือด ของของเหลวน้ัน - เมอื่ ทาให้อณุ หภูมิของของเหลว ลดลงจนถงึ ระดับหน่งึ ของเหลวจะ เปล่ยี นสถานะเปน็ ของแขง็ เรียก อุณหภมู นิ ีว้ า่ จุดเยอื กแข็ง ซ่ึงมี อุณหภูมเิ ดียวกบั จุดหลอมเหลวของ ของแขง็ นั้น สำระท่ี ๔ เทคโนโลยี มำตรฐำน ว๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ รู้เทา่ ทนั และมีจริยธรรม รหสั ตวั ช้ีวัด ตัวชีว้ ดั สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถ่นิ ว4.2 ม.1/1 ๑. ออกแบบอลั กอริทมึ - แนวคดิ เชงิ นามธรรมเปน็ การ - ทีใ่ ชแ้ นวคิดเชิง ประเมนิ ความสาคัญของ นามธรรมเพื่อแก้ปัญหา รายละเอยี ดของปัญหาแยกแยะ หรอื อธิบายการทางาน สว่ นทเ่ี ปน็ สาระสาคญั ออกจากส่วน ทพี่ บในชีวิตจรงิ ทไ่ี มใ่ ช่สาระสาคัญ - ตวั อย่างปญั หา เชน่ ต้องการปู หญ้าในสนาม ตามพนื้ ท่ีทก่ี าหนด โดยหญา้ หนึ่งผนื มีความกว้าง ๕๐ เซนติเมตร ยาว ๕๐ เซนติเมตร จะ ใช้หญ้า ท้ังหมดก่ีผนื ว4.2 ม.1/2 ๒. ออกแบบและเขยี น - การออกแบบและเขยี นโปรแกรม - โปรแกรมอยา่ งงา่ ย เพื่อ ทีม่ ีการใชต้ ัวแปรเงอ่ื นไขวนซ้า แก้ปัญหาทา - การออกแบบอัลกอรทิ มึ เพื่อ คณิตศาสตรห์ รือ แก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ อยา่ งง่าย อาจใช้
90 รหสั ตัวชี้วัด ตวั ชวี้ ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว4.2 ม.1/3 ๓. รวบรวมขอ้ มลู ปฐม แนวคิดเชงิ นามธรรมในการ ภูมปิ ระมวลผล ประเมินผลนาเสนอ ออกแบบเพ่อื ให้ การแก้ปญั หามี ขอ้ มลู และสารสนเทศ ตามวัตถปุ ระสงค์ โดย ประสิทธภิ าพ ใช้ซอฟต์แวรห์ รอื บริการบนอินเทอร์เน็ต - การแกป้ ัญหาอย่างเปน็ ข้นั ตอนจะ ทห่ี ลากหลาย ช่วยให้แกป้ ญั หาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ - ซอฟตแ์ วร์ท่ีใชใ้ นการเขยี น โปรแกรม เช่น Scratch, python, java - ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ โปรแกรม สมการ การเคล่ือนทีโ่ ปรแกรม คานวณหาพ้นื ที่โปรแกรมคานวณ ดชั นีมวลกาย - การรวบรวมขอ้ มูลจาก - แหลง่ ข้อมลู ปฐมภูมิประมวลผล สรา้ งทางเลือกประเมนิ ผล จะทาให้ ได้สารสนเทศเพื่อใช้ในการ แกป้ ญั หาหรือการ ตัดสินใจได้อยา่ ง มปี ระสทิ ธภิ าพ - การประมวลผลเป็นการกระทากับ ข้อมูล เพือ่ ให้ ไดผ้ ลลัพธท์ ี่มี ความหมายและมปี ระโยชน์ต่อ การ นาไปใช้งาน สามารถทาไดห้ ลายวิธี เชน่ คานวณอตั ราสว่ นคานวณ ค่าเฉลย่ี - การใชซ้ อฟตแ์ วร์หรอื บริการบน อินเทอรเ์ น็ต ทห่ี ลากหลายในการ รวบรวมประมวลผล สรา้ งทางเลือก ประเมินผล นาเสนอ จะช่วยให้ แก้ปัญหาได้อยา่ งวดเร็ว ถูกต้อง และแมน่ ยา - ตวั อย่างปญั หา เน้นการบรู ณาการ กบั วิชาอื่นเช่น ต้มไขใ่ หต้ รงกับ พฤติกรรมการบริโภคค่าดัชนี มวล กายของคนในท้องถิน่ การสร้าง กราฟ ผลการทดลองและวเิ คราะห์ แนวโน้ม
91 รหสั ตัวชี้วัด ตัวช้ีวัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว4.2 ม.1/4 - ๔. ใช้เทคโนโลยี - ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ ง สารสนเทศอยา่ ง ปลอดภัย เชน่ การปกป้องความ ปลอดภยั ใช้สือ่ และ เปน็ ส่วนตัวและอัตลักษณ์ แหลง่ ข้อมูลตาม - การจดั การอัตลักษณ์เชน่ การตัง้ ข้อกาหนดและข้อตกลง รหัสผ่าน การปกปอ้ งขอ้ มลู ส่วนตวั - การพิจารณาความเหมาะสมของ เนือ้ หา เชน่ ละเมิดความเปน็ ส่วนตวั ผู้อ่นื อนาจาร วิจารณ์ผู้อนื่ อยา่ งหยาบคาย - ขอ้ ตกลง ข้อกาหนดในการใชส้ ื่อ หรือแหล่งข้อมลู ต่างๆ เชน่ Creative commons
92 ตัวชว้ี ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำงและสำระกำรเรยี นรูท้ ้องถน่ิ ชัน้ มัธยมศกึ ษำปที ี่ 1 ภำคเรยี นที่ 2 สำระท่ี ๒ วทิ ยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุลักษณะการ เคล่ือนทแ่ี บบต่างๆ ของวัตถุ รวมทัง้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ รหสั ตัวชี้วัด ตวั ช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ทอ้ งถิ่น ว2.2 ม.1/1 1. สร้างแบบจาลองท่ี - เม่ือวัตถุอยู่ในอากาศจะมีแรงท่ี - อธบิ ายความสมั พนั ธ์ อากาศกระทาต่อ วัตถใุ นทุกทิศทาง ระหว่าง ความดนั แรงทีอ่ ากาศกระทาต่อวตั ถุข้ึนอยู่ อากาศกับความสูงจาก กับขนาดพ้ืนท่ีของวัตถนุ ้ัน แรงท่ี พน้ื โลก อากาศกระทาตั้งฉากกับผิววัตถตุ ่อ หน่ึงหน่วยพืน้ ที่เรยี กวา่ ความดัน อากาศ - ความดันอากาศมีความสมั พันธ์กับ ความสงู จากพนื้ โลก โดยบรเิ วณท่ี สงู จากพ้ืนโลกขน้ึ ไปอากาศเบาบาง ลง มวลอากาศน้อยลง ความดนั อากาศก็จะลดลง สำระที่ ๒ วิทยำศำสตรก์ ำยภำพ มำตรฐำน ว๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้อง กับเสียงแสง และคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมท้งั นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ รหัสตัวช้ีวัด ตวั ชว้ี ดั สำระกำรเรียนรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ทอ้ งถ่ิน ว2.3 ม.1/1 ๑. วิเคราะห์ แปล - เมอ่ื สสารได้รบั หรอื สูญเสยี ความ - ความหมายข้อมลู และ รอ้ นอาจทาใหส้ สารเปลย่ี นอุณหภูมิ คานวณ ปรมิ าณความ เปลย่ี นสถานะ หรือเปลี่ยน รูปรา่ ง รอ้ นทท่ี าให้สสาร - ปรมิ าณความร้อนทที่ าใหส้ สาร เปลยี่ นอณุ หภูมิ และ เปลี่ยนอณุ หภูมิข้นึ กบั มวลความ เปล่ยี นสถานะโดยใช้ ร้อนจาเพาะและอุณหภูมทิ ี่ สมการ เปล่ียนไป Q=MCΔt และ Q=mL - ปริมาณความร้อนทท่ี าใหส้ สาร ว 2.3 ม.1/2 ๒. ใชเ้ ทอรม์ อมิเตอรใ์ น เปลี่ยนสถานะขึ้นกบั มวลและความ การวัดอุณหภมู ิของ รอ้ นแฝงจาเพาะโดยขณะท่ี สสาร - สสาร เปลี่ยนสถานะ อุณหภูมิจะไม่ เปล่ียนแปลง
93 รหสั ตัวชี้วดั ตัวชีว้ ดั สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง สำระกำรเรยี นรู้ท้องถน่ิ ว2.3 ม.1/3 ว2.3 ม.1/4 ๓. สร้างแบบจาลองท่ี - ความรอ้ นทาให้สสารขยายตัวหรือ - ว2.3 ม.1/5 อธิบายการขยายตวั หดตัวไดเ้ น่อื งจากเมื่อสสารได้รับ ว2.3 ม.1/6 หรอื หดตัวของสสาร ความร้อนจะทาให้ อนุภาคเคลอ่ื นท่ี ว2.3 ม.1/7 เนอ่ื งจากไดร้ ับหรือ เรว็ ข้ึน ทาให้เกิดการขยายตวั แต่ สญู เสียความร้อน เมอื่ สสารคายความรอ้ นจะทาให้ ๔. ตระหนกั ถึง อนุภาค เคลอื่ นทีช่ า้ ลง ทาใหเ้ กดิ -ขอ้ มลู การพยากรณ์ ประโยชนข์ องความรู้ การหดตวั อากาศของท้องถ่ิน - ความรู้เร่ืองการหดและขยายตัว ตนเอง ของการหดและ ขยายตัวของสสาร ของสสารเนื่องจากความร้อน เนื่องจากความรอ้ นโดย นาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ด้านตา่ งๆ เชน่ วิเคราะหส์ ถานการณ์ การสร้างถนนการสรา้ งรางรถไฟ ปัญหา และเสนอแนะ การทาเทอรม์ อมเิ ตอร์ วธิ กี ารนาความรูม้ า แกป้ ญั หาใช้ ชีวิตประจาวนั ๕. วิเคราะห์ - ความร้อนถา่ ยโอนจากสสารทีม่ ี - สถานการณ์การถ่าย อณุ หภมู ิสูงกวา่ ไปยังสสารทีม่ ี โอนความร้อนและ อณุ หภมู ิต่ากวา่ จนกระทั่งอณุ หภมู ิ คานวณปรมิ าณความ ของสสารท้งั สองเท่ากนั สภาพที่ รอ้ นท่ถี ่ายโอน ระหวา่ ง สสารทั้งสองมีอณุ หภูมเิ ท่ากนั สสารจนเกิดสมดลุ ความ เรียกวา่ สมดุลความร้อน รอ้ นโดยใช้ สมการ Q - เมอ่ื มีการถา่ ยโอนความรอ้ นจาก สญู เสีย=Qได้รับ สสารทมี่ ี อณุ หภมู ติ ่างกันจนเกดิ สมดลุ ความร้อนความรอ้ นทเี่ พิ่มขน้ึ ของสสารหนงึ่ จะเท่ากบั ความร้อนที่ ลดลงของอีกสสารหนง่ึ ซ่งึ เป็นไป ตามกฎการอนุรกั ษพ์ ลังงาน ๖. สร้างแบบจาลองที่ - การถ่ายโอนความร้อนมี ๓ แบบ - อธิบายการถ่ายโอน คอื การนาความร้อน การพาความ ความรอ้ น โดยการนา ร้อน และ การแผ่รังสีความร้อน ความร้อนการพาความ การนาความร้อน เปน็ การถา่ ยโอน รอ้ น การแผ่รงั สีความ ความร้อนที่อาศัยตวั กลาง โดยที่ รอ้ น ตัวกลางไมเ่ คลื่อนท่ี การพาความ ๗. ออกแบบเลือกใช้ ร้อนเปน็ การถา่ ยโอน ความร้อนท่ี - และสรา้ งอปุ กรณ์ เพอื่ อาศัยตวั กลาง โดยท่ตี วั กลาง เคลอ่ื นที่ไปดว้ ยส่วนการแผ่รังสี แก้ปญั หาใน ชีวติ ประจาวนั โดยใช้ ความรอ้ นเป็นการถ่ายโอนความ ร้อนท่ีไมต่ ้องอาศยั ตวั กลาง
94 รหัสตัวช้ีวดั ตวั ช้ีวดั สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง สำระกำรเรยี นร้ทู ้องถน่ิ ความรู้เก่ยี วกับ การ - ความรเู้ กย่ี วกับการถ่ายโอนความ ร้อนสามารถนาไปใช้ประโยชนใ์ น ถ่ายโอนความร้อน ชวี ติ ประจาวันได้ เช่น การเลอื กใช้ วสั ดเุ พือ่ นามาทาภาชนะบรรจุ อาหารเพื่อเก็บความร้อน หรอื การ ออกแบบระบบ ระบายความร้อน ในอาคาร สำระท่ี 3 วทิ ยำศำสตรโ์ ลก และอวกำศ มำตรฐำน ว3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณพี บิ ตั ิภยั กระบวนการเปลย่ี นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลกรวมท้ังผลต่อ ส่ิงมีชวี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม รหัสตวั ช้ีวัด ตัวชี้วดั สำระกำรเรยี นรูแ้ กนกลำง สำระกำรเรียนรู้ท้องถ่ิน ว3.2 ม.1/1 ๑. สรา้ งแบบจาลองที่ - โลกมีบรรยากาศหอ่ หุ้ม - อธิบายการแบ่งช้นั นกั วิทยาศาสตรใ์ ชส้ มบตั ิ และ บรรยากาศ และ องค์ประกอบของบรรยากาศในการ เปรียบเทยี บประโยชน์ แบง่ บรรยากาศ ของโลกออกเปน็ ของบรรยากาศแต่ละ ชั้น ซงึ่ แบง่ ไดห้ ลายรูปแบบตาม ชั้น เกณฑ์ทแ่ี ตกตา่ งกันโดยทั่วไป นกั วิทยาศาสตร์ใช้เกณฑ์การ เปลีย่ นแปลงอุณหภูมิตามความสูง แบ่งบรรยากาศไดเ้ ปน็ ๕ ชัน้ ได้แก่ ช้ันโทรโพสเฟยี ร์ ชั้น สตราโตส เฟียร์ ชั้นมโี ซสเฟียร์ ช้ันเทอร์โมส เฟียร์ และชั้นเอกโซสเฟียร์ - บรรยากาศแตล่ ะช้นั มปี ระโยชน์ ตอ่ ส่ิงมีชวี ติ แตกต่างกัน โดยช้ันโทร โพสเฟยี ร์มีปรากฏการณล์ มฟ้า อากาศท่สี าคัญต่อการดารงชีวติ ของ ส่งิ มชี วี ิตช้นั สตราโตสเฟยี ร์ช่วย ดดู กลืนรงั สีอลั ตราไวโอเลต จาก ดวงอาทติ ย์ไม่ให้มายังโลกมาก เกินไป ช้ันมโี ซสเฟียรช์ ว่ ยชะลอวัตถุ นอกโลกทผี่ า่ นเข้ามา ให้เกิดการเผา ไหมก้ ลายเป็นวัตถขุ นาดเล็กลด โอกาสท่ีจะทาความเสยี หายแกส่ ิ่งมี ชวี ตี บิ นโลกชนั้ เทอร์โมสเฟียร์ สามารถสะท้อนคลน่ื วิทยุ และ ชนั้
95 รหัสตวั ช้ีวดั ตวั ช้ีวัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง สำระกำรเรียนรูท้ ้องถ่นิ ว3.2 ม.1/2 ๒. อธบิ ายปัจจยั ท่มี ีผล เอกโซสเฟยี ร์ เหมาะสาหรบั การ ว3.2 ม.1/3 ตอ่ การเปลย่ี นแปลง องค์ประกอบของลมฟา้ โคจรของดาวเทียมรอบโลกในระดบั อากาศจากข้อมลู ที่ รวบรวมได้ ตา่ ๓. เปรียบเทียบ - ลมฟา้ อากาศ เปน็ สภาวะของ - กระบวนการเกิดพายุ ฝนฟ้าคะนอง และพายุ อากาศในเวลาหนงึ่ ของพ้ืนท่ีหนงึ่ ท่ี หมุนเขตรอ้ น และผลที่ มตี อ่ สิ่งมีชีวติ และ มีการเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา ส่งิ แวดลอ้ มรวมทัง้ นาเสนอแนวทางการ ขึ้นอยูก่ ับองคป์ ระกอบลมฟ้าอากาศ ปฏบิ ัติตนใหเ้ หมาะสม และปลอดภยั ไดแ้ ก่ อณุ หภูมิอากาศ ความกด อากาศ ลม ความชื้น เมฆ และ หยาดนา้ ฟา้ โดยหยาดน้าฟา้ ที่พบ บอ่ ย ในประเทศไทยไดแ้ ก่ ฝน องค์ประกอบลมฟา้ อากาศ เปลยี่ นแปลงตลอดเวลาขนึ้ อยู่กับ ปัจจัยต่างๆ เชน่ ปรมิ าณรงั สีจาก ดวงอาทิตย์และ ลักษณะพื้นผิวโลก ส่งผลตอ่ อณุ หภมู ิอากาศ อุณหภูมิ อากาศและปริมาณไอน้าส่งผลต่อ ความช้ืน ความกดอากาศส่งผลตอ่ ลม ความชน้ื และลมสง่ ผลต่อเมฆ - พายุฝนฟ้าคะนอง เกดิ จากการที่ - อากาศทมี่ ี อุณหภูมแิ ละความชื้นสูง เคลอ่ื นท่ีขน้ึ สูร่ ะดบั ความสูง ท่ีมี อณุ หภูมติ า่ ลงจนกระท่ังไอนา้ ใน อากาศเกดิ การควบแนน่ เปน็ ละออง นา้ และ เกิดต่อเน่ืองเปน็ เมฆขนาด ใหญพ่ ายุฝนฟา้ คะนอง ทาใหเ้ กดิ ฝนตกหนัก ลมกรรโชกแรง ฟ้าแลบ ฟา้ ผา่ ซง่ึ อาจก่อใหเ้ กิดอันตรายตอ่ ชีวติ และทรัพยส์ ิน - พายุหมุนเขตร้อนเกิดเหนอื มหาสมทุ รหรอื ทะเลที่น้ามีอุณหภมู ิ สงู ตัง้ แต่ ๒๖-๒๗ องศาเซลเซียสขนึ้ ไป ทาให้อากาศท่ีมอี ุณหภมู แิ ละ ความชื้นสงู บริเวณน้ันเคลื่อนท่ี สงู ขนึ้ อย่างรวดเรว็ เปน็ บรเิ วณกว้าง อากาศจากบริเวณอ่นื เคลือ่ นเข้ามา แทนทีแ่ ละพัดเวยี นเข้าหาศนู ยก์ ลาง ของพายยุ งิ่ ใกล้ศูนย์กลางอากาศจะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256