หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการเรียนรู้ รายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ (ทร ) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น (ฉบบั ปรับปรุง ) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช สาํ นกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ห้ามจําหน่าย หนงั สือเรียนเลม่ นีจดั พิมพด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพือการศกึ ษาตลอดชีวติ สาํ หรับประชาชน ลขิ สิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ
หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการเรียนรู้ ) รายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ (ทร ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น (ฉบบั ปรบั ปรุง ) ลิขสิทธิเป็นของ สาํ นกั งาน กศน. สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวิชาการลาํ ดบั ที 33 /2555
คาํ นํา กระทรวงศึกษาธิการไดป้ ระกาศใช้หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พทุ ธศกั ราช เมอื วนั ที กนั ยายน พ.ศ. แทนหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการจดั การศกึ ษานอกโรงเรียน ตามหลกั สูตรการศกึ ษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช ซึงเป็ นหลกั สูตรทีพฒั นาขึนตามหลกั ปรัชญาและ ความเชือพืนฐานในการจดั การศึกษานอกโรงเรียนทีมีกลุ่มเป้ าหมายเป็ นผใู้ หญ่มีการเรียนรู้และสังสม ความรู้และประสบการณ์อยา่ งต่อเนือง ในปี งบประมาณ กระทรวงศึกษาธิการไดก้ าํ หนดแผนยุทธศาสตร์ในการขับเคลือน นโยบายทางการศึกษาเพือเพิมศกั ยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขนั ให้ประชาชนได้มีอาชีพ ทีสามารถสร้างรายไดท้ ีมงั คงั และมนั คง เป็ นบุคลากรทีมีวินัย เปี ยมไปดว้ ยคุณธรรมและจริยธรรม และ มีจิตสาํ นึกรับผิดชอบต่อตนเองและผอู้ ืน สาํ นักงาน กศน. จึงไดพ้ ิจารณาทบทวนหลกั การ จุดหมาย มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และเนือหาสาระ ทงั กลุ่มสาระการเรียนรู้ ของหลกั สูตรการศึกษา นอกระบบระดบั การศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช ให้มีความสอดคลอ้ งตอบสนองนโยบาย กระทรวงศึกษาธิการ ซึงส่งผลให้ตอ้ งปรับปรุงหนังสือเรียน โดยการเพิมและสอดแทรกเนือหาสาระ เกียวกบั อาชีพ คุณธรรม จริยธรรมและการเตรียมพร้อม เพอื เขา้ สู่ประชาคมอาเซียน ในรายวิชาทีมีความ เกียวข้องสมั พนั ธ์กนั แต่ยงั คงหลกั การและวิธีการเดิมในการพฒั นาหนังสือทีให้ผเู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ด้วยตนเอง ปฏิบตั ิกิจกรรม ทาํ แบบฝึ กหัด เพือทดสอบความรู้ความเข้าใจ มีการอภิปราย แลกเปลียนเรียนรู้กบั กลุ่ม หรือศึกษาเพมิ เติมจากภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ แหล่งการเรียนรู้และสืออืน การปรับปรุงหนังสือเรียนในครังนี ไดร้ ับความร่วมมืออย่างดียิงจากผทู้ รงคุณวุฒิในแต่ละ สาขาวิชา และผเู้ กียวข้องในการจดั การเรียนการสอนทีศึกษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มูลองค์ความรู้จาก สือต่าง ๆ มาเรียบเรียงเนือหาใหค้ รบถว้ นสอดคลอ้ งกบั มาตรฐาน ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั ตวั ชีวดั และ กรอบเนือหาสาระของรายวิชา สาํ นกั งาน กศน.ขอขอบคุณผมู้ ีส่วนเกียวขอ้ งทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี และหวงั ว่าหนงั สือเรียนชุดนีจะเป็ นประโยชน์แก่ผเู้ รียน ครู ผสู้ อน และผเู้ กียวขอ้ งในทุกระดบั หากมี ขอ้ เสนอแนะประการใด สาํ นกั งาน กศน. ขอนอ้ มรับดว้ ยความขอบคุณยงิ
สารบัญ หน้า คาํ นาํ 59 สารบญั 78 คาํ แนะนาํ การใช้แบบเรียน 137 โครงสร้างรายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 176 บทที การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง บทที การใชแ้ หลง่ เรียนรู้ บทที การจดั การความรู้ บทที การคดิ เป็น บทที การวจิ ยั อยา่ งง่าย บทที ทกั ษะการเรียนรู้และศกั ยภาพหลกั ของพนื ทีในการพฒั นาอาชีพ
คําแนะนําการใช้หนังสือเรียน หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ เป็ นแบบเรียนทีจดั ทาํ ขึนสาํ หรับ ผเู้ รียนทีเป็นนกั ศึกษานอกระบบ ในการศกึ ษาหนงั สือเรียนสาระทกั ษะการเรียนรู้ ผเู้ รียนควรปฏิบตั ิ ดงั นี . ศกึ ษาโครงสร้างรายวิชาใหเ้ ขา้ ใจในสาระสาํ คญั ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั และขอบข่ายเนือหา . ศึกษารายละเอียดเนือหาของแต่ละบทอย่างละเอียด และทํากิจกรรมตามทีกําหนด แลว้ ตรวจสอบกบั แนวตอบกิจกรรมทีกาํ หนด ถา้ ผเู้ รียนตอบผดิ ควรกลบั ไปศึกษาและทาํ ความเขา้ ใจ ในเนือหาใหม่ใหเ้ ขา้ ใจก่อนทีจะศึกษาเรืองต่อไป . ปฏิบัติกิจกรรมทา้ ยเรื องของแต่ละเรือง เพือเป็ นการสรุปความรู้ความเข้าใจของเนือหา ในเรืองนนั ๆ อีกครัง และการปฏิบตั ิกิจกรรมของเนือหาแต่ละเรือง ผเู้ รียนสามารถนาํ ไปตรวจสอบกบั ครู และเพือน ๆ ทีร่วมเรียนในรายวชิ าและระดบั เดียวกนั ได้ . แบบเรียนนีมี บท คือ บทที การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง บทที การใชแ้ หลง่ เรียนรู้ บทที การจดั การความรู้ บทที การคิดเป็น บทที การวิจยั อยา่ งง่าย บทที ทกั ษะการเรียนรู้และศกั ยภาพหลกั ของพนื ทีในการพฒั นาอาชีพ
โครงสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระสําคญั รายวิชาทกั ษะการเรียนรู้ มีเนือหาเกียวกบั การพฒั นาทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนในด้าน การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การใชแ้ หล่งเรียนรู้ การจดั การความรู้ การคิดเป็ นและการวิจยั อยา่ งง่าย โดยมี วตั ถปุ ระสงคเ์ พอื ใหผ้ เู้ รียนสามารถกาํ หนดเป้ าหมาย วางแผนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เขา้ ถึงและเลือกใช้ แหล่งเรียนรู้จัดการความรู้ กระบวนการแกป้ ัญหาและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ทีจะสามารถใชเ้ ป็ น เครืองมือชีนาํ ในการเรียนรู้ และการประกอบอาชีพให้สอดคลอ้ งกบั หลกั การพืนฐานและการพฒั นา ศกั ยภาพของพืนที ใน กลุ่มอาชีพใหม่ คือ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิด สร้างสรรค์ การบริหารจดั การและการบริการ ตามยทุ ธศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ ไดอ้ ยา่ งต่อเนือง ตลอดชีวติ ผลการเรียนรู้ทีคาดหวงั บทที การเรียนรู้ด้วยตนเอง 1. สามารถวิเคราะห์ความรู้จากการอ่าน การฟัง การสงั เกต และสรุปไดถ้ กู ตอ้ ง 2. สามารถจดั ระบบการแสวงหาความรู้ใหก้ บั ตนเอง 3. ปฏิบตั ิตามขนั ตอนในการแสวงหาความรู้เกียวกบั ทกั ษะการอ่าน ทกั ษะการฟัง และ ทกั ษะการจดบนั ทึก 4. สามารถนาํ ความรู้ ความเขา้ ใจในเรือง ศกั ยภาพของพืนที และหลกั การพืนฐาน ตามยุทธศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ ไปเพิมขีดความสามารถการประกอบอาชีพโดยเน้นที กลุ่มอาชีพใหม่ ใหแ้ ข่งขนั ไดใ้ นระดบั ทอ้ งถนิ บทที การใช้แหล่งเรียนรู้ 1. จาํ แนกความแตกต่างของแหลง่ เรียนรู้ และตดั สินใจเลือกใชแ้ หลง่ เรียนรู้ . เรียงลาํ ดบั ความสาํ คญั ของแหล่งเรียนรู้ และจดั ทาํ ระบบการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ของตนเอง . สามารถปฏบิ ตั ิการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ตามขนั ตอนไดถ้ กู ตอ้ ง . สามารถใช้แหล่งเรียนรู้ดา้ นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิด สร้างสรรค์ การบริหารจดั การและการบริการ เกียวกบั อาชีพของพนื ทีทีตนอาศยั อยไู่ ดต้ ามความตอ้ งการ บทที การจดั การความรู้ . วเิ คราะหผ์ ลทีเกิดขึนของขอบข่ายความรู้ ตดั สินคุณค่า กาํ หนดแนวทางพฒั นา 2. เห็นความสมั พนั ธข์ องกระบวนการจดั การความรู้ กบั การนาํ ไปใชก้ ารพฒั นาชุมชน ปฏบิ ตั ิการ
3. ปฏบิ ตั ิตามกระบวนการจดั การความรู้ไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ 4. สามารถนาํ กระบวนการจดั การความรู้ของชุมชน จาํ แนกอาชีพในดา้ นต่าง ๆ ของ ชุมชน คือ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิดสร้างสรรค์ การบริหารจดั การและการ บริการ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง บทที การคดิ เป็ น . อธิบายหรือทบทวนปรัชญาคิดเป็นและลกั ษณะของขอ้ มลู ดา้ นวิชาการ ตนเอง สังคม สิงแวดลอ้ ม ทีจะนาํ มาวเิ คราะห์และสงั เคราะหเ์ พอื ประกอบการคิดและตดั สินใจแกป้ ัญหา . จาํ แนก เปรียบเทียบ ตรวจสอบขอ้ มลู ดา้ นวชิ าการ ตนเอง สงั คม สิงแวดลอ้ ม ทีจดั เก็บ และทกั ษะในการวิเคราะห์ สงั เคราะห์ขอ้ มลู ทงั สามดา้ น เพอื ประกอบการตดั สินใจแกป้ ัญหา . ปฏิบตั ิการตามเทคนิคกระบวนการคิดเป็น ประกอบการตดั สินใจไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ . สามารถนาํ ความรู้ ความเขา้ ใจในเรือง ศกั ยภาพของพนื ที และหลกั การพืนฐานตาม ยทุ ธศาสตร์ กระทรวงศกึ ษาธิการ ไปเพมิ ขีดความสามารถการประกอบอาชีพโดยเน้นทีกลุ่มอาชีพ ใหม่ใหแ้ ข่งขนั ไดใ้ นระดบั ชาติ บทที การวจิ ยั อย่างง่าย 1. ระบุปัญหา ความจาํ เป็ น วตั ถุประสงค์ และประโยชน์ทีคาดว่าจะไดร้ ับจากการวิจยั และสืบคน้ ขอ้ มลู เพอื ทาํ ความกระจ่างในปัญหาการวจิ ยั รวมทงั กาํ หนดวธิ ีการหาความรู้ความจริง . เห็นความสมั พนั ธข์ องกระบวนการวจิ ยั กบั การนาํ ไปใชใ้ นชีวติ . ปฏิบตั ิการศึกษา ทดลอง รวบรวม วิเคราะห์ขอ้ มลู และสรุปความรู้ความจริงตาม ขนั ตอนไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ชดั เจน เช่น การวเิ คราะห์อาชีพ บทที ทกั ษะการเรียนรู้และศักยภาพหลกั ของพนื ทใี นการพฒั นาอาชีพ 1. บอกความหมาย ตระหนกั และเห็นความสาํ คญั ของทกั ษะการเรียนรู้และ ศกั ยภาพหลกั ของพนื ที . สามารถบอกอาชีพในกลุม่ อาชีพใหม่ ดา้ น . ยกตวั อยา่ งอาชีพทีสอดคลอ้ งกบั ศกั ยภาพหลกั ของพนื ที
ขอบข่ายเนือหา บทที การเรียนรู้ด้วยตนเอง เรืองที ความหมาย และความสาํ คญั ของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เรืองที การกาํ หนดเป้ าหมาย และการวางแผนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เรืองที ทกั ษะพนื ฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ัญหา และเทคนิคในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เรืองที ปัจจยั ทีทาํ ใหก้ ารเรียนรู้ดว้ ยตนเองประสบความสาํ เร็จ บทที การใช้แหล่งเรียนรู้ เรืองที ความหมาย และความสาํ คญั ของแหล่งเรียนรู้ เรืองที หอ้ งสมดุ : แหลง่ เรียนรู้ เรืองที แหล่งเรียนรู้สาํ คญั ในชุมชน บทที การจดั การความรู้ เรืองที ความหมาย ความสาํ คญั หลกั การกระบวนการจดั การความรู้ เรืองที การฝึกทกั ษะ และกระบวนการจดั การความรู้ บทที การคดิ เป็ น เรืองที ความเชือพนื ฐานทางการศกึ ษาผใู้ หญ่ และการเชือมโยงสู่กระบวนการคิดเป็น และปรัชญาคิดเป็ น เรื องที ลกั ษณะและความแตกต่างของข้อมูลด้านวิชาการ ตนเอง และสังคม สิงแวดลอ้ ม รวมทังเทคนิคการเก็บขอ้ มูลและวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล การคิดเป็ นทีจะนํามาใช้ ประกอบการคิด การตดั สินใจ แกป้ ัญหาของคนคิดเป็น เรืองที กรณีตวั อยา่ งเพอื การฝึกปฏิบตั ิ บทที การวจิ ยั อย่างง่าย เรืองที ความหมายและประโยชนข์ องการวจิ ยั อยา่ งง่าย เรืองที ขนั ตอนการวิจยั อยา่ งง่าย เรืองที สถติ ิง่าย ๆ เพอื การวจิ ยั เรืองที เครืองการวิจยั เพอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เรืองที การเขียนโครงการวิจยั อยา่ งง่าย บทที ทกั ษะการเรียนรู้และศักยภาพภาพหลกั ของพนื ทีในการพฒั นาอาชีพ เรืองที ความหมาย ความสาํ คญั ของศกั ยภาพหลกั ของพนื ที เรืองที กลุ่มอาชีพใหม่ ดา้ น และศกั ยภาพหลกั ของพนื ที ประการ เรืองที ตวั อยา่ งการวิเคราะหศ์ กั ยภาพหลกั ของพนื
บทที การเรียนรู้ด้วยตนเอง สาระสําคญั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็นกระบวนการเรียนรู้ทีผเู้ รียนริเริมการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ตามความสนใจ ความตอ้ งการ และความถนดั มเี ป้ าหมาย รู้จกั แสวงหาแหลง่ ทรัพยากรของการเรียนรู้ เลือกวิธีการเรียนรู้ จนถึงการประเมินความกา้ วหน้าของการเรียนรู้ของตนเอง โดยจะดาํ เนินการดว้ ยตนเองหรือร่วมมือ ช่วยเหลือกบั ผอู้ ืนหรือไม่ก็ได้ ทุกวนั นีคนส่วนใหญ่แสวงหาการศึกษาระดบั ทีสูงขึน จาํ เป็ นตอ้ งรู้วิธี วนิ ิจฉยั ความตอ้ งการในการเรียนของตนเอง สามารถกาํ หนดเป้ ามายในการเรียนรู้ของตนเอง สามารถ ระบุแหล่งความรู้ทีตอ้ งการ และวางแผนการใชย้ ทุ ธวธิ ี สือการเรียน และแหลง่ ความรู้เหล่านนั หรือแมแ้ ต่ ประเมนิ และตรวจสอบความถกู ตอ้ งของผลการเรียนรู้ของตนเอง มาตรฐานการเรียนรู้สามารถวิเคราะห์ เห็นความสาํ คญั และปฏบิ ตั ิการแสวงหาความรู้จากการอา่ น ฟัง และสรุปไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั วิชาการ ผลการเรียนรู้ทคี าดหวงั 1. สามารถวิเคราะหค์ วามรู้จากการอา่ น การฟัง การสงั เกต และสรุปไดถ้ กู ตอ้ ง 2. สามารถจดั ระบบการแสวงหาความรู้ใหก้ บั ตนเอง 3. ปฏิบตั ิตามขนั ตอนในการแสวงหาความรู้เกียวกบั ทกั ษะการอา่ น ทกั ษะการฟัง และทกั ษะการ จดบนั ทึก ขอบข่ายเนือหา เรืองที ความหมาย และความสาํ คญั ของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เรืองที การกาํ หนดเป้ าหมาย และการวางแผนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เรืองที ทกั ษะพนื ฐานทางการศกึ ษาหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ัญหา และเทคนิคในการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง เรืองที ปัจจยั ทีทาํ ใหก้ ารเรียนรู้ดว้ ยตนเองประสบความสาํ เร็จ เรืองที ความหมาย และความสําคญั ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในปัจจุบนั โลกมีความกา้ วหนา้ ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ต่าง ๆ ไดเ้ พิมขึน เป็ นอนั มาก การเรียนรู้จากสถาบนั การศึกษาไม่อาจทาํ ให้บุคคลศึกษาความรู้ได้ครบทังหมด การ ไขวค่ วา้ หาความรู้ดว้ ยตนเอง จึงเป็ นอีกวิธีหนึงทีจะสนองความตอ้ งการของบุคคลได้ เพราะเมือใด ก็ตามทีบุคคลมีใจรักทีจะศึกษาคน้ ควา้ สิงทีตนตอ้ งการจะรู้ บุคคลนันก็จะดาํ เนินการศึกษาเรียนรู้ อยา่ งต่อเนืองโดยไมม่ ีใครตอ้ งบอก ประกอบกบั ระบบการศึกษาและปรัชญาการศึกษาเพือเตรียมคน
ใหส้ ามารถเรียนรู้ไดต้ ลอดชีวิต แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง ใฝ่ หาความรู้ รู้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ วิธีการหาความรู้ มีความสามารถในการคิดเป็ น ทาํ เป็ น แกป้ ัญหาเป็ น มีนิสยั ในการทาํ งานและการ ดาํ รงชีวติ และมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ การเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนพฒั นาและเพมิ ศกั ยภาพ ของตนเองโดยการคน้ พบความสามารถและสิงทีมีคุณค่าในตนเองทีเคยมองขา้ มไป (“...it is possible to help learners expand their potential by discovered that which is yet untapped…”) (Brockett & Hiemstra, ) การศกึ ษาตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช เป็ น การจดั การศกึ ษาทีมคี วามเหมาะสมกบั สภาพปัญหา และความตอ้ งการของผเู้ รียนทีอยนู่ อกระบบ ซึงเป็ น ผทู้ ีมปี ระสบการณ์จากการทาํ งานและการประกอบอาชีพ โดยการกาํ หนดสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้ การจดั การเรียนรู้ การวดั และประเมินผล ใหก้ ารพฒั นากบั กลุ่มเป้ าหมายดา้ นจิตใจ ให้มีคุณธรรม ควบคู่ไปกบั การพฒั นาการเรียนรู้ สร้างภูมิคุม้ กนั สามารถจดั การกบั องคค์ วามรู้ ทงั ภูมิปัญญาทอ้ งถิน และเทคโนโลยี เพือใหผ้ เู้ รียนสามารถปรับตวั อยใู่ นสงั คมทีมกี ารเปลียนแปลงตลอดเวลา สร้างภูมิคุม้ กนั ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง รวมทงั คาํ นึงถงึ ธรรมชาติการเรียนรู้ของผทู้ ีอย่นู อกระบบ และสอดคลอ้ งกบั สภาพเศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง การปกครอง ความเจริญกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยแี ละการสือสาร ดงั นนั ในการศึกษาแต่ละรายวิชา ผเู้ รียนจะตอ้ งตระหนกั วา่ การศกึ ษาตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช นี จะสมั ฤทธิผลไดด้ ว้ ยดีหากผเู้ รียนไดศ้ ึกษาพร้อมทงั การปฏิบตั ิ ตามคาํ แนะนาํ ของครูแต่ละวิชาทีไดก้ าํ หนดเนือหาเป็ นบทต่าง ๆ โดยแต่ละบทจะมีคาํ ถาม รายละเอียด กิจกรรมและแบบฝึกปฏิบตั ิต่าง ๆ ซึงผเู้ รียนจะตอ้ งทาํ ความเขา้ ใจในบทเรียน และทาํ กิจกรรม ตลอดจน ทาํ ตามแบบฝึกปฏิบตั ิทีไดก้ าํ หนดไวอ้ ยา่ งครบถว้ น ซึงในหนงั สือแบบฝึกปฏิบตั ิของแต่ละวิชาไดจ้ ดั ใหม้ ี รายละเอียดต่าง ๆ ดังกล่าว ตลอดจนแบบประเมินผลการเรียนรู้เพือให้ผเู้ รียนไดว้ ดั ความรู้เดิมและ วดั ความกา้ วหนา้ หลงั จากทีไดเ้ รียนรู้ รวมทงั การทีผเู้ รียนจะไดม้ กี ารทบทวนบทเรียน หรือสิงทีไดเ้ รียนรู้ อนั จะเป็นประโยชนใ์ นการเตรียมสอบต่อไปไดอ้ ีกดว้ ย การเรียนรู้ในสาระทกั ษะการเรียนรู้ เป็นสาระเกียวกบั รายวิชาการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง รายวิชาการ ใชแ้ หล่งเรียนรู้ รายวชิ าการจดั การความรู้ รายวิชาการคิดเป็น และรายวชิ าการวจิ ยั อยา่ งง่าย ในส่วนของ รายวชิ าการเรียนรู้ดว้ ยตนเองเป็นสาระการเรียนรู้เกียวกบั การพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ ในดา้ นการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษา คน้ ควา้ ฝึ กทกั ษะในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เพือมุ่งเสริมสร้าง
ให้ผูเ้ รียนมีนิสัยรักการเรียนรู้ซึงเป็ นทักษะพืนฐานของบุคคลแห่งการเรียนรู้ทียงั ยืน เพือใช้เป็ น เครืองมอื ในการชีนาํ ตนเองในการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งต่อเนืองตลอดชีวติ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นแนวทางการเรียนรู้หนึงทีสอดคลอ้ งกบั การ เปลียนแปลงของสภาพปัจจุบนั และเป็ นแนวคิดทีสนบั สนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสมาชิกในสงั คม สู่การเป็ นสงั คมแห่งการเรียนรู้ โดยการเรียนรู้ดว้ ยตนเองเป็ นการเรียนรู้ทีทาํ ให้บุคคลมีการริเริมการ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง มเี ป้ าหมายในการเรียนรู้ทีแน่นอน มีความรับผดิ ชอบในชีวิตของตนเอง ไม่พึงคนอืน มแี รงจงู ใจ ทาํ ใหผ้ เู้ รียนเป็นบุคคลทีใฝ่ รู้ ใฝ่ เรียน ทีมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนรู้วิธีเรียน สามารถเรียนรู้ เรืองราวต่าง ๆ ไดม้ ากกว่าการเรียนทีมีครูป้ อนความรู้ใหเ้ พยี งอยา่ งเดียว การเรี ยนรู้ด้วยตนเองเป็ นหลักการทางการศึกษาซึงได้รับความสนใจมากขึนโดยลาํ ดับ ในทุกองคก์ รการศกึ ษา เพราะเป็นแนวทางหนึงทีสนบั สนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ในอนั ทีจะหล่อหลอม ผเู้ รียนใหม้ ที กั ษะการเรียนรู้ตลอดชีวติ ตามทีมงุ่ หวงั ไวใ้ นพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และทีแกไ้ ขเพมิ เติม (ฉบบั ที 2) พ.ศ. 2545 การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็ นหลกั การทางการศึกษาทีมีแนวคิด พืนฐานมาจากทฤษฎีของกลุ่มมนุษยนิยม (Humanism) ซึงเชือว่า มนุษยท์ ุกคนมีธรรมชาติเป็ นคนดี มเี สรีภาพและความเป็นตนเอง มีความเป็นปัจเจกชนและศกั ยภาพ มีตนและการรับรู้ตนเอง มกี ารเป็นจริง ในสิงทีตนสามารถเป็นได้ มีการรับรู้ มคี วามรับผดิ ชอบและความเป็นมนุษย์ ดงั นัน การทีผเู้ รียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองไดน้ ับว่าเป็ นคุณลกั ษณะทีดีทีสุดซึงมีอย่ใู นตวั บุคคลทุกคน ผูเ้ รียนควรจะมีคุณลักษณะของการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรี ยนรู้ด้วยตนเองจัดเป็ น กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวติ ยอมรับในศกั ยภาพของผเู้ รียนว่าผเู้ รียนทุกคนมีความสามารถทีจะเรียนรู้ สิงต่าง ๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง เพือทีตนเองสามารถทีดาํ รงชีวิตอย่ใู นสังคมทีมีการเปลียนแปลงอย่ตู ลอดเวลา ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข ในการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการเรียนรู้ในบทที การเรียนรู้ด้วยตนเองนี ผู้เรียนจะต้องรวบรวม ผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมซึงเป็ นหลกั ฐานของการเรียนรู้ โดยให้ผู้เรียนบรรจุในแฟ้ มสะสมผลงาน (Portfolio) ของผ้เู รียนแต่ละบุคคล ดังนัน เมอื สินสุดการเรียนรู้ในบทที การเรียนรู้ด้วยตนเองนี ผ้เู รียนจะต้องมแี ฟ้ มสะสมผลงานส่งครู
แบบประเมินตนเองก่อนเรียน แบบวัดระดบั ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน ชือ........................................................นามสกลุ ................................................ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ คาํ ชีแจง แบบสอบถามฉบบั นี เป็นแบบสอบถามทีวดั ความชอบและเจตคติเกียวกบั การเรียนรู้ของท่าน ใหท้ ่านอา่ นขอ้ ความต่าง ๆ ต่อไปนี ซึงมีดว้ ยกนั ขอ้ หลงั จากนนั โปรดทาํ เครืองหมาย ลงในช่องทีตรงกบั ความเป็ นจริง ของตวั ท่านมากทีสุด ระดบั ความคดิ เห็น มากทีสุด หมายถึง ท่านรู้สึกว่า ข้อความนันส่วนใหญ่เป็นเช่นนีหรือมนี อ้ ยครังทีไมใ่ ช่ มาก หมายถงึ ท่านรู้สึกว่า ข้อความเกนิ ครึงมกั เป็นเช่นนี ปานกลาง หมายถึง ท่านรู้สึกว่า ข้อความจริงบา้ งไม่จริงบา้ งครึงต่อครึง นอ้ ย หมายถงึ ท่านรู้สึกว่า ข้อความเป็นจริงบ้างไม่บ่อยนัก นอ้ ยทีสุด หมายถึง ท่านรู้สึกว่า ข้อความไม่จริง ไม่เคยเป็ นเช่นนี ความคดิ เห็น รายการคาํ ถาม มาก มาก ปาน น้อย น้อย ทีสุด กลาง ทสี ุด 1. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนรู้อยเู่ สมอตราบชวั ชีวิต 2. ขา้ พเจา้ ทราบดีวา่ ขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนอะไร 3. เมือประสบกบั บางสิงบางอยา่ งทไี มเ่ ขา้ ใจ ขา้ พเจา้ จะหลีกเลียงไปจากสิงนนั 4. ถา้ ขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนรู้สิงใด ขา้ พเจา้ จะหาทางเรียนรู้ใหไ้ ด้ 5. ขา้ พเจา้ รักทจี ะเรียนรู้อยเู่ สมอ 6. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการใชเ้ วลาพอสมควรในการเริมศกึ ษาเรืองใหม่ ๆ 7. ในชนั เรียนขา้ พเจา้ หวงั ทีจะให้ผูส้ อนบอกผูเ้ รียนทงั หมดอย่างชดั เจนว่าตอ้ งทาํ อะไรบา้ งอยตู่ ลอดเวลา 8. ขา้ พเจา้ เชือว่า การคิดเสมอว่าตวั เราเป็ นใครและอย่ทู ีไหน และจะทาํ อะไร เป็ น หลกั สาํ คญั ของการศกึ ษาของทุกคน 9. ขา้ พเจา้ ทาํ งานดว้ ยตนเองไดไ้ ม่ดีนกั 10. ถา้ ตอ้ งการขอ้ มูลบางอยา่ งทยี งั ไม่มี ขา้ พเจา้ ทราบดีว่าจะไปหาไดท้ ีไหน 11. ขา้ พเจา้ สามารถเรียนรู้สิงตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเองไดด้ กี ว่าคนส่วนมาก 12. แมข้ า้ พเจา้ จะมีความคิดทีดี แตด่ เู หมอื นไมส่ ามารถนาํ มาใชป้ ฏิบตั ิได้ 13. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการมสี ่วนร่วมในการตดั สินใจวา่ ควรเรียนอะไร และจะเรียนอยา่ งไร 14. ขา้ พเจา้ ไมเ่ คยทอ้ ถอยต่อการเรียนสิงทยี าก ถา้ เป็นเรืองทีขา้ พเจา้ สนใจ 15. ไมม่ ีใครอนื นอกจากตวั ขา้ พเจา้ ทีจะตอ้ งรับผดิ ชอบในสิงทขี า้ พเจา้ เลอื กเรียน 16. ขา้ พเจา้ สามารถบอกไดว้ ่า ขา้ พเจา้ เรียนสิงใดไดด้ ีหรือไม่
ความคดิ เห็น รายการคําถาม มาก มาก ปาน น้อย น้อย ทีสุด กลาง ทสี ุด 17. สิงทีขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนรู้ไดม้ ากมาย จนขา้ พเจา้ อยากใหแ้ ตล่ ะวนั มีมากกวา่ 24 ชวั โมง 18. ถา้ ตดั สินใจทีจะเรียนรู้อะไรกต็ าม ขา้ พเจา้ สามารถจะจัดเวลาทีจะเรียนรู้สิงนนั ได้ ไมว่ ่าจะมภี ารกจิ มากมายเพียงใดกต็ าม 19. ขา้ พเจา้ มปี ัญหาในการทาํ ความเขา้ ใจเรืองทีอา่ น 20. ถา้ ขา้ พเจา้ ไมเ่ รียนกไ็ มใ่ ชค่ วามผดิ ของขา้ พเจา้ 21. ขา้ พเจา้ ทราบดีวา่ เมอื ไรทีขา้ พเจา้ ตอ้ งการจะเรียนรู้ในเรืองใดเรืองหนึงให้ มากขึน 22. ขา้ พเจา้ มีความเขา้ ใจพอ ทจี ะทาํ ขอ้ สอบใหไ้ ดค้ ะแนนสูง ๆ กพ็ อใจแลว้ ถงึ แมว้ ่า ขา้ พเจา้ ยงั ไม่เขา้ ใจเรืองนนั อยา่ งถอ่ งแทก้ ต็ ามที 23. ขา้ พเจา้ คิดวา่ หอ้ งสมุดเป็นสถานทที ีน่าเบือ 24. ขา้ พเจา้ ชนื ชอบผูท้ ีเรียนรู้สิงใหม่ ๆ อยเู่ สมอ 25. ขา้ พเจา้ สามารถคดิ คน้ วธิ ีการตา่ ง ๆ ไดห้ ลายแบบสาํ หรับการเรียนรู้หวั ขอ้ ใหม่ ๆ 26. ขา้ พเจา้ พยายามเชือมโยงสิงทีกาํ ลงั เรียนกบั เป้ าหมายระยะยาวทีตงั ไว้ 27. ขา้ พเจา้ มีความสามารถเรียนรู้ ในเกือบทุกเรือง ทขี า้ พเจา้ ตอ้ งการจะรู้ 28. ขา้ พเจา้ สนุกสนานในการคน้ หาคาํ ตอบสาํ หรับคาํ ถามตา่ ง ๆ 29. ขา้ พเจา้ ไมช่ อบคาํ ถามทีมีคาํ ตอบถกู ตอ้ งมากกว่าหนึงคาํ ตอบ 30. ขา้ พเจา้ มคี วามอยากรู้อยากเห็นเกยี วกบั สิงต่าง ๆ มากมาย 31. ขา้ พเจา้ จะดใี จมาก หากการเรียนรู้ของขา้ พเจา้ ไดส้ ินสุดลง 32. ขา้ พเจา้ ไมไ่ ดส้ นใจการเรียนรู้ เมือเปรียบเทียบกบั ผูอ้ ืน 33. ข้าพเจ้าไม่มีปัญหา เกียวกับทักษะเบืองต้นในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ ทกั ษะการฟัง อา่ น เขยี น และจาํ 34. ขา้ พเจา้ ชอบทดลองสิงใหมๆ่ แมไ้ มแ่ น่ใจ ว่า ผลนนั จะออกมา อยา่ งไร 35. ขา้ พเจา้ ไมช่ อบ เมือมคี นชใี หเ้ ห็นถึงขอ้ ผิดพลาด ในสิงทีขา้ พเจา้ กาํ ลงั ทาํ อยู่ 36. ขา้ พเจา้ มคี วามสามารถในการคดิ คน้ หาวิธีแปลกๆ ทจี ะทาํ สิงต่าง ๆ 37. ขา้ พเจา้ ชอบคดิ ถงึ อนาคต 38. ขา้ พเจา้ มีความพยายามคน้ หาคาํ ตอบในสิงทตี อ้ งการรู้ไดด้ ี เมือเทยี บกบั ผูอ้ นื 39. ขา้ พเจา้ เหน็ ว่าปัญหาเป็นสิงทีทา้ ทาย ไมใ่ ชส่ ัญญาณใหห้ ยดุ ทาํ 40. ขา้ พเจา้ สามารถบงั คบั ตนเองใหก้ ระทาํ สิงทคี ิดว่า ควรกระทาํ 41. ขา้ พเจา้ ชอบวิธีการของขา้ พเจา้ ในการสาํ รวจตรวจสอบปัญหาตา่ ง ๆ 42. ขา้ พเจา้ มกั เป็นผนู้ าํ กลุ่มในการเรียนรู้ 43. ขา้ พเจา้ สนุกทีไดแ้ ลกเปลยี นความคิดเห็นกบั ผูอ้ นื
ความคดิ เห็น รายการคาํ ถาม มาก มาก ปาน น้อย น้อย ทสี ุด กลาง ทสี ุด 44. ขา้ พเจา้ ไมช่ อบสถานการณ์การเรียนรู้ทที า้ ทาย 45. ขา้ พเจา้ มคี วามปรารถนาอยา่ งแรงกลา้ ทีจะเรียนรู้สิงใหม่ ๆ 46. ยงิ ไดเ้ รียนรู้มาก ขา้ พเจา้ กย็ งิ รู้สึกว่าโลกนีน่าตืนเตน้ 47. การเรียนรู้เป็นเรืองสนุก 48. การยดึ การเรียนรู้ทีใชไ้ ดผ้ ลมาแลว้ ดกี ว่า การลองใชว้ ธิ ีใหม่ ๆ 49. ขา้ พเจา้ ตอ้ งการเรียนรู้ใหม้ ากยงิ ขนึ เพอื จะได้ เป็นคนทีมคี วามเจริญกา้ วหนา้ 50. ขา้ พเจา้ เป็นผรู้ ับผิดชอบเกียวกบั การเรียนรู้ของขา้ พเจา้ เอง ไม่มใี ครมารับผิดชอบ แทนได้ 51. การเรียนรู้ถึงวิธีการเรียน เป็นสิงทีสาํ คญั สาํ หรับขา้ พเจา้ 52. ขา้ พเจา้ ไมม่ ีวนั ทีจะแก่เกินไป ในการเรียนรู้สิงใหม่ ๆ 53. การเรียนรู้อยตู่ ลอดเวลา เป็นสิงทีน่าเบอื หน่าย 54. การเรียนรู้เป็นเครืองมอื ในการดาํ เนินชีวติ 55. ในแตล่ ะปี ขา้ พเจา้ ไดเ้ รียนรู้สิงใหม่ ๆ หลายๆ อยา่ งดว้ ยตนเอง 56. การเรียนรู้ไมไ่ ดท้ าํ ใหช้ วี ิตของขา้ พเจา้ แตกตา่ งไปจากเดิม 57. ขา้ พเจา้ เป็นผเู้ รียนทีมปี ระสิทธิภาพ ทงั ในชนั เรียน และการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 58 ขา้ พเจา้ เหน็ ดว้ ยกบั ความคิดทวี ่า “ผูเ้ รียนคอื ผูน้ าํ ” การเริมต้นเรียนรู้ด้วยตนเองทีดีทีสุดนัน เรามาเริมต้นทีความพร้อมในการ เรียนรู้ด้วยตนเอง และท่านคงทราบในเบืองต้นแล้วว่า ระดับความพร้อมในการ เรียนรู้ด้วยตนเองของท่าน อยู่ในระดับใด (มากทีสุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยทีสุด) ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองเป็นบุคลกิ ลกั ษณะส่วนบุคคลของผเู้ รียน ทีตอ้ งการใหเ้ กิดขึนในตวั ผเู้ รียนตามเป้ าหมายของการศึกษา ผเู้ รียนทีมคี วามพร้อมในการเรียนดว้ ยตนเองจะมคี วามรับผดิ ชอบ ส่วนบุคคล ความรับผดิ ชอบต่อความคิดและการกระทาํ ของตนเอง สามารถควบคุมและโตต้ อบ สถานการณ์ สามารถควบคุมตนเองใหเ้ ป็นไปในทิศทางทีตนเลือก โดยยอมรับผลทีเกิดขึนจากการ กระทาํ ทีมาจากความคิดตดั สินใจของตนเอง
ความหมาย และความสําคญั ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง “เดก็ ตามธรรมชาติตอ้ งพงึ พงิ ผอู้ ืนและตอ้ งการผปู้ กครองปกป้ องเลียงดูและตดั สินใจแทน เมือเติบโต เป็ นผใู้ หญ่ มีความอิสระ พึงพิงจากภายนอกลดลงและเป็ นตัวของตัวเอง จนมีคุณลกั ษณะการชีนํา ตนเองในการเรียนรู้” การเรียนรู้เป็นเรืองของทุกคน ศกั ดิศรีของผเู้ รียนจะมไี ดเ้ มือมีโอกาสในการเลือกเรียนในเรืองที หลากหลายและมีความหมายแก่ตนเอง การเรียนรู้มอี งคป์ ระกอบ ดา้ น คือ องคป์ ระกอบภายนอก ไดแ้ ก่ สภาพแวดลอ้ ม โรงเรียน สถานศกึ ษา สิงอาํ นวยความสะดวก และครู องคป์ ระกอบภายใน ไดแ้ ก่ การคิด เป็น พึงตนเองได้ มีอสิ รภาพ ใฝ่ รู้ ใฝ่ สร้างสรรค์ มคี วามคิดเชิงเหตุผล มีจิตสาํ นึกในการเรียนรู้ มีเจตคติ เชิงบวกต่อการเรียนรู้ การเรียนรู้ทีเกิดขึนมิไดเ้ กิดขึนจากการฟังคาํ บรรยายหรือทาํ ตามทีครูผสู้ อนบอก แต่อาจเกิดขึนไดใ้ นสถานการณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี . การเรียนรู้โดยบงั เอญิ การเรียนรู้แบบนีเกิดขึนโดยบงั เอญิ มิไดเ้ กิดจากความตงั ใจ . การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ดว้ ยความตงั ใจของผเู้ รียน ซึงมคี วามปรารถนาจะรู้ใน เรืองนนั ผเู้ รียนจึงคิดหาวิธีการเรียนดว้ ยวิธีการต่างๆ หลงั จากนันจะมีการประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ย ตนเองจะเป็ นรูปแบบการเรียนรู้ทีทวีความสาํ คญั ในโลกยุคโลกาภิวตั น์ บุคคลซึงสามารถปรับตนเอง ใหต้ ามทนั ความกา้ วหน้าของโลกโดยใชส้ ืออุปกรณ์ยุคใหม่ได้ จะทาํ ให้เป็ นคนทีมีคุณค่าและประสบ ความสาํ เร็จไดอ้ ยา่ งดี . การเรียนรู้โดยกลุ่ม การเรียนรู้แบบนีเกิดจากการทีผเู้ รียนรวมกลุ่มกนั แลว้ เชิญผทู้ รงคุณวุฒิ มาบรรยายใหก้ บั สมาชิกทาํ ใหส้ มาชิกมีความรู้เรืองทีวิทยากรพดู . การเรียนรู้จากสถาบันการศึกษา เป็ นการเรียนแบบเป็ นทางการ มีหลกั สูตร การประเมินผล มีระเบียบการเขา้ ศกึ ษาทีชดั เจน ผเู้ รียนตอ้ งปฏิบตั ิตามกฎระเบียบทีกาํ หนด เมอื ปฏบิ ตั ิครบถว้ นตามเกณฑ์ ทีกาํ หนดกจ็ ะไดร้ ับปริญญา หรือประกาศนียบตั ร จากสถานการณ์การเรียนรู้ดงั กลา่ วจะเห็นไดว้ า่ การเรียนรู้อาจเกิดไดห้ ลายวธิ ี และการเรียนรู้นัน ไม่จาํ เป็นตอ้ งเกิดขึนในสถาบนั การศกึ ษาเสมอไป การเรียนรู้อาจเกิดขึนไดจ้ ากการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง หรือ จากการเรียนโดยกลุ่มก็ได้ และการทีบุคคลมีความตระหนักเรียนรู้อย่ภู ายในจิตสาํ นึกของบุคคลนัน การเรียนรู้ดว้ ยตนเองจึงเป็ นตัวอย่างของการเรียนรู้ในลกั ษณะทีเป็ นการเรียนรู้ ทีทาํ ให้เกิดการเรียนรู้ ตลอดชีวิต ซึงมีความสําคญั สอดคลอ้ งกับการเปลียนแปลงของโลกปัจจุบนั และสนับสนุนสภาพ “สงั คมแห่งการเรียนรู้” ไดเ้ ป็นอยา่ งดี “การเรียนรู้เป็นเพอื นทีดีทีสุดของมนุษย”์ (LEARNING makes a man fit company for himself) ... (Young)...
การเรียนรู้ด้วยตนเองคอื อะไร เมือกล่าวถึง การเรียนด้วยตนเอง แลว้ บุคคลโดยทวั ไปมกั จะเขา้ ใจว่าเป็ นการเรียนทีผเู้ รียน ทาํ การศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองตามลาํ พงั โดยไม่ตอ้ งพึงพาผสู้ อน แต่แทท้ ีจริงแลว้ การเรียนดว้ ยตนเองที ตอ้ งการใหเ้ กิดขึนในตวั ผเู้ รียนนนั เป็นกระบวนการเรียนรู้ทผี ้เู รียนริเริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความ สนใจ ความต้องการ และความถนดั มเี ป้ าหมาย รู้จกั แสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้ เลอื กวธิ ีการ เรียนรู้ จนถึงการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเอง โดยจะดําเนินการด้วยตนเองหรือ ร่วมมอื ช่วยเหลอื กบั ผ้อู นื หรือไม่กไ็ ด้ ซึงผ้เู รียนจะต้องมคี วามรับผดิ ชอบและเป็ นผ้คู วบคุมการเรียนของ ตนเอง ทงั นีการเรียนดว้ ยตนเองนนั มแี นวคิดพืนฐานมาจากแนวคิดทฤษฎีกลุ่มมนุษยนิยมทีมีความเชือ ในเรืองความเป็นอสิ ระและความเป็ นตวั ของตวั เองของมนุษยว์ ่ามนุษยท์ ุกคนเกิดมาพร้อมกบั ความดี มี ความเป็นอิสระ เป็นตวั ของตวั เอง สามารถหาทางเลือกของตนเอง มีศกั ยภาพและสามารถพฒั นาศกั ยภาพ ของตนเองไดอ้ ยา่ งไม่มีขีดจาํ กดั รวมทงั มีความรับผดิ ชอบต่อตนเองและผอู้ ืน ซึงการเรียนดว้ ยตนเอง ก่อใหเ้ กิดผลในทางบวกต่อการเรียน โดยจะส่งผลใหผ้ เู้ รียนมีความเชือมนั ในตนเอง มีแรงจูงใจในการ เรียนมากขึน มีผลสมั ฤทธิทางการเรียนสูงขึน และมกี ารใชว้ ธิ ีการเรียนทีหลากหลาย การเรียนดว้ ยตนเอง จึงเป็ นมาตรฐานการศึกษาทีควรส่งเสริมให้เกิดขึนในตวั ผเู้ รียนทุกคน เพราะเมือใดก็ตามทีผเู้ รียนมี ใจรักทีจะศึกษาคน้ ควา้ จากความตอ้ งการของตนเอง ผเู้ รียนก็จะมีการศึกษาคน้ ควา้ อย่างต่อเนืองต่อไป โดยไมต่ อ้ งมใี ครบอกหรือบงั คบั เป็นแรงกระตุน้ ใหเ้ กิดความอยากรู้อยากเห็นต่อไปไม่มีทีสินสุด ซึงจะ นาํ ไปสู่การเป็นผเู้ รียนรู้ตลอดชีวติ ตามเป้ าหมายของการศึกษาต่อไป การเรียนดว้ ยตนเองมอี ยู่ 2 ลกั ษณะคือ ลกั ษณะทีเป็ นการจดั การเรียนรู้ทีมีจุดเนน้ ให้ผเู้ รียนเป็ น ศนู ยก์ ลางในการเรียนโดยเป็นผรู้ ับผดิ ชอบและควบคุมการเรียนของตนเองโดยการวางแผน ปฏิบตั ิการ เรียนรู้ และประเมนิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซึงไมจ่ าํ เป็นจะตอ้ งเรียนดว้ ยตนเองเพียงคนเดียวตามลาํ พงั และ ผเู้ รียนสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้และทกั ษะทีได้จากสถานการณ์หนึงไปยงั อีกสถานการณ์หนึงได้ ในอีกลกั ษณะหนึงเป็ นลกั ษณะทางบุคลิกภาพทีมีอย่ใู นตวั ผูท้ ีเรียนดว้ ยตนเองทุกคนซึงมีอย่ใู นระดบั ทีไม่เท่ากนั ในแต่ละสถานการณ์การเรียน โดยเป็ นลกั ษณะทีสามารถพฒั นาใหส้ ูงขึนไดแ้ ละจะพฒั นา ไดส้ ูงสุดเมอื มีการจดั สภาพการจดั การเรียนรู้ทีเออื กนั การเรียนด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้ทีผ้เู รียนริเริมการเรียนรู้ด้วย ตนเอง ตามความสนใจ ความต้องการ และความถนัด มีเป้ าหมาย รู้จักแสวงหาแหล่งทรัพยากรของการ เรียนรู้ เลอื กวิธีการเรียนรู้ จนถงึ การประเมนิ ความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเอง โดยจะดาํ เนินการด้วย ตนเองหรือร่ วมมือช่วยเหลอื กบั ผ้อู ืนหรือไม่กไ็ ด้ ซึงผ้เู รียนจะต้องมีความรับผิดชอบและเป็ นผู้ควบคุมการ เรียนของ ตนเอง
การเรียนรู้ด้วยตนเองมีความสําคญั อย่างไร การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นแนวทางการเรียนรู้หนึงทีสอดคลอ้ งกบั การ เปลยี นแปลงของสภาพปัจจุบนั และเป็ นแนวคิดทีสนบั สนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสมาชิกในสังคม สู่การเป็ นสังคมแห่งการเรียนรู้ โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็ นการเรียนรู้ทีทาํ ให้บุคคลมีการริเริมการ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง มเี ป้ าหมายในการเรียนรู้ทีแน่นอน มคี วามรับผดิ ชอบในชีวติ ของตนเอง ไมพ่ งึ คนอนื มี แรงจงู ใจ ทาํ ใหผ้ เู้ รียนเป็ นบุคคลทีใฝ่ รู้ ใฝ่ เรียน ทีมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนรู้วิธีเรียน สามารถเรียนรู้ เรืองราวต่าง ๆ ไดม้ ากกวา่ การเรียนทีมคี รูป้ อนความรู้ให้เพียงอย่างเดียว การเรียนรู้ดว้ ยตนเองไดน้ ับว่า เป็นคุณลกั ษณะทีดีทีสุดซึงมีอยใู่ น ตวั บุคคลทุกคน ผเู้ รียนควรจะมคี ุณลกั ษณะของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรู้ดว้ ยตนเองจดั เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต ยอมรับในศกั ยภาพของผเู้ รียนว่าผเู้ รียนทุกคน มีความสามารถทีจะเรียนรู้สิงต่าง ๆ ไดด้ ว้ ยตนเอง เพือทีตนเองสามารถทีดาํ รงชีวิตอย่ใู นสงั คมทีมีการ เปลียนแปลงอยตู่ ลอดเวลาไดอ้ ยา่ งมีความสุข ดงั นนั การเรียนรู้ดว้ ยตนเองมคี วามสาํ คญั ดงั นี . บุคคลทีเรียนรู้ดว้ ยการริเริมของตนเองจะเรียนไดม้ ากกว่า ดีกว่า มีความตงั ใจ มีจุดมุ่งหมาย และมีแรงจูงใจสูงกว่า สามารถนาํ ประโยชน์จากการเรียนรู้ไปใช้ไดด้ ีกว่าและยาวนานกว่าคนทีเรียน โดยเป็นเพียงผรู้ ับ หรือรอการถา่ ยทอดจากครู . การเรียนรู้ดว้ ยตนเองสอดคลอ้ งกบั พฒั นาการทางจิตวิทยา และกระบวนการทางธรรมชาติ ทาํ ให้บุคคลมีทิศทางของการบรรลุวุฒิภาวะจากลกั ษณะหนึงไปสู่อีกลกั ษณะหนึง คือ เมือตอนเด็ก ๆ เป็ นธรรมชาติทีจะตอ้ งพึงพิงผอู้ ืน ตอ้ งการผปู้ กครองปกป้ องเลียงดู และตดั สินใจแทนให้ เมือเติบโต มพี ฒั นาการขึนเรือยๆ พฒั นาตนเองไปสู่ความเป็นอสิ ระ ไม่ตอ้ งพงึ พงิ ผปู้ กครอง ครู และผอู้ นื การพฒั นา เป็นไปในสภาพทีเพมิ ความเป็นตวั ของตวั เอง . การเรียนรู้ดว้ ยตนเองทาํ ใหผ้ เู้ รียนมคี วามรับผดิ ชอบ ซึงเป็นลกั ษณะทีสอดคลอ้ งกบั พฒั นาการ ใหม่ ๆ ทางการศึกษา เช่น หลกั สูตร ห้องเรียนแบบเปิ ด ศูนยบ์ ริการวิชาการ การศึกษาอย่างอิสระ มหาวิทยาลยั เปิ ด ลว้ นเนน้ ใหผ้ เู้ รียนรับผดิ ชอบการเรียนรู้เอง . การเรียนรู้ดว้ ยตนเองทาํ ใหม้ นุษยอ์ ยรู่ อด การมคี วามเปลยี นแปลงใหม่ ๆ เกิดขึนเสมอ ทาํ ใหม้ ี ความจาํ เป็นทีจะตอ้ งศกึ ษาเรียนรู้ การเรียนรู้ดว้ ยตนเองจึงเป็นกระบวนการต่อเนืองตลอดชีวติ การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นคุณลกั ษณะทีสาํ คัญต่อการดาํ เนินชีวิตทีมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผ้เู รียน มคี วามตงั ใจและมีแรงจูงใจสูง มคี วามคิดริเริมสร้ างสรรค์ มคี วามยืดหย่นุ มากขึน มีการปรับพฤติกรรม การทาํ งานร่ วมกับผ้อู ืนได้ รู้จักเหตผุ ล รู้จักคิดวิเคราะห์ ปรับและประยุกต์ใช้วิธีการแก้ปัญหาของตนเอง จัดการกบั ปัญหาได้ดีขึน และสามารถนาํ ประโยชน์ของการเรียนรู้ไปใช้ได้ดีและยาวนานขึน ทาํ ให้ผ้เู รียน ประสบความสาํ เร็จในการเรียน
การเรียนรู้ด้วยตนเองมีลกั ษณะอย่างไร การเรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถจาํ แนกออกเป็น 2 ลกั ษณะสาํ คัญ ดังนี 1. ลกั ษณะทีเป็ นบุคลิกคุณลกั ษณะส่วนบุคคลของผูเ้ รียนในการเรี ยนดว้ ยตนเอง จัดเป็ น องคป์ ระกอบภายในทีจะทาํ ใหผ้ เู้ รียนมแี รงจงู ใจอยากเรียนต่อไป โดยผเู้ รียนทีมี คุณลกั ษณะในการเรียน ดว้ ยตนเองจะมคี วามรับผดิ ชอบต่อความคิดและการกระทาํ เกียวกบั การเรียน รวมทงั รับผดิ ชอบในการ บริหารจดั การตนเอง ซึงมโี อกาสเกิดขึนไดส้ ูงสุดเมอื มกี ารจดั สภาพการเรียนรู้ทีส่งเสริมกนั 2. ลกั ษณะทีเป็ นการจดั การเรียนรู้ให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนดว้ ยตนเอง ประกอบดว้ ย ขนั ตอนการ วางแผนการเรียน การปฏิบตั ิตามแผน และการประเมินผลการเรียน จดั เป็ นองคป์ ระกอบ ภายนอกทีส่ง ผลต่อการเรียนด้วยตนเองของผเู้ รียน ซึงการจดั การเรียนรู้แบบนีผเู้ รียนจะไดป้ ระโยชน์จากการเรียน มากทีสุด Knowles (1975) เสนอใหใ้ ชส้ ญั ญาการเรียน (Learning contracts) เป็นการมอบหมายภาระงาน ใหแ้ ก่ผเู้ รียนว่าจะตอ้ งทาํ อะไรบา้ งเพือใหไ้ ดร้ ับความรู้ตามเป้ าประสงคแ์ ละผเู้ รียนจะปฏิบตั ิตามเงือนไข นนั องค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเองมีอะไรบ้าง องค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง มดี งั นี 1. การวิเคราะห์ความต้องการของตนเองจะเริมจากให้ผเู้ รียนแต่ละคนบอกความตอ้ งการ และความสนใจของตนในการเรียนกบั เพือนอีกคน ทาํ หน้าทีเป็ นทีปรึกษา แนะนาํ และเพือนอีกคน ทาํ หน้าทีจดบนั ทึก และใหก้ ระทาํ เช่นนีหมุนเวียน ทงั 3 คน แสดงบทบาทครบทงั 3 ดา้ น คือ ผเู้ สนอ ความตอ้ งการ ผใู้ หค้ าํ ปรึกษา และผคู้ อยจดบนั ทึก การสังเกตการณ์ เพือประโยชน์ในการเรียนร่วมกนั และช่วยเหลือซึงกนั และกนั ในทุกๆ ดา้ น 2. การกาํ หนดจุดมุ่งหมายในการเรียน โดยเริมจากบทบาทของผเู้ รียนเป็นสาํ คญั ผเู้ รียนควรศกึ ษา จุดมุ่งหมายของวชิ า แลว้ เขียนจุดมุง่ หมายในการเรียนของตนให้ชดั เจน เนน้ พฤติกรรมทีคาดหวงั วดั ได้ มคี วามแตกต่างของจุดม่งุ หมายในแต่ละระดบั 3. การวางแผนการเรี ยน ให้ผูเ้ รียนกาํ หนดแนวทางการเรียนตามวัตถุประสงค์ทีระบุไว้ จดั เนือหาใหเ้ หมาะสมกบั สภาพความตอ้ งการและความสนใจของตน ระบุการจดั การเรียนรู้ใหเ้ หมาะสม กบั ตนเองมากทีสุด 4. การแสวงหาแหล่งวิทยาการทงั ทีเป็นวสั ดุและบุคคล 4.1 แหลง่ วทิ ยาการทีเป็นประโยชน์ในการศึกษาคน้ ควา้ เช่น หอ้ งสมดุ พิพิธภณั ฑ์ เป็นตน้ 4.2 ทกั ษะต่าง ๆ ทีมีส่วนช่วยในการแสวงแหลง่ วิทยาการไดอ้ ยา่ งสะดวกรวดเร็ว เช่น ทกั ษะการตงั คาํ ถาม ทกั ษะการอา่ น เป็นตน้
5. การประเมินผล ควรประเมินผลการเรี ยนดว้ ยตนเองตามทีกาํ หนดจุดมุ่งหมายของ การเรียนไว้ และใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคเ์ กียวกบั ความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ ทศั นคติ ค่านิยม มขี นั ตอนในการประเมิน คือ 5.1 กาํ หนดเป้ าหมาย วตั ถปุ ระสงคใ์ หช้ ดั เจน 5.2 ดาํ เนินการใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคซ์ ึงเป็นสิงสาํ คญั 5.3 รวบรวมหลกั ฐานจากผลการประเมินเพอื ตดั สินใจซึงตอ้ งตงั อยบู่ นพนื ฐานของ ขอ้ มลู ทีสมบรู ณ์และเชือถือได้ 5.4 เปรียบเทียบขอ้ มลู ก่อนเรียนกบั หลงั เรียนเพอื ดวู ่าผเู้ รียนมีความกา้ วหนา้ เพียงใด 5.5 ใชแ้ หลง่ ขอ้ มลู จากครูและผเู้ รียนเป็นหลกั ในการประเมิน องค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผเู้ รียนควรมีการวเิ คราะห์ความตอ้ งการ วิเคราะห์ เนือหา กาํ หนดจุดมุ่งหมายและการวางแผนในการเรียน มีความสามารถในการแสวงหาแหล่ง วทิ ยาการ และมีวธิ ีในการประเมินผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง โดยมีเพือนเป็นผรู้ ่วมเรียนรู้ไปพร้อมกนั และมคี รูเป็นผชู้ ีแนะ อาํ นวยความสะดวก และใหค้ าํ ปรึกษา ทงั นี ครูอาจตอ้ งมีการวิเคราะห์ความ พร้อมหรือทกั ษะทจี าํ เป็นของผเู้ รียนในการกา้ วสู่การเป็นผเู้รียนรู้ดว้ ยตนเองได้ รายละเอยี ดกิจกรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมที ใหอ้ ธิบายความหมายของคาํ ว่า “การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง” โดยสงั เขป กจิ กรรมที ใหอ้ ธิบาย “ความสาํ คญั ของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง” โดยสงั เขป กจิ กรรมที 3 ใหส้ รุปสาระสาํ คญั ของ “ลกั ษณะการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง” มาพอสงั เขป กจิ กรรมที 4 ใหส้ รุปสาระสาํ คญั ของ “องคป์ ระกอบของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง” มาพอสงั เขป
เรืองที การกาํ หนดเป้ าหมาย และการวางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง กระบวนการในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ความรับผิดชอบในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองของผเู้ รียน เป็ น สิงสาํ คญั ทีจะนาํ ผเู้ รียนไปสู่การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เพราะความรับผิดชอบในการเรียนรู้ดว้ ยตนเองนัน หมายถึง การทีผูเ้ รียนควบคุมเนือหา กระบวนการ องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มในการเรียนรู้ ของตนเอง ไดแ้ ก่ การวางแผนการเรียนของตนเอง โดยอาศยั แหล่งทรัพยากรทางความรู้ต่างๆ ทีจะช่วย นาํ แผนสู่การปฏิบตั ิ แต่ภายใตค้ วามรับผดิ ชอบของผเู้ รียน ผเู้ รียนรู้ดว้ ยตนเองตอ้ งเตรียมการวางแผน การเรียนรู้ของตน และเลือกสิงทีจะเรียนจากทางเลือกทีกาํ หนดไว้ รวมทงั วางโครงสร้างของแผนการ เรียนรู้ของตนอีกดว้ ย ในการวางแผนการเรียนรู้ ผเู้ รียนตอ้ งสามารถปฏิบตั ิงานทีกาํ หนด วินิจฉัยความ ช่วยเหลือทีตอ้ งการ และทาํ ใหไ้ ดค้ วามช่วยเหลือนัน สามารถเลือกแหล่งความรู้ วิเคราะห์ และวางแผน การเรียนทงั หมด รวมทงั ประเมนิ ความกา้ วหนา้ ในการเรียนของตน ในการเรียนรู้ด้วยตนเองผ้เู รียนและครูควรมบี ทบาทอย่างไร การเปรียบเทยี บบทบาทของครูและผ้เู รียนตามกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง บทบาทของผ้เู รียนในการเรียนรู้ด้วยตนเอง บทบาทของครูในการเรียนรู้ด้วยตนเอง 1. การวเิ คราะห์ความต้องการในการเรียน 1. การวเิ คราะห์ความต้องการในการเรียน วนิ ิจฉยั การเรียนรู้ สร้างความคุน้ เคยใหผ้ เู้ รียนไวว้ างใจ เขา้ ใจ วนิ ิจฉยั ความตอ้ งการในการเรียนรู้ของตน บทบาทครู บทบาทของตนเอง รับรู้และยอมรับความสามารถของตน วิเคราะหค์ วามตอ้ งการการเรียนรู้ของผเู้ รียน มีความรับผดิ ชอบในการเรียนรู้ และพฤติกรรมทีตอ้ งการใหเ้ กิดแก่ผเู้ รียน สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ทีพอใจดว้ ยตนเอง กาํ หนดโครงสร้างคร่าว ๆ ของหลกั สูตร มีส่วนร่วมในการระบุความตอ้ งการในการเรียน ขอบเขตเนื อหากว้าง ๆ สร้างทางเลือกที เลอื กสิงทีจะเรียนจากทางเลอื กต่างๆ ที หลากหลาย กาํ หนด สร้างบรรยากาศใหเ้ กิดความตอ้ งการการเรียน วางโครงสร้างของโครงการเรียนของตน วิเคราะห์ความพร้อมในการเรียนรู้ของผเู้ รียน โดยการตรวจสอบความพร้อมของผเู้ รียน มีส่วนร่วมในการตดั สินใจในทางเลอื กนนั แนะนาํ ขอ้ มลู ใหผ้ เู้ รียนคิด วเิ คราะห์เอง
การเปรียบเทยี บบทบาทของครูและผ้เู รียนตามกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง (ต่อ) บทบาทของผ้เู รียนในการเรียนรู้ด้วยตนเอง บทบาทของครูในการเรียนรู้ด้วยตนเอง 2. การกาํ หนดจดุ ม่งุ หมายในการเรียน ฝึกการกาํ หนดจุดมุง่ หมายในการเรียน 2. การกาํ หนดจดุ ม่งุ หมายในการเรียน รู้จุดมุ่งหมายในการเรียน และเรียนใหบ้ รรลุ กาํ หนดโครงสร้างคร่าวๆ วตั ถปุ ระสงคก์ าร เรียนของวชิ า จุดมุง่ หมาย ช่วยใหผ้ เู้ รียนเปลยี นความตอ้ งการทีมีอยใู่ ห้ ร่วมกนั พฒั นาเป้ าหมายการเรียนรู้ เป็นจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ทีวดั ไดเ้ ป็นไดจ้ ริง กาํ หนดจุดมุ่งหมายจากความตอ้ งการของตน เปิ ดโอกาสใหม้ ีการระดมสมอง ร่วมแสดง ความคิดเห็นและการนาํ เสนอ 3. การออกแบบแผนการเรียน แนะนาํ ขอ้ มลู ใหผ้ เู้ รียนคิด วเิ คราะหเ์ อง ฝึกการทาํ งานอยา่ งมีขนั ตอนจากง่ายไปยาก การใชย้ ทุ ธวธิ ีทีเหมาะสมในการเรียน 3. การออกแบบแผนการเรียน มคี วามรับผดิ ชอบในการดาํ เนินงานตามแผน เตรียมความพร้อมโดยจดั ประสบการณ์การ ร่วมมือ ร่วมใจรับผดิ ชอบการทาํ งานกลุ่ม เรียนรู้ เสริมทกั ษะทีจาํ เป็นในการเรียนรู้ รับผดิ ชอบควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้ของ มสี ่วนร่วมในการตดั สินใจ วธิ ีการทาํ งาน ตอ้ ง ตนเองตามแผนการเรียนทีกาํ หนดไว้ ทราบวา่ เรืองใดใชว้ ธิ ีใด สอนอยา่ งไร มสี ่วนร่วม ตดั สินใจเพยี งใด 4. การแสวงหาแหล่งวทิ ยาการ ยวั ยใุ หเ้ กิดพฤติกรรมการเรียนรู้ ฝึกคน้ หาความรู้ตามทีไดร้ ับมอบหมายจาก ผปู้ ระสานสิงทีตนเองรู้กบั สิงทีผเู้ รียนตอ้ งการ แนะนาํ ขอ้ มลู ใหผ้ เู้ รียนคิด วิเคราะห์เองจนได้ แหล่งการเรียนรู้ทีหลากหลาย แนวทางทีแจ่มแจง้ สร้างทางเลือกทีหลากหลาย กาํ หนดบุคคล และสือการเรียนทีเกียวขอ้ ง ใหผ้ เู้ รียนเลือกปฏิบตั ิตามแนวทางของตน มีส่วนร่วมในการสืบคน้ ขอ้ มลู ร่วมกบั เพือนๆ 4. การแสวงหาแหล่งวทิ ยาการ ดว้ ยความรับผดิ ชอบ สอนกลยทุ ธก์ ารสืบคน้ ขอ้ มลู ถา่ ยทอดความรู้ เลือกใชป้ ระโยชน์จากกิจกรรมและยทุ ธวิธีทีมี ประสิทธิภาพเพือใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ีกาํ หนด ถา้ ผเู้ รียนตอ้ งการ กระตุน้ ความสนใจชีแหลง่ ความรู้ แนะนาํ การใชส้ ือ จดั รูปแบบเนือหา สือการเรียนทีเหมาะสม บางส่วน สงั เกต ติดตาม ใหค้ าํ แนะนาํ เมือผเู้ รียนเกิด ปัญหาและตอ้ งการคาํ ปรึกษา
การเปรียบเทยี บบทบาทของครูและผ้เู รียนตามกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง (ต่อ) บทบาทของผ้เู รียนในการเรียนรู้ด้วยตนเอง บทบาทของครูในการเรียนรู้ด้วยตนเอง 5. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ 5. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ฝึกการประเมนิ ผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ใหค้ วามรู้และฝึกผเู้ รียนในการประเมนิ ผล มีส่วนร่วมในการประเมินผล การเรียนรู้ทีหลากหลาย ผเู้ รียนประเมินผลสมั ฤทธิดว้ ยตนเอง เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนนาํ เสนอวธิ ีการ เกณฑ์ ประเมินผล และมีส่วนร่วมในการตดั สินใจ จดั ทาํ ตารางการประเมินผลทีจะใชร้ ่วมกนั แนะนาํ วิธีการประเมนิ เมือผเู้ รียนมีขอ้ สงสยั จะเห็นได้ว่า ทงั ผูเ้ รี ยนและครูตอ้ งมีการวินิจฉัยความต้องการสิงทีจะเรี ยน ความพร้อม ของผเู้ รียนเกียวกบั ทกั ษะทีจาํ เป็นในการเรียน การกาํ หนดเป้ าหมาย การวางแผนการเรียนรู้ การแสวงหา แหลง่ วิทยาการ การประเมินผลการเรียนรู้ ซึงครูเป็ นผฝู้ ึ กฝน ใหแ้ รงจูงใจ แนะนาํ อาํ นวยความสะดวก โดยเตรียมการเบืองหลงั และใหค้ าํ ปรึกษา ส่วนผเู้ รียนตอ้ งเป็ นผเู้ ริมตน้ ปฏิบตั ิ ดว้ ยความกระตือรือร้น เอาใจใส่ และมีความรับผดิ ชอบ กระทาํ อยา่ งต่อเนืองดว้ ยตนเอง เรียนแบบมีส่วนร่วม จึงทาํ ให้ผเู้ รียน เป็นผเู้ รียนรู้ดว้ ยตนเองได้ ดงั หลกั การทีว่า “การเรียนรู้ตอ้ งเริมตน้ ทีตนเอง” และ ศกั ยภาพอนั พร้อมที จะเจริญเติบโตดว้ ยตนเองนนั ผเู้ รียนควรนาํ หวั ใจนกั ปราชญ์ คือ สุ จิ ปุ ลิ หรือ ฟัง คิด ถาม เขียน มาใช้ ในการสงั เคราะห์ความรู้ นอกจากนี กระบวนการเรียนรู้ในบริบททางสงั คม จะเป็ นพลงั อนั หนึงใน การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซึงเป็นการเรียนรู้ในสภาพชีวิตประจาํ วนั ทีตอ้ งอาศยั สภาพแวดลอ้ มมีส่วนร่วมใน กระบวนการ ทาํ ใหเ้ กิดบรรยากาศการแลกเปลียน พึงพากนั แต่ภายใตค้ วามเป็ นอิสระในทางเลือก ของผเู้ รียนดว้ ยวิจารณญาณทีอาศยั เหตุผล ประสบการณ์ หรือคาํ ชีแนะจากผรู้ ู้ ครู และผเู้ รียนจึงเป็ น ความรับผดิ ชอบร่วมกนั ต่อความสาํ เร็จในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
ลกั ษณะสําคญั ในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผ้เู รียน มดี งั นี 1. การมีส่วนร่วมในการวางแผน การปฏิบตั ิตามแผน และการประเมินผลการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ ผเู้ รียนมสี ่วนร่วมวางแผนกิจกรรมการเรียนรู้บนพนื ฐานความตอ้ งการของกลมุ่ ผเู้ รียน 2. การเรี ยนรู้ทีคาํ นึงถึงความสําคัญของผูเ้ รี ยนเป็ นรายบุคคล ได้แก่ ความแตกต่าง ในความสามารถ ความรู้พนื ฐาน ความสนใจเรียน วธิ ีการเรียนรู้ จดั เนือหาและสือใหเ้ หมาะสม 3. การพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ได้แก่ การสืบคน้ ข้อมลู ฝึ กเทคนิคทีจาํ เป็ น เช่น การสงั เกต การอ่านอยา่ งมีจุดประสงค์ การบนั ทึก เป็นตน้ 4. การพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ซึงกนั และกนั ไดแ้ ก่ การกาํ หนดให้ผเู้ รียนแบ่งความรับผิดชอบ ในกระบวนการเรียนรู้ การทาํ งานเดียว และเป็นกลมุ่ ทีมีทกั ษะการเรียนรู้ต่างกนั 5. การพฒั นาทกั ษะการประเมินตนเองและการร่วมมือในการประเมินกบั ผอู้ ืน ไดแ้ ก่ การให้ ผเู้ รียนเข้าใจความต้องการในการประเมิน ยอมรับการประเมินจากผูอ้ ืน เปิ ดโอกาสให้ประเมิน หลายรูปแบบ กระบวนการในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง เป็นวิธีการทีผเู้ รียนตอ้ งจดั กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง โดยดาํ เนินการ ดงั นี 1. การวนิ ิจฉยั ความตอ้ งการในการเรียน 2. การกาํ หนดจุดมุง่ หมายในการเรียน 3. การออกแบบแผนการเรียน 4. การดาํ เนินการเรียนรู้จากแหล่งวิทยาการ 5. การประเมินผล การตอบสนองของผเู้ รียนและครูตามกระบวนการในเรียนรู้ดว้ ยตนเอง มดี งั นี ขันตอน การตอบสนองของ การตอบสนองของครู ผ้เู รียน 1. วินิ จฉัยความ 1. ศึกษา ทาํ ความเขา้ ใจ 1. กระตุน้ ให้ผูเ้ รียนตระหนักถึงความจําเป็ นในการ ต้อง การในการ คาํ อธิบายรายวิชา เรียนรู้ดว้ ยตนเอง เรียนรู้ของผเู้ รียน 2. วินิจฉัยความตอ้ งการ 2. วิเคราะห์คาํ อธิบายรายวิชา จุดประสงค์ เนือหา ในการเรียนของตนเอง กิจกรรมและการประเมนิ การเรียนรายวิชา ทงั รายวิชาและรายหวั ขอ้ 3. อธิบายใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจคาํ อธิบายรายวชิ า การเรียน 4. ให้คาํ แนะนาํ แก่ผเู้ รียนในการวินิจฉัย ความตอ้ งการ 3. แบ่งกลุ่มอภิปราย ในการเรียน เกียวกบั ความตอ้ งการใน 5. อาํ นวยความสะดวกในการเรียนแบบร่วมมอื ในกล่มุ การเรี ยนเพือให้ผูเ้ รี ยน
ขันตอน การตอบสนองของ การตอบสนองของครู ผ้เู รียน แ ต่ ล ะ ค น ม ัน ใ จ ใ น ก า ร วนิ ิจฉยั ความตอ้ งการใน การเรียนของตนเอง 2. กาํ หนด 1. ผเู้ รียนแต่ละคนเขียน 1. ให้คาํ แนะนาํ แก่ผูเ้ รียนในการเขียนจุดมุ่งหมายการ จุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหมาย การเรียนใน เรียนทีถกู ตอ้ ง ในการเรียน แต่ละหัวขอ้ การเรียน ที วัดได้ สอดคล้องกับ ความต้องการในการ เรี ยนของผู้เรี ยนและ อธิบายรายวิชา 3. วางแผนการ 1. ทาํ ความเขา้ ใจเกียวกบั 1. ให้คาํ แนะนาํ ผเู้ รียนเกียวกบั ความจาํ เป็ นและวิธีการ เ รี ย น โ ด ย เ ขี ย น ความจาํ เป็นและวธิ กี าร วางแผนการเรียน สญั ญาการเรียน วางแผนการเรียน 2. ใหค้ าํ แนะนาํ ผเู้ รียนในการเขียนสญั ญาการเรียน 2. เขียนสญั ญาการเรียน ทีสอดคลอ้ งกบั คาํ อธิบาย รายวชิ า รวมทงั ความตอ้ งการ และความสนใจของ ตนเอง ในการเรียนแต่ละ ครัง 4. เขียนโครงการ 1. ร่ วมกับผูส้ อนและ 1. ใหค้ าํ แนะนาํ ในการเขียนโครงการเรียนรู้รายวิชา เรียนรู้ เพือนเขี ยนโครงการ 2. พิจารณาโครงการเรียนรู้ร่วมกบั ผเู้ รียนโดยกระตุน้ ให้ เรียนรู้ของทังชนั โดย ผเู้ รียนแสดงความคิดเห็นอยา่ งทวั ถึง พิจารณาจากโครงการ 3. ร่วมกบั ผเู้ รียนสรุปโครงการเรียนรู้ใหเ้ หมาะสม เรี ยนรู้ ทีผู้สอนร่ างมา และสญั ญาการเรียนของ ทุกคน
ขันตอน การตอบสนองของ การตอบสนองของครู ผ้เู รียน 5. ดาํ เนินการ เรียนรู้ 1. ทบทวนความรู้เดิม 1. ทดสอบความรู้เดิมของผเู้ รียน โดยใชเ้ ทคนิคการตงั ของตนเองทีจาํ เป็น คาํ ถามหรือทดสอบ สาํ หรับการสร้างความรู้ 2. ให้ความรู้เสริม เพือให้แน่ใจว่าผูเ้ รียนจะสามารถ ใหม่ โดยการตอบคาํ ถาม เชือมโยงความรู้เดิมกบั ความรู้ใหม่ได้ หรือทาํ แบบทดสอบ 3. ตังคาํ ถามเพือกระตุน้ ให้ผเู้ รียนคน้ หา คาํ ตอบและ 2. ผเู้ รียนแต่ละคน ประมวลคาํ ตอบดว้ ยตนเอง ดาํ เนินการเรียนตาม 4. สร้างบรรยากาศทีส่งเสริมการเรียน สญั ญาการเรียนอยา่ ง กระตือรือร้น โดยการ 5. ให้คาํ ปรึกษา ใหข้ อ้ มูลช่วยเหลือ และอาํ นวยความ สืบคน้ และแสวงหา สะดวกในกิจกรรมการเรียนของผเู้ รียนตามความจาํ เป็ น ความรู้เพอื สนองตอบ และความตอ้ งการของผเู้ รียน ความตอ้ งการในการ 6. กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนใชค้ วามรู้และประสบการณ์เดิมที เรียนดว้ ยวธิ ีการที เกียวข้องกันมาใช้ในการค้นหาคําตอบ โดยให้ ยกตวั อย่างหรือเปรียบเทียบเหตุการณ์ทีเกียวขอ้ งกับ หลากหลาย และใช้ เรืองทีเรียน แหลง่ ทรัพยากรการเรียน 7. ติดตามในการเรียนของผเู้ รียนตามสัญญาการเรียน ทีเหมาะสมตามความ และใหค้ าํ แนะนาํ ตอ้ งการของตนเอง โดย 8. ติดตามเป็นระยะๆ และใหข้ อ้ มลู ป้ อนกลบั แก่ผเู้ รียน นาํ ความรู้และ 9. บันทึกปัญหาและข้อขัดข้องต่างๆในการดาํ เนิน ประสบการณ์เดิมที กิจกรรมการเรียนเพือเสนอแนะการปรับปรุงใหด้ ีขึน เกียวขอ้ งกนั มาใชใ้ นการ 10. ใหอ้ สิ ระแก่ผเู้ รียนในการทาํ กิจกรรม คน้ หาคาํ ตอบ และกระตุน้ ให้ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียน 3. แบ่งกลมุ่ เรียนแบบ อย่างเต็มที ยอมรับฟังความคิดเห็นของผเู้ รียน และไม่ ร่วมมือ เพอื ศกึ ษาใน ตดั สินว่าความคิดเห็นของผเู้ รียนไมถ่ กู ตอ้ ง ประเดน็ ทีตอ้ งตอบ 11. กระตุน้ ให้ผูเ้ รียนสือสารความรู้ความ เขา้ ใจและ คาํ ถาม โดยการปรับ แนวคิดของตนเองใหผ้ อู้ นื เขา้ ใจอยา่ งชดั เจน จุดมงุ่ หมายในการเรียน 12. กระตุ้นให้ผูเ้ รี ยนมีส่วนร่ วมในการอภิปราย ของ ผเู้ รียนแต่ละคนเป็น แลกเปลียนความคิดเห็นอยา่ งกวา้ งขวางทงั ในกลุ่มและ ของกลุ่ม แลว้ แบ่ง ชนั เรียน บทบาทหนา้ ทีเพือ 13. สงั เกตการเรียนของผเู้ รียน บนั ทึก พฤติกรรมและ
ขันตอน การตอบสนองของ การตอบสนองของครู ผ้เู รียน แสวงหาความรู้ โดยใช้ กระบวนการเรียนของ ผเู้ รียน รวมทงั เหตุการณ์ทีส่งผล เทคนิคการตงั คาํ ถามเพือ ต่อการเรียน นาํ ไปสู่การหาคาํ ตอบ 14. กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนสรุปความรู้ความเขา้ ใจในบทเรียน ทงั นีกลุ่มผเู้ รียนแต่ละ ดว้ ยตนเอง กลุ่มอาจมรี ูปแบบในการ 15. กลนั กรอง แกไ้ ข และเสริมสาระสาํ คญั ของบทเรียน ทาํ กลุ่มทีแตกต่างกนั ใหช้ ดั เจนและครอบคลุมจุดมุง่ หมายการเรียน 4. ใชค้ วามคิดอยา่ งเตม็ ที 16. ร่วมกับผูเ้ รียนอภิปรายเกียวกับวิธีการเรี ยนทีมี มปี ฏิสมั พนั ธ์ โตต้ อบ ประสิทธิภาพ สิงทีสนบั สนุนและสิงทีขดั ขวางการเรียน คดั คา้ น สนบั สนุน และ แลกเปลียนความคดิ เห็น และความรู้สึกทีเปิ ด กวา้ งในกลมุ่ และรับฟัง ความคดิ เห็นของผอู้ ืน เพอื หาแนวทางการไดม้ า ซึงคาํ ตอบทีตอ้ งการของ ตนเอง และของกลมุ่ 5. แสดงความสามารถ ของตนเอง และยอมรับ ความสามารถของผอู้ นื 6. ตดั สินใจ และช่วย แกป้ ัญหาต่างๆทีเกิดขึน ในกิจกรรมการเรียน 7. ฝึกปฏิบตั ิทกั ษะทีตอ้ ง ศึกษาตาม จุดมุ่งหมาย การเรียน 8. ขอความช่วยเหลอื จาก ผสู้ อนตามความ เหมาะสม
ขันตอน การตอบสนองของ การตอบสนองของครู ผ้เู รียน 9. ปรึ กษาผู้สอนเป็ น ระยะๆ ตามทีระบุไวใ้ น สัญญาการเรี ยนเพือขอ คาํ แนะนาํ ช่วยเหลือ 10. ปรับเปลยี นการ ดาํ เนินการเรียน ตาม ความเหมาะสม และ บนั ทึกสิงที ปรับเปลยี น ลงในสญั ญาการเรียนให้ ชดั เจน และนาํ ไปเป็น ขอ้ มลู ในการวินิจฉยั ตนเองเพือตงั จุดมงุ่ หมาย ในการเรียนครังต่อไป 11. อภิปรายและสรุ ป ความรู้ทีไดใ้ นกลุ่ม 12. นาํ เสนอวิธีการเรียน และความรู้ทีไดต้ ่อทงั ชนั โดยใชร้ ูปแบบใน การแสดงออกในสิงที ตนไดเ้ รียนรู้ที หลากหลาย 13. อภิปราย แสดงความ คิดเห็น สะทอ้ น ความรู้สึกและให้ ขอ้ เสนอแนะเกียวกบั วิธีการเรียนดว้ ยตนเองที มปี ระสิทธิภาพ สิง สนบั สนุนและสิง ขดั ขวางการ เรียน
ขันตอน การตอบสนองของ การตอบสนองของครู ผ้เู รียน 14. ร่วมกนั สรุปประเด็น ความรู้ทีไดใ้ น ชนั เรียน 15. เขียนรายงานผลการ เรียน ทงั ในดา้ นเนือหา และวธิ ีการเรียน รวมทงั ความรู้สึกเกียวกบั ความสาํ เร็จหรือไม่ สาํ เร็จในการเรียนเป็น รายบุคคลและรายกลุ่ม 6. ประเมินผลการ 1. ประเมนิ ผลการเรียน 1. กระตุ้นให้ผเู้ รียนตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจของ เรียนรู้ ของตนเอง โดย ตนเองตลอดเวลา เปรียบเทียบกบั 2. ประเมนิ การเรียนของผเู้ รียนจากการสงั เกตพฤติกรรม จุดม่งุ หมายในการเรียน ในการเรียน ความสามารถในการเรียนตามสญั ญาการ ของตนเอง เรียน และผลงานในแฟ้ มสะสมงาน 2. ให้เพือนและครูช่วย 3. ใหข้ อ้ มูลป้ อนกลบั แก่ผเู้ รียนรายบุคคลและรายกลุ่ม สะทอ้ นผลการเรียน เกียวกบั กระบวนการเรียนดว้ ยตนเองและพฤติกรรมใน 3. ใหข้ อ้ มลู ป้ อนกลบั แก่ การเรียนรวมทงั ใหข้ อ้ เสนอแนะ ตามความ เหมาะสม เพอื นในกลุ่ม กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ประกอบดว้ ยขนั ตอน วินิจฉยั ความตอ้ งการในการเรียนรู้ของ ผเู้ รียน กาํ หนดจุดมุ่งหมายในการเรียน วางแผนการเรียนโดยใชส้ ญั ญาการเรียน เขียนโครงการเรียนรู้ ดาํ เนินการเรี ยนรู้และประเมินผลการเรี ยนรู้นัน ผูเ้ รี ยนจะได้ประโยชน์จากการเรี ยนมากทีสุด “สญั ญาการเรียน ( Learning Contract)” เป็นการมอบหมายภาระงานใหก้ บั ผเู้ รียนว่าจะตอ้ งทาํ อะไรบา้ ง เพือใหไ้ ดร้ ับความรู้ตามเป้ าประสงค์ และผเู้ รียนจะปฏิบตั ิตามเงือนไขนนั
สัญญาการเรียน (Learning Contract) คาํ ว่า สัญญา โดยทวั ไปหมายถึง ขอ้ ตกลงระหวา่ งบุคคล ฝ่ าย หรือหลายฝ่ ายว่าจะทาํ การหรือ งดเวน้ กระทาํ การอยา่ งใดอยา่ งหนึง ความจริงนนั ในระบบการจดั การเรียนรู้ก็มีการทาํ สญั ญากนั ระหว่าง ครูกบั ผเู้ รียน แต่ส่วนมากไม่ไดเ้ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรว่า ถา้ ผเู้ รียนทาํ ได้อย่างนันแลว้ ผเู้ รียนจะไดร้ ับ อะไรบา้ งตามขอ้ ตกลง สัญญาการเรียนจะเป็ นเครืองมือทีช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถกาํ หนดแนวการเรียน ของตวั เองไดด้ ียงิ ขึน ทาํ ใหป้ ระสบผลสาํ เร็จตามจุดมุ่งหมายและเป็นเครืองยนื ยนั ทีเป็นรูปธรรม ท่านคงแปลกใจทีไดย้ นิ คาํ วา่ “สญั ญา” เพราะคาํ นีเป็ นคาํ ทีคุน้ หูกนั ดีอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าท่านเคย ไดย้ นิ คาํ ว่า “สญั ญาการเรียน” หรือยงั คาํ ว่าสัญญาการเรียนมีผเู้ ริมใชเ้ ป็ นคนแรกคือ Dr. M.S. Knowles ศาสตราจารย์ สอนวิชาการศึกษาผใู้ หญ่ มหาวทิ ยาลยั North Carolina State ในสหรัฐอเมริกา คาํ วา่ สญั ญา แปลตามพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน แปลว่า “ขอ้ ตกลงกนั ” ดงั นนั สญั ญา การเรียน ก็คือขอ้ ตกลงทีผเู้ รียนไดท้ าํ ไวก้ บั ครูว่าเขาจะปฏิบตั ิอย่างไรบา้ งในกระบวนการเรียนรู้เพือให้ บรรลุจุดมุ่งหมายของหลกั สูตรนนั เอง สัญญาการเรียนเป็ นรูปแบบของการเรียนรู้ทีแสดงหลกั ฐานของการเรียนรู้โดยใชแ้ ฟ้ มสะสม ผลงานหรือ Portfolio . แนวคดิ การจดั การเรียนรู้ในระะบบ เป็นการเรียนรู้ทีครูเป็ นผกู้ าํ หนดรูปแบบ เนือหา กิจกรรมเป็ นส่วน ใหญ่ ผูเ้ รี ยนเป็ นแต่เพียงผูป้ ฏิบัติตาม ไม่ได้มีโอกาสในการมีส่วนร่ วมในการวางแผนการเรี ยน นกั การศึกษาทงั ในตะวนั ตกและแอฟริกา มองเห็นว่าระบบการศึกษาแบบนีเป็นระบบการศึกษาของพวก จกั รพรรดินิยมหรือเป็นการศกึ ษาของพวกชนชนั สูงบา้ ง เป็นระบบการศกึ ษาของผถู้ กู กดขีบา้ ง สรุปแลว้ ก็คือระบบการศึกษาแบบนีไมไ่ ดฝ้ ึกคนใหเ้ ป็นตวั ของตวั เอง ไม่ไดฝ้ ึกใหค้ นรู้จกั พึงตนเอง จึงมีผพู้ ยายาม ทีจะเปลียนแนวคิดทางการศึกษาใหม่ อย่างเช่นระบบการศึกษาทีเน้นการฝึ กให้คนไดร้ ู้จกั พึงตนเอง ในประเทศแทนซาเนีย การศกึ ษาทีใหค้ นคิดเป็นในประเทศไทยเราเหลา่ นีเป็นตน้ รูปแบบของการศึกษา ในอนาคต ควรจะมุ่งไปสู่ตัวผูเ้ รี ยนมากกว่าตัวผูส้ อน เพราะว่าในโลกปัจจุบันวิทยาการใหม่ ๆ ไดเ้ จริญกา้ วหนา้ ไปอยา่ งรวดเร็วมีหลายสิงหลายอย่างทีมนุษยจ์ ะตอ้ งเรียนรู้ ถา้ จะใหแ้ ต่มาคอยบอกกนั คงทาํ ไม่ได้ ดงั นนั ในการเรียนจะตอ้ งมกี ารฝึกฝนให้คิดใหร้ ู้จกั การหาวิธีการทีไดศ้ ึกษาสิงทีคนตอ้ งการ กลา่ วง่าย ๆ ก็คือ ผเู้ รียนทีไดร้ ับการศึกษาแบบทีเรียกว่าเรียนรู้เพือการเรียนในอนาคต
. ทําไมจะต้องมกี ารทาํ สัญญาการเรียน ผลจากการวจิ ยั เกียวกบั การเรียนรู้ของผใู้ หญ่ พบว่าผใู้ หญ่จะเรียนไดด้ ีทีสุดก็ต่อเมือการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง ไม่ใช่การบอกหรือการสอนแบบทีเป็ นโรงเรียน และผลจากการวิจยั ทางดา้ นจิตวิทยายงั พบ อีกวา่ ผใู้ หญ่มลี กั ษณะทีเด่นชดั ในเรืองความตอ้ งการทีจะทาํ อะไรดว้ ยตนเองโดยไม่ตอ้ งมีการสอนหรือ การชีแนะมากนกั อยา่ งไรก็ดีเมือพดู ถึงระบบการศึกษาก็ยอ่ มจะตอ้ งมีการกล่าวถึงคุณภาพของบุคคลทีเขา้ มาอยู่ ในระบบการศึกษา จึงมีความจาํ เป็ นทีจะตอ้ งกาํ หนดกฎเกณฑ์ขึนมาเพือเป็ นมาตรฐาน ดงั นันถึงแมจ้ ะ ใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ดว้ ยตนเองก็ตามกจ็ าํ เป็นจะตอ้ งสร้างมาตรการขึนมาเพือการควบคุมคุณภาพของผเู้ รียน เพือให้มีมาตรฐานตามทีสงั คมยอมรับ เหตุนีสัญญาการเรียนจึงเขา้ มามีบทบาทในการเรียนการสอน เป็ นการวางแผนการเรี ยนทีเป็ นระบบ ขอ้ ดีของสญั ญาการเรียน คือเป็นการประสานความคิดทีวา่ การเรียนรู้ ควรใหผ้ เู้ รียนกาํ หนดและ การศกึ ษาจะตอ้ งมเี กณฑม์ าตรฐานเขา้ ดว้ ยกนั เพราะในสัญญาการเรียนจะบ่งระบุว่าผเู้ รียนตอ้ งการเรียน เรืองอะไรและจะวดั ว่าไดบ้ รรลุตามความมงุ่ หมายแลว้ นนั หรือไม่อยา่ งไร มีหลกั ฐานการเรียนรู้อะไรบา้ ง ทีบ่งบอกว่าผเู้ รียนมีผลการเรียนรู้อยา่ งไร . การเขยี นสัญญาการเรียน การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ซึงเริมจากการจดั ทาํ สญั ญาการเรียนจะมีลาํ ดบั การดาํ เนินการ ดงั นี ขนั ที แจกหลกั สูตรใหก้ บั ผเู้ รียนในหลกั สูตรจะตอ้ งระบุ จุดประสงคข์ องรายวิชานี รายชือหนงั สืออา้ งอิงหรือหนงั สือสาํ หรับทีจะศกึ ษาคน้ ควา้ หน่วยการเรียนยอ่ ย พร้อมรายชือหนงั สืออา้ งอิง ครูอธิบาย และทาํ ความเขา้ ใจกบั ผเู้ รียนในเรืองหลกั สูตร จุดมุ่งหมายและหน่วยการ เรียนยอ่ ย ขนั ที แจกแบบฟอร์มของสญั ญาการเรียน จดุ ม่งุ หมาย แหล่งวทิ ยาการ/วธิ กี าร หลกั ฐาน การประเมนิ ผล เป็นส่วนทีระบุว่าผเู้ รียน เป็นส่วนทีระบุวา่ ผเู้ รียน เป็นส่วนทีมีสิงอา้ งอิง เป็นส่วนทีระบุวา่ ผเู้ รียน ตอ้ งการบรรลุผลสาํ เร็จ จะเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งไร หรือยนื ยนั ทีเป็น สามารถเกิดการเรียนรู้ ในเรืองอะไร อยา่ งไร จากแหลง่ ความรู้ใด รูปธรรม ในระดบั ใด ทีแสดงใหเ้ ห็นวา่ ผเู้ รียน ไดเ้ กิดการเรียนรู้แลว้ โดยเก็บรวบรวมเป็ น แฟ้ มสะสมงาน
ขันที อธิบายวธิ ีการเขียนขอ้ ตกลงในแบบฟอร์มแต่ละช่องโดยเริมจาก จุดมุ่งหมาย วิธีการเรียนรู้หรือแหลง่ วิทยาการ หลกั ฐาน การประเมนิ ผล ขันที ถามปัญหาและขอ้ สงสยั ขันที แจกตวั อยา่ งสญั ญาการเรียนใหผ้ เู้ รียนคนละ ชุด ขันที อธิบายถงึ การเขียนสญั ญาการเรียน ผเู้ รียนลงมือเขียนขอ้ ตกลงโดยผเู้ รียนเอง โดยเขียนรายละเอียดทงั ช่องในแบบฟอร์ม สญั ญาการเรียน นอกจากนีผเู้ รียนยงั สามารถระบุระดบั การเรียนทงั ในระดบั ดี ดีเยียม หรือปานกลาง ซึงผเู้ รียนมีความตงั ใจทีจะบรรลุการเรียนในระดบั ดีเยยี มหรือมีความตงั ใจทีจะเรียนรู้ในระดบั ดี หรือ พอใจ ผเู้ รียนกต็ อ้ งแสดงรายละเอียด ผเู้ รียนตอ้ งการแต่ระดบั ดี คือ ผเู้ รียนตอ้ งแสดงความสามารถตาม วตั ถุประสงคท์ ีกล่าวไวใ้ นหลกั สูตรให้ครบถว้ น การทาํ สัญญาระดบั ดีเยียม นอกจากผเู้ รียนจะบรรลุ วตั ถปุ ระสงคต์ ามหลกั สูตรแลว้ ผเู้ รียนจะตอ้ งแสดงความสามารถพิเศษเรืองใดเรืองหนึงโดยเฉพาะ อนั มี ส่วนเกียวขอ้ งกบั หลกั สูตร ขันที ใหผ้ เู้ รียนและเพือนพิจารณาสัญญาการเรียนใหเ้ รียบร้อย ต่อไปใหผ้ เู้ รียนเลือกเพือน ในกลมุ่ คน เพือจะไดช้ ่วยกนั พิจารณาสญั ญาการเรียนรู้ของทงั คน ในการพิจารณาสญั ญาการเรียนใหพ้ ิจารณาตามหวั ขอ้ ต่อไปนี . จุดมงุ่ หมายมีความแจ่มชดั หรือไม่ เขา้ ใจหรือไม่ เป็นไปไดจ้ ริงหรือไม่บอกพฤติกรรมทีจะให้ เกิดจริง ๆ หรือไม่ . มจี ุดประสงคอ์ ืนทีพอจะนาํ มากลา่ วเพมิ เติมไดอ้ ีกหรือไม่ . แหลง่ วิชาการและวิธีการหาขอ้ มลู เหมาะสมเพยี งใด มีประสิทธิภาพเพยี งใด . มวี ธิ ีการอืนอีกหรือไม่ ทีสามารถนาํ มาใชเ้ พอื การเรียนรู้ . หลกั ฐานการเรียนรู้มคี วามสอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมายเพียงใด . มีหลกั ฐานอืนทีพอจะนาํ มาแสดงไดอ้ กี หรือไม่ . วธิ ีการประเมินผลหรือมาตรการทีใชว้ ดั มคี วามเชือถือไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใด . มีวิธีการประเมนิ ผลหรือมาตรการอนื อกี บา้ งหรือไม่ ในการวดั ผลและประเมินผลการเรียนรู้ ขันที ใหผ้ เู้ รียนนาํ สญั ญาการเรียนไปปรับปรุงใหเ้ หมาะสมอีกครังหนึง ขันที ใหผ้ เู้ รียนทาํ สญั ญาการเรียนทีปรับปรุงแลว้ ใหค้ รูและทีปรึกษาตรวจดูอกี ครังหนึง ฉบบั ทีเรียบร้อยใหด้ าํ เนินการไดต้ ามทีเขียนไวใ้ นสญั ญาการเรียน ขันที การเรียนก่อนทีจะจบเทอม อาทิตย์ ให้ผเู้ รียนนาํ แฟ้ มสะสมงาน (แฟ้ มเก็บขอ้ มูล Portfolio) ตามทีระบุไวใ้ นสญั ญาการเรียนมาแสดง
ขันที ครูและผเู้ รียนจะตงั คณะกรรมการในการพิจารณาแฟ้ มสะสมงานทีผเู้ รียนนาํ มาส่ง และส่งคืนผเู้ รียนก่อนสินภาคเรียน (ตวั อย่าง) การวางแผนการเรียนโดยใช้สัญญาการเรียน จุดม่งุ หมาย วธิ ีการเรียนรู้ หลกั ฐาน การประเมนิ ผล แหล่งวทิ ยาการ . สามารถอธิบาย . อ่านเอกสารอา้ งอิง . ทาํ รายงานยอ่ ใหผ้ เู้ รียน - คน ประเมิน ความตอ้ งการ ความ ทีเสนอแนะในหลกั สูตร ขอ้ คิดเห็นจากหนงั สือ รายงานและบนั ทึกการ สนใจ แรงจูงใจ . อ่านเอกสารที ทีอ่าน อภิปรายการประเมนิ ให้ ความสามารถและ เกียวขอ้ งอืน ๆ . บนั ทึกการอภิปราย ประเมนิ ตามหวั ขอ้ ต่อไปนี ความสนใจของ . รวมกลุม่ รายงานและ . ทาํ รายงานและ . รายงานครอบคลมุ ผใู้ หญ่ได้ อภิปรายกบั ผเู้ รียนอนื เ ส น อ แ น ะ เ กี ย ว กั บ เนือหาตามความม่งุ หมาย หรือกลมุ่ การเรียนอนื ทฤษฎีการเรี ยนรู้เพือ เพียงใด นาํ ไป ใชก้ บั นกั ศึกษาผใู้ หญ่ . รายงานมีความชัดเจน (โดยจดั ทาํ ในรูปแบบ เพียงใด แฟ้ มสะสมงาน) . รายงานมีประโยชน์ ในการเรียนของนกั ศกึ ษา ผใู้ หญ่เพยี งใด โดยขา้ พเจา้ จะเริมปฏบิ ตั ิตงั แต่วนั ที.....เดือน.................พ.ศ. .........ถึง วนั ที.......เดือน................พ.ศ. ....... ลงชือ.................................ผทู้ าํ สญั ญา () ลงชือ.................................พยาน () ลงชือ.................................พยาน () ลงชือ.................................ครูผสู้ อน ()
การประเมนิ ผลการเรียนโดยใช้แฟ้ มสะสมงาน การจดั ทาํ แฟ้ มสะสมงาน (Portfolio) เป็ นวิธีการสาํ คญั ทีนาํ มาใชใ้ นการวดั ผลและประเมินผล การเรียนรู้ทีใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ดว้ ยตนเองโดยการจดั ทาํ แฟ้ มสะสมงานทีมีความเชือพืนฐานทีสาํ คญั มาจาก การใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้จากสภาพจริง (Authentic Learning) ซึงมีสาระสาํ คญั ทีพอสรุปไดด้ งั นี 1. ความเชือพนื ฐานของการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Learning) . ความเชือเกียวกบั การจดั การศกึ ษา มนุษยม์ ีสญั ชาตญาณทีจะเรียนรู้ มีความสามารถและมีความกระหายทีจะเรียนรู้ ภายใตบ้ รรยากาศของสภาพแวดลอ้ มทีเออื อาํ นวยและการสนบั สนุนจะทาํ ใหม้ นุษย์ สามารถทีจะริเริมและเกิดการเรียนรู้ของตนเองได้ มนุษยส์ ามารถทีจะสร้างองคค์ วามรู้จากการปฏิสมั พนั ธก์ บั คนอืนและจากสือทีมี ความหมายต่อชีวติ มนุษยม์ พี ฒั นาการดา้ นร่างกาย ดา้ นอารมณ์ ดา้ นสงั คม และดา้ นสติปัญญาแตกต่าง กนั . ความเชือเกียวกบั การเรียนรู้ การเรียนรู้จะเริมจากสิงทีเป็ นรูปธรรมไปสู่นามธรรมโดยผ่านกระบวนการการ สาํ รวจตนเอง การเสริมสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้และการสร้างบริบทของสังคมให้ผูเ้ รียนได้ ปฏิสมั พนั ธก์ บั ผเู้ รียนอืน การเรียนรู้มีองคป์ ระกอบทางดา้ นปัญญาหลายดา้ นทงั ในดา้ นภาษา คาํ นวณ พืนที ดนตรี การเคลือนไหว ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลและอนื ๆ การแสวงหาความรู้จะมีประสิทธิภาพมากยิงขึนถา้ อยู่ในบริบททีมีความหมาย ต่อชีวติ การแสวงหาความรู้เป็นกระบวนการทีเกิดขึนตลอดชีวติ . ความเชือเกียวกบั การสอน การสอนจะตอ้ งยดึ ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง การสอนจะเป็นทงั รายบุคคลและรายกลุ่ม การสอนจะยอมรับวฒั นธรรมทีแตกต่างกนั และวธิ ีการเรียนรู้ทีเป็นเอกลกั ษณ์ของ ผเู้ รียนแต่ละคน การสอนกบั การประเมินเป็นกระบวนการต่อเนืองและเกียวขอ้ งซึงกนั และกนั การสอนจะตอ้ งตอบสนองต่อการขยายความรู้ทีไมม่ ที ีสินสุดของหลกั สูตรสาขาต่าง ๆ
. ความเชือเกียวกบั การประเมิน การประเมนิ แบบนาํ คะแนนของผเู้ รียนจาํ นวนมากมาเปรียบเทียบกนั มีคุณค่าน้อย ต่อการพฒั นาศกั ยภาพของผเู้ รียน การประเมนิ ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ไมใ่ ช่สิงสะทอ้ นความสามารถ ทีมีอย่ใู นตวั ผเู้ รียน แต่จะสะทอ้ นถึงการปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลกบั สิงแวดลอ้ มและความสามารถที แสดงออกมา การประเมินตามสภาพจริงจะใหข้ อ้ มลู และข่าวสารทีเทียงตรงเกียวกบั ผเู้ รียนและ กระบวนการทางการศกึ ษา . ความหมายของการประเมนิ ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) การประเมนิ ตามสภาพจริง เป็นกระบวนการของการสงั เกตการณ์บนั ทึก การจดั ทาํ เอกสารที เกียวกบั งานหรือภารกิจทีผเู้ รียนไดท้ าํ รวมทงั แสดงวิธีการว่าได้ทาํ อย่างไร เพือใชเ้ ป็ นขอ้ มลู พืนฐาน เกียวกบั การตดั สินใจทางการศึกษาของผเู้ รียนนัน การประเมินตามสภาพจริงมีความแตกต่างจากการ ประเมินโครงการตรงทีการประเมินแบบนีไดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั ผเู้ รียนมากกว่าการให้ความสาํ คญั กับ ผลอนั ทีจะเกิดขึนจากการดูคะแนนของกลุม่ ผเู้ รียนและแตกต่างจากการทดสอบเนืองจากเป็ นการวดั ผล การปฏิบตั ิจริง (Authentic Assessment) การประเมินตามสภาพจริงจะไดข้ อ้ มูลสารสนเทศเชิงคุณภาพ อยา่ งต่อเนืองทีสามารถนาํ มาใชใ้ นการแนะแนวการเรียนสาํ หรับผเู้ รียนแต่ละคนไดเ้ ป็นอยา่ งดี . ลกั ษณะทีสําคญั ของการประเมนิ ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ใหค้ วามสาํ คญั ขอบการพฒั นาและการเรียนรู้ เนน้ การคน้ หาศกั ยภาพนาํ เอามาเปิ ดเผย ใหค้ วามสาํ คญั กบั จุดเด่นของผเู้ รียน ยดื ถือเหตุการณ์ในชีวติ จริง เนน้ การปฏิบตั ิจริง จะตอ้ งเชือมโยงกบั การเรียนการสอน มุ่งเนน้ การเรียนรู้อยา่ งมีเป้ าหมาย เป็นกระบวนการเกิดขึนอยา่ งต่อเนืองในทุกบริบท ช่วยใหม้ คี วามเขา้ ใจในความสามารถของผเู้ รียนและวธิ ีการเรียนรู้ ช่วยใหเ้ กิดความร่วมมือทงั ผปู้ กครอง พ่อแม่ ครู ผเู้ รียนและบุคคลอืน ๆ . การประเมนิ ผลการเรียนโดยใช้แฟ้ มสะสมงาน แฟ้ มสะสมงาน เป็นวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง ซึงเป็นวธิ ีการทีครูไดน้ าํ วธิ ีการ มาจากศิลปิ น (artist) มาใชใ้ นทางการศึกษาเพือการประเมินความกา้ วหน้าในการเรียนรู้ของผเู้ รียน โดยแฟ้ มสะสมงานมีประโยชน์ทีสาํ คญั คือ
ผเู้ รียนสามารถแสดงความสามารถในการทาํ งานโดยทีการสอบทาํ ไม่ได้ เป็นการวดั ความสามารถในการเรียนรู้ของผเู้ รียน ช่วยใหผ้ เู้รียนสามารถแสดงใหเ้ ห็นกระบวนการเรียนรู้ (Process) และผลงาน (Product) ช่วยใหส้ ามารถแสดงใหเ้ ห็นการเรียนรู้ทีเป็นนามธรรมใหเ้ ป็นรูปธรรม แฟ้ มสะสมงานไมใ่ ช่แนวคิดใหม่ เป็นเรืองทีมีมานานแลว้ ใชโ้ ดยกลมุ่ เขียนภาพ ศิลปิ น สถาปนิก นกั แสดง และนักออกแบบ โดยแฟ้ มสะสมงานได้ถูกนํามาใชใ้ นทางการศึกษาในการเรียนการสอน ทางด้านภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิชาอืน ๆ ทงั นีแฟ้ มสะสมงานเป็ นวิธีการทีสะท้อนถึง วิธีการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ซึงเป็ นกระบวนการของการ รวบรวมหลกั ฐานทีแสดงใหเ้ ห็นว่าผเู้ รียนสามารถทาํ อะไรไดบ้ า้ งและเป็นกระบวนการของการแปลความ จากหลกั ฐานทีไดแ้ ละมกี ารตดั สินใจหรือให้คุณค่าการประเมินผลตามสภาพจริงเป็ นกระบวนการทีใช้ เพืออธิบายถึงภาระงานทีแทจ้ ริงหรือ real task ทีผเู้ รียนจะตอ้ งปฏิบตั ิหรือสร้างความรู้ ไม่ใช่สร้างแต่ เพยี งขอ้ มลู สารสนเทศ การประเมินโดยใชแ้ ฟ้ มสะสมงานเป็นวธิ ีการของการประเมนิ ทีมีองคป์ ระกอบสาํ คญั คือ ใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงการกระทาํ - ลงมอื ปฏบิ ตั ิ สาธิตหรือแสดงทกั ษะออกมาใหเ้ ห็น แสดงกระบวนการเรียนรู้ ผลติ ชินงานหรือหลกั ฐานว่าเขาไดร้ ู้และเขาทาํ ได้ ซึงการประเมินโดยใช้แฟ้ มสะสมงานหรือการประเมินตามสภาพจริง โดยวิธีการดงั กล่าวนี จะมีลกั ษณะทีสาํ คญั คือ ชินงานทีมีความหมาย (meaningful tasks) มีมาตรฐานทีชดั เจน (clear standard) มกี ารใหส้ ะทอ้ นความคิด ความรู้สึก (reflections) มกี ารเชือมโยงกบั ชีวิตจริง (transfer) เป็นการปรับปรุงและบรู ณาการ (formative integrative) เกียวขอ้ งกบั การคิดในลาํ ดบั ทีสูงขึนไป (high – order thinking) เนน้ การปฏิบตั ิทีมคี ุณภาพ (quality performance) ไดผ้ ลงานทีมคี ุณภาพ (quality product) . ลกั ษณะของแฟ้ มสะสมงาน นกั การศึกษาบางท่านไดก้ ล่าววา่ แฟ้ มสะสมงานมีลกั ษณะเหมอื นกบั จานผสมสี ซึงจะเห็นไดว้ ่า จานผสมสีเป็นส่วนทีรวมเรืองสีต่าง ๆ ทงั นีแฟ้ มสะสมงานเป็นสิงทีรวมการประเมินแบบต่าง ๆ เพือการ วาดภาพใหเ้ ห็นวา่ ผเู้ รียนเป็นอยา่ งไร แฟ้ มสะสมงานไม่ใช่ถงั บรรจุสิงของ (Container) ทีเป็ นทีรวมของ สิงต่าง ๆ ทีจะเอาอะไรมากองรวมไวห้ รือเอามาใส่ไวใ้ นทีเดียวกนั แต่แฟ้ มสะสมงานเป็นการรวบรวม
หลกั ฐานทีมรี ะบบและมีการจดั การโดยครูและผเู้ รียนเพอื การตรวจสอบความกา้ วหนา้ หรือการเรียนรู้ ดา้ นความรู้ ทกั ษะและเจตคติในเรืองเฉพาะวชิ าใดวชิ าหนึง กลา่ วโดยทวั ไป แฟ้ มสะสมงานจะมีลกั ษณะทีสาํ คญั ประการคือ - เป็นเหมือนสิงทีรวบรวมหลกั ฐานทีแสดงความรู้และทกั ษะของผเู้ รียน - เป็นภาพทีแสดงพฒั นาการของผเู้ รียนในการเรียนรู้ ตลอดช่วงเวลาของการเรียน . จดุ ม่งุ หมายของการประเมนิ โดยใช้แฟ้ มสะสมงาน มดี ังนี ช่วยใหค้ รูไดร้ วบรวมงานทีสะทอ้ นถึงความสาํ คัญของผเู้ รียนในวตั ถุประสงค์ใหญ่ของการ เรียนรู้ ช่วยกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนสามารถจดั การเรียนรู้ของตนเอง ช่วยใหค้ รูไดเ้ กิดความเขา้ ใจอยา่ งแจ่มแจง้ ในความกา้ วหนา้ ของผเู้ รียน ช่วยใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ขา้ ใจตนเองมากยงิ ขึน ช่วยใหท้ ราบการเปลยี นแปลงและความกา้ วหนา้ ตลอดช่วงระหวา่ งการเรียนรู้ ช่วยใหผ้ เู้ รียนไดต้ ระหนกั ถงึ ประวตั ิการเรียนรู้ของตนเอง ช่วยทาํ ใหเ้ กิดความสมั พนั ธร์ ะหว่างการสอนกบั การประเมิน . กระบวนการของการจดั ทําแฟ้ มสะสมงาน การจดั ทาํ แฟ้ มสะสมงาน มีกระบวนการหรือขนั ตอนอยหู่ ลายขนั ตอน แต่ทงั นีกส็ ามารถปรับปรุง ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม Kay Burke (1994) และคณะ ไดก้ าํ หนดขนั ตอนของการทาํ แฟ้ มสะสมงานไว้ ขนั ตอน ดงั นี ขนั ที การรวบรวมและจดั ระบบของผลงาน ขนั ที การเลือกผลงานหลกั ตามเกณฑท์ ีกาํ หนด ขนั ที การสร้างสรรคแ์ ฟ้ มสะสมผลงาน ขนั ที การสะทอ้ นความคิด หรือความรู้สึกต่อผลงาน ขนั ที การตรวจสอบเพอื ประเมนิ ตนเอง ขนั ที การประเมนิ ผล ประเมินค่าของผลงาน ขนั ที การแลกเปลียนประสบการณ์กบั บุคคลอนื ขนั ที การคดั สรรและปรับเปลียนผลงานเพอื ใหท้ นั สมยั ขนั ที การประชาสมั พนั ธ์ หรือจดั นิทรรศการแฟ้ มสะสมงาน
. รูปแบบ (Model) ของการทําแฟ้ มสะสมงาน สามารถดําเนินการได้ดงั นี สาํ หรับผเู้ ริมทาํ ไมม่ ปี ระสบการณ์มาก่อนควรใช้ ขนั ตอน ขนั ที การรวบรวมผลงาน ขนั ที การคดั เลือกผลงาน ขนั ที การสะทอ้ นความคิด ความรู้สึกในผลงาน สาํ หรับผทู้ ีมีประสบการณ์ใหม่ ๆ ควรใช้ ขนั ตอน ขนั ที กาํ หนดจุดมุ่งหมาย ขนั ที การรวบรวม ขนั ที การคดั เลือกผลงาน ขนั ที การสะทอ้ นความคิดในผลงาน ขนั ที การประเมินผลงาน ขนั ที การแลกเปลยี นกบั ผเู้ รียน สาํ หรับผทู้ ีมีประสบการณ์พอสมควร ควรใช้ ขนั ตอนดงั ทีกลา่ วขา้ งตน้ . การวางแผนทาํ แฟ้ มสะสมงาน การวางแผนและการกาํ หนดจุดมุง่ หมาย คาํ ถามหลกั ทีจะตอ้ งทาํ ใหช้ ดั เจน ทาํ ไมจะตอ้ งใหผ้ เู้ รียนรวบรวมผลงาน ทาํ แฟ้ มสะสมงานเพอื อะไร จุดมงุ่ หมายทีแทจ้ ริงของการทาํ แฟ้ มสะสมงาน คืออะไร การใช้ แฟ้ มสะสมงานในการประเมนิ มขี อ้ ดี ขอ้ เสียอยา่ งไร แฟ้ มสะสมงานไมใ่ ช่เป็นเพียงการเรียนการสอนหรือการประเมินผล แต่เป็ นทงั กระบวนการ เรียนการสอนและการวดั ผลประเมนิ ผล แฟ้ มสะสมงาน เป็นกระบวนการทีทาํ ใหผ้ เู้ รียนเป็นผทู้ ีลงมอื ปฏบิ ตั ิเองและเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การใชแ้ ฟ้ มสะสมงานในการประเมินจะมหี ลกั สาํ คญั ประการ เนือหา ตอ้ งเกียวกบั เนือหาทีสาํ คญั ในหลกั สูตร การเรียนรู้ ผเู้ รียนเป็นผลู้ งมอื ปฏิบตั ิเอง โดยมกี ารบรู ณาการทีจะตอ้ งสะทอ้ น กระบวนการเรียนรู้ ทงั ในเรืองการอา่ น การเขียน การฟัง การแกป้ ัญหา และการคิดระดบั ทีสูงกว่าปกติ . การเกบ็ รวบรวมชินงานและการจดั แฟ้ มสะสมงาน ความหมายของแฟ้ มสะสมงานคือ การรวบรวมผลงานของผเู้ รียนอยา่ งมวี ตั ถปุ ระสงค์ เพอื การแสดงใหเ้ ห็นความพยายาม ความกา้ วหนา้ และความสาํ เร็จของผเู้ รียนในเรืองใดเรืองหนึง
วธิ ีการเกบ็ รวบรวม สามารถจดั ใหอ้ ยใู่ นรูปแบบของสิงต่อไปนี แฟ้ มงาน สมุดบนั ทึก ตูเ้ ก็บเอกสาร กล่อง อลั บมั แผน่ ดิสก์ วธิ ีการดาํ เนินการเพอื การรวบรวม จดั ทาํ ไดโ้ ดยวธิ ีการ ดงั นี รวบรวมผลงานทุกชินทีจดั ทาํ เป็นแฟ้ มสะสมงาน คดั เรืองผลงานเพือใชใ้ นแฟ้ มสะสมงาน สะทอ้ นความคิดในผลงานทีคดั เรืองไว้ รูปแบบของแฟ้ มสะสมงาน อาจมอี งคป์ ระกอบดงั นี สารบญั และแสดงประวตั ิผทู้ าํ แฟ้ มสะสมงาน ส่วนทีแสดงวตั ถปุ ระสงค/์ จุดมงุ่ หมาย ส่วนทีแสดงชินงานหรือผลงาน ส่วนทีสะทอ้ นความคิดเห็นหรือความรู้สึก ส่วนทีแสดงการประเมินผลงานดว้ ยตนเอง ส่วนทีแสดงการประเมนิ ผล ส่วนทีเป็นภาคผนวก ขอ้ มลู ประกอบอืน ๆ กจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมที 1 ใหส้ รุปบทบาทของผเู้ รียนในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง มาพอสงั เขป กจิ กรรมที 2 ใหส้ รุปบทบาทของครูในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง มาพอสงั เขป กจิ กรรมที 3 ใหเ้ ปรียบเทียบบทบาทของผเู้ รียนและครู มาพอสงั เขป กจิ กรรมที 4 ใหส้ รุปสาระสาํ คญั ของ “กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง” มาพอสงั เขป กจิ กรรมที ใหผ้ เู้ รียนศึกษาสญั ญาการเรียนรู้ (รายบุคคล) และปรึกษาครู แลว้ จดั ทาํ ร่างกรอบ แนวคิดสญั ญาการเรียนรู้รายวชิ าทกั ษะการเรียนรู้
เรืองที ทักษะพนื ฐานทางการศึกษาหาความรู้ ทกั ษะการแก้ปัญหา และเทคนิคการเรียนรู้ด้วยตนเอง คาํ ถามธรรมดา ๆ ทีเราเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังกนั อย่บู ่อย ๆ ก็คือ ทาํ อยา่ งไรเราจึงจะสามารถฟังอย่าง รู้เรือง และคิดไดอ้ ยา่ งปราดเปรือง อา่ นไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ตลอดจนเขียนไดอ้ ยา่ งมอื อาชีพ ทงั นี ก็เพราะเรา เขา้ ใจกนั ดีว่า ทงั หมดนีเป็นทกั ษะพนื ฐาน (basic skills) ทีสาํ คญั และเป็ นความสามารถ (competencies) ทีจาํ เป็นสาํ หรับการดาํ รงชีวิตทงั ในโลกแห่งการทาํ งาน และในโลกแห่งการเรียนรู้ การฟัง เป็นการรับรู้ความหมายจากเสียงทีไดย้ นิ เป็นการรับสารทางหู การไดย้ นิ เป็นการเริมตน้ ของการฟังและเป็นเพียงการกระทบกนั ของเสียงกบั ประสาทตามปกติ จึงเป็ นการใชค้ วามสามารถทาง ร่างกายโดยตรง ส่วนการฟังเป็นกระบวนการทาํ งานของสมองอีกหลายขนั ตอนต่อเนืองจากการไดย้ ิน เป็ นความสามารถทีจะไดร้ ับรู้สิงทีไดย้ นิ ตีความและจบั ความสิงทีรับรู้นันเขา้ ใจและจดจาํ ไว้ ซึงเป็ น ความสามารถทางสติปัญญา การพูด เป็ นพฤติกรรมการสือสารทีใชก้ นั แพร่หลายทวั ไป ผพู้ ูดสามารถใชท้ งั วจนะภาษา และอวจั นะภาษาในการส่งสารติดต่อไปยงั ผฟู้ ังไดช้ ดั เจนและรวดเร็วการพดู หมายถงึ การสือความหมาย ของมนุษยโ์ ดยการใชเ้ สียง และกิริยาท่าทางเป็ นเครืองถ่ายทอดความรู้ความคิด และความรู้สึกจากผพู้ ดู ไปสู่ผฟู้ ัง การอ่าน เป็ นพฤติกรรมการรับสารทีสาํ คญั ไม่ยิงหยอ่ นไปกว่าการฟัง ปัจจุบนั มีผรู้ ู้นกั วิชาการ และนกั เขียนนาํ เสนอความรู้ ขอ้ มลู ข่าวสารและงานสร้างสรรค์ ตีพิมพ์ ในหนงั สือและสิงพิมพอ์ ืน ๆ มาก นอกจากนีแลว้ ข่าวสารสาํ คญั ๆ หลงั จากนาํ เสนอดว้ ยการพูด หรืออ่านใหฟ้ ังผ่านสือต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะ ตีพิมพร์ ักษาไวเ้ ป็ นหลกั ฐานแก่ผอู้ ่านในชนั หลงั ๆ ความสามารถในการอ่านจึงสาํ คญั และจาํ เป็ นยิง ต่อการเป็นพลเมืองทีมีคุณภาพในสงั คมปัจจุบนั การเขียน เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความตอ้ งการของบุคคลออกมาเป็ นสัญลกั ษณ์ คือ ตวั อกั ษร เพือสือความหมายให้ผอู้ ืนเขา้ ใจจากความขา้ งตน้ ทาํ ใหม้ องเห็นความหมายของการเขียน ว่ามีความจาํ เป็ นอย่างยิงต่อการสือสารในชีวิตประจาํ วนั เช่น นักเรียนใชก้ ารเขียนบนั ทึกความรู้ ทาํ แบบฝึกหดั และตอบขอ้ สอบบุคคลทวั ไป ใชก้ ารเขียนจดหมาย ทาํ สญั ญา พินัยกรรมและคาํ ประกนั เป็ นต้น พ่อคา้ ใชก้ ารเขียนเพือโฆษณาสินคา้ ทาํ บัญชี ใบสังของ ทาํ ใบเสร็จรับเงิน แพทยใ์ ชบ้ นั ทึก ประวตั ิคนไข้ เขียนใบสงั ยาและอืน ๆ เป็นตน้
รายละเอยี ดกจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมที 1 คุณเป็นผฟู้ ังทีดีหรือเปล่า ให้ตอบแบบทดสอบต่อไปนี ด้วยการทําเครืองหมาย ในช่องคาํ ตอบทางด้านขวา เพือ ประเมินว่าคุณเป็นผฟู้ ังไดด้ ีแค่ไหน ลกั ษณะของการฟัง ความบ่อยครัง เสมอ ส่วน บางครัง นาน ๆ ไม่เคย ใหญ่ ครัง ปลอ่ ยใหผ้ พู้ ดู แสดงความคิดของเขาจนจบ โดยไมข่ ดั จงั หวะ ในการประชุม หรื อระหว่างโทรศพั ท์ มีการจดโน้ต สาระสาํ คญั ของสิงทีไดย้ นิ กลา่ วทวนรายละเอียดทีสาํ คญั ของการสนทนากบั ผพู้ ดู เพอื ใหแ้ น่ใจว่าเราเขา้ ใจถกู ตอ้ ง พยายามตงั ใจฟัง ไมว่ อกแวกไปคิดเรืองอนื พยายามแสดงท่าทีว่าสนใจในคาํ พดู ของผอู้ นื รู้ดีว่าตนเองไม่ใช่นักสือสารทีดี ถ้าผูกขาดการพูด แต่ผเู้ ดียว แมว้ ่ากาํ ลงั ฟังก็แสดงอาการต่าง ๆ เช่น ถาม จดสรุปสิง ทีไดฟ้ ัง กล่าวทวนประเด็นสาํ คญั ฯลฯ ทาํ ท่าต่าง ๆ เหมือนกาํ ลงั ฟังอยใู่ นทีประชุม เช่น ผงกศีรษะเห็นดว้ ย มองตาผพู้ ดู ฯลฯ จดโน้ตเกียวกับรูปแบบของการสือสารทีไม่ใช่คาํ พูด ของคู่สนทนา เช่น ภาษากาย นาํ เสียง เป็นตน้ พยายามทีจะไม่แสดงอาการกา้ วร้าว หรือตืนเตน้ เกินไป ถา้ มีความคิดเห็นไมต่ รงกบั ผพู้ ดู
คาํ ตอบทงั คาํ ตอบ (ในแต่ละช่อง) มีคะแนน ดงั นี กจิ กรรมที เสมอ = คะแนน การฟังนันสําทค่าญันคไดิ ฉอยน่างไร ส่วนใหญ่ = คะแนน การฟักงเบั ปค็นาํ ปกรละ่าวตขสู ้าํ งคลญั ่าทงนเี ปี ิ ดไปสู่ บางครัง = คะแนน การเรียนรู้ การเรโปียนรดรูอ้กธ่อิบใหายเ้ กิดพฒั นาการ ดงั นนั จึงอาจกลา่ วไดว้ า่ การทีเราเป็นอยา่ ง นาน ๆ ครัง = คะแนน ทกุ วนั นี ส่วนหนึงเป็นผลมาจาก การฟัง ไม่ “ทกแคเร่ตอาํกีมาพ่นเจาคีมรมไกกสฟวูดะทวอืพหา่าไ็เใีถัเงาีเปหเจรรคมเูนดมรา็ปะปนาลรนค่าเส็จเปนห่ไเรนาป่อศคํา็ดะึนกนท็ลยาคึกนยพ้พษันยสทากัญถัษกูดยขูดากษนักาาาทหอออม็จๆรษะใสีสะงาอะฟตจใะครถุไคดนกกวทัังหืรอนาาํขลไเใกจีอนอนพปนบัอกะาอองึทงูดแรงาคมพบากรีทสคลรจาฒไัา้พ้วนืเออาคปํงปนงูดไสบดิเ็นรานาหควาคนาันกนรุยา่มรากทใาัววฯรนยาีสา่ฟลใรเทารํนฯเฟังรคาปี โังาทแ”ญั รรเฟตปงัะขงัง็พ่นเชๆนไรวุมเีดยารทกดนดื้อกีเนรีแงาาคีร่ ไมเ่ คย = คะแนน เขยี นงคา่ ยําอแธคบิ ่รูา้วยา่ ขเขอางพทดู ่าอนะไรกนั บา้ งกถ็ อื วา่ เป็น ............ก....า..ร..ฟ......ัง..แ....ล....ว้ ....ซ....ึง....เ..ป..็..น....ค....ว..า....ม....เข....า้....ใ..จ....ผ..ดิ....อ....ย....า่ ..ง..ย....งิ นําคะแนนจากทัง ข้อ มารวมกัน เพือดูว่า ......เ.พ..ร.า..ะ.ก..า.ร..ฟ..ัง..ท..แี ..ท..้จ..ร.ิง..ห...ม..า.ย..ถ.ึง..ก..า.ร..ใ.ห..้ค..วาม ............ส....น....ใ..จ....ค..า..ํ ..พ....ูด....อ....ย..่..า..ง..เ..ต....็ม....ท....ี..จ....น....เ..ก..ิด....ค....ว....า..ม....เ..ข....้า..ใ..จ คณุ จดั อยใู่ นกลุ่มนกั ฟังประเภทไหนใน กล่มุ ตอ่ ไปนี ......ค..ว.า..ม..ห..ม..า.ย..ท..ุก..น..ัย..ข.อ..ง..ค..าํ .พ..ดู..เ.ห..ล..่า.น..ัน...... คะแนนขึนไป คณุ เป็ นนักฟังชันยอด ...................................................... ...................................................... - คะแนน คุณเป็ นนักฟังทดี กี ว่าผู้ฟังทวั ๆ ไป ...................................................... ...................................................... ตําว่า คะแนน คุณเป็ นผู้ฟังทีต้องพัฒนาทักษะการฟัง ...................................................... ...................................................... เป็ นพิเศษ ...................................................... ...................................................... แต่ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มไหนก็ตาม คุณก็ควรจะ ...................................................... ...................................................... พฒั นาทกั ษะในการฟังของคุณอยู่เสมอ เพราะว่าผูส้ ่งสาร ...................................................... (ทงั คนและอุปกรณ์เทคโนโลยตี า่ ง ๆ ) นนั มีการเปลยี นแปลง แนวการตอบ การพดู ทกุ ครัง จาํ เป็นต้องคิดและเป็นการคิด และมีความซบั ซอ้ นมากขึนอยตู่ ลอดเวลา ก่อนพดู เราจึงจะเป็นนายของคาํ พดู ได้ทกุ ครัง การพูดเป็ นวิธีการสือสารทีมนุษยใ์ ชก้ ันมานาน นับพนั ปี และในโลกนีคงไม่มีเครื องมือสื อสารใดทีสามารถถ่ายทอดความคิด ความรู้สึกและ สิงต่าง ๆ ในใจเราไดด้ ีกว่าคาํ พูด ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี เทคโนโลยใี นการสือสารจะไดร้ ับการพฒั นาไปถึงไหน ๆ แลว้ กต็ าม สาเหตุทีเป็นเชน่ นี กเ็ พราะวา่ การพูดไม่ใชแ่ ตเ่ พยี งเสียงทีเปล่งออกไป เป็นคาํ ๆ แต่การพูดยงั ประกอบไปดว้ ย นาํ เสียงสูง-ตาํ จังหวะชา้ -เร็ว และท่าทางของผู้พูด ทีทําให้การพูดมีความซับซ้อน และมี ประสิทธิภาพยงิ กว่าเครืองมือสือสารใด ๆ กิจกรรกมาทรี พูดในหัน้อเป่านรีเยรบือเงสม“กือานรดมาอบงสโลอกงใคนมแงค่ดือี”สแาลมะาสรรถุปใหท้ งั คุณและ เรือโงททษอี แา่ นก่ตใวั หผไ้ ูพ้ ดูดป้ ไรดะม้ นาอณกจากบนรรีกทารดั พูดยงั เป็ นอาวุธในการสือสารทีคน เรือสง่ว“นกใาหรมญอช่ งอโบลกใใชนม้ แางก่ดกี”ว่าการฟังและการเขียน เพราะคิดว่าการพูดได้ ควมามากหกมวา่ายคแนลอะืนควนานัมจสะําทคาญัํ ใขหอต้ งนกเาอรงมไดองเ้ ปโลรีกยบในไแดงป่้ดรี ะโยชน์ แต่ทงั ๆทีคิด กาอรดยาา่ํ งเนนินีหชลวี าิตยขคอนงกม็ยนงั ุพษยาตเ์ รวัาเนอนังไไปดใ้สชู่คค้ ววาามมหคาดิ ยมนาชะไว่ ดยใด้ นว้ กยปารากเขา้ ทาํ นอง ตดั ปสาินกใพจาเรจือนงรซาึงวเตหา่ ตงๆุทีเทปอี็ นยเรู่ชอ่นบนตีกวั ็เเพรารไาดะอ้ รยู้กา่ นั งเแหตม่เพาะียสงวม่าซฉึงันอยากจะพูด ในโบดายงไคมรัง่ คกดิารกม่ออนงพโูดลกโไดมย่รใู้วช่าค้กวาารมพคูดิดทนีจี ะกใอ็ หาจ้คจุณะแมกีม่ตุมนมเอองงไดน้ นั ควรมี ไ ลกั ษณะดงั นี ด้ หลายดถเนูกา้ ือนจหงั หาเชชววะน่ นเวตทลดิ าาตงามดา้ นบวกและทางดา้ นลนภบาาํ ษเสกาียเหางรชมมวาะนอสฟงมังโลกใน กริ ิยาท่าทางดี มีอารมณ์ขนั ใหผ้ ูฟ้ ังมสี ่วนร่วม เป็ นธรรมชาตแิ ละเป็ น ตวั ของตวั เอง แว
หลกั การมองโลกในแง่ดี คาํ วา่ การมองโลกในแง่ดี โดยในแง่ของภาษาสามารถแยกออกเป็ น 3 คาํ แตกต่างจากกนั คาํ ที หนึงคือ การมอง คาํ ทีสองคือ โลก คาํ ทีสาม คือ ในแง่ดี เป้ าหมายของการมอง คือ เพอื ใหเ้ ห็น การจะเห็นสิงใดเรามวี ธิ ีเห็น 2 วธิ ี 1. ใชต้ ามอง เรียกวา่ มองเห็น เราเห็นหอ้ งนาํ กาแฟ เห็นสรรพสิงในโลกเราใชต้ ามอง 2. คิดเห็น เรากบั คุณแมอ่ ยหู่ ่างกนั แต่พอเราหลบั ตาเรายงั นึกถึงคุณแม่ได้ เราไม่ไดไ้ ปเมืองนอก มานานหลบั ตายงั นึกถึงสมยั เราเรียนๆ ทีตรงนัน อย่างนีเรียกว่าคิดเห็น เพราะฉะนันการทีจะเห็นสิงใด สามารถทาํ ไดท้ งั ตากบั คิด การมองโลกบางครังอาจมองดูเห็นปับคิดเลย หรือบางทีไม่ตอ้ งเห็นแต่จินตนาการ ท่านคิด และเห็น คาํ ว่าโลก เราสามารถแยกเป็น 2 อยา่ ง คือ โลกทีเป็นธรรมชาติ ป่ าไม้ แม่นาํ ภูเขา อย่างนีเรียกว่า เป็ นธรรมชาติโลกอีกความหมายหนึง คือ โลกของมนุษย์ พวกทีมนุษยอ์ ย่เู รี ยกว่าสังคมมนุษย์ เพราะฉะนนั เวลามองโลกอาจมองธรรมชาติ บางคนบอกว่ามอง ภูเขาสวย เห็นทิวไมแ้ ลว้ ชอบ เรียกว่า มองธรรมชาติ แต่บางครังมองมนุษยด์ ว้ ยกนั มองเห็นบุคคลอืนแลว้ สบายใจ เรียกว่าการมองเหมือนกนั เพราะฉะนนั โลกจึงแยกออกเป็น 2 ส่วน คือธรรมชาติกบั มนุษย์ คาํ ว่าดี เป็ นคําทีมีความหมายกว้างมาก ในทางปรัชญาถือว่าดี หมายถึงสิงทีจะนําไปสู่ ตวั อยา่ งเช่น ยาดี หมายถงึ ยาทีนาํ ไปสู่ คือยารักษาโรคนนั เอง มีดดี คือมีดทีนาํ ไปสู่ คือสามารถตดั อะไรได้ หรืออาหารดี หมายความวา่ อาหารนาํ ไปสู่ใหเ้ รามสี ุขภาพดีขึน เพราะฉะนันอะไรทีนาํ ไปสู่สักอย่างหนึง เราเรียกว่าดี ดีในทีนีดูได้ 2 ทางคือ นาํ ไปทาํ ให้เราเกิดความสุข หรือนาํ ไปเพือให้เราทาํ งานประสบ ความสาํ เร็จ ชีวติ เราหนีการทาํ งานไม่ได้ หนีชีวิตส่วนตวั ไมไ่ ด้ เพราะฉะนนั ดูวา่ มองคนแลว้ ทาํ ใหเ้ ราเกิด ความสุข ทาํ ใหท้ าํ งานประสบความสาํ เร็จ ถา้ รวม 3 ตวั คือเราเห็น หรือเราคิดเกียวกบั คน แลว้ ทาํ ใหเ้ รามีความสุข เรามอง เราคิดกบั คนทาํ ใหเ้ ราประสบความสาํ เร็จ นีคือความหมาย สรุปความสาํ คญั ของคาํ ว่า การมองโลกในแง่ดี คือ 3 อย่างนีตอ้ งผกู พนั กนั เสมอคือ การคิด การทาํ และผลการกระทาํ ถา้ เราคิดดีเราก็ทาํ ดี ผลจะไดด้ ีดว้ ย ตวั อยา่ งเช่น เราคิดถึงเรืองอาหาร ถา้ เราคิด วา่ อาหารนีดี เราซืออาหารนี และผลจะมีต่อร่างกายเรา ถา้ เราคิดถึงสุขภาพ เรืองการออกกาํ ลงั เราก็ไป ออกกาํ ลงั กาย ผลทีตามมาคือ ร่างกายเราแข็งแรง เพราะฉะนนั ถา้ เราคิดอย่างหนึง ทาํ อย่างหนึง และผล การกระทาํ ออกมาอยา่ งหนึงเสมอ ถา้ การมองโลกจะมีความสาํ คญั คือ จะช่วยทาํ ให้ชีวิตเรามีความสุข เพราะเราคิดคนๆ นีในแง่ดี เราจะพดู ดีกบั เขา ผลตามมากค็ ือเขาจะมีปฏกิ ิริยาในทางดีกบั เรา ถา้ เราคิดในทางร้ายต่อเขา เช่น สมมติ คุณกาํ ลงั ยนื อยู่ มีคนๆ หนึงมาเหยียบเทา้ คุณ ถา้ คิดว่าคนทีมาเหยียบเท้าคุณ เขาไม่สบายจะเป็ นลม แสดงว่าคุณคิดว่าเขาสุขภาพไม่ดี คุณจะช่วยพยุงเขา แต่ถา้ คุณคิดว่าคนนีแกลง้ คุณ แสดงว่าคุณมอง
ในแง่ไม่ดี คุณจะมีปฏิกิริยาคือผลกั เขา เมือคุณผลกั เขา ๆ อาจจะผลกั คุณและเกิดการต่อสู้กนั ได้ เพราะฉะนนั คิดดีจะช่วยทาํ ใหช้ ีวิตเรามคี วามสุข ถา้ คิดร้ายหรือคิดทางลบชีวติ เราเป็นทุกข์ ถา้ คิด ในทางทีดีเราทาํ งานประสบความสาํ เร็จ ถา้ คิดในแง่ลบงานของเราก็มที ุกขต์ ามไปดว้ ย (ทีมา: http://www.stou.ac.th/Thai/Offices/Oce/Knowledge/4-46/page6-4-46.html) สุขหรือทุกข์ขึนอย่กู บั อะไร ข่าวทีมผี ถู้ กู หวยรัฐบาลไดร้ างวลั เป็นจาํ นวนหลายลา้ นบาท เรียกวา่ เป็ นเศรษฐีภายในชวั ขา้ มคืน คงเป็นข่าวทีทุกท่านผา่ นตามาแลว้ และก็ดูเหมือนจะเป็ นทุกขลาภอย่ไู ม่นอ้ ยทีตอ้ งหลบเลียงผทู้ ีมาหยบิ ยมื เงินทอง รวมทงั โจร-ขโมย จอ้ งจะแบ่งปันเงินเอาไปใช้ ในต่างประเทศ ก็เคยมีการศึกษาถึงชีวิตคนทีถูกหวยในลกั ษณะของกรณีศึกษา ก็คน้ พบว่า หลายต่อหลายคน ประสบความทุกข์ยากแสนสาหัสกว่าเดิม หลายรายตอ้ งสูญเสียเงินทองจาํ นวนมาก มอี ยรู่ ายหนึงทีสุดทา้ ยกลบั ไปทาํ งานเป็นพนกั งานทาํ ความสะอาด ความเป็นจริงแลว้ พบว่า วิธีคิด หรือ โลกทศั นข์ องเราต่างหากทีบ่งบอกถึงความสามารถในการมคี วามสุขหรือความทุกข์ วธิ คี ดิ อย่างไร นาํ มาซึงความสุข คงไมใ่ ช่วิธีคิดแบบเดียวอยา่ งแน่นอน แต่วธิ ีคิดซึงมอี ยหู่ ลายแบบและนาํ มาซึงความสุขนัน มกั มี พืนฐานคลา้ ยๆกนั คือ การมองดา้ นบวกหรือคาดหวงั ดา้ นบวกรวมทงั มองเห็นประโยชน์จากสิงต่างๆ (แมว้ า่ จะเป็นเหตุการณ์ทีเลวร้ายก็ตาม) แต่กวา่ ทีคนเราจะ \"บรรล\"ุ ความเขา้ ใจได้ ก็อาจใชเ้ วลาเป็นสิบๆ ปี เลยทีเดียว คริสโตเฟอร์ รีฟ อดีตดาราในบทบาทของซุปเปอร์แมน ไดป้ ระสบอบุ ตั ิเหตุตกจากหลงั มา้ เขาเคยใหส้ ัมภาษณ์ในรายการ หนึงว่า เขาตอ้ งปรับตัวอย่างมากในช่วงแรกๆ แลว้ ในทีสุด เขาก็สามารถมีความสุขได้ แมว้ ่าจะ ไมส่ ามารถขยบั แขนขยบั ขาไดด้ งั ใจนึกก็ตาม ผบู้ ริหารคนหนึงของบริษทั ในเครือเยอื กระดาษสยาม เลา่ ว่า เขาโชคดีทีถกู ลูกคา้ ด่าเมือสิบกว่าปี ทีแลว้ ในเวลานนั ลกู คา้ ซึงเป็นผจู้ ดั การบริษทั แถวถนนสาธุประดิษฐ์ ไม่พอใจเซลลข์ ายกระดาษคนก่อน เป็ นอย่างยิงทีปรับราคากระดาษโดยกะทนั หัน จนทาํ ใหบ้ ริษัทของเขาตอ้ งสูญเสียเงินจาํ นวนมาก เขา (เซลลข์ ายกระดาษ) ท่านนีไดใ้ ชค้ วามพยายามเอาชนะใจลูกคา้ คนนีอยู่ 6 เดือนเต็มๆ อนั เป็ นเวลา ทีออเดอร์ลอ๊ ตปรากฎขึน “ผมขอบคุณวิกฤติการณ์ในครังนันมาก มนั ทาํ ใหผ้ มเขา้ ใจในอาชีพนักขาย และสอนบทเรียนทีสาํ คญั มาจนถึงปัจจุบนั ” จากตวั อย่างดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า 1. ผปู้ ระสบความสาํ เร็จมกั ผา่ นวกิ ฤติการณ์และไดบ้ ทเรียนมาแลว้ ทงั สิน 2. ผทู้ ีจะมีความสุขในการทาํ งานและใชช้ ีวิตได้ ย่อมตอ้ งใชว้ ิธีคิดทีเป็ นดา้ นบวกซึงไดร้ ับการ พิสูจนม์ าแลว้
หากอยากมคี วามสุขต้องเริมจากการสร้างความคดิ ด้านบวก มองเหตุการณ์อย่างได้ประโยชน์ (ทีมา: http://drterd.com/news/view.asp?id=4) เรืองที ปัจจยั ทที าํ ให้การเรียนรู้ด้วยตนเองประสบความสําเร็จ ความพร้อมในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Self-Directed Learning Readiness : SDLR) เป็ นสิงสาํ คญั และจาํ เป็ นอยา่ งมากสาํ หรับผทู้ ีมีความสนใจ มีความรักจะเรียนรู้ดว้ ยตนเอง วดั ไดจ้ ากความรู้สึก และ ความคิดเห็นทีผเู้ รียนมตี ่อการแสวงหาความรู้ การทีบุคคลจะเรียนรู้ดว้ ยตนเองไดน้ นั ตอ้ งมลี กั ษณะความ พร้อมของการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ประการ ดงั นี 1. การเปิ ดโอกาสต่อการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ การมีความสนใจในการเรียนรู้มากกว่าผูอ้ ืน มีความ พงึ พอใจกบั ความคิดริเริมของบุคคล มคี วามรักในการเรียนรู้และความคาดหวงั ว่าจะเรียนรู้อยา่ งต่อเนือง แหล่งความรู้มีความดึงดูดใจ มีความอดทนต่อการคน้ หาคาํ ตอบในสิงทีสงสยั มีความสามารถในการ ยอมรับและใชป้ ระโยชน์จากคาํ วิจารณ์ได้ การนาํ ความสามารถดา้ นสติปัญญามาใชไ้ ด้ มคี วามรับผิดชอบ ต่อการเรียนรู้ของตนเอง . มีอัตมโนทัศน์ในด้านของการเป็ นผู้เรียนทีมปี ระสิทธิภาพ ไดแ้ ก่ การมีความมนั ใจในการ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง ความสามารถจดั เวลาในการเรียนรู้ได้ มีระเบียบวินัยต่อตนเองมีความรู้ในดา้ นความ จาํ เป็ นในการเรียนรู้ และแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มีความคิดเห็นต่อตนเองว่าเป็ นผทู้ ีมีความอยากรู้ อยากเห็น . การมคี วามคดิ ริเริมและเรียนรู้ด้วยตนเอง ไดแ้ ก่ ความสามารถติดตามปัญหายาก ๆ ไดอ้ ยา่ ง คลอ่ งแคล่ว ความปรารถนาต่อการเรียนรู้อยเู่ สมอ ชืนชอบต่อการมีส่วนร่วมในการจดั ประสบการณ์การ เรียนรู้ มีความเชือมนั ในความสามารถทีจะทาํ งานดว้ ยตนเองไดด้ ี ชืนชอบในการเรียนรู้ มีความพอใจกบั ทกั ษะการอ่าน การทาํ ความเขา้ ใจ มคี วามรู้เกียวกบั แหลง่ ความรู้ต่าง ๆ มคี วามสามารถในการวางแผนการ ทาํ งานของตนเองได้ และมีความคิดริเริมในเรืองการเริมตน้ โครงการใหม่ ๆ . การมคี วามรับผดิ ชอบต่อการเรียนรู้ของตน ไดแ้ ก่ การมที ศั นะต่อตนเองในดา้ นสติปัญญาอยู่ ในระดบั ปานกลางหรือสูงกวา่ ยนิ ดีต่อการศึกษาในเรืองทียาก ๆ ในขอบเขตทีตนสนใจ มคี วามเชือมนั ต่อ หนา้ ทีในการสาํ รวจตรวจสอบเกียวกบั การศกึ ษา ชืนชอบทีจะมบี ทบาทในการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง มีความเชือมนั ต่อหนา้ ทีในการสาํ รวจตรวจสอบเกียวกบั การศึกษา ชืนชอบทีจะมีบทบาท ในการจัดประสบการณ์การเรี ยนรู้ด้วยตนเอง มีความรับผิดชอบต่อการเรี ยนรู้ของตนเอง และ มีความสามารถในการตดั สินความกา้ วหนา้ ในการเรียนรู้ของตนเองได้ . รักการเรียนรู้ ได้แก่ มีความชืนชมในการเรียนรู้สิงใหม่ ๆ อยู่เสมอ มีความปรารถนา อยา่ งแรงกลา้ ในการเรียนรู้ มคี วามสนุกสนานกบั การสืบสวนหาความจริง
. ความคดิ สร้างสรรค์ ไดแ้ ก่ มคี วามคิดทีจะทาํ สิงต่าง ๆ ไดด้ ี สามารถคิดคน้ วิธีการ แปลก ๆ ใหม่ ๆ และความสามารถทีจะคิดวิธีต่าง ๆ ไดม้ ากมายหลายวธิ ีสาํ หรับเรืองนนั ๆ . การมองอนาคตในแง่ดี ไดแ้ ก่ การมคี วามเขา้ ใจตนเองว่าเป็ นผทู้ ีมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มี ความสนุกสนานในการคิดถึงเรืองในอนาคต มีแนวโนม้ ในการมองปัญหาว่าเป็นสิงทา้ ทายไมใ่ ช่สญั ญาณ ใหห้ ยดุ กระทาํ . ความสามารถในการใช้ ทักษะทางการศึกษาหาความรู้และทักษะการแก้ปัญหา คือ มีความสามารถใช้ทักษะพืนฐานในการศึกษา ได้แก่ ทักษะการฟัง อ่าน เขียน จํา และมีทักษะ ในการแกป้ ัญหา
รายละเอยี ดกจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมที 1 ใหอ้ ธิบายลกั ษณะของ “ความพร้อมในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง” มาพอสงั เขป .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................. กจิ กรรมที 2 “รู้เขา รู้เรา” วตั ถุประสงค์ เพอื ใหผ้ เู้ รียนแสดงความคิด และความรู้สึกทีมีต่อตนเอง และผอู้ ืน แนวคดิ สิงแวดลอ้ มของการมีเพือนใหม่ คือ การทาํ ความรู้จกั คุน้ เคยกนั บรรยากาศทีเป็นกนั เองมารยาท ทางสงั คมจะเป็นแนวทางการนาํ ไปสู่สมั พนั ธภาพทีดีระหวา่ งสมาชิกในกลมุ่ ซึงจะนาํ ไปสู่การแสดงความ คิดเห็น การอภิปรายแลกเปลยี นประสบการณ์ และความร่วมมอื ในการทาํ งาน คาํ ชีแจง 1. ใหท้ ่านคิดสัญลกั ษณ์แทนตวั เองซึงบ่งบอกถึงลกั ษณะนิสยั ใจคอ จาํ นวน 1 ขอ้ วาด/เขียน ลงในช่องวา่ งทีกาํ หนดให้ขา้ งล่าง หลงั จากนันให้ท่านเขียนอุดมการณ์ แนวคิด หรือคาํ ขวญั ประจาํ ตวั ลงใตภ้ าพ 2. ให้ท่านไปสัมภาษณ์ พูด คุยกับเพือนหรือคนใกลช้ ิด โดยการให้เพือนหรือคนใกลช้ ิด คิดสัญลกั ษณ์แทนตวั เองซึงบ่งบอกถึงลกั ษณะนิสัยใจคอ จาํ นวน 1 ขอ้ วาด/เขียนลงในช่องว่างที กาํ หนดใหข้ า้ งล่าง หลงั จากนนั ใหเ้ ขียนอุดมการณ์ แนวคิด หรือคาํ ขวญั ประจาํ ตวั ลงใตภ้ าพ . ท่านไดข้ อ้ คิดอะไรบา้ งจากกิจกรรมนี
กจิ กรรมที 3 “คณุ ค่าแห่งตน” วตั ถุประสงค์ 1. เพอื ใหผ้ เู้ รียนเกิดความตระหนกั ในคุณค่าของตนเอง และสร้างความภมู ใิ จในตนเอง 2. เพือใหผ้ เู้ รียนสามารถระบุปัจจยั ทีมีผลทาํ ใหต้ นไดร้ ับความสาํ เร็จ และความตอ้ งการ ความสาํ เร็จ รวมทงั ความคาดหวงั ทีจะไดร้ ับความสาํ เร็จอีกในอนาคต แนวคดิ ทุกคนยอ่ มมีความสามารถอยใู่ นตนเอง การมองเห็นถึงความสาํ คญั ของตน จะนาํ ไปสู่การรู้จกั คุณค่าแห่งตน และถา้ มีโอกาสนําเสนอถึงความสามารถและผลสาํ เร็จในชีวิตให้ผอู้ ืนไดร้ ับทราบ ในโอกาสทีเหมาะสม จะทาํ ใหค้ นเราเกิดความภาคภูมิใจยิงขึน การทบทวนความสาํ เร็จในอดีตจะช่วย สร้างเสริมความภูมใิ จ กาํ ลงั ใจ เจตคติทีดี เกิดความเชือมนั ว่าตนเองจะเป็ นผทู้ ีสามารถเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ได้ และความตอ้ งการประสบความสาํ เร็จต่อไปอกี ในอนาคตความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองอยา่ งแทจ้ ริง เป็นการเห็นคุณค่า คุณประโยชน์ในตนเอง เขา้ ใจ ตนเอง รับผิดชอบต่อทุกสิงทีตนเป็ นเจา้ ของ ยอมรับ ความแตกต่างของบุคคล เห็นคุณค่าการยอมรับของผอู้ นื สามารถพฒั นาตนเองทงั ในดา้ นส่วนตวั ยอมรับ ยกย่อง ศรัทธาในตัวเองและผูอ้ ืน ทาํ ให้เกิดความเชือมนั ในตนเองเป็ นความรู้สึกไวว้ างใจตนเอง สามารถยอมรับในจุดบกพร่อง จุดอ่อนแอของตนและพยายามแกไ้ ข รวมทงั ยอมรับความสามารถของ ตนเองในบางครัง และพฒั นาให้ดีขึนเรือยไป เมือทาํ อะไรผิดแลว้ ก็สามารถยอมรับได้อย่างแทจ้ ริง และแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ คาํ ชีแจง 1. ให้ผเู้ รียนเขียนความสาํ เร็จทีภาคภูมิใจในชีวิตในช่วง 5 ปี ทีผ่านมา จาํ นวน 1 เรือง และ ตอบคาํ ถามในประเด็น 1) ความรู้สึกเมอื ประสบความสาํ เร็จ 2) ปัจจยั ทีมผี ลทาํ ใหต้ นไดร้ ับความสาํ เร็จ 2. ใหผ้ เู้ รียนเขียนเรืองทีมีความมุ่งหวงั ทีจะใหส้ าํ เร็จในอนาคตและซึงคาดว่าทาํ ไดจ้ ริง จาํ นวน 1 เรือง และตอบคาํ ถามในประเด็น ปัจจยั อะไรบา้ งทีจะทาํ ให้ความคาดหวงั ไดร้ ับความสาํ เร็จ ในอนาคต
กจิ กรรมที 4 “แปรงสีฟันมหศั จรรย์” วตั ถุประสงค์ เพือใหผ้ เู้ รียนตระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ของการมองโลกในแง่ดี ความคิดสร้างสรรคแ์ ละพฒั นาทงั ความคิดในดา้ นบวก และความคิดสร้างสรรคท์ ีมใี นตนเอง คาํ ชีแจง 1. ใหผ้ เู้ รียนเขียนประโยชนข์ องแปรงสีฟัน ใหไ้ ดม้ ากทีสุด ในเวลา 5 นาที …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………….....……………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………
กจิ กรรมที 5 “บัณฑติ สูงวยั ” วตั ถุประสงค์ 1. เพือใหผ้ เู้ รียนทราบและเขา้ ใจในแนวคิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง และความพร้อมในการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง 2. เพือนาํ ไปสู่ลกั ษณะการเรียนรู้ดว้ ยตนเองทีใฝ่ เรียนรู้ เห็นคุณค่าของการเรียนรู้ ความสามารถ ทีจะเรียนรู้ดว้ ยตนเองความรับผดิ ชอบในการเรียนรู้ การมองอนาคตในแง่ดีของสมาชิก รวมทงั สมาชิก เห็นความสาํ คญั และตระหนกั ในความพร้อมในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง แนวคดิ คุณลกั ษณะพิเศษในการทีจะเรียนรู้และพฒั นาตนเองอย่างต่อเนืองโดยมิจาํ เป็ นตอ้ งรอคอยจาก การศกึ ษาหรือการเรียนรู้อยา่ งเป็นทางการเพยี งอยา่ งเดียว คุณลกั ษณะพิเศษ ดงั กล่าวคือ “ความพร้อมใน การเรียนรู้โดยการชีนาํ ตนเอง” ซึงเป็นความคิดเห็นว่า ตนเองมีเจตคติ ความรู้ ความสามารถทีจะเรียนรู้ โดยมิตอ้ งใหค้ นอืนกาํ หนดหรือสงั การ พร้อมทีจะเรียนรู้วธิ ีการเรียนรู้และประเมนิ การเรียนรู้ ทงั อาจดว้ ย ความช่วยเหลือจากผอู้ ืนหรือไมก่ ต็ าม การทีบุคคลสามารถชีนาํ ตนเองทีจะเรียนรู้ ยอ่ มเป็นโอกาสทีบุคคล จะเรียนรู้ทีจะพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเนืองและเรียนรู้ตลอดชีวิต การพฒั นาการเรียนรู้โดยการชีนาํ ตนเอง ยอ่ มเป็นหนทางทีทาํ ใหบ้ ุคคลเรียนรู้อยา่ งไม่สินสุด คาํ ชีแจง ใหผ้ เู้ รียนศึกษาภาพข่าว การสาํ เร็จการศึกษาจากภาพ ของ บณั ฑิตสูงวยั พร้อมอธิบาย ในประเด็น
(1) “ความรู้สึกของท่านต่อภาพทีไดเ้ ห็น” (2) “ทาํ ไมบุคคลในภาพ ถึงประสบความสาํ เร็จในการเรียนรู้” กจิ กรรมที 6 “บทสะท้อนจากการเรียนรู้” วตั ถุประสงค์ เพอื ใหผ้ เู้ รียนสาํ รวจตนเอง และตระหนกั ถงึ ความสาํ คญั ของความขยนั แนวคดิ ความขยนั เป็นสิงทีดี และสามารถนาํ บุคคลใหป้ ระสบความสาํ เร็จในสิงทีตนเองหวงั ได้ คาํ ชีแจง ใหผ้ เู้ รียนทาํ แบบทดสอบความขยนั สู่ความสาํ เร็จพร้อมแปลผลแบบทดสอบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207