Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore IR เอกสารประกอบการสอน

IR เอกสารประกอบการสอน

Published by sulaiman.ha, 2020-07-03 22:57:37

Description: IR เอกสารประกอบการสอน

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการเรยี น วชิ าความรเู้ บอื้ งต้นความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศ INTRODUCTION TO INTERNATIONAL RELATIONS เรียบเรยี งโดย อาจารย์สุไลมาน หะโมะ หลักสูตรรฐั ศาสตรบ์ ณั ฑิต สาขาการปกครองและกฎหมายมหาชน คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์

สารบญั หนา้ ภาคท่ี 1 ความรเู้ บื้องตน้ เกี่ยวกบั ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 1 ภาคที่ 2 ทฤษฎีและแนวความคดิ ทางความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ 31 ภาคท่ี 3 ศึกษาปจั จัยท่สี ่งผลความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศ 59 ภาคท่ี 4 การแสดงพฤตกิ รรมระหว่างประเทศ 108 ภาคที่ 5 ศึกษาความสัมพันธไ์ ทยกบั อาเซยี น 164

ภาคที่ 1 ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ยี วกบั ความสมั พันธ์ระหว่างประเทศ บทท่ี 1 ลักษณะทั่วไปของการศึกษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ 1.ความหมาย ศาสตราจารย์ คาร์ล ดับเบิ้ลยู ดอยช์ (Kari W. Deutsch) แห่งมหาลัย ฮารวอร์ด ได้ให้คาจากัดความ คาว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” ไว้อย่างกว้างๆว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประกอบด้วย พฤติกรรมและการกระทาทั้งหลายของรฐั ท่ีมีต่อกันโยปราศจากการควบคุมอย่างเพียงพอ” จากคาจากัดความ ดังกล่าว การศึกษาความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศได้แก่ การศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมและการกระทาของรัฐท่ีมี ต่อกันโดยปราศจากเคร่ืองมือควบคุมการกระทาของรัฐได้อย่างเด็ดขาด ถ้าจะเปรียบกับเกมกีฬา ซึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่นท่ีเป็นเอกราชจานวนประมาณร้อยเศษ แต่ละรัฐต่างก็มีความแตกต่างกันออกไปในด้าน กาลังคน ขนาด อานาจ และอิทธิพล ทรัพยากร วัตถุประสงค์ อุดมการณ์ ตลอดจนนโยบายในการละเมิน กฎเกณฑ์ของเกมได้ทุกเวลา โดยไม่จาเป็นต้องบอกกล่าวรัฐอ่ืนๆให้ทราบล่วงหน้า รัฐบางรัฐอาจรวมตัวเข้ากัน เป็นกลุ่มๆในลักษณะและขนาดท่ีแตกต่างกัน กลุ่มต่างๆเหล่านี้อาจจะมีวัตถุประสงค์ร่วมหรือขัดแย้งกัน ใน ปัจจุบันมีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มประเทศฝ่ายตะวันตก กลุ่มประกาศฝ่ายตะวันออก และกลุ่มประเทศฝ่าย โลกท่ีสาม แต่ละกลุ่มต่างก็มีลักษณะทางการเมืองและส่วนได้ส่วนเสียไม่เหมือนกัน ซึ่งลักษณะทางการเมือง และการป้องกันส่วนได้ส่วนเสียของแต่ละกลุ่มสามารถเห็นได้ชัดในที่ประชุมขององค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติ เช่น ท่ีประชุมของ Special Political Committee ที่ ประชุมสมัชชาใหญ่ ทปี่ ระชุมของคณะมาตรีความม่ันคง เป็นตน้ นอกจากน้ีรัฐมหาอานาจในแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างย่ิงกลุ่มตะวันตกและกลุ่มตะวันออก ต่าง พยายามใช้วธิ ีการต่างๆ เพื่อหาทางชกั จูง บีบบงั คับรัฐทีเ่ ล็กกว่ามาเปน็ บริวารของตน ซึ่งบางครั้งกอ่ ใหเ้ กิดกรณี พิพาท และความตึงเครียดระหว่างประเทศ กล่าวได้ว่ารัฐต่างๆที่ มีบทบาทมากบ้างน้อยบ้างในเวที ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศตา่ งล้วนแต่เป็นสมาชกิ ขององค์การสหประชาชาติองั เป็นองค์การสากลแห่งเดียว ในโลกท่ีมีกฎเกณฑ์ และข้อบังคับควบคุมพฤติกรรมของรัฐ ซึ่งเรียกวา่ กฎบัตรสหประชาชาติ (U.N. Charter) องค์การสากลนี้ เปน็ สถานท่ีที่สมาชิกชอบใชเ้ ป็นทีป่ ระชมุ เพือ่ แลกเปลีย่ นความคิดเห็นถกเถียงหรือทาความตก ลงกันในปัญหาท่ีเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าองค์การสหประชาชาติจะ พยายามอย่างยิ่งท่ีจะให้สมาชิกท้ังหมดยอมรับและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ได้วางไว้เพื่อควบคุมการกระทาของ รัฐในทางท่ีผิดๆ แต่ก็ยังประสบความล้มเหลวอย่เู นืองๆท้ังนี้เนื่องจากประเทศมหาอานาจไม่ได้ให้ความร่วมมือ ในเร่ืองดังกล่าว อาจกล่าวได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเร่ืองท่ีต้องอาศัยความสังเกต การวิเคราะห์

และการใช้ทฤษฎีประกอบกันไปเพราะมิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจท่ีจะอธิบายหรือทานายเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นหรือท่ี กาลงั จะเกิดขึ้นในความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศได้อย่างถูกต้อง 2.ขอบเขต การศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีขอบเขตกว้างขวาง เพราะเนื้อหาของวิชานี้คลอบคลุม ถึงวิชาหลักท้ังหกในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือ วิชาการเมืองระหว่างประเทศ (International Politics) วิชากฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) วิชาประวัติศาสตร์ทางการทูต (Diplomatic History) วิชาองค์การระหว่างประเทศ (International Organization) วิชาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Economics) และวิชาว่าด้วยการศึกษาเฉพาะภูมภิ าค (Area or Regional Studies) เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรืออีกนัยหน่ึงการกระทา (actions) และปฏิกิริยาโต้ตอบ (Reactions) ระหว่างรัฐมีเน้ือหาที่ค่อนข้างซับซ้อนและยากทีจ่ ะเข้าใจไดอ้ ยา่ งแจ่มแจ้ง การทจ่ี ะอาศัยวิชาหลัก ท้ังหกกล่าวแต่เพียงว่าลาพังมาทาความเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐน้ันไม่เป็นการเพียงพอ จาเป็น จะต้องอาศัยการศึกษาวิชาอ่ืนๆ ทางด้านสังคมศาสตร์ อาทิเช่น ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ทางการเมือง สังคม วิทยา จิตวิทยา รวมท้ังยุทธศาสตร์และทฤษฎีทางการเมือง มาช่วยทาความเข้าใจในเร่ื องที่เกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้าปรากศจากเสียซ่ึงความรู้ในวิชาทางด้านสังคมศาสตร์ดังกล่าวแล้ว ย่อมเป็น การยากที่จะเข้าใจในเร่ืองเก่ียวกับปัจจัยและส่ิงแวดล้อมต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผ็นาของรัฐ พฤติกรรมทางการเมืองระหว่างรัฐตลอดจนปัจจัยท่ีนาไปสู่ความเข้มแข็งและความอ่อนแอของรัฐได้อย่างแจ่ม แจ้ง 3.จุดมุง่ หมายในการศกึ ษา จุดมุ่งหมายในการศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามท่ีศาสตราจารย์ ยอร์ช เอฟ เคนนอน (George F.Kennan) ไดก้ ลา่ วไว้มอี ยู่ 2 ประการคือ ประการแรก เพ่ือให้นักศึกษาซ่ึงไม่ได้ทางาน หรือมีส่วนร่วมในงานท่ีเกี่ยวกับด้านการประเทศ ได้รับ ความรู้ทั่วไปในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรียนรู้ถึงวิธีการวิเคราะห์ปัญหา และรู้จักใช้ความคิดให้ ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ การเรียนรู้ดังกล่าวจะทาให้นักศึกษาเป็นผู้มีความสามารถในการแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับปัญหาระหว่างประเทศไดอ้ ย่างมีเหตุผล ประการที่สอง เพ่ือเป็นการตระเตรียมบุคคลซึ่งจะไปประกอบอาชีพทางด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นงานของรัฐ หรืองานขององค์การระหว่างประเทศ การศึกษาเพื่อจุดมุ่งหมายดังกล่าวน้ี มกั กระทากันในข้นั บณั ฑิต โดยมจี ุดมุ่งหมายท่ีจะผลิตผู้เชียวชาญ (Specialists) ทางด้านความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ประเทศออกมา ผู้เชียวชาญดังกล่าวจะต้องศึกษาและมีความรู้ในวิชาแขนงอ่ืนๆ ทางด้านสังคมศาสตร์ เช่น สังคมวิทยา จิตวิทยา มานุษยวิทยา เป็นต้น เพราะถ้าปราศจากความรู้ในวิชาดังกล่าวแล้ว การเข้าใจปัญหา ของความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศกจ็ ะเป็นไปโดนไม่ลึกซ่งึ เท่าท่คี วร

4.ความสาคัญของการศึกษา ในโลกปจั จบุ ัน ความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศมีความสาคญั อยา่ งยง่ิ ต่อสนั ติภาพและการอยรู่ อดของ โลก การร่วมมือกันระหวา่ งประเทศไม่วา่ จะด้านใดๆก็ดลี ้วนแตเ่ กิดจาดความสมั พันธ์ และความเข้าใจอนั ดี ระหวา่ งรัฐที่มีต่อกนั นบั ต้งั แต่ทีร่ ฐั ท้งั หลายมีอปุ กรณ์และเครื่องมือหลายอย่างที่ใช้ประกอบกับการกระทาของ ตน อาทเิ ชน่ อดุ มการณ์ (Ideologies) ซึง่ ทงั้ แง่ดีและแงร่ ้าย และอาวุธนานาชาติ เปน็ ต้น รฐั จึงเป็นสง่ิ ท่ีมี อันตรายต่อสนั ตภิ าพและความมน่ั คงระหวา่ งประเทศ รฐั อาจจะใชอ้ ปุ กรณ์และเคร่ืองมือทมี่ ีอยโู่ จมตี รัฐฝ่าย ตรงข้ามที่เปน็ คูป่ รปักษ์ไดใ้ นกรณีท่สี ามารถตกลงหรือประนีประนอมยอมความในปัญหาข้อขัดแย้งระหวา่ งกัน ถ้าหากอารยธรรมและชวี ิตของมวลมนุษย์ในโลกนีจ้ ะต้องสูญสลายไปในสามปีขา้ งหนา้ ก็คงไม่ใชเ่ พราะเกดิ จาก ความอดอยากและความหิวโหยหรือโรคระบาดอนั รา้ ยแรงแตอ่ ยา่ งใด แตน่ ่าจะเกิดจากความแตกร้าวใน ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งรฐั เราสามารถจดั การแก้ไขปัญหาในเรอื่ ง การอดอยาก หรือโรคระบาดอันรา้ ยแรงได้ แต่ เราไม่อาจควบคุมอานาจและการกระทาในรฐั ในการใชร้ ัฐในการใช้อาวุธ ตลอดจนพฤติกรรมตา่ งๆของรฐั ไดโ้ ดย เดด็ ขาด จะควบคมุ ไดแ้ ต่ในระดบั ปานกลางโดยอาศยั กฎหมายระหว่างประเทศ สนธสิ ัญญาระหว่างประเทศ และองคก์ ารระหว่างประเทศเป็นเครอื่ งมอื ควบคุม กล่าวได้ว่า สนั ตภิ าพและความมน่ั คงของโลกข้ึนอยู่กบั ศลิ ปะทรี่ ฐั แต่ละรฐั นามาใช้เพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างรฐั รวมทั้งความสามารถของรัฐในการแกไ้ ข ปญั หา ซ่งึ เกดิ ข้นึ ในความสัมพนั ธร์ ะหว่างรัฐทีม่ ีต่อกันโดยหาทางหลกี เล่ยี งการใชว้ ธิ กี ารใดๆซึ่งจะนามาส่กู าร ทาลายล้างผลาญซึ่งกันและกัน ดังนัน้ การศึกษาความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศจึงมีความสาคัญในการสอนให้ รจู้ กั และเขา้ ใจถงึ ศลิ ปะและวิธีทร่ี ฐั นามาใชใ้ นเวทคี วามสัมพันธร์ ะหว่างประเทศ ตลอดจนเหตกุ ารณ์และปัจจยั ต่างๆซง่ึ นามาสกู่ ารทาลายลา้ งและสงครามระหวา่ งรฐั เนอ่ื งจากความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศมคี วามสัมพนั ธต์ ่อชีวติ และความเป็นอยขู่ องมวลมนุษยใ์ นโลก การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจงึ ไดร้ บั ความสนใจอยา่ งกวา้ งขวาง ในปัจจบุ ันได้กระทากันอย่าง กวา้ งขวางมากในสหรัฐอเมริกา และในประเทศต่างๆในภาคพืน้ ยุโรปซ่งึ มกั ศึกษาควบคู่กันไปกับการศึกษาถึง ศิลปะทร่ี ฐั บาลของรัฐใช้ในการชกั จงู โน้มน้าว หรือบบี บงั คบั รฐั หนงึ่ หรอื หลายรฐั กระทาการหรืองกเว้นการ กระทาอย่างใดอย่างหนึ่งซ่งึ มักปรากฏอยเู่ ปน็ ประจาในเวทีการเมืองระหวา่ งประเทศอย่างไรก็ดี การศึกษาใน เรือ่ งดงั กลา่ วบางครง้ั กเ็ ปน็ เร่ืองอยากทจี่ ะเข้าใจ หรือให้คาตอบในปญั หาทเ่ี กิดข้นึ ในเวทีความสมั พันธแ์ ละ การเมืองระหวา่ งประเทศได้อยา่ งสมบรณู ์ ทัง้ นเี้ น่ืองจากพฤติกรรมและการกระทาตา่ งๆของรฐั เป็นเรือ่ งลึกซง้ึ มกี ารเปลีย่ นแปลงเคลื่อนไหวอยูเ่ สมอจนบางคร้งั ไม่อาจติดตามได้ทัน

บทที่ 2 ประวตั ิการศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ 1.ความนา เปน็ ท่ียอบรับกันทว่ั ไป มนุษย์เป็นสัตวส์ ังคมตามทอี่ ริสโตเติลไดเ้ คยกลา่ วไวแ้ ละมนุษย์และผู้ผลติ ภาษา และได้กาเนินวธิ ีการเขยี นออกมา ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าการเขียนหนังสือครั้งแรกของมนุษย์จะต้องเก่ียวกับ ตวั มนุษย์ ชุมชนหรอื เผ่าที่เขาอาศัยอยู่ รวมท้ังชุมชนอ่ืนๆท่ีชมุ ชนของเขามคี วามสัมพันธ์เก่ียวข้อง ไม่วา่ ในดา้ น สงครามหรือสันติภาพ จากหนังสือซ่ึงเขียนโดย อาเธอร์ เอ.นัสบัม (Arthur A.Nussbaum) และแฟรงค์ ดับเบิ้ลยู รัสเซล (Frank W.Russell) แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ได้เขียนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้ังแต่ สมยั สี่พันปีลว่ งมาแลว้ เป็นจานวนมาก และความคิดความอา่ นเกี่ยวกบั ความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศก็มีมานาน แลว้ ก่อนหน้านนั้ อีก 2.ววิ ัฒนาการของการศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศ การศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศตั้งแต่อดตี จนถงึ ปัจจุบันอาจแบง่ ออกได้เปน็ 4 ระยะ ดังนี้คอื 2.1 ระยะแรก การศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศในระยะแรก ได้แก่ระยะเวลาก่อนสงครามโลกคร้ังทหี่ น่ึงอุบตั ิ ข้นึ ในระยะเวลาดงั กลา่ วการศึกษาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ สว่ นใหญแ่ ล้วกระทาโดยนกั ประวตั ิศาสตร์ ทางการทตู (Diplomatic Historian) ซ่งึ ทาการศกึ ษาค้นคว้าหาหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์ความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐกนั อย่างจริงจัง จึงมีผลทาใหก้ ารศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศมีความถูกตอ้ งแน่นอนตรงกับ ความจริงไดเ้ กดิ ขึ้นโดยคลาดเคลือ่ นจากความเปน็ จริงน้อยทสี่ ดุ การศึกษาในระยะเรม่ิ แรกส่วนใหญเ่ ปน็ ไปใน เชงิ วเิ คราะหแ์ บบพรรณนา (Descriptive analysis) ในเหตกุ ารณท์ ี่ได้เกิดข้ึนโดยปรากฏจากการอา้ งอิงถึง เหตกุ ารณห์ รือสถานการณ์ ซ่ึงได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในทานองเดียวกนั เช่น หนังสือเขยี นโดย พอล เรนช์ (Paul Reinsch) เก่ยี วกบั World Politics และ Public International Unions เน่ืองจากนักประวตั ิศาสตร์ทางการทูตในสมัยน้นั ชอลหลีกเลย่ี งการศกึ ษาเหตุการณ์ปจั จุบันซง่ึ ทาให้ เหน็ ภาพทัว่ ไปจองความสมั พันธ์ระหว่างประเทศไม่ได้เต็มท่ีรวมทัง้ ไมช่ อบกฎเกณฑ์ และทฤษฎีซง่ึ ทาไดโ้ ดยการ ยอ่ หรือสรุป (deduced) ข้อความพรรณนา หรอื วิจยั เหตุการณอ์ นั ใดอันหนึ่งโดนเฉพาะ จึงสง่ ผลใหก้ ารสรา้ ง ทฤษฎีความสมั พันธร์ ะหวา่ งประเทศไม่อาจเป็นไปได้ ดังนั้นนักวชิ าการ นกั วจิ ัย และนกั ศึกษาทางดา้ น ความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศจึงได้เร่ิมหันมาสนใจค้นควา้ หาเทคนิคและวธิ กี ารศึกษาใหม่ๆซึง่ จะชว่ ยทาให้ เข้าใจถึงพฤติกรรมทเ่ี กดิ ขนึ้ ระหวา่ งประเทศไดอ้ ยา่ งสมบรูณ์ ความสนใจในเร่ืองดงั กล่าวได้เพ่ิมทวขี น้ึ หลงั จาก สงครามโลกครัง้ ท่ีหนงึ่ สงบลงเปน็ ต้นมา 2.2 ระยะที่สอง การศึกษาความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศในระยะท่ีสองเริม่ นับตงั้ แตห่ ลงั สงครามโลกครัง้ ท่ีหนึง่ สงบ เร่อื ยมาจนกระทั้งสงครามโลกครัง้ ท่ีสองอบุ ัตขิ นึ้ ก่ีศกึ ษาในช่วงระยะน้คี วบคู่กันไปกับการศกึ ษาการเมือง

ระหว่างประเทศโดยม่งุ ศกึ ษาถึงเหตกุ ารณป์ จั จุบนั หรอื เหตุการณร์ ะหวา่ งประเทศท่ีเกิดขึ้นใหม่ๆ โดยมองขา้ ม ปัญหาทางการเมืองซึ่งนาไปสู่สงครามหรอื สันตภิ าพ หนงั สือสว่ นมากทเ่ี ขยี นขึ้นในช่วงระยะนี้ ส่วนใหญม่ ี ลกั ษณะดังที่กล่าวมา และมักมีปรากฏอยูใ่ นหัวข้อเร่ืองดังต่อไปน้ี คือ (1) การเมืองระหวา่ งประเทศ (2) ความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศ (3) การเมืองโลก (4) การเมืองแห่งอานาจ (5) องค์การระหว่างประเทศ (6) รัฐบาลระหวา่ งประเทศ (7) จติ วทิ ยาระหวา่ งประเทศ ในขณะเดียวกันสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ถูกจัดข้ึนหลายแห่ง ด้วยกัน อาทิเช่น The Royal Institute of Affsairs ในกรุงลอดดอน The Council of Foreign Relations and the Foreign Association ในกรุงนิวยอร์ค และ The Graduate Institute of International Studies Conference under the Insitute of Intellectual Cooperation ในกรุงปาริส สมาคมเหล่านี้ได้ทาการ พิมพ์หนังสือและบทบามทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งจัดให้มีการประชุมของบรรดา ศาสตราจารยแ์ ละนกั วิชาการท้งั หลายทีส่ นใจในวิชาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศอยู่เป็นประจา นอกจากน้ี สมาคมเก่าๆทางด้านรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง ได้ให้ ความสนใจต่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นอกเหนือไปจากสมาคมดังกล่าว ยังมีสถาบันพิเศษหลายแห่งท่ีได้ให้ความสนใจต่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมาก เช่น Norman Wait Harris Memorial Foundation แ ห่ ง ม ห า วิ ท ย า ลั ย ชิ ค า โ ก Conference on Science,Philosophy and Religion Institute of International studies แห่งมหาวิทยาลัยเยล และ Committee on International and Regional Studies แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ในช่างระยะเวลาท่สี อง น้ี มหาลัยต่างๆในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปได้เพ่ิมการสอนวชิ าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้นโดยให้ ความสนใจในเรื่ององค์การระหว่างประเทศ ภูมิศาสตร์ทางการเมือง และความสาคัญและอิทธิพลของ การเมอื งระหว่างประเทศ ซ่ึงแตกตา่ งกับการศึกษาก่อนสงครามโลกครงั้ ท่ี 1 ทไ่ี ม่ไดศ้ กึ ษาเรือ่ งนี้ เพราะศึกษา แต่ในเร่ืองประวตั ิศาสตรท์ างการทูตกฎหมายระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศเสียสว่ นใหญ่ 2.3 ระยะท่สี าม การศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศในระยะท่ีสามนี้ยังอยู่ในช่วงระยะเวลาเหมทอนระยะท่ีสอง คอื ระหว่างสงครามโลกคร้ังท่ี 1 กับสงครามโลกครั้งท่ี 2 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงระยะ นี้ มคี วามก้าวหนา้ เพม่ิ มากขึ้นมีการศึกษาถึงสถาบันระหวา่ งประเทศ เชน่ ทตู และกงสุล โดยศกึ ษาควบคู่ไปกับ การศึกษากฎหมายระหว่างประเทศและการจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ เช่น การจัดต้ังสันตบิ าตรชาติ ข้อท่ี

น่าสังเกตคือแนวความคิดในเรื่องดุลแห่งอานาจ (Balance of Power) ซึ่งเคยได้รับความสนใจอย่างมากก่อน สงครามโลกคร้ังท่ี 1 ได้รบั ความสนใจน้อยลงไป แนวความคิดท่ไี ด้รบั ความสนใจในระยะสามนี้ ได้แก่ ความคิด ในเร่ืองที่ว่า โลกควรมีสถาบันแล้งองค์การท่ีทาหน้าที่ในการขจัด และแก้ปัญหาต่างๆท่ีโลกประสบอยู่ และ สถาบันและองค์การเหล่าน้ีจะต้องมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความม่ันคงระหว่าง ประเทศ ด้วยอิทธิพลของแนวความคิดดังกล่าว นักวิชาการทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงได้ พยายามค้นคว้าหาแบบต่างๆของสถาบันและองค์การท่ีมีประสิทธิภาพในการทางานเกี่ยวกับการรักษาความ สงบเรียบร้อยของโลก ซ่ึงยังผลให้นักวิชาการดังกล่าวกลายเป็นนักปฏิรูป (Reformer) ผู้เพียบพร้อมไปด้วย อารมณ์และความเพ้อฝันในการสร้างสถาบันและองค์การตามแบบที่ตนได้คานึงวาดไว้ว่าเป็นแบบที่ดีและ เหมาะสมสมควรท่ีจะนามาใช้ โดยหาได้คานึงถึงข้อเท็จจริงต่างๆของพฤติกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งอาจจะทา ให้แบบท่ีตรงคิดวาดไว้หมดประสิทธิภาพไป กล่าวได้ว่า การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระหว่าง ระยะเวลาที่สองและสามนั้น มีแนวโนม้ เอยี ง 3 ประการ ตามท่ี เคนเนท็ ดับเบิล้ ยู ทอมสัน ไดก้ ล่าวไว้ คือ ประการแรก มีแนวโนม้ เอยี งในด้านมองความสัมพนั ธ์ระหวา่ งประเทศในแงอ่ ุดมคติ ประการทสี่ อง มีแนวโน้มเอียงในการมุ่งคน้ คว้าสนใจในกฎหมายระหว่างประเทศ ประการท่ีสาม มีน้าโน้มในการนาประสบการณ์ท่ีได้มาจากอดีตมาช่วยในการพิจารณาตัดสินใจใน เรื่องการพัฒนาสถาบันและเร่ืองต่างๆในระดับระหว่างประเทศโดยยึดถือหลักศีลธรรมเป็นท่ีตั้ง แนวโน้มเอียง ดังกล่าวทัง้ สาม มีอิทธิพลมากจนนกั วิชาการเชือ่ ว่าวิธีทางที่จะทาให้โลกมีสนั ติภาพและความสงบเรียบร้อยได้ก็ โดยอาศัยกฎหมายระหว่างประเทศรัฐบาลหรือองค์การระหว่างประเทศเป็นเคร่ืองมือควบคุม นักวิชาการดัง กล่าวถึงแนวโน้มของการศึกษาความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศในช่วงระยะเวลาที่ 2 และที่3 ได้แก่ ฮนั ส์ เจมอร์ เกนทอ (Hans J.Morgenthau) ซึ่งได้กล่าวว่า การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (รวมทั้งทฤษฎี) ระหว่างสงครามโลกคร้งั ที่ 1 และครง้ั ท2่ี น้นั ส่วนใหญ่แล้วเน้นหนักในเรื่องการศึกษาถึงการพฒั นาสถาบันที่ใช้ กฎหมายระหว่างมากกว่าเรื่องลักษณะและชนิดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ปรากฏ นอกจากน้ีแล้ว ผลประโยชน์ของชาติ (National Interest) และความม่ันคงของชาติ (National Security) ยังไม่ได้รับความ สนใจจากนักวิชาการแต่ประการใด การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงระยะเวลาน้ี ถือเป็นเร่ือง เก่ียวกับกฎหมายและองค์การระหว่างประเทศ มักเน้นในเร่ืองแบบมากกว่าในเรื่องเนื้อหาของการกร ะทา ระหว่างประเทศ ดงั นั้น การศึกษาจงึ มีขอบเขตในลักษณะวงแคบ โดยมองข่ามพลงั (Forces) และปรากฏต่างๆ (Phenomena) ซ่ึงมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งมีผลทาให้การพัฒนาทฤษฎีทางด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ดีเท่าที่ควร จากผลเรื่องในเรื่องดังกล่าว ทาให้ บรรดานักวิชาการ นัก วิจัยค้นคว้า และนกั ศึกษา หันมาสนใจค้นควา้ 0ในเร่ืองความเคลอ่ื นไหวของความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศในแง่ ของการเมือง รวมทั้งพลังและปัจจัยต่างๆท่ีเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นจุดเร่ิมต้นของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศในระยะที่ส่ี 2.4 ระยะที่ 4

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงระยะท่ีสี่น้ี มีการพัฒนาก้าวหน้ากว่าเดิม การศึกษาความเคล่ือนไหวของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแง่การเมืองในช่วงระยะเวลานี้ ทาให้ นักวิชาการทราบถึงพลังแล้วอิทธิพลต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมระหว่างประเทศ รวมถึงทราบเทคนิคและ กระบวนการของพฤติกรรมของรัฐ นอกจากนี้ นักวิชาการในช่วงเวลาน้ีได้เพ่ิมความสนใจศึกษาค้นคว้าในเร่ือง การแข่งขันกันในด้านอาวุธ เรื่องสงครามเย็น เร่ืองศิลปะของสงคราม (Art of War) เร่ืองการเมืองแห่งอานาจ (Power Politics) และเร่ืองภูมิการเมือง (Geopolitics) การศึกษาในเรื่องกฎหมายและองค์การระหว่าง ประเทศซ่ึงแต่ก่อนเน้นในเรื่องแบบและโครงสร้างมาในช่วงระยะนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นการเน้นหนักในแง่ของ การเมืองเป็นส่วนใหญ่ มีการศึกษาถึงการดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่งอานาจ และการขัดกันในเร่ืองผลประโยชน์ของ ชาติ ภายในองค์การระหว่างประเทศโดยเฉพาะภายในองค์การสหประชาชาติซึ่งถือว่าเป็นเคร่ืองมือทาง การเมืองระหว่างประเทศอย่างหนึ่ง รวมถึงเรื่องการศึกษาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันใกล้ชิด ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและการเมืองภายในองค์การระหว่างประเทศ หนังสือซึ่งเขียนคลุมถึง การศึกษาในลักษณะดังกล่าวได้แก่ หนังสือซ่ึงเขียนโดย มอร์ตัน เอ คาแปลน (Morton A. Kapkan) และนิโค ลาส เดอ บี แคทเซ็นแบค (Nicholas de B. Katzenbach) หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายถึงความเก่ียวพันระหว่าง การเมืองกับกฎหมายระหว่างประเทศ นักวิชาการเลือกเอาวิธีการเหมาะสมมาปรับปรุงเพื่อนาไปใช้ ใน การศึกษาและคน้ คว้าเรื่องต่างๆ ทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซง่ึ มีลักษณะยุ่งยากและซับซ้อนให้เข้า ในได้ง่ายข้ึน การศึกษาในลักษณะดังกล่าวผสมผสานกับแนวโน้มเอียงในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศในแง่ของการเมือง ได้พัฒนาการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มีความเป็นระเบียบและมี กฎเกณฑ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีส่วนทาให้การสร้างระบบทฤษฎี (Theory System) ในวิชาสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศรัดกมุ ดียิ่งขึ้นหนังสอื ที่ถือว่าเป็นงานบุกเบิกในการสร้างระบบทฤษฎี ได้แก่ หนงั สือซ่ึงเขียนโดย ควินซ่ี ไรท์ (Quincy Wright) สาหรบั หนังสือเล่มอ่ืนๆทีส่ ร้างระบบทฤษฎขี องความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศ ไดแ้ ก่ 1.Theoretical Aspects of International Relation จัดพิมพ์โดย Wiliam T.R. Fox จาก การประชุมสัมมนาซึ่งได้รับการอุปถัมภ์จากสมาคมที่มีชื่อว่า Institute of War and Peace Studies แห่ง Columbia University ในกรุงนวิ ยอร์ค 2.The International System : Theoretical Essays จัดพิมพ์โดย Stanley H. Hoffman ผู้ รวบรวมบทบาทความท่ีได้รับจากสัมมนา ซ่ึงจัดขึ้นโดย The Center of International Studies แห่ง มหาวทิ ยาลัยปรนิ ส์ตัน และ 3 .บ ท ค ว า ม ท่ี มี ช่ื อ เร่ื อ ง “The Place of Theory in the Conduct and Study of International Relations” เขี ย น โด ย Inis L.Ciaude Jr. ใน ว า ร ส า ร ชื่ อ The Journal of Conflict Relations ประจาเดือนกันยายน ค.ศ.1960 นอกจากหนังสือดังกล่าวแล้ว ยังมีหนังสืออีกมากมายที่มีแนวโน้มไปในทางสร้างทฤษฎี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถึงแม้ว่าหนังสือต่างๆท่ีกล่าวมาข้างต้นเป็นหลักฐานเพียงพอท่ีจะพูดได้ว่า

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยใช้ทฤษฎีนั้นสมบูรณ์พอท่ีจะทาให้เราเข้าใจในความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศได้อย่างดีก็ตาม ก็ยังไม่มีใครเลยในบรรดานักวิชาทั้งรุ่นเก่า และรุ่นใหม่กล้าพูดเช่นนี้ ใน ปัจจุบัน กล่าวได้ว่าการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมุ่งศึกษาในเรื่องพฤติกรรมที่เกิดข้ึนระหว่าง ประเทศโดยอาศัย สถิติ ตัวเลข และการทดสอบ ตลอดจนเทคนิคและวิธีการค้นคว้าวิจับแบบใหม่ๆ ผลก็คือ ทาให้การสร้างทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพ่ิมมากขึ้น อย่างไรก็ดี แม้ว่าจานวนของหนังสือทางด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปจั จุบนั เพิ่มมากขน้ึ กวา่ เดิมก็ตาม การปรับปรงุ คุณภาพของหนังสือยงั เชื่องช้า อยู่มาก ซ่ึงคุณภาพท่ีดีของหนังสือนั้นคือ เน้ือหาของหนังสือจะต้องครอบคลุมถึงเร่ืองราวอันเกี่ยวกับสาขา ท้งั หมดในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ น้ันกห็ มายความว่า หนังสอื เล่มนน้ั จะต้องมีความหนาขนาดหลาย ยกทเี ดียว

บทท่ี 3 วธิ ีการศกึ ษาและการวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 1.วิธกี ารศกึ ษา (Approaches to the Study of International Relations) จากการสารวจหนงั สือทเ่ี ขยี นเกี่ยวกับวิธกี ารศึกษาความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศแลว้ ปรากฏว่า นักวชิ าการ ได้พยายามทจ่ี ะแยกวธิ ีการศกึ ษาออกเป็นประเภทๆกล่าวได้วา่ วิธีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมอี ยู่ หลายแนวทางด้วยกัน บางสานึกศึกษาใช้หลักความคิดของนักภูมิการเมืองเป็นแนวทางในการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ โดยถือว่า ลักษณะทางด้านภูมิศาสตร์มีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมรัฐ และบางสานักศึกษา เห็นวาประวตั ิศาสตร์ วฒั นธรรม และธรรมเนียมประเพณี อานาจทางทหาร จิตวิทยาของชาติ รวมท้ังแนวโน้ม เอียงของความสัมพันธ์ต่างๆในโลก เป็นเคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาพฤติกรรม และกิจกรรมระหว่างประเทศได้ เปน็ อย่างดี ในปจั จบุ ัน การศกึ ษาความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศมีอยู่ 8 แนวทางด้วยกัน คือ 1.1 แนวนโยบาย (Policy Orientation) การศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศตามแนวนโยบายมลี กั ษณะดังต่อไปนี้ คอื ก. การศึกษาตามแนวนี้ เน้นถึงนโยบายที่ประเทศต่างๆใช้กันโดยศึกษาถึงแนวทางนโยบาย ร่วมกันของรัฐในการรักษาไว้ซ่ึงสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ก่อนท่ีสงครามโลกคร้ังที่ 1 จะอุบัติ ขึน้ ข. นโยบายร่วมกันของรัฐท่ีนักวิชาการมุ่งศึกษาน้ัน ได้แก่ นโยบายในการจัดตั้งองค์การระหว่าง ประเทศให้มีประสิทธิภาพในการขจัดในกรณีพิพาทและป้องกันภัยสงคราม รวมทั้งนโยบายปรับปรุงกฎหมาย ระหว่างประเทศให้มีผลบังคับดีกว่าเดิม กล่าวได้ว่า นักวิชาการมุ่งหานโยบายในการจัดต้ังองค์การระหว่าง ประเทศให้มีประสิทธิภาพซ่ึงแตกต่างกับนักวิชาการปัจจุบันที่ไม่มุ่งในเรื่องการจัดต้ังองค์การระหว่างประเทศ แต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังคานงึ ถึงข่อทว่ี ่าสันติภาพระหว่างประเทศนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้จัดใหม้ ีการ ผสมผสานเข้ากันได้ระหว่างผลประโยชน์ของรัฐกับผลประโยชน์ขององค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งการจัด ระเบยี บและอานาจขององค์การระวา่ ประเทศ จะตอ้ งสอดคล้องกบั ความต้องการส่วนรวมของรัฐ ในการศึกษาของนโยบายของรัฐน้ัน ถ้านักวิชาการเห็นว่านโยบายอันให้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ ประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ ก็จะตัดสินว่าเป็นนโยบายท่ีไม่ดีไม่สมควรนามาใช้ ในการพิจาณาว่า นโยบายอันใดดีอันใดไม่ดี นักวิชาการมักเอาค่านิยมรวมท้ังการก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อรัฐส่วนรวมในทาง ปฏิบัติ เข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณา การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวนี้ ทาให้ทราบว่ารัฐ แต่ละรฐั มคี วามสัมพันธแ์ ละมนี โยบายอย่างไรบา้ ง อย่างไรก็ตาม การศึกษาตามแนวทางนี้ยังมีข้อบกพร่องในข้อที่ว่านักวิชาการมองข้ามต้นกาเนิดของ พฤติกรรมของรัฐ รวมทั้งสภาพความเป็นจริงของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพราะมัวแต่มุ่งศึกษาถึง นโยบายของรัฐในการจัดต้ังองค์การระหว่างประเทศดังนั้น นักวิชาการในระยะต่อมาจังได้หันมาสนใจศึกษา

ค้นคว้าที่มาของพฤติกรรมและการกระทาของรัฐ โดยเฉพาะอย่างย่ิงปัจจัยต่างๆที่ผลักดันให้รัฐนานโยบาย อย่างหนึง่ อย่างใดมาใช้ 1.2 แนวประวตั ศิ าสตร์ (Historical Approach) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวประวัติศาสตร์ หรือเรียกกันอีกอย่างว่า แนว ประเพณี (Traditional Approach) เป็นวิธีการศึกษาซึ่งเก่าแก่ท่ีสุด ซึ่งนักวิชาการได้กระทาการศึกษา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวน้ีมาช้านานแล้ว การศึกษาตามแนวน้ีมักเริ่มต้นด้วยการค้นหา ข้อเท็จจริงและหลักฐานที่เก่ียวกับเวลาและสถานท่ีที่เก่ียวพันกับเหตุการณ์ระหว่างประเทศ การพัฒนาของ ชมุ ชนระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่มีตอ่ กัน โดยวธิ ีการสังเกตสภาพความเป็นจริงท่ีได้เกิดขึ้น จากหลักศลิ าจารึ เอกสารอนั เกา่ แก่ หรอื สง่ิ อ่ืนๆ การศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศตามแนวน้โี ดยพื้นฐานแล้วมีลักษณะทส่ี าคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก เป็นการศึกษาแบบสังเกตสภาพความเปน็ จรงิ เพ่อื ให้ไดม้ าซึง่ ความรู้หรอื ทเ่ี รียกวา่ แบบ Empirical Study การสังเกตนัน้ อาจสังเกตจากหลักฐานต่างๆจากคนรนุ่ กอ่ นๆ ไดบ้ ันทึกเอาไว้ เช่น ศลิ าจารึ เอกสาร หรอื วัตถุอ่นื ๆ ท่ีจารึกเร่อื งราวเอาไว้ เป็นต้น ประการท่ีสอง เมื่อได้รับความรู้จาก Empirical Study แล้วนักวิชาการจะเรียงลาดับเหตุการณ์ท่ีได้ เกิดข้ึนในคามสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแบบวิธี Chronicle การจัดลาดับเหตุการณ์ต่างๆ ได้เกิดข้ึนนั้น นับว่ามีความสาคัญมากตามเหตุผลท่ี เรมอนด์ อารอน (Raymind Aron) ได้ให้ไว้ว่า การศึกษาความสัมพันธ์ หรือเหตุการณ์ระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์จะสมบูรณ์ได้ ก็ต่อเม่ือมีการจัดลาดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้ เกดิ ข้ึนให้เป็นระเบยี บโดยอาศยั ความรู้ในสาขาอ่นื ๆ เช่น สังคมวิทยา จิตวทิ ยา ภูมิศาสตร์ และวิธีการตลอดจน เทคนิคทางวิทยาศาสตร์มาช่วย นักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่เห็นถึงความสาคัญของความรู้และวิธีวิจัยในสาขา อน่ื ๆ ซึ่งอาจจะนามาใช้ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวประวัตศิ าสตร์ ได้แก่ ศาสตราจารย์ แมคเคลแลนด์ (Charles A. McClelland) ท่านผู้น้ีได้กล่าวว่า การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตาม แนวประวัติศาสตร์จะมีความสมบรูณ์ดีย่ิงข้ึน ถ้าหากนาเอาความชานาญและความสามารถของนักวิชาการมา ใช้ให้เข้ากันกับวิธีและกระบวนการวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ อาทิเช่น การสังเกตการณ์ การต้ังปัญหาและ สมมุติฐาน การทดสอบ เป็นต้น และถ้าหากไม่มีการกระทาดังกล่าว การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามแนวทางประวัติศาสตร์จะไม่มีคุณค่าเลยทางด้านวิชาการ อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการบางท่านไม่ค่อยจะ เชื่อว่าการศึกษาโดยวิธีอ่ืนๆมาชว่ ยน้ันจะช่วยเพ่ิมพูนความรู้ท่ีสาคัญอันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Methods) สร้างทฤษฎีความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศข้ึนมา โดยมจี ุดประสงค์ท่ีจะใชท้ ฤษฎีนัน้ เปน็ เครื่องมือใน การทาความเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ ฮันส์ เจ มอร์เกนทอ ไม่เห็นพ้องด้วยกับการนาทฤษฎีมาใช้ ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยให้เหตุผลว่า ทฤษฎีซ่ึงใช้กับเหตุการณ์หน่ึงบางครั้งไม่อาจใช้ได้ กับเหตุการณ์อีกอันหนึ่งได้เสมอไป ท้ังนี้เน่ืองจากการกระทาระหว่างประเทศท่ีได้เกิดข้ึนมักเป็นเร่ืองที่ไม่อาจ ทานายได้ล่วงหน้า เพราะตัวแปรมีมากในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและมักเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไป

และเปลีย่ นปลงได้ง่ายด้วยเหตดุ ังกล่าวจึงไม่อาจเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างลึกซึง่ โดยใช้ทฤษฎี แตเ่ พียงอย่างเดยี ว อยา่ งไรกต็ าม การศึกษาตามแนวนี้นับได้วา่ มสี ว่ นสรา้ งเริมการศึกษาวชิ าความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ประเทศอยา่ งมาก เพราะเปน็ การปูพื้นฐานเพือ่ นาไปสกู่ ารเข้าใจความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศในแง่ต่างๆต่อไป ในปัจจุบันการศึกษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศยังคงยึดถือแนวประวัติศาสตร์เป็นสว่ นใหญ่ และมี นกั วิชาการหลายคนยงั คงยดึ ถือการศกึ ษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศตามแนวนี้อยู่ อาทเิ ชน่ ริชาร์ด เอน็ โรส แครนซ์ (Richard N.Rosecrance) ฮันส์ เจ มอรเ์ กนทอ (Hans J.Morgenthau) เปน็ ต้น 1.3 แนวภมู ิการเมอื ง (Geopolitical Approach) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวภูมิการเมือง เป็นการศึกษาถึงสภาวะส่ิงแวดล้อม ทางด้านภูมิศาสตร์ท่ีมีอิทธิพลต่อการกระทาของรัฐ เช่น ดินฟ้าอากาศที่ต้ังและขนาดของประเทศ สภาวะการ เปน็ อยู่ อาหารเป็นต้น นกั วิชาการในสมัยก่อนท่ีเช่อื ในเรอ่ื งความสาคญั และอิทธิพลของสภาพภูมิศาสตร์ ไดแ้ ก่ ฮัลฟอร์ด แมคคินเดอร์ (Halford Mac Kinder) ท่านผู้นเ้ี ชื่อว่า ผู้ใดปรับปรงุ การขนส่งทางบกในดนิ แกนรสั เซีย และยุโรปกลางได้จะทาใหส้ ามารถควบคุมบริเวณยุโรปตอนกลาง รวมทั้งดนิ แดนวา่ งเปลา่ ในไซบเี รีย ซึง่ จะมีผล ทาให้ผ้นู ั้นมีอานาจเหนือชาตมิ หาอานาจยุโรปทั้งหมด ทั้งทางบกและทางทะเล ความเห็นคิดของ แมคคนิ เดอร์ ในเรื่องนี้มีส่วนกระตุ้นให้นักภูมิศาสตร์มีอิทธิพลต่ออานาจ การกระทา ความเจริญเติบโต ความก้าวหน้า และ ความเสื่อมโทรมของชาติ ดังเช่น นายคริสตอฟ (Kristof) แห้งสานักท่ีมีช่ือว่า Deter monistic School of Geopolitics ได้กล่าวว่าส่ิงแวดล้อมธรรมชาติมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเมืองภายในประเทศและการเมือง ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามมีนักวิชาการหลายคนในปัจจุบันทีไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว อาทิเช่น ฮา โรลด์ และมากาเร็ต เสปร้าท์ (Harold and Magarett Sprout) แห่ง Possibilistic School of Thought ซึ่ง ไม่เชื่อว่าสภาพทางด้านภูมิศาสตร์จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการกระทาของรัฐ หรือเสริมสร้างอานาจของรัฐ เพราะยงั มีส่ิงแวดล้อมในดา้ นอืน่ ๆ (ความก้าวหน้าทางด้านวทิ ยาศาสตร์ ความเจรญิ ทางด้านอุตสาหกรรม เป็น ต้น) ที่มีอิทธิพลมากกว่าส่ิงแวดล้อมทางด้านภูมิศาสตร์ ตัวอย่างเช่น ประเทศญ่ีปุ่น ถึงแม้จะเป็นประเทศที่มี ขนาดเล็กกว่า และมีพลเมืองน้อยกว่าแต่ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมทาให้คนญี่ปุ่นมี อานาจ และมีอิทธิพลในเวทีการเมืองระหว่างประเทศเหนือว่าประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศใหญ่และมี พลเมอื งมากกวา่ ในปจั จุบนั นักวเิ คราะหส์ ว่ นมากเช่ือวา่ สภาพทางด้านภมู ศิ าสตร์ไมไ่ ด้เป็นปัจจยั ที่สาคญั ท่ีสุดเพยี ง อยา่ งเดยี วทม่ี ีอทิ ธิพลตอ่ การกระทาหรอื อานาจของรัฐ ยังมีปัจจยั อนื่ ๆอีกหลายอยา่ งทีม่ ีอิทธิพล สภาพ ภูมิศาสตร์เพยี งแตเ่ ปน็ ปจั จัยทีม่ สี ว่ นทาให้พฤติกรรมของรัฐหรอื อานาจของรฐั เปลยี่ นแปลงไปได้ไม่เสมอทุกครงั้ ไป ถึงแมว้ ่าการเปลย่ี นแปลงทางด้านเทคโนโลยี มผี ลกระทบกระเทอื นตอ่ ความสาคัญของสภาพทางภูมิศาสตร์ แต่ก็ไมถ่ ึงทาทาลายไปเลยทเี ดยี ว ทตี่ ้งั ทางภูมิศาสตร์ ขนาดของประเทศและจานวนประชากรยังคงมี ความสาคัญ และมีอทิ ธิพลต่อการกระทาของรัฐและพฤตกิ รรมทเี่ กิดขนึ้ ระหวา่ งประเทศ การศึกษาสงิ่ แวดล้อม อย่างใดอยา่ งหนึง่ แต่เพียงอย่างเดยี วไม่อาจทาให้เราเจา้ ใจถงึ พฤตกิ รรมระหว่างประเทศได้อยา่ งถกู ต้อง 1.4 แนวในเรอื่ งอานาจ (Power Approach)

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวในเรื่องอานาจได้กระทาโดยสานักศึกษาท่ีมีชื่อ Political Realism ในสหรัฐอเมริกา นักวิชาการท่ีมีช่ือเสียงในสานักน้ีได้แก่ ศาสตราจารย์ ฮันส์ เจ มอร์เกน ทอ (Hans J. Morgenthau) ผู้ซง้ึ ใช้แนวความคดิ ในเรอื่ งอานาจเป็นหลกั ในการวิเคราะห์และวจิ ัยความสัมพันธ์ ระหวา่ งประเทศ ฮนั ส์ เจ มอร์เกนทอ ถือว่าอานาจเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศและ การเมืองระหวา่ งประเทศอย่างเห็นไดช้ ัด และไม่ว่าจะเป็นเรอ่ื งความสัมพนั ธ์หรือการเมืองระหว่างประเทศต่าง ก็ล้วนแต่เก่ียวกับการดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซ่ึงอานาจรัฐ เพราะชาติส่วนมากต่างมีความทะเยอทะยานที่จะมี อานาจเพื่อทจ่ี ะได้ครอบครอง และป้องกันผลประโยชนข์ องตนได้โดยเตม็ ท่ี จะเห็นได้ว่าอานาจมีสว่ นเก่ียวข้อง กับผลประโยชน์ของชาติ (National Interest) ซ่ึงเเนวความคิดของ ฮันส์ เจ มอร์เกนทอ เเละผู้นาของรัฐ ทั้งหลายถือว่าเป็นประโยชน์เเห่งชาติทีความสาคัญเหนือสิ่งใด ดังน้ันทุกๆชาติจึงมักสร้างนโยบายต่างประเทศ มาคุ้มครองเเละป้องกันผลประโยชน์เเละส่วนได้ส่วนเสียของตน อย่างไรก็ตาม มีบางรัฐประกาศว่าตนใช้ นโยบายหรือสร้างนโยบายตา่ งประเทศโดยคานึงถึงศลี ธรรมมากกว่าผลประโยชน์ของตน ซึ่ง ฮันส์ เจ มอร์เกน ทอ ได้กลา่ วว่า การประกาศเช่นน้ันเป็นการบังหน้าหรือเอาหนา้ มากกว่า เพราะรฐั ท่ีประกาศรู้ดีเเล้วว่านโยบาย ท่ตี นประกาศใชอ้ อกมานน้ั ไม่ไดท้ าให้ตนสญู เสยี ซึง่ อานาจหรือผลประโยชน์มากมายเเตป่ ระการใด ผู้ท่ีวิจารณ์ถึงข้อบกพร่องของเเนวความคิดของ ฮันส์ เจ มอร์เกนทอ ในเร่ือง \"การดิ้นรนเพ่ือให้ได้มา ซึง่ อานาจ\" ได้เเก่ ศาสตราจารย์ เค เจ โฮลสติ (K.J.Holsti) ท่านถูกน้ีกล่าวว่า การด้ินรนเพ่ือให้ได้มาซ่ึงอานาจ ไมไ่ ด้บอกรายละเอียดอะไรนักในเร่อื งวิธจี ะได้มาซ่ึงอานาจ ความสามารถของรัฐในการดน้ิ รน กระบวนการของ การด้ินรนเเละปริมาณของอานาจที่ได้มาจากการด้ินรน โฮลสติ มีความริดเห็นเเตกต่างกับ ฮันส์ เจ มอร์เกน ทอ ในข้อที่ว่าอานาจไม่ได้เป็นปัจจัยสาคัญท่ีมีอิทธิพลต่อการกระทาท้ังหมดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โฮลาติ เช่ือว่า การใช้อานาจเป็นเร่ืองการใช้อิทธิพลต่อผู้อ่ืน ซ่ึงย่อมหมายความว่าผู้ใช้อานาจจะต้องมีความ สามมารถในการใช้อิทธิพลด้วย อย่างไรก็ตาม การตีความหมายในเรื่องอานาจของโอลสติ ยังไม่สมบรูณ์ เพียงพอ เพราะไม่ได้มีการพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆท่ีปรากฏอยู่ในระหว่างท่ีมีการใช้อิทธิพลเเละอานาจ โอลสติ มีความเห็นต่อไปอีกว่าไม่ว่าอานาจจะถูตีความหมายไปในเเง่ใดๆก็ตามก็ยังคงไม่เหมาะสมในการที่จะนาเเนว ความคิดในเรื่องอานาจมาใช้เป็นเคร่ืองมือในการวิเคราะห์เเละวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในชุมชนท่ีมี การรวมตัวกันอยา่ งดี เชน่ กลุ่มประเทศสเเกนดิเนเวีย หรอื อเมริกาเหนือ เป็นต้น เพราะในชมุ ชนเหลา่ นี้ไมท่ รี ัฐ ใดที่มีทีท่าส่อว่าต้องการดิ้นรนเพ่ือให้ได้มาซึ่งอานาจ นอกจากน้ีโฮลสติ ยังกล่าวว่าความคิดของตนในเร่ือง อานาจยงั ไม่สมบรณู เ์ พียงพอทจี่ ะนามาใชใ้ นการศกึ ษาความสมั พนั ธ์ระหว่างประเทศ หนังสือทเี่ ขียนขึ้นโดยยึดการศกึ ษาตามเเนวนี้นบั วา่ เดน่ ได้เเก่ Politics Among Natinos ของ Hans J.Morgenthau เเละ Power and International Relations ของ Inis L.Claud,Jr. 1.5 เเนวความคิดเรือ่ งดุลอานาจ (The Balance of Power Aproach) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามเเนวในเรื่องดุลอานาจ มุ่งศึกษาถึงพฤติกรรมของรัฐ มหาอานาจในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งต่างพยายามรักษาหรือเปล่ียนแปลงสถานภาพ (Status) เดิม ของตน เพื่อจะสร้างกลุ่ม (Bloc) ถ่วงดุลอานาจน้ันย่อมความหมายว่ารัฐเล็กๆ ท่ีมีอิทธิพลในเวทีการเมือง ระหว่างประเทศอาจร่วมมือกัน หรือดิ้นรน สรา้ งกลุ่มข้ึนมาให้มีอานาจทดั เทยี มกบั รัฐมหาอานาจใหญ่ ซ่ึงส่งผล ใหม้ ีการถว่ งดุลอานาจ จากลักษณะดังทกี่ ล่าวมา ย่อมเห็นไดช้ ัดว่าเสถียรภาพ (Stability) หรือความม่ันคงของ

ระบบโลกหรือระบบระหว่างประเทศข้ึนอยู่กับความทัดเทียมของกาลังหรือดุลภาพของเเต่ละกลุ่มรัฐท่ีอยู่ใน ระบบโลก การศึกษาตามเเนวน้ีคล้ายคลึงกับการศึกษาความสัมพันธ์นระหว่างประเทศตามเเนวในเรื่องอานาจ และในระบบซ่ึงยืดถือหลักความจริงเพียงอย่างเดียวกันว่า การเมืองระหว่างประเทศคล้ายคลึงกับภายในแระ เทศในแง่ท่ีว่าการต่อสู้ด้ินรนเพ่ือให้ได้มาซ่ึงอานาจ อย่างไรก็ตาม มีข้อเเตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างการศึกษา ตามเเนวดุลอานาจกับเเนวระบบในข้อที่ว่า เเนวระบบมองเห็นสถานการเปลี่ยนแปลงภายในรัฐซ่ึงเป็นหน่วย หนึ่งของระบบระหว่างประเทศ เเต่ศึกษาตามเเนวดุลอานาจมักจะมองสภาพภายในของรัฐที่มีลักษณะคงที่ไม่ เปลี่ยนแปลง ซึ่งนับว่าเป็นการมองอย่างผิดๆ เพราะมองข้ามข้อความจริงที่ว่ารัฐไม่เคยน่ิงอยู่กับที่ บางรัฐก็มี การขยายตัว บางรฐั ก็มีการทาสัญญากัน เปน็ ต้น ดังนั้น การมีอานาจเท่าเทียมกนั ระหวา่ งรฐั หรือกลุ่มรฐั จงึ ไม่ ม่ันคงถาวรเเละสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยอิทธิพลของปจั จัย เเละตัวแปรต่างๆมากมาย โดยเฉพาะอย่างย่ิงใน ยคุ ที่มกี ารพฒั นาอาวุธนิวเคลยี ร์ เเละความก้าวหน้าอย่างสูงทางด้านเทคโนโลยี ศาสตราจารย์ Hertz ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การพัฒนาอาวุธนิวเคลีย์ช่วยทาลายระบบขั้วอานาจ 2 ข้ัว (Bipolar Stystem) หรืออีกนัยหนึ่ง ก่อนหน้ามีการสร้างเเละพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ โลกเรานี้เคยอยู่ในระบบ ดุลเเห่งอานาจมาเเล้ว อาทิเช่น นับต้ังเเต่สัญญาสันติภาพที่ลงนามกนั ณ เมอื งเวสตฟ์ าเลีย (Westphalia) ใน ปี ค.ศ.1648 จนถึงสงครามโลกคร้ังที่ 1 อังกฤษบทบาทในการเป็นผู้รักษาดุลอานาจท้ังในยุโรปเเละทวีปอ่ืนๆ ดงั เช่นอังกฤษประสบความสาเร็จในการรวมกลมุ่ รฐั เพื่อทาหน้าท่ีป้องกันการยึดครอง เเละเเผ่ขยายดอนเเดนข องผู้นาเเห่งรัฐหลายรัฐด้วยกัน เช่น พระเจ้าชาร์ลส์ท่ี 5 (Charler V)พระเจ้าฟิลลิปที่2 (Philip II) พระเจ้า หลุยส์ท่ี 14 (Louise XIV) นโปเลียน เเละพระเจ้าวิลเฮทท่ี2 (Wilhelm II) กล่าวได้ว่า ความก้าวหน้าทางด้าน วทิ ยาศาสตร์เเละด้านเทคโนโลยี หลังสงครามโลกคร้ังท่ี1 ไม่เพียงพอก่อให้เกิดสงครามเเบบใหม่ๆ เเต่ยังทาให้ ระบบดุลเเห่งอานาจเเบบเก่าเเกต่ ้องสลายตัวไป ดังนัน้ ความหมายของคาวา่ ความทัดเทยี มกัน (Equilibrium) หรือดลุ เเห่งอานาจ จึงมีลักษณะคล้ายกับระบบเเห่งการรว่ มมอื กัน (System of Aliance) ในเเง่ของการรักษา สันติภาพของโลกให้คงอยู่ไว้ ซึ่งในระบบของการร่วมมือกันเป็นสัมพันธมิตรจะมีกลุ่มรัฐมหาอานาจซ่ึงต่างฝ่าย ตา่ งไม่กล้ารกุ รานต่อกันเพราะกลัวว่าตนจะต้องถูกทาลายในลักษณะเช่นเดียวกัน จึงทาใหอ้ ยู่ภาวะของดุลเเห่ง ความหวาดกลวั (Balance of Terror) 1.6 เเนวจติ วิทยาเเละวฒั นธรรม (Psychological and Cultural Approach) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตามเเนวจติ วทิ ยาเเละวฒั นธรรมน้ันมงุ่ ทจี่ ะอธบิ ายถงึ สมั พันธภาพ(Relationships) ระหวา่ งบคุ คลกับสภาพทางสังคมเเละวฒั นธรรมเเละสมั พันธภาพ (Relationships) ระหว่างรฐั กับสถานการณต์ ามความเป็นจรงิ การศึกษาตามเเนวน้พี ยายามท่จี ะอธิบายถงึ พฤติกรรมของรฐั ในสถานการณ์ตามความเปน็ จริงทรี่ ัฐบุรุษ หรอื ผ้นู าของรฐั ไดท้ าใหเ้ กิดขึ้น การศกึ ษาตามเเนวน้ีมองเเละพิจารณาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศในลักษณะท่ลี กึ ซึ้ง เเละมเี หตผุ ล มากกวา่ การศึกษาความสัมพันธร์ ะหว่าง ประเทศของพวกอรรถนิยมหรอื พวกอานาจนยิ ม (Realists) ตวั อยา่ งเชน่ ศาตราจารย์วซั เซอรเ์ เมน ไดช้ ้ใี หเ้ หน็ ว่าเนื่องจากนักอรรถนยิ มไมค่ ่อยจะสนใจหรือซาบซง่ึ ในเร่ืองบุคคลเเตล่ ะคนทีความคดิ เห็นไม่ตรงกนั จึงทาให้นกั อรรถนยิ มไม่คอ่ ยชี้ใหเ้ ห็นถึงเเนวทางความคิดเเละการตีความเก่ียวกับผลประโยชนข์ องชาตใิ น

ลกั ษณะตา่ งๆดังเชน่ นกั จติ วิทยากระทาการหรือกลา่ วอีกนยั หน่ึง นกั อรรถนิยมมองความสมั พันธร์ ะหวา่ ง ประเทศในเเงข่ องความเปน็ จริงเกีย่ วกับอานาจ โดยมไิ ด้มองความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศในเเง่อ่ืนๆทม่ี ี ลักษณะเเตกต่างกันออกไป 1.7 เเนวพฤตกิ รรม (Behavioral Approach) การศกึ ษาความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศตามเเนวพฤติกรรมเป็นการศึกษาท่ีใหมท่ ี่สุด โดยมีการใช้ วิธีการเเลว้ เทคนิคทางดา้ นสังคมศาสตรเ์ เละวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Methods) เข้ามาช่วยใน การศกึ ษา โรเบริ ต์ ดาล (Robert Dahl) ไดใ้ ห้ความหมายของการศกึ ษาเเนวนี้ไว้วา่ การศกึ ษาความสมั พันธ์ ระหวา่ งตามเเนวพฤติกรรม คือ ความพยายามท่ีจะอธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศด้วย ขอ้ สรุปทไี่ ด้มา จากการสังเกตสภาพตามความเปน็ จรงิ (Empirical Propositions) เเละดว้ ยทฤษฎีรวมท้ังมดี ารทานาย (Prediction) พฤติกรรมของมนุษย์ท่จี ะเกดิ ข้ึนในอนาคตโดยพยายามหาทางประบปรุงคาทานายหรือการ คาดคะเนให้มีความเเม่นยาถกู ต้องมากข้ึน ซึ่งศาสตราจารย์ ซงิ เกอร์ (Singer) ได้ใหข้ ้อสงั เกตวา่ การทานายน้ัน อาจถูกหรือผดิ หรือไมเ่ กดิ ขึ้นตามที่ทานายก็ได้ 1.7.1 การวัด (Measurement) เป็นวิธีการวัดข้อมูล (Data) ที่ได้มาในเชิงปริมาณ (Quantitative Method) เช่นการสารวจ ประชามติจะต้องมีการวัดทัศนคติ (Attitudes) เเละความรสู้ ึกตลอดจนความสนใจของประชาชนที่มีต่อปัญหา ระหว่างประเทศ เเละการวิเคราะห์เนื้อหา (Contert Analysis) ของความรู้สึกของประเทศต่างๆว่ามีระดับเเค่ ไหน ดังเช่น การวิเคราะห์เนื้อหาของมหาวิทยาลัยเเสตนฟอรด์ เก่ียวกับการขัดเเย้งเเละการรวมตัวของ ประเทศยุโรปได้เปิดเผยให้เห็นว่า ออสเตรียเข้าใจถึงความสามารถของอังกฤษอย่างไรในสงครามโลกคร้ังที่ 1 เเละออสเตรียมีความขุ่นเคืองเยอรมันอย่างไร เป็นต้น นอกจากน้ีองค์ประกอบของเหตุการณ์ต่างๆเช่น ความ เป็นเพ่ือน ความพึงพอใจ การสนับสนุนช่วยเหลือการรุกรานหรือกิจกรรมต่างๆ ได้ถูกศึกษาเเละถูกวัดออกมา ดังนั้น ในกรณีเหตุการณ์ปี ค.ศ.1914 การวิเคราะห์ในเน้ือหาช่วยทาให้นักวิชาการเข้าใจถึงลักษณะของการ ขดั เเย้งระหวา่ งประเทศได้ดีข้ึน 1.7.2 การทดลอง (Experiment) การทดลองนับได้ว่าเป็นวิธีการอย่างหน่ึงท่ีนามาใช้ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การทดลองท่ีนิยมอยู่ในขณะน้ี ได้เเก่วิธีการสร้างเเบบจาลองหรือสมมุติ(Simulation) ซ่ึงเป็นการเลียนแบบ จากการทดลองโดยมกี ารควบคุม (Controlled Experiment) อนั ปรากฏพบบอ่ ยๆในสาขาวิทยาศาสตร์ การทดลองเเบบจาลองหรือสมมุติ เป็นกระบวนการท่ีมีการกาหนดและควบคุมตัวแปร (Variables) และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตัวแปรท้ังหมด การใช้วิธีการทดลองและแบบจาลองมีส่วนช่วยให้นัก วจิ ัยค้นควา้ และนักวชิ าการสามารถอธิบายปรากฏการณ์ระหว่างประเทศในลักษณะท่ีเป็นระเบียบ การทดลอง แบบจาลองท่ีนิยมกระทากันมีอยู่หลายแบบ อาทิเช่น แบบเกมสงคราม (War Games) หรือแบบ Political Military Exercise สาหรบั แบบหลงั ลินคอนล์น บลูมฟิลด์ (Lincoln Bloomfield) และเพื่อร่วมงานไดท้ าการ ทดลองที่ M.I.T (Massachusette Institute of Techonlogy) ซ่ึงเป็นการทดลองแบบทุกคนมีสว่ นร่วมในการ ทดลอง (All Man Gaming Exercise) การทดลองที่ทาข้ึนในคร้ังนี้ประกอบด้วยห้ากลุ่มเล็กๆซึ่งเป็นรัฐบาล

ต่างๆ และมีกาควบคุม ซง่ึ ไดแ้ ก่สิ่งแวดลอ้ มภายในประเทศ และส่ิงแวดลอ้ มระหว่างประเทศ การทดลองแบบนี้ คล้ายคลงึ กับการทดลอง 3 แบบ ดงั ตอ่ ไปน้ีคอื (1) War Game อนั เป็นวิธที ท่ี างการทหารนิยมใช้กนั (2) แบบ Inter-Nation Simulation ซง่ึ Dr. Harold Guetzkow และเพอ่ื นรว่ มงานที่ Northwestern University ไดท้ าการทดลองแบบนีข้ ึน้ โดยมีกลุม่ ที่ใชใ้ นการทดลองจานวน 5 ถึง 9 กลมุ่ ซงึ่ ประกอบดว้ ยตัวแปรตา่ งๆการทดลองนี้มปี ระโยชน์ในดา้ นการสอน และการคน้ คว้า การทดลองชนดิ นม้ี ุ่งในการสร้างและทดสอบข้อสมมุติฐานเก่ียวกับความสมั พันธร์ ะหว่างรฐั และ (3) แบบ TEMPER การทดลองแบบ TEMPER นีไ้ ดถ้ กู จัดใหม้ ีขึน้ ในภายใตก้ ารแนะนาของ National Military Command Support Center ของหนว่ ยงานท่ีมีชอื่ วา่ The Joint War Game Agency โดยใชเ้ ครื่องคอมพวิ เตอร์ชว่ ยโดยตลอด การทดลองชนิดน้ี เป็นการทดลองในเชิง ปริมาณ (Quantitative Simulation) ที่เกีย่ วกบั เหตกุ ารณ์ของการขดั แย้งระหว่างประเทศ วิธีการทดลองแบบน้ชี ่วยทาให้เขา้ ใจลกึ ซึ่งถึงปฏิกริ ิยาโตต้ อบ (Reactions) ของรฐั ตลอดจนสภาพ ตา่ งๆท่เี กย่ี วกับการทหาร การเมือง การเศรษฐกจิ และสังคมและวฒั นธรรมซ่งึ เป็นปจั จยั ท่ี เกย่ี วขอ้ งกบั การตัดสนิ ใจของรัฐ สาหรบั การเปรียบเทียบการทดลองท้ัง 4 แบบท่ีกล่าวมาข้างต้น ในทัศนะและความคิดท่ีแตกต่างกันออกไปนั้น ดูไดจ้ ากบทความของ Hayward R.Alker ในปัจจบุ นั การทดลองแบบจาลองทใ่ี ชใ้ นการศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศไม่วา่ จะแบบใดๆก็ตาม มักจะ ใช้วิธหี นง่ึ ในบรรดา 3 วธิ ี ดังตอ่ ไปน้ี คือ ก. วิธแี รก ใชเ้ ครอื่ งคอมพิวเตอร์แต่เพยี งอย่างเดียวในการทดลอง โดยผู้ทาการทอลอง จะต้อง รวบรวมความสมั พนั ธ์ระหว่างตัวแปร ซ่ึงทาหน้าทเี่ ปน็ สถานการณท์ ่เี ปน็ จรงิ และจดั ทาเป็นรายการใสใ่ นเคร่ือง คอมพิวเตอร์ ซ่ึงคอมพวิ เตอร์ ซ่ึงจะทาหน้าทบ่ี อกวธิ ีทางในการแก้ไขสถานการณ์และปญั หาท่ีเกดิ ข้นึ ข. วิธีที่สอง ใชท้ ง้ั เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ และคนในการทดลอง เครือ่ งคอมพวิ เตอรจ์ ะชว่ ยป้อนคาตอบ อนั เกย่ี วกบั ปัญหา และส่ิงตา่ งๆที่เกย่ี วข้องกับการทดลอง ค. วธิ ที ี่สาม ใชค้ นแตเ่ พยี งอย่างเดียวในการทดลอง โดยมีการกาหนดใหม้ ีผรู้ ว่ มในการทดลอง ผเู้ ข้ารว่ มนนั้ จะต้องแสดงบทบาทในตามกฎเกณฑข์ องเกมท่นี ักวจิ ัยผ้ทู ดลองไดก้ าหนดข้ึน อาจสรุปได้วา่ การทดลองแบบจาลองหรือสมมุติ เป็นวิธกี ารสร้างสถานการณ์แบบจาลองข้ึนโดยมี การรวบรวมพฤติกรรมของตัวแปรไว้ท้ังหมด เพื่อสร้างและทดสอบสมมุติฐานท่ีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ การกระทาเช่นวา่ น้ีมีประโยชน์ในการช่วยให้เข้าใจถึงพฤติกรรมและปฏิกิริยา โต้ตอบระหว่างตัวแปร ต่างๆ ซ่ึงเป็นตัวท่ีมีอิทธิพลต่อการดาเนิน และการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ด้วยเหตุผลและ ประโยชน์ท่ีกล่าวมา นับได้ว่าการทดลองแบบจาลองเป็นวิธีการท่ีเหมาะสมในการใช้ศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศตามแนวพฤตกิ รรม 1.7.3 การสรา้ งทฤษฎี (Theory Building) การสร้างทฤษฎี เป็นวิธีการอย่างหนึ่งท่ีใช้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนว พฤติกรรม เน่ืองจากพฤติกรรมระหว่างประเทศยุ่งยากสับสนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงจาเป็นต้อง สร้างทฤษฎีเก่ียวกับความสม่าเสมอของพฤติกรรม และเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน หรือสร้างถ้อยแถลงเกี่ยวกับโครง

แบบของปรากฏการณ์ระหว่างประเทศบางชนิดท่ีเกิดขนึ้ ทฤษฎีและถ้อยแถลงดังกลา่ วสามารถนาไปใช้อธิบาย เหตุการณ์หน่ึงเหตุการณ์ใดโดยเฉพาะได้ นักสังคมศาสตร์มีส่วนในการสร้างทฤษฎีมากกว่านักประวัติศาสตร์ กล่าวคือ นักประวัติศาสตร์โดยท่ัวไป เมื่อศึกษาถึงความขัดแย้งก็มักบรรยายเก่ียวกับการขัดแย้งครั้งหน่ึงว่า มี ความเป็นมาอย่างไรโดยพยายามเรียงลาดับเหตุการณ์ของการขัดแย้งที่ได้เกิดขึ้น แต่นักสังคมศาสตร์หาทาแต่ เพียงนั้นไม่ แต่กลับมุ่งในการจะสร้างทฤษฎีเก่ียวกับการขัดแย้งโดยพยายามรวบรวมข้อมูล (data) ของการ ขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครัง้ ต่างๆกัน เมื่อรวบรวมข้อมูลเสรจ็ แล้วกท็ าการวิเคราะห์ (analysis) อย่างระมัดระวังโดย พยายามนาเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Methods) เข้ามาช่วยด้วยซึ่งมีผลทาให้เห็นภาพและ ลั ก ษ ณ ะ ข อ งก า ร ขั ด แ ย้ งที่ เป็ น เฉ พ า ะ ก ร ณี แ ล ะ ที่ ค ล้ า ย ๆ กั น โด ย ท่ั ว ไป แ ล ะ ท า ให้ ส า ม า ร ถ ส ร้ าง ข้ อ ส รุ ป (proposition) เกี่ยวกับการขัดแย้งว่าจะเกิดขึ้นในสภาวะแวดล้อมอย่างไร และทาไมการขัดแย้งจึงเกิดข้ึนใน สภาวะเชน่ น้ัน การกระทาตามทก่ี ล่าวทัง้ หมดอาจเรียกได้ว่าเป็นการสร้างทฤษฎี ทฤษฎีที่นักวิชาการในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสร้างขึ้นนั้นไม่เป็นทฤษฎีแบบอนุมาน (deductive theories) ซ่ึงเป็นทฤษฎีตามแบบวิทยาศาสตรก์ ายภาค (physical science) ทฤษฎีแบบอนุมาน เป็นทฤษฎีซ่ึงเราสามารถที่จะอนุมาน (deduce) ข้อสรุปและข้อสมมุติฐานตามหลักที่ว่าด้วยเหตุและผล (logic) ได้จากถอ้ ยแถลงหลักของทฤษฎีนัน้ ทฤษฎีซ่งึ นักวิชาการทางดา้ นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสร้างขึ้น นั้นมีลักษณะเป็นกึ่งทฤษฎี (Quasi-Theory) ท้ังนี้ก็เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซ่ึงมีลักษณะ เช่นเดียวกับวิชาอ่ืนๆในสังคมศาสตร์ มีตัวแปรมากกมาย (Variables) ซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์จึง ทาให้ยากต่อการสร้างทฤษฎีตามแบบวทิ ยาศาสตร์กายภาค ซ่ึงมีความสมบูรณ์เต็มตัว การสร้างคาจากัดความ การสร้างแนวความคิดรวบยอด (concept) ระบุตัวแปรท่ีมีอิทธิพลต่อ พฤติกรรม การแบ่งจาพวกของ ปรากฏการณ์ (Classification of Phenomena) และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆใน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจถือเป็นส่วนหน่ึงในการสร้างทฤษฎี การสร้างทฤษฎีในวิชาความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างการศึกษาวิชาน้ีให้มีระเบียบแบบแผนและกฎเกณฑ์เพื่อนาไปสู่การ เข้าใจในเหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพ่ือช่วยให้สามารถทานายเหตุการณ์ ลว่ งหน้าและเพือ่ ชว่ ยทาให้สามารถควบคุมความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศให้ดาเนินไปตามวิถีทางที่ถูกตอ้ ง ทฤษฎีในวชิ าความสมั พนั ธร์ ะหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศมอี ยูห่ ลายทฤษฎีด้วยกันท่ี นบั ว่าสาคัญๆมีอยู่ 5 ทฤษฎีคือ 1.ทฤษฎกี ารกระทา (Action Theory) ทฤษฎีการกระทาตั้งสมมุติฐานไว้ว่า การที่รัฐ A กระทาการอย่างหน่ึงอย่างใดลงไป เช่น ในรูปการ กระทา X น้ัน เกดิ จากเเรงกระตุ้นหลายอย่าง เเรงกระตุ้นนี้ถือว่าเป็นปัจจัยอย่างหน่ึง ซ่ึงอาจเป็นปัจจยั ภายใน หรอื ปัจจัยภายนอนก็ได้ ดังรูปทเ่ี เสดงไว้ในหน้าถัดไป อย่างไรก็ดีทฤษฎีการกระทามุ้งอธิบายถึงปัจจัยภายในซ่ึงกระตุ้นให้เกิดการกระทาของรัฐมากกว่า ปัจจัยภายนอก เช่น อุดมการณ์ (Ideoloty) ของรัฐ ความต้องการมีอานาจของรัฐ ความต้องการท่ีรักษา ผลประโยชน์ของชาติ (National Interrest) เป็นต้น ซ่ึงล้วนเเต่เป็นปัจจัยภายในที่มีส่วนผลักดันให้รัฐกระทา การอย่างใดอย่างหน่ึงลงไป นักวิชาการที่ให้ความสาคัญต่ออุดมการณ์ของรัฐในเเง่ดังกล่าวคือ โรเบิร์ต เสตร้า ฮูเป (Robert Stouse Huop') ผู้ซึ่งกล่าวว่า อุดมการณ์แบบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกาได้ผลักดันให้

สหรัฐอเมริกาย่ืนมือเข้าช่วยเหลือประเทศต่างๆให้รอดพ้นจากภัยคุกคามเสรีภาพ อีกท่านหน่ึงท่ีเห็นว่าความ ต้องการมีอานาจของรัฐผลักดันให้รัฐกระทาอย่างหน่ึงอย่างใดลงไปได้เเก่ ฮันส์ เจ มอร์เกนทอ (Hans J. Morgenthau) ฮันส์ เจ มอร์เกนทอมีความเช่ือว่าความต้องการมีอานาจไม่ว่าในทางใดทางหน่ึงของรัฐเป็น ปัจจัยสาคัญทผี่ ลักดันให้รัฐไมว่ ่าใหญ่หรือเล็กกระทาการอย่างใดอยา่ งหน่ึงลงไป ตวั อยา่ งเช่นความตอ้ งการของ รัฐบาลฝรัง่ เศษท่ีจะเปน็ ประเทศมหาอานาจปรมาณไู ด้ผลักดันใหฝ้ รงั่ เศษกระทาการทดลองระเบิดปรมาณูทีห่ มู่ เกาะหอนปะการัง อรู ัวรัวในมหาสมุทรเเปซิฟิค ในปี ค.ศ. 1974 จนเป็นเหตุให้ออสเตรเลยี เเละนวิ ซีเเลนด์ย่ืน ฟอ้ งต่อศาลโลก เเละศาลโลกห้ามทาการทดลองระเบิดดังกล่าว ในมหาสมทุ รเเปซฟิ คิ เเต่ฝรงั่ เศษได้ปฏิบัตติ าม ไม่ เห็นได้ว่าความต้องการมีอานาจของรัฐในบางคร้ังอาจผลักดันให้รัฐกระทาการอันทิชอบด้วยกฎหมายเเละ ศีลธรรมอนั ดีระหวา่ งประเทศได้ สรปุ ไดว้ ่า ทฤษฎีการกระทามุ้งอธบิ ายถึงปจั จัยภายในมากกวา่ ปจั จยั ภายนอกโดยมีการวิเคราะห์สงิ่ สาคัญดังต่อไปน้ี คือ 1.วิถีทาง (Ways) ทีร่ ัฐ เเละผูต้ ัดสนิ ของรฐั ดาเนินนโยบายต่างประเทศ 2.วิธีการเเละวตั ถปุ ระสงค์ในการดาเนนิ นโยบายต่างประเทศ 3.การตดั สินใจในนโยบายของรฐั 4.ความสามารถตา่ งๆของรัฐ 5.สถาบันตา่ งๆเกี่ยวข้อง ตลอดจนปฏิกิรยิ ากระทบกระทง่ั กันระหวา่ งสงั คมกับระบบการเมือง ภายในประเทศ นักวชิ าการที่ใชท้ ฤษฎนี ีศ้ กึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทน่ี บั วา่ เดน่ ได้เเก่ ริชารด์ เอ็น โรสครานส์ (Richard N. Rosecrance) ผซู้ ง่ึ อธบิ ายถงึ บทบาทของปัจจัยภายในทม่ี ีอิทธิพลต่อการกระทาหรือ นโยบายรัฐ โดยไมค่ อ่ ยสนใจเเรงกระตนุ้ หรือปจั จัยภายนอกมากนัก 2.ทฤษฎีปฏิกิริยาตอ่ กนั (Interaction Theory) ทฤษฎปี ฏิกิรยิ าต่อกัน วางสมมตุ ิฐานไว้วา่ การกระทาของรัฐ คอื รัฐ B ในรปู การกระทาของ Y เกดิ จากปฏิกิริยา โต้ตอบ (Reaction)ต่อการกระทา(Action)ในรูปของ X ของรัฐอีกรัฐหนึ่ง คือรัฐ A หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การ กระทาหรือนโยบายของรฐั เกิดจากผลของการกระทาหรอื นโยบายของอีกรฐั หนง่ึ ทฤษฎีน้ีให้ความสนใจต่อปจั จัยภายนอกรัฐ (เชน่ การกระทาหรือนโยบายภายนอกรัฐ) มากกวา่ ปัจจัย ภายในของรัฐ โดยพยายามอธิบายถึงแบบของปฏิกิริยาของรัฐท่ีมีต่อกันซ่ึงอาจเป็นไปในรูปแบบการแข่งขัน (Competition) การร่วมมือ (Cooperation) การต่อรอง (Bargaining) และการขัดแย้ง (Confecting) นกั วชิ าการที่ใช้ทฤษฎนี ี้ ศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไดแ้ กแ่ คนนท อี บาลดิ้ง (Kenneth E. Boulding) 3. ทฤษฎสี นาม (Field Theory) ทฤษฎีอธิบายว่า ประเทศทง้ั หลายในโลกน้ีต่างมีการกระทาและบทบาทที่แตกต่างกันออกไป และการ กระทาหรือบทบาทดังกล่าวน้ี อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของรัฐอ่ืน และรัฐอื่นนั้นแสดงปฏิกิริยา โต้ตอบออกมา ดังท่ีทฤษฎีปฏิกิริยาต่อกันได้อธิบายไว้ นักทฤษฎีนี้มีความเช่ือว่าการท่ีรัฐจะกระทาการอย่าง หนึ่งอย่างใดต่อรัฐอ่ืน และรัฐอื่นจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างหน่ึงอย่างใดนั้น ข้ึนอยู่กับปัจจัยสาคัญ 2 ประการ ดงั ตอ่ ไปน้ี คอื

1. ขีดความสามารถ (Capability) และค่านิยม (Value) ของรัฐท่ีผู้นาของรัฐจะต้องนามาพิจารณา ก่อนตดั สนิ ใจกระทาการอย่างหนึ่งอยา่ งใดลงไป 2. สาเหนียก (Perception) หรือแนวโน้มการมองเห็นของรัฐในแง่ที่ว่าการที่ตนจะกระทาการหรือ ปฏิกริ ิยาโต้ตอบอยา่ งใดอย่างหนึง่ ลงไป จะนาผลอะไรมาสรู่ ัฐบ้าง ตวั อย่างเช่น โซเวยี ตมีขีดความสามารถสูงและมีค่านิยมแบบตอ้ งการขยายอานาจและอิทธิพลทางดา้ นทะเลใน มหาสมุทรอินเดีย ย่อมทีแนวโน้มในการมองเห็นว่ามหาสมุทรอินเดียเป็นเวทีที่จะส่งเสริมผลประโยชน์ของตน ทางด้านการทหารได้มากท่ีสุดถ้าโอกาสอานวย จึงได้ส่งกองเรื่อรบเข้ามาในมหาสมุทรดังกล่าวอยู่เป็นประจา ซงึ่ การกระทาดังกล่าวของโซเวียตได้ส่งผลกระทบกระเทอื นต่อผลประโยชน์ของประเทศอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในอาณาบริเวณดังกล่าว และสหรัฐอเมริกาจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถและค่านิยม รวมทั้งการมองเห็นการกระทาของโซเวียตว่าจะเป็นไปในแง่ใด ถ้า สหรัฐอเมริการมองเห็นว่าการกระทาของโซเวียตไม่สู้ร้ายแรงหรือไม่ค่อยกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ตน เท่าใดนัก และในขณะเดียวกันตนมีขีดความสามารถต่า และมีค่านิยมแบบไม่ต้องการสร้างความตึงเครียด สหรัฐอเมริกาก็อาจวางเฉย หรือไม่ก็อาจกระทาแต่เพียงประท้วงเท่านั้น แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกามีขีด ความสามารถสูง และมีค่านิยมไม่กังวลต่อความตึงเครียดท่ีจะเกิดขึ้นในมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งมีแนวโน้ม มองเห็นการกระทาของโซเวียตเป็นการสร้างอิทธิพลทางด้านการทหารในบริเวณดังกล่าว ซ่ึงมติขององค์การ สหประชาชาติในปี ค.ศ.1971 ถือว่าเป็นเขตสันติภาพ (Zone of Peace) และกระทบกระเทือนต่อ ผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาในบริเวณดังกล่าว สหรัฐอเมริกาจึงได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบการกระทาของโซเวียต โดยการตนั สนิ ใจตั้งฐานทพั ที่เกาะดเิ อโก การ์เซยี (Diego Garcia) ข้นึ ในปี ค.ศ.1976 อาจกล่าวได้วา่ ถ้านาทฤษฎีปฏิกิริยาตอ่ กนั และทฤษฎีนี้ไปใชป้ ระกอบดว้ ยกันแล้ว จะทาให้เข้าใจใน เรื่องความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศและการเมืองระหว่างประเทศได้ดียิ่งข้ึน เพราะทฤษฎีสนามนีใ้ หค้ วามสนใจ ขีดความสามารถ ค่านยิ ม และการมองเห็นซึ่งล้วนแต่เปน็ ปัจจยั ภายในทีท่ ฤษฎีปฏิกิรยิ าต่อกันไมไ่ ดใ้ ห้ความ สนใจมากเท่าท่ีควร 4 ทฤษฎีเกี่ยวพัน (Linkage Theory) ทฤษฎนี ี้อธิบายความเก่ียวพันระหว่างการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองภายในของประเทศต่างๆ ในแง่ท่ีว่า ปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศไม่พียงแต่เกิดจากผลของปรากฏการณ์ ทางการเมืองภายในประเทศต่างๆแต่ยงั สามารถจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองภายในประเทศต่างๆได้ อีกด้วย นักทฤษฎเี ก่ียวพันกัน เช่ือว่าการท่ีรัฐกระทาการอย่างใดอย่างหน่ึงหรือมีปฏิกิริยาต่อรัฐใดรัฐหนึ่ง ส่วน ใหญ่เกิดจากความต้องการหรือความจาเป็นทางการเมืองภายในประเทศน้นั ๆเปน็ สาคญั ตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์ระหว่างประเทศอันเกิดจากการที่ประธานาธิบดีนิกสันไปเยือนปักกิ่งในปี ค.ศ.1972 ซ่ึงถือว่าเปน็ การเรมิ่ ยุคแห่งการเจรจา ได้มีส่วนเกี่ยวพันกับการเมอื งภายในของสหรัฐอเมรกิ าท่ีกาลัง มกี ารหาเสียงเลอื กต้ังประธานาธิบดเี พราะจากการเยือนจีนแดงดังกลา่ วได้ทาให้ทูตพเิ ศษของประธานาธิบดนี ิก สัน สามารถเจรจายุติสงครามเวียดนามได้เกือบสาเร็จ ซ่ึงปรากฏการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศดังกล่าว ไดส้ ่งผลให้ประธานาธิบดีนกิ สันได้รับชัยชนะในการเลอื กตัง้ เป็นประธานาธิบดีของสหรฐั อเมรกิ า

นอกจากน้ี ทฤษฎีเกี่ยวพันยังเป็นทฤษฎีที่อธิบายการกระทาและนโยบายของรัฐได้ลึกซ่ึงกว่าทฤษฎีทั้ง สามที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพราะทฤษฎีนี้ให้ความสนใจท้ังปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของรัฐ โดยถือว่า ปัจจัยต่างๆทั้งภายในและปัจจัยภายนอกของรัฐ ต่างมีส่วนกระตุ้นหรือผลักดันให้รัฐกระทาหรือนโยบายอย่าง ใดอย่างหน่ึงมาใช้ในเวทีความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเมืองภายในประเทศและ การเมืองระหว่างประเทศมีส่วนเก่ียวพันกัน ปัจจัยภายในและภายนอกของรัฐ เปรียบเสมือนส่วนที่ใส่เข้าไป (Inputs) ซ่ึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้นาของรัฐ (Decision Maker) เมื่อส่วนท่ีใส่เข้าไปผ่านกระบวนการ กลั่นกรองพิจารณา (Conversion Process) โดยผู้นาของรัฐของรัฐหลายข้ันตอนแล้ว (ในแต่ละประเทศ กระบวนการกลั่นกรองน้ี อาจเหมือนกันหรือแตกต่างกนั ออกไปสุดแล้วแต่ชนิดของระบบทางการเมอื ง) กจ็ ะได้ สว่ นที่เป็นผลออกมา (Outputs) จะเห็นได้วา่ นอกจากปจั จยั ภายในและภายนอกท่ีผู้นาของรัฐจะต้องพิจารณาดูแล้ว ผนู้ าของรัฐจะต้อง คานึงถึงขีดความสามารถและค่านิยมของรัฐ รวมทั้งการมองเห็นของรัฐก่อนท่ีจะตัดสินใจกระทาการอย่างใด อย่างหนึ่งลงไป และท่ีเรียกทฤษฎีน้ีเป็นทฤษฎีเก่ียวพันกันก็เพราะว่าส่วนท่ีเป็นผลออกมาส่งผลสะท้อนไปยัง สว่ นท่ีใสเ่ ข้าไปจึงถือได้วา่ ส่วนที่ออกมามีความเก่ียวพันกันกบั ส่วนท่ีใสเ่ ข้าไป ตัวอยา่ งเชน่ ผู้นาของฝรั่งเศสและ ประชาชนส่วนใหญ่มคี วามต้องการทจี่ ะใหป้ ระเทศฝรง่ั เศสเปน็ มหาอานาจปรมาณูซ่ึงถือว่าเป็น Input ท่ีสาคัญ ของนโยบายท่ีผู้นาฝร่ังเศสจะต้องนามาใช้และการมี Input ดังกล่าวได้ทาให้ฝร่ังเศสตัดสินใจทดลองอาวุธ ปรมาณูท่ีหมู่เกาะอูรัวรัว ในมหาสมุทรแปซิฟิค ก็ต้องถือว่าเป็น Output ที่มีความเกี่ยวพัน (Linkage) กับ ความต้องการของผู้นาฝร่ังเศสที่จะสร้างประเทศให้เป็นมหาอานาจปรมาณูขึ้นมา โดยไม่ให้น้อยหน้ากว่าชาติ อืน่ ผู้ใชท้ ฤษฎีนี้ ศึกษาความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศ และการเมืองระหว่างประเทศ ได้แก่ เจมส์ เอ็น โรส เนา (James N. Rosenau) เป็นท่ีน่าสงสัยว่า ทฤษฎีทั้ง 3 ชนิดที่ได้กล่าวมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีการกระทา ไม่ค่อยให้ ความสาคัญและความสนใจต่อสถานการณ์ระหว่างประเทศมากเทา่ ท่ีควร เพราะเหน็ ว่ามีอิทธิพลต่อการกระทา และนโยบายของรัฐค่อนข้างน้อยกว่าปัจจัยอย่างอื่นและเป็นปัจจัยท่ีไม่คงที่ ซ่ึงแตกต่างไปจากแนวความคิด ของทฤษฎีดุลแห่งอานาจที่ให้คามสาคัญอย่างมากต่อสถานการณ์ระหว่างประเทศและปัจจัยทุกอย่างซ่ึงทาให้ นักศึกษาทราบถึงความสลับซับซ้อนของการเมืองระหว่างประเทศได้มากกว่า และเป็นประโยชน์อย่างมาต่อผู้ กาหนดนโยบายต่างประเทศ ซ่ึงจะต้องทราบความสาคัญของอิทธพิ ลของปัจจยั ทุกๆอย่างก่อนท่ีจะตัดสินใจนา นโยบายอย่างหนึ่งอย่างใดมาใช้ อย่างไรก็ดี ทฤษฎีนี้มีข้อบกพรอ่ งในข้อท่ีวา่ ให้ความสาคัญต่อปัจจัยทุกๆอย่าง ไม่ว่าปัจจัยน้ันจะเป็นปัจจัยภายในหรือภายนอกก็ตาม ซ่ึงบางคร้ังทาให้เสียเวลาในการวิเคราะห์บางอย่างท่ีมี อิทธพิ ลนอ้ ย หรือไม่มีอทิ ธิพลเลยตอ่ การกาหนดนโยบาย 5. ทฤษฎีดุลอานาจ (Balance of Power Theory) ทฤษฎีดุลอานาจ ถือว่าโลกซ่ึงประกอบดว้ ยรฐั มีจานวนว่า 140 ประเทศ มีดุลภาพของพลงั ต่างๆ ซึง่ ถ้า หากไม่มีดุลภาพดังกล่าวในโลกแลว้ สันติภาพก็ไม่อาจจะเกิดข้ึนได้ ทฤษฎีนี้ ถือว่าสถานการณร์ ะหวา่ งประเทศ มอี ิทธิพลสาคัญมากต่อประเทศต่างๆและถอื วา่ มสี ่วนผลักดันให้รัฐกระทาการอย่างใดอย่างหน่ึงลง ทฤษฎีน้ี ต้ัง สมมุติฐานไว้ว่าถ้าหากสถานการณ์ระหว่างประเทศเป็นไปในรูปที่รัฐแต่ละรัฐหรือกลุ่มรัฐแต่ละกลุ่มมี อานาจ

ทัดเทียมกันแล้ว การรุกรานซ่ึงกันและกันเกิดขึ้นได้ยาก เพระไม่แน่ใจว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะ นอกจากน้ี นัก ทฤษฎีดุลแห่งอานาจเช่ือว่าการที่รัฐกระทาการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อรัฐอ่ืนๆ หรือมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างใด อย่างหนงึ่ ตอ่ การกระทาของรฐั อนื่ ๆนน้ั ส่วนใหญ่เกดิ จากความต้องการ 2 ประการ คอื 1. ต้องการรกั ษาซงึ่ อานายและอิทธิพล 2. ตอ้ งการท่จี ะใหไ้ ดม้ าซ่งึ อานาจและอิทธิพล ถ้าเปรียบเทียบทฤษฎีน้ีกับทฤษฎีอื่นๆแล้ว นับได้ว่าเป็นทฤษฎีที่อธิบายสภาพการเมืองระหว่าง ประเทศได้ใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด จึงเป็นทฤษฎีอรรถนิยม (Realist Theory) โดยแท้ ตาม แนวความคิดของทฤษฎีน้ี ปัจจัยที่เป็นตัวกาหนดการกระทาของรัฐได้แก่ ความต้องการของรัฐท่ีจะรักษา สภาวะสมดุลแห่งอานาจ เม่ือใดก็ตามเกิดมีรัฐพยายามทาลายระบบดุลอานาจ ก็จะมีรัฐหนึ่งหรือกลุ่มรัฐคอย ขัดขวาง กล่าวได้ว่า ความต้องการที่จะรักษาสภาวะดุลอานาจของโลกเอาไว้ เป็นปัจจัยคอยขัดขวางมิให้รัฐ หน่งึ ใดกระทาการอยา่ งหนึ่งอย่างใดตามอาเภอใจ ซ่ึงยังส่งผลให้โลกมสี ันตภิ าพ แต่สันตภิ าพในระบบดลุ อานาจ ไมค่ อ่ ยมั่งคงถาวร เพราะอานาจของรัฐเป็นปัจจยั ท่ีไม่คงที่สามารถเปลยี่ นแปลงได้ ดงั นนั้ นักอดุ มคติ (Idealist) หรือนักเพ้อฝันท่ีจะเห็นโลกมีสันติภาพอย่างถาวรจึงไม่ค่อยจะชอบทฤษฎีดุลอานาจเท่าใดนัก เพราะไม่ได้ให้ ความหวังแก่ผู้ต้องการสันติภาพอันถาวร นอกจากนี้ ทฤษฎีดุลอานาจก็ไม่สามารถทานายวิถีทางในทาง การเมืองระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคตได้มากนัก เพราะมัวแต่วนใจกับ สถานการณ์ระหวา่ งประเทศในปจั จบุ ันมากกว่าในอนาคต 6.ทฤษฎรี ะบบ (Systems Theory) ทฤษฎีอธิบายว่า โลกอันประกอบไปด้วยประเทศใหญ่น้อยนั้นเป็นระบบใหญ่ซึ่งเรียกว่าระบบโลกหรือระบบ ระหวา่ งประเทศ (International System) ซึง่ ประกอบดว้ ยระบบรองอีกหลายระบบ (Sub-Systems) ผ้ทู ่ีมีบทบาทหรือตังกระทา (Actors) ในระบบท่ี 1,2 และ 3 น้ันไดแ้ ก่รฐั และองคก์ ารระหว่างประเทศ เช่นถ้าในระบบโลก คือ ระบบท่ี 1 ได้แก่ องค์การสหประชาชาติ ถ้าในระดับรองลงมา คือ ระบบ 2 ได้แก่ องค์การในส่วนภูมิภาคต่างๆซ่ึงมีท้ังองค์การทางด้านการทหาร และองค์การทางเศรษฐกิจและสังคมและ การเมืองส่วนผู้มีบทบาทในระบบที่ 4 ซ่ึงเป็นระบบเล็กทีส่ ุดน้นั ได้แก่ พรรคการเมอื ง ผู้นาพรรครัฐบาล ระบบ เศรษฐกิจและสังคมภายใน กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มผลักดัน เป็นต้น มีบ่อยครั้งท่ีประเทศมหาอานาจในระบบ โลกเข้าไปมีบทบาทเป็นผู้แสดงสาคัญในส่วนภูมิภาคต่างๆ ซ่ึงบางครั้งก็ทาให้เกิดความวุ่นวาย หรือเกิดการ ถ่วงดุลอานาจหรือบางครั้งก็ทาให้เกิดความร่วมมือระว่างประเทศต่างๆในส่วนภูมิภาค อาจกล่าวได้ว่า ระบบ โลกซ่ึงเป็นระบบท่ีใหญ่ท่ีสุด มีอิทธิพลต่อระบบต่างๆ ที่อยู่รองลงไป คือ ระบบท่ี2,3และ 4 และเม่ือใดระบบ โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหน่ึงอย่างใดไป ระบบรองก็มักจะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เพราะฉะน้ันแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างระบบโลกกับระบบรองจะยุ่งยากทันที นักทฤษฎีระบบความเชื่อว่า การที่ประเทศต่างๆ ในโลกนก้ี ารทาการอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ลงไปก็เพ่ือจดุ ประสงค์อย่างใดอย่างหนงึ่ หรือหลายอย่างดังต่อไปนี้ 1.ต้องการรักษาระบบที่ตนเหน็ วา่ ดใี หค้ งอยู่ไว้ 2.ตอ้ งการแสดงบทบาทในระบบท่ีเป็นอยูใ่ นขณะน้นั และ 3.ต้องการสรา้ งระบบขึ้นมาใหมต่ ามที่ตนต้องการ

จุดประสงค์ท้ัง 3 ประการดังกล่าว อาจถือได้ว่าเป็นปัจจัยซึ่งมีส่วนกระตุ้นผลักดันให้รัฐกระทาการ อย่างหนึ่งอย่างใดลงไป ดังนั้น ทฤษฎีปฏิกิริยาต่อกันและทฤษฎีดุลแห่งอานาจจะผดิ แผกแต่งต่างกันกับทฤษฎี ระบบก็แต่ในข้อท่ีว่าทฤษฎีระบบสามสามารถอธิบายการกระทาของรัฐได้ในลักษณะท่ีกว้างขวางกว่าโดย พจิ ารณาการกระทา และปฏิกิรยิ าทัง้ หมดทเ่ี กิดขึ้นในระบบโลก สว่ นทฤษฎีดุลแหง่ อานาจพิจารณาแต่เพยี งการ กระทาของรัฐบาลรับที่ทาลายหรือรักษาดุลแห่งอานาจเท่านั้นสาหรับทฤษฎีปฏิกิริยาต่อกัน ก็พิจารณา ปฏิกิริยาของรัฐท่ีมีต่อกันเพียง 2 ประเทศหรือ2 กลุ่มเท่าน้ัน ซ่ึงเห็นได้ว่าเป็นการศึกษาการกระทาของ ปฏิกิริยาของรัฐในลักษณะที่แคบกว่าทฤษฎีระบบ ตัวอย่างในเรื่องบทบาทของทฤษฎีดุลอานาจนั้น อธิบายถึง การกระทาของอังกฤษ ตลอดศตวรรษที่ 19 และตอนต้นศตวรรษที่ 20 ว่าปฏิกิริยาโต้ตอบต่อเหตุการณ์ใน ยุโรปโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาดุลอานาจในยุโรป ซึ่งเป็นหัวใจแห่งการเมืองระหว่างประเทศในสมัยนั้น แต่ ทฤษฎีทั้งสองดงั กล่าวก็ไม่อาจใหเ้ หตุผลไดว้ ่า ทาไมและเพราะเหตุใดสหรัฐอเมริกาจึงเข้าสู้สงครามโลกคร้งั ท่ี 1 และ 2 เพราะสหรฐั อเมริกาไม่เคยเข้าไปมีบทบาทในการต่อสู้เพ่ือให้ได้มาซ่ึงอานาจหรือรกั ษาดุลแห่งอานาจใน ยุโรปมาก่อนเลย ทฤษฎีระบบสามารถให้คาตอบต่อปัญหาดังกล่าวได้ดีกว่า โดยอธิบายให้เห็นได้ชัดว่าการที่ สหรัฐอเมริกาเข้าสู้สงครามโลกนั้น เพราะสงครามโลกกระทบกระเทือนระบบระหว่างประเทศ ซ่ึง สหรัฐอเมริกาเป็นส่วนประกอบอยู่และได้รับผลกระทบกระเทือนไปด้วย จึงได้ตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกคร้ัง แรก โดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่อื ปกป้องรกั ษาระบบระหวา่ งประเทศในขณะนัน้ มิใหถ้ ูกทาลายจากการกระทาของเยา รมณีและในขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาก็ไม่พอใจระบบโลกที่อยู่ในขณะนั้น ซึ่งมีแต่ความวุ่นวายจึงมีความ ปรารถนาท่ีจะสร้างระบบโลกขึ้นมาใหม่ในรุปการรักษาความม่ันคงและความปลอดภัยร่วมกัน (Collective Security System) เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสันติภาพและความม่ันคงระหว่างประเทศ ดังจะเห็นได้ จากที่สหรัฐอเมรกิ าสนับสนุนการต่อต้ังองค์การสันติบาตรขน้ึ ทง้ั ทีไ่ มไ่ ดเ้ ข้าร่วมเปน็ สมาชกิ สาหรบั สงครามโลก ครั้งที่สองนั้นสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมก็เพราะมีจุดประสงค์ที่จะป้องกันระบบรักษาความมั่นคง และความ ปลอดภัยร่วมกันไมใ่ ห้ถูกทาลายไป ในปัจจุบัน นักวิชาการสนใจในการสร้างทฤษฎีระบบท่ัวไป (General Systems Theory) ข้ึนเพ่ือใช้ อธิบายอิทธิพลของระบบโลกที่มีต่อการกระทาและนโยบายของประเทศต่างๆ กล่าวคือ ถ้าประเทศใดก็ตาม กระทาการใดๆอันมีผลกระทบกระเทือนต่อระบบโลกหรือทาให้ระบบหมิ่นเหม่ตอ่ อันตรายประเทศอ่ืน ซ่ึงเป็น ส่วนประกอบของระบบโลกท่ีได้รับความกระทบกระเทือนอาจดาเนินการอย่างหน่ึงอย่างใดเพื่อรักษาระบบ หรือสร้างระบบข้ึนมาใหม่ ทฤษฎีนี้กาลังเป็นท่ีสนใจอย่างมากในบรรดาผู้ศึกษาวิชาการเมืองระหว่างประเทศ เพราะเป็นทฤษฎีท่ีให้คาอธิบายเก่ียวกับกระบวนการ (Process) ของการเมืองระหว่างประเทศได้กว้างขวาง กวา่ ทฤษฎีอนื่ ๆ นอกจากทฤษฎีระบบทั่วไปแล้ว นักวิชาการทุกวันนี้พยายามที่จะสร้างทฤษฎีท่ัวไป (General Theory) ขึ้นมาเพ่ืออธิบายปรากฏการณท์ างการเมืองระหว่างประเทศได้ทั้งหมด เช่น ทฤษฎีท่วั ไปเพียงทฤษฎี เดียวสามารถอธิบายเร่ืองการขัดแย้ง วิกฤตการณ์และสงครามท้ังหมด โดยไม่ต้องใช้ทฤษฎีความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศที่อธบิ ายเหตุการณ์ได้เพียงเฉพาะอย่างเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความพยายามของนักวิชาการใน เรื่องนี้ยังไม่ประสบความสาเร็จ เนื่องจากพฤติกรรมของรัฐเปล่ียนแปลงง่ายและตัวแปร (Variables) ใน

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีมากจนกระท่ังทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพียงทฤษฎีเดียว ไม่ สามารถอธบิ ายพฤตกิ รรมทัง้ หลาย ในความสัมพันธร์ ะหว่างประเทศไดห้ มดทกุ อย่าง 7.ทฤษฎีทานาย (Predictive Theory) นอกจากทฤษฎีท้ัง 6 ท่ีช่วยทาให้เข้าใจถึงมูลเหตุอันสลับวับซ้อนที่ทาให้เกิดปรากฏการณ์หรือ เหตุการณ์ระหว่างประเทศขึ้นแล้ว นักวิชาการยังได้สร้างทฤษฎีขึ้นมาเพื่อ ทานายการกระทาของฝ่ายตรงกัน ข้ามล่วงหน้า ซ่ึงเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้มีหน้าที่ในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ (Decision-Makers) ท่ีต้องการทราบล่วงหน้าว่าประเทศอื่นจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้างกับการกระทานโยบายท่ีตนจะนามาใช้ (อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเพียงทฤษฎีทานายยังไม่อาจจะทานายการกระทาของรัฐฝ่ายตรงกันข้ามได้ถูกต้องอย่าง เด็ดขาด เพราะการที่ทานายวา่ ฝ่ายตรงข้ามอาจจาเชน่ น้ันหรอื ทาเช่นน้ี อาจจะไมเ่ กิดข้ึนจรงิ ตามท่ไี ดท้ านายไว้ กไ็ ด้) ทฤษฎีดังกลา่ วได้แก่ ทฤษฎเี กม การจาลองแบบสมมุติ และทฤษฎีฉายภาพขอ้ มูล ก.ทฤษฎีเกม (Games Theory) ทฤษฎีเกม อธิบายวา่ การเมืองภายในหรอื การเมืองระหว่างประเทศก็ดี ต่างก็มลี ักษณะคล้ายเกมชนิด หนึ่ง ซึ่งมรการแข่งขัน (Competition) และในการแข่งขนั นี้ จะต้องมีคนแสดงบทบาทหรือตัวกระทา (Actors) ตัง้ แต่ 2 คนข้ึนไป โดยผู้แสดงเหล่าน้ีจะต้องเป็นผู้มีเหตุผลในการเลือกใช้ยุทธศาสตร์ (Strategy) หรือยทุ ธวิธีท่ี อานวยผลประโยชน์แก่ตนมากท่ีสุด และในกรณีท่ีต้องเผชิญกับการสูญเสียซ่ึงไม่อาจจะทนต่อไปได้ ผู้แสดง จะต้องยอมแพ้โดยทันที ถ้าผู้แสดงไม่มีเหตุผลโดยไม่ยอมแพ้ก็จะมีผลทาให้การทานายของทฤษฎีนี้ผิดทันที ปัญหาท่ีว่าผ้แู สดงหรือตัวกระทาจะตอ้ งมเี หตุผลน้นั ไม่มีสิ่งใดกล้ารบั ประกนั เพราะบ่อยคร้ังท่คี วามไมม่ ีเหตุผล ปรากฏการณ์อยู่ในเกมของการเมืองทั้งภายในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ จึงทาให้การทานายโดย ทฤษฎีน้ีไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงเท่าใดนัก ดังน้ัน ทฤษฎีน้ีจึงมีประโยชน์ค่อนข้างน้อยต่อผู้กาหนด นโยบายตา่ งประเทศ เพราะไมส่ ามารถใหค้ าทานายทถี่ กู ต้องอย่างสมบรูณ์ ข.วธิ จี าลองแบบสมมติ (Simulation Technique) วิธีน้ียองรับคาอธิบายของทฤษฎีเกมเกี่ยวกับผู้แสดงในเวทีการเมืองภายในประเทศและการเมือง ระหว่างประเทศทุกประการ แต่แตกต่างกับทฤษฎีเกมท่ีว่ามีการใช้เครือ่ งคอมพิวเตอร์มาช่วยในการหาคาตอบ ซึ่งมีลักษณะเป็นการทานายว่า ถ้าฝ่ายหน่ึงใช้ยุทธศาสตร์ (Strategy) หรือยุทธวิธีอย่างหน่ึง อีกฝ่ายหน่ึงเป็น ฝ่ายตรงกันข้ามน่าจะนายทุ ธวิธีอยา่ งใดมาใช้บ้าง การท่ีทานายเชน่ ว่านี้ได้ จะต้องมีการสร้างแบบจาลองสมมุติ (Simulation Modell) ขึ้นมา และผู้สร้างแบบจาลองสมมุติจะต้องให้ค่าของข้อมูล (Data) ดังต่อไปนี้ ออกมา เปน็ ตวั เลขคือ ก.ขอ้ มูลที่ส่อแสดงให้เห็นว่ามอี ิทธพิ ลเหนอื การกระทาของตน ข.ข้อมูลท่ีมีอิทธิพลเหนือการกระทาของฝ่ายศัตรูและข้อมูลท่ีเก่ียวกับศัตรู เช่น การพยากรณ์กาลัง อาวธุ กาลังทหาร เป็นต้น ค.ขอ้ มลู ท่เี กี่ยวกับยุทธศาสตร์ และยุทธวธิ ีท่ฝี ่ายตรงกันขา้ มจะเลอื กเอามาใช้ หลังจากได้ค่าข้อมูลดังกล่าวแล้ว ผู้สร้างแบบจาลองสมมุติจะทาโปรแกรม (Program) ท่ีบรรจุค่าของ ขอ้ มลู เพอื่ นาไปใสใ่ นเครอื่ งคอมพิวเตอร์ เครือ่ งคอมพิวเตอร์จะใหค้ าตอบในลักษณะการคาดคะเน และทานาย ว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งใช้ยุทธวิธีและยุทธศาสตร์อย่างหนึ่ง ฝ่ายตรงกันข้ามจะใช้ยุทธวิธีอย่างใดบ้าง อย่างไรดี การ

ทานายดังกล่าวจะถูกต้องกับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริงๆ หรือไม่น้ัน ส่วนใหญ่ข้ึนอยู่กับความสมบูรณ์และความ ถูกตอ้ งของแบบจาลองสมมุติทส่ี ร้างขึ้น และความสมบรูณข์ องแบบจาลองสมมตุ ินั้น จะเกิดข้ึนได้ในกรณีทกี่ าร สรา้ งแบบจาลองสามารถให้ค่าของขอ้ มูลทุกๆอย่างออกมาเป็นตัวเลขทีถ่ ูกต้อง แต่มบี างกรณซี ง่ึ มักพบบอ่ ยมาก ในเรื่องเกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ ที่ผู้สร้างแบบจาลองสมมุติไม่สามารถให้ค่าของข้อมูลท่ี เก่ียวกับความรู้สกึ (Feeling) ทัศนคติ (Attitudes) หรือขวญั และกาลังใจ (Morale) ออกมาเป็นตัวเลข ไดโ้ ดย ถูกต้อง ซ่ึงยังผลให้ได้รับคาตอบจากเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ในลักษณะที่ทานายห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่ บ่อยๆ ตัวอยา่ งเช่น การท่ีสหรัฐอเมริกาเข้ามายุ่งเกยี่ วกับสงครามเวียดนามอย่างไม่น่าจะเปน็ ไปได้ ท้ังๆที่ได้ใช้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจอยู่ทุกระยะนั้น เป็นเพราะการให้ค่าของข้อมูลที่เก่ียวกับขวัญและ กาลังใจของชาติเวียดนามท่ีออกมาเป็นตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง ซ่ึงทาให้สหรัฐอเมริกาประเมินท่าทีความเข้มแข็ง และกาลงั ใจ ในการทาสงครามของชาวเวยี ดนามอยา่ งผดิ ๆ ค.การฉายภาพในอนาคต (Projection Technique) การฉายภาพในอนาคต อาจทาได้โดยวิธีฉายหนังสือหรือฉายสไลด์ โดยนักวิชาการนาข้อมูลที่เล็งเห็น ว่าจะมีอิทธพิ ลต่อการกระทาและนโยบายของประเทศต่างๆในอนาคต เชน่ ข้อมลู เกีย่ วกับการสะสมกาลังอาวุธ หรือกาลังทหาร ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ข้อมูลเกี่ยวกับการเพ่ิมข้ึนของประชากร ข้อมูลเก่ียวกับ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศต่างๆมาฉายให้เห็นเป็นภาพ พร้อมกับ คาดคะเนและทานายว่า จะเปลี่ยนแปลงไปในทางใดบ้างในระยะ 5 ปี หรือ 10 ปี ข้างหน้า และการ เปลี่ยนแปลงเช่นว่าน้ัน จะมีผลทาให้ประเทศต่างๆมีนโยบายเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง และจะก่อให้เกิดผล กระทบกระเทือนต่อระบบการเมืองระหว่างประเทศอย่างไรบ้างในอนาคต อาจกล่าวได้ว่า วิธีการทานายโดย อาศัยวิธีการฉายภาพ เป็นประโยชน์ต่อผู้กาหนดนโยบายต่างประเทศ ซ่ึงมีแผนกาหนดนโยบายระยะยาว (Long Ranged Policy) อย่างไรก็ดี การทานายโดยอาศัยวิธน้ีย่อมมีการผิดพลาดได้ ถ้าหากว่าข้อมูลที่นามา ฉายเป็นข้อมูลทีไ่ ม่ถกู ต้องตรงกับความจริง 1.8 แนวระบบ (Systems Approach) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตามแนวระบบ เป็นวิธรการศึกษาซึ่งนักวิชาการนามาใช้เมื่อ ไม่นานมาน้ีเอง คาว่า “ระบบ” ตามการศึกษาแนวน้ีแล้ว หมายถึงที่รวมของหน่วงต่างๆ (Units) (เช่น รฐั ต่าง) ซึ่งต่างมีสัมพันธภาพ (Relationship) ตอ่ กัน ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาการตันสินใจในแต่ละกรณีของรัฐต่างๆ ตามแนวระบบมกั จะมีการศึกษาในเรื่องการติดต่อเกีย่ วข้องระหว่างรัฐต่างๆท่ีมีบทบาทในเวทีการเมอื งระหวา่ ง ประเทศรวมด้วย เห็นได้ว่าหน่วยต่างๆท่ีจะถูกนามาวิเคราะห์ในการศึกษาตามแนวน้ี ได้แก่รัฐต่างๆ และการ กระทาต่างๆของรัฐโดยนักวิชาการอธิบายการกระทาของรัฐ และปรากฏการณ์ระหว่างประเทศที่เกิดข้ึนอย่าง เปน็ ระเบียบและเป็นระบบ (System atization of International Phenomena) ศาสตราจารย์ บรอดดี (Brody) ได้กล่าวอย่างมีเหตุผลว่า รัฐแต่ละรัฐถือว่าเป็นหน่วยแต่ละหน่วยใน ระบบระหว่างประเทศ และพฤติกรรมที่รัฐแสดงออกมานั้น สามารถเป็นส่วนที่ใส่เข้าไป (Inputs) ของรัฐอื่นๆ ได้ ซึ่งปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นคล้ายคลึงกับ Input Output ดังที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อท่ีว่าด้วยทฤษฎีเก่ียวพันกัน อาจ กล่าวได้ว่า ปัจจัยที่ทาให้ระบบระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ ดาเนินอยู่ต่อไปทุกวันได้แก่ ส่วนที่ใส่เข้าไป (Input) และส่วนท่ีออกมา (Output) โดยส่วนที่ใส่เข้าไปนั้นจะทา

หน้าท่เี ปน็ ตัวเร้า (Stimuli) กระตุ้นให้รฐั กระทาสิ่งหนึ่งออกมาในลักษณะต่างๆกัน ซึง่ อาจเป็นไปในรูปของการ สนับสนุนชว่ ยเหลือ (Supports) หรือการเรยี กร้องต้องการ (Demands) การเรียกร้องต้องการนั้น อาจเป็นไป ได้หลายแบบ อาทิเช่น ความต้องการซึ่งอานาจ และความมั่นคงปลอดภัย ความยุติธรรม ความม่ันคง เป็นต้น ความต้องการ หรือการเรียกร้องดังกล่าว อาจได้รับการสนับสนุนและเห็นดีด้วย จากผู้นาของรัฐอ่ืนๆ การ สนับสนุนในข้อเรียกร้องและความต้องการของรัฐเห็นได้จาก ส่วนท่ีออกมา (Outputs) ของระบบระหว่าง ประเทศ ซ่ึงอาจเป็นนโยบายหรือการกระทาขององค์การระหว่างประเทศในระดับสากล (เช่น องค์การ สหประชาชาติ ที่รัฐทั้งหลายเป็นสมาชิก) ซ่ึงตอบสนองความต้องการของรัฐท้ังหลายที่เรียกร้อง เม่ือใดส่วนที่ ออกมาไม่ตอบสนองความต้องการของรัฐหรือไม่ก็ตาม เราเรียกว่า Negative Output และไม่ว่า Output จะ ตอบสนองความต้องการของรัฐหรือไม่ก็ตาม ตัว Output นี้จะส่งผลสะท้อนกลับ (Feedback) ไปยังความ ต้องการของรัฐท่ีเรียกร้อง ซึ่งอาจทาให้เกิดความต้องการหรือข้อเรียกร้องใหม่ๆซึ่งมีผลทาให้กระบวนการของ ปฏิกิริยาท้ังหลายของรัฐที่มีต่อกันในระบบระหว่างประเทศดาเนินต่อไปอย่างไม่มีที่ส้ินสุด ศาสรตาจารย์ คาร์ล ดังเบ้ลิ ยู ด๊อยซ์ (Karl W. Deutsch) ไดก้ ล่าววา่ Feedback นัน้ ไม่มีขอบเขตกว่างขวาง ดังนั้น จงึ ทาให้เกดิ การ วิเคราะห์ และการวัดได้อย่างกว้างขวาง ดังจะเห็นได้ว่านักวิจัยสามารถระบุ และวัดจานวนองค์ประกอบทั้ง หายในรูป Feedback ตัวอย่างเช่น นักวิจัยสามารถประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการ Feedback ในแง่ ของจานวนและขนาดของส่วนที่ออกมาแบบนิเสธ (Negative Output) ซ่ึงจะช่วยในการทานายเสถียรภาพ ของระบบว่ามีมากน้อยเพียงใด กล่าวได้ว่า การวิเคราะห์ Feedback ไม่เพียงได้ช่วยช้ีให้เห็นถึงระดับของ ปรากฏการณ์ระหว่างประเทศท่ีเปล่ียนแปลงไปมา แต่ยังช้ีให้เห็นถึงการเปล่ียนแปลงเป็นระยะๆในระบบ ระหว่างประเทศอีกด้วย นอกจากวิเคราะห์ตัวรัฐ และการกระทาของรัฐรวมทั้งสิ่งเร้าแล้ว ศาสตราจารย์ เดวิด ซิง-เกอร์ ได้ แนะนาว่า ควรนาลักษณะและสภาพแวดล้อมทางด้นเทคโนโลยี ลักษณะและสภาพของวัฒนธรรม (เช่น norms,values,expectation เป็นตน้ ) และขนาดของโครงสร้างหรือสถาบันที่อยู่ในระบบ (เช่น จานวนรฐั ,การ ร่วมมือในรูปองค์การระหว่างประเทศ เป็นต้น ) เข้ามาพิจารณาในการวิเคราะห์ระบบด้วย เพ่ือจะทาให้ การศึกษาตามแนวน้ีมีอยู่หลายอย่างท่ีนับว่าสาคัญคือ ทาให้เราทราบถึงเนื้อหาเกี่ยวกับปัญหาต่างๆเช่น การ รักษาไว้ซึ่งระบบ การออกกฎเกณฑ์ภายในระบบการกระทาและความเส่ือมถอยของระบบต่างๆท่ีอยู่ในระบบ ระหว่างรัฐ ซึ่งการทราบในเร่ืองดังกล่าวจะช่วยได้อย่างมาก ในการอธิบายหรือทานายพฤติกรรมท่ีสามารถ เปล่ยี นแปลงรูปร่างของระบบโลกหรอื ระบบระหวา่ งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประโยชน์แก่ผกู้ ระทาการ วิเคราะห์และศึกษาถึงการเปลีย่ นแปลงหรือการแปลงรูปของระบบระหวา่ งประเทศ 2.แบบตา่ งๆของการวิเคราะห์ (Patterns of Analysis) ในการทีจ่ ะเขา้ ใจในเนื้อหาและข้อมลู อันเกยี่ วกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศวิธวี ิเคราะห์ (analysis) เป็นวิธีที่ช่วยได้มากท่ีสุด วิธีวิเคราะห์ที่มีอยู่หลายแบบด้วยกัน ท่ีสาคัญๆมีอยู่ 4 แบบ คือการวิเคราะห์แบบ พรรณนา (Descriptive Analysis) การวิเคราะห์แบบทานายเหตุการณ์ล่วงหน้า (Predictive Analysis) การ วิเคราะห์ระบบสร้างแนวบรรทัดฐาน (Normative Analysis) และการวิเคราะห์แบบแนะแนวทาง (Prescriptive Analysis)

2.1 การวเิ คราะหแ์ บบพรรณนา (Descriptive Analysis) การวเิ คราะหแ์ บบน้ีมุ่งอธิบายส่ิงที่กาลังจะเกิดขึน้ มาแล้ว วธิ ีการวิเคราะห์แบบพรรณนาประกอบด้วย เทคนิคหลายอย่างหลายแบบด้วยกัน ผู้วิเคราะห์พรรณนาส่ิงต่างๆท่ีได้เกิดเกิดขึ้นและสร้างกฎเกณฑ์ท่ัวไปข้ึน การวิเคราะห์แบบพรรณนาโดยมากเป็นไปในแบบใช้คากล่าวด้วยจาวา ส่วนการอธิบาย (Explanation) ต้อง อาศัยสถิติหรือการกระรวมกันระหว่างสถิติและคากล่าวด้วยวาจา การวิเคราะห์แบบพรรณนาเป็นแบบที่ นกั ศึกษานยิ มใช้มากทีส่ ุด เพราะว่าเป็นรากฐานของการวิจับแบบอ่ืนๆ อีก 3 แบบ ซ่งึ จะไดก้ ล่าวในลาดับต่อไป ตัวอย่างหนังสือท่ีเขียนตามวิเคราะห์แบบพรรณนา (Descriptive Analysis) ได้แก่ Introduction to International Politics เขียนโดย William D. Coplin 2.2 การวิเคราะห์แบทานายหรือคาดคะเน (Predictive Analysis) การวิจับแบบทานายมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการวิจัยแบบที่หน่ึง การวิจัยแบบที่สองน้ี มุ่ง อธิบายถึงอะไรบ้างจะเกิดขึ้นในอนาคต และมักจะปรากฏในการวิจัยแบบพรรณนา การวิจัยแบบทานายจะ กระทาได้ก็ได้โดยอาศัยประวัติศาสตร์ของโลกแห่งความจริงหรือตัวเลขที่ได้จากห้องทดลอง บ่อยคร้ังท่ีผู้เขียน หรือนักศึกษาในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ใช้ท้ังการวิเคราะห์แบบพรรณนาและการวิเคราะห์แบบ ทานายควบค่กู ันไป 2.3 การวเิ คราะห์แบบสร้างแนวบรรทดั ฐาน (Normative Analysis) การวิเคราะห์แบบสรา้ งแนวบรรทัดฐานการวเิ คราะหแ์ บบพรรณนาโดยสรา้ งกฎเกณฑ์และบรรทัดฐานเก่ียวกับ ข้อมูลและเรื่องราวได้มาจาก วิเคราะห์แบบพรรณนา และการวิเคราะห์โดยอาศัยหลักดังกล่าว จาเป็นจะต้อง จัดข้อมูลหรือเร่ืองราวให้เป็นระเบียบตามท่ีสมควร ดังน้ัน ความสาเร็จในการวิเคราะห์แบบน้ีจึงข้ึนอยู่กับ ปัญหาท่ีว่ามีขอ้ มูลหรือเรื่องราวท่ีจดั เปน็ ระเบยี บพร้อมอย่ใู นมือหรือไมแ่ ค่ไหนเพยี งใด 2.4 การวเิ คราะหแ์ บบแนะนา (Prescriptive Analysis) การวิเคราะห์แบบแนะนา เป็นการวิเคราะห์แบบผสมระหว่าง การวิเคราะห์แบบ Normative และการ วิเคราะห์แบบทานายล่วงหน้า การวิเคราะห์แบบนี้เป็นการชี้ช่องแนะนาเก่ียวกับการกระทาว่าควรจะต้องทา อย่างไร และแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของผู้วิเคราะห์ที่จะให้โลกเป็นอยา่ งไร และจะต้องวางแผนประการ ใดทจี่ ะใหโ้ ลกเปน็ ไปตามท่ีตนประสงค์ การวเิ คราะหแ์ บบแนะนา่ มารถกระทาได้หลายแบบดว้ ยกนั คอื ประการแรก อาจใช้เป็นเคร่ืองมือแสดงผลสรุปในการวิเคราะห์แบบอ่ืนๆที่กล่าวมา ตัวอย่างเช่น นักวิชาการบางทา่ นได้ใหค้ าแนะนาเกยี่ วกับนโยบายโดยเฉพาะโดยมุ่งตัวกระทาโดยเฉพาะเจาะจง ตัวอยา่ งเช่น ประธานาธิบดีบ่อยครั้งได้รับคาแนะนาต่างๆในการยุติการสะสมอาวุธนิวเคลียร์จากบรรดาท่ีปรึกษาทางการ ทหารเปน็ ต้น ประการสุดท้าย การวิเคราะห์แบบแนะนา สามารถใช้โดยไม่ต้องระบุบว่า เมื่อไร ทไี่ หน หรอื โดยใครท่ี นโยบายควรจะถูกนามาใช้ เช่น คาแนะนาที่ว่ามนุษย์ควรจะใฝ่หาสันติภาพ ถึงแม้ว่าจะเป็นคาแนะนาท่ี ธรรมดามาก แต่กย็ ังคงเปน็ คาแนะนาอยู่ การวิเคราะห์แบบต่างๆเท่าท่ีกล่าวมาต่างมีจุดประสงค์แตกต่างกันออกไปในแง่ท่ีว่าผู้เขียนในฐานะผู้ วิเคราะห์ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในรูปใด ในการวิเคราะห์แบบพรรณนา

ผู้เขียนพยายามให้ผู้อ่านเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่ีเกิดข้ึน ท้ังในอดีตและปัจจุบัน ในการวิเคราะห์ แบบทานาบเหตุการณ์ล่วงหน้าน้ัน ผูเ้ ขียนมจี ุดประสงค์ที่จะช่วยใหผ้ ู้อ่านเข้าใจความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศที่ เกิดข้ึนท้ังในอดีตและปัจจุบัน และสามารถทานายล่วงหน้าได้ วนความมุ่งหมายของการวิเคราะห์แบบ normative ต้องการให้ผู้อ่านมีความเชื่อว่าสภาพบางสภาพอาจตั้งเป็นกฎเกณฑ์หรือแนวบรรทัดฐาน โดยให้ ผู้อ่านเห็นว่า สถานการณ์บางอย่างคุกคามหรือสนับสนุนค่านิยมต่างๆที่ผู้อ่านยึดถือ ผู้วิเคราะห์แบบแนะนา พยายามทจ่ี ะชี้ใหเ้ หน็ ว่าจะต้องทาอย่างไรบ้างจึงบรรลุซง่ึ จดุ ประสงคท์ ีต่ ้งั เอาไว้ สรุปได้วา่ การวเิ คราะหท์ ั้ง 4 แบบท่กี ลา่ วมาแล้วมีจดุ ประสงคแ์ ตกต่างกนั ตามทีไ่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งต้น แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ทั้ง 4 แบบก็ยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องซ่ึงกันแล้วกัน การวิเคราะห์แบบ พรรณนาถือว่าเป็นรากฐานอันสาคัญของการวิเคราะห์แบบอ่ืนๆ การทานาย การออกความเห็น หรือการ แนะนาน้ัน จะได้ผลดีย่ิงข้ึน ถ้าหากมีการพรรณนาให้เข้าใจถึงเหตุการณ์ตามความเป็นจริง นอกจากน้ีการ วิเคราะห์แบบแนะนายังเป็นผลผลิตของการวิเคราะห์แบบทานาย และแบบสร้างแนวบรรทัดฐานอีกด้วย อาจจะสรุปได้ว่าการวิเคราะห์ท้ัง 4 แบบ มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันประดุจลูกโซ่ซึ่งอาจสร้างเป็นแบบ (model) ข้อสาคญั กค็ ือว่า ก่อนท่ีเราจาทานายเหตกุ ารณใ์ นอนาคต ออกความเห็น หรือแนะนาให้กระทาอย่าง หน่ึงอย่างใด เราควรจะต้องเข้าใจความจริงท้ังหมายซ่ึงเราได้จาการวิเคราะห์แบบพรรณนาเสียกอ่ น เมื่อรู้แล้ว เราก็สามารถจะทานายหรือสร้างแนวบรรทัดฐานและกฎเกณฑ์ หรือให้คาแนะนาในการปฏิบัติหรือให้งดเว้น อย่างหน่งึ อย่างใดในท่ีสุด

ภาคที่ 2 ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศเบ้อื งต้น บทที่ 1 ทฤษฎคี วามสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ การศึกษาทฤษฎคี วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศเกิดจากการท่นี ักวชิ าการความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง ประเทศตอ้ งการทาความเข้าใจวา่ เหตใุ ดปรากฏการณร์ ะหว่างประเทศจึงเกดิ เชน่ น้ันและตอ้ งการหาคาตอบให้ ไดว้ ่าเหตุใดจึงเกดิ ความขัดแย้ง หรอื สงคราม เหตุใดข้อตกลงการค้าเสรี จึงก่อใหเ้ กิดประโยชนแ์ กป่ ระเทศ มหาอานาจมากกวา่ ประเทศเลก็ ๆ ความพยายามในการให้คาอธิบายเกยี่ วกบั ปรากฏการณ์ท่เี กดิ ข้ึน หรอื การ ตอบคาถามวา่ ทาไมเหตกุ ารณ์นั้นๆ จึงเกดิ ข้ึน ก็คือ ทฤษฎี ดงั นนั้ การทาความเข้าใจความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ประเทศจึงจาเป็นต้องอาศัยทั้งความรเู้ ชงิ พรรณนาและความรู้เชิงทฤษฎี1 ความหมายของทฤษฎี ทฤษฎี ( Theory ) มรี ากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลวา่ มอง หรอื จ้อง คือ การเพ่งพิจารณาสง่ิ ใด สงิ่ หน่ึงโดยเฉพาะเจาะจง และรับรูว้ า่ อะไรเกิดข้ึน มีผู้ให้คานิยามของคาวา่ ทฤษฎี ไวด้ ังตอ่ ไปน้ี เจ.อี โดเกอร์ตี ( J.E. Dougherty ) และอาร์ แอลพาลฟกราฟ จเู นยี ร์ ( R.L.P faltzgraff jr. ) ผเู้ ขียน Contending Theories of International Relations : A Comprehensive Survey ในปี ค.ศ 1990 ให้คานยิ ามคาวา่ ทฤษฎี หมายถงึ คาอธิบายท่ัวไปเก่ียวกับปรากฏการณ์ท่ีได้เลือกสรรแลว้ ชาร์ล ดบั เบลิ้ ยู เคคลี่ จเู นียร์ และเกรกอรี่ เจ เรยม์ อนด์ ( Charles W. Kegley Jr. and Gregory A. Raymond ) ให้นยิ าม คาว่าทฤษฎี หมายถึง กลมุ่ ของข้อเท็จทชี่ ่วยในการอธบิ ายปรากฎการณ์ พเิ ศษ ปรชั ญา เวสารชั ช์ หมายถงึ วธิ ีการท่มี นษุ ย์ใช้เพื่อจัดระเบยี บขอ้ เท็จจริง หรือเหตุการณท์ ี่เกิดขน้ึ ให้เปน็ หมวกหมู่ มีความสัมพันธ์ตอ่ กัน การจดั หมวดหมู่จะช่วยให้แยกแยะรายละเอยี ดท่ีไม่สาคัญออก และเกบ็ ไวแ้ ตข่ ้อเทจ็ จริง หรอื เหตุการณท์ ส่ี าคญั กลา่ วโดยสรุป ทฤษฎี หมายถึง คาอธบิ ายเกย่ี วกบั ข้อเท็จจริง ปรากฏการณ์หรือเหตุการณต์ า่ งๆ โดยการจัดระเบยี บขอ้ มูลเหล่านนั้ บนพื้นฐานของความน่าเชอื่ ถือและสามารถตรวจสอบได้ ทฤษฎคี วามสมั พนั ธ์ระหว่าประเทศจดั เป็นองคป์ ระกอบสาคัญอกี องค์ประกอบในการศึกษา การเมืองระหว่างประเทศ เน่ืองจากทฤษฎีความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ คือการจัดรวบรวมเหตกุ ารณเ์ กี่ยวกบั การเมืองระหว่างประเทศ ซง่ึ ไมเ่ พียงแตน่ าเสนอปรากฏการณท์ เี่ กิดบนโลกเทา่ นน้ั แตย่ ังเปน็ เคร่อื งมือหลกั ใน 1 Joshua S.Goldstein, International Relations, ( New York : Pearson Longman, 2005),p.6.

การกาหนดทิศทางและกรอบการมองโลกอันนาไปสกู่ ารวิเคราะห์ คาดการณ์ และทานายปรากฏการณ์ระหว่าง ประเทศอยา่ งเป็นระบบ เพ่อื สามารถเสนอแนะวิถีทางท่ีโลกควรจะเปน็ 2 อยา่ งไรก็ดีองค์ความรูท้ างดา้ น ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศนั้นจดั เป็นส่วนหน่ึงของสังคมศาสตร์ ซง่ึ เต็มไปดว้ ยความสลับซบั ซ้อนของ พฤติกรรมมนุษย์ ประกอบกบั การมีขอบเขตการศกึ ษาในระดบั ระหวา่ งประเทศสง่ ผลใหท้ ฤษฎคี วามสมั พนั ธ์ ระหวา่ งประเทศขาดความเที่ยงตรงในบางประเดน็ และไมส่ ามารถพิสจู นข์ อ้ สมมตุ ิฐานได้อยา่ งชัดเจนซึง่ จดั เป็น ปัญหาพน้ื ฐานของทฤษฎีทางด้านสังคมศาสตร์ ดังน้นั ทฤษฎคี วามสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงขาดระเบยี บวธิ ี วิจัยที่แน่ชดั และมสี ถานภาพที่ต่ากว่าทฤษฎีทางด้านวทิ ยาศาสตร์ แต่อยา่ งไรก็ตามการมีกรอบความคิดและ องค์ความร้ทู างทฤษฎีจดั เปน็ ปัจจัยสาคัญในการฉายภาพปรากฏการณร์ ะหวา่ งประเทศซ่ึงเต็มไปด้วยความ สลับซบั ซอ้ นใหง้ ่ายต่อการการเข้าใจและพฒั นาวชิ าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้มลี กั ษณะเปน็ ศาสตร์ (Science) มากข้นึ โดยอาจมชี อื่ เรยี กทฤษฎีความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศแตกต่างกันออกไป เช่น กรอบ ความคิด ( Conceptual Framework ) และแนวทางการศกึ ษา ( Approach ) ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกขับเคลื่อนโดยกระบวนทัศน์ (Paradigm) อันจัดเป็น กรอบการมองโลกและการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในระดับกว้างซึ่งอาจมีท้ังการมองโลกในแง่ดี การมองโลก ในแง่ร้าย หรือการมองแบบทางสายกลาง ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจานวนมากจะถูกจัดประเภท และแยกกลุ่ม โดยอาศัยกรอบโครง (locus) และจุดเนน้ ทางการวเิ คราะห์ ( Focus of Analysis) มาเป็นเกณฑ์ ในการพิจารณา จากพัฒนาการของสังคมโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สามารถแบ่งประเภททฤษฎี ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้หลากหลายทฤษฎี แต่สาหรับการศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนี้ ขอกาหนดการศึกษาทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเฉพาะ 4 สานัก ได้แก่ สานักสัจนิยม (Realism) สานักเสรีนิยม (Liberalism ) สานักมาร์กซิส (Marxism) และสานักหลังสมัยใหม่ ( Postmodernism) ซ่ึงแต่ ละสานกั จะประกอบด้วยทฤษฎีแยกย่อยเปน็ จานวนมาก โดยมรรายละเอียดที่นา่ สนใจดังตอ่ ไปนี้ 1. ทฤษฎีสานักสจั นิยม (Realism) สัจนิยมเป็นสานักความคิดที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในแง่มุมของ “อานาจ” สานัก สัจนิยมมีอิทธิพลต่อการเมืองระหว่างประเทศตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบัน ทฤษฎีสานักสัจนิยมเริ่มมี อิทธิพลตั้งแต่หลังสงครามโลกคร้ังที่ 1 พร้อมกับการตั้งสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ความจริง แล้วแนวคิดแบบสัจนิยมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ 400-500 ปีก่อนคริสตกาล ทฤษฎีสานักสัจนิยมมี อิทธิพลเร่ือยมาจนถึงปลายทศวรรษท่ี 1990 และถูกท้าทายอีกครั้งในต้นศตวรรษท่ี 21 3 กระบวนทัศน์ของ ทฤษฎีสานักสจั นอยมต้ังแต่อยู่บนสมมุติฐานท่ีว่ามนุษย์มีความเห็นแก่ตัว และมุ่งแสวงหาอานาจ สานกั สัจนิยม เห็นว่าการเมืองโลกมีลักษณะอนาธิปไตย ( Anarchy ) สันติภาพจะเกิดขึ้นได้โดยอาศัยการคานอานาจและใช้ อานาจอย่างชาญลาด แม้ว่าจาต้องละเลยจริยธรรม ศีลธรรม และกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ ดังน้ันรัฐทุกรัฐ ต้องทาทุกวิถีทางเพ่ือปกป้องผลประโยชน์และสร้างความมั่งคงของตนเองเพ่ือความอยู่รอด สัจนิยมให้ 2 Cynthia Weber, International Relations Theory : A Critical Introducction,( London : Routledge,2005),p.2. 3 โคริน เฟ่ืองเกษม, แนวคิดและทฤษฎีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2548),หน้า 45.

ความสาคัญกบั อานาจและผลประโยชน์แห่งชาตแิ ละเช่อื ว่าถ้าเปน็ เรื่องการเมืองแลว้ ต้องแยกออกจากศีลธรรม และกฎเกณฑ์ระหวา่ งประเทศ ทฤษฎสี านกั สัจนิยมสามารถจดั แบ่งเปน็ 4 ประเภท ตามลาดับเวลาและลกั ษณะเน้อื หา4ดังน้ี 1. ทฤษฏีสานัจนิยมแนวคลาสสิก (Classical Realism) ประกอบด้วยนักคิดสาคัญ คือ ทูซีดีเดส (Thucydides) นโิ คโล มาคิอเลลี (Niccolo Machiavelli ) และ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) 2. ทฤษฎีสานักสัจนิยมแนวคลาสสิกแนวใหม่ (Neo-Classical Realism ) ประกอบด้วยนักคิด สาคัญคอื ฮนั ส์ เจ มอร์แกนเธอ ( Hans J.Morgenthau) 3. ทฤษฎีสานักสัจนิยมแนวยุทธศาสตร์ ( Strategic Realism ) ประกอบด้วยนักคิดสาคัญ คือ โทมสั เชลลิ่ง ( Thomas Schelling) 4. ทฤษฎีสานักสัจนิยมแนวใหม่ (Neo-Realism) ประกอบด้วยนักคิดสาคัญ คือ เค็นเน็ต วอลซ์ (Kenneth Waltz) ทฤษฏสี านจั นยิ มแนวคลาสสกิ ( Classical Realism ) นกั คดิ สานักสจั นยิ มแนวคลาสสิกเริ่มปรากฏตัวตั้งแต่สมัยกรีกโบราณนักคดิ ทา่ นนั้นคือ ทูซีดีเดส ( Thucydides ) นักประวัติศาสตร์กรีกยุคก่อนคริสตกาล ( 431-404 BC) ทูซูดีเดสแต่งมหากาพย์ เร่ือง สงครามเพโลพอนนีเซียน ( The Peloponnesian War ) อธิบายการทาสงครามระหว่างนครรัฐเอเธนส์กับส ป าตาร์ซึ่งสะท้อน ถึงธรรมช าติของมนุ ษ ย์ที่ เป็ น สต ว์การเมืองที่ มีคว า มไม่เท่าเที ยมกัน ใน ด้ าน อาน าจแล ะ ความสามารถในการป้องกันตนเอง ทูซีดเี ดสเน้นย้าว่า “รัฐท่ีเข้มแข็งสามารถประพฤติ ปฏิบัตอิ ยา่ งไรก็ไดต้ ราบ เท่าที่มีอานาจ แต่รัฐที่อ่อนแอต้องยอมรับสภาพของตนโดยต้องปฏิบัติอย่างนอบน้อมต่อรัฐท่ีมีอานาจ เหนือกว่า5” ดังนั้นรัฐแต่ละรัฐจึงต้องปฏิบัติตามระดับความสามารถและอานาจที่ตนมีจึงจะสามารถอยู่รอด และปลอดภัย ดังนั้นการตัดสินใจของผู้นาและการดาเนินความสัมพันธ์ระหว่างรัฐจาเป็นต้องมีความรอบคอบ และระมัดระวัง โดยคานึงถงึ ผลกระทบทัง้ ในดา้ นบวกและด้านลบ นอกจากทูซีดีเดสแล้ว นิโคโล มาคิวอเวลลี (Niccolo Machiavelli ) นักปรัชญาการเมืองชาวอิ ตาเลียนยังถือเป็นนักคิดสาคัญอีกคนของสานักสัจนิยมแนวคลาสสิก มาคิวอาเวลลีเขียนหนังสือเรือง The Prince ในปี ค.ศ 1532 โดยมีสาระสาคัญว่าโลกมนุษย์เต็มไปด้วยภัยอันตรายและโอกาส หาอยู่รอดในโลก มนุษย์จาเป็นตอ้ งเข้าใจถึงอันตรายและต้องวางแผนป้องกันตนเอง ภายใต้โลกทีเ่ ต็มไปด้วยความไร้ระเบียบและ ปราศจากศีลธรรม มาคิวเวลลีจึงได้เสนอแนะคุณลักษณะของผู้ปกครองว่าต้องเต็มไปด้วยเล่ห์อุบายในการ ดาเนินกุศโลบายทางการฑูตเปรียบเสมือนมคี ุณลักษณะของสงิ โตและสุนัขจิ้งจอกไปพร้อมกัน ดังนนั้ ผู้ปกครอง จึงต้องให้ความสาคัญกับอานาจและมุ่งแสวงหาผลประโยชน์โดยปราศจากความเมตตา ในทัศนะของมาคิวเวล ลีผปู้ กครองที่ดตี อ้ งไมค่ านึงถงึ หลกั ศลิ ธรรมแตค่ วรยดึ ถือประโยชนส์ ูงสดุ ของรัฐและความอยู่รอดเป็นสาคญั 4 Robert Jackson and George Sorensen, International to International Relations : Theories and Approaches, (Oxford : Oxford University Press,2003), pp 68-70. 5 Thucydides,History of the Peloponnessian War,

โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักกฏหมายและนักปรัชญาการเมอื งชาวองั กฤษจัดเป็นนกั คิด คนสาคัญอีกคนของทฤษฎีสานักสัจนิยมแนวคลาสสิก ฮอบส์แต่งหนังสือเรือง Leviathan ในปี ค.ศ. 1651 ฮอบส์อธิบายว่าก่อนท่ีจะมีการจัดตั้งรัฐบาล โลกอยู่ใน “สภาวะธรรมชาติ”(State of Nature) หรือ “ สภาวะ สงคราม” ( State of War) น่ันคือ สังคมโลกมีลักษณะป่าเถ่ือนและเต็มไปด้วยความโหดร้าย มนุษย์อยู่ใน สภาพหวาดกลัวซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างอยู่ ปราศจากระเบียบและกฎเกณฑ์ ฮอบส์เสนอทางออกในการ แก้ปัญหาคอื การจัดตั้งและคงไวซ้ ง่ึ รัฐอธิปไตยโดยทกุ คนต้องร่วมมือกัน ฮอบส์เสนอใหป้ ระชาชนยอมสละสิทธิ ตามธรรมของตนให้แก่รัฐและสนับสนุนการการจัดต้ังรัฐบาลที่มีอานาจหน้าท่ีอย่างเต็มที่ในการปกป้องมนุษย์ จากความวุ่นวายภายในรัฐและจากภัยคุกคามจากต่างชาติ ภายใต้สภาวะเช่นน้ีจะก่อให้เกิดระเบียบและ สันตภิ าพขนึ้ ทฤษฎสี านกั สจั นยิ มแนวคลาสสิกแนวใหม่ (Neo-Classical Realism ) สานักสัจนิยมแนวคลาสสิกแนวใหม่เกิดจากการผลักดันของกลุ่มนักคิดที่ต่อต้านแนวคิดของเค็น เน็ต วอลซ์ (Kenneth Waltz)6 นักคิคสานักสัจนิยมคลาสสิกแนวใหม่เป็นกลุ่มที่อธิบายนโยบายต่างประเทศ ของรัฐใดรัฐหน่ึงโดยพยายามเชื่อมโยงปัจจัยสถานภาพอานาจของรัฐในระบบระหว่างประเทศเข้ากับปัจจัย ภายใน ในขณะท่ีสัจนิยมแนวใหม่ (Neo - Realism) ให้ความสาคัญกับโครงสร้างระบบระหว่างประเทศ ซึ่ง เน้นหน่วยการวิเคราะห์ในระดับที่สูงกว่ารฐั แต่สานักสัจนิยมคลาสิกแนวใหม่กลับให้ความสาคัญกับภาวะผู้นา และการเคล่ือนไหวของกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ภายในรัฐซ่ึงเน้นหน่วยการวิเคราะห์ในระดับท่ีต่ากว่ารัฐ โดย มองว่าลักษณะของผู้นา ตลอดจนการจัดสรรผลประโยชน์ของผู้มีบทบาทในการกาหนดนโยบายต่างประเทศ คือ ปัจจัยสาคัญท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมของรัฐ ตลอดจนตัวแสดงต่างๆมากกว่าผลกระทบท่ีมาจากโครงสร้าง ระบบโลกโดยรวม ดังนั้นหากใช้รัฐเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา สานักสัจนิยมแนวใหม่จะให้ความสาคัญกับ ผลกระทบที่มาจากปัจจัยภายนอกมากกว่า ในขณะที่สานักสัจนิยมคลาสสิกแนวใหม่จะให้ความสาคัญกับ ผลกระทบทีม่ าจากปัจจัยภายในประเทศ เม่ือเอ่ยถึงทฤษฎีสานักสัจนิยมจาเป็นต้องเอ่ยถึงนักคิดคนสาคัญซ่ึงก็คือ ฮันส์ เจ มอร์เกนเธอ ( Han J. Morgenthua, 1904-1977) มอร์เกนเธอ เป็นนัดคิดคนสาคัญของสานักสัจนิยมคลาสสิกแนวใหม่ ผู้เขียนหนังสือ Politics Among Nations: The Struggle for Power and Peace มอร์เกนเธอ ได้เสนอ หลักการของแนวทางสจั นยิ ม ดังน้ี 1.การเมืองเป็นธรรมชาติของมนุษย์ โดยมนุษย์เป็นสัตว์การเมืองที่แสวงหาอานาจและความอยู่ รอด ดังนัน้ การเมืองจึงเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ ผนู้ าจงึ ตอ้ งนานโยบายเพื่อผลประโยชนท์ างการเมืองโดย อาศัยการตดั สนิ ใจที่สมเหตุสมผล โดยมีการประเมินสมรรถนะแหง่ ชาตแิ ละสภาวะแวดลอ้ มเพื่อเลือกนโยบายที่ เหมาะสมทีส่ ดุ 6 Charles W.Kegley Jr. and Eugene R. Wittkopf, World Politice : Trend and Transformation, (Belmont CA : Thomson Wadsworth, 2004), pp.41-42

2.ผลประโยชน์คืออานาจ โดยนโยบายเป็นทั้งวิธกี ารและจุดหมายในเวลาเดียวกัน รัฐทุกรัฐตา่ งก็ ดิ้นรนต่อสู้เพ่ือให้ได้มาซึ่งอานาจ เพราะอานาจช่วยปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ ดังน้ันผู้นาของรัฐจะต้อง ตัดสินใจอย่างสมเหตสุ มผลเพือ่ ผลประโยชน์ของชาติ 3.ผลประโยชน์และอานาจเปล่ียนแปลงได้ เม่ือสถานการณ์เปล่ียนไปผลประโยชน์ของรัฐจะ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและความเหมาะสม เช่น น้ามันเป็นผลประโยชน์ท่ีความสาคัญท่ีสุดของ มหาอานาจ แต่เมื่อใดกต็ ามทีน่ ้ามนั หมดไป ผลประโยชน์อาจเปลย่ี นแปลงไปเป็นตามความตอ้ งการรปู แบบอ่ืน 4.สัจนิยมแยกศีลธรรมออกจากการเมือง แนวทางสัจนิยมเช่ือว่าถ้าเป็นเร่ืองการเมืองแล้วต้อง แยกออกจากศีลธรรม เนื่องจากการนาหลักศีลธรรมมาใช้กับการดาเนินทางการเมืองโดยตรงไม่อาจใช้ได้แต่ ต้องปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยผู้นาควรดาเนินนโยบายเพ่ือผลประโยชน์ของชาติศีลธรรมคควร นามาใช้เป็นเครอื่ งมอื สนับสนุนความชอบธรรมของนโยบายมากกวา่ เป็นตัวขัดขวางการดาเนินนโยบาย ดังนั้น อานาจและผลประโยชน์จงึ มีความสาคัญมากกว่าศลี ธรรม นอกจากนี้มอร์เกรเธอ ยังเพิ่มมุมมองเก่ียวกับประเภทของนโยบายต่างประเทศว่ามีอยู่ 3 ประการ คือ นโยบายรักษาสถานภาพ นโยบายรักษาเกียรติภูมิและศักด์ิศรีของประเทศ และในโยบายจักรพรรดินิยม ซ่ึง เป็นสิ่งธรรมดาของมหาอานาจต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนได้เพ่ิมมุมมองท่ีว่าอานาจเศรษฐกิจก็ถือว่ามี ความสาคัญอย่างมากในระบบระหว่างประเทศปัจจบุ ันนอกเหนือจากอานาจทางการทหาร นกั คิดสานกั สัจนยิ มแนวยุทธศาสตร์ (Strategic Realism) โทมัส เชลลิ่ง (Thomas Schelling) ผู้เขียนหนังสือ The Strategy Conflict ในปีค.ศ. 1980 จัดเป็น นักคิดคนสาคัญของสานักสัจนิยมแนวยุทธศาสตร์ท่ีให้ความสาคัญกับเป้าหมายทางด้านความมั่นคงและความ เป็นอยู่ของรัฐเป็นสาคัญ เชลลิ่งเน้นการศึกษาเก่ียวกับกระบวนการตัดสินใจด้านนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะทางการทูตและการทหาร ซ่ึงนโยบายต่างประเทศจะประสบความสาเร็จได้ต้องผ่านการตัดสินใจใน เชิงกลยทุ ธ์ โดยใชห้ ลักความสมเหตุสมผล แนวคดิ ท่ีสาคัญของเชลลิ่ง สรุปไดด้ ังนี้7 1) การทูต(diplomacy)คือการต่อรอง(bargaining) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ท่ีดีแม้ว่าจะไม่ดีที่สุดสาหรับทุก ฝ่าย วิธีการต่อรองมีหลายวิธีท้ังวิธีที่สุภาพและวิธีหยาบคายไม่ไว้วางใจกัน หรือการย่ืนข้อเสนอและการข่มขู่ การรักษาสถานภาพเดิมด้วยการละทิ้งสิทธิต่างๆแต่อย่างไรก็ตามท้ังสองฝ่ายจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งก็คือ การหลีกเลี่ยงความเสยี หายและมที างเลือกทีย่ อมรบั ได้ 2) การข่มขู่/การปอ้ งปราม(threats/deterrence) ในยคุ ท่ีมหาอานาจต่างครอบครองอาวุธนิวเคลยี ร์อ่ะ และเสี่ยงต่อการเกิดสงครามนิวเคลียร์ เชลล่ิงแนะนาให้ผู้นาใช้อานาจอย่างฉลาด เน่ืองจากว่าการครอบครอง อาวธุ นวิ เคลยี ร์เปรียบเสมอื นการป้องปราบ ดังน้ันการทีม่ หาอานาจขวู่ ่าจะใช้อาวุธนวิ เคลยี รก์ ับฝา่ ยตรงกันขา้ ม ทาให้ศัตรูไม่กล้าต่อกรกับเรา อย่างไรก็ตามการขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อเป็นการป้องปากฝ่ายตรงกันข้าม 7 โคริน เฟื่องเกษม, แนวคดิ และทฤษฎีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2548),หน้า 59-61.

จะได้ผลก็ต่อเมื่อฝ่ายตรงกันข้ามให้อยู่ในสภาวะจนมุม หาศัตรรู ู้สึกวา่ จนมุมแล้วอาจนาไปสู่การตัดสินใจโจมตี เรากอ่ น 3) การทูตและการใช้ความรนุ แรง (diplomacy & violence) เชลลิ่ง อธิบายความแตกต่างระหว่างการ ใช้อานาจโดยอาศยั เครื่องมือทางการทหารกบั การใช้อานาจโดยวิธกี ารข่มขู่ให้กลัว เชลลิ่งให้ความเห็นว่าการใช้ อานาจโดยอาศัยเครื่องมือทางการทหารจะสาเร็จหรือไมเ่ กิดขึ้น หลงั จากการใช้กาลังทหารแลว้ ส่วนอานาจโดย วิธีการขม่ ขู่ใหก้ ลัวจะสาเร็จหรือไม่ข้นึ อยกู่ บั ว่าเราสามารถรวู้ ่าศัตรูกลวั อะไร จุดออนของศัตรูคืออะไรดงั น้ันการ ใชอ้ านาจโดยวิธีการข่มขู่ใหก้ ลวั จะนาไปสู่การตอ่ รองระหว่างฝ่ายเรากบั ฝา่ ยศตั รู นักคดิ สานักสจั นิยมแนวใหม่(Neo-Realism)หรอื สานักโครงสรา้ งนิยม(Structuralism) แนวคิดของสานักสัจนิยมแนวใหม่ ได้ถูกพัฒนาโดย เค็นเน็ต วอลซ์ (Kenneth Waltz) วอลซ์เจียน หนังสือเรื่อง Theory of International Politics ในปีค.ศ. 1979 ซึ่งให้ความสาคัญกับการวิเคราะห์การเมือง ระหว่างประเทศบนพื้นฐานของโครงสร้างของระบบระหว่างประเทศมากกว่าการพิจารณาเพียงแค่รัฐชาติการ ให้ความสาคัญกับโครงสร้างส่งผลให้ทฤษฎีสานักสัจนิยมแนวใหม่อธิบายความขัดแย้งระหว่างประเทศใน ลักษณะของการจัดสรรอานาจระหว่างตัวแสดงต่างๆบนเวทีการเมืองโลกโดยมองว่าการจัดสรรรูปแบบทาง อานาจและโครงสร้างของระบบโลกผลต่อการก่อตัวของทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยมองว่าการจัดสรร รปู แบบทางอานาจและโครงสร้างของระบบโลกผลต่อการก่อตัวของทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยรัฐชาติ ยังคงเป็นตวั แสดงหลักบนเวทกี ารเมืองโลก8 และรฐั ชาติพยายามทกุ วธิ ีทางเพื่อคงไวซ้ ่ึงอานาจและความอยู่รอด ของชาติ วอลซ์ อธิบายว่าสภาวะอนาธิปไตยคือลักษณะสาคัญของระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และ สภาวะอนาธิปไตยเป็นสาเหตสุ าคญั ของการเกิดสงคราม แม้ว่ารฐั อธิปไตยต่างๆทอ่ี ยู่ในระบบระหวา่ งประเทศมี ความเท่าเทยี มกันในแง่กฎหมาย ซง่ึ หมายถึงรฐั อธิปไตยทางกลางสามารถตัดสินใจจัดการกับปัญหาภายในและ ปัญหาระหว่างประเทศโดยไม่จาเป็นต้องตามคาส่ังของรัฐอื่ แต่อย่างไรก็ตามจะขีดความสามารถในการดาเนิน ภารกิจต่างๆไม่เท่าเทียมกัน หากการจัดสรรแบ่งปันอานาจ หรือขีดความสามารถของรัฐต่างๆในระบบ เปลี่ยนไปก็จะทาให้การเมืองโลกเปลี่ยนแปลง วอลซ์ มีความเชื่อว่าการเมืองโลกจะเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการ เปล่ียนแปลงของรัฐมหาอานาจในลักษณะเพิ่มขึ้นหรือลดลงและเมื่อระบบดุลแห่งอานาจเปลี่ยนแปลงไปซึ่ง มักจะเกิดจากการทาสงครามโลกระหว่างมหาอานาจ ดังน้นั ระบบดุลแหง่ อานาจจึงเป็นมาตรการท่ีรฐั ทั้งหลาย ร่วมกันสร้างข้ึนมาเพ่ือใช้อยู่ร่วมกันในสภาวะอนาธิปไตยของการเมืองโลก9 วอลซ์ เช่ือว่าระบบ 2 ข้ัวอานาจท่ี อยู่ในช่วงสงครามเย็นมีเสถียรภาพมากกว่าระบบดุลอานาจแบบหลายขั้วอานาจท่ีมีอยู่ในช่วงก่อนและหลัง สงครามเยน็ นอกจากระบบ 2 ขัว้ อานาจมีเสถียรภาพและเป็นหลักประกันสนั ตภิ าพ และความม่นั คงของโลกได้ ดกี วา่ 10 จากการรวบรวมแนวคิดของนักคิดในสานักสัจนิยม สามารถสรปุ แนวคดิ และทฤษฎสี านักสัจนยิ มได้ดงั ตอ่ ไปน้ี 8 Kenneth Waltz, Theory of International Politics,(MA : Addison-Wasley, 1979), p.91. 9 Kenneth Waltz, “The Emerging Structure of International Politics,” International Security,(18)1993,pp.44-79. 10 โคริน เฟื่องเกษม, แนวคิดและทฤษฎีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ, อ้างแล้ว,หน้า 65

1.รฐั (State) จดั เปน็ ตวั แสดงหลกั ในเวทีการเมอื งระหว่างประเทศ 2.ทฤษฎีสานักสัจนยิ มให้ความสาคัญอย่างสูงกับอานาจ ผลประโยชน์แห่งชาติ ความมน่ั คงและความอยู่ รอดของชาติ 3.มนษุ ยโ์ ดยธรรมชาตมิ คี วามเหน็ แก่ตัว จาเปน็ ต้องแสวงหาผลประโยชน์และต้องทาทุกวถิ ที างเพ่อื ความ อยรู่ อด 4.ระบบระหว่างประเทศมีลกั ษณะอนาธิปไตย (Anarchy) สภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจงึ เตม็ ไปดว้ ยความขดั แย้ง ปราศจากรัฐบาลโลกในการควบคุม และแก้ไขปัญหาต่างๆอย่างเป็นระบบดงั นั้นการท่ีรัฐมหาอานาจแสวงหาผลประโยชน์และครอบงารัฐบริวารจึง เปน็ เรือ่ งปกติในสังคมโลก 5.สงครามความขัดแย้งเป็นส่ิงท่ีหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐชาติต้องทาทุกวิถีทางเพื่ออานาจและผลประโยชน์ แห่งชาติ 6.หวั ใจสาคัญของการดาเนินนโยบายต่างประเทศคือการแยกศลี ธรรมออกจากการเมือง 7.การมองโลกต้องต้ังอยบู่ นพ้ืนฐานของความเป็นจริง การสร้างระบบความมั่นคง องค์การความร่วมมือ ท่ีเหนียวแน่น เเละสันติภาพที่แท้จริง จัดเป็นส่ิงเพ้อฝันเนื่องจากไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวรในเวทีการเมือง ระหว่างประเทศ ดังนั้นการแก้ไขความขัดแย้งด้วยระบบพันธมิตรและระบบดุลแห่งอานาจจึงเป็นแนวทางที่ เหมาะสมทส่ี ดุ ในโลกแหง่ ความเป็นจริง แนวทางสัจนิยมจัดเป็นกลุ่มทฤษฎีที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการดาเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐต่างๆ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักการทหารและนักยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ซ่ึงจุดเด่นของ สานักสัจนิยมคือการสะท้อนภาพการเมืองโลกบนพื้นฐานของความเป็นจริง และอธิบายสาเหตุแห่งสงคราม ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างประเทศได้อย่างชัดเจน แต่จุดอ่อนที่สาคัญของแนวทางสัจนิยม คือ การขาด ระเบียบวิธีวิเคราะห์ท่ีเป็นระบบ แนวทางสัจนิยมขาดเคร่ืองมือที่เที่ยงตรงในการวิเคราะห์ว่าอานาจและ ผลประโยชน์แห่งชาติคืออะไร มีลกั ษณะเช่นใด รวมท้ังประเดน็ การให้ความสาคัญกับรัฐและอานาจมากเกนิ ไป แม้ว่าจะต้องละเลยจริยธรรมศีลธรรม นอกจากน้ีการเพิ่มความสาคัญของประเด็นทางเศรษฐกิจและความ หลากหลายของตัวแสดงในเวทีระหว่างประเทศ เช่น องค์การข้ามชาติ กลุ่มความร่วมมือต่างๆส่งผลให้การใช้ รัฐเป็นหน่วยสาคัญในการวิเคราะห์ไม่สามารถอธิบายปัญหาระหว่างประเทศได้อย่างชัดเจนและรอบด้าน ข้อบกพร่องดังกล่าว ส่งผลให้นักคิดสัจนิยมรถใหม่ทาการปรับปรุงองค์ความรู้และระเบียบวิธีวิเคราะห์ให้ สอดคลอ้ งกับสงั คมสมัยใหม่มากย่งิ ข้ึน

ทฤษฎสี านกั เสรีนิยม (Liberalism) สานักเสรีนิยม(Liberalism) หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า สานักอุดมคตินิยม (Idealism) จัดเป็นสานัก ความคิดที่มีลักษณะตรงข้ามกับสานักสัจนิยม สานักเสรีนิยมเน้นการมองโลกในแง่ดีโดยมีแนวคิดพ้ืนฐานอยู่ ที่ว่าธรรมชาติของมนุษย์เปน็ คนดี ดงั นัน้ ควรมีการพัฒนาสถาบนั เพื่อส่งเสรมิ ให้มนุษย์ได้พฒั นาตนเองมากที่สุด แล้วเท่าท่ีศักยภาพของมนุษย์จะทาได้11 สานักเสรีนิยมให้ความสาคัญกับศีลธรรมหรือจริยธรรม สนั ติภาพและ ความร่วมมือระหว่างประเทศ นอกจากนี้สานักเสรีนิยมยังพยายามเสนอแนะทางเลือกว่าสังคมโลกควรจะเป็น เช่นไรโดยพยายามหาหนทางท่ีทาให้โลกมีเสถียรภาพ สานักเสรีนิยมยังให้ความสาคัญกับตัวแสดงท่ีไม่ใช่รัฐ (Non State Actor)เช่นองค์การระหว่างประเทศ และกลุ่มความร่วมมือต่างๆ ทฤษฎีสานกั เสรีนิยมเริ่มปรากฏ ตัวนับต้ังแต่การสิ้นสุดของสงครามโลกคร้ังท่ี 1 (ค.ศ. 1918) เนื่องจากระบบดุลแห่งอานาจในช่วงก่อน สงครามโลกคร้ังที่ 1 ได้นาไปสู่สภาวะความไม่มีเสถียรภาพในสังคมโลกนอกจากน้ีความสูญเสียอันเกิดจาก สงครามโลกทาให้ประชาคมโลกเร่ิมตระหนักถึงความรุนแรงของสงครามรวมถึงการแสวงหาแนวทางในการ ระงับความขัดแย้งและการอยู่ร่วมกันโดยสันติเห็นได้จากการก่อตั้งสันนิบาตชาติ สานักเสรีนิยมเริ่มปรากฏ ตัวอย่างเด่นชัดในหลักปรชั ญาของนักคดิ ทางการเมืองยคุ คลาสสคิ เชน่ จอหน์ ลอ็ ค (John Locke) นักคดิ สานักเสรนี ยิ มแนวคลาสสคิ (Classical Liberalism) จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง (ค.ศ. 1932-1704) อธิบายว่ามนุษย์ เป็นคนดีโดยธรรมชาติและสามารถเปล่ียนแปลงความขัดแย้งไปสู่ความร่วมมือได้ ล็อคเสนอให้นาข้อผูกมัด ทางศิลธรรมมาใช้ในบทบัญญัตทิ างกฎหมาย ส่วนความสัมพนั ธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนน้นั ล็อคมีความคิดเห็น วา่ ประชาชนมีสทิ ธิตามธรรมชาติและเม่ือประชาชนมอบความไว้วางใจยอมสละอานาจของตนให้แก่รัฐ รัฐจึงมี หน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ ต่างๆของประชาชน รัฐบาลจะสามารถใช้อานาจได้อย่างชอบธรรมก็ต่อเมื่อ กระทาหน้าท่ีประกันเสรีภาพของประชาชนดแู ลปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สามารถดาเนินชีวิต อย่างมีความสุขโดยไม่ถูกแทรกแซงจากผู้อ่ืนหรือจากรัฐอ่ืนๆแต่เมื่อใดก็ตามท่ีรัฐ ไม่ได้นามาซึ่งเสรีภาพและ ความเป็นอยู่ท่ีดี ล็อคสงวนสิทธ์ิให้ประชาชนมีสิทธิในการปฏิวัติ ถอดถอนรัฐบาล ล็อคเชื่อว่ารัฐที่มีกฎหมาย และมีการปฏบิ ัตริ ะหวา่ งรฐั ดว้ ยความเคารพ ยึดหลกั ประเพณีรว่ มกันจะนามาซึง่ สันตภิ าพ อิมมารู คานท์ (Immanuel Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมันนี (ค.ศ.1724-1804) ผู้เขียนหนังสือ Perpetual Peace จัดเป็นนักคิดสานักเสรีนิยมแนวคลาสสิคท่ีสาคัญอีกคน คานท์อธิบายสภาพความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศอยู่บนพ้ืนฐานการเปิดเสรีทางการเมือง คานท์เช่ือว่ารัฐที่มีกฎหมาย และมีการปฏิบัติระหว่าง รัฐด้วยความเคารพยึดหลักประเพณีร่วมกัน ซึ่งได้แก่สาธารณรัฐ(Republic)น้ันจะสามารถสร้างสันติภาพท่ี ถาวร(Perpetual Peace)ใหเ้ กิดขึน้ บนโลกได้ นกั คดิ สานักเสรีนิยมแนวคลาสสคิ (Classical Liberalism) จอหน์ ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมอื งชาวอังกฤษท่ีมชี ่ือเสียง (ค.ศ. 1932-1704) อธิบายว่า มนุษย์เป็นคนดีโดยธรรมชาติและสามารถเปลี่ยนแปลงความขัดแย้งไปสู่ความร่วมมือได้ ล็อคเสนอให้นาข้อ 11 W.Raymond Duncan,Barbara Jancar-Webster and Bob Switky,World Politics in the 21st Century,(New York: PeasonLongman,2004),p.18.

ผูกมัดทางศิลธรรมมาใช้ในบทบัญญัติทางกฎหมาย ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนนั้นล็อคมีความ คดิ เห็นว่าประชาชนมีสิทธิตามธรรมชาติและเม่ือประชาชนมอบความไว้วางใจยอมสละอานาจของตนให้แก่รัฐ รัฐจึงมีหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ ต่างๆของประชาชน รัฐบาลจะสามารถใช้อานาจได้อย่างชอบธรรมก็ ต่อเม่ือกระทาหน้าที่ประกันเสรีภาพของประชาชนดูแลปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สามารถ ดาเนินชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่ถูกแทรกแซงจากผู้อ่ืนหรือจากรัฐอื่ นๆแต่เม่ือใดก็ตามที่รัฐไม่ได้นามาซึ่ง เสรภี าพและความเป็นอยู่ท่ีดี ล็อคสงวนสทิ ธิใ์ ห้ประชาชนมีสทิ ธใิ นการปฏิวัติ ถอดถอนรัฐบาล ล็อคเชื่อว่ารฐั ที่มี กฎหมายและมีการปฏิบัติระหว่างรฐั ด้วยความเคารพ ยึดหลักประเพณรี ว่ มกันจะนามาซง่ึ สันติภาพ อิมมารู คานท์ (Immanuel Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมันนี (ค.ศ.1724-1804) ผู้เขียนหนังสือ Perpetual Peace จัดเป็นนักคิดสานักเสรีนิยมแนวคลาสสิคท่ีสาคัญอีกคน คานท์อธิบายสภาพความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศอยู่บนพ้ืนฐานการเปิดเสรีทางการเมือง คานท์เช่ือว่ารัฐที่มีกฎหมาย และมีการปฏิบัติระหว่าง รัฐด้วยความเคารพยึดหลักประเพณีร่วมกัน ซ่ึงได้แก่สาธารณรัฐ(Republic)น้ันจะสามารถสร้างสันติภาพที่ ถาวร(Perpetual Peace)ใหเ้ กิดขนึ้ บนโลกได้ นกั คิดเสรนี ิยมแนวใหม(่ Neo-Liberalism) สานักเสรีนิยมแนวใหม่อธิบายว่าการขยายตัวของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสามารถกระทา ได้โดยการขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ การขยายเครือข่ายความสัมพันธร์ ะหวา่ งรัฐ และตัวแสดงทไ่ี ม่ใช่ รัฐ สานักเสรีนิยมแนวใหม่ถูกพัฒนาขึ้น เนื่องจากความล้มเหลวของสานักสัจนิยม และสานักเสรีนิยมท่ีไม่ สามารถทานายหรืออธิบายการล้มสลายของสหภาพโซเวียตนอกจากน้ีท้ัง 2 สานักยังไม่สามารถทานายการ เปลี่ยนแปลงหลากหลายที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวของปัญหาระดับโลก ได้แก่ ปัญหาความเสื่อมโทรมของส่ิงแวดล้อม ปัญหาการอพยพย้ายถ่ินของประชากร ปัญหาการขยายตัวอย่าง รวดเร็วของประชากร และปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ เป็นต้น ดังนั้นสานักเสรีนิยมแนวใหม่จึงนาเสนอสมมุติฐาน ดงั น้ี12 1.การขยายตัวของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กระทาได้โดยการขยายความร่วมมือระหว่าง ประเทศ 2.การจัดต้ังสถาบันระหว่างประเทศชว่ ยใหร้ ัฐสามารถแก้ไขปญั หาต่างๆไดโ้ ดยสันติ สมมุตฐิ านข้อ น้ีจึงทาให้สานักเสรีนิยมแนวใหม่ มีชื่อเรียกอีกช่ือ ว่า สานักสถาบันเสรีนิยมแนวใหม่ (Neo-liberal Institutionalist) 3.โลกอาจดูเหมือนอยู่ในภาวะสับสนวาย แต่ภาวะสับสนวุ่นวายก็ปรากฏในการศึกษา ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศซ่งึ มลี ักษณะเป็นพลวัต 4.สนั ติภาพและความร่วมมือบังภายใต้เครือข่าย ความเช่ือมโยงและความสัมพันธ์ในหลากหลาย รปู แบบ 12 W.Raymond Duncan,Barbara Jancar-Webster and Bob Switky,op.cit.,p.30.

สานักเสรีนิยมแนวใหม่ได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับการปรากฏและการแฮกกระจายของ ภาวะโลกโลกาภิวตั น์โดยมีนักคิดคนสาคญั คือ โรเบิร์ต โคเฮน (Robert Keohane) และ โจเซฟ ไนย์(Joseph Nye)13 ผู้เขียนหนังสือPower and Interdependence ในค.ศ. 1977 และค.ศ. 2001 โคเฮนเเละไนย์แสดง ทัศนะว่าในโลกนี้เต็มไปด้วยการพ่ึงพาอย่างสลับซับซ้อนของตัวแสดงต่างๆ (Complex Interdependence) การสร้างความร่วมมือท่ีหลากหลายจัดเป็นองค์ประกอบสาคัญในการจัดระเบียบโลก ในการธารงไว้ซ่ึง สันติภาพ การให้ความสาคัญกับการเปิดเสรีทางการค้า การบูรณาการระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่าง ประเทศประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน กระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย และการทูตภาคประชาชน คือ. เน้น สาคัญของสานักเสรนี ิยมแนวใหม่ซึ่งทาให้สามารถอธิบายระบบโลกยุคหลังสงครามเยน็ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือใหส้ อดคลอ้ งกับกระบวนการโลกาภิวตั น์และการหักร้างแนวคิดของสานักสัจนิยมแนวใหม่โดยเน้นการมอง โครงสร้างระหว่างประเทศในบริบทของความร่วมมือและความสัมพันธ์ในหลากหลายมิติ มากกว่าการมองแค่ การจัดสรรอานาจระหวา่ งกลุ่มประเทศตา่ งๆ สานักเสรีนิยมได้ก่อให้เกิดทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจานวนมากซึ่งได้รับความนิยมอย่า งแพร่หลาย ในหมู่นกั กฏหมาย นักเศรษฐศาสตร์ และนกั การทหารท่นี ยิ มสนั ติภาพโดยมปี ระเดน็ ท่นี า่ สนใจดงั ต่อไปน้ี ทฤษฎสี ันตนิ ิยม (Pacifism Theory) สันตินยิ มเปน็ ทฤษฎีท่ตี ่อต้านสงครามและการใช้ความรนุ แรงในเรื่องท่คี วามสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศโดย มี. เน้นอยู่ที่การต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง (Non Violent Resistance)14 ทฤษฎีสันตินิยมอธิบายว่าสันติภาพ เป็นสิ่งท่ีสามารถเกิดขึ้นได้หากมนุษย์มีความจริงใจในการแก้ปัญหา และเร่ิมตระหนักถึงการประสาน ผลประโยชน์แห่งชาติให้เข้ากับผลประโยชน์ระหว่างประเทศ นักคิดทฤษฎีสันตินิยมคนสาคัญได้แก่ มหาตมะ คานธี ของอินเดีย เนลสัน เเมนเดอรา ของแอฟริกาใต้ เเละมาร์ติน ลูเธอร์คิง ของสหรัฐอเมริกาบุคคลทั้งสาม จะเป็นบุคคลสาคัญใชห้ ลักการละเว้นความรุนแรงเพือ่ ยตุ ิความขัดแย้งระหว่างประเทศ สาหรับตัวอย่างของนัก สนั ตินิยมคนสาคัญในปัจจุบัน ได้แก่ นางออง ซาน ซูจี ผู้นากระบวนการสันติภาพและภาษาธิปไตยในพม่า ซ่ึง สามารถต่อส้กู ับอานาจของรฐั บาลทหารบนพ้ืนฐานของความอดกล้ันการไม่ใช้ความรนุ แรง ตลอดจนการได้รับ สนับสนุนจากกลุ่มประเทศตะวันตกและองค์การทางด้านสัทธิมนุษยชนทฤษฎีสันตินิยมจัดวาดมีอิทธิพล พอสมควรในเวทีการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะในช่วงการสิ้นสุดของสงครามในระยะแรก เช่น สงครามโลกครั้งท่ี 1 เเละสงครามโลกครัง้ ที่ 2 จุดเน้นของทฤษฎีดังกล่าว คือ การใช้การเจรจาต่อรองทางการ ทูตบนพื้นฐานของความอดกล้ันและการยอมรับความแตกต่างอันนามาซ่ึงความเห็นใจซ่ึงกันเเละกัน เพื่อ นาไปสกู่ ารปรากฎตัวของสนั ตภิ าพที่เเทจ้ ริงในประชากรโลก ทฤษฎกี ารพ่งึ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกันอยา่ งซบั ซ้อน(Complex Interdependence Theory) 13 Charles W.Kegley JR. and Eugene R.Wittkopf,op.cit.,pp.43-49 14 สมพงศ์ ชมู าก,ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศยคุ ปัจจบุ นั (ทศวรรษ 1990และแนวโน้ม),(กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั ,/2544),หน้า44-45

ทฤษฎีการพ่ึงพาอาศยั กนั และกนั อย่างซับซ้อนเกิดจากการเสนอแนวคดิ ของ โรเบิร์ต โคเฮน เเละ โจเซฟ ไนย์ ในวารสาร Foreign Affairs เรื่อง Power and Interdependence in the Information Age ซึ่งโคเฮน เเละไนย์ อธิบายว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในช่วงเวลาก่อนการสิ้นสุดของสงครามโลกมักดาเนินโดย ผู้นาของประเทศ เม่ือเกิดความขัดแย้งกันก็มักใช้เคร่ืองมือทางการทหารในการแก้ไขปัญหาแต่ในช่วงหลัง สงครามโลกระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีลักษณะเป็น \"ระบบการพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกันอย่าง ซับ ซ้อ น \"(Complex Interdependence) จาก การป ฏิ วัติ ท างด้าน ระบ บ สารส น เท ศ (Information Revolution) ท่ีเกิดข้ึนในทศวรรษท่ี 1980 ทาให้ประเทศต่างๆในโลกมีช่องทางการติดต่อกันมากขึ้น นอกจากน้ีความรู้โดยเฉพาะที่เก่ียวกับ \"เทคโนโลยีสารสนเทศ\"(Intermation Technology) จะกลายเป็น แหล่งอานาจทส่ี าคญั ที่สดุ ในทศวรรษท่ี 2115 โคเฮน เเละ ไนย์ อธิบายเพิ่มเติมว่าในช่วงหลังสงครามโลก ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเกิดการ ขยายตัวที่มิได้จากัดเฉพาะรัฐเท่าน้ัน แต่ยงั เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐท่ีเกิดจากตัวแสดงอื่นๆ ได้แก่ บุคคล เอกชน ส่วนอนื่ ที่ไม่ใช่รฐั บาล ดังนั้นในยุคหลังสงครามโลกเครื่องมือทางทหารจึงไม่ใช่เคร่ืองมือทส่ี าคัญที่สุดใน การดาเนินความสมั พันธ์ระหว่างประเทศ สาระสาคัญของทฤษฎกี ารพ่ึงพาอาศยั ซง่ึ กันและกันอยา่ งซบั ซอ้ น คือ ตวั แสดงต่างๆในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความเกี่ยวขอ้ งและสัมพันธ์กนั อย่างลึกซ้ึงในลกั ษณะท่ีหาก เกิดปรากฎการณ์ หรือพฤติกรรมจากตัวแสดงใดตัวแสดงหน่ึงในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อตัว แสดงอื่นๆโดยลักษณะของผลกระทบนั้นจะมีลักษณะสลับซับซ้อนและครอบคลุมทุกมิติทางการเมืองระหว่าง ประเทศ การพ่ึงพาเช่น ระบบพันธมิตร และระบบความม่ันคงร่วมกัน จัดเป็นองค์ประกอบเป็นคนที่เคียงคู่กับ ประวัติศาสตร์โลกแต่ อย่างไรก็ตามหลังจากสิ้นสุดของสงครามเย็นได้เกิดการเปล่ียนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทาง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวคือ ระบบโลกยุคหลังสงครามเย็นเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ท่ีสลับซับซ้อน ทางเศรษฐกจิ ประเทศต่างๆมีช่องทางการติดต่อและปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น นโยบายต่างประเทศจะครอบคลุม ปัญหาต่างๆจนทาให้ทุกเรื่องมีความสาคัญใกล้เคียงกันจนไม่สามารถจัดลาดับความสาคัญได้อย่างชัดเจน ตลอดจนการลดความสาคัญของประเด็นทางการทหารอย่างตอ่ เน่ืองสง่ ผลให้ระบบพันธมิตรครอบคลมุ ไปถงึ มิติ ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมโดยการพ่ึงพาจะมีมากข้ึนเม่ือโลกเผชิญวิกฤตการณ์ระหว่างประเทศร่วมกัน เช่น วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ อาจกล่าวได้ว่าระบบการพึ่งพาอาศัยซ่ึงกันและกันอย่างซับซ้อน (Complex Interdependence)คือเป็นลักษณะสาคัญประการหน่ึงของโลกยุคหลังสงครามเย็นโดยประเทศและตัวแสดง ต่างๆต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบการค้าระหว่างประเทศลัทธิทุนนิยมดังน้ันความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง ประเทศจงึ เป็นองคป์ ระกอบสาคัญในสังคมท่ีเตม็ ไปดว้ ยความสาพันธ์ทสี่ ลบั ซบั ซอ้ น 15 Robert O.Keohane and Joseph S. Nye Jr.,Power and Interdependence in the Information Age,(New York: Longman,2001),pp 81-94

ทฤษฎีความสัมพันธ์ขา้ มชาติ (Transnationlism Theory) ทฤษฎีความสัมพันธ์ข้ามชาติเกิดจากการผสมผสานระหว่างกระบวนการโลกาภิวัตน์ และลักษณะการ พ่งึ พาของตัวแสดงต่างๆในระบบ โลกยุคหลังสงครามเย็น โดยบอกว่ารัฐชาติไมใ่ ช่ตัวแสดงหลักบนเวทีการเมอื ง โลกอีกต่อไป แต่องค์การข้ามชาติได้เร่ิมมีบทบาทมากขึ้นซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีลักษณะ เป็นความสัมพันธ์ข้ามชาติระหว่างตัวแสดงต่างๆด้วยความสัมพันธ์ดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับการเคล่ือนไหวของ 3 ปัจจัย ได้แก่ ความเคลื่อนไหวทางด้านกายภาพและประชากรโลก ความเคลื่อนไหวทางความคิดและข้อมูล ข่าวสาร ตลอดจนความเคล่ือนไหวทางการเงินและสินเช่ือ ทั้งน้ีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีและการพ่ึงพา อาศัยซ่ึงกันและกันอย่างสลับซับซ้อนจึงส่งผลให้แนวคิดความสัมพันธ์ข้ามชาติมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจการเมือง โลกในยุคปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากทัศนะของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์คนสาคัญ เเซมวล ฮันติงตัน (Samuel Huntington)ฮันติงตัน กล่าวถึงองค์การข้ามชาติว่ามีลักษณะซับซ้อนและมีศักยภาพในการปฏิบัติภารกิจข้าม ผมแดนของรัฐ โดยตัวอย่างที่สาคัญขององค์การข้ามชาติ ได้แก่ บรรษัทข้ามชาติ องค์การด้านศาสนาและสิทธิ มนุษยชน ตลอดจนขบวนการก่อการร้ายระหว่างประเทศ16 ดังนั้นความสัมพันธ์ข้ามชาติจึงมีลักษณะ สลับซับซอ้ นคล้ายใยเเมงมุม ในบางกรณีองค์การขา้ มชาติกลับมีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศมากกว่ารัฐชาติ ตลอดจนมีการเคล่ือนไหวทางด้านเงนิ ทนุ ในระดบั ทสี่ งู กว่างบประมาณของตา่ งประเทศ เจมส์ รอสเนาว์ (James N.Rosenau) เป็นนักคิดคนสาคัญได้ให้คานิยาม \"สิทธิความสัมพันธ์ข้ามชาติ\" (Trannationlism) ว่าหมายถึง การดาเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยตัวแสดงท่ีไม่ใช่มีเพียงแค่รัฐบาล แต่ยังรวมถึง บุคคล องค์กรต่างๆรอสเน์ามีความเห็นว่า ความสัมพันธ์ข้ามชาติที่เกิดจากการพัฒนาและ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงการขยายตัวของการเดินทาง จากสภาวการณ์ดังกล่าวทาให้ ความสามารถของรัฐในการควบคุมบุคคลลดน้อยลง บุคคลจะมีความผูกพันกบั รัฐน้อยลง ดังน้ันระบบระหว่าง ประเทศที่รัฐเป็นตัวแสดงหลักจะลดบทบาทลงแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นระบบระหว่างประเทศท่ีมีตัวแสดงดังเช่น องค์กรต่างๆหรือบุคคลที่ไม่ผูกพันกับรัก ซ่ึงแข่งขันกับรัฐแบบเดิมอันจะนาไปสู่ระบบพหุนิยม (Pluralism) ซ่ึง เป็นระบบทม่ี ีสนั ตภิ าพมากยง่ิ ข้ึน ทฤษฎรี ะบอบ (Regime Theory) แนวคิดเก่ียวกับทฤษฎีระบอบ ปรากฏในงานเขียนของ สตีเฟน ดี เครสเนอร์ (Stephen D.Krasner)ซึ่ง ตีพิมพ์ในวารสาร International Organization ในปีค.ศ. 1983 โดยเป็นแนวคิดท่ีมีพัฒนาการมาจากทฤษฎี การพ่ึงพาอาศัยซึง่ กันและกนั อย่างซบั ซ้อนกลา่ วคอื ในสภาพสังคมระหว่างประเทศที่ประกอบด้วยตัวแสดงเป็น จานวนมากจาเป็นอย่างย่งิ ท่ีต้องสถาปนาระบอบ โดยมีการข้างของเกมเพื่อกาหนดขอบข่ายความสัมพันธ์ของ ตัวแสดงต่างๆ17 ตลอดจนการจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพ่ือทาหน้าท่ีรักษาความเป็นธรรมและแก้ไขความ ขัดแย้งระหว่าง สมมุติฐานของทฤษฎีระบบ คือการสร้างและธารงไว้ซ่ึงระบอบจาเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องมีแบบ 16 Semuel P.Huntington, The Third Wave : Democratization in the Late Twentieth Century, (Oklahoma :University of Oklahoma Press,1991),pp.20-48.pp.420-440. 17 Stephen D.Krasner, Internation Political Economy, (New York : Oxford University Press,2001),pp.420-440.

แผนการปฎิบัติ เพ่ือสร้างบรรทัดฐานในการควบคุมพฤติกรรมของรัฐต่างๆอันนามาซึ่งสันติภาพระหว่าง ประเทศตัวอย่างที่เห็นได้ชัดการจัดทากฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการปฏิบัติระหว่างรัฐ หรือ การสร้าง ระเบียบองค์การการคา้ โลก(WTO) เพ่อื สร้างกฎเกณฑ์ทางการคา้ ระหว่างประเทศ ทฤษฎีความรว่ มมือและบรู ณาการ (Cooperation and Integration Theory) นกั ทฤษฎีการเมืองระหว่างประเทศ เช่น เอิร์น ฮาส เเละ คาร์ล ดอยซ์ ได้คาดการณ์ว่า ความร่วมมือใน การรวมกลุ่มระหว่างประเทศจะกลายเป็นประเด็นสาคัญของระบบโลกยุคหลังสงครามเย็น โดยธุรกิจและ การค้าจะกลายเป็นพลงั ขับเคลอ่ื นสาคญั แทนทกี่ ารเมืองและการทหาร ความร่วมมือ ในทัศนะของเอิร์น ฮาส(Ernst Haas) หมายถึงกระบวนการท่ีตัวแสดงซึ่งมีอธิปไตยเป็น ของตัวเอง พ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน ได้ทาการยอมรับในอานาจส่วนกลาง เพ่ือดาเนินการบางอย่างให้การ บรรลุเป้าหมายร่วมกันอย่างสันติวิธี โดยความร่วมมือดังกล่าวเกิดจากสานึกในการเป็นสมาชิกของประชาคม โลก โดยอาจใชว้ ธิ ีการตดั สนิ ใจร่วมกนั หรอื มอบอานาจใหแ้ ก่องคก์ ารกลางในการแก้ไขปัญหา บูรณาการ ในทัศนะของมาร์ค อาร์ อัมซทุช (Mark R.Amstutz) หมายถึง การรวมกลุ่ม การบรรลุผล สาเร็จภายในอาณาเขตหนึ่ง และการแสดงออกซ่ึงความรู้สึกของความเป็นประชาคมเดียวกัน จนก่อให้เกิด สถาบันท่ีมีหลักการปฏิบัติที่เหนียวแน่นและทั่วถึงอันเป็นหลักประกนั แห่งความหวังระยะยาวในการเสริมสร้าง สันติภาพและกระจายความมั่นคงไปสู่มวลมนุษยชาติ ไปฟังสาเร็จของพัฒนาการมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ประการ เชน่ การมีผลประโยชน์ร่วมกัน การมีวัฒนธรรมและค่านิยมที่คล้านคลึงกนั การติดต่อสือ่ สารระหว่าง กันอย่างสม่าเสมอการเจรจาต่อรอง ความใกล้ชิดกันในทางภูมิศาสตร์ ท่ีสดีความร่วมมือและบูรณาการ แบ่ง ออกเป็น 4 แนวทาง ดังน้ี เเนวทางสหพันธ์รัฐนิยม (Federalism) สหพันธ์รัฐนิยมเน้นบูรณาการเชิงนิตินัยและมีลักษณะเป็น สถาบัน โดยมองว่าการที่รัฐไม่ตกอยู่ใต้กฏหมายใดใดจะทาให้เกิดสภาวะไร้ระเบียบและนาไปสู่สงครามดังน้ัน จึงควรให้รัฐต่างๆเข้ามาร่วมตัวเป็นอันหน่ึงอันเดียวในลักษณะเดียวกันกับท่ีเกิดในสหรัฐอเมริกาและ สวิตเซอร์แลนด์ซึ่งมีการจะลองแบบสหพันธ์รัฐนิยม แนวทางสหพันธ์รัฐนิยมต้องการให้มีการจัดต้ังสหพันธ์รัฐ ทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก โดยการจัดองค์การเหนือรัฐ(Supranational State) เพ่ือให้รัฐท่ีเข้ามา ร่วมกันได้รับประโยชน์ตอบแทนจากการป้องกันศัตรู ตลอดจนการมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่และมี ประสิทธิภาพ แนวทางพหุนิยม(Pluralism) แนวทางพหุนิยมมองว่าบูรณาการระหว่างประเทศเกิดจากความรู้สึกที่ ใกล้ชิดเป็นมิตร การสื่อสารคมมนาคมและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐท่ีใกล้ชิดกัน จนทาให้เห็นว่าสงคราม ไม่ใช่สิ่งท่ีควรนามาใช้ในการยุติความขัดแย้ง ปัจจัยสาคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางพหุนิยม คือ ความสัมพันธ์ ทางการค้า การอพยพเคล่ือนยา้ ยผ้คู น ส่อื สารคมมนาคม การตดิ ต่อระหว่างผนู้ า โดยหากการติดตอ่ ระหว่างรัฐ มีความเข้มข้นในระดับที่มองเห็นผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว การบูรณาการท่ีมีประสิทธิภาพจะต้องเกิดข้ึนเพื่อ กระจายความม่ันคงและความม่ังคง่ั ให้กบั รฐั ต่างๆบนพ้ืนฐานของความไว้วางใจซ่ึงกนั และกัน ดังนัน้ แนวทางพหุ นิยมจึงไม่ให้ความสาคัญกับการสละอานาจอธิปไตยของรัฐและการจัดต้ังองค์การเหนือรฐั ข้ึนส่งผลให้แนวทาง ดงั กล่าวไดร้ ับความนิยมอยา่ งแพร่หลายในการจัดตัง้ สถาบนั ระหว่างประเทศ

แนวทางภารกิจนิยม (Functioalism) แนวทางภารกิจนิยมเน้นการจัดตง้ั สถาบันระหว่างประเทศเพ่ือ นาไปสู่การบูรณาการท่ีสอดคล้องกับความต้องการทางด้านเศรษฐกิจและสังคม คือ แนวทางด้านสวัสดิการ สังคม และความร่วมมือทางเทคนิค การจัดต้ังสถาบันเพ่ือบูรณาการนั้นควรเน้นให้โครงสร้างและขอบเขต อานาจของสถาบนั เหมาะสมกับการปฎบิ ตั ิภารกจิ ในระดับตา่ งๆนักคิดภารกิจนิยมเชือ่ ว่าหากสถาบนั ในลกั ษณะ ดังกล่าวได้ก่อตัวข้ึนสงครามจะถูกแทนที่โดยสันติภาพโดยรัฐต่างๆจะเห็นประโยชน์ของความร่วมมือในการ แก้ไขปัญหาทางสงั คมและเศรษฐกจิ อนั นามาซ่ึงสันติภาพและความผาสุขที่เเท้จริง เดวิน มิทรานี (David Mitrany) เป็นผู้ให้กาเนิดทฤษฎีความร่วมมือและบูรณาการแนวทางภารกิจ นิยม มิทรานีอธิบายว่าการพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกันในรูปของความสัมพันธ์ข้ามชาติจะทาให้เกิดสันติภาพ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และด้านเทคนิคจะเพ่ิมข้ึนคาบประเทศได้รับผลประโยชน์ร่วมกันในการปรับปรุง ด้านสวัสดิภาพ ซ่ึงจะทาให้ประชาชนยอมสละความสุขน่ารักดีจากนั้นมาสู่องค์การระหว่างประเทศในท่ีสุดการ พ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจจะนาไปสู่การร่วมมือทางการเมือง หรือ บูรณาการทางการเมืองได้ นาไปสสู่ ันตภิ าพอย่างแทจ้ ริง แนวทางภารกิจนิยมใหม่ (Neo-Functionalis) ภารกิจนิยมใหมพ่ ัฒนาจากแนวทางภารกิจนิยมโดยม วา่ บูรณาการจะดาเนินไปได้ดว้ ยดีโดยการปฏิบัติหรือมีธรุ กิจรว่ มกันจนเกิดนสิ ัยท่ีจะรว่ มมือกันกลุ่มภารกิจนิยม ใหม่จึงยอมรับในการร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมคล้ายคลึงกับกลุ่มภารกิจนิยมแต่ได้ขยายเป้าหมายเป็น การบูรณาการไปสู่การเกิดขึ้นขององค์การเหนือรัฐ(Supranational State)ดังนั้นเป้าหมายสูงสุดของแนวทาง ภารกิจนิยมใหม่ซอ้ื การจดั ตง้ั องคก์ ารท่ีมีอานาจเหนือรัฐเหมือนกบั แนวทางสหพนั ธร์ ัฐนยิ ม เอินส์ ฮาส (Ernst Haas) นักคิดสาคัญแนวทางภารกิจนิยมใหม่ ฮาสไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของมิทรานี ท่ีว่า การทาภารกิจดา้ นเทคนิคร่วมกันจะนาไปสู่ความร่วมมือทางการเมือง เเต่ฮานเชือ่ ว่าการรวมกลุ่มเกดิ จาก ความรว่ มมอื ระหว่างผู้นาทางการเมือง โดยถ่ายโอนความจงรกั ภกั ดไี ปใหก้ บั สถาบนั ใหมท่ ี่มอี านาจเหนอื กว่า ทฤษฎีความร่วมมือและบูรณาการจัดเป็นทฤษฎีท่ีส่งอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจทางการเมืองโลกยุค ปัจจุบัน โดยรัฐต่างๆได้พยายามรวมกันภายใต้หลักการภูมิภาคนิยม (Regionalism) เพ่ือธารงไว้ซ่ึงความ รว่ มมือในยุคทเี่ ต็มไปดว้ ยการพึ่งพาซึ่งกนั และกนั อย่างซับซอ้ น โดยตัวอย่างทเ่ี ห็นได้ชัดคือการบูรณาการของสา ภาพยุโรป (EU) ซึ่งประสบความสาเร็จอย่างงดงามในด้านบูรณาการทางเศรษฐกิจเช่น การใช้เงินสกุลยูโร (Euro) และระบบตลาดรว่ มโดยมแี นวโน้มจะพัฒนาไปสู่พัฒนาการทางการเมอื งโดยจดั ตัง้ องคก์ ารเพื่อชาติเพื่อ ดาเนินอะไรโยบายร่วมมือด้านความมั่นคงและการต่างประเทศซ่ึงจัดเป็นตัวอย่างความสาเร็จของการบูรณา การ ตามแนวทางภารกิจนิยมแบบใหม่ ทฤษฎีสานักมาร์กซสิ (Marxism) การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมักถูกขับเคลื่อนโดยทฤษฎีและแนวคิดของโลกตะวันตกซ่ึง จัดเป็นทฤษฎีกระแสหลัก ทฤษฎีสานักสัจนิยมและสานักเสรีนิยมมาอธิบายการเมืองระหว่างประเทศบน พ้ืนฐานของกรอบความคิดแบบตะวันตกซ่ึงอาจไม่สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาของโลกตะวันออกหรือกลุ่ม ประเทศกาลังพัฒนา ดังนั้นจึงเกิดกระแสวิพากษ์เพื่อหักล้างกรอบความคิดของกลุ่มประเทศรวย ด้วยมุมมอง ของประเทศที่อยากเหน็ ความเท่าเทยี มกนั ในสังคมโลกโดยใชท้ ฤษฎสี านักมาร์กซิส ในช่วงศตวรรษท่ี 20 สานัก

มาร์กซสิ กลายเป็นทฤษฎีทางเลอื กที่สาคัญท่ามกลางการปรากฏตัวของทฤษฎีกระแสหลักอย่างทฤษฎีสานกั สัจ นยิ มและทฤษฎีสานักเสรนี ยิ ม18 สมมุติฐานหลักของทฤษฎีสานักมาร์กซิส คือธรรมชาติของเศรษฐกิจโลกเป็นธรรมชาติของความขัดแย้ง ระบบเศรษฐกิจเป็นระบบการขูดรีด(exploitation) และความไม่เข้าเทียมกันระหว่างชนชั้นต่างๆในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชนช้ันนายทุน(bourgeoisie) และชนช้ันกรรมาชีพ(proletariat) ดังน้ัน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจจึงถูกกาหนดโดยผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุนซ่ึงเป็นชนช้ันท่ีมีอิทธิพลมาทาง เศรษฐกจิ และการเมอื ง สมมุติฐานดังกล่าวเมื่อถูกนาไปใช้ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจทางการเมืองระหว่างประเทศ ได้ขยาย ขอบเขตความขัดแย้งระหว่างคนรวยกับคนจน ไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศร่ารวยกับประเทศยากจน ภายใต้ระบบทุนนิยม ซ่ึงสานักมาร์กซิสมองว่าเป็นลักษณะแห่งการเอารัดเอาเปรียบ จุดเด่นของทฤษฎีสานัก มาร์กซิส คือ การให้ความสาคัญกับประเด็นทางเศรษฐกิจและ การมองโลกของกลุ่มประเทศยากจนซ่ึงมักถูก ครอบงาโดยประเทศร่ารวย เเนวคิดมาร์กซิสจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการวิเคราะห์ความขัดแย้งระหว่าง ประเทศในกรอบเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศกาลัง พัฒนาในเเถบเอเซีย แอฟริกา เเละ ลาตินอเมริกา และจุดอ่อนที่สาคัญของทฤษฎีสานักมาร์กซิส คือการให้ ความสาคัญกับประเด็นทางเศรษฐกิจมากเกินไปโดยละเลยปัจจัยอ่ืนๆตลอดจนการเน้นแต่กลุ่มประเทศท่ีถูก เอารัดเอาเปรียบซ่ึงแท้ที่จริงแล้วการเอารัดเอาเปรียบเป็นเร่ืองปกติทั่วไปแม่ในกลุ่มประเทศยากจน ซ่ึงทาให้ ลัทธมิ าร์กซิสไม่ได้รับความนิยมในกลุ่มประเทศทางตะวันตก นอกจากนก้ี ารให้ความสาคญั กบั สาเหตุแห่งความ เหลื่อมล้ามากเกินไป โดยละเลยการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมยังถือว่าเป็นจุดอ่อนอีก ประการ นักคดิ สานักมารก์ ซสิ ในบรรดานักคิดสานักมาร์กซิส คาร์ล มาร์ก (Karl Marx,1818-1883) จะเอาว่าเป็นบิดาแห่งลัทธิ คอมมิวนิสต์ และเป็นนักคิดท่ีมีอิทธิพลสูงสุดคนหน่ึงในสานักมาร์กซิส มาร์กกล่าวว่าวัตถุ เป็นตัวกาหนด เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ กรรมวิธีและความสัมพันธ์ในการผลิตเป็นพลังขับเคลื่อนความสาคัญของ ประวัติศาสตร์ มาร์ก เเละ เฟรดริซ เองเกลส์ (Friedrich Engels,1820-1895) ร่วมกันเขียนCommunist Manifesto ในปี ค.ศ.1848โดยมาร์กเเละเองเกลส์ อธิบายว่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างชนช้ันต่างๆ ในสังคม คือประวัติศาสตรค์ วามขดั แยง้ ทางชนชน้ั (Class Struggles) ระบบทนุ นิยมทาให้เกดิ การขูดรดี การเอา รัดเอาเปรียบและความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนชั้นนายทุน(boutgeoisie) ผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กับ ชนชั้นใต้ปกครอง หรือชนช้ันกรรมาชีพ(Proletariat) ผู้ซึ่งขายแรงงานและได้รับค่าแรงแลกเปลี่ยนเพียง เล็กน้อยกรรมาชีพ มีความรู้สกึ เหมือนต้นเป็นเพียงเครื่องจักรในโรงงาน ในทัศนะของมาร์ก บริษัทถูกครอบงา ด้วยความขัดแย้งระหว่างชนชั้นต่างๆในสังคมด้วยการเอารัดเอาเปรียบของชนช้ันนายทุน 10 นาทีอานาจทาง เศรษฐกิจและการเมือง ดังนั้นจาเป็นต้องปฏิวัติเปล่ียนแปลงสังคมด้วยการล้มล้างชนชั้นนายทุนจะสร้างความ 18 Charles W.Kegley JR. and Eugene R.Wittkopf,op.cit.,pp.34.

เท่าเทียมทางชนชัน้ และสังคมจะไปการเปล่ียนแปลงจากสังคมทุนนยิ มไปสู่สังคมแบบสังคมนิยม ภายใต้สังคม นิยมการกดข่ีเอารัดเอาเปรยี บจะหมดส้ินไป ไม่มีการแบ่งแยกทางชนชั้น ดงั น้ันจึงไม่มีคนรวย คนจน เนื่องจาก ทกุ คนมีความเทา่ เทยี มกันและมวลมนุษยชาติดารงชวี ิตอยู่อย่างผาสกุ ทฤษฎีสานักมาร์กซิสในบริบททางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกอย่างหนึ่ งว่าสานักโครงสร้างนิยม (Structuralism) ซึ่งเน้นการวิเคราะห์ระบบลูกค้าโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซ่ึงก่อให้เกิดทฤษฎีทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศหลายทฤษฎี ดังตอ่ ไปน้ี ทฤษฎีพงึ่ พา (Dependency Theory) ทฤษฎีพ่ึงพาเป็นทฤษฎีที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีสานักมาร์กซิส ซึ่งนาเสนอโดยนักคิด นักวิชาการของละติน อเมริกา ทฤษฎีพึ่งพาจึงเป็นการผสมผสานแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง เช่นแนวคิดจักวรรดินิยมท่ีมุ่ง วเิ คราะห์ความสัมพันธ์เชิงครอบงาและขูดรีดเอารดั เอาเปรียบระหว่างประเทศพัฒนา(หรือ ประเทศศนู ย์กลาง) แต่ประเทศกาลังพัฒนา(หรือประเทศบริวาร)กันนาเอาแนวคิดเศรษฐศาสตร์โครงสร้างมาใช้ในการอธิบาย ลกั ษณะของการแลกเปลยี่ นท่ไี มเ่ ป็นธรรมระหว่างประเทศอุตสาหกรรมก้าวหนา้ กบั ประเทศเกษตรกรรม ทฤษฎพี ึ่งพิงมีความแตกต่างจากทฤษฎีพง่ึ พาพอถามนักเสรนี ิยม ในแงท่ ่ีวา่ ทฤษฎพี ึ่งพิง จะเน้นหนักไปที่ ความสมั พันธ์ท่ีไม่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศที่ร่ารวยกับประเทศทยาจนบนพน้ื ฐานของการเอารดั เอาเปรียบ ในลักษณะท่ีที่สดีพึ่งพาจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนของตัวแสดงต่างๆบนพ้ืนฐานของความร่วมมือ มากกว่าการเอารัดเอาเปรียบ สาระสาคัญของทฤษฎีพึ่งพิง คือ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดของ ประเทศในโลกท่ีสามหรือประเทศกาลังพัฒนา ท่ีมีต่อประเทศในโลกท่ีหน่ึงหรือประเทศอุตสาหกรรมได้ทาให้ โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศโลกท่ีสามบิดเบียนไปความสัมพันธ์ดังกล่าวได้ กอ่ ใหเ้ กิดการกระจายรายได้และอานาจท่ีไม่ต้องเตรียมกนั บดิ เบือนความหมายของการพัฒนาที่แทจ้ ริง ทฤษฎีพ่ึงพิงชี้ให้เห็นว่าประเทศกาลังพัฒนาไม่สามารถพัฒนาได้เนื่องจากต้องพ่ึงพิงทุน และเทคโนโลยี จากประเทศพัฒนา และสาเหตุของการไม่พัฒนาเลยส่งประเทศกาลังพัฒนาจะเกิดจากการขาดแคลนเงินทุน เทคโนโลยีและความสามารถในการบริหารจัดการ ตลอดจนการถูกบังคับท้ังทางตรงและทางอ้อมให้ดาเนิน นโยบายทางการพฒั นาตามแบบประเทศอตุ สาหกรรมซ่ึงไม่สอดคล้องกบั พ้ืนฐานของกลมุ่ ประเทศโลกที่สามซึ่ง เปน็ ประเทศเกษตรกรรม ดังนนั้ การเอารดั เอาเปรยี บจงึ เกดิ ข้นึ โดยมีกลุ่มประเทศ กาลังพัฒนายงั ต้องพ่ึงพิงการ ลงทุน และเทคโนโลนยีจากประเทศท่ีพัฒนาแล้ว อันส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในโครงสร้างทาง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความขัดแย้งระหว่างประเทศ นักทฤษฎีพ่ึงพิง ประกอบด้วย

อังเดร์ กุนเดอร์ แฟรงค์ อังเดร์ กุนเดอร์ เเฟรงค์ (Andre Gunder Frank) เป็นนักคิดทฤษฎีพ่ึงพิง สังกัดสานักชิคาโก ทางาน วิจัยได้สอนเรื่องการพัฒนาในละตินอเมริกา แฟรงค์ใช้วิธีการศึกษาในทางเศรษฐกิจการเมือง เพ่ืออธิบาย ความสมั พันธใ์ นลักษณะการพ่งึ พิงระหวา่ งประเทศทีย่ ากจนกบั ประเทศร่ารวย โดยสรุปประเด็นสาคัญ ดังนี้ 1) การพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศด้อยพัฒนาไม่อาจใช้แนวทางการพัฒนาแบบตะวันตกได้ท้ังน้ีเพราะ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทุนนิยมกับประเทศกาลังพัฒนาเป็นความสัมพันธ์แบบประเทศศูนย์กลางกับ ประเทศบริวารซ่ึงก็คือความสัมพันธท์ ี่ไม่เท่าเทยี มกนั การพฒั นาของประเทศศูนย์กลางหมายถึงการเติบโตของ ภาวะด้อยพัฒนาในประเทศบริวาร นั่นก็คือการขยายตัวของระบบทุนนิยม กระบวนการพัฒนาประเทศตาม แนวทางทุนนิยมตะวันตกที่ประเทศพัฒนากาลังดาเนินอยู่ ได้สร้างความร่ารวยให้แก่ประเทศศูนย์กลาง (ประเทศทนุ นิยม) แต่กลับสร้างความยากจนให้แกป่ ระเทศบริวาร(ประเทศกาลงั พัฒนา) ดังนั้นในทัศนะของเเฟ รงค์ ถ้าประเทศกาลังพัฒนาจะดาเนินการพัฒนาประเทศ ควรหลีกเล่ียงจากประเทศที่พัฒนาแล้วโดยมุ่งเน้น การพัฒนาเศรษฐกิจด้วยตนเอง ไมพ่ ึง่ พงิ การพฒั นาจากประเทศทุนนยิ ม 2) การพัฒนาของประเทศกาลังพัฒนาจะเกิดขึ้นได้ถ้าประเทศกาลังพัฒนาสามารถปลดเปลื้องภาระ ผูกพันจากประเทศทุนนยิ มตะวันตก 3)ความขดั แย้งในระบบทุนนิยมโลกจะขอให้เกิดการต่อสู้ระหวา่ งชนชัน้ นายทุนซึ่งเป็นชนช้ันปกครองกับชนชั้น กรรมชพี ที่ถกู ขูดรีดสถานการณค์ วามขัดแย้งระหวา่ งชนชน้ั สามารไปสกู่ ารปฏวิ ัตสิ งั คมนิยมในทส่ี ดุ ดอส ซานโตส ในทัศนะของ ดอส ซานโตส(Dos Santos)ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศร่ารวยกับประเทศยากจนมี ลักษณะของการพงึ่ พงิ 3 รปู แบบคือ19 1) การพ่งึ พงิ ในยุคอาณานคิ ม ซ่งึ นายทุนร่วมมอื กบั รฐั ผกู ขาดการคา้ กบั ประเทศอาณานคิ ม 2) การพึ่งพิงด้านการเงินโดยประเทศศูนย์กลาง หรือประเทศร่ารวย ผูกขาดการลงทุนในอุตสาหกรรม การผลติ วัตถดุ บิ ของประเทศบริวาร หรือประเทศยากจน 3) การพ่ึงพิงในยุคหลังสงครามโลกครัง้ ท่ี 2 โดยประเทศบรวิ ารพ่งึ คงิ บรรษัท ขา้ มชาติในด้านเทคโนโลยี ท่ที นั สมัยเพ่ือใช้ในการผลติ และซื้อวัตถุดิบทีใ่ ช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ซ่ึงประเทศบริวารผลติ เองไมไ่ ด้ สง่ ผลให้เกิด ภาวะการขาดดุลการค้าในประเทศบรวิ าร ในลกั ษณะท่ีบรรษัทข้ามชาติส่งผลกาไรกลับไปยังประเทศศนู ย์กลาง ปัญหาการขาดดุลการค้าในประเทศบริวารทาให้ต้องอาศัยทุนจากต่างประเทศจึงนาไปสู่การกู้เงินจาก ตา่ งประเทศ ซานโตร เรียกความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศศูนย์กลาง และประเทศบริวารว่า การพ่ึงพิงแบบใหม่ (New-Dependentistas) ซานโตร อธิบายเพ่ิมเติมว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยากจนถูกกาหนดเล่ือนไขโดยการพัฒนาและการ ขยายตัวของกลุ่มประเทศร่ารวย ซึ่งหมายถึงประเทศในโลกท่ีสาม มีลักษณะพึ่งพาท้ังในด้านวัฒนธรรม สังคม 19 Dos Santos, “The Structure of Dependence,” The Political Economy of Development and Underdevelopment, ( New York : Random House, 1973),pp.110-114.

การเมือง และเศรษฐกิจต่อประเทศทุนนิยมตะวนั ตก ไดแ้ ก่ เทคโนโลยีการผลิต สินค้าทุน ทุนเงินตลาดส่งออก และผู้เชี่ยวชาญนอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยากจนและประเทศร่ารวยยังมีลักษณะของ ความสัมพันธ์แบบขูดรีดเอาเปรยี บ คอื ซื้อวตั ถุดิบถูก แรงงานถูก ขายสินค้าสาเร็จรูปแพง ถ่ายโอนรายได้ผ่าน บริษทั ขา้ มชาติ ดงั นนั้ ซานโตส จงึ เสนอแนะวา่ ประเทศโลกทส่ี ามควรดาเนนิ การดงั น้ี 1. พัฒนาโดยการพง่ึ พาตนเองและใช้เทคโนโลยที ่ีเหมาะสม 2. ส่งเสริมความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาของตนเอง และต่อรอง กับประเทศท่ีพัฒนาแลว้ 3. ปฏิรปู ความสัมพนั ธใ์ หม่ระหว่างประเทศท่ีพัฒนาแลว้ กลบั ประเทศกาลงั พฒั นา จดุ ร่วมทางความคดิ เก่ียวกับระบบพึ่งพิง แม้ว่านักทฤษฎีซึ่งพ่ึงพิงจะมีแนวความคิดแตกต่างกันในบางประเด็น แต่สามารถสรุปจุดร่วมทาง ความคดิ สาคญั 3 ประการดังน้ี 1. ภาวะเศรษฐกิจของประเทศกาลังพัฒนามีความผูกพันอยู่กับระบบเศรษฐกิจโลก โดยมีความอุดม สมบูรณ์ท่ีเกิดข้ึนในประเทศทุนนิยมตะวันตก หมายถึงความทุกข์ยากและความอดอยากขาดแคลนเกิดข้ึนใน ประเทศกาลังพัฒนา 2. การเช่ือมโยงระหว่างชนช้ันนาและนายทุนภายในประเทศชั้นนาของใกล้ถึงระหว่างประเทศ เป็นไป อย่างใกล้ชิดและเอ้ือประโยชน์ซึ่งกันและกัน นายทุนต่างชาติจากไม่สามารถครอบงาเศรษฐกิจของประเทศ กาลังพัฒนาได้ ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากชาติเจ้าบ้าน และในทานองเดียวกันในคนสั้นเจ้าบ้านจะไม่ได้รับ ประโยชน์มากนกั ใหค้ วามรว่ มมือกบั นายทนุ ต่างชาติ 3. ผลกระทบในระยะยาวคือ ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันจากระดับระหว่างประเทศไปสู่ความไม่เท่า เทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคมภายในประเทศ กล่าวคือระหว่างกลุ่มชน ระหว่างภูมิภาคและระหว่างสาขา การผลิต อันอาจจะนาไปสคู่ วามขดั แย้งทางชนช้นั และความแตกตา่ งภายในสงั คม ทฤษฎรี ะบบโลก (World System Theory) ทฤษฎรี ะบบโลกจะเป็นทฤษฎีทคี่ ่อนขา้ งมแี บบแผนและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจการเมอื งระหว่างประเทศ อิมมานเู อล วอลเลอร์สไตน์ (Immanuel Wallerstein) ได้เสนอแนวคดิ ซง่ึ มีสารสาคัญ ซือ กระบวนการพัฒนา ของระบบโลก มีจุดสนใจอยู่ท่ีกระบวนการผลิตและการแบ่งงานกันทา โดยระบบโลกต่างกล่าวจะเป็น ตัวกาหนดบทบาทและโครงสร้างทางการผลิต การแบ่งงานและการติดต่อแลกเปลี่ยนอันจะทาให้เกิดสภาวะ ของการแลกเปล่ียนท่ีไม่เท่าเทียมกัน20 โดยกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝร่ังเศส เยอรมนีและอิตาลี จะมพี ลังอานาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในระดับสูง และมีตาแหน่งอยทู่ ี่ศูนย์กลางของ ระบบโลก เรียกว่า รัฐศูนย์กลาง(Core) ส่วนประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่มประเทศท่ี พัฒนาแลว้ แต่มลี ักษณะการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างตอ่ เนอื่ ง เช่น สิงคโปร เขตปกครองพเิ ศษฮ่องกง ไต้หวัน 20 Immanuel Wallerstein, The Modern World System,( New York : Academic Press,2002),pp.25-39.

เกาหลีใต้ จะอยู่ในตาแหน่งเท่าจากกันการซื้อได้อีกอย่างหน่ึงว่ารัฐกึ่งชายขอบ(Semi-Periphery) ในขณะท่ี ประเทศกาลังพัฒนาซึ่งมีความล้าหลังทางเทคโนโลยีการผลิต เช่น กลุ่มประเทศในแอฟริกาและลาตินอเมริกา จะอยู่ในตาแหน่งรอบนอกสุดซ่ึงเรียกว่ารัฐชายขอบ(Periphery)รัฐศูนย์กลางจะทาหน้าท่ีถ่ายทอดเทคโนโลยี ไปสู่ประเทศชายขอบ ดังน้ันหากพิจารณาในแง่ของกระบวนการพัฒนาทางเศรษฐกิจผสมผสานกับโครงสร้าง การผลิตระหว่างอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม รัฐชายขอบจะไม่สามารถสร้างความเจริญให้เท่าเทียมกับรัฐ อื่นๆได้ ดงั นั้นความไม่เท่าเทียมกันจึงเกิดข้ึนในระบบเศรษฐกิจโลกโดยประเทศกาลังพัฒนาจะถูกครอบงาและ เอารัดเอาเปรียบจากประเทศที่พฒั นาแล้ว ทฤษฎสี ามโลก (Three World) ทฤษฎีสล็อตความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคสงครามเย็น(ค.ศ.1945-1991) โดยแบ่งประเทศต่างๆ ออกเป็นสามกลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มประเทศโลกท่ีหน่ึงท่ีมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นาและยุโรปเรากันตกซ่ึงให้ ความสาคญั กบั อดุ มการเสรนี ยิ มประชาธปิ ไตย กลมุ่ ประเทศโลกทีส่ องท่ีมีสาภาพโซเวียตเป็นผู้นาและรฐั ในกลุ่ม ได้แก่ยุโรปตะวันออกซ่ึงทาให้ความสาคัญของอุดมการสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และกลุ่มประเทศโลกที่สามซึ่งได้ เกดิ กลุ่มประเทศกาลังพัฒนาและประเทศที่ไม่ฝกั ใฝ่ฝ่ายใด (Non Alignment) แตร่ ักกล่มุ ประเทศจะมลี ักษณะ ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นแบบอย่างเฉพาะ โดยหลังจากล่มสลายของสหภาพโซเวียตและการสิ้นสดุ ของ สงครามเย็น อิทธิพลของกลุ่มประเทศโลกท่ีสองได้ลดบทบาทลงอย่างต่อเน่ือง จนมีลักษณะคล้ายคล่ึงกับกลุ่ม ประเทศโลกทสี่ าม เชน่ กลุ่มรัฐเอกราชทแี่ ยกตัวจากสาภาพโซเวียต การแพร่กระจายของทุนนิยมส่งผลให้กลุ่มประเทศโลกที่หนึ่งซ่ึงมักต้ังอยู่ทางซิกโลกเหนือมีอิทธิพลสูง สุดในเวทีเศรษฐกิจการเมืองโลกในขณะท่ีกลุ่มประเทศโลกท่ีสามซ่ึงมักเป็นประเทศกาลังพัฒนาและตั้งอยู่ทาง ซีกโลกใต้ยกเว้น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ตกอยู่ใต้การครอบงาของลัทธิทุนนิยมและการเอารัดเอาเปรียบ จากกลุ่มประเทศโลกท่ีหนึ่ง ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยุคหลังสงครามเย็นได้แปรสภาพเป็น \"ความ ขัดแย้งระหว่างโลกเหนือกับโลกใต้\"(North-Soutrh Conflicts) ซึ่งเป็นปัญหาสาคัญท้ังด้านการค้าและการ พัฒนาระหว่างประเทศ21 เช่น การรวมตัวของกลุ่มประเทศโลกท่ีสามในการเจรจาต่อรองทางการค้าและกลุ่ม ประเทศโลกทีห่ น่ึงภยั ในกลุ่มองค์การการคา้ โลก (WTO) ทฤษฎหี ลังสมยั ใหม่ (Postmodernism) แนวคิดของทฤษฎีหลังสมัยใหม่ยเกิดขึ้นบนรากฐานของ\"ความสงสัย\"มคี วามรู้ ศาสตร์ หรือ คณุ ค่า ที่ถูก สร้างข้ึนอย่างมีระเบียบแบบแผน หรือ ท่ีเคยยึดถือปฏิบัติกันมาแต่เดิม หลักการของทฤษฎีหลังสมัยใหม่ คือ การปฏิเสธการเป็นสากล(universal) ความแน่นอน(certainty) ความเหนือกว่าของอภิปรัชญา(grand narrative) และวิธีคิดที่เชื่อว่าส่ิงท่ีถูกต้องมีแบบเดียวและทดสอบได้(single truth)แต่ทฤษฎีหลังสมัยใหม่ สมยั ใหม่เชือ่ ในเรอื่ งความหลากหลาย ระบบคิดแบบแยกยอ่ ย ความไรระเบยี บของทฤษฎเี ชงิ สังคม 21 Charles W.Kegley JR. and Eugene R.Wittkopf,op.cit.,pp.191-222.

แนวคิดหลังสมัยใหม่เริ่มปรากฏในศตวรรษที่ 20 โดยการปรากฏตัวคร้ังแรกในเร่ืองของศิลปะและ สถาปัตยกรรม ต่อมาทฤษฎีหลังสมัยใหม่ได้รับความสนใจและถูกเล่าขานอย่างแพร่หลายมากขึ้นจนมีการ พัฒนาและขยายไปสู่แวดวงวิชาการ ปรัชญา และการเมือง จนในที่สุดพัฒนาเป็นทฤษฎีหลังสมัยใหม่ ทฤษฎี หลังสมัยใหม่ไม่ใช่เรอ่ื งความจริงแท้แน่นอน ไม่เช่ือว่าสัจธรรมมีเพียงหน่ึงเดียว ดังเช่นไม่เชื่อว่าพัฒนาการของ สังคมมนุษย์มเี ส้นทางเดียวหรือทฤษฎหี ลังสมัยใหม่จะไม่สามารถอธิบายว่าคาตอบที่ถูกต้องคืออะไรแต่คาตอบ ท่ีถูกต้องไม่ได้มีเพียงคาตอบเดียวแต่ข้ึนอยู่กับการตีความ ตัวอย่างเช่น ระบอบประชาธิปไตยหรือระบบทุน นิยม อาจจะไม่ใช่ แนวทางการปกครองทีถ่ ูกต้องหรอื ดีทส่ี ุดสาหรับทุกๆประเทศ นักคิดสาคัญของทฤษฎีหลังสมัยใหม่ ได้แก่ มิเเชล ฟูโกต์(Michel Foucault) ริชาร์ด รอตี(Richard Rorty) อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีหลังสมัยใหม่เป็นอีกทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อสังคมโลกในปัจจุบัน แต่จุดอ่อนของทฤษฎีหลัง สมัยใหม่คือ การขาดระเบียบวิธีและเป้าหมายในการตีความท่ีชัดเจนรวมถึงการขาดข้ันตอนการวิจัยที่เป็น ระบบ สาหรับทฤษฎีของสานักหลังสมัยใหม่ ทนี่ ามาศึกษาในวิชาหลักความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศ คอื ทฤษฎี สตรีนิยม ทฤษฎีการเมืองสีเขียว ทฤษฎีหลังชาตินิยม ทฤษฎีความขัดแย้งทางอารยธรรม ทฤษฎีสันติภาพเพื่อ ประชาธปิ ไตย ทฤษฎีการเมืองเก่ยี วพันและทฤษฎกี ารตดั สินใจ ทฤษฎสี ตรนี ยิ ม (Feminist theory) ท ฤษ ฎี ส ตรีนิ ย มให้ ความส าคั ญ กับ ค วาม เท่ าเที ย มระห ว่างเพศ โด ย พย าย าม ส่งเสริมแ ละย กระดั บ สถานภาพและบทบาททางสังคมของผู้หญิงไม่ให้ต่าต้อยกว่าผู้ชาย สตรีนิยมจึงเห็นว่าความแตกต่างระหว่าง เพศหญิง-เพศชาย ของบุคคลมิได้เป็นเพียงความแตกต่างทางสรีรวิทยาตามธรรมชาติเท่าน้ัน หากเป็นความ แตกต่างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งมนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นด้วย สตรีนิยมมีความเห็นว่าท่ีผ่านมา บทบาทและการมีส่วนร่วมร่วมทางการเมืองมักจะจากัดอยู่ในเพศชาย ดังน้ันเม่ือพิจารณาความเท่าเทียม ระหว่างเพศ เพศหญิงก็ควรมีบทบาทและมีส่วนร่วมทางการเมืองได้เท่าเทียบกับเพศชายเช่นกัน 22 แนวคิด พ้ืนฐานของทฤษฎีสตรีนิยม ได้แก่ ต่อต้านผู้ชายเป็นใหญ่ สตรีนิยมไม่เชื่อว่าเร่ืองผู้ชายเป็นเร่ืองใหญ่เป็นเรื่อง ธรรมชาติทีเ่ ป็นจรงิ ตลอดการ นักคิดทฤษฎีสตรีนิยมต่อต้านระบบคิดด้ังเดิมของสังคมตะวันตกที่มองว่าผู้หญิงเป็นเพียงสัตว์โลกชนิด หน่ึงท่ีมีอารมณ์(emotion) และความสังหรณ์ใจ(intuition) เส้นพื้นฐาน ดังนั้นผู้หญิงจึงไม่มีตัวตนท่ีแท้จริงใน แง่ของจติ วญิ ญาณ และด้วยเหตุนี้จงึ ต้องพ่ึงพาอาศัยผู้ชาย หรือ เป็นส่วนประกอบของส่ิงอื่นเสมอภายใต้กรอบ ของระบบคิดท่ีถือว่าผู้ชายเป็นสทัสถาน(norm) ส่วนผู้หญิงเป็นได้แค่ส่วนประกอบ(complementary) ได้ ส่งผลถึงการปฏิบัติในชีวิตจริง เช่น คนงานท่ีถือเป็นมาตรฐานในกฏหมายแรงงานของสังคมอุตสาหกรรม ตะวันตกเปน็ คนงานทีต่ ัง้ ครรภ์ไม่ได้ 22 สมเกียรติ วนั ทะนะ,อดุ มการณ์ทางการเมอื งร่วมสมยั ,(นครปฐม:โรงพมิ พ์ศนู ย์สง่ เสริมฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ,2544),หน้า 130-144.

ทฤษฎกี ารเมอื งสีเขยี ว (Green Politics Theory) ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งผลให้มนุษย์ทาลายธรรมชาติเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ แนวทางทนุ นิยม ประกอบกบั การเพ่มิ ข้ึนอยา่ งรวดเรว็ ของประชากรส่งผลใหก้ ารศึกษานิเวศวิทยาทางการเมอื ง (Ecopolitics) กลายเป็นประเดน็ สาคัญของนกั การเมอื งระหว่างประเทศสมัยใหม่23 การทป่ี รชั ญาแบบสมัยใหม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจทาใหเ้ กดิ สงครามในรูปแบบต่างๆทง้ั สงครามการทหารและสงครามการคา้ นอกจากนกี้ าร พัฒนาเมืองมหานคร การแข่งขันอาวธุ นิวเคลียร์อ่ะ และการทาลายป่าไม้ ส่งผลให้ส่ิงแวดล้อมตกอยู่ในสภาวะ เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว โดยหากไม่มีการอนุรักษ์และฟื้นฟูสง่ิ แวดล้อมอย่างเป็นรปู ธรรม ความขัดแยง้ ระหว่าง ประเทศในอนาคตจะมคี วามรุนแรงมากขึ้นดังนั้นหวั ใจสาคัญของทฤษฎีการเมืองสีเขียว คือ การจัดสรรอานาจ และผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมมนุษย์ที่สุด ซ่ึงเป็นต้นแบบของการพัฒนา และมีความ แตกต่างจากทฤษฎีการเมืองแนวสัจนิยม ซ่ึงเน้นแต่การจัดสรรผลประโยชน์ของรัฐต่างๆอันเป็นสาเหตุท่ีอยู่ เบ้ืองหลังสงครามและทฤษฎีการเมืองสมัยใหม่การพัฒนาการเมืองและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเพ่ือความเจริญ ทางวตั ถุโดยละเลยประเดน็ ทางดา้ นจติ ใจและสิง่ แวดลอ้ มอันจดั เปน็ การพฒั นาท่ไี ม่ยั่งยืน การเมืองสีเขียว หมายถึงกระบวนทัศน์ใหม่ท่ีแสดงออกทางการเมืองโดยให้ความสาคัญสาหรับความ ยัง่ ยืนของธรรมชาติ ยดึ หลักความเสมอภาคพ้ืนของสงั คมมนุษย์และธรรมชาตโิ ดยการปรบั เปล่ียนความสมั พนั ธ์ ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติโดยมุ่งให้มนุษย์อ่อนโยนไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ในขณะเดียวกันความสัมพันธ์ ระหว่างมนษุ ย์กับมนุษย์ดว้ ยกันมีลักษณะ เอื้อเฟือ้ โอบอ้อมอารี ฝกึ ฝนพฒั นาคุณค่าภายในของตนอันจะนาไปสู่ สงั คมแหง่ ความสงบสขุ ปรชั ญาของการเมอื งสีเขยี ว มสี าระสาคญั ดงั ตอ่ ไปนี้24 1.ความสัมพันธร์ ะหวา่ งมนุษยก์ ับธรรมชาตใิ นลกั ษณะของความเกื้อกูลโอบอารตี ่อกนั 2.ปรับเปลีย่ นจาก\"โลกทศั น์มนุษย์เป็นศนู ย์กลาง\"ไปสู่\"โลกทัศน์แบบธรรมชาตเิ ปน็ ศนู ย์กลาง\" 3.ให้ความสาคัญกับการกระจายอานาจพัฒนาการเมืองท้องถ่ิน เนื่องจากท้องถ่ินเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับ ผลกระทบจากปญั หาส่ิงแวดล้อม เปน็ ผูร้ ปู้ ญั หาของท้องถ่ินได้ดกี วา่ 4.ยดึ หลกั ความเสมอภาคทางเศรษฐกจิ สังคม และส่งิ แวดล้อม 5.ไม่เน้นกับชะนีช้ีวัดทางเศรษฐกิจ เชน่ GDP GNP แต่ให้ความสาคัญเรื่องคุณภาพชีวิตและความย่ังยืน ของธรรมชาติ 6.อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนิเวศวิทยา การใช้ทรัพยากร ตนเองและสร้างเครือข่ายชุมชนท้องถ่ินแบบ นิเวศน์ ทฤษฎีการเมืองสีเขียวมีจุดเรม่ิ ต้นจากกระบวนการทางสังคมที่เคลื่อนไหวเรียกร้องหนักหลายดา้ นได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสิทธิสตรีด้านสิทธิทางการเมือง ซึ่งแตกต่างจากจุดเร่ิมต้นของทฤษฎีการเมืองอื่นท่ีเกิด จากแนวคิดและข้อเสนอของนักคิด ดังเช่น ทฤษฎีสานักมาร์กซิสถือกาเนิดจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมือง 23 Francis A.Beer,Peace against War :The Ecology of International Violence, (San Francisco : Freeman,1981),pp1-5 24 จฑุ าทิพ คล้ายทบั ทิม,การเมืองเร่ืองสิ่งแวดล้อม, (กรุงเทพมหานคร : ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรห่งประเทศไทย,2550).หน้า 73-74.

ของคาร์ล มาร์กซ์ เพื่อพิจารณาจากตาแหน่งของทฤษฎีการเมืองสีเขียวแม้จะมีอายุน้อยเพียง 3 ทศวรรษเศษ แต่ก็ถือว่าเป็นทฤษฎีการเมืองท่ีน่าสนใจและน่าจับตามองเป็นอย่างย่ิงเน่ืองจากอุดมการณ์การเมืองสีเขียวเป็น แนวทางการเมืองทางเลือกที่สามารถนาไปแก้ไขปัญหาวิกฤตทางด้านสิ่งแวดล้อม และปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สงั คมทีก่ าลังท้าทายโลก ณ ปจั จบุ ันอดุ มการณ์การเมอื งสีเขียวถือกาเนดิ จากแนวคิดหลกั 2 ประการ คือ การปรับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ให้มีลักษณะของความโอบอ้อมอารี อ่อนโยน ไม่มุ่ง เอาชนะ เบียดเบยี นหรือทาลายธรรมชาติ แนวคิดอีกประการของทฤษฎีการเมืองสีเขียวคือ การยอมรับในเร่ืองข้อจากัดของการเติบโต(limits to growth) ที่ยอมรับว่าการเรียนเรอื่ งธรรมชาติโดยการนาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประมงให้เกิดการเติบโตทาง เศรษฐกิจในท่ีสุดแลว้ ทรัพยากรจะร่อยหรอลดลง เส่ือมโทรมจนหมดไปในท่ีสดุ ถ้ายังคงล้างผลาญใชท้ รัพยากร อะไรในที่สุดความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศจะเป็นแรงกดดันและก่อให้เกิดข้อจา กัดของการเติบโตทาง เศรษฐกิจ25 หรืออาจกล่าวได้ว่า ความเสื่อมโทรมของต้นทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมจะนาไปสู่ข้อจากัดของการ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ นั่นเอง ทฤษฎหี ลังชาตนิ ิยม (Post Nationalism Theory) ลทั ธิชาตนิ ิยมจัดเป็นแนวคิดท่ีมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการเมอื งระหว่างประเทศต้ังแตอ่ ดีตจนถึงปัจจุบันแต่ปัญหา การปักปันเขตแดนท่ีไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางชาติติพันธ์และวัฒนธรรมของประชากรบางกลุ่มได้ กลายเป็นสาเหตุสาคัญของสงครามการเมืองและความขัดแยง้ ระหว่างประเทศ เชน่ กลุ่มกบฏเชชเนียในรัสเซีย กลุ่มปาเลสไตย์ในอิสราเอล และกลุ่มกบฏชาวเคิร์ด ในอิรักและตรุ กี การแพร่กระจายของกระบวนการโลกาภิ วัตน์และการส้ินสุดของสงครามเย็นส่งผลให้รัฐท่ีท้องถ่ินนิยม(Localism) กลายเป็นปัจจัยสาคัญที่ส่งผลให้ ความขัดแยง้ ทางชาติพันธ์กลายเป็นประเดน็ สาคัญของระบบโลกยุคหลังสงครามเยน็ แต่อย่างไรก็ตามผมนกั คิด หลังสมยั ใหม่และพยายามเสนอแนวคิดที่ขยายขอบเขตไปไกลกว่าชาตินิยมได้ท้องถ่ินนิยม ซ่ึงเป็นจุดเรมิ่ ต้นใน การปรากฏตัวของแนวคิดหลังชาตินิยมแม้ว่าความสลับซับซ้อนของระบบระหว่างประเทศจะส่งผลให้หน่วย การวิเคราะห์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล(Government) ไปสู่ภาคประชาสังคม(Governance or Civil Society) อันส่งผลให้ประชาชนหันมาให้ความสาคัญกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถ่ินมากกว่า ความเป็นรัฐชาติโดยรวม เช่น การที่ประชาชนในสามจังหวัดใช้แดนภาคใต้ของไทยเรียกร้องให้มีการยอมรับ ความแตกต่างและเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาพื้นที่ตามวิถีทางแห่งท้องถ่ินมากขึ้น นักคิดหลังชาตินิยมกลับเพ่ิมจุดเน้นท่ีสาคัญกว่าลัทธิชาตินิยม ที่กาลังถูกลดความสาคัญอย่างต่อเน่ืองโดยการ กระจายของข้อมูลข่าวสารและการรวมกลุ่มระหว่างประเทศส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์หลังชาตินิยมซึ่งมี ลักษณะ 2 รูปแบบคอื 1.การทีป่ ระชาชนหันมารกั ษาวัฒนธรรมดงั้ เดิมของพื้นฐานของวฒั นธรรมสากล เชน่ การปรับตัวของคน เกาหลใี ต้ในสงั คมโลกาภิวตั น์ ซง่ึ ทาให้รัฐท่ีชาตินิยมมรี ะดบั ความเขม้ ขน้ น้อยลง 25 Neil Carter, The Politics of the Environment : Ideas, Activism, Policy, (Cambridge : Cambridge University Press,2004),p.63.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook