รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ โครงการ การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 โดย นายไพสฐิ พาณชิ ย์กลุ และคณะ กรกฎาคม 2560
สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ โครงการ การลดความเหลื่อมลา้ ผ่านกระบวนการยตุ ิธรรม อาจารยช์ ยั วัฒน์ ถริ ะพันธ์ุ ท่ปี รึกษาโครงการ ดร. สมศักดิ์ สุขวงศ์ สถาบนั การเรียนรู้และพฒั นาประชาสงั คม (Civic Net) ดร. เพม่ิ ศักดิ์ มกราภิรมย์ ศนู ยว์ นศาสตรช์ ุมชนเพอื่ คนรกั ปา่ (RECOFTC) ดร. สุนทรยี า เหมอื นพะวงศ์ ศูนยศ์ กึ ษาและพฒั นาสนั ติวิธี มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล นายชาญเชาว์ ไชยยานกุ ิจ ผ้ชู ว่ ยผูพ้ ิพากษาศาลอทุ ธรณ์ อาจารยช์ พู ินจิ เกษมณี ปลัดกระทรวงยตุ ธิ รรม นายอุบล อยู่หวา้ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทร์วโิ รฒ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ปิยะ กจิ ถาวร ผู้ประสานงานเครือขา่ ยเกษตรกรรมทางเลอื ก รองเลขาธกิ าร ศอ.บต. นายไพสิฐ พาณยิ ช์กลุ หวั หนา้ โครงการและนกั วจิ ยั คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ดร. กฤษฎา บญุ ชัย คณะผูว้ จิ ยั อาจารยว์ ทิ ยา อาภรณ์ นกั วิชาการอสิ ระ คุณโอฬาร ออ่ งฬะ สานกั วชิ าศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยวลยั ลักษณ์ รศ.ดร.ณฐั พงศ์ จิตรนริ นั ดร์ มูลนธิ เิ พอ่ื การพฒั นาทย่ี ่ังยนื (ภาคเหนอื ) ดร.ณรุจน์ วศนิ ปิยมงคล คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ นางสาวศศวิ ิมล เสมอใจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยอบุ ลราชธานี นายเขมชาติ ตนบญุ นักวิจยั อิสระ นางสาวสรชา สันตตริ ัตน์ คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ผศ. ดร.พรชัย วสิ ทุ ธิศักดิ์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นางสาววราลกั ษณ์ นาคเสน คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ สนับสนนุ โดยสา้ นักงานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ัย (สกว.) ฝา่ ยวจิ ยั เพื่อท้องถิ่น (ความเหน็ ในรายงานนีเปน็ ของผ้วู จิ ยั สกว. ไมจ่ า้ เป็นต้องเห็นดว้ ยเสมอไป)
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 บทสรุปสำหรับผู้บริหำร จุดเริ่มต้นของชุดงานโครงการกระบวนการยุติธรรมเพ่ือลดความเหล่ือมล้า มาจากค้าถาม พนื ฐานที่ว่า สกว. ในฐานะท่ีเป็นหน่วยงานส่งเสริมการศึกษาวิจัยมาเป็นระยะเวลานาน พอจะมีค้าตอบ เพอ่ื ใช้ในการแก้ปญั หาพืนฐานของประเทศท่ีมีมายาวนาน และในปัจจุบนั ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึน บ้างหรอื ไม่ ค้าถามดังกล่าวนี เป็นค้าถามท่ีสะท้อนแง่มุมในการตอบค้าถามหลายประการ เช่น ถ้ามองใน เชงิ วธิ กี ารท่จี ะนา้ ไปใช้ในการแก้ปัญหา ค้าตอบก็จะเปน็ ประการหนึ่ง แต่ถา้ มองในแงท่ วี่ ่าปัญหาเกิดจาก อะไร โครงสร้างของปัญหาเป็นอย่างไร ส่ิงท่ีเป็นปัญหามันท้างานอย่างไร ค้าตอบก็ต้องเป็นอีกชุดหนึ่ง อีกลักษณะหนึ่งของการตอบ และถ้าถามถึงในเชิงประเมินว่า รัฐก็แก้ปัญหามามากมาย มีหลาย หน่วยงานท่ีรับผิดชอบอยู่ มีนโยบายชัดเจน มีแผนต่างๆ มากมายทังในระดบั ชาติ ระดับกระทรวง เป็น ต้น แต่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ค้าตอบในเชิงของการประเมินก็จะเป็นอีกลักษณะหน่ึง ค้าถามทังหลายดังท่ี กล่าวมาพอสังเขป เป็นค้าถามท่ีชุดงานโครงการกระบวนการยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้า น้ามาขบ คดิ ออกแบบ และพยายามแสวงหาทางออกของค้าถาม เงื่อนไขส้าคัญท่ีโครงการนีถูกผูกโยงไว้ก็คือ การจะแสวงหาค้าตอบของค้าถามที่วา่ เราจะท้าให้ กระบวนการยุติธรรม เป็นกระบวนการใช้อ้านาจน้าไปสู่การลดความเหลื่อมล้า โดยต้องสกัดมาจาก node หรือ จากงานที่ สกว. มีองค์ความรู้อยู่ ดังนัน จากค้าถามและเงื่อนไขพืนฐานดังกล่าว จึงน้ามาสู่ ประเด็นเฉพาะวิธีการตอบค้าถาม ไม่ใช่วิธีการศึกษาโดยดูจากบทบัญญัติกฎหมาย ซ่ึงเป็นวิธีการที่นัก กฎหมายส่วนใหญ่แสวงหาค้าตอบ และเพ่ือต้องการหลักประกันว่าค้าตอบจะต้องเป็นค้าตอบที่สามารถ ปฏิบัติไดจ้ ริง ขยายผลได้ และสามารถที่จะแก้ปัญหาเร่ืองความเหล่อื มลา้ ได้ด้วย จึงทา้ ให้เป็นค้าถามยาก ขึนไปอีกระดับหน่ึง แต่เป็นค้าถามที่แหลมคมและท้าทายมิติต่างๆ มากมายที่เก่ียวข้องกับกระบวนการ ยุติธรรมต่อคนท่ีเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม ว่ากันตังแต่ ความรู้ วิธีคิด ของบุคลากรใน กระบวนการยุติธรรม ไปตลอดถึง ตัวระบบของกระบวนการยุติธรรม และที่ส้าคัญท่ีสุดก็คือ ความคิด ความรู้สึกของคนในสังคม ในฐานะผู้ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบทังทางตรงและทางออ้ ม ว่ามีความรู้สกึ อย่างไรตอ่ กระบวนการยุติธรรม และมีความรู้ความเข้าใจและความเช่ือมโยงเก่ียวข้องกับความเหล่ือมล้าอย่างไร ด้วยเหตุนี ดังนันในการพัฒนาโจทย์จึงมีชุดความคิดหลักท่ีเป็นองค์ประกอบส้าคัญท่ีจะเกี่ยวข้องกับ โครงการนีประกอบด้วย 1. ชุดควำมรู้จำกงำนวิจัยท้องถิ่น 2. กรอบควำมคิดที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนกำรยุตธิ รรม และ 3. ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ เกี่ยวกบั ควำมเหลอื่ มลำ การสังเคราะห์งานวจิ ัยกระบวนการยุติธรรมเพ่ือลดความเหลื่อมล้า จะสังเคราะห์ในสามระดับ ซึ่งประกอบด้วย 1.กำรสังเครำะห์ในระดับชุดควำมคิด 2. กำรสังเครำะห์กระบวนกำร 3. กำร สังเครำะห์ในระดับปฏิบัติกำรภำยใต้ชุดโครงกำร เพื่อตอบโจทย์ส้าคัญท่ีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างการ ก
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผ่านกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 ใช้อ้านาจท่ีไม่ยุติธรรมของระบบกฎหมายท้าให้เกิดความเหล่ือมล้าในสังคม อย่างไร และทางออกใน การลดความเหลอ่ื มลา้ ผ่านทางระบบความยตุ ิธรรม ควรจะเป็นอย่างไร กำรสังเครำะห์ชุดควำมคิดในทำงกฎหมำยเพ่ืออธิบำยควำมสัมพันธ์กำรใช้อำนำจท่ีไม่ ยุติธรรมกบั ปัญหำควำมเหลอ่ื มลำ และทำงออกของปัญหำควำมเหลอ่ื มลำผำ่ นกระบวนกำรยุตธิ รรม ประเด็นท่ีหนึ่ง จากการทบทวนงานเอกสารท่ีเก่ียวข้องทังโดยตรงและโดยอ้อมในประเด็นเรื่อง ควำมยตุ ิธรรมกบั ควำมเหลอื่ มลำ สำมำรถท่จี ะเห็นขอบเขตของควำมคิดในกระบวนกำรยุติธรรมท่ีมี ทำ่ ทีต่อปญั หำควำมเหลื่อมลำ ทส่ี า้ คญั ดังต่อไปนี 1. งานศึกษาที่เป็นเร่ืองกระบวนการยุติธรรมกับความเหลื่อมล้า ยังเป็นการมองสภาพปัญหา เป็นแบบภาพกว้างและตืนๆ ยังไม่สามารถที่จะระบุข้อมูลที่เป็นผลกระทบ อันเกิดจากการใช้อ้านาจ ในทางกฎหมายท่ีไม่เป็นธรรมได้อย่างเปน็ รูปธรรม (เม่อื เปรียบเทยี บกบั ในกรณีกฎหมายและขนั ตอนใน ระบบราชการ ที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ ซึ่งสามารถค้านวณออกมาเป็นค่าเสี่ยงโอกาส ค่าดอกเบีย ต้นทนุ ในการประกอบการ และคา่ เสยี หายในรูปแบบอน่ื ๆ ท่ไี ม่อยใู่ นรปู ของตวั เงิน) การท่ีเป็นเชน่ นี เป็นเพราะความคิดทางกฎหมายไม่เคยถูกตงั ค้าถาม เพ่อื ใหค้ ิดหรือตอบค้าถาม เก่ียวกับผลกระทบที่เกิดจากระบบกฎหมายมาก่อน ดังเช่น ในประเทศท่ีระบบกฎหมายถูกตังค้าถาม มากมายและจรงิ จงั ทังจากสังคมและระบบทุน เช่น ในประเทศทีม่ ีการวัดความมีธรรมาภิบาลหรือการวดั ความมีหลักนิตธิ รรม และในขณะเดียวกัน ประเด็นเร่อื งความไม่เปน็ ธรรม (ทางสงั คม) และหรือความไม่ ยุติธรรมในทางกฎหมายไม่ได้จ้ากัดอยู่แต่เพียงว่า เป็นหน้าท่ีหรือเป้าหมายในการใช้อ้านาจใดอ้านาจ หน่ึงของรัฐ (นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ) โดยเฉพาะดังเช่นท่ีสังคมไทยเข้าใจ แต่ความไม่ยุติธรรม ความไม่เป็นธรรมมีความหมายเป็นเนือเดียวกันกับความไม่เสมอภาค ความเหล่ือมล้าด้วยอย่างท่ีไม่ สามารถแยกกันออกได้ 2. ชุดความคิดในทางกฎหมาย (เท่าที่มใี ห้ทบทวน) จะใหค้ วามส้าคัญกับวิธกี ารแก้ปญั หาในเชิง รูปแบบ/กระบวนการเฉพาะในทางกฎหมายมากกว่าท่ีจะให้ความส้าคัญที่เนือหา เช่น เพ่ือต้องการ แก้ปัญหาในทางกฎหมายก็ตอ้ งแก้กฎหมายหรือเสนอให้มีพระราชบัญญัติ หรือกฎหมายล้าดับรองตา่ งๆ ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะไปแก้ไขปัญหาความเหล่ือมล้าในประเด็นเฉพาะนันๆ ได้เลย เนื่องจากกฎหมายที่ บัญญัติออกมานัน ไม่ได้ไปแก้ไขโครงสร้างและกลไกท่ีท้าให้ไม่เกิดการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างของระบบราชการท่ีมีหน้าที่ตามกฎหมาย หรือผู้ที่ตกอยู่ภายใต้ความเหล่ือมล้าก็ไม่สามารถท่ี จะข้ามพ้นความกลัว ความไม่พร้อมท่ีจะลุกขึนมาแกป้ ัญหาของตน ซง่ึ มกี รณีตวั อย่างต่างๆ มากมาย ท่ีมี การเรียกรอ้ งใหม้ กี ฎหมาย แต่กฎหมายเหลา่ นันไมส่ ามารถทีจ่ ะบังคบั ได้ หรือ ไมม่ ผี ู้ทต่ี กอย่ภู ายใต้ความ เหลื่อมล้ามาใช้สทิ ธติ ามกฎหมาย ซึ่งสามารถท่ีจะสะท้อนให้เห็นความคิดท่ีไม่เช่อื มั่นในระบบกฎกติกาของสังคมที่เรียกว่า ระบบ กฎหมายวา่ จะสามารถใชแ้ ก้ปัญหาความเหล่ือมลา้ ใหไ้ ด้ ข
รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 แต่อย่างไรก็ตาม แม้ที่ผ่านมาจะมีกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติบางฉบับเกิดขึน แต่ก็ไม่ สามารถที่จะแก้ไขปัญหาความเหล่ือมล้าได้ก็ตาม แต่การมีพระราชบัญญัติที่จะปรับโครงสร้าง ก้าหนด รูปแบบวิธีการกระบวนการต่างๆ เพ่ือลดความเหล่ือมล้าก็ยังมีความจ้าเป็น แต่จะต้องเป็น พระราชบญั ญัตทิ บ่ี รู ณาการทกุ มติ ขิ องการลดความเหลื่อมล้าเข้ามาอยู่ในกลุม่ กฎหมายนี 3. การไม่มีพิมพ์เขียวของระบบกระบวนการยุติธรรม ท่ีสอดคล้องกับบริบทและสภาพของ สังคมไทย ทังนี เน่ืองจากประเด็นการปฎิรูปกฎหมาย การปฎิรูปกระบวนการยุติธรรมเอง เป็นการ ดา้ เนินการที่มีลักษณะค่อยๆ เปน็ ค่อยๆ ไป ท้าเป็นงำนเสริมของระบบรำชกำรปกติ และเม่ือเชื่อมโยง กบั สถานการณ์สภาพของปัญหาความเหลื่อมล้าเอง ก็ไม่เคยถกู หยิบยกขึนมาเป็นประเด็นทางนโยบายที่ ส้าคัญโดยตรงมาก่อน ดงั นัน จึงเป็นการยากที่จะท้าให้เกดิ การน้าเอาระบบกระบวนการยุติธรรม เพอ่ื มา ลดปญั หาความเหลอ่ื มล้า แต่อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีการกล่าวถึงประเด็นความเหล่ือมล้าในกระบวนการยุติธรรม แต่เพื่อ ความเป็นธรรมก็มิได้หมายความว่า จะไม่มีร่อยรอยหรือช่องทางที่จะท้าให้ผู้ท่ีตกอยู่ในภาวะของความ เหล่ือมล้า ใช้สิทธิต่างๆ ในทางกฎหมายเลย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้ในระบบกฎหมายและใน กระบวนการยุติธรรม จะไม่ได้กล่าวถึงเร่ืองความเหล่ือมล้าเอาไว้ก็ตาม แต่ก็มีเร่ืองหรือประเด็นท่ี ใกล้เคียงกับเร่ืองความเหล่ือมล้าท่ีมีการกล่าวถึงไว้ในกฎหมาย คือ เร่ืองสวัสดิการ เรื่องการเข้าถึงสิทธิ ต่างๆ ของเด็ก คนชรา ผู้ได้รับความรุนแรงในครอบครัว และเร่ิมมีการกล่าวถึงตัวบคุ คลที่อยู่ใน “ภำวะ ยำกลำบำก” ซ่ึงเป็นค้าท่ีมีบัญญัติไว้ในมาตรา 80 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 แต่ก็ ยังเป็นลักษณะของตัวบุคคลมากกว่าตัวโครงสร้างของปัญหาทางสังคม ในทางนโยบายของรัฐก็ เชน่ เดียวกันประเดน็ เชิงนโยบายทกี่ า้ หนดไว้ในระดับนโยบาย คือ ความยากจน และ ผ้ดู อ้ ยโอกาส ด้วยเหตุนันจึงท้าให้การก้าหนดนโยบาย แนวทางการแก้ปัญหา และกฎหมายต่างๆ ท่ีบัญญัติ ออกมา ไปให้ความส้าคัญเพียงด้านใดด้านหนึง่ เช่น ถ้าเปน็ ประเด็นความยากจน ก็จะถกู ให้ความส้าคัญ ในทางดา้ นเศรษฐกิจเป็นหลัก เน่ืองจากกรอบวิธีคิดไปมองเร่ืองของการยังชพี การมีงานท้า การมีรายได้ ท่ีสูงกว่าเกณฑ์เส้นความยากจนจึงจะหายจน แต่ในทางด้านหน้าที่หรือการใช้อ้านาจของรัฐเพ่ือ แก้ปัญหาความยากจน จะต้องเป็นการใช้อ้านาจในการจัดสรร การกระจายท่ีเป็นธรรม ซึ่งสาเหตุ ประการหน่ึงที่ท้าให้กลไกของรัฐ ทังในระดับนโยบายและในระดับปฏิบัติ ไม่สามารถท่ีจะด้าเนินการ ต่างๆเพื่อกระจายหรือจดั สรรที่เป็นธรรมได้ เนอื่ งจากการถูกรวมศูนยอ์ า้ นาจไว้โดยกฎหมาย ดงั นัน ภำยใตช้ ุดควำมคิดของระบบกฎหมำยเช่นนี จงึ ทำให้กำรออกแบบระบบทำงกฎหมำย จึงไปกำหนดให้กลไกของระบบรัฐรำชกำร ต้องไปให้ควำมช่วยเหลือตัวบุคคลต่ำงๆ ท่ีอยู่ในฐำนะ เด็ก คนชรำ ผู้ได้รับควำมรุนแรงจำกครอบครัว ผู้ที่อยู่ในภำวะยำกลำบำก เป็นรำยๆ ซึ่งไม่นำไปสู่ กำรให้ควำมสำคัญในกำรแก้ปัญหำที่สำเหตุในระดับโครงสร้ำง ผลท่ีเกิดขึนก็คือ แม้กฎหมำยจะ รับรองสิทธิจะกำหนดให้เป็นหน้ำท่ีของรัฐ แต่ผู้คนต่ำงๆ เหล่ำนีก็ยังไม่สำมำรถที่จะหลุดไปจำก ค
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอ่ื มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 โครงสร้ำงหรือวงจรอื่นๆ ที่จะดึงไม่ให้หลุดออกไปหรือจะผลักให้ตกเข้ำไปอยู่ในโครงสร้ำงควำม เหลื่อมลำ โดยมกี ฎหมำยตำ่ งๆ และกระบวนกำรยุตธิ รรมเข้ำไปเกี่ยวข้อง ทังโดยตรงและทำงอ้อม ในประเด็นเร่ืองการก้าหนดกลไกทางกฎหมาย มีข้อสังเกตท่ีน่าสนใจส้าหรับในกรณีประเทศ ไทย คือ การปฎิรูปกลไกกระบวนการยุติธรรมภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า นับเป็นการปรับเปล่ียนโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรมครังส้าคัญ ทังนีเป็นเพราะ ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ได้จัดตังศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ ซ่ึงแม้จะเป็นกลไกในการความคุมการใช้อ้านาจ รฐั เพื่อใหเ้ ป็นไปตามบทบัญญัตใิ นทางกฎหมายก็ตาม แต่บทบัญญัตขิ องกฎหมายเหล่านนั ยงั คงเน้นหนัก ไปในทางการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรี บนโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองแบบผูกขาดโดย ทุนใหญ่ท่ีสามารถครอบง้าทังระบบการเมือง ระบบราชการ ระบบส่ือ จึงทา้ ให้การปรบั เปล่ียนกลไกทาง กฎหมายในช่วงระยะเวลาทศวรรษกว่าๆ ที่ผ่านมา จึงไม่มีมิติเรื่องความเหลื่อมล้ามากนัก เพราะ เป้าหมายของการปฎิรูปกลไกของกระบวนการยุติธรรมอยู่ท่ีการสร้างองค์กรใหม่เป็นหลัก แต่ก็มี ความก้าวหน้าในเชิงของกลไกในระดับโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดิน มีการจัดตังกระทรวงการ พฒั นาสงั คมและความมั่นคงของมนุษย์ ซ่ึงมอี ้านาจหน้าท่ีมาดูแลกลมุ่ คนผู้ดอ้ ยโอกาสทังหลาย ซ่งึ ก็จะมี โอกาสทจี่ ะทา้ ใหป้ ระเด็นความเหลือ่ มลา้ มีโอกาสท่จี ะผลกั ไปสู่นโยบายที่ชัดเจนย่งิ ขนึ ตอ่ ไปในอนาคต 4. และภายใตก้ รอบความคิดในระบบกฎหมายและกระบวนการยตุ ิธรรมดังทีก่ ล่าวมาแลว้ ในข้อ 1-3 ในแง่ของการพัฒนางานบุคคลท่ีจะต้องขับเคลื่อนระบบกระบวนการยุติธรรม ยังมีข้อจ้ากัดในด้าน ของการรับรู้ หรือการมองเห็นปัญหาเร่ืองความเหลื่อมล้า โดยยังใช้กรอบคิดเดิมในการคัดเลือกบรรจุ บุคลากรเข้าท้างาน กล่าวคือ ต้องการคนที่มีความรู้ในทางตัวบทกฎหมายเป็นหลัก ในขณะท่ีขอบเขต ภารกิจของงานในกระบวนการยุติธรรม จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนด้อยโอกาส อันเป็นผลมาจาก โครงสร้างของความเหล่ือมล้าทังหลาย จึงท้าให้เกิดช่องว่างของความรู้ระหว่างระบบกระบวนการ ยุตธิ รรม บุคลากรของระบบ และ สถานการณป์ ัญหาความเหลอ่ื มล้าทางสงั คมที่ไม่สมดุลกัน หรือ ไม่เท่า ทันกนั กล่าวโดยสรุปก็คือ หากจะตอบค้าถามที่ว่า กระบวนการยุติธรรมแก้ไขความเหลื่อมล้าอย่างไร และเป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้าหรือไม่ ค้าตอบท่ีมีอยู่ใน ระดับความคิดของกระบวนการยุติธรรมก็คือ ภายใต้ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มีบทบัญญัติของกฎหมายที่รับรองสิทธิให้ทุกคน เท่าเทียมและเสนอภาคกันในทางกฎหมายอยู่แล้ว มีมาตรฐานเดียวกันท่ีใช้ส้าหรับทุกๆ คนอย่างเสมอภาคและยุตธิ รรมตามที่กฎหมายบญั ญัติ และภายใต้ ระบบกระบวนการยุติธรรม นักกฎหมายส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า กระบวนการยุติธรรมเป็นท่ีพ่ึงสุดท้ายให้กับ ทุกๆ คนได้อยู่แล้วภายใต้หลักการของกฎหมายดังกล่าว และหากจะกล่าวถึงความเหลื่อมล้าซ่ึงมี ลักษณะท่ีเป็นนามธรรม ยากท่ีจะจับต้องได้ แตห่ ากมองความเปน็ รูปธรรมของความเหลื่อมล้าแลว้ ก็จะ พบว่า ระบบกฎหมายและกระบวนการยุตธิ รรมก็ท้าหน้าท่ีในการแก้ไขปัญหาตา่ งอยู่แล้ว แมจ้ ะเปน็ การ แก้ไขทเี่ ป็นรายกรณี หรอื เปน็ การแกไ้ ขปญั หาทีป่ ลายเหตกุ ต็ าม ง
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 ดงั นนั ประเดน็ จงึ มีอยูว่ า่ สงั คมคาดหวงั อะไรจากระบบกฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรม และ ตามความคาดหวังดังกล่าวระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จะต้องปรับตัวเปล่ียนแปลงอะไร และอย่างไร เพื่อให้สมดังความคาดหวัง และกล่าวโดยเฉพาะว่า หากต้องการท่ีจะท้าให้กระบวนการ ยุติธรรมเข้ามามีส่วนในการแก้ไขปัญหาความเหล่ือมล้าโดยตรงมากยิ่งขึนแล้ว จะต้องท้าอะไรและ อยา่ งไรบา้ ง ประเด็นท่ีสอง ที่ว่าด้วยบทสังเครำะห์ปัญหำท่ีเกิดจำกกระบวนกำรยุติธรรม (ในปัจจุบัน) มี งานที่ศึกษาเก่ียวกับปัญหาของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยไว้เป็นจ้านวนมาก แต่ในการ สังเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการยุติธรรมในส่วนนีจะให้ความส้าคัญกับ ปัญหาอันเกิดจาก กระบวนการยุติธรรม (ที่เน้นหนักกระบวนการยุติธรรมทางอาญา) ซึ่งเป็นต้นตอหรือสาเหตุของความ เหลือ่ มล้า โดยมสี าเหตุทส่ี า้ คัญๆ ดงั ตอ่ ไปนี 1. สาเหตจุ ากการกา้ หนดโครงสรา้ งการกระทา้ ความผดิ ทางอาญา ในสังคมไทย ปราการทางกฎหมายท่ีแข็งแกร่งที่สุดคือ กฎหมายอาญา จึงท้าให้ อทิ ธิพลของกฎหมายอาญาจึงครอบง้าทางความคิดทังวงการนักกฎหมายและรวมถึงครอบง้าสังคมด้วย อิทธิพลดังกล่าวนีส่งผลให้มุ่งแสวงหาผู้กระท้าความผิด และในบทบัญญัติทางกฎหมายทังหลาย มาตรการส่วนใหญ่ท่ีน้ามาใช้มักจะก้าหนดให้เป็นความผิดทางอาญาและพ่วงเอามาตรการการลงโทษ ทางอาญามาผูกกับกฎหมายแต่ละฉบับ และเม่ือกฎหมายส่วนใหญ่ของประเทศเป็นกฎหมายอาญาก็ ส่งผลนานบั ประการตอ่ กระบวนการยุติธรรมและต่อประชาชนในสงั คม 2. มาตรการทางกฎหมายในการปรบั เปล่ียนพฤตกิ รรมแทนการลงโทษ สบื เน่ืองจากปัญหานักโทษล้นคุก และลักษณะของพฤติการณ์ในการกระท้าความผิดท่ี มีความหลากหลายมาก ดังนันหากคิดตามทฤษฎีในการลงโทษสมัยใหม่แล้ว มาตรการที่จะน้ามาใช้ เพ่ือการปรับเปล่ียนพฤติกรรม จึงมีความจ้าเป็นที่จะต้องมีความหลากหมายกว่าการจ้าคุก ดังนัน รูปแบบวิธีการลงโทษในลักษณะแบบเดิม ที่ใช้มาเป็นเวลานานโดยไม่แยกแยะตามพฤติการณ์ และยัง ขาดระบบที่มีประสิทธิภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ต้องขังอย่างแท้จริง อาจจะไม่เหมาะสม ต่อไปส้าหรับผู้ต้องขังในบางกลุ่ม และด้วยระบบการลงโทษแบบเดิม (ตอ้ งค้าพิพากษาให้จ้าคุก) ก้าลัง น้าไปสู่การสร้างกลุม่ ในสังคมที่อยใู่ นโครงสรา้ งความเหลื่อมล้าขึนอีกกลุ่มหนึ่ง โดยผลของกระบวนการ ยุตธิ รรมทางอาญา ที่ไม่มีโอกาสกลับเข้าสู่สังคมอยา่ งมีศักดิ์ศรี ดง้ นัน นอกจากจะต้องพัฒนาวิธีการใน การปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมแบบใหม่แล้ว จะต้องมีการทบทวนการก้าหนดความผิดตามกฎหมายว่าการ กระทา้ ความผิดใดควรหรอื ไมค่ วรเปน็ ความผิดทางอาญา ดว้ ยอีกทางหน่ึง จ
รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมล้า ผ่านกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 3. วงจรระบบการทบทวนโครงสร้างการกระท้าความผิดทางอาญาที่ไม่ได้ค้านึงถึง ความเปน็ ธรรม ในประเทศที่ระบบกฎหมายมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและค้านึงถึงสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน จะมีระบบในการศึกษาวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ เพ่ือแก้ไขปรับปรุง กฎหมายให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงของสังคม และเป็นการด้าเนินการโดยเป็นความร่วมมือกันของ รฐั สภา (อ้านาจนติ ิบัญญัติ) รัฐบาล (อา้ นาจบรหิ าร) และศาล (อ้านาจตุลาการ) โดยจะจดั ทา้ เป็นรายงาน ประจ้าปีเพ่ือประเมินระบบกฎหมายของประเทศ ว่าควรที่จะต้องมีการปรับปรุงเพ่ือแก้ไขข้อที่เป็น ชอ่ งวา่ งในทางกฎหมาย หรือสว่ นท่บี งั คบั ใช้แล้วมีความไมเ่ ปน็ ธรรมเกิดขึน ฯลฯ ส้าหรับ ในกรณีประเทศไทยยังไม่มีระบบการประเมินผลระบบกฎหมายอย่างเป็น กิจจะลักษณะ และในส่วนส้าคัญยังไม่มีแนวคิดท่ีจะท้าการทบทวนกฎหมาย ที่ก้าหนดความผิดให้มีโทษ ทางอาญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผิดในส่วนที่เป็นความผิดที่รัฐหรือกฎหมายห้ามกระท้า (Mala Prohibita) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งที่ท้าให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญา ดูดและผลัก ประชาชนใหเ้ ขา้ สู่และตกอยใู่ นโครงสร้างความเหลอื่ มลา้ ทงั ทางกฎหมายและทางสังคม 4. หลกั การประกนั สิทธิในแต่ละขันตอนของกระบวนการยตุ ิธรรมมีความแตกตา่ งกัน แม้จะมีหลักกฎหมายที่เป็นการประกันสิทธขิ องประชาชนว่า ผู้ถูกกล่าวหาในคดอี าญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธ์ิ และมีสิทธิในการที่จะได้รับการประกันตัวได้ แต่ด้วยเหตุที่ในการ ด้าเนินกระบวนวธิ ีพิจารณาคดอี าญามีอ้านาจของหน่วยงานของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน เร่ิม ตงั แต่ ขันตอนของพนักงานสอบสวน ขันตอนของอัยการ และขันตอนของศาล ซ่ึงในแต่ละช่วงมีอา้ นาจ ตามกฎหมายที่แตกต่างกัน มาตรการและวิธีการต่างๆ ที่น้ามาใช้เพ่ือให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิในการถูก ปล่อยตวั มีความแตกต่างกัน และไม่มีความตอ่ เนื่องกัน ดงั นนั จึงสง่ ผลใหก้ ารเข้าถงึ สิทธขิ องประชาชน ท่ี ถูกกล่าวหาว่ากระท้าความผิดในแต่ละช่วง จึงเกิดภาระที่จะต้องไปว่ิงหาหลักประกัน และถ้าย่ิง กระบวนการพิจารณาเกิดความล่าช้า ในกรณีไม่มีหลักทรัพย์และจ้าเป็นที่จะต้องกู้ยืมเงินมาเป็น หลักประกันก็จะยิ่งต้องเสียดอกเบียมากขึน หรือหากไม่สามารถที่จะหาหลักประกันได้ก็ต้องถูกต้องขัง ตอ่ ไปจนกว่าจะเสรจ็ สินคดี ซึง่ จะเห็นไดว้ า่ จะเปน็ ปัญหาส้าหรบั ผดู้ อ้ ยโอกาสอย่างมาก หลักประกันสิทธใิ นแตล่ ะขันตอนนี ควรท่ีจะรวมถึงหลักประกันในแง่ของระยะเวลาใน กาด้าเนินคดใี นแตล่ ะช่วงระยะเวลา ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่เฉพาะในชันของพนักงานสอบสวน แตใ่ นชันของ พนักงานอัยการและศาลยังไม่มีความชัดเจน ดังนัน ในแง่ของระยะเวลาในการด้าเนินคดีในกรณีท่ี ผดู้ ้อยโอกาส 5. ระบบการให้ความช่วยเหลอื ของรัฐหรอื จากองค์กรวิชาชีพ ในระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จะมีหลักประกันเพื่อความยุติธรรมในการ ต่อสูค้ ดีซึ่งเป็นการดา้ เนนิ การตามขนั ตอนทางกฎหมาย ซึ่งโดยปรกตแิ ลว้ ประชาชนโดยทั่วไปจะไม่ทราบ ฉ
รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่ือมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ขันตอนและไม่มีความช้านาญในทางปฏบิ ัติของกระบวนการยุติธรรม ดังนัน จึงตอ้ งมีระบบการให้ความ ช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน ซ่ึงอาจจะจัดให้โดยรัฐหรือ โดยองค์กรวิชาชีพ โดยรัฐเป็นผู้ออก คา่ ใชจ้ ่ายต่างๆ ให้ ในกรณีกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยก็มีระบบการให้ความชว่ ยเหลอื เช่นนี แต่ที่เป็นปัญหาส้าหรับผู้ใช้บริการคือ คุณภาพในเชิงความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการต่อสู้ คดีท่ีมักจะด้อยกว่าพนักงานอัยการ อีกทังข้อจ้ากัดด้านงบประมาณที่ท้าให้ไม่จูงใจในผู้ท่ีมีความรู้ ความสามารถให้เข้ามาท้าหนา้ ที่ในการให้ความช่วยเหลือทางคดตี ่อประชาชน ดงั นัน ระบบการให้ความ ชว่ ยเหลือดงั กลา่ วก็จะเป็นเพยี งแคก่ ารช่วยเหลือเบืองตน้ และไมไ่ ดม้ ีประสทิ ธิภาพเท่าท่ีควร ซ่งึ ในที่สุดก็ ส่งผลทางคดตี ่อประชาชนที่ถูกดา้ เนนิ คดี 6. บทบาทของผูอ้ า้ นวยความยุตธิ รรมในแตล่ ะชันของกระบวนการยุติธรรม โดยระบบของการด้าเนินคดที างอาญาในระบบกลา่ วหา การทา้ หนา้ ที่เจ้าหนา้ พนกั งาน ในกระบวนการยุติธรรมจะมีการถ่วงดุล เพ่ือตรวจสอบความถูกต้องที่จะน้าไปสู่การค้นหาความจริงว่า ผู้ต้องหาที่ถูกด้าเนินคดีนัน เป็นผู้กระท้าความผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ จากกรณีศึกษาท่ีปรากฏ เป็นข่าวในส่ือมวลชนท่ีผ่านมาเป็นระยะๆ สามารถที่จะสะท้อนความผิดพลาดในการท้าหน้าที่ หรือ แสดงบทบาทของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมแต่ละขันตอนได้เป็นอย่างดี เหตุท่ีเป็นเช่นนัน อาจจะเนื่องมาจากจ้านวนคดีที่มากเกินไป หรืออาจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากระบบการโยกย้ายจึงไม่ สามารถที่จะทราบความเป็นมาของคดีได้ จึงปล่อยหรือว่าคดีไปตามเอกสารส้านวน หรือด้วยข้อจ้ากัด ของระยะเวลาท่ีจะต้องรีบด้าเนินการให้เสร็จภายในก้าหนดระยะเวลา จึงต้องปล่อยเลยตามเลยแม้จะ เห็นวา่ ยังเป็นที่สงสัย ฯลฯ และย่ิงหากเป็นกระบวนการยุติธรรมในชันพนักงานตา้ รวจ การปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามเป้าหมายตัวชีวัดหรือนโยบายทางคดี จะมีผลอย่างมากต่อการปฏิบัติหน้าท่ีว่าเกิดความ ยตุ ธิ รรมหรือเกิดประสทิ ธิภาพในการปราบปราม 7. ทศั นะคติของผู้อ้านวยความยตุ ิธรรม การสังเคราะห์ในส่วนนี จะมีความเช่ือมโยงกับส่วนท่ีว่าด้วยบทบาทของผู้อ้านวย ความยุตธิ รรมในแตล่ ะชันของกระบวนการยตุ ธิ รรม แตท่ ศั นะคตใิ นส่วนนีจะเก่ียวข้องกบั ระบบงานวา่ จะ ปฏิบัติหน้าที่อย่างไร ทังนีเนื่องจาก ระบบงานของกระบวนการยุติธรรมจะเป็นระบบงานที่มีการส่งต่อ กันเป็นล้าดับชันในรูปแบบส้านวนคดี ดังนัน ในการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีในฐานะท่ีเป็นผู้อ้านวย ความยุตธิ รรมท่ี ตอ้ งผกู โยงกับระบบส้านวนคดีจงึ มธี รรมชาตขิ องการท้างานในสองลกั ษณะคือ 7.1 มุ่งท้าตามหน้าท่ีของตนเท่านัน โดยให้ความส้าคัญกับข้อเท็จจริงท่ีปรากฏ เฉพาะแตใ่ นเอกสารเท่านนั และ 7.2 มุ่งรักษากฎหมายโดยดูว่าจากส้านวนคดีมีการฝ่าฝืนกฎหมายใดบ้าง ก็จะ ด้าเนินคดีชีขาดตัดสินไปตามฐานความผิดต่างๆ ที่มีการกระท้าฝ่าฝืนบทบัญญัติในทางกฎหมาย (แต่ อาจจะไม่ไดผ้ ดงุ ความยตุ ธิ รรม) ช
รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 8. การบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมเพ่ือแสวงหาประโยชน์ทังโดยชอบด้วยกฎหมาย และโดยมิชอบดว้ ยกฎหมาย ระบบกระบวนการยุติธรรมถูกออกแบบมาเพื่อแสวงหาความจริงในทางคดี ว่าเกิด การกระท้าท่ีเปน็ การฝ่าฝืนกฎหมายท่ีเป็นความผิดหรือไม่ ใครเปน็ ผู้ที่เข้ามาเก่ียวข้อง ใครเป็นผู้กระท้า กระท้าอย่างไร เพ่ือจะน้าไปสู่การพิจารณาการลงโทษที่เหมาะสม แต่อย่างไรก็ตาม ดว้ ยความเชี่ยวชาญ เทคนิคในทางคดี ก็มักจะใช้ประโยชน์จากกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มาแสวงหาประโยชน์ในการ บีบบังคับคู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึง จะต้องด้าเนินการหรือจ้ายอมในที่สุด ซ่ึงการจะใช้กลวิธีดังกล่าวได้ก็มักจะ ไม่ใช้ผดู้ อ้ ยโอกาส ประเด็นที่สำม งำนทีส่ ะท้อนใหเ้ ห็นปญั หำทำงสังคมทีอ่ ำจจะมีผลตอ่ กระบวนกำรยุติธรรม บทสังเคราะห์ในส่วนนีเปน็ การสังเคราะห์จากงานศึกษาท่ีมิใช้งานในทางกฎหมายโดยตรงหาก เป็นงานที่ไปศึกษาจากกรณีผลกระทบที่เกิดกับประชาชนท่ีถูกด้าเนินคดี ดังนันงานในส่วนนี ต้องการท่ี จะวิเคราะห์ให้เห็นว่า ด้วยชุดความคิดแบบเดิมของกระบวนการยุติธรรม (ที่เป็นอ้านาจของพนักงาน สอบสวน พนักงานอัยการ และศาล ซึ่งหมายถึง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุตธิ รรม และ ศาลปกครอง) ที่ท้า หน้าท่ีในการระงับความขัดแย้งหรือข้อพิพาททังหลาย ซ่ึงจะให้ความส้าคัญตอ่ การแก้ปัญหาท่ีปลายเหตุ กล่าวคือต้องรอใหเ้ กิดความขัดแย้งหรือเกิดการฝ่าฝืนกฎหมายก่อน จึงจะสามารถที่จะเข้าไปด้าเนินการ เอาตัวผู้กระท้าความผิดมาลงโทษ และเมื่อมีการลงโทษแล้วกระบวนการยุติกรรมก็ไม่ได้ กลับไป วิเคราะห์ถึงสาเหตุของการกระท้าความผิด อันเป็นต้นต่อของการกระท้าความผิดหรือความขัดแย้ง ดังนัน เราจะเห็นได้ว่า ส่ิงที่กระบวนการยุติธรรมและระบบกฎหมายจะช่วยแก้ปัญหา หรือลดความ เหลื่อมล้าลงได้นัน ควรท่ีจะให้ความส้าคัญกับการป้องกันและการจัดการความขัดแย้ง ที่มิใช่การน้าเอา มาตรการการลงโทษทางอาญา มาเป็นเพียงเครื่องมือเดียวเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งแล้วยุติบทบาท ของกระบวนการยุตธิ รรมลง เพยี งเพราะได้ใช้อ้านาจในการลงโทษผู้กระท้าความผิดแล้วเท่านัน ซึ่งจาก งานทศ่ี ึกษาทา้ ใหเ้ ห็นขอ้ จ้ากัดและผลกระทบ จากการออกแบบระบบกระบวนการยตุ ธิ รรมดังต่อไปนี 1. ด้วยเหตุท่ีระบบกระบวนการยุติธรรมแต่เดิมออกแบบเพ่ือด้าเนินการลงโทษผู้กระท้า ความผิด จากบทบัญญัติที่ก้าหนดโทษทางอาญาไว้ และพระราชบัญญัติส่วนใหญ่ของประเทศไทยก็ มักจะก้าหนดโทษทางอาญาไว้ จากการประมาณการโดยคร่าวๆน่าจะ 95% ของพระราชบัญญัติที่ ออกมาบังคับใช้ที่ก้าหนดโทษทางอาญาไว้ และด้วยเหตุเช่นนีจึงท้าให้กระบวนการยุติธรรมจึงเป็น ลกั ษณะของการใชอ้ ้านาจในการจดั การกับผกู้ ระท้าความผดิ เปน็ รายๆ (หรือบางลกั ษณะอาจจะเป็นกลุ่ม ผู้กระท้าความผิด) และไม่มีโอกาสท่ีจะท้าให้เกิดการลงไปแก้ปัญหาเก่ียวกับตัวผู้กระท้าความผิด ใน ลักษณะทเ่ี ป็นการแกป้ ัญหาการกระท้าความผิดในเชิงโครงสรา้ งได้ เช่น ตัวอย่างกรณี คดกี ารบกุ รุกพนื ที่ป่าไม้ ซึ่งในกระบวนการยุตธิ รรมมิได้ทา้ การวเิ คราะห์ถึงสาเหตุ โครงสร้าง และพฤติการณ์ ของการกระท้าความผิดของประชาชน ท่ีอยู่อาศัยบนท่ีดินของรัฐซึ่งมีข้อ พพิ าทอยู่ว่า ชุมชนอยู่ก่อนการประกาศเขตป่า หรือชมุ ชนมาอยู่หลงั การประกาศเขตป่า ทังนสี าเหตุของ ปัญหาเกิดจากกระบวนการในการประกาศเขตปา่ ซงึ่ เจา้ หนา้ ทอี่ า้ งวา่ ปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย แต่กฎหมายท่ี ซ
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอ่ื มล้า ผ่านกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 เจ้าหน้าที่อ้างกลับเป็นกฎหมายท่ีไม่เป็นธรรม ทังในแง่ของหลักความยุติธรรมของกฎหมาย เช่น บทสันนิฐานในทางกฎหมาย ในกรณีป่า ได้แก่บทสันนิฐานท่ีว่าที่ดินท่ีไม่มีเอกสารสิทธิ (โฉนด นส. 3) ให้ถือว่าเป็นท่ีป่า หรือหลักให้สันนิฐานว่า ถ้าไม่ไปแจ้งแสดงสิทธใิ นที่ดนิ ให้ถือว่าสละสิทธิ ที่บงั คับใชก้ ับ ประชาชนที่อยู่ห่างไกล ไม่รู้หนังสือ การสัญจรเดินทางเป็นไปอย่างยากล้าบาก แต่ข้อสันนิษฐานกับให้ ถือว่าเจ้าของท่ีดินผู้ครอบครองสละสิทธิ เป็นต้น ซึ่งจะตรงกันข้ามกันอย่างสินเชิงกับกรณีการฟ้องคดี แบบกลุ่ม (Class Action) ซึ่งเป็นลักษณะของการแก้ปัญหาการได้รับความเสียงหาย อันเปน็ ผลมาจาก โครงสร้าง (ของระบบการค้าการประกอบธุรกิจภายใต้ระบบอุตสาหกรรม โครงสร้างของปัญหาท่ี ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง) ซ่ึงเป็นพัฒนาการของระบบกระบวนการยุติธรรมใน ประเทศแบบคอมมอนลอว์ ที่ท้าการพฒั นาวธิ ีอา้ นวยความยตุ ธิ รรมแก่ประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับสภาพ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม (แต่ในเวลาเดียวกัน วิธีการเดียวกันนีเมื่อน้าเข้ามาใช้ ในประเทศไทยแล้ว กลับส่งผลในลักษณะตรงกันข้าม คือ แทนที่จะมีจ้าเลยมาฟ้องคดเี พื่อน้าผลของค้า พพิ ากษาไปสู่การบังคับใช้ในคดีอ่ืนๆ ที่ผู้เสียหายไดร้ ับจากจ้าเลย กลับกลายเป็นผู้ประกอบการมาขอใช้ กระบวนการพจิ ารณาคดีฟ้องผู้บริโภคแทน ทังนีสืบเนื่องมาจากขันตอนในชันการบัญญัตกิ ฎหมาย ที่ไม่ เข้าใจโครงสร้างการใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และข้อจ้ากัดของกระบวนการยุติธรรม จึงท้าให้ มาตรการทน่ี ้ามาใช้ในสังคมไทยกลับเกดิ ผลในทางตรงกันขา้ ม) 2. กรณีตัวอย่างของผู้ตอ้ งขังที่อยู่ในระหว่างการพจิ ารณาคดีและกรณีท่เี ปน็ ผู้พ้นโทษ บนระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาท่ีเป็นอยู่ในขณะนี โอกาสท่ีจะเข้าสู่กระบวนการ ยตุ ิธรรมทางอาญาในฐานะท่ีเป็นจา้ เลยของรัฐสูงและง่ายมากเนือ่ งจาก ด้วยเหตุที่กฎหมายส่วนใหญ่ของ ประเทศเป็นกฎหายท่ีมีโทษทางอาญาเป็นหลัก และการมีกลไกของระบบการด้าเนินคดีในชันของ พนกั งานต้ารวจ และของพนักงานสอบสวนท่ีเกดิ ขึนไดอ้ ย่างง่ายดาย เน่อื งจากมอี ้านาจเตม็ ตามกฎหมาย และมีอิทธิพลในทางสังคม แม้จะมีข้อสันนิษฐานในทางกฎหมายอาญาไว้ว่า ผู้ต้องหาหรือจ้าเลย ให้ สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธ์ิจนกว่าศาลจะพิพากษา แต่เจ้าหน้าท่ีในกระบวนการยุติธรรม แม้จะ ยึดถือหลักดังกล่าว แต่ก็ต้องด้าเนินการเอาผู้ที่ถูกกล่าวหาเข้าสู่ระบบกระบวนการยุติธรรมไว้ก่อน เพื่อ ประโยชน์ในด้านการตอบสนองนโยบายการปราบปรามอาชญากรรม และโยนหน้าท่ีการอ้านวยความ ยุตธิ รรมทางอาญาไปสพู่ นกั งานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล ซง่ึ ในระหวา่ งทศี่ าลยังไม่พพิ ากษา ผู้ ที่อยู่ในฐานะผู้ต้องขังหรือจ้าเลยต้องสูญเสียอิสรภาพ ซึ่งโดยระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพื่อต้องการที่จะ สามารถออกมาจากการถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาคดไี ด้นัน ต้องใช้ระบบการประกันตัว ซึ่งอาจจะ เป็นกรณีของการใช้หลักทรัพย์ในการประกัน ใช้เงินสด หรือ ใช้ต้าแหน่งหน้าท่ีตามที่กฎหมายก้าหนด ในการประกันตัวออกมาจากการควบคุมกุมขัง ซ่ึงเป็นประเด็นที่สามารถให้เห็นถึงความเหลื่อมล้าอย่าง ชัดเจนภายใต้ระบบกระบวนการยุติธรรมทางอาญาคือ เฉพาะผู้มีเท่านันท่ีสามารถซืออิสรภาพช่ัวคราว ได้ แต่ถา้ เปน็ คนจนกลับไม่มโี อกาสซืออสิ รภาพได้ ฌ
รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผ่านกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 และส้าหรับผู้ท่ีถูกศาลพพิ ากษาตัดสินลงโทษและไดร้ ับโทษแล้ว แม้ในระบบราชทัณฑ์จะมีการ เตรียมความพร้อมให้กับผู้ต้องขัง เพื่อจะมีอาชีพหรือสามารถที่จะมีงานท้าเพ่ือจะได้ไม่กระท้าความผิด ซ้า แต่ประเด็นปญั หาของกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญาในส่วน ท่ีเก่ียวกับการส่งต่อผู้ตอ้ งขังทผี่ ่านการ ถูกลงโทษแล้วไม่สามารถกลับเข้าสู่สังคมได้ ซึ่งในส่วนนียงั ไม่มีการด้าเนินการอย่างใดๆ ที่จะทา้ ให้สังคม เปิดรับเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับผู้ต้องขัง ซ่ึงเป็นประเด็นที่กระบวนการยุติธรรมอาจจะต้องน้ามาสู่การ ทบทวนบทบาทใหม่ ของกระบวนการยุติธรรมต่อสังคมท่ีข้ามพ้นเร่ืองการใชอ้ ้านาจ เพื่อท้าให้เกิดความ เกรงกลัวกฎหมายไปสูก่ ารสรา้ งความเปน็ ธรรมลดความเหลื่อมล้า จากข้อสรุปที่สังเคราะห์เก่ียวกับปัญหาจากกระบวนการยุติธรรมท่ีสร้างความเหลื่อมล้าให้กับ คนในสังคม โดยเฉพาะกับคนในระดับล่าง และในท่ีสุดก็น้ามาสู่การสร้างปัญหาให้กับกระบวนการ ยุติธรรมเอง ดังจะเห็นได้จาก “คดีล้นศาล คนล้นคุก” ซึ่งส่งผลโดยรวมต่อประสิทธิภาพของ กระบวนการยุติธรรม และในความรู้สึกของชาวบ้านคนในระดับล่างจะมีความรู้สึกว่ากระบวนการ ยุติธรรมล้าเอียง มุ่งเอาผิดและด้าเนินการอย่างเต็มท่ีกับชาวบ้านที่ไม่มีหนทางต่อสู้ แต่ส้าหรับคดีใหญ่ หรือของผู้ท่ีมีฐานะหรือมีอิทธิพลกระบวนการยุติธรรมนอกจากจะไม่สามารถเอาผิดได้แล้ว ในหลายๆ กรณีท้าให้เกิดความรู้สึกเหมือนกระบวนการยุติธรรมให้ความชว่ ยเหลือชีช่องทาง หรือบางครังกลับช่วย ฟอกให้การกระทา้ ความผิดท่เี ห็นไดอ้ ย่างชัดเจน กลายเปน็ การกระทา้ ทถ่ี ูกกฎหมายไปในที่สดุ 3. นอกจากงานศึกษาในเชิงคดีและผลกระทบท่ีเกิดขึนกับประชาชนในระดบั ล่างแล้ว ยังมีงาน ที่ศึกษาเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ากับปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งในที่สุดก็จะส่งผลต่อกระบวนการยุติธรรมท่ี จะต้องเข้ามาเก่ียวข้องแก้ปัญหา โดยกรณีความเป็นไม่เปน็ ธรรมท่ีน้าไปสู่ปญั หาความขัดแย้งท่ีกระบวน การยุติธรรมควรท่จี ะตอ้ งเตรยี มการใหค้ วามสา้ คัญ เช่น 3.1 ความไม่เท่าเทียมกันของแรงงานในระบบและนอกระบบ (ความไม่เป็นธรรมด้าน การจา้ งงานและระบบสวสั ดิการตา่ งๆ) รวมถึงแรงงานขา้ มชาติ 3.2 ความไม่เป็นธรรมทางสขุ ภาพท่ีเกดิ ขนึ กบั ผดู้ อ้ ยโอกาสกลุ่มตา่ งๆ 3.3 ความไมเ่ ปน็ ธรรมในการเขา้ ถงึ ทรพั ยากรธรรมชาติ ท่ีดนิ แหลง่ นา้ 3.4 ความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงบริการพืนฐานด้านต่างๆ เช่น ที่อยู่อาศัย ที่ดินท้า กิน ความไม่เปน็ ธรรมจากการพัฒนาของรัฐและผลกระทบจากโครงการขนาดใหญข่ องรัฐทงั หลาย ประเด็นท่ีส่ี งำนท่ีเสนอทำงแก้หรือทำงออกปัญหำของกระบวนกำรยุติธรรม และควรจะ เป็นทำงออกในกำรลดควำมเหล่ือมลำผ่ำนทำงระบบควำมยุติธรรม ตำมคำถำมข้อ ข. ควรจะเป็น อย่ำงไร สา้ หรบั ข้อเสนอเพ่ือการปฎริ ูปกระบวนการยตุ ธิ รรมให้เปน็ ทางออกหนึ่งของปญั หาความเหล่อื ม ล้า มขี อ้ เสนอจากงานตา่ งๆ ทเี่ กีย่ วข้องดังนี ญ
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มล้า ผ่านกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 1. มีการเสนอให้มีการจัดท้ายุทธศาสตร์การพัฒนากระบวนการยุติธรรมเพ่ือคนจน ซึ่ง ประกอบด้วยการขยายโอกาสการเข้าถงึ ความยตุ ธิ รรมสา้ หรับคนจน ในรูปแบบต่างๆ เช่น การให้ความรู้ ความเข้าใจในสิทธิต่างๆ การพัฒนากระบวนการยุติธรรมในระดับชุมชนเพ่ือระงบั ข้อพพิ าทเล็กๆ น้อยๆ ในชมุ ชน 2. การเสริมสรา้ งความเสมอภาคในกระบวนการยตุ ิธรรม เช่น การพัฒนาระบบการปล่อย ตวั ช่วั คราวท่ีไม่ยึดติดอยู่ที่หลักประกันที่เป็นทรัพย์สินเงินทอง การมีทนายความที่มีคุณภาพ การจัดสรร งบประมาณในรูปของ “กองทุนเพ่ือการช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้ต้องหา จ้าเลย และผู้เสียหายใน คดีอาญา”ทีเ่ พียงพอและง่ายตอ่ การเขา้ ถึง และแม้จะมีงานที่ศึกษาปัญหาและข้อเสนอที่เป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพ่ือให้ คนจนสามารถเข้าถึงได้ ดงั ที่กล่าวมาข้างต้นก็ตาม แต่หากต้องการท่ีจะท้าให้กระบวนการยุตธิ รรม เป็น ทางออกหรือเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการลดความเหล่ือมล้า การมียุทธศาสตร์การพัฒนากระบวนการ ยุติธรรมเพือ่ คนจน และ การเสริมสร้างความเสมอภาคในกระบวนการยุติธรรม ยงั ไม่เพียงพอ ยังจะตอ้ ง ดา้ เนนิ การทส่ี า้ คัญสา้ หรบั บุคลากรในกระบวนการยตุ ิธรรมดงั ตอ่ ไปนีดว้ ย ประกำรแรก จะท้าให้เกิดการเปลี่ยนกรอบความคิดภายใต้ความรู้ในทางกฎหมาย แบบเดิมๆ ไปสู่โลกทัศน์ กรอบความคิดในมิติใหม่ๆ ทางกฎหมายที่เชอ่ื มโยงอยู่กับปัญหาพืนฐานในทาง สงั คมไดอ้ ย่างไร ประกำรท่ีสอง จะท้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนะ (mind set) ของบุคลากรท่ีอยู่ใน ระบบกระบวนการยุติธรรมซ่ึงถูกก้าหนดบทบาทหน้าท่ี เป้าหมาย ไว้โดยกฎระเบียบต่างๆท่ียังไม่ สามารถนา้ ไปส่กู ารแก้ปัญหาเรอื่ งความเหลอื่ มลา้ ได้โดยตรงได้อยา่ งไร ประกำรที่สำม จะต้องพัฒนาแนวคิดของระบบกฎหมายใหม่ๆ ให้เห็นความเช่ือมโยง ระหว่างเป้าหมายของกฎหมาย หน้าทข่ี องนักกฎหมาย และกลไกของกระบวนการยุติธรรมวา่ มีหน้าทใ่ี น การสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึนในสังคม ความเป็นธรรมจะเกิดขึนได้ต้องมีโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และกฎหมายท่ีให้ความส้าคัญกับการขจัดความเหล่ือมล้าในทุกรูปแบบ ไดอ้ ยา่ งไร ประกำรที่ส่ี จะท้าให้ทัศนะเดิมๆ ในทางกฎหมายท่ีครอบง้าแวดวงวิชาการกฎหมาย ครอบง้าสถาบันต่างๆ ในทางกฎหมาย และครอบง้านักกฎหมาย คล่ีคลายลงและร่วมกันในการพัฒนา ทัศนะคติใหมๆ่ ท่ใี ห้ความสา้ คัญกบั ปัญหาเชิงโครงสร้างท่นี ้าไปสู่ความเหล่ือมล้าในมิติต่างๆ ที่เกดิ ขึนกับ บคุ คลตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งไร ฎ
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 กำรสังเครำะห์ชุดแนวคิดในทำงกฎหมำยเพื่อวิเครำะห์และประเมินกระบวนกำรยุติธรรม เพ่ือลดควำมเหลอ่ื มลำ และทำงออกของปญั หำควำมเหลอ่ื มทเ่ี กดิ จำกกระบวนกำรยุตธิ รรม จากการรวบรวมงานตา่ งๆ (ทังในส่วนท่ีเปน็ งานวิจยั ของสกว.เองและในภายหลังได้นา้ เอางานท่ี สะท้อนถึงความเหล่ือมล้าในมิติต่างๆ มาร่วมในการขันการประเมินและสังเคราะห์ด้วย) พบว่า ภายใต้ ร่มใหญ่ของค้าว่า “ความเหล่ือมล้า” มีงานศึกษาอยู่มากพอสมควร และครอบคลุมในมิติที่หลากหลาย มาก ซ่ึงหากจะน้าเอาแนวคิดทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับความยุติธรรมมาประเมินวิเคราะห์ให้เห็นช่องว่าง ระหว่างความเป็นจริงและสภาวะในเชิงอุดมคติ รวมถึงชีให้เห็นข้อจ้ากัดต่างๆ ของระบบกฎหมายและ กระบวนการยุติธรรมสามารถที่จะสะท้อนให้เห็นแง่มุมทังในเชิงข้อเท็จจริงและแง่มุมในเชิงแนวคิดทาง วชิ าการ ดงั ต่อไปนี การรวบรวมเอกสารภายใต้ชุดโครงการนี ต้องการที่จะส้ารวจขอบเขตของข้อมูลในเชิงเอกสาร ท่ีเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมกับความเหล่ือมล้าว่ามีปริมาณอยู่มากน้อยเพียงใด เน้นหนักไปใน ทางด้านใดบ้าง ดา้ นหนึ่งเพ่ือต้องการส้ารวจความเข้าใจของกระบวนการยุติธรรมต่อความเหลื่อมล้าว่ามี ลักษณะสันฐานของความเขา้ ใจเปน็ อย่างไร ซ่ึงจากการรวบรวมงานศึกษาในลักษณะต่างๆ พบว่า มีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ทัง “ความเหล่ือมล้า” และสถานการณ์ “ความยุติธรรม” ของสังคมไทย ท่ีอยู่ในรูปเอกสารงานศึกษาวิจัย และงานเอกสารวชิ าการทวั่ ไปที่มีการหยิบยกขึนมานา้ เสนอถกเถียงกันเป็นระยะ แตเ่ ป็นในลักษณะท่ีไม่ ค่อยจะมีความเช่ือมโยงกันเท่าท่ีควรดว้ ยเหตุเพราะปญั หามาจากกรงครอบความรู้ท่ีอ้างความชอบธรรม จาก “ความเชยี่ วชาญเฉพาะด้านในความรู้” โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ความรู้เชิงเทคนิคในแวดวงทางกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ในขณะท่ีเนือหาความเข้าใจเก่ียวกับ “ความเหล่ือมล้า” โดยส่วนใหญ่ทัง น้าหนักและประเด็นข้อถกเถยี งมเี นอื หาทีค่ ่อนไปในมติ ทิ างเศรษฐศาสตร์เป็นส้าคัญ ส้าหรับข้อเท็จจริงท่ีเกี่ยวกับประเด็นปัญหาความยุติธรรมในกรณีประเทศไทยเท่าที่ได้รวบรวม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้อเท็จจริงในเชิงประจักษ์ที่เป็นปัญหาอันเกิดจากกระบวนการยุติธรรม โดยอาจจัด กลุ่ม (อีกวิธีการหนึ่งท่ีแตกต่างไปจากการจัดกลุ่มเพื่อการศึกษาข้อมูลในขันต้นของการรวบรวม) เพื่อ ประโยชน์ในการสังเคราะห์หรือการสะท้อนให้เห็นส่วนที่ขาดหายไปขององค์ความรู้พืนที่ฐานที่จ้าเป็น จะต้องมี หากต้องใช้ความรู้นันเพื่อตอบโจทย์เร่ืองกระบวนการยุติธรรมเพื่อลดความเหล่ือมล้า ซึ่ง อาจจะสามารถใช้แนวคิดในการจัดกลุ่มของงานที่ได้รวบรวมมาเพ่ือสะท้อนให้เห็นข้อมูลหรือความรู้ที่มี อยูแ่ ละท่ขี าดหายไป ไดด้ งั ต่อไปนี 1. งานท่ีว่าด้วย ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในด้านต่างๆ ซงึ่ มีงานศึกษาอยเู่ ปน็ จ้านวนมาก ซึ่งเป็นงานศึกษาทังในภาพกว้างๆและงานท่ีศึกษาเจาะลึกในรายละเอียดของขันตอนในทางปฎิบัติซ่ึง ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาภายในของระบบกระบวนการยุติธรรมในทางอาญาเป็นส่วนใหญ่ แต่ในด้านท่ี อาจจะยังมีไม่มากนักแตม่ ีความจ้าเปน็ ที่จะต้องมี คือ ปัญหาอันเกิดจากระบบและกระบวนการยุติธรรม ฏ
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผ่านกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ท่ีเป็นอยู่ ณ.ขณะนตี ่อระบบเศรษฐกิจ ระบบการเมือง ต่อสังคม ต่อวัฒนธรรม และตอ่ ระบบนิเวศนแ์ ละ สิง่ แวดลอ้ ม และตอ่ ระบบกฎหมายอย่างไร 2. งานที่ว่าด้วย สิทธแิ ละการเข้าไม่ถึงสิทธใิ นกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ยังมีลักษณะท่ัวไปโดย ใช้เกณฑ์ของสิทธติ ามตัวบทกฎหมายเชน่ บทบญั ญัตริ ัฐธรรมนูญ สิทธติ ามกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาคดี หรือ สิทธิตามหลักสิทธิมนษุ ยชนสากล 3. งานที่ว่าด้วย เหยื่อของกระบวนการยุติธรรม และผลกระทบท่ีเกิดจากความผิดพลาดของ กระบวนการยุตธิ รรม ซ่ึงแม้จะมีไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจ้านวนมากที่เปน็ เสียงสะท้อนผ่าน ส่ือต่างๆ แต่ก็สามารถท่ีจะบ่งชีให้เห็นถึงประสิทธิภาพและข้อจ้ากัดต่างๆ ท่ีน้าไปสู่ความผิดพลาดของ ระบบและกระบวนการในขันต่างๆ ของกระบวนการยุติธรรม จนในที่สุดจะต้องมีกฎหมายเพ่ือมา เยียวยาความเสยี หายใหก้ บั เหยือ่ ในกระบวนการยตุ ธิ รรม 4. งานที่ว่าด้วยทิศทางและการปฎิรูประบบกระบวนการยุติธรรม ซ่ึงเป็นการด้าเนินการโดย กระทรวงยุติธรรมในฐานะของฝ่ายบริหาร ซ่ึงมีขอบเขตความรับผิดชอบในบางส่วนของกระบวนการ ยุติธรรม กล่าวคือ ภารกิจท่ีเก่ียวกับการจัดท้าแผนพัฒนากระบวนการยุติธรรม การส่งเสริมเผยแพร่ ความรู้ในทางกฎหมายให้กับประชาชน การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การจัดหาทนายความเพ่ือช่วยเหลือ ประชาชนทางกฎหมาย การจัดหาล่าม การเยียวยาความเสียหายให้กับจ้าเลยท่ีศาลพิพากษาว่าเป็นผู้ บรสิ ุทธ์และเหย่ือผู้ที่ไดร้ บั ความเสียหายจากการกระท้าความผิดทางอาญา งานเกีย่ วกับการคุมประพฤติ งานเก่ียวกับราชทัณฑ์ งานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ งานนิติ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ แตไ่ ม่สามารถท่ีจะเข้าไปด้าเนินการปฎิรูปในส่วนของภารกิจในกระบวนการยุติธรรม ในทางอาญา ในชนั ของพนักงานสอบสวน ซึง่ ถือเป็นขันตอนแรกของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่มี ผลต่อความยุตธิ รรม แม้กระทงั ในชนั ของพนกั งานอยั การ และในชันของศาลยุติธรรม ซ่งึ เป็นส่วนส้าคัญ ที่จะอ้านวยความยุติธรรมให้เกิดขึน ซึ่งจากการรวบรวมเอกสารส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแผนในระยะต่างๆ ของหน่วยงาน ซ่ึงมีข้อมูลส่วนหน่ึงที่สะท้อนปัญหาของกระบวนการยุติธรรม แต่ก็ยังคงใช้วิธีการ แกป้ ัญหาภายใตก้ ลไกของระบบราชการปรกติ สา้ หรับประเด็นเรื่องความเข้าใจใน “ข้อเท็จจริง” ของความเหลื่อมล้า และ “ข้อเท็จจริง” ของ กระบวนการยุติธรรมยังไม่มีระบบหรือกลไกใดๆ ท้าหน้าท่ีอย่างจริงจัง ที่จะท้าการศึกษาอย่างเป็นระบบ และต่อเน่ือง เพื่อท้าความเข้าใจและติดตามสถานการณ์ความเก่ียวข้องสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการ ยุติธรรมในทุกๆ ด้าน (ทังทางแพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง ทางรัฐธรรมนูญ ทางสิ่งแวดล้อม ทางสิทธิ มนุษยชน) กับผลท่ีจะน้าไปสู่การเพิ่มขึนหรือลดความเหล่ือมล้าในดา้ นต่างๆ ลง (ไม่เฉพาะแตใ่ นทางดา้ น เศรษฐกิจเท่านัน แต่รวมไปถึงความเหลื่อมล้าในมิติอ่ืนๆ ด้วย อาทิเช่น ความเหลื่อมล้าในทางสังคม ความเหลื่อมล้าในทางด้านศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเหลื่อมล้าในด้านสวัสดิการต่างๆ ความเหล่ือม ล้าทางวัฒนธรรม เป็นต้น) โดยจะต้องศึกษาทังในเชิงในเชิงวิชาการ และท่ีส้าคัญคือ การศึกษาในเชิง ภาคปฎบิ ตั กิ ารเพ่อื แก้ปญั หาความเหล่ือมลา้ ฐ
รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผ่านกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 กล่าวโดยสรุปก็คือว่า ในส่วนที่ว่าด้วยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ความเหลื่อมล้าและ ข้อเทจ็ จริงเกยี่ วกับความยตุ ธิ รรมท้าอย่างไรทจ่ี ะต้องพัฒนาหรือสร้างวิธีการท่จี ะตอ้ งท้าให้มขี ้อเท็จจริงใน เชิงของข้อมูลท่ีรอบดา้ น ทันสมัยอยู่เสมอ และสามารถสะท้อนให้ทราบถึงสถานการณ์ความไม่เป็นธรรม ในเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรมท่ีสัมพันธ์กับโครงสร้างความเหลื่อมล้า และในส่วนที่จะ เช่ือมโยงต่อไปกับกระบวนการสร้างความรู้เพ่ือลดความเหลื่อมล้า นอกจากการพัฒนาระบบฐานข้อมูลท่ี รอบด้านแล้ว จะต้องท้าให้เกิดการยกระดับไปสู่ การสร้าง Public Knowledge ด้วยกระบวนการวิจัย เพือ่ น้าความรู้ไปใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิตหิ รือพืนที่ทางกฎหมาย กล่าวคือ จะต้องท้าให้เกิดการน้าเอา People Research มาด้าเนินการในระดับปฎิบัติเพ่ือสร้างความรู้และเปลี่ยน Exclusive Legal Process ไปสู่ Inclusive Legal Process ฑ
รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผ่านกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 บทคดั ย่อ โครงการกระบวนการยุติธรรมเพ่ือลดความเหล่ือมล้า พัฒนามาจากเง่ือนไขท่ีเป็นค้าถาม พืนฐานของ สกว.ในฐานะท่ีเป็นหน่วยงานส่งเสริมการศึกษาวิจัยมาเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะใน ฝ่ายท่ีเก่ียวข้องกับงานที่เป็นการส่งเสริมชุมชนให้น้าการวิจัยไปในเป็นเคร่ืองมือในการแก้ไขปัญหา หรือ ใชใ้ นการยกระดับการขับเคล่ือนงานของชุมชนให้ไปสู่การพัฒนาในเชิงระบบท่ีใหญ่ขึน งานสนับสนุนให้ ชุมชนใช้ประโยชน์จากงานวิจัยดังกล่าว พอจะมีค้าตอบหรือแนวทางเพ่ือน้ามาใช้เป็นแนวทางในการ แก้ปัญหาพืนฐานของประเทศและสังคมไทยท่ีสั่งสมมาเป็นเวลานานและในปัจจุบันก็ยิ่งทวีความรุนแรง มากยิ่งขนึ ค้าถามหลักของการวิจัยในครังนีมีสมมุติฐานว่าระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็น ทังสาเหตุและทางออกของปัญหาของความเหล่ือมล้า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “ระบบยุติธรรมท่ีจะ ช่วยลดความเหล่ือมลา้ ของสังคมควรจะเป็นอยา่ งไร” โดยมคี ้าถามยอ่ ยๆเพ่ือตอ้ งการที่จะอธิบายสภาพ ปัญหา / ลักษณะของความเหลื่อมล้าที่เกิดจากกระบวนการยุติธรรมมีสภาพเป็นอย่างไร และภายใต้ ระบบความสมั พันธ์ของปจั จัย เง่ือนไข และกลไกตา่ งๆภายใตร้ ะบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่ จะเปน็ ตวั ชว่ ยหรอื ทางออกเพอื่ ลดความเหลอื่ มล้าของสงั คมไทยควรจะเป็นอย่างไร จากการรวบรวมงานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องโดยส้ารวจในเชิงภาพรวมและจัดกลุ่มของงานเพื่อ ตรวจสอบขอบเขตและน้าหนักของเนือหาว่าค่อนไปในทิศทางใด ท้าให้ได้ค้าตอบว่า มีงานวิจัย งาน สมั มนา งานเขยี นตา่ งๆท่เี กย่ี วข้องกบั ค้าถามดงั กลา่ วข้างตน้ ในหลายลักษณะ และมแี นวทางในการเสนอ ทางออกหลายแง่มุม เช่น ถ้ามองในเชิงวิธีการที่จะน้าไปใช้ในการแก้ปัญหา ค้าตอบก็จะเป็นประการ หนึ่ง แต่ถ้ามองในแง่ท่ีว่าปัญหาเกิดจากอะไร โครงสร้างของปัญหาเป็นอย่างไร ส่ิงที่เป็นปัญหามัน ท้างานอย่างไร ค้าตอบก็ตอ้ งเป็นอกี ชุดหน่ึงอีกลักษณะหน่ึงของการตอบ และถ้าถามในเชิงการประเมิน วา่ รัฐก็แก้ปัญหามามากมาย มีหลายหน่วยงานท่ีรับผิดชอบอยู่ มีนโยบายชัดเจน มีแผนต่างๆ มากมาย ทังในระดับชาติ ระดับกระทรวง เป็นต้น แต่ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ค้าตอบในเชิงของการประเมินก็จะเป็น อีกลักษณะหนึ่ง ค้าถามทังหลายดังท่ีกล่าวมาพอสังเขป เป็นค้าถามท่ีชุดงานโครงการกระบวนการ ยตุ ิธรรมเพ่ือลดความเหลื่อมล้า น้ามาขบคิด ออกแบบ และพยายามแสวงหาทางออกของคา้ ถาม ในการสังเคราะห์งานในลักษณะต่างๆที่ได้รวบรวมมาเพ่ือ ดูความสัมพันธ์เช่ือมโยงกันระหว่าง ความเหล่ือมล้า กับ ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้ใช้กรอบแนวคิดในการสังเคราะห์สาม ระดับ ซึ่งประกอบด้วย 1.การสังเคราะห์ในระดับชุดความคิด 2. การสังเคราะห์กระบวนการ 3. การ สังเคราะห์ในระดับปฏิบตั ิการ ฒ
รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผ่านกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ซ่ึงจากการสังเคราะห์ในระดับแนวคิดที่ว่าด้วยความเป็นธรรม และความยุติธรรมของระบบ กฎหมายที่เก่ียวข้องกับปัญหาเร่ืองความเหล่ือมล้า พบว่า ภายใต้ร่มใหญ่ของค้าว่า “ความเหลื่อมล้า” มงี านศึกษาอยู่มากพอสมควร และครอบคลมุ ในมิตทิ ห่ี ลากหลายมากโดยเฉพาะในมติ ทิ างเศรษฐกิจ ทาง สังคม (แต่ในทางการเมือง ในทางกฎหมาย ยังมีอยู่ค่อนข้างจ้ากัด) ซึ่งหากจะน้าเอาแนวคิดทฤษฎีที่ เก่ียวข้องกับความยุตธิ รรม(สากล )ทังหลายมาประเมินวเิ คราะห์ท้าใหเ้ ห็นชอ่ งว่างระหวา่ งความเป็นจริง ทังในเชิงระบบ กระบวนการ และแนวคิด กับสภาวะในเชิงอุดมคติท่ีระบบกฎหมายและกระบวนการ ยุติธรรมตามแบบระบบสากลได้พัฒนาทังในเชิงกระบวนการและโดยเนือหาความยุติธรรมอันผลจาก กระบวนการยุติธรรมในการใช้อ้านาจสาธารณะในด้านต่างๆ (นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ) จน น้าไปสู่การตกเป็นผลึกทางแนวความคดิ และกลายเป็นส้านึกร่วมกันของสังคม ชอ่ งว่างในมิตติ า่ งๆของ ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเป็นปัจจัยสนับสนุนและเสริมร่วมกับปัจจัยอ่ืนๆในทางสังคม เศรษฐกิจ การเมอื ง วัฒนธรรม ท้าให้ปัญหาและผลกระทบจากความเหลือ่ มลา้ ดา้ รงอยู่ ช่องว่างที่ส้าคัญอีกประการหนึ่งท่ีมีความส้าคัญด้วยเป็นอย่างย่ิง ช่องว่างท่ีเกิดขึนระหว่าง ความรู้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงความรู้ภายในของระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมท่ี มีต่อ สถานการณ์ “ความเหลื่อมล้า” และต่อสถานการณ์ความขาดแคลนความรู้เกี่ยวกับความเป็นธรรมของ สังคมไทย ซ่ึงจา้ เปน็ ต้องเพ่ิมเติมด้วยแนวคดิ ใหมๆ่ เข้ามาส่รู ะบบกฎหมายและกระบวนการยุตธิ รรมที่ติด อยู่ภายใต้กรงครอบและพรมแดนของความรู้ที่อ้างความชอบธรรมจาก “ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านใน ความรู้” และตัวบทกฎหมาย และด้วยช่องว่างของพรมแดนความรู้ดังกล่าวจึงท้าให้งานต่างๆท่ี เกี่ยวกับความยุติธรรมส่วนใหญ่จ้ากัดอยู่แต่เฉพาะปัญหาอันเกิดจากกระบวนการยุติธรรม ซ่ึงอาจจะ สามารถจัดกลุ่มของงานที่ได้รวบรวมมาเพอ่ื สะท้อนให้เหน็ ข้อมลู ไดเ้ ป็นสามกลุม่ ใหญๆ่ ดงั นี 1) งานที่ว่า ด้วยปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในด้านต่างๆ, 2) งานที่ว่าด้วยสิทธิและการเข้าไม่ถึงสิทธิใน กระบวนการยุติธรรม, 3) งานท่ีว่าด้วย เหยื่อของกระบวนการยุติธรรม และผลกระทบท่ีเกิดจากความ ผิดพลาดของกระบวนการยุติธรรม และ 4) งานที่ว่าด้วยทิศทางและการปฎิรูประบบกระบวนการ ยุติธรรม ซ่ึงสามารถสะท้อนถึงกระบวนการยุติธรรมและความเหลื่อมล้าได้ในระดับท่ีจ้ากัดเท่านันเมื่อ เปรียบเทียบกับงานท่ีศึกษาเกี่ยวกับความเหล่ือมล้าที่ส้าคัญๆในศาสตร์อ่ืนๆ ซ่ึงมีความหมายว่าระบบ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมยังมีความไม่รอู้ กี มากท่ีขาดหายไป ความไม่รู้ ความไม่เข้าใจที่ขาดหายไป เป็นเพราะระบบกฏหมายและกระบวนการยุตธิ รรมยังไม่มี ระบบหรือกลไกใดๆ ท้าหน้าท่ีอย่างจริงจัง ที่จะท้าการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อท้าความ เข้าใจและติดตามสถานการณ์ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการยุติธรรมในทุกๆ ด้าน (ทังทาง แพ่ง ทางอาญา ทางปกครอง ทางรัฐธรรมนูญ ทางส่ิงแวดล้อม ทางสิทธิมนุษยชน) ประกอบกับการไม่มี ระบบการประเมนิ ผลกระทบท่จี ะนา้ ไปสู่การเพ่ิมขึนหรือลดความเหลอ่ื มล้าในดา้ นต่างๆ (ไม่เฉพาะแต่ใน ทางด้านเศรษฐกิจเท่านัน แต่รวมไปถึงความเหล่ือมล้าในมิติอ่ืนๆ ด้วย อาทิเช่น ความเหล่ือมล้าในทาง สังคม ความเหลื่อมล้าในทางด้านศักด์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเหล่ือมล้าในด้านสวัสดิการต่างๆ ความ ณ
รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผ่านกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 เหลื่อมล้าทางวัฒนธรรม เป็นต้น) ดังนัน หากต้องการท่ีจะถมช่องว่างของความไม่รู้ดังกล่าวจ้าเป็นท่ี จะต้องท้าให้ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเกิดระบบการศึกษาวิจัยทังในเชิงวิชาการ ในเชิง ปฎิบัติการทางกฎหมายเพ่ือแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมอันเกิดมาจากความเหลื่อมล้าทังที่เกิดจากระบบ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเองและจากโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี โดยจะต้องท้าให้พืนท่ีของระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเกิด กระบวนการ People Research เข้ามาด้าเนินการในระดับปฎิบัติ เพื่อสร้างความรู้และเปลี่ยน กระบวนการใชอ้ ้านาจจาก Exclusive Legal Process ไปสู่ Inclusive Legal Process ซ่ึงจะท้าให้เกิด การพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่เก่ียวกับความเหลื่อมล้า และ ระบบกฎหมายรวมถึงกระบวนการยุติธรรม รอบดา้ น เพื่อยกระดบั ไปสกู่ ารสร้างใหเ้ กดิ Public Knowledge ดว้ ยกระบวนการวิจยั ด
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผ่านกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 Abstract The project of “justice system for reducing inequality” has been developed from foundation question of the Thai Research Fund (hereafter TRF) -- the institution constantly encouraging research and studies for a long time, especially the institution engaging communities in applying research and using it as a method to tackle problems or lift up communities’ duties to be in the systematic development level. This research supports the communities to reach these aims and provides some solution to pave the way to sort out fundamental national problems of Thai society that have deeply rooted and become more severe. The main question of this research draws upon a hypothesis that legal system and justice system are the causes and solutions for the problem of inequality. In other words, “what should the justice system that could reduce social inequality be?” accompanying with sub-questions aiming to delineate state of problems/ emergence of inequality caused by the justice system with regard to connections between factors, conditions and mechanism under legal system and justice system themselves. Regarding great works of literature that have been reviewed and categorized to investigate and weigh their contents, there are a number of studies, conferences, journals that involve those research questions and present different routes to convey the solutions from different perspectives. For example, in making a concrete solution, the answer is likely to be in a different form from the perspective of finding the causes, the structure of the problem, and its processes. It also differs from an aspect of evaluation on an efficiency of the government's policies in tackling problems in which many institutions have been involved with the concrete policy provided, and numerous plans in national and ministry levels and the solution for the problem would be presented in another way. All of the research questions roughly mentioned before are questions that the project of \"legal system for reducing inequality\" has set up to criticize, design and finding the answers. ต
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผ่านกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 According to literature reviews that were gathered to find a coherence between inequality and legal system and justice system, there are three main steps within the conceptual framework as follows: 1. synthesis of idea and concept; 2. synthesis of process level; and 3. synthesis of practice. According to analysis and synthesis levels of idea and concepts of equality and justice in legal system regarding inequality, the research found that under the umbrella of \"inequality\", there are a number of studies that cover various dimensions, particularly, in economics and society; however, in politics and legal studies also have limits. By applying the concepts of universal justice to analysis, there is a gap between reality and idealism in the system and procedure as a universal idea of legal concept has been developed from justice system based on public authorities (legislative, administrative and judicial powers) that construct digested knowledge and collective consciousness of society. Loopholes in different dimensions of the legal system and justice system are factors that intensify other factors in economics, politics and culture and perpetuate causes and outcomes of inequality that still exist in society. Another significant gap is a gap emerging between knowledges, especially in internal knowledge within legal system and justice system based upon phenomenon of “inequality” and the lacks of knowledge on justice in Thai society being in a stage of a high demand for additional knowledge and innovation that could be added into legal system and justice system embedding themselves with “professional knowledge” and legal text. Regarding a gap between knowledge, justice matters therefore mostly are limited to the problem caused by justice system and can be divided into three groups as follows: 1. the subject matter of various problem of judicial system; 2. the subject matters relating to rights and incapacity of access to right to justice system; 3. the tasks on victims of justice system and effects of miscarrying of justice system; and 4. burdens on outlook and justice reformation. These categories are able to reflect justice system and inequality in a very narrow way comparing to other areas of different disciplines. Thus, legal system and justice system are still lack of bundles of knowledge. The lacks of knowledge and misunderstanding mentioned above are the consequences of short-lived and unsystematic studies of legal and justice system, that would help to understand and monitor the circumstances between justice system and every aspect (such as civil law, criminal law, administrative law, environment, and human ถ
รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 rights), accompanying with absence of the effective assessment that should lead to increase or reduce inequality in various aspects (for instance, it should not only focus on economic aspect but also include social inequality, inequality in humanity, inequality in social welfare, and inequality in culture.). Therefore, to fill out the gaps, it is essential to generate systematic studies of legal system and justice system in academic aspect and practice to solve problem of inequality rooting in the systems, social structure, economy, politics, culture, environment, and technology by making spaces of legal system and justice system for building process of \"people research\" that will be recruited people to the practice level to produce knowledge and transform the use of power from \"exclusive legal process\" to \"inclusive legal process\". This will consequently create the development of well-rounded systematic database regarding inequality and legal system as well as justice system and lift up to the level of public knowledge with research methodology. ท
รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่ือมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 สารบญั หน้า บทสรปุ สาหรับผบู้ รหิ าร ก บทคัดยอ่ ฒ Abstract ต สารบัญ ธ บทท่ี 1 บทนา 1-1 1.1 ความเปน็ มาและความส้าคัญ 1.1 1.2 วตั ถุประสงค์ 1-4 1.3 กิจกรรมตา่ งๆ เพ่ือให้บรรลวุ ตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัยแต่ละข้อ 1-4 1.4 ขอบเขตการศึกษา 1-7 1.5 วิธดี ้าเนนิ การวจิ ยั 1-8 1.6 ผลลัพธท์ ี่คาดว่าจะได้รบั จากโครงการ (Outputs) 1-9 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม 2-1 2.1 กระบวนการยตุ ิธรรมแก้ไขความเหลอ่ื มล้าอย่างไร 2-24 2.2 กระบวนการยุติธรรมมหี น้าทใี่ นการลดความเหลอ่ื มลา้ อยา่ งไร 2-33 2.3 งานในมิติทางกฎหมายและทางกระบวนการยุติธรรมที่สามารถ 2-49 ใช้เปน็ ช่องทางในการแก้ปัญหาความเหล่ือมล้าอย่างไร 2.4 งานศึกษา/วิจัยท่เี สนอทางแก้หรือทางออกของปัญหาฯ 2-141 บทท่ี 3 การดาเนนิ กิจกรรมภายใตโ้ ครงการฯ 3-1 บทท่ี 4 บทสังเคราะห์ 4-1 ส่วนท่ี 1 การสังเคราะห์ชุดความคิดในทางกฎหมายเพ่ืออธิบาย 4-2 ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ก า ร ใ ช้ อ้ า น า จ ที่ ไ ม่ ยุ ติ ธ ร ร ม กั บ ปั ญ ห า ความเหล่ือมลา้ ส่วนที่ 2 การสังเคราะห์ชุดแนวคิดในทางกฎหมายเพ่ือวิเคราะห์และ 4-13 ประเมินกระบวนการยุติธรรมเพื่อลดความเหล่ือมล้า และ ทางออกของปัญหาความเหล่ือมท่ีเกิดจากกระบวนการ ยตุ ิธรรม ธ
รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญ ความยากจน ความเหล่ือมล้า เป็นโจทย์ทางสังคมท่ียงั ไม่มีค้าตอบท่ีชัดเจน หรอื ยังไม่แนวทางที่ มีประสิทธิภาพพอท่ีจะแก้โจทย์ปัญหาดังกล่าวได้ และการปลอ่ ยให้ปัญหาความยากจน ความเหล่ือมล้า เป็นไปตามยถากรรม ปล่อยให้ปัญหาคล่ีคลายไปเอง นอกจากจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ยังจะน้าไปสู่ปัญหา ใหม่ในทางสังคมตามมา ดงั ท่ีมปี รากฎการณใ์ หเ้ ห็นมาอย่างมากมาย ทังจากกรณขี องประเทศต่างๆ และ กรณีภายในประเทศไทยเราเอง ความพยายามในการแก้โจทย์ดังกล่าวมีมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านงานวิจัย งานศึกษา และการ จดั ทา้ โครงการแผนงานตา่ งๆ ทังของภาครัฐ และของนกั พฒั นาเอกชน งานทงั หมดท่ีกลา่ วมาสามารถท้า ให้ผู้ที่สนใจในการที่จะศึกษาหรือแก้ปัญหาเรื่องความยากจน ความเหล่ือมล้า เข้าใจบริบท ขอบเขต สันฐานครา่ วๆ ของปญั หา (ชุดงานตา่ งๆ) ขณะเดียวกัน ในระดับพืนท่ีก็มีกิจกรรมต่างๆ ที่เข้าไปด้าเนินการเพ่ือแก้ปัญหาความเหล่ือมล้า ความยากจน ทังในรูปแบบโครงการต่างๆ ของภาครัฐ แต่ท่ีน่าสนใจเป็นพิเศษคือ กระบวนการในการ ขับเคล่ือนเพื่อแก้ปัญหาของตนเองโดยปัจเจกบุคคล กลุ่ม ชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้น้าในพืนที่ ไม่ว่าจะเก่ียวข้องกับความเหลื่อมล้าหรือความยุติธรรมโดยตรง หรือ ท่ีไม่เก่ียวข้องก็ตาม เช่น การจัดระบบสวัสดิการของชุมชน การจัดท้าบัญชีครัวเรือน การฟื้นฟูภูมิปัญญาในการจัดการทรพั ยากร ที่ดิน ป่าไม้ แหล่งน้า ความหลากหลายทางชีวภาพ การแก้ไขปัญหาหนีสิน การจัดการความขัดแย้ง การดูแลสุขภาพ ฯลฯ หรอื แม้กระทังงานท่ีมีลักษณะเป็นโครงการสนับสนุนให้เกดิ ขบวนการขับเคลื่อน เหลา่ นนั (งาน node) อย่างไรก็ตาม จากการทบทวนงานต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับประเด็น “ระบบความยุติธรรมเพื่อลด ความเหลอ่ื มล้า” ท้าให้เหน็ มิติทส่ี ้าคัญๆ ดังต่อไปนี 1. มิติของ “ความรู้” ซึ่งพบว่าขอบเขตความเข้าใจเกี่ยวกับความยุติธรรมยังเป็นความหมาย อย่างแคบ คือ ความยุติธรรมทางกฎหมายและมุ่งถึงบทบาทของกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง ทาง อาญา เป็นส้าคัญ ส่วนใหญ่จะตกอยู่ในบทบาทของเจ้าหน้าท่ีของรัฐเป็นหลัก และภายใต้บทบาทของ เจา้ หน้าท่ีของรัฐด้วยทศั นะคตแิ บบรฐั ราชการ ท้าใหค้ วามสัมพันธก์ บั ภาคสงั คมเป็นไปแบบปิด มายาคติของความรู้ในด้านนีจึงท้าให้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบความยุติธรรมไม่สามารถทะลุ ไปสู่ สาเหตเุ ชิงโครงสร้าง 1-1
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 สาเหตุของผลกระทบจากกระบวนการใช้อา้ นาจท่ีไม่มีประสิทธิภาพ สาเหตุของกระบวนการใช้อ้านาจรัฐในมิติอ่ืนๆ เช่น การจัดท้านโยบาย การจัดสรร การ วางแผน การป้องกันผลกระทบ การสง่ เสริม ฯลฯ ซึ่งสาเหตุต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีความเก่ียวข้องกับความยุติธรรมทังโดยตรงและโดยอ้อม ทังนียัง มิได้กล่าวถึงงานท่ีศึกษาเร่ืองความเหล่ือมล้าในมิติทางเศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยามานุษยวิทยา ซึ่งจะมี ปมประเด็นปัญหาที่ซับซ้อนย่ิงขึนไปอีก และนันหมายความว่ายังมีพืนที่ของความรู้และความไม่รู้ทังใน ประเด็นเร่ืองความเหล่ือมล้าและระบบความยุติธรรมท่ีต้องศึกษา ค้นคว้า วิจัย และปฏิบัติการ อีกเป็น จ้านวนมาก 2. ช่องว่างของการเข้าใจความหมายของระบบความยุติธรรมในความหมายอย่างแคบและ ความหมายอยา่ งกว้าง โดยความยุติธรรมในมติ อิ ื่นๆ เชน่ ความยตุ ธิ รรมในกระบวนการนิตบิ ัญญัติ (ทงั ในระดับชาติ และระดับทอ้ งถ่นิ ) ความยุติธรรมในการใช้อ้านาจของฝ่ายบริหาร (การก้าหนดนโยบาย) และของฝ่าย ปกครอง (การบงั คับใชก้ ฎหมาย) หรือกระทังความยุติธรรมในการระงับข้อพิพาทโดยอ้านาจตุลาการ ซ่ึงในความหมาย อย่างแคบจะหมายถึงการด้าเนินคดีในทางศาล แต่ในขณะที่ในปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมไปไกลถึง ดา้ นกระบวนการยุตธิ รรมทางเลอื ก แต่ในมิติของความหมายอย่างกว้าง สามารถมองระบบความยุติธรรมในระดับประเด็น เฉพาะท่ีกวา้ งขวางออกไป จากหน่วยงานที่ใช้อา้ นาจตามความหมายอย่างแคบ เชน่ มองในมิตเิ ศรษฐกิจ มองในมิติความเท่าเทียมเสมอภาค มองในมิติทางวัฒนธรรมความสัมพันธ์ในทางสังคม หรือที่เป็นมิติ ล่าสุดคือ มองในมิติของความยุตธิ รรมทางสงั คมและสิ่งแวดลอ้ ม ฯลฯ ดังนัน ในเชิงมิติของความรู้ จึงอยู่ที่จะท้าให้สังคม (รวมถึงกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก) เกิด paradigm shift จากความหมายอย่างแคบไปสู่ความหมายอย่างกว้างได้อย่างไร Entry point อยู่ ในแต่ปญั หาหากจะแกไ้ ขตอ้ งเริ่มอยา่ งไร ใช้วธิ กี ารแบบไหน ต้องปรบั ปรุงแกไ้ ขอะไร ฯลฯ งำนวิจยั เชิงสังเครำะห์ท่ีจะดำเนินกำรน้ี จะนำเอำงำนปฏิบัติกำรทำงสังคมผ่ำนกำรวิจัยเชิง ปฏิบัติท่ีผ่ำนๆ มำซ่ึงมีจำนวนมำกเพียงพอมำเป็นฐำนในกำรสังเครำะห์ให้เห็นถึงควำมสัมพันธ์ ระหว่ำงระบบของกระบวนกำรยุติธรรม1กับควำมเหลือ่ มล้ำท่ีเช่ือมโยงสัมพันธ์กัน เป็นสำเหตุปัญหำ 1 “กระบวนการยุติธรรม” ในที่นี มิได้หมายถึงเฉพาะกระบวนการยุติธรรมทางการศาล หากแต่ต้องการที่จะให้มี ขอบเขตรวมไปถึง ความยุติธรรมที่เกิดจากการใช้อ้านาจอธิปไตยขององค์กรอ่ืนๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่ใช้อ้านาจ นิติบัญญัติ องค์กรที่ใช้อ้านาจบริหาร และองค์กรท่ีเป็นฝ่ายปกครอง ซึ่งนอกจากจะใช้ความชอบด้วยกฎหมาย ก้ากับ การใช้อ้านาจในแต่ละดา้ นแลว้ ยงั จะต้องถูกวัดดว้ ยความยตุ ิธรรมท่ีจะเกดิ ขึนจากการใชอ้ ้านาจนนั ๆ อีกชนั หน่ึง 1-2
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ของกันและกัน และแม้กระท่ังน่ำจะเป็นทำงออกของปัญหำที่ซ้อนทับอยู่ ทั้งในส่วนของระบบ กระบวนกำรยุตธิ รรม และในสว่ นของปัญหำควำมเหล่อื มลำ้ โดยเปำ้ หมำยของกำรสงั เครำะห์เพ่ือต้องกำรทจ่ี ะช้ีให้เห็นประเดน็ ท่ีสำคญั ดงั นี้ ประกำรทีห่ น่ึง ในระดับควำมรู้ โดยจะเน้นหนกั ในระดบั ทเ่ี ปน็ แนวคดิ ทศั นะ มำยำคติ กรอบในกำรมองหรือกรอบคิดในควำมเข้ำใจทั้งในสว่ นระบบกระบวนกำรยุติธรรม และควำมเหลื่อม ล้ำ ประกำรท่ีสอง ในระดับโครงสร้ำง กลไก กฎระเบียบ และกำรจัดควำมสัมพันธ์ ที่นำไปสู่ ปัญหำควำมไม่เป็นธรรม ควำมเหลอื่ มลำ้ ประกำรที่สำม สังเครำะหต์ ัวอยำ่ งรูปธรรมในทำงปฏบิ ัติ ซงึ่ ประกอบดว้ ย สองดำ้ น คือ ด้ำนที่จะสะท้อนให้เห็นถึง กระบวนกำรของระบบท่ีทำให้เกิดควำมเหลื่อมล้ำ หรือเป็น จุดเริ่มตน้ ท่ีจะนำไปสู่ภำวะของควำมเหลอ่ื มลำ้ และ ด้ำนที่จะสะท้อนให้เห็นถึง รปู แบบ กระบวนกำร วิธีกำร หรือ เง่ือนไข ที่สังเครำะห์จำกงำน ปฏิบัติกำรที่เกิดข้ึนในระดับพ้ืนที่ หรือ ในระดับกำรแก้ไขปัญหำของหน่วยงำน ซึ่งสำมำรถที่จะเป็น ทำงออกของปัญหำ ควำมไม่เป็นธรรม หรอื ควำมเหลื่อมลำ้ ได้ ในประเด็นการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ การลดความเหล่ือมล้าของสังคม เพื่อต้องการท่ีจะเห็น ตวั อยา่ งรูปธรรมที่เกดิ ขนึ จริงๆ ผา่ นระบบกระบวนการยุติธรรม อันเป็นวิธกี าร ช่องทาง และโอกาสที่จะ ท้าให้ชุมชนท้องถ่ิน เข้ามามีส่วนในการก้าหนด กติกา กลไก วิธีการและข้อเสนอเชิงมาตรการ เพื่อไปสู่ การบรรลุเป้าหมายในการลดความเหล่ือมล้า ซ่ึงอาจจะต้องมีการด้าเนินการในหลายๆ มิติและแบ่ง ออกเปน็ ระยะๆ ในกระบวนการพฒั นาเพื่อท้าให้เกิดระบบการร่วมงานกับภาคส่วนต่างๆ ดงั ทกี่ ล่าวมาข้างต้น มี สมมุติฐานที่ตังอยู่บนความเช่ือท่ีว่าปัญหาเรื่องความ (ไม่) เป็นธรรมกับปัญหาเรื่องความเหล่ือมล้าเป็น สองประเด็นของปมปัญหาท่ีเกีย่ วพันเชื่อมโยงกัน เริ่มทจ่ี ะมีงานศึกษาที่ชีให้เหน็ ถึงความเช่ือมโยงของทัง สองปมมากขนึ และทงั สองปมดงั กล่าวต่างเป็นประเด็นใหญ่ทังสองประเด็น ดังนัน ถ้าต้องการท่ีจะแก้ปัญหาด้านหนึ่งโดยไม่มองอีกปัญหาหนึ่ง ก็จะไม่สามารถท่ีจะ แก้ปัญหาท่ีตังใจไว้ได้ ความเช่ือเช่นนีเป็นความเชื่อท่ีตังอยู่บนฐานความคิด ที่มองปัญหาแบบเป็นองค์ รวมและเชอ่ื มโยงเพอ่ื ให้เห็นสาเหตุ และทางเลือกท่ีเปน็ ทางออกของปัญหา จุดเน้นของโครงการวิจัยจะให้ความส้าคัญกับการสังเคราะห์ตัวระบบ/โครงสร้าง/สถาบันทังที่ เป็นทางการ ก่ึงทางการ และไม่เป็นทางการ โดยใช้กรณีศึกษาที่เป็นปัญหาที่เกิดขึนกับผู้คนต่างๆ มา เป็นฐานในการสังเคราะห์ และมุง่ ให้ความส้าคัญกับทางออกที่เน้นบทบาทของภาคประชาชน ซ่งึ เป็นผู้ที่ ได้รบั ผลกระทบจากระบบกฎหมาย จนท้าให้ตกอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถท่ีจะด้ารงชีวิตได้อย่างปรกติ ใน 1-3
รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 เวลาเดียวกันก็จะใช้องค์ความรู้จากผลการวิจัยหลายๆ เรื่องท่ีได้ด้าเนินการเสร็จสินและได้ชีให้เห็นถึง ทางออกของปัญหา โดยเฉพาะในส่วนท่ีเก่ยี วกับปัญหาคนจน/คนด้อยโอกาส เช่น โครงการวิจัยเกี่ยวกับ แนวทางการสรา้ งความเสมอภาคและความเป็นธรรมในกระบวนการยตุ ิธรรม โครงการสิทธิชมุ ชนศึกษา, โครงการศึกษากฎหมายเพื่อคนจน ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรม กระทรวง ยุติธรรม โครงการศึกษาการพัฒนากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ กรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เวทีนโยบายสาธารณะเพื่อเอาชนะความยากจน โดยคณะท้างานเครือข่าย ยุทธศาสตร์เพื่อเอาชนะความยากจน รวมถึงงานวิจัยเชิงปฏิบัติการท่ีสนับสนุนโดย สกว.และรวมถึง องค์กรอ่ืนๆ มาสังเคราะห์เพื่อประเมินองคค์ วามรู้ดังกล่าว ในการท่ีจะน้าไปจัดท้าเปน็ ข้อเสนอ หรือเป็น ปฏิบัติการในระดับของการขับเคล่ือนเพื่อการเปล่ียนแปลงนโยบาย กฎหมาย แนวทางปฏิบัติของ หน่วยงาน หรือการใช้เป็นแนวทางในการชักชวนให้ชุมชนท้องถ่ิน เกิดการพัฒนาความร่วมมือเป็น เครือข่ายในการแก้ไขปัญหาของชุมชนท้องถ่ินเอง ซึ่งเป็นแนวทางท่ีส้าคัญในการปรับโครงสร้าง ความสมั พนั ธ์ในชุมชนท้องถิ่นในการเลือกที่จะก้าหนดอนาคตของตนเอง 1.2 วัตถุประสงค์ 1) เพื่อสังเคราะห์ปรากฏการณ์ความเหล่ือมล้าจากกรณีศึกษาต่างๆ ท่ีเป็นผลกระทบมาจาก กระบวนการทางกฎหมาย 2) เพื่อศึกษาและอธิบายความสัมพันธ์ในเชิงกระบวนการของปัจจัย เง่ือนไข และกลไกต่างๆ ในกระบวนการยุตธิ รรมท่ชี ่วยลดความเหลื่อมลา้ ของสงั คม 1.3 กจิ กรรมต่ำงๆ เพื่อให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจัยแต่ละข้อ (ระยะเวลำ 1 ปี ก.ย. 2558 - ส.ค. 2559) วัตถุประสงค์ กจิ กรรม ระยะเวลำ ผลที่คำดวำ่ ได้รับ 1.เพอื่ ส้ารวจงานทศ่ี ึกษาที่ 1.กระบวนกำรเตรยี มกำรกำร 1 ปี 1.ทราบรายชื่องานต่างๆที่ศึกษา เกย่ี วข้องกับความสมั พนั ธ์ สงั เครำะห์งำนศึกษำ-วิจัย (ก.ย. 58-ส.ค. เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ระหวา่ ง “กระบวนการยตุ ธิ รรม 1.1 ด้าเนินการรวบรวมงาน 59) กบั ความเหลอื่ มล้า กบั ความเหล่ือมลา้ ” หรืองานท่ี ศึกษาวจิ ยั ที่เก่ยี วข้อง เชน่ 2.สามารถทราบถึงทิศทางของ จะสามารถสะท้อนใหเ้ ห็นถึง หนังสอื ตา้ รา บทความ งานวิจัย งานศึกษาท่ีรวบรวมได้วา่ มุ่งเน้น ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง วทิ ยานิพนธ์ ผลสรปุ จากการ ไปในประเด็นและทิศทางไหน “กระบวนการยตุ ิธรรมกับความ สัมมนา เหลอื่ มลา้ ” 1-4
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 วตั ถุประสงค์ กิจกรรม ระยะเวลำ ผลท่คี ำดวำ่ ไดร้ ับ 1.2 เพอ่ื วิเคราะห์สถานภาพของ 1.2 ตดิ ต่อนกั วิชาการ พ.ย.58- ก.พ. 1.ไ ด้ ผ ล ก า ร สั ง เ ค ร า ะ ห์ องคค์ วามรจู้ ากงานท่รี วบรวม ผู้ทรงคุณวุฒเิ พอื่ ดา้ เนนิ การใน 59 ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง การสังเคราะหส์ ถานภาพองค์ กระบวนการยุติธรรมกับความ ความรผู้ ่านงานท่รี วบรวม เหล่ือมลา้ 2.รายงานผลการสังเคราะห์ 1.3 เพอื่ จัดตังทีมนักวิจยั 1.3 คดั เลอื กและติดตอ่ ผู้ 2 เดอื น 1.สามารถจัดตังทีมนักวิจัยเพ่ือ ทรงคุณวุฒิ และ นักวจิ ยั เพือ่ ท้า (ต.ค.-พ.ย.58) สั ง เค ร า ะ ห์ ง า น ต า ม ป ร ะ เด็ น ความเขา้ ใจงานการสงั เคราะห์ ต่างๆ ในแผนงานกิจกรรม ในระดบั สถานภาพขององค์ ความรู้ และสังเคราะหค์ วามรู้ จากงานในภาคปฏิบัติในระดบั พืนที่ หรอื ตามประเด็นเฉพาะ 1.4 สรา้ งความเข้าใจรว่ มกนั ใน 1.4 ประชมุ ร่วมกบั ทีมนักวิจัยใน เดือนก.ย- 1. ที ม วิจัยท ราบ แ ละเข้าใจ ขอบเขตของงานในแตล่ ะทมี วจิ ัย พนื ท่ี (node) เพอ่ื ก้าหนดกรอบ พ.ย. 58 ขอบเขตของงานสงั เคราะห์ และ และร่วมกันออกแบบกรอบคดิ ท่ี การสังเคราะห์ เปา้ หมาย ขอบเขตความรับผิดชอบ และ จะใช้ในการสังเคราะห์รว่ มกัน ขอบเขต ระยะเวลา และผลผลติ ผลผลติ ของงาน ของงานศกึ ษาสงั เคราะห์ 2. สามารถพัฒนากรอบคิดที่ใช้ ในการสงั เคราะห์ร่วมกนั 1.5เพ่ือรว่ มเก็บขอ้ มูลทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 1.5 การเขา้ รว่ มประชมุ งาน (ภายในช่วง - การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลา 1 ที่จะเป็นความรู้ประกอบการ ทเี่ ปน็ ความรู้จากแหลง่ ขอ้ มลู เสวนา ตา่ งๆ ท่ี เกยี่ วข้องดา้ น ปี ของ สั ง เค ร า ะ ห์ ค ว า ม รู้ แ ล ะ โครงการวิจยั ) ก ร ะ บ ว น ก า ร เค ลื่ อ น ง า น ต่างๆ และ ข้อมลู ด้าน กระบวนการยตุ ิธรรมและปญั หา สงั เคราะห์ สถานการณ์ ที่ก้าลังเกดิ ขึน ความเหลอ่ื มล้า 1.6 เพอื่ รวบรวมขอ้ มูล ตดิ ตาม 1.6 จดั ประชุมเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร ก.พ. – เม.ย. - การรวบรวมข้อมูลที่เก่ียวข้อง การเคลื่อนไหวข้อในกล่มุ กบั กล่มุ ผเู้ ก่ยี วข้อง ระดบั 59 ที่ จ ะ เ ป็ น ค ว า ม รู้ แ ล ะ หนว่ ยงาน และกลมุ่ ผเู้ ก่ยี วข้อง นโยบาย ข้อเส น อแ น ะป ระ กอบ การ เชิงนโยบาย ในช่วงเตรยี มการ สังเคราะห์และสร้างเครือข่าย สงั เคราะห์ข้อมลู ภาคคี วามรว่ มมอื 1.7 เพอื่ นา้ เสนอความคืบหนา้ 1.7 จัดประชมุ เชงิ ปฏิบัตกิ าร เดือน ก.พ.58 -น้าการเสนอผลการด้าเนินงาน ผลการด้าเนนิ งาน ทงั ดา้ นข้อมลู เพอ่ื รายงานผลจากการเตรยี ม ต่อผู้เกย่ี วขอ้ ง และสกว. และกระบวนการด้าเนนิ งาน การสังเคราะห์ ทงั ขอ้ มูลทไ่ี ด้ - ข้อมูลที่ท่ีจะได้รับการเติมเต็ม - เพือ่ รบั ฟงั ข้อเสนอแนะจาก และขอ้ เสนอแนะ ทไี่ ดร้ ับมา จากผเู้ ก่ียวข้องและผู้ทรงคณุ วฒุ ิ ความคิดเห็นของผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ศกึ ษาระดมความคดิ เหน็ จาก ผู้ทรงคณุ วุฒิ 1-5
รายงานวิจัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 วัตถุประสงค์ กิจกรรม ระยะเวลำ ผลท่คี ำดว่ำได้รับ เดือน ก.พ.58 1.8 เพ่ือรวบรวมและสรุปผล 1.8 ทีมวิจัยสรปุ ผลการ -ขอ้ มลู จากการวเิ คราะห์และ ของการดา้ เนนิ งานในชว่ งแรกท่ี ด้าเนนิ งานรว่ มกัน สรปุ ผล ผา่ นมา -แผนการด้าเนินงานระยะตอ่ ไป 1.9 เพ่อื น้าเสนอผลการ 1.9 การจดั ทา้ รายงาน เดอื นก.พ.58 -รายงานความก้าวหนา้ ทีท่ ่ีเปน็ ด้าเนินงาน กับ สกว. ความก้าวหนา้ ต.ค. 58 ผลของการดา้ เนินงานระยะท่ี ผา่ นมา 2.1 เพ่ือวางแผนการการ 2.กำรสงั เครำะหง์ ำนในเชงิ - แผนการด้าเนินงานสังเคราะห์ ด้าเนินงานสังเคราะหร์ ะดบั พนื ที่ ปฏบิ ัตกิ ำรในระดบั พนื้ ที่ ระดับกรณศี ึกษาในพืนท่ีต่างๆ -เกิดกระบวนการท้างานอย่างมี ระดับโครงการวจิ ยั 2.1 ดา้ เนินการประชมุ รว่ มกับ ส่วนร่วมกับ สกว. ฝ่ายวิจัยเพื่อ -เพอ่ื กระบวนการทา้ งาน สกว. เพื่อคดั เลือก node ท่มี ี ทอ้ งถาน สังเคราะหอ์ ยา่ งมสี ่วนรว่ ม จาก งานปฏิบัติการในพืนท่ตี า่ งๆท่ี -ได้พนื ทกี่ รณีศกึ ษาทมี ีชดุ ความรู้ สกว. สามารถสะทอ้ นตวั อยา่ งของ พรอ้ มสามารถสังเคราะหใ์ นพืนที่ -เพือ่ คดั เลือกกรณศี กึ ษา องค์ กรณีความเหล่อื มลา้ ทเ่ี กิดจาก ความร้ทู ีเ่ ปน็ ผลการดา้ เนินงาน ระบบกระบวนการยตุ ธิ รรม ใน จาก งานวจิ ัยเพื่อทอ้ งถ่ิน ประเดน็ 2.1.1 การจดั การ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สง่ิ แวดล้อมในพนื ทีภ่ าคเหนอื ภาคตะวนั ออก ภาคใต้ ภาค ตะวนั ตก และภาคกลาง 2.1.2 งานพัฒนา กระบวนการยตุ ิธรรรมเชงิ สมานฉนั ท์ ท่ีกระจายในพืนท่ี ต่างๆ 2.2 เพื่อสรปุ ผลตดิ ตาม 2.2 จัดประชุมร่วมกับnodeจาก เดอื น พ.ค.58 -เกิดข้อมูลและกิจกรรมสรุปผล ความก้าวหน้า และทบทวน ประเด็นต่างๆ เพื่อติดตามงาน ติดตามความก้าวหน้า และ ความรแู้ ละกจิ กรรมการ แ ล ะ แ ล ก เป ล่ี ย น ผ ล ก า ร ทบทวน ความรู้และกิจกรรม สงั เคราะห์ ด้าเนินการสังเคราะห์ระยะที่ 1 การสังเคราะห์ เมอ่ื ด้าเนนิ การไปแลว้ 3 เดือน 1-6
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 วตั ถุประสงค์ กิจกรรม ระยะเวลำ ผลทีค่ ำดว่ำไดร้ บั 2.3 เพอื่ ทบทวนความรผู้ ลของ -โจทย์วิจัย ห รือ ป ระเด็นที่ การสงั เคราะห์ของแตล่ ะพนื ท่ี 2.3 ด้ า เ นิ น ก า ร ป ร ะ เมิ น เดอื น มิ.ย.- สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นงาน -เพอ่ื สกดั ความรู้ สา้ หรับนา้ ไป สั งเค ราะ ห์ ผ ล ท่ี ได้ จ ากการ ก.ค. 59 ศึกษาในเชิงวิเคราะห์ระบบการ ขยายผลต่อกบั กลมุ่ ผเู้ ก่ียวข้อง ด้าเนินการสังเคราะห์ เพ่ือสกัด บริหารราชการ และกฎระเบียบ เป็นโจทย์วิจัย หรือ ประเด็นท่ี หรือแนวทางปฏิบัติท่ีน้าไปสู่การ 2.4 เพ่ือนา้ เสนอผลการวจิ ัยชดุ สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นงาน กอ่ ให้เกดิ ปัญหาความเหลอื่ มลา้ การสังเคราะหร์ ะดบั พนื ท่ี ศึกษาในเชิงวิเคราะห์ระบบการ บริหารราชการ และกฎระเบียบ -ก า ร น้ า เส น อ ชุ ด ค ว า ม รู้ หรือแนวทางปฏบิ ัติที่น้าไปสู่การ ผลการวิจัยชุดการสังเคราะห์ ก่อให้เกิดปญั หาความเหลื่อมล้า ระดับพนื ท่ี 2.4 จดั ประชมุ น้าเสนอผล เดือน ก.ค.59 การศกึ ษาของแต่ละพืนที่ 2.5 เพอ่ื สรุปผลการดา้ เนนิ งาน 2.5 ประมวลภาพรวมของการ เดอื น ก.ค.- -ชุ ด ค ว า ม รู้ ภ า พ ร ว ม ข อ ง ก า ร การสงั เคราะหค์ วามรทู้ เ่ี กดิ ขึน สังเคราะหจ์ ากพนื ท่ตี า่ งๆเพอ่ื ส.ค. 59 สังเคราะห์จากพืนท่ีต่างๆเพ่ือ ตอบค้าถามการวจิ ยั ตอบค้าถามการวจิ ัย 2.6 เพอื่ นา้ เสนอผลการ เดอื นส.ค.58 ดา้ เนนิ งาน กบั สกว. 2.6 จดั ทา้ รายงานฉบับสมบูรณ์ -รายงานฉบับสมบูรณ์ที่เป็นผล ของการด้าเนินงานระยะที่ผ่าน มา 1.4 ขอบเขตกำรศึกษำ 1) ขอบเขตพนื้ ท่กี ำรดำเนนิ งำน การด้าเนนิ งานวจิ ัยนี แบง่ ออกเป็นสองระดบั ได้แก่ 1. การสงั เคราะหง์ านศกึ ษา - วิจยั 2. การสังเคราะห์งานในเชิงปฏิบัติการในระดับพืนที่ ซึ่งงานในระดับนีจะใช้พืนท่ีของ node ซึ่งด้าเนินงานปฏิบัติการในพืนที่มาอย่างต่อเน่ือง เป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างย่ิงในพืนท่ีซ่ึง node มีงานวิจยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการ ดงั ต่อไปนี 2.1 งานวิจัยเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับชุมชนกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ ส่งิ แวดล้อม ที่ดิน ป่าไม้ แหล่งนา้ ความหลากหลายทางชีวภาพ 2.2 งานวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการเกีย่ วกับยตุ ิธรรมชุมชน ยุตธิ รรมเชงิ สมานฉันท์ 2.3 งานวิจัยท่ีกับปัญหาจากระบบการผลิตที่ชุมชนได้รับผลกระทบในด้านความ เหลือ่ มล้า เช่น การผลิตในระบบเกษตรพันธะสัญญา ระบบการท่องเท่ียวที่ท้าลายความ เป็นชุมชน หรอื กรณีอื่นๆ 1-7
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 2.4 งานวิจัยที่เกี่ยวกับปัญหาความไม่เป็นธรรมท่ีเก่ียวกับหรือเกิดจากการใช้ อา้ นาจของหน่วยงานของรฐั 2) ขอบเขตเชงิ เน้อื หำ เนือหาโดยภาพรวมของการศึกษาต้องการท่จี ะชีให้ในเหน็ ประเดน็ สา้ คัญ ดงั นี 1) ความร้ใู นระดับ แนวคดิ ทัศนะ มายาคติ กรอบคิดในการมองหรือกรอบคิดในความเขา้ ใจ ทงั ในสว่ นระบบกระบวนการยุติธรรม และความเหล่ือมล้า 2) ความเข้าใจในระดับโครงสร้าง กลไก กฎระเบียบ และการจัดความสัมพันธ์ ท่ีน้าไปสู่ ปัญหาความไมเ่ ปน็ ธรรม ความเหลือ่ มลา้ 3) ความเข้าใจท่ีเกิดจากการสังเคราะห์ตัวอย่างรูปธรรมในทางปฏิบัติทังในด้านที่เป็นท่ีมา ของปัญหาความเหลื่อมล้า และในด้านที่เป็นทางออกของปัญหาความไม่เป็นธรรมหรือ ความเหลอื่ มล้า 1.5 วธิ ดี ำเนินกำรวิจัย 1.5.1 การรวบรวมงานศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น หนังสือ ต้ารา บทความ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ ผลสรุปจากการสัมมนา เพ่ือส้ารวจงานที่ศึกษาที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่าง “กระบวนการยุตธิ รรมกับความเหลอื่ มล้า” หรอื งานท่ีจะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง “กระบวนการยุติธรรมกับความเหล่ือมล้า” รวมทังการวิเคราะห์สถานภาพขององค์ความรู้จากงานท่ี รวบรวม 1.5.2 การประชุมรว่ มกับทีมนกั วิจยั ในพืนท่ี (node) เพื่อก้าหนดกรอบการสังเคราะหเ์ ป้าหมาย ขอบเขต ระยะเวลา และผลผลิตของงานศึกษาสังเคราะห์ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันในขอบเขตของ งานในแตล่ ะทมี วจิ ยั และร่วมกนั ออกแบบกรอบคิดทจ่ี ะใชใ้ นการสงั เคราะห์รว่ มกัน 1.5.3 การเข้าร่วมประชุมงานเสวนาต่างๆ ที่เก่ียวข้องด้านกระบวนการยุติธรรมและปัญหา ความเหล่ือมล้า เพื่อร่วมเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นความรู้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ และข้อมูลด้าน สถานการณ์ ที่ก้าลังเกิดขึน พร้อมทังการติดตามการเคล่ือนไหวข้อในกลุ่มหน่วยงาน และกลุ่ม ผเู้ กีย่ วขอ้ งเชงิ นโยบาย 1.5.4 การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพ่ือน้าเสนอความคืบหน้าผลการด้าเนินงาน ทังด้านข้อมูล และกระบวนการดา้ เนนิ งาน 1.5.5 การประชุมร่วมกับสกว. เพ่ือคัดเลือก node ที่มีงานปฏิบัติการในพืนที่ต่างๆท่ีสามารถ สะท้อนตัวอย่างของกรณีความเหลื่อมล้าท่ีเกิดจากระบบกระบวนการยตุ ิธรรม ในประเด็น เพื่อสกัดเป็น โจทย์วจิ ัย หรอื ประเด็นท่ีสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นงานศึกษาในเชิงวิเคราะห์ระบบการบริหารราชการ และกฎระเบยี บ หรอื แนวทางปฏิบัติท่ีน้าไปส่กู ารกอ่ ให้เกดิ ปญั หาความเหล่อื มล้า 1-8
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 1.5.6 การสรุปผลการด้าเนินงานและประมวลภาพรวมของการสังเคราะห์จากพืนท่ีต่างๆเพ่ือ ตอบค้าถามการวจิ ัย 1.5.7 จดั ประชุมทางวชิ าการร่วมกบั ชดุ โครงการลดความเหลอ่ื มล้า 1.5.8 การจดั ทา้ รายงานฉบับสมบรู ณ์ 1.6 ผลลัพธ์ทค่ี ำดวำ่ จะไดร้ ับจำกโครงกำร (Outputs) 1) เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการใช้อ้านาจในทางกฎหมายที่ไม่ เป็นธรรมอนั เป็นสาเหตขุ องความเหลอื่ มลา้ ในด้านต่างๆ 2) จากกรณีศึกษา สามารถที่จะเห็นถึงกลไกของกระบวนการยุติธรรม (ในความหมายอย่าง กวา้ ง) ที่ก่อให้เกดิ ความเหล่ือมล้า 1-9
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอ่ื มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม ในการ review งานท่ีเก่ียวข้องกับกระบวนการยุติธรรม กับปัญหาเร่ืองความเหลื่อมล้า ยังมี งานที่ศึกษาสองปัญหานีไม่มากนัก ส้าหรับงานท่ีเป็นกรณีศึกษาในประเทศไทย แต่ส้าหรับงานใน ต่างประเทศ มีการศึกษาเร่ืองความเหล่ือมล้าที่สัมพันธ์กับมิติต่างๆ อย่างกว้างขวาง ซ่ึงในส่วนของการ review งานที่เก่ียวข้องจะเป็นส่วนหน่ึงของการด้าเนินการและจะเชื่อมโยงกับชุดโครงการอ่ืนๆ ที่ เกี่ยวขอ้ ง และส้าหรับกรอบแนวคิดท่ีจะใช้เป็นแนวทางของการศึกษาสังเคราะห์ ประกอบด้วยแนวคิด หลายๆแนวคิดที่จะน้ามาใช้ในการสังเคราะห์ เพื่อก้ากับทิศให้ไปสู่เป้าหมายของการสังเคราะห์ของงาน ศกึ ษาในระยะปีแรก และในระยะปที ่ี 2 และ 3 เชน่ แนวคิดสิทธิชุมชน ซึ่งเป็นจุดเช่ือมต่อกับแนวคิดท่ีส้าคัญๆ อีกหลายๆ กลุ่มแนวคิด ท่ีจะน้าไป วิเคราะห์ในเชิงบทบาทหน้าที่ของฝ่ายต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับระบบความยุติธรรม กับ ประเด็นเรื่องความ เหลื่อมล้า เช่น กลุ่มแนวคิดท่ีเก่ียวกับรัฐ หรือ หน่วยงานของรัฐ ก็จะประกอบด้วย แนวคิดเร่ืองหลักนิติรัฐ แนวคิดเรื่องรฐั ธรรมนูญ แนวคิดเรอื่ งสิทธิมนุษยชน แนวคิดเรื่องกระบวนการก้าหนดนโยบายสาธารณะ แนวคดิ เรือ่ งธรรมาภบิ าลภาครฐั กลุ่มแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความยุติธรรม ซึ่งในปัจจุบันมีแนวคิดใหม่ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับ กระบวนการยตุ ิธรรมอยา่ งมากมาย กลุ่มแนวคิดที่เก่ียวข้องกับพัฒนาการทางการเมืองการปกครอง ที่ให้ความส้าคัญกับแนวคิด ประชาธิปไตยแบบมสี ว่ นรว่ ม การกระจายอ้านาจ บทบาทของประชาสังคม ฯลฯ กลุ่มแนวคิดท่ีเก่ียวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมท่ีให้ความส้าคัญต่อ สิทธิ ของชุมชนท้องถ่ิน สิทธิของชนรุ่นหน้า แนวคิดท่ีให้ความส้าคัญถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและ สงิ่ แวดลอ้ มอย่างย่งั ยนื แนวคดิ เรอ่ื ง Social cost เป็นต้น กลุ่มแนวคิดที่เก่ียวกับระบบเศรษฐกิจและการค้าที่เป็นธรรม แนวคิดเกี่ยวกับความรับผิดชอบ ต่อสังคมขององคก์ ร เปน็ ต้น ในส่วนท่ีเกี่ยวกับการปฎิบัติการทางสังคมของชุมชนท้องถ่ิน ก็มีแนวคิดพืนฐานที่ส้าคัญอยู่ หลายแนวคิด ท่ีสามารถน้ามาใช้เป็นกรอบในการสังเคราะห์และยกระดับการขับเคลื่อน เช่น แนวคิด เรื่อง เครือข่ายความร่วมมือ (Networking( แนวคิดเร่ืองการจัดการร่วม (Co-management) แนวคิด เรอื่ งการเสรมิ สรา้ งพลังให้กบั ชุมชน (Community Empowerment( แนวคิดเรอื่ งยุตธิ รรมชมุ ชน 2-1
รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 การรวบรวมงานศึกษาวิจัยท่ีเกี่ยวข้องประเด็นเหล่ือมล้าในกระบวนการยุติธรรม จากหนังสือ ต้ารา บทความ งานวิจัย วิทยานิพนธ์ ผลสรุปจากการสัมมนา เพ่ือส้ารวจงานท่ีศึกษาที่เก่ียวข้องกับ ความสัมพันธ์ระหว่าง “กระบวนการยุติธรรมกับความเหล่ือมล้า” รวมทังการวิเคราะห์สถานภาพของ องค์ความร้จู ากงานท่รี วบรวม มรี ายละเอยี ดดังนี ลำดับ คำถำมหลกั งำนวจิ ัยเรื่อง ผลกำรวจิ ยั โดยสรปุ ก ร ะ บ ว น ก ำ ร สรุปสัมมนาวิชาการ หัวข้อ เป็นเวทีในการส้ารวจทางเลือกและแนวคิด ยุ ติ ธ รรม แ ก้ ไข “คนยุติธรรม ที่ไม่อยุติธรรม” จากภาคเอกชน และแวดวงกระบวนการ ควำมเหล่ือมลำ ( Criminal Justice Human ยุติธรรมของประเทศต่างๆ ที่อาจน้ามา อย่ำงไร Resources( ป ร ะ ยุ ก ต์ ใช้ ใน ก า ร ป รั บ ป รุ ง ก ร ะ บ ว น ก า ร คัดเลือกและพัฒนาบุคลากรในกระบวนการ ยุติธรรมไทยให้ดียิ่งขึน โดยมองว่าการ คัดเลือกบุคคลากรเข้ามาในกระบวนการ 1. ยุติธรรมไทยให้ความส้าคัญ กับการสอบ ข้อเขียนมากเกินไป โดยเป็นการวัดความรู้แค่ ระดับที่จ้าได้ใช้เป็น คือ จ้าตัวบทกฎหมาย และค้าพิพากษาฎีกาได้ สามารถน้ามาปรับใช้ กับคดีหรือเหตุการณ์สมมติในข้อสอบได้ แต่ ไม่ ได้วัด ความรู้ใน ระดับ วิเคราะห์ ห รือ สังเคราะห์ และไม่ทราบถึงทัศนคติและ มุมมองในเรอื่ งคณุ ธรรม จริยธรรมของผสู้ มคั ร แนวทางการจัดท้าและการใช้ การพัฒนาตัวชีวัดเพื่อใช้ในการประเมิ น ตัวชีวัดด้ าน กระบ วน การ ประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทัง ยตุ ธิ รรมทางอาญา (TIJ( ระบบแม้จะเป็นเรื่องยาก แต่มีความจ้าเป็น อย่างไม่อาจหลีกเล่ียงได้ ซ่ึงหลักการท่ีควร คา้ นึงถึงในการพัฒนาตัวชีวัดของกระบวนการ 2. ยุติธรรม ได้แก่ การก้าหนดกรอบในการ ประเมินท่ีชัดเจน ประเมินในส่ิงที่จับต้องได้ แล ะส าม าร ถแ ส ด งผ ล ได้ อ ย่ างเป็ น รู ป ธ ร ร ม การเลือกตัวชีวัดท่ีมีความละเอียดและมีความ ยดื หยนุ่ เพียงพอ 2-2
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ลำดับ คำถำมหลกั งำนวจิ ัยเรอ่ื ง ผลกำรวิจัยโดยสรุป รายงานการสัมมนาโครงการ กระบวนการยุติธรรมไทยยังไม่อาจคุ้มครอง เวทีความคิดเพ่ือการพัฒนา สิทธิเด็กท่ีเป็นเหย่ือและเด็กที่กระท้าผิดอย่าง กระบวนการยุติธรรมไทย เพียงพอ อันเนื่องมากจากสาเหตุหลาย 3. เรื่อง “ทิศทางกระบวนการ ประการ ซ่ึงงานวิจัยชินนีได้ชีให้เห็นปัญหา ยุติธรรมไทยในการคุ้มครอง และจัดท้าข้อเสนอแนะและแนวทางปรับปรุง สิ ท ธิ เด็ ก ” โ ด ย ส ถ า บั น แก้ไขไว้ กฎหมายอาญา สรุปสัมมนาวิชาการ เร่ือง งานวิจัยนีได้กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาการ 4. “กระบวนการยุติธรรมกับ คุ้มครองสิทธิผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความ ความรุนแรงท่ีเกิดแก่ผู้หญิง” รุนแรง และได้จัดท้าข้อเสนอและแน ว โดยสถาบนั กฎหมายอาญา ทางแกไ้ ขไว้ ก ร ะ บ ว น ก ำ ร สรุปการสัมมนาทางวิชาการ เป็นเวทีในการส้ารวจทางเลือกและแนวคิดจาก ยุติธรรมมีหน้ำท่ี หัวข้อ “เข้าถึงกระบวนการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมทังใน ในกำรลดควำม ยุติธรรม เข้าให้ถึงความเป็น และต่างประเทศ เกี่ยวกับวิธีการ แนวทาง และ เหล่อื มลำอยำ่ งไร ธรรม” (Access to Justice( มาตรการในการส่งเสริมการเข้าถึงความยุตธิ รรม ให้แก่ประชาชนที่อาจน้ามาส่งเสริมการเข้าถึง ค วาม ยุติ ธรรม ใน ป ระเท ศ ไท ย ให้ ดี ยิ่งขึ น ผู้ เข้ า ร่ ว ม สั ม ม น า ม อ ง ว่ า ปั ญ ห า ใน ก า ร เข้ า ถึ ง 5. กระบวนการยุติธรรมสามารถมองได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านบุคคลากร รวมไปถึงการ พิจารณาถึงสิทธิของผู้เสียหาย โดยเฉพาะการ เยียวยาด้านจิตใจ ซ่ึงการปฏิรูปกฎหมายมิได้ หมายถึงตัวบทกฎหมายเท่านัน แต่รวมถึงการ บังคับใช้กฎหมายและการตีความกฎหมาย ซึ่ง จะต้องสร้างความเป็นธรรมและลดความเหล่ือม ลา้ ในสงั คมดว้ ย รายงาน วิจัยฉบั บ สมบู รณ์ กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์เป็นทัง โค รงก าร “ ก ระบ ว น ก าร แนวคิดและวิธีการท่ีสามารถน้ามาซึ่งความ ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ : การ ปรองดองโดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบยุติธรรม หรือ 6. คื น “ อ้ า น า จ ” แ ก่ เห ยื่ อ หากคดีเข้าสู่ระบบยุติธรรมแล้วกระบวนการ อาชญากรรมและชมุ ชน” ยุตธิ รรมเชิงสมานฉันท์ก็สามารถช่วยให้เกิดความ ยุติธรรมที่เหมาะสมได้ 2-3
รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 ลำดบั คำถำมหลัก งำนวจิ ัยเรือ่ ง ผลกำรวจิ ัยโดยสรุป รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ผลการศึกษาพบว่ามีความแตกต่างระหว่าง โ ค ร ง ก า ร วิ จั ย เ ร่ื อ ง ชุมชนแออัดเมืองและชุมชนชนบท โดยชุมชน “กระบวนการยุติธรรมเชิง แออัดในเมืองมีการรวมตัวกันเพื่อประโยชน์ สมานฉันท์กับวัฒนธรรมระงับ ของสาธารณะน้อยมาก การระงับข้อพิพาทใน ขอ้ พพิ าทในทอ้ งถนิ่ ไทย” ชุมชนท้าได้โดยผู้มีอิทธิพลที่เป็นท่ีย้าเกรง และ/หรือเกรงใจของชาวบ้าน ส่วนชุมชน ชนบททังในชุมชนที่เป็นเครือญาติและท่ีเกิด จากการอพยพของคนหลายกลุ่มมาอยู่รวมกัน ชุมชนท่ีอยู่ร่วมกันของคนต่างวัฒธรรมหรือ 7. วัฒนธรรมเดียวกัน มีความเหมือนกัน คือ มี การรวมตัวกันได้ดี มีการร่วมกันคิดร่วมกันท้า ในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของ ชุมชน มีการร่วมกันสร้างกติกาชุมชนขึน เป้ า ห ม า ย สู ง สุ ด ข อ ง ก ร ะ บ ว ร ทั ศ น์ ค ว า ม ยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และวัฒนธรรมการ ระงับ ข้ อ พิ พ าท ใน ท้ อ งถ่ิ น ไท ย มี ค ว าม สอดคล้องต้องกัน คือ ต่างมุ่งไปสู่การอยู่ ร่ว ม กั น อ ย่ างส งบ สุ ข เอื อ เฟื้ อ เผื่ อ แ ผ่ ชว่ ยเหลอื เกือกูลกันในฐานะเพอ่ื นมนษุ ย์ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ จากการศึกษาพบว่า ระบบยุติธรรมท่ีขาดการ โครงการวิจัยยุติธรรมชุมชน : หย่ังลึกถึงรากฐานชุมชนจะท้าให้การควบคุม การเปิดพืนที่ของชุมชนในการ อาชญากรรมทุกรูปแบบกระท้าได้ยาก การท่ี อ้านวยความยุติธรรม ระบบยุติธรรมไม่ให้ความส้าคัญกับชุมชน ห รือชุ ม ช น เข้า ถึงระบ บ ยุ ติ ธ รรม ได้ ย าก นั น ก่อให้เกิดปัญหาและผลกระทบตามมาคือ 8. ประชาชนมีบทบาทในการรักษาความสงบ และปลอดภัยในสังคมน้อยลงหรอื ไม่มีเลย จึง ผลัก ภ าระใน ก ารรัก ษ าค วาม สงบ แล ะ ปลอดภัยไปให้เจ้าหน้าท่ี “ยุติธรรมชุมชน” จึงเป็นช่องว่างที่ขาดหายไปของกระบวนการ ยุตธิ รรม 2-4
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 ลำดบั คำถำมหลัก งำนวิจยั เร่ือง ผลกำรวิจยั โดยสรปุ งำนท่ีสะท้อนให้ โครงการศึกษาเพ่ือพัฒ นา เป็นการที่ศึกษาถึงสภาพปัญหาและอุปสรรค เห็นปัญ หำจำก แนวคิดในการพัฒนาระบบ ของระบบทนายความขอแรงในประเทศไทย ก ร ะ บ ว น ก ำ ร ทนายความขอแรงโดยการ ซ่ึงนอกจากจะจ้ากัดเฉพาะการให้ความ ยุตธิ รรม จัดตงั องค์การ (สกธ.( ช่วยเหลือส้าหรับจ้าเลยในคดีอาญาเท่านัน แล้ว ยังมีปัญหาในด้านอื่นๆ อีก เช่น ปัญหา 9. ด้านคุณภาพของทนายความขอแรง ปัญหา ด้ า น ก ร ะ บ ว น ก า ร ตั ง ท น า ย ค ว า ม ข อ แ ร ง ปัญหาด้านค่าตอบแทนทนายความ ปัญหา ด้านประสิทธิภาพของหน่วยงานที่รับผิดชอบ และปัญหาด้านการบูรณาการหน่วยงานที่ เก่ียวขอ้ ง สรุปการสัมมนาทางวิชาการ เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หัวข้อ “คดลี ้นศาล นักโทษล้น ข้อมูล ความรู้ แนวคิด ของนักวิชาการ นัก 10. คุก ปัญหาจุกอกกระบวนการ อาช ญ าวิท ยา นั กกฎ ห ม าย รวมถึงนั ก ยุติธรรมไทย” (Diversion of เศรษฐศาสตร์ของไทย ในการแก้ไขปัญหาคดี Cases and Offenders( ลน้ ศาลและนกั โทษลน้ คกุ ได้อย่างมีระบบคิดท่ี ชดั เจน รายงานประจ้าปี 2557 ของ กล่าวถึงปัญหาความรุนแรงท่ีเกิดขึนกับเพศ TIJ ข้อก้าหนดกรุงเทพ : การ หญิ ง เด็ก และปัญหาการค้ามนุษย์ผ่าน ส่ ง เส ริ ม ก า ร ป ฏิ บั ติ ต า ม งานวิจัยตา่ งๆ ทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 11. มาตรฐานและบรรทัดฐานใน ก ร ะ บ ว น ก า ร ยุ ติ ธ ร ร ม ท า ง อาญา รายงานผลสรปุ การดา้ เนินการ กล่าวถึงสภาพปัญ หาของกระบวนการ โครงการเวทีความคิดเพ่ือการ ยุติธรรมของไทย โดยแบ่งออกเป็นด้านต่างๆ พัฒนากระบวนการยุติธรรม อ า ทิ ปั ญ ห า เก่ี ย ว กั บ โค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง 12. ไทย (สกว.( พ.ย.2543 กระบวนการยุติธรรมไทย ปัญหาเก่ียวกับ โครงสร้างระบบการด้าเนินคดีอาญา ปัญหาท่ี เกดิ จากการปฏิบัติโดยไม่ชอบธรรมจากบคุ คล ในกระบวนการยุติธรรมอันเปน็ การลว่ งละเมิด สิทธิเสรีภาพของประชาชน กระบวนการ 2-5
รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ลำดบั คำถำมหลัก งำนวจิ ัยเร่ือง ผลกำรวิจยั โดยสรปุ ยุ ติ ธ ร ร ม ข า ด ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ใน ก า ร ค ว บ คุ ม อาชญากรรม กระบวนการยุติธรรมขาด ประสิทธิภาพในการแก้ไขฟ้ืนฟูผู้กระท้าผิด กระบวนการยุติธรรมขาดการมีส่วนร่วมและ การสนับสนุนจากประชาชน กระบวนการ ยุติธรรมขาดองค์ความรู้และศักยภาพในการ พัฒนา บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมขาด จิตส้านึกและขาดทัศนคติที่ดีในการให้บริการ ความยุติธรรมแก่ประชาชน ทังนีซึ่งสภาพ ปัญหาส้าคัญอย่างหน่ึงก็คือ การขาดการมอง ภาพรวมของกระบวนการยุติธรรม ส่งผลให้ โครงการนีเป็นข้อเสนอแนะเก่ียวกับแนวทาง และมาตรการต่างๆ ในภาพรวม ไม่ไดล้ งลึกไป ถงึ วิธกี ารในการแกป้ ัญหาในรายละเอยี ด สรุปสัมมานาวิชาการเรื่อง เคร่ืองชีวัดความส้าเร็จหรือล้มเหลวของ “วิกฤตยุติธรรมกับนวัตกรรม ก ร ะ บ ว น ก ารยุ ติ ธ รร ม ท่ี ส้ าคั ญ ได้ แ ก่ ให ม่ ใน ก า ร บ ริ ห า ร ง า น ประสิทธิภาพในการลงโทษและปฏิบัติต่อ ยุ ติ ธ รรม แ ล ะ ก ารล งโท ษ ผู้กระท้าความผิด ซ่ึงเป็นขันตอนสุดท้ายของ ผู้ ก ร ะ ท้ า ค ว าม ผิ ด ” โด ย กระบวนการยุติธรรม โดยเม่ือประเมินสภาพ 13. สถาบนั กฎหมายอาญา ปัจจุบันของการลงโทษและการปฏิบัติต่อ ผู้กระท้าผิดในประเทศแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า ยังอยู่ในสภาพที่ไม่น่าพอใจ ยังมีปั ญหา ข้อขัดข้องหลายประการอันเป็นอุปสรรค ขัดขวางการน้ามาเอามาตรการใหม่ๆ มาใช้ ซ่ึงเป็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมทัง ระบบมิใช่เพยี งระบบราชทัณฑเ์ ทา่ นนั รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เป็นการศึกษาวิเคราะห์บทบัญญัติกฎหมายท่ี โครงการศึกษาเพ่ือพัฒ นา ได้ก้าหนดกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล อัน 14. ระบบการตรวจสอบถ่วงดุลใน ได้แก่ รัฐธรรมนูญ(ฉบับปี 2550( ป.วิ.อ. กระบวนการยุติธรรมทาง พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญ พรบ.ต่างๆ ที่ อาญา เก่ียวข้อง ตลอดจนระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้ 2-6
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่ือมล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ลำดบั คำถำมหลกั งำนวจิ ัยเร่อื ง ผลกำรวจิ ยั โดยสรุป อ้านาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการ ยุติธรรม ทังในกระบวนการก่อนการพิจารณา คดี (หรือชันเจ้าพนักงาน( กระบวนการ พิจารณาคดี (ชันศาล( และกระบวนการบงั คับ ตามค้าพิพากษาและค้าส่ัง อาจสรุปได้ว่า ปญั หาที่มักเกิดขนึ กับไทย คือ กฎหมายท่ีมอี ยู่ ในปัจจุบันมักไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง ในเกือบทุกองค์กร โดยมักเน้นที่รูปแบบ มากกว่าเนือหาในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ของประชาชน นอกจากนีปัญหาเรื่องการ คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็น ปัญหาพืนฐานของบุคลากรในกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญาเก่ียวกับ “สิทธิมนุษยชน” ซ่ึงเป็นพืนฐานของกระบวนการยุติธรรมทาง อาญาเชน่ เดยี วกนั รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ พบว่า มีหลายขนั ตอนในกระบวนการยตุ ธิ รรม โครงการเร่ือง “ปัญหาความ ที่ยังมีการเลือกปฏิบัติ ซ่ึงส่งผลให้ประชาชน ไม่เสมอภาคในกระบวนการ บางส่วนได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม 15. ยตุ ิธรรมทีป่ ระชาชนได้รบั ” สามารถแบ่งออกเป็น 5 ประเด็น คือ 1.ความ ยากจน 2.การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย แก่ประชาชนในคดีแพ่งและคดีอาญา 3.การ ปล่อยชั่วคราว 4.การพิจารณาคดีของศาล 5. การปฏบิ ัติต่อผูต้ อ้ งขงั ในเรอื นจ้า งำนท่ีสะท้อนให้ ห นั ง สื อ ชุ ด “ ป ฏิ รู ป ประกอบไปด้วย บทความ 5 เรื่อง คือ 1. เห็นปัญ หำจำก กระบวนการยตุ ิธรรม”ลา้ ดับท่ี ประเด็นเรื่อง “ความยุติธรรมกับความ สั ง ค ม ท่ี อ ำ จ 4 เร่ือง กระบวนการยุติธรรม ยากจน”ในทัศนะของนายกรัฐมนตรี พ.ตร.ท. จ ะ มี ผ ล ต่ อ กับความยากจน : ยุทธศาสตร์ ด ร.ทั ก ษิ ณ ชิ น วั ต ร 2.ค ว าม ย าก จ น ใน 16. ก ร ะ บ ว น ก ำ ร ก ารพั ฒ น าก ร ะ บ ว น ก าร สังคมไทย : ปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบ ยตุ ธิ รรม ยตุ ธิ รรมเพอ่ื คนจน โดย ศ.นพ.ประเวศ วะสี 3.กระบวนการ ยุติธรรมกับปัญหาความยากจนในสังคมไทย โดย จาตุรนต์ ฉายแสง 4.การเสริมสิทธิคนจน ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ยุ ติ ธ ร ร ม โ ด ย 2-7
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ลำดบั คำถำมหลกั งำนวจิ ัยเร่ือง ผลกำรวจิ ัยโดยสรปุ ผ ศ . จรัล ดิ ษ ฐ าอ ภิ ชั ย ก รรม ก ารสิ ท ธิ มนุษยชนแห่งชาติ 5.ความยากจน การเข้าถึง ความยุติธรรมกับกระบวนการยุติธรรมราคา แพง โดย จฑุ ารัตน์ เออื อ้านวย สรุปการสัมมนาทางวิชาการ เป็ น ง า น สั ม ม น า ที่ มี ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ ใน หัวข้อ กระบวนการยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมไทย นักวิชาการ มาร่วม ไทย “รู้อดีต เข้าใจปัจจุบัน แลกเปล่ียนมุมมองในแต่ละมิติและห้วงเวลา เช่ือมน่ั อนาคต” เพ่ื อ ส ะ ท้ อ น แ น ว คิ ด มุ ม ม อ ง ต่ อ ก า ร 17. เปล่ียนแปลงและพัฒนาการของกระบวนการ ยตุ ิธรรมในประเทศไทย ทังงานตา้ รวจ อัยการ ศาลยุติธรรม ราชทัณฑ์ และกระบวนการ ยุติธรรมโดยรวม ตังแต่ภายหลังเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ.2475 จนถึงปัจจบุ นั ความเหลื่อมล้าแนวราบ ต้น ความเหลื่อมล้าแนวราบ คือ ความไม่เท่า กา้ เนิดความรุนแรง เทียมระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ุต่างๆ (บทสรุป ผู้บริหาร( หรือกลุ่มคนต่างๆ ซ่ึงมีอัตลักษณ์ ร่วมกัน โดยเป็นความเหลื่อมล้าที่มีมิติด้าน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสถานะทาง วัฒนธรรม ซึ่งความเหลื่อมล้าด้านใดจะ น้าไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงหรือไม่ก็ขึนอยู่กับ วา่ ความเหล่ือมล้าดงั กลา่ วส่งผลต่อรายไดห้ รือ ความเป็นอยู่ดีของคนในสังคมหรือไม่ ข้อสรุป 18. หลักของโครงการวิจัยของ CRISE ก็คือ ความ เหลื่อมล้าแนวราบท้าให้ความเส่ียงท่ีจะเกิด ความขัดแย้งรุนแรงขึน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ความเหลื่อมล้าแนวราบเกดิ ขึนพร้อมๆ กันทัง ด้ าน เศ รษ ฐ กิ จ สั งค ม ก ารเมื อ ง แ ล ะ สถานภาพทางวัฒนธรรม ข้อสรุปท่ีตามมาก็ คือสังคมที่ประกอบด้วยประชากรหลายกลุ่ม ชาติพันธุ์ และมีความเหลื่อมล้าแนวราบอย่าง รุนแรง ควรให้ความส้าคัญกับนโยบายขจัด ความเหล่อื มลา้ เปน็ อันดบั แรกๆ 2-8
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหล่อื มล้า ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ลำดับ คำถำมหลัก งำนวิจยั เรอื่ ง ผลกำรวจิ ยั โดยสรุป หนังสือเรื่อง “คู่มือเข้าใจชน การศึกษาเรื่องความเหลื่อมล้าไม่สามารถท่ีจะ ชันวรรณะความเหลื่อมล้า” ละเลยมิติการศึกษาชนชันในทางสังคมได้ โดย เจเรมี ซีบรุก แปลโดย ฉะนันจึงต้องมีการศึกษาประวัติศาสตร์เรื่อง ทองสุก เกตุโณจน์ และสาย ชนชัน อันเป็นแนวคิดที่เร่ิมต้นในประเทศ พิณ ศพุ ุทธมงคล อังกฤษและอเมริกา ที่ไล่เรียงตังแต่การเกิด ชนชนั แรงงาน ชนชันกลาง และชนชันสูง การ 19. เกิดขึนมาของชนชันใหม่เป็นการตอกย้าเรื่อง ความเหลื่อมล้า ท่ีเกิดจากการเปลี่ยนผ่านชน ชัน แต่ชนชันแรงงานไม่ได้หายไปไหน พวก เขาไม่ได้ถูกเรียกว่าชนชันแรงงานอีกต่อไปใน ยุคสมัยใหม่ แต่ชนชันแรงงานเหล่านีกลับ กลายเป็นภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้า ในทางสังคมสมัยใหม่ ที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิ ในด้านตา่ งๆ อยา่ งเทา่ เทียม หนังสือชุด ถมช่องว่างทาง กล่าวถึงความไม่เป็นธรรมท่ีเกิดขึนในผู้ใช้ สังคมล้าดับที่ 8 โดย อัญจิรา แรงงาน โดยเปรียบเปรยว่า ปัญหาเร่ืองของ อัศวนนท์ ความไม่เป็นธรรมในผู้ใช้แรงงานคือ เร่ืองท่ี เป็ น เรื่อ ง “น อ ก สายต า” ท่ี ไม่ มี ค น ให้ 20. ความส้าคัญ หนังสือเล่มนีได้เสนอความไม่ เป็ น ธ ร ร ม อั น น้ า ม า ซ่ึ ง ค ว า ม เห ลื่ อ ม ล้ า ใ น ประเด็นทางสุขภาพของผู้ใช้แรงงานใน โดย เสนอผ่านเร่ืองราวของกรณีศึกษา ทังแรงงาน ในระบบและแรงงานนอกระบบ รายงานสถานการณ์ความไม่ กล่าวถึงประเด็นเรื่องความไม่เป็นธรรมทาง เป็ น ธ ร ร ม ท า ง สุ ข ภ า พ สังคม ซ่ึงเป็นประเด็นท่ีส่งผลกระทบต่อ พ.ศ.2555 : ช่องว่างระหว่าง ปัจเจก กลุ่มคน และสังคม และสอดคล้องกับ ม นุ ษ ย์ โด ย เค รือ ข่ายถ ม ความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพ เน่ืองจากความ 21. ชอ่ งว่างทางสงั คม ไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากปัจจัยหลายๆ อย่างนัน ส่งผลโดยตรงต่อความไม่เป็นธรรม ทางสุขภาพของคน และมีผลต่อสุขภาพของ คน 2-9
รายงานวิจยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มล้า ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ลำดับ คำถำมหลกั งำนวิจยั เรอ่ื ง ผลกำรวจิ ัยโดยสรุป ก า ร ป ร ะ ชุ ม วิ ช า ก า ร กล่าวถึงแนวคิดและองค์ประกอบหลักของ สังคมศาสตร์สุขภาพ ครังที่ 1 ตัวก้าหนดสุขภาพเชิงสังคม คือ ความไม่เป็น เรื่องความไม่เป็นธรรมทาง ธ ร ร ม ท า ง สุ ข ภ า พ ที่ ถู ก ก้ า ห น ด โ ด ย สุ ข ภ าพ แ ล ะ ปั จ จั ย สั งค ม ความสัมพันธ์ทางสังคมท่ีไม่เป็นธรรมซึ่ง ก้าห น ดสุขภ าพ ใน หั วข้อ บิดเบือนท้าให้เกิดการกระจายทรัพยากร เงิน โลกาภิวัตน์และความไม่เป็น และ อ้านาจอย่างไม่เป็นธรรมผ่านโครงสร้าง ธรรมทางสุขภาพ หรือสถาบันทางสงั คมรวมทังสถาบนั สุขภาพที่ ไม่เป็นธรรมด้วย ความไม่เป็นธรรมนีเกิดจาก การที่สังคมได้มีการกระท้าท่ีเป็นระบบจนท้า ให้คนกลุ่มหนึ่งอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบและ 22. ความเสียเปรียบนีท้าให้ประชาชนหรือ ผู้ป่วย ไม่ได้รับส่ิงที่จ้าเป็นกับความต้องการของการ ด้าเนินชีวิต ผลที่ตามมาคือ พวกเขาเหล่านนั มี สุขภาพที่ด้อยกว่าคนอ่ืน น่ันคือ สิ่งที่ไม่เป็น ธรรม ซึ่งเป็นเรื่องของความต้องการพืนฐาน หรือจ้าเป็น และ แนวคิดในเรื่องของความ จ้าเป็นหรือส่ิงท่ีมนุษย์ควรได้นัน ได้แก่ การ พัฒนาศักยภาพมนุษย์ คือ การวัดการพัฒนา นันต้องวัดท่ีการพัฒนามนุษย์หรือการพัฒนา ศักยภาพของมนุษยไ์ ม่ใช่วดั ทตี่ ัวเงินหรือตัววัด ทางเศรษฐกิจ ซ่ึงตัววัดที่ดีคือ สุขภาพและ คณุ ภาพชีวติ บทความ ความเหลื่อมล้า บทความนีได้รวบรวมสถิติของสถานการณ์ ช่องว่างปัญหาเด็กและสตรี เด็กและสตรีในประเทศไทยในเร่ืองต่างๆ อาทิ ผลส้ารวจสถานการณ์เด็กและ โภชนาการของเด็ก การเลียงลูกด้วยนมแม่ สตรีในประเทศไทยท่ีส้าคัญ การจดทะเบียนเกิด การบริโภคเกลือส่งเสริม 23. พ.ศ.2555 ไอโอดีน การศึกษาปฐมวัย การเข้าเรียนใน โรงเรียนระดับประถมศึกษาตามเกณฑ์อายุ การตังครรภ์ในวัยรุ่น การตีตราและเลือก ปฏิบัติต่อผู้ท่ีติดเชือเอช ไอ วี การยอมรับ ความรุนแรงในครอบครัว เด็กท่ีไม่ได้อยู่กับ พอ่ แม่ 2-10
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอ่ื มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ลำดบั คำถำมหลกั งำนวิจัยเรอื่ ง ผลกำรวิจัยโดยสรุป สถาบนั อนาคตไทยศึกษา ซีรีส์ ศึกษาเร่ืองความเหล่ือมล้าโดยแบ่งกลุ่ม งานศกึ ษาเรื่องความเหลือ่ มล้า ป ร ะ ช าก รต าม ค รัว เรือ น อ อ ก เป็ น 10 เร่ือ ง 8 ข้ อ เท็ จ จ ริงค ว าม ครัวเรือน ตังแต่จนมากอยู่ครัวเรือนที่ 1 จน เหล่ือมล้าในไทย รวยมากอยู่ครัวเรือนที่ 10 พบว่า 1). ปัญหา ความเหล่ือมล้าในประเทศไทยไม่ได้ดีขึนเลย ในช่วง 30 ปีท่ีผ่านมา 2). กลุ่มครอบครัวที่ ยากจนท่ีสุดครัวเรือนท่ี 1 มีหัวหน้าครอบครัว เป็นคนชรา 3). เกือบครึ่งหนึ่งของครอบครัว 24. ไทยมีรายได้ต่้ากว่า 15000 บาทต่อเดือน 4). ความเหลื่อมล้าในความเป็นจริงนันแย่กว่าที่ รายงานทั่วไปอย่างน้อย 25% 5). ความ เหลื่อมล้าด้านความมั่งคั่งไทยอยู่อันดับท้ายๆ ของโลก 6). ทรัพย์สนิ เฉล่ยี ของครอบครัว สส. รวยกว่าอีก 99.999% ของครอบครัวไทย 7). นอกจากรายได้และทรัพยส์ ินยังมีความเหลื่อม ล้าด้านอ่ืนๆ เช่น การศึกษา สาธารณสุข 8). ค ว า ม เห ล่ื อ ม ล้ า ที่ ส้ า คั ญ ท่ี สุ ด ที่ ค ว ร แ ก้ คื อ ความเหลอ่ื มล้าด้านโอกาส บทความเรื่อง ความไม่เป็น กล่าวถึงการศึกษาความไม่เป็นธรรมของกลุ่ม ธรรม ใน การจ้ างงาน แ ล ะ แรงงาน ซ่ึงแบ่งออกเป็น 1(.รูปแบบการจ้าง กรณีศึกษาความไม่เป็นธรรม งานท่ีไม่เป็นธรรม 2(.การเข้าถึงสิทธิและ ของแรงงานข้ามชาติและผู้มี สวัสดิการของแรงงาน 3(.ระบบค่าจ้าง 4(. 25. สถานะบุคคล โดย นภาพร อ้านาจการต่อรอง ส่วนกรณีความไม่เป็น อติวานิชพงศ์ และ บุษยรัตน์ ธรรมของกลุ่มแรงงานข้ามชาติ แบ่งออกเป็น กาญจนดษิ ฐ์ 1).ด้านสุขภาพ 2).ด้านการศึกษา 3).ด้าน สถานะบุคคล และด้านการคุ้มครองและ เข้าถึงสทิ ธแิ รงงาน หนังสือความเหล่ือมล้าและ รวมบทความด้านวิชาการและนโยบายท่ี ความ ไม่ เป็ น ธรรม ใน การ เก่ียวข้องกับความเหลื่อมล้าและความไม่เป็น 26. เข้าถึงทรัพยากรและบริการ ธรรมของประเทศไทย โดยเป็นหัวข้อเก่ียวกับ พนื ฐานของประเทศไทย ค ว า ม เ ห ล่ื อ ม ล้ า ใ น ก า ร เ ข้ า ถึ ง ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านที่ดิน น้า ความ 2-11
รายงานวิจยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ลำดบั คำถำมหลกั งำนวิจยั เรือ่ ง ผลกำรวจิ ัยโดยสรปุ เหล่ือมล้าด้านบริการพืนฐานด้านต่างๆ ได้แก่ ท่ีอยู่ อาศัย สาธารณสุข การศึกษา พลังงาน ก ารค ม น าค ม ข น ส่ ง ส ารส น เท ศ แ ล ะ กระบวนการยตุ ิธรรม ร า ย ง า น ฉ บั บ ส ม บู ร ณ์ ศึกษาและวิเคราะห์กระบวนการในการ โครงการวิจัย “การพัฒนา จัดการ ดูแล และป้องกันทรัพยากรป่าไม้ ของ ระบบฐานข้อมูลเชิงพืนท่ีด้วย จ.แม่ฮ่องสอนซึ่งเป็นจังหวัดท่ีมีปัญหาเร่ือง การมี ส่ วน ร่วม ของชุมช น สิทธิที่ดินท้ากิน ที่เป็นสาเหตุส้าคัญในการ เพ่ือก้าหนดแนวทางการแก้ไข สร้างความขัดแย้งระหว่างภาคประชาชนกับ 27. ปั ญ ห า สิ ท ธิ ที่ ดิ น ท้ า กิ น หน่วยงานราชการ ซ่ึงสามารถสรุปปัญหาและ แผนพัฒนาชุมชนและการ แนวทางการแก้ไขปัญหาออกเป็น 3 ประเด็น จัดการทรัพยากรป่าไม้ จ. หลัก ได้แก่ 1(. ปัญหาที่ดินท้ากนิ ท่ีอยู่ในพืนท่ี แม่ฮ่องสอน” ป่าไม้ 2(. ปัญหาการท้าไร่หมุนเวียน และ 3(. ปั ญ ห า ด้ า น ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ก า ร ท้ า งา น ข อ ง เจา้ หนา้ ที่ทุกภาคสว่ น โค ร ง ก า ร ส ถ า บั น ศึ ก ษ า สาเหตหุ ลกั ของปัญหาการกัดเซาะชายฝัง่ เกิด นโยบายท่ีดิน รายงานฉบับ เนื่องจากกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ท่ีส่งผลต่อ สมบูรณ์ ความเส่ือมโทรมของ ความสมดุลของตะกอนทราย เป็นสาเหตุ ชายฝ่ังทะเลภาคใต้ : ปัญหา ส้าคัญของการกัดเซาะ ท้าให้ความกว้าง สาเห ตุ และบ ท เรียน การ ชายหาดหดสันลง และขาดเสถียรภาพในท่ีสุด จดั การ (สกว.( ดั ง นั น เมื่ อ ก า ย ภ า พ ข อ ง ท รั พ ย า ก ร ช า ย ฝั่ ง เปล่ียนแปลงไปย่อมส่งผลกระทบต่อชุมชน แต่ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานการศึกษาถึง 28. ผลกระทบของปัญหาการกัดเซาะต่อชุมชน อย่างเป็นทางการ และในเร่ืองของมาตรการ กฎหมายในการดูแลและใช้ประโยชน์ชายฝ่ัง แบ่งเป็น 1(. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ อนุรักษ์ 2(. กฎหมายที่เก่ียวข้องกับข้อห้าม 3(. กฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการปลูกสร้างใดๆ ท่ีล่วงล้าเข้าไปในน้า และ 4(. กฎหมายที่ เก่ียวข้องกบั มาตรการลงโทษ 2-12
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ลำดับ คำถำมหลกั งำนวิจัยเรอ่ื ง ผลกำรวิจยั โดยสรปุ โค ร ง ก า ร ส ถ า บั น ศึ ก ษ า กล่าวถึงการเปรียบเทียบเคร่ืองมือในการ นโยบายท่ีดินรายงานฉบับ บริหารจัดการที่ดินของไทยและต่างประเทศ สมบูรณ์ โครงการศึกษาเพื่อ ซ่ึงแบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก คือ การควบคุม 29. ท บ ท ว น เค ร่ือ งมื อ ใน ก าร การถือครองที่ดิน การพัฒ นาที่ดิน และ บ ริ ห า ร จั ด ก า ร ท่ี ดิ น ข อ ง เครอื่ งมอื การจัดการดา้ นเศรษฐศาสตร์ ประเทศไทยและต่างประเทศ โค ร ง ก า ร ส ถ า บั น ศึ ก ษ า กฎหมายและระบบภาษีทรัพย์สินท่ีเกี่ยวข้อง นโยบายท่ีดินรายงานวิจัย กับท่ีดินในปัจจุบัน คือ พรบ.ภาษีโรงเรือน ฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษา และที่ดิน พ.ศ.2475 และ พรบ.ภาษีบ้ารุง นโยบายภ าษีที่ดิน (สกว.( ท้องที่ พ.ศ.2508 เป็นกฎหมายท่ีได้บังคับใช้ 30. มกราคม 2552 มาเป็นเวลานาน ซึ่งมีบทบัญ ญั ติหลาย ป ร ะ ก า ร ท่ี ไม่ เห ม า ะ ส ม กั บ ส ภ า ว ก า ร ณ์ ใ น ปัจจุบัน ก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากในการ จัดเก็บภาษี โดยเฉพาะปัญหาทางด้านฐาน ภาษีและอัตราภาษี โค ร ง ก า ร ส ถ า บั น ศึ ก ษ า รวบรวมข้อมูลพืนที่การเพาะปลูก ต้นทุน นโยบายท่ีดินรายงานฉบับ ผลผลิต และราคาของพืชเศรษฐกิจหลัก สมบูรณ์ โครงการรวบรวม ตังแต่ปี 2540-2550 อันได้แก่ ข้าว (ข้าวนาปี และวิเคราะห์แนวโน้มข้อมูล และนาปรัง (ยางพารา อ้อยโรงงาน มัน 31. การผลิตและผลผลิตของพืช ส้าปะหลัง ข้าวโพดเลียงสัตว์ ปาล์มน้ามัน เศรษฐกิจหลัก (สกว.( หอมแดง กระเทียม ถั่วเหลือง และถั่วเขียว เพอ่ื ศึกษาแนวโนม้ และเปรยี บเทียบข้อมูลนื ท่ี เพาะปลูก ต้นทุน ผลผลิต และราคาพืช เศรษฐกจิ หลักทัง 10 ชนดิ โครงการสถาบันศึกษานโยบาย กล่าวถึงธรรมาภิบาลในการครอบครองและ ท่ี ดิน รายงาน ฉบั บ ส มบู รณ์ จัดการท่ีดิน การเช่าท่ีดินเพ่ือการเกษตร การ โครงการทบทวนและสังเคราะห์ ถือครองท่ีดินและการพัฒนาชนบท เพศและ 32. งานศึกษ าวิจัยต่างประเท ศ การเขา้ ถงึ ท่ีดิน เกี่ยวกับการจัดการที่ดิน (สกว.( พลเรือโทอมรเทพ ณ บางช้าง มกราคม 2552 2-13
รายงานวิจัยฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขที่ SRI58M0417 ลำดับ คำถำมหลกั งำนวจิ ัยเรื่อง ผลกำรวจิ ัยโดยสรุป โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น งานวิจัยฉบับนีได้ด้าเนินการวิจัยส้ารวจพืนท่ี ทอ้ งถ่ิน สนามเพ่ือท้าความเข้าใจและสรุปสถานการณ์ ความ ส้ าคั ญ ของป ระเด็ น สิทธิชุมชนในชุมชนท้องถ่ินต่างๆ ทั่วทุกภาค ปัญหา สิทธิชุมชน ในฐานะ ของไทยโดยประสานกับการศึกษาค้นคว้า เป็ น ยุ ท ธ ศ าส ต ร์ข อ งช าติ จารีตประเพณีสิทธิชุมชน ซึ่งผลการวิจัยใน (สกว.( ศ.(พิเศษ( ดร.ชลธิรา เชิงสหวิทยาการที่เป็นแบบบูรณาการชีชัด สัตยาวัฒนา และยืนยันว่า สิทธิชุมชน ยังคงเป็นจิตส้านึก 33. ร่วม และเป็นอุดมการณ์ในการด้าเนินชีวิตที่ แนบแน่นกับฐานทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่น ทั่วประเทศ วิถดี ้าเนนิ ชีวติ ตามอุดมการณ์สิทธิ ชุมชนเป็นผลดีย่งิ ส้าหรับชมุ ชนท้องถิ่น เพราะ ท้าให้ชุมชนท้องถ่ินสามารถพ่ึงตนเองได้ใน ระบอบเศรษฐกจิ ชมุ ชนพอเพียงและพึ่งตนเอง ซง่ึ ท้าให้สามารถยังชีพอยู่ไดต้ ามอัตภาพแม้ใน ยามมีวิกฤตเศรษฐกิจทังในระดับชาติและ ระดับโลก เช่นในปัจจุบนั โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น ศึกษาระบบการจัดการท่ีดินในระดับท้องถ่ิน ทอ้ งถนิ่ โด ย มุ่ งเน้ น ไป ที่ ค ว าม สั ม พั น ธ์ระห ว่าง ร า ย ง า น ฉ บั บ ส ม บู ร ณ์ ทรัพยากรท่ีดินและระบบการจัดการท่ีดินใน โครงการศึกษาระบ บการ ระดับท้องถ่นิ เพื่อลดความขดั แย้ง 5 ประการ จัดการที่ดินในระดับท้องถ่ิน คือ 1. ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับรัฐ (สกว.( มีนาคม 2548 2. ความขัดแย้งระหว่างการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรที่ดินในปจั จบุ ันและในอนาคต 34. 3. ค ว าม ขั ด แ ย้ งระ ห ว่ างเศ รษ ฐ กิ จ กั บ สิ่งแวดล้อม 4. ความขัดแย้งระหว่างเศรษฐกิจ กับสังคม และ 5. ความขัดแย้งระหว่าง สิ่งแวดล้อมกับสังคม ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ส า เห ตุ ข อ ง ปั ญ ห า เกิ ด จ า ก ก ฎ ห ม า ย แ ล ะ นโยบายเกี่ยวกับป่าไม้และท่ีดินไม่สอดคล้อง กับวิถีชีวิตของประชาชน การสงวนหวงห้าม พืนที่ของรัฐก่อให้เกิดการโต้แย้งสิทธิระหว่าง รฐั กับชาวบา้ นในหลายพืนที่ 2-14
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลื่อมลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ธิ รรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ลำดับ คำถำมหลัก งำนวจิ ยั เรื่อง ผลกำรวจิ ยั โดยสรปุ โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น ปัญหาข้อพิพาทและความขัดแย้งท่ีดินภาคใต้ ท้องถน่ิ ปั ญ ห าห ลั ก เป็ น ปั ญ ห าท่ี ดิ น ใน เข ต ป่ า รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ประกอบด้วยปัญหาการทับซ้อนระหว่างที่ดิน โครงการศึกษาและส้ารวจข้อ ท้ากินของราษฎรกับที่ดินตามกฎหมายป่าไม้ พิพาทและความขัดแยง้ ปญั หา ปัญหารอง เป็นปัญหาการทับซ้อนระหว่าง 35. ทด่ี นิ ในประเทศไทย ระยะที่ 1 ที่ดินท้ากนิ ของราษฎรกับทสี่ าธารณประโยชน์ ภาคใต้ (สกว.(30 มิถุนายน ปัญหาการสัมปทานเหมืองแร่หิน ปัญหา 2548 เอกชนใช้ประโยชน์ที่ดินสาธารณ สมบัติ แผ่นดินและขัดขวางการใช้ทางสาธาณะของ ชุมชน ปญั หาการออกเอกสารสิทธโิ ดยไม่ชอบ ดว้ ยกฎหมาย โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น งานวิจัยนี มีเป้าหมายเพื่อศึกษาระบบข้อมูล ทอ้ งถ่ิน และกลไกในการบริหารจัดการที่ดินในระดับ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ท้องถิ่น เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างมี โครงการพัฒนาระบบข้อมูล ประสิทธิภาพ ศึกษาโดยคัดเลือกพืนท่ีซ่ึงเป็น และกลไกการบริหารจัดการ ตัวแทนของภาคต่างๆ 10 จังหวัด ได้แก่ ที่ดินระดับท้องถ่ิน (สกว.( เชี ย งให ม่ อุ ทั ย ธ านี ล พ บุ รี ส ร ะ แ ก้ ว 36. มีนาคม 2549 สุพรรณบุรี กาญจนบุรี บุรีรัมย์ อุดรธานี อุบลราชธานี และสุราษ ฎ ร์ธานี ซึ่งผล การศึกษายืนยันข้อสมมติฐานว่าภาวะความ ยากจนมีความสัมพันธ์กับการเข้าถึงและ ความสามารถในการใชป้ ระโยชน์จากที่ดินโดย ท่ีภาคการเกษตรยังคงเป็นสาขาการผลิตท่ีมี ความสา้ คญั ต่อภาวะเศรษฐกจิ ของชุมชน โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนในการ ทอ้ งถนิ่ พัฒนาพืนที่สูงมีปัญหาด้านการปฏิบัติงานอัน รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เน่ืองมาจากนโยบายของรัฐมีการเปล่ียนแปลง 37. โ ค ร ง ก า ร ศึ ก ษ า ก า ร ใ ช้ บ่อย ขาดความเช่ือมโยงและประสานงาน ประโยชน์ทดี่ นิ บนพืนที่สงู อย่างเป็นระบบ บุคลากรมีจ้านวนจ้ากัด (สกว.( เมษายน 2551 รวมทังงบประมาณในการด้าเนินการมีน้อย และไม่ ต่ อเน่ื อ ง ท่ี ส้าคั ญ คื อ เป็ น การ แก้ปัญหาจากฝ่ายรัฐทางเดียว ขณะท่ีชุมชน 2-15
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหลอื่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยตุ ิธรรม” สญั ญาเลขท่ี SRI58M0417 ลำดับ คำถำมหลัก งำนวจิ ยั เร่อื ง ผลกำรวิจัยโดยสรุป บนพืนที่สูงยังต้องพ่ึงพาทรัพยากรธรรมชาติ ในพืนท่ีเป็นหลัก มีปัญหาของการใช้ท่ีดินท่ีมี จ้ากัด ความไม่ม่ันคงในท่ีดินท้ากิน ปัญหา หนีสิน ระดับการศึกษาต้่า การคมนาคมไม่ สะดวกและปัญหายาเสพติด การบังคับใช้ กฎหมายอย่างเคร่งครัดไม่สามารถท้าได้ การ อพยพโยกย้ายก็เป็นเรื่องท่ีเป็นไปไม่ได้ การ จา้ กัดขอบเขตของชมุ ชนและพัฒนาพืนที่สูงใน ปัจจุบันเป็นการบรรเทาปญั หาเท่านัน โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น การพัฒนา จ.ระยอง เป็นการพัฒนาที่ไม่ ท้องถิ่น สมดุล ซ่ึงหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าทาง รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เศรษฐกิจได้รับการดูแลส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง โครงการวิจัยการจัดพืนท่ี ในขณ ะที่สภาพสังคมในจังหวัดเสื่อมลง ชายฝั่ง : กรณีศึกษาการใช้ ทรัพยากรถูกน้าไปใช้โดยไม่มีการวางแผน ที่ ดิ น แ ล ะผั งเมื อ งกั บ ก าร อย่างรัดกุม สิ่งแวดล้อมถูกท้าลาย ซ่ึงผลของ พัฒนาจังหวัดระยอง (สกว.( การพัฒนาที่ไม่สมดุล ท้าให้การกระจาย 38. มกราคม 2551 รายได้ไม่เป็นธรรม อุตสาหกรรมยังก่อให้เกิด ผลกระทบภายนอกที่กลายเป็นต้นทุนทาง สังคมในขณะท่ีประชากรขาวระยองไม่ได้รับ ประโยชน์จากรายได้จากภาคอุตสาหกรรม ขาดเป้าหมายท่ชี ัดเจนและขาดกระบวนการที่ จะใช้เป็นกลไกในการบรรลุเป้าหมายภายใต้ การมี ส่ วน ร่วม ข อ งท้ อ งถ่ิ น ทั งภ าค รัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ขาดธรรมาภิบาลใน การพฒั นา โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น สภาพปัญหาการบุกรุกท่ีป่า เกิดขึนใน 2 ท้องถน่ิ ลักษณะหลัก คือ การลักลอบตัดไม้ และการ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ บุกรุกเพ่ือครอบครองพืนท่ี โดยการลักลอบ 39. เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหา ตัดไม้นันพบว่าส่วนใหญ่เกิดจากการลักลอบ การบุกรุกที่ดินในเขตพืนที่ป่า ตัดไม้โดยชุมชนแต่ไม่มีความรุนแรงมากนัก สงวนแห่งชาติและเขตพืนท่ี เมื่อเปรียบเทียบกับคนนอกชุมชน นอกจากนี ปา่ ไม้ (สกว.( กนั ยายน 2551 ปัญหาการลักลอบตัดไม้ในบางพืนที่เป็น 2-16
รายงานวจิ ยั ฉบบั สมบูรณ์ “การลดความเหลือ่ มลา้ ผา่ นกระบวนการยุตธิ รรม” สัญญาเลขที่ SRI58M0417 ลำดบั คำถำมหลกั งำนวิจยั เรื่อง ผลกำรวิจัยโดยสรุป สาเหตุหน่ึงที่น้าไปสู่การบุกเบิกพืนท่ีหลังจาก ไม้ใหญ่ถูกตัดซ่ึงง่ายต่อการจัดการพืนท่ีเพ่ือใช้ ประโยชน์อย่างอ่ืน ส่วนการตัดไม้เพื่อใช้สอย ในชุมชนโดยคนในชุมชนนันถือว่าไม่รุนแรง มากนัก ส่วนการบุกรุกเพ่ือครอบครองที่ดิน นันพบว่าไม่รุนแรงเหมือนในอดีต แต่ประเด็น ส้าคัญ คือ การทับซ้อนของที่ดินป่าไม้และ ท่ีดินท้ากินที่ยังไม่สามารถหาแนวทางการ แก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมและขาด ประสทิ ธผิ ล โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น คณะกรรมการแก้ไขปญั หาการบกุ รุกท่ีดินของ ทอ้ งถ่นิ รัฐ (กบร.( ยังคงเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหา รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ : การบุกรุกที่ดินของรัฐท่ีเหมาะสมในระหว่างท่ี โครงการวิจัยกลไกการแก้ไข ยังไม่มีคณะกรรมการนโยบายท่ีดินแห่งชาติ ปัญหาการบุกรุกท่ีดินของรัฐ อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพบว่ามีข้อจ้ากัด (สกว.( ธนั วาคม 2553 หลายประการท่ีท้าให้ กบร.และ ส้านักแก้ไข 40. ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (สบร.( ไม่ สามารถตอบสนองต่อปัญหาที่จะต้องพิสูจน์ สิทธิในท่ีดินให้แก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เน่ืองจากข้อจ้ากัดด้าน กฎหมาย ขันตอนการท้างานท่ีต้องอาศัย ผู้เช่ียวชาญในการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ และความร่วมมือของหน่วยงานรัฐท่ีมีอ้านาจ หนา้ ทีใ่ นการดูแลรกั ษาทดี่ นิ ของรฐั โค ร งก า รวิ จั ย สิ ท ธิ ชุ ม ช น หน่วยงานที่เก่ียวข้องทังหน่วยงานที่ท้าหน้าท่ีใน ท้องถนิ่ การก้าหนดนโยบายด้านการบริหารจัดการท่ีดิน รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ : และหน่วยงานท่ีท้าหน้าที่ปฏิบัติการบริหาร โครงการศึกษาเกี่ยวกับอ้านาจ จัดการทดี่ นิ ซึง่ ในแตล่ ะหนว่ ยงานตา่ งด้าเนนิ การ 41. ห น้ า ที่ ท างก ฎ ห ม าย ข อ ง ตามอา้ นาจหนา้ ที่ของกฎหมายแตกต่างกนั ไป ท้า องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินใน ให้ปัจจุบันการบริหารจัดการที่ดินของแต่ละ ประเทศเกิดความไมส่ อดคล้องกนั และไม่สามารถ การบรหิ ารจัดการท่ดี ิน (สกว.( รองรบั ความต้องการของชุมชนและประชาชนได้ มีนาคม 2554 2-17
รายงานวจิ ัยฉบบั สมบรู ณ์ “การลดความเหล่อื มลา้ ผา่ นกระบวนการยุติธรรม” สัญญาเลขท่ี SRI58M0417 ลำดับ คำถำมหลัก งำนวจิ ยั เรอื่ ง ผลกำรวจิ ัยโดยสรุป โค รงก ารวิ จั ย สิ ท ธิชุ ม ช น การกระจายอ้านาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ิน ท้องถิ่นและชุมชนในเร่ืองการบริหารจัดการ รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ : ที่ดิน ยังเป็นไปในขอบเขตท่ีจ้ากัด ทังใน โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการ รูปแบบอ้านาจหน้าที่ทางกฎหมาย ระเบียบ 42. เร่ือง “ความร่วมมือจากพหุ รวมถึงการส่ังการในเชิงควบคุมการปฏิบัติ ซ่ึง ภาคีในการบูรณาการบริหาร ไม่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน จัดการทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกับองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น โดยชุมชนท้องถ่ิน” (สกว.( พฤษภาคม 2556 รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ นโยบายรัฐบาลส้าหรับช่วยเหลือเกษตรกรใน “โค ร ง ก า ร กั บ ดั ก ค ว า ม ปัจจุบันมุ่งเน้นไปท่ีการเพิ่มช่องทางการกู้ยืม ยากจน: กรณีศึกษาเกษตรกร โดยไม่มีส่วนของการสร้างแรงจูงใจด้านการ ไ ท ย ” (Poverty Trap: A ออม ซ่ึงเป็นผลให้ภาระหนีสินของเกษตรกร Case Study of Thai เพ่ิมสูงขึน และการพ่ึงพิงเงินช่วยเหลือจาก Farmers) โ ด ย ด ร .น ฤ ม ล รฐั บาลยิ่งเพ่ิมมากขึน และโครงการต่างๆ ของ สอาดโฉม รัฐที่มีขึนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรอาจส่งผล 43. ท างล บ ใน ระ ย ะ ย าว ใน ก ารบิ ด เบื อ น พฤติกรรมการกู้ยืมเงินและการช้าระหนีของ เกษตรกร ทางแก้ คือ ปรับแก้นโยบายรัฐบาล ส้ า ห รั บ เก ษ ต ร ก ร ใ ห้ มี ส่ ว น ข อ ง ก า ร ส ร้ า ง แรงจูงใจส้าหรับการออมและเพ่ิมทางเลือกใน การบริหารความเส่ียงให้กับเกษตรกร ซ่ึงใน ระยะยาวเกษตรกรไทยควรจะสามารถพึ่งพิง ตนเองได้มากขึน และลดปริมาณการพ่ึงพิง เงนิ ชว่ ยเหลอื จากรัฐบาลลง รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โดยภาพรวมแล้วการด้าเนินงานในพืนที่ โครงการ “การสัมมนาระดับ ภาคเหนือสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างดี ภาค โครงการความร่วมมือ ก่อให้เกิดกลไกและความร่วมมือในการพัฒนา 44. เพื่ อ ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ค ว า ม ชุมชนทุกระดับ โดยเฉพาะระดับต้าบลซ่ึง ยากจน การพัฒนาสังคมและ ประกอบด้วย ผู้น้าชุมชน องค์กรปกครอง สุขภาวะ เรื่อง กระบวนการ ท้องถิ่น และราชการในพืนที่ นอกจากนัน จัดการเศรษฐกิจฐานราก : ชุมชน หมู่บ้านและชุมชนต้าบลเป้าหมาย 2-18
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220