Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสาร-CMUJLSS Vol.12 No.2

วารสาร-CMUJLSS Vol.12 No.2

Published by E-books, 2021-06-18 09:13:39

Description: วารสาร-CMUJLSS Vol.12 No.2

Search

Read the Text Version

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 ของส่วนรวมอื่นใดกลายมาเป็นแรงผลักดันที่ทาให้นักกฎหมายหลุดออกจากบทบาทดั้งเดิมที่มีตอ่ ลูกความได้ โดยกรอบความคิดเช่นนี้จึงส่งผลให้บทบาททางการเมืองของนักกฎหมายถูกจากัดไป โดยปรยิ าย และนอกจากการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทข้างต้นแล้ว บทบาทนักกฎหมาย การเมืองที่มีหน้าที่พิทกั ษ์ความยุติธรรมก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทท่ีถูกสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับหนา้ ท่ี ทางอาชีพของนักกฎหมายต่อสังคมคูข่ นานในระดับที่สาคัญเท่า ๆ กันกับบทบาทนักกฎหมายของ รัฐด้วย สาหรับบทบาทนี้ นักกฎหมายถูกสร้างความเข้าใจขึ้นโดยเริ่มจากวิธีการโจมตีด้านเลวร้าย หรอื จุดบกพร่องของนักกฎหมายของรฐั ท้งั ในเร่อื งการใชก้ ฎหมายโดยไมค่ านงึ ถงึ สง่ิ อ่ืนใดนอกจาก สิ่งที่กล่าวไว้ในกฎหมายอันเป็นการสร้างความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์ให้กับนักกฎหมายเกี่ยวกับ บทบาทต่อสังคมประการหนง่ึ 58 และการมองว่ากฎหมายเป็นเรื่องของอานาจโดยแยกขาดออกจาก ยุติธรรมซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ขัดต่อสามัญสานึก ขัดต่อความเข้าใจของมนุษยชาติ และสร้างผลเสีย ทาใหน้ กั กฎหมายไมม่ จี ิตใจท่ีจะแสวงหาความยตุ ธิ รรมอีกประการหนงึ่ 59 สาหรับการสร้างความเข้าใจเกี่ยวบทบาทต่อสังคมของนักกฎหมายการเมืองในฐานะผู้ พิทักษ์ความยุติธรรมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติอย่างยิ่ง โดยเนื้อหา เก่ยี วกบั ทฤษฎีกฎหมายธรรมชาตนิ ัน้ แม้จะมวี ิธกี ารอธบิ ายและให้ความหมายของกฎหมายแตกต่าง กันออกไปในแต่ละสานักคิด แต่ทั้งหมดล้วนมีหลักการพื้นฐานทางทฤษฎีร่วมกันคือมองกฎหมาย แบบทวินิยม กล่าวคือมีกฎหมายสองประเภทดารงอยู่คู่กันไประหว่างกฎหมายที่ดารงอยู่ใน ธรรมชาติซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับความยุติธรรมและกฎหมายที่มนุษย์กาหนด โดยกฎหมายที่มนุษย์ กาหนดจะใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อสอดคล้องกับกฎหมายธรรมชาติเท่านั้น60 ความใกล้ชิดกับทฤษฎี ดงั กลา่ วส่งผลใหม้ ีการนยิ ามนักกฎหมายที่ดีคือนักกฎหมายทีร่ ับรถู้ งึ ความยตุ ธิ รรม รกั ษาความเป็น ธรรมและเป็นนักกฎหมายที่มีคุณธรรมประกอบในการใช้กฎหมาย61เพื่อทาหน้าที่เป็นวิศวกรทาง สังคมในการเปลี่ยนแปลงให้สังคมดีขึ้นและหลุดพ้นจากสถานะดั้งเดิมต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม สาหรับความหมายของความยุติธรรมที่นักกฎหมายมุ่งพิทักษ์นั้นจะมีเนื้อหาสาระเช่นไร ดูเหมือน 58 Ibid, 58-62. 59 ปรีดี เกษมทรัพย์, นิติปรัชญา (กรุงเทพฯ: โครงการตาราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2555), 326-328. 60 วรเจตน์ ภาครี ตั น,์ ประวตั ิศาสตร์ความคดิ นติ ิปรัชญา, 473-475. 61 ปรีดี เกษมทรพั ย์, นติ ปิ รัชญา, 348-349 144

“รัฐประหาร พน้ื ที่ พลเมอื ง” เป็นคาถามชั่วนิรันดรของมนุษยชาติที่จนกระทั่งถึงปัจจุบันก็ยังไม่อาจหาคาตอบได้อย่างแน่ชัด62 ดังนั้น ความยุติธรรมจึงอาจถูกเน้นความสาคัญได้หลากหลายแบบโดยอาจเกี่ยวข้องได้กับทั้งเร่อื ง ของเหตุผล ความถูกต้อง ความดี ความชั่ว ความเป็นธรรม ศีลธรรม ศาสนา หรือแม้กระทั่ง อุดมการณ์ทางการเมืองซึง่ ขน้ึ อยกู่ ับจติ ใจของนักกฎหมายแต่ละคนจะนิยาม63 โดยการยึดถือระบบทวินิยมเป็นแก่นสาระสาคัญแห่งวิชาชีพของนักกฎหมายการเมือง เช่นนี้ ถือว่าเป็นเงื่อนไขสาคัญที่ทาให้นักกฎหมายมีวิธีคิดและความประพฤติที่เกี่ยวข้องกับการ เปลี่ยนแปลงผู้ใช้อานาจรัฐหรือการเปล่ียนแปลงทางสงั คมโดยขัดต่อกฎหมายบ้านเมืองเพื่อพิทักษ์ ความยุติธรรมได้ ผ่านกรอบความคิดที่ว่าผู้ปกครองรัฐและกฎหมายที่ผู้ปกครองตราขึ้นถูกจากัด ขอบเขตโดยกฎหมายธรรมชาติหรือความยุตธิ รรมเสมอ หากละเมิดต่อหลักการดังกลา่ วยอ่ มทาให้ ผู้ปกครองหมดความชอบธรรมที่จะปกครองและกฎหมายดังกล่าวย่อมใช้บังคับไม่ได้ ซึ่งทาให้นัก กฎหมายมีสิทธิตามธรรมชาติ เช่น สิทธิปฏิวัติ (Right of Revolutions) แบบจอห์น ล็อค64และ สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (Right to Protect the constitution)65 มาเป็นฐานความชอบด้วย กฎหมายให้กับการใช้มาตรการหรือการกระทาที่เกินกว่ากรอบของกฎหมาย เช่น การก่อจลาจล การดื้อแพ่ง การทาปฏิวัติ หรือการทารัฐประหาร เพื่อพิทักษ์ความยุติธรรมตามนิยามของนัก กฎหมายได้ และนอกจากน้ียังรวมถึงการลดทอนกฎหมายให้เป็นแต่เพียงเครื่องมือท่ีนักกฎหมายใช้ เพอื่ ม่งุ ตอบสนองวตั ถปุ ระสงคใ์ นการพิทักษค์ วามยุตธิ รรมของตน66 นักกฎหมายของรัฐและนักกฎหมายการเมืองต่างเป็นความเข้าใจที่ดารงเคียงคู่กันเสมอ ในวิธีคิดเกี่ยวกับบทบาทต่อสังคมของนักกฎหมาย เราจึงไม่อาจนิยามให้นักกฎหมายจากัดอยู่แต่ เพียงบทบาทใดบทบาทหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตามการจะหาคาอธิบายว่าทาไมในเหตุการณ์หน่ึง เหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์การเมือง นักกฎหมายจึงเลือกเน้นเฉพาะบทบาทเพียงด้านใดด้าน หนึ่งจากสองบทบาทดังกล่าวเท่านั้น เช่น ในสถานการณ์หนึ่งนักกฎหมายมีบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ รัฐธรรมนูญจากการปฏิวัติและการรัฐประหาร แต่ในอีกสถานการณ์หนึ่งกลับเข้าร่วมการ 62 Hans Kelsen, What is Justice? Justice, Law, and Politics in The Mirror of Science Collected Essay By Hans Kelsen (Berkeley and Los Angeles, California: University of California Press, 1960), 1. 63 หยดุ แสงอทุ ยั , ความรู้เบื้องตน้ เกย่ี วกับกฎหมายท่ัวไป (กรงุ เทพฯ: สานักพิมพป์ ระกายพรึก, 2542),142. 64 วรเจตน์ ภาคีรัตน์, ประวตั ิศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา, 286-289. 65 ปูนเทพ ศริ ินุพงศ์, ตลก รฐั ธรรมนญู , 288-299. 66 โปรดดู จิตติ ตงิ ศภทั ยิ ์, หลักวชิ าชพี นักกฎหมาย, 65-67. และปรดี ี เกษมทรัพย์, นิติปรัชญา, 352. 145

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 เปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อกฎหมายอย่างการรัฐประหารได้ เพื่อตอบคาถามดังกล่าวเราจะต้องเริ่มด้วย การมองนักกฎหมายในฐานะตัวแสดง (Actor) ที่แบบแผนพฤติกรรมในแต่ละสถานการณ์ถูก กาหนดโดยการเลือกอย่างเปน็ เหตุเป็นผลว่าการกระทาใดจะทาให้นักกฎหมายบรรลุผลประโยชน์ หรือความปรารถนาสูงสุดและเลือกการกระทาที่ลงทุนน้อยที่สุด67 โดยตามทฤษฎีการเลือกอย่าง เป็นเหตุเป็นผล (Rational Choice Theory) การตัดสินใจเลือกหรือกระทาอย่างหนึ่งอย่างใดของ ตัวแสดงมีแรงปรารถนา (Desires) และความเชอื่ (Beliefs) อยเู่ บ้ืองหลงั โดยแรงปรารถนาเป็นเรอ่ื ง ของความพอใจที่จะเลือก (preferences) ซึ่งถูกขับเคลื่อนโดยแรงจูงใจ (Motivations) ในขณะที่ ความเชื่อเป็นเรื่องการมีข้อมูลที่ดโี ดยปราศจากอคติและจานวนเพียงพอสนับสนุนในการตัดสินใจ เลอื ก68 จอห์น เอลสเตอร์ (Jon Elster) นักวิชาการชาวนอร์เวย์ ได้ริเร่ิมนาทฤษฎกี ารเลือกอย่าง เป็นเหตุเป็นผลมาใช้ในศึกษาการร่างรัฐธรรมนูญเพื่ออธิบายว่าเหตุใดและปัจจัยใดที่กากับการ ตัดสินใจของผู้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยเราสามารถนาวิธีการศึกษาดังกล่าวนี้มาเทียบเคียงอธิบายการ เลอื กหลุดพน้ จากบทบาทผ้พู ิทกั ษ์กฎหมายและก้าวเข้าสู่บทบาทผพู้ ทิ กั ษ์ความยุตธิ รรมเพ่ือเข้าไปมี บทบาทในการรัฐประหารเพื่อนาไปสู่ระบอบเผด็จการของนักกฎหมายได้ โดยจอห์น เอลสเตอร์ (Jon Elster) ไดจ้ าแนกแรงจงู ใจท่ีกากับการกระทาของนักกฎหมายออกมาดงั นี้69 ประการแรก ผลประโยชน์ (Interest) ประกอบไปด้วย (1) ผลประโยชน์ส่วนตัวของนัก กฎหมาย ตัวอย่างเช่น ผลประโยชน์ในการได้เข้าดารงตาแหน่งหน้าที่การงานในคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกของสภานิติบัญญัติที่นักกฎหมายจะได้รับภายหลัง รัฐประหารสาเร็จ หรือผลประโยชนใ์ นทางอภิสิทธิ์ทางสงั คมและเศรษฐกิจต่าง ๆ (2) ผลประโยชน์ ของกลุม่ ซ่ึงผลประโยชน์ส่วนนี้มีบทบาทสาคัญต่อการตัดสินใจของนกั กฎหมาย เชน่ ผลประโยชน์ ของกลุ่มนักกฎหมายที่ถูกละเลยจากรัฐบาลพลเรือนที่มาจากเลือกตั้ง ผลประโยชน์ของพรรค การเมืองที่นักกฎหมายสังกัดอยู่ หรือผลประโยชน์ของรัฐพันลึก (Deep State)70 ที่นักกฎหมาย 67 ไชยันต์ ไชยพร, จอน เอลสเตอร์ (Jon Elster) กับทฤษฎีการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล (Rational Choice Theory) (กรงุ เทพฯ: WAY of BOOK, 2560), 88-90. 68 Ibid, 77-86. 69 Jon Elster, “Forces and Mechanism in The Constitution-Making Process,” Duke Law Journal, 45 No.2 (1995): 364-396. 70 โปรดดู เออเจนี เมริโอ, “รฐั เรน้ ลึกในไทย พระราชอานาจ และศาลรัฐธรรมนญู (พ.ศ. 2540-2558),” ฟา้ เดยี วกนั , 146

“รัฐประหาร พนื้ ท่ี พลเมือง” สังกัดอยู่ และ (3) ผลประโยชน์ของสถาบัน เช่น ผลประโยชน์ของสถาบันศาลที่ต้องการปกป้อง พืน้ ท่อี สิ ระและอานาจของตนจากการคกุ คามโดยสถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกต้ัง เปน็ ตน้ ประการท่สี อง ความรสู้ กึ ร้อนแรงรุนแรง (The Passions) ที่อาจจะเป็นได้ท้ังความรู้สึกที่ เกิดขึ้นแบบฉับพลัน เช่น การรู้สึกไม่ชื่นชอบรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเฉพาะชุดใด ชุดหนึ่งเป็นการเฉพาะอันเนื่องมาจากนโยบายบริหารประเทศของรัฐบาล พฤติกรรมการทุจริต หรือการใช้อานาจโดยมิชอบ เป็นต้น หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นแบบถาวร เช่น การรู้สึกไม่ชื่นชอบ นักการเมืองที่มาจากเลือกตั้ง การรู้สึกไม่ชื่นชอบระบอบเสรีประชาธิปไตย และการรู้สึกชื่นชอบ ระบอบเผด็จการหรอื ระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ เป็นตน้ ประการท่สี าม เหตุผล (Reason) คอื การตัดสินใจโดยปลอดจากความรู้สึกร้อนแรงและ ผลประโยชน์ ตัวอยา่ งเช่น การตดั สินใจจากฐานทางศีลธรรม71 อดุ มการณ์ทางการเมือง นิตปิ รชั ญา ของนกั กฎหมาย หรอื การตัดสินใจจากคานึงถงึ ผลประโยชน์ของสว่ นรว่ มหรือท้งั สงั คมเป็นหลักของ นกั กฎหมาย เปน็ ต้น ดังน้ัน จากทฤษฎีดังกลา่ วเราจึงอธิบายไดว้ า่ การทน่ี กั กฎหมายจะตัดสินใจเลือกหลุดออก จากบทบาทนักกฎหมายของรัฐกลายมาเป็นนักกฎหมายการเมืองที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับการทา รฐั ประหารเพ่ือนามาสู่ระบอบเผด็จการไดจ้ ึงต้องปรากฏเงื่อนไขว่า นกั กฎหมายมแี รงจูงใจข้อใดข้อ หนึ่งตามที่กล่าวมาไว้ข้างต้นจนก่อขึ้นเป็นแรงปรารถนา (Desires) ที่จะต้องการขับไล่รัฐบาล พลเรือนท่ีมาจากการเลือกต้งั และนกั กฎหมายต้องมขี ้อมูลจานวนมากและเพียงพอท่เี กิดความเช่ือ (Beliefs) แนช่ ดั ว่ากระบวนการตามกฎหมายปกตไิ ม่อาจกาจัดรัฐบาลที่มาจากการเลอื กตั้งดังกล่าว ได้ รวมถึงทราบแน่ชัดว่าการรัฐประหารมีความเป็นไปได้สูงที่จะกระทาได้สาเร็จ โดยเมื่อครบ เงื่อนไขดังกล่าวเราจึงต้ังสมมติฐานได้วา่ การรัฐประหารที่นักกฎหมายเข้าไปมบี ทบาทอย่างแข็งขนั กาลังเริ่มขึ้น และจากสมมติฐานเช่นนี้เราย่อมสามารถนามาอธิบายได้ว่าเหตุใดนักกฎหมายไทยที่ กล่าวไว้ในส่วนที่ 3 จึงเข้ามามีบทบาทกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้ด้วย เชน่ กัน 14 ฉ.1 (มกราคม-เมษายน 2559): 13-48. 71 Karen L. Loewy, “Lawyering For Social Change”. 147

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 6. บทสรุป ว่าด้วยบทบาทหน้าที่ของนักกฎหมายไทยในการทำรัฐประหาร วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ การศึกษาบทบาทของนักกฎหมายไทยในช่วงเวลาของการรัฐประหารเพือ่ นาไปสู่ระบอบ เผด็จการจากกรณีศึกษาในส่วนที่ 3 พบว่า นักกฎหมายไทยได้เคลื่อนย้ายเข้ามาสู่บทบาทของ นักกฎหมายการเมืองอย่างชัดเจน โดยเข้ามามีส่วนในการใช้และตีความรัฐธรรมนูญให้ขัดต่อ หลักการเฉพาะในการตีความรัฐธรรมนูญ72และขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือ สาคัญในการสร้างวิกฤติทางรัฐธรรมนูญ (Constitutional Crisis) ที่นามาสู่การสิ้นสุดลงของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ในท้ายที่สุด ผ่านการกระทาหรือกิจกรรมที่อยู่ใน กรอบวิชาชพี ทางกฎหมายตงั้ แตก่ ารสร้างทฤษฎที างกฎหมายและการใชอ้ านาจหน้าท่ีตามกฎหมาย ดังต่อไปนี้ ประการแรก นักกฎหมายไทยสร้างคาอธิบายทางกฎหมายสื่อสารต่อสาธารณะแสดงให้ เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลและเหตุความจาเป็นที่จะต้องเปล่ียนแปลงรัฐบาล เพื่อรับรอง ความชอบธรรมให้กับการชมุ นมุ ของกลุ่มคนทเี่ ปน็ ปฏิปักษ์กับรัฐบาล ประการที่สอง นักกฎหมายไทยพัฒนาคาอธิบายทางกฎหมายและใช้อานาจหน้าที่ตาม กฎหมายรองรับการกระทาต่าง ๆ ที่เกินขอบเขตความขัดแย้งทางการเมืองปกติของกลุ่มบุคคลที่ เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล เช่น การใช้เสรีภาพในการชุมนุมเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ การใช้ความ รนุ แรง การเข้ายึดสถานที่ราชการและการขัดขวางกลไกการแก้ปัญหาทางการเมอื งตามรฐั ธรรมนูญ อย่างการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นการกระทาที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองตาม รัฐธรรมนญู และกฎหมาย ประการที่สาม นักกฎหมายไทยอาศัยทักษะการให้เหตุผลทางกฎหมายมาพัฒนา คาอธิบายที่สร้างความสมเหตุสมผลทางกฎหมายให้กับข้อเสนอต่าง ๆ ของกลุ่มบุคคลที่เป็น 72 หลักการเฉพาะในการตีความรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย 1) หลักความเป็นเอกภาพของรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้ ตีความบทบญั ญตั ิตา่ ง ๆ ของรัฐธรรมนูญไมใ่ ห้ขดั แย้งกนั เอง 2) หลกั การมีผลบงั คบั ในทางปฏบิ ตั ขิ องบทบัญญัตทิ ุกบทบัญญัติ เรยี กร้องใหก้ รณีท่ีบทบัญญัติรัฐธรรมนญู ขดั แย้งกันเอง ผูต้ ีความรฐั ธรรมนูญจะต้องตีความให้บทบญั ญัติตามรัฐธรรมนูญมีผล บังคบั ทุกมาตรา 3) หลักการเคารพภารกจิ ขององค์กรตามรัฐธรรมนญู เรียกรอ้ งให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญตคี วามรัฐธรรมนูญ เคารพภารกิจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่น ๆ 4) หลักบูรณภาพแห่งรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้การตีความเพื่อแก้ปัญหาทาง รฐั ธรรมนญู ผูต้ คี วามจะตอ้ งตคี วามสง่ เสริมใหร้ ฐั ธรรมนูญม่ันคงและไม่ให้ล้มเหลว และ 5) หลักความมผี ลบังคับเป็นกฎหมาย โดยตรงของบทบัญญัตใิ นรัฐธรรมนญู โปรดดู วรเจตน์ ภาครี ตั น์, คำสอนว่าด้วยรัฐและหลกั กฎหมายมหาชน, 299-300. 148

“รัฐประหาร พน้ื ที่ พลเมอื ง” ปฏิปักษ์กับรัฐบาล เพื่อรักษาความถูกต้องตามกฎหมายให้กับประเด็นการเคลื่อนไหวของกลุ่ม บคุ คลทีเ่ ป็นปฏิปกั ษก์ บั รฐั บาล ประการที่สี่ นักกฎหมายไทยสร้างคาอธิบายทางกฎหมายและตีความรัฐธรรมนูญจนทา ให้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับกลไกการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองอย่างการจัดการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้บังคับไม่ได้ รวมถึงทาให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ บังคับใช้กฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในรัฐอย่างคณะรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติภารกิจ ตามรัฐธรรมนูญของตนในการแก้ไขวิกฤติทางการเมืองได้ จนส่งผลทาให้รัฐธรรมนูญล้มเหลวที่จะ แก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงดังกล่าวผ่านวิธีการปกติตามรัฐธรรมนูญและสร้าง ความชอบธรรมให้กับวิธีการอ่ืนทีล่ ะเมิดต่อกฎหมายอย่างการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบ แห่งชาติในการเข้ามายุติความขัดแย้งที่เกินขอบเขตความขัดแย้งทางการเมืองทั่วไปดังกล่าวใน ท้ายทีส่ ุด โดยการพิจารณาบทบาทของนักกฎหมายและการกระทาของนักกฎหมายต่าง ๆ ใน บริบททางการเมือง สังคมข้างต้นถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในวิธีการศึกษาทางกฎหมายซึ่งต่าง ออกไปจากการศึกษาทางกฎหมายกระแสหลกั ซ่ึงมักจะมงุ่ เนน้ หรือใหค้ วามสาคญั กับตวั บทบัญญัติ ทางกฎหมายเป็นวัตถุในการศึกษา คาถามต่อมาคือ แล้วเหตุใด นักกฎหมายหรือแม้กระทั่งบุคคล ทั่วไปจึงจาเป็นต้องศึกษาบทบาทและการกระทาของนักกฎหมาย การตอบคาถามดังกล่าวคงสรปุ ได้ไม่ยากเนื่องจากในโลกปั จจุบั นที่ถู กครอบง าโดยอ ุดมการณ ์การปกครองโดยกฎห มาย (Rule of Law) แต่ปรากฏว่ากฎหมายเป็นสิ่งไม่มีชีวิตที่จะคิดหรือพูดหรือแสดงออกเองได้โดย ลาพงั ซ่ึงบุคคลท่ีจะมีส่วนทาให้กฎหมายเข้ามาปกครองได้กค็ ือนักกฎหมาย ผา่ นการตีความและใช้ กฎหมาย จึงส่งผลให้โลกปัจจุบันเปน็ โลกที่ปกครองโดยนักกฎหมายไปโดยปริยาย บทบาทของนกั กฎหมายและการใชก้ ฎหมายของนักกฎหมายจงึ สรา้ งผลกระทบต่อการเมอื งและสงั คม รวมถึงผู้คน ในวงกวา้ งอย่างหลกี เล่ียงไม่ได้ ดังนน้ั การศึกษานกั กฎหมายจึงสามารถเป็นเครื่องมือสาคัญในการ ทาความเขา้ ใจการเปลีย่ นแปลงทางกฎหมาย การเมือง สงั คมที่ดีและกระจ่างข้ึนอีกชนิ้ หนึง่ สาหรับบทความนี้ ผู้เขียนได้มุ่งศึกษาบทบาทของนักกฎหมายกับการรัฐประหารเพ่ือ นาไปสู่ระบอบเผด็จการโดยมุ่งจากัดอยู่เพียงตัวอย่างเดียวคือนักกฎหมายไทยกับการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เท่านั้น คาตอบต่าง ๆ ในบทความชิ้นนี้จึงยังไม่สามารถอธิบาย บทบาทของนักกฎหมายในห้วงเวลาของการรัฐประหารเป็นการทั่วไปหรือในสังคมอื่น ๆ ได้ แต่ อยา่ งไรกต็ ามจากการศึกษาพบว่าในห้วงเวลาก่อนการรัฐประหาร นกั กฎหมายไทยได้เข้าสู่บทบาท 149

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 นักกฎหมายการเมืองอย่างแข็งขันและมีส่วนสาคัญในทางการเมืองโดยการใช้กฎหมายเป็น เคร่ืองมือสาคัญเพื่อกระทาการเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงทาให้ กลไกของรัฐธรรมนูญในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองล้มเหลวลงจนทาให้เกิดสภาวะ สญุ ญากาศทางการเมืองและกฎหมายข้ึนมา โดยการทาความเข้าใจบทบาทของนักกฎหมายไทยต่อ การรัฐประหารดังกล่าวมีประโยชน์อย่างยิ่งที่ทาให้เราสามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของ การเมอื งและสังคมไทย รวมถึงการเกิดขึ้นของรฐั ประหารในอดตี ปัจจุบันและอนาคตได้กระจ่างชัด มากยิ่งขึ้น เพราะต่อไปเมื่อไรก็ตามที่เราเห็นว่านักกฎหมายไทยเริ่มตีความและใช้รัฐธรรมนูญจน สร้างวิกฤติทางรัฐธรรมนูญครั้งใหม่ เมื่อนั้นย่อมหมายความว่าการรัฐประหารโดยกองทพั กาลงั จะ เกดิ ข้นึ ตามหลงั มาในไมช่ ้า 150

“รัฐประหาร พ้ืนท่ี พลเมือง” References “กปปส.เปิดเผยรูปแบบจัดตั้งรัฐบาล-สภาประชาชน”[ The PDRC revealed a form of government and people’s council.] Thai PBS. Accessed July 19, 2018. https://news.thaipbs.or.th/content/211684. (in Thai) “กลมุ่ นกั วชิ าการตงั้ 'สมชั ชาปกปอ้ งประชาธิปไตย' เหน็ ต่างขอ้ เสนอ กปปส.-ทปอ. (แถลงการณ์ เตม็ )” [A group of academicians formed ‘the Assembly for the Defense of Democracy’ and disagreed with the PDRC as well as the CUPT. (Full statement)] Prachathai. Accessed July 19, 2018. https://prachatai.com/journal/2013/12/50321. (in Thai) “คณบดีนิติศาสตร์นิด้าแนะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” [The Dean of Faculty of Law, NIDA, suggested reformation before having election] Posttoday. Accessed August 4, 2018, https://www.posttoday.com/politic/news/264811. (in Thai) “คาปราศรัยของรศ.ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ เวทีราชดาเนิน วันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 (ถอดเทป)” [The speech of Assoc.Prof.Dr. Kittisak Prokati at the Rajadamnern stage, on 28 November 2013. (Transcription)]. Accessed July 20, 2018. https://www.youtube.com/watch?v=KRhfzwkU408. (in Thai) “คาพิพากษาฉบับเต็มศาลไม่ถอนพรก.แตห่ ้ามสลายม็อบ” [The full version of verdict announcing that the court did not withdraw the Decree but banned dispersing the mob] Posttoday. Accessed March 19, 2019. https://www.posttoday.com/politic/news/279039. (in Thai) “คาวนิ ิจฉยั ศาลรฐั ธรรมนูญที่ 2/2557” [The Constitutional court decision No. 2/2557] “คาวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนญู ที่ 5/2557” [The Constitutional court decision No. 5/2557] “คาวนิ จิ ฉยั ศาลรัฐธรรมนญู ที่ 9/2557” [The Constitutional court decision No. 9/2557] “คาส่งั ศาลรฐั ธรรมนูญที่ 63/2556” [The Constitutional court order No.63/2556] 151

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 “คาสมั ภาษณข์ อง ศ.ดร.สุรพล นติ ไิ กรพจนใ์ นรายการเจาะข่าวเดน่ ทางสถานีวทิ ยโุ ทรทศั น์ไทยทวี สี ี ชอ่ ง 3 วันท่ี 10 ธันวาคม 2556 (ถอดเทป)” [Prof.Dr. Surapon Nitikrapot gave an interview for Joa Jai, a TV program, on the Channel 3, on 10 December 2013. (Transcription)]. Accessed July 20, 2018. https://www.youtube.com/watch?v=nYJgm0VXmW0&t=66s. (in Thai) “คาอภปิ รายของศ.ดร.บรรเจดิ สงิ หเนติ เวทสี มัชชามวลมหาประชาชน วนั ท่ี 14 ธนั วาคม 2556 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ (ถอดเทป)” [The discussion of Prof. Dr. Banjerd Singkaneti at the assembly of the great mass of people stage, on 14 December 2013, at (Transcription)]. Accessed July 20, 2018. https://www.youtube.com/watch?v=vAW2baVvbfg. (in Thai) “ตร.แถลงสรุปหน้ารามฯ ป่วน 19 ครั้ง-เสียชีวิต 5 คน” [The police stated that there were attacks at least 19 times which killed 5 people.] Thairath. Accessed July 19, 2018. https://www.thairath.co.th/content/387812. (in Thai) “นานาทรรศนะ 'นวิ ัฒนธ์ ารง' มอี านาจเทียบเท่า 'นายกฯ' หรือไม่?” [In various views, ‘Niwattumrong’ had the same authority as the Prime Minister or not?] Thairath. Accessed August 4, 2018. https://www.thairath.co.th/content/422148. (in Thai) “เปดิ คาแถลงวฒุ ิสภาแก้วิกฤตชิ าติฉบับเตม็ ก่อน \"กานนั สเุ ทพ\" โบกมือลา!” [Showing the full version of Senate’s statement, which solved national crisis, before “Suthep” saying goodbye!] isranews. Accessed August 4, 2018. https://www.isranews.org/isranews-scoop/29461-pporn.html. (in Thai) “ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 1/2557 เรื่อง การควบคุมอานาจการปกครอง ประเทศ” [NCPO announcement no. 1/2557] “ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 5/2557 เรื่อง การสิ้นสุดชั่วคราวของรัฐธรรมนูญ แหง่ ราชอาณาจกั รไทย” [NCPO announcement no. 5/2557] “ผู้ตรวจฯชงคาร้องอาจารยม์ ธ.ใหศ้ าล รธน.ช้ีโมฆะ” [The ombudsman supported the professor of Thammasat University for sending complaint to the 152

“รัฐประหาร พ้ืนท่ี พลเมอื ง” Constitutional Court in order to annul the election.] Bangkokbiznews. Accessed August 4, 2018. http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/567146. (in Thai) “รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550” [Constitution of the kingdom of Thailand, B.E. 2550] “\"วชิ า\"เผยสภาประชาชนตั้งได้ใหร้ บ.ออก พ.ร.ก.” [‘Vicha’ revealed that the people’s council could be established by the government issuing the Decree] Posttoday. Accessed August 4, 2018. https://www.posttoday.com/politic/news/264049. (in Thai) “สภาฉลุย!ผ่านนิรโทษสุดซอยวาระ3” [The House of Representatives passed the third reading of the blanket amnesty bill.] Posttoday. Accessed July 15, 2018. https://www.posttoday.com/politic/news/256324. “\"สุเทพ\"ประกาศตั้ง\"กปปส.\"- ดีเดย์เคลื่อนขบวนยึดทาเนียบ 1 ธ.ค.นี้” [‘Suthep’ announced ‘the PDRC’ will be formed, and for D-day, on 1st December, the protesters prepared to take over the Government House.] isranews. Accessed July 15, 2018. https://www.isranews.org/isranews-news/25518-0278.html. (in Thai) “'สุเทพ'ยกระดบั ออกอีก 4 มาตรการ เดนิ หน้า ถอดถอน 310 ส.ส.” [Suthep’ rioting and declaring another four measures in order to remove 310 members of the House of Representatives. ] Thairath. Accessed July 19, 2018. https://www.thairath.co.th/content/383100. (in Thai) “สมคิด : ชอ่ งทาง รบ.ไม่รักษาการ และความกระจา่ งเร่ืองมาตรา 7” [Somkid explaining the way to become the caretaker government and the fact about Section 7.] isranews. Accessed July 20, 2018. https://www.isranews.org/isranews- article/item/25747-somkidlert.html. (in Thai) “อาจารย์ มธ.ร้องผู้ตรวจการส่งศาล รธน.ฟันเลือกตั้ง 2 ก.พ.โมฆะ ” [The professor of Thammasat University complained the ombudsman to submit the letter to the Constitutional Court in order to annul the election, on 2nd February.]. 153

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 isranews. Accessed August 4, 2018. https://www.isranews.org/isranews- news/27374-election_27374.html. (in Thai) Bourdieu, Pierre. “The Force of Law : Toward a Sociology of The Juridical Field”. Hasting Law Journal, 38 No.5 (1986): 814-853. Bowonsak Uwanno. กฎหมายมหาชน เล่ม 1 วิวัฒนาการทางปรัชญาและลักษณะของกฎหมาย มหาชนยคุ ต่าง ๆ [Public law Volume 1 Philosophical response to evolution and feature of public laws]. Bangkok: Chulalongkorn University Press, 2009. ( in Thai) Chitti Tingsaphat. “หลักวิชาชพี นกั กฎหมาย” [Legal profession]. Bangkok: Faculty of Law Thammasat University Press, 2015. (in Thai) Chaiyan Chaiyaporn. จอน เอลสเตอร์ (Jon Elster) กับทฤษฎีการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ( Rational Choice Theory) [Jon Elster and rational choice theory ]. Bangkok: WAY of BOOK, 2017. (in Thai) Dotan, Yoav. Lawyering for The Rule of Law: Government lawyers and the rise of judicial power in Israel. New York, USA : Cambridge University Press, 2014. Elster, Jon. “Forces and Mechanism in The Constitution-Making Process”. Duke Law Journal, 45 No.2 (1995): 364-396. Eugénie Mérieau. “รฐั เร้นลึกในไทย พระราชอานาจ และศาลรัฐธรรมนญู (พ.ศ.2540-2558)” [Thailand’s Deep State, Royal Power and the Constitutional Court (1997– 2015)]. Same Sky, 14, No. 1/2016 (January-May 2016): 13-48. (in Thai) Kelsen, Hans. General Theory of Law and State. Massachusetts, USA : Harvard University Press, 1949. . What is Justice? Justice, Law, and Politics in The Mirror of Science Collected Essay By Hans Kelsen. Berkeley and Los Angeles, California: University of California Press, 1960. 154

“รัฐประหาร พืน้ ท่ี พลเมือง” Levinson, Sanford and Balkin, Jack M.. (2009). “Constitutional Crises”. University of Pennsylvania Law Review, 157 No.3 (2009),: 707-753. Loewy, Karen L.. “Lawyering For Social Change”. Fordham Urban Law Journal, 27 No.6 (2000): 1869-1901. Max weber. Kamolrut Silprasert (Translate). การยึดมั่นในอาชีพการเมือง [Politics as a vacation]. Bangkok: Sommadhi Press, 2017. (in Thai) Poonthep Sirinupong. ตลก รัฐธรรมนูญ [Constitutional Absurdity]. Bangkok: Shine publishing House Press, 2016. (in Thai) Piyabutr Saengkanokkun. ศาลรัฐประหาร : ตลุ าการ ระบอบเผดจ็ การ และนติ ริ ฐั ประหาร [The Court of Coup d’etat: The Judiciary, the Dictatorship and the Rule of Law]. Nonthaburi: Same Sky Press, 2017. (in Thai) Pridi Kaseamsub. นิติปรัชญา [Philosophy of law]. Bangkok: Faculty of Law Thammasat University Press, 2012. (in Thai) Punsak Vinyarut. ค่มู ือรัฐประหาร [Coup d'Etat: A Practical Handbook]. Bangkok: Sommadhi Press, 2013. (in Thai) Pokin Ponlakun. หลักกฎหมายมหาชน [Principle of Public law]. Bangkok: Thammasat University Press, 1982. (in Thai) Roznai, Yaniv. “Revolutionary Lawyering? On Lawyer Social Responsibilities and Roles During A Democratic Revolution”. Southern California Interdisciplinary Law Journal, 22 No.2 (2013): 353-384. Suchin Tuntikul. รัฐประหาร พ.ศ. 2490 [coup d'état B.E. 2490]. Bangkok: Matichon Press, 2014. (in Thai) Somchai Prichasinlapakun. น ิ ต ิ ป ร ั ช ญ า ท า ง เ ล ื อ ก [Alternative Philosophy of law]. Bangkok: Vinyuchon Press, 2003. (in Thai) 155

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 Worachet Pakhirat. การเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยและผลผูกพันของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ: ศกึ ษากรณศี าลสงู สดุ ของสหรฐั อเมริกาและศาลรฐั ธรรมนูญแห่งสหพันธส์ าธารณรัฐอเมริกา [Changing the judgements of Constitutional Court and their legal binding]. Bangkok, 2007. (in Thai) . คำสอนว่าด้วยรัฐและหลักกฎหมายมหาชน [General Theory of State and Principle of Public Law]. Bangkok: Faculty of Law Thammasat University Press, 2014. (in Thai) . ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา [A History of The Philosophy of law]. Bangkok: Read law Press, 2018. (in Thai) Varol, Ozan O.. “The democratic Coup d’Etat”. Harvard International Law Journal, 53 No.2 (2012): 291-356. Villegas, Maurico Garcia. “On Pierre Bourdieu’s Legal Thought”. Droit et Société, 2004/1 No.56-57 (2004): 57-70. Yud Saeng-uthai. ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป [Introduction to law]. Bangkok: Prakaypruek Press, 1999. (in Thai) 156

“รฐั ประหาร พ้นื ที่ พลเมอื ง” ในปีที่ 47 ของพลเมืองโดยหลักดินแดนทีถ่ ูกทำให้เป็นอืน่ 1 47th Years of the Alienated Citizen from the Alienated Land ดรณุ ี ไพศาลพาณิชยก์ ุล คณะนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ 239 ถนนห้วยแก้ว ตาบลสุเทพ อาเภอเมือง จังหวดั เชียงใหม่ 50200 Darunee Paisanpanichkul Faculty of Law, Chiang Mai University, 239 Huay Kaew Road, Muang District, Chiang Mai, Thailand, 50200 E-mail : [email protected] Received: August 7, 2019; Revised: December 3, 2019; Accepted: December 9, 2018 บทคดั ย่อ นับเป็นระยะเวลายาวนานที่การถูกนับรวมเป็นพลเมืองได้กลายเป็นฝันร่วม-ที่เดินไกล ของคนไร้สัญชาติ (Stateless Person) กลุ่มต่างๆ ในประเทศไทย เหตุผลหลักประการหนึ่งนั้น สืบเน่ืองจากแนวคิดเรื่องความมน่ั คงของชาตทิ ่สี ่งผลต่อแนวคิดในการกาหนดเงื่อนไขการได้มา-เสีย ไป-กลับคืน ในกฎหมายว่าด้วยสัญชาติของประเทศไทย นับตั้งแต่ พ.ร.บ.แปลงชาติ พ.ศ.2454 จนถึงกฎหมายสัญชาติฉบับปัจจุบันคือ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งมีการแก้ไขปรับปรุง ในปี พ.ศ. 2515, พ.ศ. 2535, พ.ศ. 2551 และพ.ศ. 2555 โดยการแก้ไขกฎหมายแต่ละครั้งได้สร้างความ เปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงลดทอนและเปดิ กวา้ งโอกาสการเข้าถงึ สัญชาติไทย โดยเฉพาะการมีสัญชาติ ไทยตามหลักดินแดน (Jus Soli) นอกจากนี้นโยบายของรัฐบาลแต่ละช่วงเวลา (มติคณะรัฐมนตรี) ยังมีส่วนอย่างสาคัญต่อการกาหนดเกณฑ์และเง่ือนไขต่างๆ ในวาระครบรอบสามสิบปีของการเกิดขึ้นของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on Rights of the Child) ซึ่งผูกพันประเทศไทยในฐานะรัฐภาคี บทความฉบับนี้จึงมุ่งทบทวนถึง 1 สว่ นหนึ่งของข้อค้นพบระหว่างการดาเนินงานวิจัยหัวข้อ “พลเมอื ง : ความหมายและความเปลี่ยนแปลงศึกษกรณี ประเทศไทย และเมยี นมา” โดยดรณุ ี ไพศาลพาณิชย์กุล คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ วัชลาวลี คาบญุ เรือง นักวิจัย ผชู้ ่วย สนบั สนุนโดยสานกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ัย 157

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 ความเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย นโยบายของรัฐไทยในการยอมรับนับรวมเด็ก (และอดีตเด็ก) ไร้สัญชาติเข้าเป็นพลเมืองตามกฎหมาย โดยเฉพาะ “พลเมืองโดยหลักดินแดน” ข้อสรุปก็คือ เดิมประเทศไทยมีนโยบายเปิดกว้างรับคนต่างชาติเข้าเป็นพลเมืองไทยโดยหลักดินแดน โดยไม่ คานึงถึงลักษณะการเข้าเมือง ดังนั้นคนอพยพย้ายถิ่นกลุ่มต่างๆ ที่เข้าเมืองโดยปราศจากเอกสาร การเข้าเมืองที่ถูกต้อง ก็มีโอกาสเข้าถึงสิทธิในสัญชาติไทย จนกระทั่งความเปลี่ยนแปลงของ กฎหมายนโยบายในปี 2496, ปี 2515 และที่สาคัญในปี 2535 ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ ส่งผลให้เกิดสภาวะไร้สัญชาติอย่างสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดี นับจากปี 2551 กฎหมาย นโยบายได้กลับมาเปิดกว้างอีกครง้ั และโดยบงั เอิญ บทความฉบับนีพ้ บวา่ ไมเ่ พียงแต่กลุ่มผู้อพยพ ไร้สัญชาติและครอบครัวจะถูกลดทอนโอกาสการเข้าถึงสัญชาติไทย โดยผลจากกฎหมายนโยบาย ในชุดรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แต่โอกาสในการเข้าถึงสัญชาติไทยที่ถูกเปิดกว้างมากขึ้นก็ เกดิ ขึน้ ในบางช่วงเวลาของรฐั บาลทม่ี าจากรฐั ประหารเช่นกัน คำสำคัญ: คนไร้สัญชาติ, คนไร้สัญชาติที่ไร้เอกสารแสดงตน, คนอพยพย้ายถิ่น, พลเมือง โดยหลกั ดนิ แดน Abstract The inclusive citizenship and the fact that being counted-in as citizens is a common long-lost dream of stateless persons in Thailand. On of the obstacle is the national security that govern the acquisition-loss-reinstatement of nationality under the nationality laws in Thai state. From the beginning of the Naturalization Act B.E. 2454 (1911) and the Nationality Act B.E. 2508 (1965), and following amendments in 1972, 1992, 2008, and 2012. Each amendment resulted in either an opening or a closing space to access Thai nationality based on the Jus soli principle. Governments enacted policies at different time (Cabinet of Ministers’ Resolutions) determine specific conditions and criteria for acquiring Thai nationality. On the 30th anniversary of the Convention on Rights of the Child, in which Thailand is the state party, the article intends to reviews the changes in Thai laws and policy on the inclusion of stateless children (and former stateless children) to be Thai citizens on the “Jus Soli citizenship.” In conclusion, Thailand used to give 158

“รฐั ประหาร พื้นท่ี พลเมือง” citizenship to aliens under the Jus Soli, regardless of immigration status. Undocumented immigrants without documents may seek naturalization until 1953 and 1972. Most importantly until 1992, the tipping point for naturalization had contributed to statelessness until the present. In 2008, the Jus Soli principle for naturalization. has been re-introduced. This article accidentally discovered that the stateless immigrants and families have slim chance to acquire Thai nationality because of national security reason, since the military government. The idea has been inherited by the subsequent governments. In some military governments from coup d’etat, immigrants had more access to the Thai nationality through naturalization. Key words: Stateless persons, Undocumented stateless persons, Immigrants, jus soli citizens 1. บทนำ ปลายปี พ.ศ. 2562 มวี าระสาคัญในแวดวงกฎหมายสิทธิมนุษยชนคือ การครบรอบสามสิบ ปีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก วาระนี้ชวนให้นึกถึงข้อบทที่ 7 ของอนุสัญญาฯ ที่กล่าวถึง พนั ธกรณีของรัฐภาคอี ย่างประเทศไทยที่จะตอ้ ง “ดาเนินการจดทะเบียนการเกิดให้กบั เด็กที่เกิดใน ประเทศไทย เด็กมีสิทธิที่จะมีชื่อ และมีสิทธิที่จะได้รับสัญชาติ”2 และชวนให้นึกถึงต่อถึงตัวเลข อย่างเป็นทางการล่าสุดของคนไร้สัญชาติ (Stateless Person)3 ในประเทศไทยที่ระบุว่ามีอยู่ 508,701 คน ในจานวนนี้มีเด็ก (และอดีตเด็ก) ไร้สัญชาติ ที่เกิดในประเทศไทยร่วมสองแสนคน4 2 ประเทศไทยเคยตง้ั ข้อสงวน (Reservation) ข้อบทท่ี 7 น้ี และได้ถอนขอ้ สงวนน้ีในปี 2553 3 หมายถึง บุคคลที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐใดในโลกว่าเป็นพลเมืองหรือคนชาติ (national) ของรัฐใด หรือ ‘a person who is not considered as a national by any State under the operation of its law', ตาม ขอ้ 1 (1) of the 1954 Convention relating to the Status of Stateless Persons ซึ่งตรงกับความหมายของ de jure statelessness สาหรับประเทศไทยคนไร้สัญชาติ จาแนกไดอ้ ีกเป็นคนไรส้ ัญชาติท่ีมีเอกสารแสดงตน กบั คนไรส้ ัญชาติที่ไม่มีเอกสารแสดงตน (lacking of a State by which one is recognized) หรือนิยามที่รู้จักกันในสังคมไทยก็คือคนไร้สัญชาติที่ไร้รัฐ (Undocumented stateless person) ถ้อยคาในภาษาอังกฤษในบทความชิ้นนี้จะแตกต่างจากงานวิชาการในประเทศไทย รวมถึงหนว่ ยงานรฐั ที่มักเรยี กคนไรส้ ัญชาติว่า Nationality-less person และเรียกคนไร้รฐั วา่ Stateless person 4 นบั เฉพาะบุตรของชนกลุม่ น้อย/กลุ่มชาตพิ ันธุ์ 19 กลุ่ม เดก็ ไร้สัญชาติในสถาบันการศึกษา และเด็กที่เกิดจากบิดา 159

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 ขณะที่พ่อแม่หรือคนอพยพย้ายถิ่นรุ่นที่หนึ่งยังคงมีสถานะเป็นคนไร้สัญชาติอยู่จานวนประมาณ แสนคน และแม้ว่าครั้งแรกของการนบั จานวนคนไร้สัญชาตไิ ทยไมเ่ คยถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่หากเทียบกับข้อมูลที่พอค้นคว้าได้แล้วก็จะพบว่า นับจากปี 2544 จานวนคนอพยพรุ่นที่หน่ึง ลดลงไปร่วมแสนคน ขณะที่คนรุ่นลกู ทเี่ กดิ ในไทย (คนรุน่ ทส่ี อง) จานวนไดล้ ดลงไปรว่ มสองหมื่นคน (ดูตารางท่ี 1) วาระและจานวนคนไร้สัญชาติข้างตน้ จึงเป็นที่มาของบทความน้ี เพราะลาพังการไล่ดูสถิติ คนไร้สัญชาติแต่ละปแี ล้วเหน็ จานวนคนไร้สัญชาติ (บางกลุ่ม) ลดลงแล้ว ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดกี ับ ความพยายามของรัฐไทยในการดาเนินการแกป้ ัญหาคนไร้สัญชาติ แต่การทบทวนถึงทีม่ าของความ ไร้สัญชาติ ผ่านความเปลี่ยนแปลงของกฎหมายนโยบายนับจากเดือนธันวาคม 2515 อาจช่วยให้ มองเห็นชีวติ คนท่ถี ูกทาให้เป็นอื่น ภายใตบ้ งการของรัฐไทยได้ชัดเจนขน้ึ (1) กลุม่ ชาติพันธุ์ที่อพยพ 2554 2555 2556 2557 2558 เม.ย. ธ.ค. มานานแล้ว5 258,810 210,062 170,016 150,922 150,922 2559 2561 194,968 137,236 (2) บตุ รของ (1) 64,274 50,868 85,882 85,759 85,759 323,084 260,930 255,898 236,681 236,681 49,557 41,556 รวม (1) - (2) 148,389 152,859 109,608 166,280 244,525 178,792 148,319 143,185 (3) ผูไ้ มม่ สี ถานะทาง ทะเบียน (0-89) กลุ่มท่ี 16 มารดาไม่มสี ัญชาตไิ ทยกลมุ่ อ่นื ๆ ทเี่ กิดในประเทศไทย ไมร่ วมถึงลูกของแรงงานข้ามชาตสิ ามสญั ชาติ 5 ได้แก่ (1) กลุ่มชาวเขา 9 เผ่า (2) กลุ่มบุคคลบนพื้นที่สูงและชุมชนพื้นที่สูงที่อพยพเข้ามาก่อนและหลังวันที่ 3 ตุลาคม 2528 (3) อดีตทหารจีนคณะชาติ หรืออดีต ทจช. (4) จีนฮ่ออพยพพลเรือน (5) จีนฮ่ออิสระ (6) กลุ่มผู้พลัดถ่ิน สญั ชาตพิ ม่า (7) ผ้หู ลบหนเี ขา้ เมืองจากประเทศพม่า (8) กลมุ่ เวยี ดนามอพยพ (9) กลุ่มชาวลาวอพยพ (10) กลุ่มเนปาลอพยพ (11) อดตี โจรจนี คอมมิวนิสต์มลายา (12) กลุ่มไทยลอื้ (13) กล่มุ ม้งถ้ากระบอกที่ทาประโยชน์ (14) กลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมือง จากประเทศกัมพชู า ซ่ึงตามมตคิ ณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 กาหนดใหค้ นกลุม่ ต่างๆ เหลา่ น้สี ามารถขอสถานะคน ตา่ งด้าวเขา้ เมอื งโดยชอบด้วยกฎหมาย และมถี ่นิ ที่อย่ถู าวรในประเทศไทยได,้ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 129 ตอนพเิ ศษ 1337 ง (23 พฤศจกิ ายน 2555): 54. 6 คนไร้สัญชาติทไี่ ร้รฐั (ไร้เอกสารพสิ ูจนท์ ราบตัวบุคคล) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมือ่ วันท่ี 18 มกราคม 2548 ให้มีการ สารวจและจัดทาทะเบียนประเภท “ผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน” และจัดทาเลขประจาตัวสิบสามหลักขึ้นต้นด้วยเลข 0 และ เลขหลักที่ 6-7 คือเลข 89 (กลุ่ม 0-89) โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มย่อยคอื กลุ่มที่ 1 ญาติของคนกลุม่ ชาตพิ ันธุ์ท่ีอพยพมานาน แลว้ แตต่ กหลน่ การสารวจและจัดทาเอกสารฯ กลุ่มที่ 2 คนในสถาบันการศึกษา กลุ่มที่ 3 คนไรร้ ากเหง้า และกลุ่มที่ 4 คนทา 160

“รฐั ประหาร พ้ืนท่ี พลเมือง” 2554 2555 2556 2557 2558 เม.ย. ธ.ค. 65,663 2,345 2559 2561 76,266 (4) เลข 0-89 กลุม่ 2 81,811 81,811 79,935 8,319 (5) เลข 0-89 กล่มุ 3 4,461 9,151 9,158 9,158 8,880 18 227,788 (6) เลข 0-89 กลุ่ม 4 25 28 28 28 28 72,263 รวม (3) -(6) 218,538 244,383 280,725 200,605 257,277 237,162 29,858 (7) เด็กไรส้ ญั ชาตทิ ่ไี ด้รับ 17,855 * * 56,672 * 72,318 508,701 การจดทะเบยี นการเกดิ * * * * * 997 (8) คนไรส้ ญั ชาติท่ไี ด้รบั การจดั ทาทะเบียน แตย่ งั 559,477 505,313 536,623 493,958 493,958 555,002 ไมแ่ ยกกลมุ่ รวมท้ังหมด ตารางท่ี 1 แสดงจำนวนคนไรส้ ญั ชาตใิ นประเทศไทย ที่มา: รวบรวมและดัดแปลงข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (2554-2561) โดย ดรณุ ี ไพศาลพาณชิ ย์กลุ *ไม่มขี อ้ มลู 2. จดุ เริ่มต้นของพลเมอื งโดยหลักดนิ แดนตามกฎหมาย การรับรองสถานะทางกฎหมายว่าบุคคลหน่ึงๆ ว่าเป็นผูม้ ีสัญชาติไทยนั้นเกดิ ขึ้นในระหว่าง กระบวนการปรับเปล่ียนของสยามจากรัฐสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ (Absolutist State) มาส่กู ารสร้าง รัฐสร้างชาติตามแนวคิดรัฐสมัยใหม่ (Nation State) เหตุผลนั้นก็เพ่ือการปรบั ตวั รับมือกับอทิ ธิพล ของตะวันตก รวมถึงเป็นความต่อเนื่องจากอดีตที่มีการรวบรวมคนต่างประเทศ คนต่างภาษา เข้า เปน็ ส่วนหนึ่งของสงั คมเพื่อ “เพม่ิ จานวนพลเมอื ง” เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการแรงงาน7 เพียงแต่ ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์นี้ ความหมายของพลเมืองถูกอ้างอิงกับความเป็นรัฐสมัยใหม่ กล่าวคือเกดิ กระบวนการรับรองพลเมืองอย่างเป็นทางการหรือโดยกฎหมาย โดยการสร้างช่องทางการแปลง คณุ ประโยชน์ 7 งานวิชาการด้านประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์จานวนไม่นอ้ ยศึกษาถึงประเด็นนี้ไวส้ าหรับบทความน้ีอ้างอิงคาอธิบาย ดังกลา่ วจาก สายชล สัตยานรุ ักษ,์ ประวัติศาสตรร์ ัฐไทยและสังคมไทย : ครอบครวั ชมุ ชน ชีวิตสามัญชน ความทรงจำ และอัต ลกั ษณท์ างชาตพิ ันธ,์ เชยี งใหม่: สานักพมิ พ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2558 และชลติ ถาวรนกุ ิจกลุ , “บทวิเคราะห์แนวความคิด ทางการเมืองเบื้องหลังพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508”, (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต, ภาควิชาการปกครอง คณะ รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2547). 161

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 ชาติ อย่างเป็นระบบ8 ผ่านโดยการประกาศใช้พ.ร.บ.แปลงชาติ รัตนโกสินทร์ ศก (ร.ศ.) 130 (พ.ศ. 2454)9 และ “ผู้ท่ีได้แปลงชาติแลว้ ย่อมมอี ำนาจอนั ชอบธรรม กรรมสทิ ธท์ิ ัง้ หลาย แลต้องอยู่ในกิจ ท้งั หลาย อันจำจะต้องกระทำตามอย่างคนทีม่ สี งั กดั อย่ใู นบงั คบั ฝา่ ยสยาม..” (มาตรา 11) ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างประเทศกับสยามผ่านสถานะ “คนในบังคับสยาม (Siamese Subjects)”10 เป็นช่องทางหนึ่งในการเพิ่มจานวนพลเมือง11 โดยกาหนดเกณฑ์ว่าบุคคลที่จะขอ แปลงชาติจะต้องมีความกลมกลืนกับดินแดนสยามในระดับหนึ่งคือ จะต้องเข้ามาอยู่ในสยามอย่าง น้อย 5 ปี (มาตรา 6) กล่าวได้ว่านี่คือจุดเร่ิมต้นสร้างพลเมืองตามกฎหมายโดยหลักความกลมกลนื กับดินแดนสยาม (การมีสัญชาติไทยภายหลังการเกิดผ่านหลักดินแดน) โดยมีองค์ประกอบอีก ประการคือการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีกับสยามด้วยการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยานุสัตย์ (มาตรา 9) 8 ก่อนหนา้ นั้นการแปลงชาติมีในลกั ษณะเป็นรายกรณี อาทิ กรณีของเซเลสตีน มาเรีย ซาเวยี ทาเรอ่ื งฎกี าถวายเพ่ือ ขอเขา้ เปน็ คนในบังคับ และเมือ่ ไดร้ ับพระราชทานพระบรมราชานญุ าต ก็จะมกี ารตราเป็น พ.ร.บ.แปลงชาติ รตั นโกสนิ ทร์ ศก 117, ดู ราชกิจจานุเบกษา เลม่ 15 (26 มนี าคม รัตนโกสินทร์ ศก 117): หนา้ 562, หรือกรณีของหอมแฮนอาดมั เซ็น ปรากฏ ใน พ.ร.บ.แปลงชาติ ร.ศ. 120, ดู ราชกิจจานุเบกษา เลม่ 18 (8 กนั ยายน รตั นโกสนิ ทร์ ศก 120): หน้า 336. 9 พระราชบญั ญตั ิ แปลงชาติ ร.ศ.130, มาตรา 11, ราชกจิ จานุเบกษา เล่ม 28 (11 มิถุนายน รัตนโกสินทร์ ศก 130): 96. “.... มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ประกาศให้ ทราบทวั่ กันว่า ดว้ ยทรงพระราชดำริห์เห็นว่า สมควรจะมีข้อบังคับไว้ให้เด็ดขาดสำหรับการอนุญาตให้แปลงชาติ อันเปนทาง อย่างหนึง่ ซ่งึ อย่ใู นวธิ ีหลายทางสำหรบั ท่ีจะมแี ลจะเปนชาติไทยไดน้ ้ัน...” 10 คาว่า “คนในบังคับ” มีที่มาจากสนธิสัญญาบาวริง พ.ศ.2398 ภายใต้หลักสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (Extraterritorial Rights) อันนาไปสู่การทาข้อตกลงพิเศษระหว่างสยามกับต่างประเทศ โดยเริ่มตน้ จากสัญญาทางพระราช ไมตรีฉบบั ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2468 ทสี่ ยามทาไว้กับองั กฤษ โดยอ้างถงึ บทบญั ญัติในความตกลงวา่ ด้วยการจดทะเบียน คนในบังคับอังกฤษในกรุงสยาม เพื่อจาแนกคนออกเป็น “คนในบังคับสยาม” (Siamese Subjects) กับ “คนในบังคับ ต่างชาติ” (Foreign Subjects) 11 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ได้เล็งเห็นปัญหาที่เกดิ จากคนต่างด้าวทีเ่ ข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมพี ระราชดารวิ ่า “..สำหรบั ประโยชน์ในการเข้าไปต้ังทำมาหากินอยู่ในเมืองใดๆ อนั ความประสงค์ของประเทศท่ีอนุญาต ให้คนต่างภาษาเข้ามาอยู่ในเมืองนั้น ก็คือ เพื่อเพิ่มจำนวนพลเมืองโดยอุบายอยา่ งหนึ่ง แต่เมื่อคนที่เข้ามาอาไศรยอยู่นั้น ถือ เสียว่าการทเี่ ข้ามาอย่นู ้ันเปนการชั่วคราว และไม่ยอมทจี่ ะกลายเปนพลเมอื งแท้แลว้ คนพวกนก้ี ็ตอ้ งนบั ว่าไมเ่ ปนได้ดงั ประสงค์ แห่งประเทศที่รับรอง....” ดู อัศวพาหุ, พวกยิวแห่งบุรพทิศ (ม.ป.ป. : ม.ป.ท., 2547) หน้า 18 อ้างถึงใน ชลิต ถาวรนุกิจกุล, “บทวิเคราะห์แนวความคิดทางการเมืองเบ้ืองหลงั พระราชบญั ญัติสญั ชาติ พ.ศ. 2508”, 68-69. 162

“รัฐประหาร พนื้ ท่ี พลเมอื ง” ต่อมา เมื่อมีการยกเลิก พ.ร.บ.แปลงชาติ ร.ศ. 130 และประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 ซงึ่ ผมู้ ีสัญชาตไิ ทยถูกอธบิ ายจากแนวคดิ รฐั ชาติท่ีมหี ลกั วา่ สัญชาติเป็นเขตอานาจภายในของ รฐั (Domestic Jurisdiction) รฐั เจ้าของดนิ แดน (Territorial State) มอี านาจอธปิ ไตยในการ “ให้- ถอน หรือกลับคืนซึ่งสัญชาติ” แก่บุคคลภายในดินแดนของรัฐตน โดยดึงเอาคนเชื้อชาติต่างๆ เข้า มาเป็นคนสัญชาติไทยโดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ12 โดยนาแนวคิดการมีสัญชาติไทยโดยตามหลัก สืบสายโลหิตจากบิดามารดา (Jus Sanguinis), การมีสัญชาติไทยตามหลักดินแดนมาใช้ทั้งในกรณี หลักดินแดนโดยการเกิด (Jus Soli) หรือ “เป็นผู้ได้กำเนิดในพระราชอาณาจักรสยาม” และการมี สัญชาติไทยภายหลังการเกิดหรือการยอมรับพลเมืองโดยคานึงถึงความกลมกลืนเข้ากับสังคมไทย รวมถึงการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ได้แก่ “หญิงต่างชาติที่ได้ทำงานสมรสกับคนไทยตาม กฎหมายประเวณี” และ “คนต่างประเทศผู้ได้แปลงชาติ มาถือเอาสัญชาติไทยตาม พระราชบัญญัติ”13 การยอมรับพลเมืองโดยหลักดินแดนยังคงดารงอยู่ในกฎหมายว่าด้วยสัญชาติของไทยแม้มี การยกเลิกกฎหมายสัญชาติฉบับแรก และประกาศใช้กฎหมายสัญชาติฉบับที่ 2 ในปี พ.ศ.249514 แต่เนื่องจากสถานการณ์ผู้อพยพหนีภยั สงครามภายในกลุ่มประเทศอนิ โดจีนเข้ามาในประเทศไทย จานวนมาก การปิดกั้นการเข้าถึงสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนจึงถูกใช้เป็นมาตรการทาง กฎหมายในการกากับควบคุมผู้อพยพ ในปีพ.ศ.249615 อย่างไรก็ดีเพียง 2 ปีเศษ การยอมรับ 12 “.... เปน็ วิธีทเี่ ราจะแผช่ าติ เป็นหนทางการเมืองสว่ นหนึ่งท่ีภาษาอังกฤษเรยี กว่า โปลติ ิค, คอื เปน็ วิธีท่ีจะรวมเอา พลเมอื งของชาติอื่นมาเป็นของชาติเรา โดยเหตุทพี่ ลเมืองของเรายังน้อย มีปริมาณ 800,000 คนเทา่ นั้น และทีเ่ รารวมเอาเข้า มานั้น เราต้องบังคับให้เรียนหนังสือของเราและต้องพูดภาษาของเราด้วย ใครๆ ก็ต้องคิดแผ่ชาติของตน ตามพระราชพงศว ดารก็มีตวั อย่าง เชน่ คร้งั ก่อนๆ เมอ่ื ได้ทาสงครามชนะ ก็ย่อมจะกวาดตอ้ นครอบครัวมาสปู่ ระเทศตนเพ่ือเอาคนชาติอ่ืนมาเติม ชาติของตนเท่านั้น...” สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ กล่าวถึงเหตุผลของการบังคับใช้พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456, ดู สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ, กระแสร์พระราชดารัสและคาชีแ้ จง พิมพ์เป็นอนุสรณงานฌาปนกิจ ศพคุณหญิงเชื้อ สิริกุลเสวต, 30 มกราคม 2507, หน้า 34-35, อ้างถึงใน เตือนใจ ไชยศิลป์, “ล้านนาในการรับรู้ของชนชั้น ปกครองสยาม พ.ศ.24347-2476”, (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2536), 130-131. 13 พ.ร.บ.สญั ชาติ พ.ศ.2456, มาตรา 3, ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ 29 (30 กุมภาพันธ์ 2455): 280. 14 พ.ร.บ.สญั ชาติ พ.ศ.2495, ราชกิจจานุเบกษา เลม่ 69 ตอนที่ 10 (12 กุมภาพันธ์ 2495): 103. 15 มเี พียงกรณีของบุตรท่ีเกิดจากมารดาสัญชาติไทย และเกิดในประเทศไทยเท่านั้นท่ีจะสามารถมีสัญชาติไทยโดย หลักดินแดน ดู พ.ร.บ.สญั ชาติ พ.ศ.2495 แกไ้ ขเพม่ิ ติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ.2496, มาตรา 7 (3), ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ท่ี 70 ตอน ที่ 10 (3 กุมภาพนั ธ์ 2496): 193. 163

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 พลเมืองไทยโดยหลักดินแดนก็ถูกนากลับมาใช้อีกครั้ง16 และดารงอยู่ในกฎหมายสัญชาติเรื่อยมา จนกระทงั่ ถึงกฎหมายสัญชาติฉบบั ปจั จุบนั ท่เี รมิ่ ใชบ้ งั คับในปีพ.ศ.250817 ต้องกล่าวด้วยว่า ก่อนจะมีการประกาศใน พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 ในชั้นพิจารณาร่าง กฎหมายได้มกี ารถกกันตอ่ กรณที ่ีร่างกฎหมายใช้คาว่า “ผู้มสี ญั ชาตไิ ทย” แทน “คนไทย”18 16 “..... การกำหนดใหผ้ ู้เกดิ ในราชอาณาจักรไทยโดยมารดาเป็นคนไทยจึงจะไดส้ ัญชาติไทย ทำให้เกิดปัญหาลักล่ัน ขึ้นในครอบครัวซึ่งมีบิดามารดาเดียวกัน โดยบางคนเป็นไทย บางคนเป็นต่างด้าว ดูสับสนยุ่งยากไม่เป็นการราบรื่นใน ครอบครัว และยากแกเ่ จา้ หนา้ ท่ีเมื่อมาภารกิจติดตอ่ หรอื สอบสวนบางประการ ซ่ึงต้องสอบไปถึงสัญชาติของมารดาวา่ เป็นไทย หรือไม่ หรือว่าเป็นคนไทยได้สามตี ่างด้าวและหญิงนัน้ ขาดสัญชาตไิ ทยหรือยัง จึงต้องแก้ไขเพิม่ เติมใหผ้ ู้เกิดในราชอาณาจักร ไทยไดส้ ัญชาติไทย..” ดูหมายเหตุ เหตผุ ลการประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ ฉบบั ที่ 3 พ.ศ. 2449 17 พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508, ราชกิจจานุเบกษา ฉบบั พิเศษ เลม่ 82 ตอนที่ 62 (4 สงิ หาคม 2508): 1. มาตรา 7 บคุ คลดังต่อไปนีย้ อ่ มได้สัญชาติไทยโดยการเกดิ ... (3) ผู้เกิดในราชอาณาจกั รไทย 18 กรรมการบางท่านให้ความเห็นว่า “.. “คนไทย” นี้ต้องมีสองฐานะ หนึ่งฐานะคือคนไทย ประกอบด้วยมีสัญชาติ ไทย...” “..หากตัดคำว่าคนไทยออกไป ก็คงเหลือแต่คนที่มีสัญชาติไทย คือรวมคนไทยไปด้วย เท่ากับเรายกฐานะคนที่มี สญั ชาติอน่ื มาไดส้ ัญชาติไทยเท่าเทียมกันไปหมด เพราะฉะนัน้ จะทำใหร้ ่างพระราชบัญญตั ิน้ี เปลี่ยนแปลงไป...” ในขณะท่ี หลวงประกอบนิตสิ าร ในฐานะกรรมาธกิ าร ชี้แจงวา่ “..กรรมาธกิ ารคดิ ว่าท่ีจะไปช้ีใครว่าไทยแท้ ใครไทย ไม่แท้ เห็นจะเหลือวิสัยเสียแล้ว ในเมื่อเราได้ลงมาจากยูนาน ตั้งพันปีหรือเกือบพันปี เรานั่งอยู่นี่รวมทั้งตัวข้าพเจ้าด้วยจะ พิสูจนแ์ ยกแยะกันอย่างไรว่าข้าพเจ้าไทย หรือไมแ่ ท้ เพราะฉะนั้น ยง่ิ ในสมยั ท่ีโลกเราแบ่งเป็นสองค่ายนี้ การที่เราจะไปนึกถึง ความรักชาติ ความรักเชอ้ื ชาติ ความหยงิ่ ภูมใิ จในความเป็นไทยแทเ้ ป็นแขกแท้ เปน็ จนี แท้ เป็นมลายแู ท้อะไรนี่ กรรมาธกิ ารคิด ว่า อาจจะนำไปสู่จุดอันตรายได้มากๆ ขอให้เรามองดูรอบๆ บ้าน ของเรา มีการสู้รบกันทางการเมือง สู้กันทางศาสนา สู้กัน ในทางรบราฆ่าฟัน เพราะเหตุเชื้อชาติน่ีมากมายเหลือเกิน เป็นเคราะห์ดีอย่างยิง่ ที่ประเทศไทยเราไม่มีปญั หาดังกลา่ ว เราจะ เห็นว่าคนหน้าตาครึ่งชาติผสมฝรั่งไทย ญี่ปุ่นไทย แขกไทย อะไรก็ตามเถอะ พอเขาเกิดในเมืองไทย เขาได้รับการศึกษาอย่าง ไทย ข้อสำคัญ ได้รับการรับรองจากคนไทยทั้งหลายนี้ เขามีความรู้สึกเป็นไทย มีความเย่อหยิ่งในความเป็นไทยเท่าๆ กับคน ไทยทกุ ๆ คน ...” เรามาใช้ “ผู้มีสัญชาติไทย” เหมาะกว่า ในทัศนะเดิม ดังนั้น บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ได้แก่ ....๓.เกิดในราชอาณาจักรไทย ไม่ว่าเจ๊ก แขก พม่า รามัญ ฝรั่งอะไร ยกเว้นพวกที่ได้รับยกเว้นเป็นพิเศษพวกลูกฑูต เทา่ นั้น เกิดมาเป็นไทยหมด เปน็ ผู้มีสญั ชาตไิ ทย..” “.... “คนไทย” ก็เทา่ กบั ผูม้ สี ัญชาติไทย ในท่หี น้าหนา้ ตาเป็นฝรั่งลว้ นๆ ก็ ได้..... ดู รายงานการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ทำหนา้ ทน่ี ิติบญั ญัติ), คร้ังท่ี 190, วันที่ 10 มิถุนายน 2508 : 389-415. 164

“รฐั ประหาร พื้นท่ี พลเมอื ง” 3. ปีที่ 1 (พ.ศ. 2515): เมื่อพลเมืองโดยหลกั ดินแดนถูกจำกัด ความไรส้ ัญชาตกิ ็มาถึงตัว มันคอื ชว่ งเวลาต่อเนอ่ื งจากสงครามโลกครั้งที่สองถงึ สงครามอินโดจนี อนั นาไปสู่การอพยพ ครั้งใหญ่ของชาวอินโดจีน ประเทศไทยคือหนึ่งในบรรดาประเทศผู้รัฐ รัฐไทยในเวลานั้นให้ความ ช่วยเหลือผู้หนีภัยตามหลักมนุษยธรรมด้วยการจัดที่ดินให้อยู่อาศัย ที่เพาะปลูกสาหรับทากิน ตลอดจนให้กู้ยืมเงินทาทุนก่อร่างสร้างตัว ฯลฯ ต่อมาภายใต้บรรยากาศความหวาดกลัวต่อลัทธิ คอมมวิ นสิ ต์ ใน พ.ศ. 2500 ได้มกี ารดาเนนิ การจับกุมชาวเวียดนามอพยพในขอ้ หา “คอมมิวนิสต์” เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงระหว่างชาวเวียดนามอพยพกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และทศั นคติ “ภยั ตอ่ ความมั่นคงของประเทศ”19 นับแต่นน้ั มาทัศนะดงั กล่าวนไ้ี ดส้ ่งผลอย่างสาคัญ ต่อแนวคิดการสรา้ งพลเมอื งโดยหลกั ดินแดน และถูกส่งต่อถงึ รัฐบาลไทยในยคุ ตอ่ ๆ มา นั่นคือ ... เพียงหนึง่ วันหลังจากวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ที่รัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ประกาศใช้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 33720 พลเมืองโดยหลักดินแดนจานวนหนึ่งก็ถูกลบความ เปน็ “คนไทย” ออกไป ด้วยเง่อื นไขใหม่ในความสมั พนั ธร์ ะหว่างรัฐไทยกับพลเมอื งโดยหลกั ดินแดน หรอื “ความจงรกั ภักด”ี ทถี่ กู ตัง้ ข้อสงสัย21 ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือ เด็ก (รวมถึงอดีตเด็ก) ที่เกิดในประเทศไทยจากพ่อแม่ที่เข้ามาใน ประเทศไทยอย่างไม่ถูกต้อง หากเกิดก่อนวันที่ 14 ธันวาคม 2515 และมีสัญชาติไทยโดยหลัก ดินแดนไปแล้ว (มาตรา 7 พ.ร.บ.สัญชาติ 2508) ก็จะ “ถูกถอนสัญชาติ” ทันที ส่วนคนที่เกิดใน 19 ธนนันท์ บุ่นวรรณา, “นโยบายชาวเวียดนามอพยพของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ.ศ.2491-2500”, (วิทยานิพนธม์ หาบัณฑติ , ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2545), 2-5. 20 เงอื่ นไขการถอนสัญชาติ หรอื การไม่ได้สญั ชาติไทย ตามประกาศคณะปฏวิ ตั ิฉบับที่ 337 คือ เดก็ ทีเ่ กดิ ในประเทศ ไทยนั้น มีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นคนต่างด้าว หรือมารดาเป็นคนต่างด้าว กรณีไม่มีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย และ ขณะที่เกดิ บดิ าหรือมารดาต่างด้าวน้ันเข้าเมืองในลักษณะไม่ถาวร (ไม่มีใบสาคญั ประจาตัวคนต่างด้าว และใบสาคัญถ่ินที่อยู่) โดยอาจเป็น (1) ผู้ที่ได้รบั การผ่อนผันให้พักอาศัยในประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย หรือ (2) เป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ เข้าอยู่ในประเทศไทยเพียงชั่วคราว หรือ (3) เป็นผู้เข้ามาในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามกฎหมายคนเข้าเมือง, ดู ประกาศคณะปฏวิ ตั ิฉบบั ท่ี 337, ราชกิจจานุเบกษา พิเศษ เล่ม 89 ตอนท่ี 190 (13 ธนั วาคม 2515): 206. 21 ตอนตน้ ของประกาศคณะปฏวิ ัตฉิ บับที่ 337 ระบุว่า “....โดยทพี่ ิจารณาเห็นว่า บคุ คลที่เกดิ ในราชอาณาจกั รไทย โดยบดิ าหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง หรือบิดาหรือ มารดาเป็นคนต่างด้าวท่ีเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไดร้ ับอนญุ าตให้เข้ามาอยู่เพียงช่วั คราว หรอื เปน็ กรณพี ิเศษเฉพาะราย บุคคลเหล่านี้แม้จะมีสัญชาติไทย แต่ก็มิได้มีความจงรักภักดีต่อประเทศไทย เพื่อป้องกันและรักษาความมั่นคงแห่งชาติ สมควรมใิ หบ้ ุคคลดังกล่าวมหี รอื ได้สัญชาตไิ ทยอีกต่อไป” 165

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 ประเทศไทยนบั จากวันท่ี 14 ธันวาคม 2515 เปน็ ตน้ ไป ก็จะ “ไม่ไดส้ ญั ชาติไทย” โดยจะมีสถานะ เป็น คนต่างด้าวเกิดไทย อย่างไรก็ดี ปว.337 ระบุว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอาจ พิจารณาเพื่อมีคาสง่ั ให้มีสญั ชาตไิ ทยได้ เป็นรายกรณไี ป ไม่มีตัวเลขอย่างเป็นทางการว่า มีคนจานวนเท่าใดที่ได้รับผลกระทบจากการถูกถอน สัญชาติไทย และไม่ได้สัญชาติไทยโดย ปว.337 ฉบับนี้ (รวมถึงมีคนจานวนเท่าใดที่ได้รับสัญชาติ ไทยโดยคาสั่งของรมต.มท.) เพราะแม้ว่ากลุ่มเป้าหมายของ ปว.337 คือกลุ่มผู้อพยพจากกลุ่ม ประเทศอินโดจีนที่ถูกพิจารณาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ปว.337 ส่งผลให้เกิดการถอนสัญชาติไทย และการไม่ให้สัญชาติไทยกับบุคคล/เด็กในพื้นที่อื่นๆ ของ ประเทศไทยด้วย อาทิ กรณีบตุ รของชาวไทยภเู ขา (9 ชาติพันธ์ุ22), กรณบี ุตรของอดตี ทหารจีนคณะ ชาตแิ ละจนี ฮ่ออพยพทีอ่ พยพเขา้ มาตัง้ แตช่ ว่ งปี 2497-2504 ฯลฯ มีการประเมินว่า มชี าวไทยภูเขา ท่ีไดร้ บั ผลกระทบจาก ปว.337 ประมาณกว่าส่แี สนกว่าคน23 ประการสาคัญ ปว.337 ส่งผลกระทบ ต่อ “ลูกแม่ไทยที่มีสามีเป็นคนต่างด้าว” เพราะในเวลานั้น กฎหมายสัญชาติไทยก็เลือกปฏิบัติต่อ กรณกี ารเปน็ คนไทยโดยสืบสายโลหิตจากบิดาสัญชาตไิ ทยและมารดาสญั ชาติไทย24 ผลของการปิดกั้นการเข้าถึงสิทธิในสัญชาติไทยตามหลักดินแดน ด้วยการกลั่นกรองบคุ คล ท่ีมีองคป์ ระกอบตา่ งดา้ วที่รฐั เชื่อวา่ จะเปน็ อนั ตรายตอ่ ความมั่นคงของชาติน้ี ไมไ่ ดห้ ยดุ แคเ่ พยี งการ ถอน หรือไมใ่ ห้ความเป็นคนไทย เพราะเมือ่ คนตา่ งด้าวเกดิ ไทย กลมุ่ นีไ้ มส่ ามารถเข้าถึงสัญชาติอ่ืน ใดในโลก หรอื ไม่มีรฐั ใดยอมแสดงตนเป็นรัฐเจ้าของตวั บุคคล บคุ คลดังกล่าวย่อมต้องกลายเป็นคน 22 ได้แก่ กะเหรี่ยง หรือซึ่งอาจเรียกว่า ปกาเกอะญอ (สกอว์) โพล่ง (โปว์) ตองสู้ (ปะโอ) บะแก (บะเว), ม้ง, เมี่ยน, อาข่า, ลาหู่, ลีซู, ลัวะ, ขมุ, มลาบรี, ปรากฏตามข้อ 6 ระเบียบสานักทะเบียนกลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะ บุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ. 2543, กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง, ระเบียบสำนักทะเบียน กลางว่าด้วยการพิจารณาลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรให้แก่บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ. 2543 (พร้อมคำอธิบาย), พิมพค์ รงั้ ท่ี 2, (2544), 2. 23 กระทรวงมหาดไทย, กรมการปกครอง, โครงการสัมมนาร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหา ชุมชนบนพืน้ ท่ีสงู ประจาปี 2549, 12. 24 พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 (2) กาหนดว่า เด็กที่เกิดจากมารดาคนไทย จะมีสัญชาติไทยตามมารดาได้ ต่อเมื่อเด็กคนดังกล่าวเกิดนอกราชอาณาจักรไทย และไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายหรือบิดาไม่มีสัญชาติเท่านั้น หลักเกณฑ์นี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว โดย มาตรา 7 (1) พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับท่ี 2 พ.ศ.2535 ที่กาหนดวา่ บตุ รทเี่ กิดจากมารดาไทย จะมสี ัญชาตไิ ทยตามมารดา โดยไมค่ านงึ ว่าบุตรจะเกดิ ในหรือนอกราชอาณาจักร 166

“รัฐประหาร พ้ืนที่ พลเมือง” ไร้สัญชาติ หรือถูกบังคับให้ต้องไร้สัญชาติ25 ซึ่งในเวลาต่อมาคนไร้สัญชาติก็ได้กลายเป็นอีก ประเด็นปญั หาความม่นั คงของรัฐไทย และยงั คงสร้างผลกระทบอย่างต่อเน่ืองจนถงึ ปัจจุบัน ท้ังต่อ คนที่ (ถกู ทาให)้ ไรส้ ญั ชาติ และการบริหารจัดการของรัฐไทย 4. ปีที่ 20 (พ.ศ. 2535): ไปไกลกว่าความมั่นคงของชาติ คือการกีดกันสิทธิในสัญชาติ ไทย แนวคิดที่ให้ความสาคญั กับความมั่นคงของชาติ โดยการจากัดพลเมืองโดยหลักดินแดนได้ ถูกสง่ ต่อถงึ รัฐบาลในชดุ ต่อๆ มา ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการบังคบั ใช้ ปว.337 ควบคูไ่ ปกับ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 เป็นร่วม 20 ปี จนกระทั่ง พ.ศ. 2535 จึงได้มีการยกเลิก ปว.337 (สมัยรัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ26) แต่ความ กังวลต่อความมั่นคงยังดารงอยู่ ดังจะเห็นได้จากการเขียนซ้าแนวคิดของ ปว.337 ไว้ใน พ.ร.บ. สัญชาตฯิ แกไ้ ขเพมิ่ เติม ฉบบั ที่ 2 ด้วยเหตุผลทวี่ ่า “สมควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้การได้สัญชาติไทย ของบุตรและหลานตลอดทั้งสายของคนต่างด้าวที่เป็นผู้อพยพฯ เสียใหม่....” โดยเห็นว่าการ กาหนดให้ถอนสัญชาติ หรือไม่ให้สัญชาติไทยเฉพาะกรณีที่มีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายแบบที่ ปว. 337 กาหนดไว้นั้น ย่อมไม่ครอบคลุมข้อเท็จจริง “...เพราะบุคคลเหล่านี้ โดยมากจะอยู่กินกันโดย ไมจ่ ดทะเบยี นสมรส”27 25 สมชาย ปรชี าศลิ ปกุล, “เขาถกู บงั คับใหไ้ ร้สัญชาต”ิ , มติชน, 9 สิงหาคม 2548. 26 สาหรับกระบวนร่างแก้ไขกฎหมายสัญชาติที่ตอ่ มาคือ พ.ร.บ.สัญชาติ แก้ไข (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 นี้ เป็นร่างที่ เสนอโดยคณะรัฐมนตรี เพ่อื ใหม้ กี ารแกไ้ ขเพ่ิมเติมในสองประเด็นคือ ประเด็นแรก มาตรา 7 มาตรา 14 วรรคหน่ึง มาตรา 15 วรรคหนึ่ง และมาตรา 21 เพื่อกาหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้บุตรของหญิงไทยได้สัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิต ประเดน็ ท่สี อง เพ่มิ มาตรา 7 ทวิ แก้ไข มาตรา 18 และยกเลิกประกาศคณะปฏิวตั ฉิ บับท่ี 337 เพือ่ กาหนดใหส้ ัญชาติไทย และ การถอนสัญชาติไทยของบุตรคนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรไทย และที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2534 วันที่ 27 ธันวาคม 2535 ได้มีมติรับหลักการแห่งร่างกฎหมาย และที่ประชุมสภานิติบัญญตั ิแห่งชาติ ทาหน้าที่รัฐสภาครั้งที่ 8/2535 วนั ที่ 24 มกราคม 2535 ลงมตริ ับหลักการแห่งร่างพระราชบญั ญัติ สญั ชาติ (ฉบบั ที่...) พ.ศ..... โดยคณะรฐั มนตรีเป็น ผู้เสนอ และส่งให้คณะกรรมาธิการปกครองพิจารณากาหนดแปรญัตติภายใน 7 วัน และมีมติเห็นชอบให้ประกาศใช้เป็น กฎหมาย 27 เหตุผลของการบังคับใช้ พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอนที่ 13 (25 กุมภาพนั ธ์ 2535): 3. 167

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 นับจากมีการประกาศใช้กฎหมายสัญชาติฉบับแก้ไขฉบับที่ 2 ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เป็นต้นมาเด็กที่เกิดในประเทศไทยจากบิดามารดาที่เข้าเมืองผิดกฎหมายก็จะไม่ได้สัญชาติ ไทย และยังถูก ถือว่าเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทันทีที่ลืมตาดูโลก ทั้งๆ ที่เกิดในประเทศไทย และหากคนกลุ่มนี้มีบุตร-คนอพยพรุ่นที่สามนี้ก็จะถูกผลิตซ้าการเป็นคนไม่มีสัญชาติไทยและมี สถานะเปน็ คนเข้าเมอื งผิดกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายสัญชาติฉบับแก้ไขนี้ยังเขียนให้กฎหมายมีผลย้อนหลัง28 ซึ่งส่งผล กระทบอีกครั้งกับคนอพยพรุ่นที่สองที่เกิดในไทยซึ่งถูกถอนสัญชาติ หรือไม่ได้สัญชาติไทยไปแล้ว โดย ปว.337 สถานะทางกฎหมายของคนกลุ่มนี้ถูกเปลี่ยนจาก คนต่างด้าวเกิดไทย เป็นคนที่ถูก ถือว่าเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ผลต่อเนื่องตามมาอีกก็คือ หากคนกลุ่มนี้มีบุตร (เกิดหลังวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535) คนรุ่นที่สามนี้ก็จะซ้ารอยวงจรแห่งการไม่มีสัญชาติไทย และถูกถือว่า เป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย (คนกลุ่มนี้เรียกกันเองในระดับชุมชนหรือแวดวงคนทางานด้าน สัญชาติว่าเป็น “เด็ก/คนกลุ่ม 7 ทวิ”) คนทั้งสามกลุ่มนี้ต่อมาถูกจาแนก/นิยามในเวลาต่อมาว่า “ชนกลุ่มนอ้ ย (หรอื กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์)” ทไี่ รส้ ญั ชาตใิ นประเทศไทย ปว.337 ที่มีเนื้อหาจากัดการสร้างพลเมืองโดยหลักดินแดน ด้วยเหตุผลความมั่นคง แตเ่ ปน็ ไปไดห้ รอื ไมว่ ่า ปว.337 ยงั คงความเชอ่ื ที่จะปล่อยให้ความกลมกลืนในบริบทสงั คม ไม่ว่าจะ เป็นการศึกษา วัฒนธรรมประเพณี การแต่งงาน ความสัมพันธ์ในระหว่างเครือญาติ ฯลฯ หรือการ ดาเนนิ ชวี ิตประจาวันในชุมชนทาหน้าที่ของมันต่อไปในการเชื่อมร้อยผคู้ นท่แี ตกต่างหลากหลายใน สังคมเข้าด้วยกัน และยอมรับให้เข้าเป็นพลเมืองโดยหลักดินแดนในคนรุ่นที่สาม หรือเป็นเพียง เพราะ ณ เวลานั้น การกาหนดสิทธิในสัญชาติของ บุตรและหลานคนต่างด้าวที่เป็นผู้อพยพให้ เป็นไปในลักษณะเดียวกันตลอดทั้งสาย เป็นเรื่องที่ไม่ทันนึกถึง จึงได้มาดาเนินการในเวลาต่อมา ด้วยการดึงระยะห่างระหว่างผลที่จะเกิดจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคมกับการยอมรับให้เป็น พลเมืองให้กว้างมากขนึ้ สร้างระบบงานราชการขนึ้ ใหม่ เพื่อทาหนา้ ทพ่ี จิ ารณาคุณสมบตั ผิ ยู้ ืน่ คาขอ มีสัญชาตไิ ทยกรณี “กลุ่มคนทไี่ ด้รับผลกระทบจาก ปว.337”29 28 มาตรา 10 พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2535 29 พิจารณาโดย “คณะกรรมการพิจารณาให้สัญชาติไทย” โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน กรรมการ ได้แก่ผู้แทนจากรองปลัดกระทรวงมหาดไทย, (ฝ่ายความมั่นคง) กระทรวงต่างประเทศ, สานั กงานอัยการสูงสุด, กอง อานวยการรักษาความม่ันคง, กรมการปกครอง, กรมแรงงาน, สานกั งานเลขานุการรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย, กรมตารวจ, สันติบาล, กองตรวจคนเข้าเมือง, กองการข่าวและการต่างประเทศ สานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย, ฝ่ายกิจการผู้อพยพ 168

“รฐั ประหาร พืน้ ท่ี พลเมือง” ส่วนกรณี “คนไม่ไดส้ ญั ชาตไิ ทยและถูกถือเป็นคนเข้าเมอื งผิดกฎหมายด้วยผลของมาตรา 7 ทวิฯ” นั้น ขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลแต่ละยุค เพราะจะต้องมีมติคณะรัฐมนตรีกาหนดกลุ่มคน เป้าหมายก่อน30 หลังจากนั้นคนอพยพรุ่นที่สอง รุ่นที่สามและรุ่นต่อๆ ไป จึงจะสามารถเริ่มต้น กระบวนการยน่ื คาขอสญั ชาตฯิ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาระขั้นตอนที่รัฐไทยกาหนดขึ้นด้วยความกังวลต่อความมั่นคง ส่งผลให้ เจา้ หนา้ ท่ีรัฐตกอยใู่ นวงั วนแห่งความกังวลต่อไปไม่สน้ิ สุดและแปรเป็นความหวาดระแวง คาถามคือ ปัญหาความไร้สัญชาติ จะได้รับการแกไ้ ขใหล้ ดน้อยลงไปได้อย่างไร เมอ่ื ตอ้ งรอนโยบายจากรัฐที่จะ กาหนดว่า “ใคร” คือผมู้ ีสิทธมิ าย่ืนคาขอฯ ได้ และเม่ือมนี โยบายกาหนดกล่มุ เป้าหมาย ผู้ย่ืนคาขอ (ไม่ว่าจะเป็นเด็กไร้สัญชาติ รวมถึงคนในครอบครัว) ก็จะถูกผลกั ให้ต้องหาพยานหลักฐานต่างๆ ไม่ ว่าจะเป็นเอกสารทะเบียน บัตรประจาตัวของผู้ยื่นคาขอและของบิดามารดาผู้ยื่นคาขอ (หลายคน “ตกหล่น”การสารวจ ทาให้ไม่มีเอกสารแสดงตน) เอกสารที่รับรองว่าเกิดในประเทศไทยจริง ซ่ึง เรอ่ื งน้ีเป็นปญั หาใหญ่ เพราะใช่ว่าเกดิ ในประเทศไทยจริงแลว้ จะไดเ้ อกสารมาเสมอไป และกล่าวได้ ว่าเป็นระยะเวลาท่ียาวนานมากที่การปฏิเสธไม่ออกเอกสารการเกดิ ให้กับคนไม่มีสัญชาติไทย เป็น เรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย31 หรือปัญหาสาคัญไม่แพ้น้อยไปกว่าทุกเรื่องที่ยกมาก็คือ เรื่องของพยาน และงานผู้ลภ้ี ัยและชนกลุ่มน้อยกองการข่าวและการตา่ งประเทศ สานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย (หนงั สอื มท 0202/647 ลงวันที่ 16 มนี าคม 2535) หลักเกณฑใ์ นการพิจารณาเป็นไปตาม ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรอื่ งการสั่งให้บุคคลซึ่งถูกถอนสัญชาติไทยตาม ประกาศคณะปฏวิ ัติ ฉบบั ที่ 337 และบุตรหลาน (วันท่ี 17 กนั ยายน 2547) ระบวุ ่า จะต้อง (1) มีชื่อหรือเคยมชี ่อื ในระบบการ ทะเบียน (2) มีภูมิลาเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่งในประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลานาน (3) เลื่อมใสการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์เป็นประมขุ และ (4) มคี วามประพฤตดิ ี 30 มติคณะรฐั มนตรคี รั้งแรกน่าจะเปน็ กรณบี ตุ รกลุ่มอดตี ทหารจนี คณะชาติ และจนี ฮอ่ อพยพลเรือน เมอื่ ปพี .ศ.2527 และอีกครั้งใน พ.ศ. 2535 , กลุ่มบุตรผู้อพยพเชื้อสายไทยจาก จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชาเมื่อปีพ.ศ.2527 และอีกครั้งในปี 2534, กลุ่มบุตรอดีตดโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา ในปีพ.ศ.2533, กลุ่มบุตรชาวลาวภูเขาอพยพ ในปีพ.ศ.2534, กลุ่มบุตร เวียดนามอพยพ ในปี พ.ศ. 2535 เปน็ ต้น 31 ช่วงกอ่ นปี 2551 แม้ พ.ร.บ.การทะเบยี นราษฎร พ.ศ. 2534 จะกาหนดเป็นหลกั การวา่ บดิ ามารดาหรือผปู้ กครอง มีหนา้ ทต่ี ้องแจ้งการเกิด (มาตรา 18) และเจา้ หน้าทที่ ะเบยี นราษฎรมีหน้าท่ีตอ้ งรับแจ้ง (มาตรา 20) แต่ในทางปฏบิ ตั ิแล้วบิดา มารดาที่เป็นกลุ่มชาติพันธ์หรือชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังไม่ได้คลอดบุตรที่โรงพยาบาล จึงไม่สามารถเข้าถึงหนังสือ รับรองการเกิดทีส่ ถานพยาบาล (ท.ร.1/1) ออกให้ หรือหากคลอดทีบ่ ้านกไ็ มท่ ราบว่าตอ้ งแจ้งการเกิดกับผู้ใหญบ่ ้าน กานันเพ่ือ รบั หนงั สอื รับใบแจ้งการเกิด (ท.ร.1 ตอนหน้า) เพอื่ ขอแจ้งเกดิ กับสานกั ทะเบียนเพือ่ ขอรับสตู ิบตั ร แตส่ ตู ิบตั รสาหรับเด็กท่ีไม่ มีสญั ชาติไทยเพ่ิงถกู ออกแบบ และมีหลากหลายประเภทในปี 2551 ประการสาคัญการแจ้งการเกิดเป็นเรื่องท่ีไกลตัวสาหรับ 169

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 บุคคล ที่เจ้าหนา้ ท่ีรฐั มกั เรียกรอ้ งวา่ พยานบุคคลควรเปน็ กานนั ผใู้ หญ่บา้ น หรือเจ้าหน้าท่ีราชการ ฯลฯ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากระดาษนับหลายหมื่นแผ่นนี้ ได้กลายเป็นช่องทางของการแสวงหา ประโยชน์ไปมากน้อยเทา่ ได 5. ปที ี่ 36 (พ.ศ. 2551): ความพยายามกลับไปเยียวยา (เฉพาะ) อดตี ทนี่ านมาแลว้ กฎหมายสัญชาติที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 4 ถูกบังคับใช้ในเดือนกุมภาพันธ์ 255132 (ในรัฐบาลสมัยนายสมัคร สุนทรเวช) แต่แน่นอนว่ากระบวนการแก้ไขปรับปรงุ เกิดขึน้ ก่อนหนา้ นั้น (รัฐบาลสมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์)33 โดยผลของกฎหมายฉบับนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงท่ี สาคัญในหลายประเด็น34 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนาแนวคิดเร่ืองการมีสิทธิในสัญชาติไทยตามหลัก ดินแดนกลับมาอกี คร้ัง โดยกาหนดใหค้ ืนสัญชาติไทยให้กบั บุคคลที่ได้รับผลกระทบจาก ปว.33735 หรืออีกนิยามก็คือ “คนไทยตามมาตรา 23” (มาตรา 23 พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551) ชุมชนที่อยู่ห่างไกล (หรือแม้แต่ในตัวเมือง) ทาให้เด็กจานวนมากไม่มีเอกสารการเกิดเพื่อยืนยันว่าเกิดในประเทศไทย การ แกไ้ ขปญั หาในทางปฏิบัติก็คือ ทางสานักทะเบียนจะเรยี กพยานบคุ คลมาสอบข้อเท็จจริง และออกเป็นหนังสือรับรองสถานที่ เกิดให้ แต่ก็มีปัญหาในทางปฏบิ ัติอีกเช่นกนั ว่า หนังสือรับรองสถานทีเ่ กิดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ หรือน่าเชื่อถอื ในกรณีที่นาไปใช้ ตา่ งอาเภอ และมีข่าวปากตอ่ ปากวา่ หนงั สือรับรองสถานที่เกิดตอ้ งเสยี ค่าใช้จ่ายสูง 32 พ.ร.บ.สญั ชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551, ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ 125 ตอนที่ 39 ก (27 กมุ ภาพันธ์ 2535): 24. 33 รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. สภานิติบัญญัติ แห่งชาติ (สนช.) ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายฯ 3 ครั้งคือ 30 พฤศจิกายน 2550, 4 ธันวาคม 2550 และ 6 ธันวาคม 2550 โดยร่างกฎหมายที่เข้าสู่การพิจารณาประกอบไปด้วย ร่างกฎหมายที่เสนอโดยกรมการปกครอง และร่าง กฎหมายที่เสนอโดยนางเตือนใจ ดีเทศน์กบั คณะ ไม่รวมถึงกระบวนการศึกษายกรา่ งกฎหมายก่อนหน้านัน้ ซึ่งตรงกับรัฐบาล พลเอก สรุ ยุทธ์ จลุ านนท์ (8 ตลุ าคม 2549 – 6 กมุ ภาพนั ธ์ 2551) ต่อเนื่องจากการยดึ อานาจของคณะปฏริ ปู การปกครองใน ระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข นาโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลนิ (19 กันยายน 2549 – 1 ตุลาคม 2549) 34 อาทิ การยอมรับสิทธิที่จะมีสัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากบิดาตามข้อเท็จจริง (บิดามารดาไม่ได้จด ทะเบยี นสมรส, บดิ าไมไ่ ดจ้ ดทะเบยี นรับรองบตุ ร) โดยจะตอ้ งพิสจู นใ์ ห้เห็นว่ามคี วามสัมพันธ์เปน็ บิดา-บตุ รกันจริง ดมู าตรา 7, ความเสมอภาคของหญิงชายทีเ่ ป็นคนต่างด้าว ในมาตรา 11 (2) (4), มาตรา 13 พ.ร.บ.สัญชาติ 2508 แก้ไข (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 35 สรุป คือ (1) คนทถี่ กู ถอนสญั ชาตไิ ทยโดย ปว.337 หรอื คนทเ่ี กดิ ก่อนวันท่ี 15 ธันวาคม พ.ศ. 2515 (2) คนท่ีไม่ได้ สญั ชาติไทย โดยผลของ ปว.337 หรอื คนทีเ่ กิดวนั ที่ 14 ธันวาคม 2515 – 25 กมุ ภาพันธ์ 2515 และ (3) บุตรของ (1) หรอื (2) คือคนที่เกดิ กอ่ นวนั ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 170

“รฐั ประหาร พ้นื ที่ พลเมอื ง” โดยได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าคนกลุ่มนี้มีสญั ชาติไทยโดยการเกดิ 36 และให้มีผลตั้งแต่ วนั ที่กฎหมายฉบบั แก้ไขนีใ้ ชบ้ งั คับ37 ยังมีความพยายามสร้างพลเมืองโดยหลักดินแดนในลักษณะอื่นอีก อาทิ การยอมรับให้ เด็กไร้สัญชาติทีไ่ ร้ความสามารถ (เกดิ ในประเทศไทย) ท่ีอยู่ในความอนุบาลตามคาสง่ั ศาล, เด็ก ไรส้ ญั ชาตทิ ่อี ยใู่ นความดแู ลของสถานสงเคราะห์ และเดก็ ไร้สญั ชาตทิ ี่ได้รับการจดทะเบียนเป็น บุตรบุญธรรมของผู้มีสัญชาติไทยแล้ว (เกิดในไทย) สามารถมีสิทธิในสัญชาติไทยได้โดยการ แปลงสัญชาติเป็นไทย (มาตรา 12/1 พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2551) อย่างไรก็ดี การปรับไปสู่สถานะพลเมืองโดยหลักดินแดนนี้ นอกจากจะต้องพิสูจน์ว่าเป็น คนทีไ่ ดร้ บั ผลกระทบจาก ปว.337 จริง (เกดิ ในประเทศไทย โดยมีพยานเอกสาร อาทิ สูตบิ ัตร หรือ หลักฐานอื่นมายืนยัน) ยังต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าผู้ยื่นคาร้องฯ มีความผูกพันกับดินแดนรัฐไทย (อยใู่ นประเทศไทยติดต่อกนั โดยมีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร) และเปน็ ผู้มีความประพฤติดี หรือ ทาคุณประโยชน์ให้แก่สังคมหรือประเทศไทย โดยมี (พยาน) บุคคล “ที่น่าเชื่อถือ” มายืนยัน รบั รอง38 แม้จะกล่าวได้ว่า ความพยายามแก้ปัญหาคนไร้สัญชาติในครั้งน้ีค่อนข้างเป็นระบบ เพราะ ในปีเดียวกัน กฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร39 ก็ได้รับการแก้ไขปรับปรุงโดยเพิ่มหลักการ “การจดทะเบียนการเกิดถว้ นหนา้ (Birth Registration for ALL)” โดยไม่เลือกปฏิบัติว่าเด็กทีเ่ กิด ในประเทศไทยนั้น เกิดจากบิดามารดาที่มีสถานะตามกฎหมายเข้าเมืองอย่างไร ซึ่งรวมถึงการเปิด 36 เรื่องเสร็จที่ 226/2552 บันทึกสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องคุณสมบัติผู้มีสิทธิที่จะได้รับเลือกเป็น ผ้ใู หญบ่ า้ น 37 ความเหน็ ของ สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะกรรมการกฤษฎกี า (คณะท่ี 6) ) ดู มท 0309.1/ ว 16648 วนั ท่ี 5 กรกฎาคม 2554 38 พยานบุคคลต้องมีชือ่ ในทะเบียนบา้ น มีถิ่นที่อยูเ่ ป็นหลักแหล่ง รู้จักกับผู้ยืน่ คาขอไม่น้อยกว่า 5 ปี เป็นบุคคลท่ี ชุมชนให้การยอมรับนับถือ ประพฤติดี โดยไม่จาเป็นต้องเป็นข้าราชการ ดูหนังสือด่วนมาก มท 0309.1/ว 9489 วันที่ 18 มิถุนายน 2551 39 พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551,ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนที่ 83 ก (25 กุมภาพันธ์ 2551): 13. 171

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 ช่องให้สามารถดาเนินการขอเอกสารรับรองการเกิดย้อนหลังได้ด้วย40 แต่ระหว่างทางของ กระบวนการ (ขอ) คืนสัญชาติไทย ผู้ยื่นคาขอฯ ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาเก่าๆ เดิมๆ ของ กระบวนการยื่นคาร้อง/คาขอ อาทิ การไม่รับคาร้อง/คาขอ โดยเจ้าหน้าที่ไม่ยอมปฏิเสธเป็น ลายลักษณ์อักษร, ระบบคิว (หลายกรณีคิวใช้เวลาข้ามปี), ความสงสัยต่อพยานหลักฐานทุก ประเภท รวมถึงปญั หาสาคัญพื้นฐานอยา่ งการขอเอกสารการเกิดย้อนหลัง ที่ยากจะหาพยานบุคคล ที่นา่ เชอื่ ถอื ในสายตาของเจ้าหน้าที่ ฯลฯ41 และตอ้ งย้าอกี ครงั้ วา่ สทิ ธิในสัญชาติไทยตามหลักดินแดนท่ีเกิดขึ้น เป็นการย้อนหลังไปเพ่ือ แก้ปัญหาในอดีตเป็นหลัก (คนที่ได้รับผลกระทบจาก ปว.337 ถึงคนรุ่นบุตรที่เกิดก่อน 26 กุมภาพันธ์ 2551) เพราะคนอีกกลุ่ม ที่เกิดในประเทศไทย (อาจจะเกิดจากบิดามารดาคนเดียวกัน เพียงแตเ่ กดิ คนละช่วงเวลา) ท่ไี ด้รับผลกระทบจากการแกไ้ ขกฎหมายสัญชาติในปี 2535 (คนที่เกิด ตั้งแต่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นต้นไป) ยังคงต้องรอนโยบาย (มติคณะรัฐมนตรี) ต่อไปว่าจะ สามารถเข้าส่กู ระบวนการขอสัญชาตไิ ทยได้เมอ่ื ไร 6. ในปีที่ 38, ปีที่ 45 และปีที่ 47 (พ.ศ. 2553, พ.ศ. 2560, พ.ศ. 2562) : ห่วงโซ่ความ ไร้สญั ชาติทย่ี ังคงทำงานตอ่ ไป กับโอกาสใหม่สำหรับกลุม่ คนเฉพาะ กว่าคนอพยพซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์รุ่นที่สองที่ต้องไร้สัญชาติด้วยผลของการ แก้ไขกฎหมายสัญชาติในปี 2515 จะสามารถเริ่มต้นกระบวนการยื่นคาขอสัญชาติได้เหมือนๆ กัน ทุกกลุ่ม ก็ใช้เวลาร่วม 40 ปี (มติคณะรัฐมนตรีในปี 2553 แต่ขั้นตอนและกระบวนการของทาง ปฏบิ ัตเิ พงิ่ ชดั เจนในปี 255542) อยา่ งไรกด็ ี การเปดิ กวา้ งนย้ี งั คงมีเงื่อนไข ดว้ ยการนาจุดเริ่มต้นใน 40 มาตรา 18 มาตรา 19 มาตรา 19/1 มาตรา 20/1 พ.ร.บ.การทะเบยี นราษฎร พ.ศ.2534 แก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ.2551 นอกจากประเทศไทยจะมีเอกสารแสดงตนที่หลากหลายประเภทแล้ว เอกสารรับรองการเกิดหรือสูติบัตร ก็ถูก ออกแบบขึ้นหลากหลาย โดยความแตกต่างขึ้นกับสถานะการเข้าเมืองของบิดามารดาของเด็ก หรือสถานะตามกฎหมายของ เดก็ (กรณีไม่มบี ิดามารดา) รวมแล้ว 7 ประเภท 41 Darunee Paisanpanichkul and Chuti Ngam-urulert “Nationality Procedures in Thailand: Bottlenecks Analysis and Recommendations in Addressing Implementation Challenges, United Nation High Commissioners for Refugees (UNHCR), Thailand, 2017 42 มติคณะรัฐมนตรี 7 ธันวาคม 2553 ภายใต้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กาหนดให้บุตรชนกลุ่มน้อยและกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ทุ อี่ พยพเข้ามาอยู่นาน แล้ว (บิดามารดาตอ้ งอพยพเข้ามาในไทยเป็นเวลา 10 ปี นับถึงวนั ท่ี 18 มกราคม 2548) ขอมี สัญชาติไทยตาม มาตรา 7 ทวิฯ ได้ ส่วนทางปฏิบัติที่เริ่มชัดเจนนั้นเป็นไปตามประกาศกระทรวงมหาดไทยปี 2555 นั้น เป็น 172

“รฐั ประหาร พ้นื ที่ พลเมอื ง” การยืน่ คาขอฯ ของคนร่นุ ทส่ี อง ไปผกู ตดิ กบั ระยะเวลาในการเข้าเมอื งของบิดามารดาชนกลุ่มน้อย/ กลุ่มชาติพันธุ์ผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทย โดยระบุว่าคนรุ่นที่หนึ่งจะต้องเข้ามาอาศัยอยู่ใน ประเทศไทยถึงปี 2538 และคนรนุ่ ทส่ี องตอ้ งมคี ณุ สมบัติตามที่รัฐไทยกาหนด43 ประเด็นนี้พอเข้าใจได้ว่า เป็นเรื่องของการปล่อยให้กระบวนการขัดเกลาทางสังคม หรือ ความผสมกลมกลนื ไดท้ างาน แตก่ ารรอคอยถึงรอบใหม่ของมตคิ ณะรฐั มนตรี นับเปน็ อนาคตท่ียาก จะคาดเดา คาถามกค็ อื เหตใุ ดตอ้ งนากระบวนการยื่นคาขอสัญชาติตามมาตรา 7 ทวฯิ ไปผูกตดิ กับ ระยะเวลาเข้ามาในประเทศไทยของคนรุ่นที่หนึ่ง เพราะหากนับว่าเด็กคนหนึ่งเกิดเมื่อปี 2535 ก็เติบโตเป็นเยาวชนอายุ 18 ปีในปี 2553 แล้ว การนับรวมเด็กหรือเยาวชนเข้าเป็นสมาชิกของ สงั คมไทยเพอ่ื เปน็ ฐานใหช้ ีวติ หน่งึ ๆ ได้เติบโตและใชศ้ ักยภาพร่วมกนั ขับเคล่ือนสงั คมเศรษฐกิจของ ประเทศ น่าจะเป็นการเอื้อต่อความมั่นคงของชาติ มากกว่าการพิจารณาว่าความมั่นคงน้ัน เปราะบางจนต้องปกป้องจากเด็กหรือเยาวชนที่เกิดในดินแดนรัฐไทยและกาลังเติบโต อย่างไรก็ดี กระบวนการยื่นคาขอสัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิฯ ที่ผูกติดกับระยะเวลาเข้ามาในประเทศไทย ของคนร่นุ ท่หี นงึ่ ยงั คงถกู ทาซ้าอกี ครัง้ ในปี 2559 โดยมติคณะรัฐมนตรีในปี 2559 กาหนดว่าคนรุ่น บิดามารดาจะต้องเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปีนับถึงวันที่คนรุ่นบุตร ยนื่ คารอ้ งฯ44 ระหว่างทางการพัฒนาระเบียบวิธีในการสร้างพลเมืองโดยหลกั ดินแดน ผ่านการขอสัญชาติ ไทยตามมาตรา 7 ทวิฯ โดยมีเพียงคนอพยพย้ายถิ่นรุ่นที่ 2 ที่เป็นชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธุ์เป็น กลุ่มเป้าหมายเดียวมาอย่างยาวนาน ก็เริ่มมีการเปิดกว้างให้คนกลุ่มอื่นๆ ด้วย โดยในปี 2555 การดาเนินการในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชนิ วัตร, ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรอ่ื ง การสัง่ ให้บุคคลซ่ึงไมม่ สี ัญชาติไทย ท่ีเกิด ในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างดา้ ว ได้สัญชาติเป็นการทัว่ ไปและการให้สัญชาติไทยเป็นการเฉพาะราย, ราชกิจจานุเบกษา, เลม่ 129 ตอนพิเศษ 177 ง (23 พฤศจิกายน 2555): 50. 43 ชนกลุ่มน้อย/ชาติพันธุ์รุ่นบิดามารดา จะต้องได้รับการจัดทะเบียนประวัติ มีเอกสารแสดงตน และต้องเข้ามาใน ประเทศไทยก่อนวันที่ 18 มกราคม 2538 โดยมีเงอื่ นไขสาหรับคนรุ่นท่ีสองคือ (1) ไม่ปรากฏหลกั ฐานการมีและใช้สัญชาติอื่น (2) เกิดและมีภูมิลาเนาในประเทศไทยต่อเนื่อง โดยมีชื่อในระบบทะเบียนราษฎร หรือมีเอกสารยืนยันว่าเกิดในประเทศไทย จริง (3) พูด ฟังภาษาไทยได้ ยกเว้นกรณีเด็กอายุต่ากว่า 7 ปี (4) มีความจงรักภักดีต่อประเทศไทย และเลื่อมใสการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (5) ประพฤติดี ไม่เคยตอ้ งโทษคดีอาญา เวน้ กรณลี หโุ ทษ หรือพ้นโทษ มา 5 ปี (6) ประกอบอาชพี สุจรติ (7) ไม่มีพฤตกิ ารณท์ เี่ ปน็ ภัยต่อความมั่นคงของรฐั 44 มติคณะรัฐมนตรี 7 ธันวาคม 2559 ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันโอชา ซึ่งเป็นรัฐบาลทหารสืบเนื่องจากการยดึ อานาจในวันท่ี 22 พฤษภาคม 2557 173

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 รัฐไทยได้มีนโยบายกาหนดคุณสมบัติ “เฉพาะ” ในลักษณะต่างๆ คือหากคนไร้สัญชาติที่เกิดใน ประเทศไทยนั้น เป็น (1) “คนที่ถูกทอดทิ้งหรือไม่ปรากฏบิดามารดา (คนไร้รากเหง้า)”, (2) “บุตร ของคนตา่ งด้าวทท่ี าคณุ ประโยชน์ใหแ้ ก่ประเทศไทย”45, (3) คนไรส้ ญั ชาตทิ ี่กาลงั เรียนหรือเรียนจบ ระดับปริญญาตรีแล้ว” ก็สามารถยื่นคาขอมีสัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิฯ ได้เช่นกัน โดยมี ช่องทางพิเศษเพิ่มเติมด้วยว่า กรณีคนไร้สัญชาติที่กาลังเรียนนั้น หาก “มีความจาเป็น” รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงมหาดไทยสามารถพิจารณาเหน็ ชอบได4้ 6 กล่าวโดยสรุปอีกครั้งก็คอื การสร้างพลเมืองโดยหลกั ดนิ แดนโดยการเกิดในคร้ังน้ี ไม่จากัด เฉพาะคนรุ่นที่สองของชนกลุ่มนอ้ ย/กลุ่มชาติพนั ธุ์ทอ่ี พยพเข้ามาในประเทศไทยอีกต่อไป “คนต่าง ด้าวไร้สัญชาติ” กลุ่มใด แม้จะเป็นบุตรของแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน หากมี คุณสมบัติ/เข้าเงื่อนไข “ทรัพยากรที่มีค่าของประเทศไทย” ก็สามารถมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยใช้ ชอ่ งทางมาตรา 7 ทวฯิ ได้ แตท่ นี่ า่ สนใจเป็นอยา่ งมากเหน็ จะเปน็ กรณีของกลุ่มท่ี (4) “คนไร้รากเหงา้ ท่เี กิดในประเทศ ไทย ทไ่ี มส่ ามารถสบื ทราบไดว้ ่าบิดามารดาเป็นใคร มีตวั ตนอยจู่ ริงหรอื ไม่” ท่กี ฎหมายการทะเบียน ราษฎรที่แก้ไขในปี 2562 กาหนดว่าหากเป็นเด็กแรกเกิดก็สามารถไปดาเนินการทางทะเบียน ราษฎรเพื่อเพิ่มชื่อเข้าในทะเบียนบ้านคนสัญชาติไทยได้47 ผลลัพธ์ก็คือ คนไร้รากเหง้าดังกล่าวจะ เป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนตามกฎหมายสัญชาติ เป็นคนมีสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน เช่นเดียวกับกรณีของบุตรทีเ่ กิดจากคนต่างด้าวทีม่ ีถิ่นถาวรในประเทศไทย48 กล่าวได้วา่ กรณีของ กลุ่มเป้าหมายล่าสุดนี้ เป็นการตอกย้าถึงอานาจอธปิ ไตยของรัฐไทยในการให้หรือไมใ่ หส้ ญั ชาติกบั บุคคลหรือกลุ่มใด เพราะหากรัฐประสงค์จะเปิดกว้างนโยบายการสร้างพลเมืองโดยหลักดินแดนก็ 45 อย่างไรก็ดี ต้องกล่าวด้วยว่านโยบายเพิ่มกลุ่มเป้าหมายที่สามารถขอสัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิ เริ่มต้นใน รฐั บาลสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชวี ะ ในปี 2553 ดปู ระกาศกระทรวงมหาดไทยปี 2555 ออกภายใตม้ ติคณะรัฐมนตรี 7 ธันวาคม 2553 46 ประกาศกระทรวงมหาดไทยในปี 2560 ออกภายใต้มติคณะรัฐมนตรี 7 ธันวาคม 2559, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอนพิเศษ 79 ง (14 มีนาคม 2560): 10. 47 พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560, มาตรา 19/2, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 136 ตอนที่ 49 ก (14 เมษายน 2562) : 33 48 พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 7 บคุ คลดงั ตอ่ ไปนี้ยอ่ มได้สญั ชาติไทยโดยการเกิด (2) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ยกเวน้ บุคคลตามมาตรา 1 ทวิ วรรคหน่ึง 174

“รฐั ประหาร พื้นที่ พลเมือง” เป็นเรื่องที่สามารถดาเนินการได้ โดยไม่จาเป็นต้องใช้ช่องทางหรือกลไกภายใต้กฎหมายสัญชาติ ด้วยซ้าไป 7. บทสง่ ท้าย “แสนกว่าคน” คอื ตวั เลขของคนท่ีไดร้ ับผลกระทบจาก ปว.337 ในปี 2515 ท่ีได้รับการคืน สญั ชาติไทยแล้ว49 คงเหลือชนกลุ่มน้อย/กลุ่มชาติพันธ์ุร่นุ ที่สองท่ีรอเข้าสกู่ ระบวนการ/อยู่ระหว่าง กระบวนการ ประมาณ 41,556 คน50 นคี่ ือการเดนิ ทางของพลเมืองโดยหลกั ดนิ แดนท่ถี กู สร้างและ ถกู ลบออกดว้ ยนโยบายกฎหมายของประเทศไทยในช่วง 47 ปที ่ผี ่านมา มีประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นข้อสังเกตที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญในระหว่างการทบทวนเรื่องนี้ ก็คือ ความเปล่ยี นแปลงของกฎหมายท่ีมคี วามสาคัญตอ่ การสร้างหรือลบเลือนพลเมืองกลุ่มน้ี มักเกิดข้ึน ในช่วงที่ทหารเข้ามามีบทบาทในการปกครองประเทศภายหลังจากการยึดอานาจ/รัฐประหาร ดังจะเห็นได้จากการเริ่มต้นของการจากัดสิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักดินแดนนั้นเกิดด้วยแนวคิด เรื่องความมั่นคงของชาติซึ่งปรากฏอย่างเข้มข้นในปี 2515 ซึ่งเป็นรัฐบาลสมัยจอมพล ถนอม กิตติขจร51 และต่อยอดความรุนแรงด้วยการแก้ไขกฎหมายสัญชาติ ฉบับที่ 2 ในปี 2535 ในยุค รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งต้องนับว่าเป็นยุคที่สืบเนื่องจากการยึดอานาจโดยคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ52 นับจากนั้นความพยายามที่กลับไปแก้ไขผลกระทบที่เกิดจากอดีต ผ่าน กระบวนการยกร่างและแก้ไขกฎหมายสัญชาติ รวมถึงกฎหมายการทะเบียนราษฎร จนมีการ ประกาศใช้ในปี 2551 ก็เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์53 ที่สาคัญก็คือการกาหนด 49 ตัวเลขประมาณการอย่างไมเ่ ป็นการทางการจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย 50 ตวั เลขของกลุ่มอ่ืนๆ จะไมข่ อกล่าวถึงในบทความน้ี เน่อื งจากตัวเลขที่ปรากฏเป็นจานวนรวม ยังไม่มีการจาแนก วา่ เปน็ คนเกิดในประเทศไทยหรือไม่ 51 จอมพล ถนอม กิตติขจร ยึดอานาจตนเอง เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2514 (18 พฤศจิกายน 2514 – 17 ธนั วาคม 2515) 52คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ นาโดยพลเอก สุนทร คงสมพงษ์ ได้ทาการยึดอานาจในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2534 (24 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2534 และมีมติให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี (1 มีนาคม 2534 – 7 เมษายน 2535) 53 พ.ร.บ.สญั ชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพ่มิ เตมิ (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2551 แม้จะประกาศใชใ้ นสมยั รัฐบาลนายสมคั ร สุนทร เวช (6 กมุ ภาพนั ธ์ – 9 กนั ยายน 2551) แต่กระบวนการร่างและพิจารณาร่างกฎหมายเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุ ลานนท์ (8 ตุลาคม 2549 – 6 กุมภาพันธ์ 2551) ซึ่งสืบเนื่องจากการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นาโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (19 175

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 สิทธิในสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน โดยใช้วิธีการทางทะเบียนราษฎร ในปี 2560 รวมถึงนโยบาย เพิ่มกลุ่มเป้าหมายที่สามารถขอสัญชาติไทย พร้อมเปิดช่องทางมีสัญชาติไทยแบบ fast track โดย มตคิ ณะรัฐมนตรใี นปี 2559 กเ็ ป็นผลงานของรฐั บาลพลเอกประยทุ ธ์ จันทร์โอชา54 กันยายน 2549 – 1 ตุลาคม 2549) 54 พลเอกประยุทธ์ จันโอชา ทาการรัฐประหารในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 176

“รัฐประหาร พน้ื ที่ พลเมือง” References Cabinet Resolution as of December 7, 2016 “เรื่องอนุมัติหลักเกณฑ์การให้สัญชาติไทยเพื่อการแก้ไขปัญหาเด็ก นักเรียน นักศึกษาและบุคคลไร้สัญชาติที่เกิดในไทยราชอาณาจักรไทย” [ Criteria for accessing to Thai Citizenship of Stateless Student and Stateless person who were born in Thai Territorial ] , (in Thai). Chalit Dhawannakitkul, “บทวิเคราะห์แนวความคิดทางการเมืองเบื้องหลังพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508” [An Analysis of Political Concept Behind the 1965 Nationality Act], the Degree of Master of Arts in Government, Department of Government, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University, 2004, (in Thai). Darunee Paisanpanichkul and Chartchai Amornlertwattan, Report No.2 : Developing Legal Status To Be a Permanent Residence : Case Study on Ethnic Groups, the Project on Development and Knowledge Movement for a Well-Being of Stateless person and Undocumented Stateless person, Thai Health Promothon Foundation, October 2015. Darunee Paisanpanichkul and Chuti Ngam-urulert, Nationality Procedures in Thailand: Bottlenecks Analysis and Recommendations in Addressing Implementation Challenges, United Nation High Commissioners for Refugees (UNHCR), Thailand, 2017 Ministry of Interior, Department of Provincial Administration, “โครงการสัมมนาร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อการ พัฒนาและแก้ไขปัญหาชุมชนบนพื้นที่สูง ประจำปี 2549” [ Seminar on Cooperation of Government and Non-Government Organizations for developing and solving problem in High land’s communities, B.E. 2549] , (in Thai). Ministry of Interior, Department of Provincial Administration, “ค่มู อื การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรวี ันที่ 7 ธันวาคม 2553” [Hand Book for Cabinet Resolution as of December 7, 2016’s Implementation], (in Thai). Kachadpai Burutpat, “ญวนอพยพ”, [Vietnam Displace Person], Bangkok : Duangkamol Publishing, 1978, (in Thai). Thananan Boonwanna, “นโยบายชาวเวียดนามอพยพของรัฐบาลจอมพล ป. พบิ ลู สงคราม พ.ศ. 2491-2500”, [The policy of the Phibulsonggram regime regarding Vietnamese refugees in Thailand 1948-1957], the Degree of Master of Arts in History, Department of History, Faculty of Art, Chulalongkorn University, 2002, (in Thai) 177

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 Saichol Sattayanurak, “ประวัติศาสตร์ รัฐไยและสังคมไทย” [History, Thai State and Thai Socity], Chiang Mai: Chiang Mai University Press, 2015, (in Thai). Somchai Preechasilpakul, “เขาถูกบังคับให้ไร้สัญชาติ”, [s/he was forced to be Stateless person], Matichon Newspaer, 2005, (in Thai). 178

“รัฐประหาร พืน้ ท่ี พลเมอื ง” การเปล่ียนแปลงของกฎหมายบังคบั คดีตามคำพิพากษาหรือคำส่ังในคดแี พง่ The Change of Law regarding Enforcement of Court Judgement or Order in Civil Case สภุ ธดิ า สกุ ใสA และ กติ ตพิ ศ สกุ ใสB Aคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แขวงหวั หมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร 10240 Bคณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีปทมุ วัน 833 ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทมุ วนั กรุงเทพมหานคร 10330 Supathida SooksaiA and Kittipot SooksaiB AFaculty of Law Ramkhamhaeng University, Huymark, Bangkapi, Bangkok, Thailand. 10240 BFaculty of Science and Technology 833 Rama I Road, Wang Mai, Patumwan, Bangkok, Thailand. 10330 Corresponding author E-mail : [email protected] Received: May 22, 2019; Revised: September 18, 2019; Accepted: September 24, 2019 บทคัดย่อ หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2557 และ ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก ในเวลาต่อมาได้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้แถลง นโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นโยบายหนึ่งในสิบเอ็ดประการที่สำคัญ คือ นโยบายในด้านการ ปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรม ซ่ึงเป็นผลให้มีการออกกฎหมายใหม่และมีการแก้ไขเพ่ิมเติม กฎหมายหลายเรื่อง โดยมุ่งหมายใหก้ ฎหมายมีความทันสมัย เปน็ ธรรม และเป็นประโยชน์ในการบริหาร และพัฒนาประเทศต่อไป ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นหนึ่งในบรรดากฎหมายที่ได้รับ การแก้ไขเพิ่มเติม โดยมีการแก้ไขเพ่ิมเติมเรือ่ งการบงั คับคดตี ามคำพพิ ากษาหรือคำสงั่ เพอื่ ใหบ้ ทบัญญตั ิ ในส่วนดังกล่าวมีความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และทำให้การบังคับคดีตาม คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลเป็นไปโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพียงพอในการอำนวยความ ยุตธิ รรมใหแ้ ก่ประชาชน คำสำคัญ: การบงั คับคด,ี การบงั คับคดีตามคำพพิ ากษาหรือคำสั่ง, คดแี พ่ง 179

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 Abstract After National Council for Peace and Order (NCPO) couped and declared martial law in 2014, the cabinet was established. Following the couped, the prime minister announced policies to National Legislative Assembly of Thailand. One of important eleven policies is improving law and justice system which result in launching and improving laws. The objectives are making laws modern, impartial and useful for country management and development. The civil procedure code is the one that was improved by adding enforcement of court judgement or order, so that provisions in this section are appropriate for the current economic and social conditions. And the enforcement of court judgement or order can process quickly and effectively enough to provide justice to the people. Key words: Legal Execution, Enforcement of the Judgement or Order, Civil Case 1. บทนำ การรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี พ.ศ. 2557 นั้น ถือเป็นจุด เปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เปน็ อยา่ งมาก เน่ืองจากระยะเวลาต้ังแตท่ ำการรัฐประหารจนถึงปัจจบุ ัน มกี ารประกาศใช้กฎหมายใหม่ และแก้ไขเพิม่ เตมิ กฎหมายเป็นจำนวนมาก อนั เปน็ ผลมาจากนโยบายของคณะรฐั มนตรที ่ีนายกรัฐมนตรี ได้เสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติก่อนที่จะเริ่มต้นบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย (ฉบบั ช่ัวคราว) พทุ ธศักราช 2557 นโยบายของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวประกอบไปด้วยการมุ่งเน้นพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ นโยบายประการหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ นโยบายในการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งได้วางแนวทางไว้ว่า ในระยะแรกนั้นจะเร่งปรับปรุงประมวลกฎหมายหลักของประเทศไทยและ กฎหมายอื่น ๆ ที่มีความล้าสมัย ไม่เป็นธรรม และไม่สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งเป็น อุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยจะใช้กลไกของหน่วยงานเดิมที่มีอยู่และเชิญชวน ผ้ทู รงคุณวฒุ มิ าเป็นคณะกรรมการซ่ึงจะจัดตงั้ ข้ึนเฉพาะกิจเพ่ือทำหน้าท่ีเป็นผู้เร่งดำเนินการพัฒนาและ ปรับปรงุ กฎหมาย รวมท้ังเพิม่ ศักยภาพหนว่ ยงานทม่ี หี นา้ ท่ใี หค้ วามเหน็ ทางกฎหมายและจัดทำกฎหมาย ให้ปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว สามารถให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนและประชาชนได้ตามหลักเกณฑ์ท่ี เปิดกว้างขึ้น ส่วนในระยะต่อไปนั้นจะเป็นการดำเนินการจัดตั้งองค์กรปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่ 180

“รัฐประหาร พืน้ ที่ พลเมอื ง” ปราศจากการแทรกแซงของรัฐ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความรู้ทางนิติวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อเร่งรัด การดำเนินคดีทุกขั้นตอนใหร้ วดเร็ว เกดิ ความเป็นธรรม ปรับปรุงระบบการช่วยเหลือทางกฎหมายและ ลดค่าใช้จ่ายแก่ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงความ เป็นธรรมได้ง่ายและรวดเร็ว ส่งเสริมกองทุนยุติธรรมเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส คุ้มครองผู้ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ และเยียวยาผู้บริสุทธิ์หรือบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากความไม่เป็น ธรรม นอกจากนี้จะส่งเสริมให้นำมาตรการทางการเงิน ภาษี และการป้องกันการฟอกเงินมาใช้กับการ ป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตประพฤติมิชอบ หรือกระทำผิดด้าน การคา้ มนุษย์ แรงงานทาส การกอ่ การรา้ ยสากล ยาเสพตดิ และอาชญากรรมข้ามชาต1ิ จากนโยบายดังกล่าวจึงทำให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับ สภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วย หลกั เกณฑ์และวิธีการบังคับคดตี ามคำพพิ ากษาหรือคำสัง่ ของศาลน้ัน เป็นหนงึ่ ในกฎหมายท่ีจำเป็นต้อง ได้รับการแก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ซึ่งยังมีจุดอ่อน ข้อด้อย และข้อจำกัดหลายประการ ทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย2 ประกอบกับ บทบัญญัติบางส่วนไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ทำให้การบังคับคดีตามคำ พิพากษาหรือคำสั่งของศาลเป็นไปโดยล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการอำนวยความยุติธรรม ให้แก่ประชาชนผู้มีอรรถคดี และเปิดโอกาสให้มีการประวิงคดี จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแหง่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาและคำสั่งให้ เหมาะสมยิ่งขึ้น3 ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบและได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้เมื่อปี พ.ศ. 2560 แล้ว ถือเป็นการปรับปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งคร้ัง ใหญแ่ ละมกี ารจดั วางโครงสร้างกฎหมายใหม่ เพ่ือให้การบงั คบั คดตี ามคำพิพากษาหรือคำส่ังในคดีแพ่งมี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและบรรลุเป้าหมายตามนโยบายในการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการ ยุติธรรมตามท่ไี ด้กลา่ วไปขา้ งตน้ 1 สานักงานคณะกรรมการข้อมลู ข่าวสารของราชการ, “สรปุ ย่อการแถลงนโยบายของคณะรฐั มนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทรโ์ อชา นายกรฐั มนตร)ี แถลงตอ่ สภานติ ิบญั ญัตแิ หง่ ชาติ”, สืบค้นเม่ือวนั ที่ 16 พฤษภาคม 2562, http://www.oic.go.th 2 จรัญ ภักดีธนากลุ , กฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพ่งวา่ ด้วยการบงั คับคดี (กรุงเทพฯ: บรษิ ทั กรุงสยามพับลิชช่ิงจากัด, 2561), 69. 3 หมายเหตุทา้ ยพระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง (ฉบบั ท่ี 30) พ.ศ. 2560 181

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 2. หลักทั่วไปในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดแี พ่ง เมอ่ื ศาลได้พิจารณาคดเี สร็จส้นิ และมีคำพิพากษาหรอื คำสั่งในคดีแพง่ เปน็ อย่างใดแลว้ หากคำ พพิ ากษาหรือคำสั่งดงั กล่าวจะต้องมีการบังคบั คดี ศาลจะออกคำบังคบั ให้คคู่ วามหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่าย แพ้คดี หรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชำระหนี้ เรียกวา่ “ลูกหนี้ตามคำพิพากษา” ปฏิบัติ ตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น หากลูกหน้ีตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำบังคับภายในกำหนดเวลา “เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา” ซึ่งเป็นคู่ความหรือบุคคลที่เป็นฝ่ายชนะคดี หรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษา หรือคำส่งั ใหไ้ ดร้ บั ชำระหนนี้ นั้ จะตอ้ งขอใหม้ กี ารบงั คับคดตี ามคำพิพากษาหรอื คำสงั่ ดงั กล่าวต่อไป4 การบงั คับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีแพ่งเป็นสว่ นหนึ่งของการบังคบั ชำระหน้ี ซ่ึงตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดใหล้ ูกหนี้ต้องปฏบิ ตั ิการชำระหนีใ้ ห้ถกู ตอ้ งครบถ้วนตามความ ประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้นั้น5 โดยการชำระหนี้นั้นแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ คือ การบังคับ ชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงและการบังคับชำระหนี้เป็นค่าสินไหมทดแทน ซึ่งมีหลักการว่า เมื่อบุคคล หนึ่งทำสัญญากับอีกบุคคลหนึ่ง คู่สัญญาย่อมประสงค์ให้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ บทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้จึงมุ่งเน้นบังคับให้คู่สัญญาปฏิบัติการชำระหนี้ให้ ถกู ตอ้ งครบถ้วนตามสญั ญาหรอื ให้อยู่ในลกั ษณะที่ใกลเ้ คยี งตามสญั ญามากท่ีสุด โดยเน้นการบังคับชำระ หนี้โดยเฉพาะเจาะจงเป็นหลัก หากมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงได้ จึงนำวิธีการบังคับชำระหนี้เป็นคา่ สินไหมทดแทนมาใช้เพื่อเยียวยาความเสียหายให้แก่คู่สัญญาอีกฝ่าย หนึ่ง6 ซึ่งสอดคล้องกับหลักกฎหมายทั่วไปที่กำหนดไว้ว่าการชำระหนี้ต้องกระทำโดยสุจริตนั่นเอง7 4 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา 274 “ถา้ คู่ความหรอื บุคคลซง่ึ เป็นฝ่ายแพค้ ดีหรือบุคคลท่ีศาลมีคา พิพากษาหรือคาสั่งให้ชาระหนี้ (ลูกหนี้ตามคาพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคาบังคับที่ออกตามคาพิพากษาหรือคาสั่งของศาล ทั้งหมดหรือบางสว่ น คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่งให้ไดร้ ับชาระหนี้ (เจ้าหน้ี ตามคาพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นตาม บทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคาพิพากษาหรือคาสัง่ และถ้าเจ้าหนี้ตามคาพิพากษาได้ร้องขอให้เจ้าพนักงาน บังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องใดไว้ หรือได้ดาเนินการบังคับคดีโดยวิธีอื่นไว้บางส่วนแล้วภายในระยะเวลา ดงั กลา่ ว กใ็ ห้ดาเนนิ การบงั คับคดแี กท่ รัพยส์ ินหรือสิทธเิ รยี กร้อง หรอื บงั คับคดีโดยวิธีอืน่ นนั้ ตอ่ ไปจนแลว้ เสรจ็ ได.้ ..” 5 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 “เมื่อลูกหนี้ไม่ชาระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อัน แท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายอันเกิดแต่การน้ันก็ได้ ” 6 ม.ร.ว. เสนยี ์ ปราโมช, ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยว์ ่าด้วยนิติกรรมและหนี้ เลม่ 2 (ภาคบรบิ รู ณ์) (กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์อักษรศาสตร์, 2520), 834. 7 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชาระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคน ต้องกระทาโดยสุจริต” 182

“รฐั ประหาร พื้นท่ี พลเมอื ง” ดังนั้นการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับชำระหนี้จึงต้อง ดำเนินการโดยยึดหลกั ความสุจริตเช่นเดยี วกัน นอกจากนี้ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีแพ่งยังเป็นขั้นตอนหนึ่งใน กระบวนการยุติธรรม การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งจึงต้องยึดหลักทั่วไปในการดำเนิน กระบวนการยุติธรรมด้วยเช่นกัน ได้แก่ มีความยุติธรรม มีความสะดวก รวดเร็ว ไม่ลำเอียง สิ้นเปลือง นอ้ ย และไมด่ อ้ ยโอกาส8 ซึง่ สรปุ เป็นหลกั ใหญ่ ๆ ได้สามประการ9 ดงั น้ี 1. หลักความยุติธรรม คือ มุ่งรักษาความเที่ยงธรรมและความเท่าเทียมกัน การบังคับคดีตาม คำพิพากษาและคำส่ังน้ันจะต้องให้สิทธิแกค่ ูค่ วามแต่ละฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ การบังคับคดีต้องมีความเป็นอิสระและมีความเป็นกลาง โดยคำนึงถึงการยุติข้อพิพาทอย่างเป็นธรรม และมีประสิทธภิ าพ 2. หลักความรวดเร็ว คือ การดำเนินคดีตลอดจนการบังคับคดีนั้นต้องเป็นไปโดยรวดเร็ว เนื่องจากในคดีแพ่งเป็นการพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแพ่ง หากกระบวนการ ยุติธรรมเป็นไปอย่างล่าช้า ย่อมทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ช้าลงและทำให้ลูกหนี้ต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่ม มากขึ้น การบังคับคดีจึงต้องกำหนดเวลาให้ชัดแจ้งและเหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับสุภาษิตกฎหมายที่ กลา่ ววา่ “ความลา่ ชา้ คอื การปฏิเสธความยตุ ิธรรม” นนั่ เอง 3. หลักความสะดวก เนอ่ื งจากการบงั คบั คดตี ามคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีแพ่งสว่ นใหญ่ของ ประเทศไทยนั้น เป็นการบังคับคดีที่ต้องดำเนินการโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือโดยศาล ซึ่งเป็นการ ดำเนินการบังคับคดีโดยหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นหน่วยงานของรัฐจึงมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้แก่ คู่ความในคดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดขั้นตอนในการบังคับคดีเพื่อไม่ให้ซับซ้อนยุ่งยากจนเกินไป หรือ เรื่องค่าใชจ้ ่ายในการบังคับคดกี ต็ ้องไมส่ งู จนเกินไปเพื่อป้องกนั ไมใ่ หม้ กี ารบงั คับคดดี ว้ ยตนเอง คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในบางกรณีที่ไม่จำเป็นต้องมีการบังคับคดี บุคคลที่ชนะคดีก็ สามารถนำคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นไปยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตาม คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ เช่น ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากกัน แต่จำเลยไม่ยอมไป จดทะเบียนหย่า เช่นนี้โจทก์สามารถดำเนินการเองได้ โดยนำคำพิพากษาของศาลไปยื่นต่อพนักงาน 8 ไพโรจน์ วายุภาพ, คำอธิบายกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 1 บททั่วไป (กรุงเทพฯ: บริษัทพลสยามปริน้ ต้ิง (ประเทศไทย) จากัด, 2551), 9-10. 9 กนกวรรณ จานเจือ, “ปัญหาความลา่ ช้าในการบังคบั คดแี พง่ หลงั การยึดทรพั ยเ์ พื่อขายทอดตลาด” (วิทยานพิ นธ์นิติ ศาสตรมหาบณั ฑติ คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ 2556), 7-9. 183

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ในการรับจดทะเบียนหย่า ตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. 247810 ซง่ึ เปน็ กรณีท่ีไมต่ ้องมีการบังคับคดอี ย่างใดอีกตอ่ ไป ส่วนคำพิพากษาหรอื คำสั่งของศาลที่จำเป็นต้องมีการบังคับคดีนัน้ แบ่งได้เป็นสองประเภท11 ดังน้ี 1. การบงั คบั คดีทต่ี ้องดำเนนิ การโดยเจ้าพนักงานบังคบั คดี ซง่ึ มีสามกรณี ได้แก่ 1.1 การบังคบั ใหใ้ ชเ้ งนิ 1.2 การบังคบั ใหส้ ง่ คืนหรอื ส่งมอบทรัพย์เฉพาะสง่ิ 1.3 การบงั คบั ขับไล่หรือร้ือถอน 2. การบงั คบั คดที ี่ตอ้ งดำเนนิ การโดยศาล ซึ่งมสี ามกรณีเช่นกนั ไดแ้ ก่ 2.1 การบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษากระทำการ หรืองดเว้นกระทำกา ร นอกเหนือจากการสง่ คนื หรอื สง่ มอบทรัพยเ์ ฉพาะสงิ่ และการขบั ไล่หรอื รือ้ ถอน 2.2 การบงั คบั ให้เจา้ หน้ตี ามคำพิพากษาหรอื บุคคลใดได้มาซ่ึงทรพั ย์สนิ ทีม่ ที ะเบยี น 2.3 การขอใหศ้ าลส่ังจับกุมและกกั ขงั ลูกหนตี้ ามคำพพิ ากษา ดังนั้นการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีแพ่ง ไม่ว่าจะเป็นการบังคับคดีที่ต้อง ดำเนินการโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือทางศาล ถือเป็นสว่ นหนึ่งในการชำระหน้ีและเปน็ ขั้นตอน หนึ่งในกระบวนการยุติธรรมจึงต้องยึดถือหลักความสุจริต ความยุติธรรม ความรวดเร็ว และความ สะดวก เพื่อให้การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีแพ่งประสบผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ของ กฎหมาย 3. การเปล่ยี นแปลงของกฎหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาหรอื คำสั่งในคดีแพ่ง พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2560 ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 โดยกำหนดให้ใช้บงั คับเม่ือพ้นกำหนดหกสบิ วันนบั แต่วันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา แต่ไม่มีผลกระทบถึงกระบวนการพิจารณาของศาลและกระบวนการบังคับคดีของ เจา้ พนกั งานบงั คบั คดีทีไ่ ดก้ ระทำไปแล้วกอ่ นวันทพี่ ระราชบัญญัตนิ ีใ้ ช้บงั คับ 10 เออื้ น ขุนแก้ว, การบงั คับคดีแพง่ (กรุงเทพฯ: บรษิ ัทกรุงสยามพบั ลิชช่ิงจากัด, 2560), 2. 11 จรญั ภกั ดธี นากุล, กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ วา่ ด้วยการบงั คับคดี, 71. 184

“รฐั ประหาร พ้นื ที่ พลเมือง” กฎหมายดังกล่าวได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของ ศาลอย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยการจัดวางโครงสร้างกฎหมายใหม่และแบ่งออกเป็นแปดหมวดหมู่ ส่วนเนื้อหาสาระของกฎหมายใหม่นั้นมีทั้งส่วนที่ยังคงหลักเกณฑ์วิธีการแบบเดิม เพียงแต่มีการแก้ไข รายละเอียดเล็กน้อย และมีบทบัญญัติเดิมบางส่วนที่ถูกยกเลิกเพิกถอนและบัญญัติหลักเกณฑ์วิธีการ แบบใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่งจะได้กล่าวถึงข้อเปลี่ยนแปลงในการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดี แพ่งตามกฎหมายใหม่ ดงั น้ี 3.1 การจัดวางโครงสร้างกฎหมายใหม่ พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบบั ที่ 30) พ.ศ. 2560 เป็นการแก้ไขเพิม่ เติมกฎหมายทั้งลกั ษณะ จึงได้มีการจัดวางโครงสรา้ งกฎหมายใหเ้ ป็นหมวดหมู่ชัดเจน และเป็นลำดับข้นั ตอนมากขน้ึ โดยบทบัญญตั วิ า่ ดว้ ยการบงั คับคดตี ามคำพิพากษาหรือคำสง่ั ถกู แบ่งออก ตามเนอื้ หาสาระเปน็ แปดหมวดใหญ่ ๆ ได้แก่ 3.1.1 หมวด 1 ว่าด้วยหลักทั่วไป ซึ่งบทบัญญัติใหม่สอดคล้องกับหลักกฎหมาย และหลกั ปฏิบตั เิ ดมิ เป็นส่วนใหญ่ แตไ่ ด้มกี ารแกไ้ ขปรับปรงุ หลักกฎหมายท่ีใช้อยู่เดิมใหช้ ัดเจนมากขึ้น12 เช่น 1) เรื่องผู้ที่มีสิทธิขอบังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 274 ได้อธิบายความหมายของคำว่า “ผู้ที่มีสิทธิขอบังคับคดีตามคำพิพากษา” คือ คู่ความหรือบุคคลซึง่ เป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลท่ีศาลมีคำพิพากษาหรือคำสัง่ ให้ได้รับชำระหนี้ (เจ้าหน้ี ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอใหม้ ีการบังคับคดีโดยวิธียดึ ทรัพยส์ นิ อายัดสิทธเิ รียกร้อง หรือบังคับ คดโี ดยวธิ อี นื่ ตามกฎหมายภายในสิบปนี ับแตว่ ันทีม่ ีคำพพิ ากษาหรือคำส่ัง 2) เรื่องศาลที่มีเขตอำนาจในการบังคับคดี ซึ่งในกฎหมายเดิมไม่ได้มีบทบัญญัติ ชดั แจง้ แตก่ ฎหมายใหมไ่ ดอ้ ธิบายหลกั เกณฑ์ในเรือ่ งน้ีไวช้ ัดเจนมากข้นึ ในมาตรา 271 ว่า ศาลที่มอี ำนาจ ในการบังคับคดีซึ่งมีอำนาจกำหนดวิธีการบังคับคดี ตามมาตรา 276 และมีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาด หรือทำคำสั่งในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง คือ ศาลที่ได้พิจารณา และช้ขี าดตัดสินคดใี นชัน้ ต้นหรอื ตามที่มกี ฎหมายบัญญตั ิ 3) เรื่องผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี ซึ่งในกฎหมายใหม่ได้บัญญัตินิยาม ความหมายใหค้ รอบคลมุ มากยิง่ ขึน้ ในมาตรา 287 ว่า บุคคลผู้มสี ่วนไดเ้ สียในการบังคับคดี ได้แก่ เจ้าหนี้ 12 จรญั ภกั ดีธนากลุ , กฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพ่งว่าด้วยการบงั คบั คดี, 70. 185

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา และในกรณีที่มีการอายัดสิทธิเรียกร้อง ให้รวมถึงลูกหนี้แห่ง สิทธิเรียกร้อง ผู้ทรงสิทธิเรียกร้อง หรือผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องนัน้ ด้วย และบุคคลผู้มีทรัพยสิทธิหรือได้ จดทะเบียนสิทธิของตนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดี และบุคคลผู้เป็นเจ้าของรวมหรือบุคคลผู้มี บรุ ิมสิทธิ สิทธิยึดหนว่ ง รวมถึงบคุ คลอืน่ ใดทต่ี อ้ งเสยี หายเพราะเหตแุ หง่ การดำเนินการบงั คับคดนี ้ัน จากบทบัญญัติดังกล่าว การกำหนดนิยามของผู้มีสิทธิขอบังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลที่มี เขตอำนาจในการบังคับคดี และผู้มสี ่วนไดเ้ สียในการบังคับคดี ทำให้กฎหมายมคี วามชัดเจนมากข้ึนและ เปน็ ผลดีในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้มีส่วนไดเ้ สียในการบงั คับคดีที่มีการกำหนดความหมายไว้ครอบคลุม มากกว่ากฎหมายเดิม 3.1.2 หมวด 2 ว่าด้วยกระบวนการวิธีการบังคับคดีในกรณีที่เป็นหนี้เงิน ซึ่งเปน็ กฎหมายที่ใช้กันในทางปฏบิ ัติมากทีส่ ุดและเป็นส่วนสำคัญท่ีสุดของการแก้ไขเพิม่ เตมิ กฎหมายในคร้งั นี้ โดยเรอ่ื งที่มีแก้ไขเพ่ิมเติม ได้แก่ 1) การบัญญัติเรื่องวิธีการบังคับคดีในกรณีที่เป็นการชำระหนี้เงินให้ชัดเจนและ ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยมาตรา 296 กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลกำหนดให้ ชำระเงนิ ใหเ้ จ้าพนักงานบงั คับคดีมอี ำนาจบงั คบั คดีโดยวธิ ียึดทรัพย์สินของลูกหน้ีตามคำพิพากษา หรือ อายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่จะเรียกให้บุคคลภายนอกชำระเงินหรือส่งมอบหรือ โอนทรพั ยส์ ิน หรอื ชำระหน้ีอย่างอ่นื หรอื ขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวธิ อี ืน่ ซึ่งทรัพย์สินที่ได้มาจาก การยึดหรอื การอายัดหรือซงึ่ สทิ ธิเรยี กร้องทไี่ ด้อายัดไว้13 2) การบัญญัติเรื่องวธิ ีการปฏิบัตใิ นกรณีท่ีทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้ตาม คำพิพากษาอ้างว่าเป็นของลูกหนีต้ ามคำพิพากษา ซึ่งมีชื่อบุคคลอื่นเป็นเจ้าของในทะเบียนหรือปรากฏ ตามหลักฐานอย่างอื่นว่าเป็นของบุคคลอื่น แต่เจ้าหนี้ยืนยันให้ยึดหรืออายัด จึงได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม บทบัญญัติมาตรา 298 ให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้การดำเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดีรัดกุมและ มีประสิทธภิ าพมากยิ่งข้นึ 14 โดยเจา้ พนักงานบังคับคดีจะทำการยึดทรพั ยส์ ินหรอื อายัดสิทธิเรียกร้องนั้น 13 สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, “ตารางเปรยี บเทยี บบทบัญญัตลิ กั ษณะ 2 การบังคับตามคาพพิ ากษาหรอื คาส่ัง ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่งฉบับเดิมกับพระราชบัญญัตแิ กไ้ ขเพ่ิมเตมิ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ (ฉบบั ที่ 30) พ.ศ. 2560”, 44, สืบคน้ เมอ่ื วันที่ 16 พฤษภาคม 2562, http://www.krisdika.go.th 14 สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี า, “ตารางเปรียบเทียบบทบัญญัติลกั ษณะ 2 การบงั คบั ตามคาพพิ ากษาหรอื คาสัง่ ตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพง่ ฉบับเดิมกบั พระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพ่มิ เติมประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพ่ง (ฉบบั ที่ 30) พ.ศ. 2560”, 46-47. 186

“รฐั ประหาร พ้นื ที่ พลเมอื ง” หรอื จะส่ังงดการยึดหรือการอายัดก็ได้ ในกรณที สี่ งั่ งด ให้เจา้ พนกั งานบังคับคดมี ีคำส่ังหา้ มการโอน ขาย ยักย้าย จำหน่าย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือเปลี่ยนแปลงซ่ึงสิทธิในทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นไว้ ก่อน 3) การแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับประเภทของทรัพย์สินและจำนวนทุนทรัพย์ที่ไม่อยู่ ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบันเพื่อคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้ตาม คำพิพากษา15 เช่น ในบทบัญญัติมาตรา 301 กำหนดให้เครื่องนุ่งห่มหลับนอน เครื่องใช้ในครัวเรือน หรือเครื่องใช้สอยส่วนตัว โดยประมาณรวมกันราคาไม่เกินประเภทละสองหมื่นบาท ไม่ตกอยู่ในความ รับผิดแห่งการบังคับคดี ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายเดิมที่กำหนดราคาไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงจะไม่อยู่ใน ความรับผิดแห่งการบังคับคดี และในมาตรา 302 ซึ่งกำหนดว่า เบี้ยเลี้ยงชีพซ่ึงกฎหมายกำหนดไว้ ส่วน เงินรายได้เป็นคราว ๆ ซึ่งบุคคลภายนอกได้ยกให้เพื่อเลี้ยงชีพนั้น จำนวนไม่เกินเดือนละสองหมื่นบาท หรือตามจำนวนท่เี จา้ พนกั งานบังคับคดเี ห็นสมควร ไม่ตกอยใู่ นความรับผดิ แหง่ การบงั คับคดี ซง่ึ แตกตา่ ง จากกฎหมายเดิมทกี่ ำหนดจำนวนไมเ่ กินเดอื นละหนึ่งหมน่ื บาท 4) การบัญญัติขั้นตอนและกระบวนการในการยึดหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ไว้ อยา่ งชัดเจนเป็นการเฉพาะในมาตรา 305 เนื่องจากหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันนั้นอาจจะ ไม่มีการออกหลักฐานเป็นหนังสือให้แก่เจา้ ของหลักทรพั ย์ หรือที่เรียกว่าระบบ Scripless ประกอบกับ หลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์สินที่มีการเปลี่ยนมือได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง บัญญัติถึงวิธีการและกระบวนการในการยึดให้สอดคล้องกับระบบการโอนกรรมสิทธิ์ในหลักทรพั ย์ที่ใช้ อยใู่ นปจั จุบนั 16 ซึ่งทำใหก้ ารบังคบั คดีกบั หลักทรัพยข์ องลกู หนต้ี ามคำพพิ ากษามปี ระสทิ ธิภาพมากขน้ึ 5) การเพ่ิมหลักการบงั คบั คดใี หมไ่ ว้ในมาตรา 306-311 เพ่อื กำหนดวิธีการยึดต๋ัวเงิน หรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด การยึดหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือบริษัทจำกัด การยึดทรัพย์สินทาง ปัญญาที่มีการจดทะเบียนไว้แล้ว รวมถึงการยึดทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งไม่มีการจดทะเบียนหรือยงั มิได้ ดำเนินการทางทะเบียน การยึดสิทธิการเช่าทรัพย์สินหรือสิทธิที่จะได้ใช้บริการต่าง ๆ การยึดสิทธิตาม ใบอนุญาตต่าง ๆ หรือสัมปทาน ซึ่งในกฎหมายเดิมไม่ได้บัญญัติเรื่องดังกล่าวไว้ ถือเป็นการแก้ไข กฎหมายใหม้ ีความทันสมยั และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจบุ ันได้เป็นอย่างดี 3.1.3 หมวด 3 ว่าด้วยการบังคับคดีที่ศาลพิพากษาให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์ เฉพาะสิ่ง ซึ่งเป็นการบัญญัติหลักกฎหมายใหม่ทั้งหมด โดยกำหนดอำนาจและขั้นตอนการดำเนินการ 15 เรอ่ื งเดียวกนั , 50-52. 16 เร่ืองเดียวกนั , 55-56. 187

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะบังคับเอากับทรัพย์เฉพาะสิ่ง โดยกำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมี อำนาจยึดสังหาริมทรพั ย์เฉพาะสิ่งท่ตี ้องคืนแกเ่ จ้าหน้ีตามคำพิพากษาหรือสง่ มอบเพ่อื ชำระหนี้ตามสิทธิ เรียกร้องแกเ่ จ้าหนี้ตามคำพิพากษา โดยมีเหตุผลในการเพิ่มเติมหลักการนี้ขึ้นเพราะกรณกี ารบังคับเอา กับทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นไม่มีกฎหมายกำหนดรายละเอียดไว้จะมีเพียงมาตรา 276 วรรคสาม ที่ให้ศาล กำหนดวิธีการในหมายบังคับคดีเท่าที่สภาพแห่งการบังคับคดีจะเปิดช่องให้กระทำได้ ซึ่งในทางปฏิบัติ เดิมก็จะยึดเพ่อื ขายและนำเงินมาชำระหน้ี ดังน้นั การบังคับคดใี ห้ส่งคืนหรือส่งมอบสังหารมิ ทรัพย์เฉพาะ สิ่ง จึงต้องสร้างกระบวนการคุ้มครองสิทธิไว้ต่างหากจากเรื่องการนำทรัพย์ที่ยึดหรืออายัดออกขาย ทอดตลาดทรัพย์เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ รวมถึงการบัญญัติวิธีปฏิบัติในกรณีที่ทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นถูก เจา้ หนีใ้ นคดีอืน่ ยึดหรอื อายัดไวอ้ ยู่ก่อนแลว้ ด้วย17 3.1.4 หมวด 4 วา่ ดว้ ยการบังคบั คดขี บั ไล่หรอื ร้อื ถอน บทบัญญตั ิส่วนใหญ่ตรงกับ หลักกฎหมายเดิมและมีการแก้ไขเพิม่ เติมในรายละเอียดเลก็ นอ้ ยเท่านน้ั 3.1.5 หมวด 5 ว่าด้วยการบังคับคดีที่ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการ บทบัญญัติในส่วนนี้มีการแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ให้สามารถบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ครบถ้วน มากขึน้ 3.1.6 หมวด 6 ว่าดว้ ยการบงั คบั คดีตามคำพพิ ากษาท่ใี ห้เจา้ หน้ีตามคำพิพากษา หรือบุคคลใดได้มาซึ่งทรัพย์สินที่มีทะเบียน โดยมีการกำหนดหลักการใหม่ในมาตรา 360 เพื่อแก้ไข ปัญหาเรื่องคำพิพากษาไม่ผูกพันเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมทะเบียนให้ต้องปฏิ บัติตามคำพิพากษาเพราะ เจา้ หน้าทผี่ ู้ควบคุมทะเบียนถือเปน็ คนนอกคดี ทำใหไ้ ม่สามารถบงั คับคดใี ห้มปี ระสิทธิภาพได้ จงึ กำหนด บทบัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีคำขอให้ศาลสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมทะเบียนดำเนินการจด ทะเบียนให้เป็นไปตามคำสั่งศาลได้ โดยศาลมีอำนาจออกใบแทนหนังสือสำคัญที่จะต้องใช้เพื่อการจด ทะเบียนใหด้ ้วยก็ได1้ 8 3.1.7 หมวด 7 ว่าด้วยการขอให้ศาลสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งบทบญั ญตั ิสว่ นใหญ่ตรงกับหลักกฎหมายเดิม 17 สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, “ตารางเปรยี บเทยี บบทบญั ญัติลักษณะ 2 การบงั คบั ตามคาพิพากษาหรอื คาส่ัง ตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพ่งฉบับเดิมกับพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพ่ง (ฉบับท่ี 30) พ.ศ. 2560”, 92-93. 18 จรญั ภักดธี นากลุ , กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ ว่าด้วยการบงั คบั คดี, 70-71. 188

“รัฐประหาร พื้นท่ี พลเมอื ง” 3.1.8 หมวด 8 ว่าด้วยการบังคับคดเี อาแก่ผู้ประกันในศาล เพื่อการชำระหน้ีตาม คำพิพากษาหรือคำสั่ง หรือการปฏิบัติตามคำสั่งศาลในกรณีอื่น ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติให้มี ขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมมากข้ึน 3.2 การเพิ่มมาตรการปอ้ งกนั การประวิงการบังคบั คดตี ามคำพิพากษาหรอื คำสง่ั การบงั คบั คดตี ามคำพิพากษาหรือคำส่งั ในคดีแพ่งน้นั เป็นข้นั ตอนหนึง่ ในกระบวนการยุติธรรม จึงตอ้ งดำเนินการบังคับคดตี ามหลักความยุตธิ รรม ความรวดเรว็ และความสะดวกดว้ ยเช่นกนั อุปสรรค หนึ่งในการบังคับคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว คือ ในระหว่างดำเนินการบังคับคดี คู่ความสามารถย่ืนคำร้อง คัดค้านกระบวนการต่าง ๆ ได้ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ อันเป็นการคุ้มครองสทิ ธขิ องคู่ความอย่างหนง่ึ แต่ทำให้เกิดปัญหาประวิงการบังคับคดีโดยอาศัยการยื่นคำร้องคัดค้านตามกฎหมายนั่นเอง กฎหมาย ใหม่จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรการป้องกันการประวิงการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งไว้หลาย กรณี19 ไดแ้ ก่ 3.2.1 การยื่นคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีที่ผิดระเบียบโดยไม่มีมูล ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295 วรรคห้าและวรรคหก โดยกำหนดว่า ในกรณีที่คำ บังคับ หมายบังคับคดี หรือคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อ ประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องเพิกถอนหรือแก้ไขคำบังคับ หมายบังคับคดี หรือคำสั่ง ดังกล่าวนั้น หรือกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืน กฎหมาย ในการย่ืนคำร้องดังกลา่ ว หากมีพยานหลักฐานเบ้ืองตน้ แสดงวา่ คำร้องนัน้ ไม่มีมูลและย่ืนเขา้ มาเพื่อประวิงให้ชักช้า ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ยื่นคำร้องวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจำนวนและ ภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตาม คำพิพากษาหรือบุคคลนั้นสำหรับความเสียหายที่อาจได้รับจากการยื่นคำร้องนั้น ถ้าผู้ยื่นคำร้องไม่ ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องนั้นเสีย ส่วนเงินหรือประกันที่วางไว้ต่อศาลดังกล่าว เม่ือ ศาลเหน็ ว่าไม่มีความจำเปน็ ต่อไป จะสัง่ คนื หรือยกเลิกประกนั นน้ั ก็ได้ ในกรณีที่ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องขอเพิกถอนการบงั คับคดีที่ผิดระเบียบ ถ้าบุคคลที่ ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการย่ืนคำร้องดังกลา่ วเห็นว่าคำรอ้ งนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพ่ือประวิงให้ ชักชา้ บุคคลดงั กล่าวอาจยนื่ คำร้องตอ่ ศาลภายในสามสิบวันนับแตว่ นั ที่มีคำส่ังยกคำร้อง เพื่อขอให้ศาล สั่งให้ผู้ยื่นคำร้องนั้น ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้แยกการพิจารณา 19 เรื่องเดียวกนั , 75. 189

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 เป็นสำนวนต่างหากจากคดีเดิม และเมื่อศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าคำร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ยื่น คำร้องนน้ั ชดใชค้ า่ สินไหมทดแทนให้แก่บุคคลทไี่ ด้รับความเสียหายดังกล่าวตามจำนวนท่ีศาลเหน็ สมควร ถา้ ผยู้ ่นื คำรอ้ งนัน้ ไมป่ ฏิบตั ติ ามคำสั่งศาล บคุ คลท่ไี ดร้ ับความเสยี หายอาจรอ้ งขอใหศ้ าลบงั คบั คดีแก่ผู้ย่ืน คำรอ้ งนั้นเสมือนหนึง่ ว่าเปน็ ลกู หน้ตี ามคำพิพากษา 3.2.2 การยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดโดยไม่มีมูล ตามประมวลกฎหมาย วิธพี จิ ารณาความแพ่ง มาตรา 323 วรรคสแี่ ละวรรคหา้ ไดก้ ำหนดมาตรการป้องกันการประวงิ การบังคับ คดีในกรณีที่มีการย่นื คำรอ้ งขอให้ปล่อยทรัพย์ท่ถี ูกยดึ หรือการย่นื คำร้องขดั ทรัพย์ไว้ว่า โจทกห์ รือเจา้ หนี้ ตามคำพพิ ากษาอาจยน่ื คำร้องว่าคำร้องขอนั้นไม่มีมูลและย่ืนเข้ามาเพ่ือประวิงการบงั คบั คดี เมื่อปรากฏ พยานหลักฐานเบื้องต้นว่าคำร้องนั้นฟังได้ ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้กล่าวอ้างวางเงินหรือหาประกันต่อศาล ตามจำนวนและภายในระยะเวลาทศี่ าลเหน็ สมควร เพือ่ เป็นประกนั การชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ หรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสำหรับความเสียหายที่อาจได้รับจากการยื่นคำรอ้ งขอนั้น ถ้าผู้กล่าวอ้างไม่ ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ส่วนเงินหรือประกันที่วางไว้ต่อ ศาลดังกล่าว เมื่อศาลเหน็ ว่าไม่มีความจำเป็นตอ่ ไป จะส่ังคืนหรอื ยกเลิกประกันน้ันก็ได้ ในกรณที ่ศี าลได้มคี ำสั่งยกคำร้องขอใหป้ ล่อยทรัพยท์ ี่ถูกยึด ถา้ โจทก์หรือเจ้าหนี้ตาม คำพิพากษาที่ได้รับความเสยี หายเนื่องจากการยื่นคำร้องขอดังกล่าวเห็นว่าคำร้องขอนั้นไม่มีมูลและย่นื เขา้ มาเพอ่ื ประวงิ การบงั คับคดี บคุ คลดงั กล่าวอาจย่นื คำร้องต่อศาลภายในสามสบิ วันนับแต่วันท่ีศาลได้ มีคำสั่งยกคำรอ้ งขอเพอ่ื ขอให้ศาลส่งั ใหผ้ กู้ ล่าวอา้ งชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทนสำหรับความเสยี หายท่ีเกิดขึ้น แก่ตนได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้แยกการพิจารณาเป็นสำนวนต่างหากจากคดีเดิม และ เมื่อศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าคำร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้กล่าวอ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม จำนวนที่ศาลเห็นสมควรถ้าบคุ คลดังกล่าวไม่ปฏบิ ัติตามคำส่ังศาล โจทก์หรือเจา้ หนี้ตามคำพิพากษาอาจ รอ้ งขอใหศ้ าลบงั คับคดีแก่บุคคลนนั้ เสมือนหนึง่ ว่าเป็นลกู หนี้ตามคำพิพากษา 3.2.3 การยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งอายัดโดยไม่มีมูล ตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง มาตรา 325 วรรคสี่และวรรคหก ได้กำหนดมาตรการป้องกันการประวิงการบังคับ คดี กล่าวคือ ในระหวา่ งการพิจารณาคำรอ้ งคัดค้านคำส่งั อายัด เจา้ หนีต้ ามคำพิพากษาอาจยื่นคำร้องว่า คำร้องคัดค้านนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงการบังคับคดี เมื่อปรากฏพยานหลักฐานเบื้องต้นว่า คำร้องนั้นฟังได้ ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ร้องคัดค้านวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจำนวนและภายใน ระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร เพื่อเป็นประกันการชำระเงินค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา สำหรับความเสียหายที่อาจได้รับจากการยื่นคำร้องคัดค้านนั้น ถ้าผู้ร้องคัดค้านไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล 190

“รัฐประหาร พนื้ ท่ี พลเมอื ง” ให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคำร้องคัดค้าน ส่วนเงินหรือประกันที่วางไว้ต่อศาลดังกล่าว เมื่อศาลเห็นว่าไม่มี ความจำเป็นตอ่ ไป จะส่งั คืนหรอื ยกเลิกประกันนน้ั กไ็ ด้ ในกรณีที่คำร้องคัดค้านคำสั่งอายัดไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงการบังคับคดี เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำร้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้อง คัดคา้ น เพื่อขอให้ศาลสงั่ ใหผ้ รู้ ้องคดั ค้านชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดข้ึนแก่ตนได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้แยกการพิจารณาเป็นสำนวนต่างหากจากคดีเดิม และเมื่อศาล ไต่สวนแล้วเห็นว่าคำร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องคัดค้านชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนท่ี ศาลเห็นสมควร ถ้าบุคคลดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจร้องขอให้ศาล บังคบั คดีแกบ่ ุคคลน้ันเสมอื นหน่ึงวา่ เป็นลกู หนีต้ ามคำพพิ ากษา จากบทบญั ญตั ทิ ั้งสามกรณีดังกล่าวข้างต้นน้ี แสดงให้เห็นถึงจุดม่งุ หมายของการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือ คำสั่ง โดยการกำหนดมาตรการป้องกันการประวิงการบังคับคดี โดยเฉพาะในกรณีที่มีการยื่นคำร้อง คัดค้านต่าง ๆ เข้ามาในระหว่างการดำเนินการบังคับคดี ซึ่งถือเป็นการคุ้มครองสิทธิของคู่ความในคดี แพง่ ประการหน่งึ แตเ่ พ่อื มิให้การคมุ้ ครองสทิ ธดิ ังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคในการบงั คับคดเี สียเอง อันจะ ส่งผลให้การบังคับคดีต้องหยุดชะงักลงหรือทำให้การบังคับคดีล่าช้าเกินสมควร นอกจากนี้บทบัญญัติ คุ้มครองสิทธิดังกล่าวยังกำหนดให้ผู้ยื่นคำร้องคัดค้านต่าง ๆ ต้องวางเงินหรือหาประกันต่อศาลนั้น ซึ่ง เปน็ การเพ่ิมมาตรการในการป้องกันและเยียวยาผไู้ ด้รับผลกระทบจากกระบวนการดังกล่าวไปในตัวด้วย เช่นกัน จึงถือได้ว่ากฎหมายใหม่กำหนดมาตรการเหล่านี้เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของ คูค่ วามและการป้องกนั การประวงิ การบงั คับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสงั่ ของศาล แต่ในทางปฏิบัติอาจ เกิดปัญหาในกรณีท่ีผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการบังคับคดีที่ผิดระเบียบ หรือยื่นคำร้องขอให้ปล่อย ทรพั ยท์ ถี่ กู ยดึ หรอื ย่ืนคำรอ้ งคดั ค้านคำส่ังอายัดน้ันมีมูลตามข้อคัดค้านจรงิ แตผ่ ้รู ้องในกรณีดังกล่าวไม่ มีเงินหรือหลักประกันเพียงพอที่จะนำมาวางศาลตามคำสั่งของศาล กฎหมายกำหนดให้ศาลจะต้องมี คำส่ังจำหน่ายคำรอ้ งของผูร้ ้องและดำเนินการบังคับคดีตอ่ ไป ในกรณีเช่นน้ีอาจทำใหผ้ ู้รอ้ งซึ่งเป็นลูกหนี้ ตามคำพพิ ากษาหรอื เป็นผู้มีส่วนได้เสียไมไ่ ด้รับความคมุ้ ครองสทิ ธิตามเจตนารมณข์ องกฎหมาย 3.3 การปรับปรุงวธิ ีการขายทอดตลาด ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งใหม่ได้มีการปรับปรุงกระบวนการในการขาย ทอดตลาดให้เหมาะสมกับลักษณะของทรัพย์ในแต่ละประเภท และเป็นไปโดยรวดเร็วและมี ประสิทธิภาพสูงสุด จึงได้มีการแก้ไขบทบัญญัติในมาตรา 331 ซึ่งกำหนดว่า เมื่อได้ยึดทรัพย์สินหรือ 191

CMU Journal of Law and Social Sciences Vol.12 No. 2 อายัดสิทธิเรียกร้องทั้งหมดหรือบางส่วนของลูกหน้ีตามคำพิพากษา หรือได้มีการส่งมอบทรัพย์สินตาม สิทธิเรียกร้องที่ถูกอายัดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ถ้าไม่มีเหตุสมควรงดการบังคับคดีไว้ก่อน ให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์และกฎกระทรวงว่าด้วยการนั้นหรือตามที่ศาลมีคำสั่งกำหนด หรือขายโดยวิธีการทาง อิเลก็ ทรอนิกสต์ ามทีก่ ำหนดในกฎกระทรวง ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้อง แจ้งกำหนดวัน เวลา และสถานที่ซึ่งจะทำการขายทอดตลาดให้บรรดาผู้มีส่วนได้เสยี ในการบังคับคดีซ่ึง ปรากฏตามทะเบียนหรือประการอื่นได้ทราบด้วย โดยจะทำการขายทอดตลาดในวันหยุดงานหรือใน เวลาใด ๆ นอกเวลาทำการปกติก็ได้ ทั้งน้ี กำหนดวนั และเวลาขายดงั กล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวัน นบั แตว่ นั ยึด อายัด หรอื ส่งมอบทรพั ย์สนิ นนั้ เพื่อให้การขายทอดตลาดเป็นไปด้วยความเที่ยงธรรม บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมี สิทธิเต็มที่ในการเข้าสู้ราคาเองหรือหาบุคคลอื่นเข้าสู้ราคาเพื่อให้ได้ราคาตามที่ตนต้องการ และเม่ือ เจา้ พนักงานบงั คับคดีเคาะไม้ขายใหแ้ กผ่ เู้ สนอราคาสูงสดุ แลว้ หา้ มมิใหบ้ ุคคลผมู้ สี ว่ นได้เสียในการบังคับ คดีทั้งหลายหยิบยกเรื่องราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดมีจำนวนต่ำเกินสมควรมาเป็นเหตขุ อให้มีการ เพกิ ถอนการขายทอดตลาดนนั้ อีก จากบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายใหม่ได้ปรับปรุงวิธีการขาย ทอดตลาด โดยมีสาระสำคญั 20 ดังน้ี (1) การกำหนดใหเ้ จา้ พนักงานบงั คบั คดีต้องแจง้ กำหนดวัน เวลา และสถานทซ่ี งึ่ จะทำการขาย ทอดตลาดให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบ โดยกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่ วนั ยึด อายัด หรอื ส่งมอบทรัพยส์ ินน้ัน (2) การยกเลิกหลักการที่กำหนดให้ผู้เสนอราคาสูงสุดต้องผูกพันกับการเสนอราคาเป็น ระยะเวลาสามสบิ วนั นับแต่วนั ทเ่ี สนอราคานน้ั (3) การกำหนดให้บคุ คลผู้มสี ว่ นได้เสียในการบังคับคดีมสี ิทธเิ ต็มที่ในการเขา้ สู้ราคาในการขาย ทอดตลาดได้ดว้ ยตวั เองหรือหาบุคคลอ่ืนเข้าสู้ราคาเพ่อื ให้ได้ราคาตามที่ตนตอ้ งการ ดังน้ันจึงห้ามมิให้มี การหยิบยกเรื่องราคาต่ำเกินสมควรมาเป็นเหตุขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดอีกต่อไป ซึ่งถือว่าเปน็ 20 สานกั งานคณะกรรมการกฤษฎกี า, “ตารางเปรียบเทยี บบทบญั ญตั ลิ ักษณะ 2 การบังคบั ตามคาพพิ ากษาหรือคาส่ัง ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ ฉบับเดมิ กับพระราชบัญญตั ิแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพง่ (ฉบับท่ี 30) พ.ศ. 2560”, 78-79. 192

“รัฐประหาร พนื้ ท่ี พลเมือง” การแก้ไขปัญหาเรื่องการประวิงการบังคับคดีโดยอาศัยช่องทางในการยื่นคำร้องคัดค้านการ ขายทอดตลาดราคาตำ่ เกินสมควรไปดว้ ยในตัว ดังนี้ แม้การห้ามมิให้มีการหยิบยกเรื่องราคาต่ำเกินสมควรมาเป็นเหตุขอให้เพิกถอนการ ขายทอดตลาดตามบทบญั ญัติดังกล่าวนน้ั มคี วามม่งุ หมายที่จะแกไ้ ขปัญหาเร่อื งการประวิงการบังคับคดี และทำให้กระบวนการบังคับคดีรวดเร็วมากขึ้น แต่ในทางกลับกันก็ทำให้ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำ พิพากษาถกู ขายทอดตลาดโดยกระบวนการทง่ี ่ายยิ่งขึ้นเช่นกัน อนั เปน็ ผลเสียแกล่ กู หนี้ตามคำพิพากษา มากขน้ึ 4. บทสรุป การบงั คับคดตี ามคำพิพากษาหรือคำสงั่ ในคดีแพ่งนั้นเป็นขนั้ ตอนหน่งึ ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่ศาลได้พิจารณาคดีเสร็จและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว หากคำพิพากษาหรือ คำสั่งของศาลนั้นจำเป็นต้องมีการบังคับคดีแก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ศาลต้องออกคำบังคับทันทีที่ได้ อ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น21 ซึ่งในคำบังคับจะกำหนดถึงวิธีการที่ลูกหนี้ตาม คำพิพากษาต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งระบุระยะเวลาและเงื่อนไข อื่น ๆ ในการชำระหนี้โดยชัดแจ้ง22 หากสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับแล้ว แต่ลูกหนี้ตามคำ พิพากษายังไม่ได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลให้มีการ บงั คับคดโี ดยวธิ ียึดทรัพยส์ ิน อายัดสทิ ธเิ รยี กรอ้ ง หรอื บังคับคดีโดยวิธอี ่นื ๆ ภายในสิบปีนบั แต่วันท่ีศาล มีคำพพิ ากษาหรือคำสงั่ เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือ คำสั่งนั้นได้บังคับใช้มาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจและสังคมใน ปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จึงทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวมีข้อขัดข้องหลาย ประการ ไม่อาจอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จำเป็นต้องมี 21 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ มาตรา 272 “ถา้ ศาลไดม้ คี าพพิ ากษาหรอื คาส่งั อยา่ งใดซง่ึ ต้องมีการบังคับ คดีแก่ลกู หนีต้ ามคาพิพากษากใ็ ห้ศาลออกคาบังคับทันทที ไ่ี ดอ้ า่ นหรอื ถอื วา่ ไดอ้ า่ นคาพิพากษาหรือคาส่ังนั้น และให้ถือวา่ ลกู หนี้ ตามคาพพิ ากษาได้ทราบคาบังคบั แลว้ ในวนั นนั้ ...” 22 ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา 273 “ถา้ ในคาบงั คับไดก้ าหนดให้ใช้เงิน หรอื ให้ส่งทรัพย์สิน หรือ ให้กระทาการ หรืองดเว้นกระทาการอย่างใด ๆ ให้ศาลระบุไว้ในคาบังคับนั้นโดยชัดแจ้ง ซึ่งระยะเวลาและเงื่อนไขอื่น ๆ อัน จะต้องใช้เงิน ส่งทรัพย์สิน กระทาการ หรืองดเว้นกระทาการใด ๆ นั้น แต่ถ้าเป็นคดมี โนสาเร่ ศาลไม่จาต้องให้เวลาแกล่ ูกหนี้ ตามคาพิพากษาเกนิ กวา่ สบิ หา้ วนั ในอนั ทจี่ ะปฏบิ ัติตามคาพพิ ากษาหรอื คาสั่งนัน้ ...” 193


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook