บทท่ี 4 ขอ้ มลู ขา่ วสารของราชการทหี่ า้ มเปดิ เผยและ ขอ้ มลู ขา่ วสารของราชการทไ่ี มอ่ าจเปดิ เผย พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 บัญญัติบทบัญญัติในส่วนของ “ข้อมูลข่าวสาร ของราชการที่ไม่อาจเปิดเผย” ซง่ึ เป็นข้อยกเว้นของสิทธิการขอเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารของราชการ หน่วยงานของ รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ครอบครองข้อมูลข่าวสารนั้นสามารถใช้ดุลยพินิจ (Discretion) ปฏิเสธคาขอดูข้อมูล ข่าวสารของราชการนั้นได้ ซึ่งโดยหลักความเป็นจริง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของ ทางราชการได้ทั้งหมด เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการอาจสร้างผลกระทบและความเสียหาย เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ได้กาหนดสิทธิการได้รู้ข้อมูล ขา่ วสาร บนหลกั ทวี่ ่า “เปดิ เผยเป็นหลัก ปกปดิ เปน็ ขอ้ ยกเว้น” ดังนัน้ การไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ เปน็ เพยี งขอ้ ยกเว้นและปกปิดไดเ้ ท่าท่ีจาเป็นตามท่ีกฎหมายกาหนดไว้เท่านั้น พระราชบัญญตั ขิ อ้ มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กาหนดให้ขอ้ มูลขา่ วสารของราชการบางประเภท ไม่สามารถเปดิ เผยได้ไว้ในมาตรา 14 และมาตรา 15 คือ 1.ข้อมูลข่าวสารของราชการท่ีไม่เปิดเผยเดด็ ขาด และ 2. ข้อมลู ขา่ วสารของราชการที่ไมต่ ้องเปิดเผยโดยใช้ดลุ ยพินิจได้แก่ 1.ข ้ อ ม ู ล ข ่ า ว ส า ร ท ี ่ อ า จ ก ่ อ ค ว า ม เ ส ี ย ห า ย ต ่ อ ส ถ า บั น พระมหากษัตรยิ ์ (ไม่เปิดเผยเดด็ ขาด) พระราชบัญญัตขิ อ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 14 บัญญัตวิ ่า “ข้อมูลข่าวสารของราชการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จะเปิดเผย มิได”้ บทบัญญัตินี้เนื่องจากสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหลักของสังคมไทยและเป็นที่เคารพสักการะ ของประชาชนและย่อมได้รับการคุ้มครองเพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบัน จึงกาหนดเป็นข้อยกเว้นที่เป็น ข้อยกเว้นอย่างเด็ดขาดว่า ข้อมูลข่าวสารใดที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จะเปิดเผย ไมไ่ ด้อยา่ งเด็ดขาด
ผศ.บญุ ชู ณ ป้อมเพ็ชร | 97 กรณนี ้ขี อ้ มลู ขา่ วสารของราชการประเภทนี้เป็นการห้ามเปิดเผยเด็ดขาดซึ่งหมายความวา่ หากเจ้าหน้าที่ ผู้พิจารณาเห็นว่า ถ้าเปิดเผยไปแล้ว เพียงแต่อาจจะก่อให้เกิดความเสียหาย โดยไม่จาเป็นต้องเกิดความเสียหาย จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่จาต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวแล้ว ไม่ต้องพิจารณาหรือชั่งน้าหนักว่า หากเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารที่จะมีผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นออกไปแล้ว จะเป็นประโยชน์สาธารณะหรือเป็น ประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่ ซึ่งต่างจากข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 15 ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอานาจ ในการใช้ดุลยพนิ จิ 1 เช่นเดียวกันมีการอธิบายในส่วนนี้ถึงการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 14 ว่า2 บทบัญญัติใน มาตรานี้กาหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ เช่น สานวนการสอบสวนของพนกั งานสอบสวนในคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท เป็นตน้ เจ้าหน้าท่ขี องรัฐไม่มีอานาจดุลยพินิจที่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการที่ อยู่ในครอบครองได้ แตอ่ ยา่ งไรก็ตามอาจมีประเด็นถกเถียงหรือความเห็นแตกตา่ งกันไดว้ ่า ขอ้ มลู ข่าวสารท่ีอยู่ใน ความครอบครองของหน่วยงานรัฐตามที่ประชาชนรอ้ งขอนัน้ เป็นข้อมูลข่าวสารที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ อันเป็นกรณีที่ต้องวินิจฉัยองค์ประกอบส่วนเหตุว่าตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้น การตคี วามองคป์ ระกอบทางกฎหมายอันเป็นองค์ประกอบส่วนเหตุและการสรปุ ความหมายองคป์ ระกอบส่วนเหตุ ดังกลา่ วมีความหมายอย่างไร และการปรบั ขอ้ เท็จจรงิ คือ ขอ้ มลู ขา่ วสารท่หี น่วยงานของรัฐมีไว้ในครอบครองเข้า กับองค์ประกอบทางกฎหมายในองค์ประกอบส่วนเหตุนั้นว่า ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นข้อมูลข่าวสารของ ราชการท่ีอาจก่อให้เกิดความเสียหายตอ่ สถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ แต่ถา้ ตคี วามองค์ประกอบทางกฎหมาย อันเป็นองคป์ ระกอบส่วนเหตแุ ล้วปรบั ข้อเท็จจริงเข้าองค์ประกอบทางกฎหมายว่า ข้อมูลขา่ วสารท่หี น่วยงานของ รัฐมีไว้ในครอบครองอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่มีอานาจใช้ ดุลยพินจิ เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐมีหนา้ ท่ีเพียงประการเดียวคือ การปฏเิ สธไม่เปิดเผยขอ้ มูลขา่ วสารให้ประชาชนตามที่ ร้องขอ ข้อน่าสังเกตประการหนึ่ง คือ พระราชบัญญัตินี้ใช้คาว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” จึงมีความหมาย ครอบคลุมกว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หมวดพระมหากษัตริย์ ที่มุ่งคุ้มครองเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์เป็น หลัก หรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่บทบัญญัติตามพระราชบัญญัตินี้มุ่งคุ้มครองสถาบัน พระมหากษัตริย์ ซึ่งรวมถึงภาพลักษณข์ องสถาบันพระมหากษัตริยใ์ นภาพกวา้ งด้วย 1ฤทัย หงส์สริ ิและมานติ ย์ จมุ ปา.อา้ งแล้ว,หนา้ 44. 2 สมชยั วัฒนการุณ.อ้างแล้ว,หนา้ 58.
98 | กฎหมายขอ้ มลู ขา่ วสารของทางราชการ 2.ข ้อม ูลข ่าวสารของราชการที่ม ีล ักษณะตามมาตรา 15 (ไมเ่ ปิดเผยโดยมดี ลุ ยพนิ ิจ) ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มลี ักษณะตามมาตรา 15 การจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นหรือไม่ เป็นดุลย พินิจของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอาจมีคาสั่งเปดิ เผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้โดยคานึงถึงการปฏิบตั ิ หน้าที่ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนมาประกอบการพิจารณา ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มี ลักษณะตามมาตรา 15 พระราชบญั ญัตินีบ้ ญั ญตั ไิ วว้ ่า “มาตรา 15 ขอ้ มลู ข่าวสารของราชการท่ีมลี ักษณะอยา่ งใดอย่างหนงึ่ ดังตอ่ ไปน้ี หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำส่ังมิให้เปดิ เผยกไ็ ด้ โดยคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าทีต่ ามกฎหมายของ หนว่ ยงานของรฐั ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนทเี่ ก่ยี วข้องประกอบกนั (1)การเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ หรือความม่ันคงในทางเศรษฐกจิ หรือการคลังของประเทศ (2)การเปิดเผยจะทำให้การบังคบใช้กฎหมายเสือ่ มประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสำเร็จตาม วัตถุประสงค์ได้ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการฟ้องคดี การป้องกัน การปราบปราม การทดสอบ การ ตรวจสอบ หรอื การรู้แหลง่ ทีม่ าของข้อมลู ข่าวสารหรือไมก่ ็ตาม (3)ความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงรายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อมูลข่าวสารที่นำมาใชใ้ นการทำ ความเหน็ หรือคำแนะนำภายในดังกล่าว (4)การเปิดเผยจะกอ่ ให้เกดิ อนั ตรายต่อชีวติ หรือความปลอดภยั ของบุคคลหนงึ่ บุคคลใด (5)รายงานการแพทย์หรือข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลซึ่งการเปิดเผยจะเป็นการรุกลำ้ สิทธิ สว่ นบุคคลโดยไมส่ มควร (6)ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผย หรือข้อมูลข่าวสารที่มี ผู้ให้มาโดยไม่ประสงคใ์ หท้ างราชการนำไปเปิดเผยต่อผอู้ น่ื (7)กรณีอืน่ ตามท่ีกำหนดในพระราชกฤษฎีกา คำส่ังมใิ ห้เปิดเผยขอ้ มูลขา่ วสารของราชการจะกำหนดเงือ่ นไขอยา่ งใดก็ได้ แต่ต้องระบุไวด้ ้วยวา่ ที่ เปิดเผยไม่ไดเ้ พราะเป็นขอ้ มูลข่าวสารประเภทใดและเพราะเหตุใด และใหถ้ ือวา่ การมคี ำสง่ั เปดิ เผย ข้อมูลข่าวสารเป็นดุลยพินิจโดยเฉพาะของเจ้าหน้าที่รัฐ ตามลำดับสายการบังคับบัญชา แต่ผู้ขอ อาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินจิ ฉัยการเปิดเผยข้อมลู ขา่ วสารไดต้ ามท่ีกำหนดในพระราชบัญญัติ น”้ี พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ได้บัญญัติถึงข้อมูลข่าวสารของราชการบาง ประเภทที่อาจมีคาสั่งไม่เปิดเผยหรือสมควรสงวนไว้มิให้เปิดเผย ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 15 (1)-(7) ซึ่งบัญญัติวา่
ผศ.บุญชู ณ ปอ้ มเพช็ ร | 99 หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าทร่ี ฐั อาจมีคาสั่งไม่เปิดเผยก็ได้ คอื เจ้าหนา้ ที่ของรฐั สามารถใช้ดุลยพินิจทจี่ ะมีคาสั่ง ไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารประเภทนี้ได้ มาตรา 15 ถือเป็นดุลยพินิจที่เจ้าหน้าที่ต้องใช้ในการวินิจฉัย ไม่ได้ หมายความว่า ต้องไม่เปิดเผยทุกกรณี แต่ปัจจุบันนี้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนของเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าเป็นกรณีตาม มาตรา 15 หนว่ ยงานของรัฐต้องไมเ่ ปิดเผยเทา่ นน้ั ซึง่ ไมใ่ ชเ่ จตนารมณ์ของมาตรา 15 ทแี่ ทจ้ ริง การพิจารณาท่เี ปดิ เผยหรือไม่เปิดเผยข้อมลู ขา่ วสารตามมาตรา 15 มีหลักเกณฑ์การพิจารณาวา่ 1.เปน็ ขอ้ มลู ข่าวสารทจ่ี ะเขา้ ขอ้ ยกเว้นตามมาตรา 15 หรอื ไม่ 2.เมื่อเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 15 จะใช้ดุลยพินิจในการเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้น เมื่อ พิจารณาเหตตุ ่าง ๆ ทเี่ จ้าหน้าทข่ี องรฐั อาจอา้ งขนึ้ เพือ่ ไม่ใหเ้ ปดิ เผยข้อมลู ข่าวสารของรฐั ตามมาตรา 15 นี้ จะเห็น ไดว้ ่าตามกฎหมาย อาจแยกเหตดุ ังกล่าวออกได้เปน็ 2 ประเภทใหญๆ่ ไดแ้ ก่3 (1)เหตุที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ เช่น เหตุตาม (1) (2) และ (3) เรื่องความมั่นคงของประเทศ การบงั คับใช้กฎหมาย และความเหน็ และคาแนะนาภายในหน่วยงาน เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารดังกล่าว อาจกระทบต่อประโยชนท์ ีส่ าคัญของประเทศ (2)เหตทุ เี่ กยี่ วข้องกับประโยชนข์ องเอกชนทเี่ กี่ยวข้อง เชน่ เหตตุ าม (4) (5) และ (6) เร่อื งความปลอดภัย ต่อชวี ติ ของบคุ คล ข้อมูลขา่ วสารส่วนบุคคล และข้อมลู ขา่ วสารท่ีกฎหมายคุ้มครองหรือเอกชนท่ีให้มาไม่ประสงค์ จะให้เปิดเผยต่อบุคคลอื่น เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวอาจกระทบต่อประโยชน์ที่สาคัญของ เอกชนท่เี ก่ียวข้อง ข้อยกเว้นที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคาสั่งไม่เปิดเผยตามพระราชบัญญัติข้อมูล ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 มีดังนี้ (1) ขอ้ มลู ขา่ วสารเกย่ี วกับความมัน่ คงของประเทศ มาตรา 15 (1) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ หรือความมนั่ คงในทางเศรษฐกจิ หรอื การคลังของประเทศ ความมั่นคงของประเทศเป็นเรื่องที่มีความสาคัญของรัฐ เพราะการตั้งอยู่ของรฐั ขึ้นกับมั่นคง และความ ไม่มั่นคงย่อมนาไปสู่การล่มสลายของรัฐ ความมั่นคงของประเทศเป็นหลักประกันสาคัญว่าประชาชนในรัฐจะ ดารงชีวิตไดอ้ ย่างปกตสิ ขุ คาว่า “ความมัน่ คงของประเทศ” มคี วามหมายทีก่ ว้างท่ีรวมถึง ความมั่นคงภายในประเทศ ความมั่นคง ทางการทหาร ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ความสาคัญ ซึ่งหากจะพิจารณาโดยองค์รวมแล้วจะมีความหมาย กว้างรวมไปถึงความมั่นคงในทุก ๆ ด้าน เช่น การปกครองภายในประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การทหาร เศรษฐกิจ สังคม จิตวิทยา วิทยาการ สิ่งแวดล้อม4 ณ จุดนี้ คือ ต้องแยกความมั่นคงของรัฐกับความ มัน่ คงของรฐั บาล ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง เพราะรฐั บาลไม่ใช่รฐั ดงั น้นั เม่อื การเปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารของราชการ 3 ฤทัย หงส์สิริและมานิตย์ จุมปา.อ้างแล้ว,หน้า 55. 4 ชยั วัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์,อ้างแลว้ .หน้า 16.
100 | กฎหมายขอ้ มลู ขา่ วสารของทางราชการ จะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐอย่างเจาะจงจึงเป็นเรื่องที่อันตรายต่อการดารงอยู่ของรัฐและประชาชน จึงไม่ ควรทจ่ี ะตอ้ งเปิดเผย พระราชบญั ญตั นิ ้กี าหนดเรือ่ งขอ้ มูลข่าวสารเกี่ยวกับความม่นั คงไว้ 3 ประเภท คอื 5 1.ข้อมูลข่าวสารที่การเปิดเผยจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เช่น แผนป้องกัน หรือต่อต้านกอง กาลังต่างชาติ ในกรณีที่ประเทศไทยถูกโจมตี รายงานการสืบสวนเกี่ยวกับขบวนการก่อการร้าย ที่อาจเข้ามา ปฏบิ ัตกิ ารในประเทศไทย เป็นตน้ 2.ขอ้ มลู ข่าวสารทกี่ ารเปิดเผยจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศ เชน่ ขอ้ มูลข่าวสารท่ีมีเน้ือหา เกี่ยวกับเรื่องปัญหาการบรหิ ารงานภายในของประเทศอ่ืน เป็นต้น การเปิดเผยอาจทาให้เกิดความเข้าใจผิดได้วา่ เปน็ การแทรกแซงกิจการภายในของอกี ประเทศหนึ่งได้ 3.ข้อมูลข่าวสารที่การเปิดเผยจะกระทบต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการคลัง ของประเทศ เช่น ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และกลยุทธ์ในการบริหาร อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมี วัตถุประสงค์ในการรักษา เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวอาจก่อให้เกิด การแสดงหากาไรจากอัตราแลกเปลย่ี น ซ่ึงอาจเปน็ อันตรายต่อเสถยี รภาพ ของระบบเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตาม การนิยามว่า ข้อมูลข่าวสารของรัฐประเภทใดคือความม่ันคงของประเทศ เป็นเรื่องที่ยาก ที่จะกาหนดนิยามให้มีความชัดเจน กฎหมายนี้จึงกาหนดให้เป็น “ดุลยพินิจวินิจฉัย” ของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะ ตคี วาม นอกจากนเี้ จา้ หนา้ ท่ขี องรฐั ยังตอ้ งตีความต่อไปวา่ 6 ความสาคัญของข้อมูลขา่ วสารนน้ั เปน็ เร่อื งท่สี าคัญจน กระทบกับความมนั่ คง “ระดบั ประเทศ” จริงหรอื ไม่ คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค. 1/2546 ผูอ้ ทุ ธรณ์ยื่นอุทธรณ์ขอเปิดเผยข้อมลู การซ้ือขายข้าวระหว่างรัฐบาล ไทยกับรัฐบาลเกาหลีเหนือและข้อตกลงแลกเปลี่ยนตามสัญญาจากกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการ ต่างประเทศปฏิเสธการให้ข้อมูลดังกล่าว ผู้อุทธรณ์จึงยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูล ข่าวสาร คณะกรรมการวนิ ิจฉัยการเปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้ กฎหมาย วนิ ิจฉัยว่า การเปิดเผยข้อมูลและรายละเอียดในสัญญาดังกลา่ วมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเปน็ ความลบั ทางการคา้ จึงไมต่ ้องเปิดเผยตามมาตรา 15 (1) คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมายที่ สค. 11/2558 ผู้อุทธรณ์มีหนังสือถึงกรมขนส่งทางอากาศขอข้อมลู เอกสารว่าจ้าง การขนส่งโดยรถยนต์บรรทุกขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 ถึงปัจจุบัน การขนส่งทางอากาศปฏิเสธ การใหข้ อ้ มลู ดงั กล่าวและชีแ้ จงวา่ ขอ้ มูลท้งั หมดเป็นภารกิจด้านยุทธการทั้งหมด มขี ้อมูลเกี่ยวกับการเคล่ือนย้าย ยุทโธปกรณ์ ยุทธปัจจัยความพร้อมรบของกองทัพอากาศ หากเปิดเผยจะทาให้ทราบเส้นทางการขนส่งทางบก 5 คมู่ ือ การปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัตขิ ้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของเจา้ หน้าทรี่ ฐั ,สานกั คณะกรรมการ ข้อมูลข่าวสารของราชการ,กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทศรเี มืองการพมิ พ์,พ.ศ. 2548.หน้า 15-16. 6สานกั งานคณะกรรมการขอ้ มลู ข่าวสารของราชการ.สทิ ธกิ ารรบั ร้ขู อ้ มูลข่าวสารของประชาชนตามพระราชบญั ญตั ิ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540. ชลบุรี : บริษัท ไฟน์ พรนิ ท์เทค จำกดั .ธันวาคม 2552, หนา้ 27.
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพ็ชร | 101 สถานที่รับ-ส่งพัสดุที่เป็นพื้นที่หวงห้ามว่าเป็นยุทธภัณฑ์ประเภทใด อยู่ที่ใด สามารถพิจารณาขีดความสามารถ การปฏิบัตหิ นา้ ทใี่ นชว่ งเวลาต่าง ๆ ได้ ทาให้ความสามารถในการปอ้ งกันประเทศลดลง คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นข้อมูลข่าวสารที่หากเปิดเผย ตอ่ เอกชนแล้วจะมีผลกระทบต่อความม่ันคงและการปฏิบัติหนา้ ที่ จงึ เป็นข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผยตามมาตรา 15 (1) คำวินจิ ฉัยคณะกรรมการวนิ ิจฉัยการเปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารสาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ ที่ ศค. 4/2542 อุทธรณ์เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงว่า นาย ก. (ผู้อุทธรณ์) ได้มีหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอทราบข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหนังสือประกอบหนังสอื แสดงเจตจานงทุกฉบับ ธนาคารแห่งประเทศไทย ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลตามคาขอ โดยให้เหตุผลว่าว่า อาจมีผลกระทบต่อความม่ันคงในทางเศรษฐกิจนโยบาย การคลังของประเทศ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินและนโยบายอัตรา แลกเปลีย่ น ซึ่งเปน็ ขอ้ มลู ทีห่ ากเปิดเผยไปแล้วอาจจะทาให้การปฏิบัติตามหนังสอื เจตจานงนั้น ๆ ไม่บรรลุผลและ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ ตามมาตรา 15 (1) แห่ง พระราชบญั ญัตขิ อ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ ได้วินิจฉัยว่า คาสั่งไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคาขอของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยอ้างว่า “อาจมีผลกระทบต่อความ มัน่ คงในทางเศรษฐกิจนโยบายการคลังของประเทศ เนื่องจากเป็นเรอื่ งท่ีเกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขปัญหาสถาบัน การเงินและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นข้อมูลที่หากเปิดเผยไปแล้วอาจจะทาให้การปฏิบัติตามหนังสือ เจตจานงนั้น ๆ ไม่บรรลุผลและจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจและการคลังของ ประเทศ ตามมาตรา 15 (1) แห่งพระราชบัญญัตขิ ้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540” สามารถรับฟงั ได้หรือไม่ โดยคณะกรรมการวนิ ิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ พจิ ารณาว่า การไม่ เปิดเผยรายละเอียดในหนังสือประกอบหนังสอื แสดงเจตจานงจะเปน็ ประโยชนต์ ่อสาธารณะมากกว่าการเปิดเผย ด้วยเหตผุ ลดงั ต่อไปนี้ 1.ข้อความเกี่ยวกับนโยบายบริหารอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกบี้ยในหนังสือประกอบหนังสือแสด งอจนจานง เปน็ การกาหนดหลักเกณฑ์ และกลยุทธ์ในการบริหารอัตราแลกเปล่ียนเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษา เสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและระบบเศรษฐกิจ การเปิดเผยข้อความในหนังสือดังกล่าว จะก่อให้เกิดการ แสวงหากาไรจากอตั ราแลกเปลี่ยน ซ่ึงจะเปน็ อนั ตรายอยา่ งรุนแรงต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ 2.การปรับโครงสร้างทางการเงินหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินเป็นเรื่องการสถาปนา ความเชื่อมั่นและความมั่นคงในระบบสถาบันการเงินของประเทศในปัจจุบันและอนาคต การเปิดเผยข้อความใน หนังสือดังกลา่ วในขณะท่มี าตรการต่าง ๆ ยงั อยู่ในระหว่างการดาเนินการหรือกาลังจะดาเนินการ จะบ่ันทอนต่อ ประสิทธิผลของการดาเนินงานแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินและส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของ สถาบันการเงินทั้งระบบ
102 | กฎหมายข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ 3.สาหรับกรณีการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนนั้น หากยังอยู่ในโครงการกองทุนการเงินระหว่าง ประเทศ (IMF) ก็ไม่สมควรจะเปิดเผย เนื่องจากมาตรการบางอย่างยังอยู่ในระหว่างการดาเนินการ หรือยังมิได้ ยกเลิกการดาเนินการ การเปิดเผยข้อความดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและระบบเศรษฐกิจของ ประเทศได้ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นข้อมูลข่าวสารที่หากเปิดเผย ต่อเอกชนแล้วจะมีผลกระทบต่อความม่ันคงและการปฏิบัติหนา้ ท่ี จงึ เปน็ ข่าวสารท่ีไมต่ ้องเปิดเผยตามมาตรา 15 (1) คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อตุ สาหกรรมและการเกษตร ท่ี วท 5/2561 อุทธรณเ์ ร่ืองน้ีได้ความวา่ นาย ก. ผูอ้ ุทธรณ์ไดม้ ีหนังสือลงวันที่ 18 ตลุ าคม 2560 และวันท่ี 8 ธันวาคม 2560 ถงึ การรถไฟฟ้าขนสง่ มวลชนแหง่ ประเทศไทยขอขอ้ มูลข่าวสารเก่ียวกับ การจ้างงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้าเงินในเรื่องแบบแปลนประกอบการเบิกจ่ายค่างานรื้อย้ายระบบสื่อสาร ตั้งแต่งวดแรกถงึ งวดสุดท้าย คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมและ การเกษตร พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารรายการแบบแปลนประกอบการเบิกจ่ ายค่างานรื้อย้าย ระบบสื่อสารตั้งแต่งวดแรกถึงงวดสุดท้าย พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นข้อมูลข่าวสารซึ่งมีความสาคัญเป็นโครงขา่ ย ขนาดใหญ่โดยมีการให้บริการลูกค้าทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชน ซึง่ หากเปิดเผยอาจจะกระทบต่อความม่ันคงและ เป็นความลับทางการค้า ข้อมูลข่าวสารมีรายละเอียดเกี่ยวกับแบบแปลนโครงข่ายสื่อสารของประเทศหากข้อมูล ถกู เปดิ เผยและนาไปใช้ในทางมิชอบ เช่น การสรา้ งความวุน่ วายในบ้านเมือง โดยการตดั การเช่อื มต่อ การลักลอบ ดักฟัง จะทาให้เกิดผลกระทบต่อบริการสาธารณะในวงกว้าง และจะกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และ ความมนั่ คงในทางเศรษฐกิจ ซึ่งยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลงั จงึ เห็นวา่ ขอ้ มูลข่าวสารดังกล่าวหากเปิดเผย อาจกระทบต่อความมั่นคงและความปลอดภัยสาธารณะตามมาตรา 15 (1) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. 2540 การทก่ี ารรถไฟฟ้าขนสง่ มวลชนแหง่ ประเทศไทย ปฏเิ สธการให้ข้อมลู ขา่ วสารในส่วนนี้จึง ชอบแล้ว คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาต่างประเทศและความมั่นคงของ ประเทศ ที่ ตม 1/2560 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า นาย ก. ผู้อุทธรณ์ ตาแหน่งวิศวกรโยธาชานาญการ สานัก นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ได้มีหนังสือลงวันที่ 20 ธันวาคม 2559 ถึงปลัดกระทรวงคมนาคม ขอคัด สาเนาทีม่ ีคารับรองถูกต้องของขอ้ มลู ขา่ วสารดังต่อไปนี้ 1.บันทกึ ความเขา้ ใจวา่ ด้วยความร่วมมือระหวา่ งรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแหง่ สาธารณรัฐ ประชาชนจีน (MOU) ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การ พฒั นาโครงสร้างพื้นฐานดา้ นการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558-2565 2.บนั ทกึ ความเขา้ ใจวา่ ด้วยความรว่ มมือระหวา่ งรัฐบาลไทยกบั รัฐบาลญีป่ ุ่น (MOU) ภายใต้การพจิ ารณา โครงสรา้ งพ้ืนฐานทางรถไฟของประเทศไทย
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพช็ ร | 103 สานกั งานปลัดกระทรวงคมนาคม มหี นังสือด่วนท่สี ดุ ที่ คค 0201/199 ลงวนั ท่ี 11 มกราคม 2560 ถึงผู้ อทุ ธรณช์ ้แี จง ดงั นี้ 1.บนั ทกึ ความเขา้ ใจวา่ ด้วยความรว่ มมือระหวา่ งรัฐบาลแหง่ ราชอาณาจักรไทยกับรฐั บาลแหง่ สาธารณรัฐ ประชาชนจีน (MOU) ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การ พัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558-2565 กระทรวงคมนาคมไมส่ ามารถเปิดเผย ขอ้ มลู ดงั กล่าวได้ เน่อื งจากข้อมูลยังไม่ได้ข้อยุติและเอกสารท่ีขอเป็นเอกสารการลงนามระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล ขณะนี้ประเทศไทยโดยกระทรวงคมนาคมยังมีประเทศคู่เจรจาอื่นอีก เช่น ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่น ๆ ที่ให้ความ สนใจเข้าร่วมลงทุนกับประเทศไทย เช่น สาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ดังนั้น หากมีการ เผยแพร่ขอ้ มูลไปยังคสู่ ัญญาของประเทศไทยในอนาคตอาจมีผลกระทบต่อความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศได้ ซ่ึงไม่ เป็นผลดีต่อรัฐบาลไทย 2.บนั ทกึ ความเข้าใจวา่ ด้วยความรว่ มมอื ระหว่างรฐั บาลไทยกับรัฐบาลญ่ีปุ่น (MOU) ภายใต้การพจิ ารณา โครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทย กระทรวงคมนาคมขอชี้แจงว่า แม้ประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นจะ ได้ข้อยุติในการเจรจาแล้วและอยู่ระหว่างดาเนินความร่วมมือตามบันทึกความเข้าใจ ซึ่งการเปิดเผยบันทึกความ เข้าใจฯ อาจทาให้มีผลกระทบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศคู่เจรจาอื่น ๆ ได้ หากมีการนา ข้อตกลงมาเปรยี บเทียบซึ่งไม่เป็นผลดตี ่อประเทศไทย ขณะน้มี ีความรว่ มมอื ดา้ นระบบรางกับประเทศต่าง ๆ อาทิ สาธารณรฐั ฝร่ังเศส สหพนั ธส์ าธารณรฐั เยอรมนั ดังนัน้ จึงเหน็ ว่า ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลในข้อ 1 และ 2 ซงึ่ เปน็ ไปตามมาตรา 15 (1) แห่งพระราชบัญญัติ ขอ้ มลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ พจิ ารณาแล้วมีความเหน็ ดงั น้ี 1.ตามมาตรา 4 วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 บญั ญัตวิ ่า ข้อมูล ขา่ วสารของราชการ หมายความว่า ข้อมลู ข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดาเนินงานของรัฐ หรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอกชน ดังนั้นบันทึกความ เข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (MOU) ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558-2565 และบันทกึ ความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลญี่ปุ่น (MOU) ภายใต้การพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทย จึงเป็นข้อมูลข่าวสาร ของราชการตามมาตรา 4 แห่งพระราชบญั ญตั ดิ ังกลา่ ว 2.ตามมาตรา 11 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 บัญญัติว่า นอกจากข้อมูลข่าวสารท่ีลงพิมพ์ในราชกจิ จานุเบกษาแล้ว หรือทจี่ ดั ไว้ใหป้ ระชาชนเข้าตรวจดูได้แล้ว หรอื ที่มีการ จัดให้ประชาชนได้ค้นคว้าตามมาตรา 26 แลว้ ถ้าบคุ คลใดขอข้อมูลข่าวสารอื่นใดของราชการและคาขอของผู้น้ัน ระบุข้อมูลข่าวสารที่ต้องการในลักษณะที่อาจเข้าใจได้ตามควร ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบจัดหาข้อมูล
104 | กฎหมายข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ ข่าวสารน้ันให้แก่ผู้ขอในเวลาอันสมควร เว้นแต่ผนู้ ้ันจะขอจานวนมากหรือบอ่ ยคร้ังโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และ มาตรา 15 (1) บัญญัติว่าข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ หน่วยงานของรัฐ หรือเจา้ หน้าทข่ี องรัฐอาจมคี าส่ังมิให้เปิดเผยก็ได้ โดยคานึงถึงการปฏิบัตหิ นา้ ท่ีตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชนข์ องเอกชนที่เก่ียวข้องประกอบกนั (1)การเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ความมนั่ คงของประเทศ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างประเทศ หรือความมน่ั คงในทางเศรษฐกิจหรอื การคลังของประเทศ นั้น เม่อื พจิ ารณาประกอบกับคาช้แี จงของกระทรวงคมนาคม คณะกรรมการฯ จึงมีความเห็น ดงั นี้ 2.1.ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 คือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่ง ราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (MOU) ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานทางรถไฟ ของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558- 2565 มีสาระสาคัญเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในเส้นทางที่กาหนด เพ่ือใหเ้ รม่ิ ก่อสร้างได้ในปี 2559 และให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพ่ือกากับดูแลการดาเนินการตามบันทึกดงั กล่าว ประกอบบันทกึ ความเขา้ ใจฯ ดังกลา่ วไม่ใช่สนธิสัญญาเนื่องจากมไิ ด้ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใตบ้ ังคับของกฎหมาย ระหว่างประเทศ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสาระสาคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวมีการเผยแพร่อยู่ ในเวบไซต์ของกระทรวงคมนาคมอยู่แล้ว อกี ทง้ั กระทรวงคมนาคมไม่สามารถชีแ้ จงให้เห็นได้วา่ การเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารตามอุทธรณ์อาจจะมีผลกระทบต่อการดาเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว หรืออาจทาให้ ประเทศไทยจะเสียหรือลดอานาจในการเจรจาต่อรองกับประเทศอืน่ ๆ หรืออาจจะมีผลกระทบต่อความสัมพนั ธ์ ระหว่างประเทศได้อย่างไรแล้ว ฉะนั้น การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าจะก่อให้เกิดความ เสียหายต่อความม่ันคงของประเทศ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ หรอื ความม่ันคงในทางเศรษฐกิจหรือการคลัง ของประเทศ ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ส่วนการที่กระทรวง คมนาคมอา้ งว่า ขณะน้ปี ระเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนยังอยรู่ ะหว่างการเจรจาหาข้อยุติในรายละเอียด ของโครงการ คณะกรรมการฯ เห็นว่า ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวไม่ใช่ข้อมูลข่าวสารที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอ จึงไม่มี ประเด็นต้องพิจารณา คณะกรรมการฯได้พิเคราะห์ถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน จึงเห็นว่าข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 ตาม อุทธรณส์ ามารถเปิดเผยให้ผอู้ ุทธรณ์ทราบได้ตามมาตรา 15 แหง่ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 2.ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 2 คือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาล ญป่ี ุ่น (MOU) ภายใต้การพิจารณาโครงสร้างพ้ืนฐานทางรถไฟของประเทศไทย มสี าระสาคัญเกี่ยวกับกรอบความ ร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาการขนส่งระบบรางของประเทศไทย โดยการศึกษาวิจัย หรือให้ ข้อเสนอแนะต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมการขนส่งระบบรางในเส้นทางที่กาหนด และการให้บริการขนส่งสินค้าทางราง รวมทั้งจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระดับคณะรัฐมนตรีเพื่อกากับดูแลการ ดาเนินงานตามบันทึกแสดงเจตจานงฯ ดังกลา่ ว ประกอบบันทึกความเข้าใจฯ ดังกลา่ วไม่ใช่สนธิสัญญาเน่ืองจาก มิได้ก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งกระทรวงคมนาคมไม่สามารถชี้แจงให้
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพ็ชร | 105 เห็นได้ว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์อาจจะมีผลกระทบต่อการดาเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว หรืออาจทาให้ประเทศไทยจะเสียหรือลดอานาจในการเจรจาต่อรองกับประเทศอื่น ๆ หรืออาจจะมี ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างไรแล้ว ฉะนนั้ การเปดิ เผยข้อมูลขา่ วสารดังกลา่ วไม่อาจถือได้ ว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือความมั่นคงในทาง เศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการฯได้พิเคราะห์ถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และ ประโยชน์ของเอกชนท่ีเก่ียวข้องประกอบกัน จงึ เห็นวา่ ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 2 ตามอทุ ธรณ์สามารถเปิดเผยให้ ผอู้ ทุ ธรณ์ทราบได้ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญตั ขิ ้อมูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาต่างประเทศและความมั่นคงของ ประเทศ ท่ี ตม 2/2560 อุทธรณเ์ รอ่ื งน้ีไดค้ วามว่า บรษิ ัท ก. จากดั โดยนาย ก. ผอู้ ุทธรณ์ได้มีหนังสือลงวันท่ี 19 กันยายน 2559 ถึงเจ้ากรมขนส่งทางอากาศ เพื่อขอสาเนาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการจัดจ้างขนส่งโดยรถยนต์ บรรทุกประเภทและขนาดต่าง ๆ ตามที่กรมขนส่งทางอากาศได้ดาเนินการจัดจ้างตามระเบียบสานัก นายกรฐั มนตรีว่าดว้ ยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และทแ่ี ก้ไขเพ่ิมเติม ตัง้ แต่วันที่ 1 ตลุ าคม 2557 ถงึ วนั ท่ี 30 กันยายน 2559 ดังน้ี 1.รายงานขอจ้างขนส่งโดยรถยนต์บรรทุกประเภทและขนาดต่าง ๆ ซึ่งเป็นรายงานที่เจ้าหน้าที่ ผู้รับผิดชอบงานพสั ดุต้องปฏิบัติตามระเบียบสานักนายกรฐั มนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และทแ่ี กไ้ ขเพิม่ เติม ข้อ 27 2.รายงานของคณะกรรมการที่ได้รายงานผลการพิจารณาจัดจ้างขนส่งโดยรถยนต์บรรทุกประเภทและ ขนาดต่าง ๆ ต่อเจ้ากรมขนส่งทางอากาศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้ากรมขนส่งทางอากาศ ตามระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรวี า่ ด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และทีแ่ กไ้ ขเพมิ่ เติม ข้อ 34 3.ใบสั่งจา้ งนิติบคุ คลหรือบคุ คลผู้ที่ไดร้ ับการวา่ จ้างในดาเนินการขนส่ง รวมทั้งใบสั่งจ้างบริษัท ก. จากัด ด้วย กรมขนส่งทางอากาศมีหนังสือ ที่ กห 0636/1552 ลงวันที่ 8 มีนาคม 2560 ถึงผู้อุทธรณ์แจ้งว่า ข้อมูล ข่าวสารตามคาขอของผู้อุทธรณ์มีจานวน 424 เรื่อง เปิดเผยได้จานวน 226 เรื่อง และมิให้เปิดเผยจานวน 198 เร่อื ง เน่อื งจากเป็นข้อมูลขา่ วสารตามมาตรา 15 (1) และ (6) แหง่ พระราชบัญญัตขิ อ้ มลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาต่างประเทศและความมั่นคงของประเทศ พิจารณาแล้วมคี วามเห็น ดังนี้ 1.ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 คือ รายงานขอจ้างขนส่งโดยรถยนต์บรรทุกประเภทและขนาดต่าง ๆ และ ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 2 คือ รายงานของคณะกรรมการที่ได้รายงานผลการพิจารณาจัดจ้างขนส่งโดยรถยนต์ บรรทุกประเภทและขนาดต่าง ๆ ต่อเจ้ากรมขนส่งทางอากาศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้า ที่แทน เจ้ากรมขนสง่ ทางอากาศ ตามระเบยี บสานกั นายกรัฐมนตรวี า่ ด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และทีแ่ ก้ไขเพิม่ เตมิ ต้ังแต่
106 | กฎหมายข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ วันท่ี 1 ตุลาคม 2557 ถึงวนั ท่ี 30 กนั ยายน 2559 จานวน 198 เร่ือง เป็นขอ้ มลู ขา่ วสารเกย่ี วกับการปฏบิ ตั ิหน้าที่ ในการจัดหาพัสดุของหน่วยงานของรัฐซึ่งหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนเข้า ตรวจดไู ดต้ ามประกาศคณะกรรมการข้อมลู ขา่ วสารของราชการ ลงวันท่ี 27 มกราคม 2559 เรอ่ื งกาหนดใหข้ ้อมูล ข่าวสารตามเกณฑม์ าตรฐานความโปร่งใสและตวั ช้วี ัดความโปร่งใสของหน่วยงานของรัฐ เปน็ ข้อมลู ขา่ วสารที่ต้อง จัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ ตามมาตรา 9 วรรคหน่งึ (8) แหง่ พระราชบัญญัติข้อมลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ดังนั้น ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องเปิดเผยให้ผู้อุทธรณ์ทราบ เว้นแต่ข้อมูล ข่าวสารเฉพาะที่เกี่ยวกับอาวุธและยุทธภัณฑ์ทางทหาร สิ่งวัสดุอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจทาง ยุทธการของกองทัพอากาศ อุปกรณ์สรรพาวุธ ชิ้นส่วนอากาศยาน และยุทธภัณฑ์ การเปิดเผยจะเสียหายต่อ ความมน่ั คงของประเทศ ตามมาตรา 15 (1) แหง่ พระราชบัญญัตขิ อ้ มูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 2.ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 3 คือ ใบสั่งจ้างให้ดาเนินการขนส่งที่กรมขนส่งทางอากาศได้ดาเนินการจัด จ้างตามระเบียบสานักนายกรฐั มนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และท่ีแก้ไขเพ่มิ เติม ตัง้ แต่วนั ที่ 1 ตลุ าคม 2557 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2559 จานวน 198 เรื่อง เป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐที่ได้ ดาเนินการเสร็จส้ินแล้วและเป็นการปฏิบัตริ าชการตามปกตขิ องหน่วยงานซึง่ ต้องคานึงถึงหลักความโปร่งใส และ ประชาชนสามารถขอดูหรือตรวจสอบได้สมควรได้รับการคุ้มครองสิทธิในการรบั รู้ข้อมูลข่าวสารตามรัฐธรรมนญู และพระราชบัญญัตขิ ้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ดังน้นั พิเคราะหถ์ ึงการปฏิบัติหนา้ ที่ตามกฎหมายของ หน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกันแล้ว เห็นว่า ข้อมูล ข่าวสารตามอุทธรณ์สามารถเปิดเผยให้ผู้อุทธรณ์ทราบได้ เว้นแต่ข้อมูลข่าวสารเฉพาะที่เกี่ยวกับอาวุธและ ยุทธภัณฑ์ทางทหาร สิ่งวัสดุอุปกรณ์เพ่ือสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจทางยุทธการของกองทัพอากาศ อุปกรณ์ สรรพาวุธ ชิ้นส่วนอากาศยาน และยุทธภัณฑ์ การเปิดเผยจะเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ตามมาตรา 15 (1) แหง่ พระราชบญั ญตั ิขอ้ มูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 (2) ข้อมลู ข่าวสารของราชการท่ีเกี่ยวกบั การบงั คับใชก้ ฎหมาย มาตรา 15 (2) การเปิดเผยจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสำเร็จได้ ตามวัตถุประสงค์ได้ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการฟ้องคดี การป้องกัน การปราบปราม การทดสอบ การตรวจสอบ หรือการรู้แหล่งทมี่ าของขา่ วสารหรอื ไม่ก็ตาม หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตารวจทางยุติธรรม (Police) หรือตารวจทาง ปกครอง (Police Administrative) มีอานาจและหน้าที่หลักคือการบังคับใช้กฎหมายให้เป็นรูปธรรม กลไกการ บงั คับใช้กฎหมายท่ีเกิดข้ึนจึงถกู บังคบั ผา่ นหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ซง่ึ การบงั คับใชก้ ฎหมายจะกระ ทาได้หรือไม่ขึ้นกับกลไกการบังคับของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นข้อมูลข่าวสารของราชการใดที่เปิดเผยแล้วจะทาให้ผล ของการบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่อาจสาเร็จตามวัตถุประสงค์ พระราชบัญญัตินี้จึงกาหนดว่า กรณนี หี้ นว่ ยงานของรฐั หรือเจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐอาจไม่เปิดเผยข้อมลู น้ันก็ได้ ข้อมูลข่าวสารตามข้อนี้มีหลักว่า เป็นกรณีที่การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารจะทาให้การบังคับใช้กฎหมาย เส่ือมประสิทธิภาพ หมายถงึ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นจะเกิดผลกระทบกับการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง
ผศ.บญุ ชู ณ ปอ้ มเพช็ ร | 107 ๆ ของรัฐ เมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นเนื่องจากหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ที่ดาเนินงาน โดยอาศยั อานาจหน้าท่ีตามบทบัญญัตขิ องกฎหมายการเปิดเผยขอ้ มูลขา่ วสารจะทาให้การบงั คับใช้กฎหมายเส่ือม ประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาจากหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นผู้ดาเนินการนั้นเองว่า เกิดผลกระทบหรอื ไม่ เรื่องที่การทาให้การบังคับใชก้ ฎหมายไม่เกดิ ผลนั้น กฎหมายไม่ได้จากัดว่าต้องเป็นเรื่องประเภทใดอาจ เก่ยี วกับการฟ้องคดี การป้องกนั การปราบปราม การทดสอบ การตรวจสอบ หรอื แหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสารก็ ได7้ ตวั อย่างเช่น ข้อมูลเก่ียวกบั สายลับของทางราชการในการลอ่ ซอื้ ยาเสพติด8 คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ท่ี สค 2/2543 อุทธรณเ์ รอ่ื งน้ีได้ความว่า นาย ก. (ผอู้ ุทธรณ)์ ดารงตาแหน่งรองปลัด กระทรวงการคลัง ช่วยราชการสานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นขอข้อมูลเกี่ยวกับสานวนเอกสารคาให้การ และพยานหลักฐานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ป.ป.ป.เดิม) ที่ชี้มูลความผิดในกรณีโครงการที่ราชพัสดุบริเวณ สถานีขนส่งหมอชิตของกรมธนารักษ์ จากสานักงาน ป.ป.ช. และสานวนเอกสารคาให้การพยานหลักฐานและ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย กระทรวงการคลัง ได้ปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว โดยให้เหตุผลตามมาตรา 15 วรรคแรก (2) (4) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กล่าวคือ การเปิดเผยจะทาให้การบังคับใชก้ ฎหมายเสื่อมประสิทธภิ าพหรือไม่อาจสาเร็จตามวัตถุประสงค์ ได้ และจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือความปลอดภัยของบุคคลหนึ่งบุคคลใด และเป็นกรณีที่มีกฎหมาย ค้มุ ครองมใิ ห้เปิดเผย (มาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวง ราชการ พ.ศ. 2518) ดงั น้นั ผอู้ ุทธรณ์จงึ ได้อุทธรณ์คาสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกลา่ ว และคณะอนุกรรมการ เฉพาะกิจพจิ ารณาสง่ เร่ืองอุทธรณม์ มี ติส่งอุทธรณ์นี้ให้คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารด้านสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและบังคับใช้กฎหมายพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 โดยประธานกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขา ได้ส่ง อุทธรณ์นเ้ี ข้าสูก่ ารพิจารณาขององคค์ ณะที่ 1 โดยมีนายสมชาย หอมลออ เปน็ กรรมการผู้รับผดิ ชอบสานวน คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารด้านสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและบังคับใช้ กฎหมาย องค์คณะที่ 1 ได้ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมรับฟังคาชี้แจงของคู่กรณีแล้ว เห็นว่า สานักงาน ป.ป.ช. และกระทรวงการคลัง ไม่อาจปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยอ้างมาตรา 15 วรรคแรก (2) (4) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ได้ เนื่องจากไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากการชี้แจง ของคูก่ รณีว่า การเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารดังกล่าวจะก่อใหเ้ กิดอันตรายต่อชีวิต หรือความปลอดภัยของบุคคลหน่ึง บุคคลใด และแมข้ ้อมูลข่าวสารดังกล่าวจะมีพระราชบัญญัติปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ และประพฤติมิชอบ ในวงราชการ พ.ศ. 2518 มาตรา 25 และพระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 120 คุ้มครองมิให้เปิดเผยก็ตาม แต่บทบัญญัติมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติ 7 เพง่ิ อ้าง,หน้า 27. 8 ฤทัย หงส์สริ แิ ละมานิตย์ จมุ ปา.อ้างแลว้ ,หน้า 56.
108 | กฎหมายข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ก็ให้อานาจหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือคณะกรรมการ วินิจฉัยการเปดิ เผยข้อมลู ข่าวสาร อาจมีคาสั่งหรอื คาวินจิ ฉัยให้เปิดเผยข้อมลู ขา่ วสารดังกล่าวได้ โดยคานึงถึงการ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้ อง ประกอบกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย กระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า ข้อมูลข่าวสาร ดังกล่าวเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างดาเนินการสอบสวนทางวินัย การเปิดเผยในขณะที่การสอบสวนทางวินัยยังไม่แล้ว เสร็จจึงอาจทาให้การบังคับใชก้ ฎหมายทีเ่ กี่ยวข้องกับการสอบสวนทางวินัยเสื่อมประสิทธิภาพหรือไมอ่ าจสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์ได้ตามมาตรา 15 วรรคแรก (2) แห่งพระราชบญั ญัติขอ้ มูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 แต่ หากการสอบสวนทางวินัยเสร็จสิ้นแล้ว สานักงาน ป.ป.ช. และกระทรวงการคลังต้องเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ดังกลา่ ว โดยอาจใช้ดุลยพนิ จิ ลบช่ือบคุ คลหรือข้อความทอ่ี าจทาใหร้ ูถ้ งึ ตวั บุคคลทใี่ หถ้ ้อยคาในสานวนได้ คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 17/2555 ผู้อุทธรณ์เป็นพนักงานส่วนตาบลมีหนังสือขอสาเนาการสอบ ข้อเทจ็ จรงิ เพื่อใช้อุทธรณค์ าสั่งลงโทษทางวนิ ัย รวม 4 รายการ คอื บนั ทึกการรอ้ งเรียนเรื่องกยู้ ืมเงิน บันทึกเรื่อง รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา รายงานการสอบข้อเท็จจริงและหนังสือชี้แจงของผู้อุทธรณ์ ซึ่งต่อมาได้มีคาสั่ง ลงโทษให้ตัดเงินเดือนผู้อุทธรณ์ 5 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลาสามเดือน ทางองค์การบริหารส่วนตาบลได้มีหนังสือแจ้ง ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า การเปดิ เผยจะทาให้การบงั คบั ใชก้ ฎหมายเสอื่ มประสิทธิภาพตามมาตรา 15 (2) คณะกรรมการวนิ ิจฉยั การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารพจิ ารณาแล้วเห็นว่า เร่อื งน้ีกระบวนการสอบข้อเท็จจริง และการลงโทษทางวินัยได้เสร็จสิ้นไปแล้ว การเปิดเผยไม่ได้ทาให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพตาม มาตรา 15 (2) แตอ่ ย่างใด คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 148/2558 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า.....ผู้อุทธรณ์มีหนังสือลงวันที่ 23 มิถุนายน 2557 ถึงอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 11 เพื่อขอเอกสารทั้งหมดในสานวนคดีหมายเลขดาที่ อข. 4772/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อข. 866/2557 อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 11 มีบันทึกท้ายหนังสอื คาขอของผู้อุทธรณ์ อนุญาตให้คัดถ่ายสาเนาเฉพาะ คาฟ้อง คาให้การพยานและสาเนาคาพิพากษา เพราะเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการดาเนินคดีที่พนักงาน สอบสวนและพนักงานอัยการจะมคี าส่งั ฟ้องหรือไม่ฟ้องโดยตรง และเป็นเอกสารท่ีใช้ประกอบการสืบพยานในช้ัน ศาลและหรืออ้างส่งศาลในชั้นพิจารณาและปฏิเสธการเปิดเผยข้อมลู ข่าวสารอืน่ ๆ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเอกสารที่ พนักงานสอบสวนและพนักงานอยั การได้จัดทาขึน้ ในการปฏิบัติหน้าทีท่ ี่เกี่ยวกบั บุคคลหลายฝา่ ย เช่น ความเห็น ของพนกั งานอยั การ (อก.4) ภาพถ่ายผตู้ อ้ งหาท่ี 2 ท่กี าลงั ปว่ ย รายงานการสอบสวน บญั ชีพยานหลักฐาน บันทึก พนักงานสอบสวน จดหมายเรยี กผ้ตู ้องหา สาเนาขอ้ มูลทะเบียนราษฎรผ์ ตู้ ้องหา สาเนารายงานประจาวันเก่ียวกับ คดี คาสั่งกองบัญชาการตารวจนครบาล 4 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน บันทึกควบคุมผู้ต้องหา บันทึกการนัดทราบผู้ต้องหา คาร้องขอผัดฟ้องผู้ต้องหา ทะเบียนประวัติอาชญากรของผู้ต้องหา บันทึกการนัด
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพ็ชร | 109 ทราบผู้ต้องหา คาสั่งสานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 11 ที่ 10/2556 เรื่องแต่งตั้งอัยการเป็นองค์คณะ พิจารณาสานวน คาขอคัดถ่ายสานวนการสอบสวน หนังสือแจ้งพนักงานสอบสวนทาการสอบสวนเพิ่มเติม หนังสือแจ้งอัยการพิเศษฝ่ายว่าผู้ต้องหาไม่มาตามนัด หนังสือแจ้งให้พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ต้องหามายัง พนักงานอัยการเพื่อฟ้องศาล บันทึกการแจ้งสิทธิผู้ต้องหา หนังสือเรื่องแจ้งความคืบหน้ากรณีเรียกนางสาว น. กับพวก ขอความร่วมมอื ในการพักอาศัย รายงานประจาวัน หนงั สือเร่อื งสัง่ หมายเรียกพยาน แบบขอหมายพยาน บัญชีพยาน หนังสือแจ้งส่งหมายเรียก คาร้องขอคัดถ่ายคาพิพากษา คาร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 1 (อก.14) รายงานคาพิพากษาความเห็นชอบอัยการศาลชั้นต้นและอัยการศาลสูงในกรณคี วามเห็นควรสั่งอุทธรณ์ หรือไม่อุทธรณ์ และความเห็นผู้บัญชาการสากนักงานตารวจแห่งชาติกรณีเห็นแย้งหรือเห็ นชอบคาสั่งของ พนักงานอัยการในกรณีอุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์ บันทึกข้อความเรื่องโอนสานวนคดีอาญาของพนักงานอัยการ เจ้าของสานวนที่ย้ายระหว่างสืบพยาน ซึ่งเอกสารเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการดาเนินคดีของพนักงานสอบสวนและ พนักงานอัยการที่จะมีคาส่ังฟ้องหรือไม่ฟ้องโดยตรงและไม่เป็นเอกสารทีใ่ ช้ประกอบการสืบพยานในชั้นศาลและ หรืออ้างส่งศาลในชั้นพิจารณา ทั้งมีบุคคลและเจ้าพนักงานหลายฝ่ายในการจัดทาเอกสาร ไม่ใช่เอกสารมหาชน หากเปิดเผยออกไปจะเป็นการละเมิดสิทธิผู้ทาเอกสารหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร และบุคคลผู้ทาเอกสาร หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเอกสารอาจถูกผู้อุทธรณ์หรือบุคคลภายนอกนาไปใช้ฟ้องร้องในคดีอาญา หรืออาจ นาไปใช้ในทางที่เสียหายแก่ราชการหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ ประกอบกับเมื่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ปรากฏว่าผู้ อุทธรณ์มีคดีอาญาอยู่ที่สานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 11 โดยเป็นทั้งผู้กล่าวหาและผู้เสียหายและเป็น ผู้ต้องหาหรือจาเลยหลายสิบคดี จึงได้มีคาสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้กับผู้อุทธรณ์อาจนาไปฟ้องคดี หรือ ร้องเรียนเจา้ หน้าทจ่ี งึ ไม่สามารถเปิดเผยได้ ต่อมาผู้แทนสานกั งานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 11 ได้เข้าชี้แจงกับคณะกรรมการฯ สรุปได้ความว่า ผู้ อุทธรณม์ ีเรอื่ งฟ้องร้องหลายสิบคดีทงั้ เปน็ ผูฟ้ ้องและผูถ้ กู ฟอ้ ง อกี ทั้งผูอ้ ทุ ธรณ์กม็ เี ร่ืองขัดแย้งกบั .....และ.....มาโดย ตลอด เนื่องจากบ้านอยู่ติดกัน ข้อมูลข่าวสารที่ผู้อุทธรณ์ขอมีหลายรายการ หากเปิดเผยไปแล้วผู้อุทธรณ์อาจ นาไปฟ้องคดี หรือร้องเรียนเจ้าหน้าทีจ่ ึงไม่สามารถเปิดเผยได้ เมื่อคณะกรรมการฯได้อธิบายเกี่ยวกับแนวทางใน การพิจารณาเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ผู้แทนสานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 11 จึงไม่ขัดข้องที่จะเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารตามคาขอของผูอ้ ทุ ธรณ์ให้ผู้อุทธรณท์ ราบ โดยให้ผู้อุทธรณ์เข้ามาตรวจดูว่าต้องการข้อมูลรายการ ใดบา้ ง ต่อมาผู้อุทธรณ์มีหนังสือลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 แจ้งว่า ผู้อุทธรณ์ได้ไปพบอัยการพิเศษฝ่าย คดอี าญา 11 เพอื่ ตรวจดูขอ้ มูลข่าวสาร แต่ได้รับบนั ทึก ท่ี อส 0016.11/พเิ ศษ ลงวนั ท่ี / เมษายน 2558 เร่ืองขอ ถ่ายเอกสารในสานวน โดยอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 11 มีคาสั่งอนุญาตให้ถ่ายสาเนาเฉพาะคาฟ้อง คาให้การ พยานและสาเนาคาพิพากษา นอกนั้นไม่เปิดเผยผู้อุทธรณ์จึงมีความประสงค์ขอให้คณะกรรมการฯ มีคาวินิจฉัย เกยี่ วกบั ข้อมลู ข่าวสารตามอุทธรณ์ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ คือ เอกสารทั้งหมดในสานวนคดีหมายเลขดาที่ อข.
110 | กฎหมายข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ 4772/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อข. 866/2557 เป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดาเนินการตามกระบวนการ ยุติธรรมที่เสร็จสิ้น โดยศาลมีคาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การเปิดเผยจึงไม่ทาให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อม ประสิทธิภาพหรือไม่อาจสาเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ตามมาตรา 15(2) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ ราชการ พ.ศ. 2540 ผู้อุทธรณ์เป็นผูเ้ สียหายและเป็นโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าว จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงควรมี โอกาสได้รับทราบข้อมูลข่าวสารนั้นเพื่อใช้ปกป้องส่วนได้เสียของตน ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจึงเปิดเผยให้ผู้ อุทธรณ์ทราบได้ โดยสานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 11 อาจใช้ดุลยพินิจปกปิดชื่อหรือข้อความอื่นใดที่จะ ทาให้ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ให้ถ้อยคาพยานได้ แต่การปกปิดข้อความดังกล่าวนั้นต้องกระทาเท่าที่จาเป็นและ ต้องไม่กระทบกระเทือนถึงเนื้อความของข้อมูลข่าวสารนั้น อย่างไรก็ดี ในสานวนคดีนั้นมีข้อมูลข่าวสารส่วน บุคคลรวมอยู่ด้วย ได้แก่ ภาพถ่ายผู้ต้องหาที่ 2 ที่กาลังป่วย สาเนาข้อมูลทะเบียนราษฎร์ผู้ต้องหาและทะเบียน ประวัติอาชญากรของผู้ต้องหา ซึ่งการเปิดเผยจะเป็นการรุกล้าสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควรตามมาตรา 15 (5) แหง่ พระราชบญั ญัติขอ้ มูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 จึงไมค่ วรเปิดเผยข้อมลู ข่าวสารในส่วนนี้ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใชก้ ฎหมายจึงให้สานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดอี าญา 11 เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ โดยอาจใช้ดุลยพินิจ ปกปิดชื่อหรือข้อความอื่นใดที่จะทาให้ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ให้ถ้อยคาเป็นพยานได้ แต่การปกปิดข้อความ ดังกล่าวนั้นต้องกระทาเท่าที่จาเป็นและต้องไม่กระทบกระเทือนถึงเนื้อความของข้อมูลข่าวสารนั้น ส่วนข้อมูล ข่าวสารส่วนบุคคล ได้แก่ภาพถ่ายผู้ต้องหาที่ 2 ที่กาลังป่วย สาเนาข้อมูลทะเบียนราษฎร์ผู้ต้องหาและทะเบียน ประวัติอาชญากรของผู้ตอ้ งหา ไมต่ อ้ งเปิดเผย คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 102/2563 อุทธรณ์เรื่องนีไ้ ด้ความว่า นางสาว ก. ผู้อุทธรณ์ มีหนังสือลงวันที่ 10 เมษายน 2562 ถึงเลขาธิการสานักงานศาลยุติธรรม ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับจานวนเรื่องร้องเรียนและ จานวนผู้พพิ ากษาท่ีถูกลงโทษทางวินัย จานวน 2 รายการ ดังนี้ 1.จานวนเรื่องร้องเรียนด้านวินัยและจริยธรรมของผู้พิพากษา ตั้งแต่ปีแรกที่มีการเก็บข้อมูลจนถึงปี ล่าสุด จนถงึ ศาลทผี่ ูถ้ ูกร้องเรยี นปฏบิ ัติหน้าท่ีประจา 2.จานวนผู้พิพากษาทถ่ี ูกลงโทษทางวนิ ัยตามมตคิ ณะกรรมการตุลาการศาลยุตธิ รรม ตั้งแต่ปีแรกที่มีการ เก็บข้อมูลจนถงึ ปลี ่าสดุ รวมถึงบทลงโทษและศาลท่ผี ้ถู ูกรอ้ งเรียนปฏิบัติหน้าที่ประจา สานักงานศาลยุติธรรม มหี นงั สือ ท่ี ศย 003/1107 ลงวนั ที่ 26 มถิ ุนายน 2562 ถึงผู้อุทธรณ์แจง้ ว่า การ เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวจะกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตุลาการอาจถูกกดดันจากกระแสสังคมได้ ตามพระราชบัญญตั ิข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 (2) ซึ่งกาหนดไว้ว่า “การเปิดเผยจะทาให้ การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสาเร็จได้ตามวัตถุประสงค์ได้ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการฟ้องคดี การป้องกัน การปราบปราม การทดสอบ การตรวจสอบ หรือการรู้แหล่งที่มาของข่าวสารหรือไม่ก็ตาม” จึงเห็น ควรไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 (2) ประกอบกับเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารตามมาตรา 11 วรรคสาม แหง่ พระราชบญั ญัตขิ ้อมลู ข่าวสารของราชการ
ผศ.บญุ ชู ณ ปอ้ มเพช็ ร | 111 พ.ศ. 2540 กาหนดไวว้ ่า “ขอ้ มลู ขา่ วสารท่ีหน่วยงานของรัฐจัดหาให้ตามวรรคหนึ่ง ตอ้ งเป็นข้อมูลข่าวสารท่ีมีอยู่ แล้วในสภาพท่พี รอ้ มจะให้ได้ มิใช่เป็นการตอ้ งไปจัดทา วิเคราะห์ จาแนก รวบรวมหรือจัดใหม้ ีข้นึ ใหม่ เว้นแตเ่ ป็น การแปรสภาพจากข้อมูลข่าวสารที่บันทึกไว้ในระบบการบันทึกภาพหรือเสียง ระบบคอมพิวเตอร์ หรือระบบอ่ืน ใด” จึงเห็นว่าไมม่ ีเหตุผลสมควรที่จะเปิดเผยตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญตั ิขอ้ มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์มีจานวน 2 รายการ คือรายการที่ 1 จานวนเรื่อง ร้องเรียนด้านวินัยและจริยธรรมของผู้พิพากษา ตั้งแต่ปีแรกที่มีการเก็บข้อมูลจนถึงปีล่าสุด และรายการที่ 2 จานวนผู้พิพากษาทีถ่ ูกลงโทษทางวินยั ตามมติคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ตั้งแต่ปีแรกท่ีมีการเกบ็ ข้อมูล จนถึงปีล่าสุด ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสถิติจานวนผู้พิพากษาที่ถูกร้องเรียนหรือถูกดาเนินการ ทางวินยั ซ่ึงการขอตรวจดขู ้อมลู ข่าวสารดงั กล่าวมีลักษณะเป็นการตรวจสอบการปฏบิ ัตหิ น้าที่ของข้าราชการตุลา การในภาพรวมมิได้มรี ายละเอียดเกี่ยวกับการกระทาความผดิ เป็นการเฉพาะรายของข้าราชการตลุ าการแต่อยา่ ง ใด การให้ตรวจดขู ้อมูลขา่ วสารดงั กลา่ วจงึ ไม่เป็นอุปสรรคหรือกระทบต่อการปฏิบัตหิ น้าทขี่ องข้าราชการตุลาการ หรือก่อให้เกิดกระแสกดดันจากสังคมอันทาให้การบังคับใช้กฎหมายของข้าราชการตุลาการเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสาเร็จได้ตามวัตถุประสงค์ได้แต่อย่างใด ตามมาตรา 15 (2) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ ราชการ พ.ศ. 2540 การเปดิ เผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจะแสดงให้เห็นความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งจะทาให้ เกิดความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงการปฏิบัติ หน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน แลว้ เหน็ ว่าการเปิดเผยโดยผู้อุทธรณ์ทราบได้ ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับศาลที่ผู้พิพากษาถูกลงโทษอยู่ประจา ข้อเท็จจริงปรากฏตามคาชี้แจงของผู้แทน สานกั งานศาลยุติธรรมว่า ไม่มขี ้อมลู ดังกล่าว เน่ืองจากผู้พิพากษามีการย้ายตาแหนง่ เปล่ียนแปลงทุกปี ดังน้ัน จึง ไมม่ ีประเด็นวินิจฉัยขอ้ มลู ในส่วนนี้ สาหรบั ขอ้ มูลข่าวสารสาหรับบทลงโทษทางวินัยข้าราชการตุลาการ ขอ้ เท็จจรงิ ปรากฏตามคาชี้แจงของ ผู้แทนสานักงานศาลยุติธรรมว่า กรณีข้าราชการตุลาการทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงจะมีการลงพิมพ์ในราชกิจจา นุเบกษา ดังนั้น จึงเป็นข้อมูลที่สานักงานศาลยุติธรรมเปิดเผยอยู่แล้ว หากสานักงานศาลยุติธรรมไม่ได้รวบรวม เปน็ สถติ ิ ผ้อู ทุ ธรณต์ อ้ งประมวลข่าวสารดังกลา่ วด้วยตนเอง (3) ข้อมลู ข่าวสารทีเ่ ก่ียวกับความเห็นภายในหน่วยงานของรฐั มาตรา 15 (3) ความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงรายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อมูลข่าวสารที่นำมาใช้ในการทำความเห็น หรอื คำแนะนำภายในดังกล่าว การดาเนินการบริหารของหนว่ ยงานของรัฐในทางปกครอง ก่อนที่หน่วยงานรัฐหรือเจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐจะ ดาเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น การตรากฎ หรือการออกคาสั่งทางปกครอง ออกไป ย่อมมีกระบวนการ
112 | กฎหมายข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ ขั้นตอนและวิธีการตา่ ง ๆ ที่จะนาไปสู่ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ในขณะที่ผลการดาเนินการยังไม่เป็นท่ียุติ อาจมีการ เสนอความเหน็ หรือคาแนะนาต่าง ๆ นอกจากนั้นการปฏิบัติหนา้ ที่ของเจ้าหน้าที่ย่อมเป็นตามหลักความอิสระใน การดาเนนิ การโดยปราศจากการแทรกแซง จึงไม่มคี วามจาเป็นใดที่เจ้าหน้าทีข่ องรัฐจะตอ้ งเปิดเผยความเห็นหรือ คาแนะนาใด ๆ ภายในหน่วยงานรัฐ ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการประเภทนี้ออกไปอาจทาให้ เจ้าหน้าที่ของรัฐถูกแทรกแซงหรือโต้แย้งจนอาจเกิดความไม่เป็นกลาง (Impartiality) พระราชบัญญัตินี้จึง กาหนดวา่ อาจไมเ่ ปดิ เผยก็ได้ แต่ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่า มิใช่เรื่องสาคัญที่จะกระทบความเป็นอิสระและผลสาเร็จในการทางาน ของเจ้าหน้าที่ หน่วยงานของรัฐจะสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นก็ได้ หรือให้เปิดเผยเมื่อผลยุติแล้วก็ได้9 ข้อมูล ข่าวสารที่จะไม่เปิดเผยนี้ต้องเป็นส่วนหนึ่งของความเห็นเท่านั้น บทบัญญัติมาตรานี้กาหนดเฉพาะในส่วนของ ความเห็นหรือคาแนะนาภายในหน่วยงานเท่านั้น ไม่รวมถึงส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงอื่นที่นามาประกอบการ ดาเนินการ เช่น รายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อมูลข่าวสารที่นามาใช้ในการทาความเห็น หรือ คาแนะนาภายในดังกล่าว คำวนิ จิ ฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบรหิ ารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 26/2545 ผู้อุทธรณ์เป็นข้าราชการตารวจ ถูกกล่าวหาว่ากระทาผดิ วินยั อย่าง ร้ายแรง จึงได้ร้องขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวการดาเนินการทางวินัยในส่วนของบันทึกการประมวลความเห็นของ เจ้าหน้าที่กองวินัยตามลาดับชั้นที่นาเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการข้าราชการตารวจจากกองวินัย สานักงาน ตารวจแหง่ ชาติ แต่ไดร้ บั การปฏิเสธการเปิดเผยข้อมลู ข่าวสาร เนือ่ งจากข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นข้อมูลข่าวสาร ทอ่ี ยูใ่ นเงือ่ นไขมาตรา 15 (3) คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ว่าผู้อุทธรณ์เป็นผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อมูลข่าวสารตาม อุทธรณ์ แต่ผู้อุทธรณ์ก็ได้รับข้อมูลข่าวสารที่เป็นสรุปพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องเพียงพอที่จะใช้ สิทธิตามกฎหมายในการปกป้องและรักษาความเป็นธรรมแก่ตนเอง ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์เป็นเพียงบันทึก ความเห็นของเจ้าหน้าที่ โดยการประมวลข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อเสนอต่อผู้มีอานาจในการพิจารณา ลงโทษทางวินัยเท่านั้น อันเป็นเพียงความเห็นภายในของหน่วยงานของรัฐไม่กระทบต่อสถานภาพแห่งสิทธิและ หน้าที่ของผู้อุทธรณ์แต่อย่างใด การเปิดเผยในกรณีนี้อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อการปฏิบัติหน้าที่ตาม กฎหมายของเจ้าหน้าที่กองวินัยในการเสนอความคิดเห็น ซึ่งควรมีความเป็นอิสระในการแสดงความคิดเห็น ภายในกรอบการพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมทั้งการที่ลักษณะงานของกองวินัยมีอานาจหน้าที่ท่ี เกี่ยวข้องกับการดาเนินงานทางวนิ ัยของขา้ ราชการตารวจ การเปดิ เผยข้อมูลข่าวสารดังกลา่ วอาจทาให้เกิดความ เสียหายต่อประโยชน์ในการรักษาวินัยของข้าราชการตารวจ การที่กองวินัย สานักงานตารวจแห่งชาติมีคาสั่งไม่ เปิดเผยขอ้ มลู ข่าวสารจงึ ชอบแล้ว 9 www.oic.go.th/web2017/gov_forbidden_to_reveal.htm
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพช็ ร | 113 คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 23/2556 ผู้อุทธรณ์ร้องขอรายงานการสืบข้อเท็จจริงที่ตนเองร้องเรียน กล่าวหาผู้อานวยการโรงเรียนปฏิบตั ิหน้าท่ีโดยมิชอบจากสานกั งานการประถมศึกษาอาเภอ แต่ได้รับการปฏเิ สธ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร เนื่องจากเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพจิ ารณาสอบข้อเท็จจริงและเสนอความเห็นตอ่ ผอู้ านวยการการประถมศึกษาจงั หวัดจันทบุรีพิจารณา ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอาจกระทบต่อความเป็น อิสระในการใหค้ วามเหน็ ของเจ้าหนา้ ที่ และกระทบต่อการพจิ ารณาตามลาดบั ช้ันได้ อีกทงั้ ผลการพจิ ารณาก็ยังไม่ เปน็ ทีย่ ตุ ิ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใชก้ ฎหมาย พิจารณาแลว้ เห็นว่า การเปิดเผยอาจกระทบต่อการพิจารณาของสานกั งานการประถมศึกษาจันทบุรี ทาให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ อีกทั้งข้อมูลข่าวสารดังกล่าวยัง อยู่ระหว่างการจัดทาความเห็นประกอบเพื่อเสนอต่อผู้อานวยการการประถมศึกษาจังหวัดจันทบุรีพิจารณาจึงมี ลกั ษณะเป็นความเห็นภายในของเจ้าหน้าท่ีตามมาตรา 15 (3) จงึ ใหย้ กอทุ ธรณ์ คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ท่ี สค 69/2563 อทุ ธรณเ์ ร่ืองน้ีได้ความว่า รองศาสตราจารย์ ก. ผูอ้ ุทธรณ์ มีหนังสือ ลงวันท่ี 15 กรกฎาคม 2562 ถงึ กระทรวงอุดมศกึ ษา วิทยาศาสตร์ วจิ ัยและนวัตกรรม แจ้งว่า ตนเป็นผู้ได้รับการ เสนอชื่อให้ดารงตาแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และต่อมามหาวิทยาลัยฯ ได้ดาเนินการส่ง เรื่องไปยังสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาเพื่อพิจารณาตามลาดับข้ันต่อไป ในฐานะผู้อุทธรณ์เป็นผู้มีส่วน ได้เสียในเรื่องดังกล่าวโดยตรง จึงขอคัดสาเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการดาเนินการในเรื่องดังกล่าวตาม พระราชบัญญัติขอ้ มลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมีหนังสือ ที่ อว 0233.1 (2.9)/5456 ลงวันที่ 30 กันยายน 2562 ปฏเิ สธการเปิดเผย โดยใหเ้ หตุผลว่า เปน็ ข้อมลู ข่าวสารท่ีมคี วามเห็นภายในหน่วยงานของรัฐตาม มาตรา 15 (3) และเปน็ ขอ้ มลู ข่าวสารท่ีอยู่ระหว่างพิจารณาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จึงยงั ไม่สามารถ เปดิ เผยได้ตามมาตรา 15 (2) และ (3) แหง่ พระราชบัญญตั ิขอ้ มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ คือ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการดาเนินการเสนอขอ โปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตงั้ ใหผ้ ู้อทุ ธรณ์ดารงตาแหนง่ อธกิ ารบดี ในส่วนท่เี ปน็ การดาเนินการของสานักงานปลัดกระทรวง การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมทั้งหมด เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ สั่งให้ชะลอการขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้อุทธรณ์ โดยให้สภามหาวิทยาลัยทบทวนการ ดาเนินการถอดถอนและกระบวนการสรรหาอธิการบดีให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อน ผู้อุทธรณ์จึงเป็นผู้ได้รับ ผลกระทบจากการชะลอเรื่องดังกล่าว โดยต้องการตรวจสอบการเสนอความเห็นตลอดจนการดาเนินการในส่วน ของสานักงานปลดั กระทรวงการอดุ มศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อปกป้องสว่ นได้เสียของตน โดย เมื่อพจิ ารณาเน้ือหาของข้อมูลข่าวสารทส่ี านักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
114 | กฎหมายข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ ดาเนินการในเรื่องดังกล่าวแล้ว มีลักษณะเป็นข้อมูลการเสนอเรื่องของส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ในการรวบรวม ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายนาเสนอแนวทางการดาเนินการเพื่อประกอบการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา ข้อมูล ดังกลา่ วจงึ ไม่เข้าลักษณะเป็นความเห็นภายในตามมาตรา 15 (3) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 (4) ข้อมลู ข่าวสารทีเ่ กยี่ วกบั ความปลอดภัยของบคุ คล มาตรา 15 (4) การเปิดเผยจะกอ่ ให้เกดิ อันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบคุ คลใดบคุ คลหน่งึ สิ่งที่สาคัญกว่าการสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ก็คือ ความปลอดภัยของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง การเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารนั้นแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคล จึงไม่สมควรที่จะเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร น้ันพระราชบัญญัตินี้จงึ กาหนดให้หน่วยงานของรัฐหรือเจา้ หน้าทขี่ องรัฐอาจมีคาส่งั มิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใด ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าอาจทาให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น ข้อมูล ข่าวสารที่เกี่ยวกับบุคคลที่ร้องเรียนบุคคลผู้มีอิทธิพลหรือผู้ร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตหรือประพฤติไม่ถูกต้อง ต่าง ๆ ซึ่งอาจจะได้รับอันตรายถ้ามีการเปิดเผยข้อมูลที่ทาให้รู้ตัวพยานเหล่านี้ ข้อมูลข่าวสารของราชการบาง ประเภทนี้เมื่อเปดิ เผยไปแล้ว ถ้าหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าทีข่ องรฐั เห็นว่าอาจก่อใหเ้ กิดอันตรายต่อชีวิตหรือ ความปลอดภัยของบคุ คลใด หน่วยงานของรัฐหรอื เจา้ หนา้ ที่ของรัฐไมต่ ้องเปิดเผย ทั้งนี้ภารกิจของรัฐนั้นมีหลากหลาย บางกรณีมีส่วนที่สัมพันธ์กับความปลอดภัยของบุคคล เช่น การ คุ้มครองพยาน การเปิดเผยชื่อพยาน สถานที่คุ้มครองพยานที่อยู่ความครอบครองของตารวจ พระราชบัญญัตินี้ จงึ ให้ความคุม้ ครองไว้ คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ท่ี สค 20/2543 ผอู้ ุทธรณเ์ ป็นผถู้ ูกนายอาเภอสั่งใหพ้ ้นจากการผู้ใหญ่บา้ น เนื่องจาก ประชาชนได้เข้าชื่อพร้อมสาเนาบัตรประชาชนร้องเรียนไปยังนายอาเภอขอให้นายอาเภอสั่งให้พ้นจากตาแหน่ง อาเภอได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนการยื่นถอดถอนโดยตรวจสอบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลราบชื่อ อายุ ที่อยู่ ลายมือชื่อ หมายเลขประจาตัวประชาชน คุณสมบัติ และลักษณะที่ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติลักษณะ ปกครอง พ.ศ. 2475 จานวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของราษฎรผู้มีคุณสมบัติของผู้เข้าชื่อ เมื่อตรวจสอบถูกต้องจึงมี คาสั่งใหผ้ ้อู ทุ ธรณ์พ้นจากตาแหน่ง ผอู้ ทุ ธรณไ์ ดย้ นื่ หนังสือถงึ อาเภอขอสาเนารายชื่อผู้เขา้ ชื่อถอดถอน แตอ่ าเภอมี หนังสือแจ้งปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า การเปิดเผยไม่เป็นผลดีต่อการอยู่ร่วมกันของราษฎร รวมทั้งอาจก่อให้เกิด อันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลหนึ่งบุคคลใด ผู้อุทธรณ์จึงอุทธรณ์คาสั่งปฏิเสธต่อคณะกรรมการ วินจิ ฉยั ฯ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใชก้ ฎหมาย พิจารณาแลว้ เห็นว่า ผูท้ ีร่ ว่ มเขา้ ชือ่ ถอดถอนเปน็ เพียงราษฎรธรรมดา ไม่มอี ทิ ธพิ ลใด ๆ สมควรได้รับ การคุ้มครองสมควรได้รับการคุม้ ครองจากทางราชการ การเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารดังกล่าวอาจก่อให้เกดิ อันตราย ตอ่ ชีวติ หรือความปลอดภยั ของบคุ คลหนง่ึ บคุ คลใด ตามมาตรา 15 (4) จงึ วินจิ ฉยั ใหย้ กอุทธรณ์
ผศ.บุญชู ณ ปอ้ มเพช็ ร | 115 คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 54/2551 อุทธรณ์เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงวา่ ผู้อุทธรณ์ ปัจจุบันดารงตาแหน่งนิติ กร สังกัดเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ มีหนังสือลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ถึงจังหวัดสิงห์บุรี เพื่อขอข้อมูล ขา่ วสารเก่ียวกับการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีผอู้ ุทธรณ์ ถกู นาย ป. นายกองค์การบริหารส่วนตาบลบางระจันกับ พวกทาร้ายร่างกาย จังหวัดสิงห์บุรีมีหนังสือลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2550 ปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการ สอบสวนข้อเท็จจริงและบันทึกถ้อยคาผู้เกี่ยวข้องแก่ผู้อุทธรณ์ ในชั้นพิจารณาของคณะกรรมการวินิจฉัยการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ผู้แทนจังหวัดสิงห์บุรี ชี้แจงถึงเหตุผลการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารสรุปว่า ในระหว่างการรอผลการสอบสวนเพิ่มเติมจากอาเภอค่าย บางระจันผู้อุทธรณ์มีหนังสือถงึ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรีขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่ง คณะกรรมการกากับดูแลศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการสานักงานท้องถิ่นจังหวัดสิงห์บุรีมีมติให้ คัดสาเนา มอบหมายใหห้ น่วยงานทีเ่ ก่ียวขอ้ งสอบสวนขอ้ เท็จจรงิ แกผ่ ู้อุทธรณแ์ ละปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับ การสอบสวนข้อเท็จจริงและบันทึกถ้อยคาผู้เก่ียวข้องเนือ่ งจากยังอยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงอาเภอค่าย บางระจัน และเมื่ออาเภอค่ายบางระจันรายงานผลการสอบข้อเท็จจรงิ ให้จังหวัดสิงหบ์ ุรีทราบ ก็เป็นอานาจของ ผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรีในการพิจารณามีคาส่ังเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว การเปิดเผยข้อเท็จจริงในขณะนี้อาจทา ให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสาเร็จตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา 15 (2) แห่ง พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ส่วนบันทึกถ้อยคาพยานผู้เกี่ยวข้องนั้น ข้อมูลข่าวสารมี ลักษณะเดียวกันกับผลการสอบสวนข้อเท็จจริง การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวอาจทาให้พยานบุคคลท่ี เกี่ยวข้องถูกข่มขู่ เกิดอันตรายต่อชีวิต ความปลอดภัย หรืออาจทาให้ข้อเท็จจริงที่อยู่ระหว่างการพิจารณา เปลี่ยนแปลงไปรวมทั้งอาจเกิดความยุ่งเหยิงในด้านเอกสารและกระบวนการพิจารณาตามมาตรา15 (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญตั ขิ ้อมูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผน่ ดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้การสอบสวนข้อเท็จจริงยังไม่เสร็จสมบูรณ์เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัด สิงห์บุรียังไม่มีคาสั่งในเรือ่ งดังกล่าวโดยรอฟังผลคดีทีผ่ ู้อุทธรณ์แจ้งความร้องทุกข์ตอ่ เจ้าหน้าที่สถานีตารวจภูธร คา่ ยบางระจันให้ดาเนินคดกี ับผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตาบลบางระจันฐานทารา้ ยร่างกาย แต่ปัจจุบันอาเภอ ค่ายบางระจันซึ่งได้รับมอบหมายให้ดาเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงเสร็จเรียบร้อยและคดีที่ผู้อุทธรณ์แจ้งความ ร้องทุกข์ต่อสถานีตารวจภูธรค่ายบางระจันนั้นศาลจังหวัดสิงห์บุรีได้มีคาพิพากษาลงโทษนายกองค์การบริหาร ส่วนตาบลบางระจันกับพวกแล้ว การเปิดเผยผลการสอบสวนข้อเท็จจริงจึงไม่อาจทาให้การบังคับใช้กฎหมาย เส่อื มประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสาเร็จตามวัตถุประสงค์ตามมาตรา 15 (2) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ ราชการ พ.ศ. 2540 ประกอบกับเรื่องนี้ได้มีการสอบสวนมานานพอสมควรจึงมีเหตุผลที่ผู้อุทธรณ์จะได้รับทราบ ข้อมลู ขา่ วสารดงั กล่าวเพือ่ ใชใ้ นการปกป้องสิทธิและประโยชน์ของตนจึงเห็นสมควรเปิดเผยแกผ่ ู้อุทธรณ์ได้
116 | กฎหมายข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ ส่วนบันทกึ ถ้อยคาพยานท่ีเกี่ยวขอ้ งน้ัน เหน็ วา่ ปจั จุบันผอู้ ุทธรณ์ไม่ไดร้ ับราชการในพ้ืนที่จังหวัดสิงห์บุรี แล้วและผู้อุทธรณ์ไม่มีพฤติการณ์เป็นผู้มีอิทธิพล การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารจึงไม่ทาให้การบังคับใช้กฎหมาย เสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่อาจสาเร็จตามวัตถุประสงค์ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของ บุคคลหนึ่งบุคคลใดตามมาตรา15 (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 จึง เห็นสมควรเปิดเผยแกผ่ ู้อุทธรณ์ได้ คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 100/2563 อทุ ธรณเ์ ร่ืองน้ีมีข้อเท็จจริงว่า นาย ก. พนกั งานสามัญ ตาแหน่ง... ผู้อุทธรณ์ มีหนังสือลงวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ถึงนายกเทศมนตรีตาบลโพธิ์ไทร ขอข้อมูลคลิปวีดีโอที่ คณะกรรมการสอบสวนใช้เป็นพยานวัตถุในการสอบสวน เพื่อใช้ในการอุทธรณ์คาสั่งกรณีเทศบาลตาบลโพธิ์ไทร มคี าสัง่ ปลดผ้อู ทุ ธรณ์ออกจากราชการ สานักงานเทศบาลตาบลโพธ์ิไทร มหี นงั สือ ท่ี อบ 53701/692 ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ถึงผู้อุทธรณ์ ปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยให้เหตุผลว่า ไม่สามารถให้ข้อมูลข่าวสารทางราชการได้เนื่องจากมี บคุ คลภายนอกเก่ียวขอ้ งด้วย เพือ่ ความปลอดภัยของพยานและบุคคลอื่นและเพื่อประโยชน์ในทางการรักษาวินัย ของพนกั งานสว่ นทอ้ งถิ่น คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลขา่ วสารตามอุทธรณ์ คือ ข้อมูลการบันทึกภาพและเสยี งทีค่ ณะกรรมการ สอบสวนใช้เป็นพยานวัตถุในการสอบสวน ข้อมูลข่าวสารตามคาขอการเปิดเผยจะทาให้ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ บนั ทกึ ภาพและเสียงซ่ึงนาไปสู่การปลดผูอ้ ุทธรณ์ออกจากราชการ ดังนน้ั เพ่ือเปน็ การค้มุ ครองบุคคลซงึ่ เป็นพยาน ไม่ให้ต้องรับภัยอนั ตรายอันเนื่องมาจากการให้ข้อมลู ประกอบกบั ขอ้ มลู ข่าวสารท่ีคณะกรรมการสอบสวนมอบให้ ผอู้ ทุ ธรณ์คร้ังแรกนัน้ กเ็ ปน็ การเพียงพอต่อการอุทธรณ์คาสง่ั แล้ว ดงั น้ัน จงึ เหน็ สมควรไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้ ผอู้ ุทธรณ์ทราบ (5) ข้อมูลข่าวสารที่เกย่ี วกับขอ้ มูลขา่ วสารสว่ นบคุ คล มาตรา 15 (5) รายงานทางการแพทยห์ รือข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลซ่ึงการเปิดเผยจะเป็นการรุกล้ำ สทิ ธิสว่ นบคุ คลโดยไมส่ มควร ข้อมลู ข่าวสารเก่ียวกับรายงานทางการแพทย์จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยท่ี เข้ามารกั ษา โดยปกติโรงพยาบาลจะไมเ่ ปดิ เผยข้อมูลขา่ วสารนี้ให้บคุ คลอนื่ ทราบ นอกจากนี้ข้อมูลข่าวสารของราชการอาจเป็นข้อมูลข่าวสารของเอกชนที่อยู่ในความครอบครองของ หน่วยงานของรัฐกไ็ ด้ ทงั้ นแี้ มม้ าตรา 15 (4) จะยกเอารายงานทางการแพทย์ข้ึนมากอ่ น แต่รายงานทางการแพทย์ ก็ถอื เป็นข้อมลู ขา่ วสารสว่ นบคุ คลประเภทหน่งึ ดงั นน้ั วัตถุประสงค์ของมาตรานี้ คือ ข้อมลู ข่าวสารสว่ นบุคคล โดยปกติสิทธิความเป็นส่วนตัวของบุคคลจะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย ดังที่ รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 32 บัญญัติรบั รองสิทธินไ้ี ว้ ดงั น้ี
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพ็ชร | 117 “บคุ คลย่อมมีสทิ ธใิ นความเปน็ อยู่สว่ นตัว เกยี รติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือการนำข้อมูลส่วน บุคคลไปใชป้ ระโยชน์ไม่วา่ ในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่ง กฎหมายทต่ี ราข้ึนเพยี งเท่าทีจ่ ำเป็นเพอ่ื ประโยชนส์ าธารณะ” การเปดิ เผยข้อมูลส่วนบคุ คลต่อสาธารณะ ถา้ การเปดิ เผยจะเป็นการรุกลา้ สิทธสิ ่วนบคุ คลโดยไม่สมควร เจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐอาจไม่เปิดเผยก็ได้ ดังน้ันจงึ เป็นดุลยพินิจของเจ้าหน้าของรัฐที่จะพิจารณาว่า การเปิดเผยข้อมูล ขา่ วสารของราชการที่เป็นข้อมูลข่าวสารส่วนบคุ คลเป็นการรุกล้าสิทธิโดยไม่สมควรหรือไม่ สว่ นข้อมูลข่าวสารใด เปน็ ขอ้ มลู ข่าวสารสว่ นบุคคลหรือไม่ต้องพิจารณาจากนิยามตามมาตรา 4 และเงอื่ นไขตามหมวด 3 มาตรา 24 คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 87/2551 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า ผู้อุทธรณ์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคาพิพากษา ศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่ ย. 73/2550 ได้มอบอานาจให้นาย ก. ทนายความ มีหนังสือลงวันที่ 8 มกราคม 2551 ถึงสานกั งานที่ดนิ จังหวัดพระนครศรอี ยุธยาเพ่ือใชส้ ิทธิขอตรวจดหู นงั สอื สาคญั แสดงกรรมสิทธ์ิในท่ีดินของ นาย ข. หรอื ค. ลูกหนี้ตามคาพิพากษา และนาง ง. หรือ จ. หรือ ฉ. ภริยาของ นาย ข. เพ่ือบงั คับคดตี อ่ ไป สานักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีบันทึกท้ายคาขอ ลงวันที่ 8 มกราคม 2551 ปฏิเสธการ เปิดเผยข้อมลู ขา่ วสารตามคาขอ โดยใหเ้ หตุผลวา่ เป็นข้อมูลขา่ วสารส่วนบุคคลตามมาตรา 15 วรรคหนง่ึ (5) แห่ง พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 อีกทั้งผู้อุทธรณ์ไม่สามารถนาหลักฐานมาแสดงได้ว่าเป็น เจ้าหนีต้ ามคาพิพากษาอันถงึ ที่สุดซึ่งจะถือได้ว่าเป็นผมู้ ีอานาจตามมาตรา 24 วรรคหน่งึ (8) แห่งพระราชบัญญัติ ฉบับเดียวกัน โดยเป็นการปฏิเสธตามหนังสือสานักนายกรฐั มนตรี ที่ นร (กขร) 1311/5094 ลงวันที่ 7 มิถุนายร 2543 สานักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ชี้แจงเพิ่มเติมเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย สรุปได้ว่า ผู้อุทธรณ์ได้ ยื่นขอตรวจสอบหนังสือสาคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของนาย ข. และภริยา ซึ่งปรากฏว่า นาย ข.ไม่มีชื่อถือ กรรมสิทธ์ิในโฉนดที่ดินในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนนาง ง. หรอื จ. ภรยิ าของ นาย ข. มีช่ือถือกรรมสิทธิ์ใน โฉนดทีด่ นิ 2 ฉบบั ซึ่งฉบับหน่ึงได้มาโดยการใหโ้ ดยเสน่หา และอีกฉบบั หนึง่ ไดม้ าโดยการรับมรดก แต่เนื่องจากผู้ อุทธรณ์ไม่ทราบเลขที่โฉนดที่ดินของบุคคลดังกล่าว ประกอบกับผู้อุทธรณ์มิได้แสดงหลักฐานว่าเป็นเจ้าหนี้ตาม คาพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งจะถือได้ว่าเป็นผู้มีอานาจตามมาตรา 24 วรรคหนึ่ง (8) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูล ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 อีกทั้งข้อมูลข่าวสารที่ขอตรวจสอบเป็นขอ้ มูลข่าวสารส่วนบุคคลตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง (5) แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันซึ่งการเปิดเผยจะเป็นการรุกล้าสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร จึง ไมอ่ าจเปดิ เผยขอ้ มูลขา่ วสารตามคาขอได้ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือสาคัญแสดงกรรมสิทธิท์ ี่ดินหรือโฉนดที่ดินทีผ่ ูอ้ ุทธรณข์ อให้เปิดเผยน้ัน เป็นข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของสานักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะ
118 | กฎหมายข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ เปิดเผยโดยปราศจากความยินยอมเป็นหนังสือของเจ้าของข้อมูลที่ให้ไว้ล่วงหน้าหรือในขณะนั้นมิได้ เว้นแต่เป็น การเปิดเผยในกรณีใดกรณีหนึ่งใน 9 ประการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. 2540 ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้อุทธรณ์เป็นเจ้าหนี้ของนาย ข. ตามคาพิพากษาอันถึงที่สุด แล้วซึ่งมีสิทธิที่จะขอหมายบังคับคดี ย่อมถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มีอานาจตามกฎหมายที่จะขอข้อเท็จจริงดังกล่าว ตามมาตรา 24 วรรคหนึ่ง (8) อย่างไรก็ตาม ปรากฏตามหนังสือชี้แจงของส านักงานที่ดินจังหวัด พระนครศรอี ยุธยาว่า สานกั งานท่ีดนิ จังหวัดพระนครศรอี ยุธยาไมม่ ีหนังสือสาคัญแสดงกรรมสิทธ์ิที่ดินหรือโฉนด ที่ดินในนามของนาย ข. (จาเลย) ดังนั้นจึงไม่มีข้อมูลข่าวสารที่จะเปิดเผย หากผู้อุทธรณ์ไม่เชื่อว่าเป็นความจริง ย่อมมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการขอให้ตรวจสอบได้ตามมาตรา 13 ประกอบ มาตรา 33 แหง่ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กรณีนี้ไมอ่ ยู่ในอานาจพจิ ารณาวนิ ิจฉัยของ คณะกรรมการวินิจฉยั การเปดิ เผยขอ้ มลู ขา่ วสาร สาหรับข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับภริยานาย ข. นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นาง ง. หรือ จ. ภริยาของ นาย ข. มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน 2 ฉบับ ตามที่สานักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยาส่งสาเนามาให้ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารวินิจฉัยซึ่งปรากฏตามรายการทะเบียนโฉนดฉบับหนึ่ง นาง ง. หรือ จ. ได้ที่ดินมาโดยรับการให้อีกฉบับหนึง่ ได้ที่ดินมาโดยการรับมรดก ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของนาง ง. หรือ จ. ภรยิ าของ นาย ข. ถงึ หากผู้อทุ ธรณ์จะอ้างว่าหน้ีทผี่ อู้ ุทธรณฟ์ ้องนาย ข. เป็นจาเลยน้ัน เป็นหน้ีร่วมกัน ของสามีภรรยา แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของภริยาก็ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เป็นของภริยาซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็น ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคาพิพากษาหรือเป็นทรัพย์สินที่อาจบังคับชาระหนี้ตามคาพิพากษาได้ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 282 วรรคท้าย ดังที่ศาลฎีกาได้เคยวินิจฉัยไว้เป็นแบบอย่างแล้วตามคา พิพากษาท่ี 445/2540 เมือ่ ผู้อทุ ธรณม์ ไิ ดฟ้ ้องภริยาของนาย ข. เป็นจาเลย ภรยิ านาย ข. จึงมิไดเ้ ปน็ ลูกหน้ีตามคา พิพากษาของผู้อุทธรณ์ แม้มาตรา 1489 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะบัญญัติว่า ถ้าสามีภริยาเป็น ลกู หนร้ี ่วมกัน ให้ชาระหนน้ี นั้ จากสินสมรสและสินส่วนตัวของทง้ั สองฝ่ายก็เป็นเพียงบทบัญญัตทิ ีก่ าหนดสิทธิของ เจ้าหนม้ี ไิ ด้หมายความว่าเจ้าหนี้จะมีสิทธิในการบังคับชาระหนี้เอาแก่สินส่วนตัวของภริยาได้โดยมิต้องฟ้องบังคับ ตามมาตรา 213 แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ดังนน้ั ผู้อุทธรณ์จึงมิใชบ่ ุคคลทม่ี ีอานาจตามกฎหมายท่ี จะขอข้อมูลข่าวสารดังกล่าว ยิ่งกว่านั้นการเปิดเผยยังเป็นการรบกวนสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร ตามมาตรา 15 วรรคหนง่ึ (5) แหง่ พระราชบัญญตั ิขอ้ มูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 60/2563 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า นาย ก. ผู้อุทธรณ์มีหนังสือลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 ถงึ สานกั ทะเบยี นกลาง กรมการปกครอง ขอข้อมูลขา่ วสารเกี่ยวกับสถานภาพการสมรสของนาง ข. วา่ ยังมที ะเบียนสมรส หรือไดจ้ ดทะเบียนหย่าแล้วหรือไมแ่ ละขอสาเนาเอกสารหลักฐานทะเบียนการหย่า เพ่ือ นาไปช้ีแจงแก้ข้อกลา่ วหาต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยา่ งร้ายแรง กรณถี กู กลา่ วหาวา่ มีความสัมพันธ์กับ หญงิ อืน่ ซึง่ ไม่ใชภ่ รรยาของตนจนตงั้ ครรภ์
ผศ.บุญชู ณ ปอ้ มเพ็ชร | 119 สานักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง มีหนังสือที่ มท 0309.3/860 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2562 ถึงผู้ อุทธรณ์แจ้งว่า ข้อมูลสถานภาพการสมรสและเอกสารหลักฐานทะเบียนการหย่าเป็นข้อมูลและเอกสารซึ่ง ประกอบด้วย ข้อมูลตัวบุคคล สถานการณ์สมรส ชื่อคู่สมรส และหรือชื่อบุตร ซึ่งเป็นข้อมูลประวัติทะเบียน ราษฎร ตามที่พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 17 บัญญัติให้นายทะเบียนจะต้องเก็บ รักษาไว้เป็นความลับ ห้ามมิให้เปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ใด ประกอบกับผู้อุทธรณไ์ ม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเกี่ยวข้อง กบั ข้อมูลสถานภาพทางครอบครัวกับบุคคลผู้เป็นเจ้าของข้อมูลดังกล่าว จงึ ไม่สามารถดาเนินการตามคาขอของผู้ อทุ ธรณไ์ ด้ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามมาตรา 49 แหง่ พระราชบัญญตั ดิ งั กลา่ ว และเป็นขอ้ มูลขา่ วสารส่วนบุคคล ที่อยู่ในความรับผิดชอบของสานักทะเบียนกลาง จึงเป็นข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายคุ้มครองมิให้ เปิดเผย ตามความในมาตรา 15 (6) และไม่เข้าข้อยกเว้นให้เปิดเผยข้อมูลได้ โดยปราศจากความยินยอมเป็น หนงั สือจากเจา้ ของข้อมลู ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญตั ิข้อมลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ คือ ข้อมูลการจดทะเบียนสมรสของนาง ข. เป็น ข้อมูลเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัว ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของบุคคล จึงเป็นข้อมูลข่าวสารส่วน บุคคล ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กรณีมีประเด็นต้องพิจารณาว่า คาขอของผู้อุทธรณ์มีเหตุผลเพียงพอที่จะเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้อุทธรณ์มีความ ประสงค์จะใช้ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาตามที่ถูกนาง ข. ร้องเรียนต่อคณะกรรมการสอบสวน ทางวินยั อย่างร้ายแรง โดยเหตแุ หง่ การร้องเรียนมมี ูลคดีมาจากนาง ข. ได้ร้องเรยี นว่ามคี วามสัมพันธ์กับผู้อุทธรณ์ จนเกิดการตัง้ ครรภ์ ดังนน้ั เมอื่ พิเคราะห์ถงึ ประโยชน์ได้เสียของผอู้ ุทธรณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุทธรณ์กับ นาง ข. ผู้ร้องเรียน อันนาไปสู่การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแล้ว เห็นว่า เหตุผลของผู้ อทุ ธรณ์มีเพียงพอที่จะเข้าถงึ ข้อมลู ข่าวสารส่วนบคุ คลของนาง ข. ได้ การเปดิ เผยไม่เป็นการรุกล้าสิทธิส่วนบุคคล เกินสมควร ตามมาตรา 15 (5) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 จึงให้เปิดเผยข้อมูล การจดทะเบียนสมรสของนาง ข. ใหผ้ อู้ ุทธรณ์ทราบได้ ท้งั น้ี เห็นควรกาหนดเง่ือนไขให้ผู้อุทธรณ์ใช้ข้อมูลข่าวสาร ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยนี้เฉพาะในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง เท่าน้นั คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 64/2563 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า สิบเอก ก. ผู้อุทธรณ์มีหนังสือลงวันที่ 9 กันยายน 2562 ถึงสานักงานศาลยุติธรรม ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับข้อมูลการโอนย้ายของนาย ข. จากอัยการ ผู้ช่วย กรมอัยการ ปี 2522 สังกัดกระทรวงมหาดไทย มาเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2523 ถึง วันที่ 1 ตุลาคม 2523 กระทรวงยุติธรรม รวมถึงปี พ.ศ.ที่สอบผู้ช่วยผู้พิพากษา เพื่อนาไปตรวจสอบข้อมูลใน ประวัติโดยยอ่ และแสดงความคิดเห็นในเรือ่ งเก่ียวกับอานาจหน้าท่ีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สานักงานศาลยตุ ิธรรมมีหนังสอื ที่ ศย 003/29045 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2562 ถงึ ผู้อุทธรณแ์ จง้ วา่ ไม่สา มาถใหข้ ้อมูลตามท่ีขอได้ เนอ่ื งจากเป็นขอ้ มูลสว่ นบุคคล
120 | กฎหมายข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ คือ ข้อมูลประวัติการโอนย้ายของนาย ข. จาก อัยการผชู้ ว่ ย กรมอัยการ ปี 2522 สงั กดั กระทรวงมหาดไทย มาเปน็ ผู้ชว่ ยผู้พิพากษา เม่อื วนั ท่ี 2 มกราคม 2523 ถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2523 ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการรับราชการของนาย ข. ซึ่งเป็น ขอ้ มลู ข่าวสารเก่ียวกับสิ่งเฉพาะตัวของบุคคลอันเก่ียวกับการทางาน จึงเปน็ ขอ้ มูลขา่ วสารส่วนบุคคล ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งในกรณีนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้รับความ ยินยอมจาก นาย ข. แต่อย่างใด หน่วยงานของรัฐจึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความ ควบคมุ ดูแลของตนต่อผู้อน่ื ได้ ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบญั ญัติเดียวกนั และเม่ือพิจารณาคาขอของผู้อุทธรณ์ ที่ต้องการนาข้อมูลข่าวสารดังกล่าวไปตรวจสอบข้อมูลในประวัติโดยย่อและแสดงความคิดเห็นในเรื่องเกี่ยวกับ อานาจหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เห็นว่า ยังไม่มีน้าหนักเพียงพอว่า การเปิดข้อมูลดังกล่าวจาเป็น ต่อการคุ้มครองสิทธิของผู้อุทธรณ์อย่างไร การเปิดเผยประวัติการรับราชการของนาย ข. จะเป็นการรุกล้าสิทธิ ส่วนบุคคลโดยไม่สมควร ตามมาตรา 15 (5) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงการปฏบิ ัตหิ น้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานรัฐ ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่ เกี่ยวข้องประกอบกันแล้ว เห็นว่า ข้อมูลข่าวสารที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอเป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่อาจเปิดเผยให้ผู้ อุทธรณ์ทราบได้ การที่สานักงานศาลยุติธรรม ปฏิเสธการเปิดเผยประวัติการรับราชการของนาย ข. ดังกล่าวจึง ชอบแล้ว คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 104/2563 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า ธนาคารออมสิน โดยนาย ก.ผู้รับมอบ อานาจผู้อทุ ธรณ์ ได้มีหนงั สอื ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ถงึ อาเภอเมืองชลบุรี ขอขอ้ มลู ขา่ วสารเก่ียวกับทะเบียน ครอบครัวของ นางสาว ข. นางสาว ค. และนางสาว ง. ลูกหนี้ตามคาพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. 4042/2554 เพ่อื นาไปเปน็ หลักฐานประกอบในการดาเนินคดี อาเภอเมอื งชลบุรีมีหนังสือลงวนั ท่ี 14 สิงหาคม 2562 ถงึ ผูอ้ ทุ ธรณ์แจ้งว่า เนอื่ งจากผอู้ ุทธรณ์เป็นผู้ไม่มี ส่วนได้เสียตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจดทเบียนครอบครัว พ.ศ. 2541 ข้อ 5 ประกอบกับ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 24 กาหนดว่า หน่วยงานของรัฐจะเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารที่อยู่ในความดูแลของตนต่อหน่วยงานของรัฐอื่นหรือผู้อื่นโดยปราศจากความยินยอมเป็นหนังสือของ เจ้าของข้อมูลที่ให้ไว้ล่วงหน้า หรือในขณะนั้นมิได้ และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มาตรา 19 กาหนดว่า ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลจะกระทาการเก็บ รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วน บุคคลไม่ได้ หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไม่ได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนหรือในขณะนั้น เว้นแต่บทบัญญัติแห่ง พระราชบญั ญัตนิ ีห้ รอื กฎหมายอืน่ บัญญตั ิให้กระทาได้ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ คือ ทะเบียนครอบครัวของ นางสาว ข. นางสาว ค. และนางสาว ง. ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของบุคคลซึ่งเข้าลักษณะเป็นข้อมูลส่วน
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพช็ ร | 121 บุคคล ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้รับความยินยอมจากนางสาว ข. นางสาว ค. และนางสาว ง. แต่อย่างใด ตามพระราชบัญญัติเดียวกัน และ เหตุผลที่ผู้อุทธรณ์ขอข้อมูลข่าวสารดังกล่าวก็เพื่อนาไปเป็นหลักฐานประกอบการบังคับชาระหนี้จากสัญญายืม และค้าประกันนั้น ยังไม่มีน้าหนักเพียงพอที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลของบุคคลอื่นได้ การเปิดเผยจะ เป็นการรุกล้าสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควรตามมาตรา 15 (5) ดังนั้นเมื่อพิเคราะห์ถึงการปฏิบัติหน้าที่ตาม กฎหมายของหน่วยงานรัฐ ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกันแล้ว เห็นว่า ขอ้ มูลข่าวสารท่ีผ้อู ุทธรณ์ร้องขอเป็นข้อมูลข่าวสารท่ีไม่อาจเปิดเผยให้ผู้อุทธรณ์ทราบได้ การท่ีอาเภอเมืองชลบุรี ปฏเิ สธการเปิดเผย ทะเบียนครอบครวั ของ นางสาว ข. นางสาว ค. และนางสาว ง. ดงั กลา่ วจงึ ชอบแล้ว (6) ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับกรณีกฎหมายหรือบุคคลเจ้าของข้อมูลกำหนดมิให้ เปิดเผย มาตรา 15 (6) ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผย หรือข้อมูลข่าวสารที่มี ผูใ้ ห้มาโดยไมป่ ระสงคใ์ ห้ทางราชการนำไปเปดิ เผยต่อผูอ้ นื่ ข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา 15 (6) มีสองประเภท คือ 1.ข้อมูลข่าวสารที่มีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผยซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของ หนว่ ยงานของรัฐน้ันบัญญัตกิ าหนดห้ามไม่ให้เปิดเผยข้อมูลขา่ วสารบางประเภทไว้ เช่น พระราชบัญญัติทะเบียน ราษฎร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 17 พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 พระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. 2542 มาตรา 120 เป็นตน้ กรณีที่ข้อมูลข่าวสารของราชการนั้นมีบทกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผยโดยเฉพาะ ย่อมต้องบังคับตาม กฎหมายนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจจะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้น ข้อมูลข่าวสารของราชการประเภทน้ี ยกตัวอยา่ งเช่น พระราชบัญญตั ิสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 ซ่งึ บญั ญัตวิ ่า “ห้ามมิให้เจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับสิทธิบัตรเปิดเผยรายละเอียดการประดิษฐ์หรือ ยอมใหบ้ คุ คลใดตรวจหรือคัดสำเนารายละเอียดการประดษิ ฐ์ ไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ กอ่ นมกี ารประกาศ โฆษณาตามมาตรา 28 เวน้ แต่จะได้รบั ความยินยอมเปน็ หนงั สือจากผขู้ อรับสทิ ธิบัตร” พระราชบญั ญตั กิ ารทะเบยี นราษฎร พ.ศ. 2534 มาตรา 17 ซงึ่ บัญญัติวา่ “ข้อมลู ทะเบยี นประวตั ิราษฎรต้องถือเป็นความลบั และให้นายทะเบียนเปน็ ผู้เก็บรักษาและใช้เพื่อ การปฏบิ ัติตามทไ่ี ด้บัญญัติไว้ในพระราชบญั ญตั ินี้เทา่ นนั้ หา้ มมิใหผ้ ู้ใดเปดิ เผยข้อความหรือตัวเลข นั้นแก่บุคคลใด ๆ ซึ่งไม่มีหน้าที่ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ หรือแก่สาธารณชนเว้นแต่ผู้มี ส่วนได้เสียขอทราบเกี่ยวกับสถานภาพทางครอบครัวที่ตนจะมีนิติสัมพันธ์ด้วย หรือเมื่อมีความ จำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งการสถิติ หรือเพื่อประโยชน์แก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือการ
122 | กฎหมายขอ้ มลู ขา่ วสารของทางราชการ ดำเนินคดี หรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและไม่ว่าในกรณีใดจะนำข้อมูลทะเบียนประวัติ ราษฎรไปใช้เปน็ หลักฐานทีอ่ าจกอ่ ให้เกิดความเสยี หายแกเ่ จา้ ของข้อมูลมิได้” ซึ่งในกรณีที่มีกฎหมายเฉพาะห้ามมิให้เปิดเผยแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีดุลยพินิจอยู่หรือไม่ในการ เปิดเผยขอ้ มูลขา่ วสารของราชการนนั้ กรณดี งั กล่าวนี้ ฤทยั หงส์สิรแิ ละมานิตย์ จุมปา ไดอ้ ธิบายว่า10 “ในกรณีนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายเฉพาะต่าง ๆ นี้ เป็นข้อยกเว้นของกฎหมายข้อมูลข่าวสารของ ราชการซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป กล่าวคือ กฎหมายข้อมูลข่าวสารถือเป็นกฎหมายทั่วไป ดังนั้น หากมีกฎหมาย บัญญัตไิ ว้เฉพาะ ก็ย่อมมผี ลยกเว้นกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการ โดยหลักท่ีวา่ กฎหมายเฉพาะย่อมยกเว้น กฎหมายทั่วไป ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามกฎหมายเฉพาะจึงควรเป็นไปตามกฎหมายนั้น ๆ เช่น ใน เรื่องผลการสอบสวนการทุจริตยาในกระทรวงสาธารณสุข ก็ต้องเป็นอานาจของคณะกรรมการ ป.ป.ป. ในการ พจิ ารณาวา่ จะเปิดเผยหรอื ไม่ ไม่ใชอ่ านาจของคณะกรรมการวนิ ิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสาร เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเนื้อหาและเจตนารมณ์ของกฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการแล้ว ผู้เขียน (หมายถึง ฤทัย หงส์สิริและมานิตย์ จุมปา) เห็นว่ากฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการนี้ ได้จัดทาขึ้นโดยมี เจตนารมณ์ให้เป็นกฎหมายกลางที่ใช้กับข้อมูลข่าวสารของราชการได้ทุกเรื่อง โดยกาหนดหลักเกณฑ์ไว้กลาง ๆ ไว้ที่อาจจะปรับใช้กับกฎหมายต่าง ๆได้ และหากพิจารณาในเนื้อหาแล้ว กฎหมายข้อมูลข่าวสารของราชการน้ี ไม่ไดข้ ดั กับกฎหมายเฉพาะ แม้วา่ กฎหมายเฉพาะจะบทบัญญัติห้ามเปิดเผยข้อมูลข่าวสารก็ตาม เนอื่ งจากมาตรา 15 (6) ก็ให้อานาจเจ้าหน้าที่ที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้หากมีกฎหมายคุ้มครองห้ามมิให้เปิดเผย เพียงแต่ กฎหมายข้อมูลขา่ วสารของราชการได้ให้อานาจแก่เจา้ หน้าที่ของรัฐและคณะกรรมการวนิ ิจฉยั การเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารที่จะใช้ดุลยพินิจเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้ แม้ว่าจะมีกฎหมายเฉพาะไม่ให้เปิดเผยก็ตามโดยพิจารณา ชั่งน้าหนักส่วนได้เสียในเรื่องนั้นว่า น่าเป็นประโยชน์สาธารณะมากกว่าหรือไม่ โดยคณะกรรมการวินิจฉัยการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารก็เป็นผู้เช่ียวชาญที่ต้ังขึ้นตามสาขาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของข้อมูลขา่ วสารดังกล่าว มี อานาจเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในชั้นความลับต่าง ๆ เนื่องจากมีอานาจในการเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคา หรือให้ ส่งวัตถุ เอกสาร หรอื พยานหลกั ฐานใด ๆ มาประกอบการพิจารณาได้ ดงั นัน้ ในการพจิ ารณาวา่ จะเปดิ เผยข้อมูล ข่าวสารของราชการได้หรือไม่ แม้จะมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติไว้ก็ตาม ก็สามารถใช้กฎหมายข้อมูลข่าวสารของ ราชการบงั คับได้ ในฐานะท่เี ป็นกฎหมายกลางในเรอ่ื งของข้อมลู ข่าวสารของราชการ” แต่อย่างไรก็ตาม แม้บทบัญญัติตามมาตรา 15 (6) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 จะบัญญัติโดยใช้คาว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจไม่เปิดเผย” ข้อมูลข่าวสารนั้น แต่โดยความเป็นจริง เจ้าหน้าที่ของรัฐมกั จะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทม่ี ีกฎหมายหา้ มมิให้เปิดเผย ทง้ั นี้ บทกฎหมายดังกล่าวกาหนดมิ ให้เปิดเผยโดยเฉพาะย่อมมีสภาพบังคับทางกฎหมายต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ บางกรณีบทกฎหมายคุ้มครองมิให้ เปิดเผยยังกาหนดโทษทางอาญาในการฝ่าฝืนเอาไว้ด้วย ซึ่งทาให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าใจว่า ไม่สามารถเปิดเผย ขอ้ มลู ข่าวสารน้ันได้ ทั้งน้ีเพราะมีโทษทางอาญามาเก่ียวข้อง กรณมี ขี ้อถกเถียงว่า กรณที ี่มกี ฎหมายเฉพาะห้ามมิ ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร เจ้าหน้าที่ของรัฐจะสามารถเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร 10ฤทัย หงส์สิรแิ ละมานิตย์ จมุ ปา,อ้างแล้ว.หนา้ 147-148.
ผศ.บญุ ชู ณ ปอ้ มเพช็ ร | 123 ของราชการ พ.ศ. 2540 นั้นได้หรือไม่ ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักในคาพิพากษาศาลปกครองสูงที่ อ. 230/2551 และที่ อ. 427/2551 ไว้ว่า แม้กฎหมายเฉพาะจะกาหนดห้ามเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในกรณีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ของรัฐยังมีอานาจตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ที่จะพิจารณาโดยไม่ นาเอากฎหมายเฉพาะมาตัดสิทธิการเขา้ ถึงขอ้ มูลขา่ วสาร คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมและการเกษตร ท่ี วท 1/2561 อุทธรณเ์ รือ่ งนี้ ไดค้ วามว่า พนั โท แพทยห์ ญิง ก. กบั พวก ผอู้ ุทธรณ์ ได้มีหนังสือลงวันที่ 24 เมษายน 2561 ถึงกระทรวงพลังงาน ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการประชุม คณะกรรมการนโยบายพลงั งานแหง่ ชาติ จานวน 2 รายการ ดงั น้ี 1.มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 พร้อมรายช่ือ ผูเ้ ขา้ ร่วมประชมุ และผมู้ มี ติเหน็ ชอบ 2.หนังสือประกาศเชิญชวนในการรับการจัดสรรปิโตรเลียม แหล่งบงกช-เอราวัณ รวมทั้งหลักเกณฑ์ เง่ือนไขขอ้ กาหนดในการประกาศเปิดประมลู ผู้เขา้ แข่งขนั การจดั สรรปโิ ตรเลยี ม แหลง่ บงกช-เอราวณั สานักนโยบายและแผนพลังงาน มีหนังสือ ที่ พน (กพช.) 0602/581 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 แจ้ง ปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยให้เหตุผลว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กาหนดให้ เป็นการประชุมลับมาก และเอกสารที่ใช้ในการประชุม กาหนดชั้นความลับ ลับมาก และลับที่สุด จึงเป็นข้อมูล ขา่ วสารของราชการทีม่ ีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผย ตามมาตรา 15 (6) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ ราชการ พ.ศ. 2540 และระเบียบว่าด้วยการรักษาความลบั ของทางราชการ พ.ศ. 2544 ขอ้ 5 ข้อ 10 ข้อ 13 และ ข้อ 14 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรมและ การเกษตร พิจารณาแล้วเห็นว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 พร้อมรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม และผู้มีมติเห็นชอบ ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นข้อมูลเกี่ยวกับมติ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมีลักษณะเป็นมติคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยกฎหมาย มาตรา 9 (7) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ท่หี น่วยงานของรัฐตอ้ งจัดใหม้ ีข้อมูลข่าวสารดังกล่าว ไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ แม้ว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะกาหนดให้เป็นการ ประชุมลับมาก และเอกสารท่ีใช้ในการประชุม กาหนดชั้นความลับ ลับมาก และลับที่สุด แต่เมื่อการประชุม คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเสร็จสิ้นแล้วและมีมติเป็นประการใดแล้ว สานักนโยบายและแผน พลังงานมีหน้าที่ต้องเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้และตรวจสอบได้ ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติข้อมูล ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 นอกจากนี้การเปิดเผยจะแสดงใหเ้ ห็นถึงความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของสานัก นโยบายและแผนพลังงานด้วย ส่วนรายชื่อผู้เข้าประชุมนั้นจะประกอบด้วยคณะกรรมการโดยตาแหน่งซึ่งเป็น องคป์ ระกอบตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เมอ่ื ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การเปดิ เผยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือ ความปลอดภัยของบุคคลหนึ่งบุคคลใด ตามมาตรา 15 (5) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ดังนั้นเมื่อพิเคราะห์ถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และ
124 | กฎหมายขอ้ มลู ขา่ วสารของทางราชการ ประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกนั แลว้ เห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามคาขอของผู้อุทธรณ์ในส่วนนี้เปิดเผย ใหผ้ อู้ ุทธรณ์ทราบได้ ส่วนขอ้ มูลขา่ วสารในรายการท่ี 2 สานักนโยบายและแผนพลังงานแจ้งว่า ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวไม่อยู่ใน ความครอบครองหรือควบคมุ ดูแลของสานักนโยบายและแผนพลงั งาน จึงไมม่ ีประเด็นต้องวินิจฉัย คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.230/2551 และที่ อ.427/2551 ในคดีที่ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นเรื่องราว ร้องทุกข์กล่าวโทษรอ้ ยตารวจเอก พ. กับพวกต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ (ผู้ถกู ฟ้องคดที ี่ 1) กรณเี ป็นเจ้าพนกั งานบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้ฟ้องคดีในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและไม่มีเหตุ อันสมควร พรอ้ มกบั ยึดอุปกรณ์เครื่องเลน่ วีดีโอเกมไปโดยมิชอบ ภายหลงั ได้กลัน่ แกลง้ จับกุมผ้ฟู อ้ งคดี โดยอา้ งว่า กระทาความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่าเล่นวีดีโอเกมโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1จึงได้แต่งต้ัง คณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง และได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ร้อยตารวจเอก พ. กับพวก ไม่มีมูล ความผิดตามข้อกล่าวหาและใหข้ ้อกลา่ วหาตกไป โดยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบถึงมติดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือลงวันที่ 2 กันยายน 2545 ขอตรวจและคัดสาเนาเอกสารไต่สวนข้อเท็จจริงและการสรุปสานวนพร้อมความเห็นทั้งหมดจาก ผู้ถูกฟอ้ งคดีที่ 2 ซึ่งผู้ถกู ฟ้องคดีที่ 2 มีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดีว่าผูถ้ ูกฟ้องคดีที่ 1 มีมติไม่อนุญาตให้ผู้ฟอ้ งคดตี รวจ และคดั สาเนาเอกสารไต่สวนขอ้ เท็จจรงิ ตามทีผ่ ฟู้ ้องคดรี ้องขอ แต่ได้ส่งสรปุ ข้อเท็จจรงิ ข้อพิจารณาและความเห็น ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ไปให้ผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงได้มีหนังสืออุทธรณ์คาสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคมฯ ได้มีคาวินิจฉัยให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเปิดเผย สานวนการสอบสวนของผถู้ ูกฟ้องคดีที่ 1 ผู้ฟอ้ งคดีจึงได้มีหนังสือลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2546 ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 1 เปิดเผยขอ้ มลู ขา่ วสารตามมติของคณะกรรมการวินจิ ฉัยการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสาร แตจ่ นถงึ ปจั จุบนั ผู้ถูกฟ้อง คดีทั้งสองก็ยังไม่ได้ดาเนินการตามคาวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคมฯ แตอ่ ยา่ งใด จากมาตรา 58 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กาหนดว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ ได้รับทราบข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ ราชการส่วนท้องถิ่น เว้นแต่การเปิดเผยนั้นจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประชาชน หรือ ส่วนได้เสียอันพึงได้รับความคุ้มครองของบุคคลอื่น ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ ฉะนั้น ตามหลักการของ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงต้องการให้เป็นหลักประกันแก่ประชาชนที่จะมีสิทธิได้รับทราบข้อมูล ข่าวสารของราชการได้เสมอไม่ว่าข้อมูลข่าวสารนั้นจะเป็นของหน่วยงานของรัฐประเภทใด ปัจจุบันมี พระราชบญั ญัตขิ ้อมูลข่าวสารของราชการฯ เป็นกฎหมายกลางในการกาหนดหลักเกณฑ์การให้หน่วยงานของรัฐ มีหนา้ ที่เปดิ เผยขอ้ มลู ข่าวสารในความครอบครองใหแ้ ก่ประชาชนได้ทราบ เพ่ือที่ประชาชนจะสามารถแสดงความ คดิ เห็นและให้สิทธิทางการเมืองได้ถกู ต้องตามความเป็นจริง โดยมีข้อยกเวน้ อนั ไม่ต้องเปิดเผยทชี่ ัดแจ้งและจากัด เฉพาะขอ้ มูลข่าวสารที่หากเปิดเผยแล้วจะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติหรือต่อประโยชน์ที่สาคัญของเอกชน พระราชบัญญัติฉบับนี้จึงเป็นกฎหมายที่เป็นไปตามหลักการของมาตรา 58 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร
ผศ.บุญชู ณ ปอ้ มเพช็ ร | 125 ไทย พุทธศักราช 2540 ดงั นั้น ในการพจิ ารณาวา่ ขอ้ มลู ข่าวสารท่ผี ูฟ้ ้องคดีร้องขอใหเ้ ปิดเผยน้ันเป็นข้อมูลข่าวสาร ทหี่ ้ามเปิดเผยหรอื ไม่ นน้ั จึงตอ้ งพิจารณาตามบทบัญญัติดังกล่าวประกอบกับพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ ราชการฯ ซึง่ ในขอ้ เท็จจรงิ ในคดีน้ีปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้ขอตรวจและคัดสาเนาสานวนการสอบสวนของผู้ถูกฟ้อง คดีที่ 1 ที่ได้มาจากการไต่สวนข้อเท็จจริงในกรณีที่ผู้ฟ้องคดีร้องทุกข์กล่าวโทษร้อยตารวจเอก พ. กับพวก ว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่ได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตาม มาตรา 19 (3) แหง่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ต้องห้ามมิให้เปิดเผยตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติข้างต้นซึ่งเป็นบทบัญญัติตามมาตรา 120 นี้ เป็น หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ โดยเป็นบทกาหนดโทษบุคคลที่เปิดเผย ขอ้ ความ ข้อเท็จจริงหรอื ขอ้ มลู ที่ได้มาเนือ่ งจากการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญตั ิ โดยมไิ ด้รับมอบหมายจากผู้ ถูกฟ้องคดีที่ 1 และมิใช่เป็นการกระทาตามหน้าที่ราชการหรือเพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบหรือไต่สวน ข้อเท็จจริง หรือเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ จากบทบัญญัติข้างต้นจะเห็นได้ว่า บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ห้ามหรือให้อานาจผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยไม่มีเหตุอันสมควร แต่อย่างใด นอกจากนี้ ในการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จะใช้ดุลยพินิจในการเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ดังกล่าวนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ย่อมต้องพิจารณาพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการฯ ประกอบด้วย ซ่ึง มาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้างต้น กาหนดว่า ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคาสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ โดยคานึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตาม กฎหมายของหน่วยงานรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน... (6) ข้อมูล ขา่ วสารของราชการทม่ี กี ฎหมายคมุ้ ครองมิให้เปิดเผย หรือข้อมูลขา่ วสารทีม่ ผี ู้ใหม้ าโดยไม่ประสงค์ให้ทางราชการ เปิดเผยต่อผู้อื่น...จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 นั้น ถือเป็น ดุลยพินิจของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้ โดยต้องคานึงถึงการปฏิบัติ หน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวขอ้ งประกอบกัน เม่ือ ไม่ปรากฏว่า ข้อมูลข่าวสารที่ผู้ฟ้องคดีขอให้เปิดเผยนั้นเป็นข้อมูลข่าวสารเป็นข้อมูลข่าวสารอันที่จะก่อให้เกิด ความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ หรืออาจทาให้การบังคับใช้กฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เสื่อม ประสิทธิภาพ ตลอดจนไม่กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 แต่อย่างใด แต่ในทางกลับกันผู้ฟ้อง คดีสมควรได้รับการคุ้มครองสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ของ หน่วยงานรัฐให้สิ้นสงสัยและเพื่อปกปอ้ งสิทธิเสรีภาพของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีไม่เหตุที่ผู้ถูกฟ้องคดีทงั้ สองจะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารท่ีผู้ฟ้องคดีขอให้เปิดเผย ผูถ้ ูกฟอ้ งคดีที่ 2 เปน็ หนว่ ยงานอิสระของรัฐและมีฐานะ เปน็ หน่วยงานของรัฐตามมาตรา 4 แหง่ พระราชบญั ญัตขิ ้อมลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และผ้ถู ูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นเจา้ หนา้ ทีข่ องรัฐที่ปฏิบัติหนา้ ท่ีให้กับหน่วยงานของรัฐในฐานะคณะกรรมการที่ทางานสัมพันธ์กับผู้ถูกฟ้อง คดีที่ 2 ซง่ึ เป็นหนว่ ยงานของรัฐ ผู้ถูกฟ้องคดที ี่ 1จึงเปน็ เจา้ หน้าที่ของรัฐตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูล ข่าวสารของราชการฯ ดังนั้นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงตกอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ
126 | กฎหมายข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ ราชการฯ และมหี น้าที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกลา่ ว การที่ผ้ถู ูกฟ้องคดีท้ังสองไม่ปฏิบัติตามคาวินิจฉัย ของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ถือได้ว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดให้ ตอ้ งปฏบิ ัติ พิพากษาใหผ้ ู้ถกู ฟอ้ งคดที ้งั สองเปิดเผยข้อมลู ข่าวสารให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามคาวินิจฉัยของคณะกรรมการ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารทบญั ญตั ิที่หา้ มเปิดเผยข้อมูลเด็ดขาด 2.ขอ้ มูลข่าวสารที่มีผใู้ หม้ าโดยไม่ประสงค์ให้ทางราชการนาไปเปิดเผยต่อผู้อ่ืน ข้อมูลข่าวสารที่เอกชนเป็นผู้ให้มาไม่ประสงค์ให้เปิดเผยย่อมเป็นไปตามข้อเท็จจริง กรณีนี้กฎหมายให้ หน่วยงานของรัฐต้องคานึงถึงความประสงค์ของเอกชนผู้ให้ข้อมูลข่าวสารก็เพื่อให้การบริหารงานของรัฐเป็นไป โดยไดร้ บั ความเชื่อถอื ไวว้ างใจจากผู้ที่เก่ียวข้อง หากหน่วยงานของรฐั ไมร่ กั ษาความไว้วางใจที่ใหข้ อ้ มูลข่าวสารมา และกลับนาไปเปิดเผยเสียต่อไปเอกชนจะไม่เชอ่ื ถอื ให้ขอ้ มลู ขา่ วสารใด ๆ แกห่ น่วยงานของรฐั อกี กรณีนี้ผู้ให้ข้อมูลข่าวสารอาจระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจนว่า ไม่ประสงค์จะให้ราชการนาไป เปิดเผยหรืออาจมีการทาสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเจ้าของข้อมูลว่าจะไม่เปิดเผย ข้อมูลที่ผู้ให้มาไม่ ประสงค์ให้เปิดเผย ก็ต้องเป็นไปตามความประสงค์นั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจไม่เปิดเผยข้อมูลนั้นต่อบุคคลอื่น ความประสงค์นนั้ จะเป็นความประสงค์โดยชัดแจ้งหรอื โดยปริยายก็ได้ เพราะบางกรณี อาจถือวา่ ผูใ้ หข้ ้อมลู โดยไม่ ประสงค์จะให้เปิดเผยโดยปริยาย เช่น การร้องเรียนการทุจริตประพฤติมิชอบ การส่งบัตรสนเท่ห์ร้องเรียน หรือ การแจง้ เบาะแสยาเสพติด เป็นตน้ ข้อมูลเชน่ นี้ โดยเฉพาะทีม่ ชี อื่ หรือส่งิ ท่ีทาให้รู้ช่ือผู้ใหข้ ้อมูลขา่ วสาร หน่วยงาน ของรัฐย่อมต้องเข้าใจว่า จะต้องไม่นาไปเปิดเผย ทั้งนี้บุคคลที่ให้หรือเสนอข้อมูลข่าวสารใดต่อรัฐย่อมหวังว่า จะ ได้รับความคุ้มครอง ทั้งส่วนที่เป็นความลับและความปลอดภัยของตัวบุคคลนั้น เมื่อเขาไม่ประสงค์จะเปิดเผย เมื่อรัฐได้ข้อมูลข่าวสารนั้นมา รัฐต้องสร้างความไว้วางใจให้กับบุคคลนั้นเช่นเดียวกันว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูล ข่าวสารนั้น คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 172/2552 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า ผู้อุทธรณ์มีหนังสือลงวันที่ 1 มิถุนายน 2552 ถึงผอู้ านวยการสานกั สง่ เสรมิ การขนส่งทางน้าและพาณชิ ยนาวี ขอขอ้ มลู ข่าวสาร จานวน 2 รายการ คือ 1.คาขอรับหนังสืออนุญาตบรรทุกของที่สั่งหรือนาเข้ามาจากต่างประเทศโดยเรืออื่นที่มิใช่เรือไทยตาม แบบ พว.-ค.2 โดยบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จากัด เป็นผู้กระทาการแทนตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 2.คาขอรับหนังสืออนุญาตบรรทุกของที่สั่งหรือนาเข้ามาจากต่างประเทศโดยเรืออื่นที่มิใช่เรือไทยตาม แบบ พว.-ค.2 โดยบริษัท บดท จากัด เป็นผู้กระทาการแทนตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 กรมการขนสง่ ทางนา้ และพาณชิ ยนาวมี หี นังสือด้วนที่สุด ที่ คค 0318/3383 ลงวันท่ี 18 กันยายน 2552 ถึงผู้อุทธรณ์ปฏิเสธการเปิดเผยโดยให้เหตุผลว่า ข้อมูลข่าวสารที่ผู้อุทธรณ์ร้องขออาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสีย ของบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จากัด และบริษัท บดท จากัด ดังนั้น กรมการขนส่งทางน้าและพาณิชยนาวีจงึ ต้อง ปฏิบัติตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 โดยแจ้งให้บริษัท ไทยเดินเรือ
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพช็ ร | 127 ทะเล จากัด และบริษัท บดท จากัด คัดค้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวหรือไม่ ปรากฏว่าบริษัท ไทย เดินเรอื ทะเล จากัด และบริษทั บดท จากดั ไดแ้ จง้ คัดคา้ นการเปิดเผย กรมการขนส่งทางน้าและพาณิชยนาวี จึง ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามมาตรา 15 (6) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูล ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมายได้พจิ ารณาขอ้ เท็จจริงเพิ่มเติม ดงั น้ี ผู้แทนบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จากัด ชี้แจงสรุปได้ว่า แบบ พว.-ค.2 มีรายละเอียดที่เป็นข้อมูลของ ลูกคา้ ซง่ึ มาใชบ้ ริการขนส่งทางเรือของบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จากัด ซ่งึ มีการอา้ งองิ ถึงเรอื่ งของธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องในทางการค้า โดยทั่วไปต้องสงวนไว้ เพรามิใช่เป็นเรื่องของกฎระเบียบหรือประกาศ ของทางราชการ บรษิ ัท ไทยเดินเรือทะเล จากัด ในฐานะผรู้ ับจา้ งจึงต้องปกป้องลูกคา้ ของตนเพื่อมิให้ได้รับความ เสยี หายอนั อาจจะเกิดข้ึนได้ ผแู้ ทนบรษิ ัท บดท จากัด ชี้แจงสรุปได้ว่า แบบ พว.-ค.2 มรี ายละเอียดวา่ บรษิ ัท บดท จากัด ได้รับมอบ อานาจจากบุคคลใดเพื่อมายื่นแบบ พว.-ค.2 สินค้านาเข้ามาจากที่ไหน และสินค้าส่งมอบไปยังหน่วยงานใด เป็น ต้น จึงเป็นรายละเอียดที่ส่วนหนึ่งมาจากสัญญาที่ลูกค้าบริษัท บดท จากัด ทาสัญญาไว้กับหน่วยงานราชการ และอีกส่วนหนึ่งมาจากหนังสือที่เป็นใบสั่งของทีแ่ จง้ ไปที่ต่างประเทศ บริษัท บดท จากัด จะเป็นผู้จัดหาเรือเพอ่ื ส่งสินค้าให้กับลูกค้า บริษัท บดท จากัด ไม่ทราบว่าธุรกิจของลูกค้ามีการแข่งขันมากน้อยเพียงใดส่วนได้เสียใน การแข่งขันประมูลเพื่อได้งานของหน่วยงานราชการของลูกค้า เช่น ราคาที่ลูกค้าไปยื่นกับหน่วยงานราชการ บริษัท บดท จากัด ไม่สามารถตอบได้ว่า หากเปิดเผยแบบ พว.-ค.2 แก่ผู้อุทธรณ์ไปแล้วจะก่อให้เกิดความ เสยี หายแก่ บรษิ ทั บดท จากัด และลกู คา้ บรษิ ทั บดท จากัด หรอื ไม่อยา่ งไรอกี ทั้งอาจเกิดปัญหาในอนาคตหากมี บคุ คลใดนาข้อมูลของบรษิ ทั บดท จากัด และลกู ค้าบริษัท บดท จากดั ไปใชเ้ พือ่ การแขง่ ขัน คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใชก้ ฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่า ขอ้ มูลขา่ วสารที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอ คอื หนังสอื อนญุ าตบรรทกุ ของที่สั่งหรือนาเข้า มาจากต่างประเทศโดยเรืออื่นที่มิใช่เรือไทยตามแบบ พว.-ค.2 โดยบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จากัด และบริษัท บดท จากัด เป็นผู้กระทาการแทนตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 เป็นข้อมูลข่าวสาร ของราชการเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ การเปิดเผยจะทาให้สามารถตรวจสอบได้ว่าการปฏิบัติงานของ หน่วยงานรัฐถูกต้องตามระเบียบหรือกฎหมายหรือไม่อย่างไร ดังนั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงการปฏิบัติหน้าที่ตาม กฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกันแล้วข้อมูล ข่าวสารที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอจึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยให้ผู้อุทธรณ์ทราบได้ เว้นแต่ข้อมูลรายละเอียดใน รายการที่ว่าด้วยกาหนดเวลาที่ใช้ของและรายการที่ว่าด้วยการบรรทุกของลงเรือเพราะหากเปิดเผยก็อาจมี ผลกระทบต่อการดาเนินธุรกิจของบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จากัด และบริษัท บดท จากัด เนื่องจาก บุคคลภายนอกที่เป็นคู่แข่งทางการค้าของบริษัท ไทยเดินเรือทะเล จากัด และบริษัท บดท จากัด อาจนาข้อมูล ดังกล่าวไปใชเ้ พื่อประโยชน์ในการแข่งขันทางการคา้ ได้
128 | กฎหมายขอ้ มลู ข่าวสารของทางราชการ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย จึงวินิจฉัยให้กรมขนส่งทางน้าและพาณิชยนาวีเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอ พร้อม ทั้งให้สาเนาที่มีคารับรองถูกต้องแก่ผู้อุทธรณ์ โดยปกปิดข้อมูลรายละเอียดในรายการที่ว่าด้วยกาหนดเวลาที่ใช้ ของและรายการท่วี า่ ดว้ ยการบรรทกุ ของลงเรอื คำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ 1732/2554 การที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าตามข้อ 21 ของสัญญา ซื้อขายไฟฟ้ากาหนดให้คู่สัญญารักษาความลับของข้อมูลในการซื้อขายไฟฟ้า อันเป็นการแสดงแจตนาที่คู่สัญญา ไมพ่ งึ ประสงคจ์ ะใหร้ าชการนาไปเปิดเผยต่อผูอ้ ื่นตามมาตรา 15 วรรคหน่งึ (6) แห่งพระราชบัญญตั ขิ ้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. 2540 เหน็ ว่า ข้อมลู ขา่ วสารตามมาตรา 15 ไมใ่ ชบ่ ทบญั ญัตทิ ี่หา้ มเปิดเผยขอ้ มูลเด็ดขาด แต่ให้ หน่วยงานของรัฐใช้ดุลยพนิ ิจว่า สมควรที่จะมีคาสั่งเปิดเผยหรอื ไม่เปิดเผยก็ได้โดยคานึงถึงการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตาม กฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์ของเอกชนทีเ่ ก่ียวข้องประกอบกัน การที่ผู้ถกู ฟ้องคดีที่ 2 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเป็นข้อมูลที่เปิดเผยได้ จึงเป็นการใช้ ดุลยพินิจโดยชอบด้วยพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ส่วนที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่า ข้อมูล สัญญาซื้อขายไฟฟ้าและข้อตกลงเพิ่มเติมถือเป็นความลับทางการค้า ตามพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 นั้น เห็นว่า ตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 บัญญัติว่า การกระทาอยา่ งใดอย่างหนึ่งดังต่อไปน้ีแก่ความลับทางการคา้ ไม่ถอื วา่ เป็นการละเมิดสิทธิในความลบั ทางการค้า ...(2) การเปิดเผยหรือใช้ซึ่งความลับทางการค้าโดยหน่วยงานของรัฐซึ่งดูแลรักษาความลับทางการค้านั้น โดยใน กรณีดังต่อไปนี้ (ก) ในกรณีจาเป็นเพื่อคุ้มครองสุขภาพอนามัยหรือความปลอดภัยของสาธารณชน (ข) ในกรณี จาเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่นซึ่งมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการค้า และในกรณีดังกล่าว หน่วยงานของรัฐ ซึ่งดูแลรักษาความลับทางการค้านั้นหรือหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องซึ่งได้ความลับทางการค้านั้นไป ได้ดาเนินการตามขั้นตอนเพื่อคุ้มครองความลับทางการค้าดังกล่าวจากการนาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ที่ไม่เป็นธรรม ขอ้ เทจ็ จริงคดีนี้ผรู้ อ้ งสอดทั้งส่ีเป็นประชาชนที่คัดคา้ นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าโดยอ้างว่าอาจกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ วถิ ชี วี ติ และตอ้ งเสียคา่ ไฟเพ่ิมข้ึนเนื่องจากสัญญาซ้ือขายไฟฟา้ เป็นสญั ญาท่ีไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคและ เอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุน การขอข้อมูลจึงวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสุขภาพอนามัยหรือความปลอดภัยของ สาธารณชนและเพื่อตรวจสอบการดาเนินงานของหน่วยงานของรัฐ โดยไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพ่ือการค้า ดงั นนั้ แม้ ขอ้ มลู ของผฟู้ อ้ งคดีจะเป็นความลับทางการค้า ตามพระราชบัญญัตคิ วามลับทางการค้า พ.ศ. 2545 หรือไม่ก็ตาม แต่การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ย่อมได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 7 วรรคหนึ่ง (2) แห่ง พระราชบัญญตั ิความลบั ทางการค้า พ.ศ. 2545 (7) ขอ้ มลู ข่าวสารที่มกี ารกำหนดในพระราชกฤษฎีกาเพิ่มเติม (มาตรา 15 (7)) (ปจั จุบนั ยังไมม่ ีกาหนดเพิ่มเตมิ )
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพช็ ร | 129 2. แนวทางการใชด้ ลุ พนิ ิจตามมาตรา 15 พระราชบัญญตั ิข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 บัญญตั ิให้การเปิดหรอื หรือไม่เปิดเผย ขอ้ มลู ข่าวสารตามมาตรา 15 เป็นดลุ ยพินจิ โดยใชค้ าว่า “อาจ” แนวทางการใชด้ ุลพินิจของหน่วยงานของรัฐหรือ เจา้ หน้าทขี่ องรฐั เมือ่ จะใชด้ ุลพนิ จิ มีคาสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลขา่ วสารหรอื มีคาสง่ั เปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารทม่ี ลี ักษณะ ตามมาตรา 15 วรรคหน่งึ (1)-(7) การมีคาสั่งไม่เปิดเผยของมูลข่าวสารของราชการ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะใช้มาตราน้ี มาเป็นหลักในการอ้างที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งเป็นดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการ ตคี วามว่าการเปดิ เผยขอ้ มูลข่าวสารของราชการเรื่องนนั้ เข้าตามข้อยกเว้นของกฎหมายหรอื ไม่ ดุลยพินิจประเภทนี้ เรียกว่า ดุลยพินิจวินิจฉัยหรือการปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมาย (Margin of Judgement) ซง่ึ มหี ลกั การใช้ดลุ ยพินจิ ดังนี้ ดุลยพินิจวินจิ ฉัย คอื ขน้ั ตอนการวินจิ ฉยั วา่ มีขอ้ เทจ็ จรงิ อนั เปน็ เงอื่ นไขตามท่ีกฎหมายกาหนดไว้หรือไม่ หรือเรียกว่าการนาเอาข้อเท็จจริงมาปรับกับข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นลักษณะของระบบกฎหมาย Civil Law หรือ ระบบประมวลกฎหมาย ที่จะใช้วิธีการนาข้อเท็จจริงและคาพิพากษาตัดสินที่เกิดขึ้นก่อนหน้ามาเขียนเป็นลาย ลักษณ์อักษรในประมวลกฎหมาย เมื่อเกิดข้อเท็จจริงอย่างเดียวกันกับที่กฎหมายเขียนไว้จะพิพากษาตัดสินไป ตามที่เขียนไว้ในประมวลกฎหมาย ดังนั้นในระบบประมวลกฎหมายจึงมีการเขียนข้อความกฎหมายเอาไว้ เมื่อมี ข้อเท็จจริงเกิดขึ้นก็จะนามาปรับเข้าหากัน เรียกว่า การปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามใน ภาษากฎหมายอาจเขียนในรูปแบบต่าง ๆ กัน โดยหลักแล้วในประมวลกฎหมายกฎหมายจะมีการใช้ถ้อยคาอยู่ สองประเภท คือ 1.ถอ้ ยคาทค่ี วามหมายชัดเจนตายตัว (Definite Concepts) ถ้อยคาที่มีความหมายชัดเจนตายตัว เจ้าหน้าที่สามารถนาข้อเท็จจริงมาปรับเข้าโดยไม่ต้องตีความ ถ้อยคาของกฎหมายแต่อย่างใด ถ้อยคาในกฎหมายทีม่ ีความหมายตายตัว เชน่ คาวา่ “ผู้หญิง” “ผู้ชาย” “บรรลุ นิติภาวะ” “นับถือศาสนาพุทธ” “มีสัญชาติไทย” “อายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เป็นต้น ถ้อยคาเหล่านี้เมื่อได้ ข้อเท็จจริงมาสามารถปรบั เข้าได้โดยไมต่ ้องตีความ เชน่ กฎหมายกาหนดเงื่อนไขการขออนุญาตวา่ ต้อง “บรรลุนิติภาวะ” นาย ก.อายุ 18 ปีบริบรู ณ์เข้ามายื่นขอ อนญุ าต เจ้าหนา้ ที่ปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายโดยไม่ต้องตคี วามใด ๆ เนื่องจากถ้อยคากฎหมายชัดเจนว่า ต้องบรรลุนิติภาวะ คือมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เมื่อนาย ก.ไม่บรรลุนิติภาวะจึงขาดคุณสมบัติการขออนุญาต ตามทกี่ ฎหมายกาหนด 2.ถ้อยคาทม่ี ีความหมายไม่ตายตัว (Indefinite Concepts) ถ้อยคาที่มีความหมายไม่ตายตัว หมายความว่า ถ้อยคาที่กฎหมายไม่ได้ให้คาจากัดความและจะต้อง ตีความถ้อยคานั้นว่า เป็นอย่างเดียวกันกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือไม่ ถ้อยคาที่มีความหมายไม่ตายตัวนี้การ ตคี วามของแต่ละบุคคลอาจตีความไดแ้ ตกต่างกันไป ถ้อยคาทมี่ ีความหมายไม่ตายตัว เช่น “การกระทาท่ีเป็นภัย
130 | กฎหมายข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ ต่อความมั่นคงของรัฐ” “การกระทาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม” “อาคารหรือโรงเรือนที่อยู่ใน สภาพชารดุ ทรุดโทรมน่ารงั เกียจ” “ผลิตภณั ฑท์ างเภสัชกรรมที่นา่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน” “สงิ่ ตีพิมพ์ ทน่ี า่ จะเป็นอนั ตรายต่อจิตใจของเยาวชน” เป็นตน้ จิระนิติ หะวานนท์ อธิบายว่า11 ถ้อยคาในกฎหมายบางประเภทมีความหมายคลุมเครือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Indefinite Concept คือ ความหมายไม่มีขอบเขต วิญญูชนอาจมีความเข้าใจต่อถ้อยคานั้นแตกต่างกัน ออกไป และไม่มีคาจากัดความเขียนไว้ในกฎหมาย เชน่ สภาพชารุดทรุดโทรม เปน็ อนั ตรายตอ่ จิตใจของเยาวชน เมื่อกฎหมายกาหนดถ้อยคาที่ไม่ตายตัวไว้ในกฎหมาย เจ้าหน้าที่จะต้องใช้ดุลยพินิจในการตีความว่า ข้อเทจ็ จรงิ ท่ีเกิดข้ึนเป็นอย่างเดียวกับท่ีกฎหมายบัญญัติหรือไม่ เชน่ คาวา่ “ขัดความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม อันดีของประชาชน” “กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ” “เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน” “ฉุกเฉิน” “ร้ายแรง” “ลามกอนาจาร” เป็นต้น ถ้อยคาประเภทนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต้องพิจารณาว่าข้อเท็จจริง เกดิ ขึ้นเป็นประเภทเดียวกบั ถ้อยคาท่ีกฎหมายบญั ญัติหรอื ไม่ ซ่ึงเจา้ หน้าทีจ่ ะตอ้ งใช้ดุลยพินิจทเี่ รียกวา่ ดุลยพินิจ วนิ จิ ฉัย (Margin of Judgment) การใช้ดุลยพินิจในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการนั้นเป็นการตีความของเจ้าหน้าที่ของรัฐว่า “ข้อมูลข่าวสารของราชการ” ที่ยื่นขอมานั้นเข้ากับเงื่อนไขตามที่กฎหมายกาหนดที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีคาส่ัง เปิดเผยหรอื ไม่เปิดเผย เชน่ ขอ้ มูลข่าวสารของราชการนั้นหากเปิดเผยไปแล้วจะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง ของรัฐหรือไม่ หรือหากเปิดเผยไปแล้วจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคลใดบุคลหนึ่ง หรอื ไม่ โดยการใช้ดุลยพินิจ พระราชบัญญัติข้อมูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 กาหนดแนวทางการใช้ดุลย พินิจให้กบั หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรฐั โดยให้คานึงถึง 3 เรื่อง คือ การปฏิบัติหนา้ ที่ตามกฎหมายของ หน่วยงานของรัฐ ผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะและประโยชน์เอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน ซึ่งหน่วยงาน ของรฐั และเจ้าหน้าท่ีของรัฐจะต้องใช้หลกั การสามเร่อื งน้ีในชั่งนา้ หนกั ก่อนที่จะตัดสินใจออกคาส่ังอย่างใดอย่าง หน่งึ ออกไป ดงั น้ี 1.การปฏบิ ตั ิหน้าทต่ี ามกฎหมายของหน่วยงานของรฐั กรณีแรก เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องพิจารณาว่า ข้อมูลข่าวสารที่มีผู้ขอให้เปิดเผย หากเปิดเผยแล้วจะ กระทบตอ่ การปฏิบัตงิ านตามกฎหมายของหน่วยงานของตนหรือไม่12 กรณนี เี้ จา้ หน้าท่ีจะต้องคานึงถึงผลกระทบ ความสัมฤทธิ์ผลในการปฏิบัติหน้าที่ ว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรเมื่อมีการเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลนั้น เช่น การขอข้อมูลข่าวสารตามที่มีผู้ขออาจเกี่ยวข้องกับการสอบสวนเรื่องหนึ่งเรื่องใดซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็ จะต้องพิจารณาว่าถ้าเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแล้วจะส่งผลต่อการสอบสวนเรื่องนั้นหรือไม่ หรือการขอให้เปิดเผย ข้อมลู ข่าวสารน้นั ขดั ตอ่ กฎหมายของหน่วยงานหรอื ไม่ 11 จริ นิติ หะวานนท์.คำอธบิ ายกฎหมายปกครอง ภาคทว่ั ไป. อา้ งแลว้ ,หน้า 133. 12 www.oic.go.th/web2007/the_discretion_of_government_officials.htm
ผศ.บญุ ชู ณ ป้อมเพช็ ร | 131 2.ผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ กรณีที่สอง เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องพิจารณาในสองลักษณะว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นไปใน เชิงบวกหรือเชิงลบต่อประโยชน์สาธารณะ (Public interest) คอื ขอ้ มลู ขา่ วสารทม่ี ีผยู้ ื่นขอ หากเปิดเผยแล้วจะ เปน็ ประโยชน์หรือกระทบในทางเป็นโทษต่อสาธารณะ หรือสังคมโดยส่วนรวมอย่างไร ท้ังนี้ ส่วนใหญ่การใช้ดุลย พนิ ิจกรณเี จ้าหน้าที่จะพิจารณาว่า การเปดิ เผยให้สังคมโดยส่วนรวมไดร้ กู้ ็จะช่วยให้เกดิ ความโปรง่ ใสในการปฏิบัติ ราชการโปร่งใสซึ่งบางกรณีอาจกระทบต่อบุคคลเฉพาะรายก็อาจให้เปิดเผย แต่ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าจะกระทบ ต่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในทางลบ กอ็ าจไม่เปิดเผยก็ได้ 3. ประโยชนเ์ อกชนท่เี กย่ี วข้องประกอบกัน หมายความว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องใช้ดุลพินิจในการชั่งน้าหนักว่า ข้อมูลข่าวสารที่มีผู้ขอเป็นสิ่งท่ี จาเป็นหรือมีผลกระทบต่อเอกชนที่เกี่ยวข้องอย่างไรและมากน้อยเพียงใด ทั้งในแง่บวกและแง่ลบทั้งผู้ท่ีมาขอ ข้อมูลและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข้อมูลที่มีผู้ขอให้เปิดเผย การพิจารณาต้องดูถึงความจาเป็นของผู้ขอข้อมูลว่า ข้อมูลข่าวสารที่ขอน้ันเกี่ยวกับการรักษาสิทธิของผูข้ อข้อมูลมากน้อยเพยี งใด13 การไม่ได้ข้อมูลข่าวสารตามที่ขอ นั้นจะกระทบต่อการปกป้องสทิ ธิของผู้ขอมากนอ้ ยเพยี งใด และต้องพิจารณาถึงสิทธิของบุคคลที่สามท่ีเกีย่ วข้อง จึงต้องมีการพิจารณาประกอบด้วยว่า บุคคลที่สามจะได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนี้มากน้อย เพียงใด อยา่ งไรก็ตามกฎหมายนี้ก็ให้เจ้าหน้าท่ีสามารถดาเนินการตามมาตรา 9 ทจี่ ะปดิ ลบขอ้ มูลบางส่วนได้ซึ่ง สามารถทาใหเ้ จ้าหนา้ ท่ีสามารถใช้ดุลยพนิ ิจอยา่ งยึดหยุ่น โดยสามารถพิจารณาได้จากการวางแนวการใช้ดุลยพนิ ิจของศาลปกครองและคณะกรรมการวินิจฉัยการ เปิดเผยขอ้ มลู ขา่ วสาร คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.22/2555 ผู้ฟ้องคดีดารงตาแหน่งนิติกร 6 สานักงานสาธารณสุข จังหวัดลาปาง ถูกร้องเรียนกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์ใช้อานาจหน้าที่ในตาแหน่งหน้าที่ราชการแสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบ เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ถูกสอบสวนทางวินัยและมีพฤติกรรมอื่นที่ไม่เหมาะสมกับการเป็น ข้าราชการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริง ผลการสืบสวนปรากฏว่าไม่มี พยานหลักฐานยืนยันได้ว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ แต่เห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการทอดทิ้งหน้าท่ี ราชการในแต่ละสัปดาห์เกินกว่าการมีกิจธรุ ะตามปกตหิ รือความจาเป็น อนั เป็นการกระทาผิดวนิ ัยไม่ร้ายแรงฐาน ไม่อุทิศเวลาของตนให้แกร่ าชการ คณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเห็นสมควรลงโทษภาคทัณฑ์ แต่เนื่องจาก เป็นความผิดวินัยเล็กน้อย จึงเห็นควรงดโทษภาคทัณฑ์ไว้โดยให้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อฟ้อง คดีได้รับหนังสือว่ากล่าวตักเตือนจากผู้บังคับบญั ชา จึงได้ร้องทุกข์ตามระเบียบของราชการต่อ ก.พ. ต่อมา ก.พ. ได้ยกคาร้องทกุ ข์ ผู้ฟ้องคดีจึงทาหนังสอื ถึงผู้ถกู ฟ้องคดีที่ 1 (สานักปลัดกระทรวงสาธารณสุข) ขอตรวจดูและคัด เอกสารสานวนการสอบสวนซึ่งประกอบด้วยคาให้การพยานจานวน 14 คน หนังสือร้องเรียนลงชื่อนาย ท. กับ พวก บัตรสนเท่ห์ หนงั สอื ร้องเรียนลงช่ือเจ้าหน้าที่ 31 คนและพยานเอกสารอื่นในสานวนท้ังหมด ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 1 ได้มีหนังสือลับ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 5 เมษายน 2547 ถึงผู้ฟ้องคดีอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีคัดเอกสารจานวน 2 13 www.oic.go.th/web2007/the_discretion_of_government_officials.htm
132 | กฎหมายข้อมลู ข่าวสารของทางราชการ รายการ คือ บัตรสนเท่ห์ปละรายงานผลการสืบสวนหาข้อเท็จจริง ส่วนเอกสารรายการอื่นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ปฏเิ สธทจ่ี ะไม่เปิดเผย โดยให้เหตุผลวา่ การเปิดเผยจะก่อให้เกิดอันตรายตอ่ ชีวิตและความปลอดภัยของพยานและ ผู้ร้องเรียนตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัตขิ อ้ มูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 ผู้ฟ้องคดีจึง ยื่นอุทธรณ์คาสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ต่อมา ผู้ถูกฟ้อง คดีที่ 2 (คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับ ใช้กฎหมาย คณะที่ 2) ได้มีคาวินจิ ฉยั ว่า การทีผ่ ู้ถกู ฟอ้ งคดที ี่ 1 ปฏเิ สธการเปิดเผยข้อมลู ข่าวสารโดยให้เหตุผลว่า จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและความปลอดภยั ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นดุลยพินิจที่ชอบแลว้ จึงมีคาวินิจฉยั ใหย้ กอุทธรณ์ ผูฟ้ อ้ งคดเี ห็นวา่ คาส่ังของผ้ถู ูกฟ้องคดที ี่ 1 และคาวนิ ิจฉยั อุทธรณ์ของผู้ถูกฟอ้ งคดีที่ 2 ไม่ชอบด้วย กฎหมาย จึงนาคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่งเพิกถอนคาสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง และให้ผู้ถูก ฟอ้ งคดีท้ังสองเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ผฟู้ ้องคดีตามขอ เห็นวา่ การที่ผถู้ ูกฟอ้ งคดีท่ี 2 วนิ ิจฉัยอุทธรณ์ว่า หากผู้ ฟ้องคดีได้ขอ้ มูลข่าวสารแล้ว อาจนาไปใช้กระทาการอน่ื อันละเมิดต่อกฎหมายต่อผรู้ ้องเรียนและพยานได้ โดยไม่ มีหลักประกันว่าผู้ฟ้องคดีจะจากัดการใช้เพียงเพื่อการฟ้องคดีตามข้อกล่าวอ้างของผู้ฟ้องคดี อีกทั้ง การให้ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องร้องเรียน ชื่อผู้ร้องเรียนและพยานแก่ผู้ฟ้องคดี เพื่อใช้ในการฟ้องผู้ร้องเรียน และบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้น ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่าต่อไปในภายหน้า เมื่อเกิดกรณีพบเห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประพฤติมิชอบ คงไม่มีใครกล้าร้องเรียนและให้การเป็นพยานเพราะกลัวว่าจะถูกเปิดเผยชื่อ อันจะทาให้ตนถูก ฟ้องทั้งคดแี พ่งและคดีอาญา หรอื อาจทาให้ได้รับอันตรายประการอื่น น้นั เหน็ ว่า ผฟู้ อ้ งคดีจะนาข้อมูลข่าวสารท่ี ขอให้เปิดเผยไปใช้ในการฟ้องคดีตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างหรือไม่ ก็มิใช่เหตุที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จะต้องนามา คานึงถึงในการพิจารณาว่าจะอนุญาตให้เปิดเผยหรือไม่เปิดเผยได้ เพราะการที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐจะใช้ดุลยพินิจมีคาสัง่ มิให้เปิดเผยข้อมูลขา่ วสารตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูล ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ได้นั้น จะต้องคานึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน และจะต้องได้ความว่าข้อมูลข่าวสารมี ลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดตาม (1) ถึง (7) เท่านั้น และการพิจารณาตัดสิทธิไม่ให้ผู้ฟ้องคดีได้รับข้อมูลข่าวสาร เกยี่ วกบั เรือ่ งรอ้ งเรียนเลย กอ็ าจก่อให้เกิดการกล่ันแกล้งกล่าวหาระหว่างข้าราชการได้ง่ายยิ่งข้นึ และจะเกิดความ ไม่เป็นธรรมแกผ่ ฟู้ อ้ งคดีไดเ้ ช่นเดียวกัน และการที่ผู้ถกู ฟอ้ งคดที ่ี 1 อุทธรณ์วา่ การทผ่ี ฟู้ อ้ งคดไี ดข้ อข้อมูลข่าวสาร จากผูถ้ ูกฟอ้ งคดที ี่ 1 เพือ่ นาไปใช้ฟ้องนาย ท. กับพวก ถือเปน็ การกล่ันแกล้งและเป็นการใช้สิทธิท่ยี ังจะก่อให้เกิด ความเดือดร้อนแก่นาย ท. กับพวก ที่ได้เป็นพยานหรือให้ข้อมูลในการสืบสวนสอบสวนในเรื่องทุจริตและ ประพฤติมิชอบเพื่อประโยชน์ของทางราชการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับ การร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการสอบสวนเรื่องร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการว่ากระทาผิดวินัย นั้น เห็นว่า มติ คณะรฐั มนตรีดังกลา่ วมุ่งคุ้มครองผู้ร้องเรียนและพยานเพ่ือมิให้ตอ้ งรับภัยหรือความไม่ชอบธรรม แต่การที่ผู้ฟ้อง คดขี อข้อมูลขา่ วสารเพอื่ ดาเนินคดีกับบุคคลที่ผฟู้ อ้ งคดีเห็นวา่ ได้นาเรื่องอันเป็นเท็จมากล่าวหาร้องเรียนผู้ฟ้องคดี ว่าทุจริตต่อหน้าทีร่ าชการนัน้ ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมายของผูฟ้ ้องคดีที่จะคุม้ ครองพิทกั ษเ์ กียรติยศ ชื่อเสียงของตน และไม่อาจถือได้ว่าเป็นการไม่ชอบธรรมตอ่ ผู้ร้องเรียน อีกทั้ง ข้อเท็จจริงก็ปรากฏเพียงว่าผู้ฟ้อง
ผศ.บญุ ชู ณ ป้อมเพ็ชร | 133 คดไี ด้ดาเนินการรอ้ งทกุ ข์ต่อพนกั งานสอบสวนเพือ่ ดาเนินคดีตามกฎหมายกับผูร้ อ้ งเรียนเท่าน้ัน โดยไม่ปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์ทาให้ผู้ร้องเรยี นต้องรับภัยใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ กลั่นแกล้ง หรือทาอันตรายต่อชีวิต และร่างการของผรู้ อ้ งเรียน อุทธรณ์ดังกล่าวจงึ ไม่อาจรับฟังได้ ดงั น้ัน การทีผ่ ู้ถกู ฟอ้ งคดที ่ี 1 มีคาสั่งไม่ให้เปิดเผย ข้อมูลข่าวสารในส่วนของสานวนการสอบสวน โดยอ้างว่าการเปิดเผยจะเป็นอันตรายและความปลอดภัยของ พยานและผู้ร้องเรียน นั้น จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้วินิจฉัย ใหย้ กอทุ ธรณ์ของผู้ฟอ้ งคดี ก็เป็นการใช้ดลุ ยพนิ จิ โดยไมช่ อบด้วยกฎหมายเช่นกนั คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.673/2561 คดีนี้ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขา สังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) โดยฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีรับราชการ ตาแหน่งผู้อานวยการสานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จังหวัดลพบุรี ปฏิบัติราชการประจาสานัก อุทยานแห่งชาติ กรมอทุ ยาน สตั ว์ป่าและพันธพ์ุ ืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถูกผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 1 แจ้งข้อกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมกระทาความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทาความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ี ราชการเกี่ยวกับการก่อสร้างฝายต้นน้าแบบผสมผสานและการเพาะชา/ปลูกหญ้าแฝกตามโครงการอนุรักษ์ ทรัพยากรดินและป่าไม้ในพื้นที่อนุรักษ์เพื่อลดผลกระทบภาวะวิกฤติโลกร้อน วงเงินงบประมาณ พ.ศ. 2551 จานวน 770 ล้านบาท ผู้ฟ้องได้ขอดูข้อมูลข่าวสารของคณะกรรมการไต่สวน กรณีไต่สวนนาง อ. อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับพวก ว่าได้กระทาทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทา ความผดิ ต่อตาแหน่งหน้าทร่ี าชการเก่ียวกบั การก่อสร้างฝายต้นน้าแบบผสมผสานและการเพาะชา/ปลูกหญ้าแฝก ตามโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและป่าไม้ในพื้นที่อนุรักษ์เพื่อลดผลกระทบภาวะวิกฤติโลกร้อ น วงเงิน งบประมาณ พ.ศ. 2551 จานวน 770 ล้านบาท เพื่อประกอบการทาคาชี้แจงข้อกล่าวหา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มี หนงั สอื สานักงาน ป.ป.ช. ท่ี ปช 0012/0320 ลงวนั ท่ี 25 มกราคม 2556 แจ้งวา่ ไม่อนญุ าตให้ผ้ฟู ้องคดีตรวจสอบ ดูถ้อยคาของผู้กล่าวหาหรือพยานบุคคลและเรื่องนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงยังไม่เสร็จสิ้น หากเปิดเผย ย่อมทาให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ และอาจก่อให้เกิด อันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจกระทบต่อการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ ผู้ฟ้อง คดีได้มีหนังสือลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 อุทธรณ์คาสั่งไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต่อมาผู้ ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีหนังสือลงวันที่ 26 เมษายน 2556 พร้อมคาวินิจฉัยที่ สค 83/2556 ลงวันที่ 23 เมษายน 2556 โดยผู้ถกู ฟอ้ งคดที ่ี 2 ไดว้ ินิจฉยั ใหย้ กอุทธรณ์ของผู้ฟอ้ งคดี คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มาตรา 11 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. 2540 จะกาหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่จัดหาข้อมูลข่าวสารของ ราชการให้แก่ผู้ยื่นคาขอภายในเวลาอันสมควรก็ตาม แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็มีดุลยพินิจที่จะไม่เปิดเผยข้อมูล ขา่ วสารตามที่ผ้ฟู ้องคดรี อ้ งขอให้เปิดเผยได้ หากข้อมูลข่าวสารดงั กลา่ วเขา้ ลกั ษณะตามมาตรา 15 วรรคหนงึ่ แห่ง พระราชบัญญัติเดียวกัน ซึ่งถือเป็นดุลยพินิจของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะเปิดเผยหรือไม่ก็ได้ โดยคานงึ ถงึ การปฏิบตั ิหน้าท่ีตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชนส์ าธารณะ และประโยชน์ของเอกชนท่ี
134 | กฎหมายข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ เกี่ยวข้องประกอบกัน เมื่อพิจารณาเอกสารที่ผู้ฟ้องคดีขอตรวจดูพร้อมคัดและรับรองสาเนาเอกสารแล้ว เห็นว่า เอกสารดังกล่าวเป็นถ้อยคาพยานจานวน 59 ราย ท่ีให้การว่าผ้ฟู ้องคดมี ีพฤติการณ์ที่เป็นการกระทาผิดท้ังอาญา และวินัย เมื่อข้อมูลข่าวสารดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงการดาเนินการยังไม่แล้วเสร็จ ดังน้ัน การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคาร้องขอของผู้ฟ้องคดีจึงอาจมีผลกระทบต่อกระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่ง อาจทาให้การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือการบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรอื ไมส่ าเรจ็ ตามวัตถุประสงคแ์ ละอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบคุ คลใดบุคคลหน่ึงตาม นยั มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (2) และ (4) แห่งพระราชบญั ญตั ิข้อมลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 1355/2559 คดีนี้มีปัญหาที่ต้องพจิ ารณาอุทธรณ์ตามฟ้องของผู้ ฟ้องคดีว่า คาขอข้อมูลข่าวสารของผู้ฟ้องคดีมลี ักษณะที่ผูถ้ ูกฟ้องคดีที่ 1 อาจมีคาสั่งมใิ ห้เปิดเผยตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อมูลข่าวสารที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอ เป็นข้อมูลประกันสังคมของนางสาว ว. และนาง พ. เพื่อรายงานให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทาการอายัดเงินเดือน ของบุคคลทั้งสองซึ่งข้อมูลข่าวสารดังกล่าวโดยเฉพาะข้อมูลชื่อ ที่อยู่บริษัท เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ทางาน ปัจจบุ ันของผู้ประกันตน และขอ้ มลู ชอื่ ท่ีอยู่ของนางสาว ว.และนาง พ. ผู้ประกนั ตน ซง่ึ นายจ้างของผู้ประกันตน ได้ยื่นต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 เป็นข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล และเป็น ขอ้ มลู ข่าวสารท่ีผ้ถู ูกฟอ้ งคดีท่ี 1 ได้มาจากการที่พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ใหอ้ านาจไว้ และมีบท กาหนดโทษผู้ที่เปิดเผยข้อมูลขา่ วสารดังกลา่ วตามมาตรา 100 แห่งพระราชบัญญัตฉิ บับเดียวกันประกอบกับการ เปิดเผยอาจทาให้การบังคับใช้กฎหมายประกันสังคมเสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่สาเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ เนื่องจากนายจ้าง ลูกจ้าง อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้ข้อมูลที่แท้จริงซึ่งส่งผลกระทบต่อกองทุนประกันสังคมตาม กฎหมายประกันสังคม และหากผู้ฟ้องคดีไดร้ บั ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวไปเพื่อประโยชน์ในการบังคบั ชาระหนี้กจ็ ะ กระทบต่อสภาพการทางานของลูกจ้างและความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งอาจทาให้นายจ้างและ ลูกจ้างขาดความเชื่อถือต่อระบบประกันสังคมได้ ในขณะเดียวกันก็จะทาให้สานักงานประกันสังคมกลายเป็น สานักงานติดตามชาระหนี้ของเจ้าหนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดาเนินงานของสานักงานประกันสังคมตาม พระราชบัญญัติดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ ข้อมูลข่าวสารที่สานักงานประกันสังคมมีอยู่ก็มิใช่ข้อมูลข่าวสาร เก่ียวกับตัวทรัพยอ์ ันเป็นวัตถุแหง่ การชาระหนีโ้ ดยตรง การบังคับชาระหน้ีของผฟู้ อ้ งคดีเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง เจ้าหนี้กับลูกหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้ยังมีหนทางอื่นในการบังคับชาระหนี้ นอกจากนั้นสานักงานประกันสังคมยังมีหน้าที่ บริหารจัดการระบบประกันสังคมให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้แรงงานมีหลักประกันชีวิตที่มั่นคง อันเป็นความมุ่ง หมายของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ที่มวี ตั ถปุ ระสงค์ในการสร้างหลักประกันใหแ้ ก่ลกู จา้ ง ซ่ึงเป็น การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอันถือว่าเป็นประโยชนส์ าธารณะอย่างหน่ึง ข้อมูลขา่ วสารที่ผู้ฟ้องคดี ร้องขอจึงมีลักษณะตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง (2) (5) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีคาสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีประเด็นนี้จึง ฟงั ไมข่ ้ึน
ผศ.บญุ ชู ณ ป้อมเพช็ ร | 135 คำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาการแพทย์และสาธารณสุข ที่ พส 1/2562 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า ทันตแพทย์หญิง ก. ผู้อุทธรณ์ มีหนังสือลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 ถึง ประธานอนุกรรมการสอบสวน คณะที่ 8 ทันตแพทยสภาขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับภาพถ่ายหลังการรักษาและ ภาพถ่ายรงั สหี ลังการรักษานาย ข. และนางสาว ค. เพ่ือนาไปเป็นพยานหลกั ฐานและเปรียบเทียบผลท่ีได้จากการ รักษา และชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา กรณีนาง ง. ร้องเรียนกล่าวหาผู้อุทธรณ์ในข้อบังคับทันตแพทยสภาว่าด้วย จรรยาบรรณแหง่ วิชาชีพทันต กรรม พ.ศ. 2538 จานวน 2 รายการ ดงั นี้ 1.ภาพถ่ายหลังการรักษาของผ้ปู ่วยท้ังสองราย ในวนั ทผี่ ้ปู ว่ ยได้ไปร้องเรียนทันตแพทยสภา 2.ภาพถ่ายรังสีทุกภาพหลังการรักษาของผูป้ ่วยทั้งสองราย ในวันที่ผู้ป่วยได้ไปร้องเรียนทันตแพทยสภา ซึง่ ทันตแพทยสภาได้ถ่ายภาพผู้ป่วยไว้เป็นหลักฐาน สานกั เลขาธิการทันตแพทยสภา มีหนงั สอื ด่วนทีส่ ดุ ท่ี ทพ 0205/32 ลงวนั ที่ 20 กมุ ภาพันธ์ 2562 แจง้ ให้ผู้อุทธรณ์ทราบว่า ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวเป็นสิ่งที่คณะอนุกรรมการจรรยาบรรณและคณะอนุกรรมการ สอบสวนแสวงหามาเป็นพยานหลกั ฐาน จึงไมอ่ นญุ าตให้คดั ถา่ ยเอกสารท่ีผอู้ ุทธรณ์ร้องขอได้ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาการแพทย์และสาธารณสุข พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 คือ ภาพถ่ายหลังการรักษาของผู้ป่วยทั้งสองราย ในวันที่ผู้ป่วยได้ไปร้องเรียนทันต แพทยสภา ประกอบด้วยข้อมูลที่ผู้ร้องเรียนให้มาและข้อมูลที่คณะอนุกรรมการสอบสวนแสวงหามาได้ คือ ภาพถ่ายที่ได้มาจากคลินิกรักษาฟันแห่งอื่นที่ผู้ป่วยทั้งสองรายไปรักษาฟันภายหลังที่หยุดการรักษาฟันที่คลินิก ของผู้อุทธรณ์ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏตามคาชี้แจงของทันตแพทยสภาว่า อยู่ระหว่างการสอบสวนของ คณะอนุกรรมการสอบสวน ตามคาสั่งทันตแพทยสภา ที่ 35/2561 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน และ เปน็ พยานหลักฐานที่ใชใ้ นการกล่าวหาผู้อุทธรณว์ ่า มีการกระทาอนั เขา้ ข่ายเป็นความผิดตามขอ้ บังคบั ทันตแพทย สภาว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพทันตกรรม พ.ศ. 2538 หรือไม่ แต่การเปิดเผยภาพถ่ายหลังการรักษาของ ผปู้ ่วยทั้งสองรายไม่ไดก้ ระทบต่อการพิจารณาทางจรรยาบรรณของคณะกรรมการสอบสวนอันจะทาให้การบังคับ ใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่อาจสาเร็จตามวัตถุประสงค์แต่อย่างใด ตามมาตรา 15 (2) แห่ง พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และในกรณีนี้ไม่ปรากฏว่าข้อเท็จจริงว่าการเปิดเผยจะ ก่อใหเ้ กิดอนั ตรายตอ่ ชีวิตหรอื ความปลอดภัยของผู้กล่าวหาหรอื กล่าวโทษตามมาตรา 15 (4) แห่งพระราชบัญญัติ เดียวกัน ประกอบกับผู้อุทธรณ์เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจากการถูกร้องเรียนกลา่ วหาวา่ กระทาผิดจรรยาบรรณ แหง่ วชิ าชีพทันตกรรม จงึ ควรไดร้ บั ทราบขอ้ มูลข่าวสารดงั กล่าวเพื่อใช้ในการปกป้องสิทธขิ องตน และการเปิดเผย จะแสดงถงึ ความโปร่งใสของทนั ตแพทยสภา ดังนั้น เมือ่ พเิ คราะห์ถึงการปฏบิ ัติหนา้ ท่ีตามกฎหมายของหน่วยงาน ของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนท่ีเกี่ยวขอ้ งประกอบกันแล้วเห็นวา่ ข้อมูลข่าวสารในส่วนนี้ เปดิ เผยให้ผอู้ ุทธรณ์ทราบได้ ส่วนข้อมูลข่าวสารรายการที่ 2 ภาพถ่ายรังสีทุกภาพหลังรับการรักษาของผู้ป่วยทั้งสองราย ในวันท่ี ผู้ป่วยได้ไปร้องเรียนทันตแพทยสภา ข้อเท็จจริงปรากฏตามคาชี้แจงของผู้แทนทันตแพทยสภาว่า ไม่ได้มีการ ถ่ายภาพรงั สีทุกภาพหลังการรักษาของผู้ป่วยท้ังสองรายในวันท่ีผู้ป่วยได้ไปร้องเรียนทันตแพทยสภา จึงเป็นกรณี
136 | กฎหมายขอ้ มลู ขา่ วสารของทางราชการ ไมม่ ีข้อมูลขา่ วสารอยู่ในความครอบครองของทันตแพทยสภา ดังน้นั จึงไมม่ ปี ระเด็นท่ีต้องวินิจฉัย หากผู้อุทธรณ์ ไม่เชื่อว่าหน่วยงานไม่มีข้อมูลข่าวสารตามคาขอ ผู้อุทธรณ์อาจใช้สิทธิร้องเรียนตามมาตรา 13 ประกอบมาตรา 33 ) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เข้าไปตรวจสอบขอ้ มลู ข่าวสารดังกล่าวได้ คำวินิจฉยั คณะกรรมการวนิ ิจฉยั การเปิดเผยข้อมูลขา่ วสาร สาขาเศรษฐกจิ และการคลังของประเทศ ท่ี ศค 2/2560 อทุ ธรณ์เรือ่ งน้ไี ด้ความวา่ นาย ก. ผู้อทุ ธรณ์ มหี นงั สอื ลงวนั ท่ี 6 พฤษภาคม 2560 ถงึ บรษิ ัท กสท โทรคมนาคม จากัด (มหาชน) ขอแผนฟนื้ ฟกู จิ การ ปี พ.ศ. 2560-2564 เป็นไฟล์ PDF หรือ .doc บริษัท กสท โทรคมนาคม จากัด (มหาชน) มีหนังสือ ที่ กสท ปต. (ปป)/1012 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2560 แจ้งผ้อู ทุ ธรณ์ว่า บริษัท กสท โทรคมนาคม จากัด (มหาชน) มีสภาพเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซ่ึงจัดอยู่ใน ประเภททแี่ สวงหาผลกาไร ที่ต้องดาเนินธรุ กิจแขง่ ขันกับภาคเอกชน ดังนน้ั ขอ้ มลู แผนฟื้นฟูกิจการ แผนธุรกิจจึง จัดเป็นข้อมูล และหรือเอกสารที่เป็นชั้นความลับทางธุรกิจ ที่บริษัท กสท โทรคมนาคม จากัด (มหาชน) ได้ กาหนดกรอบทิศทาง นโยบายและกลยุทธ์ในการดาเนินธรุ กิจ ซ่ึงไม่สามารถเปิดเผยตอ่ สาธารณชน หรอื คแู่ ขง่ ทาง ธุรกิจได้ ท้ังน้ี การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อการดาเนนิ ธุรกิจขององค์กรได้ คณะกรรมการวินิจฉัยฯ ได้พิจารณาข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์แล้วเห็นว่า เป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ การประกอบธุรกิจของบริษัท กสท โทรคมนาคม จากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นความลับทางธุรกิจ การเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารดังกล่าวจึงมีผลกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของบริษัทดังกล่าว ตามมาตรา 15 (6) แห่งพระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ประกอบกับข้อมูลข่าวสารดังกล่าวอยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไข และยัง ไม่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี การเปิดข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์จึงอาจทาให้เกิดอุปสรรคต่อการ ปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ อันจะทาให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่อาจสาเร็จตาม วัตถุประสงค์ได้ ตามมาตรา 15 (2) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ดังนั้น เม่ือ พิเคราะห์ถึง การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามกฎหมายของบรษิ ัท กสท โทรคมนาคม จากัด (มหาชน) ซง่ึ เป็นหน่วยงานของ รัฐ ประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกันแล้ว เห็นว่า ข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ เป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่อาจเปิดเผยได้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จากัด (มหาชน) ปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูล ขา่ วสารตามอทุ ธรณจ์ งึ ชอบแล้ว 3.กระบวนการและขั้นตอนในการออกคาสั่งเกี่ยวกับการเปิดเผย ข้อมลู ข่าวสารของราชการ การออกคาส่งั ทางปกครองตามพระราชบัญญัติขอ้ มูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 ย่อมสง่ ผลกระทบ ต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลทั้งผู้ยื่นขอข้อมูลข่าวสาร และบุคคลภายนอกผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเผย ขอ้ มูลข่าวสารนนั้ พระราชบัญญตั นิ จ้ี งึ กาหนดกระบวนการและข้ันตอนในการดาเนินการต่าง ๆ ไว้ หลายกรณี
ผศ.บญุ ชู ณ ปอ้ มเพ็ชร | 137 3.1.กรณีมีคำสง่ั มใิ หเ้ ปิดเผยข้อมลู ขา่ วสารของราชการ เมื่อหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับคาขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะตามท่ี พระราชบญั ญัติข้อมูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 กาหนดไวใ้ นมาตรา 14 และมาตรา 15 และหนว่ ยงานของ รฐั หรอื เจา้ หนา้ ของรัฐอาจคาสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว ดงั นนั้ ประเด็นสาคัญที่ต้องพิจารณาคือ กรณี เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต้องมีลักษณะเป็น “คาสั่งทางปกครอง” ว่าไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ตามที่ร้องขอหรือไม่ เพราะบางกรณีการกระทาของเจ้าหน้าที่ของรัฐนัน้ อาจไม่ใช่การออกคาสั่งไม่เปิดเผยข้อมลู ขา่ วสาร ดังนนั้ จึงเรมิ่ ใช้สทิ ธิในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารไม่ได้ คำวินิจฉยั คณะกรรมการวินิจฉยั การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสงั คม การบริหารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 9/2557 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า นาง ก. ผู้อุทธรณ์ ได้มีหนังสือลงวันท่ี 21 ธนั วาคม 2555 ถึงเลขาธกิ ารคณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ ขอข้อมูลข่าวสารจานวน 5 รายการ สานักงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแจ้งเปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 รายการที่ 2 และรายการที่ 3 ส่วนข้อมูลข่าวสารรายการที่ 4 ไม่มี สาหรับข้อมูลข่าวสารรายการที่ 5 ขณะนี้เอกสารดังกล่าวอยู่ในความ ครอบครองของนาย ว. รองเลขาธกิ ารคณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแห่งชาติ ในชั้นพิจารณา ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 5 รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริง เมื่อคณะกรรมการ สืบสวนข้อเท็จจริงได้ดาเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงจนเสร็จสิ้นแล้ว ได้เสนอรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงไป ให้นาย ว. รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิ มนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งนาย ว. ยังไม่ได้สั่งการใดออกมา จนกระทั่งนาย ว. ได้เกษียณอายุราชการไปในวันที่ 30 กันยายน 2557 ดังนั้น สานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงต้องเสนอรายงานผลการสืบสวน ข้อเท็จจริงต่อผู้มีอานาจในการสั่งการคนต่อไปและเมื่อกระบวนการเสร็จสิ้นจนมีการออกคาสั่งแล้ว สานักงาน คณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาติจะพิจารณาอีกครงั้ ว่าข้อมลู ข่าวสารน้นั เปิดเผยได้หรอื ไม่ คณะกรรมการวินิจฉยั การเปิดเผยข้อมลู ข่าวสาร สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคบั ใช้กฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารรายการที่ 5 มีประเด็นต้องพิจารณาในเบื้องต้นว่า สานักงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติปฏิเสธการเปิดเผยข่าวสารให้กับผู้อุทธรณ์แล้วหรือไม่ เห็นว่าข้อความที่ สานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบว่า ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวอยู่ในความ ครอบครองของนาย ว. รองเลขาธกิ ารคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแห่งชาตินั้น เป็นการแจง้ ข้ันตอนการพิจารณา ภายในของหน่วยงานเท่านั้น สานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังไม่ได้วินิจฉัยสั่งการว่าข้อมูล ข่าวสารตามคาขอของผู้อุทธรณ์เปิดเผยได้หรือไม่ จึงยังไม่ถือว่าสานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ผู้อุทธรณ์ หากผู้อุทธรณ์เห็นว่า การดาเนินงานของสานักงาน คณะกรรมการสิทธมิ นษุ ยชนแหง่ ชาตมิ ีความลา่ ช้าเกินสมควร กส็ ามารถร้องเรยี นตอ่ คณะกรรมการข้อมลู ข่าวสาร ของราชการได้ ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กรณีนี้ คณะ กรรมการฯ จึงไมม่ อี านาจท่จี ะรับอุทธรณ์เรือ่ งน้ีไวพ้ ิจารณา
138 | กฎหมายขอ้ มลู ขา่ วสารของทางราชการ นอกจากนี้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 วรรคสอง ได้กาหนดแบบ (Form) ของคาสง่ั มิให้เปิดเผยข้อมลู ขา่ วสารไว้วา่ เจ้าหน้าทข่ี องรัฐต้องระบุเหตุผล (Reason)ไว้ในคาสั่งด้วยวา่ “คำสัง่ มใิ หเ้ ปิดเผยข้อมูลขา่ วสารของราชการจะกำหนดเง่ือนไขอยา่ งใดกไ็ ด้ แต่ต้องระบุไว้ด้วยว่า ทีเ่ ปิดเผยไมไ่ ด้เพราะเป็นขอ้ มูลข่าวสารประเภทใดและเพราะเหตุใด” ดังน้นั เจา้ หนา้ ทขี่ องรัฐจะต้องระบุในคาส่ังมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นด้วยว่าอยู่ในข้อกฎหมายใดตาม มาตรา 15 และเพราะเหตุใดจึงไม่เปิดเผย ซึ่งตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 37 กาหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องระบุข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และข้อสนับสนุนการใช้ดุลยพินิจของ เจา้ หนา้ ท่ีออกมาให้ปรากฏ ทงั้ นีก้ ารแจ้งเหตผุ ลประกอบคาสั่งมใิ ห้เปิดเผยข้อมูลขา่ วสาร ก็เพอื่ ประโยชน์ ดงั น้ี14 1.ทาใหเ้ จ้าหนา้ ท่ที ี่เป็นผู้ออกคาสั่งมิใหเ้ ปิดเผยข้อมูลขา่ วสาร จะตอ้ งมีการพิจารณาโดยรอบคอบจริงจัง วา่ สมควรท่จี ะไม่เปิดเผย มีเหตผุ ลรองรบั ท้ังข้อเท็จจริงและขอ้ กฎหมาย 2.ทาให้ผู้ที่ขอข้อมูลข่าวสารมีความชัดเจนว่าการที่หน่วยงานของรัฐมีคาสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร นั้น มิใช่การดาเนินการตามอาเภอใจหรือต้องการปกปิด โดยมีอะไรที่ซ่อนเร้นปิดบังไม่ถูกต้อง ซึ่งหากเหตุผลท่ี ระบุไวเ้ ปน็ ที่ยอมรับและผู้ทขี่ อข้อมูลขา่ วสารพอใจ ถือไดว้ ่าเปน็ การสร้างความน่าเชือ่ ถือแก่ระบบการบริหารงาน ของรฐั ไดอ้ ีกทางหนึ่ง 3.ในกรณีที่ผู้ขอข้อมูลข่าวสารไม่เห็นด้วยกับคาสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารและใช้สิทธิอุทธรณ์ตาม กฎหมาย เหตุผลท่ีระบุไว้ในคาสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารกน็ ่าจะเป็นข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพ่ือใช้ประกอบการ พิจารณาวินิจฉัยของคระกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ยิ่งหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ ระบุเหตุผลไว้ละเอียดเท่าใด การวินิจฉัยอุทธรณ์ย่อมเป็นไปโดยรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีแก่การส่งเสริมให้ ปฏบิ ตั ิตามเจตนารมณ์ของกฎหมายไดอ้ ีกทางหนึ่ง 3.2.กรณมี ีคำสง่ั ให้เปดิ เผยข้อมลู ข่าวสารของราชการ กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีดุลยพินิจให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจ ดาเนินการตามมาตรา 9 โดยการลบ ตัดทอน หรือทาประการอื่นที่เป็นการไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารน้ันหรืออาจ กาหนดเงอื่ นไขอย่างใดอย่างหนง่ึ ก็ได้ เพราะขอ้ มูลข่าวสารของราชการที่จัดให้ประชาชนตามที่ประชาชนมีคาร้อง ขอ บางกรณอี าจมขี ้อมูลข่าวสารบางส่วนเป็นข้อมูลข่าวสารท่ีเปิดเผยไม่ได้ตามมาตรา 14 และมาตรา 15 ปะปน อยู่ด้วยกัน เช่น ข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีคาสั่งให้เปิดเผยอาจมีข้อมูลข่าวสารที่อาจก่อให้เกิดความ เสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเป็นข้อมลู ขา่ วสารตามท่ีกาหนดในมาตรา 15 กรณีนี้ บทบัญญัติมาตรา 11 กาหนดใหน้ าความในมาตรา 9 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาบังคับใช้แกก่ ารจัดหาข้อมลู ขา่ วสารให้ตาม มาตรานี้ โดยอนุโลม ทาให้หน่วยงานรัฐหรือเจา้ หน้าทข่ี องรฐั ดาเนินการตามมาตรา 9 วรรค 2 ซึ่งบัญญัติว่า 14www.oic.go.th/web2007/procedure_disclosure_information.htm
ผศ.บุญชู ณ ป้อมเพช็ ร | 139 “ขอ้ มูลข่าวสารท่ีจัดใหป้ ระชาชนเข้าตรวจดูไดต้ ามวรรคหนึ่ง ถา้ มีส่วนทต่ี อ้ งห้ามมใิ ห้เปิดเผยตาม มาตรา 14 หรือมาตรา 15 อยู่ด้วย ให้ลบหรือตัดทอนหรือทำด้วยประการอื่นใดที่ไม่เป็นการ เปิดเผยขอ้ มลู ขา่ วสารน้ัน” ดังเช่นตัวอยา่ งที่มีการดาเนินการในการลบ ตัดทอนหรือวางเงือ่ นไขอย่างใดอยา่ งหน่ึงของคณะกรรมการ วนิ จิ ฉยั การเปดิ เผยขอ้ มูลข่าวสาร เชน่ คำวินจิ ฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคม การบรหิ ารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 28/2542 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า.....มีหนังสอื ที่ นศ. 831012/102 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ถึงนายอาเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช และหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัด นครศรีธรรมราช ขอให้เปิดเผยผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของอาเภอสิชลตามคาสั่งอาเภอสิชล ที่ 64/2542 ลง วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2542 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตาบล บกพรอ่ งในทางความประพฤติ ต่อมาจังหวัดนครศรีธรรมราชมีหนังสือ ลับที่ นศ. 0018/288 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2542 ถึง.....พร้อม ด้วยคาสั่งอาเภอสิชล ที่ 64/2542 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2542 แจ้งว่า ผลการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวเปน็ ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หากมีการเปิดเผยแล้วจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลใด บุคคลหนึ่งตามนัยมาตรา 15(4) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 .....ไม่เห็นด้วยกับ เหตุผลของทางจังหวัดนครศรีธรรมราช และเห็นว่าในกรณีที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อ พยานนั้นสามารถลบหรือตัดทอนหรือทาด้วยประการอื่นใดที่ไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้น.....จึงอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อให้ดาเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารด้านสังคม การบรหิ ารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้ กฎหมาย อาศัยอานาจตามความในมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. 2540 ขอให้ จังหวัดนครศรีธรรมราชส่งสานวนการสอบสวนดังกล่าวมายังคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ด้านสังคม การบริหารราชการแผน่ ดินและการบังคบใช้กฎหมาย และส่งผู้แทนมาใหข้ ้อเท็จจริงเพ่ือประกอบการ พิจารณา ดงั มีรายละเอียดในหนังสอื จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ นศ. 0018/47255 ลงวันท่ี 2 พฤษจกิ ายน 2542 และที่นศ. 0018/48808 ลงวันที่ 16 พฤษจิกายน 2542 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารด้าน สังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายได้พิจารณาแล้วเห็นว่าสานวนสอบสวนข้อเท็จจริง ของอาเภอสิชลดังกล่าวเป็นข้อมูลข่าวสารของราชการที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของจังหวัด นครศรีธรรมราชซง่ึ ไม่มกี ฎหมายคุ้มครองมใิ ห้เปิดเผย คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารด้านสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคบใช้ กฎหมาย จงึ มีมติให้จังหวัดนครศรีธรรมราชเปิดเผยโดยถ่ายสาเนาเอกสารสานวนสอบสวนข้อเท็จจริงของอาเภอ สิชลตามคาสั่งอาเภอสิชล ที่ 64/2542 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2542 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตาบลถกู กล่าวหาว่ามีความบกพรอ่ งในทางความประพฤติ เอกสารรายการใดท่ีมี
140 | กฎหมายข้อมลู ขา่ วสารของทางราชการ ข้อมูลข่าวสารที่มีส่วนต้องห้ามมิให้เปิดเผยตามมาตรา 15(4) คือชื่อและตำแหน่งของผู้ถูกกล่าวหาและ พยานบุคคลรวมทั้งข้อความที่สามารถทำให้ทราบชื่อและตำแหน่งของพยานบุคคลให้เป็นดุลยพินิจของ จังหวัดนครศรีธรรมราชลบหรือตัดทอนโดยประการอื่นใดที่ไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลส่วนนั้น ทั้งนี้ ตาม มาตรา 9 วรรคสอง คำวนิ ิจฉยั คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสงั คม การบรหิ ารราชการแผ่นดิน และการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 32/2544 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า ผู้อุทธรณ์ได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการ การเลือกตั้งขอคัดสาเนาพร้อมคารับรองถูกต้องสานวนการสอบสวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เกี่ยวกับ เรื่องรอ้ งเรียน ข้อกล่าวหา คาร้องคัดคา้ นและหลักฐานต่าง ๆ อันควรเชือ่ ได้วา่ กอ่ นเลือกตั้งได้มีการกระทาใดไม่ สุจริตในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งได้มีการนาเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมทั้งหลักเกณฑ์ และวิธีพิจารณาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกาหนด ข้อสรุป เหตุผลของคาวินิจฉัยและผลของคาวินิจฉัยของ คณะกรรมการการเลือกตั้งท่ี 28/2543 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2543 ที่ไม่ประกาศให้ผู้อุทธรณ์เป็นผู้ได้รับการ เลอื กต้ังในการเลอื กต้ังสมาชิกวุฒิสภา เมือ่ วนั ที่ 4 มนี าคม 2543 สานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งมีหนังสือแจ้งปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการ สอบสวนโดยให้เหตุผลว่า หากเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว จะทาให้การป้องกัน การตรวจสอบหรือการรู้ แหล่งที่มาของข้อมลู ข่าวสาร ซึ่งเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเลือกตัง้ เสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่อาจสาเร็จตาม วัตถปุ ระสงค์ในการจัดการเลือกตั้งใหเ้ ป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม รวมทงั้ การเปิดเผยจะกอ่ ใหเ้ กิดอันตรายต่อ ชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ได้แก่ ผู้ร้องเรียนหรือพยาน ฯลฯ อันเป็นข้อมูลข่าวสารที่มี ลกั ษณะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 15 วรรคหน่ึง (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารด้านสังคม การบรหิ ารราชการแผ่นดินและการบังคบใช้ กฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่า คาสั่งคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ 28/2543 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2543 ทาให้ผู้ อุทธรณ์ไม่ได้รับการประกาศสมาชิกวุฒิสภาในเขตเลือกตั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นคาสั่งที่มีผลบังคับและได้มี การเลือกตั้งสมาชิกวฒุ สิ ภาใหม่แล้ว การที่จะเปิดเผยสานวนการสอบอสวนดังกล่าวย่อมไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อ การปฏบิ ัตหิ น้าที่ในเรอ่ื งที่เก่ียวกับการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตง้ั หรือกอ่ ให้เกิดความเสียหายต่อการ ปฏิบัตหิ น้าที่ในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับการเลือกตัง้ ของคณะกรรมการการเลอื กต้งั การอออกคาสั่งของคณะกรรมการการ เลือกตั้งดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกบั คาสั่งดังกล่าวย่อมทาให้ทราบว่า การออกคาสัง่ หรือการดาเนินงานในกิจการของคณะกรรมการ การเลือกตั้ง อันเป็นองค์กรของรัฐแห่งหนึ่งมีมาตรฐานเป็นที่เชื่อถือได้และเป็นไปโดยเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ ซึ่งย่อมจะเป็นผลดีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งในลักษณะที่จะทาให้ได้รับความ เชอื่ ถอื ไวว้ างใจจากสาธารณชน อีกท้งั การเปิดเผยข้อมลู ข่าวสารเก่ียวกับเรื่องดงั กลา่ ว ยอ่ มจะทาให้ผู้อุทธรณ์ส้ิน สงสัยในเหตุที่ตนเข้าใจว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกด้วย นอกจากนั้นในกรณีการเปิดเผยชื่อพยานและ ข้อความอื่นในเอกสารซึ่งอาจทาให้ทราบได้ว่า ผู้ใดเป็นผู้ให้ถ้อยคานั้นอาจกระทบต่อความปลอดภัยของผู้นั้น
ผศ.บญุ ชู ณ ป้อมเพช็ ร | 141 และการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพอยู่บ้าง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลดีและผลเสียของการเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารดังกล่าวตามที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอ คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวน้ัน ย่อมจะเป็นการรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรมได้มากยิ่งกว่า โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งอาจลบหรือตัดทอนหรือ ทาดว้ ยประการอ่ืนใดที่ไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนที่เก่ียวกับชื่อหรือที่อยู่ของพยานหรือข้อความอื่นใด ท่อี าจทาให้รตู้ ัวพยานที่ให้ถอ้ ยคาในเรอ่ื งนี้ได้ คำวนิ จิ ฉยั คณะกรรมการวินจิ ฉยั การเปดิ เผยขอ้ มูลข่าวสาร สาขาเศรษฐกจิ และการคลังของประเทศ ที่ ศค 1/2558 อุทธรณ์เรื่องนี้ได้ความว่า นาย ก. ผู้อุทธรณ์มีหนังสือที่ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2558 ถึงเลขาธิการ สานักงานประกันสังคมขอสาเนาเอกสารเพื่อใช้ประกอบการชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ความรบั ผิดทางละเมิด จานวน 6 รายการ สานักงานประกันสังคมมีหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ รง 0607/124 ลงวันที่ 8 มิถุนายน 2558 ให้สาเนา รายการเอกสารที่ 1-5 ใหก้ บั ผ้อู ุทธรณ์ แต่ปฏิเสธการให้สาเนาเอกสารรายการท่ี 6 คือ เอกสารเกี่ยวกับการลงทุน ในหนุ้ ตา่ ง ๆ ทข่ี าดทนุ และได้ดาเนินการอย่างไร โดยให้เหตุผลว่า เปน็ ขอ้ มลู เกี่ยวกับความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ดา้ นการลงทุนตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติขอ้ มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสาร สาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ พจิ ารณาแล้ว เหน็ ว่า ขอ้ มูลข่าวสารตามอทุ ธรณ์ คือขอ้ มูลการลงทนุ ที่ได้กาไรและขาดทนุ ตัง้ แต่ ปี 2543-2548 และข้อมูลการ ลงทุนที่ได้กาไรและขาดทุน ตั้งแต่ ปี 2552 ถึงกลางปี 2553 เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ อุทธรณ์ต้องการนาไปเทียบเคียงกับการลงทุนในขณะที่ผู้อุทธรณ์ดารงตาแหน่งรองเลขาธิการสานักงาน ประกันสังคม และใช้เป็นข้อมูลประกอบการชี้แจงข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และ คณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิด เพื่อปกป้องส่วนได้เสียของตน คณะกรรมการวินิจฉัยฯ มี ความเห็นดงั น้ี 1.ข้อมูลการลงทุนที่ได้กาไรและขาดทุน ตั้งแต่ ปี 2543-2548 นั้น ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยไปนานเกือบ สิบปี การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารจึงไม่มีผลต่อการสร้างราคาหุ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าหุ้น และไม่ทาให้บุคคล ใดไดเ้ ปรยี บเสียเปรยี บในการซือ้ ขายหนุ้ ในตลาดหลักทรพั ย์ ดงั น้ัน การเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารจึงไม่ก่อให้เกิดความ เสียหายต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูล ข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 แมจ้ ะเป็นขอ้ มลู การลงทนุ กอ่ นทผ่ี ูอ้ ุทธรณด์ ารงตาแหนง่ รองเลขาธิการสานักงาน ประกันสังคม แต่ผู้อุทธรณ์ก็อาจนาไปเทียบเคียงกับการลงทุนในขณะที่ผู้อุทธรณ์ดารงตาแหน่งรองเลขาธิการ สานักงานประกันสังคมเพื่อประกอบการชี้แจงต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และคณะกรรมการ สอบสวนความรับผิดทางละเมิดได้จึงเปน็ ข้อมูลขา่ วสารท่ีเปิดเผยต่อผ้อู ุทธรณ์ได้ 2.ข้อมูลการลงทุนที่ได้กาไรและขาดทุน ตั้งแต่ ปี 2552 ถึงกลางปี 2553 นั้น ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยไป นานเกือบห้าปี การเปดิ เผยข้อมูลข่าวสารจึงไมม่ ีผลต่อการสร้างราคาหุ้น ไม่สง่ ผลกระทบต่อมูลค่าหุ้น และไม่ทา ให้บุคคลใดได้เปรียบเสียเปรียบในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารจึงไม่ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศตามมาตรา 15 แห่ง
142 | กฎหมายขอ้ มลู ขา่ วสารของทางราชการ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 แม้จะเป็นข้อมูลการลงทุนก่อนที่ผู้อุทธรณ์ดารงตาแหน่ง รองเลขาธิการสานักงานประกันสังคม แต่ผู้อุทธรณ์ก็อาจนาไปเทียบเคียงกับการลงทุนในขณะที่ผู้อุทธรณ์ดารง ตาแหน่งรองเลขาธิการสานักงานประกันสังคมเพื่อประกอบการชี้แจงต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมดิ ได้จงึ เป็นข้อมลู ขา่ วสารท่เี ปิดเผยตอ่ ผูอ้ ุทธรณ์ได้ คณะกรรมการฯ จึงมีคาวินิจฉัยให้สานักงานประกันสังคมให้สาเนาข้อมูลข่าวสารรายการที่ 6 ได้แก่ ข้อมูลการลงทุนที่ได้กาไรและขาดทุน ตั้งแต่ ปี 2543-2548 และข้อมูลการลงทุนที่ได้กาไรและขาดทุน ตั้งแต่ ปี 2552 ถึงกลางปี 2553 แก่ผู้อุทธรณ์โดยครบถ้วน โดยห้ามผู้อุทธรณ์นำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่กับผู้ใด นอกเหนือจากการใช้เพื่อประกอบการชี้แจงต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม และคณะกรรมการ สอบสวนความรับผิดทางละเมดิ 4.การแจ้งผ้มู สี ่วนได้เสียและการคัดค้านการเปดิ เผยข้อมลู ข่าวสาร กรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเห็นว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสีย ของผู้ใด ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแจ้งให้ผู้นั้นเสนอคาคัดค้านภายในเวลาที่กาหนดแต่ต้องให้เวลาอันสมควร ที่ผู้น้ัน อาจเสนอคาคัดค้านได้ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าวันนับแต่วันรับแจ้ง (มาตรา 17 วรรคหนึ่ง) เรื่องนี้เป็นกรณีท่ี เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารตามทีม่ ีผู้ย่ืนคาขอไว้ แล้วเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวหากเปิดเผย ไปแล้วอาจทาให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบหรือเสียหายต่อประโยชน์ได้เสียของบุคคลดังกล่าว พระราชบัญญัตขิ ้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 17 จึงกาหนดให้เป็นหนา้ ท่ีของเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่ พิจารณาการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการจะต้องแจ้งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องให้เสนอคาคัดค้านภายในเวลาท่ี กาหนด โดยให้เวลาไม่นอ้ ยกวา่ สิบห้าวันนับแตว่ ันท่ีได้รับแจง้ จากเจ้าหน้าที่ การแจง้ ให้ผู้เก่ียวข้องซ่งึ ประโยชน์ได้เสียอาจไดร้ ับผลกระทบได้คัดค้านถือเป็นกระบวนการ ข้ันตอนที่มี ความสาคัญเพื่อเป็นการให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นได้รับทราบว่ามีการขอข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับตนและ เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามหลักการเปิดโอกาสให้โต้แย้งแสดง พยานหลักฐาน (Hear the other side) ก่อนออกคาสั่งทางปกครอง บุคคลที่เกี่ยวข้องจึงมีสิทธิที่จะคัดค้านการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้น โดยต้องให้เหตุผลของการคัดค้านด้วย ว่ามีความจาเป็นอย่างไร ประสงค์จะคัดค้าน ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน กรณีของเงื่อนเวลากฎหมายนี้กาหนดให้เวลาแก่ผู้มี ประโยชน์ได้เสียหรือได้รับผลกระทบไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก็เพื่อที่จะให้บุคคลนั้นสามารถมีเวลาเพียงพอในการ จัดทาคาคัดค้าน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องพิจารณาเองว่า ระยะเวลาเท่าใดที่เหมาะสมกับเรื่องนั้น ๆ เพียงแต่ กฎหมายกาหนดใหไ้ ม่น้อยกวา่ สิบห้าวัน ผู้ที่ได้รับแจ้งตามมาตรา 17 วรรคหนึ่งหรือผู้ที่ทราบว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการใดอาจ กระทบถึงประโยชน์ได้เสียของตนมีสิทธิคัดค้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้โดยทาเป็นหนังสือถึงเจ้าหน้าท่ี ของรัฐผู้รับผิดชอบ (มาตรา 17 วรรคสอง) หมายความว่า ถ้าผู้ที่ได้รับแจ้งหากประสงค์จะคัดค้านก็จะต้อง ดาเนินการคัดค้านภายในเวลาตามที่ได้รับแจ้ง ซึ่งหากพ้นระยะเวลาตามที่กาหนด เจ้าหน้าที่ของรัฐยังไม่ได้รับ หนังสือคัดค้าน เจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมสามารถมีดุลพินิจให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวได้ ในกรณีที่มีคา
ผศ.บุญชู ณ ปอ้ มเพ็ชร | 143 คัดค้านเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องพิจารณาคาคัดค้านและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้คัดค้านทราบโดยไม่ ชักช้า ในกรณีที่มีคาสั่งไม่รับฟังคาคัดค้าน เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นมิได้จนกว่าจะล่วงพ้น กาหนดเวลาอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๘ หรือจนกว่าคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้มีคาวินิจฉัย ใหเ้ ปดิ เผยข้อมลู ข่าวสารนั้นได้แล้วแต่กรณี (มาตรา ๑๗ วรรคสาม) พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ มาตรา 17 วรรคสามได้กาหนดห้ามมิให้เปิดเผยข้อมูล ข่าวสารจนกวา่ จะเป็นไปตามกรณี ดังต่อไปนี้ 1.กรณีที่ไม่มกี ารอุทธรณค์ าส่งั ไมร่ บั ฟงั คาคัดค้านไปยังคณะกรรมการวนิ ิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลขา่ วสาร มาตรา 18 บญั ญตั ิวา่ “จนกว่าจะล่วงพ้นกาหนดเวลาอุทธรณ์ตามมาตรา 18” มาตรา 18ได้กาหนดให้ ผู้คัดค้านสามารถอุทธรณ์ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่รับฟังคาคัดค้านต่อคณะกรรมการ วินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคาสั่งนั้น (โดยยื่นต่อคณะกรรมการข้อมูล ข่าวสารของราชการ) หมายความว่า ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมีคาสั่งแจ้งไม่รับฟังคาคัดค้านไปยังผู้คัดค้านและแจ้ง สทิ ธอิ ทุ ธรณ์คาสัง่ วา่ ผคู้ ดั คา้ นมสี ิทธิอุทธรณ์คาส่ังไม่รับฟังคาคัดคา้ นตอ่ คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูล ข่าวสารได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคาส่ัง กรณแี จง้ ตามเง่ือนไขเช่นน้ี ถ้าพ้นกาหนดเวลาอุทธรณ์และ ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร เจ้าหน้าที่ของรัฐก็สามารถ เปิดเผยขอ้ มูลขา่ วสารใหก้ ับผูย้ ื่นขอได้ 2.กรณที ม่ี กี ารอุทธรณ์คาสง่ั ไมร่ ับฟงั คาคัดคา้ นไปยงั คณะกรรมการวนิ ิจฉยั การเปิดเผยข้อมลู ขา่ วสาร มาตรา 18 บัญญัติว่า “หรือจนกว่าคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้มีคาวินิจฉัยให้ เปิดเผยข้อมูลขา่ วสารน้ันได้แลว้ ” ผู้คัดค้านไดย้ ืน่ อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ใน กาหนดเวลาตามเงื่อนไขการอุทธรณ์แล้ว หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะยังเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ดังกล่าวไม่ได้จนกว่าคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร จะได้มีคาวินิจฉัยแล้ว ซึ่งหาก คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร มีคาวินิจฉัยเห็นด้วยกับการไม่รับฟังคาคัดค้านของหน่วยงาน ของรัฐ หน่วยงานของรัฐก็สามารถดาเนินการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้ แตห่ ากคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผย ข้อมลู ขา่ วสาร ไมเ่ หน็ ด้วยกับการไมร่ ับฟังคาคัดค้าน หนว่ ยงานของรัฐก็ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารดังกล่าว ได้ หรือหากคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร มีคาวินิจฉัยให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารแต่เพียง บางส่วน หน่วยงานของรัฐก็จะต้องดาเนินการตามคาวินิจฉัยดังกล่าว ทั้งนี้ เนื่องจากในมาตรา ๓๗ ของ พระราชบัญญัติ ไดบ้ ญั ญัติใหค้ าวนิ จิ ฉัยของคณะกรรมการวินิจฉยั การเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารเป็นที่สดุ
144 | กฎหมายขอ้ มลู ข่าวสารของทางราชการ 5.ความคุ้มครองสำหรบั เจ้าหน้าท่ีของรัฐ การใช้อานาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ในการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการ อาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ในกรณีต่าง ๆ เพราะการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร บางกรณีอาจกระทบถึงบุคคลภายนอกให้เขาเกิดความเสียหาย ซึ่งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นอาจนามาซึ่งความผิด ทั้งทางวินัย ทางอาญาและความรับผิดทางแพ่งกรณีละเมิด ซึ่งกรณีเช่นนี้อาจทาให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ยอม เปดิ เผยขอ้ มลู ขา่ วสารเพือ่ หลีกเลี่ยงความรับผิดท่ีจะเกิดข้ึนกบั ตนเอง ดังนั้น พระราชบัญญัติฉบับนี้จึงกาหนดมาตรการคุ้มครองให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการใช้อานาจออก คาส่งั ให้เปิดเผยขอ้ มูลข่าวสารเอาไว้ เพอ่ื ให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐสามารถใชอ้ านาจได้อยา่ งอิสระและไม่ต้องเกรงกลัว ตอ่ ความรบั ผดิ ต่าง ๆ ทจี่ ะเกดิ ขึ้น หากวา่ เจ้าหนา้ ที่ได้ปฏบิ ัตหิ นา้ ทโี่ ดยสุจริตและเป็นไปตามเงอื่ นไขของกฎหมาย แล้ว โดยบญั ญตั ไิ ว้ในมาตรา 20 ดงั นี้ “การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดแม้เข้าข่ายต้องมีความรับผิดตามกฎหมายใดให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ของ รัฐไมต่ ้องรับผิดหากเปน็ การกระทำโดยสุจริตในกรณดี งั ต่อไปนี้ (1)ขอ้ มูลขา่ วสารตามมาตรา 15 ถ้าเจ้าหน้าทขี่ องรัฐไดด้ ำเนนิ การถูกต้องตามระเบียบ ตามมาตรา 16 (2)ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 ถ้าเจ้าหน้าที่ของรฐั ในระดับตามทีก่ ำหนดในกฎกระทรวงมีคำส่งั ใหเ้ ปิดเผยเป็นการทว่ั ไปหรือเฉพาะแก่บุคคลใดเพื่อประโยชน์อนั สำคญั ยง่ิ กวา่ ท่เี กย่ี วกับประโยชน์ สาธารณะหรือชีวิต ร่างกาย สุขภาพ หรือประโยชน์อื่นของบุคคล และคำสั่งนั้นได้กระทำโดย
ผศ.บุญชู ณ ปอ้ มเพช็ ร | 145 สมควรแก่เหตุ ในการนจี้ ะมีการกำหนดข้อจำกัดหรือเง่ือนไขในการใช้ข้อมูลข่าวสารนั้นตามความ เหมาะสมกไ็ ด้ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งไม่เป็นเหตุให้หน่วยงานของรัฐพ้นจากความรับผิดตาม กฎหมายหากจะพึงมีในกรณดี ังกลา่ ว” พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 กาหนดมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่เปิดเผย ขอ้ มูลขา่ วสารของราชการประเภทท่ีอาจมีคาสั่งไม่เปิดเผย ตามมาตรา 20 ไว้ ดังน1้ี 5 กรณีที่หนึ่ง มาตรา 20 (1) เป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารตาม มาตรา 15 ที่มีคาสั่งไม่เปิดเผยและมีการกาหนดชั้นความลับแล้ว โดยได้ปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบว่าด้วยการ รกั ษาความลบั ของทางราชการ พ.ศ. 2544 ข้อมูลข่าวสารของราชการเรอื่ งใดท่ีจัดอยู่ในประเภทของขอ้ มูลขา่ วสารที่อาจมีคาสั่งไม่เปิดเผยและมีการ กาหนดชั้นความลับไวแ้ ล้ว ไม่ว่าจะเป็นช้ันลับ ลบั มาก ลบั มากท่สี ุด และเจ้าหน้าที่ได้ดาเนินการให้มีการเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารนั้นให้แก่ผู้ขอข้อมูลโดยดาเนินการโดยสุจริต ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง และมีการ ดาเนินการตามขั้นตอนหรือข้อกาหนดตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 แล้ว เช่น ถ้าตนเองไม่ใช่ผู้มีอานาจหรือได้รับมอบอานาจให้กาหนดชั้นความลับก็ต้องเสนอให้ผู้มีอานาจกาหนดชั้น ความลับนั้น ๆ เป็นผู้สั่งปลดชั้นความลับเสียก่อนที่จะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นและถ้าข้อมูลข่าวสารนั้นได้ ดาเนินการปลดชั้นความลับ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ดาเนินการเปิดเผยได้ แม้ว่าต่อมาพบว่า กรณีเปิดเผยข้อมูล ขา่ วสารดังกลา่ ว จะทาใหม้ ผี ลกระทบเสยี หายต่อบุคคลหน่ึงบคุ คลใด หรือตอ่ รฐั เขา้ ขา่ ยความรบั ผดิ ตามกฎหมาย เจา้ หนา้ ทีข่ องรฐั ซึง่ ไดม้ ีคาสงั่ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวก็ไมต่ ้องรับผิดตามกฎหมายนั้น เป็นตน้ กรณีที่สอง มาตรา 20 (2) ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐตัง้ แต่ระดับ 6 ขึ้นไป สาหรับข้าราชการพลเรือนซ่ึงถือวา่ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กาหนดในกฎกระทรวง ได้มีคาสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการที่จัดให้อยู่ใน ประเภทขอ้ มลู ขา่ วสารที่อาจมีคาสงั่ มิให้เปิดเผยเป็นการทั่วไปหรือเฉพาะบคุ คลหน่งึ บุคคลใด การมีคาสั่งมิให้เปิดเผยเพื่อประโยชน์สาคัญที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ หรือชีวิตสุขภาพ หรือ ประโยชน์ต่อของบุคคล และคาส่ังนั้นได้กระทาโดยสมควรแก่เหตุ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นก็ไม่ต้องรับผิดตาม กฎหมายใด ๆ แม้วา่ เข้าขา่ ยตอ้ งมคี วามรับผดิ ตามกฎหมายน้ัน หากพิจารณาตามข้อกาหนดของกฎหมายมาตรา 20 นแี้ ลว้ หมายถึง กรณีทม่ี ผี ู้มาขอขอ้ มลู ขา่ วสารและ เจ้าหน้าที่ของรัฐพิจารณาโดยสุจริตไม่มีประโยชน์ส่วนตนแอบแฝงอยู่ และมีการชั่งน้าหนักถึงผลประโยชน์หรือ ผลกระทบทจ่ี ะเกิดข้ึนตอ่ สาธารณะ หรือบุคคลทเ่ี ก่ยี วขอ้ งแล้วอย่างเหมาะสมแล้ว และไดม้ คี าสงั่ ให้เปิดเผยข้อมูล ขา่ วสารไปตามที่ไดม้ ีดุลยพินิจน้ัน เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐย่อมไดร้ บั การค้มุ ครองไมต่ ้องรับผิดตามกฎหมายใด แม้ว่าเข้า ข่ายต้องมีความรับผิดตามกฎหมายนั้น อย่างไรก็ตาม การยกเว้นนี้ไม่รวมถึงหน่วยงานของรัฐซึ่งอาจต้องรับผิด ตามกฎหมายหากพึงมีในกรณดี ังกล่าวนี้ 15 www.oic.go.th/web2007/protection_of_public_who_disclose%20informatiom.htm
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272