Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัย-การศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชน - อ.สมชาย

รายงานวิจัย-การศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชน - อ.สมชาย

Published by E-books, 2021-03-02 04:02:32

Description: รายงานวิจัย-การศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชน-สมชาย

Search

Read the Text Version

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 ซ่ึงเป็ นชมุ ชนดงั้ เดิมที่มีลกั ษณะทางสงั คมและวฒั นธรรมมายาวนาน และมีการรวมกล่มุ กันของ บุคคลหลายคน ย่อมได้รับความค้มุ ครองตามรัฐธรรมนญู นี ้จึงถือได้ว่าผ้ฟู ้ องเป็ นผ้ทู ่ีได้รับความ เสียหายหรืออาจจะได้รับความเสียหายตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีปกครอง 254270 แม้คดที ่ีนครปฐมจะเป็ นกรณีพิพาทเก่ียวกบั สิทธิของชมุ ชนในการมีส่วนร่วมในการจดั การ สถานท่ีโบราณสถานในชุมชนของตนเอง อันไม่ใช่คดีที่เกี่ยวข้ องกับการจัดการป่ าและ ทรัพยากรธรรมชาตโิ ดยตรง แตก่ ็สามารถแสดงให้เห็นถึงสิทธิของประชาชนท่ีสามารถนาเรื่องขนึ ้ สู่ การวินิจฉัยของศาลปกครองโดยการอ้างอิงสิทธิอนั เน่ืองมาจากสิทธิชุมชนในมาตรา 66 ตาม รัฐธรรมนญู 2550 ในกรณีท่ีประชาชนใช้สิทธิในการฟ้ องตอ่ ศาลปกครองเพ่ือขอให้รัฐดาเนินการ เช่น คดีที่ สมาคมตอ่ ต้านภาวะโลกร้อนได้ย่ืนฟ้ องตอ่ ศาลปกครองกลาง อนั เป็ นคดีพิพาทเก่ียวกบั เจ้าหน้าท่ี ของรัฐกระทาการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย โดยอาศยั สิทธิตาม รัฐธรรมนญู 2550 มาตรา 67 วรรค 2 จากการท่ีรัฐได้อนญุ าตให้มีการดาเนินโครงการท่ีอาจสง่ ผล กระทบอยา่ งรุนแรงตอ่ ชมุ ชน จานวน 76 โครงการในพืน้ ที่อาเภอมาบตาพดุ จังหวดั ระยอง แม้ว่า คดีนีจ้ ะไม่ได้เก่ียวข้องโดยตรงกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในกรณีที่ชุมชนเป็ นผู้จัดการ ทรัพยากรโดยตรง แตก่ ็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงข้อวินิจฉัยของศาล เกี่ยวกบั การบงั คบั ใช้สิทธิของ ชมุ ชนในการเป็ นผู้นาคดีขึน้ สู่ศาลโดยตรงเม่ือยงั ไม่มีกฎหมายบญั ญัติในรายละเอียด และการ พิจารณาถงึ หลกั การเร่ืองการป้ องกนั ลว่ งหน้า (Precautionary Principle) อนั ข้อวินิจฉยั ของศาลท่ี สาคญั ยง่ิ ตอ่ การบงั คบั ใช้สิทธิชมุ ชน ดงั นี ้ “ตามมาตรา 67 ประกอบมาตรา 303 (1) ในรัฐธรรมนญู 2550 กาหนดให้มีการ ตรากฎหมายเพ่ือกาหนดรายละเอียดเพื่อส่งเสริมและค้มุ ครองสิทธิของบคุ คลให้ เหมาะสมและเป็นไปในทางเดยี วกนั โดยหลกั ทวั่ ไปของการตรากฎหมายย่อมไมม่ ี วตั ถปุ ระสงค์ให้การบริหารราชการแผ่นดินหรือการประกอบอาชีพของประชาชน ต้องหยดุ ลงในระหวา่ งที่ยงั ไมม่ ีกฎหมายกาหนดรายละเอียดในการดาเนินการ”71 70 คาร้องท่ี 775/2551 คาสงั่ ที่ 247/2552 ศาลปกครองสงู สดุ วนั ท่ี 30 เมษายน 2552. 132 71 คดหี มายเลขดาท่ี 908/2552 ศาลปกครองกลาง วนั ท่ี 29 กนั ยายน 2552, หน้า 28. คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าบทบญั ญัติของมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 มีเจตนารมณ์เพ่ือให้มีการกาหนดประเภทและ ขนาดของโครงการหรือกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบตอ่ ชุมชนอย่างรุนแรงไว้เป็ น การล่วงหน้า เพื่อแต่ละโครงการหรือกิจกรรมดังกล่าวจะได้ดาเนินการตาม หลกั เกณฑ์ที่รัฐธรรมนญู กาหนดไว้ตามหลกั การป้ องกนั ลว่ งหน้า ไม่มีเจตนารมณ์ ให้มีการออกใบอนญุ าตโครงการหรือกิจกรรมท่ีอาจส่งผลกระทบตอ่ ชุมชนอย่าง รุนแรงก่อน แล้วใช้หลกั การควบคมุ หรือหลกั การเยียวยา หากเกิดความเสียหาย ขนึ ้ ในภายหลงั เน่ืองจากหลกั การควบคมุ หรือหลกั การเยียวยาไม่ใช่หลกั ประกันที่ มีประสิทธิภาพที่สดุ ในการค้มุ ครองสิทธิการดารงชีพอยไู่ ด้อยา่ งปกตแิ ละตอ่ เนื่อง ในสิ่งแวดล้อมท่ีจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพหรือ คณุ ภาพชีวิตของประชาชน เพราะต้องขึน้ อย่กู ับปัจจยั ท่ีเป็ นเง่ือนไขในภายหลัง หลายประการ ดงั นนั้ จงึ กาหนดหลกั การป้ องกันลว่ งหน้า ทงั้ ที่เป็ นกระบวนการไว้ ในบทบัญญัติมาตรา 67 วรรคหน่ึงและวรรคสอง คือการมีส่วนร่วม การ ประเมินผลกระทบด้านส่ิงแวดล้อมและสุขภาพ การรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนและจากองค์กรต่าง ๆ เป็ นต้น และกาหนดหลกั การซงึ่ เป็ นสภาพบงั คบั ไว้ในบทบญั ญัติมาตรา 67 วรรคสาม คือ การฟ้ องคดีเพื่อบงั คบั ให้ผู้ท่ีเก่ียวข้อง ต้องปฏิบตั ติ ามบทบญั ญตั ิมาตรานี ้ ....ซง่ึ เม่ือพิจารณาบทบญั ญัตมิ าตรา 27ของ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 จะเห็นได้ว่า คณะรัฐมนตรี หรือหนว่ ยงานของรัฐต้องผกู พนั ในการใช้อานาจเพื่อกาหนดวา่ ประเภทและขนาด ของโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบตอ่ ชมุ ชนอย่างรุนแรง ทงั้ ทางด้ านคุณภาพส่ิงแวดล้ อมทรัพยากร ธรรมชาติและสุขภาพ ในทันทีที่ บทบญั ญตั ิมาตรา 67 ของรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 มีผลใช้บังคับ เพ่ือให้มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกาหนดไว้ให้ ครบถ้วนจากความเหน็ ของศาลดงั กลา่ วสะท้อนให้เห็นถงึ หลกั การป้ องกนั ไว้ก่อนที่ ศาลชีว้ ่าควรจะเป็ นแนวคิดพืน้ ฐานในการบงั คบั ใช้มาตรา 67 และการบงั คบั ใช้ ดงั กลา่ วถือวา่ มีผลผกู พนั หนว่ ยงานรัฐให้ต้องปฏิบตั ติ ามโดยทนั ที”72 72 เร่ืองเดียวกนั , หน้า 30. 133 คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 จากแนวทางในการบงั คบั ใช้มาตรา 67 ของศาลปกครองในคดีมาบตาพุดจะเห็นแนว ทางการตีความใช้สิทธิชุมชนบนฐานแนวคิดของหลักการป้ องกันไว้ก่อนและบังคับสิทธิตาม รัฐธรรมนญู ได้โดยตรง ที่ไมต่ ้องรอให้มีกฎหมายบญั ญตั ถิ ึงรายละเอียดเสียก่อน โดยศาลปกครอง ได้มีคาสง่ั กาหนดมาตรการชวั่ คราวก่อนการพิพากษาให้ระงบั โครงการทงั้ 67 โครงการไว้ชวั่ คราว ท้ายที่สดุ คดีนีข้ ึน้ ส่ศู าลปกครองสงู สุดซึ่งก็ได้มีคาวินิจฉัยยืนยนั ว่าแม้จะยงั ไม่มีกฎหมายบญั ญัติ รายละเอียดเร่ืองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู ไม่ใช่เหตทุ ่ีองค์กรของรัฐจะยกขนึ ้ มาอ้างเพ่ือปฏิเสธ ไมใ่ ห้การค้มุ ครองสทิ ธินนั้ 73 5.2.4 เนือ้ หาของสิทธิชุมชนในคาวินิจฉัยของศาล การใช้บงั คบั สทิ ธิชมุ ชนหลงั จากมีรัฐธรรมนญู 2550 จะพบว่าบทบาทของศาลปกครองใน การค้มุ ครองสิทธิชุมชนมีแนวทางการวินิจฉัยท่ีรับรองสิทธิชุมชน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมาย บญั ญตั ิไว้ในรายละเอียด ทงั้ ยงั ขยายไปสเู่ นือ้ หาแหง่ สิทธิชมุ ชนในการดาเนินการเรียกคา่ เสียหาย และบงั คบั ให้หนว่ ยงานรัฐดาเนินการเพื่อฟื น้ ฟสู ภาพส่ิงแวดล้อมด้วย ดงั ในคดีห้วยคลิตี ้ตาบลชะ แล อาเภอทองผาภูมิ จงั หวดั กาญจนบรุ ี จงั หวดั กาญจนบุรี อนั เป็ นคดีพิพาทเกี่ยวกบั การกระทา ละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อนั เกิดจากการปฏิบตั ิหน้าที่ล่าช้ าเกิน สมควร ชาวบ้านในพืน้ ท่ีคลิตีฟ้ ้ องหนว่ ยงานรัฐที่อนญุ าตให้มีการทาเหมืองแร่และเป็ นผลให้ตะกั่ว ปนเปื อ้ นในนา้ ดินและสตั ว์นา้ โดยหน่วยงานท่ีมีหน้าท่ีไม่ได้เข้าดาเนินการเพื่อกาจดั มลพิษและ ฟื ้นฟูลาห้วยคลิตีใ้ ห้กลับคืนสู่สภาพเดิม และไม่ได้เร่งรัดตรวจสอบให้บริษัทท่ีได้รับสัมปทาน ดาเนนิ การตามแผนท่ีเสนอแก้ไขฟื น้ ฟทู ี่ได้ทาไว้ โดยชาวบ้านอ้างสิทธิของชมุ ชนที่รัฐธรรมนญู รับรองเรียกคา่ เสียหายตามมาตรา 56 ผ้ถู ูก ฟ้ องอ้างว่าการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญซ่ึงยังไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพ่ือรองรับสิทธิของ บคุ คลในการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกคา่ เสียหายได้ ในประเด็น โต้แย้งวา่ ผ้ฟู ้ องคดีเป็นผ้ไู มม่ ีสิทธิที่จะฟ้ องเรียกคา่ เสียหายได้นนั้ ศาลปกครองมีความเห็นว่าแม้ยงั ไมม่ ีบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายเพ่ือรับรองสิทธิของบคุ คลในการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ก็เป็ นเพียงการกาหนดหลกั เกณฑ์รายละเอียดการได้ประโยชน์เท่านนั้ ไมอ่ าจจะแปลได้ว่าผ้ฟู ้ อง คดีไมม่ ีสทิ ธิที่จะเรียกคา่ เสียหายแตอ่ ยา่ งใด74 73 คาร้องที่ 586/2552 คาสงั่ ท่ี 592/2552 ศาลปกครองสงู สดุ วนั ท่ี 2 ธนั วาคม 2552. 74 คดหี มายเลขดาท่ี 214/2547 คดหี มายเลขแดงท่ี 637/2551 ศาลปกครองกลาง วนั ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551. คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 134

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 ต่อมาในปี 2553 ศาลปกครองสูงสุดในมีคาวินิจฉัยในทานองการค้มุ ครองสิทธิชมุ ชนใน กรณีอ่ืนคือคดีโครงการนา้ ประปาครบุรี ในเทศบาลนคร จงั หวดั นครราชสีมา จากข้อเท็จจริงใน โครงการก่อสร้ างระบบประปาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนนา้ อุปโภคบริโภคของเทศบาลนคร นครราชสีมา สง่ ผลกระทบตอ่ ผ้อู าศยั อยใู่ นเขตอาเภอครบรุ ี และพืน้ ท่ีใกล้เคียงท่ีใช้นา้ จากเข่ือนลา แซะ ศาลปกครองสงู สดุ อาศยั มาตรา 67 ของรัฐธรรมนญู 2550 ในการให้ความค้มุ ครองแก่ผ้ไู ด้รับ ผลกระทบ ซ่ึงถือว่ามีเหตุเพียงพอท่ีจะให้ศาลมีคาส่ังระงับโครงการไว้ชั่วคราวก่อน กาหนด มาตรฐานหรือวธิ ีการบรรเทาทกุ ข์ชว่ั คราวก่อนมีคาพิพากษาได้75 นอกจากการท่ีชาวบ้านจะอาศยั สิทธิชมุ ชนในการฟ้ องคดีตอ่ รัฐ การร้องสอดเข้าไปร่วมใน คดีที่เกี่ยวเนื่องกบั ผลประโยชน์หรือข้อพิพาทเก่ียวกับสิทธิการจดั การทรัพยากรก็ถือเป็ นอีกกรณี หนง่ึ ท่ีสามารถจะเข้าส่คู ดีปกครองได้ เช่น คดีในศาลปกครองสงู สดุ 76 กรณีเกี่ยวกบั คดีป่ าชายเลน แม่ราพึง จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ โดยชาวบ้าน 33 คน ร้องสอดเข้าไปในคดีที่บริษัทสหวิริยาสตีล อินดสั ตรี จากดั อ้างวา่ ตนเองมีสิทธิครอบครองพืน้ ท่ีในตาบลแม่ราพึง อาเภอบางสะพาน จงั หวดั ประจวบครี ีขนั ธ์ ก่อนที่ทางราชการจะมีการประกาศพืน้ ท่ีนนั้ เป็นพืน้ ท่ีป่ าค้มุ ครอง ทางบริษัท สหวิริ ยาสตลี อนิ ดสั ตรี จากดั จงึ ฟ้ องกระทรวงมหาดไทยในฐานะผ้อู อกคาสง่ั ซง่ึ ชาวบ้านได้เป็ นผ้รู ้องสอด เข้ามาในคดีในฐานะท่ีอาศยั และใช้ประโยชน์อย่รู อบพืน้ ที่พิพาทดงั กล่าวเป็ นการใช้สิทธิมาตาม มาตรา 66 และ67 ตามรัฐธรรมนญู 2550 ได้ ในส่วนของการให้ความค้มุ ครองในเนือ้ หาของสิทธิชุมชน เช่น การให้หน่วยงานรัฐต้อง ดาเนินการเพื่อฟื น้ ฟูสภาพแวดล้อมให้กลบั คืนสธู่ รรมชาติ ดงั ปรากฏในคดีห้วยคลิตี ้ศาลปกครอง สงู สดุ ได้ตดั สินโดยอาศยั มาตรา 46 ในรัฐธรรมนูญ 2540 ให้สิทธิชมุ ชนแก่ชาวบ้านที่อาศยั อย่ใู น บริเวณลาห้วยคลิตี ้ อาเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เรียกค่าเสียหายตามมาตรา 97 พระราชบญั ญตั สิ ่งเสริมและรักษาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และให้กรมควบคมุ มลพิษต้อง ดาเนินการฟื น้ ฟูลาห้วยคลิตี ้พร้อมทงั้ แจ้งผลการดาเนินการให้ผ้เู กี่ยวข้องได้ทราบด้วย เป็ นการ 75 คาร้องท่ี 678/2552 คาสง่ั ท่ี 74/2553 ศาลปกครองสงู สดุ วนั ท่ี 23 มนี าคม 2553. 135 76 คาร้องที่ 157/2554 คาสง่ั ที่ 453/2554 ศาลปกครองสงู สดุ วนั ท่ี 8 สงิ หาคม 2554. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 วินิจฉัยท่ีรับรองสิทธิของชุมชนทัง้ ในด้านการรับการชดใช้เยียวยา และการกาหนดให้รัฐต้อง ดาเนนิ การบาบดั ฟื น้ ฟตู ามข้อเรียกต้องของชมุ ชน77 อยา่ งไรก็ตาม เมื่อพจิ ารณาถงึ การวนิ ิจฉยั ถึงเนือ้ หาและกระบวนการแหง่ การบงั คบั ใช้สิทธิ ชมุ ชนตามมาตรา 66 และ มาตรา 67 แล้ว พบวา่ ศาลปกครองยงั ไมไ่ ด้วางหลกั เพ่ือค้มุ ครองสิทธิใน สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรของชุมชนอย่างเต็มท่ี เช่น คดีโรงไฟฟ้ าหนองแซง ซ่ึงชาวบ้าน 61 คน ร่วมกนั ฟ้ องรัฐในข้อหาละเลยการปฏิบตั หิ น้าท่ีในกรณีให้อนญุ าตประกอบกิจการโรงไฟฟ้ าวา่ เป็ น คาสงั่ ทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองกลางมีคาตดั สิน โดยวินิจฉัยว่าเนื่องจาก โรงไฟฟ้ าหนองแซงที่จะสร้ างขึน้ ไม่เป็ นกิจการท่ีอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ภายใต้ประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอนั ต้องจดั ทารายงานผลกระทบ สงิ่ แวดล้อม และการที่บริเวณดงั กลา่ วยงั ไม่มีการประกาศเขตผงั เมือง ทาให้การจดั สร้างโรงไฟฟ้ า ในบริเวณดงั กล่าวไม่ปรากฏว่าเป็ นการกระทาท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในคาวินิจฉัยของศาลชีว้ ่า ภาวะการขาดแคลนนา้ ที่อาจเกิดขึน้ และปัญหาความปลอดภัยท่ีอาจเกิดขึน้ ในอนาคตจาก โรงไฟฟ้ าสามารถระงบั การดาเนินการของโรงไฟฟ้ าได้ โดยอาศยั อานาจของคณะกรรมการผงั เมือง ท่ีอาจกาหนดหลกั เกณฑ์ให้โรงไฟฟ้ าแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือระงบั การใช้ประโยชน์ในที่ดนิ ภายใน ระยะเวลาอันสมควร78 คาวินิจฉัยในลกั ษณะดงั กล่าวเป็ นส่ิงขัดต่อหลกั การที่ต้องระวังไว้ก่อน (Precautionary Principle) หากพิจารณาถึงแนวทางในคาวินิจฉยั ของศาลปกครองในการบงั คบั ใช้สิทธิชมุ ชนจะวาง หลกั วา่ แม้ยงั ไม่มีกฎหมายในการกาหนดรายละเอียดของมาตรา 66 และ 67 ตามรัฐธรรมนญู แต่ ก็ไม่เป็ นเหตุให้การบงั คบั ใช้สิทธิชุมชนต้องชะลอไว้ ดังนนั้ ประชาชนมีสิทธิจะนาเรื่องขึน้ สู่ศาล ปกครองเพื่อให้มีคาส่ังในทางป้ องกันความเสียหายได้ในโครงการต่างๆ ที่อาจก่อผลกระทบต่อ ส่ิงแวดล้อมอย่างรุนแรง อยา่ งไรก็ตาม ในการนาหลกั ต้องระวงั ไว้ก่อนมาใช้บงั คบั ยงั คงมีความไม่ ชดั เจน โดยในบางคดีก็มีการบงั คบั ใช้และในบางคดีก็ไม่ได้มีการบงั คบั ใช้ หากมีการวางแนวคา วนิ จิ ฉยั บนพืน้ ฐานของการต้องระวงั ไว้ก่อน จะเพิ่มประสิทธิภาพในการค้มุ ครองสิทธิชมุ ชนมากขนึ ้ เน่ืองจากจะทาให้คดีท่ีขนึ ้ สศู่ าลปกครองมีประสิทธิภาพในเชิงป้ องกนั มากกว่าข้อขดั แย้งที่เป็ นคดี 77 คดีหมายเลขดาที อ. 597/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 743/2555 ศาลปกครองสงู สดุ วนั ท่ี 16 พฤศจิกายน 2555. 78 คดหี มายเลขดาท่ี 1454/2553 คดีหมายเลขแดงที่ 126/2553 ศาลปกครองกลาง วนั ที่ 31 มกราคม 2556. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 136

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ขนึ ้ สศู่ าลยตุ ธิ รรม ซง่ึ ผ้ฟู ้ องคดจี ะต้องเป็นผ้เู สียหายและมกั มีการตีความวา่ ต้องเป็ นความเสียหายท่ี ใกล้จะถงึ และเป็นความเสียหายโดยตรงเทา่ นนั้ 5.3. การปรับตวั ของสถาบันตลุ าการในการบังคับใช้สทิ ธิชุมชน การบงั คบั ใช้สิทธิชมุ ชนของสถาบนั ตลุ าการดงั ท่ีได้แสดงให้เห็นในคาวินิจฉัยของสถาบนั ตลุ าการ ได้แสดงให้เห็นถึงทิศทางในการบงั คบั ใช้สิทธิชุมชนที่ยงั มีข้อจากดั บางประการซ่ึงเป็ น อุปสรรคในการค้มุ ครองสิทธิชุมชน ท่ามกลางการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมก็ได้ปรากฏการ เคลื่อนไหวของฝ่ ายตา่ งๆ เกิดขนึ ้ อยา่ งกว้างขวางในการตรวจสอบและสงั เกตการณ์คดีในแตล่ ะคดี โดยเฉพาะองค์กรพฒั นาเอกชนที่ส่งเสริมสิทธิของคนชายขอบ เช่น คดีห้วยคลิตี ้มีโครงการนิติ ธรรมส่ิงแวดล้อม (EnLaw) เข้ามาให้ความชว่ ยเหลือในการตอ่ ส้คู ดีให้ควบคไู่ ปกบั การเคล่ือนไหว ของชมุ ชนท่ีได้รับผลกระทบจากข้อขดั แย้งตา่ งๆ อยา่ งไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวอยใู่ นการวางหลกั กฎหมายที่จะนามาใช้กบั การโต้แย้งสิทธิ ในกรณีของสิทธิชุมชน ดงั นัน้ จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็ นช่วงท่ีมีระยะเปลี่ยนผ่านจากแนวคิดแนว อนรุ ักษ์นยิ มกระแสหลกั ท่ีให้ความสาคญั แก่อานาจรัฐเป็นหลกั มาสกู่ ารเปลี่ยนแปลงที่มีเริ่มยอมรับ การมีสว่ นร่วมของภาคประชาชนมากขนึ ้ 5.3.1 การปรับตัวของตลุ าการเชิงปัจเจกบุคคล จากตวั อย่างคาวินิจฉัยที่นาเสนอมาทงั้ ในส่วนของคาวินิจฉัยของศาลในชนั้ ต้น และศาล สงู สดุ หรือการมีความเห็นของตลุ าการเสียงข้างน้อยแสดงให้เห็นมิติของความเปลี่ยนแปลงทาง แนวคิดที่ต่างไปจากคาวินิจฉัยหลกั อาจเป็ นส่วนหน่ึงที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปล่ียนแปลงที่ ตอบสนองต่อแนวความคิดเร่ืองสิทธิชมุ ชน และอาจมีการพฒั นาตอ่ ไปให้มีความชดั เจนมากขึน้ โดยเฉพาะการปรับตวั ที่เกิดขนึ ้ ในภายหลงั ดงั นนั้ ในการศกึ ษาถึงแนวความคิดเร่ืองสิทธิชมุ ชนใน คาวินิจฉัยของสถาบนั ตลุ าการ หากพิจารณาในแง่มุมท่ีกว้างและรวมถึงความเห็นของตลุ าการ เสียงข้างน้อย หรือกระทง่ั การปรับเปล่ียนคาพิพากษาในระหว่างศาลแตล่ ะระดบั ก็จะทาให้เข้าใจ กบั หลกั การทางกฎหมายที่ศาลใช้ และสาระสาคญั ซง่ึ จะมีผลในการพฒั นาสทิ ธิชมุ ชนตอ่ ไป คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 137

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 5.3.2 การจัดตัง้ แผนกคดีส่ิงแวดล้อม ได้มีการปรับโครงสร้างในศาลยตุ ิธรรมด้วยการจดั ตงั้ แผนกคดีส่ิงแวดล้อมในศาลแพ่ง79 ศาลฎีกาแผนกคดีส่ิงแวดล้อม รวมถึงความพยายามในการจดั ตงั้ แผนกคดีส่ิงแวดล้อมขึน้ ในศาล ปกครองชนั้ ต้น 9 แห่งท่ัวประเทศ เช่นท่ี เชียงใหม่ สงขลา นครราชสีมา ขอนแก่น พิษณุโลก ระยอง นครศรีธรรมราช อุดรธานี และอุบลราชธานี80 ความพยายามในลักษณะดงั กล่าวย่อม สะท้อนให้เห็นถึงรูปธรรมของศาลตอ่ การปรับตวั รองรับกับปัญหาส่ิงแวดล้อมและอาจรวมถึงสิทธิ ชมุ ชนได้ อย่างไรก็ตาม ลาพังเพียงการจัดตงั้ ศาลเฉพาะเพื่อสร้ างผู้เช่ียวชาญเฉพาะทางด้าน ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ก็ยงั ไม่อาจเป็ นสิ่งท่ีแสดงให้เห็นได้วา่ แนวโน้มในการวินิจฉัยข้อพิพาท ต่างๆ ในประเด็นปัญหาเร่ืองสิทธิชุมชนจะสามารถเกิดขึน้ ได้ เนื่องจากในการพิจารณาประเด็น ปัญหาด้านส่ิงแวดล้อมก็อาจมาจากจดุ ยืนทางความคิดท่ีแตกตา่ งกนั ได้ เช่น การให้ความสาคญั เฉพาะแตร่ ะบบนิเวศ (eco-centric) การแก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมที่พึงพาวิทยาการสมยั ใหม่แตเ่ พียง อย่างเดียว (techno-centric) หรือการให้ความสาคญั แก่มนษุ ย์โดยไม่คานึงถึงการลม่ สลายของ ธรรมชาติ (anthropo-centric) ซึ่งการมีจดุ ยืนที่โน้มเอียงไปในด้านใดด้านหนงึ่ ก็อาจเป็ นอปุ สรรค ตอ่ การพฒั นาแนวความคดิ สทิ ธิชมุ ชน 5.3.3 การมีแนวนโยบายในการบังคับใช้กฎหมายในคดีส่งิ แวดล้อม นอกจากการปรับตวั ในเชิงโครงสร้างแล้ว ก็ได้ปรากฏความพยายามในการให้ข้อแนะนา และแนวทางปฏิบตั เิ พื่อให้ตลุ าการใช้เป็ นเกณฑ์ในการตดั สินคดี ไมว่ ่าจะในศาลยตุ ิธรรมและศาล ปกครอง ดงั จะได้กลา่ วเป็นลาดบั ดงั นี ้ ในศาลยตุ ธิ รรม การมีคาแนะนาของประธานศาลฎีกา81 สาระสาคญั ในคาแนะนาดงั กล่าว มีการให้ความหมายของดงั นี ้ 79 ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยตุ ิธรรม เร่ืองการจัดตงั้ แผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลแพ่ง ลงวนั ท่ี 18 เมษายน 2554. 80 ศาลปกครอง, “ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อกรณีการจัดตัง้ แผนกคดีส่ิงแวดล้อม ในศาล ปกครอง” วนั ที่ 3 สงิ หาคม 2554. 81 คาแนะนาของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกบั การดาเนินคดีสง่ิ แวดล้อม วนั ท่ี 9 มีนาคม 2554 ผ่านความเห็นชอบ จากคณะกรรมการบริหารศาลยตุ ธิ รรม วนั ท่ี 11 มนี าคม 2554. คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 138

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 “คดสี ิง่ แวดล้อม” นนั้ ตามคาแนะนาของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกบั การดาเนินคดี สิ่งแวดล้อม ข้อ 1 หมายความวา่ (1) คดีแพ่งท่ีการกระทาตามคาฟ้ องก่อให้ เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อัน เนื่องมาจากการทาลายหรือเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพยากรธรรมชาติส่ิงแวดล้อม ของชมุ ชน หรือระบบนิเวศ (2) คดีแพ่งที่โจทก์มีคาขอให้จาเลยกระทาการหรืองดเว้นกระทาการเพื่อ ค้มุ ครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หรือส่ิงแวดล้อมของชมุ ชน (3) คดีแพ่งท่ีโจทก์มีคาขอให้จาเลยชดใช้คา่ สินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย เพ่ือขจัดพิษที่เกิดขึน้ หรื อฟื ้นฟูสภาพแวดล้ อม หรื อเพื่อมูลค่าของ ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีเสียไป (4) คดีแพ่งท่ีมีคาขอให้จาเลยชดใช้คา่ สินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายต่อ ชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามยั หรือสิทธิใดๆ ของโจทก์อนั เกิดจากมลพิษท่ี จาเลยเป็นผ้กู ่อหรือต้องรับผดิ ” จากคาแนะนาข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีการพยายามอธิบายให้ครอบคลมุ ถึงการดาเนินคดีที่ เก่ียวข้องกบั สิ่งแวดล้อม รวมถึงการชดใช้เยียวยาความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมด้วย การปรับใช้ สทิ ธิชมุ ชนให้เข้ากบั การดาเนินคดสี ่งิ แวดล้อมยงั คงต้องมีการวิเคราะห์กนั ตอ่ ไปว่าจะมีการวินิจฉัย คดีไปในแนวทางของการค้มุ ครองสิทธิชมุ ชนมากน้อยเพียงใด ในทางศาลปกครอง ก็มีคาแนะนาของประธานศาลปกครองสูงสุดในการดาเนินคดี ปกครองเก่ียวกบั ส่ิงแวดล้อม82 เชน่ กนั โดยในเนือ้ หาของคาแนะนาดงั กลา่ วมีการกาหนดนิยมของ คดีปกครองเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อม การดาเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดี เพ่ือให้การพิจารณาคดีมี ความครบถ้วนสมบูรณ์ มีการกาหนดคาบังคบั เก่ียวกับส่ิงแวดล้อม เช่น ค่าเสียหายทางด้าน สขุ ภาพอนามยั ค่าเสียหายทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และคา่ เสียหายทางด้าน วถิ ีชีวิตของชมุ ชนในสงั คม 82 คาแนะนาของประธานศาลปกครองสงู สดุ ในการดาเนินคดีปกครองเกี่ยวกบั สิ่งแวดล้อม ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ท่ี 158 ตอนที่ 54 ก วนั ที่ 4 กรกฎาคม 2554 หน้า 18. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 139

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 ที่สาคญั ของคาแนะนาของศาลปกครองสงู สดุ ที่เก่ียวข้องกบั การบงั คบั ใช้สทิ ธิชมุ ชนได้แก่ ในข้อ 3 คือ “คดีปกครองเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ การ พิจารณาถึงความเป็ นผู้ได้รับความเดือดร้ อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้ อน หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะเป็ นผู้มีสิทธิฟ้ องคดีต่อศาลนัน้ ควร พิจารณาในความหมายอยา่ งกว้าง โดยคานึงถึงสิทธิชมุ ชน ชุมชนท้องถ่ิน ชุมชน ท้องถิ่นดงั้ เดิม องค์การเอกชน สมาคม นิตบิ คุ คลหรือกลมุ่ ผลประโยชน์ที่มีสว่ นได้ เสีย ในเรื่องส่ิงแวดล้อม รวมทงั้ บทบญั ญัติของรัฐธรรมนูญท่ีเกี่ยวกับเสรีภาพใน การรวมกนั เป็ นสมาคม สหภาพ สหพนั ธ์ สหกรณ์ กล่มุ เกษตรกร องค์การเอกชน องคก์ ารพฒั นาเอกชน หรือหมคู่ ณะอ่ืนด้วย”83 จากการมีคาแนะนาเช่นนี ้ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงการตระหนกั ต่อประเด็นสิทธิชมุ ชนและ ปัญหาทางด้านสง่ิ แวดล้อมท่ีปรากฏเป็นข้อขดั แย้งขนึ ้ ในศาลปกครอง นอกจากนีย้ งั มีการปรับตวั จากการมีความเห็นจากการสมั มนาตา่ งๆท่ีมีสถาบนั ตลุ าการ เข้าร่วมด้วยเพ่ือถกเถียงทางวชิ าการเพ่ือให้เกิดการปรับปรุงคาวนิ ิจฉยั ให้มีความเหมาะสมและเป็ น ธรรมมากขนึ ้ ดงั เช่นในการจดั เวทีเสวนาทางวิชาการเพื่อทบทวนคาพิพากษาของศาลที่ผ่านมา84 หรือการจดั ประชมุ ขององคก์ รภายในสถาบนั ศาลเองก็ตาม 5.4 ระยะเปล่ียนผ่านของสถาบันตลุ าการ ? ภายหลังจากที่ได้บัญญัติสิทธิชุมชนไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 ได้มีความคาดหวังว่า บทบัญญัติในสิทธิชุมชนจะสามารถมีผลใช้บังคบั ได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้ถูกอธิบายว่าเป็ น กฎหมายสงู สดุ ที่บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายอ่ืนใดไมส่ ามารถขดั หรือแย้งได้ แตเ่ มื่อเกิดข้อพิพาทเข้าสู่ การวินิจฉัยของสถาบนั ตลุ าการก็ได้มีคาวินิจฉัยที่แสดงให้เห็นถึงสภาพปัญหาของการบงั คบั ใช้ สิทธิชุมชนให้บังเกิดขึน้ โดยส่วนหนึ่งของการวินิจฉัยดังกล่าวเป็ นผลมาจากข้อจากัดของ 83 เร่ืองเดียวกนั ,หน้า 19. 84 เวทีเสวนาตรวจสอบแนวคิดพืน้ ฐานทางกฎหมายในการยอมรับและบงั คบั ใช้สิทธิชุมชน ในการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ: เวทีผ้ใู ช้กฎหมาย – ศาล ในวนั ศกุ ร์ที่ 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2553 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์. คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 140

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 บทบญั ญตั ใิ นรัฐธรรมนญู 2540 ที่จากดั ไว้เฉพาะ “สิทธิชมุ ชนท้องถิ่น” และการใช้สิทธิดงั กล่าวได้ ก็อยภู่ ายใต้เง่ือนไข “ทงั้ นี ้ตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ”ิ แม้ภายหลงั จะได้มีการปรับแก้บทบญั ญัติเรื่องสิทธิชมุ ชนในรัฐธรรมนญู 2550 เกิดขนึ ้ แต่ การอ้ างอิงถึงสิทธิ ชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติก็ยังเผชิญกับปั ญหาอย่างต่อเน่ือง เฉพาะอยา่ งย่ิงในประเดน็ ข้อตอ่ ส้เู ร่ืองการมีอานาจเหนือของชมุ ชนท้องถ่ินในทรัพยากรซ่ึงยงั ไม่ได้ รับการยอมรับแตอ่ ยา่ งใด โดยเหตดุ งั กลา่ วอาจได้รับการรับฟังในกระบวนพิจารณาในชนั้ ศาลแตก่ ็ เป็นประเด็นที่ถกู พิจารณาในแง่มมุ ของเจตนาในการเข้าทาประโยชน์ในพืน้ ที่ของหนว่ ยงานรัฐ อนั เป็ นเหตผุ ลให้ศาลอาจจะลดโทษหรือรอการลงโทษแก่บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทาความผิดฐาน บกุ รุกพืน้ ที่ของรัฐ การรับรองสิทธิชมุ ชนปรากฏให้เห็นอยา่ งชดั เจนในประเดน็ ของการเข้าไปมีสว่ นร่วมในการ จดั การทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในประเด็นการมีส่วนร่วม การแสดงความเห็น การควบคมุ ตรวจสอบ เพื่อให้หนว่ ยงานของรัฐดาเนินการไปตามกรอบหรือขนั้ ตอนท่ีกฎหมายได้กาหนดเอาไว้ และถึงแม้จะไม่ได้มีกฎหมายกาหนดรายละเอียดในการค้มุ ครองสิทธิของประชาชนเอาไว้ตาม มาตรา 67 วรรคสอง แตศ่ าลก็ได้รับรองสิทธิดงั กล่าวไว้โดยไม่จาเป็ นต้องรอให้มีกฎหมายกาหนด ในรายละเอียดแต่อย่างใด อนั เป็ นการตีความรัฐธรรมนูญซึ่งมีความแตกต่างไปอย่างสาคญั กับ สทิ ธิชมุ ชนตามมาตรา 66 ทงั้ นีพ้ ึงตระหนักว่าลักษณะของคดีท่ีเข้าสู่การพิจารณาของศาลแต่ละประเภทมีความ แตกตา่ งกนั ประเด็นดงั กล่าวจึงอาจมีผลตอ่ การวินิจฉัยประเด็นเรื่องสิทธิชุมชนที่แตกต่างกันไป ด้วยเชน่ กนั การมีความเห็นตา่ งกนั ขององค์กรท่ีมีอานาจในการตีความกฎหมายในการค้มุ ครองสิทธิ ชมุ ชนในระดบั ที่แตกตา่ งกันของแต่ละบคุ คลสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของความรู้ความเข้าใจต่อ แนวคดิ เรื่องสิทธิชมุ ชน ในการทาความเข้าใจถงึ สาเหตขุ องปรากฏการดงั กลา่ วนีจ้ าเป็ นต้องย้อนไป พิจารณาถึงกระบวนการศึกษาในโรงเรี ยนกฎหมายที่มีการสอนคณะนิติศาสตร์ หรื อ สถาบนั อุดมศกึ ษาท่ีมีการจดั การเรียนการสอนหลกั สตู รนิติศาสตร์ท่ีไม่สามารถเท่าทนั กับความ เปล่ียนแปลงของสงั คม เน่ืองจากประเดน็ สิทธิชมุ ชนเป็ นเร่ืองใหม่ในวงการนิติศาสตร์ของไทย ดงั ได้มีการบญั ญัติไว้ในรัฐธรรมนญู เป็ นครัง้ แรกไว้ในรัฐธรรมนญู 2540 จงึ ต้องอาศยั การเรียนรู้และ ทาความเข้าใจเป็ นอย่างมากรวมทงั้ การพิจารณากฎหมายในมมุ มองที่กว้างขวางและแตกตา่ งไป จากเดมิ คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 141

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 สาหรับการจะยกระดบั การใช้บงั คบั กฎหมายเร่ืองสิทธิชมุ ชนให้เป็ นพฒั นาการเชิงสถาบนั ในองค์กรตลุ าการ ก็ได้มีความพยายามในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิชุมชน โดยถือว่าเป็ น เร่ืองใหม่สาหรับบุคลากรในกระบวนการยตุ ิธรรม ทงั้ มีการอธิบายเกี่ยวกับหลกั การสิทธิชุมชนว่า หมายความวา่ อย่างไร มีลกั ษณะเป็ นอย่างไร บทความทางวิชาการในสถาบนั ตลุ าการตา่ งๆ เร่ิมมี การอธิบายถึงขอบเขตและลกั ษณะของสิทธิชมุ ชนเพ่ือเป็ นแนวทางให้แก่ผ้พู ิพากษาในการตดั สิน คด8ี 5 นอกจากการเรียนการสอนแล้วในความเคลื่อนไหวเชิงองค์กร เช่น การจัดสัมมนาเชิง ปฏิบตั ิการ เชิงวิชาการ ที่มีการจ้างท่ีปรึกษาและผ้ทู รงคณุ วุฒิในเรื่องเก่ียวกบั สิทธิชุมชน รวมถึง การไปศึกษาดงู านที่ตา่ งประเทศ เพ่ือสร้ างความรู้ความเข้าใจในเร่ืองสิทธิชุมชน รวมไปถึงการ นาเอางานวิจยั ท่ีสถาบนั ตลุ าการ เชน่ สานกั งานศาลรัฐธรรมนญู ได้จดั ให้มีการศกึ ษาวิจยั เก่ียวกบั สิทธิชุมชน แล้วนาไปเผยแพร่ในส่วนตา่ งๆ ของกระบวนการยตุ ิธรรมรวมถึงองค์การนิติบญั ญัติ ด้วย86 อยา่ งไรก็ตาม ประสิทธิผลจากความพยายามตา่ งๆ ยอ่ มสะท้อนออกมาจากการมีคาวินิจฉัย ของศาลต่างๆ ด้วย ซงึ่ การทาความเข้าใจเก่ียวกบั รายละเอียด ทางปฏิบตั ิ ยงั มีปัญหาอีกมาก ท่ีผู้ พิพากษาเองยังไม่ชัดเจนว่าควรจะมีการวางบรรทัดฐานและสร้ างหลักการใช้สิทธิชุมชนไว้ อยา่ งไร87 โดยจากความเหน็ ของบคุ ลากรในสานกั งานศาลรัฐธรรมนญู ท่ีสะท้อนถึงการใช้กฎหมาย เพ่ือคุ้มครองสิทธิชุมชนของตุลาการว่าเป็ นความซับซ้อนของการบงั คับใช้สิทธิชุมชน คือการ พยายามรักษาสมดลุ ระหวา่ งสิทธิและประโยชน์สาธารณะ ในการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิ ชมุ ชนและการยืนยนั กรอบของการแบง่ แยกอานาจท่ีว่าศาลเป็ นเพียงผ้ตู ัดสินตามกฎหมายที่มีอยู่ โดยจะไม่สร้ างกฎหมายขึน้ มาใหม่ และยงั คงอย่ภู ายใต้หลกั การของกฎหมายลายลกั ษณ์อักษร อยา่ งมาก88 85 เชน่ บทความของ กรรณิกา สทุ ธิประสทิ ธ์ิ, สิทธิของชุมชนท่ีจะฟ้ องหน่วยงานทางปกครอง วารสารวิชาการ ศาลปกครอง ปี ที่ 13 ฉบบั ท่ี 1 (ม.ค. - มี.ค. 2556) หน้า 1-19) 86 เชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสานกั งานศาลรัฐธรรมนญู , สมั ภาษณ์ 26 ธนั วาคม 2555 87 เพิ่งอ้าง 88 เพง่ิ อ้าง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 142

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 บทท่ี 6 พลวัตของสิทธิชุมชนในความเปล่ียนแปลง 6.1 บทสรุป จากการศกึ ษาแนวความคดิ เร่ืองสิทธิชมุ ชนท่ีได้ส่งผลให้เกิดความเปล่ียนแปลงตอ่ สถาบนั ตา่ งๆ ท่ีเกี่ยวข้อง ได้ข้อสรุปดงั ตอ่ ไปนี ้ 6.1.1 การสถาปนาสิทธิชุมชนในสถาบันนโยบายและรัฐธรรมนูญ นับตัง้ แต่การเคลื่อนไหวเพ่ือผลักดันให้เกิดการรับรองสิทธิชุมชนได้ปรากฏตัวขึน้ ใน ทศวรรษ 2530 ก่อนจะกลายมาเป็ นบทบญั ญตั ิท่ีถกู ตราขนึ ้ เป็ นครัง้ แรกในรัฐธรรมนญู 2540 และ สืบเน่ืองต่อมาในรัฐธรรมนูญ 2550 การสถาปนาความสาคญั ของสิทธิชุมชนได้มีผลให้สถาบนั ทางด้านนโยบายต่างๆ ได้ปรับตัวในการรับรองสิทธิชุมชนไปในทิศทางเดียวกัน แผนพัฒนา เศรษฐกิจฯ และแนวนโยบายของรัฐบาลในห้วงเวลาภายหลงั จาก พ.ศ. 2540 ตา่ งก็มีบทบญั ญัติ ซง่ึ รับรองสิทธิชมุ ชนเอาไว้ ไม่ว่าบริบททางการเมืองในห้วงเวลาดงั กล่าวจะอยภู่ ายใต้สถานการณ์ ทางการเมืองที่มีความเป็ นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม สิทธิชุมชนก็ยงั คงปรากฏตวั อยู่สืบเน่ือง ตอ่ มาก็ยอ่ มสะท้อนตอ่ การตระหนกั หรือการรับรู้ตอ่ การดารงอยขู่ องสทิ ธิชมุ ชนได้เป็นอยา่ งดี แม้วา่ ในด้านหนงึ่ อาจสะท้อนให้เห็นถงึ ความสาเร็จของการสถาปนาเร่ืองสิทธิชมุ ชนลงใน สงั คมไทย แตใ่ นอีกด้านหนึ่งจะพบว่าความเปล่ียนแปลงดงั กล่าวไม่นาไปส่กู ารแก้ไขกฎหมายใน ลาดบั พระราชบญั ญตั ทิ ี่เกี่ยวข้องกบั การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ แม้วา่ หลกั การของการจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติในกฎหมายเหล่านีจ้ ะยงั คงอย่บู นหลกั การที่ให้อานาจรัฐเป็ นองค์กรสาคญั ใน การจดั การทรัพยากร อนั มีลกั ษณะที่แตกต่างไปอย่างสาคญั จากแนวคิดเรื่องสิทธิชุมชนตามที่ บญั ญตั ริ ับรองไว้ในรัฐธรรมนญู แม้จะมีความพยายามในการผลกั ดนั ให้เกิดการแก้ไขกฎหมายหรือ การตรากฎหมายในเร่ืองป่ าชมุ ชน แต่การเคล่ือนไหวดงั กล่าวก็ไม่ประสบความสาเร็จแตอ่ ย่างใด เป็ นผลให้ในห้วงเวลาปัจจุบันกฎหมายในลาดับพระราชบัญญัติก็ยังคงมีเนื อ้ หาเช่นเดิมไม่ เปลี่ยนแปลง ดงั นนั้ หนว่ ยงานของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่มีหน้าท่ีเกี่ยวข้องโดยตรงกับ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 143

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 การจัดการทรัพยากรป่ าไม้ เช่น กรมป่ าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ ก็ยังคงใช้อานาจไปตาม บทบญั ญัติของกฎหมายตา่ งๆ ที่ให้อานาจไว้กบั หน่วยงานของตน อนั เป็ นผลให้เกิดความขดั แย้ง ระหวา่ งหน่วยงานรัฐกบั ชมุ ชนท้องถิ่น โดยทางฝ่ ายหน่วยงานรัฐได้อ้างอิงถึงอานาจตามกฎหมาย พระราชบญั ญตั ิ ขณะท่ีฝ่ ายชมุ ชนได้อ้างอิงสิทธิชมุ ชนตามท่ีบญั ญตั ิไว้ในรัฐธรรมนญู เป็ นฐานของ ความชอบธรรม แม้ว่าในการร่างรัฐธรรมนญู 2550 จะได้มีการตระหนกั ถึงปัญหาท่ีเกิดขึน้ จากการรับรอง สิทธิชุมชนไว้ในรัฐธรรมนญู 2540 และได้พยายามแก้ไขบทบญั ญัติท่ีตราขึน้ ใหม่โดยการขยาย ความหมายของสิทธิชุมชนให้กว้างขวางกว่า “ชุมชนท้องถ่ินดงั้ เดิม” และการตดั ประโยค “ทงั้ นี ้ ตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ” ออกไป เพ่ือให้สิทธิชมุ ชนสามารถมีผลใช้บงั คบั ได้ทนั ทีโดยจาเป็ นต้องมี การบญั ญตั กิ ฎหมายขนึ ้ รับรองสทิ ธิเป็นการเฉพาะ แตก่ ็ยงั คงพบวา่ การอ้างอิงถึงสิทธิชมุ ชนเฉพาะ อยา่ งยิ่งในความหมายของอานาจเหนือของชมุ ชนในการจดั การทรัพยากร ดิน-นา้ -ป่ า ยงั คงเผชิญ ปัญหากบั ความยงุ่ ยากอยใู่ นลกั ษณะท่ีไมแ่ ตกตา่ งไปจากเดมิ บทเรี ยนสาคัญของความ พยายาม ในการสถาปนาสิทธิ ชุมชนในสถาบันนโยบายหรื อ แม้กระทง่ั ในรัฐธรรมนญู ประการหนึง่ ก็คือ แม้อาจเป็ นท่ียอมรับหรือถกู รับรองเอาไว้อย่างเป็ นลาย ลกั ษณ์อกั ษร/เป็ นทางการ แตจ่ าเป็ นที่จะต้องมีการแก้ไขไปถึงกฎหมายระดบั พระราชบญั ญัติซึง่ มี ผลอย่างสาคญั ต่อการปฏิบตั ิหน้าที่ของหน่วยงานรัฐเป็ นสิ่งท่ีมีอุปสรรคสืบเนื่องตอ่ มา และการ แก้ไขกฎหมายในส่วนนีอ้ าจมีอปุ สรรคอย่างมากดงั เช่นที่ปรากฏขึน้ ในกระบวนการผลกั ดนั สิทธิ ชมุ ชนของสงั คมไทย 6.1.2 สทิ ธิชุมชนและพลวัตของชุมชน แม้ ความพยายามในการผลักดันให้ สิทธิชุมชนได้ กลายเป็ นกฎหมายในลาดับ พระราชบญั ญัตจิ ะไม่ประสบความสาเร็จ ซ่ึงอาจถกู อธิบายได้ว่าเป็ นผลมาจากปัจจยั ภายในของ ขบวนการเคล่ือนไหวสิทธิชุมชน ดงั จะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึน้ ดงั ใน ทศวรรษ 2540 การเคล่ือนไหวเรื่องสิทธิชมุ ชนที่เป็ นผลมาจากความร่วมมืออย่างเข้มแข็งระหวา่ ง องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ/สถาบนั วิชาการ และองค์กรชาวบ้าน อันเป็ นผลให้เกิดการ สนบั สนุนอย่างกว้างขวางในทางสาธารณะ จนกระทั่งประสบความสาเร็จในการสถาปนาสิทธิ ชุมชนไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษ 2550 เฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งทาให้เกิดความแตกแยกกันภายในฝ่ ายตา่ งๆ เน่ืองจากจุดยืน ทรรศนะ และแนวทางในการเคลื่อนไหวต่อประเด็นปัญหาทางการเมือง รวมถึงเครือข่ายการ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 144

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 ประสานงานท่ียากลาบากมากขึน้ ทาให้พลงั ของการผลักดนั ต่อประเด็นเร่ืองสิทธิชมุ ชนในห้วง เวลาดงั กลา่ วมีนา้ หนกั ที่น้อยลงกวา่ ท่ีเคยเกิดขึน้ อย่างไรก็ตาม การทาความเข้าใจในประเด็นที่เก่ียวกบั ความหมายของสิทธิชุมชนให้รอบ ด้านเพิ่มมากขนึ ้ ซงึ่ อาจทาให้สามารถเข้าใจถึงความอ่อนแรงของขบวนการสิทธิชมุ ชนที่เกิดขนึ ้ นบั จากทศวรรษ 2550 เป็ นต้นมา และการเปล่ียนทิศทางในการผลกั ดนั ประเด็นเร่ืองสิทธิชุมชนของ องค์กรชาวบ้านซ่ึงแต่เดมิ ต้องการผลกั ดนั ให้เกิดกฎหมายท่ีตราขนึ ้ โดยรัฐสภามาเป็ นการมงุ่ ไปยงั อานาจขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินในการใช้อานาจตราข้อบญั ญัติขึน้ เพ่ือตอบสนองตอ่ ความ ต้องการของชมุ ชนขนึ ้ แทน กระแสการเคลื่อนไหวในประเด็นสิทธิชุมชนที่ถือกาเนิดและขยายตวั อย่างกว้างขวาง นับตงั้ แต่ทศวรรษ 2530 สืบเนื่องมาจนกระท่ังทศวรรษ 2540 ในด้านหนึ่งเป็ นผลมาจากการ โต้ตอบกบั การแยง่ ชิงทรัพยากรในท้องถ่ินโดยการใช้อานาจรัฐ ไม่วา่ จะการดาเนินการในโครงการ ขนาดใหญ่ของรัฐหรือการเข้ายึดทรัพยากรธรรมชาติของชมุ ชนท้องถ่ินด้วยข้ออ้างถึงการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ แนวคดิ สิทธิชมุ ชนจึงเป็ นการเสนอแนวทางในการจดั การทรัพยากรของชมุ ชน ท่ีแสดงให้เหน็ ถงึ วิถีชีวิตท่ีดาเนินไปสอดคล้องกบั ความยง่ั ยืนของธรรมชาติ และเป็ นรูปแบบการใช้ ชีวติ ของชมุ ชนที่พงึ่ พิงและรักษาความอดุ มสมบรู ณ์ของสภาพแวดล้อมไปพร้อมกนั แนวความคิดในลกั ษณะเช่นนีจ้ ึงมกั วางอยู่บนระบบเศรษฐกิจแบบยงั ชีพที่มุ่งผลิตเพื่อ ตอบสนองตอ่ ความต้องการพืน้ ฐานของชีวิต มากกวา่ เป็ นการผลิตเพ่ือการค้าหรือระบบเศรษฐกิจ แบบเงินตรา แม้อาจมีการผลิตเพื่อการค้าอย่บู ้างแต่ก็ไม่ใช่เป็ นด้านหลกั ของชมุ ชน เพราะฉะนนั้ วิถีชีวิตที่ถูกนามาอธิบายจงึ เป็ นรูปแบบของชมุ ชนที่ยงั คงดารงอย่บู นเง่ือนปัจจยั ตา่ งๆ ซึ่งยงั คงให้ คณุ คา่ และความหมายกบั การดารงชีวิตในแบบหนึง่ ท่ีอาจไม่ได้เช่ือมโยงกบั ระบบตลาดหรือระบบ เศรษฐกิจแบบเงินตรามากนกั แตใ่ นอีกด้านหนง่ึ ก็ปฏิเสธไมไ่ ด้วา่ ชมุ ชนท้องถ่ินในปัจจบุ นั ได้ถกู ดงึ เข้าไปเช่ือมโยงกบั ระบบการผลิตเชิงพาณิชย์ท่ีเข้มข้นเพิ่มมากขนึ ้ การขยายตวั ของพืชเชิงพาณิชย์ ท่ีทวีความเข้มข้นมากขึน้ ย่อมส่งผลต่อการให้ความหมายในชีวิตของผู้คนท่ีแตกตา่ งไปจากเดิม การผลิตเชิงพาณิชย์เพ่ือขายสตู่ ลาดเป็นความเป็นจริงอีกด้านหนง่ึ ที่ไมอ่ าจปฏิเสธได้ หากทาความเข้าใจในแง่มุมนี ้ จึงย่อมเป็ นท่ีเข้าใจได้ว่าแนวคิดเร่ืองสิทธิชุมชนที่ถูก นาเสนอขนึ ้ มาภายใต้เงื่อนไขและข้อจากดั ในระยะเร่ิมต้น ไมอ่ าจตอบสนองตอ่ ความเปลี่ยนแปลง ที่ได้เกิดขนึ ้ ในภายหลงั ซ่งึ ชุมชนหรือผ้คู นในชมุ ชนตระหนกั ถึงความสาคญั ของการเดนิ เข้าส่รู ะบบ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 145

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 การค้าเชิงพาณิชย์เพ่ิมมากขนึ ้ ความหมายของสิทธิชุมชนในแบบดงั้ เดมิ จึงไม่สามารถให้คาตอบ ตอ่ สถานการณ์ที่ชมุ ชนตา่ งๆ ต้องเผชิญหน้าอยใู่ นห้วงเวลาปัจจบุ นั หากพิจารณาถึงข้ อบัญญัติขององค์การบริ หารส่วนตาบลในหลายแห่งที่ได้ มี ความ พยายามในการออกกฎระเบียบเกี่ยวกบั การจดั การทรัพยากรป่ าไม้จะพบว่าข้อบญั ญตั ิเหล่านนั้ มี เนือ้ หาที่รองรับสิทธิชมุ ชนในรูปแบบที่กว้างขวางเพิ่มมากขนึ ้ รวมทงั้ ไม่ได้ปฏิเสธการใช้ทรัพยากร ดงั กล่าวในลกั ษณะเชิงพาณิชย์แต่อย่างใด หากเปิ ดโอกาสให้สมาชิกในชุมชนสามารถท่ีจะใช้ ประโยชน์ในการทาประโยชน์ได้ในลกั ษณะที่หลากหลายและกว้างขวางมากขึน้ นอกจากนีย้ ัง รวมถึงข้อกาหนดในเร่ืองอ่ืนๆ ท่ีเอือ้ ให้สามารถใช้ประโยชน์ท่ีสมั พนั ธ์กบั ระบบตลาดได้ เช่น การ ออกโฉนดชมุ ชน ซึ่งเป็ นเพียงการกากบั การเปลี่ยนโอนกรรมสิทธ์ิในที่ดินของสมาชิกที่ต้องได้รับ ความเหน็ ชอบจากสมาชิกภายในชมุ ชน ขณะที่หากเป็ นที่ดนิ ซ่ึงบคุ คลใดมีสิทธิในการใช้ประโยชน์ แล้วก็สามารถท่ีจะเลือกเพาะปลกู พืชชนิดตา่ งๆ ตามที่ตนเองต้องการได้ หากสมาชิกคนใดจะเลือก ปลกู พืชเพื่อขายสตู่ ลาดก็เป็นอานาจในการตดั สินใจท่ีไมจ่ าเป็นต้องขนึ ้ กบั กลมุ่ แตอ่ ยา่ งใด หากทาความเข้าใจกบั ความเปลี่ยนแปลงในลกั ษณะเชน่ นีย้ อ่ มเป็นท่ีเข้าใจได้วา่ เพราะเหตุ ใดองค์กรชาวบ้านท่ีเคยมีบทบาทอย่างเข้มแข็งในการผลักดันร่างกฎหมายป่ าชุมชนในช่วง ทศวรรษ 2530 ถึง 2540 จึงลดความเข้มข้นต่อการผลักดนั ร่างกฎหมายดังกล่าวและหันมาให้ ความสาคญั กบั บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแทน ไม่เพียงเพราะองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นอย่ใู กล้ชิดหรือสามารถตอ่ รอง กดดนั ให้ตอบสนองตอ่ ความต้องการของชมุ ชนได้มากกว่า การเมืองในระดับชาติเท่านัน้ หากยังเป็ นเพราะ อุดมการณ์สิทธิชุมชนที่เป็ นต้นแบบของการ เรียกร้ องสิทธิชุมชนไม่อาจตอบสนองต่อความเปล่ียนแปลงที่กาลังเกิดขึน้ อย่างกว้างขวางใน ท้องถิ่นในห้วงเวลาปัจจบุ นั ได้อยา่ งเพียงพอ 6.1.3 สถาบันตุลาการในระยะเปล่ียนผ่าน ภายหลงั จากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ได้ปรากฏข้อขดั แย้งในประเด็นเร่ืองสิทธิ ชุมชนในรัฐธรรมนูญกับบทบัญญัติในพระราชบัญญัติหลายฉบับขึน้ สู่การพิจารณาของศาล อยา่ งไรก็ตาม แม้ชมุ ชนหลายแห่งจะอ้างถึงสิทธิชมุ ชนในการตอ่ ส้คู ดีแตค่ าวินิจฉัยท่ีเกิดขนึ ้ ก็ไมไ่ ด้ ให้การรับรองต่อสิทธิชุมชนแต่อย่างใด โดยยังยอมรับอานาจตามกฎหมายที่ให้อานาจแก่ หน่วยงานรัฐ นอกจากนีใ้ นคาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็มีบรรทัดฐานว่าสิทธิชุมชนตาม รัฐธรรมนญู จะมีผลใช้บงั คบั ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายลาดบั พระราชบญั ญัติกาหนดรายละเอียดตรา ขนึ ้ อนั เป็นไปตามบทบญั ญตั ขิ องรัฐธรรมนญู วา่ “ทงั้ นี ้ตามท่ีกฎหมายบญั ญัติ” แม้จะแนวโน้มของ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 146

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 การยอมรับสิทธิชุมชนปรากฏให้เห็นโดยเฉพาะในคดีท่ีชุมชนเป็ นผู้ฟ้ องคดีเพ่ือให้เกิดการมีส่วน ร่วมในการจดั ทรัพยากร ซง่ึ คาวินิจฉยั ของศาลได้มีการยอมรับสิทธิของชมุ ชนในลกั ษณะดงั กลา่ วนี ้ ในหลายคดี ตอ่ มาในรัฐธรรมนญู 2550 ได้มีการปรับแก้บทบญั ญัติในรัฐธรรมนญู โดยระบถุ ึง “สิทธิ ชมุ ชน” ท่ีมีความหมายกว้างขึน้ และตดั ข้อความ “ทงั้ นี ้ตามที่กฎหมายบญั ญตั ิ” ออกบนความ คาดหวงั วา่ จะทาให้สิทธิชมุ ชนสามารถมีผลบังคบั ได้โดยไม่ต้องรอให้มีการตราพระราชบญั ญตั ิมา กาหนดรายละเอียด ซ่ึงหากพิจารณาจากคาวินิจฉัยของสถาบนั ตลุ าการที่ปรากฏขึน้ ในชว่ งเวลา ภายหลงั จากรัฐธรรมนญู 2550 จะพบวา่ หากเป็นกรณีที่กลมุ่ บคุ คลซง่ึ ตกเป็ นจาเลยในคดีความผิด ตามกฎหมายท่ีมีโทษทางอาญาได้อ้างถึงสิทธิชมุ ชนในการโต้แย้งกบั ข้อกล่าวหาท่ีเกิดขนึ ้ จากคา วินิจฉัยนนั้ ยงั ไม่มีทิศทางท่ีเป็ นบรรทดั ฐานอย่างชดั เจน ในคดีบางระดบั หรือในบางศาลได้มีการ ยอมรับให้สิทธิดงั กลา่ ววา่ เป็ นหลกั การพืน้ ฐานท่ีสาคญั ตอ่ การพิจารณาความผิดของกลมุ่ บคุ คลที่ ถูกกล่าวหา แต่ในบางคดีก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการให้ความสาคญั ในการพิจารณาแตอ่ ย่างใด การ พิจารณาคดจี ะดาเนนิ ไปบนหลกั การของการพิจารณาความผดิ ตามท่ีกระทากนั ในกฎหมายอาญา อยา่ งไรก็ตาม ในกรณีท่ีกล่มุ บคุ คลเป็ นผ้ฟู ้ องคดีในคดีด้วยการอ้างอิงถึงสิทธิชมุ ชนในการ มีสว่ นร่วมในการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ข้อโต้แย้งด้วยการอ้างอิงถึงสิทธิชมุ ชน ในลกั ษณะเชน่ นีไ้ ด้รับการยอมรับให้มีผลใช้บงั คบั ได้ในหลายคดี และได้มีคาวินิจฉัยให้หนว่ ยงานที่ เก่ียวข้องหรือมีหน้าที่รับผดิ ชอบต้องดาเนนิ กระบวนการโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้ามา มีสว่ นร่วมหรือเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ซ่ึงการรับรองสิทธิชมุ ชนในลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี ้ เป็นสงิ่ ที่ได้รับการรับรองโดยคาวินจิ ฉยั ของศาลแม้จะยงั ไมม่ ีกฎหมายกาหนดรายละเอียดของสิทธิ ชุมชนปรากฏขึน้ ก็ตาม แนวคาตดั สินท่ีดาเนินไปในทิศทางเช่นนีม้ ีผลต่อการส่งเสริมการใช้สิทธิ ชมุ ชนในการควบคมุ ตรวจสอบการดาเนินงานในโครงการตา่ งๆ ไมว่ ่าจะได้รับอนญุ าตจากรัฐหรือ เป็นการดาเนนิ การของหนว่ ยงานรัฐเองก็ตาม อย่างไรก็ตาม การอ้างอิงถึงสิทธิชมุ ชนในการต่อส้เู พ่ืออานาจท่ีเหนือกว่าทงั้ ในด้านของ การตดั สินใจ การใช้ประโยชน์ โดยอาศยั จารีตประเพณีหรือวฒั นธรรมของชมุ ชนท่ีสืบทอดต่อกัน มายงั ไมไ่ ด้รับการรับรองแตอ่ ยา่ งใด แม้อาจมีการเปิ ดกว้างมากขนึ ้ ในกระบวนการยตุ ิธรรมตอ่ การ รับฟั งข้ อมูลที่ยืนยันถึงความเป็ นมาและวิถี ชีวิตของชุมชนในการใช้ ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติ แตก่ ็ยงั ไมน่ าไปส่คู าวินิจฉัยที่รองรับสิทธิชมุ ชนโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงของชุมชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 147

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 ท้องถิ่นต่างๆ แต่อย่างใด สิทธิชุมชนซึ่งถูกวินิจฉัยและให้การรับรองรองจึงมีลกั ษณะท่ีไม่ได้ให้ ความหมายของสทิ ธิในการมีอานาจเหนือทรัพยากรของชมุ ชนแตอ่ ยา่ งใด 6.2 ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาถึงพฒั นาการของการรับรองและการค้มุ ครองสิทธิชมุ ชนท่ีได้รับการรับรอง ไว้ในรัฐธรรมนญู มีประเดน็ ข้อเสนอแนะดงั ตอ่ ไปนี ้ 6.2.1 องค์กรนิตบิ ัญญัติ ในการผลักดนั พระราชบญั ญัติป่ าชุมชนในช่วงทศวรรษ 2540 จะพบว่ากระบวนการ บัญญัติกฎหมายในองค์กรนิติบญั ญัติเป็ นอุปสรรคอย่างสาคญั โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไข เนือ้ หาท่ีมีผลเป็ นการเปลี่ยนแปลงหลกั การของกฎหมายให้แตกตา่ งไปจากร่างกฎหมายท่ีผลกั ดนั โดยประชาชน ซึ่งเป็ นภาพสะท้อนให้เห็นความไมเ่ ข้าใจและความไม่เทา่ ทนั ขององค์กรนิติบญั ญตั ิ ในการตอบสนองตอ่ ความต้องการของประชาชน จาเป็ นท่ีจะต้องมีการพฒั นาองค์กรความรู้ในองค์กรนิติบญั ญัติให้มีฐานข้อมลู และความ เข้าใจในประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เป็ นข้อเรียกร้ องโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ีมีจากการเคลื่อนไหวหรือ ผลกั ดนั โดยประชาชน แม้ว่าทงั้ ในสภาผ้แู ทนราษฎรและวฒุ ิสภาจะได้มีการตงั้ คณะกรรมาธิการ เพื่อทาหน้าที่ในการพิจารณาประเด็นปัญหาในกรณีตา่ งๆ แตจ่ ะพบวา่ ในส่วนของกรณีสิทธิชมุ ชน นนั้ ข้อมลู และความรู้ในองค์กรเหลา่ นีย้ งั ไมเ่ พียงพอตอ่ การเป็ นฐานให้บคุ คลท่ีเป็ นสมาชิกสามารถ ใช้เป็ นประโยชน์ในการทาความเข้าใจและตดั สินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพฒั นาข้อมลู และ องค์ความรู้ในองค์กรนิติบญั ญัติจึงมีความสาคญั เป็ นอย่างย่ิงที่จะเป็ นเคร่ืองมือในการทาความ เข้าใจและการบญั ญัตกิ ฎหมาย ซึ่งในกรณีของประเด็นสิทธิชมุ ชนนนั้ ในปัจจบุ นั ก็ได้มีหนว่ ยงาน รัฐหลายแห่งได้ทางานเกี่ยวข้องอยู่ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการ ปฏิรูปกฎหมาย เป็ นต้น การทางานของบคุ ลากรในองค์กรนิติบญั ญตั ิจึงสามารถที่จะประสานงาน และทางานโดยอาศยั ฐานข้อมูลและความรู้ท่ีองค์กรตา่ งๆ เหล่านีไ้ ด้เก็บรวบรวมและวิเคราะห์อนั จะเป็นประโยชน์ตอ่ การตดั สินใจในกระบวนการนิตบิ ญั ญตั เิ ป็นอยา่ งยงิ่ ซึง่ การทางานในลกั ษณะดงั กล่าวนีไ้ มค่ วรที่จะจากดั เอาไว้เฉพาะเพียงประเดน็ เร่ืองสิทธิ ชมุ ชนหากยงั รวมถึงประเดน็ อ่ืนๆ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงร่างกฎหมายที่เป็ นผลมาจากการเข้าช่ือเสนอ กฎหมายของประชาชน ซึ่งเป็ นความเคล่ือนไหวท่ีหน่วยงานรัฐจาเป็ นต้องให้การช่วยเหลือและ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 148

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 สนบั สนนุ มากกว่าร่างกฎหมายอื่นๆ ท่ีมักจะมีหน่วยงานรัฐเป็ นผ้ดู าเนินการตามกระบวนการอยู่ แล้ว 6.2.2 องค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเป็ นสถาบนั ทางการเมืองที่มีการขยายตวั อย่างกว้างขวาง นบั ตงั้ แตท่ ศวรรษ 2540 เป็ นต้นมา ไม่ว่าจะในด้านของอานาจหน้าท่ี งบประมาณ และบคุ ลากร นอกจากนีอ้ งค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยงั เป็ นสถาบนั ทางการเมืองท่ีมีความใกล้ชิดกับประชาชน ซ่ึงประชาชนสามารถเข้าถึงและเรียกร้ องในการปฏิบตั ิหน้าท่ีได้สะดวกกว่าองค์กรอื่นๆ ท่ีอยู่ใน ระดบั ชาติ ทาให้ประชาชนในท้องถ่ินให้มาให้ความสาคญั กบั องค์กรในลกั ษณะนีเ้ พิ่มมากขึน้ ใน การทาหน้าท่ีในด้านต่างๆ ซ่ึงรวมถึงบทบาทหน้าที่ในด้านของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม แม้ ว่าหากพิจารณาถึงอานาจหน้ าท่ีขอ งองค์กรปกครองส่วนท้ องถ่ินในมิติทางด้ าน กฎหมายจะยงั ไมม่ ีความชดั เจนวา่ ขอบเขตขององคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินจะสามารถใช้อานาจใน การดแู ลรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้มากน้อยเพียงใด เพราะหน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าที่ดงั กล่าว เช่น กรมป่ าไม้ หรือกรมอุทยานแห่งชาติ ก็ยังคงมีอานาจหน้ าท่ีตามกฎหมายเช่นเดิมไม่ เปล่ียนแปลง ความพยายามในการออกข้อบญั ญตั ิขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเดน็ เร่ือง การจดั การทรัพยากรธรรมชาตดิ ้วยการอ้างถึงสิทธิชมุ ชนในรัฐธรรมนญู อาจทาให้เกิดการซ้อนทบั หรือการเหล่ือมลา้ ทางอานาจขององค์กรทงั้ สองสว่ น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเห็นที่แตกตา่ งกนั ในประเด็นเร่ืองอานาจหน้าที่ตามกฎหมาย แตโ่ ดยสถานะขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินซึ่งเป็ นองค์กรที่มีสถานะทงั้ ในทางกฎหมายและใน การเมืองระดบั ท้องถ่ิน ทาให้ความขดั แย้งระหวา่ งหน่วยงานทงั้ สองจะมีแนวโน้มท่ีดาเนินไปด้วย การแสวงหาทางออกร่วมกนั มากกว่าการที่หน่วยงานของรัฐซึง่ มีอานาจหน้าท่ีโดยตรงจะบงั คบั ใช้ กฎหมายโดยไม่ตระหนกั ถึงข้อเรียกร้ องจากฝ่ ายอื่นๆ เพราะฉะนนั้ จึงจาเป็ นที่จะต้องมีการให้ ความสาคญั กับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินเพ่ิมมากขึน้ ในการทาบทบาทหน้าที่ทางด้านจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงสามารถกระทาได้โดยการกาหนดเพิ่มเติมถึงขอบเขตขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นตามพระราชบญั ญัติกาหนดแผนและขนั้ ตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรส่วน ท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 ให้มีความชดั เจนมากย่ิงขนึ ้ ระหวา่ งหนว่ ยงานท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบตามเดมิ กบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 149

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 6.2.3 หน่วยงานรัฐท่เี ก่ียวข้อง สาหรับหนว่ ยงานของรัฐซงึ่ มีหน้าท่ีดแู ลรับผดิ ชอบทรัพยากรธรรมชาติ ดิน-นา้ -ป่ า ซึ่งยงั คง มีอานาจดงั กล่าวอยู่ตามกฎหมายหลายฉบบั ที่ได้กาหนดอานาจเอาไว้ แต่เนื่องจากสิทธิชุมชน ได้รับการรับรองไว้อย่างเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรในรัฐธรรมนญู ในการปฏิบตั หิ น้าที่ของหนว่ ยงานจงึ จาเป็นที่จะต้องตระหนกั ถงึ แนวทางการจดั การทรัพยากรธรรมชาติซึง่ แตกตา่ งไปจากเดิม อีกทงั้ ได้ มีองค์กรปกครองส่วนถ่ินหลายแห่งได้เข้ามาทาหน้าที่ในการจดั การทรัพยากรธรรมชาตใิ นท้องถ่ิน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานของรัฐจึงจาเป็ นท่ีจะต้องมีการปรับตัวเพ่ือรองรับกับความ เปล่ียนแปลงดงั กลา่ ว แม้ว่าจะได้มีการปรับตวั ของหน่วยงานรัฐในประเด็นสิทธิชุมชนดงั การจดั ทาโครงการป่ า ชุมชนของกรมป่ าไม้ แต่โครงการดงั กล่าวก็มีข้อจากัดและความไม่สอดคล้องกับข้อเสนอของ เครือขา่ ยป่ าชมุ ชน ประกอบกบั ในห้วงเวลาปัจจบุ นั เครือข่ายชมุ ชนหลายแหง่ ได้เข้ามามีบทบาทใน การจดั การทรัพยากรธรรมชาติผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะฉะนนั้ หน่วยงานของรัฐที่ เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติจึงควรสร้ างระบบการทางานร่วมกันระหว่าง หนว่ ยงานทงั้ สอง ซง่ึ ในระยะแรกอาจเป็ นการดาเนินโครงการนาร่อง (pilot project) โดยเป็ นการ ทางานร่วมกนั ระหว่างหน่วยงานของรัฐท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ เช่น กรมป่ าไม้ หรือกรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพ่ือวางแผนในการ จดั การทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันซ่ึงสามารถกระทาได้ภายใต้พระราชบญั ญัติป่ าสงวนแห่งชาติ โดยองค์กรทงั้ สองส่วนสามารถที่จะวางแผนร่วมกนั รวมทงั้ การกาหนดขอบเขตของแตล่ ะฝ่ ายใน การดาเนินการว่ามีอานาจหน้าท่ีอย่างใด เพ่ือเป็ นตัวอย่างให้กับการทางานร่วมกันระหว่าง หนว่ ยงานรัฐและองคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ินอื่นๆ อีกทงั้ เพื่อให้เกิดความชดั เจนในการปฏิบตั หิ น้าที่ เฉพาะอย่างยิ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ซึ่งจะเป็ นแนวทางที่เป็ นรูปธรรมท่ีสามารถเป็ น แนวทางและเหตผุ ลในการเสนอปรับปรุง แก้ไข กฎหมายระดบั พระราชบญั ญตั หิ ลายฉบบั ท่ีมีอย่ใู น ปัจจบุ นั ซึ่งมีเนือ้ หาท่ีเป็ นอุปสรรคตอ่ การส่งเสริมการจดั การทรัพยากรธรรมชาติโดยท้องถ่ินหรือ ชมุ ชน 6.2.4 สถาบันตุลาการ สถาบันตุลาการยังมีความ เข้ าใจต่อประเ ด็นเร่ื องสิ ทธิ ชุม ชนในแง่มุมท่ีจ ากัดโดยให้ ความสาคญั กับประเด็นในการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบหน่วยงานของรัฐให้ดาเนินการไปตาม กระบวนการท่ีกฎหมายได้รับรองไว้ แต่ในประเด็นข้ อพิพาทเรื่องความมีอานาจเหนือใน คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 150

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 ทรัพยากรธรรมชาติระหวา่ งชมุ ชนท้องถิ่นกบั หนว่ ยงานรัฐ ยงั ไม่ปรากฏการรับรองสิทธิชมุ ชนตาม รัฐธรรมนญู ให้มีอานาจบงั คบั เหนือกว่าบทบญั ญตั ิตามพระราชบญั ญัติหลายฉบบั ท่ีได้ให้อานาจ กบั หนว่ ยงานรัฐ สถาบนั ตลุ าการจึงเป็ นหน่วยงานที่อาจมีข้อจากดั ตอ่ การปรับตวั เพ่ือรองรับความ เปลี่ยนแปลงทางสงั คมที่เกิดขนึ ้ อยา่ งรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การตีความเร่ืองสิทธิชุมชนในศาลแต่ละประเภทมีความแตกตา่ งกนั ศาล ปกครองได้มีคาวินิจฉัยท่ีแสดงให้เห็นทิศทางของความเข้าใจที่มีตอ่ สิทธิชมุ ชนที่เปิ ดกว้างมากขึน้ ขณะท่ีศาลอ่ืนๆ ยังคงมีบรรทัดฐานการอธิบายถึงความหมายของสิทธิชุมชนที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตาม แนวทางการตีความที่แตกตา่ งกันนีส้ ่วนหน่ึงเป็ นผลมาจากลกั ษณะของคดีท่ีเข้าสู่ การวินิจฉัยนนั้ มีประเด็นท่ีแตกตา่ งกนั ไป จึงทาให้ทิศทางของผลการวินิจฉัยมีลกั ษณะท่ีแตกตา่ ง กนั จึงจาเป็ นท่ีจะต้องมีการสร้ างฐานความรู้ในเร่ืองสิทธิชุมชน รวมทัง้ การแลกเปล่ียน ความเห็น ความเข้าใจให้กบั บคุ ลากรในสถาบนั ตลุ าการ ดงั เชน่ การทาความเข้าใจในขอบเขตของ สิทธิชมุ ชนวา่ มีลกั ษณะอยา่ งไร นิยามของสทิ ธิชมุ ชนจะสามารถมีขอบเขตความหมายท่ีกว้างขวาง เพียงใด แนวทางการรับรองสิทธิชุมชนในข้อพิพาทต่างๆ จะสามารถมีความเป็ นไปได้ในทาง กฎหมายอยา่ งไรบ้าง เป็นต้น เพ่ือให้เกิดความตระหนกั ถึงความรู้ในเร่ืองตา่ งๆ เฉพาะอยา่ งยิ่งสิทธิ ซงึ่ ได้รับการบญั ญัตไิ ว้ในรัฐธรรมนญู เพ่ือจะทาให้สิทธิต่างๆ เหล่านีส้ ามารถมีผลใช้บงั คบั ได้จริง ในทางปฏิบตั มิ ใิ ชเ่ ป็นเพียงบทบญั ญตั ทิ ่ีไร้ความหมายในทางปฏิบตั ิแตอ่ ย่างใด โดยเฉพาะอย่างย่ิง การรับรองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู 2550 ได้มีการแก้ไขปรับปรุงถ้อยคาอนั ทาให้ไมม่ ีการบงั คบั ใช้สิทธิชุมชนไม่มีเง่ือนไขว่าจะต้องมีกฎหมายบญั ญัติมารับรองในรายละเอียดดงั ท่ีเคยเกิดเป็ น ปัญหามาก่อนในรัฐธรรมนญู 2540 6.2.5 ชุมชน ในหลายพืน้ ท่ีองค์กรชุมชนได้เข้าไปมีบทบาทในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินรวมทงั้ การ ผลกั ดนั ให้มีการออกข้อบญั ญัติรับรองสิทธิชมุ ชนเกิดขึน้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เฉพาะเพียงอานาจ ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินเท่านนั้ ที่จะทาให้การจดั การทรัพยากรธรรมชาติในชมุ ชนสามารถ เป็ นไปได้ ความเข้มข้นของชุมชนก็ยังเป็ นปัจจัยสาคญั ที่ไม่อาจละเลยได้ การทางานร่วมกัน ระหว่างผ้คู นในชมุ ชนรวมทงั้ การถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ รวมถึงการทางานภายในชมุ ชนก็ เป็นปัจจยั ที่มีความสาคญั คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 151

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 นอกจากนีก้ ารสร้างการเรียนรู้ระหว่างชมุ ชนท่ีเข้าไปทางานในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ก็จะเป็ นแนวทางท่ีทาให้ชมุ ชนแตล่ ะแหง่ ได้ตระหนกั ถึงสภาพปัญหา อปุ สรรค และข้อจากัดตา่ งๆ ท่ีเกิดขึน้ ภายใต้อานาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน การสร้ างเวทีเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างชุมชนต่างๆ ที่มีบทบาทในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติก็จะ สามารถเก็บรับบทเรียนเพ่ือนามาปรับใช้กบั สภาพปัญหาท่ีท้องถ่ินของตนเองกาลงั เผชิญอย่ไู ด้เป็ น อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นท่ีเป็ นปัญหาที่มีลกั ษณะร่วมกันหรือใกล้เคียงกนั เช่น การ ขยายตวั ของการเพาะปลกู พืชพาณิชย์เข้าไปในชมุ ชนต่างๆ อนั ทาให้เกิดการปรับเปล่ียนรูปแบบ การผลิตของผ้คู นในชุมชน รวมทงั้ โลกทรรศน์ท่ีเปล่ียนแปลงไปตามรูปแบบการผลิตท่ีสมั พนั ธ์กบั ระบบตลาดเพิ่มมากขึน้ อันจะช่วยให้สามารถมองเห็นแนวทางในการเผชิญหน้ากับความ เปลี่ยนแปลงนีใ้ นรูปแบบต่างๆ ว่าชมุ ชนของตนเองจะมีท่าทีและการปรับตวั อยา่ งไร โดยที่ชมุ ชน ยงั คงความสามารถในการจดั การทรัพยากรธรรมชาตขิ องท้องถ่ินบนฐานของความยงั่ ยืนในการใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาตติ า่ งๆ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 152

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 บรรณานุกรม หนังสือ กอบกลุ รายะนาคร, 2549. พัฒนาการของหลักกฎหมายส่ิงแวดล้อมและสทิ ธิชุมชน, เชียงใหม:่ สถาบนั วิจยั สงั คม มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. กิตตศิ กั ด์ิ ปรกต,ิ 2550. สิทธิของบุคคลซ่งึ รวมกันเป็ นชุมชน, กรุงเทพฯ : วญิ ญชู น. กิตตศิ กั ด์ิ ปรกติ, 2550. สทิ ธิของบุคคลซ่งึ รวมกันเป็ นชุมชน. กรุงเทพฯ: สานกั งานศาล รัฐธรรมนญู . คณะทางานโครงการก่อตงั้ สถาบนั สง่ เสริมการปฏิรูประบบยตุ ธิ รรมและความเป็นธรรมทางสงั คม (สปรย.), 2547. คดสี ทิ ธิชุมชนท้องถ่นิ ดงั้ เดมิ กับข้อกังขาว่าด้วย “ความเป็ น ธรรม” ในสังคมไทย, กรุงเทพฯ: สถาบนั ชมุ ชนท้องถิ่นพฒั นา. เจมิ ศกั ดิ์ ปิ่นทอง, บรรณาธิการ, 2535. ววิ ัฒนาการของการบุกเบกิ ท่ดี นิ ทากนิ ในเขตป่ า, กรุงเทพฯ : สถาบนั ชมุ ชนท้องถ่ินพฒั นา. ฉลาดชาย รมติ านนท์ และคณะ, 2536. ป่ าชุมชนภาคเหนือ, กรุงเทพฯ : สถาบนั ชมุ ชนท้องถิ่น พฒั นา. ชาญชยั แสวงศกั ดิ์, 2552. กฎหมายรัฐธรรมนูญ แนวคิดและประสบการณ์ต่างประเทศ. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์วิญญชู น จากดั . ธีรพรรณ ใจมนั่ , “การผลกั ดนั นโยบายโดยการมีสว่ นร่วมของประชาชน : ศกึ ษาเฉพาะกรณีการร่าง พระราชบญั ญตั ิป่ าชมุ ชน” วิทยานิพนธ์หลกั สตู รพฒั นาชมุ ชนมหาบณั ฑิต คณะสงั คม สงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ 2542 คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 153

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 นฤดม ทิมประเสริฐ, “กระบวนการมีสว่ นร่วมของประชาชนที่ตงั้ อยบู่ นพืน้ ฐานของสิทธิชมุ ชนใน การจดั ทาข้อบญั ญัตทิ ้องถิ่นทางทะเล : ศกึ ษากรณีองค์การบริหารสว่ นตาบลทา่ ศาลา” วทิ ยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตร์มหาบณั ฑติ สถาบนั พฒั นบริหารศาสตร์ 2554 บวรศกั ด์ิ อวุ รรณโณ, 2542. รัฐธรรมนูญน่ารู้, กรุงเทพฯ: วญิ ญชู น . บญุ ตา สืบประดษิ ฐ์ และ อจั ฉรา รักยตุ ธิ รรม,2542. 3 ทศวรรษป่ าชุมชน ท่ามกลางความ สับสนของสังคมไทย. เชียงใหม:่ มลู นธิ ิพฒั นาภาคเหนือ. ป่ินแก้ว เหลืองอร่ามศรี, 2534. องค์ความรู้นิเวศวทิ ยาของชุมชนเกษตรกรรมในเขตป่ า ศึกษากรณีชุมชนกะเหร่ียงในเขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่ าทุ่งใหญ่นเรศวร. กรุงเทพฯ : คณะสงั คมวิทยาและมานษุ ยวิทยา มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. ไพโรจน์ พลเพชร, 2547. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์สิทธิเสรีภาพและศักด์ศิ รีความเป็ น มนุษย์. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ม่งิ สรรพ์ ขาวสอาด ชยั พงษ์ สาเนียง และกลุ ดา เพ็ชรวรุณ, 2555. กรณีศกึ ษา การจัดการ ทรัพยากรธรรมชาตขิ ององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน. เชียงใหม:่ มลู นธิ ิสถาบนั ศกึ ษานโยบายสาธารณะ. รัตนาพร เศรษฐกลุ และคณะ, 2546. สิทธิชุมชนท้องถ่ิน ชาวเขา : ในภาคเหนือของประเทศ ไทย อดตี และปัจจุบัน กรณีศกึ ษาและปัญหา, กรุงเทพฯ : นิตธิ รรม. รายงานการประชุมเวทเี สวนาตรวจสอบแนวคิดพนื้ ฐานทางกฎหมายในการยอมรับและ บังคับใช้สทิ ธิชุมชน ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ: เวทผี ู้ใช้กฎหมาย – ศาล ในวนั ศกุ ร์ท่ี 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2553 ณ โรงแรมรามาการ์เด้นส์. วิฑรู ย์ เล่ียนจารูญ และคณะ, 2548. สทิ ธิชุมชน ในทรัพยากรชีวภาพและภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ , กรุงเทพฯ : สานกั งานคณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ. ววิ ฒั น์ คตธิ รรมนิตย์, บรรณาธิการ, 2536. สิทธิชุมชน : การกระจายอานาจจัดการทรัพยากร, กรุงเทพฯ : สถาบนั ชมุ ชนท้องถ่ินพฒั นา. ศาลปกครอง, “ความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะต่อกรณีการจัดตัง้ แผนกคดีส่ิงแวดล้อม ใน ศาลปกครอง“ วนั ที่ 3 สงิ หาคม 2554. คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 154

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ศภุ ลกั ษณ์ พินจิ ภวู ดล, 2548. หลักและวธิ ีปฏบิ ัตใิ นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญในกรณีท่ีมี บทบัญญัตวิ ่า “ทงั้ นีเ้ ป็ นไปตามท่กี ฎหมายบัญญัติ” .กรุงเทพฯ: วิญญชู น.,) สถาบนั การแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสขุ , 2540. สารัตถะแห่งสทิ ธิชุมชน ในทรัพยากร ชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถ่นิ ,กรุงเทพฯ : สถาบนั การแพทย์แผนไทย. สมชาย ปรีชาศลิ ปกลุ , “สทิ ธิชนพืน้ เมืองในกระบวนการยตุ ธิ รรมมาเลเซีย” ใน วารสารนิติ สังคมศาสตร์ 3, 1 ( ม.ค. – ม.ิ ย. 2548). สมชาย ปรีชาศลิ ปกลุ , 2549. นิตศิ าสตร์ไทยวพิ ากษ์, กรุงเทพฯ: วญิ ญชู น. สมศกั ดิ์ สขุ วงค์, 2546. ฐานทรัพยากร...ทุนชีวิตของสังคมไทย. กรุงเทพฯ: บริษทั พมิ พ์ดจี ากดั . สานกั กรรมาธิการ 3 สานกั งานเลขาธิการสภาผ้แู ทนราษฎร 2551, ตารางความแตกต่าง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2540 กับ พุทธศักราช 2550, กรุงเทพฯ : สานกั การพิมพ์ สานกั งานเลขาธิการสภาผ้แู ทนราษฎร. สานกั งานคณะกรรมการสิทธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ,2555. รายงานประเมินสถานการณ์สทิ ธิ มนุษยชนในประเทศไทยและรายงานผลการปฏบิ ัตงิ านประจาปี 2553-2554. กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการสทิ ธิมนษุ ยชนแหง่ ชาติ. เสนห่ ์ จามริก และคณะ, 2536. ป่ าฝนเขตร้อนกับภาพรวมของป่ าชุมชนในประเทศไทย, กรุงเทพฯ : สถาบนั ชมุ ชนท้องถิ่นพฒั นา. อรุณรัตน์ วเิ ชียรเขียว และคณะ. 2546. สทิ ธิชุมชนท้องถ่นิ พืน้ เมืองดัง้ เดมิ ล้านนา, กรุงเทพฯ : นิตธิ รรม. อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ, 2544. มติ ชิ ุมชน : วธิ ีคดิ ท้องถ่นิ ว่าด้วยสทิ ธิ อานาจ และการจัดการ ทรัพยากร, กรุงเทพฯ : สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั . เอกสารหลักประกอบการประชุมเวทนี โยบายสาธารณะเพ่อื เอาชนะความยากจน ครัง้ ท่ี 7, 23 มกราคม 2547 จดั โดยคณะทางานโครงการก่อตงั้ สถาบนั สง่ เสริมการปฏิรูประบบ ยตุ ธิ รรมและความเป็ นธรรมในสงั คม, Shinichi Shigetomi, Development and Institutionalization of Communitarian Thought in Thailand, IDE Discussion Paper No. 423 (July 2013). คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 155

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 เอกสารทางราชการ ข้อบงั คบั การประชมุ วฒุ สิ ภา พ.ศ. 2551. ข้อบงั คบั การประชมุ สภาผ้แู ทนราษฎร พ.ศ. 2551. ข้อบญั ญตั อิ งค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ าว่าด้วยการจดั การป่ าชมุ ชนตาบลแมท่ า พ.ศ. 2550. คาแนะนาของประธานศาลปกครองสงู สดุ ในการดาเนินคดีปกครองเกี่ยวกบั สง่ิ แวดล้อม ราชกิจจา นเุ บกษา เลม่ ที่ 158 ตอนท่ี 54 ก วนั ที่ 4 กรกฎาคม 2554. คาสงั่ กรมป่ าไม้ท่ี กษ 0712.2/21320 วนั ที่ 23 สงิ หาคม พ.ศ. 2543. ประกาศคณะกรรมการบริหารศาลยตุ ธิ รรม เรื่องการจดั ตงั้ แผนกคดสี ง่ิ แวดล้อมในศาลแพง่ ลง วนั ที่ 18 เมษายน 2554. ประภาส ป่ินตบแตง่ , “การเมืองของขบวนการชาวบ้านด้านสิ่งแวดล้อมในสงั คมไทย” วิทยานิพนธ์ ปริญญารัฐศาสตร์ดษุ ฎีบณั ฑติ สาขาวิชารัฐศาสตร์ บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั 2540 หนงั สือของกรมอทุ ยานแหง่ ชาติ ท่ี ทส. 09034/14374 ถงึ สานกั งานอยั การจงั หวดั พทั ลงุ ลงวนั ที่ 9 กนั ยายน 2548. คาพพิ ากษา/คาวินิจฉัยของศาล คดีหมายเลขดา 1484/2542 ศาลจงั หวดั เชียงใหม่ คดหี มายเลขดาที่ 1454/2553 คดีหมายเลขแดงท่ี 126/2553 ศาลปกครองกลาง คดหี มายเลขดาที่ 1770/2551 คดีหมายเลขแดงท่ี 1737/2551 ศาลจงั หวดั แมส่ อด คดีหมายเลขดาท่ี 1771/2550 คดีหมายเลขแดงท่ี 1738/ 2551 ศาลจงั หวดั แมส่ อด คดหี มายเลขดาที่ 214/2547 คดีหมายเลขแดงที่ 637/2551 ศาลปกครองกลาง คดหี มายเลขดาท่ี 239/2543 ศาลจงั หวดั เชียงใหม่ คดีหมายเลขดาท่ี 4242/2552 คดหมายเลขแดงที่ 4127 – 4128/2554 ศาลจงั หวดั สระบรุ ี คดีหมายเลขดาที่ 673/2552 คดีหมายเลขแดงท่ี 789/2552 ศาลจงั หวดั หลม่ สกั คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 156

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 คดหี มายเลขดาท่ี 908/2552 ศาลปกครองกลาง คดหี มายเลขดาท่ี ฟ.19/2544 คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.13/2547 ศาลปกครองสงู สดุ คดหี มายเลขดาที่ สว. (อ)125/2553 คดหี มายเลขแดงท่ี 194/2555 ศาลอทุ ธรณ์ภาค 6 คดหี มายเลขดาท่ี อ. 304/2547 คดีหมายเลขแดงท่ี อ. 334/2550 ศาลปกครองสงู สดุ คดหี มายเลขดาที อ. 597/2551 คดีหมายเลขแดงท่ี อ. 743/2555 ศาลปกครองสงู สดุ คดีหมายเลขดาที่ อ.477/2547 คดหี มายเลขแดงที่ อ. 86/2552 ศาลปกครองสงู สดุ คดีหมายเลขแดง 1035/2546 ศาลจงั หวดั เชียงใหม่ คดหี มายเลขแดงที่ 3860/2544 ศาลจงั หวดั เชียงใหม่ คดีหมายเลขแดงท่ี 895/2544 ศาลจงั หวดั เชียงใหม่ คดีหมายเลขท่ี 1385/2549 คดีหมายเลขแดงท่ี 2227/2550 ศาลจงั หวดั อดุ รธานี คดหี มายเลยดาที่ 1480/2545 คดหี มายเลขแดงที่ 3283/2546 ศาลจงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ คาพิพากษาท่ี 13005/2553 ศาลฏีกา คาพพิ ากษาท่ี 5818/2549 ศาลฏีกา คาร้องที่ 157/2554 คาสงั่ ท่ี 453/2554 ศาลปกครองสงู สดุ คาร้องท่ี 353/2551 คาสง่ั ท่ี 630/2551 ศาลปกครองสงู สดุ คาร้องที่ 556/2545 คาสง่ั ที่ 651/2545 ศาลปกครองสงู สดุ คาร้องที่ 586/2552 คาสง่ั ที่ 592/2552 ศาลปกครองสงู สดุ คาร้องที่ 678/2552 คาสงั่ ที่ 74/2553 ศาลปกครองสงู สดุ คาร้องที่ 775/2551 คาสงั่ ท่ี247/2552 ศาลปกครองสงู สดุ คาวนิ ิจฉยั ที่ 15/2552 ศาลรัฐธรรมนญู คาวินจิ ฉัยท่ี 21/2546 ศาลรัฐธรรมนญู คาวินจิ ฉัยท่ี 25/2547 ศาลรัฐธรรมนญู คาวนิ จิ ฉยั ที่ 3/2552 ศาลรัฐธรรมนญู คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 157

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 คาวินจิ ฉยั ท่ี 33/2554, ศาลรัฐธรรมนญู คาวินจิ ฉัยท่ี 59/2545 ศาลรัฐธรรมนญู คาวินิจฉยั ที่ 6/2546 ศาลรัฐธรรมนญู ดคหี มายเลขดาที่ 5736/2541 ศาลจงั หวดั เชียงใหม่ ส่งิ พมิ พ์อเิ ล็กทรอนิกส์ ASTVผ้จู ดั การออนไลน์, เครือข่ายป่ าชุมชนรุมค้าน พ.ร.บ.ป่ าฯฉบับ สนช. [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ท่ีมา: http://www.manager.co.th/local/viewnews.aspx?newsid=9500000138990 กรมป่ าไม้, “สถติ ปิ ่ าไม้ไทย” , [ระบบออนไลน์]. แหลง่ ที่มา http://www.forest.go.th (25 มีนาคม 2551) ชีช้ ะตา พรบ.ป่ าชุมชน, [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ที่มา:http://www.codi.or.th/nature/index.php?option=com_content&view=arti cle&id=131:2010-03-24-08-47-36&catid=37:2011-02-08-11-40- 38&Itemid=18&lang=en ทีมงาน ThaiNGO, “เครือข่ายเหล้าพืน้ บ้านฯสุรินทร์ เปิ ดเวทเี คล่ือนใหญ่ นาทัพอีสานใต้” [ออนไลน์] วนั ที่ 16 กนั ยายน 2545 แหลง่ ท่ีมา: http://www.thaingo.org/story3/news_thaiwisky_17945.html ไทยเอ็นจีโอ, จับตามองความจริงใจของรัฐบาล\"ผ่าน พรบ.ป่ าชุมชน( ฉบับประชาชน)\" [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ที่มา: http://www.thaingo.org/story/news_20744.htm บณั ฑติ ศริ ิรักษ์โสภณ, การเมืองเร่ืองป่ าชุมชน [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ท่ีมา: www.midnightuniv.org/การเมืองเรื่องป่ าชมุ ชน. มนตรี จ้ยุ มว่ งศรี “เจาะนโยบายสินค้าเกษตร มหากาพย์ วังวนแห่งผลประโยชน์ ท่ยี ากต่อ การแก้ไข” แผนงานสร้างเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556, แหลง่ ท่ีมา : .www.tuhpp.net คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 158

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 เลิศ จนั ทนภาพ, “การจัดการและพัฒนาป่ าชุมชนเพ่อื ความย่งั ยนื ” [ออนไลน์] 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 แหลง่ ที่มา http://www.forest.go.th/community_forest/semina.asp ศยามล ไกยรู วงศ์, “วาทะกรรมโลกร้อน: ชาวบ้านคือแพะรับบาป” [ออนไลน์] ตลุ าคม 2552 แหลง่ ท่ีมา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=507058 ศนู ย์สารสนเทศ สานกั ประชาสมั พนั ธ์เขต 3 เชียงใหม่, “เหล้าพนื้ บ้าน” มมป. [ออนไลน์] แหลง่ ที่มา : http://region3.prd.go.th/problempoor/job11.htm สถานีขา่ วประชาธรรม, เครือข่ายป่ าชุมชนเหนือแถลง”ไม่รับ กม.ป่ าชุมชน”ฉบับผ่าน สนช. [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ที่มา: http://www.prachatham.com/detail.htm?code=r1_22112007_01 สถานีขา่ วประชาธรรม,ชี้ ก” ม.ป่ าชุมชน”ฉบับ สนช.ขัดอนุสัญญาระหว่างประเทศ, [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ที่มา: http://www.prachatham.com/detail.htm?code=n6_10012008_02 สานกั ขา่ วประชาไท, “ย่นื อุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด ยัน ‘แบบจาลองโลกร้อน’ กระทบ ชุมชน” [ออนไลน์] วนั ที่ 14 กนั ยายน 2555 แหลง่ ท่ีมา: http://prachatai.com/journal/2012/09/42640 สานกั ขา่ วประชาไท, “ศาลปกครองกลางไม่รับฟ้ องเลิก “คดีโลกร้อน” – ชาวบ้านเตรียมถก เดนิ หน้าต่อ” [ออนไลน์] วนั ที่ 1 สงิ หาคม 2555 แหลง่ ที่มา: http://prachatai.com/journal/2012/08/41847 สานกั ขา่ วประชาไท, พฤ โอ่โดเชา : \"ผมต่างหากท่ตี ้องถาม พวกคุณรักษากันอย่างไร ป่ า กลายเป็ นเมืองหมด\" [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ท่ีมา http://prachatai.com/journal/2005/12/6831 สานกั ขา่ วประชาไท, ลาดับเหตุการณ์สาคัญร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน [ออนไลน์], 10 ตลุ าคม 2556, แหลง่ ท่ีมา http://prachathai.com/journal/2005/11/6267 สานกั ขา่ วประชาไท, ลาดับเหตกุ ารณ์สาคัญร่าง พ.ร.บ.ป่ าชุมชน [ออนไลน์], 10 ตลุ าคม 2556, แหลง่ ที่มา http://prachathai.com/journal/2005/11/6267 คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 159

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 สานกั ขา่ วประชาไท, วัดใจ สนช. ผ่าน กม.ป่ าชุมชน เอาใจรัฐ หรือประชาชน [ออนไลน์] 10 ตลุ าคม 2556 แหลง่ ท่ีมา: http://prachatai.com/node/23770/talk สานกั ขา่ วประชาธรรม, “คดคี นจนใช้ประโยชน์จากป่ าแพ้ ทวงสัญญาแก้ไขกม.ป่ าไม้ด่วน” [ออนไลน์] วนั ท่ี 30 กรกฎาคม 2544 แหลง่ ท่ีมา: http://www.prachatham.com/detail.htm?code=n_30072001_01 สานกั ขา่ วประชาธรรม, “สภาพท่ีปรึกษายนั เร่งปฏิรูป กม. ป่ าไม้ เผยประพฒั น์รับปากแก้ไข กม.แล้ว” [ออนไลน์] วนั ที่ 8 สิงหาคม 2544 แหลง่ ที่มา: http://www.prachatham.com/detail.htm?code=n_08082001_02 สานกั จดั การป่ าชมุ ชน, ผลการอนุมัตโิ ครงการป่ าชุมชน ปี พ.ศ. 2543 – ปัจจุบัน, [ออนไลน์] 2 ตลุ าคม พ.ศ. 2556แหลง่ ท่ีมา: http://www.forest.go.th/community_forest/index.php?lang=th () กฎหมาย พระราชกฤษฎีกาจดั ตงั้ สถาบนั พฒั นาองคก์ รชมุ ชน พ.ศ. 2543 พระราชบญั ญตั กิ าหนดแผนและขนั้ ตอนการกระจายอานาจให้แกอ่ งค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น พ.ศ. 2542 พระราชบญั ญตั ปิ ่ าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบญั ญตั ปิ ่ าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบญั ญตั สิ งวนและค้มุ ครองสตั ว์ป่ า พ.ศ. 2535 พระราชบญั ญตั สิ วนป่ า พ.ศ. 2535 พระราชบญั ญตั อิ ทุ ยานแหง่ ชาติ พ.ศ. 2504 รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 160

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 ภาคผนวก คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 161

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ภาคผนวก ก แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ 1. แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 8 (2540 – 2544) บทที่ 3 การเสริมสร้างการมีสว่ นร่วมของประชาชนและชมุ ชน เพ่ือสนับสนุนประชาชนและ ชุมชนในท้ องถิ่น ให้ เข้ ามามีส่วนร่ วมและสามารถบริ หาร จัดการทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การมีส่วนร่วมจากหลายฝ่ ายใน กระบวนการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมที่เป็ นระบบอยา่ งตอ่ เนื่องและสง่ ผลให้การ พฒั นาเป็นไปโดยยงั่ ยืน ดงั นี ้ 1. ปรับปรุงบทบาทของภาครัฐเพ่ือสนบั สนุนให้เกิดการมีส่วน ร่วมของประชาชนและชมุ ชน ในการบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม โดย 1.1 ปรับทศั นคติและปรับปรุงขีดความสามารถของหน่วยงานของรัฐให้สามารถร่วมมือ และเกือ้ หนุนชุมชนในท้ องถ่ิน เพ่ืออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ อมได้อย่างมี ประสิทธิภาพและกอ่ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ชมุ ชนในท้องถิ่นอยา่ งแท้จริง 1.2 รณรงค์ เผยแพร่ ประชาสมั พนั ธ์ เพื่อเสริมสร้างจิตสานึกให้แก่ประชาชนและองค์กร ชุมชน ให้ตระหนักถึงผลกระทบจากความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม รวมทงั้ ให้ความร่วมมือในการป้ องกันติดตามเฝ้ าระวงั และแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดล้อม เพื่อการพฒั นาที่ยงั่ ยืนและคณุ ภาพชีวติ ที่ดีขนึ ้ 2. พฒั นาเครือข่ายสารสนเทศทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทงั้ เผยแพร่ข้อมลู ตอ่ สาธารณชน โดยถือเป็นสทิ ธิในการรับรู้และใช้ประโยชน์ของผ้ทู ี่เกี่ยวข้องและผ้ทู ่ีสนใจอย่างเทา่ เทียมกนั 3. สร้างโอกาสให้ชุมชนและประชาชนมีส่วนร่วมในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อมมากขนึ ้ 3.1 เปิ ดโอกาสให้ประชาชนและชุมชนในท้องถ่ินมีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผน ตดั สินใจและตดิ ตามประเมินผลในโครงการพฒั นาของรัฐที่จะมีผลกระทบตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม โดยรัฐจัดให้มีขัน้ ตอนประชาพิจารณ์โครงการอย่างต่อเนื่อง ตัง้ แต่การริเริ่ม แนวคดิ โครงการ จดั เตรียมโครงการ และการดาเนินโครงการ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 162

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 3.2 ออกพระราชบญั ญัติป่ าชมุ ชนซึ่งเป็ นที่ยอมรับจากทกุ ฝ่ ายเพื่อให้ ชุมชนมีสิทธิตาม กฎหมายในการดแู ลรักษาและใช้ประโยชน์จากป่ าชมุ ชน 3.3 สนบั สนนุ ให้มีกฎหมายรองรับสิทธิของชมุ ชนท้องถิ่นและชาวประมงขนาดเล็กให้มี สว่ นร่วมในการบริหารจดั การทรัพยากรทางทะเล ทงั้ การอนรุ ักษ์ ฟื น้ ฟู และดแู ลรักษา ป่ าชายเลน หญ้าทะเล และปะการัง เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชายฝ่ังโดยเฉพาะทรัพยากรประมง ได้อยา่ งยงั่ ยืน 3.4 ส่งเสริมองค์กรชมุ ชนและท้องถิ่นในการดาเนินกิจกรรมการทอ่ งเที่ยวเชิงอนรุ ักษ์เพื่อ เสริมสร้างเศรษฐกิจของชมุ ชน และการจดั ทาแผนงานและโครงการเพ่ือขอรับการสนบั สนนุ แหล่ง เงินทนุ หรืองบประมาณหรือกองทนุ สาหรับใช้ในการอนรุ ักษ์ฟื น้ ฟทู รัพยากรธรรมชาติ” 2. แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 9 (2545-2549) บ ท ท่ี 5 (2) พฒั นากลไกและกระบวนการจดั การเชิงบรู ณาการที่เน้นการมีส่วนร่วมของทกุ ฝ่ ายใน การอนรุ ักษ์ ฟื น้ ฟู และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ โดย (2.1) ปรับปรุงกฎหมายเพ่ือสนบั สนุนท้องถิ่นและประชาชนให้มีส่วนร่วมในการบริหาร จดั การทรัพยากรธรรมชาติ รับรองสิทธิชมุ ชน และให้มีสว่ นร่วมในการพฒั นาทกุ ขนั้ ตอน อาทิ การ ออกพระราชบญั ญตั ทิ รัพยากรนา้ พระราชบญั ญตั ปิ ่ าชมุ ชน แก้ ไขปรับปรุงพระราชบญั ญัติประมง พ.ศ. 2490 แก้ไขปรับปรุงพระราชบญั ญัติส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เพื่อสนับสนุนการกระจายอานาจการบริหารจัดการ และประสิทธิผลของการบังคับใช้ กฎหมายด้านส่งิ แวดล้อม รวมทงั้ ทบทวนกฎหมายป่ าไม้ เพื่อให้คนอยรู่ ่วมกบั ป่ าได้อยา่ งสมดลุ (2.2) เสริมสร้างเครือข่ายการประสานงานและการทางานร่วมกนั ขององค์กรปกครองสว่ น ท้องถ่ิน องค์กรพฒั นาเอกชน องค์กรชมุ ชน และประชาชนในท้องถ่ิน ในการอนุรักษ์ ฟื น้ ฟู และใช้ ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยง่ั ยืน โดยให้ความสาคญั กบั การฝึ กอบรมให้ ความรู้แกแ่ กนนาชมุ ชน เพ่ือเพิ่มศกั ยภาพในการสร้างกระบวนการเรียนรู้และริเริ่มในชมุ ชน พฒั นา ระบบรวบรวมและจดั ทาข้อมลู ระดบั ท้องถ่ินให้สอดคล้องกนั รวมทงั้ ให้มีเวทีประชาคมเพ่ือรับฟัง ความคิดเห็น สร้างกระบวนการเรียนรู้ การมีส่วนร่วมคิดร่วมทา พร้อมกบั เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และแนวคดิ อยา่ งตอ่ เนื่อง คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 163

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 (3) เพิ่มประสิทธิภาพการบงั คบั ใช้กฎหมายในการกากับ ควบคุม และตรวจสอบการ ดาเนินงานอนรุ ักษ์ฟื น้ ฟแู ละใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม โดย (3.1) สนบั สนนุ เครือขา่ ยองคก์ รปกครองสว่ นท้องถ่ิน ชมุ ชน ประชาชน และอาสาสมคั ร ให้ สามารถเฝ้ าระวัง ติดตาม ตรวจสอบการดาเนินง านจัดการและการใช้ ประโยชน์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การเฝ้ าระวงั การก่อมลพิษ การบกุ รุกพืน้ ท่ี อนรุ ักษ์ พืน้ ที่สาธารณะ แหลง่ นา้ ธรรมชาติ รวมทงั้ การทาเหมืองแร่ 3. แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 10 (2550 – 2554) บทท่ี 3 ยทุ ธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน บทนา การเสริมสร้างให้ชมุ ชนมีการรวมตวั อยา่ งเข้มแข็งมาร่วมคดิ ร่วมเรียนรู้ส่กู ารปฏิบตั ิ มีกระบวนการเรียนรู้ และการจดั การองค์ความรู้ในรูปแบบท่ีหลากหลายตามภมู ิสงั คมที่เหมาะสม สอดรับกับการดาเนินชีวิตบนฐานทรัพยากร ภูมิปัญญา และวิถีวัฒนธรรมชุมชน ด้วยความ รอบคอบและระมดั ระวงั มีคณุ ธรรม จริยธรรมมีความรักความเอือ้ อาทร มีความสามคั คีเสียสละ มงุ่ มนั่ ท่ีจะพฒั นาตนเองและผ้อู ่ืน จงึ เป็ นการอญั เชิญปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็ นหลกั ใน การดาเนินกิจกรรมร่วมกันของคนในชุมชน เพ่ือมุ่งไปสูความสุขที่เกิดจากความสมดุล ความ พอประมาณอยา่ งมีเหตผุ ล และมีภูมิคุ้มกนั ท่ีดีสามารถพ่ึงตนเองได้ ชมุ ชนสามารถบริหารจดั การ ใช้ประโยชนจากทนุ ทางเศรษฐกิจ ทนุ ทางสงั คม ทุนทางทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมท่ีมีอยู่ อย่างมีดลุ ยภาพสอดคลองเช่ือมโยงกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมชุมชน เพ่ิมพูน ความสมั พนั ธ์อนั ใกล้ชิดทางสงั คมระหว่างผู้คนทงั้ ภายในและภายนอกชมุ ชน ทงั้ นีก้ ารรวมตวั กัน อย่างเข้มแข็งของคนในชมุ ชนนอกจากจะสามารถป้ องกนั และแก้ไขปัญหาที่ยากและสลบั ซบั ซ้อน โดยเฉพาะอย่างย่ิงปัญหาความยากจนท่ีมีความเป็ นองค์รวมเกี่ยวพนั ทงั้ ในด้านเศรษฐกิจ สงั คม และการเมืองการปกครอง ซึ่งต้องอาศัยชุมชนที่เข้ มแข็งเป็ นเสาหลักในการร่วมมือร่วมใจ ดาเนินการให้หลดุ พ้นจากความยากจนตลอดไปแล้วยงั ช่วยให้ชุมชนสามารถพฒั นาอนาคตของ ชมุ ชนได้อีกด้วย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 164

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 4. แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 11 (2555– 2559) บ ท ท่ี 8 ยทุ ธศาสตร์การจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อมอย่างย่งั ยืน 5.1 การอนรุ ักษ์ ฟื น้ ฟู และสร้างความมนั่ คงของฐานทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม มีแนวทางหลกั ดงั นี ้ 5.1.1 คุ้มครอง ป้ องกัน รักษา ฟื ้นฟูพืน้ ที่ป่ าไม้ และเขตอนุรักษ์ โดยอนุ รักษ์พืน้ ที่ เปราะบางท่ีมีความสาคญั เชิงนิเวศ สร้างพืน้ ท่ีเช่ือมต่อระหว่างป่ า วางระบบเพ่ือแก้ไขปัญหาการ บกุ รุกถือครองที่ดนิ ในพืน้ ท่ีป่ าไม้ โดยให้มีการจดั ทาทะเบียนผ้ถู ือครองที่ดนิ ในพืน้ ท่ีอนุรักษ์ทงั้ หมด ดาเนินการพิสูจน์สิทธิ และร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียจัดทาแนวเขตพืน้ ที่อนุรักษ์ เพื่อให้เป็ นที่ ยอมรับร่วมกัน ควบคมุ การใช้ประโยชน์พืน้ ที่ต้นน้าและการใช้สารเคมีการเกษตรในพืน้ ที่ต้นน้า อยา่ งเข้มงวด ส่งเสริมเครือข่ายอนรุ ักษ์และปอู งกันการบกุ รุกป่ าไม้ โดยภาคประชาชนและชุมชน สง่ เสริมหลกั การชมุ ชนอยรู่ ่วมกบั ป่ า การปลกู ป่ า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อยา่ ง ส่งเสริมการจดั การป่ า ชมุ ชน การฟื น้ ฟูและการปลูกป่ าในรูปแบบวนเกษตร โดยให้ความสาคญั กบั พืน้ ท่ีต้นน้าและพืน้ ที่ รอยตอ่ ตามแนวเขตอนรุ ักษ์ รวมทงั้ สนบั สนนุ การปลกู ต้นไม้และการปลกู ป่ าอย่างจริงจงั โดยเฉพาะ ในระดบั ครัวเรือนและชมุ ชน ภายใต้แนวคดิ และกลไกสง่ เสริมที่เหมาะสม เช่น ธนาคารต้นไม้ หรือ การปลกู ต้นไม้ใช้หนี ้และให้มีการจดั ทาแผนสง่ เสริมการปลกู ป่ าของประเทศที่สามารถขบั เคลื่อน ได้อยา่ งเป็นรูปธรรม 5.3.3 พัฒนาศักยภาพชุมชนให้เข้มแข็ง และพร้ อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภมู อิ ากาศ โดย 1) ยกระดบั ขีดความสามารถของกลมุ่ เส่ียงในการปรับตวั รับมือกบั การเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ ด้วยการจัดสรรทรัพยากรท่ีจาเป็ น และถ่ายทอดความรู้ด้านข้อมูลเสี่ยงภัยและการ จดั การความเส่ียงของหน่วยงานตา่ งๆ ส่ชู มุ ชนและเครือข่ายการเรียนรู้ระหว่างชุมชน รวมทงั้ เร่ง ฟื น้ ฟพู ืน้ ที่เสี่ยงที่ได้รับความเสียหายและฟื น้ ฟทู รัพยากรธรรมชาติที่เสื่อมโทรม รวมทงั้ สง่ เสริมการ จ้างงานเพื่อเพ่มิ รายได้ของประชากรกลมุ่ เสี่ยง 2) กาหนดมาตรการรองรับผลกระทบตอ่ ชมุ ชนและสงั คมท่ีชัดเจน ทงั้ มาตรการระยะสนั้ และระยะยาว ปรับปรุงกฎหมาย และนวตั กรรมด้านการบริหารความเส่ียง เชน่ การประกนั ภยั จาก สภาพอากาศ ทงั้ บ้านเรือนและพืชผลการเกษตร เพื่อให้ชุมชนมีกลไกในการบริหารจดั การความ เส่ียงมากขนึ ้ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 165

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 3) สนับสนุนกระบวนการวางแผนชุมชนระยะยาว รวมทงั้ ส่งเสริมบทบาทของปราชญ์ ชาวบ้าน ผ้นู าชมุ ชน หนว่ ยงานท่ีเก่ียวข้องในพืน้ ที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เพ่ือสร้างความ เข้มแขง็ ของชมุ ชน ให้สามารถรับมือกบั การเปลี่ยนแปลงได้อยา่ งเทา่ ทนั ตอ่ สถานการณ์ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 166

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 ภาคผนวก ข แนวนโยบายรัฐบาล 1. นโยบายรัฐบาลท่ีนาโดยนายชวน หลีกภัย แถลงต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 21 ตลุ าคม 2535 4. นโยบายเศรษฐกิจ โดยที่ประชาชนบางสว่ นของประเทศยงั มีฐานะยากจน มีสภาพความเป็ นอย่ใู นระดบั ท่ีต่า กว่ามาตรฐาน ความเจริญทางเศรษฐกิจยงั มิได้กระจายไปทว่ั ถึงรัฐบาลนีจ้ ึงม่งุ เน้นการยกระดบั มาตรฐานความเป็ นอย่ขู องประชาชนในทกุ สาขาอาชีพให้สงู ขนึ ้ พร้อมกบั การกระจายความเจริญ ออกสภู่ มู ิภาคและชนบท ในขณะเดียวกนั รัฐบาลจะดาเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรี โดยใช้กลไก ตลาดเป็ นหลัก และขจัดการผูกขาดตดั ตอนการแข่งขันท่ีไม่เป็ นธรรม เพ่ือท่ีจะรักษาอัตราการ ขยายตวั ทางเศรษฐกิจ ในระดบั ที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ เสริมสร้ างศกั ยภาพ ทางเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันกับนานาชาติ และมุ่งพัฒนาองค์ประกอบทาง เศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้าครบทกุ ด้าน โดยกาหนดนโยบายเพ่ือดาเนินการให้บรรลุ เป้ าหมายไว้ ดงั นี ้ 4.8 ด้านการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยเหตทุ ่ีการเปล่ียนแปลงอย่าง รวดเร็ วในทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะท่ีผ่านมามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้ อมและ ทรัพยากรธรรมชาติ รัฐบาลจงึ กาหนดนโยบายดงั นี ้ 4.8.1 กาหนดเขตการใช้ประโยชน์ทีดินให้เหมาะสมโดยคานึงถึงสมรรถนะของดินและ ศกั ยภาพของพืน้ ที่ เช่น เขตพืน้ ท่ีเกษตรกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรมชุมชน และพืน้ ท่ีป่ า อนรุ ักษ์ 4.8.2 อนรุ ักษ์ทรัพยากรป่ าไม้ทงั้ ป่ าบก และป่ าชายเลน โดยสนบั สนนุ องค์กรท้องถ่ินและ ประชาชน ให้มีสว่ นร่วมในการดแู ลรักษาป่ าไม้และปลกู สร้างป่ าชมุ ชน 4.8.3 เร่งรัดการอนรุ ักษ์ ควบคมุ ดแู ลแหลง่ นา้ มิให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยกวดขนั ให้มี การควบคมุ คณุ ภาพนา้ และเพ่ิมขีดความสามารถในการบาบดั นา้ เสียก่อนระบายลงสู่แหล่งนา้ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 167

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 และแม่นา้ สายหลกั ทว่ั ประเทศรวมทงั้ สง่ เสริมการร่วมทนุ ของรัฐและเอกชนในการก่อสร้างระบบ บาบดั นา้ เสียรวม 4.8.4 กระจายอานาจการจดั สิง่ แวดล้อมจากสว่ นกลางไปสสู่ ว่ นภมู ิภาคและท้องถิ่นโดยให้ จงั หวดั ท้องถิ่นและประชาชนมีสว่ นร่วมในการดาเนนิ การมากขนึ ้ 4.8.5 กาหนดมาตรการควบคุมการใช้ประโยชน์และฟื ้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ โดย ประกาศเขตพืน้ ที่ค้มุ ครองสิ่งแวดล้อม และเขตควบคมุ มลพิษในพืน้ ที่วิกฤติ 4.8.6 ปลูกฝังให้เด็ก เยาวชน และประชาชนตระหนกั ในความสาคัญของการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม รวมทงั้ สนบั สนนุ องคก์ รเอกชนที่ดาเนินการในเรื่องนี ้ 2. นโยบายรัฐบาลท่ีนาโดยนายบรรหาร ศิลปอาชา แถลงต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 26 กรกฎาคม 2538 4.นโยบายเศรษฐกิจ 4.2 นโยบายด้านเกษตรกรรม รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะพฒั นาศกั ยภาพและความเป็ นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึน้ โดยใน ภาคเกษตรก้าวหน้า จะเพิ่มศกั ยภาพในการแข่งขนั กบั ตา่ งประเทศด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพและ ลดต้นทุนการผลิตรวมทงั้ ใช้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในการเปิ ดตลาดสินค้า การเกษตรตลอดจนพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรเพ่ือรองรับผลผลิตและยกระดบั ราคาสินค้า เกษตรให้สูงขึน้ สาหรับภาคเกษตรยากจนจะม่งุ เน้นการยกระดบั รายได้ให้เกษตรกรด้วยการลด ต้นทนุ การผลิตการพฒั นาแหลง่ นา้ เพ่ือการเกษตรและการแก้ไขปัญหาหนีส้ ินของเกษตรกรโดยจะ ดาเนนิ การ 4.2.10 เร่งรัดการปฏิรูปที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ยากจนและไม่มีท่ีดินทากินเพียงพอตาม เจตนารมณ์ของกฎหมายปฏิรูปที่ดนิ เพ่ือการเกษตรกรรม 4.2.11 เร่งรัดแก้ไขปัญหาการครอบครองท่ีดินของรัฐโดยไม่ถูกต้อง ให้เป็ นไปอย่างเป็ น ธรรมและสอดคล้องกับบทบญั ญัตแิ ห่งกฎหมาย โดยคานึงถึงสิทธิชุมชนในการจดั การทรัพยากร ท้องถิ่น คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 168

โครงการการศึกษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย 2550 4.2.12 ส่งเสริมโครงการตา่ ง ๆ ขององค์กรประชาชนเพื่อหารายได้เสริมให้แก่ครอบครัว ของเกษตรกรในชนบท 7. นโยบายทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะฟื น้ ฟู อนรุ ักษ์และพฒั นาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ เสื่อมโทรมให้ดีขึน้ โดยส่งเสริมให้ประชาชน องค์กรประชาชน และองค์กรปกครองท้องถ่ินเข้ามี สว่ นร่วมในการจดั การและองคก์ รปกครองท้องถ่ินเข้ามีสว่ นร่วมในการจดั การโดยจะดาเนินการ 7.1 เร่งรัดการออกกฎหมายว่าด้วยป่ าชุมชนเพื่อเปิ ดโอกาสให้ประชาชนและองค์กร ประชาชนมีสว่ นร่วมในการปลกู ป้ องกนั รักษา และใช้ประโยชน์จากป่ าชมุ ชน 7.2 ปรับปรุงหนว่ ยงานท่ีมีหน้าที่ดแู ล รักษา และจดั การทรัพยากรธรรมชาติให้สามารถทา หน้าที่ได้อยา่ งทว่ั ถึงและมีประสิทธิภาพ 7.3 ลดความขดั แย้งของการใช้ทรัพยากรธรรมชาตโิ ดยกาหนดการใช้ท่ีดนิ 7.4 จดั ทาแผนปฏิบตั กิ ารและจดั ลาดบั ความสาคญั ในการลงทนุ ด้านส่ิงแวดล้อมเพื่อเป็ น แมบ่ ทการจดั การคณุ ภาพส่งิ แวดล้อมให้ครบทกุ จงั หวดั ทว่ั ประเทศ 7.5 เร่งรัดการป้ องกนั และแก้ไขปัญหามลภาวะทางนา้ อากาศ เสียง รวมทงั้ ปัญหาจาก สารพษิ และกากของเสียโดยยดึ หลกั ผ้กู อ่ ให้เกิดมลภาวะเป็นผ้จู า่ ย 7.6 เสริมสร้างความร่วมมือกบั ตา่ งประเทศในการดแู ลและแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม 7.7 สง่ เสริมและสนบั สนนุ ให้ประชาชน องคก์ รประชาชนและองคก์ รปกครองท้องถ่ินมีสว่ น ร่วมในการอนรุ ักษ์ ป้ องกนั และแก้ไขปัญหาสงิ่ แวดล้อม 3. แนวนโยบายของรัฐบาลท่ีนาโดยพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ แถลงต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 11 ธันวาคม 2539 8.นโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม รัฐบาลม่งุ มน่ั ที่จะฟื น้ ฟู อนรุ ักษ์และพฒั นาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมให้ดีขึน้ โดยจะดาเนินการ 8.1 ปรับปรุงกฎหมายเก่ียวกับป่ าไม้ทัง้ หมดให้สอดคล้องกันและเร่งรัดการออก กฎหมายวา่ ด้วยป่ าชมุ ชนเพื่อให้คนและป่ าสามารถอยรู่ ่วมกนั อยา่ งเกือ้ กลู กนั คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 169

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 8.2 ป้ องกนั และปราบปรามการบุกรุกและการตดั ไม้ทาลายป่ า อนุรักษ์ป่ าต้นนา้ ลา ธารป่ าชายเลน และฟื น้ ฟทู รัพยากรธรรมชาตทิ ี่เส่ือมโทรม 8.3 ปรับปรุงหนว่ ยงานท่ีมีหน้าท่ีดแู ลรักษา และจดั การทรัพยากรธรรมชาตใิ ห้สามารถ ทาหน้าท่ีได้อยา่ งทว่ั ถึงและมีประสิทธิภาพ 8.4 ให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพตามหลกั อนุรักษ์และความ สมดลุ ทางธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม 8.5 จดั ทาแผนแมบ่ ทการจดั การคณุ ภาพสิง่ แวดล้อมให้ครบทกุ จงั หวดั 8.6 ลดปริมาณมลพิษและการแพร่กระจายในสภาพแวดล้อมให้อยใู่ นระดบั ท่ีไม่เป็ น อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพอนามยั โดยเสริมสร้างกลไกทางกฎหมายและสมรรถนะขององค์กร รวมทงั้ ยึด หลกั ผ้กู ่อให้เกิดมลพิษเป็นผ้จู า่ ย 8.7 ร่วมมือกับต่างประเทศในการดแู ลและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกภูมิภาค และของประเทศ 8.8 ส่งเสริมและสนบั สนนุ ให้ประชาชน องค์กรเอกชนและองค์กรปกครองท้องถิ่นมี สว่ นร่วมในการอนรุ ักษ์ ป้ องกนั และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม 4. รัฐบาลท่ีนาโดยนายชวน หลีกภัย แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 20 พฤศจกิ ายน 2540 2.7 การจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม 2.7.2 ส่งเสริมการอนุรักษ์และฟื ้นฟูทรัพยากรป่ าไม้ ทัง้ ป่ าบกและป่ าชายเลน โดย สนบั สนนุ องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นและประชาชน ให้มีส่วนร่วมในการดแู ลรักษาป่ าไม้และปลูก สร้างป่ าชมุ ชน ตลอดจนบงั คบั ใช้กฎหมายเพื่อป้ องกนั และปราบปรามการลกั ลอบตดั ไม้ทาลายป่ า อยา่ งเคร่งครัด” 5. รัฐบาลท่ีนาโดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภา วันท่ี 26 กุมภาพันธ์ 2544 8. นโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 170

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 รัฐบาลมีนโยบายในการฟื น้ ฟูสภาพและคณุ ภาพ การป้ องกนั การเส่ือมโทรมหรือการสญู สิน้ ไป และการนากลบั มาใช้ใหมซ่ ง่ึ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละความหลากหลายทางชีวภาพให้เอือ้ ตอ่ การดารงชีวิต เกิดความสมดลุ ในการพฒั นา และเป็ นรากฐานในการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คม ของประเทศอยา่ งยงั่ ยืน ดงั นี ้ (1) บริหารและจัดการส่ิงแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และ ความหลากหลายทางชีวภาพแบบบูรณาการโดยยึดหลักธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของ ประชาชนและชมุ ชนท้องถิ่นดงั้ เดมิ (2) สง่ เสริมและสนบั สนนุ การมีส่วนร่วมของประชาชนและชมุ ชนในการควบคมุ และกาจดั มลภาวะที่มีผลตอ่ สขุ ภาพอนามยั สวสั ดภิ าพ และคณุ ภาพชีวติ ของประชาชน” 6. รัฐบาลท่ีนาโดย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 23 มีนาคม 2548 4. นโยบายบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม รัฐบาลจะกาหนดวิธีการบริหารจดั การทรัพยากรของรัฐและเอกชนภายใต้การมีส่วนร่วม ของเอกชนและชมุ ชนท้องถิ่นที่ให้มีความสมดลุ ของการใช้ประโยชน์ การถือครอง และการอนรุ ักษ์ ฐานทรัพยากร ที่ดิน ป่ าไม้ ล่มุ นา้ ทรัพยากรชายฝั่ง การใช้ภูมิสารสนเทศ การปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบ การมีส่วนร่ วมของ ผู้เก่ี ยวข้ อง ให้ เกิดประโยชน์สูงสุด และการใช้ ทรัพยากรธรรมชาตเิ พ่ือการพฒั นาประเทศและคณุ ภาพชีวิตอยา่ งยง่ั ยืน 7. รัฐบาลท่ีนาโดยพล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ แถลงต่อสภานิตบิ ัญญัติแห่งชาติ 3 พฤศจิกายน 2549 3. นโยบายสงั คม รัฐบาลม่งุ มนั่ ท่ีจะสร้างสงั คมเข้มแข็งท่ีคนในชาติ อย่เู ย็นเป็ นสุขร่วมกันอย่างสมานฉันท์ บนพืน้ ฐานของคณุ ธรรม โดยมีนโยบาย ดงั นี ้ 3.6 สร้างความเข้มแข็งของทุกชมุ ชนท้องถ่ินและประชาสงั คม ให้สามารถจดั การตนเอง เก่ียวกับความเป็ นอยู่ทัง้ ด้ านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การปกครอง และก ารจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนสิทธิชุมชนโดยส่งเสริมบทบาทของครอบครัว ชุมชน องค์กร อาสาสมัคร ภาคธุรกิจ สถาบนั ศาสนา สถาบนั การศึกษา รวมทงั้ การป้ องกันและแก้ไขปัญหา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 171

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและค้มุ ครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย 2550 สงั คม ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การดแู ลเด็กและเยาวชน คนพิการ คนสูงอายุ และผ้ดู ้อยโอกาส การสนบั สนนุ สทิ ธิสตรี ตลอดจนความปลอดภยั ในชีวิตและทรัพย์สิน 8. รัฐบาลท่ีนาโดยนายสมัคร สุนทรเวช แถลงต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 18 กุมภาพันธ์ 2551 4. นโยบายท่ดี ิน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม รัฐบาลให้ความสาคญั แก่บทบาทของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการสร้ าง ความสขุ ของประชาชนและสร้างความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ โดยให้ความสาคญั แก่ การบริหารจัดการอย่างบูรณาการระหว่างมิติของเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและ สงิ่ แวดล้อม และเพมิ่ การมีบทบาทร่วมของประชาชนและชมุ ชน โดยจะดาเนนิ การ ดงั นี ้ 4.1 อนรุ ักษ์ พฒั นา และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยง่ั ยืนให้เกิด มลู คา่ ทางเศรษฐกิจ โดยให้ความสาคญั แกก่ ารใช้ภมู ปิ ัญญาและวฒั นธรรมท้องถิ่น ตลอดจนความ ปลอดภยั ทางชีวภาพเพ่ือสร้างความมนั่ คงด้านอาหารและสขุ ภาพ และสร้างมลู คา่ เพ่ิมส่เู ศรษฐกิจ ระดบั ประเทศและสากลในระยะตอ่ ไป 4.2 เร่งรัดการบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมภายใต้การมีสว่ นร่วมของ ประชาชน ชมุ ชนท้องถ่ิน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และภาคเอกชน ให้มีความสมดลุ ของการใช้ ประโยชน์ การถือครอง และการอนรุ ักษ์ฐานทรัพยากร ที่ดนิ ป่ าไม้ สตั ว์ป่ า ทรัพยากรนา้ ทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง และทรัพยากรธรณี โดยการใช้ระบบภูมิสารสนเทศ ควบคกู่ ับการปรับปรุง และบงั คบั ใช้กฎหมายตลอดจนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเร่งรัดปราบปรามการ ทาลายป่ า สตั ว์ป่ า และทรัพยากรธรรมชาตอิ ยา่ งจริงจงั รวมทงั้ การมีสว่ นร่วมของผ้เู กี่ยวข้องให้เกิด ประโยชน์สงู สดุ และมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพ่ือการพฒั นาประเทศและคณุ ภาพชีวิตอย่าง ยงั่ ยืน 4.3 อนรุ ักษ์ทรัพยากรดินและป่ าไม้ โดยการยตุ ิการเผาไร่นาและทาลายหน้าดิน การลด การใช้สารเคมีเพ่ือการเกษตร รวมทงั้ การฟื น้ ฟูดินและป้ องกนั การชะล้างทาลายดิน โดยการปลูก หญ้าแฝกตามแนวพระราชดาริ รวมทัง้ มีการกระจายและจดั การกรรมสิทธิ์ที่ดินอย่างเป็ นธรรม อนุรักษ์และป้ องกนั รักษาป่ าท่ีสมบูรณ์ สนบั สนนุ ให้มีการปลูกและฟื น้ ฟูป่ าตามแนวพระราชดาริ สนับสนุนการจัดการป่ าชุมชนและส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพืน้ ท่ีที่เหมาะสมตามหลัก วชิ าการ และการสนบั สนนุ บทบาทของชมุ ชนในการบริหารจดั การนา้ เช่น การทาฝายต้นนา้ ลาธาร หรือฝายชะลอนา้ ตามแนวพระราชดาริ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 172

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 9. รัฐบาลท่ีนาโดยนายสมชาย วงศ์สวัสด์ิ แถลงต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 7 ตุลาคม 2551 5. นโยบายท่ดี นิ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม 5.1 อนรุ ักษ์ทรัพยากรดินและป่ าไม้ โดยเร่งรัดปราบปรามการบุกรุกทาลายป่ า ซ่งึ รวมถึง การเพ่ิมประสิทธิภาพเคร่ืองมือและอปุ กรณ์ สร้างขวญั และกาลงั ใจเจ้าหน้าท่ี กาหนดบทลงโทษท่ี เด็ดขาด การป้ องกันการเผาป่ า ไร่นา และทาลายหน้าดินการลดการใช้ สารเคมีเพ่ือการเกษตร รวมทงั้ การฟื น้ ฟูดนิ และป้ องกนั การชะล้างทาลายดินโดยการปลกู หญ้าแฝกตามแนวพระราชดาริ รวมทงั้ อนรุ ักษ์ป่ าต้นนา้ และป้ องกนั รักษาป่ าท่ีสมบรู ณ์ สนบั สนนุ ให้มีการปลกู และฟื น้ ฟปู ่ า และป่ า ชมุ ชนตามแนวพระราชดาริ และส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจในพืน้ ท่ีท่ีเหมาะสม รวมทงั้ การทา ฝายต้นนา้ ลาธารหรือฝายชะลอนา้ ตามแนวพระราชดาริ 5.2 บริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมภายใต้การมีส่วนร่วมของประชาชน ชมุ ชนท้องถิ่น องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน และภาคเอกชนโดยเฉพาะระดบั พืน้ ที่ ให้มีความสมดลุ ของการใช้ประโยชน์ การถือครอง และการอนุรักษ์ฐานทรัพยากรที่ดิน ป่ าไม้ ป่ าชายเลน สตั ว์ป่ า ทรัพยากรนา้ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังและทรัพยากรธรณี โดยการใช้ระบบภูมิสารสนเทศ เทคโนโลยี ควบคู่กับการปรับปรุงและบังคบั ใช้กฎหมายตลอดจนกฎระเบียบท่ีเก่ียวข้องอย่าง เคร่งครัด รวมทัง้ ให้ความสาคัญในการเร่งรัดการประกาศพืน้ ท่ีป่ าอนุรักษ์ตามกฎหมาย การ กาหนดพืน้ ท่ีศกั ยภาพแร่การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝ่ัง การอนรุ ักษ์และฟื ้นฟูปะการังและ หญ้าทะเล การอนรุ ักษ์และแก้ไขปัญหาเรื่องช้าง และการธารงรักษาสืบสานทางวฒั นธรรมอย่าง จริงจงั 5.3 ค้มุ ครองและฟื น้ ฟพู ืน้ ที่อนรุ ักษ์ท่ีมีความสาคญั เชงิ นเิ วศ รวมทงั้ อนรุ ักษ์ พฒั นา และใช้ ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืนให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยให้ ความสาคญั ในการสารวจจดั ทาฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพการใช้ภูมิปัญญาและ วฒั นธรรมท้องถ่ิน ตลอดจนความปลอดภยั ทางชีวภาพ และสร้างกลไกการบริหารจดั การการใช้ ประโยชน์ เพ่ือสร้างความมน่ั คงด้านอาหาร พลงั งาน สขุ ภาพ และสร้างมลู ค่าเพ่ิมส่เู ศรษฐกิจใน ระดบั ท้องถิ่น ระดบั ประเทศ และระดบั สากลในระยะตอ่ ไป คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 173

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 10. รัฐบาลท่ีนาโดยนายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ แถลงต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 30 ธันวาคม 2551 5. นโยบายท่ดี นิ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม 5.1 คุ้มครองและอนุรักษ์ทรัพยากรป่ าไม้และสัตว์ป่ า ทรัพยากรดิน ทรัพยากรนา้ ทรัพยากรธรณี ทรัพยากรทางทะแลและชายฝั่ง รวมทงั้ ฟื น้ ฟอู ทุ ยานทางทะเลอย่างเป็ นระบบ เร่ง จดั ทาแนวเขตการใช้ประโยชน์ท่ีดิน โดยจัดแบ่งประเภทท่ีดินระหว่างที่ดินของรัฐและเอกชนให้ ชดั เจน เร่งประกาศพืน้ ท่ีป่ าอนรุ ักษ์ กาหนดเขตและสง่ เสริมการปลกู ป่ า ป่ าชมุ ชน เพิ่มฝายต้นนา้ ลาธารและฝายชะลอนา้ ตามแนวพระราชดาริ สง่ เสริม ป่ าเศรษฐกิจในพืน้ ที่ท่ีเหมาะสม ป้ องกนั การเกิดไฟป่ า ปราบปรามการบกุ รุกทาลายป่ าอย่างจริงจงั สง่ เสริมการปลกู หญ้าแฝกเพื่อลดการ ชะล้างพงั ทลายของดนิ ลดการใช้สารเคมีและฟื น้ ฟดู นิ ในบริเวณพืน้ ที่ท่ีดินมีปัญหา รวมทงั้ จดั ให้มี ระบบบริหารจดั การนา้ ในระดบั ประเทศทงั้ นา้ ผิวดินและนา้ ใต้ดิน เพื่อตอบสนองความต้องการ ของภาคเศรษฐกิจและการอปุ โภคบริโภค 5.5 พฒั นาองค์ความรู้ในการบริหารจดั การด้านทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โดย การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาท่ีชุมชนและนักวิชาการในท้องถ่ินมีส่วนร่วม และที่ภาคเอกชน สามารถนาไปใช้ รวมทงั้ สง่ เสริมการใช้เทคโนโลยีท่ีช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรและพลงั งานอยา่ ง ประหยดั และชว่ ยลดมลพิษ 5.6 ปรับปรุงกลไกการบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม รวมทงั้ สร้าง จิตสานึกในการอนรุ ักษ์และการใช้ประโยชน์ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ชมุ ชน ประชาชน และภาคที ่ีเกี่ยวข้อง ในรูปของสมชั ชาส่งิ แวดล้อมมีสว่ นร่วมบริหารจดั การ และจดั ให้มีการใช้ระบบ ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงกลยทุ ธ์ เพื่อเป็ นกลไกกากบั ให้เกิดการพฒั นาท่ียง่ั ยืน รวมทงั้ สนองโครงการพระราชดาริด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อมทกุ โครงการอยา่ ง จริงจงั คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 174

โครงการการศึกษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธชิ มุ ชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 11. รัฐบาลท่ีนาโดยนางสาวย่ิงลักษณ์ ชินวัตร แถลงต่อรัฐสภา เม่ือวันท่ี 23 ธันวาคม 2554 5. นโยบายท่ีดนิ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม 5.1 อนรุ ักษ์และฟื น้ ฟทู รัพยากรป่ าไม้และสตั ว์ป่ า โดยเร่งให้มีการปลกู ป่ าเพิ่มขนึ ้ ควบคไู่ ป กับการป้ องกันการลักลอบบุกรุกทาลายป่ าไม้และสัตว์ป่ าเร่งสารวจและจัดทาแนวเขตการใช้ ประโยชน์ที่ดนิ สง่ เสริมการบริหารจดั การป่ าแบบกล่มุ ป่ าป่ าชมุ ชน อทุ ยานแห่งชาติ เขตรักษาพนั ธ์ุ สตั ว์ป่ า สนบั สนุนการจดั การอย่างมีส่วนร่วม และให้คนกบั ป่ าอย่รู ่วมกนั ในลกั ษณะที่ทาให้คนมี ภารกิจดูแลป่ าให้มีความยั่งยืน โดยการปรับปรุงกฎหมายป่ าไม้ทัง้ 5 ฉบับให้สอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญ สร้ างแรงจูงใจและส่งเสริมรายได้จากการอนุรักษ์ป่ าไม้ ฟื ้นฟูป่ าไม้ตามแนวทาง พระราชดาริ เพิ่มความชุ่มชืน้ ของป่ าโดยฝายต้นนา้ ลาธาร ป้ องกันไฟป่ า ส่งเสริมการอนรุ ักษ์ใช้ ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพจากป่ าและแบง่ ปันผลประโยชน์อย่างเป็ นธรรม รวมทงั้ นาระบบ สารสนเทศมาใช้ในการจดั การทรัพยากรป่ าไม้” 5.4 สร้ างความเป็ นธรรมและลดความเหล่ือมลา้ ในการใช้ ประโยชน์ที่ดินและ ทรัพยากรธรรมชาติ โดยการปฏิรูปการจดั การที่ดินโดยให้มีการกระจายสิทธิท่ีดินอย่างเป็ นธรรม และย่ังยืนโดยใช้มาตรการทางภาษีและจัดตงั้ ธนาคารที่ดินให้แก่คนจนและเกษตรกรรายย่อย พจิ ารณาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ที่ดนิ ทิง้ ร้างทางราชการ ปกป้ องท่ีสาธารณประโยชน์ ที่ดินทงุ่ เลีย้ งสตั ว์ ห้ามการปิ ดกนั้ ชายหาดสาธารณะ ผลกั ดนั กฎหมายในการรับรองสิทธิของชมุ ชนในการ จดั การทรัพยากร ที่ดิน นา้ ป่ าไม้ และทะเล ปฏิรูปกระบวนการยตุ ิธรรมด้านทรัพยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อม แก้ไขปัญหาการดาเนนิ คดีโลกร้อนกบั คนจน คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 175

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธชิ ุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 ภาคผนวก ค ตัวอย่างข้อบัญญัตทิ ้องถ่นิ 1. ข้อบัญญัตอิ งค์การบริหารส่วนตาบลแม่ทาว่าด้วยการจัดการป่ าชุมชนตาบล แม่ทา พ.ศ. 2550 ข้อบญั ญตั ิองค์การบริหารส่วนตาบลแม่ทา ว่าด้วยการจัดการป่ าชุมชนตาบลแม่ทา พ.ศ. 2550 ------------------------------ อาศัยอานาจตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติกาหนดแผนและขัน้ ตอนการกระจายอานาจ ให้แก่องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 และมาตรา 71 แห่งพระราชบญั ญตั ิสภาตาบลและองค์การ บริหารสว่ นตาบล พ.ศ.2537 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบบั ท่ี 5) พ.ศ.2546 ประกอบกบั แผนปฏิบตั ิการกาหนด ขนั้ ตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น พ.ศ. 2545 องค์การบริหารสว่ นตาบลแม่ทา จงึ ออกข้อบญั ญตั ิองค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ า โดยความเห็นชอบของสภาองค์การบริหารสว่ นตาบลแม่ ทา ดงั ตอ่ ไปนี ้ ข้อ 1 ข้อบญั ญัติองค์การบริหารสว่ นตาบลนีเ้ รียกว่า “ข้อบญั ญัติองค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ า ว่า ด้วยการจดั การป่ าชมุ ชน ตาบลแมท่ า พ.ศ. 2550” ข้อ 2 ข้อบญั ญตั อิ งค์การบริหารสว่ นตาบลนี ้ ให้ใช้บงั คบั ได้นบั ถดั จากวนั ประกาศ ณ ที่ทาการองค์การ บริหารสว่ นตาบลแมท่ าแล้ว 15 วนั ข้อ 3 ในข้อบญั ญตั อิ งค์การบริหารสว่ นตาบลนี ้ “ป่ าชมุ ชนตาบลแมท่ า” หมายถงึ (1) ป่ าชุมชนบ้านทาม่อน เนือ้ ท่ีจานวน 8,457 ไร่ มีอาณาเขตทิศเหนือติดต่อกบั ห้วยป่ ากล้วย จนถึงสันต้นม่วงคุ๊ ทิศใต้ติดต่อกับสันห้วยแล้ง ห้วยนา้ ขุ่น และสันกลางห้วยป่ าเต้าทิศ ตะวนั ออกติดต่อกับ ห้วยแม่บอนบก และทิศตะวนั ตกติดต่อกบั ห้วยแม่ผาแหน และสนั ห้วย แมล่ าน (2) ป่ าชมุ ชนบ้านทา่ ข้าม - บ้านค้อกลาง เนอื ้ ที่จานวน 18,813 ไร่ มอี าณาเขตทิศเหนือติดต่อกบั คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 176

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 ห้วยยาบ สนั ห้วยแล้ง และห้วยแม่ตะกร้ า ทิศใต้ติดต่อกบั สนั เขาห้วยแม่เลาะ และห้วยแม่ คอ่ ม ทศิ ตะวนั ออกตดิ ตอ่ กบั ห้วยแม่นงึ และห้วยแม่แจก และทิศตะวนั ตกติดตอ่ กบั ลานา้ แม่ ทา (3) ป่ าชมุ ชนบ้านห้วยทราย เนอื ้ ท่ีจานวน 5,000 ไร่ มอี าณาเขตทิศเหนอื ติดตอ่ กบั ห้วยนา้ ขนุ่ ทิศ ใต้ติดต่อกับห้วยปงกา ทิศตะวนั ออกติดต่อกับห้วยเมี่ยง และห้วยฮ่อม และทิศตะวันตก ติดตอ่ กบั ห้วยแมธ่ ิ (4) ป่ าชมุ ชนบ้านป่ านอด เนือ้ ท่ีจานวน 10,601 ไร่ มีอาณาเขตทิศเหนือติดตอ่ กบั สนั ห้วยทราย และขนุ ห้วยนา้ ขนุ ทิศใต้ติดต่อกบั ห้วยป่ ากล้วย และห้วยแมต่ ีบ ทิศตะวนั ออกติดตอ่ กบั ห้วย แมเ่ ลาะ และทิศตะวนั ตกติดตอ่ กบั ห้วยแมธ่ ิ (5) ป่ าชมุ ชนบ้านดอนชยั - บ้านใหม่ดอนชยั เนือ้ ท่ีจานวน 9,862 ไร่ มีอาณาเขตทิศเหนือติดตอ่ กับสนั กอม่วงจดสนั เขาแม่ตีบ ทิศใต้ติดต่อกับห้วยหก และห้วยแม่โฮงห่าง ทิศตะวนั ออก ติดต่อกับสันเขาทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดสันเขาห้วยไม้งุ้น จดสนั เขาแม่ขะแมว ทิศ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ติดตอ่ กบั ห้วยหกตดิ สนั เขาแมป่ ่ าขา่ ทิศตะวนั ตกตดิ ตอ่ กบั สนั เขาห้วยแม่ธิ และทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้ติดตอ่ กบั ลาห้วยจะคา่ น จดสนั เขาแมโ่ ฮ่งหา่ ง โดยชมุ ชนได้ร่วมกนั จดั การอนรุ ักษ์ ดแู ลรักษา และใช้ประโยชน์อยา่ งตอ่ เน่ืองมาเป็ นเวลา 12 ปี ข้อ 4 ให้นายกองค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ า และสภาองค์การบริหารสว่ นตาบล มีหน้าทรี่ ักษาการให้ เป็ นไปตามข้อบญั ญัตินี ้และให้มีอานาจออกระเบียบ ข้อบงั คบั หรือคาสง่ั เพ่ือปฏิบตั ิให้เป็ นไปตามข้อบญั ญัติ องค์การบริหารสว่ นตาบลนี ้ หมวด 1 บทท่วั ไป ข้อ 5 ป่ าชมุ ชนทจี่ ดั ตงั้ ขนึ ้ ต้องเป็ นไปเพื่อวตั ถปุ ระสงค์ ดงั ตอ่ ไปนี ้ (1) เพื่อให้ชมุ ชนเกิดความตระหนกั ในการรักษาทรัพยากรป่ าไม้ ดนิ และนา้ (2) เพอ่ื สง่ เสริม และรักษาคณุ ภาพสง่ิ แวดล้อมของชมุ ชน และตาบล (3) เพอื่ ให้ชมุ ชนบริหารจดั การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่ าไม้ ดนิ และนา้ อยา่ งเป็ นธรรมและยงั่ ยืน (4) เพ่ือร่วมกนั อนรุ ักษ์ ดแู ลรักษาไว้ซงึ่ ทรัพยากรป่ าไม้ ดนิ และนา้ (5) เพือ่ เสริมสร้างความเข้มเข็ง และพฒั นาศกั ยภาพในการบริหารจดั การให้กบั บคุ คล กลมุ่ และองค์กร ชมุ ชนในตาบล ข้อ 6 ป่ าชุมชนตาบลแมท่ าที่จัดตงั้ ขนึ ้ อย่ภู ายใต้การกากบั ดแู ลขององค์การบริหารสว่ นตาบลแม่ทา โดยให้คณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล และคณะกรรมการป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านมีสว่ นร่วมในการบริหาร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 177

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคุ้มครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 จดั การ หมวด 2 คณะกรรมการเครือข่ายป่ าชุมชนระดับตาบล ข้อ 7 ให้มีคณะกรรมการเครือข่ายป่ าชุมชนระดับตาบลประกอบด้วยประธานและกรรมการอื่นอีก จานวนไมน่ ้อยกวา่ สบิ ห้าคนแตไ่ มเ่ กินย่สี บิ ห้าคน ซงึ่ ได้รับการคดั เลอื กโดยคณะกรรมการป่ าชุมชนหมบู่ ้านแต่ละ ชมุ ชน และได้รับการรับรองจากทปี่ ระชมุ ของสมาชิกป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน ข้อ 8 คณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล ต้องมคี ณุ สมบตั ิ ดงั ตอ่ ไปนี ้ (1) เป็ นคณะกรรมการป่ าชมุ ชนของหมบู่ ้าน (2) มีอายตุ งั้ แตส่ บิ แปดปี บริบรู ณ์ขนึ ้ ไป (3) มแี นวคดิ และจิตสานกึ ในด้านการจดั การทรัพยากรธรรมชาติแบบมสี ว่ นร่วม (4) มปี ระสบการณ์การทางานการจดั การทรัพยากรป่ าไม้ ดิน และนา้ ไมน่ ้อยกวา่ สองปี ข้อ 9 คณะกรรมการเครือข่ายป่ าชุมชนระดับตาบลมีวาระการดารงตาแหน่งสองปี และจะดารง ตาแหนง่ ได้ไมเ่ กินสองวาระตดิ ตอ่ กนั ข้อ 10 คณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล พ้นจากตาแหนง่ เมือ่ (1) ตาย (2) ลาออก (3) ครบวาระตามการดารงตาแหนง่ (4) พ้นจากตาแหนง่ คณะกรรมการป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน (5) ขาดการทางานของเครือข่ายป่ าชุมชนระดับตาบลเกินสามครัง้ ติดต่อกันโดยไม่ได้แจ้ งต่อ คณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล (6) คณะกรรมการเครือข่ายป่ าชุมชนระดบั ตาบลมีมติไม่น้อยกว่าสองในสามของจานวนกรรมการ ทงั้ หมดให้พ้นจากตาแหน่ง เพราะบกพร่องต่อหน้าท่ี หรือกระทาผิดระเบียบของคณะกรรมการป่ าชุมชนทงั้ ใน ระดบั หมบู่ ้านและระดบั ตาบลอยา่ งร้ายแรง (7) สภาองค์การบริหารสว่ นตาบลมีมติไม่น้อยกว่าสองในสามของจานวนสมาชิกสภาทงั้ หมดให้พ้น จากตาแหนง่ เพราะบกพร่องตอ่ หน้าที่ หรือกระทาผิดระเบียบของคณะกรรมการป่ าชมุ ชนทงั้ ในระดบั หมบู่ ้านและ ระดบั ตาบลอยา่ งร้ายแรง ข้อ 11 คณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล มอี านาจหน้าที่ ดงั ตอ่ ไปนี ้ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 178

โครงการการศกึ ษาพัฒนาการการรับรองและคุม้ ครองสิทธิชุมชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย 2550 (1) สนบั สนนุ การดาเนินงานของคณะกรรมการป่ าชมุ ชนระดบั หมบู่ ้าน (2) ดาเนินการประสานแผนจดั การป่ าชมุ ชนของแตล่ ะหมบู่ ้าน (3) สนบั สนนุ งานของเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั หมบู่ ้าน และเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล (4) ประสานจดั ทาและเผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารด้านป่ าชมุ ชนให้แกร่ ะดบั ชมุ ชน และระดบั ตาบล (5) ตดิ ตามการดาเนนิ งานบริหารจดั การป่ าชมุ ชนของคณะกรรมการป่ าชมุ ชนระดบั หมบู่ ้าน (6) ประสานความร่วมมอื กบั บคุ คล หนว่ ยงาน องค์กรทเ่ี ก่ียวข้องเพ่อื ให้เข้ามาสนบั สนนุ การจดั การป่ าชมุ ชนทงั้ ระดบั หมบู่ ้านและระดบั ตาบล (7) จดั ทารายงานการดาเนินงานด้านป่ าชมุ ชนระดบั ตาบลอยา่ งน้อยปี ละหน่ึงครัง้ เสนอต่อท่ีประชุม สภาองค์การบริหารสว่ นตาบล หมวด 3 คณะกรรมการป่ าชุมชนหม่บู ้าน ข้อ 12 ให้มีคณะกรรมการป่ าชุมชนหม่บู ้านประกอบด้วยประธานและกรรมการอ่ืนอีกจานวนไม่น้อย กว่าสิบห้าคนแตไ่ ม่เกินย่ีสิบคน ซึ่งมีการเสนอชื่อและได้รับการคดั เลือกจากมติที่ประชุมของสมาชิกป่ าชุมชน หมบู่ ้าน ข้อ 13 คณะกรรมการป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน ต้องมีคณุ สมบตั ิ ดงั ตอ่ ไปนี ้ (1) ต้องมีช่ืออยใู่ นทะเบยี นบ้านของหมบู่ ้านไมน่ ้อยกวา่ ร้อยแปดสบิ วนั (2) เป็ นบคุ คลมีความนา่ เชื่อถือของคนในชมุ ชน มคี ณุ ธรรม หรือมคี วามรู้ที่สมาชิกชมุ ชนยอมรับ (3) ไมเ่ ป็ นบคุ คลทพุ ลภาพ หรือ ต้องคดอี าญา ข้อ 14 คณะกรรมการป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านมีวาระการดารงตาแหนง่ จานวนคราวละสองปี ข้อ 15 กรรมการป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านพ้นจากตาแหนง่ เมอ่ื (1) ตาย (2) ลาออก (3) ครบวาระตามการดารงตาแหนง่ (4) ไม่ปฏิบัติงานตามหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการป่ าชุมชนระดับหมู่บ้าน และ คณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล โดยไมม่ ีเหตผุ ลอนั สมควร (5) ปฏิบตั หิ น้าที่ไมเ่ ป็ นไปตามวตั ถปุ ระสงค์การบริหารจดั การกองทนุ ป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน (6) คณะกรรมการป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านมีมตไิ มน่ ้อยกวา่ สองในสามของจานวนกรรมการทงั้ หมดให้พ้นจาก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 179

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 ตาแหน่ง เพราะบกพร่องต่อหน้าท่ี หรือทาผิดระเบียบข้อบงั คบั การบริหารจัดการป่ าชุมชนของหม่บู ้านอย่าง ร้ ายแรง (7) สภาองค์การบริหารสว่ นตาบลมีมติไมน่ ้อยกว่าสองในสามของจานวนสมาชิกสภาทงั้ หมดให้พ้น จากตาแหนง่ เพราะบกพร่องตอ่ หน้าที่ หรือทาผดิ ระเบยี บข้อบงั คบั การบริหารจดั การป่ าชุมชนของหมบู่ ้านอย่าง ร้ ายแรง ข้อ16 คณะกรรมการป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน มีอานาจหน้าท่ี ดงั ตอ่ ไปนี ้ (1) บริหารจดั การ ดแู ลรักษาทรัพยากรป่ าไม้โดยการมสี ว่ นร่วมของชมุ ชน (2) ประสานจดั ทาแผนการจดั การ และกิจกรรมการจดั การป่ าชมุ ชนในหมบู่ ้าน (3) จดั ทาแนวเขตป่ าชมุ ชน และแบง่ พนื ้ ท่จี ดั การป่ าชมุ ชนให้ชดั เจน (4) พิจารณากาหนดระเบียบการขอใช้ไม้ หรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอ่ืนในป่ าชมุ ชน (5) สร้างจิตสานกึ ให้แกส่ มาชิกป่ าชมุ ชนให้รู้จกั คณุ คา่ รักษา หวงแหน และเข้ามาร่วมบริหารจดั การป่ า ชมุ ชนในหมบู่ ้าน (6) ประสานจดั ทาและเผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารด้านป่ าชมุ ชนให้แก่สมาชิกป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน (7) ประสานความร่วมมือกบั บคุ คล หนว่ ยงาน องค์กรทเ่ี ก่ียวข้อง เพื่อให้เข้ามาสนบั สนนุ การจดั การป่ า ชมุ ชนในหมบู่ ้าน (8) จดั ทารายงานผลการดาเนินงานด้านป่ าชุมชนหม่บู ้านเสนอต่อท่ีประชุมหม่บู ้าน และท่ีประชุม คณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบลอยา่ งน้อยปี ละหนงึ่ ครัง้ (9) ปฏิบตั หิ น้าทเ่ี ป็ นคณะกรรมการกองทนุ ป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านตามทกี่ าหนดไว้ในข้อ 20 (10) บริหารจดั การกองทนุ ป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านให้เป็ นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ทีก่ าหนดไว้ในข้อ 19 หมวด 4 สิทธิและหน้าท่ีของสมาชกิ ป่ าชุมชนหม่บู ้าน ข้อ 17 สมาชิกป่ าชมุ ชนมีสทิ ธิและหน้าท่ี ดงั ตอ่ ไปนี ้ (1) ร่วมกาหนดแนวเขตป่ าชมุ ชน แนวเขตพนื ้ ทก่ี ารใช้ประโยชน์ และพนื ้ ที่จดั การอนื่ ในป่ าชมุ ชน (2) ร่วมบริหารจดั การ การจดั ทาแผนการจดั การ และกิจกรรมดแู ลรักษาฟืน้ ฟปู ่ าชมุ ชน (3) ร่วมจดั ทาและปรับปรุงกฎระเบยี บป่ าชมุ ชนระดบั หมบู่ ้าน (4) มีสทิ ธิขอใช้ไม้และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอ่นื ในป่ าชมุ ชนตามกฎระเบยี บของป่ าชมุ ชน (5) มีสทิ ธิออกเสยี งเลอื กตงั้ และถอดถอนคณะกรรมการป่ าชมุ ชนระดบั หมบู่ ้าน คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ 180

โครงการการศกึ ษาพฒั นาการการรับรองและคมุ้ ครองสิทธิชมุ ชนตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย 2550 (6) ตรวจสอบและตรวจตราผ้ทู เ่ี ข้ามากระทาผดิ กฎระเบียบป่ าชมุ ชนในพนื ้ ท่หี มบู่ ้าน (7) ตรวจสอบการดาเนินงานด้านการบริหารจดั การป่ าชุมชนตาบลแม่ทาของคณะกรรมการป่ าชุมชน หมบู่ ้าน และคณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล หมวด 5 กองทุนป่ าชุมชนหม่บู ้าน ข้อ 18 ให้มีกองทนุ ป่ าชุมชนหม่บู ้าน ประกอบด้วยเงินและทรัพย์สนิ ที่ได้รับการสนบั สนนุ งบประมาณ จากองค์การบริหารส่วนตาบล การระดมทุนสนบั สนนุ จากภายในชุมชนและภายนอกชุมชน การจัดเก็บเงิน คา่ ปรับผ้กู ระทาผิดต่อกฎระเบียบป่ าชุมชน การจัดเก็บเงินค่าสมาชิกป่ าชุมชน หรือการรับเงินบริจาคเพื่อการ บริหารจดั การป่ าชมุ ชน ข้อ 19 วตั ถปุ ระสงค์ในการใช้เงินกองทนุ ป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน (1) เพ่ือการบริหารจดั การป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านให้มปี ระสทิ ธิภาพ (2) เพ่ือการสนบั สนุนการดาเนินงานและบริหารจัดการป่ าชุมชนตาบลแม่ทาของคณะกรรมการ เครือขา่ ยป่ าชมุ ชนระดบั ตาบล (3) เพ่ือเป็ นค่าตอบแทนหรือจัดสวสั ดิการให้แก่คณะกรรมการป่ าชุมชนหม่บู ้าน และสมาชิกป่ า ชมุ ชนหมบู่ ้าน ข้อ 20 ให้คณะกรรมการกองทนุ ป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านมอี านาจหน้าท่ี ดงั ตอ่ ไปนี ้ (1) กาหนดหลกั เกณฑ์ เงื่อนไข ระเบยี บและวธิ ีการดาเนนิ งานของการใช้เงินกองทนุ ป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน (2) พิจารณาการใช้เงินกองทนุ ป่ าชมุ ชนหมบู่ ้าน เพ่ือใช้ตามวตั ถปุ ระสงค์ที่กาหนดไว้ในข้อ 19 (3) ติดตาม รายงาน และประเมินผลการใช้ จ่ายเงินกองทุนป่ าชุมชนหม่บู ้าน อย่างน้อยปี ละสองครัง้ เสนอตอ่ ท่ีประชมุ หมบู่ ้าน บทเฉพาะกาล ข้อ 21 ให้กฎระเบียบป่ าชุมชนหม่บู ้านท่ีใช้มาก่อนข้อบญั ญตั ิองค์การบริหารสว่ นตาบลแม่ทา ว่าด้วย การจดั การป่ าชมุ ชนตาบลแมท่ า พ.ศ. 2550 ฉบบั นปี ้ ระกาศใช้บงั คบั ให้มผี ลใช้บงั คบั ต่อไปจนกวา่ คณะกรรมการ ป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านจะมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมตอ่ ไป ข้อ 22 ให้มีการเลอื กคณะกรรมการป่ าชมุ ชนหมบู่ ้านให้เสร็จสนิ ้ ภายในระยะเวลาหกสบิ วนั ภายหลงั จากข้อบญั ญตั ิองค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ า วา่ ด้วยการจดั การป่ าชมุ ชนตาบลแมท่ านปี ้ ระกาศใช้บงั คบั ข้อ 23 ให้มีการเลอื กคณะกรรมการเครือขา่ ยป่ าชุมชนระดบั ตาบลให้เสร็จสนิ ้ ภายในระยะเวลาเก้าสิบ วนั ภายหลงั จากข้อบญั ญตั ิองค์การบริหารสว่ นตาบลแมท่ า วา่ ด้วยการจดั การป่ าชมุ ชนตาบลแม่ทานีป้ ระกาศใช้ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ 181